A Thai translation of a Study of 2 Samuel (English)
พระธรรม 1 ซามูเอลจบลงอย่างโศกนาฎกรรม กษัตริย์ซาอูลเป็นบ้าไปจริงๆ ท่านต่อต้านดาวิดผู้เป็นทั้งคนรับใช้ที่ ซื่อสัตย์และเพื่อนแท้ ท่านเพี้ยนไปถึงขนาดพยายามฆ่าดาวิดเหมือนกับว่าดาวิดเป็นคนทรยศ ท่านขัดคำสั่งพระ เจ้า ทำให้ท่านตกต่ำจนเกือบพินาศ และยังเกินเลยถึงขนาดไปปรึกษาคนทรงด้วย เรื่องการตายของซาอูล โดย ฝีมือของฟิลิสเตียและน้ำมือของท่านเองเป็นบทส่งท้ายของพระธรรม 1 ซามูเอล ถึงแม้จะน่าเศร้าแต่เราก็ถอนใจ ด้วยความโล่งอก เพราะต่อแต่นี้ไปดาวิดจะหลุดพ้นจากการไล่ล่า และขึ้นปกครองแทนซาอูล
แต่มันไม่ได้เกิดขึ้นรวดเร็วหรือง่ายดายตามนั้น ต้องขอขอบคุณอุบายของคนอย่างอับเนอร์ และโยอาบ เพราะทำ ให้ประเทศอิสราเอลถูกแบ่งออกเป็นสองส่วนชั่วขณะหนึ่ง – เป็นภาพเล็งถึงประเทศอิสราเอลในอนาคต แต่ในที่สุด ดาวิดจะได้ขึ้นครองเป็นกษัตริย์ของอิสราเอลทั้งแผ่นดิน เมื่อเริ่มต้นการปกครอง ทุกสิ่งที่ท่านทำล้วนดีทั้งสิ้น และ พระเจ้าอำนวยพระพรแก่ท่านอย่างมากมาย
ถึงกระนั้น ดาวิดก็ยังเป็นเช่น "ปุถุชน" ทั่วไป บาปที่ท่านทำต่อนางบัทเชบาและสามีอุรียาห์ทำให้เหตุการณ์พลิก ผันไปโดยสิ้นเชิง เป็นช่วงเวลาที่มืดมนสำหรับท่าน มืดกว่าที่ท่านเคยประสพมา
บุตรของท่านตายลง บุตรอีกคนไปข่มขืนธิดาของท่าน และมีบุตรฆ่ากันตาย ขอสรุปอย่างสั้นๆว่า บุตรของท่าน อับซาโลมก่อการกบฎ แสวงชีวิตท่าน แต่ในการทั้งมวลนี้ พระเจ้าทำให้ท่านสำนึกผิดและกลับมาคืนดีกับพระองค์ พระเจ้าไม่มีทางผ่อนปรนให้กับความบาปของดาวิด เราจะเห็นได้ว่าในพระธรรม 2 ซามูเอลพูดถึงความบาปของ ท่านต่อนางบัทเชบา เป็นสาเหตุที่ทำให้ท่านตกต่ำลง
พระธรรม 2 ซามูเอลจบลงด้วยความชื่นชมในความยิ่งใหญ่ของดาวิด และทำให้เราตระหนักถึงความอ่อนแอของ มนุษย์ ถ้าจะมีกษัตริย์องค์ใดมาแทนที่กษัตริย์ดาวิดอย่างถาวรได้ (2 ซามูเอล 7:12-14) ต้องเป็นกษัตริย์ที่ยิ่ง ใหญ่กว่า ถ้าดาวิดเป็นกษัตริย์ที่ปกครองอิสราเอลได้ดีที่สุด พระเจ้าจำต้องจัดเตรียมกษัตริย์ที่ดีกว่านี้ประทานให้ และพระองค์กระทำตามนั้น หนังสือเล่มนี้ยิ่งใหญ่อย่างแท้จริง สมควรที่เราจะศึกษาอย่างจริงจัง ขอให้พระเจ้าทำ การผ่านเราตลอดการศึกษาพระธรรม 2 ซามูเอลนี้
เนื้อหาในบทแรกของพระธรรม 2 ซามูเอลทำให้ผมนึกถึงเรื่องราวของหนุ่มนักบินอเมริกันคนหนึ่งที่มัก ประสพอุบัติเหตุอยู่ตลอดเวลา ทุกเรื่องที่หนุ่มคนนี้ทำดูจะผิดพลาดไปหมด ในระหว่างสงครามโลกครั้ง ที่สอง เขาถูกส่งไปประจำการอยู่บนเรือรบบันทุกเครื่องบิน ทุกคนกังวลมากว่าเขาจะได้รับอนุญาตให้ขึ้น บินหรือเปล่า เพราะอะไรๆก็เกิดขึ้นได้ทั้งนั้น วันหนึ่งเขาได้รับมอบหมายให้ปฏิบัติงานพิเศษ ทุกอย่างดูจะ ไปได้สวย เขายิงเรือรบญี่ปุ่นจมลงไปหนึ่งลำ ; ยิงถูกเป้าหมายหลายแห่ง กระสุนหมดและน้ำมันก็ใกล้จะ หมด เขาพยายามบินกลับไปที่ฐาน แต่หลงทางหาไม่เจอ ทันใดนั้นท้องฟ้าเปิดออก มองลงไปเห็นฐานบน เรือรบเบื้องล่าง การร่อนลงจอดสมบูรณ์ไม่มีที่ติ เมื่อนำเครื่องบินเข้าที่แล้ว เขากระโดดลงมา วิ่งอย่างเร็ว ด่วนไปที่ผู้บังคับบัญชาเพื่อรายงานความสำเร็จ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องจมเรือรบญี่ปุ่น หรือยิงใส่เป้าหมายสำคัญ ได้หลาย แห่ง — ผู้บังคับบัญชาเพียงแต่ตอบว่า "อา-โซ่!" การปฏิบัติงานที่สำเร็จทั้งหมดรวมทั้งลงจอด อย่างเรียบร้อยนั้น — จบลงที่เรือบันทุกเครื่องบินญี่ปุ่น !
นักบินหนุ่มคนนี้ทำให้ผมนึกถึงชาวอามาเลขที่มาส่งข่าวในพระธรรม 2 ซามูเอลบทที่ 1 เขาไปพบดาวิด ด้วยหวังว่าจะได้รับคำชมเชย หรือเงินรางวัลตอบแทน เขานำข่าวโศกนาฏกรรมความพ่ายแพ้ของอิสราเอล ด้วยหวังว่าความตายของซาอูลและโยนาธานจะเป็นข่าวดีอันยิ่งยวด และเป็นพระพรต่อดาวิด เพราะศัตรู (ซาอูล) และคู่แข่ง (โยนาธาน) ถูกกำจัดไปแล้ว เปิดทางสะดวกให้ท่านขึ้นเป็นกษัตริย์ของอิสราเอล เขา ไม่คาดคิดมาก่อนว่าจะได้รับการตอบสนองเช่นนี้จากดาวิด ดาวิดรู้สึกเศร้าโศกเสียใจอย่างสุดซึ้งต่อการ ตายของทั้งสอง ท่านไม่ได้ตอบสนองด้วยท่าทีโล่งใจ หรือดีใจที่ซาอูลผู้เป็นศัตรูตายเสียได้ ท่านไม่ได้ยิน ดีที่จะได้ขึ้นครองแทนซาอูล ดาวิดคร่ำครวญอย่างมาก ยิ่งเมื่อได้รู้ว่าคนอามาเลขคนนี้เป็นผู้ฆ่าซาอูล ท่าน จึงสั่งฆ่าชายคนนี้เสีย
ผู้เขียนพระธรรมเล่มนี้มีวิธีการที่ชำนาญมากในการนำเสนอความแตกต่าง ทำให้เรากระหายอยากติดตาม และขณะเดียวกัน ก็สอดแทรกสาระสำคัญเอาไว้ด้วย ครึ่งแรกของบทเล่าเกี่ยวกับสิ่งที่คนอามาเลขกระทำ ต่อซาอูล ครึ่งหลังแสดงให้เห็นถึงสิ่งที่ดาวิดปฏิบัติต่อซาอูล ในความแตกต่างเหล่านี้ ผู้เขียนอธิบายเหตุผล ที่ดาวิดจัดการกับคนอามาเลข เมื่อเริ่มบทเรียน เราถูกดึงความสนใจไปที่คนอามาเลข ผู้มาถึงในสภาพ เสื้อผ้าขาดวิ่น แสดงถึงความความทุกข์ใจที่ต้องนำข่าวร้ายเรื่องซาอูล พร้อมทั้งนำสัญลักษณ์ที่เป็นสิทธิ อำนาจของกษัตริย์มาด้วย (มงกุฎและ กำไล) เขาเป็นคนนำข่าวความพ่ายแพ้ของอิสราเอล ข่าวที่ คนอิสราเอลล้มตายลงมากมาย โดยเฉพาะความตายของซาอูลและโยนาธาน ข่าวของเขาทำให้ดาวิด และคนของท่านทุกข์โศกเป็นอย่างยิ่ง ท่านสั่งประหารชาวอามาเลขผู้ส่งข่าวที่ฆ่าซาอูลคนนี้เสีย ส่วนเนื้อหาที่เหลือในบท เป็นเพลงคร่ำครวญของดาวิดที่ได้รับการบันทึกไว้เพื่อสอนลูกหลานของยูดาห์ จุดสำคัญของบทนี้คือความแตกต่างระหว่างคนอามาเลขและดาวิด รวมทั้งใขข้อข้องใจให้กับผู้อ่าน ด้วย เราจะมาดูข้อแตกต่างนี้กันอย่างละเอียด เพื่อมองหาความหมายและสาระสำคัญที่มีให้กับเรา
เมื่อเริ่มต้นบทนี้ เราจะไม่รู้สึกเลยว่าเรากำลังเดินออกจากพระธรรม 1 ซามูเอลมายัง 2 ซามูเอลแล้ว ดูเหมือนไม่มีเส้นแบ่ง ซึ่งที่จริงตรงกับต้นฉบับในภาษาเดิม ซึ่งไม่ได้แบ่งเป็นสองเล่ม คือ1 และ 2 ซามูเอล มีเพียงเล่มเดียวเท่านั้นที่รวมเรื่องทั้งหมดไว้ด้วยกัน แต่ต้นฉบับเล่มเดียวในภาษาฮีบรูนี้ ต่อมาถูกแบ่งโดยผู้แปลฉบับเซ็ปตัวจินท์ และเป็นเพราะการแบ่งแบบเซ็ปตัวจินท์นี้เองทำให้หนัง สือพระธรรมเล่มอื่นที่ตามมาในพระคัมภีร์จึงใช้วิธีเดียวกัน เมื่อมาเป็นพระธรรม 1 และ 2 ซามูเอล การออกจาก 1 มายัง 2 ซามูเอลจึงไม่ทำให้เรารู้สึกสะดุด แต่ต่อเนื่องกันไปโดยไม่รู้ตัว
11 อยู่มาหลังจากที่ซาอูลสิ้นพระชนม์แล้ว เมื่อดาวิดกลับจากการฆ่าฟัน คนอามาเลข ดาวิดพักอยู่ที่ศิกลากได้สองวัน 2 พอถึงวันที่สาม ดูเถิด มี ชายคนหนึ่งมาจากค่ายของซาอูล สวมเสื้อผ้าขาด และมีผงคลีดิน อยู่บน ศีรษะ เมื่อเขามาถึงดาวิดก็ซบหน้าลงถึงดิน กระทำความเคารพ 3 ดาวิด ถามเขาว่า "เจ้ามาจากไหน" เขาตอบท่านว่า "ข้าพเจ้ารอดมาจากค่าย อิสราเอล" 4 ดาวิดถามเขาว่า "ขอบอกฉันหน่อยว่า เหตุการณ์เป็นไปอย่าง ไรบ้าง" และเขาตอบว่า "ประชาชนหนีจากการรบไปแล้ว มีคนล้มและถึงความ ตายมากมาย ซาอูลและโยนาธานราชโอรสก็สิ้นพระชนม์ด้วย" 5 ดาวิดจึง ถามชายที่มาบอกนั้นว่า "เจ้าทราบได้อย่างไรว่า ซาอูลและโยนาธานราช อรสของท่านสิ้นพระชนม์" 6 ชายหนุ่มผู้ที่บอกท่านนั้นจึงตอบว่า "บังเอิญ ้าพเจ้ามาที่ภูเขากิลโบอา เห็นซาอูลทรงยืนพิงหอกของ พระองค์อยู่และนี่ น่ะรถรบและทหารม้าก็ใกล้พระองค์เข้ามา 7 เมื่อพระองค์ทรงเหลียวมา แล ห็นข้าพเจ้าพระองค์ตรัสเรียกข้าพเจ้า และข้าพเจ้าทูลตอบว่า 'ข้าพระบาท อยู่ที่นี่พ่ะย่ะค่ะ' 8 พระองค์ตรัสถามข้าพเจ้าว่า 'เจ้าคือใคร' ข้าพเจ้าทูลตอบ พระองค์ว่า 'ข้าพระบาทเป็นคนอามาเลข' 9 พระองค์ตรัสสั่งข้าพเจ้าว่า 'จงมา ืนข้างเราและฆ่าเราเสีย เราระเหี่ยใจมาก แต่ชีวิตของเรายังอยู่' 10 ข้าพเจ้า ึงเข้าไปยืนข้างพระองค์และประหารพระองค์เสีย เพราะข้าพเจ้าแน่ใจว่าเมื่อ พระองค์ ทรงล้มแล้วก็จะไม่ดำรงพระชนม์ได้อีก และข้าพเจ้าก็ถอดมงกุฎซึ่ง ยู่บนพระเศียรและกำไลซึ่งอยู่ที่พระกร และข้าพเจ้าก็นำมาที่นี่ เพื่อมอบแด่ เจ้านายของข้าพเจ้า"
ดาวิดและคนของท่านต่างยินดีที่ได้ครอบครัวและทรัพย์สินกลับคืนมาจากพวกอามาเลข แต่ชัย ชนะดูเหมือนมีหมอกของความกังวลต่อเหตุการณ์ในอิสราเอลปกคลุมอยู่ เมื่อดาวิดจากอาคีชกลับ มาศิกลากนั้น พวกฟิลิสเตียกำลังรวมพลครั้งยิ่งใหญ่เพื่อไปต่อสู้อิสราเอล ดาวิดรู้ดีว่ากองทัพนี้น่า เกรงขามเพียงใด เพราะท่านและคนของท่านเดินอยูท้ายขบวนตรวจพลด้วย เมื่อจากพวกฟิลิส เตียมา ดาวิดยังกังวลถึงซาอูลและโยนาธานเพื่อนรักเป็นอันมาก ยังไม่นับพี่นอ้งร่วมชาติ อิสราเอล อีก แต่เมื่อท่านต้องติดตามพวกปล้นอามาเลขไป ท่านไม่มีเวลาคิดถึงเรื่องนี้มากนัก แต่หลังจากที่ ท่านและคนของท่านมาถึงศิกลากได้สามวัน ท่านคงเริ่มนึกถึงและเป็นห่วงเหตุการณ์ที่กำลังคุกรุ่น อยู่ในอิสราเอล
หลังจากที่ถึงศิกลากได้สามวัน ชายหนุ่มผู้หนึ่งรีบเร่งมาหาดาวิดที่ค่าย ด้วยอาการหมดแรงเหนื่อย อ่อน เพราะวิ่งมาเป็นเวลาหลายวัน เขาคงวิ่งมาเป็นระยะทางเกือบ 200 กม.เพื่อมาพบดาวิดที่ ศิกลาก สภาพของเขาบอกได้เป็นอย่างดี เสื้อผ้าขาดวิ่นและมีผงคลีดินอยู่บนศีรษะ ซึ่งเป็นเครื่อง หมายของการไว้ทุกข์ คงไม่ใช่ข่าวดีแน่ เมื่อมาถึงดาวิด เขาล้มลงซบหน้าถึงดิน เหมือนจะแสดง ความภักดี เหมือนกำลังเข้าเฝ้าพระมหากษัตริย์
ดาวิดสอบถามในทันที แรกเลยว่าชายผู้นี้มาจากไหน ดาวิดคงทำใจแล้ว แต่ท่านถามเพื่อจะได้รู้ว่า ชายคนนี้มีข่าวเรื่องซาอูลหรือไม่ เขาตอบทันทีว่ามาจากค่ายของซาอูล 1 อันที่จริงคำพูดของเขา ก็มีลางบอกเหตุ เขาบอกว่าเขารอด 2 มาจากค่ายของซาอูล ฟังดูไม่ค่อยดี ดาวิดจึงถามต่อถึงเรื่อง สงคราม หนุ่มคนนี้เปิดเผยต่อไป ตรงตามกับที่ดาวิดคาดไว้ อิสราเอลพ่ายแพ้ — ยับเยิน ทหาร อิสราเอลตายลงมากมาย ที่เหลือหนีแตกกระจายไป ในท่ามกลางคนที่ตายลง รวมซาอูลและ โยนาธานบุตรชายด้วย 3
ดาวิดไม่อยากจะเชื่อจนกว่าจะเห็นหลักฐาน ชายคนนี้รู้ได้อย่างไรว่าซาอูลและโยนาธานตายแล้ว ? เขาจึงเล่าต่อ ผมคิดว่าตอนแรกเขาคงไม่ตั้งใจจะเปิดเผยให้ดาวิดรู้มากนัก แต่จากรายละเอียดที่ เล่ามาผมเชื่อว่าเขาได้พบซาอูลจริง และเป็นผู้ลงมือจบชีวิตของซาอูลด้วยตัวเอง เมื่อเอาข้อเท็จ จริงจากบทที่แล้วมารวมกัน (1ซามูเอล 31) เราคงพอมองเห็นภาพชัดเจนขึ้น
หนุ่มคนนี้คงเผอิญไปอยู่บนภูเขากิลโบอาห์ตอนที่พบซาอูล ไม่มีการเล่าว่าเขาขึ้นไปทำไม แต่ถ้า จะให้ผมเดา ผมคิดว่าคงไม่ได้ไปช่วยปกป้องซาอูลจากพวกฟิลิสเตียหรอกครับ แต่คงกะไปปล้น เอาของในที่กำบังของซาอูลก่อนที่พวกฟิลิสเตียจะมาถึง ที่แน่ๆ คงไม่ได้คิดจะไปช่วยชีวิตซาอูล แต่กลับไปพบว่าซาอูลยังมีชีวิตอยู่ 4 ซาอูลคงล้มกองอยู่บนพื้น เพราะในพระคัมภีร์กล่าวว่า "ทรง ล้มแล้ว" (1:10) ร่างของซาอูลพรุนไปด้วยลูกธนูของฟิลิสเตีย แถมยังมีดาบของตัวเองปักอยู่ แต่ว่ายังไม่สิ้นชีวิต ดูเหมือนท่านล้มพิงหอกของตนเองไว้ เพื่อบรรเทาความเจ็บปวดจากบาดแผล ของธนูและดาบ
เมื่อมองไปรอบๆ ซาอูลเห็นชายคนนี้ขึ้นมา จึงพยายามกู้สถานการณ์ ท่านเรียก และเขาตอบว่า "ข้าพระบาทอยู่ที่นี่พ่ะย่ะค่ะ" ท่านถามว่าเขาคือใคร เพราะเกรงว่าจะเป็นพวกฟิลิสเตีย เพราะ พวกนั้นกำลังรุกเข้ามา จวนเจียนเต็มทน (ข้อ 6) ชายคนนั้นเรียนซาอูลว่าเป็นคนอามาเลข ซาอูล จึงร้องขอให้ช่วยท่านพ้นทุกข์ไปเสียที
ผมเป็นหนี้บุญคุณในมุมมองของเพื่อนรุ่นพี่คนหนึ่ง ฮิวจ์ เบลวินส์ เมื่อมาถึงตรงนี้ฮิวจ์ชี้ให้เห็นว่า ผู้เขียนพยายามเน้นให้เห็นข้อเท็จจริงว่าชายคนนี้เป็นคนอามาเลข ซาอูลดูจะกล้าและมั่นใจให้ชาย คนนี้เป็นผู้ลงดาบ เพราะเป็นคนอามาเลข ถึงแม้คนถือเครื่องอาวุธปฏิเสธ คนอามาเลขคงจะไม่ กล้าเอาไปพูดต่อว่าเป็นผู้ฆ่ากษัตริย์ เพราะคงไม่มีใครเชื่อ ที่จริงเมื่อนึกถึงตอนที่ซาอูลสั่งมหาด เล็กให้ฆ่าอาหิเมเลขและพวกปุโรหิต พวกมหาดเล็กปฏิเสธ ซาอูลจึง หันไปใช้โดเอกคนเอโดม ผู้เต็มใจทำให้แทน (ดู 1 ซามูเอล 22:16-19) ดังนั้นถึงแม้คนอิสราเอลจะไม่ยอมฆ่าซาอูล ท่าน มั่นใจว่าคนอามาเลขจะทำแน่
ซาอูลบอกให้ชายคนนี้ให้ "มายืนข้างเรา" และฆ่าเราเสีย ฉบับ NASB ใช้คำพูดธรรมดาๆว่า : "โปรดมายืนข้างเราและฆ่าเราเสีย" (ข้อ 9) ฉบับ KJ V ใช้คำพูดตรงๆว่า "เราขอร้องให้ท่าน มายืนเหนือเรา และฆ่าเรา......" ชายคนนั้นจึงตอบว่า "ข้าพเจ้าจึงเข้าไปยืนข้างพระองค์ และ ประหารพระองค์เสีย" (ข้อ 10 KJV) ประเด็นที่ผมอยากจะเน้นก็คือชายคนนี้ "คงต้องอยู่ที่นั่น และเป็นผู้ลงมือ" เพราะคำพูดของเขาเกี่ยวกับการตายของซาอูลนั้นชัดเจน ซาอูลล้มลงทีพื้น มี หอกค้ำอยู่ (ไม่ใช่ดาบ) ซาอูลร้องขอให้ชายคนนี้มายืนข้างๆ เพราะท่านอยู่บนพื้น และสิ่งที่ชาย คนนี้ต้องทำคือลงมือฆ่า ชายอามาเลขผู้นี้ยอมทำตาม ฆ่าท่านเสีย เราไม่รู้ว่าเขาใช้อาวุธใดหรือ วิธีใด ที่แปลกคือซาอูลนั้นไกล้ตายเต็มทนแล้ว "การฆาตกรรม" นี้ (ถึงแม้จะเรียกว่าทำด้วยความ สงสารก็ตาม) พรากชีวิตที่เหลืออยู่ของซาอูลไปเพียงสองสามนาที ถึงอย่างไรก็ตาม ต้องเรียกว่า เป็นการฆาตกรรม
คนอามาเลขสารภาพว่าเป็นผู้ฆ่าซาอูล พร้อมทั้งให้เหตุผลการกระทำในข้อ 10 เขายืนอยู่ข้างท่าน และฆ่าท่าน เป็นเพราะเขาทราบดีว่าซาอูลจะไม่มีวันลุกยืนได้อีก ถึงอย่างไรก็ตาม ท่านคงต้องตาย ที่ตรงนั้นอยู่ดี เขาก็ได้ทำในสิ่งที่ซาอูลร้องขอ ซาอูลต้องการหลุดพ้นจากความทรมาณนี้ และชาย คนนี้ช่วยให้เกิดขึ้น เรื่องนี้เรียกว่าเป็นความเมตตาสงสารหรือเปล่า? เขาคิดว่าเขาน่าจะได้รางวัล ตอบแทน แต่เขากลับได้มากเกินกว่าจะนึกถึง เขาทำตามความต้องการของซาอูล และทำในสิ่งที่ คิดว่าดาวิดพอใจ เขาเชื่อว่าเขาไม่มี ความผิด เพราะทำในสิ่งที่ทั้งซาอูลและดาวิดต้องการ เขา หยิบเอามงกุฎและกำไลมาจากร่างของซาอูล รีบนำมาให้ดาวิด "เจ้านายของข้าพเจ้า" (ข้อ 10) และนี่เป็นเวลาเหมาะที่ดาวิดจะได้ขึ้นปกครองแทนในฐานะกษัตริย์ มิใช่หรือ?
ก่อนที่เราจะไปดูคำตอบสนองของดาวิดที่มีต่อคนอามาเลข ให้เรามาสรุปเหตุการณ์สำคัญบางประ การ ที่น่าจะเป็นประโยชน์สำหรับพวกเรา :
(1) ผู้สื่อสารคนนี้กระหายที่จะเดินทางมาพบดาวิดเพื่อแจ้งข่าวการตายของซาอูลและโยนาธาน เหมือนกับอาหิมาอัสใน 2 ซามูเอล 18:19-23 ผู้รีบเร่งไปแจ้งข่าวแก่ดาวิด ด้วยหวังว่าดาวิดจะพอ ใจ (ดู 2 ซามูเอล 4:9-10) และเหมือนกับอาหิมาอัส ผู้ไม่อาจเข้าใจว่าข่าวเช่นนี้นำมาซึ่งความ ทุกข์แสนสาหัสมาสู่ดาวิด
(2) ดูเหมือนเขาคาดหวังว่าจะได้รับรางวัลตอบแทนจากดาวิด
(3) เขารู้เป็นอย่างดีว่าจะพบดาวิดได้ที่ไหน
(4) ดาวิดสอบถามคนอามาเลขอย่างละเอียด และดูจะได้ข้อมูลมากกว่าที่คนๆนี้ตั้งใจจะบอก นอก จากจะรู้เรื่องการตายของซาอูลและเขามีส่วนเกี่ยวข้องอย่างไรแล้ว ชายคนนี้บอกทุกสิ่งกับดาวิด
(5) ด้วยเหตุผลบางประการ ชายคนนี้พูดถึงการตายของโยนาธาน แต่ไม่ได้บอกว่าบุตรที่เหลือของ ซาอูลก็ตายในสนามรบด้วย
(6) ผู้สื่อสารคนนี้คิดเอาเองว่าซาอูลและโยนาธานคือศัตรูของดาวิด เป็นตัวการขัดขวางการขึ้น ครองราชย์ ดูเหมือนเขาคิดว่าการฆ่าซาอูลก็เท่ากับกำจัดอุปสรรคให้ดาวิด และเชื่อว่าตนเองกำลัง ทำในสิ่งที่ดาวิดพอใจ (ดู 2 ซามูเอล 4:9-10 อีกครั้ง)
(7) เนื้อหาพระธรรมตอนนี้ดูจะย้ำว่าคนๆนี้เป็นคนอามาเลข ซึ่งไม่ใช่เรื่องบังเอิญ ซาอูลเคยฆ่าพวก อามาเลขมาก่อน (ดู 1 ซามูเอล 15) และพวกที่มาปล้นศิกลาก ลักพาครอบครัวดาวิดและคนของ ท่านไป ก็เป็นคนอามาเลข เวลาผ่านแค่ไปสามวัน ที่ดาวิดกลับจากการไปตามล่าและฆ่าชาวอามา เลขมา (2 ซามูเอล 1:1)
(8) ผู้สื่อสารคนนี้รู้ว่าดาวิดได้รับการเลือกให้เป็น (หรือหวังว่าจะได้เป็น) กษัตริย์องค์ต่อไปของ อิสราเอล เขานำมงกุฎและกำไลจากร่างของซาอูลมามอบให้ดาวิดในฐานะเป็นกษัตริย์
(9) ชายคนนี้ยอมรับอย่างภาคภูมิใจว่าเป็นคนฆ่าซาอูล ผู้ที่พระเจ้าเจิมไว้
11แล้วดาวิดฉีกเสื้อของท่าน และคนที่อยู่กับท่านก็กระทำเช่น เดียวกัน 12 และเขาทั้งหลายไว้ทุกข์และร้องไห้ และอดอาหาร อยู่จนเวลาเย็น ให้ซาอูลและโยนาธานราชโอรส และประชากร ของพระเจ้าและพงศ์พันธุ์อิสราเอล เพราะเขา ทั้งหลายต้องล้ม ตายด้วยดาบ 13 และดาวิดถามคนหนุ่มที่บอกท่านว่า "เจ้ามา จากไหน" เขาตอบว่า "ข้าพเจ้าเป็นบุตรของคนต่างด้าว ผู้เป็นคน อามาเลข" 14 ดาวิดถามเขาว่า "ทำไมเจ้ามิได้เกรงกลัวในการที่ ยื่นมือออกทำลายผู้ที่พระเจ้าทรงเจิมไว้" 15 แล้วดาวิดก็เรียกคน หนึ่งในหมู่ชายหนุ่มเข้ามา บอกว่า "ไปซิฆ่าเขาเสีย" และเขาก็ฆ่า ชายคนนั้นตาย 16 ดาวิดกล่าวแก่ชายนั้นว่า "ที่เจ้าต้องตายนั้นเจ้า เองก็รับผิดชอบ เพราะปากของเจ้าเป็นพยานปรักปรำตัวเจ้าเองว่า ข้าพเจ้าได้ฆ่าผู้ที่พระเจ้าทรงเจิมไว้'"
เมื่อผมอ่านพระธรรม 2 ซามูเอล ผมอดนึกถึงคำถามที่เราชอบพูดกันเล่นๆว่า "อยากฟังข่าวดีหรือ ข่าวร้ายก่อน" ผมว่าผู้ส่งข่าวคนนี้กำลังคิดในเชิงรายงาน "ข่าวดี ข่าวร้าย" เมื่อมาหาดาวิด ผมเชื่อ ว่าเขาคงอยากจะมาพบดาวิดด้วยคำพูดทำนองนี้ :
"ดาวิดครับ ผมมีข่าวร้ายและมีข่าวดีจะบอก ข่าวร้ายก็คืออิสราเอลพ่ายแพ้แก่ชาว ฟิลิสเตีย ผู้คนถูกฆ่าตายมากมาย และที่เหลือได้หนีกระจัดกระจายไปจากประเทศ ชาติบ้านเมือง ข่าวดีก็คือศัตรูของคุณ ซาอูลตายไปแล้ว บุตรชายโยนาธานก็ตาย ด้วย ซึ่งก็แปลว่าตอนนี้คุณเอามงกุฎไปสวม แล้วขึ้นครองเป็นกษัตริย์องค์ต่อไป ของอิสราเอลได้เลย"
สำหรับดาวิด ทั้งหมดเป็นข่าวร้าย ท่านเป็นทุกข์โศกเศร้าสาหัสที่อิสราเอลพ่ายแพ้ และซาอูล สิ้นชีวิตลง ใจของท่านแทบสลายเมื่อเพื่อนรักที่สุดโยนาธานตายลงด้วย ผลดีใดๆที่ท่านจะได้ รับจากเหตุการนี้แทบไม่มีความหมายใดๆ
มีคำกล่าวในพระธรรมปัญญาจารย์ว่า "มีวาระไว้ทุกข์" (ปัญญาจารย์ 3:4ข) ดาวิดก็มีวาระแห่ง ความทุกข์เมื่อได้ฟังคำบอกเล่าของคนอามาเลข คนของท่านก็เช่นกัน เราคงพอจำได้ว่ามีบางคน ในพวกนี้ต้องการฆ่าซาอูล แต่ทำไม่ได้ แต่บัดนี้เมื่อมีคนลงมือทำให้ ก็น่าจะเป็นวาระแห่งความยินดี แต่ไม่ใช่ เมื่อมีดาวิดอยู่ด้วย! ดาวิดฉีกเสื้อผ้าตนเอง และคนอื่นๆเริ่มทำตาม พวกเขาไว้ทุกข์และ ร้องไห้ อดอาหารจนถึงเวลาเย็น พวกเขาร้องไห้ให้กับชนชาติอิสราเอล ให้กษัตริย์ซาอูล และให้่ โยนาธาน
ตอนนี้มีเรื่องอื่นอีกที่ต้องจัดการ เป็นเรื่องที่รอให้ดาวิดและคนของท่านไว้ทุกข์ให้แก่ชนชาติ อิสราเอล แก่ซาอูลและแก่โยนาธานจบสิ้นก่อน ชายคนนี้สารภาพว่าเป็นคนฆ่าซาอูล ซึ่งสำหรับ เขาไม่น่าเป็นความผิด แต่กลับเป็นเรื่องร้ายแรงที่สุดสำหรับดาวิด มีกี่ครั้งที่ท่านปฏิเสธไม่ยอมฆ่า ซาอูล ถึงแม้ท่านอาจอ้างว่าเป็นการป้องกันตัวก็ตาม? แต่แล้วเหตุใดคนอามาเลขคนนี้บังอาจ กระทำ ?
ชายชาวอามาเลขคนนี้หารู้ไม่ว่าตนเองกำลังตกอยู่ในสถานการณ์แบบใด ทำให้ผมนึกถึงเรื่องที่ ลูกสาวคนโตของผมชอบเล่าตอนสมัยเด็กๆ เรื่องกบปากกว้าง นางกบชอบไปซักถามแม่ของสัตว์ ชนิดอื่นๆว่าเลี้ยงลูกด้วยอะไร เธอจะถามจากตัวหนึ่งแล้วต่อไปที่ตัวอื่นๆ ในที่สุด เธอก็มาเจองู เธอถามว่า "คุณแม่งูคะ คุณเลี้ยงลูกด้วยอะไร?" (ตรงนี้ เป็นตอนที่ลูกสาวผมชอบที่สุด เพราะเธอ จะอ้าปากกว้างและทำเสียงล้อเลียน) แม่งูตอบ ว่า "ชั้นเลี้ยงลูกด้วยกบปากกว้าง" แล้วก็มีเสียง ลอดผ่านปากแม่กบที่หุบลงมาจนเท่ารูเข็มว่า "ยังงั้นเหรอ คะ?"
นางกบหารู้ไม่ว่ากำลังหาเรื่องเดือดร้อนใส่ตัว เช่นเดียวกับผู้ส่งข่าวอามาเลขผู้นี้ เขาเปิดเผยตัว ชัดเจนว่าเป็นคนอามาเลข ไม่รู้ตัวว่าพูดอะไรออกไป ดูจะโม้ด้วยซ้ำไปว่าเป็นคนฆ่าซาอูล ไม่มี ลางสักนิดว่ามีอันตรายใหญ่หลวงรออยู่ แถมยังพูดเรื่องการตายของโยนาธานผู้เป็นเพื่อนรักที่สุด ของดาวิดด้วย ชายคนนี้กำลังแขวนคอตัวเองตาย เขาไม่รู้ตัวสักนิดว่ามันสายเกินแก้แล้ว
คนอามาเลขคนนี้พูดทุกสิ่งที่ดาวิดอยากรู้ เขาเหมือนตายไปแล้ว แต่ดาวิดก็ยังถามว่าเขามาจาก ไหนอีกเป็นครั้งที่สอง ผมต้องยอมรับว่าตอนแรกก็งงเหมือนกันว่าทำไมดาวิด ถามซ้ำถึงสองหน แล้วผมก็มองเห็นประเด็น เราเองหลายๆครั้งก็ชอบถามซ้ำ ไม่ใช่เป็นเพราะไม่ได้ยินคำตอบ แต่เป็น เพราะคำตอบทำให้เราตกใจจนลืม ครั้งแรกที่ดาวิดถามชายคนนี้ เขาตอบว่าเขาหนีรอดมาจากค่าย ของซาอูล (ข้อ 3) และเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบนภูเขากิลโบอาห์ เล่าด้วยว่าบอกซาอูลไปว่าเป็น คนอามาเลข (ข้อ 8) ในขณะ่ไว้ทุกข์ ดาวิดคงพูดกับตัวเองว่า "แล้วคนอามาเลขไปทำอะไรใน ค่ายของกษัตริย์อิสราเอล ก็ในเมื่ออามาเลขเป็นศัตรูของอิสราเอล 5 ผู้ส่งข่าวคนนี้เริ่มไหวตัวเมื่อ ดาวิดซักถาม เขาจึงอธิบายเสริมว่า เขาเป็นบุตรของคนต่างด้าว ซึ่งเป็นชาวอามาเลข
แต่คำตอบของเขาสายเกินแก้ ไม่ว่าจะอธิบายอย่างไร เขาก็ยังตกเป็นผู้ "ที่่ยื่นมือออกทำลายผู้ที่ พระเจ้าๆทรงเจิมไว้" อยู่ดี แถมยังเอามาคุยอวดอีก เขาไม่มีข้อแก้ตัวใด คำพูดมันฟ้องอยู่ ดาวิด สั่งให้นำเขาไปฆ่า หนังสือคู่มือศึกษาพระคัมภีร์มีข้อคิดที่น่าสนใจสำหรับตอนนี้ว่า :
เป็นเรื่องแปลกที่ซาอูลสูญเสียราชอาณาจักรไปเพราะไม่ยอมกำจัดคนอามาเลข ให้หมดสิ้น แต่ตอนนี้คนอามาเลขต้องตายลงเพราะอ้างว่าตนเองเป็นผู้ฆ่าซาอูล 6
เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ชัดเจนและเข้าใจได้ง่ายสำหรับดาวิด แต่เป็นคนละแบบกับที่ชายคนนี้เข้าใจ ชายคนนี้ เข้าใจว่าซาอูลเป็นศัตรูของดาวิด เป็นอุปสรรคในการขึ้นครองบัลลังก์ เขาเข้าใจว่า ความตายของซาอูลเป็นข่าวดีสำหรับดาวิด เขาเห็นว่าการฆ่าซาอูลก็เท่ากับ"ช่วยให้ท่านพ้นทุกข์" เหมือนกับยิงม้าขาหักทิ้ง ดาวิดมองลึกไปกว่านั้น : เขาฆ่าผู้ที่พระเจ้าเจิมไว้ ถึงแม้ว่ายังไงซาอูล ต้องตายอยู่ดี —ไม่ว่าท่านจะเป็นผู้ที่ทำให้ดาวิดตกระกำลำบาก ไม่ว่าเพราะซาอูลกำลังทนทุกข์ ทรมาณอยู่ ไม่ว่าเป็นเพราะซาอูลต้องการตาย หรือซาอูลมีเวลาเหลืออยู่เพียงเล็กน้อย ไม่ว่าพวก ฟิลิสเตียจะมาถึงในไม่ช้า ชายคนนี้ก็ฆ่าผู้ที่พระเจ้าเจิมไว้อยู่ดี และถึงเวลาแล้วที่ดาวิดต้องฆ่าเขา
17 ดาวิดก็ครวญคร่ำตามคำคร่ำครวญต่อไปนี้ เพื่อซาอูลและโยนาธานราชโอรส 18 และท่านกล่าวว่า ควรจะสอนคำคร่ำครวญนี้แก่คนยูดาห์ ดูเถิด คำคร่ำครวญ นั้นบันทึกไว้ในหนังสือยาชารว่า
19 "โอ อิสราเอลเอ๋ย ศักดิ์ศรีของท่านถูกประหารเสียแล้วบนที่สูงของท่าน วีรบุรุษ ก็ล้มตายเสียแล้วหนอ 20 อย่าบอกเรื่องนี้ในเมืองกัท อย่าประกาศเรื่องนี้ในถนนเมือง เอชเคโลน เกรง ว่าบุตรีคนฟีลิสเตียจะร่าเริง เกรงว่าบุตรีของผู้ที่มิได้เข้าสุหนัตจะลิง โลด 21 "เทือกเขากิลโบอาเอ๋ย ขออย่ามีน้ำค้างหรือฝนบนเจ้า หรือทุ่งนาที่ให้ของ ถวาย เพราะว่าที่นั่นโล่ของวีรบุรุษมลทินแล้ว โล่ของซาอูลซึ่งมิได้เจิมไว้ด้วยน้ำมัน 22 "คันธนู ของโยนาธานมิได้หันกลับมาจากโลหิตของผู้ที่ถูกฆ่าจากไขมันของผู้ที่มี กำลัง และดาบของซาอูลก็มิได้กลับมาเปล่า 23 "ซาอูลและโยนาธานเอ๋ย ผู้เป็นที่รัก และน่ารัก จะอยู่หรือมรณาทั้งสองไม่แยกจากกัน ทั้งสองก็เร็วกว่านกอินทรี ทั้งสอง แข็งแรงกว่าสิงห์ 24 "บุตรีของอิสราเอลเอ๋ย จงร้องไห้เพื่อซาอูล ผู้ทรงประดับเจ้า ย่างโอ่อ่าด้วยผ้าสีแดงเข้ม และผู้ทรงประดับอาภรณ์ทองคำเหนือเครื่องแต่งกายของ เจ้า 25 วีรบุรุษก็ล้มลงเสียแล้วหนอ ท่ามกลางศึกสงคราม "โยนาธานก็ถูกสังหารอยู่บน ที่สูงของอิสราเอล 26 โอ พี่โยนาธาน ข้าพเจ้าเป็นทุกข์เพื่อท่าน ท่านเป็นที่ชื่นใจของ ข้าพเจ้ามาก ความรักของท่านที่มีต่อข้าพเจ้านั้นประหลาดเหลือ ยิ่งกว่าความรักของสตรี 27 วีรบุรุษก็ล้มลงเสียแล้วหนอและเครื่องยุทโธปกรณ์ก็พินาศไป"
ยอมรับเถอะครับว่าเป็นเรื่องยากที่จะรู้ว่าควรพูดหรือไม่ควรพูดเรื่่องใดในงานศพ โดยเฉพาะเมื่อคุณ เป็นคนที่จะต้องเทศนาและประกอบพิธี ผมเคยได้ยินเรื่ืองโกหกมากมายในงานศพ บางครั้งก็มา จากตัวนักเทศน์เอง เคยได้ยินเรื่องผิดๆที่เกี่ยวกับพระเจ้า (เช่น "นี่ไม่ใช่ความผิดของพระเจ้า สิ่งที่ เกิดขึ้นเกินกำลังหรืออยู่เหนือความควบคุมของพระองค์") และเรื่องโกหกเกี่ยวกับตัวผู้ตาย โดย เฉพาะเรื่องที่พูดถึงผู้ตายว่าเป็นคนดีไม่มีที่ติ ผมเคยได้ยินนักเทศน์คนหนึ่งพูดอย่างตรงไปตรงมา ในงานศพของผู้ตายที่เป็นคนร้ายกาจคนหนึ่ง ในระหว่างประกอบพิธี ท่านมองตรงไปที่ภรรยาม่าย ของผู้ตายกล่าวว่า "มิลลี่ เธอก็รู้ว่าราล์ฟเป็นคนแย่ขนาดไหน ต่อ ไปถ้าจะหาสามีก็ขอให้หาที่มันดี กว่านี้" ผมเรียกว่านี่คือการพูดอย่างตรงไปตรงมา
ถึงแม้ผมเคยประกอบพิธีศพมาหลายต่อหลายครั้ง (บางครั้งก็ไม่ใช่เรื่องง่าย) ผมคิดว่าที่ยากที่สุด น่าจะเป็นพิธีศพของซาอูล ตัวอย่างเช่น ถ้าคุณทำตามคำพูดที่ว่า "ถ้าไม่มีเรื่องดีจะพูดเกี่ยวกับ บางคน ก็ไม่พูดเสียจะดีกว่า" แล้วคุณจะทำอย่างไร? ยืนไว้อาลัย 45 นาทีให้กับซาอูลหรือ? ในพระ ธรรมตอนนี้ ดาวิดเป็นผู้ประกอบพิธีศพให้กับซาอูล หรืออย่างน้อยก็เป็นเจ้าภาพร่วม และแน่นอน คงจะไม่ได้เป็นแบบที่เราคาดไว้ ผมคิดว่าน่า จะพูดได้ด้วยซ้ำไปว่าชายชาวอามาเลขก็นึกไม่ถึง เหมือนกัน เนื่องจะไม่มีเวลาหรือเนื้อที่พอที่จะศึกษารายละเอียดของบทเพลงค่ำครวญของดาวิด (หรือเพลงสวดศพ) ให้เรามาดูภาพรวมกันก่อน
เพลงคร่ำครวญหรือเพลงศพนี้คือบทเพลงของดาวิด เป็นการสำแดงถึงความรักของท่าน พ่อของผมเป็นครูที่ปลดเกษียรแล้ว ท่านใช้เวลาหลายปีมานี้เขียนบทกลอน ท่านเขียนกลอน สำหรับเพื่อนๆหลังเกษียรของท่าน เขียนให้ลูกๆแต่ละคนในวันเกิด เขียนจนกระทั่งมีหลานเกิด ตามมามากมาย ท่านก็ยังเขียนให้หลานๆเหล่านี้ในวันเกิดด้วย ผมรู้ดีว่าบริษัทฮอลมาร์คพูดถึงบัตร อวยพรของเขาว่าอย่างไร แต่บทกลอนของคุณพ่อมีความหมายมากกว่าบัตรอวยพรของฮอลมาร์ค หลายเท่าตัว เพราะเป็นผลิตผลของความรัก ผมรู้ว่าท่านใช้เวลาพอควรคิดถึงแต่ละคนที่ท่าน เขียนกลอนให้ ผมรู้ดีว่านี่เป็นวิธีที่ท่านบอกว่าท่านรักเรามากเพียงใด และบทเพลงคร่ำครวญของ ดาวิดก็เช่นเดียวกัน ดาวิดกำลังสำแดงความรักของท่านที่มีต่อซาอูลและโยนาธาน ด้วยท่าทีที่ดี ที่สุด
บทเพลงคร่ำครวญของดาวิดเป็นบทเพลงที่อาลัยถึงการจากไปของซาอูลและโยนาธาน ดาวิดคร่ำครวญถึงความพ่ายแพ้ของอิสราเอล การตายของพี่น้องร่วมชาติ แต่ก็ยังไม่ใช่จุดสำคัญ ของบทเพลงนี้ บทเพลงของดาวิดสำแดงถึงความอาลัยอย่างสุดซึ้ง ต่อการตายของซาอูลและ โยนาธาน ชายชาวอามาเลขคิดว่าข่าวการตายของซาอูลและโยนาธานจะเป็นข่าวดีสำหรับดาวิด เขาคิดผิด บทเพลงนี้บอกเราว่าดาวิดรู้สึกสูญเสียและโศกเศร้าเป็นอันมาก ดาวิดเสียใจอย่างแท้ จริงต่อข่าวที่ท่านได้รับ
บทเพลงคร่ำครวญของดาวิดไม่มีการกล่าวถึงซาอูลในแง่ร้าย เมื่อดาวิดคร่ำครวญถึงการตาย ของซาอูล ไม่มีการพูดถึงเรื่องร้ายๆที่ซาอูลเคยทำต่อท่านและต่อคนอื่นสักนิดเดียว ถ้าท่านคิดจะ ทำ คงทำได้ง่ายเพราะมีรายละเอียดมากมาย หรือท่านอาจอ้างว่าพระเจ้าได้แก้แค้นแทนท่านแล้ว แต่ดาวิดไม่ทำ
บทเพลงคร่ำครวญของดาวิดให้เกียรติทั้งซาอูลและโยนาธานว่าเป็นวีรบุรุษที่ล้มลง ดาวิด นอกจากจะไม่พูดถึงผู้ตายในแง่ร้ายแล้ว ท่านให้เกียรติซาอูลและโยนาธานว่าเป็นวีรบุรุษในสงคราม สมควรได้รับการยกย่อง
บทเพลงคร่ำครวญของดาวิดเจาะจงไปที่ซาอูลก่อน และจบลงด้วยโยนาธาน ในขณะที่ ดาวิดมีเรื่องดีมากมายที่จะพูดถึงกษัตริย์ซาอูล แต่ในบทเพลงของท่านบ่งชัดเจนว่าท่านมีความ รักและผูกพันอยู่กับ ยนาธาน 7 สิ่งที่ทั้งคู่เคยกระทำด้วยกันเป็นส่วนตัวในอดีต เมื่อครั้งโยนาธาน ยังมีชีวิตอยู่ ดาวิดนำมาเปิดเผยให้รู้ สิ่งนี้คือสิ่งที่ชาวอามาเลขพลาดไป เขาคิดว่าโยนาธานคือ ศัตรูของดาวิด ไม่ใช่เพื่อนรัก
บทเพลงคร่ำครวญของดาวิดเป็นการเปิดเผยและสำแดงข้อผูกมัดจากพันธสัญญาที่ดาวิดและโยนาธานเคยทำร่วมกัน เรารู้เรื่องพันธสัญญาที่ทั้งสองมีต่อกันมาก่อนแล้ว (1 ซามูเอล 18) มีการเริ่มต้น (บทที่ 19:1-7) มีการเพิ่มเติมและยืนยันความตั้งใจ (บทที่ 20 และ 23) บทเพลงคร่ำ ครวญนี้ เป็นดังบทเพลงให้พรให้แก่โยนาธานและลูกหลานของท่าน โดยยกย่องท่านให้เป็นวีรบุรุษ ที่สมควรแก่การจดจำ
บทเพลงคร่ำครวญของดาวิดเขียนให้ผู้คนมากมายได้รับรู้ มากกว่าตัวท่านและคน 600 ที่อยู่กับท่าน บทเพลงนี้ได้ถูกบันทึกไว้ใน "หนังสือแห่งยาชาร์" เราเห็นมีการพูดถึง "หนังสือ" เล่มนี้ในพระธรรม โยชูวา :
12 แล้วโยชูวาก็กราบทูลพระเจ้าในวันที่พระเจ้าทรงมอบคนอาโมไรต์ แก่คนอิสราเอลนั้น และท่านได้กล่าวต่อหน้าคนอิสราเอลว่า "ดวงอาทิตย์ เอ๋ย จงหยุดนิ่งตรงเมืองกิเบโอน และดวงจันทร์เอ๋ย จงหยุดอยู่ตรงหุบเขา อัยยาโลน" 13 ดวงอาทิตย์ก็หยุดนิ่ง และดวงจันทร์ก็ตั้งเฉยอยู่ จนประชา ชาติได้แก้แค้นศัตรูของเขาเสร็จ เรื่องนี้มิได้จารึกไว้ในหนังสือยาชาร์ดอก หรือ ดวงอาทิตย์หยุดนิ่งอยู่กลางท้องฟ้า หาได้รีบตกไปตามเวลาประมาณ วันหนึ่งไม่ 14 วันที่พระเจ้าทรงสดับฟังเสียงของมนุษย์อย่างกับวันนั้น ทั้ง ในสมัยก่อนหรือในสมัยต่อมา ไม่มีอีกแล้ว เพราะว่าพระเจ้าทรงต่อสู้เพื่อ อิสราเอล
(โยชูวา 10:12-14)
เนื้อหาในพระธรรมโยชูวาตอนนี้ เราอ่านถึงชัยชนะที่พระเจ้าประทานให้แก่คนอิสราเอล โดยให้ดวง อาทิตย์หยุดอยู่กับที่ เหตุการณ์นี้ยิ่งใหญ่และถูกจดจำไปหลายชั่วอายุคน ดาวิดไม่เพียงแต่ต้องการ ยกย่องซาอูลและโยนาธานเท่านั้น ท่านต้องการให้ "บุตรทั้งสิ้นของยูดาห์มีส่วนร่วมด้วย" (2 ซามูเอล 1:18) และให้สั่งสอนบุตรหลานรุ่นต่อๆไปด้วย ผมเข้าใจว่าคงไม่ได้สำหรับคนในยุคนั้น เท่านั้น แต่ลูกหลานอีกหลายชั่วอายุคนที่เกิดตามมา จะยกย่องซาอูลและโยนาธานด้วย
ผมไม่แน่ใจว่าจะเข้าถึงความสำคัญในสิ่งที่ดาวิดกำลังทำอยู่หรือเปล่า คนที่มีอำนาจอยู่ในตำแหน่ง สูงสุดของประเทศมักป้องกันตนเองทุกวิถีทาง ไม่ให้ฝ่ายตรงข้ามมาล้มล้างหรือยึดอำนาจไปได้ ซึ่งหมายถึงต้องกำจัดสมาชิกราชวงศ์เดิมที่พ้นอำนาจไปให้หมด หรืออาจหมายถึงเขียนประวัติ ศาสตร์ขึ้นมาใหม่ เพื่อให้ราชวงศ์ก่อนหน้านี้เสื่อมเสียและถูกชิงชัง ดาวิดทำในสิ่งตรงข้าม ท่าน ยกย่องซาอูลและโยนาธาน และสั่งให้คนในยุคหลังยกย่องทั้งคู่ว่าเป็นวีรบุรุษของชาติ ท่านยกย่อง ซาอูลและโยนาธานในท่ามกลาง "บุตรแห่งยูดาห์" "บุตรแห่งยูดาห์" เหล่านี้ไม่ได้เป็นวงศา คณาญาติของซาอูล 8 พวกเขาเป็นคนเผ่าเดียวกับดาวิด เป็นกลุ่มคนที่จะสนับสนุนดาวิดให้ขึ้นมา เป็นกษัตริย์ ที่จริงสิ่งที่ดาวิดทำเป็นเรื่องน่ายกย่องที่สุด การที่ท่านเขียนและเก็บบันทึกบทเพลง คร่ำครวญนี้ไว้
การตอบสนองที่ดาวิดมีต่อการตายของซาอูลเป็นเรื่องน่ายกย่องมาก แต่ทว่าจริงใจหรือเปล่า? หรือว่าฉาบหน้าเอาไว้ด้วยทอง? ท่านกวาดความร้ายกาจของซาอูลไปซุกไว้ใต้พรมหรือเปล่า ? เป็นการกระทำหน้าไหว้หลังหลอกของดาวิดหรือเปล่า? ผมว่าเราต้องสรุปว่าดาวิดจริงใจแน่นอน ไม่มีสิ่งใดหลอกลวงในคำพูดและการกระทำของท่าน ผมเชื่อว่าทุกคำพูดของท่านเป็นความจริง
เรื่องนี้นำให้เราคิดถึงหลักการที่เราทั้งหลายชอบฝ่าฝืน :
การเป็นคนจริงใจและสัตย์ซื่อไม่จำเป็นต้องบอกทั้งหมด หรือทุกเรื่องที่เป็นความจริง ดาวิดนั้นสัตย์ซื่อจริงใจและยึดมั่นในพระเจ้า ท่านไม่ได้พูดเรื่องความจริงทั้งหมดของ ซาอูล หลักจิตวิทยาสมัยใหม่บอกว่าเราควร "ปลดปล่อยออกไปให้หมด" ไม่ควรกัก เก็บความโกรธเอาไว้ ควรมีอิสระเต็มที่ในการแสดงออกทั้งทางอารมณ์และความคิด พระคัมภีร์ไม่เคยสอนเช่นนี้ เฉพาะอย่างยิ่งในพระธรรมสุภาษิต สอนว่าผู้มีปัญญาเลือก พูดแต่ในสิ่งที่ควรพูด ควรพูดอย่างไรและเมื่อใด บางสิ่งไม่จำเป็นต้องพูดเลยก็ได้ ในพระคัมภีร์ใหม่มีข้อแนะนำที่สำคัญยิ่งสำหรับเรา แนะนำให้เรารู้ว่าควร หรือไม่ควรพูด สิ่งใด : "เราควรพูดในสิ่งที่เสริมสร้าง (ทำให้จำเริญขึ้น) สำหรับผู้อื่น" (ดู 1โครินธ์ 14:4-5, 17, 26) พระธรรม 1 โครินธ์บทที่ 14 สอนว่าคริสตจักรควรจำเริญขึ้นทั้งด้วยความเงียบ และด้วยคำพูดของเรา ไม่เป็น บาปหรอกครับที่จะยับยั้งไม่พูดในสิ่งที่ไม่ก่อให้เกิดประ โยชน์แก่ผู้ใด ถึงแม้จะเป็นความจริงก็ตาม ดาวิดไม่ได้พูดจาหลอกลวงเรื่องซาอูล ท่านพูด แต่ความจริงเท่านั้น และนี่คือท่าทีที่ถูกต้อง
ผมอยากจะบอกต่อไปว่าในกรณีที่ซาอูลทำบาป ดาวิดต้องเผชิญหน้าพูดกับท่าน ท่านพูดเรื่อง ความบาปกับซาอูลตรงๆ (ดู 1 ซามูเอล 24 และ 26) บางเวลาเราต้องเจรจากับคนบาปถึงเรื่อง ความบาปของเขา แต่ในเมื่อซาอูลตายไปแล้ว ดาวิดไม่อาจแก้ใขซาอูลด้วยการนำบาปของท่าน มาพูดถึงอีก ในการพูด "เรื่องไม่ดีเกี่ยวกับผู้ตาย" ดาวิดมีแต่จะนำความอับอายและเจ็บปวดมาสู่ผู้ เป็นลูกหลาน ผู้ที่ท่านสัญญาจะปกป้องดูแล
เราเห็นว่าดาวิดนั้นทำถูกและมีความชอบธรรมในการไม่นำบาปของซาอูลมาพูดถึงในเวลาเช่นนี้ ผู้คนรู้เรื่องความบาปของซาอูลอยู่แก่ใจดีแล้ว แต่ ดาวิดต้องการให้จดจำและยกย่องท่านไว้ใน ฐานะที่ท่านเคยเสียสละให้กับคนอิสราเอลภายใต้ปกครอง แต่ทำให้เรามีคำถามสำคัญเกิดขึ้น : "ดาวิดทำได้อย่างไร? ดาวิดพูดถึงซาอูลแต่ในแง่ดีได้อย่างไร หลังจากที่ท่านต้องทนทุกข์ทรมาณ มานานเพราะการกระทำของซาอูล?"
มีหลายคำตอบด้วยกันสำหรับคำถามนี้ ประการแรก ดาวิดมีความวางใจในพระเจ้าที่ท่าน ปรนนิบัติอยู่ ท่านรู้ดีว่าพระเจ้าของท่านนั้นยิ่งใหญ่ พระเจ้าของท่านนั้นควบคุมอยู่เหนือทุกสิ่ง ดังนั้นพระเจ้าจึงอนุญาติให้ซาอูลออกมาไล่ล่าแสวงชีวิตท่าน ดาวิดวางใจว่าพระเจ้าให้ท่านทน ทุกข์ด้วยน้ำมือของซาอูล เพื่อจะสั่งสอนท่านในหนทางแห่งความชอบธรรม ซาอูลถูกพระเจ้าใช้ สำหรับเตรียมดาวิดขึ้นมารับหน้าที่เป็นผู้นำในอนาคตอันใกล้ การทนทุกของท่านไม่ได้สูญเปล่า ท่านจึงไม่รู้สึกร้ายต่อซาอูล เช่นเดียวกับที่โยเซฟสำนึกในพระคุณที่ทำให้ท่านต้องผ่านการทน ทุกข์ทรมาณ (ดูปฐมกาล 50:20) ดาวิดสามารถทำในสิ่งเดียวกันได้
ประการที่สอง ดูเหมือนว่าดาวิดจะจัดการกับความบาปของซาอูลไปแล้วโดยการให้อภัย สิ่งนี้ทำให้โยเซฟรู้สึกมีอิสระในการที่จะตกลงกับพี่ๆได้ ถึงแม้พวกเขาเคยร้ายกับท่านมาก่อนก็ตาม ผมเชื่อว่าดาวิดให้อภัยกับซาอูล ท่านจึงไม่รู้สึกเก็บกดความขมขื่นไว้ เป็นเรื่องเศร้าที่จะกักเก็บ ความขมขื่นเอาไว้ เพราะเมื่อคนๆนั้นตายไปแล้ว มันสายเกินไปที่จะให้อภัย 9 ดาวิดไม่จำเป็นต้อง กวนอดีตให้ขุ่นขึ้นมาอีก เพราะท่านไม่ต้องการจดจำ
ประการที่สาม จากที่ได้อ่าน ผมต้องบังคับตัวเองให้สรุปว่าดาวิดมองซาอูลในแง่ดีกว่า ผมมาก ผมต้องขอสารภาพว่าไม่ค่อยชอบซาอูลนัก อยากจะคิดถึงท่านแต่ในแง่ร้าย ทำให้มอง เห็นแต่ความร้ายที่สุด มากกว่าความดีที่สุด ผมคิดว่าผู้เขียนคงอยู่ฝ่ายเดียวกับดาวิดมากกว่าอยู่ ฝ่ายผม เห็นได้ชัดเจนที่สุดจากบทที่ 14 ที่สรุปเรื่องการปกครองของซาอูลเอาไว้ :
47 เมื่อซาอูลได้รับตำแหน่งพระราชาเหนืออิสราเอลนั้น พระองค์ได้ทรงต่อสู้ศัตรู ทุกด้าน ต่อสู้กับโมอับ กับชนอัมโมน กับเอโดม กับบรรดาพระราชาแห่งโศบาห์ และกับคนฟิลิสเตีย ไม่ว่าพระองค์จะหันไปทางไหน พระองค์ก็ทรงกระทำให้เขา พ่ายแพ้ไป 48 พระองค์ทรงสู้รบอย่างเข้มเข็ง และทรงโจมตีพวกอามาเลขและ ทรงช่วยกู้คนอิสราเอลให้พ้นจากมือของบรรดาผู้ที่เข้าปล้นเขา
(1 ซามูเอล14:47-48)
พระคำสองข้อนี้ดูจะอยู่ผิดที่ น่าจะอยู่ในตอนพิธีไว้อาลัยหรือบทให้พรก่อนจบพิธี แทนที่จะมาอยู่ ก่อนบทที่ 15 เป็นตอนที่ซาอูลเริ่มต้นทำบาป หรืออยู่ก่อนที่ท่านมรณภาพในบทที่ 31 ผมคิดว่า ผู้เขียนต้องการชี้ให้เราเห็นว่ามันจบลงแล้วสำหรับซาอูล นานก่อนที่ท่านจะจบชีวิตลง แต่ไม่ว่า สรุปผลงานของท่านจะอยู่ในตำแหน่งใดก็ตาม ผม ต้องยอมรับว่าซาอูลถูกเขียนถึงในแง่ดีกว่าที่ผม คิด ผมเชื่อว่าผู้เขียนพระธรรม 1 ซามูเอลต้องการให้เราอ่านผลงานในแง่ดีและจดจำไว้มากกว่า เรื่องร้ายๆของท่านที่ตามมา ผู้เขียนเลือกที่จะมุ่งความสนใจไปที่ความล้มเหลวของซาอูลเพื่อสอน เราถึงบทเรียนสำคัญบางประการ ผมเชื่อว่าซาอูลล้มเหลวแบบเดียวกับที่อิสราเอลล้มเหลว ถ้าจะ พูดให้เกินออกไปอีกนิด วิธีที่ซาอูลล้มเหลวก็เป็นวิธีเดียวกับที่พวกเราล้มเหลว ส่วนสำคัญในความ ล้มเหลวของซาอูลใน 1 ซามูเอล คือสิ่งที่ทำให้ท่านสูญเสียอาณาจักรไป นอกเหนือจากความผิดพลาดล้มเหลวนี้ ซาอูลเคยทำสิ่งดีไว้มากมาย ในบทเพลงคร่ำครวญของ ดาวิดจึงมีแต่เรื่องดีๆเช่นนี้
ประการที่ห้า ดาวิดแสดงถึงความเชื่อฟังทีท่านมีต่อคำสั่งสำคัญ ซึ่งอ.เปาโลพูดถึงอย่าง ชัดเจนในจดหมายฝากของท่านถึงชาวฟิลิปปี :
8 ดูก่อนพี้น้องทั้งหลาย ในที่สุดนี้ขอจงใคร่ครวญถึงสิ่งที่จริง สิ่งที่น่านับถือ สิ่งที่ยุติธรรม สิ่งที่บริสุทธิ์ สิ่งที่น่ารัก สิ่งที่ทรงคุณ คือถ้ามีสิ่งใดที่ล้ำเลิศ สิ่งใดที่ควรแก่การสรรเสริญ ก็ขอจงใคร่ครวญดู
(ฟิลิปปี 4:8)
ความจริงคือสิ่งแรกที่เราควรให้ครอบครองความนึกคิดจิตใจของเรา ก่อนที่จะกลั่นกรองออกมา มาเป็นคำพูด สิ่งนี้เป็นบทพิสูจน์ขั้นแรก ยังมีมาตรฐานในขั้นอื่นๆอีกซึ่งเราจะเห็นได้ต่อไป ดาวิด เขียนบทเพลงคร่ำครวญนี้เพื่อช่วยคนอิสราเอลในสมัยของท่านและยุคต่อๆมา เพื่อจะจดจำและ ยกย่องซาอูลและโยนาธาน ถ้าพวกเขาสามารถจดจำซาอูลตามที่ดาวิดเขียนไว้ในบทเพลงได้ แน่นอนในใจพวกเขาจะ"จดจำแต่สิ่งที่น่ายกย่อง สิ่งที่ถูกต้อง สิ่งที่บริสุทธิ์ สิ่งที่น่ารัก และควรค่า แก่การสรรเสริญ" ดาวิดไม่ต้องการให้เราติดอยู่ที่ความบาปของซาอูล แต่ก็ไม่ควรมองข้าม ผู้เขียน 1 ซามูเอล บันทึกไว้เพื่อให้เราได้เรียนรู้จากความผิดพลาดนี้
ปัจจุบันนี้มีการนำเรื่องความผิดของผู้อื่นมาขุดคุ้ยกัน โดยเฉพาะความผิดที่พ่อแม่ทำกับเรา เราคิด ว่าเราต้องตีแผ่มันออกมาให้หมด ต้องทำความเข้าใจให้ถ่องแท้ และจดจำเอาไว้ ผมคิดว่าดาวิดทำ ในสิ่งตรงข้าม ถ้าเรายังไม่ยอมให้อภัยในความผิดที่พ่อแม่ทำกับเรา เราควรจะทำได้แล้ว และลืม มันไปให้หมด ถ้าเรายังไม่ได้เผชิญหน้ากับท่านในเรื่องความบาปที่ท่านยังทำอยู่ เราควรต้องทำ ด้วยท่าทีตามแบบพระคัมภีร์ แต่การขุดคุ้ยและหมกมุ่นอยู่แต่ความผิดในอดีตของท่าน มันไม่ทำให้ ใครหรืออะไรดีขึ้นมาหรอกครับ อย่าให้สิ่งเหล่านี้เข้ามาครอบครองในจิตใจของเราได้
ประการที่ห้า ดาวิดคิดถึงซาอูลในฐานะตำแหน่งของท่านและเกียรติทีท่านสมควรจะได้รับ เราอ่านเรื่องการถวายเกียรติในพระธรรมฟิลิปปี 4:8: "… สิ่งใดที่ควรแก่การสรรเสริญ …" มีการสอนหลักการ เดียวกันนี้ในที่อื่นอีกหลายแห่งด้วย เช่น :
"จงให้เกียรติแก่บิดามารดาของเจ้า เพื่ออายุของเจ้าจะได้ยืนนานบนแผ่นดิน ซึ่งพระเจ้า ของเจ้าประทานให้แก่เจ้า "
(อพยพ 20:12; ดูมัทธิว 15:4, ฯลฯ)
ท่านจงให้แก่ทุกคนตามที่เขาควรจะได้รับ จงเสียส่วยสาอากรตามที่ควรเสียภาษี ตามที่ควร ความยำเกรงควรแก่ผู้ใด จงยำเกรงผู้นั้น จงให้เกียรติยศแก่ผู้ที่ควรจะ ได้รับ
(โรม 13:7)
จงให้เกียรติแก่ทุกคน จงรักบรรดาพี่น้อง จงยำเกรงพระเจ้า และจงถวายเกียรติ แด่มหาจักรพรรดิ
(1 เปโตร 2:17)
ข้อพระคำเหล่านี้พระเจ้าเรียกเราให้ "ให้เกียรติ" แก่ผู้อื่นตามตำแหน่งที่เขาสมควรจะได้รับ ในแทบทุกกรณี การให้เกียรตินี้หมายถึงให้เกียรติแก่ผู้ที่มีอำนาจเหนือเรา (พ่อแม่หรือพระ มหากษัตริย์) ในฐานะคริสเตียนเราต้องให้เกียรติแก่ทุกคน ไม่ใช่เพราะเขาเป็นการทรงสร้าง ของพระเจ้า แต่เป็นเพราะเราต้องมีน้ำใจต่อกัน เห็นแก่ผลประโยชน์ของผู้อื่น (ฟีลิปปี 2:1-8) ดาวิดเป็นแบบอย่างชั้นเลิศให้กับเราในเรื่องการยกย่องให้เกียรติผู้อื่น
เราต้องตระหนักว่าการให้เกียรติกษัตริย์ของอิสราเอลนั้นมีความหมายพิเศษ กษัตริย์อยู่ในตำแหน่ง ที่ได้รับเกียรติสูง เขาถูกเรียกว่าเป็นถึง "บุตร" ของพระเจ้า (ดู 2 ซามูเอล 7:14; สดุดี 2:7-9) ในกรณีนี้ องค์พระเยซูคริสต์ทรงเป็น "พระบุตร" ของพระเจ้า ส่วนหนึ่งเพราะพระองค์เป็นจอม กษัตริย์ที่พระเจ้าเลือกสรร 10 คำพูดว่ากษัตริย์เป็นผู้ที่ "ได้รับการเจิมตั้งจากพระเจ้า" ถูกใช้ ครั้งแรกใน 1 ซามูเอลเมื่อพูดถึงซาอูล และต่อมาเมื่อพูดถึงดาวิด และยังหมายถึงกษัตริย์ที่ตามมา ภายหลัง โดยเฉพาะอย่างยิ่งองค์พระเมสซิยาห์ คำในภาษาฮีบรูคำว่า "การเจิมตั้ง" เขียนตามตัว อักษรในภาษาอังกฤษจะอ่านได้ว่า "พระเมสซิยาห์" ดาวิดให้เกียรติซาอูลในฐานะเป็นผู้ที่ "พระ เจ้าเจิมตั้ง" และด้วยเหตุนี้ท่านจึงได้ให้เกียรติต่อ "องค์ผู้ที่ได้ รับการเจิม" ที่จะมาในภายหลัง และเมื่อมีการทรงเปิดเผยในพระคัมภีร์เดิมมากขึ้น ทุกสิ่งก็เริ่มกระจ่างชัดขึ้นทุกที
ในบทเพลงคร่ำครวญนี้ ดาวิดพูดถึงซาอูลว่าเป็นความงามประดับอิสราเอล คำว่า "ความงาม" คำเดียวกันที่ใช้ในตอนนี้ ถูกใช้เช่นเดียวกันในพระธรรมอิสยาห์ เมื่อหมายถึงพระเมสซิยาห์ผู้จะ เสด็จมา ผู้เป็นความงามและศักดิ์ศรีของอิสราเอล :
ในวันนั้นบรรดาสิ่งที่งอกเพราะพระเจ้าจะงดงามและรุ่งโรจน์ และพืชผลของแผ่น ดินนั้นจะเป็นความภูมิใจและเป็นเกียรติของอิสราเอลผู้รอดตายมา
(อิสยาห์ 4:2)
ในวันนั้นพระเจ้าจอมโยธาจะเป็นมงกุฎศักดิ์ศรี และเป็นมกุฎแห่งความงามแก่คน ที่เหลืออยู่แห่งชนชาติของพระองค์
(อิสยาห์ 28:5).
ขณะที่ดาวิดให้เกียรติซาอูลว่าเป็นความงามประดับอิสราเอล ท่านทำเช่นนี้ด้วยความหวังและ รอคอยการเสด็จมาของกษัตริย์ที่สมบูรณ์แบบของอิสราเอล พระเมสซิยาห์
ก่อนที่จะจบบทเรียนนี้ ยังมีบางสิ่งที่ผมไม่อาจมองข้ามที่จะบอกคุณได้ เป็นคำเตือนสำหรับคน ที่วางใจในความดีของตัวเองว่าจะได้รับความรอด คนที่คาดหวังว่าพระเจ้าจะอ้าแขนกว้างต้อนรับ ทั้งๆที่เขาปฏิเสธการจัดเตรียมของพระองค์ผ่านทางพระเยซูคริสต์
หนุ่มชาวอามาเลขที่ฆ่าซาอูลโดยคิดว่ากำลังทำความดีให้กับทั้งซาอูลและดาวิด เขาคิดว่าได้ช่วย ซาอูลให้พ้นทุกข์ และในขณะเดียวกันกำจัดไปให้พ้นจากทางของดาวิดด้วย เขากำลังทำให้ดาวิด พอใจและได้ความดีความชอบ บางทีอาจจะได้รับรางวัลตอบแทน แทนที่จะได้รับรางวัล เขากลับ จุดดาวิดให้ลุกเป็นไฟด้วยความโกรธและถูกประหาร เราอาจตกใจที่ดาวิดสั่งประหารชายคนที่ฆ่า ซาอูล ดาวิดทำถูกที่สั่งฆ่าชายคนนี้ด้วยสาเหตุหลายประการ ประการแรก ท่านอาจฆ่าชายคนนี้ด้วย สาเหตุธรรมดาๆเพราะเขาเป็นคนอามาเลข (ดู 1 ซามูเอล 15, 31) ประการที่สอง เขาถูกสั่งฆ่า เพราะฆ่าผู้ที่พระเจ้าเจิมไว้ ดาวิดไม่ผิดที่โกรธเพราะการกระทำของชาวอามาเลขที่ทำต่อซาอูล ท่านทำถูกแล้วที่สั่งประหารชายคนนี้
หลายคนรู้ว่าพระเยซูเป็นพระเจ้าลงมาบังเกิด เป็นองค์พระบุตร ทรงสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนที่ เนินหัวกระโหลก ทรงคืนพระชนม์จากความตาย พวกเขารู้ว่าพระองค์ทรงตายแทนความผิดบาป ของพวกเขา และพระองค์ผู้เดียวเท่านั้นที่เป็นหนทางไปสู่ชีวิตนิรันดร์ ถึงกระนั้นก็ดี พวกเขาก็ยัง ปฏิเสธพระองค์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด พวกเขาคิดว่ายังมีหนทางอื่นอีกที่จะได้รับความรอดนอก เหนือจากพระโลหิตขององค์พระเยซูคริสต์ พวกเขาคิดว่าเมื่อยืนอยู่ต่อหน้าพระเจ้า พระองค์จะรับ พวกเขาเพราะพวกความดีที่พวกเขากระทำ และความเชื่อในหนทางอื่นสำหรับความรอด พวกเขา คาดว่าจะได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นในแผ่นดินสวรรค์ของพระเจ้า และได้รับบำเหน็จแห่งชีวิต นิรันดร์ พวกเขากำลังหลอกตัวเองอย่างมหันต์
ถ้าดาวิดทำถูกที่โกรธเคืองคนที่ฆ่าซาอูล ผู้ที่พระเจ้าเจิมไว้ คุณคิดว่าพระเจ้าจะจัดการอย่างไรกับ คนที่ปฏิเสธองค์พระเยซูคริสต์ ผู้ที่พระองค์เจิมไว้ ? ถ้าพระเจ้ามีหนทางอื่นช่วยมนุษย์ให้หลุดพ้น จากความบาป คุณคิดว่าพระองค์จะส่งพระเยซูคริสต์ให้มาตายอย่างทนทุกข์ทรมาณบนไม้กางเขน แทนเราเป็นหนทางหนึ่งให้เลือกหรือ? คนที่วางใจในหนทางอื่นสำหรับความรอดโดยการปฏิเสธ พระเยซูผู้ที่พระเจ้าเจิมไว้ คนที่ปฏิเสธผู้ที่พระเจ้าเจิมไว้ก็ผิดพอๆกับพวกที่ร้องขอให้ฆ่าพระองค์ ต่อหน้าปิลาตเมื่อสองพันปีก่อน โดยร้องว่า "เอาไป ตรึงกางเขน ๆ" เป็นความเขลามากที่คิดว่า จะได้รับการยอมรับจากพระเจ้าเมื่อปฏิเสธหนทางที่พระองค์จัดเตรียมไว้สำหรับความรอด ดาวิด จัดการกับคนอามาเลขที่ฆ่าซาอูลรุนแรงอย่างไร เช่นกัน พระเจ้าจะจัดการกับคนที่ปฏิเสธพระบุตร คือองค์พระเยซูคริสต์ของพระองค์ฉันนั้น หนทางที่จะได้รับการอภัยบาปและรับชีวิตนิรันดร์คือการ เข้ามาวางใจในผู้ที่ได้รับการเจิมตั้งจากพระเจ้า พระเยซูคริสต์ จอมกษัตริย์ของพระเจ้า ผู้จะปก ครองตลอดนิรันดร์ พระองค์เป็นพระเมษโปดก ผู้ตายแทนความผิดบาปของมนุษย์ ทุกคนที่วางใจ ในพระองค์จะได้รับความรอด คนที่ไม่ยอมรับก็เตรียมตัวรอพระอาชญา ถ้าคุณยังไม่เคยยอมรับใน ความผิดบาปของคุณ และมาวางใจในการ สิ้นพระชนม์ การฝังพระศพ และการคืนพระชนมฺ์ของ องค์พระเยซูคริสต์ที่กระทำแทนเรา วันนี้คุณพร้อมหรือยัง?
1 นักวิชาการหลายคนรู้สึกว่าชายคนนี้กำลังเล่าเรื่องโม้ให้ดาวิดฟัง สำหรับผมยากที่จะทำใจ สรุปตามนั้น เพราะผู้เขียนเล่าอย่างเจาะจงว่าชายคนนี้ "มาจากค่ายของซาอูล" (ข้อ 2) มีคำอธิบายสภาพของซาอูล มีการเล่าว่าพวกฟิลิสเตียกำลังใกล้เข้ามา และเรื่องขอให้ฆ่าท่านให้ตาย (ยังไม่รวมเรื่องมงกุฎและกำไลของ ซาอูลอีก) ทำให้เราสรุปได้ว่าเขาต้องไปอยู่ที่นั่นจริง อย่าลืมว่าดาวิดเองก็เชื่อตามนั้น ดาวิดไม่ได้สั่งประหาร ผู้ชายคนนี้เพราะเขาอ้างว่าฆ่าซาอูล แต่เพราะแน่ใจว่าเขาทำจริง ถ้าดาวิดเชื่อตามที่ชายคนนี้เล่า เราก็ควรเชื่อด้วย
2 ฉบับ NASB ใช้คำชัดเจนว่า "หนีรอด" มาได้ ก็น่าจะเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง
3 น่าสนใจที่หนุ่มคนนี้ไม่ได้เอ่ยชื่อบุตรคนอื่นของซาอูลที่ถูกฆ่าตายด้วยกันเลย (ดู 1 ซามูเอล 31:2, 6) หรือเป็นเพราะทุกคนรู้ว่าโยนาธานมีความสำคัญเพราะเป็นผู้สืบราชบัลลังก์
4 บางคนคิดว่าเรื่องนี้ค้านกับที่เขียนอธิบายไว้ใน 1 ซามูเอล 31 แต่ผมว่าไม่ ผมเชื่อว่าเมื่อคนถือเครื่อง อาวุธรีรอ (ปฏิเสธ) ไม่ยอมฆ่าผู้เป็นนายด้วยดาบของตนเอง คนถือเครื่องอาวุธก็ไม่ได้หยุด หรือรอจน แน่ใจว่าซาอูลตายจริง เขารู้แต่เพียงว่าซาอูลตายแล้วหรือคงต้องตายแน่ เขาจึงรีบล้มลงทับดาบตนเอง ตายในทันที ทิ้งให้ซาอูลยังมีชีวิตอยู่ และน่าจะเป็นเวลาเดียวกับที่คนอามาเลขคนนี้มาถึงพอดี
5 คำถามนี้น่าจะเป็นคำถามที่ย้อนกลับมาหาดาวิดเอง ว่าคนอิสราเอลไปทำอะไรอยู่ในค่ายของฟิลิสเตีย เป็นคำถามเดียวกับที่พวกผู้นำฟิลิสเตียถาม
6 อ้างอิงจาก Walvoord, John F., and Zuck, Roy B., The Bible Knowledge Commentary, (Wheaton, Illinois: Scripture Press Publications, Inc.) 1983, 1985, en loc.
7 ถึงแม้ไม่จำเป็นต้องพูดถึงก็ได้ ผมอยากจะบอกอีกครั้งว่า "ความรัก" ที่ผูกพันระหว่างดาวิดและโยนาธาน ไม่มีเรื่องเพศมาเกี่ยวข้องในทุกกรณี อันที่จริงดาวิดเองพูดชัดเจนว่าความสัมพันธ์ของท่านกับโยนาธานนั้น สูงส่งและยิ่งใหญ่กว่านั้น (ดูข้อ 26)
8 ซาอูลและโยนาธานมาจากเผ่าเบนยามินเหมือนกัน ไม่ใช่เผ่ายูดาห์ ด้วยเหตุนี้พระเมสซิยาห์จึงไม่สามารถ สืบทอดมาทางตระกูลของซาอูลได้
9 ผมไม่ได้บอกว่าเราไม่ควรให้อภัยกับคนที่ทำร้ายเรา ถึงแม้เขาจะตายไปแล้วก็ตาม ผมกำลังจะบอกว่าควร จะทำให้เร็วกว่านั้น — มาสายดีกว่าไม่มานะครับ
10 นี่ไม่ใช่เป็นการมองข้ามความจริงว่าพระองค์เป็นพระเจ้าเองที่ลงมาบังเกิด เป็นพระบุตรเพียงองค์เดียว ของพระผู้เป็นเจ้า
หลายปีมาแล้ว ผมมีโอกาสได้ไปเข้าร่วมประชุมผู้นำคริสเตียนที่ดัลลัส งานนั้นมีนักประกาศและ อาจารย์สอนศาสนาชื่อดัง หลุยส์ พาลอว์เป็นนักพูด เป็นช่วงเวลาหลังสงครามฟอล์คแลนด์ระหว่าง อังกฤษและอาร์เยนติน่าเล็กน้อย อ.หลุยส์ผู้นี้เคยไปประกาศที่อาร์เยนติน่าและจักรภพอังกฤษก่อน สงครามนี้ได้ไม่นาน ดังนั้นก็เท่ากับท่านต้องทำงานพันธกิจให้กับทั้งสองฝ่าย อ.หลุยส์งงมากว่า สงครามครั้งนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร เมื่อท่านมีโอกาสได้พบสมาชิกรัฐสภาบางคน ท่านจึงถามถึงเหตุผล ในการปะทะกันครั้งนี้ คำตอบชัดเจนตรงไปตรงมาที่ท่านได้รับก็คือประโยคว่า : "สองหัวล้านชิงหวี"
เมื่อผมอ่านพระธรรม 2 ซามูเอลสองบทนี้ ดูเหมือนเหตุการณ์ในทำนองเดียวกันกำลังเกิดขึ้นในกอง ทัพของดาวิด อย่างน้อยส่วนหนึ่งก็เป็นฝีมือของโยอาบ และกองทัพของอิชโบเชทซึ่งนำโดยอับเนอร์ เริ่ิ่มจากความขัดแย้งเล็กๆน้อยๆ แต่ส่งผลรุนแรงเกินความคาดหมายซึ่งเราจะได้เห็นต่อไป เหตุการณ์ ในบทเรียนนี้ไม่ได้ "อยู่ในอดีตอันไกลโพ้น" อย่างที่เราคิด ; ที่จริงแล้วเกี่ยวข้องกับคริสเตียนและ คริสตจักรในปัจจุบันโดยตรง ซึ่งเรากำลังจะมีโอกาสได้เรียนรู้ต่อไป
คุณ (และผม) กำลังลุ้นที่จะเห็นดาวิดขึ้นปกครองเหนืออิสราเอล แต่เวลายังมาไม่ถึง กว่าจะถึงก็ต้อง รอจนถึงบทที่ 5 ก่อนถึงให้้เรามาเรียนรู้เนื้อหาในบทนี้กันก่อน พระธรรมตอนนี้เต็มไปด้วยเรื่องราว ของดาวิด เราจะมาพิจารณาดูทุกด้านของพระธรรมตอนนี้ในบทเรียนหน้า ให้เราจำไว้ว่าพระธรรม สองบทนี้มุ่งความสนใจไปที่สองบุคคล คือโยอาบและอับเนอร์ ชายชาติทหารสองคนนี้สร้างผลกระ ทบอันยิ่งใหญ่ให้กับชีวิตของดาวิด และการขึ้นปกครองเป็นกษัตริย์ของท่านรวมทั้งประวัติศาสตร์ของ ประเทศอิสราเอล ชีวิตของทั้งสองนี้มาบรรจบกันในบทที่ 2 และ 3 เป็นการจบชีวิตลงของอับเนอร์ และการขึ้นเป็นผู้นำของโยอาบภายใต้การปกครองของดาวิด
ในบทเรียนนี้ เราจะพยายามย้อนกลับไปดูเบื้องหลังชีวิตของทั้งสองคนนี้ เพื่อจะเห็นเหตุการณ์ในมุม มองที่กว้างขึ้น ทั้งคู่มีบางสิ่งที่จะสอนเรา มีเรื่องมากมายที่จะบอกเรา ไม่ว่าจะเป็นชีวิตของแต่ละคน สัมพันธภาพที่มีต่อกันและกัน และที่มีต่อกษัตริย์ของอิสราเอลด้วย ดังนั้นให้เราเริ่มต้นบทเรียนนี้ด้วย การไปดูภาพร่างชีวประวัติของทั้งสอง อับเนอร์และโยอาบ
เมื่อครั้งที่ลาของบิดาของซาอูลหายไป ซาอูลถูกส่งให้ไปตามหาและนำกลับมาโดยมีคนใช้ติดตามไป ด้วยหนึ่งคน (9:3) ในระหว่างที่ตามหาลา ซาอูลและคนใช้ก็ได้ไปพบกับซามูเอล ผู้ซึ่งทำการเจิม ซาอูลขึ้นอย่างลับๆ ตั้งท่านขึ้นเป็นกษัตริย์องค์แรกของอิสราเอล เมื่อซาอูลและคนใช้เดินทางกลับมา บ้าน ลุงของซาอูลที่เราไม่ทราบชื่อ มาพบและพยายามสอบถามเรื่องราว :
14 ฝ่ายลุงของซาอูลจึงถามซาอูลกับคนใช้ว่า "เจ้าไปไหนมา" และเขาตอบ ว่า "ไปหาลา และเมื่อเราเห็นว่าเราไม่พบลานั้นแล้ว เราจึงไปหาซามูเอล" 15 ลุงของซาอูลกล่าวว่า "ซามูเอลบอกอะไรแก่เจ้าบ้างขอเล่าให้ฟัง" 16 และ าอูลตอบลุงของเขาว่า "เขาบอกเราแจ่มแจ้งว่าพบลาแล้ว" แต่เรื่องราวที่เกี่ยว กับราชอาณาจักร ซึ่งซามูเอลกล่าวถึงนั้นท่านไม่ได้บอกสิ่งใดเลย
(1 ซามูเอล 10:14-16)
มีความเป็นไปได้สูงที่ "คุณลุง" คนนี้คือเนอร์ พี่ชายของคีชบิดาของซาอูล เราพอมองออกว่าทำไมลุง เนอร์ผู้นี้ถึงสนใจการพบปะกันระหว่างซาอูลและซามูเอลมากนัก อิสราเอลกำลังเรียกร้องให้มีกษัตริย์ เหมือนกับประเทศอื่นๆ พระเจ้าได้อนุญาติให้ทำได้โดยผ่านทางซามูเอล (1 ซามูเอล 8) ซามูเอลมี หน้าที่แต่งตั้งกษัตริย์ แต่ดูเหมือนยังไม่มีอะไรคืบหน้า เนอร์คิดว่าการพบปะกันระหว่างหลานชาย ซาอูลและซามูเอลไม่ใช่เป็นเรื่องเล็กแน่นอน ความสำเร็จของซาอูล (ที่ได้ขึ้นเป็นกษัตริย์) ย่อมเป็น ความสำเร็จของ "วงศ์ตระกูล" ด้วย มีทางเป็นไปได้ที่อับเนอร์ ลูกพี่ลูกน้องของซาอูลจะได้เป็นแม่ทัพ ในกองทัพของซาอูล
เราไม่รู้จักอับเนอร์จนกระทั่งเมื่อดาวิดเผชิญหน้ากับโกลิอัทตามที่บันทึกอยู่ใน 1 ซามูเอล บทที่ 17 ถ้าเราคิดว่าซาอูลจะลุกขึ้นต่อสู้กับโกลิอัท ซึ่งท่านไม่ได้ทำ แน่นอนคนที่ต้องทำหน้าที่ต่อจากท่าน ต้องเป็นแม่ทัพของซาอูล แต่อับเนอร์กลับนั่งอยู่วงนอกกับซาอูล คงจะนั่งเฝ้ามองสงครามอยู่ในที่ ปลอดภัย ไกลออกไปจากสนามรบ :
55 เมื่อซาอูลทรงเห็นดาวิดออกไปต่อสู้กับคนฟีลิสเตีย จึงตรัสถามอับเนอร์ แม่ทัพของพระองค์ว่า "อับเนอร์ ชายหนุ่มคนนี้เป็นลูกของใคร" และอับเนอร์ ทูลว่า "ข้าแต่พระราชา ฝ่าพระบาททรงพระชนม์อยู่แน่ฉันใด ข้าพระบาทไม่ ทราบ" 56 พระราชาจึงรับสั่งว่า "ไปสืบถามดูว่าเจ้าหนุ่มคนนั้นเป็นลูกของใคร" 57 เมื่อดาวิดกลับมาจากการฆ่าคนฟีลิสเตีย อับเนอร์ก็มาพาตัวเขาเข้าไปเฝ้า ซาอูล
(1 ซามูเอล 17:55-57).
อาจจะฟังดูแรงไปนิด แต่ตามเนื้อหา ผมเข้าใจว่าอับเนอร์ผู้เป็นลูกพี่ลูกน้อง และเป็นแม่ทัพของ อิสราเอล ก็กลัวโกลิอัทพอๆกับซาอูลและคนอื่นๆ :
11 เมื่อซาอูลและคนอิสราเอลทั้งสิ้น ได้ยินถ้อยคำของคนฟีลิสเตียคนนั้น เขาทั้งหลายก็ท้อใจและกลัวมาก
(1 ซามูเอล 17:11)
24 เมื่อคนอิสราเอลเห็นชายคนนั้นก็วิ่งหนีเขาไป กลัวเขามาก
(1 ซามูเอล 17:24)
ความหวาดกลัวในระดับล่าง แสดงให้เห็นถึงอิทธิพลความหวาดกลัวที่แผ่มาจากระดับบน
ดาวิดและอับเนอร์คงจะรู้จักกันเป็นอย่างดี อับเนอร์เป็นแม่ทัพของอิสราเอล และดาวิดเป็นวีรบุรุษ สงคราม เป็นผู้บัญชาการกองพัน (1 ซามูเอล 18:13) จากชัยชนะในการรบ ดาวิดคงได้รับการยอมรับ จากนายทหารในระดับสูงด้วยกัน (18:30) อีกอย่างคือ อับเนอร์ (เช่นเดียวกับดาวิด) ต้องไปนั่งเป็น แขกที่โต๊ะเสวยเป็นประจำอยู่แล้ว (20:25)
แน่นอนอับเนอร์คงไม่ค่อยรู้จักดาวิดดีนักในตอนแรก แต่ทุกอย่างเปลี่ยนไปเมื่อดาวิดสามารถโค่น โกลิอัทลงได้ ดาวิดได้เลื่อนขั้นขึ้นเป็นผู้บังคับกองพัน (1 ซามูเอล 18:13) ซึ่งต้องอยู่ในสายตาของ อับเนอร์ เมื่อซาอูลลุกขึ้นมาต่อต้านดาวิด อัับเนอร์ให้การสนับสนุนกษัตริย์ผู้เป็นญาติ และเมื่อซาอูล ใช้กองทัพออกไปตามล่าเพื่อฆ่าดาวิด แน่นอนแม่ทัพต้องมีส่วนเกี่ยวข้องด้วย (ดู 1 ซามูเอล 26:3-5, 13-16) อับเนอร์อาจมีส่วนเกี่ยวข้องในชีวิตของดาวิดมากกว่าที่เรารู้ก็เป็นได้ :
3 และซาอูลทรงตั้งค่ายอยู่ที่เขาฮาคีลาห์ซึ่งอยู่ข้างถนนทางทิศตะวันออก ของเยชิโมน แต่ดาวิดยังคงอยู่ในถิ่นทุรกันดาร และเมื่อท่านเห็นว่าซาอูล สด็จมาหาท่านที่ในถิ่นทุรกันดาร 4 ดาวิดก็ส่งผู้สอดแนมออกไป จึงทราบ ว่าซาอูลทรงยกมาแน่แล้ว 5 แล้วดาวิดก็ลุกขึ้นมายังที่ซึ่งซาอูลทรงตั้งค่าย อยู่ และดาวิดก็เห็นที่ที่ซาอูลบรรทมพร้อมกับอับเนอร์บุตรเนอร์แม่ทัพ ซาอูลบรรทมอยู่กลางเขตค่าย ฝ่ายกองทัพก็ตั้งค่ายอยู่รอบพระองค์ … 13 และดาวิดก็ข้ามไปอีกฟากหนึ่ง ไปยืนอยู่บนยอดเขาไกลออกไป ีที่ว่างกว้างใหญ่ระหว่างทั้งสองฝ่าย 14 ดาวิดก็ตะโกนเรียกพวกพลและเรียก อับเนอร์บุตรเนอร์ว่า "อับเนอร์เอ๋ย ท่านไม่ตอบหรือ" แล้วอับเนอร์ตอบว่า ใครนั่นที่มาร้องเรียกพระราชา" 15 และดาวิดตอบอับเนอร์ว่า "ท่านไม่ใช่ผู้ ชายดอกหรือ ในอิสราเอลมีใครเหมือนท่านบ้าง ทำไมท่านไม่เฝ้าพระราชา เจ้านายของท่านไว้ให้ดี เพราะมีคนหนึ่งเข้าไปจะทำลายพระราชาเจ้านาย ของท่าน 16 ที่ท่านกระทำเช่นนี้ไม่ดีแน่ พระเจ้าทรงพระชนม์อยู่แน่ฉันใด ่านควรตายเพราะท่านมิได้เฝ้าเจ้านายของท่านไว้ให้ดี ผู้ที่พระเจ้าทรงเจิมไว้ บัดนี้ตรวจดูทีว่า หอกของพระราชาอยู่ที่ไหน และเหยือกน้ำที่ตรงพระเศียรนั้น อยู่ที่ไหน" 17 ซาอูลทรงจำสำเนียงดาวิดได้จึงตรัสว่า "ดาวิดบุตรของข้าเอ๋ย ี่เป็นเสียงของเจ้าหรือ" และดาวิดทูลว่า "ข้าแต่พระราชา เจ้านายของข้าพระ บาท เป็นเสียงข้าพระบาทพ่ะย่ะค่ะ" 18 และท่านทูลต่อไปว่า "ไฉนเจ้านาย องข้าพระบาทจึงไล่ตามผู้รับใช้ของพระองค์ ข้าพระบาทได้กระทำอะไรไป ือข้าพระบาทผิดอย่างไรเล่า 19 เพราะฉะนั้นบัดนี้ขอพระราชาเจ้านายของ ข้าพระบาท ทรงฟังเสียงผู้รับใช้ของฝ่าพระบาท ถ้าพระเจ้าทรงปลุกปั่นฝ่า ระบาทให้ต่อสู้ข้าพระบาท ขอพระเจ้าให้ได้รับเครื่องถวาย ถ้าเป็นคนยุก็ขอ ห้คนนั้นเป็นที่สาปแช่งต่อพระพักตร์พระเจ้า เพราะเขาได้ขับไล่ข้าพระบาท ออกไปในวันนี้มิให้ได้ส่วนมรดกของพระเจ้า โดยกล่าวว่า 'จงไปปรนนิบัติพระ อื่น' 20 เพราะฉะนั้นบัดนี้ ขออย่าให้โลหิตของข้าพระบาทตกถึงดินไกลจากพระ พักตร์พระเจ้า เพราะพระราชาแห่งอิสราเอลได้ออกมาหาชีวิตหมัดตัวเดียว ดังผู้หนึ่ง ไล่ตามนกกระทาอยู่บนภูเขา"
(1 ซามูเอล 26:3-5, 13-20)
อับเนอร์ไม่ใช่เป็นแค่เพียงแม่ทัพของซาอูลเท่านั้น แต่ยังเป็นผู้ดูแลเรื่องความปลอดภัยของซาอูลด้วย เมื่อมีการนำกองกำลังฝีมือดีที่สุดออกไปตามฆ่าดาวิด ซาอูลนอนอยู่ตรงกลางของกองกำลังนี้ โดยมี อับเนอร์นอนอยู่ข้างๆ ถ้ามีใครจะเข้ามาทำร้ายซาอูล คนๆนั้นต้องผ่านกองกำลังที่ล้อมรอบก่อน แล้ว ยังต้องไปเจอกับอับเนอร์อีก ในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เรารู้ว่าพระเจ้าเป็นผู้ทำให้พวกเขาหลับสนิท เหมือนตาย (26:12) ถึงกระนั้นก็ตาม เมื่อนำเอาหอกและเหยือกน้ำของซาอูลมา ดาวิดจงใจตะโกน บอกอับเนอร์ กล่าวหาว่าละเลยหน้าที่ สมควรโทษประหาร (26:14-16) แน่นอนคำพูดของดาวิดทำให้ อับเนอร์ขายหน้ามาก
เรื่องนี้เกินกว่ากำลังความสามารถของอับเนอร์ เพราะจะไปกล่าวหาว่าอับเนอร์หลับในหน้าที่ก็คงไม่ ถูกนัก เพราะถ้าพระเจ้าเป็นผู้กระทำ แน่นอนอับเนอร์ก็ต้องหลับไปด้วย ถ้าเช่นนั้นแล้ว ดาวิดมีอะไร เป็นพิเศษกับอับเนอร์ ? อับเนอร์มีเรื่องส่วนตัวกับดาวิดหรือ ? คำตอบสำหรับคำถามนี้อยู่ในข้อที่ 9 11 ที่ดาวิดถามซาอูลว่าออกมาไล่ฆ่าท่านทำไม พระเจ้าสั่งหรือ หรือว่ามีคนยุแยงอยู่เบื้องหลัง คนที่ สามารถพูดให้กษัตริย์ฟังได้ ดาวิดจึงสาปแช่งใครก็ตามที่ยุแยงกษัตริย์ให้เห็นผิดเป็นชอบ กล่าวหาว่า ดาวิดเป็นศัตรูต่อราชบัลลังก์ ซึ่งเป็นคำพูดเดียวกับที่ดาวิดเคยพูดไว้ในบทที่ 24 :
8 ภายหลังดาวิดก็ลุกขึ้นด้วย และออกไปจากถ้ำร้องทูลซาอูลว่า "ข้าแต่ พระราชาเจ้านายของข้าพระบาท" และเมื่อซาอูลทรงเหลียวดู ดาวิดก็ก้ม ลงถึงดินกราบไหว้ 9 และดาวิดทูลซาอูลว่า "ไฉนพระองค์ทรงฟังถ้อยคำ ของคนที่กล่าวว่า 'ดูเถิด ดาวิดแสวงที่จะทำร้ายพระองค์' 10 นี่แน่ะ ันนี้พระเนตรของฝ่าพระบาทประจักษ์แล้วว่า พระเจ้าทรงมอบฝ่าพระบาท ในวันนี้ไว้ในมือของข้าพระบาทที่ในถ้ำ และบางคนได้ขอให้ข้าพระบาท ประหารฝ่าพระบาทเสีย แต่ข้าพระบาทก็ได้ไว้พระชนม์ของฝ่าพระบาท ข้า พระบาทพูดว่า 'ข้าพเจ้าจะไม่ยื่นมือออกทำร้ายเจ้านายของข้าพเจ้า เพราะ ระองค์เป็นผู้ที่พระเจ้าทรงเจิมไว้ "
(1 ซามูเอล 24:8-10)
เมื่อเรานำเอาข้อมูลเหล่านี้มารวมกัน เราเห็นว่าอับเนอร์บกพร่องในหน้าที่รักษาความปลอดภัยให้กับ กษัตริย์ จึงสมควรตาย ความผิดครั้งนี้พระเจ้าเป็นผู้กระทำให้เกิดขึ้น (โดยทำให้ทุกคนหลับสนิท) ทำ ให้ซาอูลไม่มีทางสู้กับอาบีชัยผู้ต้องการฆ่าท่านแต่ถูกดาวิดกันไว้เสียก่อน ดาวิดดูจะเป็นผู้ปกป้อง ชีวิตของซาอูลต่างหาก มีประสิทธิภาพมากกว่าอับเนอร์ ดาวิดสาปแช่งคนที่ปลุกปั่นให้ซาอูลมาทำ ร้ายท่าน คุณว่าใครสมควรตกเป็นผู้ต้องหาในกรณีนี้ ? อับเนอร์หรือเปล่า ?
ดาวิดกล่าวว่ามีบางคนใส่ความคิดชั่วร้ายเรื่องท่านลงไปในสมองของซาอูล กล่าวหาว่าท่านทรยศ กบฎต่อราชบัลลังก์ กรณีนี้ใครเป็นฝ่ายเสียหายที่สุด ? ถ้าดาวิดเป็นนักรบที่กล้าหาญ เป็นผู้นำที่เก่ง กาจของอิสราเอล ใครสมควรจะได้ขึ้นเป็นใหญ่ในกองทัพของซาอูล ? ใครมีความสนิทสนมใกล้ชิด และเข้าถึงกษัตริย์ได้มากที่สุด ถ้าไม่ใช่อับเนอร์ ? อับเนอร์เป็นแม่ทัพ แถมยังเป็นญาติสนิทอีกด้วย ในเมื่ออับเนอร์มีแต่จะได้เมื่อซาอูลขึ้นเป็นกษัตริย์ แต่ถ้าซาอูลถูกถอดล่ะ ใครจะเป็นฝ่ายสูญเสีย ? อับเนอร์รู้ดีว่าซามูเอลเจิมตั้งดาวิดให้ขึ้นมาแทนที่ซาอูล ถ้าซาอูลตาย อับเนอร์น่าจะเป็นคนแรกที่ต่อ ต้านไม่ยอมให้ดาวิดขึ้นครองแทน จึงไม่น่าเป็นเรื่องประหลาดใจถ้าอับเนอร์จะเป่าหูซาอูลอยู่ทุกวัน เพื่อทำให้ดาวิดกลายเป็นคนชั่วในสายตาของซาอูล และสมควรต้องฆ่าให้ตาย ที่แน่ๆ อับเนอร์ไม่ใช่ เพื่อนของดาวิด และไม่ใช่เพื่อนที่ดีนักของญาติสนิทเช่นซาอูล
เราคงสงสัยกันว่าทำไมไม่มีการพูดถึงอับเนอร์ตั้งแต่ 1 ซามูเอล 26 ถึง 2 ซามูเอล 2 เพราะเขาเป็นถึง แม่ทัพของอิสราเอล อับเนอร์อยู่ที่ไหนตอนที่อิสราเอลรบกับพวกฟิลิสเตียในบทอื่นๆ ? อับเนอร์อยู่ที่ ไหน เมื่ออิสราเอลพ่ายแพ้ยับเยิน ต่างคนต่างหนีกระจัดกระจายไป (31:7)? อับเนอร์คนที่เคยเคียง บ่าเคียงไหล่กับซาอูลอยู่ที่ไหนเมื่อบุตรทั้งสิ้นของซาอูลถูกฆ่า และคนถือเครื่องอาวุธฆ่าตัวตาย ? หลายคนสงสัยว่าอับเนอร์หายไปไหนในยามหน้าสิ่วหน้าขวานเช่นนี้ ? (ดูเหมือนอับเนอร์จะถือคติประ จำใจที่ว่า : "รู้รักษาตัวรอด เป็นยอดดี") พอฝุ่นเริ่มจาง อับเนอร์ก็ยังสุขสบายดี รวมทั้งอิชโบเชท บุตรคนหนึ่งของซาอูลด้วย บทเรียนตอนนี้เริ่มหลังจากพิธีไว้อาลัยให้ซาอูลและโยนาธานจบลง เรา จะมาเริ่มกันที่โยอาบก่อน แล้วค่อยมาดูข้อพิพาทระหว่างโยอาบและอับเนอร์
มีการกล่าวถึงโยอาบเป็นครั้งแรกใน 1 ซามูเอล 26:6 ซึ่งเป็นตอนที่เกี่ยวกับพี่ชายของโยอาบที่ชื่อ อาบีชัย เป็นอาบีชัยคนเดียวกับที่บุกเข้าไปในค่ายของซาอูลพร้อมกับดาวิด (ตอนที่อับเนอร์และทุก คนในค่ายนอนหลับสนิท) อาบีชัยอาสาไปเสี่ยงตายกับดาวิดในงานครั้งนี้ - ด้วยคนเพียงสองคนฝ่า เข้าไปในกองทหารฝีมือดีของซาอูลถึง 3,000 คน (26:2) อาบีชัยต้องการฆ่าซาอูลให้ตายด้วการแทง เพียงทีเดียว (26:8) ทุกอย่างบ่งว่าเขาฆ่าซาอูลแน่ถ้าดาวิดไม่ปรามไว้ และอาจรวมเอาอับเนอร์เข้าไป ด้วยถ้าทำได้ ! อาบีชัยผู้เป็นน้อง (ใน 1 พงศาวดาร 2:16 เรียงว่าเป็นพี่) และถูกกล่าวถึงในฐานะว่า เป็น "น้องชายของโยอาบ" (1 ซามูเอล 26:6) ประเด็นสำคัญก็คือไม่ว่าจะเป็นพี่หรือเป็นน้องก็ตาม โยอาบดูจะเป็นที่รู้จักมากกว่า 12
โยอาบยังไม่เป็นที่รู้จักมากนักจนกระทั่งเข้าสู่บทที่เรากำลังจะเรียนนี้ (2 ซามูเอล 2:13) ซึ่งไม่ได้พูด ถึงว่าดาวิดรู้จักโยอาบครั้งแรกเมื่อไร ดาวิดและโยอาบเกี่ยวดองกันอยู่ แม่ของโยอาบ นางเศรุยาห์ เป็นพี่สาวของดาวิด เช่นเดียวกับนางอาบีกายิลผู้เป็นแม่ของอามาสา (1 พงศาวดาร 2:12-17) อามาสาจะแจ้งเกิดในตอนท้ายๆของเรื่อง (2 ซามูเอล 19-20) เรารู้ว่าศพของอาสาเฮลถูกฝังไว้ที่ อุโมงค์เดียวกับของบิดาที่ในเบธเลเฮม (2 ซามูเอล 2:32) อาบีชัย โยอาบ และอาสาเฮลมาอยู่กับ ดาวิดตั้งแต่ที่หลบซ่อนตัวอยู่ในถ้ำอดุลลัม :
1 ดาวิดก็จากที่นั่นหนีไปอยู่ที่ถ้ำอดุลลัม เมื่อพี่ชายของท่านและพงศ์พันธุ์ บิดาของท่านทั้งสิ้นได้ยินเรื่องเขาก็ลงไปหาท่านที่นั่น 2 นอกนั้นทุกคนที่มี ความทุกข์ยาก และทุกคนที่มีหนี้สิน และทุกคนที่ไม่มีความพอใจก็พากันมา หาท่าน และท่านก็เป็นหัวหน้าของเขาทั้งหลาย มีคนมามั่วสุมอยู่กับท่าน
ประมาณสี่ร้อยคน
(1 ซามูเอล 22:1-2)
เป็นที่เข้าใจได้ทันทีถึงความรู้สึกที่ซาอูลมีต่อดาวิด (และใครก็ตามที่ให้การสนับสนุนดาวิดอยู่ – ดู 22:6-19) ใครๆก็รู้ว่าอาบีชัย โยอาบ และอาสาเฮลหนีไปจากเบธเลเฮมพร้อมด้วยครอบครัวทั้งสิ้น ของดาวิด เพราะรู้ดีว่า (หรืออย่างน้อยกลัวว่า) ซาอูลอาจพาลหาเรื่องเอาได้ นอกจากครอบครัวเหล่า นี้แล้ว ยังมีคนอื่นๆอีกที่ตามไปด้วยเพราะไม่ชอบหน้าซาอูล หลายคนในพวกนี้กลายเป็นส่วนหนึ่งใน ทีมนักรบของดาวิด อาบีชัย และโยอาบกลายเป็นกำลังสำคัญในฐานะผู้นำของทีมเพราะความกล้า และความสามารถเฉพาะตัว
ตอนเริ่มแรก ดาวิดเป็นผู้บัญชากองกำลังเล็กๆนี้ ซึ่งเป็นช่วงที่ท่านหนีมาจากซาอูลจนกระทั่งจาก ศิกลากไปอยู่ที่เฮโบรน (ดู 1 ซามูเอล 30:8, 10, 17-25) โยอาบเคยเป็นผู้บัญชาการให้ดาวิดก่อนที่ ท่านจะขึ้นเป็นกษัตริย์อิสราเอล แต่พอหลังจากที่ดาวิดขึ้นครองเป็นกษัตริย์ทั้งอิสราเอลและยูดาห์ แล้ว โยอาบจึงได้กลายเป็นแม่ทัพของอิสราเอล ที่โยอาบได้เลื่อนขึ้นขั้นสูงสุดนี้เป็นเพราะไปต่อสู้กับ ชาวเยบุส (เยรูซาเล็ม) และโจมตีมาได้ (1 พงศาวดาร 11:6)13
เราจะข้ามเหตุการณ์ใน 2 ซามูเอล 2 และ 3 ไปชั่วขณะ เพื่อจะมาดูเรื่องราวบางตอนในชีวิตของ โยอาบ โดยรวมแล้ว เราสามารถพูดได้ว่าโยอาบเป็นผู้นำทางทหารที่เก่งกล้าสามารถ เราจะเห็นได้ จากการสงครามที่ทำกับพวกอัมโมน ซีเรีย และอีกหลายๆประเทศตามที่บันทึกอยู่ใน 2 ซามูเอล 10 (โดยเฉพาะข้อ 9-14) นอกจากจะเป็นผู้นำทางทหารที่เยี่ยมยอดแล้ว โยอาบยังเป็นคนที่มีคุณสมบัติ เด่นมากมาย เมื่อตอนที่โยอาบไปยึดเมืองรับบาห์ ราชธานีของอัมโมนไว้ได้ แทนที่จะเอาความดี ความชอบใส่ตัว ท่านกลับไปเชิญดาวิดให้มารับเกียรตินี้แทน (2 ซามูเอล 12:26-31) เมื่อคราวที่ ดาวิดทำผิดด้วยการให้ท่านไปนับกำลังพลของอิสราเอล โยอาบคัดค้านอย่างเต็มที่ แต่ก็ไม่สำเร็จ (2 ซามูเอล 24:2-4)
โยอาบดูจะเป็นคนที่มีความคิดสุขุมรอบคอบ เห็นได้จากวิธีที่ท่านจัดการกับปัญหาระหว่างดาวิด และ อับซาโลม โยอาบเป็นคนกลางระหว่างดาวิดและอับซาโลมบุตรที่ถูกเนรเทศไป โยอาบตระหนักดีว่า ดาวิดอยากคืนดีกับลูก (13:39) จึงจัดให้นำหญิงฉลาดจากเทโคอามาทูลเรื่องร้องราวกับดาวิด (14:2) เมื่อดาวิดตัดสินคดีให้ หญิงคนนั้นจึงร้องขอให้ดาวิดทำอย่างเดียวกันกับอับซาโลมบุตรของ ตนเอง ดาวิดเข้าใจในทันทีและรู้ดีว่าโยอาบต้องเป็นผู้อยู่เบื้องหลังแน่นอน (14:19) แผนการของ โยอาบไม่ใช่ทำเพื่อตนเอง แต่ด้วยความตั้งใจให้ดาวิดและบุตรได้มาคืนดีกัน โยอาบต้องการให้ ดาวิดจัดการกับบุตรของตนเองเช่นเดียวกับที่จัดการกับคนอื่นๆ โยอาบรู้สึกพอใจและยินดีมากที่ดาวิด ยอมทำตาม (14:22) แต่หลังจากที่อับซาโลมกบฎต่อบิดาและพยายามแย่งชิงบัลลังก์ โยอาบกลับ จัดการกับอับซาโลมอย่างรุนแรง ดาวิดกลับเป็นฝ่ายที่ใจอ่อนและไม่เด็ดขาด ดาวิดสั่งทหารไม่ให้กระ ทำการใดๆรุนแรงกับอับซาโลม ซึ่งเป็นการตัดสินใจที่ไม่ฉลาดนัก เมื่อสบโอกาสโยอาบจึงเป็นผู้ฆ่า อับซาโลมด้วยตัวเองโดยมีลูกน้องให้การช่วยเหลือ (2 ซามุเอล 18:14-15) เมื่อดาวิดแสดงปฏิกิริยา ที่ไม่เหมาะสมต่อการตายของอับซาโลม โยอาบตำหนิท่านอย่างรุนแรง (19:5) และดาวิดก็ยอมทำ ตามคำแนะนำของโยอาบ (19:8)
นอกเหนือจากสิ่งดีที่โยอาบทำ เราอาจกล่าวได้ว่าท่านออกจะเป็นคนหัวรุนแรงและบางครั้งก็ทำในสิ่ง ที่โง่เขลาและสมควรถูกตำหนิ เมื่อดาวิดทำผิดศีลธรรมกับนางบัทเชบาและพยายามหาทางกำจัดสามี อุรียาห์ คนฮิตไทท์ของนาง โยอาบสมรู้ร่วมคิดอยู่ด้วย (ดู 2 ซามูเอล 11:6) ท่านไม่ได้คัดค้านความ ต้องการของดาวิด ยอมทำตามคำสั่ง 14 แต่เมื่ออับซาโลมเข้ามายึดอำนาจปกครองของดาวิดไปชั่ว คราว เขาตั้งอามาสา 15 ให้มาแทนที่โยอาบ ต่อมาเมื่ออับซาโลมถูกกำจัดออกไป และดาวิดกลับมา ปกครองต่อ ท่านกลับเลือกอามาสาให้เป็นแม่ทัพแทนที่โยอาบ (2 ซามูเอล 19:13) เละเมื่อเชบา คน เบนยามิน (เช่นเดียวกับ ซาอูล อิชโบเชท และอับเนอร์) ก่อกบฎต่อดาวิด อามาสาถูกสั่งให้ไประดม พลยูดาห์ และเมื่ออามาสากลับมาไม่ทันตามเวลา ดาวิดจึงสั่งให้อาบีชัย (พี่ชายของโยอาบ) ไปตาม ล่าเชบา (2 ซามูเอล 20:4-7) 16 อาบีชัยทำตามพร้อมด้วยโยอาบและลูกน้องไปช่วย เมื่อโยอาบเจอ กับอามาสาระหว่างทาง เขาก็ฆ่าอามาสาเสียเช่นเดียวกับที่ฆ่าอับเนอร์ (2 ซามูเอล 20:8-10) แล้วทั้ง โยอาบและอาบีชัยจึงไปติดตามเชบาต่อ (20:10) และเมื่อศีรษะของเชบาถูกโยนข้ามกำแพงมา โยอาบจึงเลิกการติดตาม ท่านกลับไป และได้รับตำแหน่งเดิม เป็นแม่ทัพของอิสราเอล (20:23)
เมื่อดาวิดเริ่มชราและไม่สามารถปกครองได้เหมือนเดิม ท่านยังไม่ยอมแต่งตั้งซาโลมอนให้ขึ้นมา แทนที่ อาโดนิยาห์ถือโอกาสในความชักช้าของดาวิด เล่นไม่ซื่อกับโซโลมอน ตั้งตัวเองขึ้นเป็น กษัตริย์แทน (1 พกษ. 1:5) อาโดนียาห์เป็นคนหน้าตาดี เกิดหลังจากที่อับซาโลมตายไปแล้ว (1:6) ดูท่าทางว่าดาวิดจะตามใจจน "เคยตัว" (1:6) โยอาบและอาบีอาธาร์ปุโรหิตเข้าร่วมเป็นพวกกับอาโด นียาห์ ในที่สุดนางบัทเชบาและนาธันผู้เผยพระวจนะชักจูงดาวิดเป็นผลสำเร็จให้แต่งตั้งโซโลมอนขึ้น มาสืบต่อราชบัลลังก์ เมื่อโซโลมอนขึ้นครองแล้ว ท่านปล่อยให้อาโดนียาห์มีชีวิตอยู่ (ชั่วขณะ) แต่ แล้วก็ถูกประหารเมื่อก่อการกบฎหมายจะแย่งชิงบัลลังก์อีกครั้งจากโซโลมอน (ด้วยการทูลขอนาง อาบีชาก สนมของดาวิดมาเป็นชายา) โยอาบเองก็ถูกประหารด้วย ไม่เพียงแต่ข้อหาสมรู้ร่วมคิดก่อ การกบฎต่อโซโลมอนเท่านั้น แต่เพราะเป็นผู้ฆ่าอับเนอร์และอามาสาด้วย (ดู 1 พกษ. 2:5-6, 28-35)
บทเรียนตอนนี้เป็นการอรรถาธิบายเพิ่มเติมสำหรับพระธรรมสองบทแรก ผมยังมีคำเทศนาอีกตอนที่จะ รวบรวมเอารายละเอียดปลีกย่อยเหล่านี้เข้าด้วยกัน ความตั้งใจของผมก็คือจะมุ่งเป้าไปที่เหตุการณ์ การเผชิญหน้ากันระหว่างโยอาบและอับเนอร์ ผมพยายามจะจดจ่อกับเหตุการณ์ที่นำไปสู่สงคราม ระหว่างประชากรของเผ่ายูดาห์และประชากรของอิสราเอล และผลที่เกิดขึ้นจากความขัดแย้งกันใน ครั้งนี้
ดาวิดแสวงหาการทรงนำจากพระเจ้าในการที่พระองค์จะนำท่านไปที่เมืองเฮโบรน เมื่อดาวิด ภรรยา และผู้ติดตามทั้งหลายและครอบครัวไปถึงเฮโบรนแล้ว ประชาชนชาวยูดาห์เจิมตั้งท่านขึ้นเป็นกษัตริย์ กษัตริย์ของยูดาห์ (2:1-4ก) ดาวิดรู้สึกพอใจและขอบคุณชาวยาเบชกิเลอาดในเรื่องที่เขาจัดการกับ ศพของซาอูล (2:4ข-7) ทำให้ประชาชนชาวอิสราเอลเองก็อยากให้ดาวิดขึ้นปกครองเป็นกษัตริย์ของ อิสราเอลด้วย แต่จากคำพูดของอับเนอร์ใน 3:17-19 แสดงให้เห็นว่าคนอิสราเอลไม่เพียงแต่รู้ว่า ดาวิดได้รับการเจิมตั้งใ้ห้ขึ้นมาแทนซาอูลเท่านั้น พวกเขาต้องการให้เป็นจริงตามนั้นด้วย แต่ตัวปัญหา ก็คืออับเนอร์ ลูกพี่ลูกน้องของซาอูล อับเนอร์ต่อต้านไม่ยอมให้ดาวิดขึ้นครองแทนที่ซาอูล จึงสร้าง เหตุการณ์ต่างๆให้เกิดขึ้นเพื่อว่าอิชโบเชท บุตรที่รอดตายของซาอูลจะได้ขึ้นครองอยู่เหนืออิสราเอล เรื่องนี้ถึงกับทำให้การขึ้นครองราชย์เหนืออิสราเอลของดาวิดล่าช้าไปหลายปี (2:8-11)
แก๊งต่างๆที่ซ่องสุมกันมักเป็นตัวปัญหาปวดใจให้กับเมืองใหญ่หลายเมืองในทุกวันนี้ แก๊งพวกนี้สร้าง ความรู้สึกเป็นเอกลักษณ์และเป็นศูนย์รวมใจให้กับพวกสมาชิก เป็นสมาคมที่หลอกลวงและบิดเบือน ความจริง สร้างภาพลวงเพื่อแสวงหาผลประโยชน์บางประการ มีการออกไปตีรันฟันแทงเพื่อสร้าง ความเด่นและรักษาเกียรติภูมิของแก๊งเอาไว้ และเมื่อมันเกิดขึ้น ความคิดแรกของเราจะพุ่งเป้าไปว่า แก๊งพวกนี้ ต้องมีส่วนเกี่ยวข้องอยู่แน่นอน และเมื่อสมัครพรรคพวกคนใดคนหนึ่งของแก๊งบาดเจ็บ หรือถูกฆ่าตายโดยแก๊งอื่น จะมีการยกพวกไปตะลุมบอนกันให้เสียเลือดเสียเนื้อเพิ่มขึ้นไปอีก บางแก๊ง พยายามเพิ่มยอดการฆ่าคนของแก๊งอื่นเพื่อรักษา "สถานะ" ของแก๊งตัวเองเอาไว้ ("แก๊งเราเจ๋ง เรา จะไปฆ่าใคร ที่ใหน เมื่อไรก็ได้ทันทีที่ต้องการ!") สำหรับพวกเราแก๊งพวกนี้เป็นเรื่องไร้สาระสิ้นดี แต่สำหรับสมาชิกในแก๊งแล้ว ทุกอย่างสมเหตุผลดี ถึงแม้จะไม่ถูกต้องก็ตาม
เราชอบคิดว่าเรื่องแก๊งกวนเมืองพวกนี้เป็นผลผลิตชั้นเลวของยุคศตวรรษที่ยี่สิบ แต่เมื่อเราอ่านเรื่อง "การประลองฝีมือ" กันระหว่างพวกของอิชโบเชท 12 คน และข้าราชการของดาวิด 12 คน เรากลับไป คิดว่าเป็นเรื่องขัดแย้งกันของคนสมัยก่อน ไม่เห็นจะเกี่ยวกับเราตรงไหน ผมขอบอกว่ามีข้อแตกต่าง ระหว่างแก๊งในสมัยนี้กับ "การประลองฝีมือ" ในสมัย 2 ซามูเอล 2:12-17 อยู่เพียงนิดเดียว ข้อพิพาท ระหว่างเผ่าและข้อพิพาทระหว่างแก๊ง นับว่าเป็นเรื่องเดียวกันแน่นอน
ให้เราลองนำเอาเรื่องการประลองยุทธนี้มาปรับเป็นมุมมองสมัยใหม่กัน แก๊งทั้งสองคือ แก๊งของพวก เบนจี้ และแก๊งของพวกจูดส์ มีผู้นำฝ่ายหนึ่งคืออับเนอร์ (เผ่าเบนยามิน/คนอิสราเอล) และโยอาบ (เผ่ายูดาห์) มีข่าวกระเส็นกระสายไปทั่วว่าจะมีการปะทะกันระหว่างสองแก๊งคู่ปรับนี้ มีการนัดแนะ เวลาและสถานที่ไว้เรียบร้อย แก๊งเบนจี้นั่งอยู่ฝั่งหนึ่ง ส่วนแก๊งจูดส์นั่งฝั่งตรงข้ามหันหน้าเข้าหากัน อับเนอร์และโยอาบเริ่มเบ่งกล้ามยั่วให้ฝ่ายตรงข้ามคร้ามเกรง ในที่สุดทั้งสองฝ่ายตกลงให้มีการประ ลองกำลังเพื่อจะดูว่าฝ่ายใดแน่กว่ากัน มีการเลือกตัวแทน 12 คนจากทั้งสองฝ่าย ฝ่ายไหนชนะจะถือ ว่าเก่งที่สุด ปัญหาก็คือตัวแทนของทั้งสองฝ่ายมีความตั้งใจที่จะฆ่าคู่ต่อสู้ให้ตาย ดังนั้นเมื่อการประ ลองเริ่มขึ้น ต่างฝ่ายต่างดึงผมฝ่ายตรงข้ามไว้ แล้วเอามีดปักเข้าไปที่อก ทั้ง 24 คนตายหมด ซึ่งแน่ นอนทำให้เกิดการต่อสู้กันอย่างเอาเป็นเอาตายของทั้งสองฝ่ายตามมา มีคนตายลงอีกมากมาย
การประลองกำลังนี้ไม่ได้ก่อให้เกิดอะไรขึ้นมา นอกจากจะทำให้สถานการณ์ระหว่างชนเผ่ายูดาห์ และเผ่าอื่นๆในอิสราเอลซึ่งตึงเครียดอยู่แล้ว ทรุดหนักลงไปอีก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเผ่าเบนยามิน (เผ่าของอับเนอร์ ซาอูล และอิชโบเชท) โยอาบเป็นผู้ไม่รีรอที่จะรับคำท้า ในขณะที่อับเนอร์เป็นผู้ ริเริ่มก่อเหตุอันเลวร้ายในครั้งนี้ (เขามีจุดประสงค์ใดกันแน่?) ฝ่ายใดก็ตามเป็นผู้ชนะ มีแต่จะก่อให้ อีกฝ่ายหาทางแก้แค้นเอาคืน ผลการประลองกำลังครั้งนี้เป็นชัยชนะเพียงชั่วครู่ของฝ่ายข้าราชการ ของดาวิด และบทเริ่มต้นการสูญเสียของฝ่ายอิชโบเชท ฝ่ายหลังสามารถรวมตัวกันได้ จนกระทั่ง กลายเป็นสงครามระหว่างสองฝ่าย (ดู 2:25; 3:1, 6)
การประลองกำลังกันครั้งนี้สร้างผลกระทบต่อเนื่องเป็นส่วนตัวให้กับโยอาบ ในตอนแรก คนของ โยอาบดูเหมือนเป็นต่อพวกของอับเนอร์และอิชโบเชท อับเนอร์และพรรคพวกต้องถอยหนี และ อาสาเฮลก็ติดตามไปอย่างกระชั้นชิด อาสาเฮลเป็นน้องคนสุดท้องในจำนวนสามหนุ่มนี้ และตั้งใจ จะเอาชนะอับเนอร์ให้ได้ อาสาเฮลวิ่งตามอับเนอร์ไปติดๆ ซึ่งอับเนอร์ก็ทราบดี นี่เป็นโอกาสที่อาสา เฮลจะพิสูจน์ความเป็นชายของตนเองหรือเปล่า? เป็นนักรบผู้กล้าหาญเหมือนกับพี่ชายทั้งสองหรือ ไม่ ? อาจเป็นได้ แต่อับเนอร์รู้ดีว่าไม่เขาหรืออาสาเฮลต้องตายแน่ๆ เขาพยายามบอกให้อาสาเฮล กลับไปเสีย หรือไม่ก็ไปสู้กับทหารอิสราเอลคนอื่นแทน เขารู้ดีว่าหนทางเดียวที่จะหยุดอาสาเฮลได้ คือต้องฆ่าเสีย ซึ่งไม่ได้ยากเย็นอะไรนัก เขาไม่อยากจะทำเพราะกลัวว่าจะไม่อาจไปมองหน้าโยอาบ ผู้เป็นพี่ชายของอาสาเฮลได้อีก (ยังไม่นับอาบีชัย) เมื่ออาสาเฮลไม่ลดละการติดตาม อับเนอร์จึงใช้ โคนหอก ไม่ใช่ปลายหอก แทงอาสาเฮลจนตาย อับเนอร์คงต้องมีกำลังมหาศาลจึงทำเช่นนี้ได้ ดูเหมือนเขาหมดความอดทนกับอาสาเฮลต่อไป
โยอาบและอาบีชัยพี่ชายคงไม่ปล่อยให้น้องเล็กตายไปเปล่าๆ ต้องมีการตอบโต้อย่างสาสม — ฆ่า อับเนอร์คนที่ฆ่าอาสาเฮลเสีย ถ้าพวกเขาฆ่าอับเนอร์ในระหว่างสงคราม ไม่ถือว่าเป็นการฆาตรกรรม แต่เป็นการปกป้องประเทศชาติ (ดู 3:28-34; 1 พกษ. 2:30-33) ปัญหาคือขณะที่พวกยูดาห์ ข้าราช การของดาวิดมีชัยก่อน อับเนอร์และคนของเขามีโอกาสหนีไปหาที่ตั้งเพื่อป้องกันตนเองได้ที่บนยอด เขา (2 ซามูเอล 2:25) เมื่ออับเนอร์ร้องบอกให้พักรบ โยอาบตกลง เพราะคิดว่ายังไงๆวันนี้ก็คงตาม ไม่สำเร็จ (2:26-28)
สงครามระหว่างยูดาห์และอิสราเอลยังดำเนินต่อไป (3:1) ถ้าโยอาบและอาบีชัยมีโอกาสจัดการกับ อับเนอร์ได้อย่างถูกกฎหมาย พวกเขาไม่รีรอที่จะทำ สิ่งที่โยอาบไม่ตระหนักเลยคือ หนทางที่จะฆ่า อับเนอร์อย่างถูกกฎหมายนั้นใกล้จะหมดลง อับเนอร์สร้างความสำคัญให้กับตนเองโดยใช้ประโยชน์ จากการสงครามระหว่างอิสราเอลและยูดาห์ (3:6) ใครๆก็มองออกว่าท่านแม่ทัพของอิสราเอลกำลัง ทำอะไรอยู่ หลายครั้งในประวัติศาสตร์เราจะเห็นว่าสงครามจะยืดเยื้อหรือยุติได้ขึ้นอยู่กับว่าใครเป็นผู้ ได้ประโยชน์ มีสองสิ่งเกิดขึ้นในบทที่ 3 นี้ ที่ทำให้อับเนอร์นอกจากจะเปลี่ยนใจแล้วยังแปรพักตร์ด้วย
แรกๆ ขณะที่อิทธิพลของอับเนอร์ในอิสราเอลเพิ่มขึ้น พงศ์พันธุ์ของซาอูลกลับเสื่อมถอยลง และพงศ์ พันธ์ของดาวิดกลับจำเริญขึ้น อับเนอร์เป็นผู้ได้รับผลประโยชน์ส่วนใหญ่ในการนี้ แต่โอกาสทองนี้ กำลังจะหมดไป ประการที่สอง อับเนอร์เริ่มกล้าเกินเหตุ นำนางริสปาห์สนมคนหนึ่งของซาอูลมาเป็น ของตน ไม่ใช่เป็นเพราะความรักหรือหลงไหล หรือจริงใจจะแต่งงานด้วย แต่เป็นการแสดงออกให้รู้กัน ทั่วไปว่าอับเนอร์มีสิทธิจะขึ้นครองแทนซาอูล (ดู 2 ซามูเอล 16:20-23; 1 พกษ. 2:19-25) อับเนอร์ ทำการแต่งตั้งอิชโบเชทขึ้นเป็นกษัตริย์ด้วยตัวเอง แต่แล้วดูเหมือนตั้งใจจะเขี่ยให้พ้นไปจากทางและ ขึ้นแทนที่ อิชโบเชทเริ่มไม่พอใจการกระทำของอับเนอร์และขอคำอธิบาย อับเนอร์โกรธจัด อิชโบ เชท หัวโขนของอับเนอร์ กล้าดียังไงถึงมาถามเช่นนี้ อับเนอร์เตือนอิชโบเชทว่าเขาเองที่เป็นคนแต่ง ตั้งอิชโบเชทให้ขึ้นเป็นกษัตริย์ และปกป้องให้พ้นจากเงื้อมมือของดาวิด แล้วอิชโบเชทกล้าดียังไงถึง มาถามเรื่องการกระทำของเขา ? อิชโบเชทเงียบไป ไม่กล้าต่อปากต่อคำ เพราะรู้ดีว่าญาติผู้ใหญ่ คนนี้น่ากลัวเพียงใด ไม่ว่าจะมองในแง่ใดก็ตาม อับเนอร์กำลังควบคุมประเทศอิสราเอลอยู่
เรื่องจริงที่ดูเหมือนคลุมเครือไม่กล้าพูดกัน ตอนนี้ก็แจ่มแจ้งออกมาแล้ว : อับเนอร์ต่างหากที่ถือไพ่ เหนือกว่า หาใช่อิชโบเชทไม่ อับเนอร์เพียงแต่รอให้อิชโบทเชทยอมสละราชบัลลังก์เท่านั้น เขาจะได้ ไปเจรจาต่อรองกับดาวิด เพื่อที่จะได้เพิ่มผลประโยชน์มากขึ้น ตอนนี้อับเนอร์กำลังจะแปรพักตร์ เขา รู้ดีว่าถ้าพระเจ้ามีน้ำพระทัยให้ดาวิดปกครองอิสราเอล เป็นเรื่องที่หนีไม่พ้น แต่เขาต่างหากที่จะเป็นผู้ ทำหน้าที่เตรียมทางให้กับกษัตริย์ ; เขาทำได้แน่ ดังนั้นอับเนอร์จึงมีข้อเสนอไปยื่นให้ดาวิด เสนอให้ ดาวิดขึ้นเป็นกษัตริย์ของอิสราเอล แต่มีข้อแม้ ถ้าดาวิดยอมรับข้อเสนอ (3:13) อับเนอร์ก็จะได้ไป เจรจาต่อรองกับทั้งสองฝ่ายเพื่อทำพันธสัญญา ดูเหมือนว่า ดาวิดกำลังจะได้ขึ้นเป็นกษัตริย์ครอบ ครองทั้งอิสราเอลในที่สุด
พออ่านเรื่องข้อเสนอที่อับเนอร์มีให้ดาวิด ผมต้องแอบยิ้ม เพราะทำให้ผมนึกถึงเรื่องที่พึ่งเกิดขึ้นกับผม เมื่อสองสามเดือนก่อน ผมพยายามจะซ่อมที่เก็บเสียงให้กับรถของลูกสาว และตัดสินใจว่าวิธีที่ดีที่ สุดคือเชื่อมมันเข้ากับท่อไอเสีย ปัญหาก็คือผมไม่มีโลหะที่จะเชื่อมได้พอดี ผมรู้จักกับร้านแถวบ้าน ที่จะยอมขายโลหะในจำนวนน้อยให้กับผมได้ บังเอิญวันนั้นร้านปิด ตอนขากลับบ้าน ผมขับผ่านร้าน ขายเครื่องเก็บเสียงที่ยังเปิดอยู่ นอกจากรับซ่อมเครื่องเก็บเสียงแล้ว ร้านนี้ยังรับซ่อมช่วงล่างด้วย ผมไปยืนคอยในร้าน มีหลายคนรออยู่ก่อนหน้า แต่ไม่เห็นมีเจ้าหน้าที่ ผมจึงเดินเลยไปด้านหน้าร้าน เด็กหนุ่มคนหนึ่งบอกผมว่า "ตรงนี้เป็นที่รับซ่อมช่วงล่างครับ คุณต้องเดินอ้อมไปอีกฟาก เพื่อจะไป แผนกเครื่องเก็บเสียง" ผมก็เดินไป แต่ยังไม่เห็นใครอยู่ดี ในที่สุดก็มีผู้ชายคนหนึ่งเดินมาจากด้าน หลัง แต่งตัวเหมือนกับคนทำงานที่นั่น ผมเดินไปหาและบอกเขาว่าอยากจะได้โลหะสักหน่อยไป เชื่อมกับท่อไอเสียรถยนต์ที่บ้าน เขาก้มลงไปใต้ท้องรถ หยิบชิ้นโลหะชิ้นเล็กๆที่ตกอยูบน่พื้นส่งให้ "นี่หรือเปล่าที่คุณต้องการ?" เขาถาม "ใช่เลย" ผมตอบ "ราคาเท่าไหร่ครับ?" "ผมไม่รู้" เขาบอก "คุณ เอาไปเหอะ ; ผมไม่ได้ทำงานที่นี่หรอก"
ในที่สุดผมก็ต้องไปจบลงที่สำนักงานของร้าน ซึ่งผมต่อรองราคาได้เหลือแค่ 1 เหรียญ อย่างน้อยผม ก็เดินออกมาจากร้านได้โดยไม่รู้สึกผิด ประเด็นของเรื่องนี้ก็คือ ชายคนนี้เอาของที่ไม่ใช่ของตัวเองตั้ง แต่แรกมาให้ผม ในพระธรรมตอนนี้ อับเนอร์เอาอาณาจักรอิสราเอลมา "มอบ" ให้กับอิชโบเขท บุตร ผู้รอดตายของซาอูล อาณาจักรอิสราเอลไม่ได้เป็นของอับเนอร์ที่จะเที่ยวเอาไปมอบให้ใครต่อใครได้ ดาวิดต่างหากที่จะต้องเป็นกษัตริย์ ไม่ใช่อิชโบเชท ที่ร้ายไปกว่านั้น เมื่ออับเนอร์กับอิชโบเชทเริ่ม แตกคอ อับเนอร์นำอาณาจักรไปเสนอ "มอบ" ให้กับดาวิดแทน อีกครั้งแล้วที่เขาเอาของที่ไม่ใช่ของ ตัวเองไปเที่ยวมอบให้กับคนอื่น เขาทำให้ผมนึกถึงพวกมาร ที่เสนอจะ "มอบ" อาณาจักรให้กับพระ เจ้าของเรา (ดูมัทธิว 4:1-11; ลูกา 4:1-12)
ลองนึกดูว่าโยอาบจะโกรธและประหลาดใจขนาดไหนเมื่อกลับมาจากไปปล้นสดมภ์ 17 เพียงเพื่อจะ มารู้ว่าดาวิดได้ให้การต้อนรับอับเนอร์และคณะอย่างอบอุ่น และให้กลับไปโดยสวัสดิภาพ (3:22-23) ในขณะที่โยอาบออกไปรบพุ่งอยู่ ดาวิดอยู่บ้านทำสัญญาสงบศึก ผมว่าที่นำคำว่า "สวัสดิภาพ" มาใช้คงมีความหมายซ้อน เพื่อจะบ่งว่าสงครามสิ้นสุดลงแล้ว
เรื่องนี้ไม่ใช่ข่าวดีของทั้งโยอาบและพี่ชายอาบีชัย สำหรับพวกเขาสงครามยังไม่สิ้นสุดจนกว่าอับเนอร์ จะตายลง โยอาบกล่าวตำหนิที่ดาวิดปล่อยอับเนอร์ให้กลับไป เขาแน่ใจว่าจุดประสงค์ของอับเนอร์ไม่ น่าไว้ใจ (3:24-25) แต่ทว่าคำพูดของโยอาบไม่เข้าหูดาวิด เพราะไปค้านกับการตัดสินใจของท่าน โยอาบไม่มีทางเปลี่ยนใจดาวิดได้ ดังนั้นโยอาบจึงสั่งให้คนสนิทของท่านไปนำตัวอับเนอร์กลับมาที่ เฮโบรนอย่างลับๆ และเมื่อโยอาบได้ตัวอับเนอร์มา เขาจึงฆ่าทิ้งเสีย (3:27) เนื่องจากในขณะนั้น เป็นเวลาสงบศึก ไม่มีการสงคราม การฆ่าอับเนอร์จึงถือว่าเป็นการฆาตรกรรม ทันทีที่รู้เรื่อง ดาวิดรีบ ออกมาปฏิเสธว่าท่านไม่มีส่วนรู้เห็นใดๆทั้งสิ้น และท่านไม่เห็นด้วยกับการกระทำนี้ (3:28)
(1) เราเรียนรู้เรื่องเกี่ยวกับ"คน"จากบทเรียนตอนนี้ ผมเป็นคนประเภทที่เรียกว่า "เห็นขาวเป็น ขาว ดำเป็นดำ" ผมแน่ใจว่าติดนิสัยนี้มาตั้งแต่เด็กๆ เพราะชอบดูหนังคาวบอย (ตะวันตก) ในหนังคุณ จะดูออกได้ง่ายว่าใครเป็นพระเอก ใครเป็นผู้ร้าย — พระเอกมักจะสวมหมวกสีขาว ; ผู้ร้ายสวมหมวก สีดำ (อย่างน้อยก็ในสมัยผม เท่าที่จำได้ ) ผมจึงเป็นคนที่มองคนอื่นว่าสวมหมวกสีอะไร - ขาวหรือดำ ผมไม่ค่อยเห็นคนแบบนี้ในพระคัมภีร์มากนัก ดาวิดมักจะ "สวมหมวกขาว" เสียเป็นส่วนมาก แต่ก็มีหลาย ครั้งที่ท่าน "สวมหมวกดำ" ซึ่งวีรบุรุษในพระคัมภีร์หลายคนก็เป็นเช่นนั้น
แต่พอมาถึงโยอาบ ทฤษฎี "หมวกขาว หมวกดำ" ใช้ไม่ได้ครับ โยอาบเป็นคนโหด เขาฆ่าคนไปแล้ว สองคนอย่างเลือดเย็น และผมว่ามีเหตุผลสมควรที่จะพูดได้ว่าฆ่าไปอีกหลายในระหว่างสงคราม เรารู้ จากตัวอย่างเช่น อาบีชัยผู้เป็นพี่ฆ่าคนไป 300 คนด้วยมือข้างเดียวในสงคราม (2 ซามูเอล 23:18-19) และเขาเองเป็นผู้อยากฆ่าซาอูล (1 ซามูเอล 26:6-12) นอกจากฆาตรกรรมเลือดเย็นแล้ว ในพระ คัมภีร์พูดถึงคุณสมบัติที่ดีของโยอาบไว้หลายประการ บทสรุปก็คือว่า คนอย่างโยอาบไม่ได้สวมแต่ "หมวกขาว" หรือ "หมวกดำ"อย่างเดียว ; โยอาบสวมมันทั้งสองใบ แต่ทีละนิดทีละหน่อย
เมื่อมาทบทวนดู เรื่องนี้เกิดกับตัวเราเองด้วย แต่ความจริงคือ มีท่านผู้หนึ่งที่ "สวมแต่หมวกสีขาว" เป็นผู้ที่ปราศจากบาป — องค์พระเยซูคริสต์ พระองค์เป็นผู้เดียวที่ไม่มีบาป และเราต้องขอบพระคุณ พระเจ้าสำหรับเรื่องนี้ เพราะการตายของพระองค์บนไม้กางเขนที่เนินหัวกระโหลกนั้นให้ผลดีแก่เรา มหาศาล พระองค์ไม่ได้ตายเพราะบาปของพระองค์ แต่เพราะบาปของพวกเรา พระองค์ทรงแบกรับ การลงฑัณท์แทนเราที่บนกางเขน มอบความชอบธรรมของพระองค์ให้กับเรา แทนที่ความอธรรม สิ่ง ที่เราต้องทำเพื่อความรอดคือ ยอมรับในความผิดบาปของเรา และวางใจในสิ่งที่พระเยซูทรงกระทำ เพื่อเราบนไม้กางเขน
ถ้ามีเพียงบุคคลเดียวเท่านั้นที่เคยมีชีวิตอยู่บนโลกนี้ "สวมหมวกสีขาว" เราต้องยอมรับว่าพระเจ้ามัก ทำแผนการของพระองค์ให้สำเร็จลงโดยใช้คนที่ไม่สมบูรณ์แบบ พระเจ้าไม่มีข้อจำกัดในการใช้มนุษย์ เพื่องานของพระองค์ พระองค์สามารถใช้ความบาปและการทรยศของเรามาทำให้งานสำเร็จ อย่างที่ พระองค์ทรงกระทำกับพวกพี่ๆของโยเซฟ (ปฐมกาล 50:20) หรือแม้กระทั่งกับฟาโรห์เอง (โรม 9:17 -18) หรือใช้พวกที่ไม่เชื่อก็ได้ (โรม 9:19-24) เป็นความคิดที่น่าหนุนใจ ไม่มีสิ่งใดที่เราทำ จะ สามารถทำลายแผนการและพระประสงค์ของพระเจ้าได้ พระองค์สามารถใช้ความดื้อดึง การไม่เชื่อ ฟังของเรา มาทำให้พระประสงค์สำเร็จลงอย่างง่ายดายพอๆกับการเชื่อฟัง พระองค์ทรงใช้เราเพื่อพระ สิริของพระองค์ หรือแม้เพื่อประโยชน์ของตัวเราเอง ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง อำนายอธิปไตยของพระเจ้า หมายความว่า พระองค์สามารถและทรงกระทำแผนการ พระประสงค์และพระสัญญาของพระองค์ให้ สำเร็จลงได้ โดยใช้คนที่ไม่สมบูรณ์อย่างเราๆ ขอบพระคุณพระองค์
ขอให้เราระวังคำพูด ท่าทีและการกระทำของเราให้ดี อย่าไปคิดว่าว่าถ้าเราไม่อยู่ในมาตรฐาน หรือไม่ เติบโตเต็มที่ฝ่ายวิญญาณ พระเจ้าจะไม่หรือไม่สามารถใช้เราได้ พระองค์จะทรงใช้เรา ไม่ทางใดก็ ทางหนึ่ง อย่าใช้เป็นข้ออ้างเพื่อทำบาป หรือใช้ชีวิตแบบเรื่อยเปื่อย แต่ควรให้สิ่งนี้เป็นแรงบันดาลใจ ให้เราอยากปรนนิบัติรับใช้อย่างสุดกำลัง โดยรู้ดีว่าถึงแม้จะบกพร่องผิดพลาด แต่พระประสงค์และ พระสัญญาของพระเจ้านั้นไม่มีวันผิดพลาดแน่
ระวังอย่าไปหลงไหลได้ปลื้มกับบุคคล เหมือนกับว่าเขาไม่เคยทำบาป มีชีวิตน่ายกย่องนับถือ คน เหล่านี้อาจต้องการให้เรามองเขาเป็นแบบอย่าง เป็นคนเคร่งครัดศรัทธา มีจิตวิญญาณสูงส่ง และ ประสบความสำเร็จ ยิ่งผมอยู่มานานเท่าไร รู้จักผู้นำคริสเตียนมากมายเท่าไร ผมยิ่งตระหนักว่าพระ เจ้าทรงใช้ภาชนะที่แตกบิ่น เครื่องไม้เครื่องมือที่ไม่สมประกอบ มาทำให้พระประสงค์ของพระองค์ สำเร็จลง ผมต้องระวังไม่ไปยึดติดกับบุคคลมากนัก ให้ความไว้วางใจและมั่นใจมากเกินไป มนุษย์ ยังคงล้มเหลว พระเจ้าเท่านั้นที่ไม่ ขอให้เราจดจ่ออยู่ที่พระองค์ ไม่ใช่ที่มนุษย์ ถ้าทำเช่นนี้ มนุษย์ จะไม่ทำให้เราผิดหวังเมื่อเขาล้มลง เหมือนประหนึ่งว่าพระเจ้านั้นล้มลง มีพระเจ้าเท่านั้นที่อยู่เหนือ ความล้มเหลว
(2) เราเรีียนรู้เรื่องการฆาตรกรรมจากบทเรียนในตอนนี้ กฎหมายในพระคัมภีร์เดิมแยกแยะให้ เห็นชัดเจนระหว่างการฆ่ากันในสงคราม การฆ่าโดยไม่เจตนา หรือการฆาตรกรรม ในพระธรรมตอนนี้ อับเนอร์ไม่ถูกกล่าวหาว่าฆาตรกรรมอาสาเฮล หรืออาสาเฮลจะไม่ถูกกล่าวหา ถ้าฆ่าอับเนอร์ได้ โยอาบจะไม่ถูกกล่าวหาว่าเป็นฆาตรกรถ้าเขาฆ่าอับเนอร์ตายในสงคราม แต่ว่าการฆ่าอับเนอร์ในเวลา สันติ และต่อมาก็ฆ่าอามาสาอีก ชัดเจนว่าเป็นกรณีฆาตรกรรม การฆาตรกรรมมีการวางแผนล่วงหน้า และเห็นได้ชัดเจน เช่นที่ทั้งดาวิดและคนอิสราเอลเห็นเมื่อโยอาบฆ่าอับเนอร์
ถ้าการที่โยอาบฆ่าอับเนอร์เป็นการฆาตรกรรม ถึงแม้อับเนอร์เป็นผู้ฆ่าน้องชายก็ตาม แน่นอนการที่ ผู้เป็นแม่ฆ่าลูกในท้องที่ยังไม่ได้ถือกำเนิด (ยกเว้นในบางกรณี) ถ้าเด็กคนนั้นไม่ได้คุกคามชีวิตผู้ เป็นแม่ (ยกเว้นถ้าใช่ต้องดูเป็นกรณีๆไป) แต่มาขัดอิสรภาพ นับว่าเป็นความผิด ถ้าพระเจ้าถือเรื่อง การฆาตรกรรมอับเนอร์เป็นเรื่องร้ายแรง (ถึงแม้ฆ่าคนที่ร้ายและเห็นแก่ตัวก็ตาม) พระองค์จะจัดการ อย่างรุนแรงขนาดไหนกับคนที่ฆ่าเด็กที่ช่วยตัวเองไม่ได้ เด็กที่ต้องการการปกปักรักษาจากผู้เป็นแม่ แต่กลับถูกผู้เป็นแม่ฆ่าทิ้งเสีย ?
หลายปีมาแล้วในระหว่างปราศรัยก่อนการเลือกตั้งประธานาธิบดี มีคนถาม ยอร์ช บุช ว่าการทำแท้ง นับเป็นฆาตรกรรมหรือเปล่า ท่านตอบอย่างแบ่งรับแบ่งสู้ และไม่ได้ใจความ ผมคิดว่าคำตอบควรจะ เป็นดังนี้ : "การทำแท้งคือการพร่าชีวิตมนุษย์ การฆ่าคนไม่ถือว่าเป็นการฆาตรกรรมเสมอไป บางครั้ง เป็นอุบัติเหตุ บางครั้งเป็นการป้องกันตนเอง แต่ถ้าทำเพื่อสนองตัณหาตนเองด้วยชีวิตเด็กที่ไร้เดียง สา ถือว่าเป็นการฆาตรกรรม" ถ้าไม่ยอมรับว่าการฆ่าเด็กที่ยังไม่เกิดนับเป็นการฆาตรกรรม ก็ไม่ต้อง ปราศรัยต่อหรอกครับ เลิกได้เลย พระคัมภีร์พูดถึงสาเหตุในการฆ่าคน ว่าถูกจำกัดอยู่เพียงไม่กี่กรณี และประจานการฆ่าชีวิตผู้อื่นว่าเป็นฆาตรกรรม ให้เรามารับตามความจริงเถิดครับว่า : เด็กในครรภ์ที่ ยังไม่เป็นตัวนับว่ามีชีวิต ชีวิตของมนุษย์ การ "ทำลาย" ตัวอ่อนในครรภ์ก็เท่ากับทำลายชีวิตมนุษย์ และสมัยนี้ถือเรื่องการทำแท้งว่าเป็นเรื่องธรรมดา เป็นฆาตรกรรมนะครับ ดาวิดทำถูกที่ประนามเรื่อง การฆ่าอับเนอร์ เราควรจะถูกประนามขนาดไหนถ้าฆ่าเด็กบริสุทธิไร้เดียงสาในครรภ์ได้ลงคอ
(3) คนอิสราเอลยุคโบราณที่ได้อ่านพระธรรมซามูเอล และท่านผู้อ่านในสมัยนี้ ควรจะได้ บทเรียนเรื่องความแตกแยกจากพระธรรมตอนนี้ คุณว่าพระเจ้าต้องการให้ผู้อ่านพระธรรมเล่ม นี้รุ่นแรกๆ 18 เข้าใจในเรื่องใด ? มีคำสอนใดไปถึงพวกเขา ? เราไม่รู้แน่ว่าใครคือผู้ที่พระเจ้าดลใจให้ เขียนพระธรรมเล่มนี้ หรือรู้ว่าเขียนไว้ตั้งแต่เมื่อใด เป็นไปได้ว่าพระธรรม 1 และ 2 ซามูเอลเขียนขึ้น หลังจากที่อาณาจักร (อิสราเอล ภายใต้ปกครองของซาอูล ดาวิด และ โซโลมอน) สิ้นสุดลง และ ถูกแบ่งแยกไปโดยเรโหโบอัม และเยโรโบอัม (ดู 1 พกษ. 12)
คนอ่านรุ่นแรกๆคงถามตัวเองว่า "เป็นไปได้อย่างไรว่าอยู่ดีๆประเทศเดียว กลับกลายไปเป็นสอง ประเทศได้? " ถึงแม้ทุกคนจะรู้ดีเรื่องการแบ่งแยกอาณาจักรภายใต้ปกครองของเรโหโบอัม แ่ต่ปม ปัญหาของเรื่องนี้ย้อนหลังไปไกลกว่านั้น ที่จริงย้อนไปไกลถึงช่วงเวลาของดาวิด ไกลถึงเนื้อหาที่เรา กำลังศึกษาอยู่นี้ใน 2 ซามูเอลนี้ โดยไม่ตั้งใจ อับเนอร์เป็นผู้ปูทางของการแบ่งแยกนี้ โดยการตั้ง อิชโบเชทขึ้นเป็นกษัตริย์อิสราเอลแทนที่ซาอูล ทั้งอับเนอร์และโยอาบช่วยกันปูทางในการแตกแยก ในอนาคตด้วยการยกพวกมาประลองกำลังกัน และการประลองกำลังนี้กลับกลายเป็นสงครามอันยืด เยื้อต่อเนื่อง ความแตกแยกของทั้งสองฝ่ายขยายวงเพิ่มขึ้น เราอาจจะพูดได้ว่าเนื้อหาในตอนนี้ อธิบายถึง "รอยร้าว" ขั้นแรกของอาณาจักรอิสราเอล และรอยร้าวนี้ขยายมากขึ้นตามกาลเวลา จน กลายเป็นหุบเหวลึก ยากเกินกว่าที่จะเชื่อมต่อกันได้
การแบ่งแยกเกิดขึ้นได้อย่างง่ายดายและรวดเร็ว เพราะมีรอยร้าวมานานแล้ว ฐานของรอยร้าวเพียงแต่ รอคอยเวลา ดังนั้นการทำให้รอยร้าวกลายเป็นหุบเหวลึกจึงไม่ใช่เรื่องยาก แต่รอยร้าวนี้เกิดขึ้นได้ อย่างไรในตอนแรก? บทเรียนตอนนี้กำลังจะบอกเรา รอยร้าวเกิดขึ้นเพราะชายสองคนในตำแหน่ง ผู้นำกองทัพแต่ละฝ่าย อับเนอร์และโยอาบ ทั้งคู่ต่างก็มีสิ่งที่ตนเองมุ่งหวังอยู่ และสิ่งที่ทั้งคู่หวังเป็น สิ่งที่ไม่น่าชื่นชมนัก เป็นเหมือนผู้ชายสองคนพยายามจะพิสูจน์ให้เห็นถึงความเป็นชาย ทั้งคู่ต้องการ พิสูจน์ตัวเอง จึงเสนอให้มีการประลองกันในทันทีที่โอกาสอำนวย อันที่จริงมันไม่ได้พิสูจน์อะไรเลย เพียงแต่จุดชนวนสงคราม ทำให้มีการสูญเสียเลือดเนื้อ มีการฆาตรกรรม และทำให้การขึ้นครองเหนือ อิสราเอลของดาวิดต้องล่าช้าออกไป
ผมอยากจะพูดว่าการประลองกำลังนี้เป็นผลทำให้เกิดกรณีพิพาท ลามไปจนกลายเป็นการแบ่งแยก ดินแดน เป็นแบบเดียวกับการทะเลาะวิวาทแตกแยกกันในปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นระดับครอบครัว ระดับ โลก หรือระดับคริสตจักรก็ตาม ก่อนที่เราจะมาพิจารณาเรื่องนี้กัน ให้เรามาดูเรื่องราวของคริสตจักร ที่เมืองโครินธ์ในพระคัมภีร์ใหม่ก่อน เราเห็นเรื่องราวแบบเดียวกันกับพระธรรมตอนนี้เกิดขึ้นที่คริสต จักรในเมืองโครินธ์หรือเปล่า ? ชาวโครินธ์กำลังติดตามมนุษย์มากกว่าติดตามพระคริสต์ เช่นเดียว กับผู้คนในบทเรียนนี้กำลังติดตามอับเนอร์และโยอาบ ไม่ว่าคุณจะอยู่ฝ่ายใดก็ตาม คุณก็ต้องมีฝ่าย ตรงข้าม และมีกรณีพิพาทเข้ามาเกี่ยวข้อง และผู้นำของแต่ละฝ่ายก็ต้องการสร้างอาณาจักรของตน เองโดยใช้แรงงานผู้อื่น ผลก็คือผู้ที่พระเจ้าเลือกสรรให้เป็นผู้นำจะถูกผู้คนต่อต้านให้ตกไป ผมไม่ อยากจะพูดเรื่องเปรียบเทียบนี้ให้ลึกเกินไป แต่อยากจะบอกให้ทุกคนรู้ว่าความจริงว่า "ไม่มีสิ่งใด ใหม่ภายใต้ดวง อาทิตย์" (ดูปัญญาจารย์ 1:9)
ในสมัยเราก็เช่นกัน มีการแตกแยกในชีวิตสมรสเพราะภรรยาหรือสามีมัวแต่ห่วงศักดิ์ศรีของตนเอง มากกว่าจะถ่อมใจยอมให้กับคู่ครอง "การชิงดี ชิงเด่น" เอาชนะกันในชีวิตสมรส เป็นเพียงจุดเริ่มต้นที่ จะนำไปสู่สงครามอย่างเต็มรูปแบบ หญิงและชายมาที่คริสตจักร ด้วยความตั้งใจจะแสวงหา มาสร้าง อาณาจักรของตนเอง เพิ่มเติม(สร้างความประทับใจ) ให้กับผู้คนรอบตัว ทำให้เกิดมีการแบ่งพรรค แบ่งพวก มีการเลือกฝ่าย และเริ่มก่อสงครามแบบไม่ทันรู้เนื้อรู้ตัว
ส่วนมากการแตกแยกนี้เริ่มต้นทีละนิด เหมือนการแข่งขันกันในเชิงมิตรภาพ (มีการให้การสนับสนุน อย่างที่พวกเราทราบกันดี แม้กระทั่งในคริสตจักร) ผู้คนไม่ได้ตั้งใจจะให้เป็นเรื่องใหญ่ หรือทำให้ใคร เดือดร้อน เราบอกกับตัวเองว่า "เป็นเรื่องสนุกๆ ไม่มีพิษภัย" ดังนั้นวัยรุ่นสองคน ต่างฝ่ายต่างกำลัง คะนองเต็มที่ จอดติดไฟแดง มองกันไป มองกันมา เหยียบคันเร่งส่งเสียงดัง เพื่อให้อีกฝ่ายประทับใจ (โดยเฉพาะสาวๆที่นั่งมาด้วย) พอสัญญาณไฟเปลี่ยนเป็นสีเขียว ทั้งคู่ก็จะ "ลุยไปเลย" ไม่มีใครคิด ถึงอันตราย เพียงแต่อยากเล่นกันสนุกๆ แต่ไม่มีฝ่ายใดยอมอยู่ต่ำกว่าขีดจำกัดความเร็ว ไม่มีใครยอม แพ้ เพราะกลัวเสียหน้า ต่างฝ่ายต่างเร่งความเร็วขึ้นไปอีก จนถึงแยกไฟแดงหน้า ตอนนี้ไม่มีใครมา ห้ามได้ หรือไม่สามารถหยุดได้ทัน แล้วก็มีคุณแม่ลูกสามขับรถออกมาเมื่อเห็นสัญญาณไฟเขียว … ไม่มีใครอยากให้เรื่องนี้เกิดขึ้น ไม่มีใครคิดว่าจะเป็นโศกนาฏกรรม แต่เมื่อเราปล่อยให้ศักดิ์ศรีเข้ามา ครอบงำ มีการแข่งขัน ปัญหามันกำลังรออยู่ข้างหน้าครับ
เราสูญเสียมิตรภาพไปตั้งเท่าไรเพราะเรื่องศักดิ์ศรีและเอาชนะคะคานกัน ? ชีวิตสมรสกี่คู่ที่ต้องพัง ทลายลง ? คริสตจักรกี่แห่งที่ต้องแตกแยก ? เราอาจจะคิดว่าเป็นเรื่องสนุก มีเจตนาดี ไม่เห็นต้อง เป็นกังวล ความบาปส่วนใหญ่เริ่มจากสิ่งเล็กๆน้อยๆที่ดูไม่เป็นอันตราย ดูบริสุทธิใจ มีศักดิ์ศรีเล็กๆ น้อยๆ แข่งกันนิดๆหน่อยๆ อำกันเล่นๆ… . คำอุปมาในพระคัมภีร์พูดถึงเรื่องนี้ว่า :
"จงจับสุนัขจิ้งจอกมาให้เรา คือสุนัขจิ้งจอกตัวเล็ก ที่ทำลายสวนองุ่น เพราะสวนองุ่นของเรากำลังมีดอกแล้ว"
(เพลงซาโลมอน 2:15)
คนที่ล่อลวงเพื่อนบ้านของเขา และกล่าวว่า "ข้าล้อเล่นเท่านั้นเอง"
(สุภาษิต 26:19)
"น้ำผึ้งหยดเดียว" เป็นคำอุปมาที่เราชอบพูดกัน เรื่องใหญ่ไม่ได้ทำลายเรา แต่เรื่องเล็กๆน้อยๆ ที่ กลายเป็นเรื่องใหญ่ต่างหาก กินผลไม้ไปเพียงนิดเดียวไม่เห็นน่าจะเป็นเรื่องใหญ่ ; การจงใจขัดคำสั่ง พระเจ้าต่างหากที่เป็นเรื่อง "แข่งกันเล่นๆ" ไม่เห็นจะเสียหายตรงไหน? เรารู้ดีกว่านั้น ใช่ไม้ครับ ?
ผมสังเกตุว่าเราชอบพูดเล่นกันในบางเรื่องที่ไม่สมควร ผมรู้ว่าตลกบางเรื่องไม่ใช่เรื่องสกปรกเสมอไป บางทีตลกบางเรื่องก็มีคำพูดสองแง่สองง่ามที่ทำให้เรา — พอยอมรับได้ — ฟังได้ไม่คิดมาก ผมว่าคน ทำงานในสำนักงานชอบเล่าเรื่องตลกกัน พูดเรื่องต้องห้ามที่เรายอมรับได้ บางทีเราก็อำกันเพื่อจะดู ปฏิกิริยาโต้ตอบ ถ้าชักไม่ค่อยดี เราก็มักจะพูดว่า….."แหมแค่ล้อกันเล่นๆเท่านั้นเอง" แต่ถ้าดี เราก็จะ อำกันต่อจนกลายเป็นเรื่องใหญ่โต ขอให้เราระวังเรื่อง "เล็กๆน้อยๆ" ที่นำไปสู่ความบาปร้ายแรงนี้ให้ดี
ขอพูดเกี่ยวกับ "เรื่องเล็กๆน้อยๆ" อีกนิดนะครับ บ่อยครั้งที่เรื่องเล็กน้อยก่อให้เกิดการแตกแยกใน สัมพันธภาพกับพระเจ้าด้วย ความเป็นห่วงเป็นใยในผู้หลงหาย ต้องการเห็นผู้อื่นได้รับความรอดเริ่ม จืดจางลง ดูจะเป็นเรื่องเล็กน้อย ไม่สำคัญจนเราไม่รู้ตัวว่ามันกำลังเริ่มต้น การอธิษฐานเริ่มลดน้อยลง จนแทบจะไม่หลงเหลือ เวลาที่เรามีให้กับพระเจ้าหดสั้นลง แทบไม่ได้อ่านพระวจนะคำเลย เรื่องเล็ก น้อยเหล่านี้แหละคือรอยร้าว อาจไม่รู้ตัวเลยจนผ่านไปหลายเดือน หรือเป็นปี แต่เมื่อเผชิญปัญหา รอยร้าวจะขยายวงกว้างขึ้น กลายเป็นการแตกแยก ขอให้เราทั้งหลายระวังรอยร้าวให้ดี รอยร้าวที่เกิด ขึ้นเพราะความไม่ใส่ใจและปล่อยปะละเลยจนเกิดเรื่อง
ผมพูดเรื่องเหล่านี้ให้คริสเตียนฟัง คริสเตียนที่มีสัมพันธภาพกับพระเจ้าโดยความเชื่อในองค์พระเยซู คริสต์ รอยร้าวอาจเกิดขึ้นได้ ซึ่งทำให้สัมพันธภาพจืดจางลง ถึงจะไม่ทำให้การรอดพ้นจากบาปและ เป็นคนชอบธรรมในพระคริสต์จบลง แต่มันก็ทำให้สัมพันธภาพที่เคยติดสนิทในสามัคคีธรรมนั้นเหือด หายไป แต่หากว่าคุณไม่ใช่คริสเตียน คุณอาจยังไม่เคยยอมรับว่าเป็นคนบาป และต้องการได้รับการ อภัย คุณจะไม่มีทางแน่ใจได้เลยว่าคุณจะหลุดพ้นจากบาป และจะมีโอกาสมีชีวิตนิรันดร์กับพระเจ้า ถ้าเป็นเช่นนั้น ปัญหาของคุณไม่ใช่เรื่องรอยร้าวหรอกครับ แต่เป็นหุบเหวครับ — เป็นหุบเหวที่เกิดจาก ความบาปและตัดคุณออกจากพระเจ้า พระเยซูคริสต์ทรงเสด็จมาบนโลกนี้โดยปราศจากบาป เป็น พระบุตรของพระเจ้า — เป็นทั้งมนุษย์และเป็นพระเจ้า — ทรงสำแดงให้มนุษย์มองเห็นพระเจ้า และ ทรงสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนที่เนินหัวกระโหลก แบกรับบาปแทนเรา พระองค์ทรงขจัดหุบเหวที่กั้น กลางระหว่างพระเจ้าและมนุษย์ออกไปเสีย สิ่งเดียวที่คุณต้องทำคือยอมรับในความบาปของคุณ และ ต้องการได้รับการอภัย มาวางใจในการสละพระชนม์ของพระเยซูคริสต์ที่บนไม้กางเขนเพื่อเรา เป็น เพราะชีวิตของพระเยซู การสิ้นพระชนม์ และการคืนพระชนม์ ที่พระเจ้าจัดเตรียมไว้ให้คุณ เพียงแค่ คุณมาวางใจในพระเยซูเพื่อความรอด คุณก็จะได้รับ ถ้าคุณยังไม่เคยทำ ผมขออธิษฐานให้คุณทำ เสียแต่บัดนี้
11 ผมต้องขอบอกผู้อ่านก่อนว่า ผมกำลังอธิบายโดยใช้ความคิดเห็นส่วนตัว บางคนอาจไม่ยอมรับ เขาอาจคิดถูกก็เป็นได้
12 ใน 1 พงศาวดาร 2:16 เรียงตามลำดับให้อาบีชัยเป็นพี่คนโต ตามด้วยโยอาบและอาสาเฮลน้อง สุดท้อง ผมอยากจะขอเรียกว่า "สามหนุ่มสามมุม" จะดีกว่า (สำหรับคนที่เคยดูละคอนยอดฮิตเรื่องนี้ คงพอจำได้)
13 เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นหลังจากที่โยอาบฆ่าอับเนอร์ตาย ผมสงสัยว่าทำไมดาวิดไม่ตั้งท่านขึ้นเป็น แม่ทัพตั้งแต่ตอนนั้น กลับไปสัญญาว่าใครก็ตามที่ยกทัพไปต่อสู้กับชาวเยบุสก่อน จะได้เป็นแม่ทัพ และโยอาบก็เป็นคนแรกที่คว้าโอกาสนี้เอาไว้ได้ (1 พงศาวดาร 11:6)
14 การตายของอุรียาห์นั้นน่าสนใจ เพราะถ้าลองคิดดูจะเห็นถึงความหลอกลวงในแทบทุกเรื่อง โยอาบทำบาปโดยการฆ่าอับเนอร์ทั้งๆที่ไม่ได้อยู่ในสนามรบ อับเนอร์ไม่ได้ทำบาปเพราะเขาฆ่า อาสาเฮลในสนามรบ แต่พอดาวิดต้องการให้อุรียาห์ตาย กลับกลายเป็นเรื่องถูกกฎหมาย เพราะการ ตายของอุรียาห์ดูไม่ออก (ในตอนแรก) ว่าเป็นการฆาตกรรม แต่เป็นผลของสงคราม
15 เราเคยเกริ่นไปแล้วว่าอามาสาเกี่ยวดองเป็นญาติกับโยอาบและดาวิด มารดาของอามาสาและ มารดาของโยอาบเป็นพี่สาวของดาวิดทั้งคู่ – ดู 2 ซามูเอล 17:25; 19:13; 1 พงศาวดาร 2:16-17.
16 ไม่มีการตั้งข้อสงสัยใดๆ ในการที่อามาสาทำหน้าที่ได้อย่างเฉื่อยชา เพียงแต่คิดกันว่าเขาคงจะมา สาย
17 เป็นการปล้นสดมภ์พวกอิสราเอลหรือเปล่า ? น่าจะเป็นไปได้ แต่ไม่ได้มีการบอกไว้
18 จำได้ไม้ครับว่าต้นฉบับเดิม (ภาษาฮีบรู) ไม่มี 1 กัับ 2 ซามูเอล มีเพียงเล่มเดียว
สิ่งที่ทำให้ผมต้องคอยนานและยากเย็นที่สุดในชีวิตคือการได้ขับรถ …อย่างถูกกฎหมาย ปัญหาของผม ก็คือผมเริ่มขับรถเป็นตั้งแต่อายุ 12 ถ้าเป็นสมัยนี้คงไม่น่าตื่นเต้นหรอกครับ ผมต้องขอบอกก่อนว่าผมเกิด และเติบโตในถิ่นที่ผมสามารถขับรถไปไหนมาไหนได้สะดวกโดยไม่ต้องใช้ไฮเวย์ ถึงกระนั้นก็ตาม ผมไม่ รู้สึกสนุกเท่าไรที่ได้ขับรถไปตามถนนสายหลักของเมืองเชลตัน เมืองที่มีประชากรแค่ 6,000 คน ผมรู้สึก ว่าการรอคอยนี้เป็นเรื่องยิ่งใหญ่และยากเย็นที่สุดในชีวิต เวลาที่นักเทศน์เทศนาเรื่องการถูกรับขึ้นไป "และ พระเยซูจะเสด็จกลับมาในไม่ช้า" ผมกลัวมาก — ไม่ใช่เพราะเป็นคนบาปหลงหายหรอกครับ — แต่เป็น เพราะผู้เชื่ออย่างผม กลัวว่าจะถูกรับขึ้นไปก่อนที่จะได้ใบขับขี่!
ต้องขอยอมรับว่านิสัยขี้เกียจรอยังติดตัวผมมาจนทุกวันนี้ ขณะที่ผมเขียนคำเทศนาบทนี้ ผมใช้คอมพิว เตอร์ที่มีความเร็วพอสมควร (แต่ยังไม่เร็วอย่างที่ผมพอใจ — ผมอยากได้เครื่องใหม่ที่ไวกว่า) เพราะตัว ชิพทำงานเร็วจนระบบอื่นๆบางตัวในเครื่องทำไม่ทัน ; ทำให้ต้องเกิดการ "คอยกัน" ขึ้น การ"คอยกัน" นี้ (ตามความรู้อันน้อยนิดของผมเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์) ก็เหมือนกับต้องแลก "บัตรผ่าน" เวลาเล่มเกมส์ เมื่อผมซื้อแรมมาใส่ มันไม่รับทำตามที่ผมต้องการ แปลว่าผม "ต้องคอย" ต่อไปอีก ช้าไปอีกประมาณสอง สามวินาที
เมื่อบอกคุณไปแล้วว่าผมไม่ชอบคอย ผมว่าคุณหลายคนเองก็ไม่ชอบคอยเหมือนกัน ทำไมเราถึงต้องมี "ฟาสต์ฟู้ด" หลายสาขา? ทำไมเราถึงใช้ไมโครเวฟฟ์อุ่นอาหาร? เป็นเพราะเราขี้เกียจรอ หลายปีมาแล้ว มีบางคนเกิดความคิดอยากจะช่วยแก้ใขปัญหาจราจรที่บนทางด่วนด้านทิศเหนือ มีการนำระบบคอมพิว เตอร์มาควบคุมการจราจร มีการเพิ่มด่านเก็บเงินเข้าทางด่วน ทางเชื่อมเข้าทางด่วนมีรถค่อนข้างน้อย และ ไฟจะเป็นสีเขียวเมื่อคุณได้รับอณุญาตให้เข้าไปทางด่วนได้ นี่ไม่เกี่ยวกับว่าท่างด่วนมีรถมากหรือเปล่า แต่ เป็นเพราะคอมพิวเตอร์คิดว่าคุณน่าจะเข้าไปได้ เดี๋ยวนี้ไฟนั้นหายไปแล้ว อาจเป็นด้วยหลายสาเหตุ เช่น มีการซ่อมถนน แต่ผมเชื่อว่าเป็นเพราะคนขี้เกียจจอดรอมากกว่า ถ้าเห็นถนนโล่ง แต่ไฟยังแดงอยู่ คนก็ขับ เข้าไปอยู่ดี จะรอไปทำไม ! ยอมรับเถิดครับว่าเราเป็นประชากรของประเทศที่ไม่ชอบรอ
เมื่อผมศึกษาชีวิตของดาวิด ผมพบว่าท่านใช้เวลาในการรอคอยค่อนข้างมาก ดาวิดต้องคอยนานถึง 15 ปี นับจากที่ซามูเอลเจิมตั้งจนได้ขึ้นครองเป็นกษัตริย์เหนือยูดาห์ (ตามที่เราได้เรียนไปแล้ว) และนับไป อีก 7 ปี กว่าที่ท่านจะได้ขึ้นปกครองทั่วทั้งอิสราเอล ซึ่งก็หมายความว่าท่านต้องใช้เวลาในชีวิตรอคอยนานกว่า 20 ปีที่จะได้ขึ้นเป็นกษัตริย์ ดาวิดใช้เวลาแห่งการรอคอยเกินกว่าสองทศวรรษนี้อย่างไร? คือเรื่องราวที่เรา จะมาศึกษากันในวันนี้ ชีวิตของดาวิดในช่วงเวลาเหล่านี้สอนเรามากมายถึงการ "รอคอยองค์พระผู้เป็นเจ้า"
บทเรียนสองบทที่ผ่านมาพูดถึงผู้นำสำคัญสองคนคือ : (1) อับเนอร์ ลูกพี่ลูกน้องของซาอูล เป็นผู้คุมกอง ทัพอิสราเอล คุมอิชโบเชทบุตรของซาอูล จึงเหมือนกับคุมอิสราเอลไปด้วยในตัว ; และ (2) โยอาบ หลาน ของดาวิด น้องของอาบีชัย พี่ของอาสาเฮล เป็นผู้คุมกองทัพของดาวิด และแน่นอนกองทัพของยูดาห์ บทเรียนตอนนี้จะพูดถึงดาวิด ในช่วงเวลาแห่งการรอคอยที่แสนนานและหักเห กว่าจะได้ขึ้นไปสู่บัลลังก์ ของอิสราเอล พูดถึงท่าทีและการปฏิบัติตัวของท่านในระหว่างการรอคอยนี้ บทเรียนก่อนหน้านี้ครอบคลุม บทที่ 2 และ 3 ของพระธรรม 2 ซามูเอล บทนี้ก็เช่นกันแต่จะพูดถึงดาวิดแทน ผมเพิ่มเติมเข้าไปอีกหนึ่ง บท — บทที่ 4 — บวกกับ 5 ข้อแรกของบทที่ 5 บทที่เพิ่มเข้าไปนี้รวมเหตุการณ์ที่ดาวิดได้ขึ้นครองอยู่ เหนืออิสราเอลทั้งมวล
พระเจ้ายุติเรื่องของซาอูลลง ท่านฝ่าฝืนคำสั่งแม้จนกระทั่งนาทีสุดท้าย อาณาจักรของท่านจบสิ้น และเมื่อ ครั้งที่พระเจ้าส่งซามูเอลไปที่เบธเลเฮมเพื่อเจิมตั้งผู้ที่จะมาแทนซาอูล เมื่อซามูเอลไปถึง ดาวิดยังแทบไม่ มีตัวตน ไม่มีใครคิดฝันว่าดาวิดคือผู้ที่อยู่ในข่ายที่จะได้รับเลือกให้เป็นกษัตริย์ ท่านกำลังทำในสิ่งที่เด็กๆใน วัยท่านต้องทำ — ดูแลฝูงแกะฝูงเล็กให้บิดา (1 ซามูเอล 16:11; 17:28) เมื่อซามูเอลสั่งให้ไปเรียกดาวิด มา และทำการเจิมตั้งให้เ็ป็นกษัตริย์ ดาวิดคงจะสงสัยอยู่เหมือนกันว่าเวลาจะมาถึงเมื่อไร คำตอบก็คือ นาน กว่าที่ท่านจะคิดได้ แถมยังยากเย็นยิ่งกว่า
เมื่อเราอ่านพระธรรม 1 ซามูเอล 16 เราอ่านเรื่องดาวิดได้รับเลือกให้เล่นดนตรีถวาย และเป็นผู้ถือเครื่อง อาวุธให้กับซาอูล (16:14-23) ตอนนั้นท่านอาศัยอยู่ที่ในวังของกษัตริย์ ซึ่งดูเหมือนบัลลังก์อิสราเอลอยู่ ไกล้แค่เอื้อม ดาวิดนั้นยังเด็กเกินกว่าที่จะออกไปต่อสู้กับพวกฟิลิสเตียที่แนวหน้า ท่านจึงต้องทำหน้าที่ บรรเลงเพลงขับกล่อมซาอูลสลับกับดูแลฝูงแกะให้กับบิดา่ เมื่อพวกฟิลิสเตียมาโจมตีอิสราเอล โกลิอัท นักรบคนเก่ง ออกมาท้าทายคนอิสราเอลให้มาต่อสู้แบบตัวต่อตัว ถ้าใครชนะก็จะชนะขาดไปเลย ดาวิด รับคำท้าและฆ่าโกลิอัทสำเร็จ ทำให้ท่านกลายเป็นวีรบุรุษของอิสราเอลในพริบตา ทุกคนรักดาวิด รวมทั้ง กษัตริย์ด้วย (16:21; 19:5) ถ้าดนตรีของดาวิดทำให้จิตใจซาอูลสงบลงได้ แต่มีดนตรีแบบอื่นที่เกี่ยวกับ ดาวิดต่างหากที่ทำให้ซาอูลหลุดโลกไปเลย เมื่อดาวิดมีชัยเหนือโกลิอัท พวกผู้หญิงออกมาร้องรำทำ เพลงว่า :
"ซาอูลฆ่าคนเป็นพันๆ ดาวิดฆ่าคนเป็นหมื่นๆ"
(1 ซามูเอล 18:7)
แรกๆซาอูลเก็บความแค้นเคืองนี้ไว้ในใจ ท่านพยายามหาทางฆ่าดาวิดโดยทำให้ดูเหมือนเป็นอุบัติเหตุ ท่านพุ่งหอกใส่ดาวิด สร้างภาพให้ประชาชนเห็นว่า "ท่านเป็นบ้าไปชั่วขณะ" ต่อมาท่านส่งดาวิดไปรบ โดยหมายให้ไปตายในสงคราม 19 ท่านแต่งตั้งให้ดาวิดเป็นผู้บังคับกองพัน (18:13) หวังว่าความกล้า ของดาวิดที่พิชิตโกลิอัทได้ จะทำให้ท่านกล้าทำในสิ่งที่ "เกินตัว" โดยออกไปที่สนามรบและถูกฆ่าตาย ทุกสิ่งที่ซาอูลกระทำต่อดาวิดกลับทำให้ดาวิดได้รับความนิยมและมีอิทธิพลมากขึ้น ซาอูลเสนอมอบธิดา ให้ โดยแลกกับการที่ดาวิดสามารถนำปลายหนังองคชาติของชาวฟิลิสเตียมาให้ได้ 100 คน แทนที่ดาวิด จะถูกฆ่าตาย ท่านกลับฆ่าคนฟิลิสเตียตายถึง 200 คน ได้ภรรยาที่รักท่านมาครอง (รักมากกว่าบิดาของนาง เสียอีก) เหนือไปกว่านั้น ท่านได้รับการยอมรับนับถือจากผู้คนมากมาย ยกเว้นซาอูล
ต่อมาความอิจฉาของซาอูลเริ่มปิดไม่มิด ผู้คนเริ่มรู้ ท่านจึงสั่งให้โยนาธานและมหาดเล็กของท่านไปฆ่า ดาวิดเสีย (19:1) โยนาธานร้องขอความเมตตาจากบิดา และได้รับแต่เพียงชั่วระยะหนึ่ง (19:2-7) เมื่อ ดาวิดออกไปรบกับฟิลิสเตียอีกครั้ง ท่านประสพความสำเร็จอย่างสูง ซาอูลโกรธ จงใจพุ่งหอกใส่ดาวิดอีก กะจะให้ตายติดผนัง (19:8-10) ท่านส่งคนออกไปจับดาวิดถึงที่บ้าน แต่ก็ล้มเหลว ด้วยฝีมือธิดาของท่าน เอง (19:11-17) นับแต่นั้นดาวิดหนีออกห่างไปจากซาอูล ไปพึ่งพิงซามูเอลก่อน (19:18-24) หลังจาก นั้นจึงไปหาโยนาธาน (20:1-42)
ดาวิดเริ่มเห็นชัดแล้ว ว่าไม่มีประโยชน์อะไรที่จะไปคืนดีกับซาอูล ไปอยู่ไกล้หรือไปคอยรับใช้ ท่านต้องหนี และกลายไปเป็นผู้ลี้ภัย พระเจ้าทรงโปรดให้มีการแก้ใข ดาวิดหนีไปที่เมืองโนบก่อน ท่านได้รับความช่วย เหลือจากอาหิเมเลขปุโรหิต (21:1-9) ความมีเมตตาของอาหิเมเลขทำให้ต้องสูญเสียชีวิตของตนเอง ปุโรหิตคนอื่นๆ รวมทั้งครอบครัวทั้งสิ้นของพวกเขาที่อยู่ในเมืองโนบ (22:6-19) ดาวิดหนีต่อไปยังเมืองกัท และไปอาศัยอยู่ที่ถ้ำอดุลลัม ที่ซึ่งครอบครัวของท่าน เพื่อนๆ และคนอื่นๆที่ไม่พอใจซาอูลหนีตามไปอยู่ ด้วย (22:1-5) ดาวิดเกือบจะเผชิญหน้าจังๆกับซาอูลหลายครั้ง แต่พระเจ้าทรงช่วยกู้ท่านให้พ้นจากเงื้อม มือของซาอูลได้ ในช่วงเวลาเหล่านั้น ดาวิดเสี่ยงตายโดยการพยายามขอคืนดีกับซาอูลถึงสองครั้ง ถึงแม้ ซาอูลจะยอมกลับใจชั่วขณะ แต่ก็ยังไม่ยอมล้มเลิกการตามฆ่าศัตรูอย่างดาวิด ท่านทำผิดสัญญาที่มีต่อ ดาวิดทุกครั้งไป แต่ดาวิดกลับรักษาทุกคำพูดที่ท่านได้ลั่นวาจาไว้กับซาอูล :
16 อยู่มาเมื่อดาวิดทูลคำเหล่านี้ต่อซาอูลแล้ว ซาอูลตรัสว่า "ดาวิดบุตรของ ข้าเอ๋ย นั่นเป็นเสียงของเจ้าหรือ" ซาอูลก็ทรงส่งเสียงกันแสง 17 พระองค์ตรัส กับดาวิดว่า "เจ้าชอบธรรมยิ่งกว่าข้า เพราะเจ้าตอบแทนข้าด้วยความดี ในเมื่อ ข้าได้ตอบแทนเจ้าด้วยความร้าย 18 เจ้าได้ประกาศในวันนี้แล้วว่า เจ้าได้กระทำ ความดีต่อข้าอย่างไร ในการที่เจ้ามิได้ประหารข้าเสีย ในเมื่อพระเจ้าทรงมอบข้า ไว้ในมือของเจ้าแล้ว 19 เพราะว่าผู้ใดพบศัตรูของตน เขาจะยอมให้ปลอดภัยไป หรือ ดังนั้นขอพระเจ้าทรงกระทำดีแก่เจ้า สนองการที่เจ้าได้กระทำแก่ข้าในวันนี้ 20 บัดนี้ ดูเถิด ข้าประจักษ์แล้วว่า เจ้าจะเป็นพระราชาแน่ และราชอาณาจักร อิสราเอลจะสถาปนาอยู่ในมือของเจ้า 21 เพราะฉะนั้นจงปฏิญาณให้แก่ข้าในพระ นามของพระเจ้า ว่าเจ้าจะไม่ตัดพงศ์พันธุ์ของข้าเสียเมื่อข้าตายไป และเจ้าจะไม่ ทำลายชื่อของข้าเสียจากพงศ์พันธุ์บิดาของข้า" 22 ดาวิดก็ปฏิญาณให้แก่ซาอูล แล้วซาอูลก็เสด็จกลับพระราชวัง และดาวิดกับคนของท่านก็ขึ้นไปยังที่กำบังเข้ม แข็ง
(1 ซามูเอล 24:16-22)
เราอาจคิดว่าเมื่อดาวิดพยายามหลบหนีซาอูล ท่านคงไม่สามารถทำหน้าที่ที่มีต่อประชาชนได้ แต่ไม่เป็น เช่นนั้น ดาวิดช่วยชาวเคอีลาห์ให้พ้นจากการโจมตีของพวกฟิลิสเตีย (23:1-5) ในช่วงเวลาที่ท่านอาศัยอยู่ ที่เมืองศิกลาก ท่านออกไปปล้นสดมภ์จากพวกที่เป็นศัตรูของอิสราเอล ท่านนำของที่ริบมาได้ไปแบ่งให้ กับพี่น้องชาวยูดาห์ (27:1-12; 30:26-31) จึงไม่เป็นเรื่องน่าประหลาดใจที่ชาวยูดาห์ยินยอมน้อมรับท่าน ให้เป็นกษัตริย์ของพวกเขา
ในขณะที่ดูเหมือนว่าดาวิดต้องไปต่อสู้ให้ชาวฟิลิสเตีย ด้วยการมารบกับประชากรของท่านเอง พระเจ้า ดึงท่านออกจากการนั้นได้ทันท่วงที (29:1-11) ดาวิดกลับไปที่ศิกลากเพื่อจะไปพบว่าเมืองถูกปล้น ภรรยาและครอบครัวถูกลักพาไป ทรัพย์สมบัติที่มีอยู่ถูกขโมยไปสิ้น ทำให้ดาวิดต้องมุ่งลงใต้ ไปจัดการ กับพวกโจรอามาเลข ช่วยคนของท่านกลับมาได้ พร้อมทั้งนำทรัพย์สมบัติกลับคืนมาได้หมด เหตุการณ์นี้ นำท่านลงไปทางทิศใต้ ไกลจากสงครามที่อิสราเอลกำลังต่อสู้อยู่กับฟิลิสเตียที่ทางเหนือ การรบครั้งนี้ อิสราเอลแพ้ยับเยิน ซาอูลและบุตรทั้งสามถูกฆ่าตาย (30:1—31:13)
เมื่อดาวิดและคนของท่านกลับไปที่ศิกลากได้สองวัน มีเด็กหนุ่มชาวอามาเลขมาขอพบ ด้วยท่าทีที่เหน็ด เหนื่อยจากการเดินทางมาจากค่ายทหารของอิสราเอล หนีมาจากพวกฟิลิสเตีย เขารายงานดาวิดถึงข่าว การพ่ายแพ้ของอิสราเอล และโศกนาฏกรรมของซาอูลกับโยนาธาน เมื่อดาวิดซักถามรายละเอียด เขา อ้างว่าเป็นผู้ที่ลงมือจัดการซาอูลให้พ้นทุกข์ด้วยความ "เมตตา" เขานำเอามงกุฎและกำไลของซาอูลมา มอบให้กับดาวิด หวังว่าดาวิดจะรู้สึกพอใจและตกรางวัลให้อย่างงาม หลังจากที่ดาวิดและคนของท่านไว้ อาลัยให้กับซาอูลและความพ่ายแพ้ของอิสราเอลแล้ว ดาวิดสั่งให้ฆ่าชายคนนี้ทันที เพราะบังอาจไปแตะ ต้องผู้ที่พระเจ้าเจิมไว้ (2 ซามูเอล 1:1-16) ดาวิดแต่งบทเพลงไว้อาลัยให้กับซาอูล ท่านพูดว่าทั้งซาอูล และโยนาธานเป็นวีรบุรุษของชาติ เป็นบทเพลงที่ต้องสั่งสอนและถ่ายทอดไปสู่ลูกหลานของยูดาห์ เพื่อ ทุกคนจะให้เกียรติแก่กษััตริย์และบุตรของท่าน โยนาธาน (1:17-27)
เมื่อดาวิดได้รับเลือกให้มาดำรงตำแหน่งแทนที่ซาอูล — กษัตริย์องค์ต่อไปของอิสราเอล — เป็นเหตุการณ์ ที่เกิดขึ้นก่อนบทเรียนนี้ถึง 15 ปี ดาวิดไต่เต้าขึ้นมาจากเด็กเลี้ยงแกะที่ต่ำต้อย มีหน้าที่ดูและฝูงแกะสอง สามตัวให้กับบิดา มาเป็นทองแผ่นเดียวกับครอบครัวของซาอูล มาเป็นนักรบที่เก่งกล้าและมีตำแหน่งทาง ทหาร แต่เวลาการมรณกรรมของซาอูลและการขึ้นปกครองแทนของดาวิดยังมาไม่ถึงในทันที ซาอูล เริ่มไม่พอใจดาวิด เพราะท่านมีความวางใจในพระเจ้า มีความสัตย์ซื่อต่อกษัตริย์ และประสพความสำเร็จ ไปแทบทุกเรื่อง ดาวิดไม่ได้เป็น "ดาวเด่น" ในอิสราเอลที่ใครๆอยากอยู่ไกล้อีกต่อไป ท่านกลายไปเป็นผู้ ลี้ภัยที่คนอิสราเอลไม่กล้าคบหาและไม่อยากมีส่วนเกี่ยวข้องด้วย เพราะกลัวอาญาของซาอูล ดาวิดต้อง เจอกับประสพการณ์ที่หลายหลากมากมาย ที่ทำให้ท่านแข็งแกร่งขึ้น และพร้อมจะเป็นกษัตริย์ที่ดีต่อไปใน อนาคต ตอนนี้ท่านก็พร้อมแล้วที่จะขึ้นรับตำแหน่ง แต่พระเจ้ายังไม่พร้อมจะแต่งตั้งท่าน ดาวิดนั้นเหมือน ยาโคบอยู่หลายประการ มีความชื่นชมยินดีหลังจากทำงานหนักให้กับลาบันเพื่อแลกเอาภรรยา แต่กลับมา พบว่าต้องคอยต่อไปอีกถึงเจ็ดปีกว่าจะได้ตามที่หวัง ถึงแม้ดาวิดจะได้ขึ้นเป็นกษัตริย์ปกครองเหนือยูดาห์ ท่านต้องคอยอีกถึงเจ็ดปีกว่าจะได้ขึ้นปกครองทั่วอิสราเอล ให้เรามาพิจารณาดูเหตุการณ์ต่างๆที่นำไปสู่ การเจิมตั้งที่สมบูรณ์ของซามูเอลเมื่อหลายปีมาแล้ว และดูว่าดาวิดเรียนรู้ "การรอคอยองค์พระผู้เป็นเจ้า" ได้อย่างไร
หลังจากรอคอยมา 15 ปี ด้วยการหลบหนีจากซาอูล ดาวิดก็เรียนรู้ถึงข่าวมรณกรรมของซาอูลและบุตร ทั้งสามของท่าน หลังจากการไว้อาลัยผ่านไป ดาวิดทูลถามพระเจ้าว่าท่านควรทำอย่างไรดีเมื่อซาอูลมรณะ ไปแล้ว พระเจ้านำให้ดาวิดและคนของท่านกลับไปยังเมืองเฮโบรน ในแผ่นดินยูดาห์ ที่นี่เองที่ประชาชน ชาวยูดาห์มาเจิมตั้งท่านให้ขึ้นเป็นกษัตริย์ กษัตริย์ของยูดาห์ (2 ซามูเอล 2:1-4ก)
มีการอธิบายถึงการขึ้นทำหน้าที่กษัตริย์เป็นครั้งแรกของดาวิดใน 2:4ข-7 ดาวิดพยายามสืบเสาะข้อมูล เกี่ยวกับการรบในครั้งนั้นของซาอูล การรบที่ทำให้ซาอูลต้องเสียชีวิต ดาวิดได้รับรายงานเรื่องที่ชาวยาเบช กิเลอาดแสดงความกล้าหาญ นำศพของซาอูลกลับมาฝังอย่างถูกต้องตามพิธี ดาวิดทำหน้าที่อย่าง กษัตริย์พึงกระทำ ท่านสั่งประหารชายอามาเลขที่เอื้อมมือไปแตะต้องผู้ที่พระเจ้าเจิมไว้ ท่านยกย่องการ กระทำของชาวยาเบชกิเลอาดที่ปฏิบัติต่อซาอูลโดยไม่กลัวอันตราย สิ่งที่ท่านทำดูเหมือนกับที่ประธานา ธิบดีมอบเหรียญหล้าหาญ ให้กับการกระทำอย่างกล้าหาญและสมควรได้รับการยกย่อง
ผมต้องขอชี้ให้เห็นว่าในข้อความที่ดาวิดส่งไปชมเชยยกย่องการกระทำของชาวยาเบชกิเลอาดนั้น มีการ แจ้งให้รู้ว่าท่านได้รับการเจิมตั้งจากชาวยูดาห์ให้ขึ้นเป็นกษัตริย์ด้วย (2:7) สิ่งนี้อาจเป็นการบอกทางอ้อม ว่าท่านพร้อมที่จะขึ้นปกครองอิสราเอลด้วยเช่นกัน ผมสงสัยว่าชาวยาเบชกิเลอาดและคนอื่นๆในอิสราเอล จะรู้สึกอย่างไร (ยกเว้นอับเนอร์ — ดู 3:17-19) แต่ดาวิดก็ไม่ได้พยายามผลักดันเรื่องนี้ และที่จริงก็ยังไม่ มีสิ่งใดเกิดขึ้น
สาเหตุที่ดาวิดยังไม่สามารถขึ้นปกครองอยู่เหนืออิสราเอลได้เป็นเพราะอับเนอร์ ลูกพี่ลูกน้องของซาอูล และเป็นแม่ทัพของอิสราเอล (2:8-11) การกระทำของอับเนอร์ไม่โปร่งใส เขารู้ดีว่าพระเจ้าเจิมตั้งดาวิด ให้เป็นกษัตริย์องค์ต่อไปของอิสราเอล และประชาชนก็ต้องการเช่นนั้น (3:8-10, 17-19) อับเนอร์จงใจ ที่จะหลีกเลี่ยงหรือยั้งการขึ้นแทนที่ของซาอูล (และบุตรของท่าน) ให้ล่าช้าออกไป อับเนอร์ตั้งอิชโบเชท ให้ขึ้นมาแทนที่ซาอูล คงไม่มีใครกล้าเถียงกับอับเนอร์ เพราะเป็นเชื้อพระวงศ์ที่ใกล้ชิดที่สุด แถมยังมีกอง กำลังอยู่ในมือด้วย ใครจะไปกล้าขัดขวางอับเนอร์และอิชโบเชทได้ล่ะ?
1 ทุกคนจงยอมอยู่ใต้บังคับของผู้ที่มีอำนาจปกครอง เพราะว่าไม่มีอำนาจ ใดเลย ที่มิได้มาจากพระเจ้า และผู้ที่ทรงอำนาจนั้น พระเจ้าทรงแต่งตั้งขึ้น 2 เหตุฉะนั้นผู้ที่ขัดขืนอำนาจนั้น ก็ขัดขืนผู้ซึ่งพระเจ้าทรงแต่งตั้งขึ้น และ ผู้ที่และผู้ที่ขัดขืนนั้นจะต้องถูกพิพากษาลงโทษ
(โรม 13:1-2)
คงไม่มีใครกล้าพูดได้เต็มปากว่าอิชโบเชทขึ้นเป็นกษัตริย์เหนืออิสราเอลเพราะประชาชนเรียกร้อง หรือ เพราะอับเนอร์เจ้ากี้เจ้าการจัดการโดยไม่สนคำครหา อับเนอร์กำลังหาผลประโยชน์ใส่ตัวด้วยการแต่งตั้ง อิชโบเชทขึ้นเป็นกษัตริย์ ถึงกระนั้นก็ดี ดาวิดยอมรับความจริงว่า ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นมาจากพระเจ้า พระ องค์ต้องการให้ท่านอยู่ในตำแหน่งนี้ด้วยพระประสงค์บางอย่าง ท่านจะไม่ต่อต้านกษัตริย์ของอิสราเอล หรือแม้กระทั่งท่านต้องสละตำแหน่งก็ตาม นอกจากนั้น ดาวิดเคยลั่นวาจาไว้กับซาอูล ว่าจะไม่ตัดวงศ์วาน ของท่านออกไป ไม่ทำลายชื่อของท่านออกไปจากบรรพบุรุษ ดาวิดจะไม่ปลดอิชโบเชทลง ท่านทำไม่ได้ เพราะขัดกับสัญญาที่ท่านให้ไว้กับซาอูล ท่านเป็นผู้ที่เคารพกฎกติกา ท่านเป็นผู้ที่ยินดีรอคอยอีกเจ็ดปีเพื่อ รักษาสัญญา ท่านกำลังรอคอยองค์พระผู้เป็นเจ้า
ดาวิดดูจะหายๆไปจาก 2:12—3:11 ถึงแม้จะมีการเอ่ยถึงบ้าง แต่ก็ไม่ใช่เป็นเรื่องสลักสำคัญอะไร บุคคล ที่สำคัญสำหรับตอนนี้คืออับเนอร์ แม่ทัพของอิสราเอล และโยอาบ คนของดาวิด ผู้คุมกองกำลังทั้งหมด ของยูดาห์ ทั้งคู่ตกลงให้มีการ "ประลองกัน" ซึ่งนอกจากจะทำให้มีคนตายถึง 24 คนแล้ว ยังจุดชนวน สงครามระหว่างคนอิสราเอลและยูดาห์ให้เกิดขึ้น ทุกอย่างเป็นเพราะการท้าทายกันด้วยเรื่องไร้สาระ การแสดงความอวดดีของทั้งสองฝ่าย อับเนอร์และโยอาบ สงครามนี้ยืดเยื้อ ทำให้อิสราเอลแตกแยก ยิ่งขึ้นไปอีก มีคนล้มตายมากมาย และหลายคนต้องเป็นทุกข์โดยไม่จำเป็น และนำไปสู่การที่โยอาบ ทำฆาตรกรรมอับเนอร์
มองดูมุมไหนก็ตาม เรื่องนี้เป็นเรื่องแย่มาก ทั้งสองฝ่ายมาประลองกำลังกัน มีการเสียเลือดเนื้อ และนำไปสู่ สงคราม ในการสู้กันครั้งนี้ อาสาเฮล น้องชายของอาบีชัยและโยอาบ เกิดเลือดร้อนออกไล่ตามอับเนอร์ไป แบบไม่ลดละ อับเนอร์ไม่ได้อยากฆ่าอาสาเฮล แต่รู้ดีว่าเด็กคนนี้คงไม่ยอมล้มเลิกง่ายๆ ในที่สุด เมื่อไม่มี ทางพูดให้อาสาเฮลเปลี่ยนใจได้แล้ว อับเนอร์จึงฆ่าเขาเสีย นี่ไม่ใช่เป็นการฆาตรกรรม แต่เป็นเหตุการณ์ ที่เกิดขึ้นในระหว่างสงคราม น่าจะเป็นการป้องกันตัว แต่โยอาบไม่ยอมรับ เขาต้องการแก้แค้น
ปัญหาก็คือดาวิดและอับเนอร์ยุติสงคราม อับเนอร์เริ่มทำในสิ่งที่กล้ามากขึ้นทุกที หลังจากที่เป็นตัวที่บงการ อยู่เบื้องหลัง ในที่สุดก็เริ่มไม่สนใจอีกต่อไป นำเอาสนมของซาอูลมาเป็นของตน การกระทำนี้เป็นการ ประกาศกลายๆว่าเขากำลังจะมาแทนที่ซาอูล (ดู 1 พกษ. 2:13-25; เทียบกับปฐมกาล 35:22; 49:3-4) อิชโบเชทเห็นว่าเรื่องนี้ออกจะเลยเถิด จึงรวบรวมความกล้าไปพูดกับอับเนอร์ พออับเนอร์ถูกอิชโบเชท ตำหนิ ก็ระเบิดเป็นฟืนเป็นไฟขึ้นมาทันที กลับต่อว่าอิชโบเชทและสอนให้สำนึกในบุญคุณ และเตือนให้รู้ว่า ใครกันแน่ที่เป็นใหญ่ เขาถือโอกาสนี้แปรพักตร์ ตอนนั้นวงศ์วานของดาวิดเริ่มมั่นคงขึ้นเหนือวงศ์วานของ ซาอูล (3:1); ในความคิดของอับเนอร์ น่าจะถึงเวลาแล้วที่ไปถือหางฝ่ายชนะ เขาประกาศกับอิชโบเชท ว่าจะไปสนับสนุนดาวิด และจะให้ดาวิดขึ้นเป็นกษัตริย์ อับเนอร์ นายหน้าหากษัตริย์ แต่งตั้งอิชโบเชทขึ้น เป็นกษัตริย์ และตอนนี้คิดจะตั้งดาวิดขึ้นเป็นกษัตริย์ อิชโบเชททั้งกลัวและกดดัน เป็นครั้งสุดท้ายแล้ว ที่เขากล้าคิดจะไปพูดเตือนอับเนอร์ (3:6-11)
อับเนอร์ไปหาดาวิดพร้อมกับยื่นข้อเสนอให้เป็นกษัตริย์ เขาอ้างว่ากำลัง "ทำหน้าที่" และแผ่นดินนี้ก็เป็น ของเขา ถ้าดาวิดยอมตกลงกับอับเนอร์ เขาจะเข้ามาจัดการที่เหลือให้ เขาสัญญาจะนำอิสราเอลมามอบให้ ดาวิด ดูเหมือนว่าถ้าอับเนอร์มีชีวิตอยู่ เขาคงทำตามที่พูดไว้แน่ ก่อนตายอับเนอร์พบกับผู้นำของทั้งสอง ฝ่าย เป็นการตกลงกันตามหลักการ เหลือแต่ลงมือกระทำให้เกิดขึ้นเท่านั้น
การตาย "ก่อนเวลาอันควร" ทำให้ทุกสิ่งหยุดชงักในทันที สิ่งที่อับเนอร์สัญญาไว้กับดาวิด และดูเหมือน เขาน่าจะทำได้ ต้องยุติลงเพราะความตายของเขาเอง อับเนอร์มาหาดาวิดพร้อมกับคณะ มีการตกลงเจรจา มีการประกาศสงบศึก สงครามระหว่างอิสราเอลและยูดาห์จบลงอย่างเป็นทางการ สองครั้งในพระธรรม ตอนนี้ที่พูดว่าอับเนอร์จากไป "โดยสวัสดิภาพ" (3:22, 23) ผมเข้าใจว่าคำนี้หมายความว่าสงครามได้ ยุติลงแล้ว ซึ่งก็แปลว่าโยอาบไม่อาจฆ่าอับเนอร์ได้อย่างถูกกฎหมายอีกต่อไป ; ถ้าจะฆ่าอับเนอร์ในตอน นี้ก็เท่ากับเป็นการฆาตรกรรม เพราะเป็นเวลาสงบ ปลอดสงคราม (ดู 1 พกษ. 2:5)
ในขณะที่ดาวิดเจรจาเรื่อง "สันติภาพ" กับอับเนอร์ โยอาบออกไป "ทำสงคราม" เขาพึ่งกลับจากการไป ปล้นสดมภ์มา เราไม่รู้ว่าไปปล้นใคร แต่มีทางเป็นไปได้ว่าโยอาบไปปล้นสดมภ์จากชาวอิสราเอล เมื่อ โยอาบกลับมาถึง มีคนบอกเขาว่าอับเนอร์มาพบกับดาวิด และกลับไปแล้วโดยสวัสดิภาพ โยอาบโกรธจัด ดาวิดทำไมถึงทำอะไรโง่ๆเช่นนี้ ไม่จับตัวอับเนอร์ไว้? รู้หรือไม่ว่านี่เป็นการเล่นตลกของอับเนอร์? ดาวิด ไม่เชื่อโยอาบ และเมื่อโยอาบไปจากดาวิด เขาส่งคนไปจับตัวอับเนอร์กลับมาอย่างลับๆ พาไปในสถานที่ ที่จะจัดการได้ และในที่สุดก็ฆ่าอับเนอร์ทิ้งเสีย
เมื่อดาวิดรู้เรื่องที่โยอาบฆ่าอับเนอร์ ท่านตัดสินใจทำบางสิ่งในทันที ท่านประกาศไม่เห็นด้วยกับการกระทำ ของโยอาบ โยอาบไม่มีข้อแก้ตัว ดาวิดกล่าวโทษการฆาตรกรรมและขอให้พระเจ้าลงโทษโยอาบและพงศ์ พันธ์ของท่าน (3:28-29) ดาวิดจัดพิธีไว้อาลัยให้อับเนอร์ และจัดพิธีฝังศพให้อย่างสมเกียรติ ถึงแม้จะตาย อย่างไม่สมเกียรตินักก็ตาม (ตายเหมือนคนโง่) ดาวิดไม่เพียงแต่เดินตามขบวนศพเท่านั้น ท่านร้องไห้เสียง ดังและคร่ำครวญให้อับเนอร์ ท่านอดอาหารหนึ่งวัน เป็นเรื่องชัดเจนว่าดาวิดไม่มีส่วนรู้เห็นทั้งสิ้นกับการตาย ของอับเนอร์ ทุกคนรู้และเข้าใจเป็นอย่างดี (3:31-39) ประชาชนเริ่มชื่นชอบท่านมากขึ้นทุกที
ผมอดคิดไม่ได้ว่าพระเจ้าจัดการย้ายอับเนอร์ออกไป เพื่อดาวิดจะยังไม่ได้ขึ้นเป็นกษัตริย์ ต้องขอบใจ อับเนอร์ นายหน้าหากษัตริย์ แต่ต้องขอบพระคุณองค์พระผู้จัดเตรียม ของเราด้วย การที่อับเนอร์เปลี่ยน ค่ายจากอิชโบเชทมาเป็นดาวิดนั้นเป็นเรื่องน่าสงสัย การที่อับเนอร์มาหาดาวิดนั้นเป็นวิธีการที่ไกล้เคียง กับที่มารมาหาองค์พระเยซูคริสต์ในระหว่างสี่สิบวัน (มัทธิว 4:1-11; ลูกา 4:1-12) เช่นเดียวกับพวกมาร อับเนอร์อ้างว่าอาณาจักรที่นำมามอบให้นั้น เขาเป็นเจ้าของ (เทียบกับ 2 ซามูเอล 3:12; ลูกา 4:5-7) อับเนอร์ต้องการให้ดาวิดทำสัญญากับเขา (2 ซามุเอล 3:12) แต่เมื่อดาวิดได้ขึ้นครองเป็นกษัตริย์เหนือ อิสราเอล ท่านทำพันธสัญญากับพวกเขา (ประชาชน) "ต่อหน้าองค์พระผู้เป็นเจ้า" (2 ซามูเอล 5:3) อย่างไรก็ตาม ผมเห็นว่าสิ่งที่อับเนอร์เสนอนั้นเป็นทางลัด และทางสะดวกจากพระประสงค์ของพระเจ้าที่ เตรียมไว้ให้กับดาวิด ถ้าเป็นเช่นนั้น การที่อับเนอร์ตายและเป็นเหตุทำให้การขึ้นครองต้องล่าช้าออกไป จึงเป็นเรื่องสมเหตุสมผล
ดาวิดรับข้อเสนอของอับเนอร์ ด้วยเงื่อนใขหนึ่งประการ คือต้องนำภรรยาของท่าน มีคาลมาคืน (2 ซามูเอล 3:13-15) เมราบบุตรสาวคนโตถูกเสนอให้ดาวิดก่อน แต่ดาวิดไม่รับข้อเสนอ แต่ท่านยอมรับเมื่อซาอูล เสนอบุตรสาวคนที่สอง มีคาลให้ สตรีนางนี้ได้ถูกมอบให้ดาวิดแล้ว และมีการแต่งงานเป็นทางการ แต่ทว่า เมื่อดาวิดไม่ได้เป็นที่โปรดปรานของซาอูล และต้องหนีเตลิดไป ซาอูลกลับไปนำตัวมีคาลไปมอบให้ชายที่ ชื่อว่าลาอิชแทน (ดู 1 ซามูเอล 25:44)
เหตุใดดาวิดจึงยืนยันที่จะเอาภรรยาคนนี้กลับคืนมาให้ได้? แรกและสำคัญที่สุด ผมเชื่อว่าคือนางเป็น ภรรยาของดาวิด ดาวิดไม่ได้นำนางหนีไปด้วยเมื่อท่านหลบหนีไปจากซาอูล แต่ท่านได้แต่งงานกับนาง และใช้ชีวิตฉันสามีภรรยามาก่อน ถึงแม้ซาอูลจะนำนางไปมอบให้เป็นภรรยาคนอื่นแล้วก็ตาม สำหรับดาวิด นางก็ยังเป็นภรรยาของท่านอยู่ ดาวิดเชื่อในความมั่นคงของการแต่งงาน เชื่อว่านางยังเป็นภรรยา และต้อง การได้นางคืนมา ประการที่สองที่ดาวิดต้องการให้อิชโบเชทนำมีคาลกลับมามอบให้ท่าน เพราะซาอูลผู้ เป็นบิดาได้พรากมีคาลไปจากดาวิด ; ให้คนที่ขึ้นมาปกครองแทนซาอูลได้แก้ใขและทำในสิ่งที่ถูกต้อง ประการที่สาม เมื่อ "การประลอง" กันระหว่างคนของอับเนอร์ 12 คน และคนของโยอาบ 12 คน เป็นตัวจุด ชนวนสงคราม การที่ดาวิดและมีคาลได้กลับมาอยู่ด้วยกันอีกครั้ง จึงเป็นสัญลักษณ์ที่เชื่อมเป็นทองแผ่น เดียวกันระหว่างพงศ์พันธ์ของดาวิดและพงศ์พันธ์ของซาอูล ดาวิดต้องการได้มีคาลกลับคืนมาเพราะนาง เป็นภรรยาของท่าน ท่านรักนาง และต้องการเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับประชากรของท่าน
เมื่ออับเนอร์ตายลงด้วยฝีมือของโยอาบ อิชโบเชทหมดกำลังใจ ท่านสู้อับเนอร์ไม่ได้อยู่แล้ว ไม่ต้องมาพูด เรื่องสู้กับดาวิดเลย ตอนนี้อิชโบเชทไม่เหลือใคร แถมรู้ด้วยว่ามีการตั้งดาวิดให้ขึ้นมาปกครองแทน ตามที่ผู้ เขียนอธิบายไว้ อิชโบเชท "กลัวจนหัวหด" (ตามที่เราชอบพูดกัน) และคนอิสราเอลเริ่มทุกข์ใจ จะเกิดอะไร ขึ้นต่อไป?
ผู้ชายสองคนคิดว่าตัวเองมีคำตอบ ทั้งคู่เป็นคนในเผ่าเบนยามิน เป็นผู้คุมกองปล้นของอิสราเอล (4:2) ทั้งคู่มีชื่อว่า บาอานาห์ และเรคาบ เป็นบุตรของริมโมน พูดอย่างตรงไปตรงมา อิชโบเชทเป็นเด็กอ่อนหัด ไม่สามารถปกครองประเทศได้ อับเนอร์จัดเตรียมให้ทุกอย่าง ทั้งสมองและแรงงาน (ทหาร) กษัตริย์ผู้นี้ เป็นเพียงหุ่นให้คนข้างหลังชักเล่น แต่บัดนี้กษัตริย์ตัวจริงเป็นเพียงชายที่อ่อนแอ ปกครองประเทศที่กำลัง อ่อนแรง ดาวิดถูกแต่งตั้งให้ขึ้นมาปกครองเหนืออิสราเอล ทุกคนรู้ดี แต่ไม่มีใครรู้ว่าควรทำอย่างไรเพื่อ พลิกสถานการณ์นี้ให้เกิดขึ้น ดังนั้นผู้นำกองปล้นทั้งสองมาพบกษัตริย์ที่วังในตอนบ่าย ทำทีว่ามาขนข้าว กษัตริย์กำลังนอนพักผ่อนอยู่ที่ในวัง ชายทั้งสองเข้าไปฆ่าตายทั้งๆที่ยังหลับอยู่ พวกเขาตัดศีรษะของ กษัตริย์และเดินทางทั้งคืน เพื่อนำไปมอบให้กับดาวิดที่เฮโบรนด้วยความภาคภูมิใจ ที่เป็นผู้ฆ่าบุตรของ ซาอูล "ศัตรูของดาวิด" ลงเสียได้
พวกเขาไม่เข้าใจเลย ไม่เข้าใจเรื่องการยอมจำนนกับพระเจ้าของดาวิด และการที่ท่านปฏิเสธไม่ยอมยื่น มือออกแตะต้องผู้ที่พระเจ้าเจิมไว้ (หรือคนที่ไม่สมควรขึ้นเป็นกษัตริย์ปกครองแทน) พวกเขาไม่เข้าใจใน ความรักที่ดาวิดมีต่อซาอูล คำสัญญาที่ท่านจะปกป้องลูกหลานของซาอูล และไม่ทำให้นามของวงศ์ตระกูล นี้เสื่อมเสีย (1 ซามูเอล 24:16-22) พวกเขาไม่ได้เรียนรู้เรื่องเหตุการณ์ที่ผ่านมา ว่าดาวิดไม่ได้กระหาย ที่จะได้ราชบัลลังก์ และท่านพร้อมที่จะจัดการกับใครก็ตามที่บังอาจฆ่าคนที่พระเจ้าเจิมไว้
9 แต่ดาวิดตรัสตอบเรคาบและบาอานาห์พี่ชายบุตรของริมโมนชาวเบเอโรทว่า "พระเจ้าทรงพระชนม์อยู่แน่ฉันใด คือพระองค์ผู้ทรงไถ่ชีวิตของเราจากบรรดา ความทุกข์ยาก 10 เมื่อผู้หนึ่งผู้ใดบอกเราว่า 'ดูเถิด ซาอูลสิ้นพระชนม์แล้ว' และคิดว่าตนนำข่าวดีมา เราก็จับคนนั้นฆ่าเสียที่ศิกลาก ซึ่งเป็นรางวัลที่เรา ให้แก่เขาสำหรับข่าวนั้น 11 ยิ่งกว่านั้นเท่าใดเมื่อคนอธรรมได้ฆ่าคนชอบธรรม ที่ในบ้านและบนที่นอนของคนชอบธรรมนั้น เราจะไม่ลงโทษเจ้าทั้งสองเพราะ ความตายของเขาหรือ และทำลายเจ้าเสียจากพิภพ" 12 และดาวิดก็ทรงบัญชา คนหนุ่มของพระองค์ และเขาทั้งหลายก็พาเขาทั้งสองไปฆ่าเสีย ตัดมือตัดเท้า ออก แขวนศพนั้นไว้ที่ข้างสระที่เมืองเฮโบรน แต่เขานำพระเศียรของอิชโบเชท ไปฝังไว้ ณ ที่ฝังศพของอับเนอร์ในเมืองเฮโบรน
(2 ซามูเอล 4:9-12)
นับเป็นอีกครั้งที่ดาวิดไม่ไ้ด้ฉกฉวยโอกาสใดก็ตามที่ผ่านมา เพื่อให้ได้ราชบัลลังก์มาเป็นของตนตามที่ พระเจ้าได้สัญญาไว้ หรือท่านไม่ได้ทำเป็นไม่เห็นเมื่อมีคนทำชั่ว เพื่อปูทางให้ท่านได้ขึ้นเป็นกษัตริย์โดย สะดวก ดาวิดเป็นบุรุษที่เข้าใจว่าการเป็นกษัตริย์ของพระเจ้านั้นเป็นอย่างไร :
คำตัดสินอันมาจากพระเจ้าอยู่ที่ริมฝีพระโอษฐ์ของพระราชา พระโอษฐ์ ของพระองค์ไม่บาปในการพิพากษา
(สุภาษิต 16:10)
พระราชาผู้ประทับบนบัลลังก์พิพากษา ย่อมทรงฝัดความชั่วออกด้วยพระ เนตรของพระองค์
(สุภาษิต 20:8)
พระราชาที่ฉลาดย่อมฝัดคนชั่วร้าย แล้วทรงขับกงจักรทับเขา
(สุภาษิต 20:26)
จงไล่คนชั่วร้ายออกไปเสียจากพระพักตร์พระราชา และพระที่นั่งของ พระองค์จะสถาปนาไว้ด้วยความชอบธรรม
(สุภาษิต 25:5)
ห้าข้อแรกของพระธรรม 2 ซามูเอล 5 ดาวิดได้รับการเจิมตั้งเป็นกษัตรยิ์ทั่วทั้งอิสราเอลในที่สุด หลังจาก รอคอยมานานแสนนาน ! มันเริ่มหลายปีก่อนหน้านั้น ตั้งแต่ดาวิดยังเป็นเด็กวัยรุ่น 20 ดาวิดทำให้ทั้งครอบ ครัวประหลาดใจที่ได้รับเลือกให้เป็นกษัตริย์องค์ต่อไปของอิสราเอล 15 ปีผ่านไปกว่าที่ท่านจะได้ขึ้นปก ครองจริงเหนือยูดาห์ และอีก 7 ปีกว่าจะได้ขึ้นปกครองอิสราเอลทั้งประเทศ ในที่สุดดาวิดก็ได้เป็นกษัตริย์ ในตอนท้ายของบทเรียนนี้ ผมขอถอยกลับไปหน่อย ออกจากรายละเอียดพวกนี้ก่อน กลับไปมองในมุม กว้างอย่างที่ผู้เขียนพระธรรม 1 ซามูเอล 16 ถึง 2 ซามูเอล 5 ต้องการให้เราเห็น
(1) เราควรเริ่มโดยดูว่า พระสัญญาที่พระเจ้าให้ไว้กับอิสราเอลและดาวิด (เริ่มเมื่อซามูเอลเจิมตั้ง ดาวิด) นั้นใช้เวลานานกว่าจะเป็นจริง กว่าดาวิดจะได้ขึ้นเป็นกษัตริย์ของอิสราเอลนั้นกินเวลานานมาก และเต็มไปด้วยเหตุการณ์ที่หักเห วกวน เรื่องราวทั้งสิ้นถูกบันทึกอยู่ใน 1 ซามูเอล 16:1—2 ซามูเอล 5:5 เวลาในช่วงชีวิตของดาวิดนี้อาจสรุปเรียกได้เป็นสองคำว่า: "เวลา" และ "ปัญหา"
(2) ความล่าช้ากว่าที่ดาวิดจะได้ขึ้นเป็นกษัตริย์องค์ต่อไปของอิสราเอลนั้นไม่ใช่เป็นเรื่องผิดปกติ แต่เป็นวิธีการของ่พระเจ้าที่จะทำพระสัญญาและพระประสงค์ของพระองค์ให้สำเร็จ พูดให้ชัดๆ ก็คือพระ เจ้าไม่ได้รีบร้อน พระเจ้ามีเวลาเหลือเฟือ ที่จริงพระเจ้านั้นยิ่งใหญ่กว่าเวลา พระองค์ไม่ได้ถูก ควบคุมหรือจำกัดโดยเวลา ตลอดในพระคัมภีร์ ผมพบว่ามนุษย์ต้องรอคอยเสมอกว่าจะได้รับตาม พระสัญญา :
การรอคอยเป็นวิธีการของพระเจ้า การรอคอยไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นน้ำพระทัย
(3) ในระหว่างที่รอคอยองค์พระผู้เป็นเจ้านี่แหละที่ความเชื่ออาจล้มเหลว และการเชื่อฟังจบสิ้นลง การรอคอยเป็นเหมือนภัยพิบัติ เป็นการทดสอบความเชื่อและความอดทน
13 คนเหล่านั้นได้ตายไปขณะที่มีความเชื่อเต็มที่ และไม่ได้รับสิ่งที่ได้ทรง สัญญาไว้ แต่เขาก็ได้เห็นและได้เตรียมรับไว้ตั้งแต่ไกล และรู้ดีว่าเขาเป็น คนแปลกถิ่นที่ท่องเที่ยวไปในโลก 14 เพราะคนที่พูดอย่างนี้ก็แสดงให้เห็น ชัดแล้วว่า เขากำลังแสวงหาเมืองที่จะได้เป็นของเขา 15 ถ้าเขาคิดถึงบ้าน เมืองที่เขาจากมานั้น เขาก็คงจะมีโอกาสกลับไปได้ 16 แต่ความจริงเขา ปรารถนาที่จะอยู่ในเมืองที่ประเสริฐกว่านั้น คือเมืองสวรรค์ เหตุฉะนั้นพระ เจ้าจึงมิได้ทรงละอาย เมื่อเขาเรียกพระองค์ว่าเป็นพระเจ้าของเขา เพราะ พระองค์ได้ทรงจัดเตรียมเมืองหนึ่งไว้สำหรับเขาแล้ว
(ฮีบรู 11:13-16)
20 เพราะจะเป็นความดีความชอบอย่างไรถ้าท่านทำความชั่ว และท่านถูก เฆี่ยนเพราะการกระทำชั่วนั้น แม้ท่านจะอดทนต่อการถูกเฆี่ยนด้วยความอด กลั้น แต่ว่าถ้าท่านทั้งหลายกระทำการดีและทนเอาเมื่อตกทุกข์ยาก เพราะ การดีนั้น ท่านก็จะเป็นที่พอพระทัยของพระเจ้า
(1 เปโตร 2:20)
ความล้มเหลวทั้งหลายที่เราเห็นในพระคัมภีร์ ส่วนมากเกิดจากการรอคอย ทำให้ผมอดคิดไม่ได้ว่าสิ่งนี้ เป็นมาตั้งแต่เมื่อแรกเริ่ม กับอาดัมและเอวา ยิ่งผมคิดเรื่องความล้มเหลวนี้มากเท่าใด ผมยิ่งเข้าใจมาก ขึ้นว่า การทดลองและการทำบาปนั้นคือการหาหนทางลัดไปสู่สิ่งที่ดีกว่า การรู้เรื่องผิดชอบชั่วดีไม่ใช่ เรื่องชั่วร้าย ถ้าอาดัมและเอวาจะเป็น "เหมือนพระเจ้า" ที่รู้เรื่องผิดชอบชั่วดีดีที่สุด ถ้าเช่นนั้นแล้วการรู้ เรื่องผิดชอบชั่วดีเสียหายตรงไหน? การเป็นเหมือนพระเจ้าไม่ดีที่ตรงไหน? สิ่งนี้เป็นสิ่งที่พระเจ้ากำลังทำ ให้เกิดขึ้นในตัวเรามิใช่หรือ? เปลี่ยนเราให้เป็นตามพระฉายของพระบุตร (โรม 8:29)? เราจะไม่ "เป็น เหมือนพระองค์" หรือ ในเมื่อเรา "เห็นแล้วว่าพระองค์ทรงเป็นอยู่นั้น" (1 ยอห์น 3:2)? ดาวิดถูกเรียก ว่าเป็นผู้ "ประจักษ์ความดีและความชั่ว" (2 ซามูเอล 14:17) ซาโลมอนทูลขอสติปัญญา เพื่อจะแยก แยะใน ความผิดแผกระหว่าง "ดีและชั่ว" (1 พกษ. 3:9) คริสเตียนที่เชื่อฟังพระคำของพระเจ้า "ได้รับ การฝึกหัดอบรมให้สามารถรู้จักผิดชอบชั่วดีแล้ว" (ฮีบรู 5:14) ดังนั้น ผมจึงเชื่อว่า พระเจ้าต้องการ ให้อาดัมและเอวาเรียนรู้เรื่องผิดชอบชั่วดี แต่ไม่ใช่ด้วยวิธีเรียนลัดตัดตอน โดยการขโมยผลไม้ต้องห้าม การเรียนรู้แยกแยะผิดชอบชั่วดีไม่ใช่เรื่องผิด แต่ที่ผิดคือ ไปเลือกใช้วิธีที่พระเจ้าสั่งห้าม ผมเชื่อว่าพระเจ้า มีวิธีที่ดีกว่า ให้ค่อยเป็นค่อยไป แต่พวกเขากลับไปเลือกทางลัด พวกเขาปฏิเสธการรอคอยองค์พระผู้เป็น เจ้า เพื่อที่จะได้รับความรู้นั้น
อับราฮัมและซาราห์ต้องคอยกว่าจะได้บุตรตามพระสัญญา ความล้มเหลวของพวกเขามาจากขาดความ อดทนที่จะรอคอยจนกว่าพระสัญญาจะเป็นจริง เหตุนี้ทำให้อับราฮัมเอ่ยถึงเอลีเยเซอร์ชาวเมืองดามัสกัส ว่าจะเป็นผู้รับมรดกหรือเปล่า (ปฐมกาล 15:2)? เหตุนี้ทำให้อับราฮัมยอมทำตามคำแนะนำของนางซาราห์ ที่จะมีทายาทโดยทางนางฮาการ์ผู้เป็นหญิงรับใช้หรือเปล่า (ปฐมกาล 16:1-2)?
ชาวอิสราเอลทำบาปสร้างรูปวัวทองคำขึ้นมานมัสการตามที่บันทึกอยู่ในพระธรรมอพยพ 32 เป็นเพราะ ล้มเหลวที่จะคอย 40 วัน เพื่อให้โมเสสกลับจากยอดเขาซีไนหรือ? ที่ซาอูลทำบาปใน 1 ซามูเอล 13 เป็น เพราะล้มเหลวที่จะรอคอยให้ซามูเอลมาถึงหรือ? พวกสาวกคอยถามว่าพระราชอาณาจักรจะมาถึงเมื่อไร และคอยเร่งเวลาให้เกิดเร็วขึ้นหรือเปล่า? สาวกทั้ง 11 คนและคนอื่นๆล้มเหลวในการเลือกมัทเธียสให้ขึ้นมา แทนที่ยูดาส ในเมื่อพระเยซูตรัสสั่งให้คอย "รับตามพระสัญญาของพระบิดา" หรือไม่ (กิจการ 1:4)?
คริสตจักรในเมืองโครินธ์มีปัญหามากมาย หนึ่งในปัญหานั้นก็คือการรอคอย พวกเขาทนคอยให้พระเจ้า เข้ามาจัดการเรื่องความยุติธรรมไม่ได้ จึงมีการฟ้องร้องขึ้นโรงขึ้นศาล (1 โครินธ์ 6) พวกเขาไม่อยากรอ พี่น้องคนอื่นๆ จึงรับประทานอาหารก่อน หมุกมุ่นแต่เรื่องกินและดื่ม ทำให้การเลี้ยงอาหารขององค์พระผู้ เป็นเจ้าได้รับการดูหมิ่น (1 โครินธ์ 11) พวกเขารอคอยพระสัญญาเรื่องจิตวิญญาณไม่ไหว พวกเขาจึงไป ยึดถือตามคำสั่งสอนของทางโลก ใครดีใครได้ — มือใครยาวสาวได้สาวเอา
จึงไม่น่าสงสัยเลยว่า พระเยซูคริต์ทรงอุทิศเวลาและให้ความใส่ใจมากมายกับการสั่งสอนสาวกของพระองค์ ให้ปฏิบัติตนอย่างไรในขณะที่รอคอยพระองค์เสด็จกลับมา :
40 ท่านทั้งหลายจงเตรียมตัวไว้ให้พร้อมด้วย เพราะในโมงที่ท่านไม่คิด ไม่ฝันนั้น บุตรมนุษย์จะเสด็จมา" 41 ฝ่ายเปโตรทูลพระองค์ว่า "พระองค์ เจ้าข้าพระองค์ได้ตรัสคำเปรียบนั้นแก่พวกข้าพเจ้าหรือ หรือตรัสแก่คนทั้ง ปวง" 42 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า "ใครเป็นคนต้นเรือนสัตย์ซื่อและฉลาด ที่นายได้ตั้งไว้เหนือพวกคนใช้สำหรับแจกอาหารตามเวลา 43 เมื่อนายมา พบเขากระทำอยู่อย่างนั้น บ่าวผู้นั้นก็จะเป็นสุข 44 เราบอกความจริงแก่ท่าน ทั้งหลายว่า นายจะตั้งเขาไว้ให้ดูแลบรรดาข้าวของของท่าน 45 แต่ถ้าบ่าว นั้นจะคิดในใจว่า 'นายของข้าคงจะมาช้า' แล้วจะตั้งต้นโบยตีบ่าวชายหญิง และกินดื่มเมาไป 46 นายของบ่าวผู้นั้นจะมาในวันที่เขาไม่คิด ในโมงที่เขาไม่รู้ และจะทำโทษเขาถึงสาหัส ทั้งจะขับไล่เขาให้ไปอยู่กับคนที่ไม่สัตย์ซื่อ 47 บ่าวนั้นที่ได้รู้ใจนายและมิได้เตรียมตัวไว้ มิได้กระทำตามใจนาย จะต้องถูก เฆี่ยนมาก 48 แต่ผู้ที่มิได้รู้ แล้วได้กระทำสิ่งซึ่งสมจะถูกเฆี่ยน ก็จะถูกเฆี่ยน น้อย ผู้ใดได้รับมาก จะต้องเรียกเอาจากผู้นั้นมากและผู้ใดได้รับฝากไว้มาก ก็จะต้องทวงเอาจากผู้นั้นมาก
(ลูกา 12:40-48)
(4) พวกมารมักจะโจมตีเรื่องการล่าช้าขององค์พระผู้เป็นเจ้า พวกมารพยายามใส่ความคิดลงไปใน ผู้เชื่อว่าการที่พระเป็นเจ้าทรงล่าช้านั้น แสดงให้เห็นว่าพระองค์อาจไม่รู้้ หรือไม่สนใจเมื่อเราทำบาป :
1 ดูก่อนพวกที่รัก นี่เป็นจดหมายฉบับที่สองที่ข้าพเจ้าได้เขียนถึงท่าน ทั้งหลาย และในจดหมายทั้งสองฉบับนั้น ข้าพเจ้าได้สะกิดใจอันซื่อ สัตย์ของท่านให้ระลึก 2 เพื่อท่านทั้งหลายจะได้จดจำถ้อยคำทั้งหลาย ี่พวกผู้เผยพระวจนะบริสุทธิ์ได้กล่าวไว้เมื่อก่อน และพระบัญญัติของ งค์พระผู้เป็นเจ้าและพระผู้ช่วยให้รอดโดยบรรดาอัครทูต 3 จงรู้ข้อนี้ ก่อนคือ ในกาลสุดท้ายคนที่ชอบเยาะเย้ยจะเกิดขึ้น และประพฤติตาม ใจปรารถนาของตน 4 และจะถามว่า "คำที่ทรงสัญญาไว้ว่าพระองค์จะ เสด็จมานั้นอยู่ที่ไหน เพราะว่าตั้งแต่บรรพบุรุษหลับล่วงไปแล้ว สิ่งทั้ง วงก็เป็นอยู่เหมือนเป็นอยู่ตั้งแต่เดิมทรงสร้างโลก"
(2 เปโตร 3:1-4)
มารแอบทำลายความเชื่อและการเชื่อฟังในประชากรของพระเจ้าโดยหลอกว่าพระเจ้ามักทำการล่าช้าเสมอ ผมเชื่อว่ามันทำอย่างนี้กับอาดัมและเอวาที่ในสวน ผมเชื่อว่าการที่มันทดลององค์พระผู้เป็นเจ้าในขณะที่ พระองค์เริ่มงานพันธกิจบนโลกนี้เป็นหัวใจทั้งหมดของเรื่อง มันพูดกับพระองค์ว่า "แน่นอน เรารู้ว่าท่าน เป็นจอมกษัตริย์ขององค์พระผู้เป็นเจ้า จะปฏิเสธตัวเองไปทำไม (โดยการเชื่อฟังพระเจ้า อดอาหารถึง 40 วัน) ทำไมไม่ทำตัวตามสบายเล่า? ทำไมไม่กิน? ทำไมต้องแสวงหาอาณาจักรของตนเองด้วยการทนทุกข์ ทรมาณ? มานมัสการเราดีกว่า เราจะมอบอาณาจักรทั้งหมดให้เดี๋ยวนี้เลย" นี่คือวิธีที่พวกมารมันคิดและ ปฏิบัติ ใช่หรือไม่?
ในเวลาแห่งการรอคอย พวกมารต้องการให้เราสงสัยว่าพระสัญญาของพระเจ้าเป็นจริงแน่หรือ มันกระตุ้น ให้เราทำการบางอย่างด้วยตัวเองเพื่อจะให้ได้มาตามพระสัญญา มากกว่าการรอคอยจนกว่าพระเจ้าจะประ ทานให้ มันทำให้เราสงสัยในความดีของพระเจ้า ว่าพระองค์ถ่วงเวลาในการประทานของดีให้กับเราทำไม มันทำให้เราเริ่มขาดความวางใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพระวจนะคำของพระองค์ มันทำให้เราไม่อยากเชื่อ ฟังพระเจ้า และทำตามความรู้สึกของเรา มันทำให้เราฉกฉวยโอกาสที่จะใช้ความสงสัยนี้ ใช้วิธีการต่างๆ ให้ได้มาตามที่ใจเราปรารถนา
(5) การรอคอยองค์พระผู้เป็นเจ้าเป็นการที่พระเจ้ากระทำให้ความเชื่อของเรายืดจนถึงที่สุด และความไกล้ชิดกับพระองค์เพิ่มพูนจนเต็มเปี่ยม คุณเคยสังเกตุไหมว่า บทสดุดีหลายบทถูกเขียน ขึ้นในระหว่างการรอคอย? คำถามก็คือ "นานแค่ไหน…?" การ "รอคอยองค์พระผู้เป็นเจ้า" มีอยู่มากมาย ในพระธรรมสดุดี ดาวิดเขียนเรื่อง "การรอคอย" นี้ไว้หลายบท การรอคอยองค์พระผู้เป็นเจ้าเป็นสิ่งดี สำหรับเรา ช่วยให้เรามีความอดทนและอดกลั้น เรียกร้องให้เรามีความเชื่อในพระสัญญา และทำตามพื้น ฐานที่พระองค์ตรัสไว้ มากกว่าทำตามที่ตาเราเห็น การรอคอยช่วยเพิ่มความกระหายในสิ่งดีที่พระเจ้า เตรียมไว้ การรอคอยทำให้เราปฏิเสธที่จะทำตามตัณหาของเนื้อหนัง และปัดเรื่องหาทางลัดทิ้งไป การรอคอยคือ "การรับเอากางเขน และแบกตามพระองค์ไป"
(6) การรอคอยองค์พระผู้เป็นเจ้าเป็นเรื่องเกี่ยวกับความบริสุทธิทางเพศ มีการพูดถึงเรื่องการ "มี เพศสัมพันธ์อย่างปลอดภัย" มากมายในปัจจุบัน แต่พูดเรื่องการยับยั้งชั่งใจค่อนข้างน้อย เป็นเพราะว่ารอ คอยการมีเพศสัมพันธ์หลังแต่งงานเป็นเรื่องเชยบรม การยังเป็นพรมจารีถือว่าเป็นเรื่องถูกสาป แทนที่จะ ถือว่าเป็นของขวัญที่จะมอบให้แก่คู่ครอง การรอคอยองค์พระผู้เป็นเจ้าเพื่อความสุขในการมีเพศสัมพันธ์ หลังแต่งงานทำให้การรอคอยนี้คุ้มค่า เมื่อถึงเวลาเหมาะสมที่พระเจ้าประทานให้ ประเด็นที่ผมต้องการพูด ตอนนี้ก็คือความบริสุทธิในเรื่องเพศเป็นเรื่องของการรอคอย การรอคอยเป็นสิ่งดีในชีวิตคริสเตียน อย่าให้ เราคิดว่าการรอคอยเป็นการที่พระเจ้าแกล้งไม่ให้ของดีกับเรา แต่ให้คิดว่าเป็นของขวัญที่เรายินดีคอยจน กว่าพระเจ้าเห็นเหมาะสมที่จะประทานให้ เพื่อเราจะได้มีความสุขอย่างเต็มเปี่ยมและไม่รู้สึกผิดประการใด จากการรอคอย
(7) การรอคอยบางทีก็ไม่ใช่เป็นเรื่องของความศรัทธา กี่ครั้งกันที่เรามัวแต่รอคอยแทนที่จะทำงาน และมัวแต่บ้างานจนลืมเรื่องรอคอย รอคอยไม่ทำในสิ่งที่รู้ว่าถูก สิ่งที่พระเจ้าสั่งให้เราทำ ไม่ใช่เป็นเรื่อง ศรัทธาหรอกครับ แต่เป็นบาป (ยากอบ 4:17) รอคอยที่จะรับเอาความรอด รับเอาการอภัยในองค์พระเยซู เป็นเรื่องอันตรายที่สุด (ฮีบรู 3:12-15) การรอคอยที่จะทำให้เป็นที่พอพระทัย คือการรอคอยพระสัญญา ที่เราไม่สามารถทำให้เกิดขึ้นเองได้ นอกจากจะไปเร่งทำเองโดยขาดความเชื่อและขาดการเชื่อฟังพระองค์
(8)การรอคอยไม่จำเป็นที่จะปล่อยเวลาให้ผ่านไป คุณเคยสังเกตุไหมครับว่าผู้คนมีวิธีใช้เวลาคอย อย่างไร? บางคนไม่ทำอะไรเลย แต่ผมเห็นบางคน (ไม่ใช่แต่ผู้หญิงเท่านั้น) ถักไหมพรมหรือเย็บปักถักร้อย ในขณะที่รอ มีหลายอย่างที่ทำให้เป็นประโยชน์ได้ขณะรอคอย ดาวิดรอมา 20 ปี กว่าที่จะได้ขึ้นปกครอง ประเทศอิสราเอล แต่นับเป็นเวลาคอยที่ยุ่งวุ่นวายที่สุด ดาวิดทำมากกว่าหนีเอาชีวิตรอด ดาวิดช่วยกู้ ประชากรชาวเคอีลาห์ (1 ซามูเอล 23:1-5) ท่านทำดีกับประชาชนยูดาห์ (1 ซามูเอล 30:26-31) สิ่งหนึ่ง ที่เราสามารถทำในขณะที่รอคอยคือการสรรเสริญและอธิษฐานกับพระเจ้า อย่างที่ดาวิดและคนอื่นๆกระทำ ในบทเพลงสดุดี ในขณะที่เราไม่อาจทำในสิ่งที่เราอยากทำที่สุดได้ เราสามารถทำในสิ่งที่พระเจ้ามอบ หมายให้เราทำในขณะที่รอคอยพระสัญญาและพระประสงค์ของพระองค์เป็นจริงได้
(9) การรอคอยเป็นส่วนสำคัญที่สุดในชีวิตของเรา เมื่อตอนที่ผมเป็นเด็ก ผมคอยแทบไม่ไหวที่จะ อายุ 16 เร็วๆ เพื่อจะได้ขับรถอย่างถูกกฎหมาย ผมแทบไม่อยากคอยจนกว่าจะได้มีอิสระเสรีทำอย่างที่ ผู้ใหญ่เขาทำกัน เมื่อผมหมั้นหมาย ผมอดทนรอคอยให้ถึงวันแต่งงานจนแทบไม่ไหว เราทุกคนมีเรื่องที่ ต้องรอคอยหลายเรื่อง ขอผมเอ่ยถึงสักสองสามเรื่อง
(10) ท้ายที่สุด ขอให้แน่ใจเถิดว่าพระเจ้าจะประทานให้คุ้มค่าสมกับที่รอคอยเสมอ ถ้าคุณต้องรีบ กิน คุณก็ไปที่ร้านแมกโดนัลด์และซื้อ "ชุดสุดคุ้ม" กินได้ แต่ถ้าคุณต้องการอาหารหรู คุณรู้ว่าคงต้องคอย เพราะอาหารดีไม่ได้ทำได้ง่ายๆและรวดเร็ว ไม่ว่าโฆษณาในโทรทัศน์จะพูดว่าอย่างไร ผมยังไม่เคยเห็น หรือได้ยินเลยว่าการทำอาหารโดยใช้โครเวฟ จะอร่อยกว่าอาหารที่ทำจากเตาอบหรือปรุงร้อนๆจากหม้อดิน ที่เราใช้ไมโครเวฟเพราะเราอยากกินอย่างเร่งด่วน เราใช้เตาอบเพราะเราอยากกินอาหารดีๆและอร่อย พระ ประสงค์และพระสัญญาของพระเจ้าเป็นคนละแบบกับไมโครเวฟ พระเจ้าค่อยๆปรุงแผนการและประชากร ของพระองค์ เพื่อจะเคี่ยวจนได้ดีที่สุด คุณสามารถวางแผนการตามความจริงที่ว่าพระเจ้าต้องการให้คุณ คอยเพื่อจะให้ได้ในสิ่งทีดีที่สุด พระเจ้าไม่เคยสาย และแทบจะไม่เคยด่วน แต่จากสิ่งเหล่านี้ผมขอบอกให้ คุณมั่นใจได้เลยว่า : เมื่อพระเจ้ามีแผนการให้คุณรอ พระองค์จะประทานให้คุ้มค่าสมกับที่รอคอย
ให้เราเรียนรู้จากดาวิดว่า การรอคอยเป็นส่วนหนึ่งและเป็นเรื่องปกติในชีวิตคริสเตียน เราจะถูกทดลองให้ หาทางลัดโดยไม่ต้องรอ สิ่งนี้เป็นบาป มีหลายคนอยากช่วยเราให้หาทางลัด ขอให้เราซึมซับลงไปในใจให้ เหมือนดาวิด ผู้รอคอยให้พระเจ้าทำตามพระประสงค์และพระสัญญา ในเวลาของพระองค์ ให้เรามั่นใจว่า ขณะที่รอคอย พระเจ้ากำลังทำงานในเรา เตรียมเราให้พร้อมสำหรับสิ่งดีที่คอยอยู่เบื่องหน้า อย่าให้เรา เกิดความสงสัย แต่ให้เราทุ่มเททำในสิ่งดีที่เรารู้ว่าควรทำ และรู้ว่าเราทำได้ ในขณะที่รอคอย
19 ทำให้เราอดสงสัยไม่ได้ว่า ดาวิดวางแผนฆ่าอุรียาห์โดยลอกเลียนแบบที่ซาอูลพยายามฆ่าท่านหรือ เปล่า
20 อยู่ดีๆผมก็คิดออก ถึงจะสายไปหน่อย แต่บางทีอาจจะดีกว่า อย่างที่เราชอบพูด มาสายดีกว่าไม่มา ผม เคยสงสัยว่าทำไมซาอูลโกง ไม่ทำตามสัญญาครั้งแรกที่จะมอบบุตรสาวให้กับผู้ที่สามารถเอาชนะโกลิอัท ได้ ผมนึกว่าเป็นเพราะนิสัยส่วนตัวของท่าน เป็นไปได้ไหมว่าสาเหตุที่ซาอูลไม่ยอมยกบุตรสาวให้ เพราะ ดาวิดยังเด็กเกินกว่าที่จะแต่งงาน? ต่อมา ซาอูลเสนออีก โดยเฉพาะเจาะจงให้ดาวิด และดาวิดก็เต็มใจที่ จะรับมีคาล เพราะใครก็ตามที่จะฆ่าคนฟิลิสเตียได้ถึง 200 คน คงต้องทั้งตัวใหญ่และแข็งแรง (ผมว่าคง ไม่มีใครยอมสละหนังองคชาติให้ไปง่ายๆหรอกครับ) ตอนนั้นดาวิดคงเป็นผู้ใหญ่พอที่จะแต่งงานได้แล้ว
21 ผมยังจำได้สมัยที่เรียนอยู่ในโรงเรียนพระคริสตธรรม มีนักวิชาการบางคนพยายามจะแสดงให้เห็นว่า ยาโคบไม่จำเป็นที่จะต้องคอยถึงเจ็ดปีเต็ม เพื่อจะได้ราเชลมา ความพยายามของเราที่จะช่วยร่นเวลา รอคอยให้ยาโคบ แสดงให้เห็นถึงความไม่อดทนของตัวเรา หรือไม่อดทนที่เห็นคนอื่นต้องคอย ถึงอย่าง ไรก็ตาม ยาโคบก็ยอมคอยไปแล้วอีกเจ็ดปีเพื่อจะได้ราเชลมาเป็นภรรยา
เมื่อหลายปีมาแล้ว ผมเคยอ่านหนังสือดีมากเล่มหนึ่งเขียนโดยแลงก์ดอน กิลคีย์ ชื่อเรื่อง ค่ายกักกันชานตุง มีตอนหนึ่งชื่อตอนว่า "มีที่อยู่เป็นของตนเอง" ตอนนั้นกิลคีย์เป็นคนฝึกงานอยู่ในค่ายกักกันของญี่ปุ่น ด้วยกัน กับผู้คนจากที่หลากหลาย ทุกคนมีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกัน — เป็นคนตะวันตก (เป็นฝรั่ง) พวกญี่ปุ่นไม่รู้จะทำยังไง กับฝรั่งพวกนี้ ที่ตกค้างอยู่ในจีนระหว่างที่ญี่ปุ่นเข้าไปยึดครองประเทศจีนในช่วงสงครามโลกครั้งที่สองดี จึงจับ ไปควบคุมไว้ตามที่ต่างๆ ค่ายกักกันชานตุงเคยเป็นค่ายของคณะเพรสไบแทเรี่ยนมาก่อน ตอนนี้ถูกเปลี่ยนให้ เป็นสถานที่ไว้กักกันฝรั่งชั่วคราว กิลคีย์มีหน้าที่จัดเตรียมห้องให้กับคนที่ผลัดเปลี่ยนมาฝึกงานในค่าย เขาจึง ต้องเจอกับเรื่องประหลาดมากมาย จนทำให้เขียนหนังสือเล่มนี้ขึ้นมา
ในตอนที่ชื่อว่า "มีที่เป็นของตนเอง" กิลคีย์เล่าว่าทุกคนมีความรู้สึกค่อนข้างรุนแรงกับบริเวณส่วนตัวของตน มีอยู่ครั้งหนึ่ง ผู้หญิงที่ดูสุภาพอ่อนโยนที่สุด กลับแสดงอาการหวงแหนและอยากมีทีเป็น "ของตนเอง" มากขึ้น เธอนอนเตียงใกล้กับผู้หญิงอีกคนหนึ่งที่รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติกับเตียงของตัวเองตลอดเวลา ทุกวัน พอมองออกไปที่หน้าต่าง วิวที่เห็นเริ่มเปลี่ยนไปวันละนิดๆ กว่าจะรู้ตัว เตียงของเธอถูกขยับให้เลื่อนออกไป เรื่อยๆ โดยฝีมือของสุภาพสตรี ที่อยู่เตียงข้างๆนั่นเอง ผู้หญิงที่ดูสุภาพคนนี้กำลังขโมยเนื้อที่ เพื่อเพิ่มบริเวณ ของตนเองให้มากขึ้นวันละนิ้วสองนิ้ว เราทุกคนต่างก็อยาก "มีที่เป็นของตนเอง" ทั้งนั้น ใช่ไหมครับ?
เราเข้ามาถึง 2 ซามูเอลบทที่ 5 ถึงตอนที่ดาวิดได้ขึ้นเป็นกษัตริย์ปกครองอิสราเอล และในที่สุดท่านก็มีที่ทาง เป็นของตนเอง ในสมัยนั้นทุกคนเรียกชื่อสถานที่นี้ว่าเยบุส และคนที่อาศัยอยู่ที่นั่นถูกเรียกว่าเป็นคนเยบุส แต่ จากพระธรรมบทนี้เป็นต้นไป ชื่อนี้กลายเป็นกรุงเยรูซาเล็มแทน เป็นเมืองศิโยน "เมืองของดาวิด" ในบทหน้า เยรูซาเล็ม จะเป็นสถานที่สถิตอยู่ขององค์พระผู้เป็นเจ้า มีการนำหีบแห่งพันธสัญญามาเก็บไว้ที่นี่ ซึ่งต่อมา ซาโลมอนจะเป็นผู้สร้างพระวิหารให้เป็นที่ประดิษฐานของหีบแห่งพันธสัญญานี้ พระธรรมตอนนี้เป็นตอนที่ สูงสุดในชีิวิตของดาวิด และเป็นตอนที่มีเรื่องสำคัญสำหรับสอนเรา ให้เรามุ่งอยู่ที่พระวิญญาณ เพื่อจะเรียนรู้ว่า พระองค์มีพระประสงค์จะสอนสิ่งใดให้กับเราเมื่อดาวิดได้มี "ที่เป็นของตนเอง"
จากที่ผมได้ศึกษาพระธรรม 2 ซามูเอลบทที่ 5 ผมเข้าใจได้ว่ามีอยู่สี่ตอนที่สำคัญๆ ผมจะแยกแยะให้ดูตาม หัวข้อดังต่อไปนี้ :
1 และบรรดาเผ่าคนอิสราเอลก็มาหาดาวิดที่ เมืองเฮโบรนทูลว่า "ดูเถิด ข้าพระบาททั้งหลายเป็นกระดูกและเนื้อของฝ่าพระบาท 2 ในอดีตเมื่อ ซาอูลเป็นพระราชาปกครองเหนือเหล่าข้าพระบาท ฝ่าพระบาททรงเป็น ผู้นำอิสราเอลออกไปและเข้ามา และพระเจ้าตรัสแก่ฝ่าพระบาทว่า 'เจ้า
จะเป็นผู้ปกครองอิสราเอล ประชากรของเราอย่างผู้เลี้ยงแกะ และเจ้าจะ
เป็นเจ้าเหนือคนอิสราเอล'" 3 ดังนั้นพวกผู้ใหญ่ของคนอิสราเอลก็มาเฝ้า
พระราชาที่เมืองเฮโบรน และพระราชาดาวิดทรงกระทำพันธสัญญากับเขา ทั้งหลายที่เมืองเฮโบรนต่อพระพักตร์พระเจ้า และเขาทั้งหลายก็เจิมตั้ง
ดาวิดให้เป็นพระราชาเหนืออิสราเอล 4 ดาวิดมีพระชนมายุสามสิบพรรษา
เมื่อเริ่มการปกครองและ พระองค์ทรงปกครองอยู่ยี่สิบปี 5 ทรงปกครอง เหนือยูดาห์ที่เฮโบรนเจ็ดปีหกเดือน และที่กรุงเยรูซาเล็มทรงปกครอง
เหนืออิสราเอล และยูดาห์อีกสามสิบสามปี
(2 ซามูเอล 5:1-5)
จากข้อ 1-3 อิสราเอลกำลังเป็นที่น่าจับตามอง พวกเขาเป็นฝ่ายมาหาดาวิดที่เฮโบรน เพื่อเจิมตั้งท่านขึ้นเป็น กษัตริย์ การนี้เราเห็นว่าประชาชนเป็นผู้ริเริ่มอีกครั้ง อย่าลืมว่าการที่ซาอูลเป็นกษัตริย์ก็เริ่มมาจากประชาชน เราไม่ค่อยเข้าใจนักว่าทำไมดยู่ดีๆคนอิสราเอลจึงยอมรับดาวิดว่าเป็นกษัตริย์ของพระเจ้า เราจึงต้องย้อนกลับ ไปดูเหตุการณ์เปรียบเทียบจากใน 1 พกษ. 8-12 ซึ่งประชาชนเรียกร้องอยากมีกษัตริย์ และพระเจ้าประทาน ซาอูลให้เป็นกษัตริย์คนแรก
เราคงจำกันได้ว่าใน 1 ซามูเอล 8 ซามูเอลเริ่มแก่ลง และบุตรของท่านก็ทำตัวไม่เหมาะสมพอที่จะขึ้นมาดำรง ตำแหน่งแทนได้ (8:1-3) พวกเขาไม่สัตย์ซื่อ ใช้อำนาจของผู้วินิจฉัยอย่างไม่ถูกต้องที่เบเออร์เชบา ฯลฯ ใน บทที่ 8 ข้อ 4 พวกผู้ใหญ่ของอิสราเอลมาหาซามูเอล เรียกร้องให้มีกษัตริย์ "เพื่อวินิจฉัยพวกเขา เหมือน ประเทศอื่นๆ" (8:5) ซามูเอลถูกกดดันมากในเรื่องนี้ พระเจ้าเองก็ไม่ทรงพอพระทัย พวกเขาไม่เพียงแต่ ปฏิเสธการวินิจฉัยของซามูเอลเท่านั้น ยังปฏิเสธไม่ยอมให้พระเจ้าเป็นกษัตริย์ด้วย (8:7-8) อย่างไรก็ดี พระเจ้าใช้ซามูเอลมาเตือนถึงราคาสูงที่ต้องจ่ายในการมีกษัตริย์ และบอกว่าพวกเขาจะได้กษัตริย์ตามที่ร้องขอ ในบทที่ 9 และ 10 มีการเจิมตั้งซาอูลให้ขึ้นเป็นกษัตริย์คนแรกของอิสราเอล ในบทที่ 11 ซาอูลนำอิสราเอล เข้าต่อสู้กับนาหาชและคนอัมโมนที่ยกมาล้อมยาเบชกิเลอาด ขู่จะทำให้ชาวเมืองอับอายด้วยการควักลูกตา ขวาของทุกคนทิ้ง (11:1-2) พระเจ้าทรงประทานชัยชนะอย่างยิ่งใหญ่ให้กับอิสราเอล ประชาชนชื่นชมยินดี เป็นอันมาก พวกเขาออกมาปกป้องและพร้อมจะฆ่าใครก็ตามที่บังอาจดูหมิ่นซาอูล (11:12-13).
ซามูเอลนำให้เราเห็นบางมุมมองของเรื่องนี้ในบทที่ 12 การที่อิสราเอลเรียกร้องขอมีกษัตริย์นั้น เป็นบาปผิด ต่อพระเจ้า จึงถูกลงโทษด้วยการเกิดฝนฟ้าร้องมาทำลายไร่นาหมดสิ้น (12:12-18) อันที่จริง ชาวอิสราเอล รุ่นนี้ ก็ไม่ต่างไปจากบรรพบุรุษของพวกเขา พระเจ้าทรงชำระบาปของการไม่ใส่ใจทำตามพระบัญญัติด้วยฝีมือ ของศัตรูรอบด้าน แต่ความบาปในการเรียกร้องขอกษัตริย์นั้นใหญ่หลวงกว่าของบรรพบุรุษ ในอดีต พระเจ้าส่ง ผู้วินิจฉัยมาช่วยกู้อิสราเอลจากบรรดาศัตรูเมื่อพวกเขากลับใจและร้องขอความช่วยเหลือ แต่ในกรณีนี้ ไม่มีการ กลับใจใดๆทั้งสิ้น พวกเขาไม่ได้ร้องขอความช่วยเหลือ แต่ร้องสั่งให้มีกษัตริย์ ผมเชื่อว่าคนอิสราเอล ต้อง การความช่วยเหลือแต่ไม่ต้องการกลับใจ ต้องการมีกษัตริย์เพื่อให้แน่ใจว่าในอนาคต จะมีคนคอยให้ความ ช่วยเหลือ พวกเขาต้องการกษัตริย์เพื่อจะได้ไม่ต้องคอยพึ่งพิงหรือเชื่อฟังพระเจ้า เมื่อซามูเอลชี้ความบาป นี้ให้เห็น และย้ำด้วยฝนฟ้าร้อง ประชาชนจึงยอมกลับใจ ซามูเอลจึงสัญญากับประชาชนว่า:
13 บัดนี้ จงดูพระราชาที่ท่านทั้งหลายได้เลือก ผู้ซึ่งท่านทั้งหลายได้ร้องขอ
ดูเถิด พระเจ้าทรงตั้งพระราชาไว้เหนือท่านแล้ว 14 ถ้าท่านทั้งหลายจะยำเกรง พระเจ้าและปรนนิบัติพระองค์ และฟังพระสุรเสียงของพระองค์ และไม่กบฏต่อ
พระบัญชาของพระเจ้า และถ้าท่านทั้งหลายและพระราชาผู้ปกครองเหนือท่าน จะเป็นผู้ติดตามพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่าน ทั้งหลายก็ดีแล้ว 15 แต่ถ้าท่าน ทั้งหลายไม่ฟังพระสุรเสียงของพระเจ้า แต่กบฏต่อพระบัญชาของพระเจ้าแล้ว พระหัตถ์ของพระเจ้าจะต่อสู้ท่านทั้งหลาย
(1 ซามุเอล 12:13-15)
24 จงยำเกรงพระเจ้าเท่านั้น ปรนนิบัติพระองค์ด้วยใจซื่อสัตย์สุจริต และด้วยสิ้น
สุดใจของท่าน จงพิเคราะห์ถึงมหกิจซึ่งพระองค์ได้ทรงกระทำแก่ท่านแล้วนั้น 25 แต่ถ้าท่านทั้งหลายขืนกระทำความชั่วอยู่ ท่านจะต้องพินาศทั้งตัวท่านทั้งหลาย
เองและ พระราชาของท่านด้วย"
(1 ซามูเอล 12:24-25).
ผมขอตั้งข้อสังเกตุว่า สิ่งที่ซามูเอลให้ประชาชนและกษัตริย์ทำนั้นเกี่ยวข้องกัน คือทั้งประชาชนและกษัตริย์ ต้องเชื่อฟังและวางใจในพระเจ้า ถ้าไม่ จะถูกลงโทษ แต่ถ้าทำ พระเจ้าจะอำนวยพระพร ผมเชื่อว่่าซามูเอล ต้องการชี้ให้เราเห็นว่า อิสราเอลจะได้กษัตริย์อย่างที่อยากได้ อย่างที่พวกเขาสมควรจะได้ กษัตริย์องค์แรก ที่พระเจ้าประทานให้คือซาอูล ซึ่งเป็นแบบเดียวกันกับพวกเขา คือชอบขัดคำสั่งพระเจ้า เช่นเดียวกับประชาชน ซาอูลสอบตกระดับมาตรฐานของการเชื่อฟังพอๆกับประชาชน ในกรณีของ 1 ซามูเอล 8-12 ประชาชนเรียก ร้องอยากมีกษัตริย์ด้วยเหตุผลที่ไม่เข้าท่า ผมเชื่อแล้วว่าความบาปของบุตรซามูเอลนั้น เป็นเพียงตัวนำร่อง สาเหตุที่แท้จริงของการเรียกร้องอยากมีกษัตริย์นั้น คงไม่ใช่เรื่อง "ความยุติธรรม" แน่นอน ใน 1 ซามูเอล 12:12 ซามูเอลบอกกับประชาชนว่า เหตุผลที่แท้จริงในการอยากมีกษัตริย์นั้นเป็นเพราะความกลัวนาหาช ที่กำลังรุกคืบอิสราเอล พวกเขาต้องการให้กษัตริย์เป็นผู้นำในสงคราม และมีชัยเหนือฝ่ายศัตรู พวกเขาต้อง การผู้ช่วยกู้แบบเดียวกับแซมสัน ไม่ใช่แบบซามูเอล คือแบบที่คอยแต่จะเปิดโปงให้เห็นถึงความบาปแห่ง การหน้าไว้หลังหลอกของอิสราเอล พวกเขาจึงสมควรแล้วที่จะได้กษัตริย์อย่างซาอูล
แต่เมื่อมาถึง 2 ซามูเอล 5 เราเห็นถึงการเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจน ไม่ใช่เป็นการเปลี่ยนแปลงจากกษัตริย์ที่น่า สมเพชอย่างซาอูลมาเป็นนักรบและผู้นำที่กล้าหาญอย่างดาวิดเท่านั้น ; แต่เป็นการเปลี่ยนแปลงที่เห็นได้ชัด ในประชาชน มาถึงตรงนี้ผมต้องขอสารภาพบางอย่าง ตั้งแต่ต้นมา ผมรู้สึกไม่ค่อยดีนักกับคนอิสราเอล ผมยืน ท้าวสะเอวดูเรื่องนี้อยู่ที่วงนอก ขยับไปมาอย่างอดทน พออ่านมาถึงข้อ 1-5 ของบทที่ 5 ผมกลับคิดว่า "เอา หละ น่าจะถึงแวลาแล้ว!" ความคิดผมกำลังเปลี่ยนไป ผมมองเห็นความล่าช้าในตัวคนอิสราเอล ต้องขอ อธิบายเหตุผลประกอบสักหน่อย
เราคงสังเกตุเห็นว่า ไม่ได้มีเหตุการณ์วิกฤติอะไร ไม่มีการจู่โจมจากประเทศเพื่อนบ้าน ที่กระตุ้นพวกผู้ใหญ่ ของอิสราเอลให้ลุกขึ้นมาทำการ ซาอูลมรณกรรมไปแล้ว รวมทั้งพวกบุตรและอิชโบเชทด้วย ฟิลิสเตียไม่ได้ เข้ามาโจมตี คนอัมโมนไม่ได้มาข่มขู่ ฟิลิสเตียเข้ามาโจมตีหลังจากที่ได้ยินว่าดาวิดได้รับการแต่งตังให้ขึ้น เป็นกษัตริย์เหนืออิสราเอลแล้ว (2 ซามูเอล 5:17) พวกผู้ใหญ่ของอิสราเอลมาหาดาวิดที่เฮโบรน ยอมรับท่าน ว่าเป็นกษัตริย์ของพระเจ้า ใน 1 ซามูเอลบทที่ 8 พวกเขาต่อต้านไม่อยากมีพระเจ้าเป็นกษัตริย์ แต่ตอนนี้กลับ ไม่ใช่ ตอนนี้พวกผู้ใหญ่ของอิสราเอลกลับทำการด้วยความเชื่อฟังพระเจ้า ไม่ได้ต่อต้านพระองค์ กษัตริย์ ในแบบของดาวิดนั้น จึงเป็นกษัตริย์ในแบบที่พวกเขาสมควรจะได้รับ เมื่อมาพบดาวิด พวกเขายอมรับในข้อ ความจริงที่สำคัญๆ หลายข้อ ซึ่งเป็นพื้นฐานในการเป็นกษัตริย์ของดาวิด และในการยอมรับท่านให้เป็นกษัตริย์ ของพวกเขา
(1) พวกผู้ใหญ่ของอิสราเอลยอมรับว่าพวกเขามีความผูกพันธ์ในสายเลือดกับดาวิด : "เราเป็น กระดูกและเนื้อ … ." เรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญที่ผู้ใหญ่ของอิสราเอลออกมายอมรับ พวกเขายอมรับในการ เป็นสายเลือดเดียวกัน สืบเชื้อสายมาจากบรรพบุรุษคนเดียวกัน คือยาโคบ (ที่พระเจ้าเปลี่ยนชื่อใหม่ให้เป็น อิสราเอล). พวกเขาไม่ได้พูดกับดาวิดว่า "คุณเป็นหนึ่งในพวกเรา" แต่พูดว่า "เราเป็นหนึ่งเดียวกับคุณ" ตั้ง แต่สมัยก่อน พวกลูกๆของยาโคบมีปัญหาแตกคอกัน เห็นได้จากความเกลียดชังที่พี่ๆมีต่อโยเซฟ ซาอูลเป็น คนในเผ่าเบนยามิน ส่วนดาวิดเป็นคนเผ่ายูดาห์ อับเนอร์เป็นตัวการสร้างความแตกแยกให้เกิดขึ้นระหว่างเผ่า ทั้งสอง ทำให้เผ่าที่เหลือพูดไม่ออก บัดนี้ อิสราเอลทั้งหมดต้องการเห็นประเทศเป็นหนึ่งเดียวกัน ไม่ใช่แบ่ง แยกเป็นสอง นี่คือกุญแจสำคัญในการขึ้นเป็นผู้นำของดาวิดเหนือทั้งประเทศ เราคงต้องหยิบยกสิ่งที่คนอิสรา เอลเคยพูดไว้หลังการแตกแยก ถึงความสำคัญของการเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน :
16 และเมื่อิสราเอลทั้งปวงเห็นว่า พระราชามิได้ทรงฟังเขาทั้งหลาย ประชาชนก็ ทูลตอบว่า "ข้าพระบาททั้งหลายมีส่วนอะไรในดาวิด?
ข้าพระบาททั้งหลาย ไม่มีส่วนมรดกในบุตรชายของเจสซี ; โอ อิสราเอลเอ๋ย กลับ ไปเต็นท์ของตนเถิด! ข้าแต่ดาวิด จงดูแลราชวงศ์ของพระองค์เองเถิด!" อิสราเอล จึงจากไปยังบ้านเรือนของเขาทั้งหลาย
(1 พกษ. 12:16)
(2) ในอดีต คนอิสราเอลตระหนักดีถึงความสามารถในการเป็นผู้นำของดาวิิด แม้ในสมัยที่ซาอูลยัง ปกครองอยู่ เมื่อประชาชนเรียกร้องขอกษัตริย์ พวกเขาต้องการกษัตริย์ในแบบที่ "นำหน้าออกสู่สนามรบ" (ดู 1 ซามูเอล 8:19-20) แท้จริงแล้ว ซาอูลละเลยหน้าที่รับผิดชอบในการเป็นผู้นำอิสราเอล ในสงครามดาวิด ต่างหากที่ทำหน้าที่รบแบบกษัตริย์แทน ซาอูลไม่ได้ออกไปสู้กับโกลิอัท แต่กลับเป็นดาวิด (ผู้ไม่มีตำแหน่ง ใดเลยในกองทัพ) คนอิสราเอลมองเห็นความเป็นผู้นำในตัวดาวิดอย่างที่กษัตริย์ควรเป็น คนอิสราเอลตระหนัก ดีในเรื่องนี้ตั้งแต่สมัยที่ซาอูลยังปกครองอยู่ ดาวิดทำการเหมือนกษัตริย์มากกว่ากษัตริย์ตัวจริง พวกเขาเลือก ที่จะไม่ใช้ของด้อยคุณภาพอีกต่อไป (เหมือนซาอูล) แต่ต้องการเลือกคนที่ได้พิสูจน์ตนเองแล้ว ว่าเป็น "คน กล้าหาญ เป็นนักรบ" (ดู 1 ซามูเอล 16:18)
(3) พวกผู้ใหญ่ของอิสราเอลยอมรับในพระคำของพระเจ้า เมื่อตระหนักแล้วว่าดาวิดเป็นผู้ที่พระเจ้า เลือกให้ขึ้นมาเป็นกษัตริย์องค์ต่อไปของอิสราเอล ดาวิดได้รับการเจิมตั้งอย่างเป็นทางการให้เป็นกษัตริย์ องค์ต่อไปของอิสราเอล (1 ซามูเอล 16:1-13) ซาอูลรู้ดีว่าดาวิดจะขึ้นเป็นกษัตริย์องค์ต่อไป (1 ซามูเอล 24:20) เช่นเดียวกับนางอาบิกายิล (1 ซามูเอล 25:30) เช่นเดียวกับพวกฟิลิสเตีย (1 ซามูเอล 21:11) คน อิสราเอลต้องรู้ดีว่า ดาวิดคือผู้ที่พระเจ้าเลือกไว้ให้ขึ้นมาแทนที่ซาอูล (2 ซามูเอล 3:9-10, 18) สำหรับพวก เขาจึงไม่ใช่เรื่องประหลาดใจ ; ถึงแม้พวกเขาจะทำการนี้ช้าไปสักหน่อย การที่พวกผู้ใหญ่มาหาดาวิด จึงเป็น การแสดงถึงความเชื่อฟังต่อน้ำพระทัยของพระเจ้า การกระทำนี้จึงดีกว่าการต่อต้านพระเจ้าในครั้งที่เรียกร้อง ขอกษัตริย์ ใน 1 ซามูเอล 8 มาก
ดังนั้นการที่พวกผู้ใหญ่มาทำการเจิมตั้งดาวิด (เป็นครั้งที่สาม) ให้ขึ้นเป็นกษัตริย์ของอิสราเอล จึงเป็นการทำ ตามพันธสัญญาที่กระทำกับดาวิดต่อพระพักตร์พระเจ้า (2 ซามูเอล 5:3) นี่เป็นการแสดงความเชื่อ และการ เชื่อฟัง นับเป็นคนละเรื่องกับเหตุการณ์ที่ซามูเอลเผชิญกับพวกผู้ใหญ่ของอิสราเอลใน 1 ซามูเอลบทที่ 8 การขึ้นครองของดาวิดจึงเป็นการขึ้นครองที่ชอบธรรม มีการการกลับใจ ประชาชนอิสราเอลและพวกผู้นำ พร้อมใจกันยอมรับและเชื่อฟัง
ผมและภรรยามีเพื่อน "วัยเยาว์" อยู่บ้างที่ชอบแวะมาหา หรือที่เราชอบไปเยี่ยมเยียน มีอยู่คืนหนึ่ง ผมและ เจนเน็ตต์ กำลังอ่านนิทานก่อนนอนให้เพื่อนวัยเยาว์สองคนฟัง เป็นหนังสือทีเขียนโดยนักศาสนศาสตร์ที่มีชื่อ ขณะที่อ่าน (และเวลาก็ผ่าน) ไป เด็กคนเล็กเริ่มเบื่อ เริ่มซน วิ่งเข้าวิ่งออกจากเตียงหลายหน ผมไม่โทษเธอ หรอกครับ คนที่โตกว่าอยู่ทนฟังจนจบ พออ่านจบ แคธี่พูดว่า "เรื่องนี้ยาวจัง" ก็มันยาวจริงๆนี่ครับ
มีเรื่องยาวอยู่มากมายหลายเรื่อง เวลาผมถามใครๆว่ามาเป็นคริสเตียนได้อย่างไร พวกเขามักจะยิ้มแล้วตอบว่า "เรื่องมันยาวครับ" เรื่องราวของกรุงเยรูซาเล็มเป็นเรื่องยาวเหมือนกัน เยรูซาเล็มก่อนถูกดาวิดยึดครอง มีชื่อว่า เยบุส คนที่อาศํยอยู่ในเมืองนี้ถูกเรียกว่าเป็นคนเยบุส มีการเรียกชื่อคนเยบุสครั้งแรกในปฐมกาล 10;15-16 ซึ่งที่จริงก็คือคนคานาอัน ลูกหลานของคานาอัน บุตรคนที่สามของฮาม (ปฐก. 10:6) ฮามคนนี้แหละ ที่เห็น โนอาห์บิดาของตนนอนเปลือยกายอยู่ (ปฐก. 9:22) เป็นเหตุให้ตนเองและลูกหลานถูกสาปแช่ง (ปฐก. 9:25) ภูเขาโมรียาห์เป็นที่ๆอับราฮัมนำบุตรของตน อิสอัค ไปทำการถวายบูชา (ปฐก.) บนภูเขาโมรียาห์นี้เอง เป็น ภูเขาเดียวกับที่ซาโลมอนสร้างพระวิหาร (2 พงศาวดาร 3:1)
ครั้งแล้วครั้งเล่า พระเจ้าสัญญาจะนำคนอิสราเอลไปสู่ดินแดนแห่งพันธสัญญา ดินแดนที่พวกคานาอันครอบ ครองอยู่ (รวมทั้งคนเยบุสด้วย) พระเจ้าสัญญาจะขับไล่พวกเขาไป (ปฐก.15:18-21; อพยพ 3:8, 17; 13:5; 23:23; 33:2; 34:11) เมื่อมีการส่งผู้สอดแนมไปที่ดินแดนพันธสัญญา เพื่อไปสืบดู รายงานของผู้สอดแนมมี ชาวเยบุสอาศัยอยู่ที่นั่นด้วย (กันดารวิถี 13:29) พระเจ้าไม่เพียงแต่สัญญาจะขับไล่ชาวคานาอันออกไป (โยชู วา 3:10) พระองค์สั่งให้คนอิสราเอลทำด้วย (เฉลยธรรมบัญญัติ 7:1; 20:17) เมื่อชาวอิสราเอลข้ามแม่น้ำ จอร์แดนไป ชาวเยบุสก็เป็นหนึ่งในบรรดาคนคานาอันที่ร่วมต่อต้านไม่ต้องการให้คนอิสราเอลเข้ามาในดินแดน ด้วย (โยชูวา 9 & 11; 24:11)
ในพระธรรมโยชูวา มีการพูดถึงเมืองเยบุสครั้งแรกว่าเป็นเมืองในครอบครองของประชาชนยูดาห์ ที่คนยูดาห์ ไม่ได้ขับไล่ออกไป (โยชูวา 15:63) ในโยชูวา 18:28 พูดว่าเมืองเยบุสเป็นมรดกของเผ่าเบนยามิน และคน เบนยามินก็ไม่ได้ขับไล่คนเยบุสออกไปด้วย (ผู้วินิจฉัย 1:21) ดูเหมือนว่าอาศัยอยู่ร่วมกัน ซึ่งเป็นผลทำให้ คนอิสราเอลทำบาปแบบเดียวกับชาวเยบุส (ผู้วินิจฉัย 3:1-7) และพระเจ้าทรงลงโทษด้วยการให้ถูกกดดัน จากศัตรูรอบด้าน (3:8) ในผู้วินิจฉัย 19:10-12 มีการพูดถึงเมืองเยบุสว่าเป็นเมืองต่างด้าว หาใช่ของอิสราเอล อาจเป็นได้ว่าอิสราเอลเคยครอบครองเยบุสบ้างเป็นครั้งครา (ดู 1 ซามูเอล 17:54) แต่ไม่เคยเอาชนะได้อย่าง เด็ดขาด จนกระทั่งสมัยของดาวิดที่เรากำลังเรียนอยู่นี้ (นอกจากบทเรียนแล้วให้ดู 1 พงศาวดาร 21:15 ด้วย) ว่าในที่สุดเยบุสก็ตกเป็นของอิสราเอลอีกครั้งและตลอดไป มีเรื่องราวเกี่ยวกับเมืองเยบุสที่เดี๋ยวนี้เป็นเมือง เยรูซาเล็มอีกมากมาย แต่เราจะกลับมาพูดถึงเรื่องนี้อีกในบทเรียนบทที่ 6
ผมเชื่อว่าการเข้ายึดเมืองเยบุสในข้อ 6-10 กว่าเราจะเข้าใจได้ ต้องไปเปรียบเทียบกับข้อ 17-25 เมื่อดาวิดรบ ชนะพวกฟิลิสเตียได้ถึงสองครั้ง เป็นเรื่องเข้าใจได้ไม่ยากว่าทำไมถึงมีการต่อสู้กับฟิลิสเตียในบทนี้ เป็นเรื่อง ของการป้องกันตัว พวกฟิลิสเตียมาโจมตีอิสราเอล มุ่งเฉพาะที่ดาวิด ผมเดาได้ว่าพวกนี้รู้สึกยังไง พวกเขารู้ดี (อย่างน้อยอาคีชกษัตริย์เมืองกัทต้องรู้ดี) ว่าเคยให้ที่ลี้ภัยกับดาวิด เคยถึงกับให้เข้าร่วมในกองทัพ แทบไม่มี อะไรที่ดาวิดไม่รู้ ไม่ว่าจะเป็นยุทธวิธีการรบ เส้นทางลำเลียง แหล่งที่ซ่อนและขุมกำลัง ดาวิดเป็นศัตรูที่น่า สะพรึงกลัวที่สุด สมควรต้องกำจัดโดยเร็วก่อนที่จะทันตั้งตัว เมื่อพวกฟิลิสเตียมาโจมตี ดาวิดไม่มีทางเลือก มากนัก นอกจากต้องสู้ ชาวเยบุสไม่ได้คิดต่อสู้กับอิสราเอล พวกเขาเพียงแต่อาศัยอยู่เฉยๆ เพราะไม่เห็น ความ "จำเป็น" ใดๆที่ต้องไปสู้รบ แล้วเหตุใด ดาวิดจึงนำอิสราเอลมาต่อสู้กับเมืองนี้ เมืองที่อิสราเอลไม่เคย เอาชนะได้อย่างเด็ดขาดเสียที?
ผมเชื่อว่ามีเหตุผลหลายประการ ประการแรกที่สำคัญที่สุด เพราะเป็นเมืองที่พระเจ้าสัญญาจะมอบให้กับ อิสราเอล เป็นเมืองที่พระองค์สั่งให้ทำลายพลเมืองเสีย การที่มีพวกนี้อยู่ท่ามกลางคนอิสราเอล มีแต่จะทำให้ ประชากรของพระเจ้าเสียผู้เสียคน (ผู้วินิจฉัย 3:5-6) ซาอูลรีรอ ไม่ยอมตัดสินใจจัดการกับศัตรูภายนอกให้จบ สิ้น แถมยินดีที่จะให้คนอิสราเอลอาศัยอยู่กับพวกศัตรูเสียอีก เท่าที่เรารู้ชาวเยบุสอยู่เฉยๆ ไม่ได้ต่อต้านอะไร กับกองกำลังฟิลิสเตีย ทำให้โยนาธานทนต่อไปไม่ไหว ลุกขึ้นมาบังคับให้ทั้งบิดาและพวกฟิลิสเตียทำการบาง อย่าง (1 ซามูเอล 13:3) ดาวิดตระหนักดีว่าประเทศใดก็ตาม ถ้าไม่สามารถกำจัดศัตรูออกไปจากแผ่นดินได้ จะเป็นประเทศที่ถูกดูหมิ่นดูแคลน (หรือไม่ได้รับความเคารพ) จำต้องมีการจัดการกับชาวเยบุส ดาวิดรู้ดี ถึง เวลาแล้ว ที่ศัตรูของพระเจ้าพวกนี้ต้องถูกกำจัดให้หมดสิ้นไป การกำจัดคนเยบุสและเข้าไปยึดเมืองไว้จึงเป็น ก้าวแรกที่อิสราเอลมีชัยเหนือศัตรู เป็นการมีชัยเหมือนในสมัยโยชูวาและผู้วินิจฉัย เป็นภาพเดียวกับเมื่อครั้งที่ ซาอูลนำอิสราเอลต่อสู้กับคนอัมโมน (1 ซามูเอล 11) เป็นดังวิถีการขึ้นครองของกษัตริย์ !
ประการที่สอง ดาวิดต้องการสร้างเมืองหลวงใหม่ เมื่อดาวิดขึ้นครองเหนือเผ่ายูดาห์ ตอนนั้นเฮโบรนเหมาะที่ จะเป็นเมืองหลวง แต่เมื่อท่านขึ้นเป็นกษัตริย์เหนืออิสราเอล ท่านต้องการเมืองหลวงที่อยู่เหนือขึ้นไป เพื่อจะ ได้อยู่ตรงกลางประเทศ เป็นศูนย์รวมของประเทศ เยบุสเหมาะที่สุด การที่อิสราเอลมีชัยเหนือชาวเยบุส จะทำให้ทั้งประเทศเป็นหนึ่งเดียวกัน การที่ดาวิดครอบครองและตั้งเยบุสให้เป็นเมืองหลวงจะเป็นเช่นเดียว กันด้วย เมืองนี้ตั้งอยู่ระหว่างเขตแดนของยูดาห์และเบนยามิน เป็นเมืองที่ทั้งลูกหลานของยูดาห์หรือเบนยา มินไม่เคยครอบครองสำเร็จ ดังนั้นการตั้งเมืองนี้ขึ้นเป็นเมืองหลวง จึงไม่เป็นการลำเอียงเข้าข้างฝ่ายใดฝ่าย หนึ่ง นอกจากนี้ สถานที่ตั้งตามธรรมชาติของเมืองนี้ยากต่อการถูกโจมตี (เป็นเหตุผลที่ทำให้อิสราเอลเอา ชนะขาดไม่ได้เสียที) เป็นเมืองภูเขา และมียอดเขามากกว่าหนึ่งแห่ง มีหุบเขาล้อมรอบ ต่อเติมเสียหน่อย ก็จะกลายเป็นป้อมปราการที่เข้มแข็งทีเดียว (5:9)
แทบทุกคนลงความเห็นว่ามีความหมายสำคัญบางประการซ่อนอยู่ในคำว่า "คนตาบอดและคนง่อย" ในข้อ 6-10 แต่ไม่มีใครบอกได้ว่าสำคัญอย่างไร สำหรับผม ผมคิดว่าความหมายน่าจะแปลตรงๆไปตามเนื้อหาในพระคัมภีร์ ผมไม่คิดว่าคนเยบุสหมายถึงใครเป็นพิเศษ เมื่อพวกเขากล่าวว่า "แกยกเข้ามาที่นี่ไม่ได้ดอก คนตาบอด และ คนง่อยก็จะป้องกันไว้ได้" (ข้อ 6) เรารู้ดีว่าที่พวกเขาพูดเช่นนี้เพราะเชื่อว่าดาวิดคงไม่มีทางบุกเข้ามาในเมือง และยึดครองได้
คุณเคยถูกหมาดุกระโจนใส่ไหม? แล้วมารู้ทีหลังว่ามันถูกล่ามโซ่ไว้ เขี้ยวของมันอยู่ห่างคุณแค่คืบเดียวเอง ถ้าเกิดมันหลุดจากโซ่ออกมาล่ะ คุณกะจะวิ่ง หรือกะจะพูดดีๆให้มันเปลี่ยนใจไม่ขย้ำคุณ คุณคงไม่คิดจะยั่ว หรือหยอกมันเล่นแน่ถ้ารู้ว่ามันไม่ได้ถูกล่าม แต่ถ้าเกิดเห็นว่ามันถูกโซ่ใหญ่ล่ามอยู่ คุณคงกล้าตะโกนใส่หน้า มัน หรือล้อมันเล่น เวลาที่เรารู้สึกปลอดภัย เรามักจะพูดจาอวดเก่ง
เมื่อคนเยบุสเห็นดาวิดและคนอิสราเอลยกมาโจมตี สำหรับพวกเขาเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่หรือน่ากลัว ใน อดีตมีการมาโจมตีออกบ่อยครั้ง แต่ไม่สำเร็จสักครั้ง ดังนั้นเมื่ออยู่หลังกำแพงป้อมแข็งแรง คนเยบุสจึงกล้าพูด ล้อเลียนดาวิดและพวกทหาร ด้วยคำพูดเยาะเย้ยถากถาง "ผมสามารถซัดคุณได้ ถึงแม้มืออีกข้างถูกผูกอยู่" กองทัพดาวิดเกรงกลัวหรือไม่? ไม่! แน่นอน! พวกเขาพูดล้อเลียนทำนองว่าสามารถป้องกันเมืองไว้ได้โดยใช้ ผีมือของคนตาบอดและคนง่อยเท่านั้น
ความโกรธดาวิดพลุ่งขึ้น คงพอๆกับตอนที่ถูกโกลิอัทพูดจาสามหาวใส่ ท่านนำคำพูดนี้ใส่ไปในคำสั่งให้ทหาร "ผู้ใดจะโจมตีคนเยบุส ก็ให้ผู้นั้นขึ้นไปตามทางน้ำไหล ไปสู้คนง่อย และคนตาบอดผู้ซึ่งจิตใจของดาวิด เกลียดชัง" พวกเขาทำตามนั้น และเอาชนะชาวเยบุสได้ จากนั้นเป็นต้นมา มีคำกล่าวในท่ามกลางผู้ติดตาม ดาิวิดว่า 22 "อย่าให้คนตาบอดและคนง่อยเข้ามาในพระนิเวศ" ฟังดูเหมือนเป็นข้ออ้างที่พวกไม่ชอบหน้าคน พิการ หรือพวกไร้ความปราณี ถือโอกาสจากเหตุการณ์ครั้งนี้นำมาใช้ ผมเชื่อว่าคำพูดนี้ถูกบันทึกด้วยสาเหตุ อันเนื่องมาจาก 2 ซามูเอล 4:4 และ 9:1-13 คนของอิชโบเชทฆ่าเจ้านายของตนเองบนเตียงใช่มั้ย? คน อิสราเอลห้ามไม่ให้คนง่อยเข้ามาในบ้านตนเอง จริงหรือเปล่า? ดาวิดเองกลับเป็นผู้ไปตามหาเมฟีโบเชท เด็กพิการ เพื่อแสดงออกถึงความรักที่มีต่อโยนาธานด้วยการให้เข้าร่วมโต๊ะเสวยทุกวัน
คุณว่าทัศนคติและการกระทำในส่วนของดาวิดเป็นการเล็งถึงจอมกษัตริย์ของอิสราเอล เมื่อพระองค์เสด็จมา บนโลกนี้หรือไม่? บรรดาคนที่คิดว่าตนเองชอบธรรมหันหน้าหนี หรือเดินอ้อมไปทางอื่น เมื่อเห็นคนนอน บาดเจ็บอยู่บนถนนหรือเปล่า? (ดูลูกา 10:25-37) พวกเขาสงสัยว่าทำไมพระเยซูไปยุ่งเกี่ยวคนบาป หรือ ยอมให้คนมีมลทินมาสัมผัสตัว คนที่พวกเขารังเกียจเดียดฉันท์พระเยซูกลับไปเสาะหา ดาวิดคือภาพจำลอง ของพระองค์ผู้เสด็จมาในภายหลัง ผู้ที่เสาะแสวงหาคนอ่อนแอ และให้ความช่วยเหลือ (ดูลูกา 4:16-21; 5:29-32; 7:18-23) ดาวิดนั้นคือภาพจำลองของพระเมสซิยาห์ ชาวเยบุสที่พูดจาอวดดีดูถูกพระเยซู คือภาพจำลอง ของคนที่คิดว่าตนเองชอบธรรมดีแล้ว วันหนึ่งคนเหล่านี้จะพ่ายแพ้ต่อพระองค์ ศัตรูของดาวิดมีแต่พ่ายแพ้ แต่ ตัวท่านเองมีแต่เข้มแข็งยิ่งๆขึ้น ไม่มีผู้ใดยับยั้งท่านได้ เพราะพระเจ้าสถิตกับท่าน
11 ฮีรามกษัตริย์เมืองไทระได้ส่งผู้สื่อสารมาหาดาวิดและ ได้ส่งไม้สนสีดาร์
พวกช่างไม้ และพวกช่างก่อมาสร้างพระราชวังของดาวิด 12 และดาวิดทรง
ทราบว่า พระเจ้าทรงสถาปนาพระองค์ให้เป็นพระราชาเหนืออิสราเอล และ พระองค์ได้ทรงยกย่องราชอาณาจักรของพระองค์ด้วยเห็นแก่อิสราเอลประชา
กรของพระองค์ 13 ภายหลังที่พระองค์เสด็จจากเฮโบรน ดาวิดทรงได้นาง สนมและมเหสีจากเยรูซาเล็มเพิ่มขึ้นอีก และบังเกิดราชโอรสและราชธิดาอีก
14 ต่อไปนี้เป็นชื่อของผู้ที่บังเกิด กับพระองค์ในเยรูซาเล็มคือ ชัมมุอา โชบับ
นาธัน ซาโลมอน 15 อิบฮาร์ เอลีชูอา เนเฟก ยาเฟีย 16 เอลีชามา เอลียาดา
และเอลีเฟเลท.
แน่นอน การตอบสนองในการขึ้นปกครองเป็นกษัตริย์เหนืออิสราเอลที่มีต่อดาวิดมีอยู่สองแบบ : (1) ยอมรับ ท่านในฐานะเพื่อนและพันธมิตร หรือ (2) ตั้งตัวเป็นศัตรูคอยต่อต้านและยกมาโจมตี ฮีราม กษัตริย์เมืองไทระ เลือกที่จะทำอย่างแรก ในขณะที่พวกฟิลิสเตียเลือกอย่างหลัง ถึงแม้นักแปลพระคัมภีร์ส่วนมากแนะว่าข้อ 11-16 นั้นน่าจะแบ่งเป็นสองตอน ผมเลือกที่จะมองว่าทั้งหมดนี้รวมเป็นหนึ่งความหมาย คือการสร้างบ้านของ ดาวิด ฮีรามช่วยดาวิดสร้างตัวบ้านที่ใช้พักอาศัย พระราชวังในเยรูซาเล็ม แต่ขณะที่อยู่ในเยรูซาเล็ม ดาวิด ยังคงสร้าง "บ้านเรือน" (หรือครอบครัว) ของท่านอย่างต่อเนื่อง ในการสร้าง "บ้าน" ทั้งสองแบบนี้ ทำให้ดาวิด ยิ่งมั่นคงขึ้น ในฐานะกษัตริย์ของอิสราเอล
ข้อ 11 & 12 ทำให้เรารู้จักฮีราม กษัตริย์ไทระ เป็นผู้ที่น่าจะมองดาวิดเป็นศัตรู แต่กลับเลือกที่จะเป็นพันธมิตร แทน เมื่อพระเจ้าทรงทำพันธสัญญากับอับราฮัม (ดูปฐมกาล 12:1-3) พระองค์สัญญาว่า ใครที่สาปแช่งท่าน พระองค์จะสาปแช่งผู้นั้น ใครที่อวยพรท่าน พระองค์จะอวยพรด้วย ทั้งชาวเยบุสและชาวฟิลิสเตียสาปแช่ง ดาวิด ; ฮีรามกลับอวยพรท่าน ช่วยท่านจัดเตรียมการสร้างพระราชวังในเมืองที่พึ่งยึดมาได้ และสร้างให้เป็น เมืองที่แข็งแกร่งในอนาคต ฮีรามช่วยจัดหาทั้งวัสดุอุปกรณ์และแรงงานในการสร้างพระราชวังหลังใหญ่นี้ ดาวิดรับด้วยความพอใจ ฮีรามเป็นมิตรกับดาวิด
ตามเนื้อหาในพระคัมภีร์ กว่าดาวิดจะรับรู้ถึงความเป็นกษัตริย์ของตนเองได้ ก็เมื่อการสร้างพระราชวังใกล้จะ เสร็จลง มันเหมือนความฝันอันแสนนานของท่าน แต่บัดนี้ท่านรู้แล้วว่าพระสัญญาของพระเจ้านั้นสำเร็จลง ตอนใดในระหว่างการสร้างพระราชวัง ทำให้ท่านตระหนักเรื่องนี้ขึ้นมา? ผมคิดว่าเหตุผลน่าจะเกี่ยวข้องกับ พระธรรมสุภาษิตข้อนี้ :
27 จงเตรียมงานของเจ้าที่ภายนอก ทำทุกอย่างของเจ้าให้พร้อมที่ในนา
และหลังจากนั้นก็จงสร้างเรือนของเจ้า
(สุภาษิต 24:27)
อิสราเอลเป็นเมืองเกษตรกรรม จึงไม่เป็นการฉลาดนักที่จะสร้างบ้านก่อนทำนา หลังจากปลูกข้าวแล้ว ชาว นาค่อยทุ่มเวลาในการสร้างบ้าน เพราะกว่าข้าวจะตกรวงต้องใช้เวลา นี่คือการเรียงลำดับความสำคัญอย่าง ถูกต้อง คงเหมือนกับคนที่ย้ายเข้ามาอยู่ในเมืองหลวง ซื้อหาคอนโดในเมืองและตบแต่งจนเรียบร้อย แต่ กลับพบว่างานที่เหมาะกับตนเองนั้นอยู่ในเขตปริมณฑล ที่จริงน่าจะหางานให้ได้เสียก่อน แล้วค่อยหาซื้อ บ้านในละแวกใกล้เคียง ตอนนี้ดาวิดมีบ้านเป็นของตนเองแล้ว ฃึ่งก็แปลว่า "งาน" ในฐานะกษัตริย์ของท่าน นั้นแน่นอนมั่นคง ในที่สุดพระสัญญาของพระเจ้าที่จะให้ท่านขึ้นครองเป็นกษัตริย์ของอิสราเอลเป็นจริงและ เสร็จสมบูรณ์ ดาวิดได้ครอบครองในสิ่งที่ท่านรอคอยมากว่า 20 ปี อาคารที่ปลูกสร้างถาวรในกรุงเยรูซาเล็ม เป็นสิ่งที่ย้ำว่าทุกอย่างเป็นความจริง
ยังมีส่วนที่สองในการสร้างบ้านเรือนและครอบครัวของดาวิด ดาวิดมีภรรยาและบุตรอยู่แล้วก่อนที่จะย้ายมา กรุงเยรูซาเล็ม (2 ซามูเอล 2:2; 3:2-5) ที่เยรูซาเล็มท่านมีภรรยาและบุตรเพิ่มขึ้นอีกหลายคน ตามค่านิยม ของคนตะวันออกสมัยโบราณ การมีภรรยาและบุตรหลายคนเป็นสิ่งแสดงถึงความมั่งคั่ง ด้วยมาตรฐานนี้ ดาวิด จึงนับเป็นผู้มั่งคั่งของเยรูซาเล็ม ! แต่ปัญหาคือเมื่อเพิ่มจำนวนภรรยาขึ้นมา ดาวิดกำลังอยู่ในอันตรายของการ เข้าข่ายมีภรรยามาก ท่านกำลังละเลยคำเตือนที่มีต่อกษัตริย์อิสราเอล :
"17 และอย่าให้ผู้นั้นมีภรรยามาก เกรงว่าจิตใจของเขาจะหันเหไปเสีย หรืออย่าให้มีเงินมีทองเป็นของตนอย่างมากมาย " (เฉลยธรรมบัญญัติ 17:17)
17 เมื่อคนฟีลิสเตียได้ยินข่าวว่าดาวิดได้รับการเจิมเป็น พระราชาเหนืออิสราเอล คนฟีลิสเตียทั้งปวงก็ขึ้นไปแสวงหาดาวิด แต่ดาวิดทรงทราบข่าวนั้น จึงลงไปยัง
ที่กำบังเข้มแข็ง 18 ฝ่ายคนฟีลิสเตียยกขึ้นมาและขยายแนวออกที่หุบเขาเรฟาอิม
19 และดาวิดทรงทูลถามพระเจ้าว่า "ควรที่ข้าพระองค์จะยกขึ้นไปสู้รบกับคนฟีลิส
เตียหรือ พระองค์จะทรงมอบเขาไว้ในมือข้าพระองค์หรือไม่" และพระเจ้าทรงตอบ
ดาวิดว่า "จงขึ้นไปเถิด เพราะเราจะมอบคนฟีลิสเตียไว้ในมือของเจ้าเป็นแน่" 20 ดาวิดเสด็จมายังบาอัลเปราซิม และดาวิดทรงชนะคนฟีลิสเตียที่นั่น พระองค์ตรัสว่า "พระเจ้าทรงทะลวงข้าศึกของข้าพเจ้าดังกระแสน้ำที่พุ่งใส่" เพราะฉะนั้นจึงเรียกชื่อ
ตำบลนั้นว่า บาอัลเปราซิม 21 และคนฟีลิสเตียได้ทิ้งรูปเคารพที่นั่น ดาวิดกับข้าราช
การของพระองค์ก็ขนเอาไปเสีย 22 คนฟีลิสเตียยกขึ้นมาอีกและขยาย แนวอยู่ในหุบ
เขาเรฟาอิม 23 และเมื่อดาวิดทูลถามพระเจ้าพระองค์ตรัสว่า "เจ้าอย่าขึ้น จงอ้อม ไปข้างหลังของเขา และโจมตีเขาตรงข้ามกับหมู่ต้นโพธิ์ 24 และเมื่อเจ้าได้ยินเสียง กระบวนทัพเดินอยู่ที่ยอดหมู่ต้นโพธิ์เจ้าจงรีบรุกไป เพราะพระเจ้าเสด็จไปข้างหน้า
เพื่อจะโจมตี กองทัพของคนฟีลิสเตีย" 25 และดาวิดทรงกระทำตามที่พระเจ้าทรง
บัญชาไว้ และได้โจมตีคนฟีลิสเตียจากเกบาถึงเกเซอร์
เราได้แต่ลองนึกภาพดูว่าผู้นำฟิลิสเตียทั้ง 5 จะพูดจากันอย่างไรเมื่อทราบว่าดาวิดได้ขึ้นเป็นกษัตริย์อิสราเอล อาคีชคงถูกโจมตีอย่างรุนแรงในฐานะเป็นผู้ให้ที่ลี้ภัยแก่ดาวิด (1 ซามูเอล 21:10-15; 27:1—28:2; 29:1-11) ที่จริงแล้วดาวิดมีโอกาสได้อยู่ในกองทัพฟิลิสเตีย ถึงแม้จะเป็นเวลาเพียงสั้นๆ แต่ก็นานพอที่จะรู้ว่าจะจัดการ กับฟิลิสเตียอย่างไร ฟิลิสเตียต้องรีบป้องกันตนเอง โดยต้องจัดการกับอิสราเอลให้ได้ ก่อนที่จะกลายเป็น ศัตรูที่น่าสะพรึงกลัวที่สุด
ตามมุมมองในยุทธวิธีการรบ นับว่าเป็นการตัดสินใจที่ดี เพราะขืนปล่อยทิ้งไว้ อาณาจักรของดาวิดจะเติบโต และเข้มแข็งขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งกองทัพ แต่ดาวิดเป็นกษัตริย์ของพระเจ้า ปกครองประชากรของพระเจ้า ท่านจะไม่พ่ายแพ้ เมื่อดาวิดรู้เรื่องฟิลิสเตียมาโจมตี ท่านลงไปยังที่กำบังเข้มแข็ง (ข้อ 17) ใน 1 พงศาวดาร 11:15 ดูเหมือนว่าดาวิดและคนของท่านไปที่ถ้ำอดุลลัม ที่ๆท่านและคนของท่านไปอาศัยอยู่เมื่อครั้งฟิลิสเตีย มายึดเบทเลเฮ็มและตั้งค่าย (1 พงศาวดาร 11:16) คนฟิลิสเตียคาดว่าจะพบดาวิดที่นั่นหรือ? ดาวิดเพียงแค่ ต้องการดื่มน้ำจากบ่อในเบทเลเฮ็ม ก็มีชายกล้าถึงสามคนแหกค่ายฟิลิสเตียเข้าไปตักน้ำมาให้ท่านดื่มได้ (1 พงศาวดาร 11:16-19)
ถ้าดาวิดอยู่ที่ถ้ำอดุลลัมจริงในตอนแรกที่รบกับพวกฟิลิสเตีย ผมคิดว่าเป็นเรื่องน่าสนใจดี เพราะพระเจ้าไม่ได้ ทำให้เป็นเรื่องสูญเปล่า ที่ถ้ำอดุลลัมนี้ ครอบครัวและผู้ติดตามหลายคนมาหาท่าน (ผมเริ่มเข้าใจแล้วว่าทำไม ครอบครัวท่านถึงไปที่นั่น มันคงอยู่ไกล้กับบ้านที่เบทเลเฮ็ม คนที่บ้านจึงหลบมาได้โดยไม่ถูกคนของซาอูลจับ ไปเสียก่อน) ในช่วงเวลาที่ดาวิดหลบหนีซาอูล ท่านคงพบ "ที่กำบัง" อีกหลายแห่งที่สามารถใช้เป็นที่หลบภัย ได้หลายปีหลังจากนั้น เมื่อท่านยังต้องต่อสู้กับพวกฟิลิสเตีย
เมื่อดาวิดเผชิญหน้ากับคนฟิลิสเตียครั้งแรก พวกเขาต้องการตัวท่าน ในฐานะกษัตริย์องค์ใหม่ ท่านหันไปพึ่ง พระเจ้าเพื่อขอคำแนะนำ ท่านทูลถามว่า สมควรไหมที่จะไปต่อสู้กับพวกฟิลิสเตีย พระเจ้าสั่งให้ท่านไป และให้ ความมั่นใจว่าจะมอบคนฟิลิสเตียไว้ในมือท่าน (ข้อ 19) ที่บาอัลเปราซิม ดาวิดเผชิญกับศัตรูและสามารถเอา ชนะได้ ท่านให้ชื่อตำบลนั้นว่าบาอัลเปราซิมเพื่อเตือนให้ระลึกว่า พระเจ้าทรง"ทะลวงข้าศึก" และมอบชัยชนะ เหนือศัตรูให้ มีการบันทึกไว้ด้วยว่าคนฟิลิสเตียได้ทิ้งรูปเคารพที่นั่น และคนของดาวิดมาขนไปเสีย (ข้อ 21) ใน 1 พงศาวดาร 14:12 บันทึกไว้ว่าขนเอาไปเผา
ผมอ่านในหนังสือพิมพ์ว่า ไมค์ ไทสัน เชื่อมั่นและกระหายจะเอาชัยชนะที่เสียไปเมื่อปีที่แล้วคืนให้ได้จาก อีวานเดอร์ โฮลี่ฟิลด์ เขาไม่ยอมเป็นผู้แพ้นานนัก เขาเชื่อว่าครั้งที่แล้วไม่ได้ชกจริงจังเท่าที่ควร พวกฟิลิส เตียคงคิดเหมือนกันเรื่องดาวิดและอิสราเอล พวกเขาไม่ยอมแพ้ง่ายๆหรอกครับ ; และไม่ยอมเป็นฝ่ายแพ้นาน ด้วย พวกเขาต้องการเอาคืน จึงยกมาโจมตีดาวิดอีกครั้ง กระจายกำลังอยู่ในแนวหุบเขาเรฟาอิม (เหมือนย้อน รอยการรบครั้งแรก?) ดาวิดคงคิดเหมือนกัน ท่านควรจะออกไปต่อสู้ เหมือนครั้งที่แล้ว ดีหรือไม่? คำตอบของ พระเจ้าคือ ท่านควรออกไปสู้กับฟิลิสเตีย แต่ด้วยวิธีการที่ต่างจากคราวที่แล้ว คราวนี้แทนที่จะปะทะกันซึ่งๆ หน้า ดาวิดถูกสั่งให้ไปล้อมทางด้านหลัง และไม่เข้าโจมตีจนกว่าจะได้ยิน "เสียงกองทัพเดินอยู่ ที่ยอดหมู่ ต้นโพธิ์" (ข้อ 24)
บางคนคิดว่าเป็นเสียงลมที่พัดอยู่บนยอดไม้ ที่กลบเสียงกองทัพของดาวิดที่กำลังจู่โจม ผมว่ามีมากกว่านั้น พระเจ้าทรงมีฤทธานุภาพไม่จำกัด พระองค์พอพระทัยที่จะนำชัยชนะมาสู่ประชากรของพระองค์ด้วยวิธีที่การ อันมากมายไม่มีสิ้นสุด พระองค์ทรงใช้พายุ มีทั้งฝนฟ้าคะนอง ซึ่งเป็นอุปสรรคอย่างยิ่งกับอาวุธที่ทำด้วยเหล็ก และโคลนที่เกิดขึ้นเพราะฝน ทำให้รถรบแทบไม่สามารถใช้การได้ (ดู 1 ซามูเอล 7:10) ต่อมาพระองค์ทรงใช้ แผ่นดินไหวเขย่าพวกศัตรู (1 ซามูเอล 14:15) ก่อนหน้านี้ พระเจ้าประทานชัยชนะเหนือคนอัมโมนให้แก่ อิสราเอล ด้วยการให้มีลูกเห็บใหญ่ๆตกมาจากฟ้า (โยชูวา 10:11) ใน 2 พกษ. บทที่ 7 พระเจ้าทำให้กองทัพ ซีเรียตกใจแทบสิ้นสติ ด้วยการได้ยินเสียงกองทัพใหญ่ยกมา ทั้งๆที่ไม่มีอะไรเลย (ข้อ 6-7) ผมจึงขอเชื่อตาม คำในพระคัมภีร์ (2 ซามูเอล 5:24) ว่าเป็นการ "ทำอัศจรรย์ที่ยิ่งใหญ่" อีกครั้งของพระเจ้า ที่ทำให้ศัตรูเสียสติ และเปิดทางให้ดาวิดเข้าโจมตีและมีชัยได้อย่างง่ายดาย ชัยชนะครั้งนี้ ดาวิดสามารถขับไล่ฟิลิสเตียให้กลับคืน เข้าประเทศไปได้ (เกเซอร์เป็นเมืองชายแดนของฟิลิสเตีย) ชัยชนะเหนือฟิลิสเตียเป็นการกระทำที่ตัดสินใจ อย่างเด็ดขาด ถึงแม้เป็นหน้าที่ของซาอูลที่ต้องกู้อิสราเอลให้พ้นจากเงื้อมมือของฟิลิสเตีย (1 ซามูเอล 9: 16) ท่านกลับถูกฆ่า และอิสราเอลต้องพ่ายแพ้ต่อฟิลิสเตีย (1 ซามูเอล 31) กษัตริย์ดาวิดต่างหากที่เป็นผู้ช่วยปลด ปล่อยอิสราเอลให้พ้นจากฟิลิสเตียได้ (2 ซามูเอล 19:9)
เมื่อมาถึงตอนนี้ เรารู้สึกได้ถึงความปลอดโปร่งโล่งใจและชื่นชมยินดีในชีวิตของดาวิด มันนานหลายปีมาแล้ว ที่ซามูเอลเจิมตั้งดาวิดขึ้นเป็นกษัตริย์อิสราเอล กว่าจะถึงจุดนี้ได้ ดาวิดต้องผ่านประสพการณ์ที่เจ็บปวดมา มากมาย มีเรื่องดีๆอยู่บ้าง เช่นเมื่อได้เล่นดนตรีถวายซาอูล ได้เป็นเพื่อนสนิทกับโยนาธานบุตรชาย เมื่อมีชัย เหนือโกลิอัท และได้เลื่อนขั้นในกองทัพของซาอูล ชื่นชมยินดีเมื่อได้แต่งงานกับบุตรสาวของซาอูล ทำให้ ดาวิดกลายเป็นทองแผ่นเดียวกับราชวงศ์ แต่ก็มีเวลาที่เลวร้ายมากมายเช่นกัน มีการรอคอยที่ยาวนานหลายปี อยู่อย่างหลบๆซ่อนๆด้วยความกลัวตาย ถึงกับต้องไปพึ่งพิงขอลี้ภัยในท่ามกลางเหล่าศัตรู สิ่งเหล่านั้นจบสิ้น ไปแล้วเมื่อท่านได้ขึ้นครองเหนืออิสราเอล บัดนี้เป็นเวลาแห่งความชื่นชมยินดี เป็นเวลาแห่งการเฉลิมฉลอง
ผมประทับใจในตัวดาวิด โดยเฉพาะอย่ายิ่งเมื่อเปรียบเทียบกับซาอูล ที่ต่างจากซาอูล ดาวิดแสวงหาน้ำพระ ทัยพระเจ้าตลอดเวลา ท่านเชื่อฟังและพยายามทำตามอย่างสุดความสามารถ เมื่อท่านทำผิด ท่านกลับใจและ แก้ใขให้ถูกต้อง ซาอูลไม่ได้ทำให้อิสราเอลมีชัยเหนือฟิลิสเตีย แต่ดาวิดทำได้ ซาอูลไม่ได้เป็นผู้นำที่เป็น แบบอย่างที่ดีให้กับประเทศ ดาวิดกลับเป็น ครั้งแล้วครั้งเล่า ดาวิดวางมาตรฐานและแบบอย่างที่ดีด้านจิต วิญญานให้กับยูดาห์และชนเผ่าอื่นๆของอิสราเอล ท่านตอบสนองอย่างถูกต้องต่อมรณกรรมของซาอูล และ อย่างรุนแรงกับบรรดาผู้ที่เหยียดมือออกทำร้ายผู้ที่พระเจ้าเจิมไว้
ต่างจากซาอูล ดาวิดไม่ได้เป็นกษัตริย์ที่รู้แต่เรื่องการเผชิญวิกฤตเฉพาะหน้า และ "ดับไฟ" ที่เกิดขึ้นให้จบๆ ไปเท่านั้น ซาอูลแก้เฉพาะปัญหาที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ดาวิดจัดการกับปัญหาที่คนก่อนหน้าท่านหลีกเลี่ยง และ ทิ้งเอาไว้ ท่านทำให้สำเร็จลง การยึดเมืองเยบุสเป็นแบบอย่างในการเป็นผู้ริเริ่มและเป็นผู้นำของดาวิด ผมเชื่อ ว่าดาวิดเข้าใจในพระสัญญาของพระเจ้า ว่าพระองค์จะมอบคนเยบุสและแผ่นดินนี้ให้ ผมยังเชื่ออีกด้วยว่า ดาวิด แสวงหาที่จะทำตามคำสั่งของพระเจ้า ถึงแม้จะสั่งไว้กับอิสราเอลตั้งแต่ในอดีต ว่าให้ไปต่อสู้กับคนเยบุส และ ขับไล่ให้พ้นไปเสียจากแผ่นดิน ผมเชื่อว่าดาวิดมองเมืองเยบุสว่าเป็นเมืองหลวงในอุดมคติ และเหมาะที่จะเป็น สถานที่รวมใจทุกเผ่าของอิสราเอลให้เป็นหนึ่งเดียว ภายใต้การปกครองของท่าน ท่านอาจจะเลือก "ที่จะอาศัย อย่างสงบสุข" ร่วมกับชาวเยบุส อย่างที่บรรพบุรุษเคยทำมา แต่ท่านกลับเลือกทำในสิ่งที่ยากกว่า และเอาชนะ ได้ และชัยชนะแบบนี้เอง ที่ทำให้ประเทศอิสราเอล (และกษัตริย์) ได้รับความเคารพ (คร้ามเกรง) ในท่าม กลางประชาชาติ
ถ้าผมจะสรุปเนื้อหาทั้งหมดในบทที่ 5 ของ 2 ซามูเอล จุดรวมสำคัญทั้งหมดของตอนนี้คือ: เมื่อมนุษย์ตอบรับ กษัตริย์ของพระเจ้า ขณะที่ซาอูล อับเนอร์และคนอื่นๆต่อต้านการขึ้นครองบัลลังก์ของดาวิด แต่เมื่อเป็นพระ ประสงค์ของพระเจ้า หลังจากอับเนอร์ตายลง คนอิสราเอลเริ่มเห็นแล้วว่าดาวิดสมควรจะเป็นกษัตริย์ของพวก เขา ผู้นำของพวกเขาจึงไปพบดาวิด แจ้งความจำนงว่าต้องการให้ท่านเป็นกษัตริย์ พูดง่ายๆก็คือ ทุกเผ่าของ อิสราเอลยอมรับว่า ดาวิดเป็นกษัตริย์ของพระเจ้า (5:1-5) คนเยบุสต่อต้านกษัตริย์ของพระเจ้า พระเจ้าจึงให้ ดาวิด — กษัตริย์ของพระองค์ — มีชัยเหนือคนเยบุส (5:6-10) พวกเขาถูกกษัตริย์ของพระเจ้าโค่นลง เพราะ พวกเขาต่อต้าน ฮีรามกษัตริย์เมืองไทระ ดูจะเข้าใจได้พอประมาณว่าดาวิดเป็นกษัตริย์ของพระเจ้า โดยการ เสนอช่วยดาวิดสร้างพระราชวัง เท่ากับแสดงการยอมรับในความเป็นกษัตริย์ของพระเจ้า (5:11-12) การมี ภรรยาเพิ่มขึ้น มีบุตรเพิ่มขึ้น ดาวิดกำลังรุ่งเรืองขึ้นในฐานะกษัตริย์ของพระเจ้า (5:13-16) พวกฟิลิสเตียไม่ ยอมรับว่าดาวิดเป็นกษัตริย์ของพระเจ้า ยกมาโจมตี หวังจะฆ่าท่าน เพื่อกำจัดสถานะไม่ให้อิสราเอลแกร่งขึ้น เมื่อรวมตัวกันสำเร็จ (5:17-25) ไม่ใช่แค่ครั้งเดียว แต่สองครั้งที่ฟิลิสเตียมาโจมตีดาวิดและกองทัพอิสราเอล และทั้งสองครั้งพระเจ้าประทานชัยชนะเหนือศัตรูให้ ใครที่ยอมรับว่าดาวิดเป็นกษัตริย์ของพระเจ้าจะได้รับพระ พร ; ใครที่ปฏิเสธไม่ยอมรับจะถูกบดขยี้
ดาวิดเป็นภาพพจน์ของ "บุตรดาวิด" ที่จะมาในภายหลัง จอมกษัตริย์ของพระเจ้า ผู้จะเสด็จลงมาบนโลกนี้ เพื่อปราบศัตรูของพระองค์ลง และเพื่อปกครองเหนืออาณาจักรของพระเจ้า
1 เหตุใดบรรดาประชาชาติจึงคิดกบฏ ทำไมชนชาติทั้งหลายปองร้ายกันเปล่าๆ
2 บรรดากษัตริย์แห่งแผ่นดินโลกตั้งตนเองขึ้น และนักปกครองปรึกษากัน ต่อสู้ พระเจ้าและผู้รับการเจิมของพระองค์ กล่าวว่า 3 "ให้เราระเบิดสายแอกให้ขาด
สะบั้น และขจัดบังเหียนของเขาให้พ้นจากเรา" 4 พระองค์ผู้ประทับในสวรรค์
ทรงพระสรวล พระเจ้าทรงเย้ยหยันเขาเหล่านั้น 5 แล้วพระองค์ตรัสกับเขาทั้ง
หลายด้วยพระพิโรธ และกระทำให้เขาสยดสยองด้วยความกริ้วของพระองค์ ตรัส
ว่า 6 "เราได้ตั้งกษัตริย์ของเราไว้แล้วบนศิโยน ภูเขาศักดิ์สิทธิ์ของเรา" 7 ข้าพเจ้า จะบอกถึงพระดำรัสของพระเจ้า พระองค์รับสั่งกับข้าพเจ้าว่า "เจ้าเป็นบุตรของเรา วันนี้เราได้ให้กำเนิดแก่เจ้าแล้ว 8 จงขอจากเราเถิด และเราจะมอบบรรดาประชา ชาติให้เป็นมรดกของเจ้า ตลอดทั้งแผ่นดินโลกให้เป็นกรรมสิทธิ์ของเจ้า 9 เจ้าจะ ตีเขาให้แตกด้วยกระบองเหล็ก และฟาดให้แหลกเป็นชิ้นๆ ดุจภาชนะของช่างปั้น
หม้อ" 10 เพราะฉะนั้น ข้าแต่กษัตริย์ทั้งหลาย จงฉลาดเถิด ข้าแต่นักปกครองแห่ง
แผ่นดินโลก จงรับคำเตือนเถิด 11 จงปรนนิบัติพระเจ้าด้วยความยำเกรง และจง เกษมเปรมปรีดิ์จนเนื้อเต้น 12 จงนมัสการพระองค์ด้วยใจจริง เกลือกว่าพระองค์จะ
ทรงพระพิโรธ และเจ้าต้องพินาศจากทางนั้น เพราะพระพิโรธของพระองค์นั้นจุดให้
ลุกได้รวดเร็ว ความสุขเป็นของคนทั้งหลายผู้เข้ามาลี้ภัยในพระองค์
(สดุดี 2:1-12)
พระธรรมสดุดีตอนนี้เป็นคำพยากรณ์ถึงวันที่พระเจ้าจะจัดตั้งกษัตริย์ของพระองค์ คือพระเยซูคริสต์ เหนือ บัลลังก์ของพระองค์ บรรดาศัตรูของพระเจ้าจะรวมตัวกันเพื่อต่อต้านและโค่นล้มการปกครองของพระคริสต์ใน ฐานะกษัตริย์ เห็นได้ชัดว่าการต่อต้านเช่นนี้เป็นความโง่เขลาและเป็นอันตราย เมื่อพระเจ้าแต่งตั้งกษัตริย์ของ พระองค์เหนือราชบัลลังก์ จะไม่มีผู้ใดสามารถต่อต้านหรือโค่นลงได้ ใครก็ตามที่ทำเช่นนั้นจะถูกขยี้ มีหนทาง ที่ถูกอยู่ทางเดียวในการเสด็จมาของกษัตริย์ของพระเจ้า นั่นคือถ่อมใจลงน้อมรับพระองค์ เพราะนี่เป็นพระพร อันยิ่งใหญ่ (ข้อ 10-12).
ดาวิดเป็นภาพพจน์ขององค์พระเยซูคริสต์ในฐานะกษัตริย์ของพระเจ้า กษัตริย์ที่ในสดุดี 2 กล่าวถึง คนที่ต่อ ต้านดาวิดในที่สุดถูกบดขยี้ ใครที่ยอมรับ ก็ได้รับพระพร เมื่อองค์พระผู้เป็นเจ้าเสด็จลงมาบนโลกเมื่อ 2,000 ปี ที่แล้ว พระเจ้าสำแดงให้เห็นชัดเจนว่าพระองค์เป็นบุตรของพระเจ้า เป็นจอมกษัตริย์ของพระองค์:
1 ครั้นล่วงไปได้หกวันแล้ว พระเยซูทรงพาเปโตร ยากอบ และยอห์น น้องของยากอบขึ้นภูเขาสูงแต่ลำพัง 2 แล้วพระกายของพระองค์ก็เปลี่ยน
ไปต่อหน้าเขา พระพักตร์ของพระองค์ก็ทอแสงเหมือนแสงอาทิตย์ ฉลอง พระองค์ก็ขาวผ่องดุจแสงสว่าง 3 โมเสสและเอลียาห์ก็มาปรากฏแก่พวก
สาวกเหล่านั้น กำลังเฝ้าสนทนากับพระองค์ 4 ฝ่ายเปโตรทูลพระเยซูว่า
"พระองค์เจ้าข้า ซึ่งเราอยู่ที่นี่ก็ดี ถ้าพระองค์ต้องพระประสงค์ ข้าพระองค์
จะทำเพิงสามหลังที่นี่ สำหรับพระองค์หลังหนึ่ง สำหรับโมเสสหลังหนึ่ง
สำหรับเอลียาห์หลังหนึ่ง" 5 เปโตรทูลยังไม่ทันขาดคำ ก็บังเกิดมีเมฆสุก
ใสมาปกคลุมเขาไว้ แล้วมีพระสุรเสียงออกมาจากเมฆนั้นว่า "ท่านผู้นี้เป็น
บุตรที่รักของเรา เราชอบใจท่านผู้นี้มาก จงเชื่อฟังท่านเถิด" 6 ฝ่ายพวก สาวกเมื่อได้ยินก็ซบหน้ากราบลงกลัวยิ่งนัก
(มัทธิว 17:1-6)
9 ต่อมาพระเยซูเสด็จมาจากเมืองนาซาเร็ธแคว้นกาลิลี และได้ทรงรับ บัพติศมาจากยอห์นในแม่น้ำจอร์แดน 10 พอพระองค์เสด็จขึ้นมาจากน้ำ ในทันใดนั้นก็ทรงเห็นท้องฟ้าแหวกออก และพระวิญญาณดุจนกพิราบ
ลงมาสู่พระองค์ 11 แล้วมีพระสุรเสียงมาจากฟ้าสวรรค์ว่า "ท่านเป็นบุตร
ที่รักของเรา เราชอบใจท่านมาก"
(มาระโก 1:9-11)
30 แล้วทูตสวรรค์จึงกล่าวแก่เธอว่า "มารีย์เอ๋ย อย่ากลัวเลย เพราะ เธอเป็นที่พระเจ้าทรงโปรดปรานแล้ว 31 ดูเถิด เธอจะตั้งครรภ์และ
คลอดบุตรชาย จงตั้งชื่อบุตรนั้นว่าเยซู 32 "บุตรนั้นจะเป็นใหญ่ และ จะทรงเรียกว่าเป็นบุตรของพระเจ้าสูงสุด พระเจ้าจะทรงประทานพระ ที่นั่งของดาวิดบรรพบุรุษของท่านให้แก่ท่าน"
(ลูกา 1:30-33)
47 พระเยซูทรงเห็นนาธานาเอลมาหา พระองค์จึงตรัสถึงเรื่องของตัว
เขาว่า "ดูเถิด ชนอิสราเอลแท้ ในตัวเขาไม่มีอุบาย" 48 นาธานาเอล
ทูลถามพระองค์ว่า "พระองค์ทรงรู้จักข้าพระองค์ได้อย่างไร" พระเยซู
ตรัสตอบเขาว่า "ก่อนที่ฟีลิปจะเรียกท่าน เมื่อท่านอยู่ที่ใต้ต้นมะเดื่อนั้น
เราเห็นท่าน" 49 นาธานาเอลทูลตอบพระองค์ว่า "รับบี พระองค์ทรง
เป็นพระบุตรของพระเจ้า พระองค์ทรงเป็นกษัตริย์ของชนชาติอิสราเอล"
(ยอห์น 1:47-49; ดูมัทธิว 2:1-6ด้วย)
ถึงแม้จะมีหลักฐานชัดเจนทุกอย่าง พวกผู้นำศาสนาในสมัยนั้นเลือกที่จะปฏิเสธว่าพระเยซูคือพระเมสซิยาห์ พวกเขาหาหลักฐานที่ไม่มีสาระ มาพิสูจน์ว่าพระองค์ไม่มีทางเป็นกษัตริย์ของพระเจ้า แต่ทุกอย่างที่พวกเขา ทำกลับล้มเหลว พวกเขาคิดว่าพวกเขามีชัยเหนือพระองค์ เมื่อพวกเขานำพระองค์ไปตรึงกางเขน แต่เมื่อ พระเจ้าทำให้พระองค์ฟื้นคืนพระชนม์จากความตาย จึงเป็นเรื่องชัดเจนว่าพระองค์เป็นฝ่ายมีชัย
พระเยซูคริสต์เป็นจอมกษัตริย์ของพระเจ้า ครั้งแรกเมื่อพระองค์เสด็จลงมาบนโลกนี้ พระองค์ทรงเป็นพระเจ้า ในสภาพมนุษย์ที่ปราศจากตำหนิ เมื่อมีการประกาศว่าพระองค์เป็นจอมกษัตริย์ของพระเจ้า พระองค์ถูกปฏิเสธ และถูกบรรดาคนบาปนำไปตรึงกางเขน พระประสงค์ในการเสด็จมาครั้งแรกไม่ใช่เพื่อตั้งอาณาจักรใหม่โดย โค่นอาณาจักรโรมันลง แต่มาเพื่อตายไถ่บาปมนุษย์ เพื่อเปิดหนทางให้สามารถเข้าสู่อาณาจักรของพระเจ้าได้ โดยการมาวางใจในพระองค์ รับการอภัยบาป และรับของประทานแห่งชีวิตนิรันดร์ที่คอยอยู่เมื่อพระองค์เสด็จ กลับมาในครั้งที่สอง ในอนาคตครั้งนี้ พระองค์จะมีชัยเหนือศัตรู และจะจัดตั้งราชบัลลังก์ของพระองค์บนโลกนี้ ผู้ใด ที่ปฏิเสธว่าพระองค์เป็นจอมกษัตริย์ของพระเจ้า จะถูกกำจัดออกไป เช่นเดียวกับบรรดาศัตรูของดาวิด ไม่มีเรื่องใดสำคัญไปกว่าการเข้ามามีส่วนในสัมพันธภาพกับองค์พระเยซูคริสต์ จอมกษัตริย์ของพระเจ้าอีกแล้ว คนที่เป็นมิตรกับพระองค์จะได้ครองร่วมกับพระองค์ คนที่เป็นศัตรูจะถูกทำลาย หวังว่าคุณทุกคนจะเป็นเหมือน กษัตริย์ฮีรามแห่งเมืองไทระ ไม่ใช่เป็นเหมือนพวกฟิลิสเตียที่ตั้งตนเป็นศัตรูกับดาวิดและศัตรูกับพระเจ้า
5 ท่านจงมีน้ำใจต่อกันเหมือนอย่างที่มีในพระเยซูคริสต์ 6 ผู้ทรงสภาพของพระเจ้า แต่มิได้ทรงถือว่าการเท่าเทียมกับพระเจ้านั้นเป็นสิ่งที่จะต้องยึดถือ 7 แต่ได้กลับทรง
สละ และทรงรับสภาพทาส ทรงถือกำเนิดเป็นมนุษย์ 8 และเมื่อทรงปรากฏพระองค์ ในสภาพมนุษย์แล้ว พระองค์ก็ทรงถ่อมพระองค์ลงยอมเชื่อฟังจนถึงความมรณา กระทั่งความมรณาที่กางเขน 9 เหตุฉะนั้นพระเจ้าจึงได้ทรงยกพระองค์ขึ้นอย่างสูง และได้ประทานพระนามเหนือนามทั้งปวงให้แก่พระองค์ 10 เพื่อเพราะพระนามนั้น
ทุกเข่า ในสวรรค์ ที่แผ่นดินโลก ใต้พื้นแผ่นดินโลก จะคุกลงกราบพระเยซู 11
และเพื่อ ทุกลิ้นจะยอมรับว่าพระเยซูคริสต์ทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า อันเป็นการ
(ฟีลิปปี 2:5-11)
22 ที่จริงในพระคัมภีร์พูดแต่เพียงว่า "พราะฉะนั้นเขาจึงว่ากันว่า ‘อย่าให้คนตาบอดและคนง่อยเข้ามาใน พระนิเวศ’" คำที่พวกเขากล่าวดูจะต่างกับที่ดาวิดกล่าว ในข้อ 8 ผมสงสัยจริงๆว่าคำว่า พวกเขา อาจหมาย ถึงคนเยบุสก็ได้ ซึ่งก็หมายความว่าพูดถึงคนอิสราเอล ถ้าจะคิดจากประสพการณ์ บวกกับคำตอบของดาวิด ประชาชนคงคิดเอาว่า ‘คนตาบอดและคนง่อย’ จะไม่ได้รับอณุญาติให้เข้าไปในเมืองนี้ และแน่นอนเข้าไปใน พระราชวัง
เมื่อไม่นานมานี้ ผมและภรรยาได้มีโอกาสเป็นเจ้าภาพงานแต่งงานของลูกสาวชื่อเจนนี่ เมื่อเวลาใกล้เข้ามา บรรยากาศดูเคร่งเครียดเล็กน้อย ใครบางคนนำหนังสือมาให้ภรรยาผมพร้อมกับแนะนำให้อ่านบทๆหนึ่งเป็น พิเศษ ผมจำชื่อหนังสือไม่ได้ แต่พอจำเนื้อหาได้ หนังสือเล่มนี้เขียนโดยผู้รับใช้ท่านหนึ่ง เล่าถึงงานแต่ง งานที่ท่านเป็นผู้ประกอบพิธี และความประทับใจในงานนั้น
ว่าที่เจ้าสาวอายุยังไม่มาก คุณแม่ของเธอเป็นแบบที่เรียกว่าสมบูรณ์แบบ ต้องการให้งานออกมาสมบูรณ์ ไม่มีที่ติ อย่างกับว่าเป็นงานของเธอเสียเอง เธอวางแผนทุกเรื่องไป จนกระทั่งรายละเอียดปลีกย่อยเล็กๆ น้อยๆ ตรวจทาน เช็คแล้วเช็คอีก เพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีสิ่งใดขาดตกบกพร่อง แน่นอนต้องมีวงออเครสต้าร์ ชุดที่ใส่ต้องสวยจนตะลึง โบสถ์ที่ใช้ทำพิธีราวกับมีงานแสดงศิลปะ ไม่ว่าจะเป็นดอกไม้ พิธีการ ขนมเค้ก และเครื่องดื่ม ไม่มีสิ่งใดรอดสายตาแม่ว่าที่เจ้าสาวไปได้ เธอบงการข่มขู่ทุกคนที่มีส่วนจัดงานครั้งนี้ ตอน ซ้อมสมบูรณ์ดีไม่มีที่ติ ทำให้คุณแม่มั่นใจว่าทุกอย่างอยู่ในความควบคุม — ของเธอเป็นอย่างดี
วันงานมาถึง — พร้อมกับเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝัน เมื่อพิธีใกล้จะเริ่ม เจ้าสาวรอคอยอยู่กับคุณพ่อด้วยความ กระวนกระวาย เธอเดินไปเดินมาอยู่ในห้องจัดเลี้ยง เดี๋ยวหยิบถั่วมากิน เดี๋ยวดื่มพันช์ (ที่ใส่แชมเปญ) กินของกินเล่นรองท้องไปเรื่อยๆ … . กว่าจะถึงเวลาที่ต้องเดินควงคู่ออกมาสู่พิธีพร้อมกับคุณพ่อ เธอก็ ชิมอาหารแทบทุกรายการในงานเข้าไปแล้ว ดูเหมือนทั้งเธอและคุณพ่อไม่รู้ตัวว่ากำลังทำอะไรอยู่ เมื่อ พิธีเริ่ม เพื่อนเจ้าบ่าวเข้าประจำที่ เจ้าบ่าวยืนคอยอยู่ข้างหน้าใกล้กับศิษยาภิบาลที่ประกอบพิธี บรรดา เพื่อนเจ้าสาวเดินนำขบวนเข้ามา และเข้ายืนประจำที่ สุดท้ายก็คือตัวเจ้าสาวและคุณพ่อ
ขณะที่เจ้าสาวและคุณพ่อเดินเข้ามาเพื่อไปยังที่ประกอบพิธีด้านหน้า ไม่มีใครเห็นว่าหน้าเธอแดงก่ำตัดกับ ชุดแต่งงาน พอใกล้ถึงด้านหน้า คุณแม่นั่งดูอยู่ทางซ้าย ทุกอย่างที่เธอกินเข้าไปกำลังจะออกมา — เจ้า สาวอาเจียนครับ ผมไม่ได้หมายถึงขย้อนออกมานิดหน่อย คายลงบนผ้าเช็ดหน้าคงไม่มีใครเห็น ผมหมาย ถึงออกมาหมดใส้หมดพุงครับ ; เธอพ่นใส่ทุกคนและทุกอย่างที่ยืนอยู่ตรงบริเวณที่ทำพิธี คุณแม่โดนเป็น คนแรก ตามด้วยเจ้าบ่าวและเพื่อนเจ้าสาวที่อยู่ใกล้ที่สุด กลิ่นที่ตามมาชวนให้คลื่นเหียน เลี่ยงไม่พ้น ปฏิกิริยาลูกโซ่ที่เกิดขึ้นทันควัน คุณแม่ตกใจแทบสิ้นสติ เจ้าสาวเป็นลม ดีที่เจ้าบ่าวคว้าไว้ทัน คุณพ่อถอย หลังหลบมาทันยืนยิ้มแหยๆ หัวเราะไม่ออก — เป็นเรื่องที่นึกไม่ถึงจริงๆครับ
ศิษยาภิบาลรีบทำพิธีอย่างสั้นๆ เจ้าสาวถูกนำตัวไปทำความสะอาด รวมทั้งผลผลิตที่กองอยู่หน้าโบสถ์ คนที่ถูกพ่นใส่พอได้สติ รีบไปจัดการทำความสะอาดตนเองโดยเร่งด่วน งานแต่งงานดำเนินต่อไปได้หลัง จากนั้น — แต่เป็นแบบที่ผู้เป็นแม่ไม่ได้เตรียมตัวตั้งรับเอาไว้ก่อน สิบปีหลังเหตุการณ์นั้น พอเล่าเรื่องนี้ที ไร ทุกคนหัวเราะกันงอหาย ยิ่งเมื่อได้ดูภาพที่บันทึกไว้จากกล้องวีดีโอถึงสามกล้องที่คุณแม่จัดเตรียมไว้ ยิ่งเห็นเหตุการณ์นี้ชัดจากทุกมุมมองเลยครับ
เรื่องของวันข้างหน้า ไม่ว่าคุณจะจัดเตรียมอย่างดีเท่าไร ควบคุมทุกอย่างเท่าที่จะทำได้ มันก็มีเหตุการณ์ พลิกผันผิดพลาดได้ เรื่องนี้เกิดกับดาวิดเช่นกัน หลังจากที่ดาวิดยึดครองเมืองเยบุสได้แล้ว ท่านมีความ ตั้งใจจะไปนำหีบพันธสัญญา (ที่เรียกว่า "หีบแห่งพระเจ้า") ที่เก็บไว้อยู่ในบ้านของอาบีนาดับ ที่เมือง คีรียาท-เยอาริม23 ดาวิดปรึกษาเรื่องนี้กับพวกผู้ใหญ่อย่างรอบคอบ นับเป็นการกระทำที่เห็นพ้องต้องกัน ของคนทั้งชาติ:
1 ดาวิดได้ทรงหารือกับนายพันและนายร้อย กับหัวหน้าทุกๆคน 2 และดาวิด ตรัสกับชุมนุมชนอิสราเอลทั้งปวงว่า "ถ้าท่านทั้งหลายเห็นด้วยและถ้าเป็นน้ำ
พระทัยของพระเยโฮวาห์พระเจ้าของเรา ก็ให้เราทั้งหลายส่งคนไปหาพี่น้อง
ของเรา ผู้ที่เหลืออยู่ในแผ่นดินอิสราเอลทั้งสิ้น ให้ไปยังปุโรหิตและคนเลวีด้วย ผู้ซึ่งอยู่ในหัวเมืองของเขาที่มีทุ่งหญ้า เพื่อให้เขาทั้งหลายมาหาเราพร้อมกัน
3 และให้เราทั้งหลายนำหีบแห่งพระเจ้าของเรา มายังเราอีก เพราะเราทั้งหลาย มิได้ไต่ถามถึงในสมัยของซาอูล" 4 ชุมนุมชนทั้งสิ้นนั้นก็ตกลง ที่จะกระทำตาม เพราะสิ่งนั้นเป็นสิ่งที่ชอบในสายตาของประชาชน 5 เพราะฉะนั้น ดาวิดจึง ประชุมอิสราเอลทั้งสิ้นตั้งแต่ ชิโหร์ลำธารแห่งอียิปต์ ถึงทางเข้าเมืองฮามัท เพื่อจะเชิญหีบแห่งพระเจ้ามาจากคีริยาทเยอาริม
(1 พงศาวดาร 13:1-5)24
เช่นเดียวกับเรื่องงานแต่งงาน มีการจัดเตรียมเป็นอย่างดีเพื่อจะเชิญหีบแห่งพันธสัญญามาที่กรุงเยรูซาเล็ม มีการนำเกวียนใหม่มาใช้ เพื่อนำหีบพันธสัญญาขึ้นไปทางตะวันออกประมาณหกไมล์ และอ้อมลงใต้อีกเล็ก น้อยเข้าสู่กรุงเยรูซาเล็ม การเดินทางครั้งนี้ไม่ได้ราบเรียบ เนื่องจากคีรียาท-เยราอิมอยู่บนเขา เยรูซาเล็ม ก็เช่นกัน แต่ระหว่างทางเป็นพื้นที่ลุ่มๆดอนๆ ซึ่งก็หมายความว่าต้องมีการขึ้นลงภูเขาหลายเที่ยว ประชาชน ต่างก็ชื่นชมยินดีเป็นอันมาก ขณะที่ดาวิดและคนอิสราเอลนำหีบพันธสัญญามาสู่กรุงเยรูซาเล็ม ทุกคนที่เดิน ทางมากับดาวิด เฉลิมฉลองกันอย่างเต็มที่ (1 พงศาวดาร 13:8; เปรียบเทียบกับ 2 ซามูเอล 6:5) มีการนำ เครื่องดนตรีแทบทุกชนิดมาเล่น นักร้องมาร้องเพื่อเฉลิมฉลอง และจากที่บันทึกไว้ คงต้งอมีการเต้นรำถวาย ด้วยความยินดี
ทันใดนั้นมีสิ่งผิดพลาดเกิดขึ้น วัวตัวหนึ่งเกิดสะดุดทำเกวียนเกือบล้มคว่ำ ไม่มีการบันทึกว่าวัวสะดุดอะไร หรือว่ามันตื่นเต้นเพราะมีคนเต้นโลดเข้ามาจนใกล้ ไม่ว่าเป็นเพราะอะไร วัวตัวนั้นเกิดตื่น ควบคุมไม่อยู่ ทำให้เกวียนและหีบพันธสัญญาที่บันทุกอยู่ขยับเลื่อนจนดูเหมือนจะตกลงมา อุสซาห์ที่เดินอยู่ข้างเกวียน ใกล้กับหีบพันธสัญญา รับไม่ได้ที่จะปล่อยให้หีบพันธสัญญาตกลงมา จึงเอื้อมมือไปจับไว้ เมื่อทำเช่นนั้น พระเจ้าลงโทษเขาจนสิ้นชีวิต งานฉลองหยุดกึกลงทันควัน ความชื่นชมยินดีเปลี่ยนเป็นตื่นตกใจ ความสุข ใจของดาวิดเปลี่ยนเป็นความโกรธ เพราะพระเจ้าทรง "ทำลายขบวนพาเหรดของท่าน" ทั้งนี้ทั้งนั้น ทุกสิ่ง ที่ทำ ท่านทำเพื่อถวายเกียรติแก่พระเจ้าทั้งสิ้น ทำไมพระองค์ไม่ทรงเข้าใจ? ทำไมพระองค์สังหารชีวิตของ คนที่เฝ้าดูแลหีบพันธสัญญานี้มาเป็นเวลาหลายปี? ทำไมพระเจ้าถึงทำลายงานฉลองนี้ลง?
ดาวิดต้องการให้หีบพันธสัญญาของพระเจ้ามาอยู่ที่เยรูซาเล็มกับท่าน แต่อุสซาห์กลับถูกฆ่าตาย ดาวิด ไม่อยากจะเดินทางต่อ กลัวที่จะนำหีบไปไว้ใกล้ตัวที่เยรูซาเล็ม ท่านตัดสินใจว่าจะเป็นการปลอดภัยกว่า ที่จะเก็บหีบไว้ห่างออกไป อย่างน้อยจนกว่าท่านจะหาสาเหตุได้ว่าผิดพลาดประการใด อะไรล่ะคือปัญหา? อะไรที่ผิดพลาดไป? แล้วจะแก้ปัญหาอย่างไรดี? ไม่มีคำอธิบายในพระคำตอนนี้ เป็นเหมือนปริศนาที่จะ ต้องขบคิดกัน คำตอบมีอยู่ในพระคัมภีร์ครับ เราจะได้เห็นกันต่อไป และเป็นสิ่งที่เราต้องนำมาใช้ในชีวิต ประจำวันด้วย เช่นเดียวกับคนอิสราเอลครั้งกระโน้น ยังมีมุมอื่นในเรื่องนี้อีกที่เรายังไม่ได้พูดถึง นั่นคือ เรื่องของมีคาล ที่เป็นผู้ "ทำลายขบวนพาเหรดของดาวิด" ด้วย เรื่องนี้ก็มีบทเรียนสอนเราเหมือนกัน ขอให้ เราตั้งใจฟังในสิ่งที่พระวิญญาณต้องการสอนเราจากบทเรียนเหล่านี้
1 ดาวิดทรงรวบรวมคนอิสราเอลที่คัดเลือกแล้วอีก ครั้งหนึ่งได้สามหมื่นคน
2 และดาวิดก็ทรงลุกขึ้นไปกับประชาชนทั้งสิ้น ที่อยู่กับพระองค์จากบาอาเล
ยูดาห์ เพื่อทรงนำหีบของพระเจ้าขึ้นมาจากที่นั่นซึ่งเรียกตามพระนาม คือพระ นามของพระเจ้าจอมโยธาผู้ประทับบนเครูบ 3 และเขาทั้งหลายก็เอาเกวียนใหม่ บรรทุกหีบของพระเจ้า และนำออกมาจากเรือนของอาบีนาดับซึ่งอยู่บนเนินเขา และอุสซาห์กับอาหิโยบุตรของอาบีนาดับก็ขับเกวียนใหม่เล่มนั้น 4 และนำออก
มาจากเรือนของอาบีนาดับซึ่งอยู่บนเนินเขา เกวียนบรรจุหีบของพระเจ้าไป และ อาหิโยเดินนำหน้าหีบ 5 ดาวิดกับพงศ์พันธุ์อิสราเอลก็ร่าเริงกัน อยู่ต่อพระพักตร์ พระเจ้าด้วยเต็มกำลังของเขาทั้งหลายมีการร้องเพลง เล่นพิณเขาคู่และพิณใหญ่
รำมะนา กรับ และฉาบ 6 และเมื่อมาถึงลานนวดข้าวของนาโคน อุสซาห์ก็เหยียด มือออกจับหีบของพระเจ้าไว้เพราะโคสะดุด 7 และพระพิโรธของพระเจ้าก็เกิดขึ้น
กับอุสซาห์ และพระเจ้าทรงประหารเขาเสียที่นั่น เพราะเขาเหยียดมือออกจับหีบนั้น และเขาก็สิ้นชีวิตอยู่ข้างหีบของพระเจ้า 8 และดาวิดก็ไม่ทรงพอพระทัย เพราะพระ เจ้าทรงทลายออกมาเหนืออุสซาห์ จึงเรียกที่ตรงนั้นว่า เปเรศอุสซาห์ จนถึงทุกวันนี้
9 ในวันนั้นดาวิดก็ทรงกลัวพระเจ้า และพระองค์ตรัสว่า "หีบของพระเจ้าจะมาถึงข้า
ได้อย่างไร" 10 ดังนั้นดาวิดจึงไม่ยอมที่จะนำหีบของพระเจ้าเข้าไปในเมืองของ
ดาวิดให้อยู่กับตน แต่ดาวิดได้ทรงนำไปที่บ้านของโอเบดเอโดมชาวกัท 11 หีบของ พระเจ้าก็ค้างอยู่ที่บ้านของโอเบดเอโดม ชาวกัทสามเดือน และพระเจ้าทรงอำนวย พระพรแก่โอเบดเอโดม และครัวเรือนของเขาทั้งสิ้น
เราจะพบเรื่องความผิดพลาดนี้ได้โดยต้องย้อนกลับไปในประวัติศาสตร์ของอิสราเอล ไปถึงเมื่อครั้งที่ พระเจ้าประทานพระบัญญัติให้กับคนอิสราเอล เมื่อพระองค์ตรัสสั่งเกี่ยวกับเรื่องการเคลื่อนย้ายหีบพันธ สัญญา เป็นคำสั่งที่พระองค์ตรัสกับโมเสส ในเรื่องพลับพลาและหีบแห่งพันธสัญญา
8 แล้วให้เขาสร้างสถานนมัสการถวายแก่เรา เพื่อเราจะได้อยู่ท่ามกลางพวกเขา
9 แบบอย่างพลับพลาและเครื่องทั้งปวงของพลับพลานั้น เจ้าจงทำตามที่เรา แจ้งไว้แก่เจ้านี้ทุกประการ 10 "ให้เขาทำหีบใบหนึ่งด้วยไม้กระถินเทศ ยาว
สองศอกคืบ กว้างศอกคืบ และสูงศอกคืบ 11 หีบนั้นหุ้มด้วยทองคำบริสุทธิ์ ทั้งด้านในและด้านนอก แล้วทำกระจังคาดรอบหีบนั้นด้วยทองคำ 12 ให้หล่อ ห่วงทองคำสี่ห่วงสำหรับหีบนั้น ติดไว้ที่มุมทั้งสี่ ด้านนี้สองห่วง และด้านนั้น
สองห่วง 13 ให้ทำคานหามด้วยไม้กระถินเทศหุ้มด้วยทองคำ 14 แล้วสอด คานหามเข้าที่ห่วงข้างหีบสำหรับใช้ยกหามหีบนั้น 15 ไม้คานหามให้สอด ไว้ในห่วงของหีบอย่าถอดออกเลย 16 พระโอวาทที่เราจะให้แก่เจ้าจงเก็บไว้
ในหีบนั้น 17 แล้วจงทำพระที่นั่งกรุณา ด้วยทองคำบริสุทธิ์ยาวสองศอกคืบ
กว้างศอกคืบ 18 จงทำเครูบทองคำสองรูป โดยใช้ฝีค้อนทำตั้งไว้ที่ปลายพระ ที่นั่งกรุณาทั้งสองข้าง 19 ทำเครูบไว้ที่ปลายพระที่นั่งกรุณาข้างละรูป ทำเครูบ
นั้น และให้ตอนปลายทั้งสองข้างติดเป็นเนื้อเดียวกับพระที่นั่งกรุณา 20 ให้เครูบ กางปีกออกไว้เบื้องบนปกพระที่นั่งกรุณาไว้ด้วยปีก และให้หันหน้าเข้าหากัน ให้เครูบหันหน้ามาตรงพระที่นั่งกรุณา 21 แล้วจงตั้งพระที่นั่งกรุณานั้นไว้บนหีบ จงบรรจุพระโอวาทซึ่งเราจะให้ไว้แก่เจ้าไว้ในหีบนั้น 22 ณที่นั้น เราจะอยู่ให้เจ้า
เข้าเฝ้า และจะสนทนากับเจ้า จากเหนือพระที่นั่งกรุณาระหว่างกลางเครูบ ซึ่งตั้ง
อยู่บนหีบพระโอวาท เราจะสนทนากับเจ้าทุกเรื่อง ซึ่งเราจะสั่งเจ้าให้ประกาศแก่
ชนชาติอิสราเอล
(อพยพ 25:8-22).
มีการสร้างพลับพลาขึ้นเป็นครั้งแรก พระเจ้าทรงสถิตอยู่ที่นั่น
34 ในขณะนั้นมีเมฆมาปกคลุมเต็นท์นัดพบไว้ และพระสิริของพระเจ้า ก็ ปรากฏอยู่เต็มพลับพลานั้น 35 โมเสสเข้าไปในเต็นท์นัดพบไม่ได้ เพราะ
เมฆปกคลุมอยู่ และพระสิริของพระเจ้าก็อยู่เต็มพลับพลานั้น
(อพยพ 40:34-35)
พระเจ้าทรงสั่งไว้อย่างชัดจนเรื่องหีบแห่งพันธสัญญา พระองค์ไม่ทรงแต่สั่งว่าจะสร้างอย่างไร พระองค์ทรง สั่งเรื่องการเคลื่อนย้ายไปมาด้วย ในกันดารวิถีบทที่ 5 พระองค์บอกอย่างชัดเจนถึงการจัดเก็บพลับพลา เพื่อเคลื่อนย้ายไปตั้งในที่ต่อไป ให้สังเกตุดูข้อ 15 เป็นพิเศษ:
15 เมื่ออาโรนและบุตรชายคลุมสถานนมัสการ และคลุมเครื่องใช้ของ
สถานนมัสการเสร็จแล้ว เมื่อถึงเวลาเคลื่อนย้ายค่าย วงศ์วานโคฮาท
จึงจะเข้ามาหาม แต่เขาต้องไม่แตะต้องของบริสุทธิ์เหล่านั้น เกลือก
ว่าเขาจะต้องตาย สิ่งเหล่านี้แหละที่เป็นของประจำเต็นท์นัดพบ ซึ่ง
วงศ์วานของโคฮาทจะต้องหาม
(กันดารวิถี 4:15; ดู 7:9 ด้วย)
เราคงจะจำได้ในอพยพ 25:14-15 ว่ามีห่วงข้างหีบ เพื่อใช้ใส่ไม้คานหาม และไม้คานหามนี้มีไว้สำหรับ เคลื่อนย้ายหีบไปมา
หีบแห่งพันธสัญญานี้จะอยู่กับคนอิสราเอลเสมอในระหว่างที่เดินทางอยู่ในถิ่นทุรกันดาร หีบนี้นำหน้าคน อิสราเอลเมื่อข้ามแม่น้ำจอร์แดน (โยชูวา 3:14-17) มีการพูดถึงหีบพันธสัญญาบ่อยครั้งใน 1 และ 2 ซามูเอล ตอนเด็กซามูเอลนอนอยู่ใกล้กับหีบพันธสัญญา (1 ซามูเอล 3:3) เมื่ออิสราเอลกำลังจะพ่ายแพ้ แก่ฟิลิสเตีย พวกเขาทำไม่ถูกที่นำหีบพันธสัญญาออกสู่สนามรบ ราวกับเป็นเครื่องรางของขลัง นอกจาก จะพ่ายแพ้แล้ว ยังสูญเสียหีบพันธสัญญาไปด้วย (1 ซามูเอล 4) สองบทต่อไป (5-6) ของ 1 ซามูเอล เป็นเรื่องราวความวิบัติต่างๆที่พระเจ้าส่งลงมาเหนือคนฟิลิสเตีย และทำให้ในที่สุดพวกเขาตัดสินใจส่งคืน ที่น่าสนใจที่สุดคือวิธีการที่เขาส่งหีบพันธสัญญานี้คืนกลับมายังแผ่นดินอิสราเอล พระของพวกฟิลิสเตีย ประชุมกันและมีคำสั่งออกมาถึงวิธีการเคลื่อนย้ายหีบ ให้มาดูคำสั่งเหล่านี้และผลที่เกิดขึ้น :
7 บัดนี้จงเตรียมเกวียนใหม่เล่มหนึ่งมาเทียมเข้ากับแม่โคคู่หนึ่งซึ่ง
ยังไม่เคยเข้าเทียมแอกเลย จงเอาแม่โคมาเทียมเกวียนแล้วพราก
ลูกๆของมันกลับไปบ้านเสียให้พ้นจากมัน 8 จงนำหีบแห่งพระเจ้า
มาวางไว้บนเกวียน และวางเครื่องทองคำซึ่งท่านทั้งหลาย ถวายให้ พระองค์เป็นเครื่องบูชาไถ่ความผิดไว้ในหีบข้างๆ แล้วก็ปล่อยให้มัน
ไป 9 และคอยดู ถ้าไปตามทางถึงแผ่นดินของมันเอง คือทางไปเมือง
เบธเชเมช พระองค์ก็เป็นผู้ทรงให้เกิดอันตรายอย่างใหญ่หลวงนี้แก่เรา
ถ้าไม่เช่นนั้น เราจะได้ทราบว่าไม่ใช่พระหัตถ์ของพระองค์ที่กระทำต่อ เราเป็นเคราะห์กรรมที่บังเอิญเกิดขึ้นแก่เราเอง" 10 คนเหล่านั้นก็กระทำ
ตาม นำเอาแม่โคคู่หนึ่งเทียมเข้ากับเกวียน แล้วขังลูกๆของมันไว้ที่บ้าน
11 และเขาก็วางหีบแห่งพระเจ้าไว้บนเกวียนพร้อม กับหีบหนูทองคำ
และรูปฝีของเขา 12 แม่โคก็เดินตรงไปตามทางที่ไปเมืองเบธเชเมช
ไปตามทางหลวง เดินพลางร้องพลางไม่เลี้ยวขวาหรือเลี้ยวซ้าย และ บรรดาเจ้านายแห่งคนฟีลิสเตียก็ตามมันไปจนถึงพรมแดนเมืองเบธเชเมช
(1 ซามูเอล 6:7-12)
แปลกมั้ยครับที่พวกฟิลิสเตียเองเลือกใช้เกวียนใหม่บันทุกหีบพันธสัญญา และใช้แม่โคสองตัวลาก ประการแรก พวกฟิลิสเตียไม่มีและไม่รู้จักกฎบัญญัติของอิสราเอล จึงไม่มีทางรู้ว่าพระเจ้าตรัสสั่งเรื่องการ เคลื่อนย้ายหีบเอาไว้อย่างไร นอกจากนั้น พวกเขาจะไปหาคนเชื้อสายโคฮาทที่ไหนมาหาม? และที่สำคัญ ที่สุดของฟิลิสเตีย การขนย้ายหีบครั้งนี้ ทำให้พวกเขาได้ทดสอบไปในตัวด้วย ว่าภัยพิบัติต่างๆที่เผชิญนั้น เป็นฝีมือของพระเจ้าหรือเป็นเพียงเรื่องของ "โชคร้าย" การที่แม่โคยอมทิ้งลูกอ่อนและลากเกวียนไป แต่โดยดี ทั้งๆที่ไม่มีคนขับ ลากไปจนถึงชายแดนอิสราเอล ย่อมไม่ใชเรื่องบังเอิญแน่นอน เป็นการกระทำ ของพระเจ้า
ปัญหาคือ คนอิสราเอลเลียนแบบคนฟิลิสเตียมากกว่าจะเชื่อฟังพระเจ้า ผมเชื่อว่าพวกเขาลืมคำสั่งต่างๆ ที่พระเจ้าได้ทรงกำหนดไว้ คงไม่ใช่เป็นการละเลยหรือฝ่าฝืนคำสั่ง หีบพันธสัญญาไม่ได้ถูกเคลื่อนย้ายมา เป็นเวลานาน ไม่มีการนำมาใช้หรือเข้าประจำการ แต่อยู่เฉยๆที่ในบ้านของอาบีนาดับมาถึง 20 ปี ก่อนที่จะ ถูกนำออกมาอีกครั้ง (ดู 1 ซามูเอล 7:2; 14:18-19) จึงเป็นการง่ายที่จะหลงลืมคำสั่งต่างๆที่พระเจ้าสั่งคน อิสราเอลไว้ เมื่อครั้งเดินทางอพยพอยู่ในถิ่นทุรกันดาร
นอกจากนั้น ใครอยากจะออกแรงไปหามหีบพันธสัญญา เอาบันทุกเกวียนไม่สะดวกกว่าหรือ? สมัยที่ผม ยังเป็นวัยรุ่น พ่อของผมตัดสินใจย้ายที่สิ่งก่อสร้างที่ท่านปลูกไว้ มันทำด้วยไม้และท่อนซุงใช้เป็นกึ่งๆโรง รถของบ้าน พ่อเขาอยากจะย้ายมันออกไปสักสองร้อยฟุต ท่านตั้งใจจะใช้ "รถลากซุง" ที่มีสายเคเบิ้ลยาว มาลากไป รถนี้พอเดินหน้าถอยหลังออกแรงดึงไปมาสัก 16 ฟุต ตัวโรงรถจะขยับไปได้ 1/8 นิ้ว การใช้ รถนี้จะช่วยได้มาก ผมจำได้ว่ารถลากซุงนี้มีสายเคเบิ้ลที่เหนียวและแข็งแรงผูกติดอยู่ เวลาลากจะมีเสียง ดังน่ากลัว อยากจะบอกว่าในสมัยนั้นผมยังเป็นวัยรุ่นจอมขี้เกียจ ผมอยากจะช่วยพ่อทำให้มันเสร็จๆไป จึงอาสาเสนอทางออกอย่างง่ายๆให้ ผมเสนอให้เอาตะขอไปเกี่ยวกับโครงหลังคา แล้วแค่ใช่รถกระบะ ลากไป แน่นอนผมต้องเป็นคนขับ พ่อผมใจอ่อน ยอมครับ ผมจึงเอาตะขอไปเกี่ยวตัวโรงรถไว้ ขึ้นรถและ พร้อมจะขับออกไป อยู่ดีๆพ่อผมเกิดเปลี่ยนใจ บอกให้ผมไปตามรถลากซุงมาแทนตามแผนเดิมดีกว่า เสียดาย แต่อย่างน้อย ผมก็ได้ขับรถออกไปตามรถลากซุง ผมรีบกระโดดขึ้นรถ เร่งเครื่องออกไป ลืมเอาตะขอออก พ่อผมแทบเป็นลม เพราะโรงรถทั้งหลังเกือบพังลงมา
ถ้าผมเกิดในสมัยนั้น ผมคงต้องใช้โคมาลากเกวียน โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าผมถูกเลือกให้ไปหามหีบพันธ สัญญา มันเหมาะสมและง่ายกว่ามาก แต่ไม่ใช่เป็นแบบที่พระเจ้าสั่งเอาไว้ วิธีการที่พระเจ้าสั่ง ไม่ใช่เป็น เรื่องเหลวไหลแม้แต่น้อย เป็นกฎบัญญัติที่มีเหตุผล การแตะต้องหีบพระบัญญัติถือเป็นเรื่องร้ายแรงยิ่ง ตามที่เปิดเผยอยู่ในข้อ 2 :
2 และดาวิดก็ทรงลุกขึ้นไปกับประชาชนทั้งสิ้น ที่อยู่กับพระองค์จากบาอาเล
ยูดาห์ เพื่อทรงนำหีบของพระเจ้าขึ้นมาจากที่นั่นซึ่งเรียกตามพระนาม คือพระ นามของพระเจ้าจอมโยธาผู้ประทับบนเครูบ
ในอพยพบทที่ 25 พระเจ้าตรัสกับโมเสสว่าพระองค์จะมาประทับและสนทนากับโมเสสจากเหนือหีบ พันธสัญญา ระหว่างเครูบ (25:22) พระเจ้าเลือกที่จะสำแดงพระองค์ในพลับพลา โดยเฉพาะที่เหนือหีบ พันธสัญญา ครั้งแรกเมื่อพระสิริอยู่เต็มที่ในพลับพลา แม้แต่โมเสสเองยังไม่กล้าเข้าไป (อพยพ 40:34-35) มนุษย์ที่เป็นคนบาปไม่สามารถเข้าใกล้พระเจ้าผู้ทรงศักดิ์สิทธิบริสุทธิ์ได้
จึงไม่น่าสงสัยว่าทำไมอุสซ่าห์ถูกประหารเมื่อเอามือไปแตะต้องหีบพันธสัญญา หีบพันธสัญญาเป็นสิ่ง บริสุทธิและศักดิ์สิทธิ ไม่มีใครแตะต้องได้ ใครที่ไปถูกเข้าต้องตาย โดยการใช้ไม้คานหาม จะไม่มีผู้ใดแตะ โดนตัวหีบได้ คนที่ทำหน้าที่หามจะก้าวขาไปพร้อมๆกันเพื่อทำให้หีบมั่นคงไม่เคลื่อนไหว การนำหีบไปใส่ เกวียนเทียมโค ทำให้หีบไม่มั่นคง เลื่อนเคลื่อนที่ไปมา และอาจตกลงมาได้ ทางเดียวที่จะทำให้หีบไม่ตก จากเกวียนลงมา คือต้องเอามือไปจับไว้ ซึ่งเป็นสิ่งที่อุสซาห์ทำ และเป็นสิ่งที่ทำให้อุสซาห์ต้องตาย
ดาวิดและคนที่ช่วยกันย้ายหีบพันธสัญญาทำผิดพลาดหลายประการ แรก พวกเขาลืมนึกถึงความยิ่งใหญ่ และความยำเกรงสูงสุดที่ต้องมีต่อองค์พระผู้เป็นเจ้า สอง พวกเขาลืมสิ้นถึงคำสั่งที่พระเจ้ากำหนดไว้ในการ เคลื่อนย้ายหีบพันธสัญญา และประการที่สาม พวกเขาลืมบทเรียนอันสาหัสที่เกิดขึ้นไม่นานมานี้ เมื่อคน ฟิลิสเตียส่งหีบพันธสัญญากลับคืนอิสราเอล มีหลายคนต้องเสียชีวิตไป เพราะละเลยเลินเล่อในเรื่องนี้:
19 พระองค์จึงทรงประหารชาวเบธเชเมช เพราะว่าเขาทั้งหลายได้
มองหีบแห่งพระเจ้า พระองค์ได้ทรงประหารเสียเจ็ดสิบคนและห้าหมื่น
คน และประชาชนก็ไว้ทุกข์ เพราะว่าพระเจ้าทรงประหารประชาชน
เสียเป็นอันมาก 20 แล้วชาวเบธเชเมชจึงกล่าวว่า "ผู้ใดสามารถยืนอยู่ ต่อพระเยโฮวาห์พระเจ้าบริสุทธิ์ องค์นี้ได้พระองค์จะเสด็จไปจากเรา
ไปหาผู้ใดดี" 21 ดังนั้นเขาจึงส่งสารไปยังชาวเมืองคีริยาทเยอาริม
กล่าวว่า "คนฟีลิสเตียได้คืนหีบแห่งพระเจ้ามาแล้ว ขอลงมาเชิญหีบ
ขึ้นไปอยู่กับท่านเถิด"
(1 ซามูเอล 6:19-21)
คุณว่าตลกมั้ยที่อิสราเอลไปเลียนแบบฟิลิสเตีย เมื่อขาดความยำเกรง ภัยพิบัติต่างๆก็เกิดขึ้นกับคนฟิลิสเตีย ทำให้พวกเขากลัวเกรงพระเจ้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งหีบพันธสัญญาของพระองค์ จึงแสวงหาวิธีส่งไปให้พ้นๆ ตัว เมื่อหีบพันธสัญญากลับคืนสู่อิสราเอล พวกเขาเองก็ถูกพระเจ้าลงโทษเพราะไม่ใส่ใจเรื่องความยำเกรง ถึงกับทำให้อยากส่งหีบไปไกลให้พ้นตัว บทเรียนจาก 1 ซามูเอลบทที่ 6 ถูกลืมสิ้นเมื่อมาถึง 2 ซามูเอล บทที่ 6 อย่าลืมนะครับว่าหนังสือทั้งสองเล่มนี้เมื่อก่อนคือเล่มเดียวกัน เพียงสองสามปี และสองสามบท ผ่านไปเท่านั้น บทเรียนอันแสนสาหัสก็ถูกลืมสิ้น ทำไมมันง่ายที่จะรื้อฟื้นเรื่องราวในประวัติศาสตร์มากกว่า จะเรียนรู้บทเรียนจากมัน?
12 มีคนไปกราบทูลกษัตริย์ดาวิดว่า "พระเจ้าทรงอำนวยพระพรแก่ครัวเรือน
ของโอเบดเอโดม และทุกสิ่งที่เป็นของเขาเนื่องด้วยหีบของพระเจ้า" ดังนั้น ดาวิดจึงเสด็จไปนำหีบของพระเจ้าขึ้นมาจาก บ้านของโอเบดเอโดมถึงเมือง ดาวิดด้วยความชื่นชมยินดี 13 และเมื่อผู้ที่หามหีบของพระเจ้าเดินไปได้หก
ก้าว ดาวิดก็ทรงถวายโคตัวหนึ่งกับลูกโคอ้วนตัวหนึ่ง 14 และดาวิดก็ทรงรำ ถวายแด่พระเจ้าด้วยสุดกำลังของพระองค์ และดาวิดมีเอโฟดผ้าป่านคาดอยู่ที่
พระองค์ 15 ดังนั้นแหละดาวิดและพงศ์พันธุ์อิสราเอล ด้วยได้นำหีบของพระเจ้า ขึ้นมาด้วยเสียงโห่ร้อง และด้วยเสียงเป่าเขาสัตว์ 16 และขณะเมื่อหีบของพระเจ้า เข้ามาถึงเมืองดาวิด มีคาลราชธิดาของซาอูลก็มองออกที่ช่องหน้าต่าง เห็นพระ ราชาดาวิดกระโดดโลดเต้นรำถวายแด่พระเจ้า และนางก็มีใจหมิ่นประมาท 17 เขา
ทั้งหลายนำหีบของพระเจ้าเข้ามาตั้งไว้ในที่กำหนดภายในเต็นท์ซึ่งดาวิดได้ทรง
สร้างขึ้นไว้ และดาวิดก็ทรงถวายเครื่องเผาบูชาและเครื่องศานติบูชาแด่ พระเจ้า
18 และเมื่อดาวิดทรงกระทำการถวายเครื่องเผาบูชาและศานติบูชาสำเร็จแล้ว พระองค์ก็ทรงถวายอวยพรประชาชน ในพระนามของพระเจ้าจอมโยธา 19 และ ทรงแจกขนมปังคนละแผ่น เนื้อคนละก้อน และขนมองุ่นแห้งคนละแผ่นแก่
ประชาชนทั้งปวง คือประชาชนอิสราเอลทั้งหมดทั้งผู้หญิงผู้ชาย แล้วประชาชน ทั้งหลายต่างก็กลับไปยังบ้านของตน
ในกรุงเยรูซาเล็มคงมีบรรยากาศของความเศร้าหมองในช่วงเวลาที่หีบพันธสัญญาถูกเก็บอยู่ที่บ้านของ โอเบดเอโดม แต่สำหรับโอเบดเอโดมและครอบครัวกลับเป็นเวลาแห่งความชื่นชมยินดี เราไม่รู้ว่าโอเบด เอโดมได้รับพระพรในเรื่องใด แต่เรารู้ว่าตลอดเวลาที่หีบพันธสัญญาอยู่ที่นั่น เขาและครอบครัวได้รับการ อวยพรจากพระเจ้า ผู้คนเริ่มรู้และในที่สุดก็ไปถึงหูของดาวิด มันเป็นหมายบอกเหตุบางอย่าง ดาวิดเองไม่ ใช่หรือที่คิดว่าใครที่อยู่ใกล้กับหีบจะพบแต่เรื่องเดือดร้อน? ถ้าเป็นจริง ดาวิดคงไม่อยากได้หีบมาไว้ไกล้ตัว ที่เยรูซาเล็มเป็นแน่ ท่านถึงส่งไปเก็บในที่ไกลๆ ที่บ้านของโอเบดเอโดม แต่ตอนนี้กลับกลายเป็นว่าหีบ พันธสัญญาเป็นแหล่งของพระพร แล้วที่อุสซาห์ตายไปเป็นเพราะผิดพลาดตรงไหน? จะแก้ใขอย่างไรดี เพื่อหีบพันธสัญญาจะกลับคืนสู่เยรูซาเล็มพร้อมด้วยพระพร? คำถามนี้ทำให้ดาวิดคิดหนัก คนอิสราเอลอื่นๆ ก็เช่นกัน
เราคงคาดว่าน่าจะมีคำตอบ ซึ่งเป็นสาเหตุทีี่ผู้เขียนไม่่ยอมบอกเอาไว้ แต่ผู้เขียนพงศาวดารไม่ได้คาดหวัง มากจากคนอ่าน จึงมีการบันทึกไว้ให้อย่างชัดเจน:
1 ดาวิดทรงสร้างพระราชวังของพระองค์ในนครดาวิด และพระองค์ทรง เตรียมที่ไว้สำหรับหีบของพระเจ้าและ ทรงตั้งเต็นท์ไว้ให้ 2 แล้วดาวิด
ตรัสว่า "นอกจากคนเลวีแล้วไม่ควรที่คนอื่นจะหามหีบของพระเจ้า เพราะ ว่าพระเจ้าทรงเลือกเขาให้หามหีบของพระเจ้า และปรนนิบัติพระองค์เป็นนิตย์"
3 และดาวิดทรงประชุมอิสราเอลทั้งสิ้นที่เยรูซาเล็ม เพื่อจะนำหีบของพระเจ้า มาสู่ที่ของหีบนั้นซึ่งพระองค์ ได้ทรงเตรียมไว้ให้ 4 และดาวิดทรงรวบรวมเชื้อ สายของอาโรนและคนเลวี 5 คือจากเชื้อสายของโคฮาท ได้อุรีเอลเป็นหัวหน้า พร้อมกับพี่น้องของเขาหนึ่งร้อยยี่สิบคน 6 จากเชื้อสายของเมรารีได้อาสายาห์
เป็นหัวหน้าพร้อมกับพี่น้องของเขาสองร้อยยี่สิบคน 7 จากเชื้อสายของเกอร์โชม ได้โยเอลเป็นหัวหน้า กับพี่น้องของเขา หนึ่งร้อยสามสิบคน 8 จากเชื้อสายของ เอลีชาฟานได้เชไมอาห์เป็นหัวหน้า กับพี่น้องของเขา สองร้อยคน 9 จากเชื้อ สายของเฮโบรนได้เอลีเอลเป็นหัวหน้า กับพี่น้องของเขาแปดสิบคน 10 จาก
เชื้อสาย ของอุสซีเอล ได้อัมมีนาดับเป็นหัวหน้ากับ พี่น้องของเขาหนึ่งร้อยสิบ
สองคน 11 แล้วดาวิดทรงเรียกศาโดกและอาบียาธาร์ปุโรหิต และคนเลวีคืออุรีเอล
อาสายาห์ โยเอล เชไมอาห์ เอลีเอลและอัมมีนาดับ 12 และตรัสกับเขาทั้งหลายว่า เจ้าทั้งหลายเป็นหัวหน้าตระกูลของคนเลวี จงชำระตัวของเจ้าเสีย ทั้งเจ้าและพี่น้อง
ของเจ้า เพื่อเจ้าจะนำหีบของพระเยโฮวาห์พระเจ้าแห่ง อิสราเอลขึ้นมายังสถานที่ ซึ่งเราได้จัดเตรียมไว้ให้ 13 เพราะเจ้ามิได้ไปหามเสียแต่ครั้งแรก พระเยโฮวาห์พระเจ้า ของเราจึงทรงพระพิโรธต่อเรา เพราะเรามิได้แสวงหาตามกฎหมาย 14 แล้วปุโรหิต และคนเลวีจึงได้ชำระตัวของเขา เพื่อจะเชิญหีบของพระเยโฮวาห์พระเจ้าของอิสรา
เอลขึ้นมา 15 และคนเลวีได้หามหีบของพระเจ้าด้วยคานหาม ดังที่โมเสสได้บัญชา เขาไว้ตามพระวจนะของพระเจ้า
(1 พงศาวดาร 15:1-15)
แรกเมื่ออุสซาห์ตาย ดาวิดโกรธมาก แล้วกลับกลายเป็นกลัว ความกลัวของดาวิดเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ แต่พระเจ้าทรงมีพระประสงค์จะอยู่ใกล้ประชากรของพระองค์เพื่ออวยพระพร ทางเดียวที่ประชากรจะทำได้ คือต้องทำตามคำสั่งและข้อกำหนดของพระองค์ การสถิตอยู่ของพระองค์เกี่ยวข้องกับหีบพันธสัญญา ประ ชากรสามารถเข้าเฝ้าพระองค์ได้ แต่ไม่ใช่ใกล้จนเกินไป พวกเขาแตะต้องหีบไม่ได้ ถ้าทำก็ต้องตาย แปล ว่าทางเดียวที่จะย้ายหีบพันธสัญญาได้ ต้องทำตามที่พระเจ้ากำหนดไว้ คือใช้คนเชื้อสายโคฮาทมาหาม โดยหามคานที่คล้องอยู่กับห่วงของหีบพันธสัญญา
ตอนนี้ดาวิดค่อนข้างแน่ใจแล้วว่าการได้อยู่ใกล้กับหีบพันธสัญญาคือพระพร แต่ต้องมีการนำกลับมาสู่กรุง เยรูซาเล็ม โดยทำตามข้อกำหนดที่พระเจ้าตรัสสั่งไว้ทุกประการ ดาวิดรวบรวมคนอิสราเอลและออก คำสั่งให้ลูกหลานเชื้อสายโคฮาทมาเป็นผู้หาม มีคำสั่งชัดเจนถึงข้อบังคับในการหาม ผู้เขียนบันทึกไว้ว่า เมื่อหีบถูกหามไปหกเก้า จะมีการทำพิธีถวายบูชา ผมว่าหกเก้าแรกของการเดินทางคงจะเครียดน่าดู หลัง จากการตายของอุสซาห์ ใครที่เข้าใกล้หีบพันธสัญญา (ลูกหลานโคฮาท) คงต้องรู้สึกหวาดกลัว แน่นอน เพราะเป็นที่ประทับขององค์พระผู้เป็นเจ้า หลังจากเดินทางไปได้พักหนึ่ง ความกล้าและชื่นชมยินดีเข้ามา แทนที่ และเพิ่มมากขึ้น ในไม่ช้าจะมีการเฉลิมฉลองใหญ่รออยู่ เมื่อหีบมาถึงกรุงเยรูซาเล็ม
ใน 2 ซามูเอลเล่าว่ามีการเฉลิมฉลองครั้งยิ่งใหญ่ เมื่อหีบพันธสัญญามาถึงกรุงเยรูซาเล็ม ใน 1 พงศาวดาร บันทึกเรื่องเดียวกันนี้ไว้ค่อนข้างละเอียด ไม่ใช่แต่เพียงคนอิสราเอลบางกลุ่มเท่านั้น แต่ทั้ง "พงศ์พันธุ์ อิสราเอล" (2 ซามูเอล 6:15) ที่เฉลิมฉลอง ครั้งแรกที่นำหีบมา มีเพียงนักร้องนักดนตรีเท่านั้นที่มาด้วย . (2 ซามูเอล 6:5) ครั้งที่สองที่ประสพความสำเร็จนี้ นักร้องนักดนตรีทั้งหมด(1 พงศาวดาร 15:16-24) มา เฉลิมฉลองด้วย นับเป็นช่วงเวลาอันยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของอิสราเอล :
28 ดังนี้แหละคนอิสราเอลทั้งปวง ได้นำหีบพันธสัญญาของพระเจ้าขึ้นมา ด้วยเสียงโห่ร้อง เสียงเป่าเขา เสียงแตร และฉาบ และทำเพลงเสียงดัง ด้วยพิณใหญ่และพิณเขาคู่
(1 พงศาวดาร 15:28).
เป็นเวลาแห่งการเฉลิมฉลอง การถวายบูชาและงานเลี้ยง :
17 เขาทั้งหลายนำหีบของพระเจ้าเข้ามาตั้งไว้ในที่กำหนดภายในเต็นท์
ซึ่งดาวิดได้ทรงสร้างขึ้นไว้ และดาวิดก็ทรงถวายเครื่องเผาบูชาและเครื่อง
ศานติบูชาแด่พระเจ้า 18 และเมื่อดาวิดทรงกระทำการถวายเครื่องเผาบูชา และศานติบูชาสำเร็จแล้ว พระองค์ก็ทรงถวายอวยพรประชาชน ในพระนาม
ของพระเจ้าจอมโยธา 19 และทรงแจกขนมปังคนละแผ่น เนื้อคนละก้อน และขนมองุ่นแห้งคนละแผ่นแก่ประชาชนทั้งปวง คือประชาชนอิสราเอล
ทั้งหมดทั้งผู้หญิงผู้ชาย แล้วประชาชนทั้งหลายต่างก็กลับไปยังบ้านของตน
20 และดาวิดก็ทรงกลับไปอวยพรแก่ราชวงศ์ของพระองค์ แต่มีคาล ราชธิดาของซาอูลได้ออกมาพบดาวิดและทูลว่า "วันนี้พระราชาแห่ง อิสราเอลได้เกียรติยศนักหนาทีเดียวนะเพคะ ทรงถอดฉลองพระองค์วันนี้ ต่อหน้าสาวใช้ของข้าราชการ อย่างกับคนถ่อยแก้ผ้าด้วยไม่มีความอาย"
(2 ซามูเอล 6:17-19).
16 และขณะเมื่อหีบของพระเจ้าเข้ามาถึงเมืองดาวิด มีคาลราชธิดา ของซาอูลก็มองออกที่ช่องหน้าต่าง เห็นพระราชาดาวิดกระโดดโลด
เต้นรำถวายแด่พระเจ้า และนางก็มีใจหมิ่นประมาท … . 20 และ ดาวิดก็ทรงกลับไปอวยพรแก่ราชวงศ์ของพระองค์ แต่มีคาลราชธิดา ของซาอูลได้ออกมาพบดาวิดและทูลว่า "วันนี้พระราชาแห่งอิสราเอล ได้เกียรติยศนักหนาทีเดียวนะเพคะ ทรงถอดฉลองพระองค์วันนี้ต่อ
หน้าสาวใช้ของข้าราชการ อย่างกับคนถ่อยแก้ผ้าด้วยไม่มีความอาย"
21 และดาวิดตรัสตอบมีคาลว่า "เป็นงานที่ถวายแด่พระเจ้าผู้ทรงเลือก
เราไว้แทนเสด็จพ่อของเจ้า และแทนราชวงศ์ทั้งสิ้นของพระองค์ท่าน ทรงแต่งตั้งให้เราเป็นเจ้าเหนืออิสราเอลประชากรของพระเจ้า และ เราจึงจะร่าเริงต่อพระพักตร์พระเจ้า 22 เราจะถ่อมตัวของเราลงยิ่งกว่า
นี้อีก ให้ปรากฏแก่ตาของเราเองว่าเป็นคนต่ำ แต่โดยพวกสาวใช้ที่เจ้า
พูดถึงนั้น เราจะเป็นผู้ที่เขาถือว่ามีเกียรติ" 23 และมีคาลราชธิดาของ ซาอูลก็ไม่มีบุตรจนถึงวันสิ้นชีพ
ดูเหมือนทั่วทั้งอิสราเอล มีอยู่คนเดียวเท่านั้นที่ไม่รู้สึกชื่นชมยินดีกับงานเฉลิมฉลองครั้งนี้ คนๆนั้นคือมีคาล ภรรยาของดาวิด ผู้เขียนพงศาวดารไม่ได้ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มากนัก พูดถึงอยู่ประโยคเดียวว่ามีคาล แลดูอยู่ และมีใจดูหมิ่นในสิ่งที่สามีกำลังทำ (1 พงศาวดาร 15:29) ผู้เขียน 1 และ 2 ซามูเอลพูดในทำนอง เดียวกัน (2 ซามูเอล 6:16) แต่อธิบายต่อท้ายเมื่อดาวิดและมีคาลเผชิญหน้ากัน และพูดถึงผลที่เกิดตามมา ด้วย (ข้อ 20-23).
ให้เรามาพิจารณาดูว่าทำไมมีคาลจึงมีความรู้สึกต่อเหตุการณ์เช่นนี้ มีคาลไม่ได้มีส่วนในการเฉลิมฉลอง ; เป็นเพียงแต่ผู้สังเกตุการ เธอมองออกมาทางหน้าต่างพระราชวัง ดูเหตุการณ์เมื่อหีบพันธสัญญามาถึง (ข้อ 16) คนอิสราเอลที่เหลือทั้งหมดออกไปที่ถนน แน่นอนคนที่เหลือคือพวกที่เดินทางมาพร้อมกับหีบพันธ สัญญาตั้งแต่ออกจากบ้านของโอเบดเอโดมมา เธอไม่ได้ร่วมมากับขบวนเชิญหีบพันธสัญญา ดูเหมือน เธอไม่ต้องการมีส่วนในเรื่องนี้ ถึงแม้เธอไม่ได้รู้สึกยินดียินร้ายก็ตาม คุณคงคิดว่าอย่างน้อยเธอก็น่าจะทำ เพื่อเห็นแก่สามี แต่เธอไม่ทำ
เมื่องานฉลองจบสิ้นลง ดาวิดกลับไปอวยพรแก่ราชวงศ์ มีคาลไม่ขอมีส่วนด้วยในเรื่องนี้ เธอจึง "หาเรื่อง" กับสามีต่อ เธอคงยืนอยู่ตรงทางเดินเมื่อดาวิดมาถึง ท้าวสะเอวและชักสีหน้า ก่อนที่ดาวิดจะเปิดปากพูด คงโวยใส่ก่อนด้วยความโกรธ เธอเห็นสิ่งใด หรือคิดว่าเห็นสิ่งใดที่ทำให้โกรธได้ขนาดนี้? จากคำพูดของ เธอเอง เธอเห็นกษัตริย์ ที่มีทั้งอำนาจและเกียรติยศ ทำท่าเหมือนคนบ้า เธอเห็นผู้ชายแต่งตัวไม่เรียบร้อย — ไม่ได้เปลือย แต่แต่งตัวไม่สมฐานะ — และเธอไม่พอใจดาวิดทำตัวเหมือนคนบ้า ; น่าขายหน้า และ ที่แย่ที่สุดคือทำให้เธอขายขี้หน้าไปด้วย
ก่อนที่เราจะไปดูว่าดาวิดรู้สึกอย่างไรกับเรื่องนี้ ให้เรามาดูว่าผู้เขียนพยายามจะบอกอะไรกับเรา ผู้เขียนมอง ภาพดาวิดอย่างไรในเรื่องนี้ ? ผู้เขียนคิดแบบเดียวกับมีคาลหรือเปล่า? แรกสุด เราต้องมาดูว่าผู้เขียนไม่ได้ บอกว่าดาวิดเปลือยหรือแต่งตัวไม่สุภาพ เขาบอกแต่เพียงว่าดาิวิดกระโดดโลดเต้นรำ และสวมใส่เอโฟด ผ้าลินิน (6:14) และเมื่อมีคาลภรรยามองเห็น นางก็มีใจหมิ่นประมาท (6:16).
ผู้เขียนพระธรรม 1 พงศาวดารบันทึกเกี่ยวกับการตอบสนองของดาวิดไว้มากกว่า :
25 ดาวิดและบรรดาผู้ใหญ่ของอิสราเอล และผู้บัญชากองพัน จึงได้ไปนำหีบพันธสัญญาของพระเจ้า ขึ้นจากเรือนของโอเบด
เอโดมด้วยความเปรมปรีดิ์ 26 และเพราะพระเจ้าทรงช่วยคนเลวี
ผู้หามหีบพันธสัญญาของพระเจ้า เขาทั้งหลายก็ได้ถวายเครื่อง
บูชาเป็นวัวผู้เจ็ดตัว และแกะผู้เจ็ดตัว 27 ดาวิดทรงฉลองพระองค์
ผ้าป่านเนื้อละเอียด ทั้งคนเลวีทั้งปวงผู้หามหีบและนักร้อง และ เคนานิยาห์ผู้อำนวยการเพลงของนักร้อง และดาวิดทรงเอโฟดผ้า
ป่าน 28 ดังนี้แหละคนอิสราเอลทั้งปวง ได้นำหีบพันธสัญญาของ
พระเจ้าขึ้นมาด้วยเสียงโห่ร้อง เสียงเป่าเขา เสียงแตร และฉาบ และทำเพลงเสียงดังด้วยพิณใหญ่และพิณเขาคู่
(1 พงศาวดาร 15:25-28)
สิ่งแรกที่ผมอยากจะย้ำก็คือดาวิดไม่ได้ทำการนี้คนเดียว ท่านกำลังร่วมเฉลิมฉลองกับคนอิสราเอลทั้ง ประเทศ ถ้าท่านเต้นรำ คนอื่นๆก็เต้นด้วย ซึ่งก็หมายถึงบรรดาผู้นำของอิสราเอลทุกคน ความชื่นชมยินดี ของดาวิดเป็นการแสดงออกมากเกินไปหรือเปล่า? คนอื่นๆก็เป็น ; แน่นอน ดูเหมือนว่าทุกคนเป็น ยกเว้น มีคาล ดาวิดไม่ได้ใส่เอโฟดผ้าป่านเนื้อละเอียดหรอกหรือ? เป็นแบบเดียวกับที่ซามูเอลเคยใส่เวลาปฏิบัติ หน้าที่รับใช้องค์พระผู้เป็นเจ้า (1 ซามูเอล 2:18) ปุโรหิตเองก็ใส่แบบเดียวกัน (1 พงศาวดาร 15:27).
มีคาลไม่ได้โกรธดาวิดเพราะท่านทำผิด ทำให้เธอต้องแตกต่างไปจากคนอื่นๆ เธอโกรธดาวิดเพราะท่าน ทำตัวเหมือนสามัญชน เหมือนคนธรรมดา เช่นเดียวกับพวกปุโหิตที่ต่ำต้อย เธอโกรธดาวิดเพราะท่านทำ ตัวไม่สมฐานะในขณะนมัสการพระเจ้า ท่านลดตัวเองลงมา ทำให้เสื่อมเกียรติ เสื่อมศักดิ์ศรี มีคาลอภัยให้ ดาวิดไม่ได้ในเรื่องนี้ ถ้าพระเจ้าเป็นผู้ทำลายขบวนพาเหรดครั้งแรกของดาวิด โดยการประหารอุสซาห์ มีคาลเป็นผู้ทำลายขบวนพาเหรดครั้งที่สอง โดยการดูถูกหมิ่นน้ำใจว่าดาวิดทำตัวไม่สมกับเป็นกษัตริย์
คำตอบของดาวิดดูจะรุนแรงเอาการ แต่ก็เป็นสิ่งที่สะท้อนให้เห็นจิตใจที่ไม่ดีของมีคาล คนชอบธรรมถือ ว่าเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล็ก ดาวิดมีหลายสิ่งที่ต้องชี้ให้ภรรยาเห็น :
(1) การกระทำของท่าน ที่มีคาลถือว่าเป็นเรื่องน่ารังเกียจ เป็นการกระทำที่กระทำต่อ "พระ พักตร์พระเจ้า" (6:21) ภรรยาของดาวิดมองเห็นการกระทำของท่าน แต่ท่านไม่ได้ทำให้นางดู; ท่านทำ ถวายองค์พระผู้เป็นเจ้า ดาวิดไม่ได้เต้นรำให้ภรรยาดู ท่านไม่ได้แม้แต่แสดงให้ฝูงชนดู ท่านกำลังเต้นรำ ถวายพระเจ้า การนมัสการของท่านไม่ได้ทำเพื่อให้ภรรยาพอใจ ทำให้ผมนึกถึงคำพูดของ อ.เปาโลขึ้นมา :
10 บัดนี้ข้าพเจ้ากำลังพูดเอาใจมนุษย์หรือ ข้าพเจ้าทำให้เป็นที่ชอบพระทัย
พระเจ้ามิใช่หรือ ข้าพเจ้าอุตส่าห์ประจบประแจงมนุษย์หรือ ถ้าข้าพเจ้ากำลัง ประจบประแจงมนุษย์อยู่ ข้าพเจ้าก็ไม่ใช่ผู้รับใช้ของพระคริสต์
(กาลาเทีย 1:10)
3 เพราะว่าคำเตือนสติของเรามิได้เกิดมาจากความคิดผิด หรือการโสโครกหรือ
อุบายใดๆ 4 แต่ว่าพระเจ้าทรงเห็นชอบที่จะมอบข่าวประเสริฐไว้กับเรา เราจึง
ประกาศไป ไม่ใช่เพื่อให้เป็นที่พอใจของมนุษย์ แต่ให้เป็นที่พอพระทัยของพระ
เจ้า ผู้ทรงชันสูตรใจเรา 5 เพราะว่าเราไม่ได้ใช้คำยกยอใดๆเลย ซึ่งท่านก็รู้อยู่ หรือมิได้ใช้คำพูดเคลือบคลุมเพื่อความโลภเลย พระเจ้าทรงเป็นพยานฝ่ายเรา
6 และแม้ในฐานะเป็นอัครทูตของพระคริสต์ เราจะเรียกร้องก็ได้ แต่เราก็ไม่ แสวงหาศักดิ์ศรีจากมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นจากท่านหรือจากคนอื่น
(1 เธสะโลนิกา 2:3-6).
ในปัจจุบัน การนมัสการของเราเป็นเหมือนการแสดง ผมกลัวว่า เรากำลังแสดงให้ผู้ชมฟัง ไม่ใช่พระเจ้า คำพูดที่ดาวิดตอบภรรยาน่าจะนำมาใช้ได้สำหรับพวกเรา การนมัสการควรทำถวายต่อ "พระพักตร์ พระเจ้า" ทำเพื่อให้เป็นที่พอพระทัยและตรงตามพระประสงค์ ไม่ใช่เพื่อมนุษย์ แต่ที่เกิดขึ้นในทุกวันนี้ การนมัสการเป็นการแสดงเพื่อให้มนุษย์ชมเท่านั้น
(2) ดาวิดไม่ได้หยุดการเฉลิมฉลอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งท่านกำลังฉลองเพื่อให้เป็นที่พอพระทัย และฉลองในสิ่งที่พระเจ้าจัดเตรียมให้ท่าน (6:21) ผมว่ามีคาลไม่พอใจเพราะดาวิดกำลังเฉลิมฉลอง เพราะท่านกำลังมีความสุข เธอเหมือนกับคริสเตียนหลายคนในทุกวันนี้ ที่ชอบกล่าวว่า "หยุดยิ้มเดี๋ยวนี้ ไม่รู้หรือว่ากำลังอยู่ในโบสถ์?" ดาวิดเฉลิมฉลองเพราะมีเรื่องดีมากมายที่ต้องฉลอง ท่านฉลองในการขึ้น ครองเป็นกษัตริย์ และเป็นกษัตริย์ที่พระเจ้าเป็นผู้แต่งตั้ง แล้วการฉลองนี้จะไปผิดได้ยังไง? เป็นสิ่งผิดที่ เราไม่ชื่นชมยินดีไปกับพระประสงค์และสิ่งที่เป็นที่พอพระทัยของพระเจ้า
ผมอยากรู้จังว่า กี่คนในพวกเราไม่ได้เฉลิมฉลองกันมานานแล้ว ไม่ได้รู้สึกปิติยินดีจนเก็บไว้ไม่อยู่? ความ เซ็งไม่ได้ทำให้อะไรดีขึ้นหรอกครับ ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะไปเซ็งในเมื่อพระเจ้าเองยังชื่นชมยินดี เมื่อพระ เจ้าทรงพอพระทัย เราเองควรชื่นชมยินดีในท่ามกลาง (เพื่อนมนุษย์) ที่กำลังชืนชมยินดี (โรม 12:15) เราควรชื่นชมยินดีกับพระองค์ผู้ทรงชื่นชมยินดี ผมเกรงว่าเราจะเป็นเหมือนมีคาลมากกว่าดาวิด ในเรื่อง การเฉลิมฉลองกับพระเจ้า และชื่นชมในสิ่งที่พระองค์ทำ
(3) สาม ดาวิดเตือนภรรยาว่าเธอกำลังทำตัวเหมือนบิดาของเธอ และสามีของเธอเป็นผู้ที่พระเจ้า ยกขึ้นให้เป็นกษัตริย์แทนบิดาของเธอ พระเจ้ายกดาวิดขึ้นให้เหนือกว่าซาอูล บิดาของมีคาล พระองค์ แต่งตั้งดาวิดให้ขึ้นเป็นกษัตริย์แทนที่ซาอูล พระองค์ทรงกวาดราชวงศ์ของซาอูลออกไปสิ้น และเริ่มต้น ใหม่กับดาวิดและครัวเรือนของท่าน แต่มีคาลกลับทำตัวแทนที่บิดา ทำไมมีคาลยังหยิ่งผยองอยู่ หยิ่ง เพราะคิดว่าตนเองเป็นราชธิดาของกษัตริย์ (ซาอูล)? ทำไมนางดูถูกสามีมากถึงเพียงนั้น ทั้งๆที่ท่านเป็น ผู้ที่พระเจ้าทรงเลือกสรรให้มาเป็นกษัตริย์? ทั้งหมดนี้เป็นเพราะเธอเป็นลูกสาวพ่อ เธอไม่พอใจหรือ ที่ ดาวิดชนะใจประชาชน และสามีของเธอไม่ได้ทำตัวแตกต่าง กลับไปคลุกคลีกับสามัญชนที่ปกครองอยู่? แทนที่จะยืนเคียงข้างสามี เหมือนที่โยนาธานทำ เธอกลับต่อต้าน และเมื่อทำเช่นนั้น เธอก็ไม่ต่างไป จากบิดาของเธอ เธอสมควรต้องถูกเตือนว่าพระเจ้ากำจัดวงศ์วานของเธอออกไปแล้ว ดาวิดจึงทำเช่นเดียว กัน คือกำจัดมีคาลไปให้พ้นสายตา ไม่ว่าเป็นเพราะดาวิดปฏิเสธไม่ยอมมีสัมพันธ์กับเธอ หรือว่าพระเจ้าปิด ครรภ์เธอเสีย เธอก็ตายโดยไม่มีบุตร สิ่งนี้เราทราบกันดีว่าเป็นเรื่องน่าเศร้า ผิดหวัง และนำความอับอาย มาสู่เจ้าตัว เหมือนกับที่เราได้เรียนไปใน 1 ซามูเอล พระเจ้าทรงลงโทษนาง
(4) สี่ ดาวิดปกครองประชากรขอท่านด้วยท่าทีเหมือนผู้รับใช้ที่ถ่อมใจ ไม่ใช่ในแบบกดขี่ข่มเหง มีคาลรังเกียจและตำหนิว่าท่านทำตัวไม่สมกับที่เป็นกษัตริย์ ดาวิดตอบสนองให้เห็นว่าท่านเป็นกษัตริย์ ที่พระเจ้าแต่งตั้ง และท่านจะทำตัวเป็นกษัตริย์ในแบบของพระองค์ ท่านจะไม่เป็นเหมือนซาอูลบิดาของ นาง เพราะพระเจ้าปลดซาอูลออกไปแล้ว กำจัดกษัตริย์แบบนั้นไปเสีย พระเจ้ายกดาวิดให้เป็นกษัตริย์ที่ แตกต่าง กษัตริย์ที่ถ่อมใจปรนนิบัติผู้อื่น ถ้านี่เป็นกษัตริย์แบบที่มีคาลเกลียด ก็ช่วยไม่ได้ ; ดาวิดจะเ็ป็น กษัตริย์อย่างที่พระเจ้าต้องการให้ท่านเป็น ดาวิดจะอยู่ท่ามกลางประชาชน ไม่แยกตัวออกมา นอกจาก นั้นดาวิดแต่งกายและนมัสการพระเจ้า "เหมือนปุโรหิต" (6:14-19; 1 พงศาวดาร 15:25-27) พระเจ้า เลือกอิสราเอลให้มาเป็น "อาณาจักรปุโรหิต" (อพยพ 19:6) มิใช่หรือ? เมื่อสวมใส่เอโฟดผ้าป่าน ดาวิดกำลังทำหน้าที่เป็นปุโรหิตตามพระประสงค์ของพระเจ้า
ซาอูลทำผิดด้วยการไปแย่งทำหน้าที่ปุโรหิตและผู้เผยพระวจนะแทนซามูเอล (1 ซามูเอล 13:8-9) สิ่งนี้ ผิดเพราะฝ่าฝืนคำสั่งอย่างชัดเจน ดาวิดทำหน้าที่ปุโรหิตในแบบที่พระเจ้าพอพระทัย แต่ในความคิดของ มีคาล เธอกลับเห็นว่าการทำเช่นนี้เสียศักดิ์ศรีของความเป็นกษัตริย์ เธอจึงแสดงอาการรังเกียจเมื่อเห็น สามีลดตัวลงต่อหน้าประชาชน
พระธรรมตอนนี้มีบทเรียนสอนเรามากมาย มีบทเรียนที่เราเรียนได้จากอุสซาห์ เราแทบไม่รู้จักอุสซาห์ เราไม่รู้ว่าเขามีความสัมพันธ์เช่นใดกับพระเจ้า เราไม่รู้ว่าเขามีแรงจูงใจใดในการเอื้อมมือไปแตะหีบพันธ สัญญา เอาเป็นว่าผมคิดว่าเขาพยายามทำดี เขาคงมีความตั้งใจดีเพราะกลัวว่าหีบพันธสัญญาจะตกลงไป การแตะต้องหีบ เขาไม่คิดว่าจะเป็นความผิดร้ายแรง ทำเพราะไม่ต้องการให้หีบตกลงไปเท่านั้น
เรารู้ว่าอุสซาห์โตขึ้นมาในระหว่างที่หีบนั้นอยู่ในบ้านของเขา (1 ซามูเอล 7:1-2; 2 ซามูเอล 6:2-4) หรือ ว่าเขาคุ้นเคยกับของศักดิ์สิทธินี้ดี? มีความเป็นไปได้ เราเองก็เผชิญความเสี่ยงในแบบเดียวกัน ทุกๆวัน อาทิตย์ เราระลึกถึงพระราชกิจที่พระเจ้าทรงกระทำบนไม้กางเขน เราเฉลิมฉลองด้วยพิธีมหาสนิท ธรรมิกชนในเมืองโครินธ์มองว่าเป็นเพียงพิธีกรรม ท่าทีที่แสดงออกในระหว่างการฉลองนี้ไม่เป็นที่พอพระ ทัยพระเจ้า อ.เปาโลตักเตือนถึงเรื่องนี้ว่าเป็นการที่มิได้ "เล็งเห็นพระกายขององค์พระผู้เป็นเจ้า" (1 โครินธ์ 11:29) ความผิดเช่นนี้ ชาวโครินธ์มากมายถูกลงโทษด้วยความเจ็บป่วย หรือความตาย (11:30) ให้เราระวังให้ดีในเรื่องความบริสุทธิศักดิ์สิทธิของพระเจ้า และท่าทีในการนมัสการของเรา สำหรับพระเจ้า เรื่องการละเลยความบริสุทธที่มีิื์ต่อพระองค์ไม่ใช่เรื่องเล็กๆนะครับ
อานาเนียและสัปฟีราเป็นห่วงเรื่องภาพพจน์ของตัวเองมากกว่าตามที่พระเจ้าเห็น พวกเขาโกหกต่อ พระวิญญาณว่าได้นำเงินทั้งสิ้นจากการขายทรัพย์สมบัติมามอบให้แล้ว แทนที่จะบอกว่าขยักไว้บางส่วน (กิจการ 5:1-11) พระเจ้าเป็นพระเจ้าที่บริสุทธิและพระองค์เรียกร้องประชากรของพระองค์ให้เป็นคน บริสุทธิ (ดู 1 เปโตร 1:14-16) พระองค์เห็นความบาปของเราเป็นเรื่องร้ายแรง เมื่อเฮโรดไม่ถวายเกียรติ แก่พระเจ้า และต้องการให้ประชาชนมาถวายเกียรติแก่ตนเองเหมือนเช่นเทพเจ้า พระเจ้าลงโทษถึงตาย (กิจการ 12:20-23) การละเลยความบริสุทธิของพระเจ้าเป็นเรื่องร้ายแรงถึงตายครับ
อุสซาห์เป็นเรื่องเตือนใจเราว่า ความบริสุทธิศักดิ์สิทธิของพระเจ้านั้น แม้คนบาปยังไม่สามารถเข้าใกล้ นอกจากพระองค์จะหาหนทางให้ หลังจากที่มนุษย์คู่แรกล้มลงในความบาปที่สวนเอเดน พระเจ้าต้องขับ ไล่ทั้งอาดัมและเอวาออกไป พระเจ้าจัดเตรียมที่อื่นไว้ให้ แต่ยังไม่ใช่ทางแก้ เมื่อพระเจ้ากู้ชาวอิสราเอล ออกจากความเป็นทาสในประเทศอียิปต์ พระองค์มอบพระบัญญัติให้แก่พวกเขาบนภูเขาซีนาย พระสิริและ ฤทธานุภาพของพระองค์ได้ถูกเปิดเผยต่อชาวอิสราเอล :
16 อยู่มาพอถึงรุ่งเช้าวันที่สาม ก็บังเกิดฟ้าร้อง ฟ้าแลบ มีเมฆอันหนาทึบ ปกคลุมภูเขานั้นไว้กับมีเสียงแตรดังสนั่น จนคนทั้งปวงที่อยู่ในค่ายต่างก็พา
กันกลัวจนตัวสั่น 17 โมเสสก็นำประชาชนออกจากค่ายไปเฝ้าพระเจ้า พวก
เขามายืนอยู่ที่เชิงภูเขา 18 ภูเขาซีนายมีควันกลุ้มหุ้มอยู่ทั่วไป เพราะพระเจ้า เสด็จลงมาบนภูเขานั้นโดยอาศัยเพลิงควันไฟพลุ่งขึ้นเหมือนควันจากเตาใหญ่ ภูเขาก็สะท้านหวั่นไหวไปหมด 19 เมื่อเสียงแตรยิ่งดังขึ้น โมเสสก็กราบทูล พระเจ้าก็ตรัสตอบเป็นเสียงฟ้าร้อง 20 พระเจ้าเสด็จลงมาบนยอดภูเขาซีนาย พระเจ้าทรงเรียกโมเสสให้ขึ้นไปบนยอดเขา โมเสสก็ขึ้นไป
(อพยพ 19:16-20).
มากกว่าหนึ่งครั้งที่พระเจ้าทรงกำหนดขอบเขตของพระองค์ ที่มนุษย์หรือสัตว์ไม่มีสิทธิล้ำเข้าไป พระเจ้า ทรงสั่งโมเสสให้เตือนประชาชน ถึงอันตรายที่จะเข้าใกล้พระองค์ :
12 จงกำหนดเขตให้ประชาชนอยู่รอบภูเขา แล้วกำชับเขาว่า 'เจ้าทั้งหลาย
จงระวังตัวให้ดี อย่าล่วงล้ำเขตขึ้นไปหรือถูกต้องเชิงภูเขานั้น ผู้ใดถูกภูเขา
ต้องมีโทษถึงตาย 13 อย่าใช้มือฆ่าผู้นั้นเลย ให้เอาหินขว้างหรือยิงเสีย จะ เป็นสัตว์ก็ดีหรือเป็นมนุษย์ก็ดีอย่าไว้ชีวิต' เมื่อได้ยินเสียงแตรเป่ายาว ให้เขา
(อพยพ 19:12-13)
20 พระเจ้าเสด็จลงมาบนยอดภูเขาซีนาย พระเจ้าทรงเรียกโมเสสให้ขึ้นไป
บนยอดเขา โมเสสก็ขึ้นไป 21 พระเจ้าตรัสสั่งโมเสสว่า "เจ้าจงลงไปกำชับ
ประชาชน เกรงว่าเขาจะล่วงล้ำเข้ามาถึงพระเจ้า เพราะอยากเห็น แล้วเขา จะพินาศเสียเป็นจำนวนมาก 22 อีกประการหนึ่ง พวกปุโรหิต ที่เข้ามาเฝ้า พระเจ้านั้นให้เขาชำระตัวให้บริสุทธิ์ ด้วยเกรงว่าพระเจ้าจะทรงพระพิโรธลง
โทษเขา" 23 ฝ่ายโมเสสกราบทูลพระเจ้าว่า "ประชาชนขึ้นมาบนภูเขาซีนาย
ไม่ได้ เพราะพระองค์ทรงสั่งข้าพระองค์ทั้งหลายว่า 'จงกั้นเขตรอบภูเขานั้น ชำระให้เป็นที่บริสุทธิ์'" 24 พระเจ้าจึงตรัสกับโมเสสว่า "ลงไปเถิด แล้วกลับขึ้น
มาอีก พาอาโรนขึ้นมาด้วย แต่อย่าให้พวกปุโรหิตและประชาชนล่วงล้ำขึ้นมา
ถึงพระเจ้า เกรงว่าพระองค์จะลงโทษเขา" 25 โมเสสก็ลงไปบอกประชาชน
ตามนั้น
(อพยพ 19:20-25).
ผมยังจำได้ถึงคำของโมเสสที่กล่าวกับประชาชนอิสราเอล ก่อนเหยียบเข้าไปในดินแดนแห่งพันธสัญญา:
15 "พระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านจะโปรด ให้ผู้เผยพระวจนะอย่างข้าพเจ้า
นี้เกิดขึ้น ในหมู่พวกท่านจากพี่น้องของท่าน ท่านทั้งหลายจงเชื่อฟังเขา
16 อย่างที่ท่านปรารถนาจากพระเยโฮวาห์ พระเจ้าของท่านที่โฮเรบในวัน
ประชุมเมื่อท่านกล่าวว่า 'อย่าให้ข้าพเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเยโฮวาห์
พระเจ้า ของข้าพเจ้าหรือได้เห็นเพลิงมหึมานี้อีกเลย เกรงว่าข้าพเจ้าจะตายเสีย'
17 และพระเจ้าตรัสกับข้าพเจ้าว่า 'ซึ่งเขาพูดมาเช่นนั้นก็ดีอยู่ 18 เราจะโปรด ให้บังเกิดผู้เผยพระวจนะอย่างเจ้าในหมู่พวกพี่น้องของเขา และเราจะใส่ถ้อยคำ
ของเราในปากของเขา และเขาจะกล่าวบรรดาสิ่งที่เราบัญชาเขาไว้นั้นแก่ประชา
ชนทั้งหลาย 19 ผู้ใดไม่เชื่อฟังถ้อยคำของเรา ซึ่งผู้เผยพระวจนะกล่าวในนาม
ของเรา เราจะกำหนดโทษผู้นั้น
(เฉลยธรรมบัญญัติ 18:15-19).
ที่ภูเขาซีนาย ประชากรเริ่มเข้าใจและสัมผัสได้ถึงความบริสุทธิศักดิ์สิทธิและพระสิริของพระเจ้า พวกเขา เข้าใจดีว่า การเข้าใกล้พระเจ้านั้นเป็นอันตรายอย่างยิ่ง พวกเขาตัดสินใจให้มีคนกลางเพื่อเป็นตัวแทนพวก เขาต่อหน้าพระเจ้า พวกเขาขอให้โมเสสทำหน้าที่นี้ ท่านยอมตกลง และได้รับการชมเชยในการตัดสินใจ นี้ พวกเขาไม่ได้ขลาดกลัว (อย่างน้อยไม่ใช่แค่หวาดกลัว); พวกเขาฉลาดพอ คนบาปต้องการคนกลาง เป็นตัวแทนเข้าเฝ้าพระเจ้าผู้บริสุทธิ
พลับพลา หีบพันธสัญญา ปุโรหิตและการถวายบูชาเป็นเพียงทางออกระยะสั้น ยังต้องมีการแก้ใขที่ถาวร สำหรับปัญหาความบาปของมนุษย์ และการเข้าใกล้พระเจ้า พระเจ้าเองทรงเป็นผู้แก้ปัญหานี้ให้โดยทาง องค์พระเยซูคริสต์ เมื่อพระองค์ลงมาบังเกิดเป็นมนุษย์ (เกิดเป็นเด็กน้อยที่เบธเลเฮ็ม) ทรงรับเอาสภาพ เป็นมนุษย์ พระองค์ทรงมาอยู่ท่ามกลางคนบาป เพื่อจัดเตรียมการแก้ปัญหาความบาป และการเข้าใกล้ พระเจ้าให้อย่างถาวร
เราเต็มไปด้วยความยำเกรง เมื่อพระเยซูเสด็จมาบังเกิดเป็นมนุษย์ (เกิดในโลกนี้อย่างมนุษย์ที่ปราศจาก บาป เป็นพระเจ้าในสภาพมนุษย์) เราอ่านถ้อยคำเหล่านี้ของท่านยอห์นด้วยความมหัศจรรย์ใจ :
14 พระวาทะได้ทรงบังเกิดเป็นมนุษย์และทรงอยู่ท่ามกลางเรา บริบูรณ์ด้วย
พระคุณและความจริง เราทั้งหลายได้เห็นพระสิริของพระองค์ คือพระสิริอัน สมกับพระบุตรองค์เดียวของพระบิดา
(ยอห์น 1:14)
1 ซึ่งมีตั้งแต่ปฐมกาล ซึ่งเราได้ยิน ซึ่งเราได้เห็นกับตา ซึ่งเราได้พินิจดู และจับต้องด้วยมือของเรานั้นเกี่ยวกับพระวาทะแห่งชีวิต 2 (และชีวิตนั้นได้
ปรากฏ และเราได้เห็น และเป็นพยาน และประกาศชีวิตนิรันดร์นั้นแก่ท่าน
ทั้งหลาย ชีวิตนั้นได้ดำรงอยู่กับพระบิดาและได้ปรากฏแก่เราทั้งหลาย)
3 ซึ่งเราได้เห็นและได้ยินนั้น เราก็ได้ประกาศให้ท่านทั้งหลายรู้ด้วย เพื่อ ท่านทั้งหลายจะได้ร่วมสามัคคีธรรมกับเรา เราทั้งหลายก็ร่วมสามัคคีกับพระ
บิดา และกับพระเยซูคริสต์พระบุตรของพระองค์
(1 ยอห์น 1:1-3)
โดยทางพระองค์เราได้รับการอภัยบาปจากพระเจ้า และมีใจกล้าที่จะเข้าเฝ้าต่อเบื้องพระพักตร์ :
5 ด้วยเหตุว่ามีพระเจ้าองค์เดียว และมีคนกลางแต่ผู้เดียวระหว่างพระเจ้า
กับมนุษย์ คือพระเยซูคริสต์ผู้ทรงสภาพเป็นมนุษย์ 6 ผู้ทรงประทานพระ
องค์เองเป็นค่าไถ่ สำหรับคนทั้งปวง เหตุการณ์นี้เป็นพยานในเวลาอันเหมาะ
(1 ทิโมธี 2:5-6)
19 เหตุฉะนั้นพี่น้องทั้งหลาย เมื่อเรามีใจกล้าที่จะเข้าไปสู่สถานศักดิ์สิทธิ์ โดยพระโลหิตของพระเยซู 20 ตามทางใหม่และเป็นทางที่มีชีวิตซึ่งพระองค์ ได้ทรงเปิดออกให้เราผ่านเข้าไปทางม่านนั้น คือทางพระกายของพระองค์
21 และเมื่อเรามีปุโรหิตใหญ่เหนือหมู่คนของพระเจ้าแล้ว 22 ก็ให้เราเข้าไป ใกล้ด้วยความบริสุทธิ์ใจ ด้วยไว้ใจเต็มที่มีใจที่ได้รับการทรงชำระให้สะอาด
แล้ว และมีกายที่ล้างชำระด้วยน้ำบริสุทธิ์ 23 ขอให้เรายึดมั่นในความหวัง ที่เราทั้งหลายเชื่อและรับไว้นั้น โดยไม่หวั่นไหว เพราะว่าพระองค์ผู้ทรง
ประทาน พระสัญญานั้นทรงสัตย์ซื่อ
(ฮีบรู 10:19-23)
คำเชิญชวนในพระคัมภีร์ใหม่นั้นคือการเชิญคนบาปทั้งหลายให้เข้าใกล้องค์พระผู้เป็นเจ้า โดยทางพระ โลหิตของพระเยซูคริสต์ :
16 ฉะนั้นขอให้เราทั้งหลาย จงมีใจกล้าเข้ามาถึงพระที่นั่งแห่งพระคุณ เพื่อเราจะได้รับพระเมตตา และจะได้รับพระคุณที่จะช่วยเรา ในขณะที่ ต้องการ (ฮีบรู 4:16)
25 ด้วยเหตุนี้ พระองค์จึงทรงสามารถเป็นนิตย์ที่จะช่วยคนทั้งปวงที่ได้ เข้ามาถึงพระเจ้าโดยทางพระองค์นั้นให้ได้รับความรอด เพราะว่าพระองค์
ทรงพระชนม์อยู่เป็นนิตย์ เพื่อช่วยทูลขอพระกรุณาให้คนเหล่านั้น
(ฮีบรู 7:25)
88 ท่านทั้งหลายจงเข้าใกล้พระเจ้า และพระองค์จะเสด็จมาใกล้ท่าน คนบาปทั้งหลายเอ๋ย จงชำระมือให้สะอาด และคนสองใจ จงชำระใจ ของตนให้บริสุทธิ์
(ยากอบ 4:8)
คำเตือนในพระคัมภีร์คือ เมื่อเวลาพิพากษามาถึง องค์พระเยซูจะเสด็จมาใกล้เพื่อพิพากษาทุกคนที่ต่อต้าน และปฏิเสธที่จะเชื่อฟังพระองค์ :
5 "พระเจ้าจอมโยธาตรัสว่า แล้วเราจะมาใกล้เจ้าเพื่อการพิพากษา เราจะเป็นพยานที่รวดเร็วที่กล่าวโทษนักวิทยาคม พวกผิดประเวณี ผู้ที่สบถเท็จ ผู้ที่บีบบังคับลูกจ้างในเรื่องค่าจ้าง และแม่ม่าย และ ลูกกำพร้าพ่อ ผู้ที่ผลักไสคนต่างด้าวให้ไปเสีย "
(มาลาคี 3:5)
คุณเข้ามาใกล้พระเจ้าโดยความเชื่อในองค์พระเยซูคริสต์ ผู้ที่พระเจ้าจัดเตรียมไว้ เพื่อให้มนุษย์ได้มีโอกาส เข้าใกล้พระองค์หรือยัง? ถ้ายัง ผมอยากบอกให้คุณตัดสินใจเดี๋ยวนี้ พระเจ้าอณุญาติให้เราตกนรกตามแบบ ที่เราเลือกทำ แต่ถ้าเราอยากไปสวรรค์ มีเพียงหนทางเดียวที่พระเจ้าจัดเตรียมไว้ให้ — โดยพระโลหิต ของพระเยซูผู้เดียวเท่านั้น
เราเรียนรู้ได้จากมีคาล มีคาลเป็นภาพจำลองของพวกผู้สอนธรรมบัญญัิติและพวกฟาริสีในสมัยของ พระเยซู ที่นึกว่าตนเองเป็นคนชอบธรรมแล้ว เช่นเดียวกับมีคาลที่ภูมิใจเพราะเกิดในตำแหน่งธิดากษัตริย์ พวกฟาริสีและผู้สอนธรรมบัญญัติก็เช่นกัน ภาคภูมิใจในตำแหน่งหน้าที่ผู้นำทางศาสนาของอิสราเอล พวก เขากลัวว่าจะสูญเสียอำนาจ สูญเสียสถานะภาพ พวกเขาท้าทายเรื่องสิทธิอำนาจกับพระเยซู พวกเขาดูถูก เหยียดหยามพระองค์เพราะพระองค์ปะปนอยู่ท่ามกลางคนยากจน คนบาป เช่นเดียวกับที่มีคาลไม่เกิดผล (เป็นหมันไม่มีลูก) พวกผู้สอนธรรมบัญญัติและฟาริสีก็เหมือนกัน ผู้ที่จะนมัสการพระเจ้าได้ ต้องมาหาพระ องค์ด้วยความถ่อมใจ ปราศจากความหยิ่งยโส เท่าที่ผ่านมา มีคาลเป็นผู้เดียวที่ขาดความชื่นชมยินดีใน การนมัสการพระเจ้า ซึ่งก็ไม่น่าประหลาดใจ เพราะเธอมัวแต่วุ่นวายใส่ใจแต่ตนเอง
และเราเรียนรู้จากดาวิดได้ ดาวิดเป็นดังภาพจำลองของพระเยซูคริสต์ที่จะมาในภายหลัง ท่านเป็นทั้ง กษัตริย์และปุโรหิต (สวมใส่เอโฟดผ้าป่าน) ดาวิดถอดชุดกษัตริย์ออกไป และถ่อมตัวลงมา เช่นเดียวกับ พระเยซูที่ทรงละสภาพกษัตริย์ ลดพระองค์ลงมา (ฟีลิปปี 2:5-8; ดูยอห์น 13:1 ด้วย) ดาวิดไม่อณุญาติให้ มีการแบ่งชนชั้นเมื่อนมัสการพระเจ้า พระเจ้าไม่ทรงทนกับการแบ่งชนชั้นวรรณะในขณะเข้าเฝ้าพระองค์ ใน พระคัมภีร์ตีค่ามนุษย์เท่ากัน คือเราทุกคนเป็นคนบาป สมควรกับพระอาชญานิรันดร์ แต่เราได้รับการช่วยกู้ โดยที่เราไม่มีส่วนดีหรือผลงานใดๆเลย ทั้งสิ้นเป็นผลจากพระราชกิจไถ่บาปบนไม้กางเขนของพระเยซูเท่า นั้น ดาวิดสมควรทำอะไรได้มากไปกว่าถ่อมตัวลง นมัสการพระเจ้า ถึงแม้ผู้เป็นภรรยาจะแสดงอาการดู ถูกชิงชังก็ตาม
ท้ายที่สุด บทเรียนบทนี้มีเรื่องราวมากมายที่คริสตจักรในปัจจุบันโต้เถียงกันไม่จบสิ้น คือเรื่อง ความเหมาะสม หรือ ไม่เหมาะสม มีสองความคิดที่แตกต่างกันสุดขั้ว และเราก็จะมีใจเอนเอียงไป ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง (หรือบางทีสลับกันไปมา) ขั้วแรกคือตั้งหน้าทำกันอย่างไม่ลืมหูลืมตา ดาวิดและคน ของท่านมัวแต่มุ่งมั่นอยู่ที่การนมัสการ จนลืมไปว่ากำลังนมัสการผู้ใด — นมัสการพระเจ้าผู้บริสุทธิ เราอาจ เคลิบเคลิ้มไปกับอารมณ์และบรรยากาศของการนมัสการ ลืมควบคุมตนเอง แล้วสิ่งที่พระเจ้าเคยสั่งห้ามไว้ ถูกลืม ถูกละเลยไปสิ้น (เช่นเอื้อมมือไปคว้าหีบพันธสัญญา) อุสซาห์เองก็ "เคลิบเคลิ้ม" ไปกับความตื่น เต้นที่ได้เป็นผู้ส่งหีบพันธสัญญาของพระเจ้ากลับคืน ลืมใส่ใจในคำสั่งที่พระเจ้าได้ให้ไว้ อุสซาห์ต้องตาย เพราะขาดความยำเกรง ขออย่าให้เราลืมเรื่องนี้ กระตือรือร้นมากจนเกินเหตุ ไม่ใช่ข้ออ้างที่จะฝ่าฝืนคำสั่ง ของพระเจ้า
สำหรับอีกหลายคน อันตรายที่เรามองแทบไม่เห็น คืออันตรายที่เกิดขึ้นในระหว่างการนมัสการ ถ้าการ นมัสการของเราสงบนิ่ง เป็นรูปแบบตายตัว ถ้ามีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้น เราจะตั้งรับไม่ทัน ฟังให้ดีนะครับ ผมไม่ได้ต่อต้านการนมัสการที่มีรูปแบบตายตัว เพราะมีเรื่องให้พูดถึงอีกมากมายในการนมัสการแบบที่ พระเจ้าพอพระทัย แต่บางคนในพวกเราที่ไม่ยกมือ ไม่ส่งเสียงร้องเพลงด้วยความชื่นชมยินดี เป็นเพราะ เราหยิ่งยโสเกินไปหรือเปล่า? เหมือนกับมีคาล เราเป็นห่วงศักดิ์ศรีเกียรติยศของตัวเอง มากกว่านึกถึง พระเจ้าหรือไม่? ให้เราระวังเรื่องการหลีกเลี่ยงไม่ยอมแสดงออกขณะนมัสการ เพราะคิดว่ามันดูไม่เหมาะ สมกับคนอย่างเรา
มีเรื่องสุดขั้วสองฝ่ายในบทเรียนนี้ และไม่มีฝ่ายใดถูก การแสดงออกมากไปในการนมัสการ จนลืมความ ศักดิ์สิทธิของพระเจ้า กลายเป็นการฝ่าฝืนพระคำ เป็นเรื่องผิด ไม่ว่าคุณกระตือรือร้นเพียงใด มันก็ยังผิด จนกว่าคุณจะมองไปที่พระเจ้า และเข้าเฝ้าพระองค์ด้วยท่าทีที่ถูกต้อง การนมัสการแบบสงบนิ่ง ไม่แสดง อารมณ์ใดๆ แสดงถึงความหยิ่งยโสเกินกว่าจะลดตัวลงมาเข้าเฝ้าพระเจ้าด้วยท่าทีที่ถ่อมใจได้ เ็ป็นสิ่ง ที่ผิดเช่นกัน แบบแรกนำมาซึ่งความตาย แบบหลังทำให้ไม่เกิดผล ขอให้เราทั้งหลายนมัสการพระเจ้า ในแบบเดียวกับที่ดาวิดและคนอิสราเอลทำ คือตามพระวจนะคำ ด้วยท่าทีถ่อมใจ ด้วยใจปิติยินดี ใจสำนึก ในพระคุณ และด้วยชีวิตชีวา
23 ใน 1 พงศาวดารบทที่ 13 เรียกเมืองคีรียาทเยราอิม ว่าบาอาลาห์-ยูดาห์ ในโยชูวาบทที่ 15 พูดถึง มรดกของเผ่ายูดาห์ว่าเป็นเมืองบาอาลาห์ (โยชูวา 15:9-11) และต่อมาตั้งให้เป็นเมืองคีรียาท ยาอาริม (15:9)
24 สิ่งที่ผู้เขียนพระธรรม 1 และ 2 ซามูเอลอธิบายไว้อย่างสั้นๆใน 2 ซามูเอล 6:1 ผู้เขียน 1 พงศาวดาร กลับให้รายละเอียดไว้อย่างชัดเจน .
ผมโปรดปรานหนังเรื่อง "ครอคโคไดล์ ดันดี" (Crocodile Dundee) มาก และตอนที่โปรดปรานมากคือเมื่อ พระเอกเดินไปตามถนนในนิวยอร์คกับแฟนสาว ทันใดนั้น มีโจรกลุ่มหนึ่งกระโดดออกมาจากมุมมืด คนหนึ่ง ถือมีดจ่อมาพร้อมกับสั่งให้ดันดีส่งของมีค่าให้ อย่างสงบ ดันดีมองหน้าพวกโจรก่อนจะพูดว่า "นั่นไม่ใช่ มีด … นี่ต่างหากคือมีด!" แล้วเขาก็ชักมีดอันยักษ์ออกมา ทำให้มีดที่พวกผู้ร้ายถืออยู่กลายเป็นมีดของเล่นไปเลย พวกมันกระโจนเผ่นหนีไปคนละทิศละทาง
เหตุการณ์นี้ทำให้ผมนึกถึงบทเรียนที่เรากำลังจะเรียนกัน ดาวิดสร้างพระราชวังเสร็จแล้ว ท่านมองออกไป เห็น หีบพันธสัญญายังตั้งอยู่ในเต็นท์ แล้วเกิดความคิด … . ท่านเริ่มวางแผนบางอย่าง ทำไมถึงไม่สร้างพระนิเวศน์ ให้พระเจ้าเล่า? ดาวิดจึงปรึกษาหารือคู่คิด - นาธันผู้เผยพระวจนะ ท่านเล่าโครงการในใจให้ฟัง นาธันเห็นด้วย ในทันที คิดว่าแผนการสร้าง "พระนิเวศน์" ของดาวิดน่าจะเป็นที่พอพระทัยพระเจ้า แต่ในคืนนั้นเอง พระเจ้าทรง แก้ใขความเข้าใจของท่านเสียใหม่ ท่านกลับไปหาดาวิด พร้อมกับคำพยากรณ์ที่ต้องนำมาคิดทบทวนดู พระเจ้า ตรัสกับดาวิดโดยผ่านนาธันผู้เผยพระวจนะ ดูเหมือนว่าพระเจ้ากำลังดูพิมพ์เขียว "พระนิเวศน์" ที่ดาวิดทำไว้ แล้วพระองค์ตรัสกับดาวิดว่า "ดาวิดนั่นไม่ใช่บ้าน … นี่ต่างหาก คือบ้าน" ถ้าดาวิดคิดว่าจะสร้าง พระนิเวศน์ ให้พระเจ้า ท่านคิดผิด พระเจ้าต่างหากที่วางแผนสร้าง "บ้านเรือน" ให้กับดาวิด และจะเป็นบ้านเรือนแบบใด ให้เราตั้งใจฟังบทเรียนนี้ให้ดี และพิจารณาดูว่าพระเจ้าจะสร้างบ้านแบบใดให้ดาวิด และเป็น สิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่า พระนิเวศน์ที่ดาวิดต้องการสร้างให้พระองค์
พระธรรมตอนนี้สำคัญยิ่งในพระคัมภีร์เดิม เราประเมิณไม่ได้ว่าสำคัญขนาดไหน ไม่ใช่เฉพาะกับดาวิดเท่านั้น แต่กับชาวอิสราเอลและมวลมนุษยชาติ
"วอลเตอร์ บรุกเกอร์มานให้คำอธิบายเรื่องดาวิดและนาธันว่า 'เป็นศูนย์กลาง ของหลักศาสนศาสตร์ที่น่ามหัศจรรย์ที่สุดในหนังสือพระธรรมซามูเอล … เป็น หนึ่งในหนังสือที่สำคัญที่สุดของพระคัมภีร์เดิม สำหรับพื้นฐานความเชื่อของ คริสเตียน'"25
เนื้อหาของพระธรรมตอนนี้ พวกนักศาสนศาสตร์เรียกว่า พันธสัญญาของดาวิด เป็นพันธสัญญาที่สำคัญยิ่งใน พระคัมภีร์ เราจะมาหาค้นหาความหมายและความสำคัญของพันธสัญญานี้ด้วยกัน
11 อยู่มาเมื่อพระราชาประทับในพระราชวังของพระองค์ และพระเจ้า ทรงโปรดให้พระองค์พักจากการรบศึกรอบด้าน 2 พระราชาตรัสกับนาธัน
ผู้เผยพระวจนะว่า "ดูซิ เราอยู่ในบ้านทำด้วยไม้สนสีดาร์ แต่หีบของ
พระเจ้า อยู่ในผ้าม่านเต็นท์" 3 และนาธันทูลพระราชาว่า "ขอเชิญทรง กระทำทั้งสิ้นตามพระประสงค์ของฝ่าพระบาทเพราะพระเจ้าทรงสถิตกับ
ฝ่าพระบาท"
ดาวิดมาใกลจากเมื่อครั้งที่เป็นเพียงเด็กเลี้ยงแกะ ท่านพึ่งจะตระหนักเข้าไปในใจว่าพระเจ้าได้แต่งตั้งท่าน ให้เป็นกษัตริย์ปกครองอิสราเอลแล้ว (2 ซามูเอล 5:12) พวกฟิลิสเตียมาโจมตีเพื่อโค่นล้มท่านถึงสองครั้ง และดาวิดเอาชนะได้ทั้งสองครั้ง บรรดาศัตรูรอบด้านก็อยู่อย่างสงบสันติสุขกับท่าน ด้วยความช่วยเหลือ ของฮีราม กษัตริย์เมืองไทระ ดาวิดสร้างพระราชวังสำเร็จ และได้เข้าอยู่อาศัยอย่างสมฐานะ บัดนี้ถึงเวลา แล้วที่ท่านจะหันไปทุ่มเทงานด้านอื่น
หลังจากล้มเหลวในครั้งแรก ในที่สุดหีบพันธสัญญาก็ได้มาถึงกรุงเยรูซาเล็ม ตั้งอยู่ที่ในเต็นท์ ดาวิดคงจะ มองจากดาดฟ้าลงมาเห็นเต็นท์พลับพลาที่มีหีบพันธสัญญาอยู่ ท่านคงรู้สึกไม่เหมาะสมที่จะอยู่ในพระราชวัง หรูหรา ในขณะที่หีบของพระเจ้าอยู่ในที่คับแคบและไม่สง่างาม ท่านจึงมีความคิดว่าน่าจะสร้างเรือนอีกสักหลัง เรือนหลังที่สองนี้จะเป็นพระวิหารที่สถิตอยู่ของหีบพันธสัญญา
เมื่อท่านเริ่มคิด เมื่อคิดแล้วก็เป็นสิ่งที่ท่านต้องลงมือทำ ดาวิดจึงปรึกษานาธันผู้เผยพระวจนะ ผู้ซึ่งเป็นทั้ง เพื่อนและผู้ให้คำปรึกษาของกษัตริย์ การกระทำเช่นนี้เหตุใดจึงไม่ถูกต้อง? ทำไมพระเจ้าจะมีที่อยู่ที่สง่างาม เหมาะสมกว่านี้ไม่ได้? ดังนั้น โดยที่ไม่ปรึกษาพระเจ้าก่อน นาธันสนับสนุนให้เดินหน้า นาธันคงจะพูดกับ ดาวิดว่า "ฟังดูดีมาก ผมคิดว่าพระเจ้าคงพอพระทัยแน่ๆ" ในคำพูดตามพระคัมภีร์ นาธันกล่าวว่า "พระเจ้า ทรงทำทุกสิ่ง ที่ท่านคิด เพราะพระองค์สถิตกับท่าน" (ข้อ 3) 26
4 แต่อยู่มาในคืนวันนั้นเอง พระวจนะของพระเจ้ามาถึงนาธันว่า
5 "จงไปบอกดาวิดผู้รับใช้ของเราว่า 'พระเจ้าตรัสดังนี้ว่า เจ้าจะ
สร้างนิเวศให้เราอยู่หรือ 6 เราไม่เคยอยู่ในนิเวศนับแต่วันที่เราพา คนอิสราเอลออกจากอียิปต์จนกระทั่งวันนี้ แต่เราก็ไปมากับเต็นท์
และกับพลับพลา 7 ในที่ต่างๆที่เราได้เคลื่อนไปมากับชนชาติ
อิสราเอลทั้งหมด เราได้เคยพูดสักคำกับผู้วินิจฉัยของอิสราเอล
คนใด ผู้ที่เราบัญชาให้เขาเลี้ยงดูอิสราเอลประชากรของ เราหรือว่า "ทำไมเจ้ามิได้สร้างนิเวศด้วยไม้สนสีดาร์ให้แก่เรา'"
ผมยังจำได้ เมื่อหลายปีมาแล้วผมช่วยทำงานในแผนกบริหารของวิทยาลัยเล็กๆแห่งหนึ่ง ที่จริงมันประกอบ ด้วยสองสถาบัน ส่วนหนึ่งเป็นตัววิทยาลัย และอีกส่วนเป็นโครงการการศึกษาพิเศษ สำหรับให้การศึกษากับ คนพิการเพื่อจะสามารถเข้าเรียนในระดับมหาวิทยาลัยได้ ผมไม่ได้อยู่ในส่วนของวิทยาลัย แต่อยู่ในโครงการ การศึกษาพิเศษ เมื่อทางวิทยาลัยต้องการอาจารย์สอน ผมคิดจะเสนอผู้สมัครบางคนให้ แต่ปัญหาคือ ท่าน อธิบการบดีของวิทยาลัยได้มีการเลือกเป็นการภายในไปแล้ว ผมทำในสิ่งที่ไม่ค่อยฉลาดนัก คือไปพูดกับท่าน ประธานของทั้งสองสถาบัน และทั้งสองสนับสนุนให้ผมไปเสนอความคิดนี้กับอธิการบดี นับเป็นความ ผิดพลาด คำตอบของท่านอธิการบดีเล่นเอาผมอึ้งไปเลย "นี่คุณบ็อบ" ท่านตอบอย่างดุเดือด "ใครบริหาร สถาบันนี้ คุณ หรือผม?" ตายหละ ผมทำอะไรไม่ถูก แต่อันที่จริงเขาก็พูดถูก มันเป็นความคิดของผม และเผอิญ ผมไม่ได้ เป็นผู้บริหารสถาบันนี้เสียด้วย
ผมว่านาธันคงเข้าใจความรู้สึกในตอนนั้นของผมได้ดี ในตอนดึก พระเจ้าทรงเผยกับนาธันอย่างตรงไปตรงมา และท่านต้องไปถ่ายทอดให้ดาวิดฟัง คือทำให้นาธันและดาวิดรู้ถึงสถานะของตนเอง เหมือนผม ดาวิดมีความ คิดที่น่าสนใจ แต่ไม่สอดคล้องกับแผนการของพระเจ้า คำถามที่พระเจ้าทรงถามดาวิดคงมีน้ำเสียงประมานว่า: "เจ้าน่ะหรือจะสร้างบ้านให้เราอยู่?" โอ้โฮ ผมชอบวิธีที่ยูจีน พีเตอร์สันพูดเรื่องนี้เอาไว้ :
"มีบางครั้งที่แผนการอันยิ่งใหญ่ของมนุษย์อย่างเรา ที่ต้องการทำถวายพระเจ้า เช้าวันรุ่งขึ้นหลังการอธิษฐาน กลับกลายเป็นตัวการขัดขวางแผนการที่พระเจ้า เตรียมไว้ให้เราไป นี่คือสิ่งที่นาธันตระหนักได้ในค่ำคืนนั้น : พระเจ้าสำแดงให้ นาธันเห็นว่า แผนการสร้างพระนิเวศน์ของดาวิดจะกลายเป็นตัวการขัดขวางแผน การของพระองค์ที่มีให้กับดาวิด"27
ก่อนที่เราจะเรียนต่อ ผมขอเวลาชี้แจงรายละเอียดที่สำคัญบางประการ สังเกตุดูว่า ข้อ 1, 2, และ 3 พูดถึง ดาวิดว่าเป็นพระราชา แต่เมื่อพระเจ้าตรัสถึงดาวิด พระองค์ทรงเรียกดาวิดว่าผู้รับใช้ของเรา (ข้อ 5) ผมคง กล้าพูดว่าดาวิดแทบไม่ทันจะตระหนักในตำแหน่งกษัตริย์ของตนเองสักเท่าไร แต่เมื่อเกี่ยวข้องกับประชากร ของอิสราเอล (และคนอื่นๆที่อยู่นอกประเทศ) ดาวิดอยู่ในตำแหน่งที่มีอำนาจสูงสุดในแผ่นดิน แต่เมื่อเกี่ยว ข้องกับพระเจ้า ดาวิดเป็นเพียงผู้รับใช้ ดาวิดอาศัยอยู่ในพระราชวัง และพระเจ้าสถิตที่ในเต็นท์ อย่างน้อยก็ใน ความคิดของดาวิด ดูเหมือนดาวิดต้องการช่วยเหลือพระเจ้า เหมือนผมแหละครับ ใส่ชุดทักซีโด้หรู เอาเช็ค ของขวัญยื่นให้เด็กในบ้านไปหาซื้อเสื้อผ้าดีๆมาใส่ คงเป็นเพราะเหตุผลนี้ ผมเชื่อว่าพระเจ้าจึงจับดาวิดให้อยู่ ในตำแหน่ง ในที่ในทาง ด้วยการพูดถึงพระราชาว่าเป็นเพียงผู้รับใช้ของพระองค์ และสองตรัสกับดาวิดว่า "เจ้าจะสร้างนิเวศน์ให้เราอยู่หรือ?
ให้เรามาดูรายละเอียดอื่นประกอบ สเตเฟนพูดถึงเรื่องคุณค่าของพระนิเวศน์ในพระธรรมกิจการบทที่ 7 :
44 "บรรพบุรุษของเราเมื่ออยู่ในถิ่นทุรกันดารก็มีเต็นท์แห่งสักขีพยานตามที่พระ องค์ทรงสั่งไว้ เมื่อตรัสกับโมเสสว่า ให้ทำเต็นท์ตามแบบที่ได้เห็น 45 ฝ่ายบรรพ บุรุษของเราเมื่อได้รับเต็นท์นั้นจึงขนตามโยชูวาไป เมื่อได้เข้ายึดแผ่นดินของ บรรดาประชาชาติ ซึ่งพระเจ้าได้ทรงขับไล่ไปให้พ้นหน้าบรรพบุรุษของเรา เต็นท์ นั้นก็สืบมาจนถึงสมัยกษัตริย์ดาวิด 46 "ดาวิดนั้นมีความชอบเฉพาะพระเจ้าและขอ พระอนุญาติที่จะหาพระนิเวศน์สำหรับพระเจ้าของยาโคบ 47 แต่ซาโลมอนเป็นผู้ ได้ทรงสร้างพระนิเวศน์สำหรับพระองค์ 48 ถึงกระนั้นก็ดีองค์ผู้สูงสุดหาได้ประทับ ในพระนิเวศน์ซึ่งมือมนุษย์ได้ทำไว้ไม่ ตามที่ผู้เผยพระวจนะได้กล่าวไว้ว่า : 49 'สวรรค์เป็นบัลลังก์ของเรา และแผ่นดินโลกเป็นแท่นรองเท้าของเรา เจ้าจะ สร้างนิเวศน์อะไรสำหรับเรา หรือที่พำนักของเราอยู่ที่ไหน ? 50 'สิ่งเหล่านี้ มือของเราได้ทำไว้ทั้งสิ้น มิใช่หรือ?”
(กิจการ 7:44-50)
สเทเฟนถูกนำไปต่อหน้าสภาแซนเฮดรินในข้อหากุเรื่องขึ้น หนึ่งในนั้นคือพูดจาหมิ่นประมาทพระวิหาร (กิจการ 6:13) สเทเฟนไม่ได้ปฏิเสธข้อกล่าวหาโดยพยานเท็จ ท่านกลับปกป้องด้วยการชี้ให้เห็นจากพระคัมภีร์เดิมว่า พระเจ้าไม่ได้ทรงโปรดปรานพระวิหารนี้เท่ากับที่พวกยิวเป็น ท่านกล่าวว่าพระเจ้าประทานพลับพลาให้กับ ชาว อิสราเอล แต่ความคิดเรื่องการสร้างพระวิหารเป็นของดาวิด ท่านกล่าวต่อไปว่าพระเจ้าผู้ทรงสร้างสรรพสิ่งทั้ง หลาย คงจะไม่ถูกจำกัดให้อยู่ในสถานที่ที่มนุษย์สร้างขึ้นด้วยมือ พูดอย่างสั้นๆก็คือ พระเจ้าไม่ได้ต้องการ พระวิหาร พระองค์ไม่ได้บอกว่าอยากได้ พระองค์อนุญาติให้บุตรของดาวิดสร้างพระวิหาร เพราะดาวิดต้องการ มันไม่ผิดหรอก ; เพียงแต่มันไม้ใช่เป็นความคิดของพระเจ้า พระเจ้าไม่ได้ต้องการพระวิหาร พระองค์ไม่จำเป็น ต้องใช้พระวิหาร เพราะสำหรับบางคน พระวิหารอาจสื่อความเข้าใจที่ไม่ถูกต้อง
2 ซามูเอลบทที่ 7 สอดคล้องกับข้อโต้แย้งของสเทเฟน ในข้อ 6-11ก พระเจ้าอธิบายให้ดาวิดเข้าใจว่าพระ องค์ไม่ได้ต้องการพระนิเวศน์ที่ดาวิดอยากสร้างถวาย เหตุผลแรกอยู่ในข้อ 6 รวบรวมสรุปเป็นคำพูดได้ว่า : "ถ้ามันยังไม่พัง ก็ไม่ต้องพยายามไปซ่อมมัน" คิดดูให้ดี ทำไมถึงอยากซื้อรถใหม่ถ้าคันเก่ายังใช้งานได้ ดี? เมื่อพระเจ้าประทานธรรมบัญญัติให้กับโมเสส พระองค์สั่งถึงวิธีการสร้างพลับพลา และตลอดมาใน ประวััติศาสตร์ของอิสราเอล จากภูเขาซีนายถึงการขึ้นครองของดาวิด พลับพลาทำหน้าที่ได้อย่างไม่มีที่ติ พระเจ้าสถิตอยู่กับประชากรของพระองค์เมื่อหีบพันธสัญญาตั้งอยู่ในพลับพลา และเมื่อประชาชนต้องอพยพ เดินทาง ทั้งพลับพลาและหีบพันธสัญญาก็เดินทางไปด้วย พระองค์ประทานชัยชนะให้เหนือศัตรู ให้เข้าครอบ ครองดินแดนพันธสัญญา ประวัติศาสตร์ของอิสราเอลเป็นสักขีพยานอย่างดีว่า ไม่มีสิ่งใดต้องแก้ใข พลับพลา ทำหน้าที่ได้อย่างยอดเยี่ยม; ดังนั้นถ้ามันยังไม่พัง ก็ไม่ต้องไปซ่อมแซมมัน
ในข้อ 7 พระเจ้าให้อีกเหตุผลหนึ่งว่าทำไมไม่มีความจำเป็นต้องสร้างพระวิหาร: "เราไม่ได้ขอให้สร้าง" ที่บนภูเขาซีนาย พระเจ้าประทานพระบัญญัติให้กับอิสราเอลโดยทางโมเสส และพระบัญญัตินี้ พระองค์ กำหนดวิธีการในการสร้างพลับพลา วิธีการเคลื่อนย้าย และการดูแลรักษา พระเจ้าสั่งอิสราเอลให้เป็นผู้สร้าง พลับพลา; พระองค์ไม่เคยพูดถึงพระวิหาร ถ้าพระองค์ต้องการพระวิหาร แน่นอนพระองค์ต้องตรัสถึง และ ในเมื่อพระองค์ไม่ได้ตรัสถึง เราต้องสรุปว่าไม่มีความจำเป็น
ในข้อ 8-11ก พระเจ้าเข้าถึงหัวใจของเรื่อง ผมต้องการให้เราสังเกตุดูสรรพนาม "เรา" ว่ามีอยู่กีครั้งในตอนนี้ พระธรรมตอนนี้ พระเจ้าเป็นศูนย์กลางอย่างชัดเจน ผมชอบวิธีการที่พีเตอร์สันพูดเรื่องนี้ :
คำพูดที่นาธันถ่ายทอดให้กับดาวิด เป็นการสาธยายถึงสิ่งที่พระเจ้าได้กระทำ กำลังกระทำ และจะกระทำ พระเจ้าทรงเป็นประธานของคำกิริยาทั้งยี่สิบสามคำ ที่ปรากฎอยู่ และคำกิริยานี้เป็นการกระทำทั้งสิ้น ดาวิดเต็มไปด้วยความต้องการ อยากทำถวายพระเจ้า กลับกลายเป็นกรรมในสิ่งที่พระเจ้าได้กระทำ กำลังกระทำ และจะทำให้กับ และในตัวดาวิด สิ่งที่วันวารดูเหมือนกิจการอันกล้าหาญของดาวิด ที่กระทำแทนพระเจ้า บัดนี้กลับดูเป็นเรื่องกระจ้อยร่อย ไร้ความสำคัญ 28
ดาวิดเสนอยื่นมือไปช่วยพระเจ้าด้วยการสร้างบ้านที่ดีกว่าให้กับพระองค์หรือ? พระเจ้าตักเตือนดาวิดว่า ใคร เป็นผู้ดูแลใครกันแน่ ดาวิดอยากจะทำการยิ่งใหญ่ถวายพระเจ้า เช่นสร้างพระนิเวศน์ให้พระองค์หรือ? ประวัติศาสตร์กำลังตักเตือนดาวิด (และเราทั้งหลาย) ว่าพระเจ้าเป็นผู้ช่วยเหลือเรา ไม่ใช่เราเป็นผู้ช่วยเหลือ พระเจ้า ดาวิด ผู้รับใช้พระเจ้า น่าจะจำได้ว่าพระองค์เป็นผู้นำท่านออกมาจากท้องทุ่ง จากการติดตาม (ไม่ใช่นำ) ฝูงแกะ และตั้งท่านให้ขึ้นครองเหนืออิสราเอล (ข้อ 8) พระเจ้าอยู่กับดาวิดตลอด ไม่ว่าท่านจะไป ที่ไหน และพระองค์เป็นผู้นำศัตรูมาอยู่ภายใต้เงื้อมมือของท่าน ทำให้ท่านเป็นผู้มีชื่อเสียง ได้รับการยกย่อง พระเจ้าทรงเป็นผู้ประทานความช่วยเหลือมนุษย์ หาใช่มนุษย์เป็นผู้ช่วยเหลือพระองค์ไม่
ข้อ 10 มีการเปลี่ยนแปลงคำกิริยาที่สำคัญ คำกิริยาก่อนหน้านั้นเป็นอดีต พูดถึงสิ่งที่พระเจ้าได้ทรงกระทำใน อดีต แต่พอมาถึงข้อ 10 คำกิริยากลายเป็นอนาคต หลังจากที่ได้ทรงชี้ให้ดาวิดเห็นว่าได้ทรงทำสิ่งใด เพื่อ ท่านและอิสราเอลมาบ้างในอดีต พระองค์กล่าวต่อไปทำนองว่า : "ดาวิดผู้รับใช้ของเรา เจ้ายังมองไม่ เห็นถึงสิ่งยิ่งใหญ่กว่า ที่กำลังจะตามมา" พระเจ้าทรงสัญญาจะกำหนดที่หนึ่งเพื่อปลูกฝังประชากรของ พระองค์ พวกเขาจะมีที่เป็นของตนเอง (เหมือนกับที่ดาวิดตั้งใจจะถวาย "ที่ส่วนพระองค์") ให้กับพระเจ้า พวก เขาจะอยู่อาศัยอย่างสงบสุข เพราะคนชั่วร้ายจะเข้าไปทำอันตรายไม่ได้ จะไม่เหมือนเดิมต่อไป ตั้งแต่เมื่อ ครั้งผู้วินิจฉัยจนถึงปัจจุบัน พระเจ้าจะให้ดาวิดพักจากการรบกับพวกศัตรู 29 ดาวิดยังคิดว่าจะทำอะไรถวาย พระองค์อีกหรือ? พระเจ้าเป็นผู้ประทานทุกสิ่งที่ดาวิดมี และพระเจ้าจะประทานเพิ่มเติมให้อีกมากมาย30
มีคำถามเกิดขึ้น : เมื่อไหร่ล่ะที่พันธสัญญานี้จะเป็นจริงสำหรับดาวิด? เป็นเรื่องชัดเจนว่ายังไม่เกิดขึ้น เป็นคำ พูดที่หมายถึงอนาคต บางคนคิดว่าคงจะเป็นจริงในอีกสามบทหน้า (8-10) เมื่อดาวิดมีชัยเหนือศัตรูรอบด้าน ผมคิดว่าเรายังไม่เห็น เมื่อดาวิดมีชัยเหนือศัตรูรอบด้านอิสราเอล ผมคิดว่าเราก็ยังไม่เห็นว่าเป็นจริง ไม่ว่าใน ชั่วชีวิตของดาวิด หรือแม้กระทั่งในชั่วชีวิตของซาโลมอนบุตรชาย ผมเชื่อว่าพระสัญญาให้ดาวิดนี้จะสำเร็จ เป็นจริง ก็ต่อเมื่ออาณาจักรของพระเจ้ามาถึง เมื่อพระเยซูคริสต์มีชัยเหนือศัตรู และจัดตั้งอาณาจักรของ พระองค์บนโลกสำเร็จลง คงจะเป็นเวลาเดีียวกับที่พูดถึงอยู่ในอิสยาห์บทสุดท้าย พระสัญญานี้มอบให้กับ ดาวิดเพื่อเป็นการปูทางสำหรับพระสัญญาที่พระเจ้ากำลังจะทำให้ดาวิด ในข้อต่อไปนี้ คือพระสัญญาที่ จะสร้าง "ราชวงศ์" ให้กับท่าน
11.พระเจ้าตรัสแก่เจ้าว่า พระเจ้าจะทรงให้เจ้ามีราชวงศ์
12 เมื่อวันของเจ้าครบแล้ว และเจ้านอนพักอยู่กับบรรพบุรุษของ
เจ้า เราจะให้บุตรชายคนหนึ่งของเจ้าเกิดขึ้นสืบต่อจากเจ้าผู้ซึ่ง
เกิดมาจากตัวเจ้าเองและ เราจะสถาปนาอาณาจักรของเขา
13 เขาจะเป็นผู้สร้างนิเวศเพื่อนามของเราและเราจะสถาปนา บัลลังก์แห่งราชอาณาจักรของเขาให้อยู่เป็นนิตย์ 14 เราจะเป็น
บิดาของเขา และเขาจะเป็นบุตรของเรา ถ้าเขากระทำผิด เรา จะตีสอนเขาด้วยไม้เรียวของมนุษย์ ด้วยการเฆี่ยนแห่งบุตรมนุษย์
ทั้งหลาย 15 แต่ความรักมั่นคงของเราจะไม่พรากไปจาก เขาเสีย ดังที่เราพรากไปจากซาอูล ซึ่งเราได้ถอดเสียให้พ้นหน้าเจ้า 16 ราชวงศ์ของเจ้าและอาณาจักรของเจ้าจะดำรงอยู่ต่อหน้าเจ้าอย่าง
มั่นคงเป็นนิตย์ และบัลลังก์ของเจ้าจะถูกสถาปนาไว้เป็นนิตย์'"
17 นาธันก็กราบทูลดาวิดตามถ้อยคำเหล่านี้ทั้งสิ้น และตามนิมิตนี้
ทั้งหมด
เรื่องราวของตอนนี้เริ่มต้นที่ดาวิดดำริจะสร้างบ้าน (พระนิเวศน์) ให้พระเจ้า พระเจ้าตำหนิดาวิดอย่างนุ่มๆ ใน แผนการที่ท่านมุ่งจะทำ ดาวิดยืนไม่ถูกที่ พยายามหยิบยื่นความช่วยเหลือให้กับพระเจ้า ทั้งๆที่ตลอดมา พระ เจ้าต่างหากทีเป็นผู้่หยิบยื่นความช่วยเหลือให้ พระเจ้าทรงดูแลช่วยเหลือประชากรของพระองค์เป็นอย่างดี การสถิตอยู่ด้วยของพระองค์เกี่ยวข้องกับพลับพลาและหีบพันธสัญญา พระเจ้าไม่ได้ต้องการพระวิหาร เพราะ พระองค์ไม่จำเป็นต้องใช้ พระองค์อยู่เบื้องหลังความสำเร็จทั้งสิ้นของดาวิด และบัดนี้ พระองค์สัญญาจะทำ สิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่า พระองค์กำลังตรัสถึงเรื่อง "บ้าน" ดาวิดคิดจะปลูกบ้านให้พระเจ้าหรือ? ท่านจะไม่ได้ทำ แต่บุตรของท่านจะเป็นผู้ทำ บัดนี้พระเจ้าทรงประกาศกับดาวิดว่าพระองค์จะทรงสร้าง "บ้านเรือน" ให้กับ ท่าน รายละเอียดเรื่อง "บ้านเรือน" นี้อยู่ในข้อ 12-17
คำพยากรณ์นี้ เหมือนกับอีกหลายคำพยากรณ์ คือสำเร็จลงในเวลาอันใกล้และในอนาคตอีกยาวไกล ในเวลา อันใกล้คือซาโลมอน บุตรคนที่สองที่เกิดกับนางบัทเชบา บุตรคนนี้จะขึ้นครองอิสราเอลแทนหลังจากดาวิด สิ้นชีวิต เรารู้ว่าที่นาธันพูดนั้นหมายถึงซาโลมอน เพราะมีคำว่า "บุตรชายคนหนึ่ง" ของดาวิด ถ้าเขากระทำ ผิด พระองค์จะตีสอนเขา ซึ่งแน่นอนไม่ใช่พระเมสซิยาห์บุตรดาวิด ผู้จะมาแบกรับความผิดบาปไปจากโลกนี้ และครองบนบัลลังก์ของดาวิดผู้เป็นบรรพบุรุษแน่ ต่างจากซาอูลที่ราชวงศ์ถูกตัดออกไป "ครอบครัว์" ของดาวิด (ลูกหลานของท่าน) จะเป็นราชวงศ์ที่ขึ้นมาครอบครองอาณาจักรอิสราเอลแทน
ลูกหลานของดาวิด — "ราชวงศ์" ของท่าน — จะมีโอกาสชื่นชมยินดีในสัมพันธภาพและสิทธิพิเศษด้วยกัน กับพระเจ้า เป็นเหมือนสัมพันธภาพระหว่างบิดา/บุตร หรือผมควรใช้คำว่าเป็นความสัมพันธ์แบบพ่อกับลูกดี ในพระคัมภีร์ การเป็น "บุตร" บางครั้งมีความหมายมากกว่าบุตรที่สืบทอดตามสายโลหิต คำว่า "บุตร" อาจ ใช้หมายถึงผู้ที่จะขึ้นมาปกครองหรือสืบทอดตำแหน่งแทน (ผู้เป็นบิดา) อาดัมเป็น "บุตรของพระเจ้า" ในแง่ ที่ท่านครอบครองสรรพสิ่งที่พระเจ้าทรงสร้างในฐานะผู้ดูแล (ดูลูกา 3:38) ซาตานและทูตสวรรค์ก็ถูกเรียก ว่าเป็น "บุตร" ของพระเจ้าในแง่เดียวกัน และซาโลมอน (ลูกของดาวิด) ถูกพูดถึงในแง่ที่จะได้รับการดูแล จากพระเจ้าเช่นเดียวกับที่บิดาดูแลบุตร
เมื่อเป็นเช่นนี้ การเป็นบุตรไม่ใช่เป็นเพราะเกิดเป็น "บุตร" อย่างเดียว ; การที่กษัตรยิ์เป็น "บุตร" ของพระเจ้า ก็เพราะพระเจ้าเป็นผู้แต่งตั้งให้ขึ้นนั่งบนบัลลังก์ :
4 พระองค์ผู้ประทับในสวรรค์ ทรงพระสรวล พระเจ้าทรงเย้ยหยันเขาเหล่านั้น
5 แล้วพระองค์ตรัสกับเขาทั้งหลายด้วยพระพิโรธ และกระทำให้เขาสยดสยอง ด้วยความกริ้วของพระองค์ ตรัสว่า 6 "เราได้ตั้งกษัตริย์ของเราไว้แล้ว บนศิโยน ภูเขาศักดิ์สิทธิ์ของเรา" 7 ข้าพเจ้าจะบอกถึงพระดำรัสของพระเจ้า พระองค์รับ
สั่งกับข้าพเจ้าว่า "เจ้าเป็นบุตรของเรา วันนี้เราได้ให้กำเนิดแก่เจ้าแล้ว 8 จงขอ
จากเราเถิด และเราจะมอบบรรดาประชาชาติให้เป็นมรดกของเจ้า ตลอดทั้ง แผ่นดินโลกให้เป็นกรรมสิทธิ์ของเจ้า 9 เจ้าจะตีเขาให้แตกด้วยกระบองเหล็ก และฟาดให้แหลกเป็นชิ้นๆ
(สดุดี 2:4-9)
นี่เป็นถ้อยคำเดียวกับที่พระเจ้าตรัสแก่องค์พระเยซูคริสต์เมื่อรับบัพติสมา พระองค์ตรัสว่า "บุตร" ของเรา (มัทธิว 3:17; มาระโก 1:11; ลูกา 3:22) และเมื่อพระองค์จำแลงพระกาย (มัทธิว 17:5; มาระโก 9:7; ลูกา 9:35) เปโตรนำคำนี้มากล่าวเชื่อมโยงเข้ากับการจำแลงพระกาย (2 เปโตร 1:17) ผู้เขียนพระธรรมฮีบรูนำคำ พูดนี้มาใช้เพื่อแสดงให้เห็นว่าพระเยซูคือพระเมสซิยาห์ที่ได้ทรงสัญญาไว้ (1:5; 5:5) ใน 5:5, ผู้เขียนฮีบรู เจาะจงนำ 2ซามูเอล 7:14 มาใช้ว่าคำพยากรณ์สำเร็จเป็นจริงแล้วโดยพระเยซูคริสต์ ในกิจการ 13:33 อ.เปาโลนำข้อพระคำจาก สดุดี 2 มากล่าวว่าเป็นจริงแล้วในพระคริสต์ โดยเฉพาะเรื่องที่พระองค์ทรงเป็นขึ้น มาจากความตาย
คำว่า "บุตร" หรือ "บุตรทั้งหลาย" ถูกนำมาใช้กับบรรดาผู้ที่มามีความเชื่อในพระเยซูคริสต์ ได้รับความรอด โดยความเชื่อ เมื่อเราได้รับความรอดโดยความเชื่อ เราก็เป็น "บุตร" ของพระเจ้า คำว่า "บุตร" ไม่ได้มีความ หมายแค่เป็น "ลูก" ของพระเจ้าเท่านั้น แต่เป็นผู้ที่จะได้ครองร่วมกับพระองค์ :
18เพราะข้าพเจ้าเห็นว่าความทุกข์ลำบากแห่งสมัยปัจจุบัน ไม่สมควรที่จะเอา
ไปเปรียบกับศักดิ์ศรี ซึ่งจะเผยให้แก่เราทั้งหลาย 19 ด้วยว่าสรรพสิ่งที่ทรง
สร้างแล้ว มีความเพียรคอยท่าปรารถนาให้บุตรทั้งหลายของพระเจ้าปรากฏ
20 เพราะว่าสรรพสิ่งเหล่านั้นต้องเข้าอยู่ในอำนาจของอนิจจัง ไม่ใช่ตามใจ
ชอบของตนเอง แต่เป็นไปตามที่พระเจ้าได้ทรงให้เข้าอยู่นั้น 21 ด้วยมีความ
หวังใจว่า สรรพสิ่งเหล่านั้นจะได้รอดจากอำนาจแห่งความเสื่อมสลาย และจะ เข้าในเสรีภาพและศักดิ์ศรีแห่งบุตรทั้งหลายของพระเจ้า 22 เรารู้อยู่ว่าบรรดา สรรพสิ่งที่ทรงสร้างนั้นกำลังคร่ำครวญ และผจญความทุกข์ยากด้วยกันมาจน
ทุกวันนี้ 23 และไม่ใช่เท่านั้น แต่เราทั้งหลายเองด้วย ผู้ได้รับพระวิญญาณ
เป็นผลแรก ตัวเราเองก็ยังคร่ำครวญคอยการที่พระเจ้าทรงให้เป็นบุตร คือที่ จะทรงให้กายของเราทั้งหลายรอดตาย
(โรม 8:18-23).
เมื่อพระคริสต์เสด็จกลับมาอีกครั้ง เราจะถูกชุบขึ้นมาจากความตาย เราจะเป็นบุตรเหมือนพระเยซูคริสต์ และจะครองร่วมกับพระองค์ชั่วนิรันดร์
ดาวิดจะมีบุตร และบุตรเหล่านี้จะเป็น "บุตร" ของพระเจ้า พวกเขาจะปกครองอิสราเอล แต่วันหนึ่งข้างหน้า จะมี "บุตร" ที่พิเศษยิ่ง และโดยทางผู้นี้ พระสัญญาทั้งสิ้นที่พระเจ้าได้สัญญาไว้ ไม่ว่าจะที่นี่หรือที่อื่นใด (เกี่ยวกับอาณาจักรของพระองค์) จะสำเร็จลง ไม่ว่าจะเป็นการเสด็จมาครั้งแรก หรือการกลับมาครั้งที่สองก็ตาม ดาวิด จะมีบุตรหลานหลายคน ที่จะสืบทอดการปกครอง และบุตรหลานเหล่านี้จะเป็น "บุตร" ของพระเจ้า แต่ พระสัญญาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคือ "บุตร" พิเศษผู้นี้จะมาจากราชวงศ์ของดาวิด และอาณาจักรของท่านจะยั่งยืนเป็น นิตย์ ใน "บุตร" ผู้นี้ ความหวังทั้งหมดของดาวิด ของอิสราเอล และความหวังทั้งสิ้นของพวกเราจะเป็นจริง นี่คือหัวใจของพันธสัญญาดาวิด พระเจ้าจะประทานบุตรให้กับดาวิด ผู้จะมาปกครองแทนที่ท่าน แต่พระสัญญา ของพระเจ้าจะสำเร็จลง และจะสำเร็จลงอย่างสมบูรณ์ที่สุดใน "บุตร" องค์พิเศษสุดที่จะเสด็จกลับมา
คำที่ผู้เผยพระวจนะนาธันกล่าว เป็นถ้อยคำของพระเจ้า มอบให้นาธันในนิมิต ทำให้เกิดการกลับไป "ทบทวน" ดูใหม่ ในแผนการที่ท่านเห็นชอบให้ดาวิดสร้างพระนิเวศน์ถวายพระเจ้า นี่คือสิ่งที่พระเจ้าตรัสกับดาวิดโดยทาง นาธัน นี่เป็นถ้อยคำของพระเจ้าแน่นอน
18 แล้วพระราชาดาวิดจึงเสด็จเข้าไปเฝ้าพระเจ้า และกราบทูลว่า "ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์เป็นผู้ใดเล่าและพงศ์พันธุ์ของข้าพระองค์เป็นผู้ใด พระองค์จึงทรงนำข้า พระองค์มาไกลถึงแค่นี้ 19 ข้าแต่พระเจ้า แต่นี่ก็เป็นสิ่งเล็กน้อยในสายพระเนตรของ
พระองค์ และพระองค์ทรงลั่นพระวาจาถึงราชวงศ์ของข้าพระองค์ ในอนาคตอันไกล
นั้น ข้าแต่พระเจ้า และทั้งนี้ตามวิสัยของมนุษย์ 20 ดาวิดจะกราบทูลประการใดอีก ต่อพระองค์ได้เล่า ข้าแต่พระเจ้า พระองค์ทรงรู้จักผู้รับใช้ของพระองค์ 21 ที่พระองค์ ทรงกระทำสิ่งใหญ่โตนี้ทั้งสิ้น เพื่อให้ผู้รับใช้ของพระองค์ทราบก็เพราะพระสัญญา
ของพระองค์ และตามชอบพระทัยของพระองค์ 22 ข้าแต่พระเจ้า ฉะนั้นพระองค์
ทรงยิ่งใหญ่ ไม่มีใดๆเหมือนพระองค์ ไม่มีพระเจ้านอกเหนือพระองค์ ตามที่หูของ ข้าพระองค์ทั้งหลายได้ยินมา 23 ประชากรในโลกนี้จะเหมือนอิสราเอลประชากรของ
พระองค์ ซึ่งพระเจ้าเสด็จไปทรงไถ่มาให้เป็นประชากรของพระองค์ กระทำให้พระนาม ของพระองค์มีเกียรติ และทรงกระทำสิ่งที่ใหญ่เพื่อเจ้าทั้งหลาย และทรงกระทำสิ่งน่า
สะพรึงกลัว เพื่อแผ่นดินของพระองค์ ต่อหน้าประชากรของพระองค์ คือชนชาติซึ่ง พระองค์ทรงไถ่ออกจากอียิปต์ เพื่อพระองค์จากบรรดาประชาชาติ และบรรดาพระเจ้า
ของเขา 24 และพระองค์ทรงสถาปนาอิสราเอล ประชากรของพระองค์ไว้ ให้เป็น ประชากรเพื่อพระองค์เองเป็นนิตย์ ข้าแต่พระเจ้า พระองค์ก็ทรงเป็นพระเจ้าของเขา
ทั้งหลาย 25 ข้าแต่พระเจ้า พระวาทะซึ่งพระองค์ทรงลั่นออกมาเกี่ยวกับผู้รับใช้ของ
พระองค์ และเกี่ยวกับราชวงศ์ของเขา ขอทรงดำรงซึ่งพระวาทะนั้นให้ถาวรเป็นนิตย์ และทรงกระทำดังที่พระองค์ทรงลั่นพระวาจาไว้ 26 ขอพระนามของพระองค์เป็นที่ สรรเสริญอยู่เป็นนิตย์ว่า 'พระเจ้าจอมโยธาทรงเป็นพระเจ้าเหนืออิสราเอล' และ ราชวงศ์ดาวิดผู้รับใช้ของพระองค์จะดำรง อยู่ต่อพระพักตร์พระองค์ 27 ข้าแต่พระเจ้า จอมโยธาพระเจ้าของอิสราเอล เพราะว่าพระองค์ได้ทรงสำแดงแก่ผู้รับใช้ของพระองค์
ว่า 'เราจะสร้างราชวงศ์ให้เจ้า' เพราะฉะนั้น ผู้รับใช้ของพระองค์จึงกล้าหาญที่จะวิงวอน
ด้วยคำอธิษฐานนี้ต่อพระองค์ 28 ข้าแต่พระเจ้า พระองค์ทรงเป็นพระเจ้า และบรรดา พระวาทะของพระองค์เป็นความจริง และพระองค์ทรงสัญญาจะพระราชทานสิ่งดีนี้แก่ ผู้รับใช้ของพระองค์ 29 เพราะฉะนั้น บัดนี้ขอโปรดให้เป็นที่พอพระทัยพระองค์ที่ จะ อำนวยพระพรแก่ราชวงศ์ผู้รับใช้ของพระองค์ เพื่อให้ดำรงอยู่ต่อพระพักตร์พระองค์
เป็นนิตย์ ข้าแต่พระเจ้า พระองค์ทรงลั่นพระวาจาเช่นนั้นแล้ว และด้วยพระพรของ
พระองค์ก็ขอ ให้ราชวงศ์ผู้รับใช้ของพระองค์ได้อยู่เย็นเป็นสุขเป็นนิตย์"
ให้เรามาดูหลักสำคัญๆของพระธรรมตอนนี้ สองข้อพูดถึงความปรารถนาที่ดาวิดต้องการสร้างพระนิเวศน์ถวาย แด่พระเจ้า (1 และ 2) หนึ่งข้อเป็นความเห็นชอบด้วยของนาธัน (3) ส่วนข้อ 4-17 เป็นเรื่องนิมิตที่นาธันได้รับ และนำมาถ่ายทอดให้ดาวิดฟัง (รวม 14 ข้อ) ที่เหลือ 12 ข้อเป็นคำพูดที่ดาวิดตอบสนองต่อการสำแดงของ พระเจ้า ดาวิดมี "บ้าน" ของตนเองเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ท่านพยายามมองตามมุมมองของพระเจ้า ตอนจบ ของบทที่ 7 เป็นการที่ท่านตอบสนองต่อพันธสัญญาดาวิด ผมขอยืนยันว่าเป็นรูปแบบที่ดีให้กับการนมัสการ ของเราด้วย
ข้อ 18-21 เป็นการสำนึกและแสดงความถ่อมใจของดาวิด ที่ท่านได้หลงลืมตนไป นี่คือบุคคลิคภาพที่ควรมีอยู่ ในชีวิตคริสเตียนทุกคน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการนมัสการ ตอนต้นของบทที่ 7 ดาวิดออกจะเป็นตัวของตัวเอง มากไปหน่อย ท่านถูกเรียกว่า "พระราชา" ในสามข้อแรก ในข้อ 18 พูดว่า "พระราชาดาวิด" แต่เพื่อจะเน้น ให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงในความคิดของท่านนับแต่ตอนต้น เราไม่พบคำนี้อีกเลยจนจบบท
ดาวิดหลงไหลในตำแหน่งและอำนาจของท่านหรือเปล่า หรือกับการเป็นกษัตริย์? หรือดาวิดมัวแต่คิดว่าท่าน จะทำอะไรให้พระเจ้าได้ มากกว่าคิดว่าพระเจ้าจะทำ หรือได้เคยทำสิ่งใดให้ท่าน? ตอนนี้ท่านก็รู้แล้ว อย่างน้อย ก็ในขณะนี้ แทนที่จะพบคำว่า "พระราชา" สามครั้งในข้อ 18-21 เรากลับพบคำว่า "ผู้รับใช้" แทน ประหลาด ใจไหมครับ? เป็นคำเดียวกับที่พระเจ้าเรียกดาวิดในข้อ 5 ดาวิดรู้สึกยำเกรงต่อข้อเท็จจริงที่พระเจ้าชี้ให้เห็น ท่านเป็นเพียงคนธรรมดา ไม่มีฐานะหรือตำแหน่งใดๆ แต่พระองค์ตั้งท่านขึ้นเป็นกษัตริย์อิสราเอล นี่คือสิ่งที่ พระเจ้าเตือนดาวิดผ่านทางนาธันผู้เผยพระวจนะ (ดูข้อ 8 และ 9) ดาวิดสำนึกได้ถึงฐานะของท่านในตำแหน่ง กษัตริย์ของอิสราเอล ซึ่งได้รับมาโดยพระคุณ ไม่ใช่เพราะพระเจ้าเห็นความยิ่งใหญ่ของท่าน เป็นเรื่องน่าทึ่ง ที่เห็นว่าความยโส ความหยิ่งในศักดิ์ศรีสามารถบิดเบือนความคิดเราได้ ไม่ต้องสงสัยหรอกครับ ความถ่อมใจ เป็นบ่อเกิดของสติปัญญา ของเกียรติยศ (สุภาษิต 11:2; 15:33; 18:12; 22:4; 29:13).
ดาวิดเริ่มหาจุดยืนที่ถูกต้องให้กับตนเองได้แล้ว ท่านมองเห็นตนเองในสายพระเนตรพระเจ้า ท่านมองเห็นความ อ่อนแอเปราะบาง ความต่ำต้อยของตนเอง เมื่อท่านเกิดความยำเกรงขึ้นมา ท่านเริ่มไม่แน่ใจว่าทำไมพระเจ้า เลือกท่าน ท่านไม่ได้หลงไหลไปกับอำนาจของกษัตริย์อิสราเอล แต่ด้วยความถ่อมใจท่านสำนึกได้ว่าเป็นเพียง ผู้รับใช้ของพระเจ้า ดังนั้นในข้อ 22-24 ดาวิดจึงโมทนาสรรเสริญพระเจ้า ในความเป็นพระองค์ ในพระราชกิจ อันประเสริฐที่พระองค์ทรงกระทำเพื่ออิสราเอลและดาวิด ข้อ 22 พูดถึงพระลักษณะของพระเจ้าที่ทรงเปิดเผย ให้กับอิสราเอลในอดีตที่ผ่านมา พระเจ้าผู้เดียวเท่านั้น ไม่มีผู้อื่น ไม่มีอื่นใด มีพระเจ้าเพียงองค์เดียวเท่านั้น ที่เป็นเช่นนี้ พระองค์ยิ่งใหญ่และเป็นพระเจ้าที่เราต้องยำเกรง สิ่งนี้สอดคล้องกับที่พวกเขาได้ยินมาเกี่ยวกับ พระองค์ และจากพระองค์
พระเจ้าทรงทำสิ่งยิ่งใหญ่ให้กับดาวิด แต่ไม่ได้ทำเพื่อดาวิด พระองค์ทรงทำการในดาวิด โดยทางดาวิด เพื่อให้พระสัญญาของพระองค์ที่มีต่ออิสราเอลเสร็จสมบูรณ์ลง ข้อ 23 และ 24 เป็นความยิ่งใหญ่ของ พระเจ้า ที่ทรงเปิดเผยการกระทำของพระองค์ ที่มีต่อประชากรอิสราเอล พระคำด้านล่างนี้ฟังดูคล้ายถ้อย คำที่พระเจ้าตรัสกับโมเสสในเฉลยธรรมบัญญัติ :
7 เพราะมีประชาชาติใหญ่ชาติใดเล่าซึ่งมีพระเจ้าอยู่ใกล้ตน อย่างกับพระเยโฮวาห์ พระเจ้าของพวกเราทรงอยู่ใกล้เรา ในเมื่อเราร้องทูลต่อพระองค์ 8 และมีประชาชาติ
ใหญ่ชาติใดเล่า ซึ่งมีกฎเกณฑ์และกฎหมายอันชอบธรรมอย่างกับ ธรรมบัญญัตินี้ ซึ่งข้าพเจ้าได้ตั้งไว้ต่อหน้าท่านทั้งหลายในวันนี้ … 32 "เพราะบัดนี้จงถามดูเถอะ ว่าในกาลวันที่ล่วงมาแล้วนั้น คือวันที่อยู่ก่อนท่านทั้งหลาย ตั้งแต่วันที่พระเจ้าทรง
สร้าง มนุษย์ไว้บนโลก และถามดูจากฟ้าข้างนี้ถึงฟ้าข้างโน้นว่า เคยมีเรื่องใหญ่โต อย่างนี้เกิดขึ้นบ้างหรือ หรือเคยได้ยินถึงเรื่องอย่างนี้บ้างหรือ 33 มีชนชาติใดได้ยิน
พระสุรเสียงของพระเจ้าตรัสออกมาจากกลางเพลิง ดังที่ท่านได้ยินและยังมีชีวิตอยู่ได้
34 หรือมีพระเจ้าองค์ใดได้ทรงเพียรพยายามไปนำประชาชาติ หนึ่งจากท่ามกลางอีก ประชาชาติหนึ่งด้วยการลองใจ ด้วยการทำหมายสำคัญ ด้วยการอัศจรรย์ ด้วยการ
สงคราม ด้วยพระหัตถ์ทรงฤทธิ์และด้วยพระกรที่ทรงเหยียดออกและ ด้วยเหตุน่ากลัวยิ่ง ตามซึ่งพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านทั้งหลายทรงกระทำ เพื่อท่านในอียิปต์ต่อหน้า
ต่อตาท่าน 35 ที่ได้ทรงสำแดงแก่ท่านทั้งหลาย นั้นก็เพื่อท่านจะได้ทราบว่า พระเยโฮ
วาห์ ทรงเป็นพระเจ้า นอกจากพระองค์แล้ว ไม่มีพระเจ้าอื่นใดอีกเลย 36 พระองค์ทรง โปรดให้พวกท่านได้ยินพระสุรเสียงของพระองค์จากฟ้า เพื่อว่าท่านจะอยู่ในวินัยปกครอง พระองค์ทรงโปรดให้ท่านเห็นเพลิงใหญ่ของพระองค์ในโลก และพวกท่านได้ยินพระวจนะ ของพระองค์จากกองเพลิง 37 และเพราะพระองค์ทรงรักบรรพบุรุษของพวกท่าน และทรง เลือกพงศ์พันธุ์ของเขาทั้งหลาย และทรงพาท่านออกจากอียิปต์ด้วยพระองค์เอง ด้วย เดชานุภาพยิ่งใหญ่ของพระองค์ 38 ทรงขับไล่ประชาชาติที่ใหญ่กว่า และมีกำลังมากกว่า
พวกท่าน เสียให้พ้นหน้าท่านและนำท่านเข้ามา และทรงประทานแผ่นดินของเขาให้ แก่ท่านเป็นมรดกดังทุกวันนี้
(เฉลยธรรมบัญญัติ 4:7-8, 32-38)
ดาวิดมองเห็นตนเองเหมือนกับที่อิสราเอลควรมองเห็นตนเอง ไม่ใช่เป็นเพราะความยิ่งใหญ่ ไม่ใช่เพราะ ขนาดของประเทศ ไม่ใช่เป็นเพราะคุณงามความดีใดๆ ที่พระเจ้าเลือกที่จะอำนวยพระพรให้ แต่เป็นเพราะ พระคุณทั้งสิ้น ไม่ใช่เพราะผลงานหรือการกระทำดีใดๆ :
10 เมื่อพระเยโฮวาห์พระเจ้าของพวกท่านจะ พาท่านมาถึงแผ่นดินซึ่ง พระองค์ทรงปฏิญาณไว้กับบรรพบุรุษของท่าน คือแก่อับราฮัม อิสอัค
และยาโคบ ว่าจะให้แก่ท่านมีหัวเมืองใหญ่โตและดีซึ่งท่านไม่ได้สร้าง
11 และเรือนที่มีของดีเต็ม ซึ่งพวกท่านมิได้สะสมไว้ และบ่อขังน้ำที่
ท่าน มิได้ขุดและสวนองุ่นกับสวนมะกอกเทศ ซึ่งท่านมิได้ปลูกไว้ และ เมื่อท่านได้รับประทานก็อิ่มหนำ 12 แล้วจงระวังกลัวว่าพวกท่านจะลืม
พระเยโฮวาห์ผู้ทรง พาท่านออกจากแผ่นดินอียิปต์ออกจากแดนทาสนั้น
13 พวกท่านจงยำเกรงพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่าน ท่านจงปรนนิบัติ
พระองค์ และสาบานโดยออกพระนามของพระองค์
(เฉลยธรรมบัญญัติ 6:10-13)
10 ท่านจะได้รับประทานอิ่มหนำ และท่านจะสรรเสริญพระเยโฮวาห์
พระเจ้าของพวกท่าน ในเรื่องแผ่นดินอันดีซึ่งพระองค์ประทานแก่ท่าน
นั้น 11 "ท่านทั้งหลายจงระวังตัวอย่าลืมพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่าน ด้วยไม่รักษาพระบัญญัติและกฎหมายและกฎเกณฑ์ของพระองค์ ซึ่ง ข้าพเจ้าได้บัญชาท่านในวันนี้ 12 เกรงว่า เมื่อท่านได้รับประทานอิ่มหนำ ได้สร้างบ้านเรือนดีๆ และได้อาศัยอยู่ในนั้น 13 และเมื่อฝูงวัวและฝูงแพะ
แกะของท่านทวีขึ้น มีเงินทองมากขึ้น และบรรดาซึ่งท่านมีอยู่ก็ทวีขึ้น
14 จิตใจของท่านทั้งหลายจะผยองขึ้น และท่านทั้งหลายก็ลืมพระเยโฮวาห์ พระเจ้าของท่านทั้งหลายผู้ทรงนำท่านทั้งหลายออกจากแผ่นดินอียิปต์
ออกจากแดนทาส 15 ผู้ทรงนำท่านมาตลอดถิ่นทุรกันดารใหญ่น่ากลัว ซึ่งมีงูแมวเซาและแมงป่อง และดินแห้งแล้งไม่มีน้ำ ผู้ทรงประทานน้ำ จากหินแข็งให้แก่ท่าน 16 ผู้ทรงเลี้ยงท่านทั้งหลายด้วยมานาในถิ่นทุร
กันดาร ซึ่งปู่ย่าตายายของท่านไม่ทราบ เพื่อว่าพระองค์จะทรงกระทำ ให้ท่านถ่อมใจและทดลองท่าน เพื่อกระทำให้เกิดประโยชน์แก่ท่านในบั้น
ปลาย 17 จงระวังให้ดีเกรงว่าท่านจะนึกในใจว่า 'กำลังและเรี่ยวแรงของ ข้านำทรัพย์มีค่านี้มาให้' 18 ท่านทั้งหลายจงจำพระเยโฮวาห์พระเจ้าของ
ท่านทั้งหลาย เพราะว่าพระองค์ทรงเป็นผู้ให้กำลังแก่ท่านที่จะได้ทรัพย์
สมบัตินี้ เพื่อว่าพระองค์จะทรงดำรงพันธสัญญาซึ่งพระองค์ทรง กระทำ โดยปฏิญาณต่อบรรพบุรุษของท่าน ดังวันนี้
(เฉลยธรรมบัญญัติ 8:10-18)
ดาวิดเองตกลงไปในหลุมพรางเดียวกับที่พระเจ้าเคยเตือนคนอิสราเอลให้หลีกเลี่ยง ท่านเริ่มผยองขึ้นในสิ่ง ที่พระเจ้าเป็นผู้กระทำให้ ท่านเริ่มคิดว่าพระเจ้าต้องพึ่งพาท่าน แทนที่จะนมัสการพระองค์ในฐานะพระผู้สร้าง เมื่อดาวิดเห็นชีวิตในมุมมองของพระเจ้า ท่านเห็นชีวิตชัดเจนขึ้น อย่างที่ควรเป็น ท่านเห็นชีวิตอย่างเดียวกับ ที่อิสราเอลควรเห็น ตอนนี้ความคิดของท่านเริ่มกระจ่าง เมื่อเป็นดังนี้ ท่านจึงตระหนักว่าทั้งตัวท่านและ อิสราเอลนั้น ยิ่งใหญ่ขึ้นมาได้เพราะพระคุณพระเจ้า ไม่มีสิ่งอื่นใดอีกแล้ว ดาวิดจึงถ่อมใจลงสรรเสริญพระองค์
ข้อ 8-10 พระเจ้าเตือนให้ดาวิดคิดถึงพระพรในอดีต ข้อ 10-16 พระเจ้าสัญญาจะอำนวยพระพรที่ยิ่งใหญ่กว่า ให้ดาิวิดและประเทศอิสราเอล ข้อ 22-24 ดาวิดสรรเสริญพระเจ้าสำหรับพระคุณในอดีต ต่อมาในข้อ 25-29 ท่านวิงวอนขอให้พระเจ้าทำตามพระสัญญา ท่านสรรเสริญนมัสการพระองค์ในสิ่งที่พระองค์ได้กระทำ และสิ่ง ที่พระองคค์จะทรงกระทำ ดาวิดยึดตามพระสัญญาที่พระเจ้าพึ่งจะประทานให้ในพันธสัญญาดาวิด และทูลวิง วอนตามนั้น รวมความก็คือ ดาิวิดอธิษฐานสำหรับสิ่งที่พระเจ้าทรงสัญญา
ดาวิดไม่เพียงแต่ทบทวนพันธสัญญานี้กับพระเจ้า ท่านกำลังนำพระสัญญาและคำพยากรณ์นี้มาให้ปรากฎชัดใน สายตา ดาวิดผิดที่คิดแต่เรื่องความสำเร็จ พระเจ้าทรงเตือนท่านว่า ความสำเร็จของท่านที่เห็นอยู่นั้น ที่จริงคือ ของประทานล้ำค่าจากพระหัตถ์พระเจ้า (ดูข้อ 8-9) และของประทานที่พระเจ้าสัญญาจะมอบให้ในอนาคตนั้น ล้ำค่ายิ่งกว่า (ดูข้อ 10-16) พระองค์จึงสมควรแก่การสรรเสริญ และดาวิดร้องทูลวิงวอนให้พระองค์ทำตามพระ สัญญา ไม่เพียงดาวิดจะได้เป็นผู้มีชื่อเสียงเท่านั้น แต่พระนามพระเจ้าจะได้รับพระเกียรติ (ข้อ 26)
โดยทางนาธัน พระเจ้าตำหนิดาวิดอย่างนุ่มๆในความยโสของท่าน ที่คิดว่าท่านสามารถสร้างที่อยู่อาศัยที่เหมาะ สมให้กับพระเจ้าได้ ท่านประเมิณพระเจ้าไม่ถูกต้อง คำตำหนิเช่นนี้ทำให้ผู้ที่ถูกตำหนิคงต้องอึ้ง จนแทบไม่ กล้าเปิดปาก คุณเคยพูดอะไรโง่ๆออกไปมั้ย? แถมคนที่ฟังคุณอยู่ล้วนแล้วแต่เป็นผู้หลักผู้ใหญ่ ถ้าเคย คุณคง เข็ดจนไม่อยากพูดต่อหน้าสาธารณชนอีกเลย ดาวิดคงรู้สึกแบบเดียวกัน แต่พระสัญญาที่พระเจ้าสัญญาเกี่ยวกับ ราชวงศ์ของท่าน ทำให้ท่านมีใจกล้า วิงวอนขอให้พระองค์กระทำให้สำเร็จตามพระสัญญา (ข้อ 27)
ข้อ 28 และ 29 ยังเป็นคำทูลวิงวอน เตือนพระเจ้าให้ระลึกถึงพระสัญญา และขอประทานให้สำเร็จตามนั้น ความ มั่นใจของดาวิดมาจากพระเจ้า ไม่ใช่มาจากตนเอง ความเชื่อมั่นในตนเองที่ดาวิดเป็นอยู่ในตอนต้นบท หายไป หมดสิ้น ความถ่อมใจเข้ามาแทนที่ ท่านยึดตามที่พระเจ้ากระทำ พระเจ้าสัญญาในสิ่งที่ดีให้แก่ผู้รับใช้ของ พระองค์ (ไม่ใช่ให้แก่กษัตริย์) พระสํญญานี้ชัดเจน และพระเจ้าเป็นผู้กระทำ พระสัญญาใดก็ตามที่พระเจ้าเป็น ผู้กระทำ เกิดขึ้นแน่นอน ดังนั้นดาวิดจึงทูลวิงวอนขอให้พระองค์ทำให้สำเร็จ ขอให้พระสัญญาเกี่ยวกับ "ราชวงศ์" ของท่านสำเร็จ รวมทั้งพระสัญญาที้งหมดของพระองค์ด้วย ท้ายที่สุด ดาวิดอธิษฐานขอให้พระพร นี้ยั่งยืนเป็นนิตย์ พระพรเช่นนี้เป็นพระพรที่มาจากพระเจ้าเท่านั้น
บทเรียนแรก ที่ผมได้รับจากตอนนี้คือ ความทะเยอทะยานเหิมเกริมอันแรงกล้าของเรา มีช่องโหว่เพราะความ บาป ความปรารถนาของดาวิดที่จะสร้างพระนิเวศน์ให้พระเจ้าดูดีเลิศลอย จนทำให้นาธันเห็นดีเห็นงามไปด้วย ใครจะไปตำหนิดาวิดได้ ในเมื่อท่านต้องการสร้างพระนิเวศน์อันเลิศหรูให้กับพระเจ้า? พระเจ้าทำได้ และ พระองค์ทำ เหตุผลและแรงจูงใจในความทะเยอทะยานของดาวิดดูไร้ค่าเมื่อเทียบกับความตั้งใจของพระเจ้า ดาวิดมัวแต่ไปยึดติดกับความสำเร็จที่ท่านพึ่งได้มาจากตำแหน่งและอำนาจ แม้กระทั่งกับพระราชวังอันเลิศหรู ของท่าน การตอบสนองของพระเจ้า จึงเป็นการตำหนิความลำพองของท่าน : "เจ้าเป็น ใคร ถึงจะมาสร้างบ้าน ให้เรา?" ไม่ว่าเรามีความตั้งใจดีขนาดใหนก็ตาม คิดวางแผนให้กับพระเจ้า เปรียบเทียบไม่ได้เลยกับความ บริสุทธิ์ใจและแรงจูงใจที่พระเจ้าต้องการจากเรา ผมขอสรุปว่า ไม่มีสิ่งใดเลยที่เราสามารถทำให้พระเจ้าได้ ด้วยกำลังของเรา แต่เป็นพระเจ้าเอง ที่ทำการอันยิ่งใหญ่ของพระองค์ให้สำเร็จได้โดยทางเรา และบ่อยครั้ง แม้ไม่มีเรา
ต่อเนื่องจากบทเรียนแรก เรายังมีบทเรียนที่สองที่ต้องเรียน: ไม่ว่าเป้าหมายหรือความทะเยอทะยานของเรา จะเลิศหรูสูงส่งขนาดใหน แผนการของพระเจ้ายิ่งใหญ่กว่า อ.เปาโลกล่าวว่า :
33 โอ พระปัญญาและความรอบรู้ของพระเจ้านั้น ล้ำลึกเท่าใด ข้อตัดสินของพระองค์นั้นเหลือที่จะหยั่งรู้ได้ และทางของพระองค์
ก็เหลือที่จะสืบเสาะได้ 34 เพราะว่า ใครเล่ารู้พระทัยของพระเจ้า หรือใครเล่าเป็นที่ปรึกษาของพระองค์ 35 หรือใครเล่าได้ถวาย
สิ่งหนึ่งสิ่งใดแก่พระองค์ ที่พระองค์จะต้องประทานตอบแทนให้
แก่เขา 36 เพราะสิ่งสารพัดมาจากพระองค์ โดยพระองค์ และเพื่อ
พระองค์ ขอพระสิริจงมีแด่พระองค์สืบๆไปเป็นนิตย์ อาเมน!
(โรม 11:33-36)
9 ดังที่มีเขียนไว้ในพระคัมภีร์ว่า สิ่งที่ตาไม่เห็นหูไม่ได้ยิน และสิ่ง ที่มนุษย์คิดไม่ถึง คือสิ่งที่พระเจ้าได้ทรงจัดเตรียมไว้ สำหรับคนที่ รักพระองค์ (1 โครินธ์ 2:9)
ดาวิดคิดจะสร้างบ้านเรือนให้กับพระเจ้าหรือ? ดาวิดไม่มีทางนึกออกหรอกว่า "ครอบครัว" ที่พระเจ้ากำลัง จัดเตรียมให้กับท่านนั้น เป็น "ครอบครัว" ที่ใหญ่ยิ่งเกินกว่า"ครอบครัวหรือบ้านเรือน" ในความคิด ของท่านจะคิดได้
ประการที่สาม ความยิ่งใหญ่ พระสิริ การสถิตอยู่ และฤทธานุภาพของพระเจ้าไม่ควรถูกมองในแง่ความโอ่อ่า ตระการตาของสถานที่หรือบรรยากาศ นานมาแล้ว เอลียาห์ถูกสอนว่า การเสด็จมาของพระเจ้าไม่ได้หมายถึง ต้องมีปรากฎการณ์มหัศจรรย์เกิดขึ้น (ถึงแม้บางครั้งเป็นไปได้ — ดูอพยพ 19, 34) พระเจ้าไม่ได้อยู่ในสายลม ในแผ่นดินไหว หรือในไฟลุกโหม แต่อยู่ในเสียงเบาๆ นิ่งๆ (1 พกษ. 19:11-13) อัครสาวกยังเคย พวกยิวเป็น มากหน่อย คาดหวังว่าพระเมสซิยาห์จะทรงเปิดเผยพระองค์ ด้วยการอัศจรรย์ยิ่งใหญ่ ด้วยความตื่นเต้น และบ่อย ครั้งขอแกมบังคับให้แสดงหมายสำคัญ ชาวโครินธ์ในพระคัมภีร์ใหม่ มองคนที่บุคลิกภาพท่าทางดี ว่าเป็นคนที่มี จิตวิญญาณสูงส่ง ในขณะเดียวกันกลับไปแสดงความรังเกียจคนที่แสนธรรมดาไม่มีอะไรโดดเด่น เช่น อ.เปาโล และบรรดาอัครสาวกแท้ (ดู 1 โครินธ์ 4; 2 โครินธ์ 4-6) องค์พระผู้เป็นเจ้าของเราไม่ได้เสด็จมาด้วยความยิ่ง ใหญ่อลังการ พระสิริของพระองค์ถูกปกคลุมไว้ (ดูอิสยาห์ 53:1-3; ยอห์น 1:9-11; ฟีลิปปี 2:5-8) ดังนั้นหลาย คนจึงไม่ตระหนักว่าพระองค์คือพระเมสซิยาห์ พระวิหารหลังที่สอง ถึงจะไม่ตระการตานัก แต่ในสายพระเนตร แล้ว ประเสริฐยิ่ง พระสิริที่แท้จริงไม่ได้เกิดจากภาพลักษณ์ภายนอก แต่เกิดจากความจริงว่าพระเจ้าทรงสถิต ท่ามกลางเราทั้งหลาย พระองค์ทรงอยู่ในเรา เราควรเรียนรู้จากดาวิดและจากท่านอื่นๆในพระคัมภีร์ว่า เราจะพบ พระสิริของพระเจ้าในที่ๆพระองค์สถิตอยู่ ไม่จำเป็นต้องเป็นสถานที่ๆเลิศหรูอลังการใด
หรือดาวิดคิดว่าพระเจ้าจะสถิตอยู่ในมหาวิหารมากกว่าอยู่ในเต็นท์? ท่านจึงสมควรถูกตักเตือนว่า พระเจ้าทรง "ประทับเหนือคำสรรเสริญของคนอิสราเอล" (สดุดี 22:3) ปัจจุบันนี้พระเจ้าทรงเลือกที่จะสถิตอยู่ใน "พระวิหาร" ที่ต่างจากเดิม ; เป็น "พระวิหาร" ที่เป็นพระกายของพระองค์ - คริสตจักร:
19 เหตุฉะนั้นท่านจึงไม่ใช่คนต่างด้าวต่างแดนอีกต่อไป แต่ว่า เป็นพลเมืองเดียวกันกับธรรมิกชน และเป็นครอบครัวของพระเจ้า
20 ท่านได้ถูกประดิษฐานขึ้น บนรากแห่งพวกอัครทูตและพวก
ผู้เผยพระวจนะ พระเยซูคริสต์ทรงเป็นศิลามุมเอก 21 ในพระองค์ นั้นทุกส่วนของโครงร่างต่อกันสนิท และเจริญขึ้นเป็นวิหารอัน
บริสุทธิ์ในองค์พระผู้เป็นเจ้า 22 และในพระองค์นั้น ท่านก็กำลัง จะถูกก่อขึ้นให้เป็นที่สถิตของพระเจ้าในฝ่ายพระวิญญาณด้วย
(เอเฟซัส 2:19-22).
4
จงมาหาพระองค์ คือพระศิลาที่ทรงชีวิต ซึ่งมนุษย์ได้ปฏิเสธ
ไม่ยอมรับแล้ว แต่ว่าตามพระดำริของพระเจ้านั้นเป็นศิลาที่ทรง
เลือกไว้ และทรงค่าอันประเสริฐ 5 และท่านทั้งหลายก็เสมือน
ศิลาที่มีชีวิต ที่กำลังก่อขึ้นเป็นพระนิเวศฝ่ายพระวิญญาณ เป็น
ปุโรหิตบริสุทธิ์ เพื่อถวายสักการบูชาฝ่ายวิญญาณ ที่ชอบพระทัย ของพระเจ้าโดยทางพระเยซูคริสต์
(1 เปโตร 2:4-5).
ในพระอาณาจักรนิรันดร์ของพระเจ้า จะไม่มี "พระวิหาร" เช่นนี้อีก เพราะพระเจ้าเองจะทรงเป็น "พระวิหาร":
"22 ข้าพเจ้าไม่เห็นมีพระวิหารในนครนั้นเลย เพราะพระเจ้าผู้ทรง ฤทธานุภาพสูงสุด และพระเมษโปดกทรงเป็นพระวิหารในนครนั้น
(วิวรณ์ 21:22)
ประการที่สี่ เราเห็นว่าดาวิดไม่ได้ต้องการพระวิหารให้มาอยู่ใกล้เพื่อการนมัสการ ที่จริง ดาวิดกำลังออก ห่างจากการนมัสการตั้งแต่คิดจะสร้างพระวิหารแล้ว แต่หลังจากที่ท่านถูกตักเตือนว่าท่านเป็นใคร อยู่ในฐานะ ใด และความสำเร็จทั้งสิ้นของท่านได้มาจากพระเจ้า ท่านจึงนมัสการพระเจ้าได้ ด้วยท่าทีที่ถูกต้อง และท่าน เริ่มตระหนักถึงความไม่สำคัญของตนเอง ท่านสรรเสริญถึงความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า พระราชอำนาจ และการ สถิตอยู่ของพระองค์ในชีวิตของท่าน นี่คือจุดเริ่มต้นที่แท้จริงของการนมัสการ ไม่ใช่ในสถานนมัสการอันใหญ่ โตหรูหรา แต่ในการเพ่งความสนใจทั้งสิ้นไปที่ความยิ่งใหญ่และพระคุณอันล้นเหลือของพระองค์ .
มีเรื่องที่ผมอยากจะย้ำเตือนมากมายถึงการคิดจะลงหลักปักฐานสร้างคริสตจักรใหม่ คริสตจักรใหญ่ การ สร้างคริสตจักรเป็นสิ่งที่ดี และการสร้างคริสตจักรใหญ่ไม่จำเป็นต้องเป็นสิ่งชั่วร้ายเสมอไป แต่ขอให้เรา ระวังระไวให้ดี อย่านึกเอาว่า อาคารใหญ่โตหรูหราน่าประทับใจ จะเป็นสิ่งพิสูจน์ว่าพระเจ้าทรงสถิตอยู่ด้วย เราจำต้องระวังอย่าคิดลำพองว่าเรากำลังถวายให้กับอาณาจักรของพระเจ้า และคิดว่าพระเจ้าจำเป็นต้อง พึ่งเรา พระองค์ทรงอุ้มเราไว้เสมอ ไม่ใช่เราอุ้มพระองค์ ทำไมเราจึงหลงลืมไปได้ มัวแต่คิดว่าเราได้ทำอะไร และสามารถทำสิ่งใดให้พระองค์ มากกว่าจะไปคิดว่าพระองค์ได้ทำสิ่งใดให้เรา และจะทำการใดโดยทางเรา
ประการที่ห้า คำตำหนิของพระเจ้าที่มีต่อดาวิด ควรเป็นบทเรียนที่ดีสำหรับคริสเตียนทุกคน คุณไม่เคยคิด เลยหรือว่า เมื่อคุณโตขึ้น มีความเป็นผู้ใหญ่ขึ้น และมีสติปัญญาของคริสเตียน คุณจะหลุดรอดจากการถูกทด ลอง ถูกปกป้องจากความบาป? การเติบโต ความเป็นผู้ใหญ่ และความสำเร็จ ไม่ได้เป็นฉนวนกันบาปนะครับ ; บ่อยครั้ง สิ่งเหล่านี้กลับกลายเป็นตัวทดลองให้เราทำบาปได้ง่ายขึ้น ดาวิดตกอยู่ในอันตรายในพระราชวัง มากกว่าเมื่อครั้งหลบหนีซาอูล หรือซ่อนตัวอยู่ตามถ้ำเสียอีก บ่อยครั้งเรายึดติดกับ"ความสำเร็จ" ของเรา อย่างจริงจัง เราสมควรถูกเตือนว่า ไม่มีความสำเร็จใดที่เราจะกล่าวอ้างว่าทำด้วยตนเองได้เต็มปาก เพราะ ความสำเร็จฝ่ายวิญญาณของเรา แท้จริงคือของประทานล้ำค่าจากพระคุณพระเจ้า :
7 ผู้ใดเล่ากระทำให้ท่านวิเศษกว่าคนอื่น ท่านมีอะไรที่ท่านมิได้รับมา
ก็เมื่อท่านได้รับมา เหตุไฉนท่านจึงโอ้อวดเหมือนกับว่าท่านมิได้รับเลย
(1 โครินธ์ 4:7)
ท้ายที่สุด ผมขอย้ำเตือนอีกครั้งว่า พระพรที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตของเราไม่ได้เกิดจากผลน้ำมือเราเอง แต่เป็น ผลจากพระราชกิจของพระเจ้า พอๆกับที่พระองค์ทรงใช้ความล้มเหลว ความผิดพลาดของเราให้เกิดผล ดาวิด ถูกตำหนิ เพราะดำริจะสร้างพระวิหารให้พระเจ้า ถึงกระนั้น พระองค์ทรงใช้ความคิดนี้สร้างครัวเรือนให้แก่ท่าน เป็นพระราชกิจที่ยิ่งใหญ่เกินกว่าที่ดาวิดจะคิดฝันได้ ดาวิดทำผิดเมื่อท่านทำบาปล่วงประเวณีกับนางบัทเชบา และฆ่าสามีของนางเสีย ถึงกระนั้น นางก็ได้เป็นภรรยาของดาวิด และเป็นมารดาของซาโลมอน กษัตริย์องค์ต่อ ไปของอิสราเอล ดาวิดทำผิดด้วยการไปนับกำลังพล ผลของความบาปครั้งนี้ ทำให้ท่านได้เป็นผู้จัดเตรียม สถานที่สำหรับการสร้างพระวิหารในอนาคต
เรากำลังปรนนิบัติพระเจ้าที่แสนดีและยิ่งใหญ่เพียงใด ! เราไม่สามารถบิดเบือนพระประสงค์และพระสัญญาได้ ถึงแม้เราพยายามบิดเบือนพระประสงค์ของพระองค์ กลับเป็นเหตุทำให้พระราชอาณาจักรขยายใหญ่ขึ้น ขอให้ เราปิติยินดีเถิด พระเจ้าของเราไม่ได้อยู่ในพระวิหารหรือเต็นท์อีกต่อไป แต่อยู่ในองค์พระเยซูคริสต์ ในพระกาย ในคริสตจักร เราเป็นพระวิหารของพระเจ้าเมื่อเราเข้ามาวางใจในพระเยซูคริสต์
25 โดย วอลเตอร์ บรุกเกอร์มาน 1 และ 2 ซามูเอล (Louisville: John Knox Press, 1990) หน้า 253 ที่ ยูจีน เฮช พีเตอร์สันนำมาใช้ในหนังสือชื่อ Leap Over A Wall: Earthly Spirituality for Everyday Christians (Harper San Francisco, 1997) หน้า 166
26 เราคงไม่ประหลาดใจนักกับคำตอบของนาธัน หรือว่าทำไมท่านไม่ปรึกษาพระเจ้าก่อน ในขณะที่ผู้เผย พระวจนะคือผู้ถ่ายทอดพระคำโดยตรงที่มาจากพระเจ้า และบ่อยครั้งก็นำพระคำนั้นมาสั่งสอน และวินิจฉัย ธรรมบัญญัติของพระเจ้า เพื่อนำมาใช้ให้ถูกต้องตรงกับสถานการณ์ พวกเขาไม่ได้ตอบคำถามด้วยการถาม พระเจ้าก่อนในทุกเรื่อง เท่าที่ผมเห็นจากในพระคัมภีร์ อย่างไรก็ตาม ในกรณีนี้ นาธันวินิจฉัยผิดพลาด พระเจ้า จึงต้องแก้ใขการวินิจฉัยของท่านเสียใหม่
27 จากหนังสือของ ยูจีน พีเตอร์สัน ชื่อ Leap Over A Wall: Earthly Spirituality for Everyday Christians, หน้า 160.
28 จากหนังสือของยูจีน พีเตอร์สัน หน้า 161.
29 คำว่า "เจ้า" เป็นคำเอกพจน์ ไม่ใช่พหูพจน์ ขณะที่พระเจ้าจะให้อิสราเอลพักผ่อนจากรบ พระองค์ให้ดาวิด ขึ้นเป็นกษัตริย์อิสราเอล พระองค์ปกป้องดาวิดและประทานชัยชนะให้เหนือศัตรู เช่นกัน ในอนาคต พระเจ้าจะ ประทานให้ดาวิด ("เจ้า" เอกพจน์) พักผ่อนจากการสงคราม เป็นพระเจ้าเองที่ประทานให้ดาวิด ไม่ใช่ดาวิด ทำด้วยตนเอง พระเจ้าจะเป็นผู้ประทานในสิ่งที่พระองค์สัญญาไว้กับดาวิดในอนาคตด้วย
30 เป็นข้อถกเถียงเดียวกับที่เราเห็นใน 12:7-8. เราเห็นถึงปมปัญหาของดาวิดในบทที่ 11 และ 12 จากตอน นี้หรือไม่?
หลายคนที่เราดูว่าเป็น "คนดี" นั้น ดีอยู่ได้เพราะขาดอำนาจในมือที่จะทำชั่ว คุณยังจำตอนเด็กได้หรือไม่? จำได้ไหมว่า เวลาที่พ่อแม่สั่งห้ามคุณไม่ให้ทำบางอย่าง? ตอนนั้นคุณอาจคิดหรือแอบพูดกับตัวเองว่า "รอ ให้โตก่อนเถอะ คอยดูนะฉันจะ ………….." บางครั้งคำพูดเช่นนั้นก็ดังออกมา : "เมื่อผมโตขึ้น ผมจะเป็น ประธานาธิบดี และผมจะทำ ………….." อำนาจจะเป็นตัวพิสูจน์ตัวตนที่แท้จริงของเรา เมื่อมีอำนาจในมือ เราสามารถทำสิ่งที่อยากทำ แต่สิ่งที่เราเลือกทำต่อตนเองและต่อผู้อื่น จะเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงของเรา
นับหลายปีที่ดาวิดมีอำนาจเพียงเล็กน้อย ท่านถูกส่งให้ไปดูแลฝูงแกะฝูงเล็กๆในทุ่งให้กับครอบครัว เมื่อ ซามูเอลมาทำการเจิมตั้งกษัตริย์อิสราเอลในอนาคตจากบรรดาบุตรของเจสซี ดาวิดไม่ได้อยู่ในข่าย ถึงกับ ต้องมีการสั่งให้ไปนำท่านมาจากท้องทุ่ง มีหลายครั้งที่ดาวิดมีอำนาจสั่งการภายใต้การปกครองของซาอูล แต่แล้วท่านก็กลายเป็นผู้ลี้ภัย หนีหัวซุกหัวซุน อำนาจที่เคยมีถูกถอดไปจนหมดสิ้น แม้กระทั่งภรรยาก็ถูกแยก ออกไป
หลายปีต่อมา ซาอูลสิ้นชีพไป ดาวิดได้ขึ้นเป็นกษัตริย์อิสราเอลแทน ในพระธรรมตอนนี้ ดาวิดปราบศัตรูลง อย่างราบคาบ และสร้างสันติภาพขึ้น บัดนี้ท่านมีอำนาจพอที่จะทำตามใจปรารถนา ตอนนี้แหละที่เราจะเห็น ตัวตนที่ดีที่สุดของดาวิด และแย่หน่อย ตัวตนที่ร้ายที่สุดของท่านด้วย ในบทที่ 8-10 เราเห็นดาวิดในส่วนที่ดี ของท่าน ท่านใช้อำนาจที่พระเจ้าประทานให้ มาทำพระประสงค์ของพระองค์ให้เสร็จสมบูรณ์ ในบทที่ 11 ท่านเริ่มสะดุด ล้มลงไปในความตกต่ำที่สุดฝ่ายวิญญาณในชีวิตของท่าน ท่านใช้อำนาจที่มีอยู่หลีกเลี่ยงการ ออกไปสงคราม ไปแย่งชิงภรรยาผู้อื่นมา และส่งสามีของนางให้ไปถูกฆ่าตายในสงคราม เราจะเก็บเรื่องนี้ เอาไว้เรียนในบทเรียนหน้า
บทเรียนบทนี้ เราจะมุ่งความสนใจไปที่สามบทของพระธรรม 2 ซามูเอล คือบทที่ 8-10 เหตุผลที่เลือกเช่นนี้ จะปรากฏชัดขณะที่เราค่อยๆเรียนไป แต่ตอนนี้ขอบอกว่าบทที่ 8 และ 10 แสดงให้เห็นถึงการที่ดาวิดใช้อำนาจ ที่มีอยู่จัดการอย่างไรกับสงคราม กับบรรดาศัตรูของอิสราเอล และอย่างไรเพื่อพระเจ้า บทที่ 9 พูดถึงการที่ ดาวิดใช้อำนาจของท่านทำตามสัญญาที่มีต่อโยนาธานเพื่อนรัก และคำสัญญาที่มีต่อซาอูล บทที่ 9 เป็นตอน ที่สวยงามเมื่อเทียบกับบทที่ 8 และ 10 ทำให้เรามองเห็นการใช้อำนาจปกครองของดาวิด (และของพระเจ้า) อย่างถูกต้อง เราจะมาดูบทที่ 8 และ 10ก่อน แล้วค่อยย้อนไปดูความเมตตาที่ดาวิดมีต่อเมฟีโบเชทในบทที่ 9 ขอให้เราตั้งใจฟังพระธรรมตอนนี้ให้ดี และรับการสอนจากพระวิญญาณบริสุทธิในสิ่งที่เกี่ยวข้องกับชีวิตเรา ทั้งหลายในทุกวันนี้
ตัวช่วยที่จะทำให้เราเข้าใจเหตุการณ์ในพระธรรมตอนนี้ดีขึ้น คือต้องย้อนกลับไปดูเบื้องหลังเหตุการณ์ที่กำลัง จะเกิดขึ้น โดยรวบรวมข้อเท็จจริงทั้งหมดมาพิจารณา:
ประการแรก ประชาชนและสถานที่ที่เรากำลังพูดถึงนั้นอยู่ล้อมรอบอิสราเอล ไม่ใช่คนหรือสถานที่ที่ห่างใกล แต่อยู่ติดกับอิสราเอล ซึ่งมีผลกระทบต่ออิสราเอลทั้งในอดีต ปัจจุบัน และในอนาคต
ประการที่สอง ประชาชนและประเทศเหล่านี้เป็นผู้ครอบครองดินแดนที่พระเจ้าสัญญาจะประทานให้อิสราเอล (ดูปฐมกาล 12:1-3; 13:14-18; 15:18-21; อพยพ 23:31) แต่อิสราเอลไม่เคยเอาชนะหรือครอบครองได้เด็ด ขาดเสียที (ดูผู้วินิจฉัย 1:1-36; 3:1-6)
ประการที่สาม ประเทศพวกนี้ไม่ใช่เป็นมหาอำนาจของโลก เป็นเพียงอาณาจักรเล็กๆ แทบจะไม่เป็นประเทศ ด้วยซ้ำไป ในพระคัมภีร์ไม่ได้พูดถึงประเทศมหาอำนาจอย่าง อียิปต์ อัสซีเรีย บาบิโลน และโรมัน ซึ่งประเทศ พวกนี้ไม่ได้อยู่ในสมัยที่ดาวิดปกครอง แต่เป็นประเทศเล็กๆที่อยู่ล้อมรอบอิสราเอล เพื่อเป็นการป้องกันตนเอง และแสวงหาผลประโยชน์เพิ่มเติม ประเทศพวกนี้จึงรวมตัวกันขึ้นเป็นพันธมิตร
ประการที่สี่ จากบทที่ 7 ข้อ 1 เรารู้ว่าในขณะนั้นเป็นเวลาสันติ ถึงจะไม่ถาวรก็ตาม แต่บรรดาศัตรูของอิสราเอล ก็หยุดมาโจมตีประชากรของพระเจ้า หรือกษัตริย์ของพระองค์ พวกฟิลิสเตียได้พยายาม — ถึงสองครั้ง — มา ลองชิมกำลังของดาวิด แต่ก็ไม่สำเร็จ (2 ซามูเอล 5:17-25) ในบทที่ 8 ดาวิดไม่ได้เป็นฝ่ายปกป้องตนเอง เท่ากับไม่ได้เป็นฝ่ายล่วงละเมิดผู้ใด เป็นเพราะบางส่วนในพระสัญญาของพระเจ้า ที่จะให้ดาวิดพักรบจากการ ศึกสงครามชั่วคราว:
8 เพราะฉะนั้น บัดนี้เจ้าจงกล่าวแก่ดาวิดผู้รับใช้ของเราว่า 'พระเจ้าจอมโยธา
ตรัสดังนี้ว่า เราเอาเจ้ามาจากทุ่งหญ้า จากการตามฝูงแพะ แกะ เพื่อให้เจ้า เป็นเจ้าเหนืออิสราเอลประชากรของเรา9 เราได้อยู่กับเจ้าไม่ว่าเจ้าไปที่ไหน และได้กำจัดศัตรูของเจ้าให้พ้นหน้าเจ้า และเราจะกระทำให้เจ้ามีชื่อเสียงใหญ่
โต อย่างกับชื่อเสียงของผู้ใหญ่ในโลก 10 และเราจะกำหนดที่หนึ่งให้อิสราเอล
ประชากรของเรา และเราจะปลูกฝังเขาไว้เพื่อเขาทั้งหลายจะ ได้อยู่ในที่ของเขา เองและไม่ต้องถูกกวนใจอีก และคนชั่วจะไม่ข่มเหงเขาอีกดังแต่ก่อนมา 11 ตั้งแต่ สมัยเมื่อเราตั้งผู้วินิจฉัยเหนืออิสราเอล ประชากรของเรา และเราจะให้เจ้าพ้น
จากการรบศึกรอบด้าน ยิ่งกว่านั้นอีก พระเจ้าตรัสแก่เจ้าว่า พระเจ้าจะทรงให้เจ้า
มีราชวงศ์
(2 ซามูเอล 7:8-11ก)
ประการที่ห้า ดาวิดกำลังทำหน้าที่ของท่านโดยยึดตามพระสัญญาที่ประทานในบทที่ 7 ท่านปราบบรรดา ศัตรูของอิสราเอลลงอย่างราบคาบ ปลดปล่อยอิสราเอลให้เป็นอิสระ และเข้าครอบครองดินแดนตามพระสัญญา ไม่มีการบันทึกเรื่องคำสั่งให้ท่านทำ เรื่องภัยพิบัตต่างๆที่ศัตรูรอบด้านก่อขึ้น (เช่นเรื่องพวกฟิลิสเตีย ในบทที่ 5) ผมเชื่อว่าดาวิดทำหน้าที่โดยยึดถือตามพระสัญญาที่พระเจ้าประทานให้อิสราเอลก่อนหน้านี้ และ ยึดถือตาม พระบัญชาที่สั่งให้อิสราเอลเข้าครอบครองดินแดน ดาวิดไม่ได้ทูลขอการทรงนำ เพราะไม่จำเป็น ที่ไม่จำเป็น เพราะมีคำสั่งมาชัดเจนแล้ว ดาวิดกำลังอยู่ในอำนาจ และท่านกำลังทำในสิ่งที่คนก่อนหน้าท่าน ทิ้งเอาไว้ ให้สำเร็จลง
ประเทศฟิลิสเตียตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของอิสราเอล เป็นประเทศที่สร้างปัญหาให้แก่อิสราเอลมากที่สุด (ดูปฐมกาล 26:1, 8, 14, 15, 18) โดยเฉพาะจากในสมัยของผู้วินิจฉัยเป็นต้นมา (ผู้วินิจฉัย 3:3, 31; 10:6-7) แซมสันสู้กับพวกฟิลิสเตีย (ผู้วินิจฉัยบทที่ 13-16) พวกฟิลิสเตียฆ่าบุตรทั้งสองของเอลี และเป็นเหตุให้ เอลีต้องตายลง และยึดเอาหีบพันธสัญญาไป (1 ซามูเอลบทที่ 4-7) โยนาธานเข้าโจมตีกองกำลังของ ฟิลิสเตียในอิสราเอล เป็นชนวนให้เกิดการเผชิญหน้าครั้งใหญ่กับพวกฟิลิสเตีย (1 ซามูเอล 13:3) ดาวิดฆ่า โกลิอัทชาวฟิลิสเตีย และทำให้มีการไล่ล่าตามติดพวกฟิลิสเตียไป (1 ซามูเอล 17) ในที่สุดพวกฟิลิสเตียเอา ชนะกองทัพอิสราเอลได้ ฆ่าซาอูลและบุตรทั้งสองของท่าน (1 ซามูเอล 31) และในท่ามกลางฟิลิสเตียนี้เอง ที่ดาวิดไปขอลี้ภัย (1 ซามูเอล 21:10-15; 27:1) ทันทีที่ดาวิดขึ้นเป็นกษัตริย์ พวกฟิลิสเตียคิดว่าควรมาโจมตี ในทันที ก่อนที่จะปล่อยให้ท่านเข้มแข็งขึ้น พวกเขาทำไม่สำเร็จ และตอนนี้ดาวิดกลายเป็นฝ่ายเข้าควบคุม31 แทน ยุติการรบพุ่งชั่วคราว จากในพระธรรม 1 พงศ์กษัตริย์ 18:1 ที่บันทึกเรื่องเดียวกันนี้ เรารู้ว่า "เมืองเอก" ของฟิลิสเตียคือเมืองกัท ไม่ต้องสงสัยว่าทำไมดาวิดจึงยึดได้ ; ท่านรู้จักเมืองนี้ดีพอๆกับหลังมือของท่านเอง
พระธรรมข้อนี้ทำให้ผมงงด้วยเหตุผลอย่างน้อยสองประการ แรก คนโมอับดูจะเป็นมิตรดีกับดาวิด ดาวิดสืบ เชื้อสายมาทางนางรูธ ชาวโมอับ (นางรูธ 4:5, 10, 13-22) เมื่อตอนที่ซาอูลเริ่มคุกคามครอบครัวของดาวิด พวกเขาหนีไปหาดาวิดที่ถ้ำอดุลลัม (1 ซามูเอล 22:1) และดาวิดนำครอบครัวไปฝากไว้ที่กษัตริย์โมอับ (1 ซามูเอล 22:3-4) ตำนานของยิวเล่าว่า กษัตริย์หักหลังดาวิดและทำร้ายครอบครัวของท่าน แต่ไม่มีคำยืนยัน ในเรื่องนี้ ดูจากการที่ดาวิดจัดการกับฮานูน กษัตริย์อัมโมน ใน 2 ซามูเอล 10 ผมว่าน่าจะสรุปได้ว่า ดาวิดนั้น สัตย์ซื่อต่อเพื่อน ดังนั้นคงต้องมีอะไรสักอย่าง ที่ทำให้ดาวิดจัดการกับคนโมอับอย่างรุนแรงเช่นนี้ แต่ไม่มี คำอธิบายว่าเป็นเรื่องใด (หรือว่าเราไม่จำเป็นต้องรู้)
ประการที่สอง ผู้อ่านอาจจะรู้สึกไม่สบายใจนักกับวิธีการที่ดาวิดจัดการกับคนโมอับ เวลาที่ผมสอนพระธรรม ตอนนี้ หลายครั้งผมแบ่งนักเรียนออกเป็นกลุ่มเล็กๆหลายกลุ่ม ให้แต่ละกลุ่มยืนเข้าแถวแล้วเริ่มนับ : หนึ่ง สอง สาม หนึ่ง สอง สาม … . . น่าจะเป็นแบบเดียวกับที่ดาวิดทำ หลังจากนั้นท่านเลือกออกมา 2 กลุ่มและ ฆ่าเสีย ส่งกลุ่มที่สามกลับบ้านไป ในฐานะเป็นไพร่ (ที่กลัวสุดขีด) ของท่าน
บางคนอาจไม่สบายใจที่ดาวิดไว้ชีวิตหลายคน กลัวว่าจะเหมือนกับเหตุการณ์ของซาอูลและคนอามาเลข ซาอูล ถูกปลดเพราะท่านไว้ชีวิตกษัตริย์ และเก็บของริบที่ดีที่สุดของคนอามาเลขไว้ (1 ซามูเอล 15) ดาวิดกลับไว้ ชีวิตคนโมอับมากกว่า ทำไมพระเจ้าถึงไม่ลงโทษที่ท่านไว้ชีวิตศัตรูมากมาย? คำตอบนั้นง่ายมาก พระเจ้าทรง มีปัญหาที่ค้างคากับคนอามาเลขมานาน พระองค์จึงสั่งให้ซาอูลฆ่าทุกคน และสัตว์เลี้ยงทุกตัว (1 ซามูเอล 15:1-3) ซาอูลผิดเพราะฝ่าฝืนคำสั่งโดยตรง ดาวิดไม่ได้รับคำสั่งให้ฆ่าคนโมอับทุกคน ในการวินิจฉัยของ พระเจ้า (ฆ่าสองส่วนสาม) พระองค์ทรงมีพระเมตตากับหนึ่งส่วนสาม
ผมว่าถ้าเราอยู่ที่นั่น เราคงเห็นว่าเป็นภาระกิจที่ค่อนข้างยาก ที่ทั้งทหารและดาวิดต้องกระทำ การตัดสินชี้ ชะตาว่าใครสมควรอยู่ ใครสมควรตายนับเป็นเรื่องยากเย็น ผมว่าพอๆกับค่ายกักกันของพวกนาซีนะครับ กลุ่มคนที่เคยอยู่ด้วยกัน ถูกแยกให้ไป "อาบน้ำ" และถูกรมด้วยก๊าซจนตาย อีกกลุ่มถูกส่งไป "อาบน้ำ" เหมือนกัน แต่กลับออกมาสะอาดสะอ้านและมีชีวิต ดาวิดและคนของท่านทำสิ่งคล้ายคลึงกันนี้ได้อย่างไร?
ผมขอลองให้คำตอบสั้นๆดูก่อน แล้วค่อยกลับมาพูดถึงอีกครั้งในการสรุปท้ายบท ดาวิดเป็นกษัตริย์ของ พระเจ้า ท่านเป็นกษัตริย์อิสราเอลปกครองแทนพระเจ้า ท่านเป็นตัวแทนของพระเจ้า โมอับพวกนี้เป็นศัตรู ของอิสราเอล จึงเป็นศัตรูของพระเจ้าด้วย พวกเขาสมควรตาย เรื่องของเรื่องไม่ใช่ว่าสองในสามของคนโมอับ ถูกฆ่าตาย แต่หนึ่งส่วนสามต่างหากที่รอดชีวิต การที่ฆ่าไปเสียสองส่วนสาม จะยับยั้งไม่ให้คนพวกนี้กล้า คิดที่จะมาต่อสู้กับท่านอีก
ตามลำดับทางประวัติศาสตร์ของพระธรรมตอนนี้ ดาวิดเอาชนะพวกฟิลิสเตียที่อยู่ทางทิศตะวันตกของ อิสราเอลได้ ท่านจึงมุ่งไปที่พวกอัมโมนทางตะวันออก เมื่อควบคุมทั้งสองได้แล้ว ท่านมุ่งขึ้นเหนือ ไปที่ อาณาจักรโศบาห์ของชาวอาราเมียน ซึ่งอยู่ขึ้นไปประมาณ 25 ไมล์ของดามัสกัสทางทิศเหนือ เรารู้ว่าซาอูล มีปัญหาทางทหารกับอาณาจักรนี้ (1 ซามูเอล 14:47) ตอนนั้นฮาดัดเอเซอร์เป็นกษัตริย์ ดูเหมือนว่าอาจสูญ เสียดินแดนที่เคยครอบครองมาก่อน คือ "ที่แม่น้ำ" (8:3) ฮาดัดเอเซอร์คงเห็นโอกาสทองในขณะที่ดาวิด วุ่นอยู่กับการรบทางตอนล่าง ไม่ได้ใส่ใจทางเหนือ ยึดเอาอำนาจคืน แต่ไม่สำเร็จ ดาวิดดูจะรู้ทันว่าฮาดัด เอเซอร์จะลอบโจมตีตอนทีเผลอ ขณะที่กองกำลังส่วนใหญ่ของฮาดัดเอเซอร์อยู่ทางเหนือ ดาวิดเข้าไปยึด ครองดินแดนทางตอนใต้ พอกษัตรยิ์องค์นี้เดินทางกลับมาตุภูมิก็พบว่าถูกดาวิดและคนของท่านยึดครองไปแล้ว เมื่อชาวซีเรียที่ดามัสกัสเห็นว่าดาวิดเริ่มเป็นตัวอันตรายต่อ "ความมั่นคงของชาติ" พวกเขาจึงยกไปช่วย ฮาัดัดเอเซอร์ เลยแพ้ตามไปด้วย (8:5-6).
อาณาจักรฮามัทอยู่ทางเหนือของโศบาห์ โทอิกษัตริย์ของฮามัท มองเห็นอนาคตอยู่ลางๆจึงเลือกเอาทาง ฉลาด … คือยอมแพ้แต่โดยดี โทอิส่งคณะทำงานมาพบดาวิด นำโดยบุตรชายคนโตโยรัม เพื่อมาถวาย เครื่องบรรณาการ เป็นสัญลักษณ์ขอร่วมเป็นพันธมิตรด้วย โทอิดีใจที่ดาวิดเอาชนะฮาดัดเอเซอร์ผู้เป็นศัตรูได้ การเป็นพันธมิตรกับผู้ชนะก็เท่ากับมีส่วนในชัยชนะเหนือศัตรูด้วย
สองข้อนี้อธิบายถึงชัยชนะของกษัตริย์ดาวิดและคนอิสราเอลอีกครั้ง ในพระคัมภีร์พูดว่าเป็นชัยชนะเหนือ "คนซีเรีย" แต่ลองดูให้ดีอีกนิด ข้อ 14 พูดถึงคนเอโดมที่กลายเป็นไพร่พลของดาวิด ในข้อ 13 มีหมาย เหตุที่บอกว่าคนซีเรียหรือเป็นคน "เอโดม" มีข้อแตกต่างในภาษาฮีบรูอยู่หนึ่งตัวอักษร และตัวอักษร นี้ทำให้เกิดความสับสน พระธรรมตอนเดียวกันใน 1 พงศาวดาร 18:12 บ่งว่าทั้ง 18,000 คนที่ถูกฆ่าเป็น คนเอโดม จากหลักฐานที่มีอยู่ทำให้มองเห็นว่าน่าจะเป็นคนเอโดม32 ถ้าใช่ก็คืออยู่ค่อนไปทางใต้ ซึ่งก็ หมายความว่าผู้เขียนได้เล่าถึงชัยชนะของดาวิดทางทิศตะวันตก ทิศตะวันออก ทิศเหนือ และที่สุดทางทิศใต้ ดาวิดมีชัยและสามารถปราบประเทศเพื่อนบ้านรอบด้านให้สงบลงได้อย่างราบคาบ
ผลสืบเนื่องจากการสู้รบของดาวิดในบทที่ 8 ทำให้ท่านสามารถปราบศัตรูลงได้อย่างราบคาบ มีการวางกอง กำลังอิสราเอลในประเทศต่างๆรอบด้าน (ข้อ 14) กลับกันกับเมื่อก่อนนี้ ที่ประเทศรอบด้านเป็นฝ่ายวางกอง กำลังในอิสราเอล (ดู 1 ซามูเอล 10:5; 13:3-4) หมายความว่าต่อไป พวกนี้จะไม่มีทางมาต่อต้าน มาข่มขู่ หรือกดดันอิสราเอลได้อีกนาน แผ่นดินเต็มไปด้วยสันติภาพอย่างที่พระเจ้าสัญญาไว้ทุกประการ ความสำเร็จ ทั้งสิ้นของดาวิดมาจากพระหัตถ์พระเจ้า (ดูข้อ 6, 14) การปกครองของดาวิดขยายขึ้นจนท่านต้องเพิ่ม บุคคลากรมากมายเข้ามาช่วยในการบริหาร ตามที่บันทึกอยู่ในข้อ 15-18 ดาวิดปกครองที่ใด ที่นั่นมีแต่ความ ยุติธรรมและเที่ยงธรรม (ข้อ 15) ทำให้ท่านมีชื่อเสียงเลื่องลือไปใกล (ข้อ 13) เป็นไปตามที่พระเจ้าสัญญา ไว้ทุกประการ (7:9) นอกจากนั้น บรรณาการที่ท่านได้รับล้วนแต่เป็นของดีทั้งสิ้น ท่านได้รับเครื่องเงิน เครื่อง ทอง และทองสัมฤทธิ์มากมาย (ข้อ 7-12) ของมีค่าเหล่านี้ถูกเก็บรักษาไว้ และถูกนำออกมาใช้เมื่อซาโลมอน สร้างพระวิหาร (ดู 1 พงศาวดาร 18:8)
ในบทที่ 8 เราเห็นดาวิดเริ่มต้นปราบศัตรูรอบด้านของอิสราเอลลงอย่างราบคาบ เรานึกว่าท่านคงพอใจกับ ชัยชนะที่ได้มา ในบทที่ 10 ดาวิดจำต้องสู้รบกับเพื่อนเก่า คนสำคัญในบทนี้คือฮานูนบุตรของนาหาช กษัตริย์อัมโมนที่สิ้นชีพไป เรารู้จักนาหาชครั้งแรกใน 1 ซามูเอล 11 นาหาชยกกองทัพมาล้อมเมิองยาเบช กิเลอาด ข่มขู่ว่าจะให้อิสรภาพก็ต่อเมื่อได้ควักลูกตาขวาของชายทุกคนในเมืองนี้ทิ้ง 33 ซาอูลลุกขึ้นมาจัดการ ท่านเต็มด้วยพระวิญญาณ นำอิสราเอลมีชัยเหนือนาหาชและคนอัมโมน ชาวเมืองนั้นจึงรอดพ้นจากการเสียตา ข้างขวา หลังจากนั้นนาหาชได้กลายมาเป็นพันธมิตรกับดาวิด น่าจะเป็นช่วงเวลาที่ดาวิดกำลังหลบหนีซาอูล ไม่ว่าจะเป็นด้วยเหตุใดก็ตาม ในพระคัมภีร์บ่งชัดว่าดาวิดเห็นนาหาชเป็นทั้งพันธมิตรและเพื่อน ดาวิดมีความ ตั้งใจให้เกียรติกับนาหาชโดยส่งคณะผู้แทนไปปลอบประโลมในพิธีไว้อาลัย
ฮานูนบุตรของนาหาช และเป็นผู้สืบต่อราชบัลลังก์ เป็นคนละแบบกับบิดา ดูเหมือนเขาไม่ต้องการจะรักษา มิตรภาพที่มีต่อดาวิด หรือมิตรภาพที่คนอัมโมนมีต่ออิสราเอล สถานการณ์เป็นเหมือนใน 1 พงศ์กษัตริย์ 12 หลังจากที่ซาโลมอนตาย ประชาชนวิงวอนต่อผู้เป็นบุตร เรโหโบอัม ขอให้ประชาชนมีอิสระมากขึ้น เรโหโบอัม ปรึกษากับพวกคนหนุ่ม ได้รับคำแนะนำให้ใช้วิธีการที่เด็ดขาด เป็นผลทำให้อาณาจักรต้องถูกแบ่งแยก นาหาช สิ้นชีพ ฮานูนขึ้นมาปกครองแทน
ในช่วงแรกที่ฮานูนปกครอง ดาวิดส่งคณะผู้แทนไปแสดงความเคารพ และไว้อาลัยให้กับนาหาช ที่ปรึกษาของ กษัตริย์องค์ใหม่นี้ ให้คำปรึกษาที่แย่มาก กลับไปบอกฮานูนว่าการกระทำของดาวิดไม่น่าไว้ใจ ท่านส่ง คนมา หมายจะให้มาสอดแนมเพื่อโจมตีทีหลัง เหมือนกับที่ทำกับประเทศรอบด้าน ผมว่าคำอธิบายนี้เป็นข้ออ้างที่ฮานูน ใช้เพื่อจะตัดสัมพันธ์ที่บิดาทำกับดาวิดและคนอิสราเอลไว้ ถ้าฮานูนมีแผนการมากกว่านี้ แปลว่าต้องการทำ สงครามกับดาวิด เพราะถ้าเอาชนะดาวิดได้ ก็หมายความว่าได้มีโอกาสครอบครองประเทศอื่นๆที่เป็นเมือง ขึ้นของอิสราเอลไปด้วย
ไม่น่ามีคำอธิบายอื่น — นอกจากโง่ล้วนๆ 34 — น่าจะเหมาะสม การที่จะสรุปว่าคณะผู้แทนมาด้วยสาเหตุแอบ แฝงอื่น ก็เหมือนจงใจดูถูกกัน และอาจเป็นเหตุให้เกิดสงครามกับอิสราเอลได้ ผมพอมองเห็นภาพฮานูน เรียกกำลังมาเสริมชายแดนเพื่อสร้างความมั่นคง แต่การดูถูกคณะผู้แทนคณะนี้ ผู้ซึ่งสมควรได้รับการคุ้มครอง ในแง่ที่เรียกว่ากฎหมายระหว่างประเทศ ก็เท่ากับสร้างความขัดแย้งให้เกิดขึ้น ฮานูนคงจะกระหายสงคราม และถ้านี่อยู่ในแผนการ มันก็เริ่มเป็นจริง มีการต่อสู้ และพ่ายแพ้ เป็นเหตุให้ไม่เพียงแต่เอาชนะพวกอัมโมน ได้เท่านั้น แต่ยังทำให้พันธมิตรอย่างซีเรียขยาด ไม่กล้าเข้ามาให้ความช่วยเหลือ
ดาวิดทราบเรื่องที่คณะผู้แทนถูกกระทำอย่างดูถูกและอับอายขายหน้า สำหรับคนฮีบรู เคราเป็นสัญลักษณ์ ของศักดิ์ศรี ฮานูนสั่งให้โกนเคราของคณะผู้แทนทุกคนออกครึ่งหนึ่ง แถมยังตัดเครื่องแต่งกายบางส่วนออกไป ทำให้อับอายขายหน้ามาก นี่ถ้าเป็นเมื่อร้อยปีที่แล้วในแถบตะวันตก กษัตริย์คงสั่งให้คนเหล่านี้เดินไปตามถนน ในชุดชั้นในที่ "ไม่ติดกระดุม" หรือตัดตรงที่ติดกระดุมทิ้งไป พวกคุณอาจจะยังเด็กเกินไปที่จะเข้าใจ ผมขอลอง ยกตัวอย่างอื่น คือจะเหมือนกับบังคับให้คนเหล่านี้ถอดเสื้อผ้าออก แล้วใส่ชุดคนป่วยของโรงพยาบาล โดยที่ ไม่ผูกหรือติดกระดุมด้านหลัง เป็นการกระทำที่จงใจให้คณะผู้แทนของดาวิดและอิสราเอลอับอาย และเป็น การประกาศสงครามโดยตรงกับดาวิด
ดาวิดรู้สึกสงสารเห็นใจคณะผู้แทนมาก ท่านส่งคนไปพบ และสั่งให้คอยอยู่ทีเยริโคก่อนจนกว่าเคราจะงอก เหมือนเดิม แล้วค่อยกลับอิสราเอล ไม่มีการบันทึกว่าดาวิดเรียกกำลังพลเพื่อไปออกรบ เพียงแต่พูดว่า คน อัมโมนทั้งหลาย "เป็นที่เกลียดชัง35 แก่ดาวิด" (ข้อ 6) แทนที่จะขอโทษและพยายามคืนดีกับดาวิด ชาวอัมโมน36 กลับมองหาพันธมิตรเพื่อมาเสริมกำลังให้พร้อมจะสู้กับอิสราเอล มีการจ้างทหารรับจ้างชาวซีเรีย จากหลายแห่ง (10:6) และเมื่อดาวิดรู้เรื่องนี้ ท่านจึงรวบรวมกองกำลังเตรียมพร้อมรบ
กองทัพของดาวิดออกไปสู้รบกับคนอัมโมนและทหารรับจ้างชาวซีเรีย พันธมิตรกลุ่มนี้แบ่งกองกำลังออกเป็น สองส่วน หมายจะโจมตีอิสราเอลทั้งด้านหน้าและหลัง เมื่อโยอาบเห็นเช่นนั้น ท่านจึงแบ่งกำลังของอิสราเอล เป็นสองส่วน ท่านนำหนึ่งส่วน น้องชายของท่าน อาบีชัยอีกหนึ่งส่วน โยอาบจัดการกับพวกซีเรีย และอาบีชัย จัดการกับพวกอัมโมน ถ้าฝ่ายใดเพลี่ยงพร้ำ อีกฝ่ายจะเข้าไปช่วยทันที คำพูดของข้อ 12 แสดงถึงความเชื่อ ในพระเจ้าก่อน ที่จะออกไปทำการรบ :
"12 จงมีความกล้าหาญเถิด ให้เราเป็นลูกผู้ชายเพื่อชนชาติของเรา และเพื่อหัวเมืองแห่งพระเจ้าของเราและขอพระเจ้าทรง กระทำตาม ที่พระองค์ทรงเห็นชอบเถิด"
(2 ซามูเอล 10:12)
ทหารซีเรียแตกหนีไปต่อหน้าต่อตาโยอาบและกองกำลังของท่าน และเมื่อคนอัมโมนเห็น พวกเขาเริ่มเสียความ มั่นใจ พวกซีเรียแตกหนีกลับบ้านไปแล้ว ชาวอัมโมนจึงรีบรุดไปปกป้องรับบาห์ (ดู 11:1; 12:26) เมืองหลวง แทน ทหารอิสราเอลกลับคืนสู่เยรูซาเล็ม ดาวิดต้องการหยุดไว้เพียงแค่นี้ แต่คนซีเรียยังไม่ได้รับบทเรียนพอ พวกเขาก็เหมือนกับพวกฟิลิสเตียใน 2 ซามูเอล 5 ไม่ยอมแพ้ง่ายๆ ลุกขึ้นมาสู้อีก แล้วก็แพ้อีก เหมือนเดิม พวกซีเรียคิดว่าครั้งนี่น่าจะเอาชนะได้ ถ้าไปนำกองกำลังซีเรียจาก "ฟากตะวันออกของแม่น้ำ" มา(ข้อ 16) ฮาดัดเอเซอร์เป็นผู้นำกองทัพซีเรียในครั้งนี้ เขายังมีปัญหาคาใจกับดาวิดอยู่ (ดู 8:3)
เมื่อดาวิดทราบว่าจะมีการโจมตีครั้งสำคัญอีก ท่านรวบรวมกองกำลังอิสราเอลทั้งหมดข้ามแม่น้ำจอร์แดนไป เพื่อทำสงคราม และอีกครั้งที่ซีเรียหนีแตกกระจายไปจากดาวิดและกองทัพของท่าน ความพ่ายแพ้ครั้งนี้ สูญเสียมากมายมหาศาลกว่าครั้งที่แล้ว ดาวิดฆ่าทหารรถรบไป 700 คน ทหารม้า 40,000 คน ท่านยังฆ่าโชบัค แม่ทัพของซีเรียด้วย ชาวซีเรียเริ่มตาสว่าง มันไม่คุ้มที่จะไปต่อสู้กับกษัตริย์และประชากรของพระเจ้า กษัตริย์ที่ ยังมีชีวิตรอดจึงเจรจาขอสงบศึกกับดาวิด ชาวซีเรียคิดตกแล้วว่า จะไม่พลาดอีกด้วยการไปเป็นพันธมิตรกับคน อัมโมนที่มีปัญหาขัดแย้งกับอิสราเอล ชาวอัมโมนยังไม่ตกเป็นเมืองขึ้นของดาวิด จนกว่าจะถึงบทที่ 11 และ 12
ทุกปีที่มีการเลือกตั้งเราเริ่มมองหาและพิจารณา "คำสัญญาต่างๆ" จากคำโฆษณาหาเสียง ซึ่งเมื่อการเลือก ตั้งผ่านพ้นไป คำโฆษณาเหล่านั้นก็ถูกลืมเลือนไปสิ้น เราไม่ได้คาดหวังว่าผู้ชนะจะทำตามคำสัญญา แต่ถ้า เขาทำ เราเองจะตกใจเพราะคาดไม่ถึง ดาวิดเป็นบุรุษที่รักษาสัญญา ก่อนที่ท่านจะขึ้นเป็นกษัตริย์อิสราเอล ท่านทำสัญญากับทั้งโยนาธานและซาอูล กับโยนาธาน ท่านสัญญาจะปกป้องดูแลครอบครัวของโยนาธาน อย่างดีตลอดไป (1 ซามูเอล 20:12-17) กับซาอูล ท่านสัญญาจะไม่ประหารเชื้อสายของซาอูล (1 ซามูเอล 24:21-22) บัดนี้ทั้งสองสิ้นชีพไปแล้ว และดาวิดขึ้นปกครองแทน ดาวิดจะทำลืม ไม่รักษาสัญญาก็ได้
ดาวิดไม่เพียงแต่จำสัญญาที่มีต่อซาอูลได้เท่านั้น ท่านทำมากกว่า กับซาอูล ดาวิดสัญญาจะไม่ทำอันตราย เชื้อสายของท่าน กับโยนาธาน ดาวิดสัญญาจะมีเมตตาต่อครอบครัวของท่าน แต่ดูเหมือนว่าทั้งเชื้อสายและ คนในครอบครัวของทั้งสองตายสิ้น ไม่มีใครมาหาดาวิดเพื่อติดต่อขอความช่วยเหลือ ดาวิดเมื่อเป็นกษัตริย์ ท่านอยู่ในฐานะที่จะทำตามสัญญาได้ทุกประการ ท่านเพียงแต่ต้องพบคนในครอบครัวนี้ ดาวิดทำการเสาะหา คนในครอบครัวของซาอูล เพื่อท่านจะได้สำแดงความเมตตาเพราะเห็นแก่โยนาธาน (ข้อ 1) ในข้อ 3 ดาวิดพูด ถึงความรักมั่นคง ซึ่งเป็น "ความรักมั่นคงของพระเจ้า" อย่างแน่แท้
ในท่ามกลางมหาดเล็กของดาวิด ไม่มีผู้ใดรู้เรื่องคนในครอบครัวของซาอูลที่รอดตายเลย แต่มีคนจำศิบาห์ มหาดเล็กคนหนึ่งของซาอูลได้ เขาจึงถูกเรียกให้มาเข้าเฝ้า คุณคงพอเดาความรู้สึกหวั่นๆของชายคนนี้ได้ อยู่ดีๆถูกเรียกมาเข้าเฝ้า ดาวิดเป็นเหมือนกษัตริย์คนอื่นหรือเปล่า? ต้องการกำจังร่องรอยของซาอูลให้สิ้นซาก หรือเปล่า? หรือว่าต้องการประหารศิบาห์และครอบครัว? แน่นอนศิบาห์ต้องคิดเรื่องนี้ มากกว่าหนึ่งครั้ง! เขาคง รู้สึกโล่งใจเมื่อได้ยินคำถามของดาวิด "ไม่มีใครในวงศ์ซาอูลยังเหลืออยู่บ้างหรือ เพื่อเราจะได้แสดงความรัก มั่นคงของพระเจ้าต่อเขา?" (ข้อ 3) แน่นอนมี ศิบาห์จำเมฟีโบเชทบุตรของโยนาธานได้ จึงแจ้งแก่ดาวิดว่า ยังมีบุตรคนหนึ่งเหลืออยู่ แต่เขาพิการ เป็นง่อยที่ขาทั้งสองข้าง แน่นอนดาวิดคงไม่ต้องการเลี้ยงดูคนอย่างนี้ หรอก
ผู้เขียนพระธรรม 1 และ 2 ซามูเอลได้เตรียมปูทางมาก่อนหน้านี้ ใน 2 ซามูเอลบทที่ 4 พูดถึงการตายของ อิชโบเชทด้วยน้ำมือของชายสองคน ในท่ามกลางเรื่องน่าสลดนี้ ในข้อ 4 ผู้เขียนจงใจใส่เรื่องสาเหตุความ พิการของเมฟีโบเชทเข้าไป ซึ่งไม่น่าเกี่ยวอะไรกับตอนนั้น ที่จริงผู้เขียนกำลังปูทางให้ผู้อ่านเพื่อมาถึงบทนี้ และในระหว่างทาง ผู้เขียนเล่าอีกเรื่องหนึ่งในช่วงการเข้ายึดครองเมืองเยบุสในบทที่ 5 มีการพูดถึงคน "ง่อย" ถึงสามครั้งในบทนี้ (ข้อ 6 และ 8) คนเมืองเยบุสมั่นใจมากว่าไม่มีทางแพ้ ถึงกับตะโกนโม้ว่า "แค่คนตาบอด หรือคนง่อย" ก็จะป้องกันเมืองไว้ได้ เมื่อดาวิดยึดเมืองนี้ได้แล้ว มีคำกล่าวกันในหมู่ประชาชนว่า "อย่าให้ คนตาบอดและคนง่อยเข้ามาในพระนิเวศ" (ข้อ 8)
ตอนนี้เรากลับพบว่าดาวิดกำลังตามหาบุตรที่หลงเหลืออยู่ในครอบครัวของซาอูลและโยนาธาน เพื่อท่านจะ สำแดงสัจกรุณาได้ มีบุตรง่อยคนเดียวของโยนาธานเป็นผู้เข้าชิง ถ้าเป็นจริงตามคำกล่าวที่ว่าคนง่อยไม่ได้ รับอนุญาติให้เข้าไปในพระนิเวศน์ในเยรูซาเล็ม แน่นอนคนง่อยต้องไม่ควรได้รับอนุญาติให้เข้าไปในพระราชวัง ด้วย แต่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว ดาวิดให้้คนไปรับเมฟีโบเชทมาจากที่ท่านอาศัยอยู่ที่เมืองโลเดบาห์ เป็นเมือง ทางตะวันออกของจอร์แดน ข้ามเมืองมาฮานาอิมไป ซึ่งน่าจะอยู่ที่ชายแดนอิสราเอลติดกับอัมโมน ดูเหมือน ว่าเมฟีโบเชทต้องการอยู่ให้ใกลจากดาวิดและเยรูซาเล็มให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะคิดว่าตนถูกหมาย หัวไว้ รอว่าเข้าใกล้กรุงเยรูซาเล็มเมื่อไรจะถูกประหารทันที เมื่อท่านมาเข้าเฝ้าดาวิด ท่านซบหน้าลงกราบ ถวายบังคม ดาิวิดเข้าใจดีว่าท่านคงกลัวจึงปลอบใจ ดาวิดไม่มีความตั้งใจจะทำร้ายเมฟีโบเชท ; ท่านเพียงแต่ ต้องการแสดงความรักและกรุณาเพราะเห็นแก่โยนาธานผู้เป็นบิดา ท่านสัญญาจะประทานแผ่นดินที่เป็นของ บิดาคืนให้ แผ่นดินที่สูญเสียไปหลังจากที่ซาอูลและโยนาธานตาย ดาวิดไม่เพียงแต่จะคืนแผ่นดินที่เป็น ทรัพย์สมบัติตกทอดให้เมฟีโบเชทเท่านั้น ท่านยังจะได้เป็นแขกรับเชิญเป็นประจำที่โต๊ะเสวยด้วย
เมฟีโบเชทรู้สึกโล่งใจและสำนึกในบุญคุณของดาวิด ท่านซบหน้าลงถึงดินและกราบไหว้อีกครั้ง กล่าวว่า ท่านเป็นเพียง "สุนัขตาย" เท่านั้น ดาวิดเคยใช้คำพูดทำนองเดียวกันนี้เรียกตนเองเมื่อตอนเจรจากับซาอูล (1 ซามูเอล 24:14) ดาวิดต้องการย้ำให้ซาอูลมั่นใจว่าท่านไม่เป็นอันตรายต่อซาอูล ไม่ว่าซาอูลเคยได้ยินมา อย่างไรก็ตาม เมฟีโบเชทต้องการแสดงให้เห็นชัดเจนว่าท่านเป็นคนทุพพลภาพ คนที่เดินไม่ได้ไม่สมควรเป็น กษัตริย์ เป็นผู้นำกองทัพออกสู่สงคราม :
6 อาโดนีเบเซกหนีไป แต่เขาตามจับได้ตัดนิ้วหัวแม่มือ และนิ้วหัวแม่เท้าของท่าน
ออกเสีย 7 อาโดนีเบเซกกล่าวว่า "มีกษัตริย์เจ็ดสิบองค์ที่มีหัวแม่มือและหัวแม่เท้า
ด้วน เก็บเศษอาหารอยู่ใต้โต๊ะของเรา เรากระทำแก่เขาอย่างไร พระเจ้าจึงทรงกระทำ
แก่เราอย่างนั้น" เขาทั้งหลายก็คุมตัวท่านมาที่กรุงเยรูซาเล็ม และท่านก็สิ้นชีวิตที่นั่น (ผู้วินิจฉัย 1:6-7)
จะทำให้กษัตริย์หมดความหมายได้ก็ต้องตัดนิ้วหัวแม่มือและนิ้วหัวแม่เท้า พวกเขาจะยืนหรือวิ่งไปมาใน สนามรบไม่ได้ หรือไม่สามารถจับอาวุธได้ถนัด เมื่อกษัตริย์องค์ใดรบชนะ เขาจะตัดนิ้วหัวแม่มือและนิ้ว หัวแม่เท้าของฝ่ายตรงข้าม ไม่ฆ่าแต่เก็บไว้แสดงถึงชัยชนะ กษัตริย์พิการพวกนี้ต้องนั่งอยู่ใต้โต๊ะเสวย คอยเก็บเศษอาหารที่ตกกิน คงไม่นับว่าเป็นแขกรับเชิญที่โต๊ะเสวยแน่ๆ ; แต่เป็นถ้วยรางวัลที่รบชนะ ดาวิดไม่เคยคิดจะทำเช่นนั้นกับเมฟีโบเชท ท่านไม่ได้ต้องการเอาตัวเมฟีโบเชทมาอวด แต่ต้องการให้ เป็นแขกรับเชิญที่โต๊ะเสวย เป็นบุตรของเพื่อนรักอย่างโยนาธาน เป็นการสำแดงบุญคุณอย่างน่าทึ่งจริงๆ
ดาวิดออกคำสั่งศิบาห์ สั่งว่าทุกสิ่งที่เคยเป็นของซาอูลให้มอบคืนให้เมฟีโบเชทแทน ดาวิดจัดให้ศิบาห์และ บุตร (ผู้ซึ่งถูกปลดจากหน้าที่ไปโดยปริยายเมื่อซาอูลและบุตรตายลง) ทำหน้าที่เป็นผู้รับใช้เมฟีโบเชทแทน ศิบาห์ ตอบรับด้วยความยินดี จากนี้ไป เมฟีโบเชทจะเป็นแขกรับเชิญประจำที่โต๊ะเสวยของดาวิด รับประทานกับท่าน ไม่ใช่เป็นเชลยศึกที่น่าอับอาย แต่เป็นดังบุตร เป็นสมาชิกในครอบครัว (ข้อ 11)
พระธรรมตอนนี้มีบทเรียนมากมายสำหรับเรา ซึ่งเราจะค่อยๆนำมาพิจารณากันในบทสรุปนี้
ข้อแรก พระธรรมตอนนี้แสดงให้เห็นถึงพระหัตถ์แห่งการจัดเตรียมของพระเจ้า เพื่อการดีทุกสิ่ง สำหรับผู้ที่เชื่อในพระองค์ สงครามที่ดาวิดต่อสู้กับบรรดาศัตรูรอบด้านของอิสราเอล เป็นการต่อสู้ที่พระเจ้า เตรียมตัวให้ก่อน ตั้งแต่ครั้งที่คอยหลบหนีซาอูล ในบทที่ 5 พวกฟิลิสเตียยกมาโจมตีอิสราเอล เจาะจงมาต่อสู้ กับดาวิด เรารู้จากพระธรรมตอนเดียวกันนี้ใน 1 พงศาวดาร 11:15-16 ว่าท่านใช้ถ้ำอดุลลัมเป็นที่กำบัง คุณว่า น่าสนใจไหม ที่หลบซ่อนตัวของดาวิดในสมัยซาอูลกลายเป็นที่กำบังอย่างดีต่อศัตรูรอบด้านที่มารุกราน? ใน 2 ซามูเอล 8:1 ดาวิดสู้กับพวกฟิลิสเตียและยึดเอาหัวเมืองใหญ่ที่สุดได้ เรารู้จาก 1 พงศาวดาร 18:1 ว่าเมือง ใหญ่นี้ไม่ใช่อื่นใด คือเมืองกัทนั่นเอง ตลอดเวลาที่ดาวิดหนีซาอูลไปลี้ภัยอยู่ที่เมืองกัท ท่านคงลอบสำรวจเมือง นี้จนปรุ และท่านก็สามารถโจมตีและยึดได้ในที่สุด เรารู้ว่าเมื่อดาวิดหนีซาอูลไปอยู่ที่โมอับ ท่านคงลี้ภัย ไปอยู่ตามเมืองต่างๆรอบด้าน และเมื่อดาวิดได้เป็นกษัตริย์อิสราเอลแล้ว ท่านใช้ข้อมูลที่มีอยู่มาทำให้ได้ เปรียบในทางทหาร เราได้อ่านคำทูลวิงวอนของดาวิดต่อพระเจ้าในระหว่างหลบหนีซาอูลตามที่บันทึกอยูใน พระธรรมสดุดี ท่านทูลถามพระเจ้าว่า "ทำไม?" แต่ท่านก็ไม่ได้คำตอบในตอนนั้น ตอนนี้เราเริ่มเห็นคำตอบบ้าง แล้ว พระเจ้าทรงเตรียมดาวิดในระหว่างที่ท่านหลบหนีซาอูล เพื่อจะขึ้นต่อสู้ได้ในฐานะกษัตริย์ของอิสราเอล ผมคิดว่า บิลล์ ก็อทฮาร์ทเคยพูดถึงสมัยที่อิสราเอลเป็นทาสอยู่ในอียิปต์ว่า เป็นเหมือนอยู่ในค่ายฝึกฝน เตรียม พร้อมสำหรับวันอันยากลำบากในถิ่นทุรกันดารในช่วงอพยพไปสู่ดินแดนแห่งพันธสัญญา น้ำตาของเรา ความ โศกเศร้า และการทนทุกข์นานา ไม่เคยสูญเปล่า ; มีจุดมุ่งหมายเสมอ และจุดมุ่งหมายนั้นเป็นเพื่อพระสิริของ พระเจ้า และเพื่อการดีทั้งสิ้นของเรา
แต่เดี๋ยว ยังมีอีกครับ! ชั้นเชิงทางทหารและการเมืองที่เราเห็นในพระธรรมตอนนี้ เป็นการจัดเตรียมที่พระเจ้ามี ต่ออิสราเอล เพื่อให้ได้มาซึ่งชัยชนะและเข้ายึดครองแผ่นดินที่พระเจ้าทรงสัญญาไว้กับประชากรของพระองค์ เมื่อนานมาแล้ว เครื่องบรรณาการที่ดาวิดได้รับจากบรรดาเมืองขึ้นที่เคยเป็นศัตรู จะเป็นวัตถุดิบที่เตรียมไว้ สำหรับการสร้างพระวิหารในอนาคต เหตุการณ์ตอนนี้ไม่เพียงแต่ทำพระสัญญาที่มีต่อดาวิดในบทที่ 7ให้สำเร็จ ลง แต่ทำพระสัญญาที่พระเจ้าทรงทำไว้กับอับราฮัม บรรดาบรรพบุรุษและโมเสสเมื่อครั้งโบราณกาลให้สำเร็จ ลงด้วย
ข้อสอง สิ่งที่ดาวิดกระทำในพระธรรมตอนนี้ เป็นสิ่งที่ทำล่วงหน้าการเสด็จมาขององค์พระเยซูคริสต์ ในฐานะกษัตริย์ของอิสราเอล กษัตริย์ของพระเจ้าเป็นแบบใด? เป็นคำถามที่อยู่ในใจของทุกคนที่รอคอยการ เสด็จมาของพระองค์ ผู้เผยพระวจนะในพระคัมภีร์เดิมเองก็เคยสงสัย :
10 บรรดาผู้เผยพระวจนะผู้ได้พยากรณ์ถึงพระคุณซึ่งจะบังเกิดแก่ท่านทั้งหลาย ก็ได้สืบค้นและสอบถามเกี่ยวกับเรื่องความรอดนี้ 11 เขาได้สืบค้นหาบุคคลและ
เวลา ซึ่งพระวิญญาณของพระคริสต์ผู้ทรงสถิตอยู่ในตัวเขาได้ทรงบ่งไว้ เมื่อเขา ได้ทำนายถึงความทุกข์ทรมานของพระคริสต์ และถึงพระสิริที่จะมาภายหลัง
(1 เปโตร 1:10-11)
พระเมสซิยาห์ที่ทรงสัญญา ด้านหนึ่งคือผู้รับใช้ที่ต้องทนทุกข์ ถูกมนุษย์ปฏิเสธ และได้สละชีวิตของพระองค์ เองเพื่อคนบาป (อิสยาห์ 52:13—53:12) อีกด้านหนึ่ง พระเมสซิยาห์จะเป็นกษัตริย์แห่งชัยชนะ จะมีชัยเหนือ บรรดาศัตรู และจะจัดตั้งอาณาจักรของพระองค์ขึ้น (ดูสดุดี 2) มนุษย์ไม่อาจเข้าใจได้ว่าสองสิ่งนี้จะเป็นจริง อย่างไร เป็นเพราะพวกเขาไม่อาจเข้าใจได้ว่าพระเมสซิยาห์จะเสด็จมาบนโลกนี้สองครั้ง : ครั้งแรกเพื่อถูก มนุษย์ปฏิเสธ และเื่พื่อตายแทนความบาปของผู้ที่หลงหาย ; ครั้งที่สองเพื่อโค่นล้มบรรดาผู้ชั่วร้ายลง และเพื่อ ปกครองอาณาจักรของพระองค์
ในบทที่ 8-10 ดาวิดเป็นเหมือนภาพของพระคริสต์ ท่านจัดตั้งอาณาจักรขึ้นโดยมีชัยเหนือบรรดาศัตรูของ อิสราเอล ทำให้พวกนี้ตกเป็นเมืองขึ้น อีกด้านหนึ่งดาวิดแสดงความกรุณาต่อเมฟีโบเชท บุตรของโยนาธาน หลานของซาอูล เมฟีโบเชทเป็นผู้สืบราชวงศ์คนเดียวที่เหลืออยู่ของซาอูล ผู้ชิงชัยคนสุดท้ายสำหรับกษัตริย์ โดยทั่วไป กษัตริย์ที่ขึ้นครองแบบดาวิดจะฆ่าทุกคนที่เป็นอันตรายต่อราชบัลลังก์ แต่ดาวิดกลับไปเสาะหาชาย คนนี้และแสดงความกรุณา ไม่ใช่เป็นเพราะคนนี้จะสร้างผลประโยชน์หรือทำสิ่งใดให้แก่ดาวิดหรืออาณาจักร แต่เพราะเป็นง่อย ซึ่งไร้ค่าในสายตามนุษย์ ไม่ใช่เพราะเมฟีโบเชทมีค่าสำหรับดาวิด จนถึงกับทำให้ท่านต้อง เข้ามาอุ้มชู แต่เป็นเพราะความรักที่ดาวิดมีต่อเพื่อนรักอย่างโยนาธาน บิดาของเมฟีโบเชท
บทที่ 8-10 เตือนให้เรานึกถึงสองมิติของพระเจ้า และกษัตริย์ของพระองค์ — ปกครองด้วยอำนาจอธิปไตย และพระคุณ — กลมกลืนกันอย่างสมบูรณ์ พระคุณของพระเจ้าเป็นพระคุณอย่างอธิปไตย เป็นพระคุณที่เราแสวง หาเองไม่ได้ หรือสมควรได้รับ แต่เป็นสิ่งที่พระองค์เทลงมาเหนือบรรดาผู้ที่พระองค์เลือกสรร เป็นพระเมตตา ล้วนๆของพระองค์ พระเจ้าปกครองด้วยความชอบธรรม ทำให้มีชัยเหนือบรรดาศัตรูทั้งสิ้นของพระองค์ พระเจ้า จะทำลายศัตรู เช่นเดียวกับที่พระองค์เคยทำมาแล้วในอดีต
มนุษย์ไม่ต้องการคิดถึงพระเจ้าในรูปแบบนี้ พวกเขาต้องการแต่จะคิดว่าพระเจ้าคือผู้ที่ประทานพระคุณให้แก่ เฉพาะคนที่สมควรได้ พวกเขาไม่ชอบพระคุณ เพราะใช้ไปโอ้อวดไม่ได้ พวกเขาไม่ชอบพระคุณ เพราะพวก เขาเอาไปอ้างว่าทำเองไม่ได้ หรือคิดว่าตนสมควรได้ พระเจ้าไม่จำเป็นต้องขึ้นกับใครในการที่พระองค์จะ ประทานพระคุณ และมนุษย์ก็ไม่ชอบคิดถึงพระเจ้าในแง่ของอำนาจอธิปไตยเหนือศัตรู พวกเขาไม่ชอบคิด เรื่องที่พระองค์ส่งพระเมสซิยาห์มาบนโลกนี้ เพื่อมีชัยเหนือศัตรู และจัดตั้งบัลลังก์ของพระองค์บนความชอบธรรม พวกเขาไม่ชอบคิดเรื่องนรกหรือการทนทรมาณชั่วกับชั่วกัลป์ของคนชั่ว เราเห็นมิติทั้งสองด้านของพระเจ้า ในดาวิด เป็นลักษณะที่คนชั่วคร้ามเกรง หรือไม่พอใจ แต่กลับเป็นคุณลักษณะที่คริสเตียนชื่นชมยินดี เรารู้ว่าเรารอดแล้วโดยพระคุณพระเจ้า เราทั้งหลาย ก็เหมือนกับเมฟีโบเชท ไม่สมควรแก่พระกรุณา เราน่าจะ เป็นที่ไม่ชอบใจของพระเจ้า แต่ถึงแม้เราตกอยู่ในสภาพที่น่าสมเพชเพียงใด พระเจ้าก็ทรงเลือกที่จะทุ่มเท ความรักให้เรา เพราะพระองค์ทรงรักพระบุตรองค์เดียว คือพระเยซูคริสต์ พระเจ้าทรงรักและอวยพระพรแก่เรา เพราะองค์พระคริสต์ เช่นเดียวกับที่ดาิวิดรักและมีกรุณาต่อเมฟีโบเชทเพราะเห็นแก่โยนาธานผู้เป็นบิดา ดาวิด ได้สำแดงภาพที่สวยงามมากในตอนนี้ ภาพของพระเจ้าและกษัตริย์ของพระองค์ คือองค์พระเยซูคริสต์
เป็นไปได้ที่คุณยังไม่ได้มามีส่วนเกี่ยวข้องกับพระเจ้า เหมือนกับที่เมฟีโบเชทมาเกี่ยวข้องกับดาวิด คุณก็เหมือน กับเมฟีโบเชท ต้องมาถึงจุดที่ตระหนักว่าคุณไม่สมควรที่จะอยู่ต่อเบื้องพระพักตร์พระเจ้า ต้องถ่อมใจลงรับพระ กรุณาที่มีมาถึงโดยทางพระบุตร คือองค์พระเยซูคริสต์ โดยการยอมรับว่าคุณเป็นคนบาป ยอมรับการจัดเตรียม ที่พระองค์ทำไว้สำหรับลบล้างบาปในองค์พระเยซูคริสต์ ผู้ทรงสละพระชนม์ไถ่บาปแทนเรา และทำให้เราเป็น คนชอบธรรมในสายพระเนตรพระเจ้า และสามารถมีสามัคคีธรรมกับพระองค์ได้ พระเจ้าเชิญเราให้มาร่วม โต๊ะเสวย เมื่อเราเข้ามาวางใจในองค์พระเยซูพระบุตร (ดูสดุดี 23; วิวรณ์ 3:20)
ข้อสาม พระธรรมตอนนี้เป็นแบบอย่างที่ดีในการใช้อำนาจบริหาร และกลายเป็นตัวเปรียบเทียบ เมื่อดาวิดใช้อำนาจนี้ในทางที่ผิดในอีกสองบทต่อไป เราเห็นใน 2 ซามูเอลว่าเรื่องราวของดาวิดค่อยๆ เปิดเผยออกมา ท่านขึ้นมามีอำนาจได้อย่างไร เมื่อซาอูลถูกพระเจ้าปลดออกจากอำนาจ รวมทั้งบุตรของท่าน อิชโบเชทด้วย ดาวิดถูกแต่งตั้งขึ้นเป็นกษัตริย์ เริ่มที่ยูดาห์ก่อน และต่อมาอิสราเอลทั้งหมด บัดนี้ดาวิดได้ ครอบครองบัลลังก์อย่างสมบูรณ์แล้ว ท่านยึดเมืองเยบุสได้ และตั้งขึ้นเป็นกรุงเยรูซาเล็ม เมืองหลวงของท่าน ดาวิดเผชิญหน้ากับบรรดาศัตรูและมีชัย ท่านใช้อำนาจที่พระเจ้าประทานให้ ทำพระประสงค์ของพระองค์ ให้สำเร็จ เอาชนะประเทศรอบด้าน และเข้าครอบครองดินแดนแห่งพันธสัญญา ท่านแสดงความกรุณาต่อคน ที่ช่วยตนเองไม่ได้ ดาวิดใช้อำนาจที่พระเจ้ามอบให้อย่างเหมาะสม เป็นคนต้นเรือนที่ดี ทำให้เราเห็นภาพ พระเมสซิยาห์ว่าเป็นอย่างไร และจะเป็นอย่างไรเมื่อพระองค์เสด็จกลับมาอีกครั้ง เพื่อจัดตั้งอาณาจักรของ พระองค์
บทเรียนสามบทที่ผ่านมานี้ จะเป็นตัวเปรียบเทียบอย่างดี ถึงทัศนคติและการกระทำของดาวิดที่เปลี่ยนไปใน บทที่ 11 บทที่ 11 เป็นการที่ดาวิดใช้อำนาจอย่างไม่ถูกต้อง ท่านใช้อำนาจที่มีอยู่ อยู่แต่ในวังและส่งกองทัพ ออกไปรบแทน ท่านใช้อำนาจไปแย่งนางบัทเชบามา และฆ่าสามีของนางเสีย ภาพของดาวิดที่จุดสูงสุดของ ความสำเร็จในบทที่ 8-10 ทำให้เห็นถึงความตกต่ำที่ท่านถลำลึกลงมาในบทที่ 11 และ 12 ขอให้เราเรียนรู้ว่า การเติบโตสูงสุดฝ่ายจิตวิญญาณ ไม่ได้เป็นเครื่องรับรองว่าเราจะไม่่พลาดตกลงมา แต่อาจเป็นสิ่งที่ช่วยเตรียม เราให้พร้อมเมื่อเราพลาดตกลงมา
31 การเอาชนะพวกฟิลิสเตียในสงคราม กับการเข้าควบคุมพวกเขานั้นแตกต่างกันค่อนข้างมาก การเข้าควบคุม คือการยุติการปกครองและให้มาอยู่ภายใต้การควบคุมของดาวิดและอิสราเอลแทน พวกเขาไม่มีอิทธพลต่อ ดาวิดหรืออิสราเอลอีกต่อไป
32 "ต้นฉบับภาษาฮีบรูพูดว่าดาวิดสู้รบกับ ‘คนอาราเมียนในหุบเขาเกลือ’ (ข้อ 13) ทำให้เกิดความสงสัยว่า คำว่า ‘อาราเมียน’ ถูกต้องหรือเปล่า เนื้อหาในข้อ 13 น่าจะเกิดจากความผิดพลาดของผู้คัดลอก ซึ่งนัก วิชาการพระคัมภีร์แทบทุกคนเห็นด้วย จาก 1 พงศาวดาร 18:12, หัวข้อสดุดี 40 และเนื้อหาของบทนั้นพูดถึง เอโดม ไม่ใช่ซีเรียที่เป็นฝ่ายพ่ายแพ้ที่หุบเขาเกลือ … . ถ้าศึกษาตัวอักษรในภาษาฮีบรูให้ดี จะเห็นชัดว่ามี ความสับสนระหว่างคำdalet และ resh ที่ผู้คัดลอกเขียนไว้ " อ้างอิงจากข้อเขียนของ John J. Davis และ John C. Whitcomb จากหนังสือ Israel From Conquest to Exile: A Commentary on Joshua—2 Kings (Winona Lake, Indiana: BMH Books, 1994) หน้า 296.
33 ยากที่จะแน่ใจว่าหมายถึงตาขวาของผู้ชายเท่านั้น หรือรวมทั้งผู้หญิงและเด็กๆด้วย มีการเจรจากันระหว่าง ผู้ชาย ของเมืองยาเบชกิเลอาด และนาหาช และบรรดาคนที่จะไปสู้กับคนอัมโมน ดังนั้นผมขอสรุปว่า เฉพาะคน ที่ออกไปสู้รบเท่านั้น ที่จะถูกควักตาขวาออก ทำให้หมดความสามารถออกไปสู้รบได้
34 เป็นคำเลือกใช้ครับ จะถือตามนี้หรือไม่ถือตามก็ได้
35 เทียบกับ 1 ซามูเอล 13:4.
36 ผมพบว่าน่าสนใจที่ผู้เขียนบันทึกว่า "คนอัมโมนทั้งหลาย" ส่งคนไปจ้างชาวซีเรียให้มาช่วยรบกับอิสราเอล ทำไมไม่ใช่ฮานูน กษัตริย์ของพวกเขา? หรือว่าฮานูนถูกพวกผู้ใหญ่ของอัมโมนครอบงำอยู่เบื้องหลัง แบบเดียว กับที่อิชโบเชทถูกอับเนอร์ครอบงำ?
ตอนที่คุณยายปาล์์มเมอร์ของผมยังมีชีวิตอยู่ ท่านอาศัยอยู่ในฟาร์มนอกเมืองเชลตัน มลรัฐวอชิงตัน ตรงทาง เข้าฟาร์ม มีที่โล่งๆอยู่แปลงหนึ่ง มีคนเอารถพ่วงที่เป็นบ้านมาจอดไว้ ผมจำได้ว่ามีผู้หญิงคนหนึ่งอาศัยอยู่กับ สามีที่นานๆมาครั้ง สามีถูกจำคุกอยู่พักหนึ่ง เป็นพวกชอบใช้ความรุนแรง เวลาที่สามีกลับมาหาภรรยาที่รถพ่วงนี้ มักจะพบว่ามีผู้ชายคนอื่นอยู่ด้วยเสมอ มีการโต้เถียงกันเกิดขึ้น ตามมาด้วยแลกหมัด แล้วในที่สุดผู้ชายแปลก หน้าก็จะชักมีดออกมา แล้วสั่งให้สามีไปเสีย ไปครับ แต่มีเสียงรอดไรฟันออกมาทำนองว่า ฝากเอาไว้ก่อนเถอะ
สองสามชั่วโมงจากนั้น ลุงผมขับรถมาเยี่ยมคุณยาย ขับมาถึงตรงทางเข้า ใกล้ๆกับรถพ่วงที่มีกรณีคาใจคันนี้ แหละครับ แต่ลุงผมดันมีรถที่มีหน้าตาเหมือนกับที่ชายแปลกหน้าขับมาหาผู้หญิงรถพ่วงคนนี้ตั้งแต่ตอนเช้า เสียงปืนดังสนั่นขึ้น เหมือนกับที่สามีลั่นวาจาไว้ทุกประการ กระสุนปืนไรเฟิ้ลทะลุกระจกหน้ารถเข้ามา และฆ่า ลุงผมตายในทันที — ด้วยความเข้าใจผิด สามีขี้โมโหได้ฆ่าลุงผมตาย ด้วยความเข้าใจผิด คิดว่าเป็นคู่กรณี
โศกนาฏกรรมหลายครั้งเกิดขึ้นอย่างไม่คาดฝัน เพราะเป็นผลพวงมาจากเหตุการณ์อื่นๆ และเป็นกรณีเดียวกับ ที่เกิดขึ้นกับดาวิด พักรบพบรักครับ เมื่อดาวิดพักรบจากสงครามชั่วคราว ท่านนอนเล่นอยู่กับบ้าน แล้วยามเย็น ก็ไปเดินเล่นบนดาดฟ้าพระราชวังในกรุงเยรูซาเล็ม โดยบังเอิญ ดาวิดเห็นสตรีนางหนึ่งกำลังอาบน้ำอยู่ เป็น ภาพที่ดาวิดไม่อาจละสายตาไปได้ ต่อมามีการเสาะหาชื่อเสียงเรียงนามว่าสตรีผู้นี้เป็นใคร ไม่ช้านางก็ถูก เรียก ให้มาเข้าเฝ้าที่พระราชวัง และทีสุด เฝ้าที่่ห้องพระบรรทม ที่ดาวิดมีสัมพันธ์กับนาง ถึงแม้ท่านรู้อยู่เต็มอกว่า นางเป็นภรรยาของอุรียาห์ นักรบในกองทัพอิสราเอล ไม่ช้านางก็ตั้งครรภ์ ดาวิดจึงไปตามตัวสามีกลับมา ด้วย หวังว่าเขาเป็นเหมือนผู้ทำให้ภรรยาท้อง แต่ไม่สำเร็จ ดาวิดจึงสั่งโยอาบ แม่ทัพอิสราเอล ให้พยายามทำให้ อุรียาห์ต้องตายในสนามรบ ดูเป็นการฆาตรกรรมที่สมบูรณ์แบบ แต่ความบาปของดาวิดก็ถูกเปิดเผย และต้องถูก จัดการโดยนาธัน ผู้เผยพระวจนะของพระเจ้า
เหตุการณ์ที่เกิดต่อเนื่องกันมา และตามด้วยโศกนาฎกรรมเป็นหัวข้อบทเรียนในตอนนี้ คือบทที่ 11 และ 12 ของ 2 ซามูเอล ผมเลือกที่จะแบ่งอธิบายบทเรียนในเรื่องนี้ออกเป็นสามบท บทแรกจะเป็นเรื่องของ "ดาวิดและนาง บัทเชบา" ตามที่บันทึกอยู่ใน 11:1-4 ในบทต่อไป จะเป็นเรื่องของ "ดาวิด และอุรียาห์" ตามที่บันทึกอยู่ใน 11: 5-27 บทที่สามจะเป็นเรื่องของ "ดาวิด และนาธัน" ซึ่งจะอยู่ข้ามออกไปถึงบทที่ 12 บทเรียนตอนนี้เป็นเรื่องของ บาปแห่งการล่วงประเวณีและฆาตรกรรม ขอให้แน่ใจเถิดว่ายังมีเรื่องอื่นๆอีกนอกเหนือจากนี้ เป็นบทเรียนที่เรา ทั้งหลายต้องเรียนรู้และระมัดระวังตัวให้ดี เพราะขนาด "บุรุษที่ทำตามพระเจ้าจนสุดใจ" ยังล้มลงได้ อย่าง รวดเร็วและถลำลึกมากด้วย เราเองก็สามารถล้มลงในความผิดเดียวกันได้ ขอให้พระวิญญาณของพระเจ้า นำพระวจนะ ตอนนี้ให้ส่องสว่างภายในใจเราทุกคน ในขณะที่ศึกษาบทเรียนนี้ด้วยกัน
ก่อนที่เราจะมาเรียนข้อ 1-4 ในบทที่ 11 ให้ละเอียด ผมขออนุญาติออกความเห็นสองสามข้อเกี่ยวกับเหตุ การณ์ต่างๆในพระธรรมสองบทนี้ของ 2 ซามูเอล แรกผมอยากให้คุณสังเกตุ "กฎเกณฑ์แห่งความเหมาะสม" มีเพียงสามข้อเท่านั้นที่พูดถึงบาปล่วงประเวณีที่ดาวิดทำกับนางบัทเชบา สองผู้เขียนไม่ได้หมกมุ่นในความชั่ว ร้ายของบาปนี้มาก แต่ประวัติศาสตร์ไม่ได้ถูกบันทึกเพื่อให้ดาวิดดูดีพร้อม สามบาปของดาวิดและนางบัทเชบา ถูกจัดการไปตามครรลองในประวัติศาสตร์ ไม่ใช่ในสไตล์ฮอลลีวู้ด คนทำภาพยนตร์ในฮอลลีวู้ดจะจงใจทำ เรื่องราวตอนนี้ให้ออกมาในแนวทางเพศ แต่ไม่มีส่วนใดในพระธรรมตอนนี้ที่ทำให้เราคิดหรือกระทำในทาง สกปรกได้ แต่กลับถูกเล่าในแบบที่ฟังแล้วขนหัวลุกด้วยความเกรงกลัว
อิสราเอลกำลังทำสงครามกับไม่ใช่ใครอื่น คนอัมโมนนั่นเอง (ข้อ 1) ซึ่งเป็นเรื่องประหลาดใจของผมพอๆกับ ของคุณแหละครับ ผมคิดว่าพวกอัมโมนแพ้ไปแล้วตั้งแต่ในบทที่ 10 ผมคิดผิดครับ ผู้เขียนบันทึกไว้ชัดเจน มากในบทที่ 8 ผู้เขียนเล่าถึงการที่ดาวิดเริ่มออกไปสู้ศึกสงคราม ยุิติการต้องเป็นเมืองขึ้นของประเทศรอบ ด้าน ดาวิดได้ฟิลิสเตียเป็นเมืองขึ้น (8:1) ต่อมาโมอับ (8:2) และต่อมาไปจัดการกับกษัตริย์เมืองโศบาห์ (8: 3) ในระหว่างนั้น ประเทศอื่นๆพยายามเข้ามามีส่วน แต่กลับพบว่าอิสราเอลเข้มแข็งเกินกว่าจะต่อต้านได้
ในบทที่ 10 เราเห็นว่าดาวิดและคนอิสราเอลถูกกษัตริย์ฮานูนแห่งอัมโมนปฏิบัติต่ออย่างดูหมิ่น ดาวิดเคยเป็น มิตรกับนาหาช กษัตริย์องค์ก่อน เมื่อนาหาชตายลง ดาวิดส่งคณะผู้แทนไปแสดงความเคารพศพ และปลอบ ประโลมในความสูญเสีย ดูเหมือนคนอัมโมนไม่ต้องการจะญาติดีกับดาวิดและอิสราเอลอีกต่อไป พวกเขาจึง ทำการหยาบหยามต่อคณะผู้แทนที่ดาวิดส่งไป ทำให้เกิดสงครามระหว่างอิสราเอลและอัมโมน คนอัมโมนจ้าง ทหารซีเรียมาเป็นพันธมิตรช่วยร่วมรบต่อต้านดาวิด การปะทะกันครั้งแรก พวกซีเรียหนีแตกกระเจิง ทำให้พวก อัมโมนต้องล่าถอยกลับเข้า "เมือง" ไป (10:14; คงต้องเป็นเมืองรับบาห์ — ดู 12:26) พวกซีเรียไม่พอใจที่ พ่ายแพ้ ต้องการมาสู้กันใหม่ แต่พวกเขาก็แพ้อีก ทำให้พวกเขาล้มเลิกความคิดที่จะไปช่วยเสริมกำลังให้กับ คนอัมโมนในสงครามครั้งต่อๆไป
เห็นหรือยังครับ ว่าอัมโมนยังไม่ได้เป็นเมืองขึ้นของอิสราเอลในบทที่ 10 เพียงแต่ไม่ได้รับความช่วยเหลือ จากซีเรียอีกต่อไป ตอนนี้ต้องสู้เองตามลำพัง อิสราเอลจึงถือโอกาสนี้เข้าทำลายแผ่นดินอัมโมน และล้อม เมืองหลวงรับบาห์ไว้ (11:1; ดู 1 พงศาวดาร 20:1) เมืองรับบาห์นี้ปัจจุบันคือเมืองอัมมานประเทศจอร์แดน และเมืองนี้ยังไม่ตกเป็นเมืองขึ้นของอิสราเอลจนกระทั่งหลังจากที่ดาวิดถูกผู้เผยพระวนะนาธันตำหนิเรื่อง ความบาปที่ทำกับนางบัทเชบา (2 ซามูเอล 12:26-31)
ผู้เขียนบันทึกไว้ว่าเป็นฤดูแล้ง เป็นเวลาที่กษัตริย์ต้องออกไปรบ (11:1) สภาพอากาศมักเป็นอุปสรรคต่อการรบ สงครามจะชนะหรือแพ้บางทีก็ขึ้นอยู่กับสภาพอากาศ หน้าหนาวไม่เหมาะจะออกรบ เพราะทั้งหนาวทั้งเปียก แฉะ การไปตั้งค่ายอยู่ในที่โล่ง (เหมือนกับพวกที่ล้อมเมืองรับบาห์อยู่ต้องเผชิญ — ดู 11:11) ทำให้การรบยุ่ง ยากขึ้น ล้อรถรบติดหล่มอยู่ในโคลน และยังมีปัญหาอื่นๆอีก ดังนั้นพวกกษัตริย์จึงพักรบในฤดูหนาว จะเริ่มอีก ทีก็ในฤดูแล้ง ในฤดูแล้งนั้น อิสราเอลยังทำสงครามติดพันอยู่กับพวกอัมโมน และสมควรจะต้องให้ภาระกิจสิ้น สุดลงด้วยการให้มาเป็นเมืองขึ้น กองทัพชุมนุมกัน ภายใต้บัญชาการของโยอาบและเจ้าหน้าที่ และ "อิสราเอล ทั้งสิ้น " พวกเขาออกไปเพื่อนำชัยชนะเหนืออัมโมนมาให้ได้ ดูเหมือนคนพวกนี้ยังหลบอยู่ในเมืองหลวง และ ตามป้อมต่างๆในเมืองรับบาห์
ชายทุกคนที่รบได้ ต่างออกไปรบ ยกเว้นแต่เพียงคนเดียว — ดาวิด มีการบันทึกไว้ว่า ดาวิด "ประทับที่ กรุงเยรูซาเล็ม" (11:1) การตัดสินใจเลือกที่จะอยู่บ้านของดาวิดกลายเป็นเรื่องวินาศโดยแท้ ผู้เขียนพระ ธรรมซามูเอลไม่ได้บันทึกข้อเท็จจริงนี้ไว้ แต่ในพงศาวดารมีบันทึกอยู่ใน 1 พงศาวดาร 20 :
1 ครั้นถึงฤดูแล้งเมื่อบรรดากษัตริย์ยกกองทัพออกไปรบ โยอาบก็นำ กองทัพไปกวาดล้างแผ่นดินของคนอัมโมน และมาล้อมเมืองรับบาห์ไว้ แต่ดาวิดประทับที่เยรูซาเล็ม และโยอาบก็โจมตีเมืองรับบาห์ และคว่ำ เมืองนั้นเสีย (1 พงศาวดาร 20:1)
เรารู้จากรายละเอียดที่บันทึกไว้ในพระธรรมพงศาวดารว่าเป็นเวลาเดียวกัน และเป็นสงครามเดียวกัน การตัดสินใจของดาวิดในครั้งนี้ นำมาซึ่งความบาปอันร้ายแรงอีกแบบหนึ่งใน 1 พงศาวดาร 21 :
1 ซาตานได้ยืนขึ้นต่อสู้อิสราเอล และดลพระทัยให้ดาวิดนับจำนวนอิสราเอล
2 ดาวิดจึงตรัสกับโยอาบและผู้บังคับบัญชากองทัพว่า "จงไปนับอิสราเอล ตั้งแต่เมืองเบเออร์เชบาถึงเมืองดาน แล้วนำรายงานมาให้เรา เพื่อจะได้ทราบ จำนวนรวมของเขาทั้งหลาย" 3 แต่โยอาบทูลว่า "ขอพระเจ้าทรงเพิ่มประชากร
ของพระองค์อีกร้อยเท่าของที่มีอยู่แล้ว ข้าแต่พระราชาเจ้านายของข้าพระบาท แต่ประชาชนนี้ทั้งสิ้นเป็นผู้รับใช้ของ เจ้านายของข้าพระบาทมิใช่หรือ ไฉนเจ้า นายของข้าพระบาทจึงรับสั่งเช่นนี้ ไฉนพระองค์จึงทรงนำกรรมชั่วมาสู่อิสราเอล"
4 แต่โยอาบขัดรับสั่งมิได้จึงจากไป และไปตลอดคนอิสราเอลทั้งสิ้น และกลับ
มายังเยรูซาเล็ม 5 และโยอาบถวายจำนวนประชาชนที่นับได้แก่ดาวิดในอิสราเอล ทั้งสิ้นมีหนึ่งล้านหนึ่งแสนคนที่ชักดาบ และในยูดาห์มีสี่แสนเจ็ดหมื่นคนที่ชักดาบ
(1 พงศาวดาร 21:1-5)
โยอาบค้านไม่ให้ดาวิดนับกำลังพลอิสราเอล และโดยทางผู้เผยพระวจนะกาด พระเจ้าทรงตำหนิดาวิดใน เรื่องนี้ และให้ท่านมีทางเลือกบทลงโทษสามทาง เพราะเป็นบาปที่ร้ายแรง และส่งผลกระทบที่รุนแรงต่อ ประเทศอิสราเอล เพราะบาปนี้ เป็นเหตุให้พระเจ้านำพระพรมาสู่อิสราเอล เพราะบริเวณที่ดาวิดถวายเครื่อง บูชาแด่พระเจ้านั้น จะกลายเป็นสถานที่สำหรับสร้างพระวิหารในเวลาต่อมา
สิ่งที่ผมกำลังจะชี้ให้เห็นคือ การตัดสินใจของดาวิดในครั้งนี้ — ที่จะอยู่ในกรุงเยรูซาเล็ม — เป็นจุดเริ่มต้นของ ความทุกข์โศกของทั้งดาวิดและประเทศอิสราเอล ทำไมการที่ดาวิดตัดสินใจอยู่บ้านแทนที่จะออกไปสู้รบกับ คนอัมโมนจึงเป็นสิ่งที่ผิด? ประการแรก การเป็นผู้นำทัพออกสู่สนามรบนั้นเป็นภาระกิจหลักของกษัตริย์ :
19 แต่ประชาชนปฏิเสธไม่ฟังเสียงของซามูเอล เขาทั้งหลายกล่าว
ว่า "เราไม่ยอม แต่เราจะต้องมีพระราชาปกครองเรา 20 เพื่อเราจะ
เป็นเหมือนประชาชาติทั้งหลายด้วย และเพื่อพระราชาของเราจะ
วินิจฉัยเรา และนำหน้าเราไปและรบศึกให้เรา"
(1 ซามูเอล 8:19-20)
คนอิสราเอลทำผิดด้วยการเรียกร้องอยากมีกษัตริย์ ที่พวกเขาคาดหวังคือให้ "กษัตริย์" เป็นผู้นำทัพออกสู่ สงคราม บรรดาผู้วินิจฉัยที่พระเจ้าส่งมาให้ในสมัยก่อนคือคนแบบบาราค หรือกิเดโอน ที่เป็นผู้นำชาติไปต่อสู้ กับศัตรู เมื่อพระเจ้าเลือกซาอูลให้เป็นกษ้ตริย์องค์แรก มีการกำหนดหน้าที่ในทางทหารอย่างชัดเจน:
15 พระเจ้าทรงสำแดงแก่ซามูเอล แล้วในวันก่อนวันที่ซาอูลมาถึงว่า
16 "พรุ่งนี้เวลาประมาณเท่านี้ เราจะส่งชายผู้หนึ่งซึ่งมาจากดินแดน
เบนยามิน เจ้าจงเจิมเขาให้เป็นเจ้าเหนืออิสราเอลประชากรของเรา เขาจะช่วยประชากรของเราให้พ้นจากมือคนฟีลิสเตีย เพราะเราได้ มองดูความทุกข์ใจแห่งประชากรของเราแล้ว ด้วยเสียงร้องทุกข์ของ
เขามาถึงเรา"
(1 ซามูเอล 9:15-16)
บางครั้งซาอูลก็ถอยกลับ ไม่ยอมติดตามศัตรูของอิสราเอลไป และมีบางครั้งที่ดาวิดทำหน้าที่แทน ด้วยการ นำคนในประเทศออกสู่สงคราม เช่นในกรณีที่ดาวิดสู้กับโกลิอัท ซึ่งที่จริงเป็นหน้าที่ของซาอูล ยักษ์ใหญ่ฝ่าย อิสราเอล (ดู 1 ซามูเอล 9:2) ตั้งแต่นั้นมา ดาวิดจะเป็นผู้นำคนของท่านออกต่อสู้เสมอ จนกระทั่งมาถึงบทที่ 11 อยู่ๆดีๆท่านก็ถอยกลับ ส่งคนอื่นไปสู้แทน ใน 2 ซามูเอล 12:26-31 ผู้เขียนแสดงให้เห็นชัดเจนว่า ดาวิด ไม่ได้มีความตั้งใจจะไปอยู่ด้วยในขณะที่รับบาห์แพ้ยอมเป็นเมืองขึ้น โยอาบส่งคนมาทูลดาวิด ขอให้ท่านไป แสดงตัวในฐานะผู้นำกองทัพอิสราเอล โยอาบเตือนว่า ถ้าท่านไม่ไปท่านก็จะไม่ได้เกียรติในชัยชนะครั้งนี้ แต่ โยอาบจะได้แทน โยอาบรู้ว่าดาวิดรู้ดีว่าอะไรควรไม่ควร ดังนั้นดาวิดจึงไปปรากฎตัวในฐานะผู้นำ "อย่างเป็น ทางการ" ในการยึดรับบาห์ได้เป็นเมืองขึ้น
ดาวิดก็ยังทำผิดอยู่ดี แต่ในแบบอื่น แบบที่ท่านไม่ได้ตระหนักสักนิดว่าจะกลายเป็นปัญหาใหญ่โต ดาวิดเป็น ภาพพจน์ของพระเมสซิยาห์ ผู้จะมาในฐานะกษัตริย์ของพระเจ้า และเมื่อพระองค์เสด็จมา พระองค์จะเป็นผู้ ช่วยกู้ประชากรของพระองค์ พระองค์จะเป็นผู้ปราบศัตรูลงอย่างราบคาบ และจัดตั้งราชบัลลังก์ ดาวิดจะเป็น ตัวแทนพระเมสซิยาห์ได้อย่างไร ถ้าท่านมัวแต่อยู่บ้าน ปฏิเสธไม่ยอมออกไปต่อสู้กับศัตรูของพระเจ้า และ ศัตรูของอิสราเอล? พระเมสซิยาห์จะเสด็จกลับมา (เป็นครั้งที่สอง) ในฐานะนักรบผู้ยิ่งใหญ่ ถ้าดาวิดจะเป็น ดังภาพพจน์ของพระองค์ ท่านควรต้องเป็นนักรบที่เก่งกล้าด้วย
อะไรทำให้ดาวิดอยากอยู่บ้านที่ในเยรูซาเล็ม? ทำไมท่านถึงไม่อยากออกไปรบ? ผมเกรงว่ามีหลายสาเหตุครับ สาเหตุประการแรก ดาวิดเริ่มผยอง พระเจ้าทรงสถิตอยู่กับดาวิดทุกครั้งในการต่อสู้ และประทานชัยชนะเหนือ ศัตรูให้ พระเจ้าทำให้ดาวิดมีชื่อเสียงเลื่องลือ ท่านเริ่มหลงใหลในชื่อเสียง เริ่มรู้สึกว่าไม่มีใครมาต้านทานได้ ท่านมาถึงจุดที่เชื่อมั่นในตนเองว่าเก่งกล้าสามารถในการนำชัยชนะมาสู่อิสราเอลได้ โดยไม่จำเป็นต้องนำทัพ ไปต่อสู้เอง
เรื่องนี้จึงสอดคล้องกับบาปหนักอีกข้อที่ดาวิดกระทำ ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อท่านตัดสินใจอยู่บ้าน เมื่อดาวิดสั่งให้ โยอาบไปนับกำลังพลอิสราเอล โยอาบคัดค้าน เพราะเป็นสิ่งที่ดาวิดไม่สมควรทำ บางทีอาจเป็นเพราะท่าน มีความมั่นใจในกองกำลังของท่าน มากกว่าพระเจ้า เหมือนกับเรื่องกองกำลังของกิเดโอนที่ถูกลดลงมา เหลือเพียงน้อยนิดแค่ 300 คน
เหตุผลประการที่สอง อาจเป็นเพราะเบื่อหน่าย การต่อสู้ในสนามรบที่รู้แพ้รู้ชนะอย่างรวดเร็วเป็นคนละเรื่อง กับการต้องยกไปล้อมเมืองรับบาห์ไว้ สงครามครั้งนี้ไม่ได้ชนะในทันที ต้องใช้เวลา จนกว่าพวกอัมโมนจะอด อยากขาดแคลนต้องยอมแพ้ เป็นการรบที่ไม่น่าตื่นเต้น และในขณะที่คอย ทหารอิสราเอล (รวมทั้งดาวิดด้วย) ต้องตั้งเต็นท์อยู่นอกเมือง ในที่โล่ง นี่ไม่ใช่เป็นการไปเที่ยวปิกนิค ดาวิดรู้ดี ความคิดของท่านดูจะเหมือน กับโฆษณาของร้านแฮมเบอร์เกอร์ชื่อดัง "วันนี้คุณได้เอาใจตัวเองหรือยัง?"
เหตุผลประการที่สาม — ซึ่งผมไม่ค่อยอยากพูดถึงเท่าไร — ดาวิดอาจอ่อนลง ยอมรับเถิดครับ ว่าดาวิดต้อง เผชิญกับวันที่ยากลำบากมากมายขณะที่หลบหนีซาอูล ผมแน่ใจว่าเป็นวันที่ร้อนรุ่มและคืนที่เหน็บหนาว เป็น วันที่อยู่อย่างอดอยาก หรืออาหารที่กินแทบไม่ลง ไม่มีใครเรียกอาหารในกองทัพว่าเป็นอาหารเหลาหรอกครับ เดี๋ยวนี้ดาวิดอยู่สุขสบายขึ้น ห่างใกลจากถิ่นทุรกันดารที่พวกทหารของซาอูล ถ้าไม่จำเป็นไม่อยากไปเหยียบ มีพระราชวังอยู่ ไม่ได้อยู่ในเต็นท์อีกต่อไป (ซึ่งถ้าได้อยู่ก็นับว่าโชคดีในสมัยนั้น); เมื่ออยู่ในวัง นอนในเตียง ตัวเอง ใครเล่าครับอยากออกไปนอนในเต็นท์ ในทุ่งโล่ง นอกเมืองรับบาห์? 37 ดาวิดเริ่มจะเหมือนซาอูลเข้าไปทุกที ในแง่ที่ท่านปล่อยให้คนอื่นออกไปรบแทน คนที่ท่านส่งไปรบแทนคือ โยอาบและอาบีชัย โยอาบคนนี้ ถ้าจำกันได้ เป็นคนดุร้าย ดาวิดไม่ได้เลือกโยอาบให้เป็นแม่ทัพอิสราเอล ท่านพยายามไม่ไปเกี่ยวข้องกับโยอาบและอาบีชัย เพราะเรื่องที่อับเนอร์ถูกฆาตรกรรม (2 ซามูเอล 3:26-30) โยอาบได้เป็นผู้บัญชาการในกองทัพอิสราเอล เพราะเขาเป็นคนแรกที่อาสาไปโจมตีเมืองเยบุส (1 พงศาวดาร 11:4-6) แต่อยู่ดีๆดาวิดกลับอยากจะอยู่บ้าน ปล่อยให้กองกำลังทั้งสิ้นของอิสราเอลตกอยู่ในความควบคุม ของโยอาบ ผมไม่คิดว่าดาวิดวางใจในโยอาบมากไปกว่าการที่ท่านไม่อยากไปผจญกับความยากลำบาก ในทุ่งโล่งรอบเมืองรับบาห์
เหมือนกับคุณลุงที่ผมเล่าเมื่อตอนต้น ดาวิดเผอิญอยู่ผิดที่ผิดเวลา ท่านอยู่ในเยรูซาเล็มแทนที่จะไปอยู่แถว รับบาห์ ที่ต่างจากลุงของผมคือ ดาวิดอยู่ผิดที่ผิดเวลาเพราะท่านตัดสินใจผิด ดาวิดเป็นเหมือนคนโง่ใน สุภาษิตบทที่ 7 ที่จงใจอยู่ผิดที่ผิดเวลาเพราะความโง่ของตนเอง อะไรจะผิด มันก็ต้องผิดล่ะครับ!
ขณะที่อ่าน 2 ซามูเอลสองข้อนี้ ทำให้ผมนึกถึงหนังสยองขวัญของอัลเฟรด ฮิทช์ค็อก เรื่อง "หน้าต่างหลัง บ้าน" ถ้าจำไม่ผิดนำแสดงโดย จิมมี่ สจวร์ต และเกรซ เคลลี่ เป็นเรื่องเกี่ยวกับช่างภาพที่พึ่งฟื้นใข้ และต้อง พักอยู่แต่ในอพาร์ตเม้นท์ จาก "หน้าต่างหลังบ้าน" สจวร์ตนั่งเฝ้าดูหน้าต่างของบ้านถัดไป ในที่สุดก็เจอเข้า กับเรื่องฆาตรกรรม และเกือบทำให้ทั้งตัวเองและแฟนสาวต้องตายไปด้วย
กษัตริย์ดาวิดคิดผิดที่อยู่ในกรุงเยรูซาเล็ม แทนที่จะไปสู้กับพวกอัมโมนพร้อมกับกองทัพ ท่านไม่ได้อยู่บ้าน เพื่อนั่งทบทวนธรรมบัญญัติของโมเสส หรือเขียนบทสดุดีสักสองสามบท ; แต่ท่านกลับใช้เวลาอยู่บนเตียง เรารู้ว่าอุรียาห์จะขึ้นนอนก็ต่อเมื่อเวลาค่ำ (เมื่อมืดแล้ว) และเป็นไปได้ที่เขาคงตื่นนอนแต่เช้า (ดู 11:13) แต่กับดาวิดเป็นคนละเรื่อง กว่าดาวิดจะตื่นก็เป็นเวลาเย็น ซึ่งเป็นเวลาที่พวกทหารเข้านอน (ตามที่เพื่อนผม บอก นิสัยนี้เป็นมานานแล้วไม่ใช่พึ่งเป็น) ดูเหมือนว่าดาวิดไม่ได้กำลังปฏิบัติ "ภาระกิจของกษัตริย์" ในยาม เย็นเช่นนี้ ท่านกำลังปล่อยตัวตามสบาย
ในที่สุด ดาวิดก็ลุกจากเตียง ขึ้นไปเดินเล่นบนดาดฟ้า แน่นอนพระราชวังของดาวิดต้องอยู่สูงกว่าบ้านโดย ทั่วไป เพื่อท่านจะมองเห็นทิวทัศน์ได้ชัดเจนทั้งจากในและนอกเมือง ซึ่งก็แปลว่า ตึกหรือบ้านคนอื่นๆจะอยู่ ต่ำกว่าห้องชั้นบนของพระราชวัง ท่านจึงมองเห็นได้มากกว่าประชาชนทั่วไป (มีคนบอกผมว่ารถบันทุก 18 ล้อ จะมองเห็นได้ใกลกว่ารถเก๋งโดยทั่วไป)
ผมไม่ได้จะบอกว่าดาวิดตั้งใจไปดูในสิ่งที่ไม่สมควร แต่เป็นได้ว่าท่านแค่อยากไปเดินเล่นเรื่อยเปื่อย จู่ๆท่าน ก็เห็นมีผู้หญิงอาบน้ำอยู่ ในพระคัมภีร์ไม่ได้บอกว่าผู้หญิงคนนี้อาบน้ำที่ไหน เพียงแต่บอกว่านางอยู่ในสายตา ที่ดาวิดมองเห็นจากดาดฟ้า (หลังคา) ดาวิดเห็นความงามของนาง ท่านไม่ทราบว่านางเป็นใคร แต่งงานแล้ว หรือยัง เราไม่ทราบว่าดาวิดเห็นมากน้อยแค่ไหน แล้วเราไม่ทราบว่าท่านได้ทำบาปหรือยัง ถ้าดาวิดเห็นมาก กว่าที่ท่านสมควร (ซึ่งยังเป็นคำถามอยู่) ท่านควรจำต้องเลิกมอง มันไม่ผิดหรอกครับที่จะไปสอบถามถึงนาง ว่านางเป็นโสดอยู่หรือแต่งงานแล้ว ท่านสามารถนำนางมาเป็นภรรยาได้ คำถามของท่านจะทำให้เรื่องนี้กระ จ่าง
แล้วท่านก็ได้ข้อมูลของนางมา :
3ข "หญิงคนนี้ชื่อบัทเชบา บุตรีของเอลีอัม ภรรยาของอุรีอาห์
คนฮิตไทต์มิใช่หรือพ่ะย่ะค่ะ?"
(2 ซามูเอล 11:3ข)
คำตอบที่มีต่อดาวิดมาในรูปของคำถาม ผมเข้าใจว่าคงไม่มีคนอื่นเห็นผู้หญิงคนนี้ นอกจากดาวิด ดาวิดคง ต้องอธิบายรูปร่างลักษณะ อายุ และตำแหน่งบ้านของผู้หญิงคนนี้ เพื่อให้แน่ใจว่าเป็นคนๆเดียวกัน แต่คนที่ จะบอกได้ว่าถูกต้องหรือไม่ก็มีแต่ — ดาวิดคนเดียวเท่านั้นที่จำนางได้
ข้อมูลที่ดาวิดได้รับน่าจะเพียงพอที่ท่านจะจบเรื่องได้ ถ้าผู้หญิงคนนี้แต่งงานแล้ว ไม่มีสาเหตุใดที่ท่านจะไป ต่อเนื่องอีก ไม่ว่าตำแหน่งท่านจะใหญ่หรือมีอำนาจแค่ใหนก็ตาม ท่านก็ไม่มีสิทธิที่จะไปแย่งภรรยาผู้อื่น การกระทำของดาิวิด เป็นสิ่งเดียวกับที่โยเซฟเคยพูดไว้ เมื่อครั้งถูกภรรยาเจ้านายยั่วยวน :
7 โยเซฟนั้นเป็นคนสวยหน้าตาคมคาย อยู่มาภายหลังภรรยาของนาย
มองดูโยเซฟด้วยความปฏิพัทธ์ และชวนว่า "มานอนกับฉันเถิด" 8
แต่โยเซฟไม่ยอม จึงตอบแก่ภรรยาของนายว่า "คิดดูเถิด เมื่อมีข้าพเจ้า นายก็มิได้ห่วงสิ่งใดซึ่งอยู่ในบ้านเรือน ได้มอบของทุกอย่างที่มีอยู่ไว้ในมือ
ข้าพเจ้า 9 ในบ้านนี้นายก็ไม่ใหญ่กว่าข้าพเจ้า นายมิได้หวงสิ่งใดจากข้าพเจ้า ยกเสียแต่ตัวท่านเพราะเป็นภรรยาของนาย ข้าพเจ้าจะทำความผิดใหญ่หลวง
นี้อันเป็น ?" (ปฐมกาล 39:7-9).
รายงานที่ดาวิดได้รับเกี่ยวกับนางบัทเชบาน่าจะเป็นข้อมูลที่เพียงพอแล้วสำหรับดาวิด ถ้าท่านปรารถนาจะทำ สิ่งที่ถูกต้อง ท่านรู้ว่าบัทเชบาแต่งงานแล้ว เรื่องก็น่าจะจบลง ท่านรู้ด้วซ้ำว่านางแต่งงานแล้วกับอุรียาห์ คน ฮิทไทต์ ซึ่งไม่ใช่ใครที่ไหน ดาวิดคงต้องรู้จักอุรียาห์มาก่อน ถึงแม้จะไม่รู้จักภรรยาก็ตาม ใน 2 ซามูเอล 23: 39 "อุรียาห์ คนฮิทไทต์" เป็นนักรบที่เก่งกล้าของดาวิด เป็นทหารที่ทั้งกล้าและมีความสามารถ ถึงแม้ดาวิด ไม่รู้จักเป็นการส่วนตัว มหาดเล็กของท่านคงต้องบอกให้ท่านทราบ
ผมเกรงว่าดาวิดเลือกที่จะไม่สนใจประวัติทางทหารของอุรียาห์ แต่มุ่งไปสนใจเรื่องเชื้อชาติแทน ข้อสังเกตุ ที่น่าสนใจคือ ดาวิดพูดถึงอุรียาห์ว่าเป็น "อุรียาห์ คนฮิทไทต์" ในขณะที่ผู้เขียนพระธรรมซามูเอลกลับเรียก แต่ชื่อ "อุรียาห์" เฉยๆ คำว่า "อุรียาห์ คนฮิทไทต์" ผมเชื่อว่าเป็นการเรียกโดยยึดเอาจากข้อเท็จจริงว่าคนๆ นี้เป็นคนฮิทไทต์ ถึงแม้ดาวิดเองก็มีสายเลือดโมอับอยู่ ให้เรามาทำความรู้จักคนฮิทไทต์ตามประวัติศาสตร์ใน พระคัมภีร์เดิมกันสักหน่อย
ตั้งแต่ในสมัยปฐมกาล 15:18-21 พระเจ้าทรงสัญญากับอับราม(อับราฮัม) ว่าลูกหลานของท่านจะได้ครอบ ครองดินแดนของคนฮิทไทต์ (และของชนชาติอื่นๆอีก; ดูอพยพ 3:8, 17; 13:5; 23:23, 28, 32; 33:21; 34:11; เฉลยธรรมบัญญัติ 7:1; โยชูวา 1:4; 3:10) เอโฟรน คนที่อับราฮัมขอซื้อผืนดินไว้ฝังศพของครอบ ครัว ก็เป็นคนฮิทไทต์ (ดูปฐมกาล 23:10; 25:9; ฯลฯ) เอซาว พี่ชายของยาโคบแต่งงานกับผู้หญิงฮิทไทต์ หลายคน (ปฐมกาล 26:34-35; 36:2) คนอิสราเอลได้รับคำสั่งให้ทำลายคนฮิทไทต์ให้สิ้นซาก (เฉลยธรรม บัญญัติ 20:17) คนฮิทไทต์ต่อต้านไม่ยอมให้คนอิสราเอลเดินผ่านเพื่อเข้าไปยังดินแดนพันธสัญญา (ดู กันดารวิถี 13:29; โยชูวา 9:1: 11;1-5) แต่แล้วอิสราเอลก็มีชัยเหนือพวกเขา (โยชูวา 24;11) อย่างไร ก็ตาม คนอิสราเอลไม่ได้กำจัดคนเหล่านี้ให้หมดไป แต่กลับกลายเป็นอาศัยอยู่ท่ามกลางพวกเขา (ผู้วินิจฉัย 3:5) ในระหว่างที่ดาวิดหลบหนีซาอูล ท่านได้ยินว่าซาอูลมาตั้งค่ายอยู่ใกล้ ท่านจึงชวนคนของท่านสองคน ให้แอบเข้าไปในค่ายของซาอูล หนึ่งในสองคนนั้นคืออาบีชัย ที่อาสาจะไปกับดาวิด อีกคนที่ไม่ยอมไปคือ อาหิเมเลข คนฮิทไทต์ (1 ซามูเอล 26:6)
น่าจะเป็นที่ชัดเจนว่าอุรียาห์ละทิ้งเชื้อสายและพระเดิมของเขา เพื่อมาอยู่ที่อิสราเอล แต่งงานกับผู้หญิง อิสราเอล และร่วมรบในกองทัพของดาวิด เขาไม่ใช่คนต่างด้าวที่สมควรถูกกำจัดอีกต่อไป แต่เข้ามานับถือ ศาสนายิว ถึงกระนั้นก็ตาม ผมคิดว่าดาวิดก็ยังดูถูกเขา ดาวิดเริ่มทำตัวคุ้นเคยกับสถานะใหม่ ทุกอย่างต้อง ดีเลิศ ไม่ว่าจะเป็นเครื่องใช้ไม้สอย อาหาร หรือบริการ ท่านมองไปจากดาดฟ้า เห็นสตรีที่ท่านคิดว่า "สวย งาม" ผู้หญิงที่ "งาม" ขนาดนี้จะเป็นภรรยาของคนฮิทไทต์ได้อย่างไร? เธอเหมาะจะเป็นของกษัตริย์มากกว่า และกษัตริย์ผู้นี้ต้องการได้เธอมา
ดาวิดจึงส่งคนไป เพื่อตามนางมาเข้าเฝ้า เมื่อมาถึง ดาวิดก็มีสัมพันธ์กับนาง และเมื่อนางชำระตัวให้สิ้นมลทิน 38 แล้ว นางก็กลับบ้านไป เรื่องคงจบแค่นั้นถ้านางไม่เผอิญตั้งครรภ์ ผมสงสัยว่านางได้กลับมาเฝ้าดาวิดที่วังอีกหรือ เปล่า ดาวิดไม่ได้ต้องการบัทเชบามาเป็นภรรยา ไม่ได้ต้องการสานต่อ ท่านเพียงแต่อยากมีสัมพันธ์ชั่วคืน และ ปล่อยให้กลับไปหาอุรียาห์สามีของนาง
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น โดยดาวิดมีส่วนเกี่ยวข้องอยู่ สามารถเรียงลำดับได้ตามนี้ : (1) ดาวิดประทับอยู่ในกรุง เยรูซาเล็ม ; (2) ดาวิดพักผ่อนอยู่บนเตียง ; (3) ดาวิดมองเห็นนางบัทเชบาอาบน้ำอยู่ขณะที่ท่านออกไปเดิน เล่นบนดาดฟ้า ; (4) ดาวิดส่งคนไปสอบถามถึงนาง ; (5) ดาวิดรู้ประวัติ และสถานะภาพของนาง ว่าแต่งงาน แล้วกับนักรบในกองทัพของท่าน ; (6) ดาวิดส่งคนไปรับนางมาเข้าเฝ้า ; (7) ดาวิดสมสู่กับนาง ; (8) นาง บัทเชบากลับบ้านไปหลังจากชำระตัวให้พ้นมลทินแล้ว เราสามารถเห็นเหตุการณ์ในทำนองเดียวกันนี้จาก พระธรรมเล่มอื่นๆอีก ซึ่งเป็นเรื่องไม่น่าชื่นชมนัก เชเคม "เห็น นำตัวมา และนอน" กับดีนาห์ บุตรีของยาโคบ ในปฐมกาล 34:2 ยูดาห์ "เห็น เข้าไปหา และไปแต่งงาน" กับหญิงชาวคานาอันในปฐมกาล 38:2-3 อาคาน "เห็น โลภ และหยิบ" ของริบที่ต้องห้ามของศัตรูมาในโยชูวา 7:21 แซมสันทำในสิ่งเดียวกันในผู้วินิจฉัย 14 อย่าลืมว่าเหตุการณ์ในทำนองเดียวกันเกิดขึ้นเมื่อมีการทำบาปครั้งแรก เมื่อเอวา "เห็น ปรารถนา และรับ" ผลไม้ต้องห้ามมารับประทานในปฐมกาลบทที่ 3
เรารู้จากพระธรรมตอนนี้ว่าดาวิดทำบาปแน่ และการกระทำของท่านที่ตามมาก็เป็นบาปแน่ๆด้วย เรารู้จากพระคำ ที่พระเจ้าตรัสผ่านนาธันว่า ดาวิดทำบาปที่น่าสลดใจยิ่ง แต่ปัญหาก็คือ มีหลายคนพยายามทำให้พระธรรมตอนนี้ ดูเหมือนว่าบัทเชบามีส่วนผิดอยู่ด้วย นางยั่วยวนดาวิดหรือเปล่า? ผมขอต่อเรื่องนี้ออกไปหน่อยนะครับ เพราะ ผมเชื่อว่าไม่มีหลักฐานชัดเจนมาสนับสนุนข้อสรุปเช่นนี้
เรามักลงความเห็นกันว่า บัทเชบาไม่ควรไปอาบน้ำอย่างเปิดเผยในที่เช่นนั้น และเป็นเพราะนาง จึงทำให้เกิด เรื่องนี้ขึ้น (นางรู้ดีว่าดาวิดอยู่ที่นั่น และสามารถมองเห็นได้… .) ขณะที่บางคนมองในแง่ดี และคิดว่าไม่ควร ไปด่วนสรุปเช่นนั้น ผมขอชี้แจงบางประเด็นจากเนื้อหาในตอนนี้ ประเด็นแรก และสำคัญที่สุด เมื่อนาธัน ประกาศเรื่องการพิพากษาเพราะบาปของดาวิด บัทเชบาและอุรียาห์เป็นผู้ถูกกระทำ ไม่ใช่ผู้กระทำผิด ตอนที่ อาดัมและเอวาทำบาป พระเจ้าเจาะจงไปที่อาดัม เอวา และงู ทุกฝ่ายถูกลงโทษไปตามความผิดของตน แต่ เป็นคนละเรื่องกับนางบัทเชบา ไม่มีที่ใดในพระคัมภีร์ที่บ่งว่านางได้ทำบาปนี้ด้วย อาจเป็นเพราะผู้เขียนไม่ได้ เพ่งเล็งไปที่นางบัทเชบามากนัก ในกรณีนี้ ถ้าอ้างตามกฎหมาย เราต้องถือว่านางเป็นผู้บริสุทธิ์ จนกว่ามีการ พิสูจน์ว่านางได้ทำผิดจริง
ในพระธรรมซามูเอลตอนนี้ เราเห็นชัดเจนว่าเหตุวิบัติต่างๆที่เกิดขึ้นกับครอบครัวของดาวิด เป็นผลมาจากความ บาปทั้งสิ้นของท่าน ตามที่นาธันบ่งไว้ (12:10-12) ดังนั้นเมื่ออัมโนนข่มขืนทามาร์ น้องสาวของอับซาโลม จึงเป็นเรื่องของ "ประวัติศาสตร์ซ้ำรอย" สังเกตุดู ดาวิดเป็นคนบอกให้ทามาร์ไปที่วัง เพื่อไปหาอัมโนนถึงที่ เตียง เมื่อทามาร์ถูกข่มขืน ไม่มีสิ่งใดบ่งว่านางยินยอม เกิดจากการบังคับของอัมโนนทั้งสิ้น สิ่งนี้พอจะบอก ได้ไหมว่า เป็นกรณีใกล้เคียงกับนางบัทเชบา และที่เรื่องที่เกิดขึ้นตามมาเป็นดังเงาสะท้อนให้เห็น?
เมื่อเราอ่านเรื่องราวนี้ เรากำลังอ่านด้วยสายตาของคนสมัยใหม่ ในยุคที่ผู้หญิงมีสิทธิจะ "ปฎิเสธ" ไม่ต้องการ มีสัมพันธภาพที่ลึกซึ้งเกินไปกับชายคนใด ถ้าผู้ชายไม่ยอมหยุด ก็เท่ากับเป็นการฝ่าฝืนสิทธิส่วนบุคคล ; เป็น การข่มขืน แต่ในแถบกึ่งตะวันออกในยุคโบราณ โลทสามารถมอบบุตรสาวพรหมจารีย์ให้กับชายชั่วที่ในเมือง โซโดมได้ เพื่อช่วยปกป้องแขกแปลกหน้า และไม่มีการคัดค้านต่อต้านใดๆจากบุตรสาวด้วย (ปฐมกาล 19: 7-8) สาวพรหมจารีย์เหล่านี้ต้องเชื่อฟังบิดา เพราะบิดามีสิทธิขาดเหนือพวกเขา มีคาลถูกเสนอให้เป็นภรรยาดาวิด แต่แล้วซาอูลก็มานำกลับไป เอาไปมอบให้ชายคนอื่นแทน แล้วดาวิดก็ไปเอาตัวคืนมา (1 ซามูเอล 25:44; 2 ซามูเอล 3:13-16) เราเห็นชัดว่ามีคาลไม่มีสิทธิเปิดปากค้านเลยในเรื่องนี้
ลองมามองเรื่องเดียวกันนี้ในมุมมองตรงข้าม ให้นึกถึงเรื่องเอสเธอร์ เมื่อกษัตริย์มีคำสั่งให้เรียกภรรยา ราชินี วาสตีมาเข้าเฝ้า (อาจจะเป็นในลักษณะที่ไม่เหมาะสมเพราะต้องการโชว์ให้แขกดู) นางปฏิเสธ จึงถูกปลดออก จากตำแหน่ง (ดูเอสเธอร์ 1:1-22) นางไม่ได้ถูกประหาร แต่ถูกแทนที่ ต่อมาในเรื่องเดียวกัน เรารู้ว่าไม่มีใคร สามารถเข้าเฝ้ากษัตริย์ได้ถ้าไม่ได้ถูกเรียกตัว และถ้าใครบังอาจเข้าเฝ้า ถ้ากษัตริย์ไม่ยกคฑาขึ้นยอมรับ คนๆ นั้นก็ต้องถูกประหาร (เอสเธอร์ 4:10-11) สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงวิธีการของกษัตริย์ทางแถบตะวันออก ใช่หรือไม่? สิ่งนี้อธิบายได้ไหมว่าทำไมบัทเชบาจึงไปเข้าเฝ้าเมื่อถูกเรียกตัว? สิ่งนี้อธิบายได้ไหมว่าทำไมนางยอมสนอง ตัณหาของกษัตริย์? (เราไม่รู้ว่ามีการต่อต้านหรือเปล่า — เหมือนทามาร์ในบทที่ 13 — เธออาจพยายามต้าน แต่ เราต้องเข้าใจถึงสถานะของผู้หญิงในสมัยโน้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเป็นคำสั่งของกษัตริย์
เอาหละ เมื่อเราได้มองภาพกว้างๆของเหตุการณ์ไปแล้ว ให้เรามาลองดูในรายละเอียด ในพระธรรมกล่าวว่า ดาวิดเห็นผู้หญิงอาบน้ำ และเห็นด้วยว่านางสวยงามมาก มันชวนให้เราจินตนาการไปว่าบัทเชบาคงเปลือยกาย อาบน้ำอยู่ในที่โล่งแจ้ง และภาพที่เห็น (เปลือยกาย/บางส่วน) ทำให้ดาวิดทำในสิ่งที่ท่านได้ทำลงไป มีการใช้ คำพูดแบบเดียวกัน ("หญิงสาวนั้นงามมาก") ในปฐมกาล 24:16 เมื่อพูดถึงเรเบคาห์เมื่อเธอแบกใหน้ำเดินมา ที่บ่อ เธอไม่ได้เปลือยกายหรือแต่งกายเย้ายวน ในทำนองเดียวกัน (ถึงแม้ไม่ได้ใช้คำพูดเหมือนกัน) มีการ ใช้คำพูดอธิบายถึงสตรีบางคนโดยที่นางไม่ได้เปลื้องผ้าแม้แต่นิดเดียว (ดูปฐมกาล 12:11; 26:7; 29:17; เอสเธอร์ 1:1) ผมเชื่อว่าเหตุผลหนึ่งที่ดาวิดเรียกนางมาเข้าเฝ้าเพราะท่านยังไม่เห็นทั้งหมดที่ท่านต้องการ
ขอต่ออีกนิดนะครับ นางบัทเชบากำลังอาบน้ำ ทำให้เรานึกไปว่านางคงต้องเปลือยกาย ถึงแม้เปลือยบางส่วน ก็ตาม ผมเชื่อว่าบัทเชบากำลังอาบน้ำอยู่ในที่ๆนางอาบอยู่เป็นประจำ เป็นเพราะดาวิดผู้เดียวเท่านั้น ที่มีห้อง อยู้ชั้นบน สูงกว่าคนอื่น จึงมองเห็นนางได้ และมองเห็นคนเฒ่าคนแก่อื่นๆได้ด้วยถ้าท่านอยากมอง คนจนไม่ สามารถมีที่ทางเป็นสัดส่วนได้เหมือนคนรวย ผมเห็นคนยากจนตั้งเยอะแยะไปอาบน้ำอยู่ที่ข้างถนนในอินเดีย เพราะสำหรับพวกเขา นั่นคือบ้าน คำว่าอาบน้ำที่ใช้ในตอนนี้ บ่อยครั้งก็ใช้คำเดียวกันนี้สำหรับการล้างมือ ล้าง เท้า หรือการอาบน้ำชำระตัวให้พ้นมลทินของพวกปุโรหิต อาบิกายิลใช้คำเดียวกันเมื่อนางพูดถึงการล้างเท้า ให้แก่ผู้รับใช้ของดาวิด (1 ซามูเอล 25:41) การล้างเช่นนี้สามารถทำได้ด้วยความเหมาะสม ไม่จำเป็นต้องทำ ในที่ส่วนตัว เราคงไม่คิดเลยเถิดไปว่า นางอาบีกายิลเดินเปลือยกายไปมาในที่สาธารณะอยู่นะครับ
บังเอิญหรือไม่ก็ตาม บัทเชบากำลังอาบน้ำอยู่ในเยรูซาเล็ม ในขณะที่ชายวัยฉกรรจ์ทั้งหลายออกไปรบ ยังจำข้อ 1 ได้มั้ยครับ?:
1 ครั้นถึงฤดูแล้งเมื่อบรรดากษัตริย์ยกกองทัพออกไปรบ ดาวิดทรง ใช้โยอาบพร้อมกับพวกข้าราชการและ อิสราเอลทั้งหมด เขาไป กวาดล้างคนอัมโมนและล้อมเมืองรับบาห์ไว้ แต่ดาวิดประทับที่เยรูซาเล็ม
ไม่ใช่ว่าบัทเชบาจงใจทำเพราะรู้ว่ามีผู้ชายอยู่เต็มไปหมด เธอมีสิทธิเต็มที่ที่จะเข้าใจว่าพวกผู้ชายออกไปรบ ดาวิดอยู่ ถึงแม้ท่านไม่สมควรอยู่ก็ตาม นอกจากนั้น เธอไม่ได้อาบน้ำตอนเที่ยงวัน ; เธออาบน้ำในตอนเย็น ซึ่งตรงตามที่ธรรมบัญญัติกำหนดไว้ (ชำระตัวให้พ้นมลทิน) ซึ่งเป็นเวลาที่ดวงอาทิตย์ตก จะพูดว่าบัทเชบา อาบน้ำเมื่อใกล้มืดเต็มทีก็ว่าได้ ดาวิดคงต้องใช้ความพยายามสักหน่อยจึงจะเห็น ผมเชื่อว่าบัทเชบาคงคิด ว่ามิดชิดดีแล้ว แต่กษัตริย์ได้เปรียบตรงที่อยู่สูงกว่า และท่านก็พยายามเพ่งมองเสียด้วย ผมคิดว่าดาวิด จงใจแอบมองมากกว่าบัทเชบาจงใจอยากโชว์ ผมเชื่อว่าในพระคัมภีร์เองก็ยืนยันเช่นนั้น
ถ้าสิ่งที่ผมพูดไปทั้งหมดถูกต้อง ความบาปของดาวิดนั้นร้ายแรงกว่าที่คิด ในบางกรณีผู้หญิงเองอาจมีส่วนทำ ให้ผู้ชายคิดเลยเถิด จงใจหรือไม่จงใจก็ตาม แต่ในกรณีนี้ไม่มีสิ่งใดบ่งว่าเป็นเช่นนั้น ที่จริงถ้าผมเข้าใจถูก ที่ดาวิด "มองเห็น" บัทเชบาได้ เพราะนางกำลังชำระตัวตามที่ธรรมบัญญัติกำหนด ในขณะที่ดาวิดเองกลับ ผิดพลาดไม่ได้ไปทำหน้าที่ในฐานะกษัตริย์
พระธรรมตอนนี้ ถึงแม้เราศึกษามาเพียงสี่ข้อแรก มีเรื่องสอนใจเรามากมาย ผมขอสรุปให้ฟังดังนี้:
แรก รากปัญหาของดาวิดไม่ได้เป็นเพราะความนับถือในตนของท่านต่ำลง ; แต่เป็นความผยอง ผมเบื่อที่จะ ได้ยินคนพูดกันว่ารากของความชั่วร้ายทั้งมวลเกิดเพราะความนับถือในตนเองต่ำลง ผมสงสัยว่าทำไมเราไม่เห็น เรื่องนี้ในพระคัมภีร์ ปัญหาของดาวิดนั้นตรงกันข้าม ท่านเริ่มหลงในยศฐาบรรดาศักดิ์ ในความสำเร็จต่างๆ และใน ฐานะกษัตริย์ของอิสราเอล ท่านเริ่มเห็นว่าตนเองนั้นดีกว่า เหนือกว่า และแตกต่างจากอิสราเอลคนอื่น คนอื่นๆ ต้องออกไปรบ ท่านไม่ต้อง คนอื่นๆต้องไปนอนกลางแจ้ง ท่านนอนในเตียงตนเอง ในพระราชวังของตนเอง คนอื่นๆมีภรรยาได้ ส่วนท่านต้องการผู้หญิงคนใด ท่านต้องได้
สอง ธรรมชาติบาปของดาวิดคือการใช้อำนาจในทางที่ผิด เสียเพราะอำนาจ มีคนพูดว่า ยิ่งมีอำนาจมาก ยิ่งเสียมาก ในบทที่แล้ว ดาวิดขึ้นมามีอำนาจ ท่านใช้อำนาจที่พระเจ้าประทานให้เอาชนะศัตรูของพระองค์ และศัตรูของอิสราเอล ท่านใช้อำนาจในฐานะกษัตริย์อิสราเอลทำให้พันธสัญญาสำเร็จลง ทำให้สัญญา ของท่านกับซาอูลเป็นจริง ด้วยการดูแลเมฟีโบเชทเหมือนสมาชิกในครอบครัว แต่มาบัดนี้ดาวิดดูจะดื่มด่ำกับ อำนาจบารมี ใช้มันตามใจปรารถนาโดยผู้อื่นเดือดร้อน ผมอยากให้คุณลองสังเกตุคำว่า "ทรงใช้" หรือ "ทรงใช้ไป" ที่มีอยู่หลายครั้งในบทนี้ ต้องเป็นกษัตริย์อย่างดาวิดที่สามารถใช้คนอื่นไปรบ ในขณะที่ตนเอง นอนอยู่กับบ้านได้ (ข้อ 1) ต้องเป็นกษัตริย์อย่างดาวิดที่สามารถใช้คนไปสอบถามถึงนางบัทเชบา และใช้คน ไป "รับ" นางมาที่วังได้ (ข้อ 3-4) ต้องเป็นกษัตริย์อย่างดาวิดที่สามารถใช้คน "ไปตาม" อุรียาห์มา และ "ออก คำสั่ง" ให้โยอาบทำให้เขาตายเสียในสนามรบ ดาวิดมีอำนาจในมือ และท่านรู้ว่าควรใช้อย่างไร แต่บัดนี้ ท่าน กำลังใช้อำนาจเพื่อผลประโยชน์ของตนเอง โดยมีผู้อื่นจ่ายแทนให้ นี่ไม่ใช่การเป็นผู้นำของผู้รับใช้
การข่มขู่หรือคุกคามทางเพศเป็นสองกรรมวิธีที่ใช้อำนาจในทางที่ผิด พ่อแม่ชอบนึกว่าตนเองเป็นเจ้าของลูก และใช้ลูกเพื่อสนองตัณหาตนเอง ข่มขู่คุกคามลูกด้วยวิธีการต่างๆนาๆ ส่วนมากในเรื่องเพศ เจ้านายคุ้นเคย กับการบังคับบัญชาและออกคำสั่งให้คนทำตาม จึงไม่น่าประหลาดใจที่บางครั้งก็ใช้อำนาจคุกคามทางเพศ กับลูกจ้าง หรือผู้ที่ด้อยกว่า เพื่อสนองตัณหาตัวเอง การทำเช่นนี้ไม่ต่างอะไรจากความบาปของดาวิด
ผมขอย้ำในเรื่องนี้อีกนิด แน่นอนดาวิดผิดที่ใช้อำนาจในมือไปมีเพศสัมพันธ์กับภรรยาผู้อื่น แต่ถึงแม้จะ สามารถมีเพศสัมพันธ์อย่างถูกต้องได้ ก็ยังผิดที่ใช้อำนาจ ดังนั้นสามีไม่ควรใช้อำนาจข่มขู่ภรรยาเพื่อการ มีเพศสัมพันธ์ และภรรยาไม่ควรใช้อำนาจในทางที่ผิด (เช่นโดยการ "ปฏิเสธ" ) เพื่อลงโทษหรือกลั่นแกล้ง สามี ในชีวิตสมรส เรื่องเพศเป็นเรื่องการปรนนิบัติต่อคู่สมรสของเรา ไม่ใช่เป็นการแสดงอำนาจเหนือ
สาม ความมั่งคั่งอาจเป็นอันตรายได้ — และบางทีอาจเป็นอันตราย — ยิ่งกว่าความจนและความทุกข์ยาก เราเองท้อถอยต่อความทุกข์ยากในชีวิต เรากระหายอยากมีเวลาปล่อยวางและพักผ่อนได้บ้าง เราเบื่อที่จะ เห็นใบแจ้งหนี้ที่ไม่รู้จะเอาเงินที่ไหนมาจ่าย แน่นอน ดาวิดเองก็กระหาย รอเวลาที่จะได้หยุดพักจากการหลบ หนีซาอูล และได้ขึ้นครองเป็นกษัตริย์ ผมขอชี้ให้เห็นในมุมมองของจิตวิญญาณ ดาวิดไม่ได้ทำดีไปกว่าเมื่อ ตอนที่ท่านทุกข์ยากและอ่อนล้าเลย ในทางกลับกัน ดาวิดไม่เคยทำเลวไปกว่า เมื่อท่านมีทั้งอำนาจและความ มั่งคั่งในมือ คุณว่าดาวิดเขียนบทสดุดีกี่บทในระหว่างที่นอนเล่นอยู่บนเตียง หรือเดินไปมาบนดาดฟ้าหลังคา? ท่านใคร่ครวญธรรมบัญญัติกี่บทในขณะที่อยู่ในเยรูซาเล็ม? มากกว่าที่ในสนามรบหรือเปล่า? เราคงไม่ใช่พวก ต่อต้านความสุขสบาย ต้องการแต่ความทุกข์ยาก แต่ในทางตรงข้าม เราควรตระหนักว่า บ่อยครั้งความสำเร็จ เป็นบทพิสูจน์ที่หนักหน่วงกว่าความทุกข์ยาก บ่อยครั้งที่ดูเหมือนว่า "ทุกอย่างเป็นได้อย่างใจ" รู้หรือเปล่าว่า เรากำลังตกอยู่ในอันตรายที่ร้ายแรงที่สุดทีเดียว
สี่ ความบาปมีลำดับของมัน ความบาป "เกิดขึ้น" แต่น้อยครั้งมากที่ "อยู่ดีๆก็เกิดขึ้น" บาปมีที่มาที่ไป เราเห็น ลำดับการเกิดนี้ได้ในพระธรรมยากอบ:
13 เมื่อผู้ใดถูกล่อให้หลง อย่าให้ผู้นั้นพูดว่า "พระเจ้าทรงล่อข้าพเจ้า
ให้หลง" เพราะว่าความชั่วจะมาล่อพระเจ้าให้หลงไม่ได้ และพระองค์
เอง ก็ไม่ทรงล่อผู้ใดให้หลงเลย 14 แต่ว่าทุกคนก็ถูกล่อให้หลง เมื่อกิ
เลส ของตัวเองล่อและชักนำให้กระทำตาม 15 ครั้นตัณหาเกิดขึ้นแล้ว
ก็ทำให้เกิดบาป และเมื่อบาปเจริญเต็มที่แล้วก็นำไปสู่ความตาย
(ยากอบ 1:13-15)
ความบาปของดาวิดไม่ได้อยู่ดีๆก็เกิดขึ้น ดาวิดเองเป็นตัวการที่ทำให้ตนเองล้มลง เรารู้ว่าท่านละทิ้งภาระใน สนามรบ เลือกที่จะอยู่อย่างสุขสบาย คุณและผมอาจตัดสินใจทำในสิ่งเดียวกัน อาจจะแตกต่างไปเล็กน้อย เราอาจเลือกความสะดวกสบายแทนที่จะไปติดตามองค์พระผู้เป็นเจ้า ดำรงชีวิตภายใต้วินัย สามารถควบคุม ตนเองได้ (ดู 1 โครินธ์ 9:24-27) เราอาจเหน็ดเหนื่อยท้อถอยในการแบกกางเขน และเริ่มมองหาสิ่งที่ดีที่สุด ให้แก่ตนเอง เราอาจขยาด กลัวถูกแบ่งแยก เบื่อหน่ายที่ถูกหัวเราะเยาะเพราะการดำเนินชีวิตคริสเตียน เรา อาจนิ่งเงียบ มากกว่าพูดเป็นพยานเรื่องความเชื่อของเรา และถูกปฏิเสธเพราะสถานะของเรา เราอาจไม่กล้า ไปพูดตักเตือนพี่น้องคริสเตียนที่กำลังทำบาป เพราะเมื่อครั้งที่แล้วที่เราทำ เราหน้าแตกยับเยิน เมื่อใดที่เรา ก้าวถอยมาจากสนามรบ เราก็พร้อมที่จะล้มลงทุกขณะ
บาปที่ลงมือกระทำมักเป็นผลมาจากบาปแห่งการละเลย ดาวิดทำบาปล่วงประเวณีกับนางบัทเชบา และต่อมา ก็ฆ่าสามีนางทิ้งเสีย ความบาปของดาวิดเกิดจากความละเลย เหตุเพราะท่านเลือกที่จะอยู่บ้าน แทนที่จะไป สงคราม บาปแห่งการละเลยนี้ยากที่เราเองหรือคนอื่นๆจะมองเห็นได้ แต่มันอยู่ที่นั่นครับ และอีกไม่นาน มันจะ ฟักตัวกลายเป็นบาปที่เห็นชัดเจน เช่นที่เราเห็นเกิดกับดาวิด
คุณๆที่กำลังอ่านบทเรียนนี้ ผมรู้ว่าคุณกำลังตกอยู่ในสภาพเดียวกับดาวิด คุณได้ทำบาปล่วงประเวณี ผมขอ บอกว่า : "หยุดทันทีเลยครับ!" จะดีเพียงใดถ้าดาวิดยอมสารภาพบาปที่ทำกับนางบัทเชบา ก่อนที่ท่านจะ เลยเถิดไปจนถึงการฆ่าอุรียาห์ บาปเป็นเหมือนมะเร็งร้าย : ยิ่งรีบตัดทิ้งยิ่งเป็นการดี ; ถ้าปล่อยทิ้งไว้ ยิ่ง เจริญเติบโต ถ้าคุณพลาดพลั้งไปเหมือนดาวิด (ด้วยบาปใดก็ตาม) ตัดให้ขาด สารภาพบาปเสีย ทูลขอการ อภัยจากพระเจ้า และเริ่มต้นใหม่กับพระองค์
คุณบางคนอาจยังไม่เคยทำบาปนี้เหมือนดาวิด แต่กำลังใกล้เข้าไป คุณกำลังทำตัวเหมือนดาวิด เลือกที่จะ อยู่ในเยรูซาเล็ม และเลือกที่จะนอนเล่นบนเตียง คุณยังไม่ได้ลงมือทำบาปหรอกครับ แต่คุณกำลังปูทางอยู่ เพียงแต่คอยเวลาและโอกาส ที่ผมต้องการถาม ไม่ใช่ว่าคุณได้ทำบาปหรือยัง แต่ว่าคุณได้ยอมจำนนกับองค์ พระเยซูคริสต์หรือยัง ปรนนิบัติพระองค์เช่นเดียวกับคนอื่นหรือเปล่า โดยการใช้ความสามารถ (ของประทาน) ที่พระเจ้ามอบให้ มาใช้ให้เกิดประโยชน์แก่ผู้อื่น? ขอให้เราเรียนรู้จากการละเลยของดาวิด แทนที่จะเลียน แบบ (ประสพการณ์) จากการกระทำของท่าน
อัครสาวกยอห์นกล่าวไว้ว่า:
7 แต่ถ้าเราดำเนินอยู่ในความสว่าง เหมือนอย่างพระองค์ทรงสถิตในความสว่าง เราก็ร่วมสามัคคีธรรมซึ่งกันและกัน และพระโลหิตของพระเยซูคริสต์พระบุตรของ
พระองค์ ก็ชำระเราทั้งหลายให้ปราศจากบาปทั้งสิ้น 8 ถ้าเราทั้งหลายจะว่าเรา
ไม่มีบาป เราก็ลวงตนเอง และสัจจะไม่ได้อยู่ในเราเลย 9 ถ้าเราสารภาพบาป
ของเรา พระองค์ทรงสัตย์ซื่อและเที่ยงธรรม ก็จะทรงโปรดยกบาปของเรา และ จะทรงชำระเราให้พ้นจากการอธรรมทั้งสิ้น
(1 ยอห์น 1:7-9)
1 ลูกของข้าพเจ้าเอ๋ย ข้าพเจ้าเขียนข้อความเหล่านี้ถึงท่านทั้งหลาย เพื่อท่าน
จะได้ไม่ทำบาป และถ้าผู้ใดทำบาป เราก็มีพระองค์ผู้ทูลขอพระบิดาเพื่อเรา คือ พระเยซูคริสต์ผู้ทรงเที่ยงธรรมนั้น 2 และพระองค์ทรงเป็นผู้ลบล้างพระอาชญาที่
ตกกับเราทั้งหลาย เพราะบาปของเรา และไม่ใช่แต่บาปของเราพวกเดียว แต่ ของมนุษย์ทั้งปวงในโลกด้วย
(1 ยอห์น 2:1-2)
4 ผู้ที่กระทำบาปก็ประพฤติผิดธรรมบัญญัติ บาปเป็นสิ่งที่ผิดธรรมบัญญัติ 5 ท่าน
ทั้งหลายรู้แล้วว่า พระองค์ได้ทรงปรากฏ เพื่อกำจัดบาปของเราให้หมดไป และ พระองค์ไม่ทรงมีบาปเลย 6 ผู้ใดที่อยู่ในพระองค์ ผู้นั้นไม่กระทำบาป ส่วนผู้ใดที่
กระทำบาป ผู้นั้นยังไม่เห็นพระองค์ และยังไม่รู้จักพระองค์ 7 ลูกทั้งหลายเอ๋ย อย่าให้ใครชักจูงท่านให้หลง ผู้ที่ประพฤติชอบก็ชอบธรรมเหมือนอย่างพระองค์
ชอบธรรม 8 ผู้ที่กระทำบาปก็มาจากมาร เพราะว่ามารได้กระทำบาปตั้งแต่เริ่มแรก พระบุตรของพระเจ้าได้เสด็จมาปรากฏก็เพราะเหตุนี้ คือเพื่อทรงทำลายกิจการของ
มาร 9 ผู้ใดบังเกิดจากพระเจ้า ผู้นั้นไม่กระทำบาป เพราะสภาพของพระเจ้าดำรง อยู่กับผู้นั้นและเขากระทำบาปไม่ได้ เพราะเขาเกิดจากพระเจ้า
(1 ยอห์น 3:4-9)
37 ผมคิดว่าคงไม่ได้พูดเกินจริงครับ เหตุการณ์ระหว่างดาวิดและอุรียาห์ดูจะเป็นตัวบ่งว่า ท่านประหลาดใจ ทำไมอุรียาห์ เมื่อมีโอกาส ไม่อยากกลับมาอยู่สุขสบายในกรุงเยรูซาเล็ม แต่อุรียาห์กลับเลือกที่จะอยู่เหมือน ยังอยู่ในสนามรบ
38 เรื่อง "การชำระตัว" ของนางบัทเชบานี้เป็นเรื่องน่าสนใจและออกจะงงเล็กน้อย ในฉบับ KJV อ่านว่า "และ พระองค์ได้สมสู่กับนาง ; เพราะนางได้ชำระตัวให้สิ้นมลทินแล้ว : และนางได้กลับบ้านไป " ข้อ 4 ฉบับ NKJV แตกต่างนิดหน่อย : "และพระองค์สมสู่กับนาง, เพราะนางได้รับการชำระให้สิ้นมลทิน ; และกลับ บ้านไป" (สังเกตุดูเครื่องหมาย ; แล้ว , และจาก : ไปเป็น ;) ฉบับ NIV อ่านว่า "แล้วพระองค์ทรงสมสู่กับ นาง. (พอดีนางได้ชำระตัวให้สิ้นมลทินของนางแล้ว)" ฉบับ NRSV อ่านว่า "แล้ว พระองค์ทรงสมสู่กันาง (เพราะนางได้ชำระตัวหลังมีมลทินแล้ว)." มีคำถามเกิดขึ้นสองข้อซึ่งในพระคัมภีร์ไม่ได้อธิบายไว้ : (1) นางบัทเชบาชำระตัวให้พ้นจากมลทินใด? — มลทินจากการมีประจำเดือน หรือมลทินจากการมีเพศสัมพันธ์? ทั้งสองกรณีนี้มีกำหนดอยู่ในพระธรรมเลวีนิติ 15 (2) การชำระตัวนี้เกิดขึ้นตอนไหน และเสร็จสิ้นตอนไหน? ตอนที่ดาวิดเห็นบัทเชบาอาบน้ำ เป็นเวลาเดียวกับที่นางกำลังชำระตัวให้พ้นจากมลทินหรือเปล่า? ถ้าใช่ตาม ที่ธรรมบัญญัติกำหนดไว้ นางก็ต้องคอยให้ครบกำหนด จึงจะมีเพศสัมพันธ์ได้ มิฉะ นั้นก็เท่ากับดาวิดทำให้นาง ต้องฝ่าฝืนกฎเกี่ยวกับการชำระตัว เพราะยังไม่ครบตามกำหนด ตามคำแปล ดูเหมือนว่าการชำระตัวเป็นอดีต (ดำเนินต่อ) และเสร็จสิ้นลงแล้ว นางจึงสามารถมีเพศสัมพันธ์ได้โดยไม่ฝ่าฝืนกฎ ถึงจะไม่ใช่กับดาวิดก็ตาม แต่ถ้านางยังอยู่ในช่วงต้องห้ามของการชำระตัว ก็เท่ากับดาวิดทำบาปเพิ่มอีกข้อเพราะผิดเวลา ในขณะที่นาง ยังเป็นมลทินอยู่ หรือจะอ่านเป็นอีกแบบก็ได้ (เหมือนในฉบับ NASB) ที่พูดว่า บัทเชบารออยู่ที่วังของดาวิด จนกระทั่งนางได้ชำระตัวจนพ้นมลทินหลังจากมีสัมพันธ์กับดาวิดแล้ว ที่ น่าสนใจคือไม่มีการกล่าวว่าดาวิดรอ จนกว่าท่านได้ชำระตัวให้พ้นมลทินแล้ว ตามความเห็นของผมเรื่อง "การชำระตัว" นี้ ดูเหมือนนางบัทเชบา ต้องการทำตามธรรมบัญญัติของโมเสส ถึงแม้ดาวิดไม่ทำก็ตาม
ยี่สิบปีที่แล้ว พนักงานโรงแรมผู้หนึ่งเห็นประตูบันใดหนีไฟเปิดอ้าอยู่ มีเจ้าหน้าที่ตำรวจสามนายพบคน แปลกหน้าถึงห้าคนเดินอยู่ในสำนักงานใหญ่ของคณะกรรมการประชาธิปไตยแห่งชาติ มีพวกโจรแอบเข้า ไปปรับเปลี่ยนระบบป้องกันการโจรกรรมก่อนหน้านี้ เอกสารสำคัญของคณะกรรมการถูกขโมยถ่ายภาพไป
ไม่มีใครสามารถอธิบายได้ว่า พวกโจรได้อะไรจากการโจรกรรมในครั้งนั้น ไม่ว่าเป็นเพราะอะไรก็ตาม ถ้ามี การสารภาพอย่างจริงใจถึงสาเหตุที่กระทำ อาจเป็นเพียงความผิดเล็กน้อย เรื่องความขัดแย้งในทางการ เมือง แต่การพยายามปกปิดความผิด อาจเป็นตัวนำไปสู่ผลกระทบที่รุนแรงมหาศาล ริชาร์ด นิกสัน ปธน. ของสหรัฐอเมริกา ถูกบังคับให้ต้องลาออกจากตำแหน่งในระหว่างที่ถูกกล่าวโทษ คนใกล้ชิดถูกฟ้องร้อง และถูกดำเนินคดีไปหลายคน
ตลอดมาในประวัติศาสตร์ มีการพยายามปกปิดความสูญเสีย ความผิดทางศีลธรรม แม้กระทั่งการกระทำทาง อาชญากรรม ในพระคัมภีร์เอง เรื่องการพยายามปกปิดนี้มีมาตั้งแต่ครั้งปฐมกาล อาดัมและเอวาพยายาม ปกปิดกายที่เปลือยอยู่ และซ่อนตัวเสียจากพระเจ้า โดยไม่ตระหนักเลยว่ายิ่งพยายามเท่าไร ยิ่งแสดงให้ เห็นถึงความผิดบาปของตนเอง บทเรียนในพระธรรม 2 ซามูเอล บทที่ 11 เป็นเรื่องความพยายามปกปิด ที่โด่งดังที่สุด และเช่นเดียวกับอีกหลายๆคน มันล้มเหลวอย่างน่าเศร้าทีเดียว
ในบทเรียนที่แล้ว มีการอธิบายถึงความบาปที่ดาวิดทำกับนางบัทเชบา โดยชี้ให้เห็นว่าความบาปทั้งสิ้น ตกอยู่ที่ดาวิดเพียงผู้เดียว นางบัทเชบาไม่มีส่วนผิดด้วย ดาวิดไม่ได้หยุดอยู่เพียงแค่นั้น ทุกสิ่งที่ท่านทำ ไม่ได้เพราะถูกล่อลวง หรือถูกนางบัทเชบายั่วยวนแต่ประการใด แต่เกิดจากความผยอง ตัณหา และความ โลภของดาวิดเอง ดาวิดไม่เคยอยากได้นางบัทเชบามาเป็นภรรยา หรือสานต่อเรื่องการล่วงประเวณีกับ นางอีก ท่านเพียงแสวงหาความสุขชั่วครั้งชั่วคราว และส่งนางกลับไป ดูเหมือนเรื่องมันน่าจะจบแค่นั้น แต่แล้วดาวิดกลับได้ยินว่า เพียงชั่วคืนเดียว นางก็ตั้งครรภ์ เราจะมาเริ่มเรียนต่อถึงการที่ดาวิดพยายาม ปกปิดความบาปที่ทำไว้กับนางบัทเชบา และอย่างที่เรารู้ นอกจากจะไม่สำเร็จแล้ว ยังทำให้เรื่องนี้เลว ร้ายลงไปอีก
เรื่องของดาวิดและอุรียาห์ทำให้ผมนึกถึงเรื่อง "หมอผีกับลูกน้องมือใหม่" นานมาแล้วหมือนกัน แต่ยังพอ จำได้ (รู้สึกจะเป็นตอนที่วอลท์ ดิสนีย์นำมาสร้างใหม่) หมอผีไม่อยู่ ทิ้งให้ลูกน้องมือใหม่เฝ้าสำนักตามลำพัง ลูกน้องเกิดหัวใสขึ้นมา คิดว่าจะทำงานง่ายกว่า ถ้านำคาถาบางตัวของลูกพี่มาใช้ จะได้ไม่ต้องเหนื่อยแรง ปัญหาก็คือลูกน้องนำมาใช้เป็น แต่หยุดไม่เป็น ในที่สุดต้องมีคนยื่นมือเข้ามาช่วยหลายคน ในขณะที่ลูกน้อง มือใหม่พยายามแก้คาถากลับคืน
มาถึงตอนนี้ ชีวิตของดาวิดเป็นเหมือนชีวิตทั่วไป ท่านเริ่มทำบาปใหม่เพื่อปกปิดบาปเดิม ด้วยคิดว่าบาปใหม่ จะลบบาปเก่าไปได้ แต่ทว่า นอกจากลบไม่ได้แล้ว ยังทวีคูณเข้าไปอีก หลายคนเริ่มรู้เรื่องความบาปของ ท่าน เริ่มปิดไม่มิด มีบทเรียนมากมายที่เราเรียนรู้ได้จากโศกนาฏรรมครั้งนี้ของดาวิด ถ้าใส่ใจให้ดี เราจะไม่ พลัดหลงดิ่งไปในทางเดียวกัน ขอองค์พระวิญญาณเปิดหู เปิดใจเรา ให้ฟังและเรียนจากการที่ดาวิด พยายามปกปิดบาปที่ท่านทำไว้กับนางบัทเชบา
ในบทเรียนที่แล้ว เราใช้เวลาไปที่สี่ข้อแรกของบทที่ 11 ซึ่งอธิบายเรื่องความบาปของดาวิดกับบัทเชบา ผมได้แสดงให้เห็นว่าความผิดบาปทั้งหมดตกอยู่ที่ดาวิดเพียงคนเดียว ผู้เขียนชี้นิ้วไปที่ดาวิด ไม่ใช่นาง บัทเชบา นางบัทเชบาไม่ได้อาบน้ำอย่างไม่เหมาะสม (ตามที่ผมอ่านจากพระคัมภีร์) นางเพียงแต่ทำตามที่ ธรรมบัญญัติกำหนดไว้เกี่ยวกับการชำระตัวให้พ้นมลทิน ดาวิดต่างหาก ที่มีพระราชวังอยู่สูง มองเห็นได้มาก กว่าคนอื่นๆ ท่านมองบัทเชบาอย่างไม่เหมาะสม ฝ่าฝืนสิทธิส่วนบุคคล ผมพยายามชี้ให้เห็นว่าความบาป ของดาวิดต่อนางบัทเชบาเป็นผลสืบเนื่องมาจากการตัดสินใจผิดและทัศนคติของดาวิดเอง ในอีกแง่หนึ่ง การมุ่งไปสู่จุดหมายของดาวิด (การล่วงประเวณี หรือทำนองเดียวกัน) เป็นเรื่องไม่เกินความคาดหมาย บาปแห่งการละเลยของท่าน ในที่สุดก็เกิดดอกออกผลจนเต็มขนาด
มุมมองหนึ่งในโศกนาฏกรรมครั้งนี้คือผลต่อเนื่องที่เกิดจากความบาปในชีวิตของดาวิด เรื่องไม่ได้จบลงแค่ ที่ท่านได้ล่วงประเวณีกับบัทเชบาเท่านั้น แต่มันนำไปสู่แผนชั่วที่จะให้อุรียาห์เป็นพ่อบุตรของท่านกับนาง บัทเชบาแทน ในที่สุดนำไปสู่การฆาตรกรรมอุรียาห์ ทำให้ที่สุดแล้วท่านต้องแต่งงานกับนางบัทเชบา เมื่อ เราเริ่มเรียนต่อ การมีข้อมูลเบื้องหลังไว้บ้าง จะทำให้เรามีความเข้าใจในบทเรียนมากยิ่งขึ้น
(1) ดูเหมือนว่าดาวิดและอุรียาห์ไม่ได้เป็นคนแปลกหน้าต่อกัน คงรู้จักกันดี อย่างน้อยก็ในระดับ หนึ่ง อุรียาห์ได้ชื่อว่าเป็นนักรบที่เก่งกล้าของดาวิด (2 ซามูเอล 23:39; 1 พงศาวดาร 11:41) ในตอนต้นๆ มีพวก "คนกล้า" หลายคนมาเข้าพวกกับดาวิดในขณะอยู่ที่ในถ้ำอดุลลัม (1 ซามูเอล22:1-2) และเราคิดว่า หนึ่งในนั้นคือ โยอาบ อาบีชัย และอาสาเฮล พี่น้องที่เป็นคนกล้า (ดู 2 ซามูเอล 23:18, 24; 1 พงศาวดาร 11:26).39 ที่เหลือมาสมทบที่ศิกลาก (1 พงศาวดาร 12:1) และยังมีมาสบทบเรื่อยๆอีกที่เฮโบรน (1 พง- ศาวดาร 12:38-40).40 เราไม่รู้ว่าอุรียาห์มาเข้าพวกกับดาวิดที่ใหนและเมื่อไร แต่เมื่อหน้าที่ทางทหาร ของเขาจบลงใน 2 ซามูเอล 12 เขาต้องมีเกียรติประวัติของความสำเร็จทางทหารมาก่อน จึงเป็นไปได้ที่ ดาวิดและอุรียาห์ต้องรู้จักกัน ; เป็นไปได้ด้วยว่าทั้งคู่ต้องเคยร่วมรบด้วยกันมาก่อน และอาจเป็นได้ว่า รู้จัก ตั้งแต่เมื่อครั้งหลบหนีซาอูล
(2) ไม่น่าเป็นไปได้ที่อุรียาห์จะไม่รู้ว่าดาวิดได้ทำอะไรลงไป และพยายามจะทำสิ่งใดในการที่เรียก เขากลับมาบ้านที่เยรูซาเล็ม ต้องมีข่าวลือหนาหูไปทั่วกรุงเยรูซาเล็มเรื่องดาวิดกับนางบัทเชบา และคง ลือไปใกลถึงกองทัพอิสราเอลที่ล้อมเมืองรับบาห์อยู่ อุรียาห์นอกจากไม่ยอมกลับไปบ้านเพื่อนอนกับภรรยา แล้ว ยังนอนเสียที่ประตูพระราชวังกับพวกข้าราชการของดาวิด เขาอาจจะอยากพิสูจน์ให้เห็นว่าเด็กในท้อง ภรรยาไม่ใช่ลูกของเขา ดูเหมือนอุรียาห์จะเข้าใจแจ่มแจ้งว่าดาวิดต้องการจะทำอะไร (ให้ไปนอนกับภรรยา) เขาจึงปฏิเสธ ถึงแม้เป็นคำสั่งของกษัตริย์ก็ตาม เราคงอธิบายได้ยาก ว่าอุรียาห์จะไม่รู้เรื่องของดาวิดและ บัทเชบา อย่างน้อยอุรียาห์ต้องรู้ว่าดาวิดต้องการให้เขาทำสิ่งใดในการเรียกตัวกลับมาเยรูซาเล็ม เราจะมา ลงลึกในรายละเอียดของเรื่องนี้อีกทีหลัง
(3) ไม่มีการกล่าวว่าบัทเชบามีส่วนรู้เห็นในแผนการหลอกลวงอุรียาห์สามีของนางจนถึงแก่ชีวิต นางไม่รู้สักนิดว่าดาวิดคิดจะทำอะไร เมื่อนางส่งคนไปบอกดาวิดว่าตั้งครรภ์ ดาวิดตัดสินใจทำบางอย่าง แต่ไม่มีที่ใดที่กล่าวว่านางมีส่วนรู้เห็นในแผนการนี้ ข้อ 26 กล่าวว่านางรู้เรื่องการตายของอุรียาห์ทีหลัง ตาม ขั้นตอนทั่วไป แน่นอน ดาวิดจะให้นางรู้หรือว่ากำลังวางแผนคิดจะฆ่าสามีของนาง? ดาวิดทำการครั้งนี้ โดยที่บัทเชบาไม่มีส่วนรู้เห็นด้วย
ดูเหมือนดาวิดไม่ได้คิดถึงนางบัทเชบาอีกหลังจากที่พบกันในข้อ 1-4 แน่นอน ดาวิดไม่ได้ต้องการสานต่อ สัมพันธภาพนี้ ไม่ต้องการพบนางอีก และไม่ได้ต้องการจะแต่งงานกับนาง ดาวิดปัดเรื่องความบาปนี้ออกไป จากความคิด จนกระทั่งบัทเชบาส่งคนมาบอกว่า ผลจากคืนนั้นทำให้นางตั้งครรภ์ บัทเชบาบอกดาวิดว่านาง กำลังจะมีลูก ไม่ได้บอกว่าสงสัยจะตั้งครรภ์ ซึ่งก็แปลว่านางต้องขาดประจำเดือนไปแล้วอย่างน้อยหนึ่งเดือน หรือมากกว่านั้น ฉะนั้นอีกไม่นานคนก็ต้องเห็็นว่านางตั้งครรภ์ นี่เป็นความบาปและความรับผิดชอบของดาวิด นางจึงต้องบอกกับท่าน
แผนการของดาวิดดูทำให้เป็นเรื่องธรรมดา อย่างน้อยก็ในความคิดของท่าน ซึ่งไม่ฉลาดนัก พูดง่ายๆก็คือ ดาวิดต้องการให้อุรียาห์หลงไปตามแผนและทำในสิ่งที่ท่านได้ทำลงไป ดาวิดไม่อยากจะทนกับความลำบาก ในสงครามที่รับบาห์ ท่านจึงอยู่ในกรุงเยรูซาเล็ม อยู่ที่บ้าน และอยู่บนเตียง ท่านอยากทำตามใจตนเอง ไป นำภรรยาคนอื่นมานอนด้วย ดาวิดต้องการให้อุรียาห์มีโอกาสเช่นกัน เพียงแต่ว่าเป็นภรรยาของเขาเองที่เขา ต้องนอนด้วย หลังจากที่อุรียาห์นอนกับบัทเชบาแล้ว ทุกคนจะได้รู้ว่าเขาเป็นพ่อของเด็กในท้องที่เกิดจาก ความบาปของดาวิด มีสิ่งหนึ่งเกิดขึ้นกับแผนของท่าน : ท่านคิดไปเองว่าอุรียาห์จะเป็นเหมือนท่าน คือ ปล่อยตัวตามสบาย แทนที่จะทำตัวเหมือนกับว่ายังอยู่ในสนามรบ
ดาวิดสั่งไปที่โยอาบ ให้ส่งอุรียาห์กลับบ้านที่กรุงเยรูซาเล็ม จากพระธรรมตอนนี้ผมเข้าใจว่าอุรียาห์ถูกส่ง กลับมาเพื่อรายงานเหตุการณ์ในสนามรบให้ดาวิดทราบ ผมสงสัยว่าดาวิดต้องการให้อุรียาห์รู้หรือเปล่าว่า ท่านสั่งให้โยอาบทำ ผมค่อนข้างแน่ใจว่า ดาวิดไม่ต้องการให้อุรียาห์รู้สาเหตุที่แท้จริงในการเดินทางกลับ มาครั้งนี้ ดาวิดจัดฉากการกลับมาครั้งนี้ให้ดูเหมือนว่ากลับมาเพื่อจุดประสงค์เดียว แต่ที่จริงเพื่อจุดประสงค์ จะปกปิดบาปของท่าน มาถึงขนาดนี้แล้ว คำสั่งให้อุรียาห์กลับมาบ้านเริ่มมีกลิ่นไม่สู้ดี เราคงจำกันได้ว่า เมื่อบิดาของดาวิดต้องการรู้เรื่องความเป็นไปของสงครามกับพวกฟิลิสเตีย (บุตรชายของท่านสามคนร่วม รบอยู่ด้วย) ท่านส่งดาวิด บุตรชายคนเล็กไป เพื่อไปส่งเสบียงและกลับมารายงานเรื่องสงคราม (1 ซามูเอล 17:17-19) คงไม่มีใครใช้ทหารกล้ามาเพื่อส่งข่าวหรอกครับ (ดูไม่เข้าท่า)
ผมควรต้องบอกว่าโยอาบถูกดึงให้มามีส่วนสมรู้ร่วมคิดด้วย โยอาบทำตามคำสั่ง ส่งอุรียาห์กลับมา ผมเดา ว่าโยอาบคงพอรู้เลาๆ เขาอาจเคยได้ยินข่าวลือเรื่องดาวิดเป็นชู้กับนางบัทเชบา เมื่อต้องส่งตัวอุรียาห์กลับ จึงต้องมอบหมายหน้าที่บางอย่างให้รับผิดชอบ โยอาบและอุรียาห์น่าจะรู้สึกว่างานนี้คงไม่ใช่ "ปฏิการเหนือ ความคาดหมาย" (ที่มอบให้นักรบชั้นแนวหน้าทำ) แต่กลับเป็น "ปฏิบัติการเหลือเชื่อ" แทน ไม่ว่าจะอย่างไร ก็ตาม หยากเยื่อแห่งการคดโกงกำลังถูกทักทอขึ้น มีการดึงเอาคนหลายคนเข้ามาติดบ่วงด้วย
เมื่ออุรียาห์มาถึงเยรูซาเล็ม ก็เข้ามารายงานตัวต่อดาวิดผู้ซึ่งกำลังทำทุกอย่างให้คืบไปตามแผน ท่านถาม อุรียาห์ถึง "ความเป็นไปของโยอาบและคนอื่นๆ" และถามถึง "สถานการณ์ของสงคราม" ผมว่าถ้า ดาวิดไปที่สนามรบเสียเอง คงไม่ต้องใช้ให้ใครมารายงานหรอกครับ ที่แย่ไปกว่านั้น ดาวิดไม่ได้เป็นห่วง เป็นใยโยอาบหรือพวกทหารหรือเรื่องสงครามสักเท่าไร ท่านหมกมุ่นแต่เรื่องพยายามจะปกปิดบาป พยายาม ให้อุรียาห์กลับบ้านไปนอนกับภรรยา เพื่อท่านจะได้รอดตัว เป็นเรื่องน่าเศร้านะครับที่เห็นดาวิดกลายเป็นคน หลอกลวงไป กษัตริย์ผู้เคยมีเมตตาต่อบุตรพิการของโยนาธาน บัดนี้หามีเมตตาต่อทั้งกองทัพไม่ โดยเฉพาะ อย่างยิ่งต่อนางบัทเชบาและอุรียาห์สามีของนาง
ดาวิดทำตัวเหมือนปกติกับอุรียาห์ ท่านรับฟังเรื่องรายงาน และอนุญาติให้อุรียาห์กลับไปพักผ่อน ไป "ล้าง เท้า" ที่บ้าน ดาวิดไม่ได้เป็นห่วงเรื่องสุขภาพอนามัยของทหารหรอกครับ แต่เป็นห่วงเรื่องชื่อเสียงของตน ต่างหาก ปกติเมื่อคนกลับบ้าน ส่วนมากจะถอดรองเท้าและล้างเท้า เพื่อเตรียมรับประทานอาหารและขึ้นนอน ดาวิดกำลังค่อยๆกล่อมให้ชายคนนี้ กลับบ้านเพื่อไปนอนกับภรรยา อุรียาห์รู้ทัน ; ผู้เขียนรู้ทัน ; และพวกเรา ก็รู้ทันด้วย
เมื่ออุรียาห์กลับออกมาจากการเข้าเฝ้า ดาวิดลูบหลังแถมท้ายด้วยการให้คนนำ "ของประทานจากพระ ราชา" ตามไปด้วย เราคงอยากรู้ว่า "ของประทาน" ที่ว่านี้คืออะไร เป็นห้องพักโรงแรมชายทะเลสองคืน? หรืออาหารค่ำหรูใต้แสงเทียน? ผมว่าเราน่าจะสรุปได้ดังนี้ : (1) ไม่มีใครบอกว่าของประทานคืออะไร (2) เราไม่สมควรรู้ หรือไม่มีการบันทึกไว้ให้เรารู้ (3) ไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตาม คงจะถูกจัดเตรียมอย่างดี เพื่อทำ ให้แผนของดาวิดที่จะให้อุรียาห์กับไปนอนบ้านได้โดยสะดวกและรวดเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้
อุรียาห์คงพอเข้าใจได้ว่ากษัตริย์กำลังพยายามทำอะไร ใครบ้างเล่าจะไม่อยากกับบ้านไปมีความสุขกับภรรยา หลังจากต้องตรากตรำมานานอยู่ในสนามรบ? แต่เท่าที่รู้ อุรียาห์ไม่ได้ออกไปจากพระราชวังเลย เขานอนอยู่ที่ ประตูวังท่ามกลางบรรดาขุนนาง ตามความเข้าใจของผม อย่างน้อยขุนนางบางคน ถึงจะไม่ ใช่ทั้งหมด คงต้อง เป็นทหารองครักษ์ของดาวิด (เปรียบเทียบกับ 1 พกษ. 14:27-28) อุรียาห์เป็นทหาร ถูกเรียกให้มาเข้าเฝ้า ต้องออกจากสนามรบมา แต่ในฐานะผู้รับใช้ของกษัตริย์ เขาคงไม่ละหน้าที่รับผิดชอบไปมีความสุขกับภรรยา ; แต่กลับไปอยู่กับองครักษ์ที่คอยพิทักษ์ชีวิตกษัตริย์แทน เพราะนี่เป็นหนึ่งในงานรับใช้กษัตริย์ที่ในเยรูซาเล็ม เขาจึงเลือกทำสิ่งนี้แทนที่จะกลับไปบ้าน เรื่องมันชักจะไปกันใหญ่ ทหารที่สัตย์ซื่อของกษัตริย์อยู่เฝ้าเวรยาม เพื่อพิทักษ์กษัตริย์ในยามค่ำคืน กษัตริย์ที่เอาภรรยาของเขามานอนด้วย และอีกไม่นานจะมาเอาชีวิตเขาไป
ดาวิดส่งคนไปคอยสอดแนมอุรียาห์ดังกับว่าเป็นฝ่ายศัตรู พวกเขารู้ดีว่าดาวิดต้องการอะไร ; ดาวิดต้องการ ให้อุรียาห์กลับบ้านเพื่อไปนอนกับภรรยา ถ้าพวกเขาไม่รู้เบื้องหน้าเบื้องหลังว่าดาวิดทำอย่างไรไว้กับบัทเชบา (ซึ่งไม่น่าเป็นไปได้) และดาวิดต้องการอะไรในการเรียกอุรียาห์กลับมาครั้งนี้ อย่างน้อยพวกเขาก็ต้องรู้ว่าเรื่อง มันชักไม่ธรรมดา ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม ดาวิดกำลังทำให้สายสืบของท่านตกเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดด้วย
สายสืบของดาวิดกลับมาในตอนเช้าพร้อมกับรายงานที่น่าทึ่ง : "เขาไม่ได้ทำพะย่ะค่ะ เขาไม่ได้กลับไปบ้าน ด้วยซ้ำไป!" ดาวิดจึงตักเตือนอุรียาห์อย่างนุ่มๆ คำพูดและการกระทำของดาวิดหลอกลวงจนรับแทบไม่ได้ ท่านเล่นบทเจ้านายที่เต็มไปด้วยความกรุณา อุรียาห์ คนของท่าน "พึ่งเดินทางกลับมาถึง" (ข้อ 10) ทำไม ไม่ไปพักผ่อนหาความสำราญใส่ตัว? ทำไมไม่กลับไปหาภรรยาที่บ้าน? ทำไมอุรียาห์จึงปล่อยปละละเลย ไม่ ไปใส่ใจดูแลภรรยา? "ทำไมทำตัวน่าละอายเช่นนี้ อุรียาห์!" อุรียาห์มีคำอธิบายครับ รู้สึกจะมากเกินพอสำหรับ ดาวิดด้วยซ้ำไป
เขามีคำอธิบาย; คำพูดที่อุรียาห์ตอบผู้บังคับบัญชาเป็นคำตำหนิที่รุนแรงพอๆกับที่ดาวิดจะได้ยินจากนาธัน ในบทต่อไป อุรียาห์เข้าใจดีว่าดาวิดต้องการให้เขาทำสิ่งใด (ให้ไปนอนกับภรรยา) แต่ตอนนี้ท่านเริ่มผลักดัน หนักขึ้น — ขู่แกมบังคับ — ให้ต้องทำ อุรียาห์ปฏิเสธอย่างนุ่มนวลแต่หนักแน่น :
11 อุรีอาห์ทูลตอบดาวิดว่า "หีบพันธสัญญาและอิสราเอลกับยูดาห์อยู่ในทับ
อาศัย โยอาบเจ้านายของข้าพระบาทกับบรรดาข้าราชการ ของฝ่าพระบาท
ตั้งค่ายอยู่ที่พื้นทุ่ง ส่วนข้าพระบาทจะไปบ้าน ไปกิน ไปดื่ม และนอนกับ ภรรยาของข้าพระบาทเช่นนั้นหรือพ่ะย่ะค่ะ พระองค์ทรงพระชนม์อยู่และ
วิญญาณจิตของพระองค์ มีชีวิตอยู่แน่ฉันใด ข้าพระบาทจะไม่กระทำอย่าง
นี้เลย" (2 ซามูเอล 11:11)
ข้อแรกอุรียาห์ชี้ให้เห็นว่าเขาไม่ได้อยู่ในที่ๆควรอยู่ ดาวิดพูดถึงอุรียาห์ว่าพึ่งกลับมาจากการเดินทาง (ข้อ 10) ที่จริงคืออุรียาห์ถูกเรียกตัวมาจากสนามรบ เขาไม่ได้เป็นพนักงานขายเดินสายที่กำลังกลับบ้าน ; เขา เป็นทหาร ไม่ได้อยู่ในที่ประจำการ ทั้งใจและวิญญาณของอุรียาห์อยู่กับเพื่อนทหารนักรบ เขาอยากกลับไป สนามรบ ไม่ใช่มาอยู่ที่เยรูซาเล็ม เขาพร้อมที่จะกลับไปทันทีที่ดาวิดอนุญาติ (ข้อ 12) แต่กว่าจะถึงเวลานั้น เขาจะปฏิบัติตนดังเช่นทหารให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ จะกินอยู่เหมือนเพื่อนทหารในสนามรบ ที่กองทัพ อิสราเอลนำโดยโยอาบยังล้อมเมืองรับบาห์อยู่ พวกเขาและหีบของพระเจ้าอยู่ในทับอาศัยในทุ่งโล่ง อุรียาห์ เองไม่สามารถ และจะไม่ทำด้วย คืออยู่อย่างหรูหราในขณะที่คนอื่นกำลังเสียสละเพื่อชาติ เขาจะไม่กลับไป นอนกับภรรยาจนกว่าคนอื่นๆจะมีโอกาสเช่นกัน
ด้วยความเคารพอย่างสูง อุรียาห์ขอปฏิเสธ — แปลว่าไม่ยอมทำ — ในสิ่งที่ขัดกับวินัยทหาร ไม่ต้องพูดถึง วีรบุรุษสงคราม ผมว่าถ้าดูให้ดี ไม่เห็นมีคำสั่งใดเจาะจงที่ทำให้อุรียาห์ต้องฝ่าฝืน เท่าที่รู้ ผมยังไม่เคยเห็น ว่าที่ใดในธรรมบัญญัติของโมเสสที่กำหนดห้ามไม่ให้ทหารมีสัมพันธ์กับภรรยาในระหว่างเวลาสงคราม (ถ้า เรื่องนี้เป็นจริง ในยุคแรกของประวัติศาสตร์อิสราเอล ชนชาติอิสราเอลคงไม่เหลือหลอ เพราะอิสราเอล มีแต่ทำสงครามกับเพื่อนบ้านอยู่ตลอดเวลา) นี่เท่ากับเป็นการลงโทษอุรียาห์ในฐานะทหาร เขาไม่ขอทำลาย จิตสำนึกของตนเอง แม้จะเป็นคำสั่งของกษัตริย์ก็ตาม
เพื่อจะเข้าใจคำพูดของอุรียาห์ให้ชัดเจนขึ้น ให้เราพลิกกลับไปดูเล็กน้อย เพื่อจะนำคำพูดที่ดาวิดเคยพูดกับ ปุโรหิตอาหิเมเลขมาทบทวนดู เพราะเป็นเรื่องเดียวกับที่อุรียาห์กำลังเผชิญ :
1 แล้วดาวิดก็มาหาอาหิเมเลคปุโรหิตเมืองโนบ และอาหิเมเลคออกมา หาดาวิดตัวสั่นอยู่พูดกับท่านว่า "ทำไมท่านจึงมาคนเดียว และไม่มีผู้ใด
มากับท่าน" 2 ดาวิดจึงพูดกับอาหิเมเลคปุโรหิตว่า "พระราชาทรงบัญชา
ข้าพเจ้าให้ทำเรื่องหนึ่ง รับสั่งแก่ข้าพเจ้าว่า 'อย่าบอกเรื่องซึ่งเราใช้เจ้า
ไป กระทำนั้นแก่ผู้ใดให้รู้เลย และด้วยเรื่องซึ่งเรามอบหมายแก่เจ้านั้น' ข้าพเจ้าได้นัดหมายไว้กับพวกคนหนุ่ม ณ ที่แห่งหนึ่ง 3 ท่านมีอะไร
ติดมืออยู่บ้างเล่า ขอขนมปังข้าพเจ้าสักห้าก้อน หรืออะไรๆที่มีที่นี่ก็ได้"
4 ปุโรหิตนั้นตอบดาวิดว่า "ข้าพเจ้าไม่มีขนมปังธรรมดาเลย แต่มีขนมปัง
บริสุทธิ์ ขอแต่คนหนุ่มได้อยู่ห่างจากผู้หญิงมาแล้วก็แล้วกัน" 5 และดาวิด
ก็ตอบท่านปุโรหิตว่า "ที่จริงเมื่อเราทั้งหลายออกไปปฏิบัติงาน ผู้หญิงก็
ถูกกัน ให้ห่างจากเราอย่างทุกครั้ง การเดินทางธรรมดากายของคนหนุ่ม
ก็บริสุทธิ์อยู่แล้ว ยิ่งวันนี้กายของเราก็ยิ่งบริสุทธิ์กว่า" (1 ซามูเอล 21:1-5)
เราคงจำกันได้เมื่อดาวิดหลบหนีซาอูลครั้งแรก ท่านหนีไปหาปุโรหิตอาหิเมเลข เพื่อขอปันอาหาร และขอ ดาบ ปุโรหิตไม่มีอาหารเก็บไว้ยกเว้นแต่ขนมปังบริสุทธิ์ ซึ่งท่านยินยอมให้ดาวิดและพรรคพวกรับประทาน ถ้าพวกเขา "ได้อยู่ห่างจากผู้หญิงมา" (ข้อ 4) ปุโรหิตคงคิดว่าพวกเขาอาจไปทำอะไรมาก่อนหน้านั้น คำตอบของดาวิด โดยเฉพาะน้ำเสียงนั้นเข้ากับเหตุการณ์ของบทนี้เป็นอย่างยิ่ง ท่านให้ความมั่นใจกับ ปุโรหิตว่า ท่านและผู้ติดตามไม่ได้ข้องเกี่ยวกับผู้หญิงมา ด้วยเกรงว่าปุโรหิตจะคิดเป็นอื่น เหตุผลที่ดาวิดให้ คือท่านและคนของท่านกำลังปฏิบัติงานให้กษัตริย์ มาในหน้าที่ราชการทหาร (หรือมาอย่างเป็นทางการ)
ที่น่าทึ่งที่สุดคือ หลายปีก่อนหน้านี้ ดาวิดเองยืนกรานว่า คนที่กำลังปฏิบัติงานในหน้าที่ราชการอยู่ ไม่ควรมี สัมพันธภาพทางเพศกับผู้หญิง แต่หลายปีหลังจากนั้น ดาวิดกลับประหลาดใจว่าทหารในระหว่างปฏิบัติงาน ให้กษัตริย์ยินดีที่จะสละความสุขที่มีกับภรรยาเสีย แย่ไปกว่านั้น ดาวิดพยายามชักจูง — จนเกือบบังคับ — ให้อุรียาห์ทำ ถึงแม้จะขัดต่อจิตสำนึกของเขาเองก็ตาม นี่ไม่ใช่เป็นการ "ทำให้พี่น้องผู้อ่อนแอสะดุด" แต่นี่ เป็นการตัดขาของพี่น้องที่แข็งแกร่งทิ้งเลย อุรียาห์เป็นแบบอย่างที่ดี ที่สมควรคาดหวังได้จากทหาร โดย เฉพาะอย่างยิ่งจากดาวิด — หรืออย่างน้อยดาวิดในอดีต อุรียาห์กลับทำตัวเหมือนดาิวิดที่เราเคยรู้จัก อุรียาห์ คือ "ดาวิด" อย่างที่ดาวิดควรเป็น
คำพูดของอุรียาห์ทำให้ดาวิดถึงกับช็อคไปด้วยตระหนักถึงความบาปของตนเอง ผู้เขียนใช้คำพูดเล่าในเชิง เหน็บแนม อุรียาห์พึ่งบอกกับดาวิดว่าจะไม่กลับไปบ้าน จะไม่ไปดื่มและนอนกับภรรยา 41 เขาให้ความสำคัญ กับเรื่องนี้มาก : "พระองค์ทรงพระชนม์อยู่และวิญญาณจิตของพระองค์ มีชีวิตอยู่แน่ฉันใด ข้าพระ บาทจะไม่กระทำอย่างนี้เลย" (ข้อ 11) ในข้อต่อไปดาวิดบังคับอุรียาห์ให้ "กินและดื่ม" กับท่าน ด้วยหวัง ว่าเขาจะเมาและอยากกลับไปหาภรรยา แต่เมื่ออุรียาห์สาบานต่อชีวิตของกษัตริย์ ว่าเขาจะไม่มีวันทำเช่นนั้น กษัตริย์จึงจำต้องปลิดชีวิตเขาแทน เป็นเรื่องน่าเศร้านะครับ! เป็นโศกนาฏกรรม!
ดาวิดเริ่มแย่ นึกไม่ถึงว่าอุรียาห์จะกล้าปฏิเสธข้อเสนอของท่าน อุรียาห์พูดอย่างเด็ดเดี่ยว และดาวิดรู้ดีว่า เขาจะไม่มีทางฝ่าฝืนหน้าที่ในฐานะทหาร ถ้ายังมีสติสัมปชัญญะดีอยู่ ดาวิดจึงลองพยายามปรับเปลี่ยนแผน เดิมอีกครั้ง — มอมเหล้าอุรียาห์ให้เมาจะได้อยากกลับไปหาภรรยา เพราะว่าคนเราถ้าเมา มักจะทำในสิ่งที่ ยามสติดีๆจะไม่ทำเป็นอันขาด ดาวิดคิดว่าแผนนี้น่าจะได้ผล
เป็นที่เข้าใจได้ว่าอุรียาห์กินและดื่มกับกษัตริย์ดาวิดในคืนที่อยู่ในเยรูซาเล็ม ดาวิดเริ่มชักชวนให้อุรียาห์ กิน และดื่ม ห้ามปฏิเสธคำเชิญของกษัตริย์ ในที่สุด ดาวิดคิดว่าเกิดผล เพราะแน่ใจว่าอุรียาห์รับแอลกอฮอล เข้าไปในสายเลือดจนเมา และเมื่อเมาได้ขนาดนี้ ดาวิดจะส่งอุรียาห์กลับบ้านเพื่อ "ไปนอน" กับภรรยา ให้จบๆไปเสียที ถึงแม้จะเมา อุรียาห์ก็ยังไม่ยอมฝ่าฝืนจิตสำนึกเป็นอันขาด!42 อีกครั้งแล้ว ที่อุรียาห์นอน ค้างที่ประตูวังของดาวิด ท่ามกลางพวกมหาดเล็ก เขาไม่ได้กลับไปบ้าน ไม่ได้กลับไปนอนกับภรรยา ดาวิด กำลังตกที่นั่งลำบาก
ดาวิดต้องลงมือทำบางสิ่งที่จะมีผลย้อนกลับ ท่านต้องการให้อุรียาห์อยู่ในฐานะที่ดูเหมือนว่าเป็นพ่อของเด็ก ในท้องของนางบัทเชบา แต่การกระทำของอุรียาห์แสดงให้ทุกคนเห็นว่าเขาเป็นคนสัตย์ซื่อต่อตำแหน่งหน้า ที่ในฐานะทหาร ทำให้ผู้อื่นเห็นชัดว่าเขาไม่ใช่พ่อของเด็กในท้องนางบัทเชบาแน่ๆ เรื่องยิ่งแย่ไปกว่าเมื่อ ตอนที่ดาวิดเรียกอุรียาห์ให้กลับมาที่เยรูซาเล็ม ดาวิดจึงสรุป — อย่างผิดๆ — ว่าทางออกที่เหลืออยู่ทางเดียว คือต้องให้อุรียาห์ตายในสงคราม ผมไม่ทราบว่าดาวิดคิดยังไง จะตบตาคนทั้งเยรูซาเล็มได้หรือ เรื่องลูกใน ท้องของนางบัทเชบา? ท่านทำได้อย่างไร ในเมื่อทุกคนรู้ดีว่าอุรียาห์ไม่ได้อยู่กับภรรยาเลย ดูเหมือนว่า ดาวิดดิ้นรนจะทำให้บาปของท่านถูกกฎหมาย โดยทำให้อุรียาห์ตกเป็นเหยื่อสงคราม และภรรยาต้องเป็นม่าย เพื่อท่านจะแต่งงานกับนาง และเลี้ยงดูบุตรให้เป็นของตนได้ ซึ่งเป็นสิ่งที่ท่านทำ
คงเป็นคืนที่ทรมาณแสนสาหัสสำหรับดาิวิด ที่เห็นว่าแม้แต่คนเมายังมีจิตสำนึกที่ดีกว่า ดังนั้น ในตอนเช้า ดาวิดจึงลงมือ ท่านเขียนจดหมายถึงโยอาบ ซึ่งก็คือหมายประหารสำหรับอุรียาห์ ในจดหมาย ดาวิดสั่ง โยอาบอย่างชัดเจน ให้ฆ่าอุรียาห์แทนท่าน ท่านบอกถึงวิธีการ และการปกปิดไม้ให้ความจริงรั่วไหล ถ้าทำ สำเร็จ ดาวิดจะยกย่องให้โยอาบเป็นวีรบุรุษสงคราม และตัวท่านเองจะแสดงความใจกว้างด้วยการรับเอา ภรรยาม่ายของอุรียาห์มาแต่งงานด้วย เพื่อเด็กที่เกิดมาจะได้ไม่กำพร้าพ่อ โยอาบต้องจัดการให้อุรียาห์ ออกไปอยู่แนวหน้า ในสงคราม ในที่ๆการรบดุเดือดที่สุด ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดาของนายทหารกล้าที่มีฝีมือ โยอาบจะทำเป็นถอยทัพออกมา ทิ้งให้อุรียาห์ตกเป็นเป้าให้พวกอัมโมนฆ่า เพื่อให้แน่ใจว่าเขาต้องตาย ดาวิดสั่งโยอาบเรื่องอุรียาห์เช่นนั้นจริงๆ : ท่านต้องการให้อุรียาห์ถูกฆ่าตายในสนามรบ โยอาบทำตาม คำสั่งของดาวิดทุกประการ อุรียาห์จึงถูกกำจัดออกไป ไม่เป็นอุปสรรคต่อแผนการของดาวิดอีก เมื่อดาวิด สั่งโยอาบให้ทำ ก็เท่ากับดึงโยอาบให้เข้ามาเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดด้วย ให้เขามามีส่วนทำให้อุรียาห์โลหิตตก บาปของดาวิดขยายอาณาเขตออกไปเรื่อยๆ ครอบคลุมคนมากขึ้น ทำให้บาปยิ่งใหญ่หลวงเข้าทุกที
น่าแปลกไหมครับ ที่เห็นดาวิด นักรบผู้กล้าหาญ (1 ซามูเอล 16:18) จัดการกับอุรียาห์ นักรบที่กล้าหาญ เช่นกัน เหมือนกับว่าเป็นศัตรู อุรียาห์ผู้นี้ ยินดีสละชีวิตตนเองเพื่อปกป้องกษัตริย์ และดาวิด ผู้ที่จะเอาชีวิต อุรียาห์มาปกปิดบาปของตนเอง ซึ่งเรารู้ว่าไม่มีทาง ที่แปลกคือ ดาวิดดึงเอาโยอาบมามีส่วนร่วมในการ ฆาตรกรรมครั้งนี้ ทั้งๆที่ก่อนหน้านั้น โยอาบเองเป็นผู้ฆ่าอับเนอร์ :
26 เมื่อโยอาบออกมาจากการเข้าเฝ้าดาวิด จึงส่งผู้สื่อสารไปตามอับเนอร์ เขาทั้งหลายก็นำท่านกลับมาจากที่ขังน้ำชื่อสีราห์ แต่ดาวิดหาทรงทราบ
เรื่องไม่ 27 และเมื่ออับเนอร์กลับมาถึงเฮโบรนแล้ว โยอาบก็พาท่านหลบ เข้าไปที่กลางประตูเมืองเพื่อจะพูดกับท่านเป็นการลับ และโยอาบแทง
ท้องของท่านเสียที่นั่น ท่านก็สิ้นชีวิต โยอาบแก้แค้นโลหิตของอาสาเฮล
น้องชายของตน 28 ภายหลังเมื่อดาวิดทรงทราบเรื่องนี้ พระองค์ตรัสว่า "ตัวเราและราชอาณาจักรของเรา ปราศจากความผิดสืบไปเป็นนิตย์ต่อเบื้อง พระพักตร์พระเจ้าด้วยเรื่องโลหิตของอับเนอร์บุตรเนอร์ 29 ขอให้โทษนั้นตก
เหนือศีรษะของโยอาบ และเหนือพงศ์พันธุ์บิดาของเขาทั้งสิ้น ขออย่าให้คน
ที่มีสิ่งไหลออก คนที่เป็นโรคเรื้อน คนที่ถือไม้เท้า คนที่ถูกประหารด้วยดาบ
หรือคนขาดขนมปัง ขาดจากพงศ์พันธุ์ของโยอาบ" 30 นี่แหละโยอาบ กับ อาบีชัยน้องชายของเขาได้ฆ่าอับเนอร์ เพราะอับเนอร์ได้ฆ่าอาสาเฮลน้องชาย
ของเขาเมื่อรบกันที่กิเบโอน (2 ซามูเอล 3:26-30)
ดาวิดประณามการกระทำของโยอาบ และทำการสาปแช่ง เพราะเขาได้ทำให้โลหิตไร้ความผิดของอับเนอร์ ตก แต่บัดนี้ ดาวิดคนเดียวกันนี้เอง (ถึงจะไม่ใช่ดาวิดคนเดิม) กลับใช้ให้โยอาบฆ่าอุรียาห์ เพื่อตนเองจะได้ หลุดจากข้อหา ศัตรูของดาวิด (โยอาบ) ได้กลายมาเป็นเพื่อน อย่างน้อยก็เป็นพันธมิตร ศัตรูของดาวิด (พวกอัมโมน) ก็กลายมาเป็นพันธมิตรกับดาวิดด้วย (เพราะมีส่วนช่วยฆ่าอุรียาห์) ส่วนผู้รับใช้ที่ซื่อสัตย์อย่าง อุรียาห์ต้องถูกฆ่าตายเหมือนเป็นฝ่ายศัตรู ไม่เพียงแต่อุรียาห์ถูกฆ่าตายเท่านั้น มีทหารอิสราเอลอีกหลาย คนต้องตายไปด้วย พวกเขาต้องสละชีวิตเพื่อปกปิดแผนฆาตรกรรมอุรียาห์ การตายของอุรียาห์ต้องเรียกว่า เป็นการตายหมู่ ไม่ใช่ตายแค่คนเดียว ไม่ต้องสงสัยอีกแล้ว ศีลธรรมและจิตวิญญาณของดาวิดคงต้องตกต่ำ จนถึงก้นบึ้งจริงๆ
พระธรรมแปดข้อนี้ พูดเรื่องรายงานการตายของอุรียาห์ ซึ่งยาวกว่าเรื่องบาปของดาวิดที่ทำกับนางบัทเชบา ถึงสองเท่า และยาวพอๆกับเรื่องดาวิดพยายามจัดการกับอุรียาห์ เริ่มจากคำสั่งที่โยอาบสั่งอย่างละเอียดให้ กับผู้ส่งข่าวจากสนามรบ คนที่ต้องนำข่าวการตายของอุรียาห์มาแจ้งแก่ดาวิด และจบลงที่รายงานเหตุการณ์ ที่เกิดขึ้น และการตอบสนองของดาวิด ทำไมผู้เขียนจึงใส่ใจเรื่องรายงานความตายของอุรียาห์เป็นพิเศษ? ให้เรามาค้นหา คำตอบด้วยการทบทวนข้อพระคำเหล่านี้ด้วยกัน
ภาระกิจสำเร็จลง : อุรียาห์ตาย โยอาบทำตามคำสั่งของดาวิดอย่างครบถ้วน ตอนนี้ต้องส่งข่าวให้ดาวิดทราบ โดยไม่ให้ใครรู้ว่าเป็นการสมรู้ร่วมคิด โยอาบจัดหาคนไปส่งข่าวให้ดาวิด เขาสั่งอย่างละเีอียดและชัดเจน ต้องรายงานเหตุการณ์ในสนามรบก่อน สรุปผลการโจมตีเมืองของศัตรู รวมทั้งเรื่องการตายของอุรียาห์และ ทหารคนอื่นๆ เหตุใดการรายงานของคนส่งข่าวนี้จึงถือเป็นเรื่องสำคัญมาก?
คำตอบนั้นแสนธรรมดา เห็นได้จากการที่โยอาบเอาใจใส่เป็นพิเศษ เพราะนับว่าเป็นภาระกิจที่ล้มเหลว ทหารอิสราเอลล้อมเมืองรับบาห์อยู่ แปลว่าพวกเขาต้องกระจายกำลังอยู่รอบเมือง เพื่อกันไม่ให้คนข้างใน ออกมา ที่อิสราเอลต้องทำคือรอจนกว่าคนในเมืองจะอดตาย ไม่จำเป็นต้องเข้าไปโจมตี ฉะนั้นภาระกิจนี้ จึงเป็นภาระกิจแบบฆ่าตัวตาย ไม่จำเป็นต้องให้ผู้ฉลาดล้ำที่ไหนมาตีความ โยอาบรวบรวมเอาบรรดาทหาร กล้า รวมทั้งอุรียาห์ด้วย เพื่อบุกเข้าไปโจมตี แทนที่จะไปโจมตีในที่ๆอ่อนกำลังที่สุดของศัตรู ตามที่เรา คาดไว้ กลับไปโจมตีในที่ๆแกร่งที่สุด ทำให้เกิดการต่อสู้ตัวต่อตัวระหว่างอุรียาห์กับพรรคพวก และพวก อัมโมน เมื่อกองกำลังอิสราเอลถอยออกมา ทำให้ที่เหลือไม่สามารถป้องกันตนเองได้ จึงถูกฆ่าตาย แล้ว การรายงานนี้จะทำอย่างไรจึงจะไม่ทำให้โยอาบดูเหมือนเป็นคนโง่ (เกินไป) หรือ (ร้ายกว่านั้น) เป็น ฆาตรกร?
นี่เป็นเหตุที่โยอาบต้องใส่ใจเรื่องรายงานเป็นพิเศษ ผู้ส่งข่าวต้องรายงานเรื่องการโจมตีเมืองรับบาห์ให้ดาิวิด ทราบก่อน และรายงานเรื่องความสูญเสียของอิสราเอล และสาเหตุของความสูญเสีย โยอาบรู้ดีว่าดาวิดจะ ตอบสนองอย่างไร (บางทีท่านอาจแกล้งทำ) ต่อรายงานเรื่องการโจมตีนี้ และตอนนี้แหละ ที่โยอาบสั่งผู้ ส่งข่าวให้รายงานดาวิดว่าอุรียาห์ตายแล้ว ซึ่งจะทำให้หยุดข่าวลือหรือการวิพากษ์วิจารณ์เรื่องดาวิดลงเสียที
ข้อ 22-25 เล่าถึงว่าเมื่อผู้ส่งข่าวมาถึงและรายงานต่อดาวิด และการตอบสนองของท่าน ผมต้องขอชี้ให้เห็น ว่าจากที่ผมอ่าน ผู้ส่งข่าวไม่ได้ทำตามคำสั่ง เขาเข้าพบดาวิดและเล่าว่ากษัตริย์อัมโมนมีชัยได้อย่างไร พวก อัมโมนออกมารบกับอิสราเอล ไล่ไปจนถึงที่กลางทุ่ง แต่อิสราเอลก็ไล่พวกเขากลับไป จนถึงที่ประตูเมือง เป็นที่ๆ อุรียาห์และทหารคนอื่นๆต่อสู้อยู่ เนื่องด้วยอยู่ใกล้เกินไป จึงถูกธนูของฝ่ายศัตรู ยิงจนเสียชีวิตไป หลายคน และผู้ส่งข่าวรีบแถมท้ายว่า " และอุรียาห์คนฮิทไทต์ข้าราชการของพระองค์สิ้นชีวิตด้วย" (ข้อ 14)
ทำไมผู้ส่งข่าวคนนี้ไม่รอให้ดาวิดแสดงอาการโกรธก่อนหมือนกับที่โยอาบสั่งไว้? ทำไมรีบไปแจ้งแก่ดาวิดว่า อุรียาห์ตายแล้ว ก่อนที่ท่านจะมีโอกาสพูดติเตียนหรือแสดงความคิดเห็น? ผมเข้าใจว่าที่ผู้ส่งข่าวรายงานเช่นนี้ เพราะคงรู้ดีว่าอะไรเป็นอะไร เขาอาจรู้เรื่องของดาวิดและบัทเชบา อาจรู้มากถึงขนาดว่านางกำลังตั้งครรภ์ ก็เป็นได้ เขาคงรู้ดีว่าอุรียาห์ถูกเรียกตัวเข้าเยรูซาเล็ม และอาจจะคะเนได้ว่าดาวิดคิดกำจัดอุรียา์ห์ โดยโยอาบ ทำให้สำเร็จลงด้วยการถูกศัตรูฆ่าตาย ผมคิดว่าผู้ส่งข่าวอาจรู้ด้วยซ้ำไป ว่าดาวิดรู้ว่าอุรียาห์ตายแล้ว ท่านไม่ จำเป็นต้องแสดงความไม่พอใจ เขาจึงรีบรายงายเสียก่อนที่จะเห็นดาวิดทำทีเป็นโกรธและไม่พอใจ ในเหตุ การณ์นี้ เขารีบตัดบทและรายงานเรื่องนี้ก่อน เพื่อจะได้ไม่ต้องเห็นการตอบสนองใดจากดาวิด
ผู้ส่งข่าวคนนี้คาดถูกครับ ตามที่บันทึกอยู่ในข้อ 25 :
25 ดาวิดก็รับสั่งผู้สื่อสารนั้นว่า "เจ้าจงบอกโยอาบดังนี้ว่า 'อย่าให้เรื่องนี้ทำให้ท่าน ลำบากใจ เพราะดาบย่อมสังหาร ไม่เลือกว่าคนนั้นหรือคนนี้ จงสู้รบหนักเข้าไป และ ตีเอาเมืองนั้นเสียให้ได้' เจ้าจงหนุนน้ำใจท่านด้วย" (2 ซามูเอล 11:25)
คำพูดของดาวิดเหมือนครีมแต่งหน้าเค้ก ดูดีและเข้าอกเข้าใจ เต็มไปด้วยความเห็นใจ ดาวิดคงจะกล่าว ทำนองว่า "อย่ากังวลใจไปเลย มันก็ต้องมีได้บ้างเสียบ้างเป็นธรรมดา เราต้องทำใจ" อุรียาห์เป็นคนกล้า และเป็นคนชอบธรรมที่ต้องตายลง ดาวิดดูจะไม่โศกเศร้าจนนิดเดียว ไม่ได้แสดงว่าเสียใจ หรือยกย่องการ เสียสละของเขา อุรียาห์ตายลงทั้งคน ดาวิดไม่ได้รู้สึกรู้สมอย่างไร ลองเปรียบเทียบการตอบสนองของดาวิด ที่มีต่อการตายของอุรียาห์ กับการตายของซาอูลและโยนาธาน (2 ซามูเอล 1:11-27) แม้กระทั่งอับเนอร์ (2 ซามูเอล 3:28-39) นี่เป็นคนละคนกับดาวิดเมื่อสองสามบทที่แล้ว นี่เป็นดาวิดที่ใจแข็งกระด้าง ใจดำเพราะ ความบาปของตนเอง
บทเรียนตอนนี้มีคำสอนที่เรานำมาใช้ได้ในยุคปัจจุบัน ผมขอแนะนำบางข้อก่อนที่จะจบบทเรียนในวันนี้
ข้อแรก "คริสเตียนล้มลงได้ไหม?" ได้ครับ บุคคลบางคนในพระคัมภีร์ทำให้เราเกิดความสงสัยว่า พวก เขามีความเชื่อในพระเจ้าจริงหรือ? เช่นคนอย่างบาลาอัม แซมสัน หรือซาอูล แต่เราไม่เคยสงสัยในดาวิด ท่านไม่เพียงแต่เป็นผู้เชื่อเท่านั้น แต่เป็นแบบอย่างที่ดีของผู้เชื่อด้วย ในพระคัมภีร์ ดาวิดเป็นแบบอย่างที่ดี เพราะท่านเป็น ผู้ที่ทำตามพระทัยพระเจ้าอย่างสุดใจ ถึงกระนั้นก็ตาม ดาวิดคนนี้ ถึงแม้จะมีความวางใจใน พระเจ้า ถึงแม้ท่านจะใช้เวลาอย่างเหมาะสมในการนมัสการพระเจ้า เขียนบทสดุดีที่ซาบซึ้งใจ กลับจมลึก ลงไปในบาป ถ้าคนอย่างดาวิดล้มเหลวได้ เราเองก็เช่นกัน ซึ่งเป็นสิ่งเดียวกับที่ อ.เปาโลได้เตือนไว้ :
11 เหตุการณ์เหล่านี้ได้บังเกิดแก่เขาเพื่อเป็นตัวอย่าง และได้บันทึกไว้ เพื่อเตือนสติเราทั้งหลาย ซึ่งกำลังประสบวาระสุดท้ายแห่งบรรดายุคเก่า
12 เหตุฉะนั้นคนที่คิดว่าตัวเองมั่นคงดีแล้ว ก็จงระวังให้ดี กลัวว่าจะล้มลง
(1 โครินธ์ 10:11-12)
ข้อสอง "คริสเตียนล้มลงได้มากขนาดไหน?" มากพอๆกับดาวิดครับ ดาวิดไม่ได้แค่ทำบาปล่วง ประเวณีกับนางบัทเชบาเท่านั้น ท่านทำการฆาตรกรรมด้วย ผมว่าเราอาจพูดได้ว่า ไม่มีบาปใดที่คริสเตียน จะทำไม่ได้ ผมเคยได้ยินคนพูดว่า "ไม่เข้าใจเลยว่าคนที่ทำ _______ อย่างนี้จะเป็นคริสเตียน" มันมีเวลา ของมันครับ — เหมือนเวลาของดาวิด — ที่คนอื่นๆไม่อยากจะเชื่อว่า คนอย่างเราจะได้รับความรอด เพราะ การกระทำ ของเรา
ข้อสาม "คริสเตียนล้มลงได้เร็วขนาดไหน?" เร็วมากครับ มันน่าทึ่งนะครับที่เห็นดาวิดจมลึกลงไปใน ความบาปภายในแค่บทเดียว ถ้าไม่โดยพระคุณพระเจ้าแล้ว เราจะจมลึกลงไป อย่างรวดเร็วและไม่มีสิ้นสุด ขอให้ประสบการณ์โศกนาฏกรรมของดาวิดเป็นบทเรียนที่มีค่าสำหรับเรา
ข้อสี่ บาป-ดินพอกหางหมู ความบาปไม่อยู่นิ่งนะครับ ; มันเคลื่อนไหวได้ บาปเจริญเติบโตงอกงาม ตาม ขั้นตอนที่เราเห็นในบทเรียน ความบาปของดาวิดเริ่มเมื่อท่านไม่ไปทำหน้าที่ทหาร กลับเลือกที่จะนอนตื่น สาย จากบาปล่วงประเวณีไปเป็นการฆาตรกร เริ่มจากทำในที่ลับ แต่เมื่อเวลาผ่านไป คนเริ่มรู้มากขึ้นเรื่่อยๆ ที่แย่คือเริ่มดึงเอาคนอื่นมาเกี่ยวข้องด้วย ความบาปของท่านเริ่มจากไปแย่งภรรยาผู้อื่นมา และฆ่าสามีทิ้ง รวมทั้งทำให้ทหารคนอื่นๆต้องตายตามไปด้วย เพื่อทำให้น่าเชื่อถือ ความบาปของดาวิดเบ่งบานขึ้น จนทำ ให้มิตรแท้ที่จงรักภักดี (อย่างอุรียาห์) กลายเป็นศัตรู และศัตรูแท้จริง (อย่างพวกอัมโมน หรืออาจโยอาบ ด้วย) กลับกลายเป็นพันธมิตร
ข้อห้า เมื่อเราพยายามปกปิดบาป มีแต่ทำให้แย่ลง ดังนั้น หนทางที่ดีที่สุดคือต้องสารภาพบาป และละทิ้งอย่างเด็ดขาด
13 บุคคลที่ซ่อนการละเมิดของตนจะไม่จำเริญ แต่บุคคลที่สารภาพ และทิ้งความชั่วเสียจะได้ความกรุณา (สุภาษิต 28:13)
มันจะดีเพียงใหน ถ้าดาวิดสารภาพบาปที่ทำไว้กับนางบัทเชบาเสีย และทูลขอการอภัย แต่ท่านกลับไปปกปิด มันเสีย ทำให้เรื่องยิ่งเลวร้ายลงไปอีก
มนุษย์พยายามปกปิดบาปของตนตั้งแต่ครั้งปฐมกาลที่ในสวนเอเด็น อาดัมกับเอวาคิดว่าจะปกปิดบาปของ ตนได้ด้วยการพยายามปกปิดร่างกายที่เปลือยอยู่ แล้วยังไปหลบซ่อนตัวเสียจากพระเจ้า แต่พระเจ้ายังไปตาม หาพวกเขาด้วยความรัก ไม่ใช่เพื่อจะไปดุว่าและสาปแช่ง แต่เพื่อไปประทานพระสัญญาแห่งการอภัยให้ พระ เจ้าเองเป็นผู้จัดเตรียมชดใช้ความบาปให้ ด้วยความตายเพื่อเป็นเครื่องบูชา ถูกฝังไว้ และการฟื้นคืนพระชนม์ ขององค์พระเยซูคริสต์ เพื่อไถ่เราทั้งหลายออกจากความบาป คุณเคยมีประสบการณ์นี้หรือยัง? ถ้ายังเหตุใด ไม่สารภาพเสีย และรับของประทานแห่่งการให้อภัยจากพระเจ้า ในองค์พระบุตร คือพระเยซูคริสต์ที่ตายแทน ความบาปของเราบนไม้กางเขนที่เนินหัวกระโหลกนั้น?
ข้อหก บทเรียนตอนนี้ทำให้อุรียาห์เป็นวีรบุรุษ และเป็นแบบอย่าง ไม่ใช่เป็นพวกมุทะลุและอ่อนหัด มีบางคนสรุปเอาว่าถ้าอุรียาห์เป็นลิฟท์ "คงขึ้นไปไม่ถึงชั้นบนสุด" (เพื่อนบ้านผมเขาชอบว่าพวกที่ไม่ฉลาด นักในสายตาของเขา) อุรียาห์เซ่อหรือเปล่าครับ? เขาไม่รู้เชียวหรือว่าดาวิดพยายามทำอะไร? ผมว่าไม่นะครับ นี่เป็นสิ่งที่ทำให้ความจงรักภักดีที่มีต่อดาวิด และต่อธรรมบัญญัติของพระเจ้าดูโดดเด่นขึ้นมา ผมอยากจะพูด ว่า อุรียาห์นั้นเหมือนกับดาวิดในสมัยแรกๆ ในการที่ท่านปฏิบัติต่อซาอูล ในขณะที่ซาอูลแสวงชีวิตดาวิดอย่าง ไม่ชอบธรรม เพราะอิจฉาในความสำเร็จของท่าน และดาวิดยอมจำนนอย่างซื่อสัตย์ในการปรนนิบัติซาอูล ผู้เป็นนาย ท่านมอบอนาคตและความปลอดภัยของท่านไว้ในพระหัตถ์ของพระเจ้า และพระองค์ไม่เคยทำให้ ท่านผิดหวัง
ข้อเจ็ด อุรียาห์เป็นเครื่องเตือนใจเราว่าพระเจ้าไม่ได้ช่วยกู้คนชอบธรรม จากเงื้อมมือของคนอธรรม ในทันทีเสมอไป หรือแม้กระทั่งในชั่วชีวิต เพื่อนสนิททั้งสามของดาเนียล บอกกับกษัตริย์ไปว่าพระเจ้า สามารถช่วยกู้พวกเขาให้รอดได้ พวกเขาไม่ได้ทึกทักเอาว่าพระเจ้าจะช่วย หรือว่าพระองค์ต้องช่วย แต่พระ องค์ก็ทรงช่วยพวกเขา ผมคิดว่าคริสเตียนมองไปที่การช่วยกู้ว่าเป็นกฎตายตัว มากกว่าเป็นข้อยกเว้น แต่เมื่อ อุรียาห์รับใช้กษัตริย์ของเขา (ดาวิด) อย่างสัตย์ซื่อ เขากลับต้องสูญเสียชีวิต พระเจ้าไม่ได้มีหน้าที่ "ช่วยเรา ให้รอดจากปัญหา" หรือกันไม่ให้เราถูกการทดลองหรือผ่านความทุกข์ยาก เพียงเพราะเราวางใจในพระองค์ บางครั้งเป็นพระประสงค์ของพระเจ้าให้เราวางใจในพระองค์อย่างเต็มเปี่ยม ยอมกับระบอบการปกครองของ มนุษย์ และทนต่อการถูกข่มเหง โดยพระองค์ไม่ช่วยกู้เรา ความเข้มแข็งฝ่ายวิญญาณไม่ได้เป็นเครื่องประกัน ว่าเราจะไม่ต้องเผชิญความทุกข์ยากในชีวิตนี้ ที่จริงความสนิทสนมกับพระเจ้าเกิดขึ้นได้เพราะการต้องเผชิญ กับความทุกข์ของเรา (ดูมัทธิว 5)
ในพระคัมภีร์เดิม และในพระคัมภีร์ใหม่ บ่อยครั้งที่พระเจ้าช่วยกู้ประชากรของพระองค์ให้พ้นจากคนอธรรม และบ่อยครั้งที่พระองค์ไม่ได้ช่วยกู้ การ "ช่วยกู้" ของพวกเขามาพร้อมกับพระเมสซิยาห์ องค์พระเยซูคริสต์ อุรียาห์เป็นเหมือนกับธรรมิกชนอีกหลายคนในยุคพระคัมภีร์เดิม ตายโดยไม่ได้รับบำเหน็จใดๆบนโลกนี้ ที่เป็น เช่นนี้เพราะพระเจ้ามีพระประสงค์ให้พวกเขารอคอย อุรียาห์และธรรมิกชนในสมัยโบราณ ไม่ได้รับการช่วยกู้ จากความอธรรม ตามที่พระธรรมฮีบรูกล่าวเอาไว้ :
13 คนเหล่านั้นได้ตายไปขณะที่มีความเชื่อเต็มที่ และไม่ได้รับสิ่งที่
ได้ทรงสัญญาไว้ แต่เขาก็ได้เห็นและได้เตรียมรับไว้ตั้งแต่ไกล และ รู้ดีว่าเขาเป็นคนแปลกถิ่นที่ท่องเที่ยวไปในโลก 14 เพราะคนที่พูด อย่างนี้ก็แสดงให้เห็นชัดแล้วว่า เขากำลังแสวงหาเมืองที่จะได้เป็น
ของเขา 15 ถ้าเขาคิดถึงบ้านเมืองที่เขาจากมานั้น เขาก็คงจะมีโอกาส
กลับไปได้16 แต่ความจริงเขาปรารถนาที่จะอยู่ในเมืองที่ประเสริฐกว่า
นั้น คือเมืองสวรรค์ เหตุฉะนั้นพระเจ้าจึงมิได้ทรงละอาย เมื่อเขาเรียก
พระองค์ ว่า เป็นพระเจ้าของเขา เพราะพระองค์ได้ทรงจัดเตรียมเมือง
หนึ่งไว้สำหรับ เขาแล้ว… . 32 และข้าพเจ้าจะกล่าวอะไรต่อไปอีกเล่า
เพราะไม่มีเวลาพอที่จะกล่าวถึง กิเดโอน บาราค แซมสัน เยฟธาห์
ดาวิด และซามูเอล และผู้เผยพระวจนะทั้งหลาย 33 เพราะความเชื่อ ท่านเหล่านั้นจึงได้มีชัย เหนือดินแดนต่างๆ ได้ตั้งระบบความยุติธรรม ได้รับผลของพระสัญญา ได้ปิดปากสิงห์ 34 ได้ดับไฟที่ไหม้อย่างรุน
แรง ได้พ้นจากคมดาบ ความอ่อนแอของท่านก็กลับเป็นความเข้มแข็ง มีกำลังความสามารถในการทำสงคราม ได้ตีกองทัพประเทศอื่นๆ แตก
พ่ายไป 35 พวกผู้หญิงก็ได้รับคนพวกของนางที่กลับฟื้นคืนชีวิตขึ้นมาอีก บางคนก็ถูกทรมาน แต่ก็ไม่ยอมรับการปลดปล่อย เพื่อเขาจะได้กลับมี
ชีวิตที่ดีกว่านั้นอีก 36 บางคนต้อง ทนต่อคำเยาะเย้ยและการถูกโบยตี และยังถูกล่ามโซ่และถูกขังคุกด้วย 37 บางคนก็ถูกขว้างด้วยก้อนหิน บางคนก็ถูกเลื่อยเป็นท่อนๆ บางคนก็ถูกฆ่าด้วยคมดาบ บางคนก็นุ่งห่ม หนังแกะหนังแพะพเนจรไป สิ้นเนื้อประดาตัว ตกระกำลำบากและถูก
เคี่ยวเข็ญ 38 (แผ่นดินโลกไม่สมกับคนเช่นนั้นเลย) เขาพเนจรไปในถิ่น
ทุรกันดาร และตามภูเขาและอยู่ตามถ้ำและตามโพรง 39 คนเหล่านั้น ทุกคนมีชื่อเสียงดีเพราะความเชื่อของเขา แต่เขาก็ยังไม่ได้ รับสิ่งที่ทรง
สัญญาไว้ 40 เพราะพระเจ้าทรงจัดเตรียม สิ่งซึ่งประเสริฐยิ่งกว่านั้น
ไว้สำหรับเขา เพื่อเขาทั้งหลายจะได้รับความสมบูรณ์ด้วยกันกับเรา
เท่านั้น (ฮีบรู 11:13-16, 32-40).
อุรียาห์ไม่ควรถูกมองอย่างดูหมิ่น หรือถูกวิพากษ์วิจารณ์เพราะความจงรักภักดีที่ยอมให้กับดาวิด เขาสมควร ได้รับการยกย่อง ที่จริงมีคนให้คำแนะนำที่ดีสำหรับผมว่า : "ถ้าสมมุิตอุรียาห์ได้อยู่ในรายชื่อของวีรบุรุษ สงคราม เพราะความจงรักภักดีและความกล้าหาญในการสู้รบจนเสียชีวิตล่ะ? เป็นไปได้ไหมที่จะคิดว่า อุรียาห์เป็นเพียงคนต่างชาติที่กลับใจ ความเชื่อและการเชื่อฟังของเขาทำให้อิสราเอลหลายคนต้องอับอาย เสียหน้า เขาเป็นคนหนึ่งในท่ามกลางผู้ที่เชื่อและวางใจในพระเจ้า และยังไม่ได้รับสมกับความยุติธรรม ในโลกนี้ แต่จะได้รับเมื่ออาณาจักรของพระองค์มาถึง คริสเตียนหลายคนในทุกวันนี้ ต้องการรับพระพร "เดี๋ยวนี้" ไม่ต้องการทนทุกข์เพื่อรอรับบำเหน็จในภายหลัง ขอให้คิดดูให้ดี โดยมองจากแบบอย่างของ อุรียาห์ สำหรับชีวิตเราในปัจจุบัน
39 เรารู้ว่าในขณะที่ดาวิดอาศัยอยู่ในถ้ำอดุลลัม พี่น้องและครัวเรือนของบิดาท่าน รวมทั้งคนที่ไม่ชอบหน้า ซาอูลมาหาท่านเพราะกลัวการรังควาญของซาอูล (1 ซามูเอล 22:1-2) โยอาบ อาบีชัย และอาสาเฮลเป็น บุตรของเศรุยาห์ น้องสาวของดาวิด (1 พงศาวดาร 2:16) ผมขอสรุปว่าทั้งสามพี่น้องนี้น่าจะมาเข้าพวกกับ ดาวิดเวลาเดียกับที่ครอบครัวของท่านมา
40 สังเกตุดูว่ามีการเลี้ยงฉลองกันสามวันระหว่างดาวิดและบรรดาคนที่มาสมทบกับท่าน น่าจะเป็นเวลาเดียว กับที่ท่านทำความรู้จักกับคนพวกนี้
41
41 บังเอิญหรือเปล่าว่าหมายถึง "ของประทานจากพระราชา" ที่ดาวิดมอบให้อุรียาห์ในข้อ 8 ? ของประทาน นี้คือ "อาหารและเครื่องดื่ม" ใช่หรือไม่? ผมว่าน่าเป็นได้
42 การกระทำของอุรียาห์ทำให้เกิดคำถามขึ้นมาสำหรับคนขี้เมาทั้งหลาย ดูเหมือนพระธรรมตอนนนี้จะแสดง ให้เราเห็นว่า ถึงจะเมา ก็ไม่สามารถถูกบังคับให้ทำในสิ่งที่ขัดต่อจิตสำนึกได้ นอกจากเจ้าตัวอยากทำเอง ทำให้ผมสงสัยว่ามีกี่คนกันที่ทำเป็นเมา เพื่อจะได้ทำในสิ่งที่อยากทำ และคิดว่าจะโทษไปที่แอลกอฮอลได้ ในสิ่งที่ทำลงไป? ฟังดูคล้ายๆกับเรื่อง "ถูกซาตานบังคับให้ทำ" นะครับ
เมื่อสองสามปีที่แล้ว ผมและเจนเน็ทภรรยาไปเที่ยวประเทศอังกฤษและสก็อตแลนด์กับคุณพ่อคุณแม่ของผม ทุกคืนเราจะพักที่ที่พักแบบ "ที่พักและอาหารเช้า" ขณะที่เราขับรถเที่ยวไปในแคว้นเวลส์ มีฟาร์มหรือบ้านไร่ อยู่หลายแห่ง ที่ตัวเมืองส่วนมากไม่ค่อยมีที่ให้พักค้างคืน เราจึงขับไปตามป้ายบอกทาง "ที่พักและอาหาร เช้า" เราขับไปเรื่อยๆตามถนนในชนบท ตามป้ายไปจนถึงสถานที่ — เป็นบ้านไร่ชายทุ่งที่น่ารักมากครับ มีแกะหลายร้อยตัวเล็มหญ้าอยู่ มีสะพานและโรงนาที่ทำด้วยหิน เป็นที่ๆสมบูรณ์แบบจริงๆ แต่ที่เราไม่รู้คือ สะพานหินที่เห็นอยู่นั้น แท้ที่จริงแล้วคือทางรถไฟที่มีรถไฟวิ่งไปมาหลายขบวนในตอนดึก ห่างจากบ้านตรงที่ เราพักไปเพียงไม่กี่ก้าวเอง แถมยังมีแม่วัวตกลูกพร้อมกันอีกสองตัวในคืนนั้น ถึงผมจะเคยอยู่ฟาร์มมาบ้าง แต่ไม่เคยได้ยินเสียงวัวร้องก้องไปมาอยู่ในโรงนาที่เป็นหินมาก่อนเลย
นอกจากฝูงแกะนับร้อยๆที่อยู่เล็มหญ้าอยู่ในทุ่งข้างบ้านแล้ว ยังมีแกะตัวเล็กๆตัวหนึ่งอยู่ในคอกติดกับตัวบ้าน มันดูขี้เล่นและเป็นมิตรดี พวกเราชอบออกไปเล่นกับมัน แต่เราสงสัยกันว่าทำไมแกะตัวนี้ถึงถูกเก็บไว้ต่างหาก ไม่ไปรวมอยู่ในฝูงข้างนอก ผมเลยลองถามเด็กที่เป็นหลานของเจ้าของฟาร์มดู ตั้งนานกว่าจะเข้าใจสำเนียง หนักๆของเขาได้ เขาบอกพวกเราว่ามันเป็น "สัตว์เลี้ยง" เอาไว้ดูเล่น แต่เขาพูดด้วยสำเนียงท้องถิ่น กว่าจะ จับคำได้ ผมเกือบเผลอฟังไปเป็นคำอื่นแล้วสิครับ นี่เป็นแกะอีกสถานะหนึ่ง ไม่ใช่เป็นแค่ "แกะ" หรือ "ลูก แกะ" ธรรมดาทั่วๆไป แกะที่เป็น "สัตว์เลี้ยง" ตัวนี้อยู่ในคอกพิเศษต่างหาก ติดกับตัวบ้าน ได้รับการเอาใจใส่ ดูแลเป็นพิเศษต่างกับตัวอื่นๆ
เป็นแกะเพียงตัวเดียวในฝูงแกะทั้งหลาย ที่ดูเหมือนจะมีความสุขกับการถูกแยกมาต่างหากไว้เป็น "สัตว์เลี้ยง" ของครอบครัว เรื่องที่นาธันเล่าให้ดาวิดฟัง ไม่เหมือนกับเรื่องแกะตัวนี้ครับ นาธันเล่าให้ดาวิดฟังถึงเรื่อง "แกะ ที่เป็นสัตว์เลี้ยง" ที่เจ้าของแสนยากจนมีเพียงตัวเดียว มันไม่ได้อยู่ในคอกข้างบ้าน ; แต่มันอาศัยอยู่ในบ้าน อยู่ในอ้อมอกของผู้เป็นเจ้าของ กินและดื่มด้วยกันกับเขา เรื่องที่นาธันเล่าให้ดาวิดฟัง เป็นเรื่องที่พระเจ้าทรง ใช้ให้นาธันมาชี้ให้ดาวิดเห็นถึงบาปชั่วของท่าน เป็นบทเรียนตอนนี้ของเรา และอีกครั้ง มีเรื่องราวสอนเรา มากมาย รวมทั้งสอนดาวิดด้วย ให้เราตั้งใจฟังถ้อยคำของนาธันที่ได้รับการดลใจจากพระเจ้าให้ดี และเรียนรู้ จากแกะตัวนั้น
ดาวิดขึ้นปกครองเป็นกษัตริย์ของยูดาห์และอิสราเอล ท่านได้รวบรวมแผ่นดินของท่านขึ้นเป็นปึกแผ่น ยึดเอา เมืองเยบุสและตั้งขึ้นเป็นเมืองหลวง โดยให้ชื่อใหม่ว่าเยรูซาเล็ม ท่านสร้างพระราชวังสำหรับตนเอง และคิด จะสร้างพระนิเวศน์ใ้ห้กับพระเจ้า (แต่พระเจ้าให้ทบทวนดูใหม่) ท่านได้บรรดาเมืองต่างๆรอบด้านเป็นเมืองขึ้น รบกับพวกอัมโมนและมีชัย แต่ยังไม่ได้เข้าไปยึดครองเต็มตัว พวกอัมโมนถอยหนีไปตั้งหลักในเมืองรับบาห์ เมื่อฤดูร้อนมาถึง ดาวิดส่งกองทัพอิสราเอลนำโดยโยอาบไปล้อมเมืองนี้ไว้ รอเวลาให้ยอมแพ้ไปเอง ดาวิดไม่ อยากออกไปนอนคอยที่ค่ายทหารในทุ่งโล่งนอกเมือง ท่านเลือกที่จะอยู่บ้านในเยรูซาเล็มแทน นอนตื่นสายๆ และเตรียมตัวเข้านอนอีกในตอนเย็น ท่านออกไปเดินเล่นบนดาดฟ้าหลังคาของพระราชวัง และมองลงไป เ็ห็นสตรีงามนางหนึ่ง กำลังอาบน้ำอยู่ อาจเป็นพิธีชำระตัวให้พ้นมลทินเพื่อทำตามธรรมบัญญัตติก็เป็นได้
นางไม่ได้จงใจทำตัวไม่เหมาะสม นางกำลังอาบน้ำในตอนค่ำ และเนื่องจากความจน (ดู 12:1-4) นางจึงไม่มี ห้องหับเป็นส่วนตัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งกษัตริย์มีพระราชวังที่อยู่สูงกว่าคนทั่วไป จึงสามารถมองลงมาเห็นได้ ดาวิดตะลึงในความงามของนาง จึงส่งคนออกไปสืบเสาะว่านางเป็นผู้ใด เมื่อรู้ว่านางเป็นใคร และรู้ด้วยว่านาง แต่งงานแล้วกับอุรียาห์คนฮิทไทต์ ท่านก็น่าจะยุติเรื่องนี้ลง แต่กลับไม่ ท่านส่งคนไปนำนางมาที่พระราชวัง และนอนกับนาง เมื่อนางชำระตัวให้สิ้นมลทินแล้ว นางจึงกลับบ้านไป
เรื่องน่าจะยุติลง เพราะดาวิดไม่ได้ต้องการภรรยาเพิ่ม ; ไม่ได้แม้อยากจะสานต่อ ท่านกำลังมองหาความตื่น เต้นเร้าใจ เหมือนกับที่ในสนามรบ แต่เป็นที่บนเตียง! เรื่องกลับตาลปัตรเมื่อบัทเชบาส่งคนมาส่งข่าวว่านาง ตั้งครรภ์ ดาวิดหาทางปกปิดบาปของตนเองด้วยการสั่งโยอาบให้ส่งอุรียาห์กลับมาบ้าน หยุดพักงานชั่วคราว ทำทีเหมือนว่ากลับมารายงานเรื่องสงคราม ดาวิดพยายามทำแผนให้อุรียาห์กลับบ้าน เพื่อไปนอนกับภรรยา เป็นความใจดีของท่าน แต่เมื่อไม่สำเร็จ เริ่มเปลี่ยนเป็นขู่แกมบังคับ และหนักข้อขึ้นไปอีกด้วยการมอมเหล้า ให้เมา เพื่อจะทำในสิ่งที่ถ้าปกติดีจะไม่คิดทำ เมื่อแผนการล้มเหลวไม่เป็นท่า (เพราะบุคคลิกที่ซื่อตรงของ อุรียาห์) ดาวิดจึงส่งอุรียาห์กลับไปหาโยอาบ พร้อมกับคำสั่งให้พยายามทำให้เขาตายในสนามรบ โยอาบทำ ตามคำสั่งและส่งคนกลับไปรายงานให้ดาวิดทราบ : "งานสำเร็จลงแล้วพะย่ะค่ะ" เราจะมาเริ่มเรียนต่อจาก ตรงนี้ครับ
บัทเชบาตอบสนองต่อการตายของสามีตามที่เราคาด และหวังเอาไว้ จากในพระคัมภีร์ นางไม่มีส่วนรู้เห็นใดๆ ต่อแผนการที่ดาิวิดคิดร้ายต่อสามีของนางเลย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องการฆาตรกรรม ไม่ต้องสงสัย นาง รู้เรื่องข่าวการตายของสามีเหมือนกับหญิงม่ายคนอื่นๆรู้ ไม่ว่าจะในสมัยนั้นหรือสมัยนี้ เมื่อได้รับแจ้งอย่าง เป็นทางการว่าสามีสิ้นชีวิตขณะปฏิบัติหน้าที่ในราชการ นางคร่ำครวญและไว้อาลัยให้กับอุรียาห์ เราไม่แน่ ใจว่าเป็นเวลานานเท่าใด เรารู้ตัวอย่างว่า หญิงพรหมจารีในสมัยโบราณ (ที่ไม่ใช่พวกคานาอัน) เมื่อประเทศ ของตนต้องตกเป็นเมืองขึ้นของอิสราเอล และถูกจับไปเป็นเชลย คนอิสราเอลสามารถเอาไปเป็นภรรยาได้ หลังจากที่ได้อาลัยคร่ำครวญถึงบิดามารดา (ที่ตายในระหว่างสงคราม) แล้วเป็นเวลาหนึ่งเดือนเต็ม (เฉลย ธรรมบัญญัตติ 21:10-13) ผมเชื่อว่าบัทเชบาโศกเศร้าอย่างแท้จริง คงไม่ได้แกล้งทำ ผมเชื่อว่านางคร่ำครวญ ถึงการตายของสามี เพราะความรักที่นางมีต่อเขา
ส่วนดาวิด ไม่ได้แสดงอาการเสียใจ ไม่ได้แม้กระทั่งแกล้งทำเป็นโศกเศร้า เมื่อนักรบคนเก่งของอิสราเอล ตายลง ดาวิดจะนำให้คนทั้งชาติไว้อาลัยในการสูญเสีย ดาวิดคร่ำครวญถึงการตายของซาอูลและบุตร ที่ถูก ฆ่าตายในระหว่างสงครามกับฟิลิสเตีย (2 ซามูเอล 1) ดาวิดคร่ำครวญต่อการตายของอับเนอร์ ที่ถูกโยอาบ ฆ่าอย่างทารุณ (2 ซามูเอล 3:28) ท่านเคยส่งคณะผู้แทนไปในพิธีไว้อาลัยให้กับนาหาช กษัตริย์ของอัมโมน (2 ซามูเอล 10) แต่เมื่ออุรียาห์ถูกฆ่าตาย "ในสงคราม" ดาวิดไม่เอ่ยสักคำจากปาก ถึงการสูญเสียในครั้งนี้ ท่านไม่ได้รู้สึกเสียใจนี่ ; ท่านโล่งใจต่างหาก แทนที่ท่านจะจัดพิธีไว้อาลัยให้กับอุรียาห์ ท่านกลับส่งข่าวกลับ ไปให้โยอาบว่า ไม่ต้องเป็นกังวลนัก
เมื่อการไว้อาลัยของบัทเชบาสิ้นสุดลง ดาวิดส่งคนไปรับนางมาเพื่อให้เป็นภรรยา ผมว่าผมไม่เห็นท่านคุกเข่า ขอนางแต่งงานเลย ผมไม่เห็นท่านแสดงท่าทีโรแมนติก ส่งดอกกุหลาบไปให้ ที่ผมเห็นคือ ท่านส่งคนไป "นำ" ตัวนางมาอีกครั้ง มีคำถามผุดขึ้นในใจผมครับว่า "ทำไม?" ทำไมดาวิดถึงยอมไปรับนางมาให้อยู่ที่บ้าน ในฐานะภรรยา? ผมคิดว่าท่านคงไม่คิดพยายามจะ "ปกปิด" บาปอีกต่อไป ; มันสายเกินไป "ครรภ์" นางคง ใหญ่พอที่จะเห็นได้ชัด คงไม่ยากเกินไปสำหรับคนอิสราเอลที่จะเดาได้ว่าเกิดอะไรขึ้น กลายเป็นว่า มาถึง ตอนนี้ ดาวิดไม่คิดจะปกปิดอีกต่อไป แต่พยายามแก้ใขให้เป็นเรื่องถูกต้อง ไม่ว่าดาวิดจะมีเหตุผลใดก็ตาม คงไม่ใช่ เรื่องฝ่ายวิญญาณหรอกครับ แต่เป็นเรื่องสนองตัณหาตัวเองมากกว่า
นาธันแสดงการตอบสนองต่อการตายของอุรียาห์ด้วย อยู่ในตอนต้นของบทที่ 12 แต่ขอให้รอไว้ก่อน ให้เรา มาดูว่ามีอะไรเกิดขึ้นในชีวิตของดาวิดบ้าง ที่ไม่มีการบันทึกไว้ และผู้เขียนพระธรรมซามูเอลไม่ได้เล่าถึง แต่ดาวิดเองเปิดเผยให้เรารู้จากพระธรรมสดุดีที่ท่านเขียน สะท้อนให้เราเห็นภาพของเหตุการณ์ในตอนนี้
3 เมื่อข้าพระองค์ไม่แจ้งบาปของข้าพระองค์ ร่างกายของข้าพระองค์
ก็ร่วงโรยไป โดยการคร่ำครวญวันยังค่ำของข้าพระองค์ 4 พระหัตถ์ ของพระองค์หนักอยู่บนข้าพระองค์ทั้งวันทั้งคืน กำลังของข้าพระองค์ ก็เหี่ยวแห้งไปอย่างความร้อนในหน้าแล้ง
สดุดีบทที่ 32 เป็นหนึ่งในสองบท (อีกบทคือบทที่ 51) ที่ดาวิดได้สะท้อนให้เราเห็นถึงความบาปของท่าน การกลับ ใจ และการกลับคืนสู่สภาพดี ข้อ 3-4 ของบทที่ 32 มุ่งไปที่สิ่งที่ผมกำลังจะบอกว่าเกิดเหตุการณ์ ใดขึ้นในตอนนี้ พระธรรมสองข้อนี้ตรงกับเหตุการณ์ในบทที่ 11 และ 12 ของ 2 ซามูเอล การที่นาธันผู้เผย พระวจนะ มาเผชิญหน้ากับดาิวิดตามที่บันทึกอยู่ใน 2 ซามูเอลบทที่ 12 เป็นเหตุทำให้ดาวิดสำนึกผิด และ สารภาพบาป แต่การสารภาพนี้ไม่ได้เป็นผลมาจากการที่ถูกนาธันตำหนิ ; แต่เป็นการที่ดาิวิดตอบสนองต่อ การกระทำของพระเจ้าในจิตใจท่านก่อนที่ท่านจะสารภาพบาป ในขณะที่ท่านกำลังพยายามจะปกปิดมัน
พระธรรมสองข้อนี้ดาวิดแสดงให้เห็นชัดเจนว่าพระเจ้ากำลังทำการอยู่ ถึงแม้จะไม่ปรากฎให้เห็นภายนอกก็ตาม ในระหว่างที่ดาวิดพยายามปกปิดบาปของตน พระเจ้ากำลังทำการอยู่โดยให้สำแดงชัดแจ้งในจิตใจท่าน มัน ไม่ใช่เวลาแห่งความสุขสักนิดเดียว อย่างที่พวกมารมันชอบให้เราคิด ; แต่เป็นวันคืนที่น่าเศร้า ดาวิดระทม อยู่ในความรู้สึกผิด ท่านนอนไม่ได้ และดูเหมือนจะกินไม่ได้ด้วย กลางคืนท่านไม่หลับ เริ่มอ่อนเพลีย น้ำหนัก ลดลง ไม่ว่าดาวิดจะรู้ตัวหรือไม่ก็ตาม พระเจ้ากำลังทำการอยู่ในท่าน แต่อย่างน้อยท่านก็รู้ตัวว่า ตกอยู่ใน ความระทมทุกข์ ความทุกข์นี้แหละที่ทำให้ท่านอ่อนลง เตรียมรับคำตำหนิที่จะมาจากนาธัน และจะทำให้ท่าน สำนึกและกลับใจ ดาวิดไม่ได้กลับใจหลังจากที่ประเมินสถานการณ์ดูแล้ว ; แต่เป็นการแทรกแซงของพระเจ้า ท่านจมลึกลงไปในบาปจนนึกคิดอะไรไม่ออก พระเจ้ากำลังทำการอยู่ในชีวิตของท่าน ทำให้ท่านต้องใจแตก สลาย และนำท่านกลับมาสู่พระคุณของพระองค์
1 พระเจ้าทรงใช้ให้นาธันไปหาดาวิด นาธันก็ไปเข้าเฝ้าและกราบทูล
พระองค์ว่า "ในเมืองหนึ่งมีชายสองคน คนหนึ่งมั่งมี อีกคนหนึ่งยากจน
2 คนมั่งมีนั้นมีแพะแกะและโคเป็นอันมาก 3 แต่คนจนนั้นไม่มีอะไรเลย เว้นแต่แกะตัวเมียตัวเดียวที่ซื้อเขามา ซึ่งเขาเลี้ยงไว้ และอยู่กับเขา มันได้เติบโตขึ้นพร้อมกับบุตรของเขา กินอาหารร่วมและดื่มน้ำถ้วยเดียว
กับเขา นอนในอกของเขา และเป็นเหมือนบุตรสาวของเขา 4 ฝ่ายคนมั่งมี คนนั้นมีแขกคนหนึ่งมาเยี่ยม เขาเสียดายที่จะเอาแพะแกะหรือโคของตน มาทำอาหารเลี้ยงคนที่มาเยี่ยมนั้น จึงเอาแกะตัวเมียของชายคนจนนั้น
เตรียมเป็นอาหารให้แก่ชายที่มาเยี่ยมตน" 5 ดาวิดกริ้วชายคนนั้นมาก
และรับสั่งแก่นาธันว่า "พระเจ้าทรงพระชนม์อยู่แน่ฉันใด ผู้ชายที่กระทำ
เช่นนั้นจะต้องตาย 6 และจะต้องคืนแกะให้สี่เท่าเพราะเขาได้กระทำอย่าง
นี้ และเพราะว่าเขาไม่มีเมตตาจิต"
มีสาระสำคัญหลายเรื่องที่เราต้องมาดูเกี่ยวกับการพบกันครั้งนี้ ระหว่างนาธันและกษัตริย์ดาวิด
ประการแรก สังกเตุดูว่า นาธันนั้นถูกใช้ให้มาพบดาวิด แน่นอน นาธันเป็นผู้เผยพระวจนะ แต่ถึงกระนั้น ท่านรู้ว่าดาิวิดได้ทำอะไรลงไป ขอโทษถ้าผมจะบอกว่าดาวิดไม่สามารถตบตาท่านได้ ถ้อยคำของท่าน เมื่อ นำมาพิจารณาดู ล้วนแล้วแต่เป็นถ้อยคำของพระเจ้า (ดู 12:11) ถ้านาธันเป็นผู้เผยพระวจนะ ท่านคงต้องเป็น เพี่อนของดาวิดด้วย ดาวิดเองยังตั้งชื่อบุตรชายคนหนึ่งว่านาธัน (2 ซามูเอล 5:14) ดาวิดเคยบอกนาธันถึง เรื่องความตั้งใจจะสร้างพระนิเวศน์ (ในบทที่ 7) และนาธันเองก็จะเป็นผู้ตั้งชื่อให้กับบุตรคนที่สองของดาวิด และนางบัทเชบา (12:25) ท่านจะจงรักภักดีต่อดาวิดและต่อซาโลมอน เมื่ออาโดนียาห์คิดจะกบฎต่อราช บัลลังก์ (1 พกษ. 2) นาธันไม่ได้มาพบดาวิดในฐานะผู้พูดแทนพระเจ้า แต่มาในฐานะเพื่อนของท่านด้วย
บาดแผลที่มิตรทำก็สุจริต แต่การจุบของศัตรูนั้นมากเกินความจริง (สุภาษิต 27:6)
ประการที่สอง สังกเตุดูว่า นาธันนั้น ถูกใช้ให้มาพบดาวิด ในบทที่แล้ว ผู้เขียนใช้คำว่า "ทรงใช้" ถึง สิบสองครั้ง หลายครั้งใช้เมื่อเอ่ยถึงดาวิด "ทรงใช้" คนให้ไปพบ หรือ "ทรงใช้" ให้ไปตามตัวใครมา ดาวิดมี อำนาจอยู่ในมือ ท่านจึงสามารถ "ใช้" ให้คนไปทำในสิ่งที่ต้องการ รวมทั้งไปฆ่าอุรียาห์ด้วย แต่ตอนนี้กลับ เป็นพระเจ้าที่ "ทรงใช้" แทน คุณว่าดาวิดหลงไหลในอำนาจหรือไม่? ท่านเริ่มคุ้นเคยกับการ "ใช้" ให้คนไป ทำโน่นทำนี่ให้กับท่าน (เช่นใช้ให้โยอาบและทหารอิสราเอลออกไปรบกับพวกอัมโมน) หรือไม่? ตอนนี้ดาวิด ต้องเริ่มเห็นแล้ว ว่าพระเจ้ากำลังใช้ให้นาธันมา
ประการที่สาม นาธันมาหาดาวิดพร้อมกับมีเรื่องมาเล่า ในฉบับแปลของNASB ไม่ใช่เป็นเพียงเรื่องเล่า ธรรมดา แต่เป็นเหมือนบทกวี ที่เรียงร้อยถ้อยคำในแบบเดียวกับพระธรรมสดุดี 43 ผมใช้เวลาอยู่นานกว่าจะเข้า ใจว่าถ้าเป็นเช่นนั้น ก็หมายความว่านาธันเตรียมตัวก่อนมาพบดาวิด ท่านถูกดลใจ ผมแน่ใจว่าพระเจ้าสามารถ ดลใจผู้เผยพระวจนะให้สามารถกล่าวถ้อยคำออกมาเป็นบทกวีได้อย่างง่ายดาย โดยไม่ต้องแต่งมาก่อน แต่ดู จะไม่เป็นเช่นนั้น นาธันเตรียมตัวอย่างดีเพื่อมาพบดาวิด ท่านไม่เพียงแต่ "ถักทอบทกวี" เท่านั้น ท่านกำลัง เล่าเรื่องสำคัญที่เต็มไปด้วยสาระสำคัญสำหรับดาิวิดด้วย
ประการที่สี่ เรื่องของนาธันเป็น "เรื่องของแกะ" ซึ่งผู้เลี้ยงแกะทุกคนจะเข้าใจความหมายได้อย่าง ทะลุปรุโปร่ง ดาวิดเคยเป็นเด็กเลี้ยงแกะมาก่อน อย่างที่เรารู้กันจากพระธรรมซามูเอล (ดู 1 ซามูเอล 16:11; 17:15, 28) ผมสงสัยว่าในระหว่างที่เลี้ยงแกะอยู่ น่าจะต้องมีแกะสักตัวที่ดาวิดเอ็นดูเป็นพิเศษ จนนำมาเป็น "สัตว์เลี้ยง" ของตน แล้วเจ้าแกะตัวนี้คงต้องกินและดื่มด้วยกันกับท่าน เป็นไปได้มั้ยครับ?
ปะการที่ห้า เรื่องที่นาธันเล่าให้ดาวิดฟังเป็นเรื่องที่น่าจะเกิดกับใครก็ได้ — หมายความว่าไม่ได้เป็น เรื่องที่ "เกี่ยวข้องกับผู้ใดโดยตรง" ไม่เกี่ยวกับเรื่องความบาปที่ดาวิดได้ทำไว้กับนางบัทเชบาและ อุรียาห์ แกะ (ที่เราคิดว่าสื่อความหมายถึงนางบัทเชบา) ถูกฆ่าตาย ไม่ใช่ตัวเจ้าของที่ถูกฆ่าตาย (ซึ่งเราคิด ว่าเป็นเจ้าของแกะยากจน) ผมคิดว่าเราต้องนำข้อเท็จจริงตรงนี้มาพิจารณาดูให้ดี ไม่เช่นนั้นเดี๋ยวเราจะแปล เรื่องนี้เกินความหมายที่แท้้จริงไป
ทำไมถึงต้องเล่าเรื่อง? ทำไมไม่พูดกับดาวิดไปตามตรงเลย? หลายคนกล่าวถึงเรื่องนี้ว่าเป็นการใช้กลยุทธ์ที่ ชาญฉลาดมาก เพราะทำให้ดาวิดกล่าวคำพิพากษาตนเองออกมา ก่อนที่จะรู้ว่า ตัวเองน่ะแหละคือจำเลยใน คดีนี้ ผมว่าเรื่องนี้น่าจะจริง ดาวิดรู้สึกโกรธที่ "เศรษฐี" คนนี้ใจดำ ถ้าทำได้ท่านต้องการนำชายคนนี้มาฆ่า เสีย (!) ที่จริงเพื่อความยุติธรรม ต้องมีการชดใช้ถึงสี่เท่า และเมื่อท่านยอมรับในหลักการ นาธันจึงนำหลัก การเดียวกันนี้ มาใช้กับท่านอย่างเจาะจง
ตามที่ผมเข้าใจพระคัมภีร์ มีความหมายอื่นมากกว่าเรื่องที่เล่านี้ องค์พระเยซูคริสต์เองทรงเล่าเรื่องหลายเรื่อง ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น? หรือเป็นเพราะพระองค์พยายามทำให้ยากเย็นจนหาความหมายไม่เจอ? หรือว่าพระองค์ พยายามทำให้คนเข้าใจได้ง่าย? บางครั้งพระเยซูทรงเล่าเรื่องให้ผู้เชี่ยวชาญทางศาสนาฟัง พวกที่ชอบนำคำ ศัพท์สูงมาใช้เพื่อการโต้แย้ง ผมกำลังคิดถึงเรื่องชาวสะมาเรียใจดี ที่บันทึกอยู่ในพระธรรมลูกาบทที่ 10 มี บาเรียนคนหนึ่งยืนขึ้นถามพระเยซู ทั้งที่ไม่ได้อยากรู้หรอก แต่ต้องการทำให้พระเยซูเสียหน้าต่อสาธารณะชน เขาถามว่า "ข้าพเจ้าจะต้องทำอะไรเพื่อจะได้ชีวิตนิรันดร?" พระเยซูทรงกลับคำถามนั้นเสียใหม่ เพราะชายคน นี้เป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องธรรมบัญญัติของโมเสส ธรรมบัญญัติสอนว่าอย่างไร? บาเรียนคนนั้นตอบว่า "จงรัก พระองค์ผู้เป็นพระเจ้าของเจ้าด้วยสุดจิตสุดใจของเจ้า ด้วยสุดกำลังและสิ้นสุดความคิดของเจ้า และจงรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง" (ลูกา 10:27) แล้วพระเยซูทรงตอบว่า "ใช่แล้ว ทำเลย" ปัญหาของ ธรรมบัญญัติคือไม่มีใครสามารถทำได้ครบถ้วน ดังนั้นไม่มีผู้ใดไปถึงสวรรค์ได้ด้วยการความดีของตนเอง
บาเรียนรู้ดีว่าตกลงไปในหลุมที่ตัวเองขุดขึ้น จึงพยายามตะเกียกตะกายขึ้นมา (นับว่าเลือกทำในสิ่งที่ผิด) เขา (เช่นเดียวกับนักกฎหมายทั้งหลายในอดีตและปัจจุบัน) คิดว่าจะหลุดรอดไปได้ด้วยการโต้แย้งโดยใช้คำศัพท์ สูงเกินกว่าจะเข้าใจ เขาจึงมีคำถามถามพระเยซูต่อ : "ใครเป็นเพื่อนบ้านของข้าพเจ้า?" พระเยซูไม่ได้ต่อ ปากต่อคำกับชายผู้นี้ พระองค์ไม่ปรารถนาจะใช้วิธีเล่นคำไปมา แต่พระองค์กลับทรงเล่าเรื่องที่แสนจะธรรมดา แทน คือเรื่องชาวสะมาเรียใจดี เมื่อเล่าจบ พระองค์ถามขึ้นมาว่า
"36 ในสามคนนั้น ท่านคิดเห็นว่าคนไหนปรากฏว่าเป็นเพื่อนบ้าน
ของคนที่ถูกปล้น" 37 เขาทูลตอบว่า "คือคนนั้นแหละที่ได้สำแดง
ความเมตตาแก่เขา" พระเยซูจึงตรัสกับเขาว่า "ท่านจงไปทำ
เหมือนอย่างนั้นเถิด" (ลูกา 10:36-37)
บาเรียนผู้นี้เริ่มมีปัญหาแล้วครับ ; เพราะเรื่องที่ทรงเล่าไม่มีคำศัพท์สูงใดที่โต้แย้งได้อยู่เลย แต่กลับนำมาที่ จุดเดิม ไม่มีทางเล่นคำโต้แย้งได้ เมื่อจนตรอก บาเรียนนั้นรู้ดีว่า "เพื่อนบ้าน" ที่เขาถามถึงนั้นหมายความว่า อย่างไร เขาหลบเลี่ยงไม่ได้เลย เรื่องเล่านี้สำเร็จทะลุเป้า ; เพราะเจาะไปที่หัวใจของเรื่อง โดยไม่ต้องเติม รายละเอียดเพื่อเสียเวลาให้มีการโต้แย้งได้ บาเรียนไม่สามารถทำให้พระเยซูเสียหน้าได้ แต่กลายเป็นว่า พระเยซูทำให้บาเรียนผู้นั้นรู้สึกอับอายขายหน้าด้วยเรื่องธรรมดาๆ เพียงเรื่องเดียว
นี่คือเหตุผลหนึ่งที่นาธันเล่าเรื่องให้ดาวิดฟัง ท่านไม่ได้ต้องการนำบาปของดาวิดมาเปิดเผย ; แต่ท่านต้องการ ชี้ให้ดาวิดเห็นถึงบาปของท่านตามหลักการ ด้วยวิธีที่ปฏิเสธไม่ได้ เมื่อท่านเปิดทางได้ ท่านจึงนำเข้าสู่เรื่อง ความบาปของดาวิดอย่างเจาะจง
เรื่องที่นาธันเล่าให้ดาวิดฟังเป็นเรื่องแสนธรรมดา ชายสองคนอยู่ในเมืองเดียวกัน คนหนึ่งร่ำรวย อีกคนยากจน คนรวยมีฝูงแพะแกะมากมาย 44 เขาไม่ได้มีแค่ฝูงแพะแกะเท่านั้น ยังมีฝูงสัตว์ใหญ่ๆอีกมากมายหลายฝูงด้วย เราคงพูดได้ว่าชายคนนี้ "รวยติดอันดับ" ส่วนชายที่ยากจนมีเพียงแกะตัวเมียเพียงตัวเดียว ; ที่เลี้ยงไว้ให้้เป็น "สัตว์เลี้ยง" เขาซื้อมันมาและเลี้ยงดูให้อยู่ในบ้าน มันเฝ้าอยู่ใกล้ๆ เขาอุ้มมันไปมา และให้นอนอยู่บนอก มันอยู่ในบ้าน ไม่ใช่ข้างนอก กินอาหารและดื่มจากภาชนะเดียวกัน พวกคุณหลายคนคงนึกภาพไม่ออก ฟังดู น่ากลัวใช่มั้ยครับ? ใครจะไปเลี้ยงสัตว์แบบนี้ได้? ผมตอบได้คำเดียวครับ : ว่าคุณคงไม่ได้ไปที่บ้านเรานาน แล้ว เลยไม่ได้พบกับแมวสองตัวของเรา (ที่มันอยู่ทั่วไปจนทำให้ภรรยาผมหงุดหงิด — บางทีมันขึ้นไปนอน และเดินเล่นบนโต๊ะด้วยซ้ำ) แล้วยังมีหมาอีกสี่ตัว (ซึ่งที่จริงแล้วไม่ใช่ของบ้านเราสักตัว)
มีแขกมาเยี่ยมบ้านของคนรวย และในฐานะเจ้าของบ้านเขาต้องจัดอาหารเลี้ยง ชายคนนี้ตัดสินใจจะใช้แกะ เป็นอาหาร แต่เขาไม่อยากจะเอาแกะจากฝูงของตน เขากลับไปแกะของชายยากจนมาแทน ฆ่ามันเสีย และ นำไปปรุงเป็นอาหารเลี้ยงแขก จะได้ไม่เสียของๆตน เขาไม่เพียงแต่ (ขู่บังคับ) เอาแกะมาจากชายยากจน เท่านั้น เขาพรากแกะตัวเดียวที่ชายคนนี้มีอยู่ มันเป็นหนึ่งในสมาชิกของครอบครัว
หวังว่าผมคงไม่ได้ทำให้เรื่องนี้ "ฟังดูเกินจริง" นะครับ ผมเพียงแต่ต้องการย้ำเนื้อเรื่องให้ชัดเจนขึ้น — ว่ามันมี ความรักความผูกพันธ์อยู่ระหว่างชายยากจนและ "แกะ" ของเขา ลองมานึกถึงเรื่องของอุรียาห์ บัทเชบาและ ดาวิดกันดู ผมขอสรุปว่าผู้เขียนต้องการแสดงให้เห็นว่า อุรียาห์และบัทเชบารักกันมาก เมื่อดาวิด "มานำ" นาง ไปที่ห้องนอนของท่านในค่ำคืนนั้น และต่อมาก็ทำให้สามีของนางตายลง เขาพรากภรรยามาจากสามีอันเป็น ที่รัก บัทเชบาและอุรียาห์นั้นรักกันมาก จึงทำให้ข้อโต้แย้งว่านางไม่มีส่วนในความบาปของดาวิดมีน้ำหนักขึ้น และยังทำให้เห็นถึงบุคคลิกที่ซื่อตรงของอุรียาห์ ที่ถึงแม้อยากอยู่ใกล้ภรรยา และถูกกษัตริย์คะยั้นคะยอก็ตาม ยังปฏิเสธ เพราะต้องการยึดมั่นอยู่ในหลักการ
ดาวิดยังไม่รู้ตัวว่าจะเกิดอะไรขึ้น เรื่องที่นาธันเล่าทำให้ดาวิดโกรธมาก ดาวิดผู้ที่ครั้งหนึ่งเคยคิดจะจัดการ กับนาบาลและครัวเรือนทั้งสิ้น (1 ซามูเอล 25) กำลังคิดจะจัดการกับชายใจร้ายในเรื่องที่นาธันเล่า ผมว่าการ ตอบสนองของดาวิดดูมากเกินไปหน่อย ทำให้ผมนึกถึงยูดาห์ในปฐมกาลบทที่ 38 ที่รู้เรื่องข่าวว่าสะใภ้ท้อง โดยไม่มีพ่อ โดยหารู้ไม่ว่า ตนนั่นแหละคือพ่อของเด็กในท้อง ยูดาห์ก็พร้อมที่จะเผาทามาร์ให้ตายทีเดียว มันดูน่าขันนะครับ ที่คนที่ทำบาป กลับทนไม่ได้ ที่เห็นคนอื่นทำบาปที่เหมือนกับตัวเอง
ดาวิดเป็นเหมือนความชั่วร้ายทั้งสองประการที่ชายผู้นี้ทำ ประการแรก ชายผู้นี้พรากแกะมา ซึ่งตามธรรม บัญญัติแล้ว ต้องชดใช้คืนถึงสี่เท่า (อพยพ 22:1) ประการทีีสอง ดาวิดเริ่มตระหนักถึงความบาปที่ร้ายแรงกว่า คือความใจร้ายของชายร่ำรวยผู้นี้ ดาวิดโกรธเพราะชายผู้นี้ขโมยและฆ่าแกะของชายยากจน แต่ท่านยังมอง ไม่เห็นความเกี่ยวเนื่องในการที่ท่านขโมยคู่ชีวิตของชายที่ยากจนมา ภรรยาของอุรียาห์ นางบัทเชบา และการ ฆ่าอุรียาห์เป็นการกระทำที่โหดร้ายทีเดียว ดาวิดพยายามแสดงออกถึงความชอบธรรมในด้านจิตวิญญาณด้วย การใช้คำพูดว่า "พระเจ้าทรงพระชนม์อยู่แน่ฉันใด" (ข้อ 5)
7 นาธันจึงทูลดาวิดว่า "ฝ่าพระบาทนั่นแหละคือชายคนนั้น พระเยโฮวาห์พระเจ้า แห่งอิสราเอลตรัสดังนี้ว่า 'เราได้เจิมตั้งเจ้าไว้ให้เป็นกษัตริย์เหนืออิสราเอล และ เราช่วยกู้เจ้าออกมาจากมือของซาอูล 8 และเราได้มอบวงศ์เจ้านายของเจ้าไว้ใน
มือของเจ้า และได้มอบภรรยาเจ้านายของเจ้าไว้ในอกของเจ้า และมอบวงศ์วาน อิสราเอลและวงศ์วานยูดาห์ให้แก่เจ้า ถ้าเท่านี้ยังน้อยไป เราจะเพิ่มให้อีกเท่านี้
9 ทำไมเจ้าดูหมิ่นพระวจนะของพระเจ้า กระทำสิ่งที่ชั่วในสายพระเนตรของพระ
องค์ เจ้าได้ฆ่าอุรีอาห์คนฮิตไทต์เสียด้วยดาบ เอาภรรยาของเขามาเป็นภรรยา
ของตน และได้ฆ่าเขาเสียด้วยดาบของคนอัมโมน 10 เพราะฉะนั้นดาบนั้นจะไม่ คลาดไปจากราชวงศ์ของ เจ้าเพราะเจ้าได้ดูหมิ่นเรา เอาภรรยาของอุรีอาห์คน ฮิตไทต์มาเป็นภรรยาของเจ้า' 11 พระเจ้าตรัสดังนี้ว่า 'ดูเถิด เราจะให้เหตุร้าย
บังเกิดขึ้นกับเจ้า จากครัวเรือนของเจ้าเอง และเราจะเอาภรรยาของเจ้าไปต่อ
หน้าต่อตาเจ้า ยกไปให้แก่เพื่อนบ้านของเจ้า ผู้นั้นจะนอนร่วมกับภรรยาของเจ้า
อย่างเปิดเผย 12 เพราะเจ้าทำการนั้นอย่างลับๆ แต่เราจะกระทำการนี้ต่อหน้า อิสราเอลทั้งสิ้นและอย่างเปิดเผย'"
ดาวิดติดกับตนเองแล้วครับ และนาธันกำลังจะเปิดเผยให้ท่านรู้ สิ่งแรกที่นาธันทำคือกล่าวฟ้องว่าดาวิดนั้นคือ คนร้าย : "ฝ่าพระบาทนั่นแหละคือชายคนนั้น!" อึ้งไปอย่างเงียบงัน ดาวิดกำลังฟังข้อหาของตนเอง ท่าน มัวแต่คิดถึงความชั่วร้ายที่ชายผู้นี้ทำ ขโมยและพรากแกะมาจากเจ้าของ พูดอีกอย่างก็คือ ดาวิดมัวแต่ไปคิด ในแง่อาชญากรรมและการกระทำที่สังคมไม่ยอมรับ แต่ไม่ใช่ในแง่ของความบาป ในข้อ 7-12 นาธันดึงความ สนใจของดาวิดมาที่บาปของท่านที่กระทำต่อองค์พระผู้เป็นเจ้า และผลที่กำลังตามมา ให้เรามาดูคำสรรพนาม "เรา" ที่พระเจ้าทรงใช้ในข้อ 7 และ 8: "เราได้…
พระเจ้าตรัสกับดาวิดเหมือนกับว่าท่านได้ลืมเรื่องนี้ไปแล้ว หรือท่านอาจจะคิดว่าทุกสิ่งสำเร็จได้ด้วยมือของ ท่านเอง ทุกสิ่งที่ท่านมีอยู่ พระเจ้าเป็นผู้ประทานให้ทั้งสิ้น ท่านลืมไปแล้วหรือว่าในอดีตท่านเป็นเพียงเด็ก เลี้ยงแกะ? ดาวิด "มั่งคั่ง" ขึ้นมาได้เพราะพระเจ้าประทานให้ และถ้าท่านคิดว่ายังรวยไม่พอ พระเจ้าจะประทาน ให้อีก ดาวิดเริ่มหลงไหลใน "ความมั่งคั่ง" มากกว่ายึดเอาพระเจ้าผู้ประทานความมั่งคั่งให้
ผมเกรงว่าเราอาจหลงประเด็นตรงนี้ เราอ่านเรื่องที่นาธันเล่า และเราได้ยินในสิ่งที่ท่านตำหนิดาวิด ราวกับว่า บาปของดาวิดนั้นผิดแต่เพียงเรื่องเพศ จริงอยู่ ดาวิดทำบาปล่วงประเวณีเมื่อท่านไปนำนางบัทเชบามานอน ด้วยที่พระราชวังทั้งๆที่รู้ว่านางแต่งงานแล้ว แต่การล่วงประเวณีนี้เป็นเพียงอาการของความบาป จากที่นาธันพูด ซึ่งเป็นถ้อยคำที่มาจากพระเจ้า พระเจ้าไม่ได้เพียงแต่พูดว่า "น่าขายหน้าที่สุดดาวิด ดูสิเจ้ามีภรรยาและนางสนม อยู่แล้วมากมาย และถ้าผู้หญิงพวกนี้ยังไม่ทำให้เจ้าพอใจ เจ้าก็ยังไปหาใหม่ได้ แต่ไม่ใช่เป็นคนที่แต่งงานแล้ว" นาธันเล่าเรื่องชายมั่งคั่งและชายยากจนให้ดาวิดฟัง พระเจ้าตรัสกับดาวิดผ่านทางนาธันว่า ทุกสิ่งที่ดาวิดมีอยู่ใน ครอบครอง (ความมั่งคั่ง) พระองค์เป็นผู้ประทานให้ พระองค์ไม่เพียงแต่จะเพิ่มเติมให้อีกเท่านั้น (ไม่ใช่เติมให้ ในฮาเร็ม) แต่ปัญหาของดาวิดกลับกลายเป็นว่าความมั่งคั่งเริ่มครอบครองท่าน ท่านถูก "ความร่ำรวย" ครอบเสีย อยู่หมัด จนเสียดายที่จะใช้มันไป ท่านกลับอยากต้องการ "มาก" และ "มากยิ่งขึ้น" ท่านจึงเริ่มไปชิงเอาของๆ ผู้อื่นมา แทนที่จะทูลขอจากผู้ที่ประทานให้
เราเริ่มเข้าใจแล้วว่า ทำไมดาวิดจึงเขียนสดุดี 51:4: "ข้าพระองค์ได้ทำบาปต่อพระองค์ต่อพระองค์เท่านั้น"
เรื่องแรกที่สำคัญที่สุดคือ บาปที่ดาวิดทำนี้เป็นบาปที่ทำต่อพระเจ้า ท่านเลิกถ่อมใจที่จะยอมรับว่าพระเจ้า เป็นผู้ประทานทุกสิ่งที่ท่านครอบครองอยู่ ท่านเลิกมองไปที่พระเจ้าว่าพระองค์เป็นผู้จัดเตรียมทุกสิ่งที่จำเป็น — ที่ท่านปรารถนาให้ ดาวิดไม่เพียงเลิกที่จะทูลขอจากพระเจ้าเท่านั้น แต่ท่านกลับไปทำบาปที่ไม่เชื่อฟัง ไปล่วงประเวณีและทำฆาตรกรรม ความบาปที่ดาวิดทำต่อพระเจ้าสำแดงออกมาโดยความชั่วที่ท่านกระทำ ต่อผู้อื่น นาธันใช้คำสรรพนาม "เจ้า" ย้ำอยู่ในแทบทุกประโยค :
ทำไมเจ้าดูหมิ่นพระวจนะของพระเจ้า กระทำสิ่งที่ชั่วในสายพระเนตรของพระองค์
เจ้าได้ฆ่าอุรีอาห์คนฮิตไทต์เสียด้วยดาบ
(เจ้าได้) เอาภรรยาของเขามาเป็นภรรยาของตน
(เจ้าได้) ฆ่าเขาเสียด้วยดาบของคนอัมโมน
แล้วนาธันกล่าวต่อไปถึงผลของบาปที่จำต้องเกิดกับดาวิดและครอบครัวของท่าน :
เพราะฉะนั้นดาบนั้นจะไม่ คลาดไปจากราชวงศ์ของเจ้าเพราะเจ้าได้ดูหมิ่นเรา เอาภรรยาของอุรีอาห์คน ฮิตไทต์มาเป็นภรรยาของเจ้า'
'ดูเถิด เราจะให้เหตุร้ายบังเกิดขึ้นกับเจ้า จากครัวเรือนของเจ้าเอง
เราจะเอา ภรรยาของเจ้าไปต่อหน้าต่อตาเจ้า ยกไปให้แก่เพื่อนบ้านของเจ้า
ผู้นั้นจะนอนร่วม กับภรรยาของเจ้าอย่างเปิดเผย
เพราะเจ้าทำการนั้นอย่างลับๆ
แต่เราจะกระทำการนี้ต่อหน้า อิสราเอลทั้งสิ้นและอย่างเปิดเผย
ความชั่วที่ดาวิดกระทำต่อผู้อื่นแสดงถึงการจงใจขัดคำสั่งของพระเจ้าอย่างชัดเจน ดาวิดเป็น "บุรุษที่ทำตาม พระทัยพระเจ้าอย่างสุดใจ" แต่ตอนนี้กลับเป็นว่าท่าน "ได้ดูหมิ่นพระวจนะของพระเจ้า" เมื่อดาวิด สำนึกผิดด้วยใจจริงและได้รับการอภัยบาป แต่ท่านไม่สามารถยับยั้งผลของความบาปได้ เพราะเป็นสิ่งที่สม กับความยุติธรรม ; สมกับอาชญากรรมที่ดาวิดก่อขึ้น ท่านใช้มือและดาบของคนอัมโมนฆ่าอุรียาห์ ดังนั้นคม ดาบจะไม่ห่างไปจากราชวงศ์ของท่าน ท่านไปแย่งภรรยาคนอื่นมา ภรรยาของท่านเองจะถูกแย่งเอาไปโดย คนในราชวงศ์ของท่านเอง
นอกจากจะยุติธรรมแล้ว ยังรุนแรงพอๆกัน ดาวิดไปแย่งชิงภรรยาผู้อื่นมา ; คนอื่นจะมาแย่งชิงบรรดาภรรยา ของท่านไป เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่ออับซาโลมกบฎต่อบิดา แย่งชิงบัลลังก์ไปชั่วขณะหนึ่ง และด้วยคำแนะนำจาก อาหิโทเฟล อับซาโลมตั้งเต็นท์ขึ้นบนดาดฟ้าพระราชวังของดาวิด (ที่เดียวกับที่ดาวิดขึ้นไปและมองลงมา เห็นบัทเชบา) และบนนั้นเอง ทุกสายตาของชาวอิสราเอลจะเห็นอับซาโลมนอนกับบรรดาสนมของดาวิด เพื่อ เป็นการประกาศว่าเขายึดครองบัลลังก์ของบิดาและทุกสิ่งได้สำเร็จ (2 ซามูเอล 16:20-22) เมื่อดาวิดกระทำ บาปในที่ลับ พระเจ้าจะสำแดงให้เห็นถึงผลของมันในที่แจ้งที่สุด
เรื่องราวก็ดำเนินต่อไปตามที่เราทราบ แต่เราจะหยุดอยู่เพียงตรงนี้ ตรงที่พระเจ้าใช้ให้นาธันมาตำหนิดาิวิด ในบทต่อไป เราจะมาพิจารณาเรื่องการสำนึกในบาป และผลร้ายของความบาปที่ติดตามมาในทันที ให้เรา จบบทเรียนตอนนี้ด้วยการนำสาระสำคัญสำหรับเรา ที่เกิดจากความบาปของดาวิดและคำตำหนิของนาธัน มาพิจารณา
(1) นาธันเป็นผู้เผยพระวจนะ และเป็นแบบอย่างที่ดีของเพื่อนที่สัตย์ซื่อ พระธรรมสุภาษิตกล่าวไว้ ดังนี้ :
บาดแผลที่มิตรทำก็สุจริต แต่การจุบของศัตรูนั้นมากเกินความจริง (สุภาษิต 27:6)
ผมสงสัยว่าในหมู่เพื่อนฝูงของผม มีกี่คนกันที่ไม่กล้าหรือไม่ยอมไปตักเตือนคนใกล้ตัวเมื่อเกิดการทำผิดขึ้น เพราะคิดว่าเพื่อนไม่ควรดุด่าเพื่อน เพื่อนที่ดีจะไม่ปล่อยให้เราดำเนินอยู่ในทางไปสู่ความพินาศครับ นาธันทำหน้าที่ผู้เผยพระวจนะ แต่ท่านก็ทำหน้าที่ในฐานะเพื่อนด้วย จะดีไหมถ้าเรามีเพื่อนที่เป็นผู้เผย พระวจนะเพิ่มมากขึ้น หรือว่าเราเองจะเป็นเพื่อนผู้เผยพระวจนะให้กับเพื่อนที่กำลังเดินมุ่งไปสู่ความพินาศ
11 จงช่วยบรรดาผู้ที่ถูกนำไปสู่ความมรณา จงช่วยยึดบรรดาผู้ที่ตุปัดตุเป๋ไปเพื่อถูกฆ่า
(สุภาษิต 24:11)
(2) พระเจ้าเห็นความบาปของเรา ถึงแม้มนุษย์มองไม่เห็น ความบาปของเราไม่หลุดรอดไปจากสาย พระเนตรพระเจ้าหรอกครับ คนชั่วทั้งหลายชอบคิดว่าพระเจ้าไม่ทันเห็น หรือถ้าเห็น พระองค์ก็ไม่ใส่พระทัย:
11 และเขาทั้งหลายพูดว่า "พระเจ้าทรงทราบได้อย่างไร พระเจ้าผู้สูงสุด มีความรู้หรือ"? (สดุดี 73:11; ดู 2 เปโตร 3:3)
พระเจ้าอาจจะไม่พิพากษาหรือลงโทษในทันที แต่พระองค์ไม่ทรงละเลยความบาปของเราแน่นอน
20 โมเสสจึงกล่าวแก่เขาทั้งหลายว่า "ถ้าท่านทั้งหลายจะหยิบอาวุธขึ้นเข้าสู่ สงครามต่อพระพักตร์พระเจ้า 21 และคนของท่านที่ถืออาวุธทุกคนจะข้ามแม่น้ำ จอร์แดนไปต่อพระพักตร์พระเจ้า จนกว่าพระองค์จะทรงขับไล่ศัตรูให้พ้นพระองค์
22 และแผ่นดินนั้นจะพ่ายแพ้ต่อพระพักตร์พระเจ้าแล้ว ภายหลังท่านจึงจะกลับ และพ้นจากพันธะที่มีต่อพระเจ้า และอิสราเอล และแผ่นดินนี้จะตกเป็นกรรมสิทธิ์ ของท่านต่อพระพักตร์พระเจ้า 23 แต่ถ้าท่านทั้งหลายมิได้กระทำเช่นนี้ ดูเถิดท่าน ทั้งหลายได้กระทำบาปต่อพระเจ้า จงรู้แน่เถิดว่า
บาปของท่านก็ตามทัน
(กันดารวิถี 32:20-23 ผมขอย้ำด้วยคน)
(3) พระเจ้าไม่ได้อยู่ในเงื่อนใขที่จะหยุดเราไม่ให้ทำบาป บางคนหาทางทำบาปโดยกล่าวว่า: "ผมได้ อธิษฐานถามพระเจ้าแล้ว ว่าถ้ามันผิด ช่วยยับยั้งผมด้วย … ." และเมื่อพระเจ้าไม่ได้ยับยั้ง พวกเขาก็อ้าง ว่ามันถูกต้องดีแล้ว พระเจ้าน่าจะหยุดดาวิดไว้เมื่อท่านคิดจะอยู่บ้านไม่ออกไปรบ หรือเมื่อท่านเริ่มฝักใฝ่ใน ภรรยาของอุรียาห์ หรือแม้กระทั่งเมื่อท่านทำบาปล่วงประเวณีแล้ว แต่พระองค์กลับปล่อยให้ดาวิดทำบาปต่อ ไปอีกระยะหนึ่ง พระเจ้าอนุญาติให้ดาวิดถึงกับทำฆาตรกรรมด้วย พระวจนะคำห้ามดาวิดไม่ให้ทำบาปแห่ง ความโลภ บาปล่วงประเวณี และบาปฆาตรกรรม พระวจนะคำสั่งให้ท่านหยุด แต่ท่านไม่หยุด พระเจ้าอนุญาติ ให้ดาวิดตกอยู่ในบาปชั่วระยะหนึ่ง แต่ไม่ใช่ตลอดไป พระเจ้าอนุญาติให้บาปของดาวิดเต็มขนาด เพื่อที่ท่าน (และเราทั้งหลาย) จะเห็นว่าบาปเติบโตอย่างไร (เปรียบเทียบกับ ปฐมกาล 15:12-16)
(4) ความบาปของดาวิดไม่ใช่มีไว้ให้เราใช้เป็นข้ออ้างที่จะทำบาป แต่เป็นการเตือนมาถึงเราว่า เราทุกคนมีสิทธิตกอยู่ในบาปเดียวกันได้ ผมเคยได้ยินมานับครั้งไม่ถ้วนว่า "ดูสิขนาดดาวิดยังทำบาป เลย… ." ที่เขาหมายความก็คือ "แล้วประสาอะไร ที่คนอย่างผมจะทำบาปบ้างไม่ได้?" ถ้าดาวิดเป็น ผู้มีจิตวิญญาณที่สูงส่ง ยังทำบาปได้ถึงขนาดนี้ แล้วประสาอะไร ที่คนอย่างเราจะดีไปกว่าท่าน ?"
ถ้าเราศึกษาพระคัมภีร์ดูให้ดี เราจะเข้าใจว่าทำไมจึงมีการบันทึกเรื่องราวเหล่านี้เอาไว้ ไม่ใช่เพื่อว่าจะสนับ สนุนให้เราทำบาป แต่เป็นการเตือนให้เราเห็นถึงอันตรายของความบาป และต้องการให้เราหลีกหนีจากความ บาปให้ไกลแสนไกล เมื่อ อ.เปาโลชี้ให้เห็นถึงความบาปประการใหญ่ที่ชนชาติอิสราเอลได้กระทำในถิ่น ทุรกันดารใน 1 โครินธ์ 10:1-10 ท่านจึงนำมาใช้เป็นอุทาหรณ์สอนใจชาวโครินธ์ และเราทั้งหลาย :
11 เหตุการณ์เหล่านี้ได้บังเกิดแก่เขาเพื่อเป็นตัวอย่าง และได้บันทึกไว้
เพื่อเตือนสติเราทั้งหลาย ซึ่งกำลังประสบวาระสุดท้ายแห่งบรรดายุคเก่า
12 เหตุฉะนั้นคนที่คิดว่าตัวเองมั่นคงดีแล้ว ก็จงระวังให้ดี กลัวว่าจะล้มลง
13 ไม่มีการทดลองใดๆเกิดขึ้นกับท่าน นอกเหนือจากการทดลองซึ่งเคย
เกิดกับมนุษย์ทั้งหลาย พระเจ้าทรงสัตย์ธรรม พระองค์จะไม่ทรงให้ท่าน ต้องถูกทดลองเกินกว่าที่ท่านจะทนได้ และเมื่อท่านถูกทดลองนั้น พระองค์ จะทรงโปรดให้ท่านมีทางที่จะหลีกเลี่ยงได้ด้วย เพื่อท่านจะมีกำลังทนได้
(1 โครินธ์ 10:11-13; ดูโรม 15:4-6)
ผมขอพูดเรื่องนี้ต่ออีกนิดนะครับ ดาวิดไม่ได้ตั้งใจจะทำบาป เหมือนกับที่หลายๆคนชอบใช้เป็นข้ออ้างเพื่อ จะทำบาป ดาวิด "ตก" ลงไปในบาป ; แต่พวกชอบใช้ข้ออ้างที่จะทำบาปเป็นพวก "พุ่งหลาว" ลงไปครับ มีความแตกต่างกันอยู่มาก นอกจากนั้น ความบาปของดาวิดเป็นกรณียกเว้น ไม่ใช่เป็นกฎตายตัว :
5 เพราะว่าดาวิดทรงกระทำ สิ่งที่ถูกต้องในสายพระเนตรของพระเจ้า และ
มิได้ทรงหันไปจากสิ่งใด ซึ่งพระเจ้าทรงบัญชาตลอดพระชนม์ชีพของพระองค์ นอกจากเรื่องอุรีอาห์คนฮิตไทต์ (1พกษ. 15:5 และผมด้วย)
(5) ความบาปของดาวิด ก็เหมือนกับบาปอื่นๆทั้งหมด คือไม่เคยคุ้มค่าครับ เคยมีคนถามผมว่า บท ลงโทษของบาปชนิดใดชนิดหนึ่งคือสิ่งใด คือแกกำลังวางแผนจะทำและวางแผนว่าจะได้รับการอภัย มี หลายคนชอบเล่นกับความบาป โดยคิดว่าถ้าทำไปแล้ว อาจถูกลงโทษเพียงชั่วขณะ ถึงยังไงๆพระเจ้าก็จะ ให้อภัย ความรอดและชีวิตนิรันดร์จะยังคงอยู่ ไม่สูญหายไปไหน ไม่ว่าจะทำบาปด้วยความ ตั้งใจหรือไม่ ตั้งใจก็ตาม เคยมีสถานการณ์ที่ผู้นำคริสตจักรทิ้งภรรยาตนเอง หนีตามภรรยาของคนอื่นไป วางแผนว่า จะกลับใจทีหลัง และหวังว่าจะได้กลับมาสามัคคีธรรมในโบสถ์เดิมอีกครั้ง การทึกทักเข้าข้างตัวเอง เป็นบาป ที่ร้ายแรงและอันตรายที่สุด เหมือนกับเปิด "กะป๋องที่เต็มด้วยหนอน" ผมขอเตือนว่า : "ไม่มีใครเลย เลือก ที่จะทำบาป แล้วหลุดรอดไปได้ด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้มแจ่มใส"
ผมเคยสอนหนังสืออยู่ที่โรงเรียน และบ่อยครั้งคุณครูใหญ่จะเรียกเด็กจอมเกเรทั้งหลายมาพบ ผมจำได้ไม่ลืม ครับ ครั้งหนึ่งเด็กในห้องผมถูกเรียกไป และกลับมาพร้อมด้วยรอยยิ้มกวนโทโส มีเสียงประท้วงเกิดขึ้นในห้อง ทันที "ดูสิครับครู ไปพบครูใหญ่แล้วยังมีหน้ายิ้มกลับมาได้อีก!" ผมว่าพวกนี้พูดถูกครับ การถูกเรียกไปพบ ที่ห้องครูใหญ่ ควรจะสำนึกและทำตัวเสียใหม่ ไม่ใช่กลับมายิ้มยียวนกวนประสาท มีบางครั้งผมคิดว่าน่าจะมี การ "ลงไม้เรียว" กันบ้าง ผมว่าคงไม่มีใครกลับมาที่ห้องพร้อมกับรอยยิ้มแน่ๆ แล้วก็จริงครับ (รวมทั้งลูกชาย ของครูใหญ่เองด้วย แต่เผอิญไม่ได้อยู่ในห้องผมครับ)
ผมยังไม่เคยเจอคริสเตียนคนไหนเลือกที่จะทำบาป และหลังจากลงมือทำไปแล้ว คิดว่ามันคุ้ม ความบาป ของดาวิด และผลของมันไม่ใช่เป็นแบบที่ทำให้เราอยากทำตาม แต่ควรจะเป็นเครื่องเตือนใจ ให้เราหลีกหนี บาปไปให้ไกลแสนไกล ผลลบของบาปนั้น หนักหนาสาหัสกว่าความสุขชั่วครู่ที่ได้จากการทำบาป ความบาป ไม่เคยคุ้มค่าคุ้มราคาหรอกครับ ถึงแม้จะได้รับการอภัยแล้วก็ตาม
(6) เป็นเรื่องราวการฆ่าลูกแกะ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความใหญ่หลวงของบาปที่ดาวิดกระทำ แป็น เรื่องราวการฆ่าลูกแกะของพระเจ้า ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความใหญ่หลวงของบาปที่เรากระทำ น่าประ หลาดใจไหมครับ ที่ดาวิดมืดบอดอยู่ในความบาปของตัวเอง จนมองอะไรไม่ออก? เป็นเพราะเรื่องราวการฆ่า แกะของชายยากจน จึงทำให้ท่านมองเห็นบาปอันใหญ่หลางของตนเองได้ ดาวิดเห็นถึงความบาปของตน เอง เมื่อท่านได้ยินเรื่องที่นาธันเล่า ซึ่งฟังดูแล้วน่าจะเป็นความบาปของคนอื่น ไม่น่าเกี่ยวกับตัวท่านเลยสักนิด
นี่คือเรื่องเดียวกับการกระทำบนไม้กางเขนขององค์พระเยซูคริสต์เพื่อเรา เราทั้งหลายได้ตายแล้วด้วยการ ละเมิดและด้วยการบาป (เอเฟซัส 2:1-3) เราถูกปิดหูปิดตาไม่ให้เห็นถึงความใหญ่หลวงของบาป (2 โครินธ์ 4:4) การเสด็จมาขององค์พระเยซูคริสต์ ชีวิตที่ไร้ตำหนิของพระองค์ ทั้งที่บริสุทธิ์ ทรงสละชีวิตเป็นเครื่อง บูชา การฟื้นคืนพระชนม์ของพระองค์ ล้วนแล้วแต่เป็นเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์ แต่พระกิตติคุณก็เป็นเรื่อง เล่าด้วย เป็นเรื่องจริง เมื่อเราอ่านพระกิตติคุณในพระคัมภีร์ใหม่ เรากำลังสัมผัสกับเรื่องราวที่แสนมหัศจรรย์ น่าทึ่ง และน่าเศร้ากว่าเรื่องที่นาธันเล่าให้ดาวิดฟัง เมื่อเราเห็นผู้ที่ไม่เชื่อปฏิบัติกับพระเจ้าของเรา เรารู้สึก ตระหนก กลัว และโกรธ เราอยากจะร้องตะโกนว่า "พวกนี้สมควรตาย!" พวกเขาตายไปหมดแล้วครับ แต่เรื่อง ของพระกิตติคุณไม่ได้เขียนให้เราเห็นแต่บาปของพวกเขาเท่านั้น — คนเหล่านั้นได้ยินจากพระเยซูแล้ว ยัง ส่งเสียงร้องตะโกนว่า "เอาไปตรึงกางเขน เอาไปตรึงกางเขน" — แต่เขียนขึ้นเพื่อพระวิญญาณของ พระเจ้าจะร่ำร้องอยู่ภายในใจเรา "เจ้าแหละคือผู้นั้น!" เมื่อเราเห็นในสิ่งที่เขาทำต่อพระเยซู เราก็เห็นในสิ่ง ที่เราเองทำกับพระองค์ด้วยถ้าเราอยู่ที่นั่น เราเห็นว่าเราทำอะไรกับพระองค์ในทุกวันนี้ นั่นแหละพี่น้อง เผย ให้เห็นถึงความใหญ่หลวงในบาปของเราเอง และความจำเป็นอย่างเร่งด่วนที่ต้องกลับใจ และทูลขอการอภัย
พระกิตติคุณขององค์พระเยซูคริสต์เป็น "ข่าวดี" ข่่าวดีเรื่องการสิ้นพระชนม์ของพระองค์ เผยให้เห็นถึงความ ใหญ่หลวงในบาปของเรา และการกระทำที่ใหญ่ยิ่งของพระเจ้า ที่พระองค์สามารถให้อภัยต่อบาปของเรา การ ที่พระองค์ยอมตายเพื่อเป็นเครื่องบูชาไถ่บาปให้เรา พระองค์ตายแทนที่เรา ชดใช้การลงทันฑ์แทนเราทุกประ การ พระองค์แบกรับความผิดบาปของเราบนไม้กางเขน! เมื่อเราเข้ามาวางใจในการสิ้นพระชนม์ของพระเยซู การถูกฝังไว้ และการฟื้นคืนพระชนม์ของพระองค์ เราเองก็ได้ตายต่อบาป และถูกชุบขึ้นใหม่ในชีวิตนิรันดร์ ในองค์พระเยซูคริสต์ พระกิตติคุณจะนำเราให้ตระหนักถึงความใหญ่หลวงในบาปของเราก่อน ความรู้สึกผิด และนำเราไปสู่ความยิ่งใหญ่แห่งพระคุณของพระเจ้าในองค์พระเยซูคริสต์ บาปของเราจะได้รับการอภัย คุณ มองเห็นความใหญ่หลวงในบาปของคุณต่อเบื้องพระพักตร์หรือยัง? ผมอยากให้คุณมีประสบการณ์ของความ ยิ่งใหญ่ที่ได้รับความรอด ที่พระเจ้าเป็นผู้จัดเตรียมให้ โดยการสิ้นพระชนม์ ถูกฝังไว้ และฟื้นคืนพระชนม์ของ องค์พระเยซูคริสต์ พระผู้ช่วยองค์มหัศจรรย์!
ความบาปชั่วของคนชั่วร้ายดักเขาเอง และเขาก็ติดอยู่กับตาข่ายบาปของเขา
(สุภาษิต 5:22)
"แต่ผู้ที่พลาดขาดเราก็กระทำตัวเองให้เจ็บ บรรดาผู้ที่เกลียดเราก็รับความมรณา" (สุภาษิต 8:36)
ผู้ใดจะกล่าวได้ว่า "ข้าพเจ้าได้กระทำใจของข้าพเจ้าให้สะอาดแล้ว ข้าพเจ้า บริสุทธิ์พ้นบาปของข้าพเจ้า"? (สุภาษิต 20:9)
บุคคลที่ซ่อนการละเมิดของตนจะไม่จำเริญ แต่บุคคลที่สารภาพและทิ้งความชั่วเสีย จะได้ความกรุณา (สุภาษิต 28:13)
43 ผมอยากจะเสริมว่าฉบับอื่นๆไม่ได้แปลในแบบของ NASB เพราะต้องแปลและจัดเรียงให้เป็นบทกวี
44 มีการกล่าวถึง "ฝูงแพะแกะ" หลายต่อหลายครั้งในพระคัมภีร์ คำว่า "ฝูงแพะแกะ" มักหมายถึงสัตว์เล็กๆ เช่นแพะและแกะเท่านั้น ส่วน "ฝูงสัตว์" มักหมายถึงสัตว์ใหญ่ๆจำพวกโคกระบือ ฯลฯ
ตอนที่ผมเรียนใกล้จบปีแรกที่วิทยาลัยพระคริสตธรรม ผมทำงานช่วงปิดภาคฤดูร้อน ถูกจ้างให้ไปสอนวิชา ประวัติศาสตร์และจิตวิทยาระดับมัธยมที่เรือนจำในเมืองที่ผมอาศัยอยู่ ลุงผมทำงานเป็นพัศดีอยู่ที่นั่น และ เจ้าหน้าที่หลายคนที่นั่นเคยเป็นครูของผมสมัยเรียนอยู่มัธยม (คุณครูใหญ่ที่โรงเรียนของผมยังดำรงตำแหน่ง เป็นครูใหญ่ที่โรงเรียนของเรือนจำด้วย) เพื่อนครูด้วยกันเคยเล่าเรื่องสนุกๆจากประสบการณ์สอนในเรือนจำ ให้ผมฟัง
ที่คุกมีโครงการปรับประพฤติกรรมของนักโทษ ด้วยการให้การศึกษาจนจบชั้นมัธยม และได้รับประกาศนียบัตร รับรองด้วย โรงเรียนนี้ตั้งอยู่ในเรือนจำ มีอุปกรณ์อำนวยความสะดวกครบครันอย่างที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อน45 ห้องเรียนมีนักเรียนไม่เกิน 20 คน มีผู้คุมยืนคุมอยู่ตรงทางเดินหน้าห้องแบบ "เผื่อเอาไว้… " ที่โรงเรียน มีกฎอยู่ข้อหนึ่งคือ ห้ามหลับในเวลาเรียน มีวันหนึ่งเพื่อนครูของผมฉายหนังให้ดูในห้อง บังเอิญนักเรียนคน หนึ่งง่วงนอนจัด เขาไม่พยายามที่จะถ่างตาเลยครับ เอาหัวพาดโต๊ะหลับไปเลย พอเพื่อนผมเดินไปรอบห้อง เห็นคนที่หลับอยู่ เดินเข้าไปแตะที่ไหล่เบาๆ แล้วเดินเลยไป ไม่นานหลังจากนั้น เขาเดินผ่านไปที่เดิมอีก หมอนี่ก็ยังหลับอย่างสบายใจ เพื่อนผมผมแตะที่บ่าเบาๆอีกครั้ง พอครั้งที่สาม เพื่อนผมจับไหล่ไว้เลยครับ แล้วเขย่า (เพื่อนผมเป็นคนสุภาพเรียบร้อย) พอนักโทษคนนี้ตื่น เขาพลุ่งตัวขึ้นมา หันหน้ามาประจันกับครู พร้อมขู่ว่า "ถ้าทำอีกครั้ง โดนแน่!" เพื่อนผมถอยหลังกรูดเดินไปที่ประตูเลยครับ ไปตามยามที่ประจำการ (เขาเคยอยู่ในกองทัพเรือมาก่อน และรู้ว่าควรจัดการอย่างไรดี) ยามจึงนำนักโทษคนนี้ ไปขังไว้ใน "รู" (แปล ว่าขังเดี่ยวครับ)
อีกเดือนต่อมา นักโทษคนนี้ถูกปล่อยตัวให้กลับมาเรียนต่อ วันแรกที่กลับเข้าเรียน เขาเดินมาหาคุณครู พร้อม กล่าวคำ "ขอโทษ" "ผมขอโทษที่พูดจาไม่ดีกับคุณ" เขาอธิบาย "แต่ผมคิดว่าคุณเข้าใจผมผิด ที่ผมพูด วันนั้น ผมพูดว่า 'ถ้าคุณทำอีกครั้งละก็ อาจเจอดี.'" อย่านี้ไม่เรียกว่าสำนึกผิดหรอกครับ
การ "สำนึกผิด"ของนักโทษคนนี้เป็นเรื่องธรรมดาที่เกิดขึ้นเป็นประจำ การสำนึกผิดและกลับใจอย่างแท้จริง นัั้นหายากครับ แม้กระทั่งในพระคัมภีร์เอง พระธรรมตอนนี้ ดาวิดกล่าวกับนาธันว่า "เรากระทำบาป… แล้ว" คำเดียวกันนี้ (หรือในทำนองนี้) มีอยู่ที่อื่นๆอีกในพระคัมภีร์ แต่ความจริงใจไม่เหมือนกัน ตัวอย่างเช่น ฟาโรห์ บอกกับโมเสสถึงสองครั้งว่า "เราทำบาปแล้ว … " (ดูอพยพ 9:27; 10:16-17) แต่ทุกคนก็รู้ดีว่าไม่ใช่เป็น การสำนึกที่แท้จริง ทูตสวรรค์ของพระเจ้ามาสกัดบาลาอัมระหว่างทางไปพบบาลาค และเมื่อเขาตระหนักว่า ไม่มีทางหลุดรอดความตายจากทูตสวรรค์ไปได้ เขาจึงกล่าวว่า "ข้าพเจ้าได้กระทำบาป … " (กันดารวิถี 22:34) เรารู้ต่อมาในพระคัมภีร์ว่าเขาไม่ได้สำนึกผิดจริง ยูดาสทรยศพระเยซู สารภาพว่าได้ทำผิด แต่ก็ ไม่ยอมสำนึกและกลับใจ (มัทธิว 27:4) ดังนั้นพอจะสรุปได้ว่า แค่คำพูด "ได้ทำบาปแล้ว" ยังไม่เป็นการ พิสูจน์ถึงการสำนึกผิดที่แท้จริง
นี่เป็นกรณีเดียวกับบรรดาผู้ที่กลับใจและมาหายอห์นผู้ให้บัพติสมา เพื่อรับบัพติสมา :
5 ขณะนั้นชาวกรุงเยรูซาเล็ม และคนทั่วแคว้นยูเดีย และคนทั่วลุ่มแม่น้ำ
จอร์แดนก็ออกไปหายอห์น สารภาพความผิดบาปของตน 6 และได้รับ บัพติศมาจากยอห์นในแม่น้ำจอร์แดน 7 ครั้นยอห์นเห็นพวกฟาริสี และ
พวกสะดูสีพากันมาเป็นอันมาก เพื่อจะรับบัพติศมา ท่านจึงกล่าวแก่เขา
ว่า "เจ้าชาติงูร้าย ใครได้เตือนเจ้าให้หนีจากพระอาชญาซึ่งจะมาถึงนั้น
8 เหตุฉะนั้นจงพิสูจน์การกลับใจของเจ้าด้วยผลที่เกิดขึ้น 9 อย่านึกเหมา เอาในใจว่าตัวมีอับราฮัมเป็นบิดา เพราะเราบอกเจ้าทั้งหลายว่า พระเจ้า ทรงฤทธิ์อาจจะให้บุตรเกิดขึ้นแก่อับราฮัมจากก้อนหินเหล่านี้ได้ (มัทธิว 3:5-9)
ยอห์นยกเรื่องการกลับใจที่แท้จริงขึ้นมาพูด เพราะท่านเห็นว่ามีหลายคนที่ "การกลับใจ" ไม่เกิดผล ทุกวันนี้ คนให้ความสนใจเรื่องการกลับใจที่แท้จริงค่อนข้างมาก หลายคนไปไกลถึงขนาดตั้งกฎเกณฑ์ขึ้นมาเองว่า "ผลที่ทำให้การกลับใจดำเนินต่อไปได้" ส่วนอีกพวกคือพวกที่สอนเรื่องการกลับใจว่าเป็นเพียงเรื่องของ "การเห็นด้วยกับพระเจ้า" แต่นิยามของการกลับใจแบบนี้เป็นแค่เพียงลมปาก ทำเพื่อให้ความรู้สึกผิดลดน้อย ลง และความบาปดูไม่น่ากลัวอย่างที่คิด พร้อมที่จะกลับไปทำอีกได้ทุกเมื่อ ที่แย่สุดๆคือ เห็นพวกเผยแพร่ หรือผู้นำศาสนาร้องห่มร้องให้แสดงให้เห็นว่ากลับใจจริงออกทางโทรทัศน์ ทำให้เราสงสัยว่าเขารู้สึกอย่างนั้น จริงหรือ ผมเชื่อว่าการกลับใจของดาวิดนั้นจริงใจ และเป็นแบบอย่างที่ดีของการกลับใจที่แท้จริงให้กับเรา
ผมรู้ว่าผมกำลังให้ความสนใจมากกับส่วนน้อยนิดในพระคัมภีร์ตอนนี้ -- ซึ่งมีเพียงข้อเดียว มันไม่เล็กน้อย อย่างที่คิดหรอกครับ แต่ผมอยากจะนำพระธรรม 2 ซามูเอล 12:13 มาพิจารณาดูถึงชีวิตของดาวิดหลังจากที่ ท่านสารภาพบาป รวมถึงการกลับใจที่ท่านเขียนขึ้นในบทสดุดีทั้งสองบท ซึ่งเป็นเรื่องเกี่ยวกับความบาปที่ ท่านทำไว้กับอุรียาห์และบัทเชบา -- สดุดี 32 และ 51 ให้เราตั้งใจฟังให้ดี เพื่อจะเข้าใจว่าการกลับใจที่แท้จริง เป็นอย่างไร
ผมยกตัวอย่างเรื่องการกลับใจหลอกๆในพระคัมภีร์ไปบ้างแล้ว ขอต่ออีกนิดนะครับ เพื่อเราจะได้เห็นข้อ เปรียบเทียบในการกลับใจของดาวิดและการกลับใจแบบจอมปลอม ผมอยากนำคุณมาดูเรื่องของซาอูล โดยเฉพาะที่ท่านกล่าวถึงสามครั้งว่า "ข้าพเจ้าได้กระทำบาปแล้ว … " (1 ซามูเอล 15:24, 30; 26:21) ทำไมเราจึงคิดว่า "การกลับใจ" ของซาอูลไม่จริงใจ? ให้เราย้อนกลับมาดู "การกลับใจ" ของซาอูลกัน
(1) การตอบสนองของซาอูลต่อคำตำหนิครั้งแรกคือความเงียบ ผมต้องขอชี้ให้เห็นว่า ที่ซาอูลดู เหมือนกลับใจใน 1 ซามูเอล 15 และอีกครังในบทที่ 26นั้น เป็นการ "กลับใจ" ที่ทั้งน้อยและสายเกินไป การกลับใจครั้งแรกน่าจะอยู่ตั้งแต่บทที่ 13 ตอนที่พวกฟิลิสเตียใช้กำลังมาจู่โจมอิสราเอล ซาอูลมีกำลังคน อยู่เต็มมือ แต่แล้วก็กระจัดกระจายหนีหายไปอย่างรวดเร็ว ถึงแม้ซามูเอลจะสั่งให้ซาอูลรอท่านให้มาเผา เครื่องถวายบูชาก่อน (1 ซามูเอล 10:8) แต่ซาอูลคิดว่าหมดเวลาคอยแล้ว ท่านจึงไม่คอย ทำการเผาเครื่อง บูชาด้วยตนเอง พอเผาเสร็จซามูเอลมาถึงพอดี เมื่อซามูเอลกล่าวตำหนิการกระทำที่ฝ่าฝืนต่อพระเจ้าเช่นนี้ ซาอูลกลับแก้ตัวว่าท่านได้ทำสิ่งที่เหมาะสมแล้ว ในสถานการณ์ที่คับขันจวนตัว ซามูเอลไม่รับข้อแก้ตัวนี้ และ กล่าวตำหนิท่านในการกระทำอันโง่เขลา ขาดการเชื่อฟัง และแจ้งแก่ท่านว่า เพราะเหตุนี้ ท่านจสูยเสีย อาณาจักรไป ซาอูลกลับตอบสนองด้วยความเงียบ ท่านพึ่งได้รับแจ้งว่า หน้าที่ในตำแหน่งกษัตริย์อิสราเอล ของท่านกำลังจะจบสิ้น แทนที่จะสำนึกและสารภาพ ท่านกลับแยกจากซามูเอลมาอย่างเงียบๆ
(2) การตอบสนองของซาอูลต่อคำตำหนิครั้งที่สองคือ ต่อต้าน และยอมสารภาพอย่างไม่เต็มใจ ใน 1 ซามูเอล 15 พระเจ้าสั่งพิพากษาผ่านมาทางซามูเอลให้ซาอูลกำจัดชาวอามาเลขและสัตว์เลี้ยงให้สิ้นซาก (15:1-3) ซาอูลเชื่อฟังเพียงบางส่วน เก็บสัตว์เลี้ยงดีๆบางตัว และไว้ชีวิตอากักพระราชาของอามาเลข เมื่อ ซามูเอลมาถึง ซาอูลเข้ามาพบอย่างไม่เกรงกลัว ประกาศว่าพระเจ้าทรงอวยพระพร และอ้างว่าได้ทำตามพระ บัญชาแล้ว (15:13) เสียงแกะที่ยังมีชีวิตอยู่ทำให้ซามูเอลไม่พอใจ ซาอูลเมื่อรู้ว่าซามูเอลไม่พอใจ รีบหาข้อ อ้างในทันที ท่านโทษความบาปของท่านไปที่ประชาชนที่ยืนยันจะเก็บสัตว์เลี้ยงบางตัวไว้ เพื่อใช้เป็นเครื่อง ถวายบูชา46 ถึงแม้จะถูกซามูเอลตำหนิ (ซึ่งฟังดูคล้ายกับที่พระเจ้าตำหนิดาวิดใน 2 ซามูเอล 7:8-9 และ 12:7-8) ซาอูลยังปฏิเสธไม่ยอมรับ ยังยืนยันว่าได้ "ทำตามที่พระเจ้าทรงใช้" (1 ซามูเอล 15:20) จนกระ ทั่งเมื่อซามูเอลยืนยันไม่ยอมรับ ซาอูลจึงยอมสารภาพผิดในข้อ 24 และ 30 ผมขอเรียก "การกลับใจ" แบบนี้ ว่าเป็นการกลับใจอย่างไม่เต็มใจ
(3) "การกลับใจ" ของซาอูลเป็นการไม่ยอมรับความผิดของตน แต่กลับป้ายความผิดไปที่คนอื่น เช่นเดียวกับอาดัมและเอวา ซาอูลพยายามปัดความรับผิดชอบบาปไปที่ผู้อื่น (ดูปฐมกาล 3:11-13) จน กระทั่งไปถึงข้อ 24 ซาอูลก็ยังดันทุรังต่อ พยายามโน้มน้าวใ้ห้ซามูเอลเห็นว่าถึงจะทำผิด ก็ผิดเพราะถูก ประชาชนกดกัน (15:15, 21, 24)
(4) "การกลับใจ" ของซาอูลเป็นการพยายามทำให้ผลของบาปนั้นดูน้อยลง ดูเหมือนซาอูลจะไม่สน ใจต้นตอของความบาป หรือการแก้ใข ท่านกลับไปสน่ใจที่จะลดขนาดของบาปลง ท่านรีบขอให้ซามูเอล อภัยให้ เพื่อที่จะเดินหน้าต่อ (ในการนมัสการ!) ราวกับว่าไม่มีอระไรเกิดขึ้น ท่านต้องการให้ซามูเอลไปกับ ท่านด้วย เพื่อให้เกียรติแก่ท่าน ท่านจะได้ไม่ขายหน้าต่อประชาชน (15:30) "การกลับใจ" ของซาอูลน่าจะ เรียกว่าเป็นการ "ซุกซ่อนความเสียหาย" ดีกว่า
(5) "การกลับใจ" ของซาอูลนั้นกินเวลาสั้นมาก สำหรับซาอูลแล้ว "ผลที่ได้คุ้มกับการกลับใจ" ไม่มี การปรับเปลี่ยนทัศนคติหรือการกระทำถาวร "การกลับใจ" ของซาอูลนั้นสั้นยิ่งกว่าลูกอมดับกลิ่นปาก ทันที ที่แรงกดดันจบลง อันตรายเลือนหายไป ซาอูลก็กลับไปทำบาปอีก ถึงแม้จะไม่ใช่แบบเดิมก็ตาม ใน 1 ซามู เอล 26:21 ซาอูลสารภาพกับดาวิดว่าท่านผิดจริงที่แสวงชีวิตดาวิด ถ้าท่านไม่ตายไปในสงครามเสียก่อน เราคงสงสัยกันว่าท่านจะทำอะไรดาวิดอีกถ้าโอกาสอำนวย (คุณคงจำได้ว่าดาวิดไม่ได้ "กลับไป" กับซาอูล ตามที่ท่านขอร้อง ท่านรู้ดีกว่า!) การกลับใจของซาอูลจึงเป็นไปเพียงชั่วคราว
ให้เรามารวบรวมเหตุการณ์ต่อเนื่องที่เกิดจากการกลับใจจอมปลอมของซาอูลใน 1 ซามูเอลกัน :
ก่อนที่เราจะไปดูการกลับใจที่แท้จริงของดาวิดกัน ผมขอเวลาสักครู่เพื่อจะเปรียบเทียบระหว่างซาอูลและ ดาวิด ผมวาดภาพของซาอูลให้คุณๆดูไม่ค่อยจะสวยนัก ซึ่งอาจจะเข้าใจบิดเบือนไปได้ ไม่ว่าจะล้มเหลวและ ทำบาปสักเท่าใด ผู้เขียนพระธรรม 1 และ 2 ซามูเอล ได้สรุปภาพรวมการทำงานของซาอูลไว้อย่างดี ดังนี้ :
47 เมื่อซาอูลได้รับตำแหน่งพระราชาเหนืออิสราเอลนั้น พระองค์ได้ทรงต่อสู้
ศัตรูทุกด้าน ต่อสู้กับโมอับ กับชนอัมโมน กับเอโดม กับบรรดา พระราชา
แห่งโศบาห์ และกับคนฟีลิสเตีย ไม่ว่าพระองค์จะหันไปทางไหน พระองค์ก็
ทรง กระทำให้เขาพ่ายแพ้ไป 48 พระองค์ทรงสู้รบอย่างเข้มแข็ง และทรง โจมตีพวกอามาเลขและทรงช่วยกู้คนอิสราเอล ให้พ้นจากมือของบรรดาผู้ที่
เข้าปล้นเขา (1 ซามูเอล 14:47-48)
ในการเปรียบเทียบระหว่างซาอูลและดาวิดในสมัยแรก (เช่นเรื่องการต่อสู้กับโกลิอัท) ทำให้ซาอูลดูไม่ดีนัก แต่ดาวิดดูดีมาก แต่พอมาถึงเรื่องความบาปของดาวิดใน 2 ซามูเอล บทที่ 11 และ 12 ซาอูลดูไม่เลวเกินไป เราไม่เห็นว่าซาอูลไปแย่งภรรยาใครมา และฆ่าสามีทิ้ง ในขณะที่ซาอูลจ้องจะฆ่าดาวิดนั้น ท่านะทำในที่แจ้ง ไม่ได้เป็นความลับแต่อย่างใด (ไม่เหมือนที่ดาวิดสั่งโยอาบให้ฆ่าอุรียาห์) บาปของดาวิดทำให้ซาอูลดูดีขึ้น แต่อย่างไรก็ตาม ยังมีข้อแตกต่างที่ค่อนข้างมากระหว่างสองคนนี้อยู่ : ดาวิดสำนึกในความบาปอย่างแท้จริง; ซาอูลไม่ ดาวิดเป็นบุรุษที่ทำตามพระทัยพระเจ้าอย่างสุดใจ แต่ก็ยังไม่ทำให้ท่านรอดพ้นจากความล้มเหลว ของมนุษย์ หรือทำให้ท่านหลุดพ้นจากการทดลองได้ แต่มันทำให้ท่านรู้สึกสำนึกผิดในบาปอย่างแท้จริง เมื่อเรามาเริ่มต้นเรียนเรื่องการกลับใจที่แท้้จริงของดาวิด ให้เราพยายามมองหาว่า การกลับใจ ที่แท้จริง เป็นอย่าง ไร
เพียงสองประโยคสั้นๆในบทที่ 12 ก็กินความหมายมากมาย ประโยคแรกพูดโดยนาธัน : "ฝ่าพระบาทนั่น แหละคือชายคนนั้น!" (ข้อ 7) ประโยคที่สองดาวิดเป็นผู้พูด: "เรากระทำบาปต่อพระเจ้าแล้ว" (ข้อ 13) ประโยคที่สองและสิ่งที่เกิดขึ้นที่ผมอยากจะเจาะลึกลงไป เราลองมาพิจารณาลักษณะการกลับใจของดาวิด ในตอนนี้ และที่หนักแน่นกว่าในสดุดี 32 และ 51 และที่ปรากฎชัดเจนในชีวิตของดาวิด
(1) การกลับใจของดาวิดเกิดจากความเจ็บปวดที่กัดกินอยู่ภายในใจ และถึงจุดสูงสุดเมื่อต้องเผชิญ หน้ากับนาธัน ในบทนี้ ดาวิดสารภาพทันที ที่เรื่องราวความบาปของท่านถูกเปิดเผย แต่เนื้อหาบ่งว่าความ บาปของดาวิดถูกปกปิดอยู่เป็นเวลานาน น่าจะประมาณเก้าเดือนเป็นอย่างน้อย ในขณะที่ไม่มีการเล่าถึง เหตุการณ์ในช่วงเวลานั้น แต่ในสดุดี 32 ทำให้เราเห็นการทำงานของพระเจ้าในใจของดาวิด เรื่องความผิด บาปครั้งนี้ :
3 เมื่อข้าพระองค์ไม่แจ้งบาปของข้าพระองค์ ร่างกายของข้าพระองค์ก็ร่วงโรยไป โดยการคร่ำครวญวันยังค่ำของข้าพระองค์ 4 พระหัตถ์ของพระองค์หนักอยู่บนข้าพระ
องค์ทั้งวันทั้งคืน กำลังของข้าพระองค์ก็เหี่ยวแห้งไปอย่างความร้อนในหน้าแล้ง 5 ข้าพระองค์สารภาพบาปของข้าพระองค์ต่อพระองค์ และข้าพระองค์มิได้ซ่อนบาปผิด ของข้าพระองค์ไว้ ข้าพระองค์ทูลว่า "ข้าพระองค์จะสารภาพการละเมิดของข้าพระ
องค์ต่อพระเจ้า" แล้วพระองค์ทรงยกโทษบาปของข้าพระองค์ (สดุดี 32:3-5)
ในสดุดีบทนี้ ดาวิดพูดว่าท่านนิ่งเงียบเกี่ยวกับบาปของท่าน ดาวิดรู้ดีว่าท่านทำผิด แต่ท่านเลือกจะยื้อเวลา ออกไปอีกหน่อย ท่านไม่ยอมสารภาพบาป และผลของมันก็คือ "นรกชัดๆ" มันน่ามหัศจรรย์นะครับ ที่ความ บาปก่อให้เกิดความสุขเพียงชั่วครู่ (ดูฮีบรู 11:25) มันไม่น่าอภิรมย์สำหรับธรรมิกชนเหมือนกับคนต่างชาติ เหตุผลก็คือพระิวิญญาณทรงสถิตอยู่ภายในธรรมิกชน ขณะที่ความบาปทำให้พระวิญญาณเสียพระทัย จิตใจ ของเราก็ไม่อาจเพลิดเพลินไปกับการทำบาปได้ ผมไม่ได้บอกว่ามันไม่เพลิดเพลินนะครับ ; เพียงแต่ความ เพลิดเพลินจะถูกบั่นทอนลง ด้วยความสุขเมื่อเราเชื่อฟังและมีสามัคคีธรรมกับพระเจ้า อาการทุกข์ทรมาณ ที่ดาวิดพูดถึง ที่สุดก็คือสิ่งที่ทำลายความนิ่งเฉยของท่าน และนำท่านไปสู่การสารภาพ การกลับใจของท่าน จึงเกิดขึ้นได้ หลังจากต้องผ่านขั้นตอนความทุกข์ทรมาณทีท่านทำแทบทั้งสิ้นในที่ลับ
นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นประจำ ผมกำลังคิดถึงพี่ชายของโยเซฟที่ "กลับใจ" และโยเซฟทำให้เห็นด้วยเหตุการณ์ ต่างๆ ตามที่บันทึกอยู่ในปฐมกาล 42-45 พวกเขาทำบาปด้วยการขายโยเซฟให้ไปเป็นทาสในประเทศอียิปต์ (พวกเขาอาจตกเป็นทาสของจิตใต้สำนึก แต่อย่างน้อยก็ไม่ได้ฆ่าน้องตามที่คบคิดกันไว้) เมื่อโยเซฟได้ขึ้น เป็นใหญ่อันดับสองของประเทศอียิปต์ ท่านมีอำนาจเต็ม ที่จะจัดการกับพี่ชายอย่างไรก็ได้ เมื่อพวกพี่ชายมา ที่อียิปต์เพื่อขอซื้อข้าว ท่านน่าจะแก้แค้น แต่ท่านกลับเลือกที่จะให้พวกเขาสำนึกผิดและกลับใจ47 ท่านทำ โดยไม่เปิดเผยตนเอง (ถ้าท่านต้องการแก้แค้น ท่านคงบอกพวกเขาไปแล้วว่าท่านคือใคร) โยเซฟจัดฉาก เหตุการณ์ที่ทำให้พวกพี่ชายต้องตัดสินใจ ทำในสิ่งที่คล้ายกับที่เคยทำมาในอดีต ท่านทำให้พี่ชายตกอยู่ใน สถานการณ์ที่พวกเขาต้องมอบเบนยามินให้ไป ทิ้งให้เป็นทาสในประเทศอียิปต์ หรือว่าพวกเขาจะยืนหยัดปก ป้องน้องชายร่วมกัน ยูดาห์ผู้ที่เคยแนะนำให้ขายโยเซฟไปเป็นทาส บัดนี้ต้องเสนอตนเองเป็นทาสแทน เพื่อ เบนยามินจะกลับบ้านไปหายาโคบ บิดาผู้ชราภาพได้ นี่คือการกลับใจอย่างแท้จริง การกลับใจอย่างแท้จริง ไม่เพียงเสียใจที่ได้ทำสิ่งผิด (พี่ชายของโยเซฟเองก็เสียใจในความชั่วร้ายที่ทำลงไป ตั้งแต่ตอนต้นๆเรื่อง -- 42:21-22) และจะไม่กลับไปทำอีกถึงแม้มีโอกาสก็ตาม โยเซฟให้โอกาสพี่ชาย และครั้งนี้พวกเขาก็เลือก ทำในสิ่งที่ถูกต้อง หลายครั้งการกลับใจแท้จริงเกิดขึ้นได้หลังจากผ่านความเจ็บปวดมาหลายขั้นตอน
(2) ดาวิดแสดงออกถึงการกลับใจและสารภาพความผิดของท่านต่อพระพักตร์พระเจ้าอย่างไม่ บิดพริ้ว ท่านสารภาพด้วยคำพูดสั้นๆตรงไปตรงมาอย่างน่าประทับใจ การสารภาพของซาอูลกลับไม่จริง ใจและคลุมเครือ ถ้าเป็นเดี๋ยวนี้ ท่านคงให้ทนายความส่วนตัว (หรือสำนักพระราชวัง) ร่างคำแถลงการแทน ดาวิดรับผิดชอบต่อบาปของท่านทั้งหมด ; ซาอูลหาทางป้ายไปที่คนอื่น หรือพยายามหาคนมาร่วมรับผิดชอบ ดาวิดสารภาพบาปว่าเป็นบาปชัดเจน ไม่มีข้อแก้ตัวใดๆ ไม่มีการชี้ไปที่ผู้อื่น ท่านเห็นว่าบาปนี้เป็นการที่ท่าน ทำผิดต่อพระเจ้าจริงๆ
(3) ดาวิดถือว่าความบาปครั้งนี้ร้ายแรง ซาอูลชอบหาทางทำให้ความผิดดูเป็นเรื่องเล็กน้อย ไม่น่าจะผิด อะไรนักหนา ดาวิดทำตรงข้าม ในสดุดี 32 และ 51 ชี้ให้เห็นว่าดาวิดใคร่ครวญถึงบาปของท่านเป็นอย่างมาก ยิ่งท่านคิดมากเท่าใด ท่านยิ่งเห็นถึงความชั่วร้ายของท่านเอง เนื่องจากบทสดุดีนี้เขียนขึ้นเพื่อนมัสการ พระเจ้า และเพื่อให้เป็นอุมาหรณ์สำหรับคนรุ่นหลัง ความบาปและการสารภาพของท่านจึงเป็นเรื่องเปิดเผย แต่ท้ายที่สุดแล้ว ท่านทำบาปต่อพระเจ้า พระเจ้าเท่านั้น นี่ไม่ใช่เป็นการทำให้ความชั่วที่ท่านทำต่ออุรียาห์ และบัทเชบาลดน้อยลงไป บาปคือการละเมิดต่อพระบัญญัติของพระเจ้า ด้วยเหตุนี้ บาปทุกชนิดคือการทำผิด ต่อพระเจ้า เพราะเป็นการละเมิดพระบัญญัติของพระองค์ อาชญากรรมเป็นที่รังเกียจของสังคม แต่บาป (ในกรณีเช่นนี้) คือการ ทำผิดต่อพระเจ้าเท่านั้น เพราะฝ่าฝืนพระบัญญัติของพระองค์ ดาวิดละเมิด พระบัญญัติอย่างน้อยถึงสามข้อ ด้วยกัน ท่านโลภภรรยาของเพื่อนบ้าน ท่านล่วงประเวณีผัวเมียเขา และท่านฆ่าคน (อพยพ 20:13, 14, 17)
(4) ดาวิดไม่ได้คาดหวังว่าความดีของท่านจะสามารถชดเชยหรือทำให้ความผิดของท่านลดลงได้ ในที่สุดเราก็มาถึงเรื่องผิดพลาดประการใหญ่ที่เกิดขึ้นตลอดมาทุกยุคทุกสมัย -- คือความคิดผิดๆที่ว่าพระเจ้า ทรงใช้วิธีตัดเกรดวัดเรา เราชอบคิดไป (หรือ เหมาเอาเอง ) ว่าเราสามารถสะสมความดีเพื่อแซงหน้าความ บาปได้ ถ้าเราทำ "ดี" มากกว่าทำ "ชั่ว" เราก็เชื่อกันว่า รวมๆแล้วเราทำดีมากกว่า ดังนั้นพระเจ้าจึงสมควร จะรับได้ เราขาดความเข้าใจว่า ความชอบธรรมที่พระเจ้าปรารถนาจากมนุษย์นั้น ต้องเชื่อฟังพระคำอย่าง ครบถ้วนสมบูรณ์ ความผิดเพียงประการเดียวก็ทำให้เราขาดความชอบธรรมแล้ว และสมควรไปสู่ความตาย:
10 เพราะว่าผู้ใดรักษาธรรมบัญญัติได้ทั้งหมด แต่ผิดอยู่ข้อเดียว ผู้นั้นก็เป็น ผู้ผิดธรรมบัญญัติทั้งหมด (ยากอบ 2:10; ดูมัทธิว 5:19; กาลาเทีย 5:3ด้วย)
ดาวิดเป็นบุรุษที่ทำตามพระทัยพระเจ้าอย่างสุดใจ ท่านรักพระบัญญัติ พระหัตถ์ของพระเจ้าอยู่กับท่านใน ทุกสิ่งที่ท่านทำ โดยรวมแล้วชีวิตของท่านเป็นแบบอย่างที่ดีสำหรับเรา เป็นมาตรฐานที่เราควรพยายามไป ให้ถึง ความบาปของท่านเรื่องอุรียาห์และบัทเชบา เป็นข้อยกเว้น อย่าเอามาใช้เป็นข้ออ้าง:
5 เพราะว่าดาวิดทรงกระทำ สิ่งที่ถูกต้องในสายพระเนตรของพระเจ้า และมิได้
ทรงหันไปจากสิ่งใด ซึ่งพระเจ้าทรงบัญชาตลอดพระชนม์ชีพของพระองค์ นอก จากเรื่องอุรีอาห์คนฮิตไทต์ (1พกษ 15:5)
ถ้าใครสามารถเอาความดีมาชดเชยความบาปได้ ดาวิดก็น่าจะเป็นผู้นั้น แต่เรากลับพบว่าท่านสารภาพความ ผิด โดยไม่มีการแอบอ้างใช้ในคุณความดีใดๆที่ท่านเคยทำมาชดเชย ท่านรู้ดีว่าท่านนั้นสมควรแก่พระอาชญา
3 เพราะข้าพระองค์ทราบถึงการละเมิดของข้าพระองค์แล้ว และบาปของ ข้าพระองค์อยู่ต่อหน้าข้าพระองค์เสมอ 4 ข้าพระองค์ได้ทำบาปต่อพระองค์
ต่อพระองค์เท่านั้น และได้กระทำสิ่งที่ชั่วร้ายในสายพระเนตรพระองค์
ทั้งนี้เพื่อพระองค์จะทรงยุติธรรมในคำพิพากษา และไร้ตำหนิในการ
พิพากษานั้น (สดุดี 51:3-4 ผมขอย้ำด้วย)
(5) ดาวิดไม่ได้แอบอ้างในพระคุณ หวังว่าจะได้รับการอภัยและได้รับชีวิตเดิมคืนมา คนที่วางแผน จะทำบาป ด้วยคิดว่าถึงอย่างไรพระเจ้าก็ต้องให้อภัย พวกเขาคิดว่าถ้าดำเนินตามขั้นตอนและพิธีแล้ว ไม่ว่ากี่ ครั้งก็ตาม จะได้รับการอภัยโดยอัตโนมัติ และสามารถดำเนินชีวิตปกติต่อไปได้ คนที่สักแต่จะรับพระคุณแห่ง การให้อภัย สารภาพความผิดด้านหนึ่ง แต่อีกด้านหนึ่งวางแผนคิดจะทำอีก ดาวิดสารภาพความผิดของท่าน ต่อพระเจ้า ไม่ทูลขอสิ่งใดทั้งสิ้น ท่านรู้ว่าท่านสมควรได้รับสิ่งใด และไม่ทูลขอให้หลบเลี่ยงได้
ด้วยเหตุนี้ ดาวิดจึงเป็นเหมือนบุตรน้อยหลงหายในพระคัมภีร์ใหม่ :
17 เมื่อเขารู้สำนึกตัวแล้ว จึงพูดว่า 'ลูกจ้างของบิดาเรามีมาก ยังมีอาหาร
กินอิ่มและเหลืออีก ส่วนเราจะมาตายเสียที่นี่เพราะอดอาหาร 18 จำเราจะ
ลุกขึ้นไปหาบิดาเรา และพูดกับท่านว่า "บิดาเจ้าข้า ข้าพเจ้าได้ผิดต่อสวรรค์
และผิดต่อท่านด้วย 19 ข้าพเจ้าไม่สมควรจะได้ชื่อว่าเป็นลูกของท่านต่อไป ขอท่านให้ข้าพเจ้าเป็นเหมือนลูกจ้างของท่านคนหนึ่งเถิด'"20 แล้วเขาก็ลุก
ขึ้นไปหาบิดาของตน แต่เมื่อเขายังอยู่แต่ไกล บิดาแลเห็นเขาก็มีความเมตตา จึงวิ่งออกไปกอดคอจุบเขา 21 ฝ่ายบุตรนั้นจึงกล่าวแก่บิดาว่า 'บิดาเจ้าข้า ข้าพเจ้าได้ผิดต่อสวรรค์และต่อท่าน ข้าพเจ้าไม่สมควรจะได้ชื่อว่าเป็นลูกของ
ท่านต่อไป' 22 แต่บิดาสั่งบ่าวของตนว่า 'จงรีบไปเอาเสื้ออย่างดีที่สุดมาสวม
ให้เขา และเอาแหวนมาสวมนิ้วมือ กับเอารองเท้ามาสวมให้เขา 23 จงเอา
ลูกวัวอ้วนพีมาฆ่าเลี้ยงกัน เพื่อความรื่นเริงยินดีเถิด 24 เพราะว่าลูกของเราคนนี้
ตายแล้ว แต่กลับเป็นอีก หายไปแล้วแต่ได้พบกันอีก' เขาทั้งหลายต่างก็มีความ
รื่นเริงยินดี(ลูกา 15:17-24)
ลูกชายคนนี้ "ก่อเรื่อง" เอาไว้หลายคดี แล้วรู้ตัวเสียด้วย เขาตัดขาดจากครอบครัว เอาเงินมรดกไปผลาญ จนหมดสิ้น ไม่มีสิทธิมาอ้างความเป็นลูกอีกต่อไป แต่ลูกคนนี้ก็รู้จักบิดาของตนเองดี รู้ว่าเป็นทาสในบ้าน ของบิดายังดีกว่าเป็นทาสของคนต่างด้าวต่างแดน จึงตัดสินใจกลับบ้าน สารภาพความผิด และไม่ได้ขอ สิ่งใดเลยนอกจากขอเป็นแค่ลูกจ้างในบ้าน บิดาให้การต้อนรับอย่างปราณี ท่านให้ในสิ่งที่บุตรคนนี้ไม่สมควร ได้ ดาวิดก็เหมือนบุตรล้างผลาญคนนี้ รู้ดีว่าไม่สมควรได้รับการอภัย ไม่สมควรได้พระพร ท่านไม่แม้แต่จะทูล ขอ ท่านเพียงแต่สารภาพผิดเท่านั้น
(6) เมื่อดาวิดกลับใจ ที่ท่านได้รับคือความปิติยินดีในการสถิตอยู่ และการดูแลจากพระเจ้ากลับคืน มา และท่านมีความตั้งใจที่จะสอนผู้อื่นให้หันหนีเสียจากความบาปด้วย ในสดุดีบทที่ 51 เรารู้ว่าดาวิด อธิษฐานขอให้พระเจ้าฟื้นท่านขึ้นมาใหม่ในความปิติยินดี (51:8, 12) เรามีเหตุผลพอที่จะรู้ว่าท่านได้รับตาม คำทูลขอ นอกจากนั้นท่านยังมีความปรารถนาที่จะสอนผู้อื่นด้วย :
แล้วข้าพระองค์จะสอนผู้ละเมิดทั้งหลาย ถึงบรรดาพระมรรคาของพระองค์ และคนบาปทั้งหลายจะกลับสู่พระองค์ (สดุดี 51:13).
บัดนี้ดาวิดจะสอนสั่งบรรดาคนบาปในฐานะผู้ที่ได้กลับใจจากบาปแล้ว ท่านจะสั่งสอนให้พวกเขาหันเสียจาก ความบาป นับเป็นสิ่งที่ต่างไปจากความชั่ว ที่ล่อลวงให้ผู้อื่นเห็นดีเห็นงามทำตามไปด้วย :
แม้เขาจะรู้พระบัญญัติของพระเจ้า ที่ว่าคนทั้งปวงที่ประพฤติเช่นนั้นสมควรจะตาย เขาก็ไม่เพียงประพฤติเท่านั้น แต่ยังเห็นดีกับคนอื่นที่ประพฤติเช่นนั้นด้วย (โรม 1:32)
ผมนึกถึงซีโมนเปโตร ที่พระเยซูทรงทำนายไว้ว่าจะปฏิเสธพระองค์ ด้วยคำพูดที่มีความหวัง :
31 "ซีโมน ซีโมนเอ๋ย ดูเถิด ซาตานได้ขอพวกท่านไว้ เพื่อจะฝัดร่อนเหมือน
ฝัดข้าวสาลี 32 แต่เราได้อธิษฐานเผื่อตัวท่าน เพื่อความเชื่อของท่านจะไม่ได้ขาด และ
เมื่อท่านได้หันกลับแล้ว จงชูกำลังพี่น้องทั้งหลายของท่าน" (ลูกา 22:31-32)
เปโตรเคยเป็นคนอวดดี ขาดความอดทน และหุนหันก่อนที่ท่านจะปฏิเสธพระเยซู หลังจากพลาดพลั้งไปอย่าง น่าเศร้า โดยพระคุณ ท่านได้กลับสู่สภาพดี และเป็นจุดเริ่มต้นแท้จริงในงานพันธกิจของท่าน พระเจ้าทรงมี เหตุผลในการที่ใช้ความบาปของเราเพื่อสั่งสอนผู้อื่น และเช่นกันคนอื่นมองเห็นได้ถึงความเจ็บปวด เพราะผล บาปของเรา (สุภาษิต 19:25) หรือเห็นการคืนสู่สภาพดีด้วยสำนึกอันลึกซึ้งในพระคุณพระเจ้าที่เกิดขึ้นในผู้ที่ เป็นคนบาปและได้กลับใจ
(7) การกลับใจที่พระเจ้าให้เกิดแก่ดาวิด ทำให้เกิดผลดีสมกับที่ท่านได้กลับใจ พระเจ้าตอบสนอง การกลับใจของดาวิดด้วยพระคุณ ทำให้ดาวิดเองปฏิบัติต่อผู้ที่ทำผิดต่อท่านและได้กลับใจ อย่างมีเมตตา เมื่ออับซาโลมกบฎต่อบิดา มุ่งมายึดบัลลังก์ ดาวิดหนีออกจากเยรูซาเล็มพร้อมผู้ติดตาม ในขณะหลบหนี ชายชื่อชิเมอีออกมาสาปแช่งและขว้างหินใส่ท่าน (2 ซามูเอล 16:5-8) อาบีชัยต้องการตัดหัวชายคนนี้เสีย แต่ดาวิดไม่อนุญาติ เมื่อดาวิดกลับคืนสู่เยรูซาเล็ม หนึ่งในบรรดาผู้มาต้อนรับท่านคือชิเมอี ผู้มาสารภาพ ต่อท่านว่าได้ทำผิด ที่ทำลงไปครั้งนั้น (2 ซามูเอล 19:16-20)
อาบีชัยก็ยังอยากฆ่าชิเมอีอยู่ดี แต่ครั้งนี้เขามีหลักทางศาสนศาสตร์มาอ้าง เขาอ้างว่าชิเมอีได้เคยแช่งด่าดาวิด กษัตริย์ของอิสราเอล ธรรมบัญญัติของโมเสสห้ามไม่ให้ประชากรสาปแช่งผู้นำของตน (อพยพ 22:28) ตาม ตัวบทกฎหมายแล้ว -- ชิเมอีสมควรถูกประหาร แต่ดาวิดให้อภัย และไว้ชีวิตเขา เมื่อทำเช่นนั้น ดาวิดได้จัด การกับชิเมอีด้วยความกรุณา เช่นเดียวกับที่พระเจ้าทรงทำกับท่าน เหตุการณ์นี้ทำให้นึกถึงเรื่องที่พระเยซูเล่า ถึงเรื่องทาสที่ไม่ยอมให้อภัย (ดูมัทธิว 18:23-35) ทั้งๆที่กษัตริย์ยอมยกหนี้จำนวนมหาศาลให้ แต่เขาไม่ยอม ยกหนี้ให้กับเพื่อนทาสด้วยกันแค่จำนวนเพียงน้อยนิด คนที่เคยมีประสบการณ์ในพระคุณพระเจ้า จะสำแดง ให้เห็นด้วยความปราณีต่อผู้อื่น พระคุณที่ดาวิดได้รับเมื่อท่านกลับใจ ท่านสำแดงต่อให้แก่ผู้ที่ "กลับใจ" เช่น ชิเมอี.48
(8) การกลับใจของดาวิดมีผลยั่งยืน : ดาวิดละทิ้งความบาป และไม่หวนกลับไปทำอีกเลย มีอีกหลาย คนเช่นฟาโรห์ และเช่นซาอูล ดูเหมือนกลับใจ แต่จบสิ้นลงในเวลาอันรวดเร็ว ซาอูลใช้เวลาไม่นานก่อนที่จะ กลับไปพยายามฆ่าดาวิดอีก หรือฟาโรห์เองยับยั้งไม่ให้คนอิสราเอลเดินทางออกจากอียิปต์ นี่เป็นเพราะ การกลับใจไม่แท้จริง ที่จริงการกลับใจของพวกเขาเป็นเพียงหยุดต่อต้านชั่วคราว หยุดความเจ็บปวดชั่วครู่ สจวร์ต บริสโค แยกแยะเรื่องการกลับใจจอมปลอมและการกลับใจแท้จริงไว้ดังนี้ :
"ผมจำได้ว่ามีเพื่อนคนหนึ่งอยู่ที่อังกฤษ กล่าวกับผมไว้นานแล้วว่า 'การกลับใจ แบบเด็กๆคือเสียใจที่ได้ทำลงไป การกลับใจของผู้ใหญ่คือ เศร้าเสียใจ ต่อสิ่งที่ เกิดขึ้น ถ้าเรารู้สึกแค่เสียใจที่ได้ทำลงไป … เราจะออกไปทำได้อีก"49
ดาวิดสำแดงการ "กลับใจแบบผู้ใหญ่" ท่านเห็นความบาปอย่างที่มันเป็น และเสียใจอย่างแท้จริง ผลก็คือท่าน จะไม่มีวันหวนกลับไปทำอีก
และนาธันกราบทูลดาวิดว่า "พระเจ้าทรงให้อภัยบาปของฝ่าพระบาทแล้ว ฝ่าพระบาทจะไม่ถึงแก่มรณา"
สิ่งที่ดาวิดไม่กล้าทูลขอ ท่านกลับได้รับ ท่านคงโล่งใจอย่างบอกไม่ถูกเมื่อได้ยินนาธันพูดว่า "พระเจ้าทรง ให้อภัยบาปของฝ่าพระบาทแล้ว ฝ่าพระบาทจะไม่ถึงแก่มรณา" ดาวิดได้ตัดสินตนเอง ขณะที่ท่านตอบ สนองต่อเรื่องแกะถูกพราก เพื่อนำไปฆ่า ตามที่นาธันเล่า (2 ซามูเอล 12:1-4):
ดาวิดกริ้วชายคนนั้นมาก และรับสั่งแก่นาธันว่า "พระเจ้าทรงพระชนม์ อยู่แน่ฉันใด ผู้ชายที่กระทำเช่นนั้นจะต้องตาย" (2 ซามูเอล 12:5)
แน่นอนตามกฎธรรมบัญญัติของโมเสส เรื่องที่นาธันเล่า ผู้กระทำผิดต้องชดใช้ความเสียหายให้ถึงสี่เท่า (อพยพ 22:1) แต่ดาวิดสมควรตาย เพราะท่านทำทั้งบาปล่วงประเวณี และบาปฆาตรกรรมอุรียาห์
ตามธรรมบัญญัติของโมเสส ดาวิดไม่มีหวัง ท่านเป็นคนที่ต้องถูกลงโทษทัณฑ์ เหมือนตายไปแล้ว! แล้วนาธัน บอกกับดาวิดได้อย่างไร ว่าท่านจะไม่ถึงตาย? คุณลองสังเกตุดู คำพูดที่พูดก่อนคำสัญญาว่า ท่านจะไม่ถึง ตาย ที่พูดว่า: "พระเจ้าทรงให้อภัยบาปของฝ่าบาทแล้ว" ดาวิดได้รับ "การช่วยกู้" จากการลงทัณฑ์ของ พระเจ้า เช่นเดียวกับพวกเรา ไม่ใช่ได้รับการอภัยเพราะรักษาธรรมบัญญัติ แต่โดยพระคุณ และเหตุผลที่ดาวิด ได้รับการอภัย เพราะพระเจ้าทรงนำความผิดบาปของท่านไปเสีย
การ"นำบาปไปเสีย" ไม่ใช่เป็นการเล่นมายากล ที่พระเจ้าทรงทำให้บาปของดาวิดหายไปเฉยๆนะครับ คำพูด ของนาธันที่ว่าพระเจ้าทรง "ให้อภัยบาปแล้ว" ผมเชื่อว่านาธันแน่ใจในการช่วยกู้ที่จะมาจากองค์พระเยซูคริสต์ ที่บนไม้กางเขนบนเนินหัวกระโหลกที่จะเกิดขึ้นหลายร้อยปีหลังจากนั้น ในพระราชกิจที่พระคริสต์ทรงทำบน ไม้กางเขน ดาวิดได้รับการอภัย พระเจ้าทรงนำความผิดบาปไปจากท่าน และพระองค์ทรงยุติธรรมด้วย
คำว่า "ได้ทรงนำไปเสีย" ในข้อ 13 ของฉบับ NASB มีความหมายว่า "ทำให้ความบาปนั้นผ่านพ้นไป" ใน หมายเหตุ เป็นคำกิริยา ที่มักนำมาใช้สำหรับการผ่านออกไป หรือข้ามผ่านไป เช่นเมื่อคนอิสราเอลเดินข้าม ทะเลแดง เป็นคำพูดที่มีมูลเหตุ เพื่อสื่อคำว่า "ทำให้ต้องผ่านเข้าไป หรือข้ามไปเสีย" เป็นเที่เข้าใจ ในทั้ง NKJV และ KJV ฉบับดั้งเดิมใช้คำว่า "นำออกไป" ผมเชื่อว่าคำในภาษาฮีบรูที่เราใช้ในบทเรียนตอนนี้ ถูกนำมาใช้ในที่อื่นอีกสองครั้งในพระคัมภีร์ เพื่อสื่อความหมายให้ใกล้เคียงกับคำที่เรากำลังเรียนอยู่
8 ฝ่ายอับเนอร์ก็โกรธอิชโบเชทเพราะถ้อยคำนี้มาก จึงทูลว่า "ข้าพระบาทเป็นหัวสุนัขของยูดาห์หรือ ทุกวันนี้ข้าพระบาท ได้สำแดงความจงรักภักดีต่อพงศ์พันธุ์ ของซาอูลเสด็จพ่อ
ของพระองค์ และต่อพี่น้องและต่อมิตรสหายของเสด็จพ่อท่าน มิได้มอบฝ่าพระบาทไว้ในมือของดาวิด วันนี้พระองค์ยังหาความ ต่อข้าพระบาทด้วยเรื่องผู้หญิงคนนี้ 9 ถ้าข้าพระบาทจะมิได้
กระทำเพื่อดาวิด ให้สำเร็จดังที่พระเจ้าทรงปฏิญาณไว้ต่อท่าน
แล้ว ก็ขอพระเจ้าทรงลงโทษอับเนอร์และยิ่งหนักกว่า 10 คือ ข้าพระบาทจะ
ย้ายราชอาณาจักรจากพงศ์พันธุ์ของซาอูล และ สถาปนาบัลลังก์ของดาวิดเหนืออิสราเอล และเหนือยูดาห์
ตั้งแต่ดานถึงเบเออร์เชบา" (2 ซามูเอล 3:8-10 และผมด้วย)
พระราชาจึงถอดพระธำมรงค์ตรา ซึ่งพระองค์
ทรงเอามาจาก
ฮามาน พระราชทาน ให้โมรเดคัย พระนางเอสเธอร์ก็ทรงตั้ง
โมรเดคัย เป็นใหญ่ เหนือบ้านเรือนของฮามาน (เอสเธอร์ 8:2)
ในทั้งสองกรณีด้านบน คำฮีบรูคำเดียวกันนี้ที่นำมาใช้อธิบายถึงการ "ย้าย" สิ่งของหรือบุคคลจากที่หนึ่ง ไปยังอีกที่หนึ่ง 50 อาณาจักรอิสราเอลถูกย้ายจากซาอูลมาให้ดาวิด (2 ซามูเอล 3:8-10) พระธำมรงค์ของ กษัตริย์ ซึ่งเป็นการมอบสิทธิอำนาจให้ผู้ใต้บังคับบัญชาทำการแทน ถูกนำมาจากฮามานไปมอบให้โมรเดคัย พระธำมรงค์ถูกย้ายจากคนหนึ่งไปให้อีกคนหนึ่ง บาปของดาวิดได้รับการอภัย และมีการรับรองว่า ท่านจะไม่ ต้องตาย เพราะพระเจ้าได้นำความบาปไปเสียจากท่าน การนำไปหรือย้ายไปเกิดขึ้นหลายร้อยปีหลังจากนั้น เมื่อ "บุตรดาิวิด" องค์พระเยซูคริสต์ สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน พระองค์ทรงแบกรับบาปของดาวิด และจ่าย แทน ชดใช้ในสิ่งที่ดาวิดทำ ดาวิดไม่ต้องตายเพราะบาปของท่าน เพราะพระคริสต์ถูกกำหนดไว้ล่วงหน้าแล้ว ให้รับโทษทัณฑ์แทนท่าน
นาธันพูดถึงการนำออกไปเหมือนกับเป็นเหตุการณ์ในอดีต ผู้เผยพระวจนะในพระคัมภีร์เดิม บ่อยครั้งพยากรณ์ เหตุการณ์ในอนาคตโดยใช้เวลาเป็นอดีต ที่เป็นเช่นนี้ เพราะต้องการตอกย้ำว่าเรื่องที่ พยากรณ์จะเกิดขึ้นแน่ เมื่อพระเจ้ารับสั่งว่าจะทำบางอย่าง ก็เหมือนกับที่เราชอบพูดกันว่า "เหมือนเกิดไปแล้ว" เมื่อผู้เผยพระวจนะ พูดถึงพระสัญญาที่จะเกิดขึ้นในอนาคต พวกเขามักจะพูดโดยใช้ประโยคที่เป็นเหตุการณ์ในอดีต ซึ่งนับเป็น ร้อยๆปี กว่าที่พระเยซูลงมาบังเกิด มนุษย์ได้รับการอภัยแล้ว เหตุการณ์ครั้งนี้ ดาวิดได้รับการอภัยเพราะพระ เยซูทรงมาไถ่ที่บนไม้กางเขน นี่เป็นพื้นฐานของการให้อภัย ดาวิดสารภาพอย่างถูกต้อง ว่าท่านได้ทำผิดต่อ พระเจ้า และนาธันให้ความมั่นใจแก่ท่านว่า บาปที่ท่านทำต่อพระเจ้า พระเจ้าได้ให้อภัยแล้ว โดยการพลีพระ ชนม์เป็น เครื่องบูชาไถ่บาปของพระบุตร คือองค์พระเยซูคริสต์ นี่เป็นพื้นฐานของการอภัยบาปตลอดมา
ให้เราสรุปบทเรียนตอนนี้ด้วยหลักการหลายข้อ ที่ต้องนำมาใช้
(1) การกลับใจเป็นการกระทำที่พระเจ้าทรงทำผ่านทางพระวิญญาณ พระวจนะ และคนของพระองค์ เพื่อให้เกิดการตอบสนองต่อความบาป เราเปลี่ยนใจคนไม่ได้ ; พระเจ้าเท่านั้นที่ทำได้ ความหมายคือ การกลับใจเป็นการกระทำของพระเจ้า แต่พระเจ้า เป็นผู้เลือกวิธีที่จะทำให้สำเร็จลง คือการกลับใจ พระเจ้า ทรงใช้คนของพระองค์ เช่นคนอย่างนาธัน ให้มาเผชิญหน้ากับผู้ที่ทำบาป ท่านใช้พระคำ และพระวิญญาณมา ตัดสินคนบาปในบาปที่เขาได้ทำ ในปัจจุบันและในอดีต มันง่ายที่จะพูดกันเรื่องความบาปของคนอื่น มากกว่า จะพูดกับผู้ที่กระทำบาปเอง ในพระคัมภีร์พูดชัดเจน ถึงความรับผิดชอบที่เรามีต่อพี่น้องที่กำลังตกอยู่ในบาป (ดูมัทธิว 7:1-5; 18:15-20; 1 โครินธ์ 5:1-13; กาลาเทีย 6:1-5; 1 เธสะโลนิกา 5:14; 2 เธสะโลนิกา 3:14-15; 2 ทิโมธี 2:23-26; ติตัส 3:9-11; ยากอบ 5:19-20) ไม่มีใครอยากเป็น "นาธัน" สำหรับ "ดาวิด" แต่นี่เป็น กรรมวิธีที่พระเจ้าทรงเลือกใช้จัดการกับบาป หรือหนุนใจให้คนบาปกลับใจ นาธันเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของดาวิด เมื่อท่านเลือกที่จะชี้ความบาปให้ดาวิดเห็น และเตรียมการสำหรับให้ท่านกลับใจ
(2) การกลับใจเป็นการเตรียมการของพระเจ้า เพื่อจะได้รับการอภัยจากบาป และกลับมามีสามัคคี ธรรมกับพระองค์อีกครั้ง ในบทสดุดีของดาวิด เราเห็นชัดเจนว่าท่านได้ทำบาปและพยายามปกปิดไว้ จึงเกิด ช่องโหว่ขึ้นระหว่างท่านและพระเจ้า ดาวิดขาดการชื่นชมในความรอด และความมั่นคงในการสถิตอยู่ของพระเจ้า ท่านได้สิ่งเหล่านี้กลับคืนมาเมื่อท่านกลับใจ การกลับใจเป็นการแสดงถึงความเชื่อ และเป็นวิธีการที่พระเจ้า เตรียมไว้ให้กับคนบาปผู้หลงหาย ให้ได้รับการอภัยจากบาป มั่นใจได้ในชีวิตนิรันดร์ และมีสามัคคีธรรมกับ พระองค์ได้
1 คราวนั้นยอห์นผู้ให้รับบัพติสมา มาประกาศในถิ่นทุรกันดารแคว้นยูเดียว่า 2 "จง กลับใจเสียใหม่ เพราะว่าแผ่นดินสวรรค์มาใกล้แล้ว" (มัทธิว 3:1)
ตั้งแต่นั้นมา พระเยซูได้ทรงตั้งต้นประกาศว่า "จงกลับใจเสียใหม่เพราะว่าแผ่นดิน สวรรค์มาใกล้แล้ว" (มัทธิว 4:17)
พระองค์ก็ประหลาดพระทัย เพราะเขาไม่มีความเชื่อ แล้วพระองค์จึงเสด็จไปสั่ง สอนตามหมู่บ้านโดยรอบ 7 พระองค์ทรงเรียกสาวกสิบสองคนมา แล้วทรงใช้เขา ให้ออกไปเป็นคู่ๆ … . 12 ฝ่ายเหล่าสาวกก็ออกไปเทศนาประกาศให้กลับใจเสีย ใหม่ (มาระโก 6:6ก, 12)
45 ครั้งนั้นพระองค์ทรงบันดาลให้ใจเขาทั้งหลายเกิดความสว่างขึ้น เพื่อจะได้เข้า ใจพระคัมภีร์ 46 พระองค์ตรัสกับเขาว่า "มีคำเขียนไว้อย่างนั้นว่า พระคริสต์จะต้อง ทรงทนทุกข์ทรมาณและทรงเป็นขึ้นมาจากความตายในวันที่สาม 47 และจะต้อง ประกาศทั่วทุกประชาชาติในพระนามของพระองค์ ให้เขากลับใจใหม่ รับการยก บาป ตั้งต้นที่กรุงเยรูซาเล็ม (ลูกา 24:45-47)
38 ฝ่ายเปโตรจึงกล่าวแก่เขาว่า "จงกลับใจใหม่และรับบัพติสมา ในพระนามแห่ง พระเยซูคริสต์สิ้นทุกคน เพื่อพระเจ้าจะทรงยกความผิดบาปของท่านเสีย; แลัว ท่านจะได้รับพระราชทานพระวิญญาณบริสุทธิ์ (กิจการ 2:38)
18 ครั้นคนทั้งหลายได้ยินคำเหล่านั้นก็นิ่งอยู่ แล้วได้สรรเสริญพระเจ้าว่า "พระ เจ้าได้ทรงโปรดแก่คนต่างชาติให้กลับใจใหม่ จนได้ชีวิตรอดด้วย" (กิจการ 11:18)
18 ครั้นมาแล้วเปาโลจึงกล่าวว่า "ท่านทั้งหลายย่อมทราบอยู่เองว่า ข้าพเจ้าได้ ประพฤติต่อท่านอย่างไรทุกเวลา ตั้งแต่วันแรกเข้ามาในแคว้นเอเชีย 19 ข้าพเจ้า
ได้ ปรนนิบัติพระเจ้าด้วยความถ่อมใจ ด้วยน้ำตาไหล และด้วยถูกการทดลอง ซึ่งมาถึงข้าพเจ้าเพราะพวกยิวคิดร้ายต่อข้าพเจ้า 20 และสิ่งหนึ่งสิ่งใดซึ่งเป็นคุณ ประโยชน์แก่ท่านทั้งหลาย ข้าพเจ้ามิได้ปิดซ่อนไว้ แต่ได้ชี้แจงให้ท่านเห็น กับ ได้สั่งสอนท่านในที่ประชุม และตามบ้านเรือน 21 ทั้งเป็นพยานแก่พวกยิว และ
พวกกรีก ถึงเรื่องการกลับใจใหม่เฉพาะพระเจ้า และความเชื่อในพระเยซูคริสต
เจ้าของเรา (กิจการ 20:18-21)
ในการกลับใจ ผู้ที่เป็นคนบาปต้องละทิ้งความบาป และกลับมามีสามัคคีธรรมกับพระเจ้า ซึ่งเคยถูกความบาป ตัดขาดไป ดังนั้น อ.เปาโลปรารถนาจะให้ธรรมิกชนชาวโครินธ์กลับใจ :
9 แต่บัดนี้ข้าพเจ้ามีความชื่นชมยินดี มิใช่เพราะท่านเสียใจ แต่เพราะความเสียใจนั้น ทำให้ท่านกลับใจใหม่ เพราะว่าท่านได้รับความเสียใจอย่างที่ชอบพระทัยพระเจ้า ท่านจึงไม่ได้ผลร้ายจากเราเลย 10 เพราะว่าความเสียใจอย่างที่ชอบพระทัยพระเจ้า ย่อมกระทำให้กลับใจใหม่ ซึ่งนำไปถึงความรอดและไม่เป็นที่น่าเสียใจ แต่ความ เสียใจอย่างโลกนั้นย่อมนำไปถึงความตาย (2 โครินธ์ 7:9-10)
ในพระธรรมวิวรณ์ จดหมายที่มีไปถึงคริสตจักรทั้งเจ็ดในเอเซีย มีเรื่องราวเรียกร้องให้กลับใจ :
'5 เหตุฉะนั้นจงระลึกถึงสภาพเดิมที่เจ้าได้หล่นจากมาแล้วนั้น จงกลับใจเสียใหม่ และประพฤติตามอย่างเดิม มิฉะนั้นเราจะมาหาเจ้า และจะยกคันประทีปของเจ้า ออกจากที่ เว้นไว้แต่เจ้าจะกลับใจใหม่ (วิวรณ์ 2:5)
"เหตุฉะนั้นจงกลับใจเสียใหม่ มิฉะนั้นเราจะรีบมาหาเจ้าและจะสู้กับเขาเหล่านั้น ด้วยดาบแห่งปากของเรา" (วิวรณ์ 2:16)
"เหตุฉะนั้นเจ้าจงระลึกว่าเจ้าได้รับและได้ยินอะไร จงกระทำตามและกลับใจเสียใหม่ ถ้าเจ้าไม่เฝ้าระวัง เราจะมาหาเจ้าเหมือนอย่างขโมย และเจ้าจะไม่รู้ว่าเราจะมาหาเจ้า
เมื่อไร" (วิวรณ์ 3:3)
"เรารักผู้ใดเราก็ตักเตือนและตีสอนผู้นั้น เหตุฉะนั้นจงมีความกระตือรือร้น และ กลับใจ เสียใหม่" (วิวรณ์ 3:19)
การกลับใจหรือสำนึกบาป เป็นคำที่ไม่ค่อย "ซึม" เข้าไป และไม่ค่อยมีใครอยากปฏิบัตินัก ผมเชื่อว่ามันต้อง เริ่มจากการเข้าให้ถึงความบริสุทธิ์ของพระเจ้าให้ได้ก่อน และตระหนักถึงความร้ายแรงใหญ่หลวงในบาปของ เรา เป็นการนำไปสู่การมองชีวิตในรูปแบบใหม่ ในแบบสายพระเนตรของพระเจ้า ตามที่มีอยู่ในพระวจนะคำ เป็นความรู้สึกรังเกียจต่อบาปอย่างฉับพลัน ทำให้ตั้งใจจะไม่กลับไปทำอีก และสัมผัสได้ถึงการทรงสถิตอยู่ ของพระเจ้า ปิติยินดีในการช่วยกู้ และปรารถนาอยากช่วยผู้อื่นให้หลุดพ้นจากบาป
ความเห็นของผม สิ่งที่ก่อให้เกิดการฟื้นฟูอย่างแท้จริง คือการกลับใจแท้จริง ความสัมพันธ์ที่ดูเหมือนแตก ร้าว จะสมานกันขึ้นมาใหม่ ชีวิตแต่งงานที่ซังกะตายหรือรอคอยเวลา จะพลิกฟื้นขึ้นใหม่ รักที่หายไปจะกลับ คืนมาอีกครั้ง พันธนาการของความบาปที่นำไปสู่ประพฤติกรรมที่หันเหและหลงวนเวียนอยู่ในความบาป จะถูก ตัดลง มันน่าเศร้าที่ในยุคแห่งการบำบัดโรคนี้ เราใช้คำพูดเชิงจิตวิทยามาอธิบายถึงปัญหาด้านจิตวิญญาณ ทั้งๆที่พระคัมภีร์มีคำอธิบายและวิธีการแก้ใขพร้อมสรรพ เรากลับเชื่อกันว่า หลายๆปัญหาด้านจิตวิญญาณ ไม่มีทางแก้ใข ไม่มีทางเปลี่ยนได้ ต้องใช้เวลาเป็นปีในการบำบัด และถ้าทำได้ การเปลี่ยนแปลงจะเป็นเพียง เล็กน้อยเท่านั้น นี่เป็นการตอบสนองคนละอย่างกับที่พระคัมภีร์พูดถึงเรื่องการกลับใจจากความบาป การกลับ ใจที่แท้จริงจะเป็นเหตุให้เกิดการเปลี่ยนแปลงได้ ก่อนอื่นเราต้องกลับไปที่พระวจนะคำ เราต้องเรียกความ บาปตามชื่อจริงของมันในพระคัมภีร์ และเราต้องให้ผู้คนตอบสนองตามแบบในพระคัมภีร์ -- การกลับใจ และ ความเชื่อ
เมื่อมีการกลับใจแท้จริงเกิดขึ้น ผมเชื่อว่าเราจะเห็นชัดเจน บทเรียนของเราไม่เพียงอธิบายถึงการกลับใจ ในเรื่องของบาปเท่านั้น แต่อธิบายถึงการกลับใจอย่างแท้จริง ซึ่งคนอื่นๆจะสัมผัสได้ และเมื่อมีการกลับใจ เกิดขึ้น เรามีหน้าที่ต้องให้อภัย และรับผู้นั้นกลับเข้ามามีสามัคคีธรรมอีกครั้ง มีคริสตจักรหลายแห่งที่ไม่ค่อย นำวินัยของคริสตจักรมาใช้นัก ไม่มีการเรียกให้กลับใจ แต่สำหรับคริสตจักรที่ทำ ต้องมีความพร้อม และเต็มใจ ที่จะยอมรับการกลับใจอย่างแท้จริง และต้อนรับคนบาปที่หลงหาย ให้กลับมาสู่การสามัคคีธรรมอีกครั้ง
ผมไม่อยากจะเป็นเหมือนเพื่อนๆของโยบ เรียกร้องให้มีการกลับใจอย่างไม่เหมาะสม ไม่ใช่ทุกการทดลอง หรือความทุกข์ยากเป็นผลมาจากความบาปของเรา แต่มีบางครั้งที่พระเจ้าอนุญาติให้เราถูกทดลอง เพื่อเรา จะเห็นถึงความบาปของเรา และเรียกให้เรากลับใจ ในเวลาเช่นนั้น ขอให้เรามีความใวต่อความบาปของเรา ให้เราสารภาพบาป ละทิ้งมันไปเสีย ให้เรามองเห็นได้ชัดเจนอีกครั้ง และสรรเสริญในพระคุณแห่งความรอด และการได้กลับมามีสามัคคีธรรมกับพระองค์อีก
45 อาหารดีเยี่ยมจนผมไม่กล้าเล่าให้ภรรยาฟังว่าผมกินอาหารกลางวันอะไรบ้าง ถึงกระนั้น ยังมีพวกนักโทษ บ่นว่าสเต็กรสชาติยังไม่่ถูกใจ
46 น่าสนใจนะครับที่ซาอูลไม่ได้เอ่ยถึงกษัตริย์อากักเลย ท่านอาจจะรู้สึกว่าประชาชนอยากให้เก็บสัตว์บาง ตัวไว้เป็นของริบ แต่ใครเล่าในท่ามกลางประชาชนจะกล้าไปขอให้ซาอูลไว้ชีวิตกษัตริย์อากัก? ความคิดผุด ขึ้นมาครับ ว่าอากักเป็นเหมือนถ้วยรางวัลส่วนตัวของซาอูล ท่านวางแผนจะเก็บเอาไว้สนองความต้องการของ ตัวเอง ดังนั้นในคำแก้ตัวของท่านที่มีต่อซามูเอล ท่านจึงไม่เอ่ยชื่ออากักแม้สักนิดเดียว เพราะหาข้ออ้างไม่ได้ ที่จะไว้ชีวิตอากักคนนี้
47 โยเซฟได้สำนึกแล้วว่าพระเจ้าทรงยกท่านให้อยู่ในตำแหน่งที่มีอำนาจ เพื่อท่านจะเข้าใจได้ ว่าความ ชั่วร้ายที่พี่ชายได้ทำกับท่านนั้น พระเจ้าทรงใช้ให้เกิดการดีทั้งสิ้น (ดูปฐมกาล 41:51-52; 50:20) เมื่อ ท่านห็นพวกพี่ชาย ท่านก็จำความฝันได้ และเข้าใจได้ว่า ที่ท่านได้ในตำแหน่งที่มีอำนาจเช่นนี้ มาก็เพื่อจะช่วยบรรดาพี่ ชาย and now understood that his position of power was given him so that he could minister to his brothers through this authority (Genesis 42:9).
48 มีคนสงสัยว่าชีเมอีกลับใจแน่หรือ แต่สำหรับดาวิดท่านรับการสารภาพจากชีเมอีตามที่ท่านมองเห็น
49 โดย D. Stuart Briscoe จากหนังสือ A Heart for God (Nashville: Thomas Nelson Publishers, 1984)หน้า 141.
50 ในพระธรรมเอสเธอร์ 8:10 มีการใช้คำกิริยาแบบเดียวกับใน 2 ซามูเอล 3:10 ที่ผมต้องการชี้ให้เห็นคือ คำกิริยาที่สื่อความหมายเดียวกันในทั้งสองตอนนี้ เกี่ยวข้องกับการ "ย้ายออกไป"
การสูญเสียลูกไปนับเป็นโศกนาฏกรรม ผมและภรรยา เหมือนกับพ่อแม่คู่อื่นๆ เคยมีประสบการณ์ช็อค เมื่อ ตื่นขึ้นมา พบว่าลูกตายในเปล เป็นโรคที่เราเรียกว่า ซิดส์ (SIDS, Sudden Infant Death Syndrome) เป็น การตายเฉียบพลันโดยไม่รู้สาเหตุ เด็กดูมีสุขภาพสมบูรณ์และร่าเริงดี ; แต่อยู่ดีๆก็ตายไป แน่นอนเป็นความ รู้สึกที่ช็อคจริงๆครับ แต่สำหรับเรา ในท่ามกลางความโศกเศร้า เรากลับพบสันติสุขในใจที่อธิบายไม่ถูก หลายปีหลังจากนั้น มีการนำเรื่อง เด็กตายแล้วไปไหน ขึ้นมาถกกันในชั้นเรียนที่วิทยาลัยพระคริสตธรรม ผมยังจำได้ถึงการถกกันในแง่ของวิชาการ มีการนำข้อพระคำมาอ้างอิง มีบทสรุปต่างๆ ในที่สุด ผมยกมือขอ อนุญาติแบ่งปันบางเรื่องให้ที่ชั้นฟัง :
หัวข้อที่เรากำลังศึกษากันอยู่นี้ สำหรับผมและภรรยา ไม่ใช่เป็นเรื่องวิชาการครับ เราเคยสูญเสียลูกไปเมื่อยังเป็นทารก เรารู้ดีว่าการสูญเสียลูกเป็นอย่างไร เรารู้ดี ว่า ต้องนำข้อพระคำตอนไหนมาใช้ เราคุ้นเคยกับหลายๆมุมมองที่พูดกันว่าเด็ก ตายแล้วไปไหน แต่เมื่อภรรยาผมสูญเสียลูกไป เรามีสันติสุข และความมั่นใจ เกินกว่าเรื่องที่เรากำลังถกกันอยู่ที่นี่ เรารู้ว่าพระเจ้าที่เรามอบถวายจิตใจให้ ทรงเป็นพระเจ้าที่ดีพร้อมและสมบูรณ์แบบ พระองค์จะทำสิ่งที่ถูกต้องให้กับลูก ของเรา มันไม่ใช่เรื่องที่เรากำลังพูดคุยกันอยู่นี้ ที่นำสันติสุขมาให้ แต่ในพระเจ้า เอง และในสันติสุขของพระองค์ที่เราเข้าพักพิง
เนื้อหาของบทเรียนตอนนี้ มักถูกนำมาใช้หนุนใจพ่อแม่ที่ต้องเสียลูกน้อยไปก่อนวัยอันควร ผมขอบอกว่ามุม มองของผมน่าจะมาจากประสบการณ์ส่วนตัว ที่ผมเองเคยเสียลูกไป ผมอยากจะย้ำว่าผมไม่ได้คิดจะคัดค้าน ผู้ใด แต่นี่เป็นมุมมองของคนที่เคยผ่านการสูญเสียมาก่อน ผมรู้ว่าบทสรุปของผมในเรื่องอนาคตของเด็กที่ ตายก่อนวัย ไม่เป็นที่ยอมรับในหลายโบสถ์ และบางทีอาจรวมพวกผู้ใหญ่ในโบสถ์ของผมเองก็เป็นได้
ในฐานะคนที่เคยสูญเสียลูกไปในวัยทารก ผมพอใจกับบทสรุปนี้ และขอชี้แจงว่าที่สรุปเช่นนี้ เพราะผมได้ไตร่ ตรองอย่างรอบคอบตามขั้นตอนดีแล้ว มันไม่มีข้อสรุปชัดเจนใดๆ จึงไม่ควรต้องไปหาเหตุผล หรือใช้ข้อพระ คำมาย้ำเพื่อสนับสนุนหาผิดถูก ดังนั้นข้อสรุปของผมจึงไม่เป็นที่ยอมรับสำหรับคนที่คิดเห็นเป็นอื่น ที่ยึดตาม เหตุผล กฎเกณฑ์และข้อวินิจฉัยที่ตายตัว ผมขอบอกว่าข้อสรุปของผมไม่มีเหตุผลเด่นชัดมาสนับสนุน เหมือนกับเรื่องอื่นที่มีข้อพระคำสนับสนุนชัดเจน ในที่สุดแล้ว เราต้องมอบไว้ที่พระเจ้า ที่เรามอบจิตวิญญาณ และอนาคตทั้งสิ้นให้กับพระองค์ เช่นเดียวกับที่อับราฮัมกล่าวไว้ในอดีตกาลว่า "ขอพระองค์อย่าคิดที่จะ กระทำเช่นนั้นเลย อย่าคิดที่จะฆ่าคนชอบธรรมพร้อมกับคนอธรรม ทำกับคนชอบธรรม อย่างเดียว กับคนอธรรม" (ปฐมกาล 18:25)
อย่างที่ผมพูด เราเห็นได้ว่าดาวิดมีสันติสุขอย่างน่าอัศจรรย์ เมื่อบุตรของท่านที่เกิดกับนางบัทเชบาสิ้นชีวิตลง ท่านมีสันติสุขอย่างชนิดที่ใครเห็นก็พากันงงงวย และอดไม่ได้ต้องไปถาม เื่มื่อเราเริ่มเข้าสู่บทเรียนนี้ ขอให้ เราฟังคำตอบ ที่ท่านตอบหมาดเล็กของท่านให้ดี ให้เราเรียนรู้จากปากของท่านเอง ถึงเหตุที่ท่านสามารถ สรรเสริญนมัสการพระเจ้าได้ ทั้งๆทีชีวิตลูกพึ่งเสียไป
หลังจากขึ้นเป็นกษัตริย์อิสราเอล ทุกสิ่งดูเหมือนจะไปได้ดีสำหรับดาวิด ดูดีเกินไปด้วยซ้ำ เหมือนกับมีมือ วิเศษ -- แตะอะไรก็กลายเป็นทองไปหมด พระเจ้าได้ประทานความสำเร็จให้กับทุกสิ่งที่ท่านทำ เช่นเดียว กับอิสราเอลสมัยก่อน ดาวิดดูจะหลงลืมไปชั่วขณะ ว่าความสำเร็จทั้งสิ้นของท่านเป็นมาโดยพระคุณพระเจ้า ไม่ใช่เป็นความสามารถส่วนตัวของท่านผู้เดียว ท่านเกิดความทะนง ครั้งแรกที่เราเห็นได้จาก 2 ซามูเอล 7 เมื่อท่านมีใจปรารถนาจะสร้างนิเวศให้พระเจ้า พระเจ้าตอบสนองด้วยการตักเตือนให้ท่านเห็นว่า ความสำเร็จ ทั้งสิ้นของท่าน เป็นการสำแดงถึงพระคุณของพระองค์ (7:8-9) และพระองค์ยังให้ความมั่นใจกับดาวิดต่อไป ด้วยว่า พระองค์ยังจัดเตรียมสิ่งดีอีกมากมายให้กับอิสราเอล และสิ่งนี้ด้วยเช่นกัน (7:10-11) เมื่อพระองค์ ตักเตือนดาวิดอย่างกรุณาว่าพระองค์ไม่ต้องการ "บ้านเรือน" ที่ดาวิดคิดจะสร้าง แต่พระองค์จะสร้าง "ครัว เรือน" ที่ดีกว่าให้กับดาวิด คือราชวงศ์ที่ยั่งยืนเป็นนิตย์ :
พระเจ้าตรัสแก่เจ้าว่า พระเจ้าจะทรงให้เจ้ามีราชวงศ์ 12 เมื่อวันของเจ้าครบแล้ว และเจ้านอนพักอยู่กับบรรพบุรุษของเจ้า เราจะให้บุตรชายคนหนึ่งของเจ้าเกิด ขึ้นสืบต่อจากเจ้าผู้ซึ่งเกิดมาจากตัวเจ้าเองและ เราจะสถาปนาอาณาจักรของเขา
13 เขาจะเป็นผู้สร้างนิเวศเพื่อนามของเราและเราจะสถาปนา บัลลังก์แห่งราช
อาณาจักร ของเขาให้อยู่เป็นนิตย์ 14 เราจะเป็นบิดาของเขา และเขาจะเป็นบุตร
ของเรา ถ้าเขากระทำผิดเราจะตีสอนเขาด้วยไม้เรียวของมนุษย์ ด้วยการเฆี่ยน แห่งบุตรมนุษย์ทั้งหลาย 15 แต่ความรักมั่นคงของเราจะไม่พรากไปจากเขาเสีย ดังที่เราพรากไปจากซาอูล ซึ่งเราได้ถอดเสียให้พ้นหน้าเจ้า 16 ราชวงศ์ของ เจ้าและอาณาจักรของเจ้าจะดำรง อยู่ต่อหน้าเจ้าอย่างมั่นคงเป็นนิตย์ และ บัลลังก์ของเจ้าจะถูกสถาปนาไว้เป็นนิตย์" (2 ซามูเอล 7:11ข-16)
แต่ในบทต่อมา ความทะนงของดาวิดกลับเพิ่มมากขึ้น เห็นได้ชัดที่สุดใน 2 ซามูเอล 11 เมื่ออิสราเอลไป ทำสงครามกับพวกอัมโมน ในช่วงฤดูร้อน (ที่กษัตรยิ์จะออกไปรบ) ดาวิดส่งกำลังทหารไปล้อมเมืองรับบาห์ เมืองหลวงของอัมโมนไว้ เป็นที่สุดท้ายที่พวกอัมโมนไปหลบภัยอยู่ ดาวิดไม่ได้ออกไปรบด้วย กลับอยู่ที่บ้าน ที่กรุงเยรูซาเล็ม ใช้ชีวิตปล่อยตัวตามสบาย ขณะที่พวกทหารต้องหลับนอนอยู่ในค่ายที่ในทุ่งโล่ง เมื่อดาิิวิด ตื่นขึ้น ก็เป็นเวลาเดียวกับที่พวกทหาร (และคนอื่นๆ) กำลังจะเข้านอน เมื่อท่านขึ้นไปเดินเล่นบนหลังคา พระราชวัง ท่านไปเห็นในสิ่งที่ไม่ควรเห็นเข้า -- หญิงงามนางหนึ่งกำลังอาบน้ำ อาจจะเป็นการอาบน้ำชำระ มลทินตามธรรมบัญญัติ หญิงคนนี้งามมาก และดาวิดตัดสินใจต้องได้นางมาให้ได้ ท่านส่งคนออกไปสืบหา คำตอบที่ได้คือ -- นางชื่อบัทเชบา เป็นภรรยาของอุรียาห์คนฮิทไทต์ -- เรื่องน่าจะจบลง แต่ดาวิดไม่ยอม ล้มเลิกความตั้งใจง่ายๆ ท่านจำต้องได้ ท่านส่งคนไปรับนางมา และหลับนอนกับนาง
สำหรับดาวิด เป็นแค่เรื่องสนุกชั่วคืน ท่านไม่ได้อยากมีภรรยาเพิ่ม ; ท่านไม่ได้แม้แต่อยากจะสานต่อ แค่หา เรื่องสนุกทำเพียงชั่วคืน แต่พระเจ้ามีแผนการอื่น นางบัทเชบากลับตั้งครรภ์ และจำเป็นต้องบอกให้ดาวิดรู้ ดาวิดพยายามใช่เล่ห์กลกับอุรียาห์ (และประชาชน) เพื่อทำให้อุรียาห์ดูเหมือนเป็นพ่อของเด็กในครรภ์ เมื่อ ไม่สำเร็จ ท่านสั่งให้โยอาบทำแผนฆ่าอุรียาห์ให้ตายในสนามรบ เมื่อนางได้ไว้อาลัยสามีครบตาม กำหนดแล้ว ดาวิดส่งคนไปรับบัทเชบามา ให้เป็นภรรยา ด้วยหวังว่าเรื่องมันคงจะจบลงเสียที
สิ่งที่ดาวิดทำ พระเจ้าไม่ทรงพอพระทัย และพระองค์ไม่ปล่อยให้ดาวิดมีสันติสุขในใจ จนกว่าท่านจะเห็นถึง ความบาป สำนึกผิดและกลับใจเสีย หลังจากที่ต้องทนอยู่กับความกดดัน (ดูสดุดี 32:3-4) พระเจ้าส่งนาธันไป พร้อมกับเรื่องเล่า เป็นเรื่องที่ดาวิดฟังแล้วโกรธมาก ท่านโมโห และต้องการให้เศรษฐีที่พรากแกะมาจาก คนจนนั้นถูกฆ่า! นาธันหยุดดาวิดไว้ ด้วยคำพูดที่ว่า "ฝ่าพระบาทนั่นแหละ คือชายคนนั้น!" (2 ซามูเอล 12:7) เมื่อ ดาวิดได้ยินนาธันพูดถึงบาปของท่าน ท่านก็ทรุดลง ยอมสารภาพกับนาธัน "เรากระทำบาปต่อ พระเจ้าแล้ว" (2 ซามูเอล 12:13)
นาธันตอบดาวิดเมื่อท่านสารภาพ ด้วยคำพูดที่ทั้งปลอบประโลมและเกิดความกังวลในขณะเดียวกัน ถึงแม้ ท่านสมควรตายเพราะความบาป แต่ท่านจะไม่ตายเพราะพระเจ้าทรงนำบาปไปเสีย (12:13) ช่างเป็นคำพูด ที่โล่งใจอย่างบอกไม่ถูก แต่คำพูดต่อมากลับเป็นสิ่งที่แทงใจดาวิด : ลูกที่เกิดจากความบาปนี้จะต้องตาย บทเรียนตอนนี้ เราจะมาใสใจเรื่องการตายของเด็กคนนี้เป็นพิเศษ
ก่อนที่เราจะกลับไปที่เนื้อเรื่อง ผมขอให้ข้อสังเกตุบางประการ ที่จะช่วยให้เราเข้าใจบทเรียนดีขึ้น
นี่เป็นความเจ็บปวดประการแรกที่ดาวิดจะต้องเผชิญ เพราะผลของบาปที่ท่านทำไว้กับบัทเชบาและ อุรียาห์ ในพระคัมภีร์ ดาวิดจะสูญเสียบุตรที่เกิดจากความบาปที่ทำไว้กับบัทเชบา ภรรยาของอุรียาห์ ต่อมา บุตรสาวของท่าน จะถูกบุตรชายของท่านเองข่มขืน เพื่อเป็นการแก้แค้น อับซาโลมจึงฆ่าอัมโนนตาย ต่อมา อับซาโลมบุตรของท่านเอง ก่อกบฎต่อบิดา ยึดราชบัลลังก์ไปได้ชั่วขณะ ในระหว่างนั้น เขาจะนอนกับบรรดา สนมของดาวิด ต่อหน้าชาวอิสราเอล บนดาดฟ้าพระราชวัง ที่ดาวิดมองลงมาเห็นบัทเชบาเป็นครั้งแรก เหตุการณ์เหล่านี้ เป็นผลสืบเนื่องมาจากบาปที่ดาวิดทำไว้กับนางบัทเชบา ทั้งทางตรงและทางอ้อม
โศกนาฏกรรมที่เด็กต้องมาตายลง เป็นผลจากความบาปของดาวิด แต่ยังไม่ใช่เป็นการลงโทษที่สมกับ บาปที่ท่านทำลงไป บทลงโทษแต่ละคดีของบาปล่วงประเวณี และทำฆาตรกรรมนั้นคือความตาย ดาวิดสมควร ตายในทั้งสองคดี : ล่วงประเวณีและฆาตรกรรม แต่นาธันกล่าวอย่างชัดเจนว่า บาปของท่าน "ถูกนำไป เสีย" การตายของเด็กเป็นความเจ็บปวดเพราะผลจากบาปของดาวิด แต่ไม่ใช่เป็นการลงโทษบาปของท่าน การลง โทษนั้นถูกนำไปมอบให้กับองค์พระเยซูคริสต์ผู้แบกรับแทน
ดาวิดถือเรื่องอดอาหารเป็นเรื่องจริงจังที่สุด ในพระคัมภีร์เดิมภาษาฮีบรู มีวิธีเฉพาะที่จะย้ำถึงบางเรื่อง เป็นพิเศษ ภาษาฮีบรูในพระคัมภีร์เดิมใช้การพูดซ้ำๆ เมื่อต้องการเน้นเรื่องหนึ่งเรื่องใดเป็นพิเศษ ดังนั้นเมื่อ พระเจ้าตรัสกับอาดัมว่า เจ้าจะต้อง "ตายแน่" (ปฐมกาล 2:17) พระองค์ตรัสในทำนองว่า : "เจ้าจะต้องตาย ด้วยความตาย" ดังนั้นในพระคัมภีร์สำหรับผู้เยาว์จึงเขียนว่า
"เว้นแต่ต้นไม้แห่งความสำนึกในความดีและความชั่ว ผลของต้นไม้นั้นอย่ากิน เพราะในวันใดที่เจ้าขืนกิน เจ้าจะต้อง -- ตายด้วยความตายแน่"
ในตอนนี้ พระเจ้าใช้วิธีพูดซ้ำ เพื่อย้ำว่าเด็กจะต้องเสียชีวิตแน่นอน :
"อย่างไรก็ตาม เพราะฝ่าพระบาทได้เหยียดหยามพระเจ้าอย่างที่สุด ด้วยการ กระทำครั้งนี้ ราชบุตรที่จะประสูติมานั้นจะต้องสิ้นชีวิต" (2 ซามูเอล 12:14)
มีการใช้วิธีพูดซ้ำอีกในข้อ 16 :
ดาวิดก็ทรงอ้อนวอนต่อพระเจ้าเพื่อพระกุมารนั้น และดาวิดทรงอดพระกระยาหาร และบรรทมบนพื้นดิน คืนยังรุ่ง
ในหมายเหตุของฉบับ KJV เราจะเห็นการใช้คำพูดที่สื่อว่า "อดอาหารเพื่อการอดอาหาร" ความหมายก็คือ การที่ดาวิดอดอาหาร ไม่ใช่เป็นการอดอาหารธรรมดาๆ ท่านจริงจังอย่างที่สุดในการอดอาหารครั้งนี้ เพราะมัน เป็นเรื่องความเป็นความตาย
อีกครั้งที่ เรื่องของดาวิดมีความสำคัญเด่นชัดในตอนนี้ แต่นางบัทเชบาไม่ บาปล่วงประเวณีเป็นการ กระทำของดาวิด ขณะที่ (ตามที่ผมอ่าน) บัทเชบาตกเป็นเหยื่อ สมควรแล้วที่เรื่องราวในตอนนี้จึงเน้นไปที่ การอดอาหารและอธิษฐานของท่าน เพื่ออ้อนวอนขอชีวิตเด็กจากพระเจ้า
ผู้เขียนเปลี่ยนวิธีการพูดถึงบัทเชบา ในข้อ 15 พูดถึงบัทเชบา มารดาของเด็กที่ตายว่า "ภรรยาของ อุรียาห์" ในข้อ 24 มีการเปลี่ยนแปลงชัดเจน ตอนนี้ผู้เขียนพูดถึงหญิงคนเดียวกัน ซึ่งเป็นมารดาของบุตรชาย คนที่สองของดาวิด ซาโลมอน ว่าเป็น "บัทเชบามเหสีของพระองค์" พระเจ้าไม่เพียงแต่ยอมรับในบุตรคนที่ สองเท่านั้น พระองค์ยังคงรับว่าบัทเชบาเป็นมเหสีของดาวิดด้วย
เหตุการณ์สุดท้ายของบทที่ 12 ทำให้เรารู้สึกว่า เรื่องนี้ปิดฉากลงแล้ว เป็นที่เข้าใจได้ว่า บาปของดาวิด เป็นกรณียกเว้น ไม่ใช่เป็นเรื่องที่เกิดอยู่เป็นประจำในชีวิตของท่าน:
เพราะว่าดาวิดทรงกระทำ สิ่งที่ถูกต้องในสายพระเนตรของพระเจ้า และมิได้ ทรงหันไปจากสิ่งใด ซึ่งพระเจ้าทรงบัญชาตลอดพระชนม์ชีพของพระองค์ นอกจากเรื่องอุรีอาห์คนฮิตไทต์ (1 พงศ์กษัตริย์ 15:5)
บทที่ 11 และ 12 ของพระธรรม 2 ซามูเอล ดูจะเป็นบทที่หมือนแยกออกมาต่างหาก เพราะเป็นการ บันทึกเรื่องราว ส่วนหนึ่งที่ผิดออกไปในชีวิตของดาวิด เป็นช่วงเวลายกเว้น ที่ดาวิดไม่ได้เป็น "บุรุษที่ทำ ตามพระทัยจนที่สุด" ดังนั้นเราจึงเห็นว่าบทที่ 11 เริ่มด้วยเรื่องราวที่อิสราเอลออกไปรบ ขณะที่ดาวิด สมัครใจอยู่บ้าน (11:1) และเราเห็นว่าข้อ 26-31 ของบทที่ 12 เป็นเรื่องดาวิดออกไปแสดงตัวที่ในสนามรบ เมื่อได้รับชัยชนะ ชาวอิสราเอลทั้งสิ้นก็กลับคืนสู่เยรูซาเล็ม เรารู้สึกว่าเหตุการณ์ตอนนี้ปิดฉากลงแล้ว ซึ่งเป็น สิ่งที่ผู้เขียนต้องการให้เรารูสึก นอกจากนี้ เราพบว่ามีการบันทึกเรื่องการตายของบุตรคนแรกของบัทเชบา ตามในทันทีด้วยเรื่องราวของบุตรคนที่สอง คือซาโลมอนผู้จะขึ้นปกครองแทนดาวิดผู้เป็นบิดา
มีหลายวิธีที่เราจะเข้าสู่บทเรียนในตอนนี้ เราอาจจะเรียนอย่างเจาะลึก ใส่ใจทุกประโยคและทุกคำพูด ผมขอ เลือกที่จะไม่ทำเช่นนั้น เมื่อได้พูดในรายละเอียดที่ผมคิดว่าสำคัญไปบ้างแล้ว ผมจึงอยากเข้าสู่บทเรียนตอนนี้ ในแบบเดียวกับที่ ไมเคิล แลนดอน ดาราและผู้กำกับหนังทีวีที่เสียชีวิตไปแล้วเคยทำ เราคงเคย (อย่างน้อย พวกรุ่นใหญ่ๆ) ดูหนังที่เขากำกับมาบ้าง เขามีวิธีจับอารมณ์ของเหตุการณ์ในตอนนั้น และสื่อมันออกมาด้วย การแสดง ผมยังจำได้ในการออกอากาศสดครั้งหนึ่ง เขาพึ่งจะรู้ด้วยความประหลาดใจว่า ผู้หญิงที่มาออก รายการนั้นตาบอด เขาทำให้ผู้ชมเกิดอาการประหลาดใจตามไปด้วยเมื่อรู้ความจริง ผมเองยังต้องขยี้ตา ว่า ไม่ได้ฝันไปด้วยเลย บทเรียนตอนนี้มีหลายตอนที่สะเทือนใจ ผมว่าถ้าไมเคิลอยู่ด้วย เขาคงยินดีช่วยเน้น ให้เราเห็นถึงความสำคัญนี้ ผมจึงอยากจะเข้าถึงอารมณ์ของดาวิด และคนใกล้ชิดให้ได้ เมื่อต้องเผชิญกับ สถานการณ์ที่บุตรของท่านต้องตายลง เพราะผลบาปของท่าน
13 ดาวิดจึงรับสั่งกับนาธันว่า "เรากระทำบาปต่อพระเจ้าแล้ว" และ
นาธันกราบทูลดาวิดว่า "พระเจ้าทรงให้อภัยบาปของฝ่าพระบาทแล้ว ฝ่าพระบาทจะไม่ถึงแก่มรณา 14 อย่างไรก็ตาม เพราะฝ่าพระบาทได้ เหยียดหยามพระเจ้าอย่าง ที่สุดด้วยการกระทำครั้งนี้ ราชบุตรที่จะ ประสูติมานั้นจะต้องสิ้นชีวิต" 15 แล้วนาธันก็กลับไปยังบ้านของตน
.
ดาวิดได้ประนามตนเองด้วยคำพูดที่ท่านแสดงออกต่อนาธัน เมื่อเล่าเรื่องแกะจบลง: "พระเจ้าทรงพระชนม์ อยู่แน่ฉันใด ผู้ชายที่กระทำเช่นนั้นจะต้องตาย" (12:5) ไม่มีบทลงโทษเช่นนั้นสำหรับพวกโจร แต่มีสำหรับ คนล่วงประเวณีและเป็นฆาตรกร ตามธรรมบัญญัติ ดาวิดต้องตายเพราะบาปของท่าน แต่ด้วยพระคุณพระเจ้า โดยการสิ้นพระชนม์ของพระคริสต์ที่บนไม้กางเขน ดาวิดได้รับการอภัยบาป และคำสัญญาว่าท่านจะไม่ต้องตาย คำพูดของนาธันคงทำให้ดาวิดโล่งใจจนบอกไม่ถูก เพราะท่านรู้ดีว่า ท่านไม่สมควรได้รับสิ่งใด นอกจากพระ อาชญา แต่ความโล่งใจของท่านเป็นไปเพียงสั้นๆ เพราะนาธันยังมีคำพูดที่ต้องพูดต่อไปอีก :
"อย่างไรก็ตาม เพราะฝ่าพระบาทได้เหยียดหยามพระเจ้าอย่างที่สุด ด้วยการ กระทำครั้งนี้ ราชบุตรที่จะประสูติมานั้นจะต้องสิ้นชีวิต" (ข้อ 14)
นาธันบอกกับดาวิดว่าการลงโทษที่สมควรกับท่านถูกยกให้แล้ว (เรารู้ว่าถูกยกไปให้พระคริสต์แบกรับแทน) แต่ พระเจ้าไม่อาจให้พระนามของพระองค์เป็นที่ดูหมิ่นได้ โดยการแสดงว่าพระองค์ไม่สนใจต่อความบาป ตั้งแต่ ต้นมา พระคัมภีร์สอนเราว่า ค่าจ้างของความบาปคือความตาย (ดูปฐมกาล 2:17; 4:8, 23; 5:1; โรม 6:23) ถ้า พระเจ้าปล่อยให้ความบาปของดาวิดผ่านไปเฉยๆ โดยไม่มีผลความเจ็บปวดเกิดขึ้น ก็เท่ากับพระองค์ทำให้ บรรดาคนชั่วถือโอกาสสรุปว่า ที่จริงพระเจ้าไม่ได้ชิงชังอะไรนักกับบาป พระองค์ไม่ทรงทำอะไรหรอกถ้าเราจะ ทำบาป
การมอบธรรมบัญญัติของโมเสสให้กับอิสราเอล ก็เพื่อแยกอิสราเอลออกจากชนชาติอื่นๆ เพื่อชาวอิสราเอล จะสามารถสะท้อนพระลักษณะของพระเจ้าให้โลกได้รู้ เมื่อดาวิดทำบาป ท่านฝ่าฝืนธรรมบัญญัติ และไม่ได้ ถวายเกียรติต่อพระเจ้า การหลอกลวงของท่านในครั้งนี้ คนต่างชาติเห็น มีผลทำให้พระนามของพระเจ้าเป็น ที่ลบหลู่ อ.เปาโลทำในสิ่งเดียวกันด้วย ต่อชาวยิวในหลายศตวรรษต่อมา:
21 ฉะนั้นท่านซึ่งเป็นผู้สอนคนอื่นจะไม่สอนตัวเองหรือ เมื่อท่านเทศนาว่าไม่ควรลักทรัพย์ ตัวท่านเองลักหรือเปล่า 22 ท่านผู้ที่สอนว่าไม่ควรล่วงประเวณี ตัวท่านเองล่วงประเวณีหรือ
เปล่า ท่านผู้รังเกียจรูปเคารพ ตัวท่านเองปล้นวิหารหรือเปล่า 23 ท่านผู้โอ้อวดในธรรม
บัญญัติ ตัวท่านเองยังลบหลู่พระเจ้าด้วยการประพฤติผิดธรรมบัญญัติหรือเปล่า 24 เพราะ พระคัมภีร์เขียนไว้ว่า คนต่างชาติพูดหยาบหยามต่อพระนามของพระเจ้าก็เพราะท่าน
ทั้งหลาย" (โรม 2:21-24)
ในที่อื่นอีก อ.เปาโลสั่งสอนทิโมธี ว่าพวกผู้ใหญ่ -- บรรดาผู้นำคริสตจักร ที่ชีวิตอยู่ในสายตาและคำวิจารณ์ ของผู้อื่น -- ที่ยังดื้อทำบาปอยู่ ต้องได้รับการแก้ใขต่อหน้าคนทั้งปวง เพื่ือทุกคนจะเรียนรู้ได้ (1 ทิโทธี 5:19-20) พระเจ้าใส่พระทัยต่อพระนามของพระองค์มาก พระองค์ไม่เพียงแต่สั่งสอนมนุษย์ที่เฝ้าดูอยู่เท่านั้น แต่กับ บรรดาทูตสวรรค์ให้่ทำเช่นเดียวกันด้วย (ดูอพยพ 32:9-14; 34:10; เอเฟซัส 3:8-10)
พระเจ้าไม่อาจเมินสายตาไปได้เมื่อดาวิดทำบาป เพราะการละเมิดคำสั่งของพระองค์อยู่ในสายตาของประชา ชน ในขณะที่ชัยชนะของท่านเป็นที่รู้โดยทั่วไปในท่ามกลางคนต่างชาติ ความบาปของท่านก็เช่นกัน การทำ ให้เด็กที่เกิดเพราะความบาปต้องตาย เป็นการที่พระเจ้าประกาศต่อหน้าคนที่เฝ้าดู ถ้าพระเจ้าไม่จัดการกับ บาปของคนของพระองค์ พวกเขาอาจอ้างได้ว่า พระเจ้าก็คงไม่ใส่ใจกับบาปของพวกเขาเช่นกัน ทำให้เกิดการ เยาะเย้ยพระเจ้า ว่าปล่อยให้คนบาปลอยนวล
หลายปีมาแล้วผมสอนหนังสือชั้น ป.6 มีบางครั้ง แม้จะไม่บ่อยนัก จะมีเด็กแหกกฎอย่างหน้าตาเฉย จึงจำเป็น ต้องเชิญออกมาหน้าห้อง เพื่อสาธิตวิธีใช้ไม้เรียว ในชั้นเรียนของผม (และชั้นใกล้เคียงที่ได้ยินเสียง) รู้ดีว่าจะ เกิดอะไรขึ้น เมื่อผมออกมาหน้าห้องพร้อมกับเด็กบางคน51 แต่ถ้าต้องส่งตัวไปห้องครูใหญ่ มักจะเป็นคนละ เรื่อง คุณครูใหญ่จะให้โอวาทเล็กน้อย และเด็กจะกลับมาด้วยใบหน้ายิ้มย่อง นักเรียนในห้องและคนอื่นๆรู้ดีว่า หมอนี่รอดตัวอีกแล้ว พระเจ้าไม่อาจปล่อยให้ดาวิดผ่านไปโดยไม่ทำสิ่งใด เป็นสิ่งที่ทุกคนจะเห็นโดยทั่วกัน นี่เป็นการลงวินัยดาวิด และปิดปากคนที่หาเหตุ อ้างเอาความบาปของดาวิดมาดูหมิ่่นพระนามพระองค์ ; เป็น การประกาศ และยกย่องพระสิริของพระเจ้า
15...แล้วพระเจ้าทรงกระทำแก่บุตร ซึ่งภรรยาของอุรีอาห์บังเกิดกับดาวิด และพระ กุมารนั้นก็ประชวรหนัก 16 ดาวิดก็ทรงอ้อนวอนต่อพระเจ้าเพื่อพระกุมารนั้น และดาวิด ทรงอดพระกระยาหารและบรรทมบนพื้นดิน คืนยังรุ่ง 17 บรรดาพวกผู้ใหญ่ในราชสำนัก ของพระองค์ก็ ลุกขึ้นมายืนเข้าเฝ้าอยู่ หมายจะทูลเชิญให้พระองค์ทรงลุกจากพื้นดิน แต่พระองค์หาทรงยอมไม่ หรือหาทรงรับประทานกับเขาทั้งหลายไม่ 18 พอวันที่เจ็ด พระกุมารนั้นก็สิ้นพระชนม์ ส่วนข้าราชการของดาวิดก็กลัวไม่กล้า กราบทูลดาวิดว่า เด็กนั้นสิ้นชีวิตแล้ว เขาพูดกันว่า "ดูเถิด เมื่อพระกุมารนั้นทรงพระชนม์อยู่ เราทูล
พระองค์ พระองค์หาทรงฟังเสียงของเราไม่ แล้วเราทั้งหลายอาจจะกราบทูลได้
อย่างไรว่า พระกุมารนั้นสิ้นพระชนม์แล้ว พระองค์ก็จะกระทำอันตรายต่อพระองค์เอง"
19 แต่เมื่อดาวิดทอดพระเนตรเห็นข้าราชการกระซิบกระซาบกันอยู่ ดาวิดเข้าพระทัย
ว่า พระกุมารนั้นสิ้นพระชนม์แล้ว ดาวิดจึงรับสั่งถามข้าราชการของพระองค์ว่า "เด็กนั้น
สิ้นชีวิตแล้วหรือ" เขาทูลตอบว่า "สิ้นชีวิตแล้วพ่ะย่ะค่ะ" 20 แล้วดาวิดทรงลุกขึ้นจาก
พื้นดิน ชำระพระกายชโลมพระองค์ และทรงเปลี่ยนฉลองพระองค์ ทรงดำเนินเข้าไป
ในพระนิเวศของ พระเจ้าและทรงนมัสการ แล้วเสด็จไปสู่พระราชวังของพระองค์ รับสั่ง
ให้นำพระกระยาหารมา เขาก็จัดพระกระยาหารให้พระองค์เสวย 21 ข้าราชการจึงทูลถาม
พระองค์ว่า "เป็นไฉนฝ่าพระบาททรงกระทำเช่นนี้ ฝ่าพระบาททรงอดพระกระยาหาร และกันแสงเพื่อ พระกุมารนั้นเมื่อทรงพระชนม์อยู่ แต่เมื่อพระกุมารนั้นสิ้นพระชนม์แล้ว ฝ่าพระบาทก็ทรง ลุกขึ้นเสวยพระกระยาหาร" 22 พระองค์รับสั่งว่า "เมื่อเด็กนั้นมีชีวิตอยู่ เราอดอาหาร และร้องไห้ เพราะเราว่า 'ใครจะทราบได้ว่าพระเจ้าจะทรงพระเมตตาเรา
โปรดให้เด็ก นั้นมีชีวิตอยู่หรือไม่' 23 แต่เมื่อเขาสิ้นชีวิตแล้ว เราจะอดอาหารทำไม เราจะ
ทำเด็ก ให้ฟื้นขึ้นมาอีกได้หรือ มีแต่เราจะตามทางเด็กนั้นไป เขาจะกลับมาหาเราหามิได้"
เมื่อนาธันจากดาวิดไป พระเจ้าทรงสังหารเด็กที่เกิดแก่ดาวิดและ "ภรรยาม่ายของอุรียาห์" เราไม่รู้ว่าเป็น โรคอะไร แต่เรารู้ว่าเด็กตายภายในเจ็ดวัน52 ดาวิดคร่ำครวญ เมื่อซาอูลและโยนาธานตายในสงคราม (2 ซามูเอล 1) เมื่ออับเนอร์ถูกโยอาบฆ่าตาย (2 ซามูเอล 3) และแม้กระทั่งเมื่อนาหาชกษัตริย์อัมโมนตาย (2 ซามูเอล 10) แต่ครั้งนี้ เมื่อท่านคร่ำครวญ ไม่ใช่คร่ำครวญต่อการตายของบุตร (เพราะเด็กยังไม่ตาย) แต่เป็น การคร่ำครวญสำนึกในบาป การที่ดาวิดคร่ำครวญ เป็นเหมือนสัญลักษณ์การสำนึกบาปของท่าน และอ้อนวอน ขอชีวิตบุตรต่อพระเจ้า
เป็นการสมควรหรือไม่ ที่ดาวิดอ้อนวอนขอพระเจ้าให้ไว้ชีวิตเด็ก ในเมื่อพระองค์ตรัสไปแล้วว่าเด็กจะต้องตาย? ผมเชื่อ ว่าคำตอบคือ "ใช่!" ดาวิดรู้ดีว่า คำพยากรณ์บางครั้ง เป็นการเตือนของพระเจ้าถ้าไม่กลับใจ บางครั้ง พระเจ้าทรงตรัสถึงการพิพากษาที่จะมีในอนาคต ที่จะเกิดขึ้นถ้ามนุษย์ไม่กลับใจ ความหวังว่าพระองค์จะทรง ยับยั้ง เมื่อมนุษย์กลับใจ มีอยู่ในพระธรรมเยเรมีย์ 18:5-8:
5 แล้วพระวจนะของพระเจ้ามายังข้าพเจ้าว่า 6 "ประชาอิสราเอลเอ๋ย เราจะกระทำ แก่เจ้าอย่างที่ช่างหม้อนี้กระทำไม่ได้หรือ พระเจ้าตรัสดังนี้แหละ ดูเถิด ประชา
อิสราเอลเอ๋ย เจ้าอยู่ในมือของเรา อย่างดินเหนียวอยู่ในมือของช่างหม้อ 7 ถ้า เวลาใดก็ตามเราประกาศ เกี่ยวกับประชาชาติหนึ่งหรือราชอาณาจักรหนึ่งว่า เรา จะถอนและพังและทำลายมันเสีย 8 และถ้าประชาชาตินั้น ซึ่งเราได้ลั่นวาจาไว้
เกี่ยวข้องด้วย หันเสียจากความชั่วของตน เราก็จักกลับใจจากโทษ ซึ่งเราได้ ตั้งใจจะกระทำแก่ชาตินั้นเสีย
ความหวังที่จะได้รับการอภัย เกิดขึ้นจริงในนีนะเวห์ในอดีตกาล (ทำให้โยนาห์ไม่พอใจ -- ดูโยนาห์ 3 และ 4) และสำหรับมนัสเสด้วย (2 พงศาวดาร 33:10-13)
นอกจากนั้น อาจเป็นได้ว่าดาวิดประเมินสถานการณ์โดยยึดเอาตามพันธสัญญาของดาวิด ที่พระเจ้าทรงทำ กับท่าน:
12 " เมื่อวันของเจ้าครบแล้ว และเจ้านอนพักอยู่กับบรรพบุรุษของเจ้า เราจะ ให้บุตรชายคนหนึ่งของเจ้าเกิด ขึ้นสืบต่อจากเจ้าผู้ซึ่งเกิดมาจากตัวเจ้าเองและ เราจะสถาปนาอาณาจักรของเขา 13 เขาจะเป็นผู้สร้างนิเวศเพื่อ นามของเราและ
เราจะสถาปนาบัลลังก์แห่งราชอาณาจักรของเขาให้อยู่เป็นนิตย์ 14 เราจะเป็นบิดา
ของเขา และเขาจะเป็นบุตรของเรา ถ้าเขากระทำผิดเราจะตีสอนเขาด้วยไม้เรียว
ของมนุษย์ ด้วยการเฆี่ยนแห่งบุตรมนุษย์ทั้งหลาย15 แต่ความรักมั่นคงของเรา จะ ไม่พรากไปจากเขาเสีย ดังที่เราพรากไปจากซาอูล ซึ่งเราได้ถอดเสียให้พ้นหน้า
เจ้า" (2 ซามูเอล 7:12-15)
เป็นได้หรือไม่ว่าดาวิดคิดว่าเด็กคนนี้จะมาเป็นผู้สืบต่อราชบัลลังก์ของท่าน? ถ้าใช่ ดาวิดก็มีเหตุผลเพียงพอ ที่จะทูลอ้อนวอนขอขีวิตเด็ก
ดาวิดคิดถูกที่เข้าใจว่า ชีวิตของเด็กอยู่ในพระหัตถ์พระเจ้า และการกระทำที่ดีที่สุด คือทูลวิงวอนขอชีวิต ต่อพระเจ้า ดาวิดเชื่อในการครอบครองของพระองค์ ดังนั้นท่านจึงทูลขอ และมอบทั้งหมดไว้ที่พระเจ้า คำ อธิษฐานของดาวิดไม่เป็นเพียงการสำแดงถึงการกลับใจเท่านั้น แต่เป็นการแสดงถึงความเชื่อด้วย การเชื่อใน การครอบครองของพระเจ้า ไม่อาจหยุดยั้งดาวิด (ในการอดอาหารและอธิษฐาน)ได้ ; ความเชื่อของท่านต่าง หากที่ทำให้ท่านลงมือกระทำ
ถึงแม้ดาวิดจะมีความเศร้าโศก จริงใจ และหนักแน่นในการทูลอ้อนวอนขอชีวิตเด็กจากพระเจ้า ท่านถูกปฏิเสธ และเด็กตายลง ดาวิดคงไม่ได้อยู่กับบุตรเมื่อเกิดขึ้น ไม่เช่นนั้นคงได้เห็นกับตา ดาวิดเห็นพวกข้าราชการซุบ ซิบกัน อาจจะมองมาทางท่านก็เป็นได้ระหว่างที่ซุบซิบ พวกเขากลัวที่จะบอกกับท่าน กลัวอันตราย ในพระ คัมภีร์ ไม่ได้พูดชัดเจนว่าพวกข้าราชการกลัวอันตรายอะไร ในฉบับ NAB ผู้แปลใช้ตัวเอนเมื่อมาถึงคำว่า พระ องค์เอง ผมเองก็ไม่แน่ใจว่า ข้าราชการเป็นห่วงความปลอดภัยของดาวิด หรือเป็นห่วงความปลอดภัยของตน เองกันแน่ ผมคิดว่าฉบับแปล NIV แปลตามต้นฉบับที่ดูออกจะคลุมเครือว่า :
พอวันที่เจ็ดพระกุมารนั้นก็สิ้นพระชนม์ ส่วนข้าราชการของดาวิดก็กลัวไม่กล้า กราบทูลดาวิดว่าเด็กนั้นสิ้นชีวิตแล้ว เขาพูดกันว่า "ดูเถิด เมื่อพระกุมารนั้น ทรง พระชนม์อยู่ เราทูลพระองค์ พระองค์หาทรงฟังเสียงของเราไม่ แล้ว เราทั้งหลายอาจจะกราบทูลได้อย่างไรว่า พระกุมารนั้นสิ้นพระชนม์แล้ว พระองค์ก็จะกระทำอันตรายต่อพระองค์เอง" (2 ซามูเอล 12:18, NIV) 53
ที่รีๆรอๆกันอยู่ เพราะไม่มีใครกล้าเป็นผู้นำข่าวร้ายไปแจ้งแก่ดาวิด เพราะว่า ถ้าดาวิดจริงจังกับเรื่องการเจ็บ ป่วยของเด็กคนนี้มาก การนำเรื่องความตายไปบอก จะยิ่งไม่แย่ไปกว่าหรือ?54 พวกเขาไม่จำเป็นต้องบอก อะไรกับดาวิด เพราะท่านรู้ทันทีว่าเด็กนั้นตายแล้ว คำพยากรณ์ของนาธันเป็นจริง ดาวิดเห็นได้จากสีหน้าของ พวกข้าราชการ เมื่อดาวิดถามว่าเด็กตายแล้วหรือ พวกเขาไม่ปฏิเสธ กลับยืนยันว่าเด็กตายแล้วแน่นอน
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหลังจากนี้ ทำให้พวกข้าราชการงงไปตามๆกัน เมื่อเด็กยังป่วยอยู่ พวกเขาไม่สามารถทำ ให้ดาวิดลุกจากพื้นดิน หรือรับประทานอาหารได้ พวกเขาจึงคิดเอาเองว่า เรื่องมันคงร้ายกว่าแน่ ถ้าท่านรู้ว่า เด็กตายแล้ว แต่ว่าดาวิดกลับลุกขึ้น อาบน้ำและชโลมกาย เปลี่ยนเสื้อผ้า และเข้าไปยังพระนิเวศ นมัสการ พระเจ้า เมื่อท่านได้นมัสการพระเจ้าแล้ว ท่านกลับมาที่พระราชวัง ให้จัดเตรียมอาหาร เมื่อพร้อมแล้ว ท่าน ก็รับประทาน
พวกข้าราชการทั้งพิศวง ทั้งมหัศจรรย์ใจ พระคำบางตอนในพระคัมภีร์ใหม่ช่วยอธิบายให้เราเข้าใจได้ :
14 แล้วพวกศิษย์ของยอห์นมาหาพระเยซูทูลว่า "เหตุไฉนพวกข้าพระองค์และพวก
ฟาริสี ถืออดอาหาร แต่พวกศิษย์ของพระองค์ไม่ถือ"15 พระเยซูจึงตรัสกับเขาว่า "ท่านจะให้สหายของเจ้าบ่าวเป็นทุกข์โศกเศร้า เมื่อเจ้าบ่าวยังอยู่กับเขากระนั้นหรือ แต่วันหนึ่งเจ้าบ่าวจะต้องจากเขาไป เมื่อนั้นจะเป็นเวลาที่เขาจะถืออดอาหาร" (มัทธิว 9:14-15 NAB)
ดาวิดน่าจะคร่ำครวญถึงเด็กที่ตายไป ตามความคิดของพวกข้าราชการ ดาวิดได้คร่ำครวญมากมาย เมื่อเด็ก ยังมีชีวิตอยู่ พวกเขากลัวเหตุร้ายแรงจะเกิดขึ้น ถ้าบอกว่าเด็กตายแล้ว ในที่สุดพวกข้าราชการ จึงรวบรวม ความกล้า ถามว่าเหตุใดกษัตริย์จึงทำเช่นนี้ สงบนิ่งเมื่อรู้ว่าเด็กตายแล้ว ดาวิดจึงอธิบายให้พวกข้าราชการฟัง ผมคิดว่าการตอบสนองอย่างไม่ธรรมดาเช่นนี้น่าจะอธิบายได้ว่า :
การตายของเด็กคนนี้ไม่เป็นเรื่องประหลาดใจสำหรับดาวิด เพราะนาธันได้พยากรณ์ไว้ล่วงหน้าแล้ว โดยทางนาธัน พระเจ้าแจ้งแก่ดาวิดว่า บุตรของท่าน ที่เกิดจากความบาปที่ท่านทำต่อนางบัทเชบา "ภรรยา ม่ายของอุรียาห์" จะต้องตายแน่ ความตายของเด็กคนนี้เป็นการเปิดเผยพระประสงค์ของพระเจ้า ที่ดาวิด คร่ำครวญมากมาย เป็นการสำแดงความเสียใจต่อพระประสงค์ สิ่งที่ดาวิดทำ แสดงให้เห็นว่าท่านยอมรับว่า การตายของเด็ก เป็นพระประสงค์ของพระเจ้า
นาธันได้อธิบายให้ดาวิดรู้ถึงสาเหตุการตายของเด็กไว้ล่วงหน้าแล้ว การที่เด็กคนนี้ตายไม่ใช่เป็นการลง โทษดาวิด การลงโทษตามธรรมบัญญัติที่เหมาะสมกับบาปที่ดาวิดทำ คือความตาย นาธันไม่ได้แจ้งกับดาวิด ว่าจะมีการลดโทษให้ แต่เป็นการให้อภัยทั้งหมด เพราะความผิดและการลงโทษต่อบาปของท่าน "ได้ถูกนำไป เสีย" (12:13) เป็นคำสั่งที่เด็กคนนี้ต้องตาย เพื่อจะปิดปากคำดูหมิ่นจากบรรดา "ศัตรูของพระเจ้า" หรือบาง คนอาจถือเอาผิดๆว่า พระเจ้าของอิสราเอลไม่สนพระทัยที่ดาวิดละเมิดต่อพระบัญญัติ พระเจ้าแสดงให้เห็นชัด ว่า พระองค์ไม่ปล่อยให้ความบาปผ่านเลยไป ถึงจะเป็นบาปของคนที่ทำตามน้ำพระทัยที่สุดก็ตาม การสิ้นชีวิต ของเด็ก จะเป็นอุทาหรณ์ให้แก่บรรดาศัตรูของพระเจ้า
การที่ดาวิดคร่ำครวญในขณะที่เด็กป่วยอยู่ เป็นการแสดงว่าท่านสำนึกต่อบาปอย่างจริงใจ ไม่ใช่เป็น การคร่ำครวญเพราะกลัวจะสูญเสียคนที่รักไป :
22 พระองค์รับสั่งว่า "เมื่อเด็กนั้นมีชีวิตอยู่ เราอดอาหารและร้องไห้ เพราะเราว่า 'ใครจะทราบได้ว่าพระเจ้าจะทรงพระเมตตาเรา โปรดให้เด็กนั้นมีชีวิตอยู่หรือไม่'
23 แต่เมื่อเขาสิ้นชีวิตแล้ว เราจะอดอาหารทำไม เราจะทำเด็กให้ฟื้นขึ้นมาอีกได้
หรือ มีแต่เราจะตามทางเด็กนั้นไป เขาจะกลับมาหาเราหามิได้"
การตายของเด็กคนนี้เป็นการยอมรับในคำตอบสุดท้ายของพระเจ้า ที่ดาวิดเฝ้าทูลวิงวอนขอชีวิต นี่เป็นหัวใจหลักในคำตอบของดาวิดที่ตอบพวกข้าราชการ ในขณะที่เด็กยังมีชีวิต ดาวิดอดอาหาร คร่ำครวญ และอธิษฐาน แต่เมื่อเด็กสิ้นชีวิตลง ดาวิดได้ทำจนสุดความสามารถแล้ว พระเจ้าได้ทรงตอบท่านชัดเจนและ เด็ดขาดว่า: "ไม่" ดาวิดเห็นว่าความตายทำให้เวลาแห่งการคร่ำครวญจบสิ้นลง ชีวิตของท่านต้องดำเนินต่อ มีคำกล่าวว่า "ตราบยังมีลมหายใจ ยังมีความหวัง" ตราบที่ดาวิดมีความหวังว่าเด็กจะได้รับการรักษา พระเจ้า กลับตอบท่านว่าให้หยุดพยายามยับยั้งพระองค์ในเรื่องนี้เสียเถอะ
ผมเห็นกรณีที่คล้ายกัน ที่ดาวิดยอมรับความตายว่าเรื่องมันจบลงแล้วในบทที่ 13 ท่านคลายความทุกข์ลง เมื่อทราบว่าอัมโนนบุตรชายสิ้นชีวิตแล้ว :
39 ดาวิดพระราชาก็ทรงตรอมพระทัยอาลัยถึงอับซาโลม เพราะการที่ทรง คิดถึงอัมโนนนั้นค่อยคลายลง ด้วยเขาสิ้นชีพแล้ว (2 ซามูเอล 13:39)
การที่ดาวิดรู้สึกผ่อนคลายลงเมื่ออัมโนนตาย ในความคิดของท่าน เหมือนกับว่าพระเจ้าได้ปิดฉากชีวิตลงอีก ครั้ง การที่เด็กที่เกิดจากท่านและนางบัทเชบาตายลง เป็นคำตอบสุดท้ายและเด็ดขาด ต่อคำทูลขอของท่าน
ดาวิดมีสันติสุขเกิดขึ้นเพราะความจริงว่า สิ่งที่ท่านทูลขอ (และถูกปฏิเสธ) นั้นเป็นพระคุณ พระคุณ พระเจ้า โดยธรรมชาติแล้วคือพระคุณในอธิปไตยของพระองค์ คำนิยามของพระคุณคือ "สิ่งที่ไม่สมควรได้ รับ" ขอให้คำพูดนี้ซึมลงไปในในใจคุณ และให้เรามาดูว่าดาวิดมีสันติสุขได้อย่างไร ในเมื่อสิ่งที่ท่านขอ --กลับถูกปฏิเสธ -- และนับว่าเป็นพระคุณ
ผมเคยพูดถึงพระธรรมเยเรมีย์ 18 ที่มีการเตือนให้กลับใจ และที่พระเจ้าเปิดทางเลือกให้ พระองค์อาจยับยั้ง (หรือเลื่อนเวลาออกไป) ในการพิพากษา ในพระธรรมโยเอลมีพระคำที่คล้ายกัน ที่เตือนให้กลับใจ และเป็น ไปได้ที่พระเจ้าจะทรงยับยั้งพระทัย :
12 พระเจ้าตรัสว่า "ถึงกระนั้นก็ดี เจ้าทั้งหลายจงกลับมาหาเราเสียเดี๋ยวนี้
ด้วยความเต็มใจ ด้วยการอดอาหาร ด้วยการร้องไห้ และด้วยการโอดครวญ
13 จงฉีกใจของเจ้า มิใช่ฉีกเสื้อผ้าของเจ้า" จงหันกลับมาหาพระเยโฮวาห์
พระเจ้าของท่านทั้งหลาย เพราะว่าพระองค์ทรงกอปรด้วยพระคุณและทรง
พระกรุณา ทรงกริ้วช้าและบริบูรณ์ด้วยความรักมั่นคง และทรงกลับพระทัย
ไม่ลงโทษ 14 ใครจะรู้ได้ พระองค์อาจจะทรงกลับและเปลี่ยนพระทัย
และทรงอำนวยพระพรไว้ คือให้มีธัญญบูชาและเครื่องดื่มบูชาสำหรับถวาย
แด่ พระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านแล้ว (โยเอล 2:12-14 และผมด้วย)
ทั้งในเยเรมีย์ 18 และพระคำตอนนี้ในโยเอล มีการตักเตือนให้คนบาปกลับใจ ในแบบเดียวกับที่เราเห็นดาวิด ได้กลับใจและวิงวอนต่อพระเจ้า คำวิงวอนของคนบาปที่กลับใจ -- ว่าพระเจ้าจะยับยั้งคำพิพากษา -- นั้นตั้ง อยู่บนรากฐานของพระคุณ ไม่ใช่เพราะความดีของคนบาป และเมื่อเป็นเรื่องของพระคุณล้วนๆ เราต้องไม่คิด เหมาเอาเองว่า พระเจ้าจะต้องทำตาม ดังนั้นในพระธรรมเยเรมีย์และโยเอลl55 เราจึงได้รับคำเตือนว่า ยังมี ความหวังว่าพระเจ้าอาจทรงยับยั้งพระทัย แต่ไม่มีการคิดไปเองว่า พระองค์จะยับยั้งพระทัยแน่นอน
เราเห็นแบบอย่างของความคิดที่ถูกต้องจากในพระธรรมดาเนียล เพื่อนทั้งสามของดาเนียล ชัดรัค เมชาค และอาเบดเนโก ปฏิเสธที่จะแสดงความเคารพต่อรูปปั้นทองคำของกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ กษัตริย์โกรธมาก ให้โอกาสทั้งสามอีกครั้ง ถ้าพวกเขายอมก้มหัวกราบไหว้ จะไม่ถูกลงโทษ แต่ถ้าไม่ยอม จะถูกส่งเข้าเตาเผา ชายทั้งสามตอบข้อเสนอของกษัตริย์ดังนี้ :
16 ชัดรัค เมชาค และเอเบดเนโกกราบทูลพระราชาว่า "ข้าแต่เนบูคัดเนสซาร์ ข้าพระบาททั้งหลายไม่จำเป็นจะต้องตอบ ฝ่าพระบาทในเรื่องนี้ 17 ถ้าพระเจ้า ของพวกข้าพระบาทผู้ซึ่งพวกข้าพระบาท ปรนนิบัติ พอพระทัยจะช่วยกู้พวกข้า พระบาทให้พ้นจากเตาที่ไฟลุกอยู่ ข้าแต่พระราชา พระองค์ก็จะทรงช่วยกู้พวก
ข้าพระบาท ให้พ้นพระหัตถ์ของฝ่าพระบาท 18 ถึงแม้ไม่เป็นเช่นนั้น ข้าแต่พระ
ราชา ขอฝ่าพระบาททรงทราบว่าพวกข้าพระบาทก็ไม่ปรนนิบัติ พระของฝ่าพระ
บาท หรือนมัสการปฏิมากรทองคำซึ่งฝ่าพระบาทได้ทรงตั้งขึ้น" (ดาเนียล 3:16-18)
ชายทั้งสามรู้ดีว่าเขากำลังเชื่อฟังพระเจ้า ไม่ใช่เชื่อฟังมนุษย์ พวกเขาเชื่อว่าพระเจ้าสามารถช่วยกู้พวกเขา จากเตาไฟได้ พวกเขาไม่กล้าคิดเอาเองว่าพระเจ้าจะช่วย พวกเขาจึงตอบเนบูคัดเนสซาร์ ว่าแล้วแต่พระเจ้า พระเจ้าสามารถช่วยได้ เพราะพระองค์มีฤทธิ์อำนาจ แต่ว่าพระองค์จะทำหรือไม่ พวกเขาไม่กล้าคิดเอาเอง อย่างไรก็แล้วแต่ พวกเขาจะไม่ยอมทำตามคำสั่งของกษัตริย์ เพราะพวกเขามอบตัวที่จะปรนนิบัติพระเจ้าเป็น สิ่งแรกและเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด
ดาวิดรู้ดีว่าพระเจ้าสามารถช่วยชีวิตบุตรของท่านได้ และรู้ด้วยว่าถ้าพระองค์เลือกที่จะทำ ก็เป็นเพราะพระคุณ เท่านั้น ไม่ใช่เพราะความดีของท่านแต่ประการใด ถ้าพระเจ้าทรงไว้ชีวิตบุตรของท่าน ดาวิดจะมีความสุขมาก แต่เมื่อเด็กตายลง จึงเห็นได้ชัดว่าพระองค์ปฏิเสธคำขอของท่าน ดาวิดก็ยังรู้สึกสงบดี เพราะท่านรู้ดีว่า พระคุณนั้นประทานให้ตามอำนาจอธิปไตยของพระองค์เสมอ พระเจ้าไม่ได้ทรงเลือกตามคุณงามความดีของ มนุษย์ เป็นการเลือกตามพระประสงค์และการครอบครองของพระองค์ เป็นการเลือกที่ไม่มีอิทธิพลใดๆมา ครอบงำ แต่โดยความชอบพระทัยของพระองค์เอง สิ่งนี้คือสิ่งที่ อ.เปาโลชี้ให้เห็นในเรื่องความรอดของมนุษย์ ตามที่พระเจ้าเลือกสรร นานมาแล้ว ก่อนที่มนุษย์จะเกิด ก่อนที่มนุษย์จะรู้จักทำดีทำชั่ว (ราวกับว่ามีผลต่อ การเลือกสรรของพระเจ้า):
8 หมายความว่าคนที่เป็นบุตรของพระเจ้านั้นมิใช่บุตรทางเนื้อหนัง แต่บุตรตาม
พระสัญญา จึงจะถือว่าเป็นผู้สืบเชื้อสายได้ 9 เพราะพระสัญญามีว่าดังนี้ เราจะ
มาตามฤดูกาล และนางซาราห์จะมีบุตรชาย 10 และมิใช่เท่านั้น แต่ว่านางเรเบคคา ก็ได้มีครรภ์กับชายคนหนึ่งด้วย คืออิสอัคบรรพบุรุษของเรา 11 แม้ก่อนบุตรนั้นบัง
เกิดมา และยังไม่ได้กระทำดีหรือชั่ว เพื่อพระดำริของพระเจ้าในการทรงเลือกนั้น
จะตั้งมั่นคงอยู่ ไม่ใช่ตามการประพฤติ แต่ตามซึ่งพระองค์ทรงเรียก 12 พระองค์จึง
ตรัสแก่นางนั้นว่า พี่จะปรนนิบัติน้อง 13 ตามที่มีคำเขียนไว้ในพระคัมภีร์ว่า
ยาโคบนั้นเรารัก แต่เอซาวเราได้ชัง (โรม 9:8-13)
ในกรณีประชากรชาวนีนะเวห์ พระเจ้าทรงยับยั้ง และเมืองนี้รอดพ้น (ซึ่งเป็นผลทำให้้โยนาห์ไม่พอใจ) ในกรณี ของดาิวิด พระเจ้าไม่ทรงยับยั้ง ดาวิดไม่มีสิทธิที่จะโกรธ เพราะท่านไม่สมควรได้รับในสิ่งที่ทูลขอ อันที่จริง ท่านสมควรได้รับร้ายแรงกว่านั้น เราจึงไม่ควรโกรธ ที่พระเจ้าไม่ประทานในสิ่งที่เราไม่สมควรได้ เราไม่ควร แอบอ้างเอาพระคุณ เมื่อได้รับ เราควระรับด้วยใจโมทนา ในฐานะที่ได้โดย่ไม่สมควร และเมื่อไม่ได้ เราควร ยอมรับอย่างถ่อมใจว่า เป็นสิ่งที่เราไม่สมควรได้มาตั้งแต่แรกแล้ว
เหตุผลห้าประการนี้น่าจะเพียงพอสนับสนุนการแสดงออกของดาวิดได้ ยังมีอีกสิ่งหนึ่ง ที่ในพระคัมภีร์บันทึก ไว้ ที่ผมต้องการให้พวกคุณดู : ดาวิดได้รับความผ่อนคลาย และมีสันติสุขในการตายของบุตรน้อย เพราะท่านมั่นใจว่า ถึงแม้เด็กจะไม่ได้กลับมามีชีวิตอยู่กับท่านต่อไป ท่านก็จะได้ไปพบกับเขาอีกใน สวรรค์ :
"แต่เมื่อเขาสิ้นชีวิตแล้ว เราจะอดอาหารทำไม เราจะทำเด็กให้ฟื้นขึ้นมาอีกได้หรือ มีแต่เราจะตามทางเด็กนั้นไป เขาจะกลับมาหาเราหามิได้" (ข้อ 23)
ผมเชื่อว่า วิธีเดียวที่จะเข้าใจความรู้สึกของดาวิดในข้อนี้ได้ คือเข้าใจว่าท่านพูดในทำนอง : "เราไม่สามารถ ทำให้เด็กฟื้นขึ้นมา เพื่อจะมามีชีวิตอยู่กับเราได้อีก แต่เรามีความหวังว่า จะได้อยู่กับเขาอีกในสวรรค์ เมื่อเรา จากโลกนี้ไป"
บทสรุปด้านบน ไม่เป็นที่ยอมรับโดยทั่วไป บางคนเข้าใจว่า ดาวิดมั่นใจว่าจะได้ไปอยู่กับ เด็กคนนี้ ในสวรรค์ พวกเขาคิดว่าไม่จำเป็นต้องสรุปว่า ทารกทุกคน ที่ตายได้ไปสวรรค์ คนที่เชื่อว่าเด็กที่ได้รับบัพติสมาในวัย ทารก มักเชื่อว่าเด็กเหล่านั้นจะได้ไปสวรรค์ถ้าตายในขณะยังเป็นทารก แต่มีหลายคนที่มั่นใจอย่างหนักแน่นว่า เด็กที่ยังไม่สามารถกลับใจ และมาเชื่อในองค์พระเยซูคริสต์ จะไม่ได้ไปสวรรค์ ถ้าเป็นเช่นนี้ สิ่งที่ดาวิดพูด น่าจะแปลได้เป็นทำนองว่า : "เราไม่สามารถทำให้เด็กนี้ฟื้นขึ้นมาได้ แต่เราจะไปอยู่กับเขาได้ที่ในอุโมงค์ ฝังศพ" ผมขอพูดถึงข้อสรุปหลังนี่ก่อน และจะพูดถึงความคิดเห็นของผมเอง ว่าทารกที่ตายไป (ก่อนที่จะ รู้ภาษา) นั้นไปสวรรค์
มีบางคนเชื่อว่าที่ดาวิดพูดนั้นหมายถึงการตายแล้วไปอยู่ในอุโมงค์ฝังศพเช่นเดียวกับเด็ก ในบริบทของตอนนี้ ผมคิดว่าเข้าใจได้ยาก ดาวิดอดอาหาร คร่ำครวญ และอธิษฐาน มากเสียจนพวกข้าราชการเริ่มเป็นห่วงในตัว ท่าน พวกเขาไม่สามารถทำให้ท่านลุกจากพื้นดินหรือให้รับประทานอาหารได้ แต่ทันทีที่เด็กตายลง ดาวิดก็ กลับไปดำเนินชีวิตตามปกติ เหมือนกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น และเมื่อพวกข้าราชการมาถาม ท่านก็ตอบไปตามที่ เรารู้ ส่วนหนึ่งในคำตอบของท่านคือ ท่านไม่สามารถทำให้เด็กฟื้นกลับมาได้ แต่วันหนึ่งข้างหน้าท่านจะไป อยู่กับเขา ในความคิดของบางคน ดาวิดพูดจาในทำนองนี้ :
"เราต้องการแสดงให้เห็นถึงความเสียใจของเรา และร้องวิงวอนขอชีวิตเด็กจาก องค์พระผู้เ็ป็นเจ้า แต่เมื่อไม่สำเร็จ เราจะนำเขาไปฝังไว้ที่สุสานประจำเมือง ณ ที่ ฝังศพเลขที่ 23 และด้วยความชื่นชมยินดี เรารู้ว่าเราจะถูกฝังไว้ที่ฝังศพหมาย เลข 24 ข้างๆ นี่คือเหตุผลที่ทำให้เรารู้สึกสบายใจเป็นอย่างยิ่ง ที่จะได้อยู่ในหลุม เคียงกัน"56
ผมขอบอกว่าคำพูดนี้ไม่น่าจะเป็นคำอธิบายที่เหมาะสม จนทำให้ดาวิดรู้สึกผ่อนคลายความเศร้า ผมเชื่อว่า ท่านพูดถึงสิ่งที่นอกเหนือ และไกลเกินกว่ากว่าเรื่องหลุมศพ เพื่อจะได้อยู่กับเด็กคนนี้เมื่อกลับเป็นขึ้นมาอีก นี่เป็นความรู้สึกเดียวกับที่เราได้ยินจาก อ.เปาโลหรือเปล่า?
13 ดูก่อนพี่น้องทั้งหลาย เราไม่อยากให้ท่านไม่ทราบความจริงเรื่องคนที่ล่วง
หลับไปแล้ว เพื่อท่านจะไม่เป็นทุกข์โศกเศร้า อย่างคนอื่นๆที่ไม่มีความหวัง
14 เพราะในเมื่อเราเชื่อว่าพระเยซูทรงสิ้นพระชนม์ และทรงคืนพระชนม์แล้ว
โดยพระเยซูนั้น พระเจ้าจะทรงนำบรรดาคนที่ล่วงหลับไปแล้วนั้น มากับพระองค์
15 ในข้อนี้เราขอบอกให้ท่านทราบ ตามพระวจนะขององค์พระผู้เป็นเจ้าว่า เรา ผู้ยังเป็นอยู่และคอยองค์พระผู้เป็นเจ้าเสด็จมา จะล่วงหน้าไปก่อนคนเหล่านั้น ที่ล่วงหลับไปแล้วก็หาไม่ 16 ด้วยว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าจะเสด็จมาจากสวรรค์
ด้วยพระดำรัสสั่ง ด้วยสำเนียงเรียกของเทพบดีและด้วยเสียงแตรของพระเจ้า และคนทั้งปวงในพระคริสต์ที่ตายแล้วจะเป็นขึ้นมาก่อน 17 หลังจากนั้นเราทั้ง
หลายซึ่งยังเป็นอยู่ จะถูกรับขึ้นไปในเมฆพร้อมกับคนเหล่านั้น และจะได้พบ องค์พระผู้เป็นเจ้าในฟ้าอากาศ อย่างนั้นแหละ เราก็จะอยู่กับองค์พระผู้เป็น
เจ้าเป็นนิตย์ 18 เหตุฉะนั้นจงปลอบใจกันด้วยถ้อยคำเหล่านี้เถิด
(1 เธสะโลนิกา 4:13-18)
ผมว่าเราต้องยอมรับความคิดที่พวกเราชอบคิดกันว่า เด็กทุกคนได้ไปสวรรค์ ถ้าตายตั้งแต่ยังเป็นทารก ด้วย เหตุผลนี้เพียงข้อเดียว ทำให้เราต้องเรียนเรื่องนี้กันอย่างรอบคอบเป็นพิเศษ ผมเห็นด้วย ว่าแค่พระคำบาง ตอนใน 2 ซามูเอล 12 ยังไม่เพียงพอที่จะสนับสนุนข้อสรุปของผมได้ ถ้าไม่มีข้อพระคำจากตอนอื่นหรือ ข้อเท็จจริงอื่นๆในพระคัมภีร์มาสนับสนุนด้วย จริงครับที่ข้อสรุปของผมไม่มีหลักฐานที่ชัดเจนพอ เมื่อพูดไป แล้ว ผมอยากจะบอกต่อด้วยว่า มุมมองอื่นๆเองก็ไม่มีข้อเท็จจริงพอ มาสนับสนุนชี้ขาดได้เช่นกัน (ในความ เห็นของผม) ซึ่งแม้มีข้อพิสูจน์มาสนับสนุนเพียงน้อยนิดก็ตาม
ผมขอพูดอีกสักหน่อย ก่อนที่เราจะพูดคุยเรื่องนี้กันอย่างจริงจัง หัวข้อนี้ (เรื่องเด็กตายแล้วไปสวรรค์จริงหรือ?) ไม่สมควรก่อให้เกิดความเห็นแตกแยกในพี่น้องคริสเตียน มันไม่ใช่เรื่องพื้นฐานความเชื่อ และไม่ควรมองว่า เป็นเรื่องนอกคอก ไม่ว่าจะยึดตามมุมมองใดก็ตาม (ตามที่กล่าวด้านบน) ที่สุดแล้ว เราต้องยอมรับว่า พระเจ้า จะทรงสัตย์ซื่อและเที่ยงธรรม ในการพิพากษามนุษย์ทุกคน (รวมทั้งทารกด้วย) ให้ไปนรก ถ้าพระองค์ต้องการ จะทำ นอกจากนั้น เราทั้งหลายที่รู้จักและรักพระเจ้า ควรจะวางใจพระองค์ในเรื่องนี้ บางครั้ง บางเรื่อง และ บางคำถาม ไม่มีคำตอบที่ชัดเจน ในกรณีเช่นนี้ ผมเชื่อว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่เราต้องมอบไว้ที่พระเจ้าจริงๆ และ เรียนรู้ที่จะวางใจในพระองค์
ตามข้อวินิจฉัยเหล่านี้ ผมขอนำข้อเท็จจริงบางข้อ ที่ทำให้ผมสรุปได้ ว่าทารกที่ตายแล้วได้ไปสวรรค์ ผมขอ มุ่งไปที่ข้อพิสูจน์สี่ข้อต่อไปนี้
ข้อแรก ในพระธรรมโยนาห์ พระเจ้าทรงแยกแยะชัดเจนระหว่างเด็ก และผู้ใหญ่ และทรงตำหนิ โยนาห์ที่ต้องการให้มีการพิพากษาไปถึงพวกเด็กๆ เรารู้เรื่องโยนาห์ ผู้เผยพระวจนะของอิสราเอล ถูกสั่งให้ไปนีนะเวห์ เพื่อไปประกาศเรื่องการพิพากษา ที่กำลังจะมาถึงเมืองแห่งความชั่วนี้ เราคงจำได้ว่า โยนาห์ทำฤทธิ์อะไรไว้บ้าง แต่ในที่สุด ก็ไปถึงนีนะเวห์จนได้ เขาไปประกาศถึงพระอาชญาของพระเจ้า ที่จะมีมาถึงนีนะเวห์ภายใน 40 วัน ชาวนีนะเวห์กลับใจ พระเจ้าจึงทรงยับยั้งพระทัยไม่ลงโทษ โยนาห์ โกรธจัด เขาต้องการให้พระเจ้าทำลายเมืองชั่วร้ายนี้ รวมทั้งประชากรทั้งหมดที่อาศัยอยู่ ด้วยความดื้อดึง โยนาห์ออกไปอยู่ที่นอกเมือง ไปรอดูการทำลายเมืองตามที่พระเจ้าตรัสไว้ แต่ไม่ได้ทำ โยนาห์ทนรออยู่ กลางแดดร้อนเปรี้ยง เพราะต้องการเห็นความพินาศของนีนะเวห์ เรื่องเป็นดังนี้ :
5 แล้วโยนาห์ก็ออกไปนอกนคร นั่งอยู่ทางทิศตะวันออกของเมืองนั้น และ ท่านทำเพิงไว้เป็นที่ท่านอาศัย ท่านนั่งอยู่ใต้ร่มเพิงคอยดูเหตุการณ์อันจะ
เกิดขึ้นกับนครนั้น 6 และพระเจ้าทรงกำหนดให้ต้นละหุ่งต้นหนึ่ง งอกขึ้นมา
เหนือโยนาห์ ให้เป็นที่กำบังศีรษะของท่าน เพื่อให้บรรเทาความร้อนรุ่มกลุ้ม
ใจในเรื่องนี้ เพราะเหตุต้นละหุ่งต้นนี้โยนาห์จึงมีความยินดียิ่งนัก 7 แต่ในเวลา
เช้าวันรุ่งขึ้น พระเจ้าทรงกำหนดให้หนอนตัวหนึ่งมากัดกินต้นละหุ่งต้นนั้น จน
มันเหี่ยวไป 8 เมื่อดวงอาทิตย์ขึ้นแล้ว พระเจ้าทรงกำหนดให้ลมตะวันออกที่
ร้อนผากพัดมา และแสงแดดก็แผดลงบนศีรษะของโยนาห์จนท่าน อ่อนเพลีย
ไปและท่านก็ทูลขอว่า ให้ท่านตายเสียเถิด ท่านว่า "ข้าตายเสียก็ดีกว่าอยู่"
9 แต่พระเจ้าตรัสกับโยนาห์ว่า "ที่เจ้าโกรธเพราะต้นละหุ่งนั้นดีอยู่แล้วหรือ"
ท่านทูลว่า "ที่ข้าพระองค์โกรธถึงอยากตายนี้ดีแล้ว พระเจ้าข้า" 10 และพระ
เจ้าตรัสว่า "เจ้าหวงต้นไม้ซึ่งเจ้ามิได้ลงแรงปลูก หรือมิได้กระทำให้มันเจริญ มันงอกเจริญขึ้นในคืนเดียว แล้วก็ตายไปในคืนเดียวดุจกัน 11 ไม่สมควรหรือ ที่เราจะหวงเมืองนีนะเวห์นครใหญ่นั้น
ซึ่งมีพลเมืองมากกว่าหนึ่งแสนสอง
หมื่นคน ผู้ไม่ทราบว่าข้างไหนมือขวาข้างไหนมือซ้าย และมีสัตว์เลี้ยง
เป็นอันมากด้วย" (โยนาห์ 4:5-11 และผม)
โยนาห์โกรธพระเจ้า สาเหตุความโกรธของท่านอัศจรรย์ดี ท่านโกรธพระเจ้าเพราะพระคุณที่ทรงมีให้แก่ชาว นีนะเวห์คนบาป ท่านโมโหเพราะพระเจ้ายกโทษให้คนบาปที่ไม่สมควรพวกนี้ทันทีที่มีการกลับใจ ท่านผิด อย่างมหันต์ ที่คิดเอาเองว่า พระเจ้าอวยพระพรชาวยิวในอีกแบบ -- แบบว่าเพราะเป็นคนยิว โยนาห์เกลียด พระคุณ โดยเฉพาะพระคุณที่เทให้กับคนบาปผู้ไม่สมควรได้ 57 ที่น่าเศร้าคือ ท่านไม่อาจเข้าใจได้ ว่าพระพร ของพระเจ้าที่มีแก่อิสราเอล และแก่ท่านนั้น ตั้งมั่นอยู่ในพระคุณล้วนๆ ที่สุดแล้ว ดูเหมือนโยนาห์จะวางใจ ในสิ่งอื่นมากกว่าพระคุณ
พระเจ้าให้บทเรียนเรื่องพระคุณแก่โยนาห์ พระองค์ประทานร่มเงาให้แก่ผู้เผยพระวจนะจอมดื้อท่านนี้ ทั้งๆที่ ท่านไม่จำเป็นต้องไปทนทรมาณ ยืนตากแดด เมื่อพระเจ้านำต้นไม้ไป ร่มเงาที่โยนาห์อาศัยบังอยู่ก็หมดไป ด้วย ท่านโกรธสุดๆ พระเจ้าท้าทายท่านเรื่องความโกรธ โยนาห์สมควรได้รับร่มเงาจากต้นไม้หรือ? ทำไมท่าน จึงต้องโกรธด้วยเมื่อพระเจ้าเอาไป? โยนาห์ไม่สมควรได้รับพระคุณที่มีให้อย่างล้นเหลือ แต่ท่านกลับรู้สึก ว่าท่านเป็นผู้สมควรได้รับ
แล้วพระเจ้าทรงนำโยนาห์จากบทเรียนเข้าสู่เรื่องจริง การทำลายหรือการช่วยกู้เมืองนีนะเวห์ เหตุใดโยนาห์ จึงตั้งใจหนักหนา ที่จะให้คน 120,000 ที่มองไม่ออกว่ามือใหนข้างซ้าย มือใหนข้างขวา ต้องมาพินาศไป? ผมมีความรู้สึกว่า พระเจ้ามองประชากร 120,000 คนนี้ ต่างจากชาวนีนะเวห์ในสมัยก่อนที่แยกแยะผิดชอบ ชั่วดีได้ มองออกว่าข้างใหนซ้ายข้างใหนขวา ขณะที่โยนาห์อยากให้พวกเด็กในเมืองนี้ตาย พระเจ้าไม่เช่นนั้น พระองค์ไม่ได้ถกเถียงกับโยนาห์เรื่องพระคุณที่พระองค์ได้สำแดงให้แก่ผู้กลับใจ (ผู้ใหญ่) ชาวอิสราเอล พระองค์ตำหนิโยนาห์ ที่อยากจะเห็นเด็กๆต้องพินาศไปพร้อมกับผู้ใหญ่ โยนาห์ไม่ได้แยกเด็ก แยกผู้ใหญ่ ; แต่พระเจ้าทรงทำ เรื่องการแยกแยะนี้เป็นเรื่องเกี่ยวข้องกับบทเรียนที่เราจะมาเรียนต่อไปนี้ เรื่องบุตรของ ดาวิดที่ตายไป
พระเจ้าทรงตำหนิโยนาห์ตามความจริง โยนาห์ไม่ยอมแยกระหว่างคนบาปผู้ใหญ่ (ที่กลับใจ) และเด็กจำนวน 120,000 คนในนีนะเวห์ ไม่ใช่เป็นการแยกแยะตามอายุเท่านั้น แต่แยกแยะตามเหตุและผลได้ด้วย เด็ก 120,000 คนนี้ ยังไม่รู้เลยว่ามือใหนซ้าย มือใหนขวา ถ้าเป็นเช่นนั้น ก็แสดงว่ายังแยกแยะอะไรไม่เป็น แล้ว จะไปแยกแยะผิดชอบชั่วดีอย่างไรได้? พวกเขาเลือกที่จะขัดคำสั่งพระเจ้า หรือเลือกที่จะเชื่อฟังพระองค์เป็น หรือยัง? พระเจ้ายังพูดถึงสัตว์เลี้ยงอีกด้วย พวกสัตว์เลือกทำตามหรือขัดคำสั่งพระเจ้าไม่เป็น ไม่ใช่เพราะ เรื่องอายุ แต่เพราะพวกนี้เป็นเพียงสัตว์ ไม่สามารถแยกแยะหาเหตผลได้ โยนาห์ต้องการที่จะเห็นเด็ก และ สัตว์เลี้ยงเหล่านี้ต้องพินาศไปหรือ? ; พระองค์จึงต้องตำหนิความคิดของโยนาห์ เราจะนำหลักการเดียวกันนี้ มาใช้กับเด็กๆได้หรือไม่? หรือว่าใช้ได้เฉพาะกับเด็กเมืองนีนะเวห์เท่านั้น? ผมว่าได้แน่นอน
ข้อสอง ตามทั้งพระคัมภีร์เก่าและใหม่ เด็กๆไม่จำเป็นที่จะต้องมารับโทษทัณฑ์ในความบาปของ บิดามารดา
16 "อย่าให้บิดาต้องรับโทษถึงตายแทนบุตรของตน หรือให้บุตรต้องรับโทษ
ถึงตายแทนบิดาของตน ให้ทุกคนรับโทษถึงตายด้วยโทษของคนนั้นเอง (เฉลยธรรมบัญญัติ 24:16)
27 "พระเจ้าตรัสว่า ดูเถิด วันเวลาจะมาถึง เมื่อเราจะหว่านพืชคนและพืชสัตว์
ในประชา อิสราเอลและประชายูดาห์ 28 และจะเป็นไปอย่างนี้ คือเมื่อเราเฝ้า
ดูเขา เพื่อจะถอนออกและพังลงคว่ำเสีย ทำลาย และนำเหตุร้ายมาฉันใด เรา จะเฝ้าดูเหนือเขาเพื่อจะสร้างขึ้นและปลูกฝังฉันนั้น พระเจ้าตรัสดังนี้แหละ
29 ในสมัยนั้น เขาจะไม่กล่าวต่อไปอีกว่า 'บิดารับประทานองุ่นเปรี้ยวและบุตร
ก็เข็ดฟัน' 30 แต่ทุกคนจะต้องตายเพราะบาปของตนเอง มนุษย์ทุกคนที่
รับประทานองุ่นเปรี้ยว ก็จะเข็ดฟัน 31 "พระเจ้าตรัสว่า ดูเถิด วันเวลาจะมาถึง
ซึ่งเราจะทำพันธสัญญาใหม่กับประชาอิสราเอลและประชายูดาห์ 32 ไม่เหมือน กับพันธสัญญาซึ่งเราได้กระทำกับ บรรพบุรุษของเขาทั้งหลาย เมื่อเราจูงมือ เขาเพื่อนำเขาออกมาจากแผ่นดินอียิปต์ เป็นพันธสัญญาของเราซึ่งเขาผิด ถึงแม้ว่าเราได้เป็นสามีของเขา พระเจ้าตรัสดังนี้แหละ 33 แต่นี่จะเป็นพันธ
สัญญาซึ่งเราจะกระทำกับ ประชาอิสราเอลภายหลังสมัยนั้น พระเจ้าตรัสดังนี้
แหละ เราจะบรรจุพระธรรมไว้ในเขาทั้งหลาย และเราจะจารึกมันไว้บนดวงใจ
ของเขาทั้งหลาย และเราจะเป็นพระเจ้าของเขา และเขาจะเป็นประชากรของเรา
34 และทุกคนจะไม่สอนเพื่อนบ้านของตน และพี่น้องของตนแต่ละคนอีกว่า
'จงรู้จักพระเจ้า' เพราะเขาทั้งหลายจะรู้จักเราหมดตั้งแต่คน เล็กน้อยที่สุดถึงคน
ใหญ่โตที่สุด พระเจ้าตรัสดังนี้แหละ เพราะเราจะให้อภัยบาปชั่วของเขา และจะไม่จดจำบาปของเขา ทั้งหลายอีกต่อไป" (เยเรมีย์ 31:27-34 ฉบับ NAB และผม)
ไม่ว่าจะเป็นพันธสัญญาเดิมหรือใหม่ บุตรไม่จำต้องมารับโทษแทนบิดามารดา ทุกคนต้องรับผลตามการ กระทำของตนเอง ในพระธรรมโรม 5 อ.เปาโลกล่าวว่า:
12 เหตุฉะนั้น เช่นเดียวกับที่บาปได้เข้ามาในโลกเพราะคนๆเดียว และความ ตายก็เกิดมาเพราะบาปนั้น และความตายก็ได้แผ่ไปถึงมวลมนุษย์ทุกคน เพราะ
มนุษย์ทุกคนทำบาป 13 ความจริงบาปได้มีอยู่ในโลกแล้วก่อนมีธรรมบัญญัติ แต่ที่ใดไม่มีธรรมบัญญัติก็ไม่ถือว่ามีบาป 14 อย่างไรก็ตาม ความตายก็ได้ครอบ
งำตลอดมา ตั้งแต่อาดัมจนถึงโมเสส แม้คนที่มิได้ทำบาปอย่างเดียวกับการ
ละเมิดของอาดัม (โรม 5:12-14)
หมายความว่า บาปของอาดัมแพร่ไปสู่มนุษยชาติทั้งมวล ก่อนที่จะมีพระบัญญัติ มนุษย์เองก็มีธรรมชาติบาป อยู่ในตัวแล้ว จึงทำให้ทุกคนต้องตายฝ่ายกาย บาปของอาดัม ทำให้มวลมนุษยชาตต้องเป็นบาปตาม ธรรมชาติ
ในโรมบทที่ 7 อ.เปาโลพูดถึงการมีชีวิตอยู่เหนือธรรมบัญญัติ และมีชีวิตตามธรรมบัญญัติ :
9 เมื่อก่อนข้าพเจ้าดำรงชีวิตอยู่นอกเหนือธรรมบัญญัติ แต่เมื่อมีธรรมบัญญัติขึ้น บาปก็เกิดขึ้น และข้าพเจ้าก็ตาย (โรม 7:9)
ดูเหมือนจากพระธรรมตอนนี้ อ.เปาโลพูดถึงวัยที่เริ่มเข้าใจ เมื่อท่านยังเป็นทารกอยู่ ท่าน "ดำรงชีวิตอยู่นอก เหนือธรรมบัญญัติ" เพราะท่านยังไม่สามารถเข้าใจ แยกแยะผิดถูกไม่เป็น และเมื่อท่านขาดความเข้าใจ หรือ เลือกเองไม่เป็น ธรรมบัญญัติจึงไม่มีความหมายสำหรับท่าน แต่เมื่อเวลามาถึง เมื่อท่านรู้จักธรรมบัญญัติ เมื่อ นั้นแหละ ท่านก็ตกอยู่ภายใต้คำสาปแช่งของมัน
โรมบทที่ 1-3 อ.เปาโลวางรากฐานให้กับจดหมายฝากทั้งหมดของท่าน ท่านพยายามชี้ให้เห็นว่ามนุษย์ทุกคน เป็นคนบาป สมควรแก่พระอาชญานิรันดร์ มนุษย์ไม่สามารถช่วยตนเองได้ (จึงจำเป็นต้องพึ่งของประทานแห่ง ความรอดในองค์พระคริสต์โดยทางพระคุณ) ท่านจึงสรุป (มนุษย์ทุกคนเป็นคนบาป) ตามที่บันทึกอยู่ในบทที่ 3 โดยนำพระคำในพระคัมภีร์เดิมมากล่าวว่า :
9 ถ้าเช่นนั้นจะเป็นอย่างไร พวกยิวเราจะได้เปรียบกว่าหรือ เปล่าเลยเพราะเราได้ ชี้แจงให้เห็นแล้วว่า มนุษย์ทุกคนทั้งพวกยิวและพวกต่างชาติต่างก็อยู่ใต้อำนาจของ
บาป 10 ตามที่พระคัมภีร์มีเขียนไว้ว่า ไม่มีผู้ใดเป็นคนชอบธรรมสักคนเดียว
ไม่มีเลย 11 ไม่มีคนที่เข้าใจ ไม่มีคนที่แสวงหาพระเจ้า 12 เขาทุกคนหลงผิด
ไปหมด เขาทั้งปวงเลวทรามเหมือนกันสิ้น ไม่มีสักคนเดียวที่กระทำดี ไม่มีเลย
13 ลำคอของเขาคือหลุมฝังศพที่เปิดอยู่ เขาใช้ลิ้นของเขาในการล่อลวง พิษงู
ร้าย อยู่ใต้ริมฝีปากของเขา 14 ปากของเขาเต็มไปด้วยคำแช่งด่าและคำเผ็ด
ร้อน 15 เท้าของเขาว่องไวในการทำให้นองเลือด 16 ในทางเดินของเขามีความ
พินาศ และความทุกข์ 17 และเขาไม่รู้จักทางแห่งสันติสุข 18 เขาไม่เคยคิดที่
จะยำเกรงพระเจ้าเลย (โรม 3:9-18)
คำกล่าวโทษนี้ เป็นบทสรุปที่ อ.เปาโลเขียนเอาไว้ เริ่มตั้งแต่ในบทที่ 1 มาจนถึงตอนนี้ โดยเฉพาะข้อ 18 :
18 เพราะว่าพระเจ้าทรงสำแดงพระพิโรธของพระองค์จากสวรรค์ ต่อความหมิ่นประมาทพระองค์ และความชั่วร้ายทั้งมวลของมนุษย์ ที่เอาความชั่วร้ายนั้นบีบคั้นความจริง
อ.เปาโลพิสูจน์ได้อย่างไรว่ามนุษย์เป็นคนบาป ตกอยู่ภายใต้พระอาชญา? ในบทที่ 1 อ.เปาโลแสดงให้เห็นว่า ชาวต่างชาติที่ไม่เคยได้ยินเรื่องข่าวประเสริฐนั้นเป็นคนบาป สมควรแก่พระอาชญา เข้าใจได้ว่าคนเหล่านี้คง ไม่เคยได้ยินเรื่องพระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์ ถึงกระนั้นพวกเขายังได้รับการสำแดงของพระเจ้า ซึ่งพวก เขาก็จงใจปฏิเสธ การสำแดงนี้มีปรากฎอยู่ในธรรมชาติโดยรอบ :
20 ตั้งแต่เริ่มสร้างโลกมาแล้ว สภาพที่ไม่ปรากฏของพระเจ้านั้น คือฤทธานุภาพ อันถาวรและเทวสภาพของพระองค์ ก็ได้ปรากฏชัดในสรรพสิ่งที่พระองค์ได้ทรง
สร้าง ฉะนั้นเขาทั้งหลายจึงไม่มีข้อแก้ตัวเลย 21 เพราะถึงแม้ว่าเขาทั้งหลายได้รู้
จักพระเจ้าแล้ว เขาก็มิได้ถวายพระเกียรติแด่พระองค์ให้สมกับที่ทรงเป็นพระเจ้า หรือหาได้ขอบพระคุณไม่ แต่เขากลับคิดในสิ่งที่ไม่เป็นสาระ และจิตใจโง่เขลา
ของเขาก็มืดมัวไป 22 เขาอ้างตัวว่าเป็นคนมีปัญญา เขาจึงกลายเป็นคนโง่เขลาไป
23 และเขาได้เอาพระสิริของพระเจ้าผู้เป็นอมตะมาแลกกับรูปมนุษย์ที่ต้องตายหรือ
รูปนก รูปสัตว์จตุบาท และรูปสัตว์เลื้อยคลาน (โรม 1:20-23)
ผมเชื่อว่าต้องมีการถกเถียงกันในทำนองนี้ : พระเจ้าได้สำแดงพระองค์ให้มนุษย์ทั้งหลายได้เห็นโดยผ่านทาง ธรรมชาติ การสำแดงนี้ยังไม่ครบสมบูรณ์ และยังไม่ได้รวมเอาเรื่องข่าวประเสริฐแห่งการให้อภัย โดยมีพระ เยซูคริสต์เป็นผู้แบกรับโทษแทนที่บนไม้กางเขนรวมอยู่ด้วย ถึงกระนั้น การตอบสนองของแต่ละคน ต่อการ สำแดงของพระเจ้าในธรรมชาติ จะเป็นตัวบ่งว่าพวกเขาจะสนองตอบอย่างไรถ้าได้รับการสำแดงเพิ่มเติม บรรดาคนที่ได้เห็นการสำแดงของพระเจ้าในธรรมชาติรอบตัว และปฏิเสธ หรือบิดเบือนให้ไปเป็นลัทธิต่างๆ ตามแต่จะคิดกันขึ้นมา ก็จบลงที่พวกเขาพากันนมัสการสิ่งทรงสร้าง แทนพระผู้สร้าง ในโรมบทที่ 2 และ ตอนแรกของบทที่ 3 อ.เปาโลแสดงให้เห็นว่า พระเจ้าทรงเที่ยงธรรม ในการลงโทษมนุษย์ ในฐานะที่เป็นคน บาป ไม่ดำเนินชีวิตตามมาตรฐานของจิตใต้สำนึก และแน่นอนที่สุดไม่ได้มาตรฐานตามธรรมบัญญัติของ โมเสส พระเจ้าแสดงให้เห็นว่า มนุษย์ทุกคนเป็นคนบาป สมควรแก่พระอาชญานิรันดร์ เพราะเขาทั้งหลาย ได้รับการทรงสำแดงแล้ว แต่กลับเมินเฉย บิดเบือนความจริงที่ได้รับ นำไปแลกกับสิ่งที่ใจตนเองอยากเชื่อ
ทุกคนที่ถูกลงพระอาชญาว่าเป็นคนบาปในพระธรรมโรม 1-3 คือบรรดาคนที่รับรู้การสำแดงจากพระเจ้าแล้ว คนที่มีสติปัญญาสมบูรณ์พร้อม ที่จะเห็นและตอบสนองได้ แต่กลับปฏิเสธ ผมขอยืนยันว่า เด็กทารก ทั้งที่ อยู่ในครรภ์หรือคลอดออกมาแล้ว (ผมไม่ขอกำหนดตามที่ผู้คนถือว่าเวลาใดคือเวลา "รู้ความ") ยังไม่เคย ได้รับการสำแดง และไม่มีความสามารถพอที่จะปฏิเสธความชั่ว เลือกทำแต่ความดี พวกเขายังไม่ได้ทำบาป ในแง่ของรู้ผิดรู้ถูกแต่กลับเลือกที่จะทำผิด
ตรงนี้แหละที่พวกผู้ใหญ่บางคนเริ่มรู้สึกไม่ดี เพราะกลัวว่าถ้าพูดออกไป ก็เท่ากับว่ากำลังปฏิเสธธรรมชาติบาป เดิมที่มีอยู่ในมนุษย์ ซึ่งรวมทั้งพวกเด็กด้วย พวกเขากลัวประหนึ่งเป็นการประกาศว่า เด็กๆนั้นบริสุทธิ์ ผมไม่ ได้หมายความตามนั้นเลย ไม่ว่ายังอยู่ในครรภ์ หรือออกมาเป็นทารกแล้วก็ตาม เชื้อสายทุกคนของอาดัม (คือ มนุษย์ทุกคน ไม่ว่าอายุเท่าใดก็ตาม) เป็นคนบาปตามธรรมชาติ เป็นผลมาจากบาปของอาดัม ซึ่งถ่ายทอด ออกไปสู่ผู้สืบเชื้อสายทุกคน แต่ว่ายังมีข้อแตกต่าง ระหว่างเป็นคนบาปเพราะธรรมชาติบาปเดิม กับคนบาป ที่เป็นผู้ลงมือกระทำบาป ทารกเแรกเิกิดเป็นคนบาปตามธรรมชาติบาป แต่ยังไม่ได้เป็นคนบาปโดยการกระทำ นอกเสียจากเลือกทำบาปเมื่อแยกแยะผิดชอบชั่วดีเป็น ถ้าไม่ตายก่อนวัยอันควรแล้ว เด็กทุกคนที่เป็นคนบาป ตามธรรมชาติ ในไม่ช้า ธรรมชาติบาปจะเกิดดอกออกผลจนกลายเป็นผู้ลงมือทำบาปเอง
แล้วทารกที่ตายก่อนคลอด กลายเป็นคนบาปที่ลงมือกระทำเองหรือ? ถ้าเราจะสรุปว่าพวกเขาสมควรถูก พิพากษาให้ตกนรกนิรันดร์ เป็นเพราะบาปของผู้ใด ทำให้เขาต้องถูกลงโทษเช่นนั้น? ผมคงต้องขอบอก ว่าเขาถูกลงโทษเพราะบาปของอาดัม ต้องทรมาณชั่วนิรันดร์เพราะธรรมชาติบาปเดิม ทั้งๆที่ยังไม่ได้เกิดด้วย ซ้ำ ผมเชื่อว่าสิ่งที่พระเจ้าทำในโยนาห์ 4 ระหว่างชาวนีนะเวห์ที่เป็นคนบาปด้วยการกระทำ กับคนที่เป็นคน บาปตามธรรมชาติบาปเดิม ผมเชื่อว่าพระเจ้าทรงตำหนิโยนาห์ เพราะท่านต้องการเห็นคนบาปที่เป็นบาปตาม ธรรมชาติเดิม (เท่านั้น) ต้องถูกลงโทษราวกับว่าพวกเขาเป็นผู้ลงมือทำบาปเอง แล้วพระเจ้าทรงช่วยกู้คนบาป ที่มีแต่ธรรมชาติบาปเดิม ไม่ให้พินาศได้อย่างไร? นี่เป็นเรื่องต่อไปที่เราต้องมาเรียนกัน
ข้อสาม ในโรมบทที่ 5 อ.เปาโลสอนเราว่า การพลีพระชนม์ขององค์พระเยซูคริสต์ เพื่อชดใช้ความ ผิดบาปของอาดัม ก็เพื่อผู้สืบเชื้อสายของอาดัม จะไม่ต้องพินาศในบึงไฟนรกเพราะความบาปของ ท่าน ถ้าผมเข้าใจถูกต้อง สาเหตุเดียวที่อาจทำให้ทารกตกนรกได้ คือความบาปของอาดัม ในทั้งพระคัมภีร์ เก่าและใหม่ บอกเราว่าไม่ใช่เช่นนั้น เพราะเด็กๆจะไม่ถูกลงโทษด้วยความบาปของพ่อแม่ ในโรมบทที่ 5 บอกเราถึงวิธีที่พระเจ้าจัดเตรียมหนทางเพื่อให้ทารกรอดพ้นจากบึงไฟนรก เรื่องนี้บันทึกอยู่ในโรมบทที่ 5 : "เหตุใดคนคนเดียว – องค์พระเยซูคริสต์ – สามารถช่วยกู้ทุกคนที่มีความเชื่อในพระองค์ได้?" "เหตุใดคน คนเดียวสามารถช่วยคนอื่นให้รอดได้โดยยอมตายแทน?"
คำตอบที่ อ.เปาโลให้ไว้นั้นแสนจะธรรมดา : "เพราะคนคนเดียว(อาดัม) ผู้นำความบาปตกทอดไปสู่ มนุษยชาติ ; ดังนั้น คนคนเดียว (พระเยซูคริสต์) เป็นผู้ช่วยแก้ปัญหาความบาปนี้ได้สำหรับทุกคนที่เชื่อ"
17 เพราะว่าถ้าโดยการละเมิดของคนนั้นคนเดียว เป็นเหตุให้ความตายครอบงำ
อยู่โดยคนนั้นคนเดียว มากยิ่งกว่านั้นคนทั้งหลายที่รับพระกรุณาอันไพบูลย์ และ รับของประทานคือความชอบธรรมก็จะดำรงชีวิต และครอบครองโดยพระองค์ผู้
เดียว คือพระเยซูคริสต์ 18 ฉะนั้นการพิพากษาลงโทษได้มาถึงคนทั้งปวง เพราะ การละเมิดครั้งเดียวฉันใด การกระทำอันชอบธรรมครั้งเดียว ก็นำการปลดปล่อย และชีวิตมาถึงทุกคนฉันนั้น (โรม 5:17-18)
45 มีเขียนไว้ในพระคัมภีร์ว่า มนุษย์คนเดิมคืออาดัมจึงเป็นผู้ที่มีชีวิตอยู่ แต่ อาดัมผู้ซึ่งมาภายหลังนั้นเป็นวิญญาณผู้ประสาทชีวิต 46 แต่ร่างกายซึ่งเกิดก่อน นั้นหาใช่เป็นกายวิญญาณไม่ แต่เป็นร่างกาย แล้วภายหลังจึงเกิดมีกายวิญญาณขึ้น
47 มนุษย์เดิมนั้นกำเนิดจากดินและเป็นมนุษย์ดิน มนุษย์ที่สองเสด็จมาจากสวรรค์
48 มนุษย์ดินผู้นั้นเป็นอย่างไร มนุษย์ดินทุกคนก็เป็นอย่างนั้น มนุษย์สวรรค์ผู้นั้น
เป็นอย่างไร มนุษย์สวรรค์ทุกคนก็เป็นอย่างนั้น 49 และเมื่อเราเกิดมามีลักษณะ
สมกับมนุษย์ดินแล้ว เราก็จะมีลักษณะสมกับมนุษย์สวรรค์ด้วย (1 โครินธ์ 15:45-49)
องค์พระเยซูคริสต์ถูกเรียกว่า "อาดัมผู้มาภายหลัง" เพราะทรงเป็นผู้เดียวที่สามารถrย้อนผลที่เกิดจากบาป ของอาดัมกลับไปได้ พระองค์ทำเช่นนั้น ไม่ใช่ด้วยการช่วยกู้มนุษย์แบบอัตโนมัติ แต่เป็นการชดใช้ความ ผิดบาปแทนให้ ดังนั้นทุกคนที่ได้รับของประทานความรอด ได้รับการอภัยบาป และมีชีวิตนิรันดร์ เด็กทุกคน มีธรรมชาติบาปติดตัวอยู่ ตามที่ได้รับมาจากอาดัม พวกเขามี โดยไม่ได้ทำบาปใดๆเลยเมื่อเกิดมาในโลกนี้ พวกเขาได้รับธรรมชาติบาปนี้มา โดยไม่มีเงื่อนใข คำโต้แย้งของ อ.เปาโลในโรมบทที่ 5 เป็น "มากกว่า" คำโต้แย้งธรรมดา ท่านโต้แย้งว่า ไม่ว่าอาดัมทำบาปใดไว้ก็ตาม พระคริสต์ทรงชดใช้ให้ (หรือลบล้าง) มากมายกว่า ถ้าเด็กต้องตกนรกเพราะแค่บาปของอาดัม การกระทำของพระคริสต์ที่บนไม้กางเขน ยิ่งต้อง "มากมาย" กว่าของอาดัม บรรดาคนที่ต้องพระอาชญาเพราะความบาปที่ตนเองเลือกทำ ฝ่าฝืนต่อ พระเจ้า และปฏิเสธการสำแดงที่ประสงค์จะสำแดงแก่พวกเขา บรรดาคนที่ไม่ได้เลือกจงใจทำบาปแบบอาดัม หรือ ว่าจบชีวิตลงก่อน ถูกลบล้างโดยโลหิตพระเยซูคริสต์ อาดัมทำให้มนุษยชาติเสื่อมลง แต่พระคริสต์ทำให้ดี กว่าเดิมมากมาย เพราะพระองค์ทรงชดใช้โทษบาปแทนอาดัม และทำให้คนบาปทั้งหลายกลายเป็นผู้ชอบ ธรรม การสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนของพระเยซู เป็นหนทางที่ทารกได้รับการช่วยกู้จากธรรมชาติบาป และ บึงไฟนรก เช่นเดียวกับที่ผู้เชื่อทุกคน (ที่เป็นผู้ใหญ่) ได้รับการช่วยกู้
นี่คือสิ่งที่ผมพยายามอธิบายว่าเหตุใดดาวิดจึงสงบลง และมีสันติสุขได้เมื่อบุตรของท่านตาย ดาวิดได้รับ การยืนยันว่าท่านจะไม่ตาย เพราะความจริงที่ว่า บาปของท่าน "ถูกนำไปเสีย" ในพันธสัญญาเดิม ไม่มี ความรอดสำหรับดาวิด มีแต่การลงโทษให้ตาย ดาวิดจึงได้รับการกู้ให้รอดจากพระอาชญา โดยการจัด เตรียมของพระเจ้า ในองค์พระเยซูคริสต์ ตามพันธสัญญาใหม่ นี่คือพื้นฐานความรอดของธรรมิกชนทุกคน ไม่ว่าจะในพันธสัญญาเดิมหรือพันธสัญญาใหม่ ถ้าพระเจ้ามีพระคุณล้นเหลือให้กับดาวิด โดยยึดตาม พันธสัญญาใหม่ พระองค์จะไม่ทรงเมตตาต่อบุตรของท่านในแบบเดียวกันหรือ?
ข้อสี่ นักวิชาการพระคัมภีร์หลายคนมีความเชื่อว่า ทารกทุกคนได้รับความรอดด้วยพระโลหิต ของพระเยซูคริสต์ ตลอดมาในประวัติศาสตร์ คนที่มีหน้าที่ควบคุมหลักข้อเชื่อในคริสตจักร ไม่มีอำนาจ เหนือพระวจนะคำ แต่มีหน้าที่ช่วยรับรอง หรือใขข้อข้องใจในการตีความพระคัมภีร์ ถ้ามีใครสักคนตีความ หรือ มีมุมมองค้านกับหลักข้อเชื่อของคริสตจักร ต้องนำการตีความนั้นมาพูดคุยกัน ผมขอนำมุมมองของนัก ศาสนศาสตร์ที่มีชื่อเสียงบางท่านในอดีตมาชี้แจงให้ฟังกัน
ขอฟังจาก ชาร์ลส แฮดดอน สเปอร์เจียน เป็นท่านแรก:
"ต่อไปจะขอพูดถึงเหตุการณ์บางเรื่องในพระคัมภีร์ ซึ่งจะช่วยเราให้เข้าใจเรื่องนี้ ดียิ่งขึ้น คุณยังจำเรื่องของดาวิดได้หรือไม่ ลูกที่เกิดกับนางบัทเชบา ต้องตายลง เพื่อเป็นการลงโทษต่อความชั่วของบิดา ดาวิดอธิษฐาน อดอาหาร และคร่ำครวญ ด้วยวิญญาณ ; แต่แล้ว เขาบอกกับท่านว่า เด็กนั้นตายแล้ว ท่านเลิกอดอาหาร และพูดว่า "เราจะตามทางเขาไป เขาจะกลับมาหาเรามิได้" คุณว่าดาวิดคิดจะตาม ไปที่ไหน? แน่นอนต้องเป็นสวรรค์ เพราะเด็กอยู่ที่นั่น เพราะท่านพูดว่า "เราจะ ตามเขาไป" ผมไม่เห็นท่านพูดแบบเดียวกันเมื่ออับซาโลมตาย ท่านไม่ได้ไป ยืนหน้าหลุมศพแล้วพูดว่า "เราจะตามเจ้าไป" ท่านหมดหวังกับลูกที่ก่อกบฎคนนี้ แต่สำหรับลูกคนนี้ มันไม่ใช่ว่า —"โอ้ ลูกรัก! ถ้าพระเจ้ากรุณา เราขอตายแทน!" เปล่า ท่านกลับปล่อยให้ทารกจากไปด้วยความมั่นใจ เพราะท่านพูดว่า "เราจะตาม ทางเขาไป" "เรารู้" ท่านอาจพูด "ว่าพระองค์ทรงทำพระสัญญานิรันดร์ไว้กับเรา ใน ทุกสิ่งแน่นอน และเมื่อเราต้องเดินผ่านหุบเขาเงามัจจุราช เราจะไม่กลัวใดๆ เพราะ พระองค์สถิตย์อยู่ด้วย ; เราจะตามลูกของเราไป และในสวรรค์ เราจะได้อยู่ด้วย กัน"58
และอีกครั้ง:
ดังนั้นขอให้บิดามารดาทุกท่านที่อยู่ที่นี่ มีความมั่นใจว่าเด็กจะไปได้ดี ถ้าพระเจ้า
นำเขาไปในวัยทารก ถึงคุณจะไม่ได้ยินคำพยานเรื่องความเชื่อจากปากของเขา - เพราะเขาไม่มีโอกาส ; ถึงเขาจะไม่ได้รับบัพติสมาในพระเยซูคริสต์ ไม่ได้ถูกฝัง พร้อมไปกับพระองค์ในการบัพติสมา ; ไม่มีโอกาสได้ "ตอบคำถามจากใจในเรื่อง
พระเจ้า" จะอย่างไรก็ตาม คุณมั่นใจได้เลยว่าเด็กนั้นรอดปลอดภัย รอดปลอดภัย กว่าในแง่ที่เราคิดนัก ; ดีกว่าอย่างไม่มีข้อจำกัด ไม่มีข้อยกเว้น ดีกว่าอย่างเหลือ
คณา "ดีกว่า" ชั่วนิรันดร์ คุณอาจจะกล่าวว่า "แล้วเราจะหาเหตุผลที่ไหนมายืนยัน ว่าเด็กจะได้ดีตามนั้น?" ก่อนที่จะตอบ ผมขอให้ข้อสังเกตุบางประการ ถึงความ
ร้ายกาจ มุสา และพูดพล่อยๆของพวกคาลวินที่เชื่อว่า เด็กเล็กๆบางคนต้องพินาศ
คนที่พูดเช่นนี้รู้ดีว่า คำพูดของเขานั้นเทียมเท็จ ผมเองไม่กล้า ได้แต่หวังว่าพวก เขาจะไม่พูดแทนเราแบบผิดๆ แบบไม่ใส่ใจ และมองข้ามพวกเราไปอย่างดื้อๆ พวกเขาพูดย้ำในสิ่งที่ถูกปฏิเสธมาแล้วไม่รู้กี่พันหนอย่างโหดร้าย สิ่งที่พวกเขารู้
ไม่เป็นความจริง ในคำชี้แนะที่คาลวินให้ไว้กับน็อกซ์ เขาตีความพระบัญญัติ
ประการที่สอง "แต่เราแสดงความรักมั่นคงต่อคนที่รักเรา และปฏิบัติตามบัญญัติ
ของเรา จนถึงพันชั่วอายุคน" ถ้าพูดถึงเรื่องสืบเชื้อสายตามตระกูล ดูเหมือน
เขาสอนว่า ทารกที่มีบรรพบุรุษดำเนินในทางธรรม ไม่ว่าจะห่างกันกี่ชั่วอายุก็ตาม ถ้าตายในวัยทารกจะรอด นี่น่าจะครอบคลุมชั่วชาติพันธ์ - สำหรับคาลวินยุคใหม่
ผมยังไม่เห็นข้อแตกต่าง แต่เราหวังและเชื่อว่า ทุกคนที่ตายในวัยทารก จะเป็นผู้ที่
ถูกเลือก ดร. กิลล์ ผู้ซึ่งในอดีตถูกมองว่าเป็นต้นแบบของนิกายคาลวิน นี่ไม่ได้ พูดถึงพวกคาลวินที่หัวรุนแรงนะครับ ท่านเองยังไม่เคยพูดเลยว่าทารกจะต้องพินาศ
แต่ท่านยอมรับว่าเป็นเรื่องที่ออกจะลึกลับและคลุมเครือ แต่นั่นเป็นความเชื่อของท่าน ท่านคิดว่าท่านมีพระคำมายืนยันว่า บรรดาผู้ที่หลับไปในวัยทารกนั้นไม่พินาศ แต่จะ ถูกนับรวมอยู่กับบรรดาผู้ที่พระเจ้าเลือกไว้ และได้เข้าพักสงบนิรันดร์ ทางเราไม่
เคยสอนแบบอื่น แต่เมื่อมีการนำเรื่องนี้มาโจมตี ผมขอค้านและขอพูดว่า "พวกคุณ
เองพูดเช่นนั้น เราไม่เคย และคุณก็รู้ดีว่าเราไม่เคย ถ้าคุณยังกล้าพูดพล่อยๆอีก ขอให้ คำมุสาแดงก่ำอยู่บนแก้มของคุณ ถ้าคนอย่างคุณอายเป็น" เราไม่เคยแม้แต่จะนึกฝัน
แบบนั้น ถึงจะมีข้อยกเว้น ก็น้อยมากจนผมไม่เคยได้ยิิน ยกเว้นจากปาก ของคนพูด
พล่อย เราไม่เคยคิดสักนิดว่า เด็กที่ตายในวัยทารกจะพินาศ เรามีแต่ความเชื่อว่า พวกเขาได้ไปอยู่ในเมืองบรมสุขเกษมนิรันดร์พร้อมกับพระเจ้า59
ท้ายสุด ให้เรามาฟังจาก ลอเรน โบทเนอร์ ที่นำคำพูดจากนักศาสนศาสตร์หลายคนมาอ้างอิง :
นักศาสนศาสตร์คาลวินส่วนมากเชื่อว่าผู้ที่ตายในวัยทารกได้รับความรอด ใน พระคัมภีร์มีสอนไว้เป็นเรืองปกติว่า บรรดาลูกของผู้เชื่อจะได้รับความรอด ; แต่ พวกเขากลับเงียบเฉย โดยเฉพาะในกรณีของคนนอกศาสนา ตามข้อกำหนด ของเวสมินส์เตอร์ ไม่ได้พูดถึงการพิพากษาเด็กนอกศาสนาที่ตายก่อนวัยรู้ความ พระคัมภีร์ไม่ได้พูดถึงเรื่องนี้ ข้อกำหนดของหลักศาสนาก็พลอยนิ่งเงียบด้วย นักศาสนศาสตร์ที่มีชื่อของเรา คำนึงถึงข้อเท็จจริงว่าพระเจ้าทรงมีพระลักษณะ ที่ "มีเมตตาต่อพระราชกิจทั้งสิ้นของพระองค์" และในพระเมตตาคุณอันหาที่สุด มิได้นั้น คือแหล่งแห่งความหวังว่าเด็กๆที่ยังไม่เคยทำบาปด้วยตนเอง มีแต่บาป ที่มีมาแต่กำเนิด จะได้รับการอภัย และได้รับการช่วยกู้ตามหลักของผู้เชื่อทุก ประการ
นั่นเป็นความเห็นของ ชาร์ลส์ ฮอดจ์, ดับบลิว เจ ที เชดด์ และ บี บี วอร์ฟิลด์ เกี่ยวกับการตายในวัยทารก ดร. วอร์ฟิลด์ กล่าวว่า: "อนาคตบั้นปลายของพวกเขา ถูกกำหนดไว้แล้ว ไม่ว่าพวกเขาจะเลือกเองหรือไม่ ไม่ว่าจะเป็นด้วยพระบัญชาที่ ไม่มีเงื่อนใขของพระเจ้า ไม่มีบทลงโทษเพราะการกระทำของตนเอง ; และได้รับ ความรอดฝ่ายวิญญาณโดยพระคุณของพระคริสต์ ผ่านการทำงานของพระ วิญญาณบริสุทธิ์ ก่อนที่พวกเขาจะมีโอกาสเลือกลงมือทำสิ่งอื่นใด … และถ้า การตายของทารกขึ้นอยู่กับการจัดเตรียมของพระเจ้า แน่นอนการจัดเตรียมจึงเป็น พระประสงค์ของพระองค์ ที่ทรงเลือกสรรคนจำนวนมหาศาลนี้ ให้มีส่วนในความ รอดโดยไม่มีเงื่อนใขของพระองค์ … ที่พูดมาทั้งหมดนี้ก็เพื่อจะกล่าวว่าทารก เหล่านี้ได้รับการเลือกไว้แล้ว ให้ได้รับความรอด ตั้งแต่วางรากฐานสร้างโลก"60
เราใช้เวลาไปนานพอสมควรในเหตุการณ์น่าเศร้า ที่ดาวิดกลับพบสันติสุขและความโล่งใจ ผมขอสรุปโดยชี้ ให้เห็นบางสิ่งที่เรานำมาใช้ได้
แรก พระธรรมตอนนี้ (และตอนอื่นๆที่ผมพูดไปแล้ว) ให้กำลังใจแก่ทุกคนที่มีความทุกข์ (หรืออาจ จะเผชิญความทุกข์) ในการสูญเสียบุตรน้อย ผมเชื่อว่าพระเจ้าทรงสรุปอย่างชัดเจนเอาไว้ เมื่อพระองค์ ตรัสว่า "จงยอมให้เด็กเล็กๆเข้ามาหาเรา อย่าห้ามเขาเลย เพราะว่าแผ่นดินของพระเจ้าย่อมเป็นของคนเช่น เด็กเหล่านั้น" (ลูกา 18:16) เรารู้สึกอบอุ่นใจเพียงใดที่รู้ว่าบุตรน้อยของเราอยู่ในอ้อมแขนของพระองค์
สอง เราเรียนรู้จากเหตุการณ์นี้ว่า ถึงแม้พระเจ้าทรงอภัยให้เราแล้ว แต่พระองค์ไม่ได้กำจัดความ เจ็บปวดที่เกิดขึ้นให้หมดเสมอไป บาปที่ดาวิดทำไว้กับบัทเชบาและอุรียาห์ได้รับการอภัย แต่การตายของ เด็กเป็นเรื่องจำเป็น บาปก่อให้เกิดความเจ็บปวด ถึงแม้เราจะได้รับการอภัย มันก็ไม่คุ้มค่ากับผลที่ตามมา
สาม พระเจ้าทรงใส่พระทัยในพระนามของพระองค์ มากกว่าความสบายใจของเรา บางคนชอบคิด ว่าพระเจ้าเป็นเครื่องมือวิเศษ ที่รอให้เราเรียกใช้ และยินดีทำตามความต้องการของเราทุกอย่าง ดาวิดคง จะพอใจถ้าได้ชีวิตเด็กคืนมา แต่พระนามของพระเจ้าต้องได้รับเกียรติ พระองค์จึงต้องจัดการกับบาปให้ เห็นกันอย่างชัดแจ้ง เพื่อแสดงถึงความบริสุทธิ์ศักดิ์สิทธิ และความรู้สึกชิงชังบาปของพระองค์
สี่ เราได้บทเรียนเรื่องคำอธิษฐานที่ไม่ได้รับคำตอบ ดาวิดอธิษฐานอย่างทุ่มเท เท่าที่มนุษย์คนหนึ่ง สามารถทำได้ แต่พระเจ้าตอบอย่างชัดเจนว่า"ไม่!" ดาวิดยอมรับได้ ท่านไม่ได้ประท้วงหรือโวยวาย ท่านยอม รับว่าน้ำพระทัยพระเจ้าเป็นเรื่องดีที่สุด ท่านนมัสการพระเจ้าในท่ามกลางการสูญเสียและความเจ็บปวด ท่าน ไม่ได้สูญเสียความเชื่อ ท่านรู้ว่าพระเจ้าได้ยิน และพระองค์ทรงตอบ พวกเรากี่คนกัน ที่สรรเสริญพระเจ้าได้ เมื่อพระองค์ตรัสว่า "ไม่ได้!"?
ท้ายที่สุด ความหวังและความปิติในผู้เชื่อท่ามกลางการทดลองและความทุกข์ยาก เป็นพยานที่ดี สำหรับความเชื่อของเราที่มีในพระเยซูคริสต์ ข้าราชการของดาวิดคิดว่าท่านจะตอบสนองอีกแบบหนึ่ง เมื่อได้ยินว่าบุตรน้อยตาย พวกเขากลับประหลาดใจที่เห็นท่านมีสันติสุข มีความปรารถนาจะนมัสการพระเจ้า ในขณะที่มีโศกนาฏกรรมเกิดขึ้นที่บ้าน พวกเขาอดถามไม่ได้ว่า ทำไมท่านจึงมีความหวัง และดาวิดอธิบายได้ เรามีโอกาสเช่นกัน ในท่าทีการตอบสนองต่อการทดลองและความทุกข์ยากของเรา ขอให้เราเรียนรู้ที่จะพักพิง และมีความหวังในพระองค์ และแบ่งปันความหวังเดียวกันนี้ไปสู่ผู้อื่นที่ยังไม่มีด้วย (ดู 1 เปโตร 3:15)
51 เพื่อว่า ครูห้องอื่นจะได้เห็นเป็นพยานด้วย
52 เมื่อพระเจ้าจัดการกับนาบาล เขาตายลงภายในสิบวัน -- ดู 1 ซามูเอล 25:38.
53 ฉบับ NKJV นั้นคล้ายกัน เมื่อนำคำว่า "ท่านอาจทำอันตรายบางอย่าง" มาใช้
54 เราไม่รู้แน่ชัดว่า มีข้าราชการคนใดได้ยินคำพยากรณ์ของนาธัน ว่าเด็กนี้จะต้องตายหรือเปล่า เพราะถ้าไม่ พวกเขาคงไม่เข้าใจว่า ทำไมดาวิดถึงจริงจังมาก กับการคร่ำครวญเพื่อสำนึกบาปและการทูลวิงวอนขนาดนี้
55 ดูโยนาห์ บทที่ 3
56 ผมขอชี้แจงด้วยคำพูดของบารซิลลัยใน 2 ซามูเอล 19:37 เป็นการดีที่ได้ถูกฝังอยู่ใกล้กับหลุมศพของ เครือญาติ แต่ไม่มีเหตุผลพอที่จะอธิบายถึงคำพูดและการกระทำของดาวิดในตอนนี้ได้
57 กรณีนี้ โยนาห์ก็ไม่ต่างไปจากพวกที่คิดว่าตนเองชอบธรรมดีแล้ว อย่างพวกฟาริสี หรือผู้สอนธรรมบัญญัติ ในสมัยของพระเยซู
58 จากบทความเรื่อง "ความรอดในทารก" ในสูจิบัตรของThe Metropolitan Tabernacle Pulpit และเป็น หัวข้อคำเทศนาของเช้าวันอาทิตย์ที่ 29 กันยายน 1861 โดยท่าน ศจ. C. H. Spurgeon ที่โบสถ์ Metropolitan Tabernacle เมือง Newington.
59 เป็นคำเทศนาในเรื่องเดียวกันกับด้านบนของท่าน สเปอร์เจียน
60 ข้อเขียนของ ลอเรน โบทเนอร์ จาก The Reformed Doctrine of Predestination (Philadelphia: The Presbyterian and Reformed Publishing Company, 1963 [eleventh printing]), pp. 143-144.
สองสามปีที่แล้วผมและภรรยารวมทั้งพวกลูกสาวไปร่วมงานที่โรงเรียน ระหว่างเดินทางกลับเราแวะที่ร้าน ไอส์ครีม พอขับออกจากร้าน อยู่ดีๆมีรถไล่ตามหลังมาด้วยความเร็วสูง ผมเห็นเขาพุ่งใกล้เข้ามาทุกที จึง ตัดสินใจเปลี่ยนเลนเพื่อหลบให้้ ผมตัดสินใจผิดครับ คนขับไม่ได้สนใจ (หรือยังไม่สร่างเมาก็ไม่รู้) ตัดสินใจ เปลี่ยนเลนด้วย ผมไม่แน่ใจว่าใครตัดสินใจก่อน ผมเปลี่ยนจากขวาสุดมาเป็นเลนกลาง เขาก็เปลี่ยนด้วย ผมใช้รถแบบดีเซล เร่งไม่ค่อยขึ้นหรอกครับ คนขับพอเห็น เลยตัดสินใจเปลี่ยนออกไปเลนซ้ายสุดในทันที -- ทั้งเร็ว -- และทั้งแรงครับ
เรามองเห็นเขาแซงผ่านไป บังคับรถไม่อยู่ พุ่งเข้าชนที่กั้นกลางถนน แผ่นคอนกรีตที่กั้นกระแทกทะลุถังน้ำ มัน น้ำมันพุ่งกระฉูดออกมาเป็นทางยาวไปตามรถ แผ่นเหล็กข้างรถหลุดออกมา และครูดเป็นทางไปกับที่กั้น ทำให้เกิดประกายไฟ สิ่งที่เกิดตามมาเลี่ยงไม่ได้ครับ เกิดไฟลุกใหม้ไปตามรอยน้ำมันที่ทะลักออกมา เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นที่ด้านข้างรถเรา และพุ่งเลยไปที่ด้านหน้า เราเองก็เบรกไม่อยู่พอๆกับเขา ในที่สุด รถของ เขากระเด้งลอยข้ามที่กั้นไป ผ่านข้ามสามเลนฝั่งตรงข้าม ไปหยุดอยู่ที่ข้างถนนของอีกฟาก เราเห็นเหตุการณ์ ทั้งหมดด้วยความตกตะลึง เพราะมีกำแพงไฟลุกท่วมเป็นทางยาว กั้นระหว่างรถเราและรถเขา เราตกใจจนทำ อะไรไม่ถูก ได้แต่มองไฟที่ลุกไล่ไปจนถึงตัวรถ ถังน้ำมันระเบิด เรายังเห็นคนขับติดอยู่ในรถ เราข้ามไปช่วย ไม่ทัน เขาอยู่ใกลเกินไป แถมยังมีกำแพงไฟกั้นไว้ แต่เราเห็นคนที่ยืนอยู่ข้างถนนลากเขาออกมา ช่วยชีวิตไว้ ได้ หลังจากนั้นไม่นานมีรถพยาบาลมารับตัวไป
เมื่อผมเริ่มพระธรรม 2 ซามูเอลบทที่ 13 ผมมีความรู้สึกแบบเดียวกัน คือเฝ้าคอยเวลาที่โศกนาฏกรรมจะเกิด ขึ้น รู้ดีว่าหยุดยั้งไม่ได้ เราอ่านเรื่องอัมโนน บุตรของกษัตริย์ดาวิด ที่ปรารถนาในตัวทามาร์น้องสาวต่างมารดา เราอ่านด้วยความประหลาดใจ ว่าทำไมดาวิดถึงสั่งให้ทามาร์ไปหาอัมโนนถึงที่บ้าน ทำไมท่านถึงไม่เฉลียวใจ แค่ฟังว่าอัมโนนสั่งทุกคนให้ออกไป เหลือเขากับทามาร์อยู่กันตามลำพัง ก็น่ากลัวแล้ว เราช่วยอะไรไม่ได้ ได้แต่เห็นทามาร์พยายามขัดขืน แต่ในที่สุดก็ถูกพี่ชายตนเองข่มขืนจนได้ ที่เลวร้ายไปกว่านั้น เราเห็น "ความรัก" ของอัมโนนเปลี่ยนเป็นความชัง ชังจนถึงขนาดให้คนมาขับไล่ไปให้พ้นหน้า ทำให้เธอต้องมีชีวิต อย่างโดดเดี่ยวไปจนวันตาย
เหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร? ดาวิดมีส่วนอยู่ได้อย่างไร? ทำไมพระเจ้าถึงปล่อยให้คนบริสุทธิ์ต้องมา ทนทุกข์ด้วยน้ำมือของคนชั่ว? เหตุการณ์นี้เกี่ยวข้องกับสถานการณ์ในปัจจุบันอย่างไร? พระเจ้าปรารถนาให้ ธรรมิกชนในยุคพระคัมภีร์เดิมได้เรียนรู้สิ่งใด? และมีบทเรียนใดสำหรับเรา? ขอให้ตั้งใจเรียนให้ดี เพราะมีข้อ คิดอยู่มาก มีเรื่องให้ต้องเรียน และนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์ได้มากในปัจจุบัน
ชื่อเรื่องตอนนี้คือ "โศกนาฏกรรมในราชวงศ์" ผมไม่อยากนำเรื่องที่ใครๆก็พูดกันมาพูดซ้ำ หรืออยากจะรื้อฟื้น เรื่องโศกนาฏกรรมของเจ้าหญิงไดอาน่าห์ แต่ชื่อตอนเป็นตัวบอกอย่างดีถึงเรื่องราวในตอนนี้ การได้เป็นส่วน หนึ่งของราชวงศ์ก็มีส่วนดีหลายอย่าง แต่จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น มีเรื่องที่ต้องรับผิดชอบมากด้วยเช่นกัน จาก มุมมองของเรา (อย่างน้อยก็ในตอนนั้น) ความเป็นส่วนตัวของราชวงศ์ถูกพวกช่างภาพทำลายจนหมดสิ้น พวก เขาพยายามทุกวิถีทาง เพื่อให้ได้มาซึ่งภาพราคามหาศาล ไม่ว่าสมาชิกในราชวงศ์จะต้องสูญเสียขนาดไหน ก็ตาม บทเรียนของเราตอนนี้ ไม่มีช่างภาพไร้จรรยาบรรณรู้เห็น แต่บาปที่เกิดขึ้นภายในราชวงศ์ กลายเป็น เรื่องที่รู้กันไปทั่ว เพราะการกระทำของพวกเขาเอง และจากการบันทึกที่ได้รับการดลใจของผู้เขียน เพื่อให้ เป็นบทเรียนสำหรับเราทั้งหลาย เราคงจะไม่อ่านเรื่องราวโศกนาฏกรรมครั้งนี้ เหมือนกับอ่านคอลัมน์ ซุบซิบบันเทิง เพราะนี่เป็นพระวจนะที่มาถึงเรา เพื่อให้เราเห็นค่าจ้างราคาแพงของความบาป
ซาอูลผู้เคยแสวงชีวิตดาวิด เพื่อให้ราชบัลลังก์ของตนเองคงอยู่ให้นานที่สุด ก็สิ้นชีวิตไปแล้ว และดาวิดได้ขึ้น ครองทั้งยูดาห์ (เผ่าของท่านเอง) และประเทศอิสราเอลแทน (เผ่าที่เหลือของอิสราเอล) ดาวิดได้ปราบ ประเทศข้างเคียงลงอย่างราบคาบ และยึดเอาเมืองเยบุส ตั้งขึ้นเป็นเมืองหลวง โดยให้ชื่อใหม่ว่าเยรูซาเล็ม ท่านนำหีบพันธสัญญามาที่เยรูซาเล็ม ตั้งใจจะสร้างพระนิเวศให้เป็นที่สถิตย์ของพระเจ้า แต่ถูกตักเตือน เพราะพระเจ้าต้องการเป็นผู้สร้าง "ราชวงศ์" ของดาวิดให้เป็นปึกแผ่นชั่วนิรันดร์แทน เป็นอาณาจักรที่ไม่มี วันเสื่อมสลาย
อำนาจและความสำเร็จทำให้ดาวิดหลงไป แทนที่ท่านจะนำทัพสู่สงคราม ท่านกลับอยู่บ้าน ส่งโยอาบและ กองทัพอิสราเอลไปต่อสู้ที่เมืองรับบาห์ เมืองหลวงของพวกอัมโมนแทน เพื่อเข้ายึดครองและปราบศัตรูลงให้ ราบคาบ ขณะที่ท่านอยู่บ้านในเยรูซาเล็ม ดาวิดถือโอกาสปล่อยตัว "ตามสบาย" ในแบบกษัตริย์ ท่านนอนดึก และตื่นสาย ตื่นเวลาที่คนอื่นเข้านอน เย็นวันหนึ่ง ขณะที่ท่านไปเดินแล่นบนดาดฟ้าพระราชวัง ท่านไปเห็น ภาพที่ไม่สมควรเห็นเข้า -- หญิงงามนางหนึ่งกำลังอาบน้ำ อาจชำระกายตามธรรมบัญญัตติ ดาวิดตั้งใจมอง นานเกินไป จนตัดสินใจว่าจะต้องได้ผู้หญิงคนนี้มา ไม่ใช่ให้มาเป็นภรรยา หรือสนมนะครับ แต่เพียงแค่ข้ามคืน เมื่อท่านส่งไปสืบเสาะ พวกเขากลับมารายงานว่านางแต่งงานแล้ว เป็นภรรยาของนักรบที่มีฝีมือ แห่งกองทัพ อิสราเอล อุรียาห์ คนฮิทไทต์
เรื่องน่าจะยุติลงสำหรับดาวิด แต่ไม่เป็นเช่นนั้น ท่านกลับส่งคนไปนำตัวนางบัทเชบามาที่พระราชวัง และนอน กับนาง ไม่นานหลังจากนั้น ท่านก็ทราบข่าวว่านางตั้งครรภ์ ดาวิดพยายามทุกวิถีทาง ที่จะให้อุรียาห์กลับไป นอนกับภรรยา เพื่อทำให้ดูว่าเด็กที่เกิดมาเป็นลูกของเขา แต่อุรียาห์เป็นผู้ยึดมั่นในคุณธรรม ไม่ยอมทำตาม แผนของดาวิด ดาวิดจึงต้องสั่งโยอาบ ผู้บัญชาการกองทัพ ให้ฆ่าอุรียาห์โดยทำให้เหมือนตายในสงคราม เรื่องนี้อาจตบตาคนอิสราเอลได้ แต่ตบตาพระเจ้าไม่ได้ หรือตบตาผู้เผยพระวจนะนาธันไม่ได้ นาธันมาหา ดาวิดพร้อมเรื่องมาเล่า เป็นเรื่องของเศรษฐีที่แย่งเอาแกะที่ชายยากจนเลี้ยงไว้เป็นลูกไป เมื่อดาวิดออกปาก กล่าวประนามเศรษฐี นาธันจึงบอกว่า นั่นแหละคือตัวท่าน ดาวิดสำนึกต่อบาปในทันที สารภาพว่า ท่านไม่ เพียงทำผิดต่อพระเจ้าเท่านั้น แต่ทั้งชนชาติอิสราเอลด้วย ตามที่เราได้อ่านในพระธรรมสดุดี 32 และ 51
ผลความเจ็บปวดที่เกิดตามมา เริ่มที่การตายของเด็กที่เกิดจากดาวิดและนางบัทเชบา เป็นเด็กที่เกิดจากความ บาปของดาวิด ถึงแม้ดาวิดจะคร่ำครวญวิงวอนขอไว้ชีวิตเด็ก พระเจ้าทรงปฏิเสธ เด็กจึงตายลง ดาวิดตอบ สนองต่อพระเจ้าด้วยท่าทีที่ถูกต้อง ซึ่งทำให้พวกข้าราชการงงงวย เมื่อรู้ว่าเด็กตายแล้ว ดาวิดลุกขึ้น ชำระ ร่างกาย และเข้าไปนมัสการพระเจ้า กลับบ้านและไปรับประทานอาหาร ดาวิดมีความหวังในเด็กคนนี้ และท่าน มั่นใจในพระเจ้า ผู้ทรงปฏิเสธท่าน ในบทที่ 13 เราจะพบกับผลร้ายของความบาป ที่ดาวิดกระทำไว้กับนาง บัทเชบาต่อ เรื่องที่ธิดาของท่าน ทามาร์ถูกข่มขืน ลูกชายของท่านอัมโนนถูกฆาตรกรรม อีกครั้งที่ดาวิดร่ำให้ คร่ำครวญต่อการสูญเสียบุตร ในความเป็นจริง ท่านคร่ำครวญถึงการสูญเสียบุตรทั้งสอง: สูญเสียอัมโนนไป ในการฆาตรกรรม และสูญเสียอับซาโลมไป เพราะต้องหลบลี้หนีการถูกลงโทษ
1 ฝ่ายอับซาโลมราชโอรสของดาวิดมีขนิษฐาองค์หนึ่ง รูปโฉมสะคราญชื่อทามาร์ ครั้นอยู่มาอัมโนนราชโอรสของดาวิดก็รักเธอ 2 ด้วยเหตุทามาร์น้องหญิงนี้ จิตใจ ของอัมโนนก็ถูกทรมานจนถึงกับล้มป่วย ด้วยเหตุว่าเธอเป็นสาวพรหมจารี อัมโนน จึงรู้สึกว่าจะทำอะไรกับเธอไม่ได้เลย
3 แต่อัมโนนมีสหายคนหนึ่งชื่อโยนาดับบุตร ของชิเมอาห์เชษฐาของดาวิด โยนาดับนั้นเป็นคนเจ้าปัญญา 4 จึงทูลถามว่า "ข้าแต่ราชโอรสของพระราชา ไฉนทูลกระหม่อมจึงซมเซาอยู่ทุกเช้าๆ จะไม่บอกให้เกล้าฯทราบบ้างหรือ"
อัมโนนตอบเขาว่า "เรารักทามาร์น้องหญิงของอับซาโลมอนุชาของเรา" 5
โยนาดับจึงทูลท่านว่า "ขอเชิญบรรทมบนพระแท่นแสร้งกระทำเป็นประชวร และเมื่อเสด็จพ่อมาเยี่ยมทูลกระหม่อมขอกราบทูลว่า 'ขอโปรดรับสั่งทามาร์ น้องหญิงมาให้อาหารแก่ข้าพระบาท ให้มาเตรียมอาหารต่อหน้าข้าพระบาท
เพื่อข้าพระบาทจะได้เห็น และได้รับประทานจากมือของเธอ'"
6 อัมโนนจึงบรรทมแสร้งทำเป็นประชวร เมื่อพระราชาเสด็จมาเยี่ยม อัมโนน
ก็ทูลพระราชาว่า "ขอโปรดให้ทามาร์น้องหญิงมาทำขนมสักสองอันต่อหน้า
ข้าพระบาท เพื่อข้าพระบาทจะได้รับประทานจากมือของเธอ" 7 ดาวิดทรงใช้ คนไปหาทามาร์ที่วังรับสั่งว่า "ขอจงไปที่บ้านของอัมโนนพี่ของเจ้า และ เตรียมอาหารให้เขารับประทาน"
8 ทามาร์ก็ไปยังวังของอัมโนนเชษฐาของเธอ ที่ที่เขาบรรทมอยู่ เธอก็หยิบ แป้งมานวดทำขนมต่อหน้าเชษฐาแล้วปิ้ง 9 และเธอก็ยกกระทะมาเทออก ต่อ
หน้าเชษฐา แต่อัมโนนก็ไม่ทรงเสวย กล่าวว่า "ให้ทุกคนออกไปเสียให้พ้นเรา"
ทุกคนก็ออกไป 10 อัมโนนก็รับสั่งกับทามาร์ว่า "จงเอาอาหารเข้ามาในห้องใน เพื่อพี่จะได้รับประทานจากมือของน้อง" ทามาร์ก็นำขนมที่เธอทำนั้นเข้าไปใน ห้องเพื่อให้แก่อัมโนนเชษฐา 11 แต่เมื่อเธอนำขนมมาใกล้เพื่อให้ท่านรับประทาน ท่านก็จับมือเธอไว้รับสั่งว่า "น้องของพี่เข้ามานอนกับพี่เถิด" 12 เธอจึงตอบท่าน
ว่า "ไม่ได้ดอกพระเชษฐาขออย่าบังคับน้องเลย สิ่งอย่างนี้เขาไม่กระทำกันใน
อิสราเอล ขออย่ากระทำการโฉดเขลาอย่างนี้เลย 13 ฝ่ายหม่อมฉัน หม่อมฉัน จะเอาความอายไปซ่อนไว้ที่ไหน ฝ่ายท่านเล่า ท่านจะเป็นคนโฉดเขลาในอิสราเอล เพราะฉะนั้นขอทูลพระราชาพระองค์คงจะไม่หวง หม่อมฉันไว้ไม่ให้ท่าน" 14 แต่
ท่านก็หาฟังเสียงเธอไม่ ด้วยท่านมีกำลังมากกว่าจึงข่มขืน และนอนร่วมกับเธอ
ผมว่าคุณคงเป็นเหมือนผม คือเวียนหัวไปหมดว่าใครเป็นใคร ในวงศาคณาญาติของดาวิด ตัวเอกในตอนนี้ ประกอบไปด้วย ดาวิด; โยนาดับผู้เป็นหลาน เป็นลูกของชิเมอี พี่ชายคนที่สามของดาวิด; อัมโนนเป็นลูกคนโต ที่เกิดกับนางอาหิโนอัม ; ส่วนทามาร์กับอับซาโลม เป็นบุตรและธิดาของมาอาคา ภรรยาคนที่สามของดาวิด (เป็นลูกสาวของทาลมาอิ กษัตริย์เมืองเกชูร์ ) จำยากใช่มั้ยครับ ว่าใครเป็นลูกใคร?
ผมคิดว่าเราน่าจะมาทำตารางสรุปวงศ์วานของดาวิดกัน เพื่อเป็นประโยชน์ในการเรียน และมองเห็นภาพความ สัมพันธ์ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกันของแต่ละคนได้ชัดเจนขึ้น
อาสาเฮล
โศกนาฏกรรมในครอบครัวดาวิดครั้งนี้ หลายคนที่เป็นสมาชิกของราชวงศ์ -- หรืออยู่ใกล้ชิด (เช่นพวกมหาด เล็ก) -- มีส่วนเกี่ยวข้อง จะเต็มใจหรือไม่ก็ตาม มันเริ่มมาจากอัมโนน บุตรคนแรกของดาวิด (มีคาลเป็นภรรยา คนแรกของดาวิดที่ซาอูลยกให้ แล้วก็ถูกนำกลับไป แต่ในที่สุดดาวิดก็ไปนำตัวกลับมา นางไม่มีบุตร -- (2 ซามูเอล 6:23) อาหิโนอัมเป็นภรรยาคนที่สอง เป็นคนแรกที่มีบุตรให้ดาวิด จึงทำให้อัมโนนเป็นบุตรหัวปีของ ท่าน และน่าจะเป็นผู้สืบต่อราชบัลลังก์อิสราเอล อย่างน้อยก็เป็นประเพณีนิยมในสมัยนั้น ส่วนทามาร์ และ พี่ชายอับซาโลม เป็นลูกที่เกิดกับนางมาอาคาห์ ธิดาของกษัตริย์เกชูร์
อัมโนนมีปัญหาหนัก เขา "ตกหลุมรัก""63 กับน้องสาวแสนสวยต่างมารดา ทามาร์ 64 ตามธรรมบัญญัติของ โมเสส เขาไม่มีทางได้นางมาเป็นภรรยา
17 "ถ้าชายใดพาพี่สาวหรือน้องสาวของตน คือบุตรสาวของพ่อ หรือบุตรสาว ของแม่ และดูของลับของเธอและเธอก็ดูของลับของเขา เป็นสิ่งที่น่าอายมาก จะต้องอเปหิเขาต่อหน้าชนชาติของเขา เพราะเขาได้เปิดของลับของพี่สาว น้องสาว ของเขา เขาต้องรับโทษของเขา (เลวีนิติ 20:17)
เมื่อผมอ่านธรรมบัญญัติของโมเสสข้อนี้ ที่ห้ามไม่ให้มีการแต่งงาน หรือสัมพันธ์ทางเพศกับพี่น้อง ผมคิดว่า อัมโนนไม่แยแส แต่กลับเป็นสิ่งที่ทามาร์กังวล ไม่ใช่อัมโนน ผู้เขียนเขียนอยู่ตลอดเวลาว่าทั้งสองเป็นพี่เป็น น้องกัน แต่ที่ทรมาณใจอัมโนนกลับเป็นเรื่องอื่น :
2 ด้วยเหตุทามาร์น้องหญิงนี้ จิตใจของอัมโนนก็ถูกทรมานจนถึงกับล้มป่วย ด้วยเหตุว่าเธอเป็นสาวพรหมจารี อัมโนนจึงรู้สึกว่าจะทำอะไรกับเธอไม่ได้
เลย (13:2และผม)
อัมโนนเจ็บป่วยลงเพราะทามาร์เป็นสาวพรหมจารี และเป็นเพราะเหตุนี้ เขาจึง "ทำอะไรกับเธอไม่ได้" ไม่มี การพูดว่าอัมโนนรักและต้องการจะแต่งงานกับทามาร์ ผมคิดว่าเป็นการสื่อให้รู้ ว่าอัมโนนอยากมีเพศสัมพันธ์ กับทามาร์เท่านั้น แต่เมื่อเธอยังเป็นพรหมจารีอยู่ และจะเป็นไปจนกว่าเธอแต่งงาน65 เขาจึงอยากมีเพศสัม พันธ์กับเธอ แต่เธอไม่ยอม เธอต้องการรักษาพรหมจรรย์ไว้ อัมโนนจึงไม่ได้อย่างใจ และก็เป็นที่คาดได้ว่า ต้องอารมณ์เสียเป็นที่สุด ความโกรธของเขามีมากเสียจนล้มป่วยลง (ใข้ใจ?) ไม่มีการพูดถึงอาการของ "โรคนี้" แต่ผมคิดว่าน่าจะเป็นอาการเครียดจนลงกะเพาะ ไม่อยากอาหาร และอดหลับอดนอน
ไม่น่าประหลาดใจเลยที่โยนาดับ หลานของดาวิด ลูกของพี่ชายที่ชื่อชีเมอาห์ จะเป็นเพื่อนกับอัมโนน เพราะ มีศักดิ์เป็นลูกพี่ลูกน้องกัน เป็นสมาชิกในราชวงศ ่อาศัยอยู่ในเยรูซาเล็ม (หรือใกล้ๆ) ช่วยไม่ได้ที่โยนาดับจะ เห็นว่าอัมโนนกำลังทุกข์หนัก จึงเข้าไปถาม อัมโนนจึงเล่าให้ฟัง -- ว่าหลงรักทามาร์น้องสาวต่างมารดา ผู้ เป็นน้องสาวของอับซาโลมจนแทบคลั่ง66 โยนาดับเป็นชายเจ้าเล่ห์ และอาการของอัมโนนเป็นเรื่องเล็กน้อย สำหรับเขา ประการแรก อย่าลืมสิว่า อัมโนนเป็นถึง "โอรสของกษัตริย์" มิใช่หรือ? (ข้อ 4)? ถ้าใช่ ก็แปลว่า ในฐานะ "โอรสของกษัตริย์" อัมโนนมีอำนาจทำตามใจปรารถนา ไม่เห็นจะต้องมาคร่ำครวญอะไรนักหนา ทำให้ผมนึกถึงคำพูดอันร้ายกาจที่นางยเซเบลพูดกับสามีอาหับ:
4 อาหับก็เสด็จเข้าในวังด้วยอารมณ์ขุ่นมัว และกลัดกลุ้มยิ่งนักด้วยเรื่องที่นาโบท
ชาวยิสเรเอลทูลตอบพระองค์ เพราะเขาได้กล่าวว่า "ข้าพระบาทจะไม่ให้มรดก
แห่งบรรพบุรุษ ของข้าพระบาทแก่ฝ่าพระบาท" และพระองค์ก็เอนพระกายลงบน
พระแท่น ทรงเบือนพระพักตร์ ไม่เสวยพระกระยาหาร 5 แต่เยเซเบลมเหสีของพระองค์เข้า มาเฝ้าพระองค์ ทูลถามพระองค์ว่า "ไฉนพระจิตของฝ่าพระบาทจึงกลัดกลุ้ม ไม่เสวยพระ
กระยาหาร" 6 และพระองค์ตรัสตอบพระนางว่า "เพราะเราได้พูดกับนาโบทชาวยิสเรเอลว่า 'จงขายสวนองุ่นของเจ้าให้แก่เรา หรือมิฉะนั้นถ้าเจ้าพอใจ เราจะให้สวนองุ่นอีกแห่งหนึ่ง
แก่เจ้า เพื่อแลกกัน' และเขาตอบว่า 'ข้าพระบาทจะไม่ให้สวนองุ่นของข้าพระบาทแก่
ฝ่าพระบาท'" 7 และเยเซเบลมเหสีของพระองค์ทูลพระองค์ว่า "ฝ่าพระบาทเป็นผู้ครอบครอง อิสราเอลอยู่หรือเพคะ เชิญเสด็จลุกขึ้นเสวยพระกระยาหารเถิด และให้พระทัยของฝ่าพระ
บาทร่าเริง หม่อมฉันจะมอบสวนองุ่นของนาโบท ชาวยิสเรเอลให้แก่ฝ่าพระบาทเอง"
(1 พงศ์กษัตริย์ 21:4-7)
ผมบอกไม่ได้ว่าโยนาดับคิดอยากจะให้อะไรเกิดขึ้นกับแผนการของเขา ผมไ่ม่อยากจะคิดว่าแผนของเขาคือ ต้องการให้เพื่อนได้ข่มขืนทามาร์ เป็นแผนที่เปิดโอกาสให้อัมโนนได้อยู่กับทามาร์ตามลำพัง เพื่อจะได้เกี้ยว พาราสีเธอ หรืออาจขอเธอแต่งงาน? ผมไม่แน่ใจ แต่ที่แน่ๆคือเป็นแผนการชั่วร้าย คือให้อัมโนนแกล้งทำ ป่วย ป่วยมากเสียจนลุกจากเตียงไม่ได้ เมื่อดาวิดมาเยี่ยม ก็ทำทีทูลขอให้น้องสาวมาดูแลเฝ้าใข้
นี่คือแผนการของโยนาดับ อย่างน้อยเท่าที่เรารู้ เขาไม่ได้ับอกอัมโนนว่าควรทำอย่างไรหลังจากนั้น เขาเพียง แต่คิดแผนให้อัมโนนได้มีโอกาสใกล้ชิดกับทามาร์ เราไม่รู้การที่อัมโนนให้คนใช้ออกจากห้องไปให้หมด เป็น แผนของเขาด้วยหรือเปล่า (ซึ่งอาจเป็นได้) หรือการที่พยายามรุกเร้าให้เธอมีเพศสัมพันธ์ด้วย ถ้าโยนาดับ เจ้าเล่ห์ตามที่พระคัมภีร์บอก แน่นอนเขาคงคาดได้ว่าอัมโนนจะทำอย่างไรเมื่อสบโอกาส ไม่ว่าโยนาดับจะรู้ว่า อัมโนนต้องการอะไร และช่วยให้สมประสงค์หรือไม่ก็ตาม เขาอาจสงสัยว่าอัมโนนจะทำตามหรือเปล่า แต่ก็ ไม่ได้ถาม หรืออาจไม่ทำก็ได้ ถึงอย่างไรก็ตาม แผนการเช่นนี้นับเป็นแผนการที่มีจุดประสงค์ชั่ว โยนาดับจึง มีส่วนร่วมในความผิดครั้งนี้ของอัมโนนด้วย.67
อัมโนนทำตามแผนของโยนาดับทุกประการ และประสพผลตามที่คาด อัมโนนทำตามตัณหาได้โดยมีโยนาดับ ช่วยอำนวยความสะดวกให้ และแผนการนี้เองทำให้ดาวิดต้องตกกระไดพลอยโจนทำชั่วไปด้วยโดยไม่รู้อิโหน่ อิเหน่ ดาวิดมาเยี่ยมอัมโนนตามแผน อัมโนนจึงทูลขอให้ทามาร์มาดูแลเฝ้าใข้ ดาวิดตอบตกลง เป็นคำสั่ง ของ "ผู้หลักผู้ใหญ่" (อย่างน้อยก็ใหญ่ที่สุดในอิสราเอล -- ใครจะไปกล้าขัดขืน?) ที่ทำให้มีการ "ส่ง" คนไป ตามทามาร์ คนละแบบกับที่ให้ไปตามบัทเชบา ดังนั้นดาวิดจึงเป็นสะพานที่ทอดให้อัมโนนเข้าถึงตัวทามาร์ได้
เราคงสงสัยกันว่าทำไมดาวิดไม่เฉลียวใจสักนิด ดูท่านออกจะไร้เดียงสาไปสักหน่อย ท่านอาจจะรู้ว่าอัมโนน กินไม่ได้ และป่วย แต่อะไรทำให้ท่านคิดไปว่าสาวน้อยคนนี้จะทำอาหารได้อร่อยกว่ากุ๊กของวัง (โทษนะครับ) ที่อัมโนนอยู่? หรือท่านเชื่อจริงๆว่า การที่มีสาวๆมาทำอาหารให้อัมโนน และยกมาเสริฟ (ถึงเตียง) จะรักษา อาการของโรคได้? ดาวิดไร้เดียงสาขนาดนั้นเชียวหรือ? หลายคนคงอ่านพระคัมภีร์ตอนนี้แล้วแอบนึกอยู่ในใจ ทำไมดาวิดถึงไร้เดียงสาเสียจนตกเป็นเครื่องมือ ทำให้แผนการของอัมโนนสำเร็จลง?
ตามที่ดาวิดสั่ง ทามาร์จึงไปที่บ้านของอัมโนนและจัดเตรียมอาหารให้ ผมสงสัยว่าเธอคิดยังไงกับเรื่องนี้ อัมโนนเคยแสดงท่า "กรุ้มกริ่ม" กับเธอมา่ก่อนหรือไม่? น่าจะเป็นได้ แต่อาจถูกเมิน เมื่อทามาร์มาถึง อัมโนน นอนอยู่ ทามาร์จึงไปจัดเตรียมอาหาร ผสมแป้ง นวดแป้ง ปั้นเป็นขนม ในขณะที่อัมโนนนอนมอง เมื่ออาหาร สุกแล้ว เธอเตรียมจะเสริฟ แต่เขากลับปฏิเสธ แต่กลับสั่งให้ทุกคนออกไปจากห้อง ดาวิดทำให้ทามาร์ต้อง ตกที่นั่งลำบาก และทุกคนในบ้านก็เป็นคนของอัมโนนทั้งสิ้น ใครจะไปกล้าเสี่ยงขัดขวาง? ทุกคนจึงต้องออก ไปตามคำสั่ง ทิ้งให้ทามาร์อยู่ตามลำพังกับอัมโนน อัมโนนจึงสั่งให้ทามาร์นำอาหารมาเสริฟ ให้เข้ามาเสริฟ ถึงในห้องนอน "เพื่อจะให้เธอป้อนจากมือ" เธอจึงต้องนำอาหารที่เตรียมไว้เข้าไปหาเขาที่ห้องนอน
พออ่านมาถึงตรงนี้หัวหมุนเลยครับ เป็นไปได้หรือที่คนที่ออกจากห้องไปจะไม่รู้ว่าอะไรกำลังเกิดขึ้น? พวกเขา ไม่กล้าขัดขวางห้ามปรามหรือ? แล้วทามาร์จะคาดเดาสถานการณ์ไม่ออกเชียวหรือ? ทำไม่เธอไม่รีบหลบออก มา? สัญญาณอันตรายชัดเจนไปหมด แต่เธอกำลังอยู่ในบ้านของอัมโนนเพราะเป็นคำสั่งของกษัตริย์ เหมือน กับกำลังเห็นอุบัติเหตุบนถนนเกิดขึ้นต่อหน้าต่อตา เห็นครับ แต่ไม่มีทางทำอะไรได้
พออยู่ตามลำพัง ก็ออกลายทันที อัมโนนกระชากเธอเข้ามา บังคับให้นอนด้วย เขาไม่ได้ขอเธอแต่งงาน -- แค่ขอให้นอนด้วยเฉยๆ คำพูดอ้อนวอนของอัมโนนคงจะเป็นทำนองว่า: " น้องของพี่เข้ามานอนกับพี่เถิด " (ข้อ 11 และผมด้วย) ทำไมอัมโนนถึงย้ำคำนี้ เพราะมันเป็นสิ่งที่ทำให้ทามาร์ปกป้องตนเอง ไม่ยอมทำตาม ปรารถนาของเขา? ผมเกรงว่าน่าจะเป็นสิ่งเดียวกับที่ทำให้ทามาร์เป็นที่น่าดึงดูด คล้ายๆกับกรณีของดาวิด หรือเปล่า? ยิ่งรู้ว่าบัทเชบาแต่งงานแล้วกับอุรียาห์ ยิ่งทำให้อยากได้มากขึ้นไปอีก ; มันอาจจะิเป็นแรงผลักดัน ให้อยากทำตามใจปรารถนา เมื่อ "หญิงโง่" พยายามล่อลวง "คนหนุ่ม" ในพระธรรมสุภาษิต นางใช้คำพูดถึง น้ำหวานที่ขโมยมา (สุภาษิต 9:17) ทำไมเราถึงประหลาดใจ? อ.เปาโลสอนไว้ไม่ใช่หรือว่า เมื่อธรรมบัญญัติ กล่าวห้ามสิ่งใด บาปนั้นก็ใช้ธรรมบัญญัติข้อเดียวกันนั้นมาล่อลวงเรา ให้อยากทำในสิ่งต้องห้าม (ดูโรม 7:7)
ทามาร์ตกเป็นเหยื่อบริสุทธิ์จริงๆ เธอไม่ได้ทอดสะพานให้อัมโนน ; ที่จริงเธอกลับทำให้เขาโกรธ เพราะต้อง การเป็นหญิงพรหมจารีจนกว่าจะแต่งงาน เมื่อเธอไปที่บ้านของอัมโนน เธอไปตามคำสั่งของดาวิด อัมโนนสั่ง ให้ทุกคนออกไป เพื่อจะไม่มีใครมาช่วยเธอได้ ยากที่จะเชื่อว่าคนในบ้านจะไม่รู้เรื่องนี้ -- หรืออย่างน้อยก็คง สงสัย -- ว่าอัมโนนคิดอะไรอยู่ เมื่ออัมโนนเริ่มแสดงท่าทีรุนแรงกับเธอ เธอทำตามธรรมบัญญัติของโมเสส ทุกประการ เมื่อเธอปฏิเสธว่า "ไม่ได้ดอก พระเชษฐา," เธอให้เหตุผลด้วย ว่าสิ่งที่อัมโนนขอนั้นผิด เธอ กล่าวว่า การที่เขามีเพศสัมพันธ์กับเธอก็เท่ากับเป็นการล่วงละเมิดต่อเธอ และสิ่งที่เขาคิดจะทำนั้นแก้ใขกลับ คืนไม่ได้ เธอจะได้รับความอับอาย เธอไม่เพียงแต่ขอร้องเพื่อตัวเธอเองเท่านั้น ; แต่ขอร้องเพื่อตัวของเขา ด้วย เธอขอให้อัมโนนคิดดูให้ดี เพราะการข่มขืนเธอ จะทำให้เขาเป็นคนเขลาที่สุดในอิสราเอล เขาเป็นถึง บุตรหัวปีของอิสราเอล จะกลายเป็นที่ถูกเหยียดหยามที่สุดในอิสราเอล
ผมคิดว่า เมื่อเธอเริ่มจะต่อต้านอัมโนนไม่ไหว เธอจึงขอร้องอีกครั้ง ให้อัมโนนไปหาดาวิดผู้เป็นบิดา เพื่อขอ นางไปแต่งงาน ท่านคงจะไม่ปฏิเสธ เธอมีเหตุผลเพียงพอที่กล่าวเช่นนั้น เพราะนางซารายก็เป็นพี่น้องร่วม บิดาเดียวกับอับราฮัม และทามาร์จะเป็นเช่นกันกับอัมโนน ซารายและอับราฮัมมีบิดาคนเดียวกัน แต่คนละ มารดา (ดูปฐมกาล 20:12) ผมไม่คิดหรอกว่าเธออยากจะแต่งงานกับอัมโนน แต่แต่งงานก็ยังดีกว่าถูกข่มขืน เป็นที่เสื่อมเสีย เธอได้แต่หวังว่า เมื่ออัมโนนทูลขอ จะถูกบิดาตักเตือนและห้ามไม่ให้พูดถึง หรือคิดถึงเรื่องนี้ อีก หรืออาจสั่งห้ามไม่ให้เข้าใกล้ทามาร์อีกต่อไป
ไม่เป็นผล อัมโนนตั้งใจแล้วจะนอนกับทามาร์ให้ได้เดี๋ยวนั้น ถ้าเธอไม่ยอมแต่โดยดี ยังไงๆเธอก็หนีไมพ้น อัมโนนทั้งใหญ่กว่า แข็งแรงกว่า และในตอนนั้น ถึงจะไม่ถูกต้อง ก็ต้องยอม68
แน่นอนอัมโนนคงทบทวนเหตุกาณ์นี้ในใจมาหลายเที่ยว เพียงแต่รอโอกาส เธอคงขัดขืน และการใช้กำลัง ไม่เกี่ยวอะไรกับความรัก จากแรงดึงดูดใจที่รุนแรงมากเช่นนี้ ความรู้สึกที่มีต่อทามาร์เปลี่ยนเป็นขยะขแยงขึ้น มาทันที เขาทนเห็นหน้าผู้หญิงที่เขาข่มขืนมาหยกๆไม่ได้ อัมโนนจึงไล่เธออกไป ทามาร์พยายามขัดขวาง อีกครั้ง เธอวิงวอนว่า ถึงแม้สิ่งที่อัมโนนทำกับเธอจะร้ายกาจเพียงใด แต่การไล่เธอไปให้พ้นหน้านั้นเลวร้าย ยิ่งกว่า เพราะมันเป็นการแสดงให้เห็นชัดว่าไม่ได้ต้องการเธอให้มาเป็นภรรยา เธอไม่มีทางเลือกเหลือเลย ไม่ว่าจะเป็นการแต่่งงานหรือมีบุตร และอีกครั้งที่อัมโนน ไม่ยอมรับฟังเหตุผล หรือแสดงความชอบธรรม
อีกครั้งที่เราเห็นความคล้ายคลึงกัน ระหว่างบาปของอัมโนนต่อทามาร์ และบาปของดาวิดต่อบัทเชบาและ อุรียาห์ การที่ดาวิดนอนกับบัทเชบาก็เป็นเรื่องร้ายพอแล้ว แต่การฆ่าสามีของนางนั้นร้ายยิ่งกว่า จึงเป็น บาปประการที่สองของอัมโนนที่ไล่เธออกไป หลังจากข่มขืนเธอแล้ว
ถ้าอัมโนนเคยยึดทามาร์ไว้กับตัว ไม่ยอมปล่อย ตอนนี้ดูเหมือนทามาร์จะเป็นผู้ยึดอัมโนนไว้แทน ถ้าเขาได้ ล่วงเกินเธอ อย่างน้อยที่ทำได้ เขาควรจะให้เกียรติด้วยการแต่งงานกับเธอ อัมโนนกลับทำสิ่งที่เลวร้ายไปกว่า ด้วยการสั่งคนใช้ให้ขับไล่เธอไปจากบ้าน ปิดประตูใส่หน้า คนใช้ทำตาม ทามาร์จึงจำต้องไป เธอฉีกเสื้อผ้า เอาผงฝุ่นโรยศีรษะ ระหว่างทางที่เดินกลับบ้าน เธอเอามือกุมหัวและร่ำไห้ แน่นอนต้องมีหลายคนเห็น ถึงจะ ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ก็รู้ว่าต้องเป็นเรื่องร้ายแรง
20 อับซาโลมเชษฐาของเธอก็กล่าวกับเธอว่า "อัมโนนเชษฐาได้อยู่กับน้องหรือ
น้องเอ๋ย นิ่งเสีย เพราะเขาเป็นพี่ อย่าร้อนใจเพราะเรื่องนี้เลย" ฝ่ายทามาร์ก็ อยู่เปล่าเปลี่ยวในวังของอับซาโลมเชษฐา 21 เมื่อกษัตริย์ดาวิดทรงทราบเรื่อง
เหล่านี้ทั้งสิ้น พระองค์ก็กริ้วยิ่งนัก 22 แต่อับซาโลมมิได้ตรัสประการใดกับอัม
โนน เลย ไม่ว่าดีหรือร้าย เพราะอับซาโลมเกลียดชังอัมโนนมาก เหตุที่ท่าน ได้ข่มขืนทามาร์น้องหญิงของท่าน 23 ต่อมาอีกสองปีเต็ม อับซาโลมมีงาน ตัดขนแกะที่ตำบลบาอัลฮาโซร์ ซึ่งอยู่ใกล้เอฟราอิม และอับซาโลมได้เชิญ
โอรสทั้งสิ้นของพระราชา ไปในงานนั้น 24 อับซาโลมไปเฝ้าพระราชา ทูลว่า
"ดูเถิด ข้าพระบาทมีงานตัดขนแกะ ขอ เชิญพระราชาและมหาดเล็กของพระ
องค์ ไปในงานนั้นกับข้าพระบาท" 25 แต่พระราชาตรัสกับอับซาโลมว่า "ลูก
เอ๋ย อย่าเลย อย่าให้พวก เราไปกันหมดเลย จะเป็นภาระแก่เจ้าเปล่าๆ"
อับซาโลมคะยั้นคะยอพระองค์ ถึงกระนั้นพระองค์มิได้ยอมเสด็จ แต่ทรงอำนวย
พระพรให้ 26 อับซาโลมจึงกราบทูลว่า "ถ้าไม่โปรดเสด็จก็ขอ อนุญาตให้พระ
เชษฐาอัมโนนไปด้วยกันเถิด" และพระราชาตรัสถามว่า "ทำไมเขาต้องไปกับ
เจ้าด้วย" 27 แต่อับซาโลมทูลคะยั้นคะยอจนพระองค์ทรงยอม ให้อัมโนนและ ราชโอรสของพระราชาทั้งสิ้นไปด้วย 28 แล้วอับซาโลมบัญชามหาดเล็กของ
ท่านว่า "จงคอยดูว่าจิตใจของอัมโนนเพลิดเพลิน ด้วย เหล้าองุ่นเมื่อไร เมื่อ
เราสั่งเจ้าว่า 'จงตีอัมโนน' เจ้าทั้งหลายจงฆ่าเขาเสีย อย่ากลัวเลย เราบัญชา
เจ้าแล้วมิใช่หรือ จงกล้าหาญและเป็นคนเก่งกล้าเถิด" 29 และมหาดเล็กของ
อับซาโลมก็ กระทำกับอัมโนนตามที่อับซาโลมได้บัญชาไว้ แล้วบรรดาราช โอรสของพระราชาก็พากันลุกขึ้น ทรงล่อของแต่ละองค์หนีไปสิ้น 30 ขณะเมื่อ ราชโอรสได้ดำเนินอยู่ตามทาง มีข่าวไปถึงดาวิดว่า "อับซาโลมได้ประหาร ราชโอรสของพระราชาหมดแล้ว ไม่เหลืออยู่สักองค์เดียว" 31 พระราชาทรง
ลุกขึ้นฉีกฉลองพระองค์ และทรงบรรทมบนพื้นดิน บรรดาข้าราชการทั้งสิ้น สวมเสื้อผ้าฉีกขาดยืนเฝ้าอยู่ 32 แต่โยนาดับบุตรชิเมอาห์เชษฐาของดาวิด
กราบทูลว่า "ขออย่าให้เจ้านาย ของข้าพระบาทสำคัญผิดไปว่า เขาได้ประหาร ราชโอรสหนุ่มแน่นเหล่านั้นหมดแล้ว เพราะว่าอัมโนนสิ้นชีวิตแต่ผู้เดียว เพราะ ตามบัญชาของอับซาโลม เรื่องนี้ท่านตั้งใจไว้แต่ครั้งที่ อัมโนนข่มขืนทามาร์
น้องหญิงของท่านแล้ว 33 ฉะนั้น ขอพระราชาเจ้านายของข้าพระบาทอย่าได้
ร้อนพระทัย ด้วยสำคัญว่า ราชโอรสทั้งหมดของพระองค์สิ้นชีวิตเพราะอัมโนน
สิ้นชีพแต่ผู้เดียว" 34 แต่อับซาโลมได้หนีไป ฝ่ายทหารยามหนุ่มเงยหน้าขึ้นมอง
ดู ดูเถิด ประชาชน เป็นอันมากกำลังมาจากถนนโฮโรนาอิมข้างๆภูเขา 35 โยนา
ดับจึงกราบทูลพระราชาว่า "ดูเถิด ราชโอรสกำลังดำเนินมาแล้ว ตามที่ข้าพระ
บาทกราบทูล ก็เป็นจริงดังนั้น" 36 อยู่มาเมื่อเขาพูดจบลง ดูเถิด ราชโอรสของ
พระราชาก็มาถึงและได้ร้องไห้ ฝ่ายพระราชาก็กันแสง และบรรดาข้าราชการก็
ร้องไห้สะอึกสะอื้นด้วย
คนที่รู้ดีว่าเกิดอะไรขึ้นกับทามาร์อีกคนก็คืออับซาโลม พี่ชาย (แท้ๆ) ของทามาร์ เขาปลอบประโลมทามาร์ว่า เข้าใจดีถึงเรื่องที่อัมโนนทำกับเธอ และเขาก็ทำสิ่งที่น่าประหลาดใจ -- คือไม่ทำสิ่งใดเลย ดูจะเป็นช่นนั้น เหมือนกับเขาบอกเธอว่าให้เก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับภายในครอบครัว ขอให้เธอเก็บเรื่องนี้ไว้ และอย่าไป ขมขื่นกับมัน อับซาโลมคิดหรือว่าเธอจะทำได้? บางทีอับซาโลมอาจจะช่วยได้ ด้วยการให้เธอไปอยู่ที่บ้าน เพื่อจะได้ดูแลรักษาบาดแผลใจ ที่อัมโนนทำไว้ ในพระคัมภีร์ไม่ได้บันทึกไว้ว่า อับซาโลมได้บอกน้องสาว หรือเปล่า ว่าเขาคิดอะไรอยู่ จากสิ่งที่โยนาดับบอกกับดาวิดเมื่อสองปีให้หลัง ว่าอับซาโลมตั้งใจจะฆ่า อัมโนน ตั้งแต่เมื่อรู้ว่าน้องสาวถูกล่วงเกินแล้ว (ข้อ 32) สิ่งที่สาวน้อยคนนี้ต้องเผชิญคือ ไม่มีใครแต่งงานด้วย และไม่มีโอกาสมีบุตร อัมโนนได้สร้างตราบาปไว้กับเธอ นับจากวันที่เขาข่มขืนเธอ
ดูจากภายนอก ดาวิดตอบสนองต่อเรื่องที่ธิดาถูกข่มขืนในแบบคล้ายกันกับอับซาโลม ถึงแม้ท่านจะไม่ได้ปิด บังความกริ้ว แต่ทว่า ผู้เขียนบันทึกไว้ ว่าดาวิดทราบดีทุกสิ่งว่าเกิดอะไรขึ้น (ข้อ 21) ถึงกระนั้น ท่านก็ไม่ได้ คิดจะทำอะไร เราคงสงสัยว่าทำไม ดาวิดไม่มีพยานหลักฐานมาพิสูจน์ตามกฎหมายหรือ? ก็อาจเป็นได้ แต่ไม่ น่าจะใช่ หรือว่าดาวิดกลัวเสียหน้า? ท่านจะไปลงโทษบุตรในสิ่งเดียวกับที่ท่านเคยทำมาก่อนได้อย่างไร? หรือว่าที่ท่านรีรอ เพราะท่านเองก็มีส่วนผิดอยู่ด้วย? เพราะท่านเอง เป็นผู้สั่งทามาร์ให้ไปหาอัมโนนถึงที่บ้าน
ดูเหมือนดาวิดอาจจะโวยวายด้วยความโมโห แม้จะไม่ได้จัดการกับอัมโนนอย่างที่ควรทำ แต่อับซาโลมดูจะ ควบคุมอารมณ์ได้ดีเยี่ยม เขาปกปิดความเกลียดชัง และความโกรธเอาไว้ ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ในใจ แล้ว เขาคิดแผนการที่จะต้องให้อัมโนนชดใช้ในสิ่งที่ทำกับทามาร์ไว้ เขามีแรงจูงใจ เพียงแต่หาวิธีและรอ เวลาเท่านั้น และมันก็เกิดขึ้นหลังจากนั้นสองปี ระหว่างรอ อับซาโลมไม่เคยปริปากถึงอัมโนนเลย เขาทำ เหมือนอัมโนนไม่มีตัวตน ; และอีกไม่นานจะเป็นจริงตามนั้น
สองปีผ่านไป ทุกคนดูจะลืมหมดสิ้น และอัมโนนก็รอดตัว ลอยนวลอยู่ อับซาโลมอาจเคยลองหาวิธีอื่นจัดการ กับอัมโนนโดยกันไม่ให้ดาวิดเห็น แต่แผนการของเขาครั้งนี้จะสำเร็จ เวลาการตัดขนแกะมาถึงอีกครั้ง และ อับซาโลม เช่นเดียวกับคนอื่นๆ ทำงานเสร็จแล้ว กำลังเตรียมสำหรับงานฉลอง เขารู้ดีว่าดาวิดพอใจงานนี้ อาจเป็นเพราะท่านเคยเลี้ยงแกะมาก่อน และเคยมีประสบการณ์เกี่ยวกับงานเลี้ยงนี้ (ดู 1 ซามูเอล 25:2) นี่คือ ขั้นตอนแรกของแผนการอับซาโลม
ผมสงสัยมาก เมื่ออับซาโลมต้องการให้ดาวิดไปร่วมงานฉลองนี้ ถึงที่ตำบลบาอัลฮาโชร ์ซึ่งอยู่ห่างไปถึง 20 ไมล์ทางตะวันออกเฉียงเหนือของเยรูซาเล็ม เป็นการเดินทางที่ดาวิดไม่คิดอยากไป ผมเชื่อว่าอับซาโลมรู้ดี อีกอย่าง ดาวิดและผู้ติดตามอีกขบวนใหญ่ จะเป็นภาระเรื่องที่กินที่นอนมาก ดาวิดจึงปฏิเสธ แต่อำนวยพรให้ กับอับซาโลมแทน ตรงตามที่อับซาโลมคาดไว้ เขาไม่ละความพยายาม ตอนนี้ดาวิดตกหลุม ไปตามแผนขั้น แรกแล้ว -- เขาต้องการให้ดาวิดส่ง 69 อัมโนนบุตรชายไปแทน หรือว่าอับซาโลมทำทีว่า อัมโนนนั้นเป็นบุตร คนแรก จึงเหมาะไปเป็นตัวแทนของดาวิด? เราไม่อาจรู้ได้เพราะไม่มีการบันทึกไว้
ดาวิดเองก็สงสัย ว่าทำไมอับซาโลมถึงเจาะจงจะให้อัมโนนไป? ดาวิดถามย้ำกับอับซาโลม ดูเหมือนเขาเลี่ยง ที่จะตอบ และคะยั้นคะยอบิดาต่อ เป็นความคิดของดาวิดหรือเปล่า ที่ให้ส่งบุตรชายทั้งหมดไปกับอับซาโลม? บางที อาจทำให้คลายสงสัยไปได้ จะยังไงก็ตาม ดาวิดขออยู่บ้าน (ครับ ประวัติศาสตร์ซ้ำรอย) ส่งลูกไปแทน
อับซาโลมเตรียมแผนไว้แล้ว และสั่งให้คนใช้เตรียมตัว ดาวิดเคยสั่งโยอาบให้ฆ่าอุรียาห์ เช่นกัน อับซาโลม สั่งให้ลูกน้องฆ่าอัมโนน70 อับซาโลมจะมอมเหล้าอัมโนนจนได้ที่ และเมื่อเขา "เพลิดเพลินด้วยเหล้าองุ่น แล้ว" (ดูเหมือนประวัติศาสตร์จะซ้ำรอยอีก คงจำกันได้ที่ดาวิดพยายามทำให้จิตใจอุรียาห์เพลิดเพลิน เพื่อจะ ทำตามแผนที่ท่านวางไว้) เมื่ออัมโนนเมาได้ที่แล้ว อับซาโลมจะสั่ง ให้พวกคนใช้ฆ่าเขาเสีย อย่ากลัวไปเลย อับซาโลมจะรับผิดชอบทั้งหมด เมื่อเวลามาถึง อับซาโลมสั่ง และอัมโนนก็สิ้นชีวิตลง
บุตรชายที่เหลือของดาวิดตื่นตระหนก ที่เห็นอัมโนนถูกคนใช้ของอับซาโลมฆ่าตาย อับซาโลมจะฆ่าพวกเขา ด้วยหรือเปล่า? พวกเขาคงไม่รอฟังคำตอบ ขึ้นล่อได้ เผ่นกลับเยรูซาเล็มในทันที ข่าวไปถึงหูดาวิดก่อนพวก ลูกชายจะไปถึง และบ่อยครั้ง ข่าวแรกมักยังไม่ได้กรอง มีคนรายงานดาวิดว่า บุตรชายทั้งหมดของท่านถูกฆ่า ไม่เหลือสักคนเดียว ก่อนที่เราจะเลยเรื่องรายงานข่าวนี้ไป ผมขอให้เรามาคำนึง ถึงช่วงเลาที่ดาวิดต้องทน ทุกข์ ทุรนทุราย กว่าจะรู้ว่าข่าวนั้นไม่เป็นความจริง ดาวิดคงเป็นเหมือนโยบ เมื่อรู้ว่าบุตรธิดาตายหมด (ดูโยบ 1) ช่วงเวลาที่ดาวิดต้องทนทุกข์มากเช่นนั้น เป็นเหมือนรอคอยความตายของลูกที่เกิดกับนางบัทเชบา แต่ มากกว่าหลายเท่าตัว (ดู 12:14) ดาวิดฉีกเสื้อผ้าของตน ล้มลงนอนกับพื้น และมหาดเล็กทุกคนก็กระทำตาม
ช่วงเวลานั้น หลังจากที่ได้รับรายงานข่าว (ที่ผิดพลาด) จนกว่าจะเห็นหน้าลูกชายที่เหลือ โยนาดับมาหาดาวิด เพื่อจะบอกว่าข่าวนั้นไม่น่าเป็นจริง มีเพียงคนเดียวที่ตาย -- อัมโนน -- เพราะเป็นไปตามที่อับซาโลมตั้งใจไว้ ตั้งแต่วันที่ทามาร์น้องสาวถูกอัมโนนข่มขืน ดังนั้น โยอาบแนะนำว่า กษัตริย์ดาวิดไม่ควรคร่ำครวญมากมายเกิน เหตุ เหมือนดังกับว่าบุตรชายตายหมดทุกคน (ข้อ 32-33)
ให้มาดูบางอย่างที่น่าสนใจในคำพูดของโยนาดับ : มีอยู่ทางเดียวที่โยนาดับรู้เรื่องที่เล่าให้ดาวิดฟังนี้ โยนาดับ ไม่ได้ร่วมขบวนไปร่วมฉลองที่บ้านไร่ของอับซาโลม เขาไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ ต้องมีการรายงานล่วงหน้า (จะ ทางตรงหรือทางอ้อมก็ตาม) จากคนที่อยู่ที่นั่น ที่บาอัลอาโซร์ เพราะโยนาดับจะกล้าไปบอกดาวิดได้อย่างไร ว่าข่าวนี้ไม่ถูกต้อง ในเมื่อตัวเองก็ไม่ได้อยู่ที่นั่น? มีอยู่คำตอบหนึ่งเท่าที่ผมคิดออก โยนาดับอาจรู้ล่วงหน้ามา นานแล้ว ว่าอับซาโลมตั้งใจจะทำอะไรกับอัมโนน โยนาดับรู้ว่าอับซาโลมวางแผนจะฆ่าอัมโนน แต่ก็ไม่ได้คิด จะทำอะไรเพื่อป้องกันไม่ให้เกิด
ผมไม่ค่อยจะชอบหน้าโยนาดับสักเท่าไหร่ในบทนี้ เขาเป็นคนเจ้าเล่ห์ เป็นพวกชอบฉวยโอกาสอย่างไร้คุณธรรม เขารู้อยู่ว่าอัมโนนอยากได้ทามาร์ แต่ไม่คิดจะยับยั้ง แต่กลับช่วยคิดแผนชั่วให้อัมโนนลงมือทำ และหลังจากเป็น ผู้สมรู้ร่วมคิดให้ข่มขืนทามาร์ เขายังทำบาปมากขึ้นไปอีก รู้อยู่เต็มอกว่าอับซาโลมคิดจะฆ่าอัมโนน แต่ก็ไม่คิดจะ ทำอะไร (พูดตรงๆนะครับ ผมจะไม่ประหลาดใจเลย ถ้าเขาจะเป็นคนหาทางให้อับซาโลมดึงตัวอัมโนนออกมา) แล้วยังอีก ที่เขาใช้ข้อมูลที่มีอยู่ มาเอาหน้ากับดาวิด ด้วยเล่ห์เพทุบาย ที่ไปบอกดาวิดว่าแค่อัมโนนเท่านั้นที่ตาย ก่อนที่พวกลูกๆที่เหลือ กลับมาถึงเยรูซาเล็ม เมื่อพวกที่เหลือกลับมาถึง ก็เป็นสิ่งที่พิสูจน์ได้ว่าโยนาดับรู้จริง เมื่อมาถึง โยนาดับกล่าวกับดาวิดว่า "ดูสิครับ เป็นอย่างที่ผมบอกหรือเปล่า? เป็นจริงตามที่ผมพูดไว้ทุกประการ" (ข้อ 35) ผมคิดว่าโยนาดับต้องการอะไรบางอย่างจากดาวิด
หลังจากที่โยนาดับบอกดาวิดว่าแค่บุตรชายคนเดียวเท่านั้นที่ตาย ทหารยามมองออกไปก็เห็นคนมากมาย กำลังเดินทางมา ที่สุด บุตรชายทั้งสิ้นของดาวิดก็กลับมาเยรูซาเล็มเว้นแต่สองคน : อัมโนนผู้ตาย และ อับซาโลม ฆาตรกรผู้หลบหนีไป ลูกชายที่เหลือของดาวิดเริ่มร้องไห้ ดาวิดเริ่มร้องด้วย ท่านและทุกคน คร่ำครวญถึงอัมโนน
เมื่อผมสรุปบทเรียนตอนนี้ ผมขออยากให้บทเรียนบางประการที่พระธรรมตอนนี้สอนเรา
ประการแรก พระธรรมตอนนี้อยู่ต่อจากคำพยากรณ์เรื่องการลงโทษที่จะมีมาถึงดาวิด และผลกระทบ ส่วนตัวของดาวิดคือการตายของบุตรคนแรก ที่เกิดจากนางบัทเชบา นี่ไม่ใช่เป็นเพราะเหตุการณ์ใน บทที่ 13 เป็นเหตุการณ์ต่อเนื่องจากบทที่ 12 แต่เป็นเพราะบทที่ 13 เป็นการแสดงให้เห็นถึงผลต่อเนื่องจาก ความบาปที่ดาวิดกระทำไว้ บาปของท่านที่ทำเป็นการส่วนตัวในที่ลับ มีผลกระทบต่อทั้งชาติ บาปของดาวิด มีผลต่อท่าน ต่อภรรยาและบุตร และตอนนี้ต่อไปถึงสมาชิกคนอื่นๆของราชวงศ์ อีกไม่นาน บาปของดาวิด จะ ทำให้เกิดการแบ่งแยกราชอาณาจักร และต้องถูกแยกจากราชบัลลังก์ไปชั่วขณะหนึ่ง
ผมเชื่อว่าเป็นความจริง เมื่อบุตรดาวิดตาย (บทที่ 12) ลูกสาวถูกข่มขืน และลูกชายถูกฆาตรกรรม (บทที่ 13) ยังไม่ใช่เป็นการลงโทษต่อความบาปของท่าน แต่เป็นการที่พระเจ้าลงวินัย ถ้าดาวิดต้องถูกลงโทษเพราะบาป ของท่าน ท่านคงต้องตาย นาธันบอกกับท่านว่า ท่านจะไม่ตาย เพราะบาปของท่านถูกยกไปเสีย แต่โศกนาฏ กรรมที่เกิดขึ้นนี้ เป็นวิธีการสั่งสอนและแก้ใข ถึงแม้มันจะเจ็บปวด แต่ก็เพื่อให้เป็นไปตามคำสั่งสอนของพระ วจนะคำ (ดูฮีบรู 12:1-13)
ฮิวจ์ เบรวิน เพื่อนเก่าสูงวัยของผม ตั้งข้อสังเกตุสำหรับตอนนี้ว่า พระเจ้าจัดเตรียมให้เหตุการณ์นี้เกิดขึ้น เพื่อ ทำให้ดาวิดเห็นถึงความบาปของตนเอง จากมุมมองของคนอื่น สมาชิกราชวงศ์บางคน กำลังทำกับดาวิด เหมือนกับที่ดาวิดทำกับพระเจ้า ดาวิดใช้อำนาจในทางที่ผิด ในฐานะ "กษัตริย์แห่งอิสราเอล" ล่วงละิเมิด ต่อพระเจ้าโดยไปชิงนางบัทเชบามา อัมโนนใช้อำนาจในทางที่ผิดในฐานะ "โอรสของกษัตริย์" ไปชิงตัว ทามาร์มา ดาวิดทำบาปด้วยการฆ่าอุรียาห์ อับซาโลมทำบาปด้วยการฆ่าอัมโนน บัดนี้ดาวิดมีประสบการณ์ เดียวกันกับพระเจ้า กับบัทเชบา และกับคนอื่นๆที่ได้รับผลกระทบจากความบาปของท่าน
ประการที่สอง พระธรรมตอนนี้มีเรื่องสอนดาวิดมากมาย และสอนเราด้วยถึงเรื่องของบาป สังเกตุดู ครับ ว่าบาปมักจะเริ่มจากบางสิ่งที่คล้ายๆกับ "ผลไม้ต้องห้าม" สำหรับอาดัมและเอวา เป็นผลไม้มาจากต้นรู้ผิด ชอบชั่วดี สำหรับโยเซฟ ก็ภรรยาของโปทิฟาร์ สำหรับดาเนียลและเพื่อนทั้งสาม ก็คืออาหารของวัง สำหรับ ดาวิดคือบัทเชบา อัมโนนคือทามาร์ เราจะเห็นได้ว่าความบาปเริ่มจากจุดเล็กๆ และมักอยู่ในที่ลับตา แต่เจริญ เติบโตอย่างรวดเร็ว และขยายใหญ่ขึ้น และออกสู่สายตาคนภายนอก เราเห็นได้ว่าความบาปไม่เคยคุ้มค่า ราคา ที่ต้องจ่ายนั้นแพงกว่าราคาจริงหลายเท่าตัว ไม่ว่าจะเป็นดาวิดหรือครอบครัวของท่าน ชนชาติอิสราเอลจะยิ้ม ออกหรือไม่ออกก็ตาม เพราะผลของจากบาป ก็อย่างที่มาร์ค ทเวนเคยกล่าวไว้ "ออกไปให้ห่าง ดีกว่าต้อง หลุดออกมา" นี่คือความบาปครับ
พระธรรมตอนนี้เตือนเราให้ห่างไกลจากบาป และสอนเราด้วยว่า เมื่อใดก็ตามที่ความบาปเริ่มขึ้น หยุดได้เร็ว เท่าไรยิ่งเป็นการดีเท่านั้น เหตุการณ์คงจะไม่เลวร้ายถึงเพียงนี้ ถ้าโยนาดับเจ้าเล่ห์จะตำหนิอัมโนนเรื่องตัณหา ของเขา แทนที่จะไปช่วยหาวิิิิิิิิิธีให้เขาทำผิดได้สำเร็จ จะดีเพียงใดถ้าดาวิดเล็งเห็นถึงความชั่วที่อัมโนนซ่อน อยู่ในแผนการของเขา และไม่อณุญาตให้ทามาร์ไปหา และห้ามไม่ให้อัมโนนไปที่ไร่ของอับซาโลม เรา สามารถมองเห็นว่าผลที่เกิดขึ้นเจ็บปวดเพียงใด คนที่ไม่ยอมตักเตือนแก้ใขคนบาป ก็เท่ากับเป็ยผู้สมรู้ร่วมคิด ในการทำให้บาปงอกงาม กี่ครอบครัวกัน ที่หัวใจต้องแตกสลาย เพราะแม่หรือพ่อ ไม่ยอมลงโทษลูกที่เริ่ม ออกนอกลู่นอกทาง? ชีวิตสมรสกี่คู่กัน ต้องแตกหักลงเพราะสามีหรือภรรยาไม่ยอมจัดการกับบาปของตนเอง หรือบาปของคู่ชีวิต? กี่ครั้งกัน ที่ครอบครัวทำสิ่งเดียวกับที่อับซาโลมบอกให้ทำ -- เก็บความบาปไว้เป็นเรื่อง ลับของครอบครัว
เรารู้อยู่ว่าบาปก่อให้เกิดการแตกแยก เรารู้ (หรือควรรู้) ว่าบาปทำให้เราแยกจากพระเจ้า และยังทำให้เราแยก จากคนอื่นด้วย บาปของอาดัมและเอวาทำให้ทั้งคู่ต้องแยกจากพระเจ้า และไม่นานจากนั้น ทำให้คาิอินต้อง แยกจากอาเบล บาปแยกโยเซฟออกจากพี่น้อง บาปทำให้ครอบครัวดาวิดแตกแยก บาปแยกอัมโนนจาก ทามาร์ อัมโนนจากอับซาโลม ดาวิดจากอับซาโลม และในที่สุดทั้งประเทศชาติ บาปเป็นรากของความแตก แยกและไม่ลงรอยกัน
ประการที่สาม เราสามารถเรียนได้จากทุกบุคคลิกในพระธรรมตอนนี้ อัมโนนเตือนให้เราเห็นถึงการ ไล่ตามตัณหาของเนื้อหนัง (เทียบกับ 1 โครินธ์ 10) โยนาดับเตือนเราให้เห็นถึงอันตรายในการใช้บาปของ คนอื่นมาทำประโยชน์ให้กับตนเอง ขอให้เราจดจำไว้ อย่าได้ตกเป็นผู้ชดใช้ ถูกตำหนิและถูกลงวินัย ดาวิด เตือนให้เราเห็นถึงการเฉยเมยต่อบาป ดาวิดรู้เรื่องที่บุตรสาวถูกทำร้ายทางเพศ แต่ดูเหมือนว่าท่านไม่ได้คิด จะทำอะไร ทำไมเป็นเช่นนั้น? เพราะมันเป็นบาปเดียวกับที่ท่านทำกับบัทเชบาหรือ? หรือท่านกลัวว่า ถ้าท่าน ลงโทษอัมโนน ท่านอาจถูกถามว่า ท่านเป็นใครถึงกล้าขว้างหินใส่คนบาปเป็นคนแรก? ไม่ว่าเหตุผลใดก็ตาม ที่ทำให้ดาวิดเมินเฉย มันเอื้อให้คนอื่นกล้าทำบาป และจากอับซาโลม เราเรียนรู้ถึงอันตรายของความชังและ ความขมขื่น อับซาโลมไม่ยอมจัดการกับอัมโนนตามหลักพระวจนะคำ เขาอยากแก้แค้นในแบบของตนเอง เขาทำสำเร็จ แล้วได้กลายเป็นทั้งฆาตรกรและผู้ลี้ภัย
ประการที่สี่ พระธรรมตอนนี้สอนเรามากมายเรื่องความรัก ทุกสิ่งที่เราบอกว่ารัก ไม่จำเป็นว่า เป็นความ รักเสมอไป เราเห็นว่าอัมโนนคิด ว่าตนเองตกหลุมรัก แต่ที่จริงแล้วไม่ใช่ ในความคิดของอัมโนน รักเป็นคำ เดียวกับคำว่าเซ้กส์ "รัก" ตามความหมายของเขา ถูกขัดขวางเพราะเป็นพรหมจารี ไม่เกี่ยวข้องกับผิดถูกชั่วดี (ตามที่กำหนดไว้ในธรรมบัญญัติ) "รัก" ของอัมโนนไม่เข้าข่ายของ 1 โครินธ์ 13 ทามาร์ไม่เคยไว้ใจอัมโนน ในเรื่องนี้ มันเป็นเรื่องน่าเศร้านะครับ ที่หญิงสาวหลายคนต้องสูญเสียพรหมจรรย์ไป เพราะคำหวานเพียงไม่กี คำ จากผู้ชายเจ้าชู้ ทุกวันนี้ ผู้หญิงหลายคนเลิกยึดถือมาตรฐานตามแบบทามาร์แล้ว เขาไม่เห็นว่าพรหม จรรย์เป็นเรื่องมีค่าราคาอะไร กลับเห็นเป็นเหมือนคำสาป ที่ต้องกำจัดไปให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ ขอให้บท เรียนตอนนี้ สอนเราให้รู้จักความหมายที่แท้จริงของคำว่ารัก และคุณค่าของการถือความบริสุทธิ์ ไม่ว่าจะเป็น ทั้งหญิงหรือชาย
ท้ายที่สุด บทเรียนตอนนี้ ส่องให้เราเห็นถึงข่าวประเสริฐ ในพระกิติคุณของพระเยซูคริสต์ ลองคิดดู ว่าอับซาโลมรู้สึกอย่างไรที่ทามาร์น้องสาวถูกอัมโนนข่มขืน ดาวิดรู้สึกอย่างไรที่ลูกสาวได้รับความอับอาย หลายคนคงสงสัย ดาวิดทำได้อย่างไรที่ไม่ลงโทษอัมโนน เมื่อคิดเข่นนี้แล้ว ให้คิดดูว่าพระเจ้า พระบิดา รู้สึก อย่างไร ต่อบรรดาคนที่ปฏิเสธ ต่อต้าน ขัดขวางและดูหมิ่นพระผู้ไร้ตำหนิ พระเยซูคริสต์พระบุตรองค์เดียวของ พระเจ้า เมื่อพระองค์ส่งพระบุตรลงมาบนโลกนี้เมื่อ 2,000 ปีมาแล้ว มนุษย์ปฏิเสธพระองค์ ว่าเป็นคนบาป ตรึง พระองค์ไว้บนกางเขน ถ้าคุณเป็นพระเจ้า คุณรู้สึกอย่างไรต่อผู้คนพวกนี้ และต่อผู้คนที่ยังปฏิเสธพระคริสต์ ในทุกวันนี้?
ผมมีทั้งข่าวดีและข่าวร้ายมาแจ้งให้ทราบ ขอเริ่มจากข่าวร้ายก่อน ข่าวร้ายคือพระเจ้าจะลงโทษทุกคนที่ ปฏิเสธ พระบุตรของพระองค์ เมื่อพระองค์เสด็จกลับมาอีกครั้ง พระองค์จะมาด้วยพระสง่าราศี และสิทธิ อำนาจ เพื่อปราบศัตรูลงให้ราบคาบ :
64 พระเยซูตรัสตอบว่า "ท่านว่าถูกแล้ว และยิ่งกว่านั้นอีกเราบอกท่าน ทั้งหลายว่า ในเวลาเบื้องหน้านั้น ท่านทั้งหลายจะได้เห็นบุตรมนุษย์นั่ง ข้างขวา ของผู้ทรงฤทธานุภาพ และเสด็จมาบนเมฆแห่งฟ้าสวรรค์" (มัทธิว 26:64).
"32 พระเยซูนี้พระเจ้าได้ทรงบันดาลให้คืนพระชนม์แล้ว ข้าพเจ้าทั้งหลาย
เป็นพยานในข้อนี้ 33 เหตุฉะนั้นเมื่อทรงเชิดชูพระองค์ขึ้น อยู่ที่พระหัตถ์เบื้อง
ขวาของพระเจ้า และครั้นพระองค์ได้ทรงรับพระวิญญาณบริสุทธิ์จากพระ
บิดาตามพระสัญญา พระองค์ได้ทรงเทฤทธิ์เดชนี้ลงมา ดังที่ท่านทั้งหลาย
ได้ยิน และเห็นแล้ว 34 เหตุว่าท่านดาวิดไม่ได้ขึ้นไปยังสวรรค์แต่ท่านได้
กล่าวว่า 'พระเจ้าตรัสกับองค์พระผู้เป็นเจ้าของข้าพเจ้าว่า จงนั่งขวามือของ
เรา 35 จนกว่าเราจะกระทำให้ศัตรูของเจ้าอยู่ใต้เท้าเจ้า' 36 เหตุฉะนั้น ให้ พงศ์พันธุ์อิสราเอลทั้งปวงทราบแน่นอนว่า พระเจ้าได้ทรงยกพระเยซูนี้ ซึ่งท่านทั้งหลายได้ตรึงไว้ที่กางเขนนั้น ทรงตั้งขึ้นให้เป็นทั้งองค์พระผู้เป็น
เจ้าและเป็นพระคริสต์" (กิจการ 2:32-36)
30 ในเวลาเมื่อมนุษย์ยังไร้เดียงสา พระเจ้ามิได้ทรงถือโทษ แต่เดี๋ยวนี้ พระเจ้าได้ตรัสสั่งแก่มนุษย์ทั้งปวงทั่วทุกแห่งให้กลับใจใหม่" (กิจการ 17:30).
5 ท่านจงมีน้ำใจต่อกันเหมือนอย่างที่มีในพระเยซูคริสต์ 6 ผู้ทรงสภาพของพระเจ้า แต่มิได้ทรงถือว่าการเท่าเทียมกับพระเจ้านั้นเป็นสิ่งที่จะต้องยึดถือ 7 แต่ได้กลับ
ทรงสละ และทรงรับสภาพทาส ทรงถือกำเนิดเป็นมนุษย์ 8 และเมื่อทรงปรากฏ พระองค์ในสภาพมนุษย์แล้ว พระองค์ก็ทรงถ่อมพระองค์ลงยอมเชื่อฟังจนถึงความ
มรณา กระทั่งความมรณาที่กางเขน 9 เหตุฉะนั้นพระเจ้าจึงได้ทรงยกพระองค์ขึ้น
อย่างสูง และได้ประทานพระนามเหนือนามทั้งปวงให้แก่พระองค์ 10 เพื่อเพราะ
พระนามนั้น ทุกเข่า ในสวรรค์ ที่แผ่นดินโลก ใต้พื้นแผ่นดินโลก จะคุกลงกราบ
พระเยซู11 และเพื่อ ทุกลิ้นจะยอมรับ ว่าพระเยซูคริสต์ทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า อันเป็นการถวายพระเกียรติแด่พระบิดาเจ้า (ฟีลิปปี 2:5-11)
1 เหตุใดบรรดาประชาชาติจึงคิดกบฏ ทำไมชนชาติทั้งหลายปองร้ายกันเปล่าๆ
2 บรรดากษัตริย์แห่งแผ่นดินโลกตั้งตนเองขึ้น และนักปกครองปรึกษากัน ต่อ สู้พระเจ้าและผู้รับการเจิมของพระองค์ กล่าวว่า 3 "ให้เราระเบิดสายแอกให้ขาด
สะบั้น และขจัดบังเหียนของเขาให้พ้นจากเรา" 4 พระองค์ผู้ประทับในสวรรค์
ทรงพระสรวล พระเจ้าทรงเย้ยหยันเขาเหล่านั้น 5 แล้วพระองค์ตรัสกับเขาทั้ง
หลายด้วยพระพิโรธ และกระทำให้เขาสยดสยองด้วยความกริ้วของพระองค์
ตรัสว่า 6 "เราได้ตั้งกษัตริย์ของเราไว้แล้ว บนศิโยน ภูเขาศักดิ์สิทธิ์ของเรา"
7 ข้าพเจ้าจะบอกถึงพระดำรัสของพระเจ้า พระองค์รับสั่งกับข้าพเจ้าว่า "เจ้า
เป็นบุตรของเรา วันนี้เราได้ให้กำเนิดแก่เจ้าแล้ว 8 จงขอจากเราเถิด และเรา จะมอบบรรดาประชาชาติให้เป็นมรดกของเจ้า ตลอดทั้งแผ่นดินโลกให้เป็น
กรรมสิทธิ์ของเจ้า 9 เจ้าจะตีเขาให้แตกด้วยกระบองเหล็ก และฟาดให้แหลก
เป็นชิ้นๆ ดุจภาชนะของช่างปั้นหม้อ" 10 เพราะฉะนั้น ข้าแต่กษัตริย์ทั้งหลาย
จงฉลาดเถิด ข้าแต่นักปกครองแห่งแผ่นดินโลก จงรับคำเตือนเถิด 11 จง ปรนนิบัติพระเจ้าด้วยความยำเกรง และจงเกษมเปรมปรีดิ์จนเนื้อเต้น 12 จง นมัสการพระองค์ด้วยใจจริง เกลือกว่าพระองค์จะทรงพระพิโรธ และเจ้าต้อง
พินาศจากทางนั้น เพราะพระพิโรธของพระองค์นั้นจุดให้ลุกได้รวดเร็ว ความ สุขเป็นของคนทั้งหลายผู้เข้ามาลี้ภัยในพระองค์ (สดุดี 2)
ไม่มีมนุษย์คนใดที่เคยมีชีวิตอยู่บนโลกนี้ สมควรค่ากับชีวิตนิรันดร์ มนุษย์ทุกคนเกิดมาในความบาป ไม่ สามารถดำเนินชีวิตตามมาตรฐานความชอบธรรมของพระเจ้าได้ (โรม 3:23; 6:23) เราทั้งหลายต้องโทษ ถึงตาย พระเจ้า ผู้ทรงเมตตาคุณอันหาที่สุดมิได้ ทรงจัดเตรียมหนทางให้ในพระบุคคลของพระบุตร คือองค์ พระเยซูคริสต์ พระองค์เสด็จมาบนโลกนี้ เป็นพระเจ้าที่มารับสภาพสมบูรณ์เป็นมนุษย์ พระองค์ดำเนินชีวิต โดยปราศจากบาป สำแดงพระองค์ในฐานะทางที่พระเจ้าจัดเตรียมไปสู่สวรรค์และชีวิตนิรันดร์ (ยอห์น 14:6) พระเจ้าทรงนำบทลงโทษของบาปไปไว้ที่พระเยซู และเมื่อพระองค์สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน ถูกชุบให้กลับ เป็นขึ้นมา พระองค์ทรงจัดเตรียมหนทางความรอดให้กับทุกคนที่ยอมรับในพระองค์
แต่ส่วนบรรดาผู้ที่ต้อนรับพระองค์ ผู้ที่เชื่อในพระนามของพระองค์ พระองค์ก็ทรง ประทานสิทธิให้เป็นบุตรของพระเจ้า (ยอห์น 1:12)
"เพราะว่าพระเจ้าทรงรักโลก จนได้ทรงประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ เพื่อ ทุกคนที่วางใจในพระบุตรนั้นจะไม่พินาศ แต่มีชีวิตนิรันดร์" (ยอห์น 3:16)
21 แต่บัดนี้ได้ปรากฏแล้วว่า ความชอบธรรมซึ่งมาจากพระเจ้านั้นปรากฏนอกเหนือ
กฎบัญญัติ ธรรมบัญญัติกับพวกผู้เผยพระวจนะเป็นพยานอยู่ 22 คือความชอบธรรม
ของพระเจ้า ซึ่งทรงประทานโดยความเชื่อในพระเยซูคริสต์ แก่ทุกคนที่เชื่อ เพราะ
ว่าคนทั้งหลายไม่ต่างกัน 23 เพราะว่าทุกคนทำบาป และเสื่อมจากพระสิริของพระเจ้า
24 แต่พระเจ้าทรงพระกรุณาให้เขาเป็นผู้ชอบธรรม โดยไม่คิดมูลค่า โดยที่พระเยซู คริสต์ทรงไถ่เขาให้พ้นบาปแล้ว 25 พระเจ้าได้ทรงตั้งพระเยซูไว้ให้เป็นที่ ลบล้างพระ อาชญาโดยพระโลหิตของพระองค์ โดยความเชื่อจึงได้ผล ทั้งนี้เพื่อสำแดงให้เห็น ความชอบธรรมของพระเจ้า ในการที่พระองค์ได้ทรงอดกลั้นพระทัย และทรงยกบาป ที่ได้ทำไปแล้วนั้น 26 และเพื่อจะสำแดงในปัจจุบันนี้ว่าพระองค์ทรงเป็นผู้ชอบธรรม และทรงโปรดให้ผู้ที่เชื่อในพระเยซูเป็นผู้ชอบธรรมด้วย (โรม 3:21-26)
20 ฉะนั้นเราจึงเป็นทูตของพระคริสต์ โดยที่พระเจ้าทรงขอร้องท่านทั้งหลายทาง
เรา เราจึงขอร้องท่านในนามของพระคริสต์ให้คืนดีกันกับพระเจ้า 21 เพราะว่าพระ จ้าได้ทรงกระทำพระองค์ผู้ทรงไม่มีบาปให้บาป เพราะเห็นแก่เรา เพื่อเราจะได้เป็น คนชอบธรรมของพระเจ้าทางพระองค์ (2 โครินธ์ 5:20-21)
9 ถ้าเรายังรับพยานหลักฐานของมนุษย์ พยานหลักฐานของพระเจ้าก็ยิ่งใหญ่กว่า เพราะว่าพยานหลักฐานของพระเจ้านั้น คือพระองค์ได้ทรงเป็นพยานอ้างถึงพระ
บุตรของพระองค์ 10 ผู้ที่เชื่อในพระบุตรของพระเจ้าก็มีพยานอยู่ในตัว ผู้ที่ไม่เชื่อ พระเจ้าก็ได้กระทำให้พระองค์เป็นผู้ตรัสมุสา เพราะเขามิได้เชื่อคำพยาน ที่พระเจ้า ได้ทรงเป็นพยานอ้างถึงพระบุตรของพระองค์ 11 และพยานหลักฐานนั้นก็คือว่า
พระเจ้า ได้ทรงโปรดประทานชีวิตนิรันดร์ให้เราทั้งหลาย และชีวิตนี้มีอยู่ในพระ
บุตรของพระองค์ 12 ผู้ที่มีพระบุตรก็มีชีวิต ผู้ที่ไม่มีพระบุตรก็ไม่มีชีวิต 13 ข้อความ เหล่านี้ข้าพเจ้าได้เขียนถึงท่านทั้งหลาย ที่เชื่อในพระนามของพระบุตรของพระเจ้า เพื่อท่านทั้งหลายจะได้รู้ว่าท่านมีชีวิตนิรันดร์ (1 ยอห์น 5:9-13)
ข่าวดีของพระกิตติคุณคือเราไม่ต้องรับการลงพระอาชญาเพราะความบาปอีกต่อไป พระเยซูคริสต์ทรงแบกรับ แทนแล้ว สำหรับทุกคนที่เชื่อในพระองค์ ข่าวร้ายคือ คนที่ปฏิเสธพระบุตร และการแบกรับแทนของพระองค์ วันหนึ่งข้างหน้า จำต้องยืนอยู่ต่อเบื้องพระพักตร์ ในสภาพศัตรูที่พ่ายแพ้ ยอมรับพระองค์เป็นจอมกษัตริย์ของ โลกนี้ ผมอยากอธิษฐานให้คุณทั้งหลายเปิดใจยอมรับของประทานล้ำค่าแห่งการให้อภัยนี้ และมีชีวิตนิรันดร์ เข้าเป็นส่วนหนึ่งในครอบครัวของพระเจ้า แทนที่จะเป็นหนึ่งในบรรดาศัตรูของพระองค์
61 ผมขอแยกพี่ชายของดาวิดออกเป็นสาม-สาม เพราะสามคนแรกมีชื่ออยู่ใน 1 ซามูเอล 16 ในฐานะเป็นพี่ ชายคนโต และอีกครั้งในบทที่ 17 ทั้งสามคนนี้ไปออกรบ ที่เหลืออีกสาม มีชื่ออยู่ใน 1 พงศาวดาร 2 ส่วน โยนาดับเป็นบุตรของชิเมอี เป็นคนที่ถูกเอ่ยถึงบ่อยในตอนนี้ อาบีชัย โยอาบ และอาสาเฮล เป็นบุตรทั้งสาม ของนางเศรุยาห์ พี่สาวของดาวิด และมีส่วนสำคัญอย่างยิ่งต่อชีวิตของดาวิด อามาสาเป็นบุตรของนาง อาบิกายิล จะถูกอับซาโลมเลือกให้เป็นผู้บัญชาการรบของกองทัพอิสราเอลชั่วคราว ในขณะที่อับซาโลม เข้ามายึดราชบัลลังก์ไปชั่วขณะ ใน 2 ซามูเอล 14 เมื่อดาวิดยึดราชบัลลังก์กลับคืนมาได้ ท่านตั้งอามาสา ขึ้นแทนโยอาบ (บทที่ 19) และหลังจากนั้นไม่นานก็ถูกโยอาบฆ่าตาย (บทที่ 20)
62 ลูกสามคนของดาวิดที่เราให้ความสนใจเป็นพิเศษในตอนนี้คือ อัมโนน ลูกของอาหิโนอัม อับซาโลม และทามาร์ ลูกของนางมาอาคาห์ อาดีโนยาห์บุตรของฮักกีท ผู้พยายามขึ้นเป็นผู้สืบราชบัลลังก์ต่อจากดาวิด ตามที่บันทึกอยู่ใน 1 พงศ์กษัตริย์ 1
63 ตรงนี้มีข้อสังเกตุที่น่าสนใจ มีการใช้คำว่า "รัก" ถึงสี่ครั้งด้วยกัน ดูค่อนข้างชัดเจนว่า "รัก" ของอัมโนน นั้น เป็นมากกว่าความใคร่ และทั้งสี่ครั้งนี้ ผู้แปลฉบับเซพทัวร์จิ้น ใช้คำภาษากรีกแปลจากต้นฉบับพระคัมภีร์ เดิมโดยใช้คำว่า อากาเป้ (agapao) ให้คนที่ชอบใช้คำว่า "รักอย่างอากาเป้" (agape love) ที่คิดว่าเป็นรัก แบบเดียวกับพระเจ้า เป็นความรักที่สูงที่สุด ระมัดระวังในการนำมาใช้ อย่าให้เป็นความหมายมันเกินจริงไป
64 ยังมี "ทามาร์" อีกคนในพระคัมภีร์เดิม เป็นหนึ่งในลูกสะใภ้ของยูดาห์ อยู่ในปฐมกาล 38 และอีก "ทามาร์" ลูกสาวของอับซาโลม (2 ซามูเอล 14:27) อับซาโลมต้องการให้เกียรติกับน้องสาว (ที่ไม่มีโอกาสมีบุตร) โดยนำมาตั้งชื่อลูกสาวหรือเปล่า?
65 เมื่อเธอรู้แน่ชัดว่าอัมโนนมีใจปรารถนาในตัวเธอ ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม เธอเสนอเรื่องแต่งงาน (ดูข้อ 13)
66 ฟังดูแล้วทำให้เราอดคิดกันไม่ได้ว่า อัมโนนออกจะเกรงๆอับซาโลมอยู่สักหน่อย (อาจกลัวก็เป็นได้) ทามาร์ ไม่เพียงอยากจะรักษาพหรมจรรย์เอาไว้เท่านั้น เธอยังมีอับซาโลมคอยดูแลปกป้องศักดิ์ศรีให้ด้วย แต่พี่ใหญ่ (และป๋า) กลับไม่ยักยำเกรงพระเจ้า กลับทูลขอให้ส่งน้องสาว (ธิดา) ไปให้
67 เรื่องของโยนาดับยังไม่จบครับ นี่เป็นแค่เรื่องความชั่วเรื่องแรกของเขา ไม่ช้าจะมีเรื่องที่สองตามมา
68 ผมต้องขอบอกว่า เมื่อผมย้อนกลับไปในตอนต้น เหตุการณ์ของอัมโนนและทามาร์ นั้นจงใจแสดงให้เห็น ถึงเหตุการณ์ที่คล้ายคลึงกันระหว่างดาวิดและบัทเชบา และเราก็ได้เห็นข้อพิสูจน์ที่ยืนยันถึงความบริสุทธิ์ของ บัทเชบาในค่ำคืนที่อยู่กับดาวิดอีกข้อ แน่นอนเรากล่าวไ้ด้ว่า ทามาร์ตกเป็นเหยื่อผู้บริสุทธิ์ ถ้าเป็นเช่นนั้น เหตุการณ์ในทำนองเดียวกัน คงเกิดขึ้นกับดาวิดด้วย
69 มีคำว่า "ส่ง" หรือ "ส่งไป" (หรือในทำนองเดียวกัน) เกิดขึ้นอยู่เสมอ ในบทที่ 11 มีหลายครั้งมาก เมื่อ ดาวิดใช้อำนาจของท่าน (ส่งคนไป) ไปเพื่อจัดการให้ได้ตามความประสงค์ ทำให้ท่านทำบาปกับนางบัทเชบา และอุรียาห์ มาถึงในบทที่ 13 ดาวิด "ส่ง" ทามาร์ไปหาอัมโนน (ข้อ 7) และอนุญาตส่งอัมโนน (พร้อมกับ บุตรชายทั้งหลาย) ไปหาอับซาโลม(ข้อ 27)
70 ที่ต่างกันคือ อุรียาห์ถูกฆ่าเพราะเป็นคนชอบธรรม แต่อัมโนนถูกฆ่าเพราะเป็นคนบาป
บรรดาคนที่เคยสูญเสียบุตร คงรู้ดีถึงความทุกข์สาหัสที่ได้รับ เมื่อเด็กตาย เป็นประสบการณ์ที่เจ็บปวด แต่ ยังมีอย่างอื่นอีก -- ที่เจ็บปวดยิ่งกว่า -- วิธีที่ต้องเสียเด็กไป ดาวิดทนทุกข์ต่อการสูญเสียมากมายในครอบ ครัว โดยเฉพาะลูกๆ ดาวิดสูญเสียลูกคนแรกที่เกิดกับบัทเชบา ภรรยาม่ายของอุรียาห์ (บทที่ 12) ต่อมา ทามาร์ลูกสาวของท่าน เสียพรหมจรรย์เพราะถูกข่มขืน ถูกข่มขืนโดยพี่ชายร่วมบิดาเดียวกัน คืออัมโนน ดาวิดสูญเสียอัมโนน เพราะอับซาโลมต้องการแก้แค้นแทนน้องสาวที่ถูกข่มขืน ดูเหมือนการสูญเสียที่เจ็บปวด ที่สุดคือสูญเสียอัมโนน และที่สุด ดาวิดต้อง "สูญเสีย" อับซาโลมไป โดยฝีมือของโยอาบและพวกข้าราชการ แต่ดาวิด "สูญเสีย" อับซาโลมไปนานแล้วก่อนหน้านี้ ท่านเสียเขาไปตั้งแต่เมื่อเขาฆ่าพี่ชาย อัมโนน และ หลบหนีไปยังเกชูร์ ที่คุณปู่ให้ลี้ภัย ทัลมัยิิ กษัตริย์ของเกชูร์ และเป็นบิดาของมาอาคาห์ผู้เป็นแม่ (2 ซามูเอล 3:3) การสูญเสียยังไม่จบลง ถึงแม้อับซาโลมได้รับอณุญาติให้คืนกลับเยรูซาเล็มแล้วก็ตาม ได้รับอณุญาติ ให้เข้าเฝ้า การสูญเสียเช่นนี้เป็นความเจ็บปวดยิ่งของผู้เป็นพ่อแม่ ; ที่ผมพูดเช่นนี้ เพราะผมรู้ ว่ามีหลายคน ที่เคยมีประสบการณ์เช่นนี้
ผมแน่ใจว่าคนที่เคยมีประสบการณ์การสูญเสียเช่นนี้ จะมีประสบการณ์ของความรู็สึกผิดควบคู่มาด้วย ถ้าดู เผินๆ บทเรียนตอนนี้ดูจะตอกย้ำความรู้สึกผิดเข้าไปอีก ใช่หรือไม่ ที่ดาวิดเป็นต้นตอของความเจ็บปวดทั้ง ปวง? ดาวิดต้องสูญเสียอับซาโลมไป เกิดจากการอบรมไม่ดีพอหรือเปล่า? หรือดาวิดรู้เรื่องทามาร์ถูก ข่มขืนดี ถึงท่านจะกริ้ว แต่ก็ไม่ได้คิดจะแก้ใข? ไม่ใช่ดาวิดหรอกหรือ ที่ยอมให้อับซาโลมลี้ภัยอยู่ในเกชูร์ และรีรอเล็กน้อยก่อนยอมให้กลับมา ไม่ยอมเห็นหน้า จนเมื่อถูกกดดันจึงจำยอม? อับซาโลมเป็นผลผลิตของ บ้านที่มีปัญหาหรือเปล่า?
ผมต้องขอสารภาพว่า ผมคิดอย่างนี้จริงในตอนแรก ผมกำลังจะชี้ให้เห็นความล้มเหลวของดาวิดในฐานะพ่อ และความล้มเหลวนี้ เป็นตัวการนำไปสู่ความตกต่ำจนทำให้ชีวิตของอับซาโลมต้องสิ้นลง แต่ตอนนี้ผมไม่ได้ เห็นเช่นนั้นแล้ว ไม่ใช่เป็นเพราะดาวิดไม่มีบาปหรือไม่เคยล้มเหลว แต่มันชัดเจนว่า ที่อับซาโลมตกต่ำลง จนถึงขีดสุดนั้น เป็นเพราะความบาปของเขาเอง เป็นสิ่งที่เขาเลือกเอง ในท่ามกลางความเจ็บปวด ความ ทุกข์ที่ต้อง "สูญเสีย" อับซาโลมไป ผมเชื่อว่าพระเจ้าทรงทำงานในจิตใจของดาวิด ดึงท่านให้เข้าใกล้ พระองค์ยิ่งขึ้น ทำให้ท่านเป็นยิ่งกว่าบุรุษที่ทำตามพระทัยจนสุดใจ เรื่องนี้เต็มไปด้วยความลึกลับ และนำมา ซึ่งความทุกข์อันใหญ่หลวง แต่ขณะเดียวกัน นำมาซึ่งการประโลมใจ และความมั่นใจในพระคำของพระเจ้า ที่ถูกถ่ายทอดมาในเนื้อหาของเรื่อง
เรื่องนี้เกิดขึ้นก่อนหน้าที่เรากำลังจะศึกษาอยู่นี้ ใน 1 ซามูเอลบทที่ 8 พวกผู้ใหญ่ของอิสราเอล ไปหา ซามูเอล เรียกร้องขอมีกษัตริย์มาปกครอง สิ่งนี้ทำให้ทั้งพระเจ้าและซามูเอลไม่พอใจ เพราะจิตใจของ พวกเขาไม่ถูกต้องในสายพระเนตร พระเจ้าทรงสั่งให้ซามูเอล มาเตือนประชาชน ถึงราคาแพงของการมี กษัตริย์ (บทที่ 8) ต่อมา ซามูเอลได้ตำหนิประชาชนในความบาปของพวกเขา ตักเตือนพวกเขาถึงความสัตย์ ซื่อในพันธสัญญาของพระเจ้า ที่จะนำพวกเขาไปสู่ดินแดนแห่งพันธสัญญา และเข้าครอบครอง (บทที่ 12) พระเจ้าแสดงชัดเจน ผ่านซามูเอล ว่ากษัตริย์จะไม่ และไม่สามารถช่วยกู้พวกเขาได้ เป็นพระเจ้าเองที่ ทรงกู้ประชากรของพระองค์ และพระองค์จะทรงทำต่อไป ถ้าทั้งประชาชนและกษัตริย์จะวางใจ และเชื่อฟัง พระองค์ พระเจ้าจะทรงช่วยกู้ต่อไป และจะอำนวยพระพรให้ แต่ถ้าไม่ "ท่านจะต้องพินาศ ทั้งตัวท่าน ทั้งหลายเอง และ พระราชาของท่านด้วย" (1 ซามูเอล 12:25ข)
พระเจ้าทรงเลือกและแต่งตั้งซาอูลให้เป็นกษัตริย์องค์แรกของอิสราเอล โดยรวมๆแล้ว ท่านทำหน้าที่ได้ดี พอควร (1 ซามูเอล 14:47-48) บางกรณีดีกว่าดาวิดเสียอีก เท่าที่เรารู้ ท่านไม่ได้มีภรรยามากมาย สะสมม้า หรือมัวแต่แสวงหาความมั่งคั่ง (ดูเฉลยธรรมบัญญัติ 17:14-20) ไม่มีประวัติว่าท่านล่วงประเวณีเหมือนอย่าง ดาวิด ท่านปราบศัตรูของอิสราเอลลงมากมาย บาปที่ร้ายแรงที่สุดของท่านคือ ดื้อดึงต่อพระเจ้า ครั้งแรกท่าน ไม่ยอมรอให้ซามูเอลมาทำการถวายเครื่องเผาบูชา (1 ซามูเอล 13) ต่อมาไม่ยอมกำจัดชาวอามาเลขให้หมด สิ้นตามคำสั่งของพระเจ้า (1 ซามูเอล 15) แล้วท่านยังไปปรึกษาคนทรงแทนที่จะปรึกษาพระเจ้า (1 ซามูเอล 28)
ดาวิดเป็นกษัตรยิ์ผู้ยิ่งใหญ่ และทำตามพระทัยพระเจ้าจนสุดใจ บาปที่ร้ายแรงที่สุดของท่านคือเรื่องอุรียาห์ และบัทเชบาผู้เป็นภรรยา ถึงแม้จะเป็นกรณียกเว้น แต่ก็เป็นบาปที่ตรึงแน่นอยู่ในความทรงจำ (1 พกษ. 15:5) กุญแจที่จะใขเข้าไปสู่ความเข้าใจในเรื่องนี้ อยู่ในคำพยากรณ์ที่นาธันมีต่อดาวิด :
7 นาธันจึงทูลดาวิดว่า "ฝ่าพระบาทนั่นแหละคือชายคนนั้น พระเยโฮวาห์พระเจ้า แห่งอิสราเอลตรัสดังนี้ว่า 'เราได้เจิมตั้งเจ้าไว้ให้เป็นกษัตริย์เหนืออิสราเอล และ
เรา ช่วยกู้เจ้าออกมาจากมือของซาอูล 8 และเราได้มอบวงศ์เจ้านายของเจ้าไว้ใน
มือของเจ้า และได้มอบภรรยาเจ้านายของเจ้าไว้ในอกของเจ้า และมอบวงศ์วาน อิสราเอลและวงศ์วานยูดาห์ให้แก่เจ้า ถ้าเท่านี้ยังน้อยไป เราจะเพิ่มให้อีกเท่านี้
9 ทำไมเจ้าดูหมิ่นพระวจนะของพระเจ้า กระทำสิ่งที่ชั่วในสายพระเนตรของพระองค์ เจ้าได้ฆ่าอุรีอาห์คนฮิตไทต์เสียด้วยดาบ เอาภรรยาของเขามาเป็นภรรยาของตน และได้ฆ่าเขาเสียด้วยดาบของคนอัมโมน 10 เพราะฉะนั้นดาบนั้นจะไม่คลาดไป
จากราชวงศ์ของ เจ้าเพราะเจ้าได้ดูหมิ่นเรา เอาภรรยาของอุรีอาห์คนฮิตไทต์มา
เป็นภรรยาของเจ้า' 11 พระเจ้าตรัสดังนี้ว่า 'ดูเถิด เราจะให้เหตุร้ายบังเกิดขึ้นกับเจ้า จากครัวเรือนของเจ้าเอง และเราจะเอาภรรยาของเจ้าไปต่อหน้าต่อตาเจ้า ยกไป ให้แก่เพื่อนบ้านของเจ้า ผู้นั้นจะนอนร่วมกับภรรยาของเจ้าอย่างเปิดเผย 12 เพราะ เจ้าทำการนั้นอย่างลับๆ แต่เราจะกระทำการนี้ต่อหน้า อิสราเอลทั้งสิ้นและอย่าง
เปิดเผย'" (2 ซามูเอล 12:7-12)
อำนาจบารมี ความมั่งคั่ง และเกียรติยศทั้งสิ้นของดาวิด พระเจ้าเป็นผู้ประทานให้ ความสำเร็จทั้งสิ้นของดาวิด ไม่ได้อยู่ในความยิ่งใหญ่ของท่าน แต่เป็นมาโดยพระคุณพระเจ้า พระเจ้าบอกกับดาวิดว่า ท่านจะทูลขอสิ่งใด พระองค์จะประทานให้ "… เราจะเพิ่มให้อีกเท่านี้" ดาวิดต้องการมากกว่านั้น แต่แทนที่จะเชื่อฟังและขอต่อ พระองค์ ท่านกลับไปแย่งบัทเชบา ภรรยาของอุรียาห์มา และฆ่าอุรียาห์ทิ้งเสีย พระเจ้าทรงพระกรุณาคุณ ใน การที่ทรง "นำบาปของดาวิดไปเสีย" ท่านจะได้ไม่ตายตามธรรมบัญญัติ ถึงกระนั้น ยังมีผลบาปที่ต้องชดใช้ เรื่องแรกคือการตายของเด็กที่เกิดกับบัทเชบา (2 ซามูเอล 12:14-23) เรื่องที่สองคือ ทามาร์ถูกข่มขืน โดย พี่ชาย (พี่ชายคนละแม่ อัมโนน 2 ซามูเอล 13:1-19) ต่อมา คือการตายของอัมโนน โดยฝีมือ (ถ้าจะให้ถูก โดยคำสั่ง) ของอับซาโลม ผู้เป็นบุตรของดาวิดและพี่ชายของทามาร์ (2 ซามูเอล 13:20-36) ผลทำให้ดาิวิด ต้องสูญเสียอับซาโลม บุตรชายไปอีกคน ที่หนีไปลี้ภัยอยู่ในเมืองเกชูร์ ดินแดนที่คุณตาของเขา ทัลมัยิเป็น คนปกครองอยู่ (2 ซามูเอล 13:37) อับซาโลมยังไม่ได้ตายในตอนนั้น แต่ดาวิดก็สูญเสียลูกไปแล้ว และคง จะเป็นไปจนกระทั้ง เขาได้ตายลงจริงๆโดยเงื้อมมือของโยอาบ (2 ซามูเอล 18)
เนื้อหาตอนนี้ เราจะมุ่งไปที่เรื่องของอับซาโลม ความเป็นตัวตนของเขา และการกบฎต่อบิดา และการที่พระ เจ้าใช้อับซาโลมมาลงวินัยดาวิด เพื่อดึงท่านให้เข้าใกล้ชิดพระองค์ ก่อนที่จะเรียนต่อ เราต้องย้อนไปบทที่ 13 ที่พูดถึงอับซาโลมเป็นครั้งแรก
เราเรียนเรื่องนี้มาในบทที่แล้ว ผมจะไม่พูดในรายละเอียดอีก ที่ผมอยากให้เห็นในตอนนี้คือ แววส่อกบฎของ อับซาโลมที่เริ่มออก (ต่อพระเจ้า และต่อดาวิด) รวมทั้งรอยร้าวในสัมพันธภาพระหว่างพ่อกับลูก
เรารู้ว่าอัมโนน โดยการช่วยเหลือของโยนาดับ ทำสิ่งที่เลวร้ายที่สุดในครอบครัว โดยเฉพาะกับน้องสาวของ ตนเอง เขาหลอกลวงบิดา เพื่อให้ท่านออกคำสั่งให้ทามาร์ไปหาถึงที่บ้าน เพื่อ "ไปปรุงอาหาร" ให้ถึงในห้อง นอน เขาข่มขืนน้องสาวตัวเอง และปฏิเสธไม่ยอมให้เกียรติแต่งงานกับเธอ อัมโนนไม่มช่คนเดียวที่หลอกลวง บิดา อับซาโลมทำในสิ่งเดียวกันด้วย
ผมรู้สึกไม่สบายใจ พออ่านมาถึงประโยคนี้:
21 เมื่อกษัตริย์ดาวิดทรงทราบเรื่องเหล่านี้ทั้งสิ้น พระองค์ก็กริ้วยิ่งนัก
(2 ซามูเอล 13:21)
ผมนึกไม่ออก ว่าดาวิดโกรธอัมโนนมาก แต่กลับไม่ทำอะไรเลย แต่ตอนนี้ผมเริ่มเข้าใจ จากคำพูดในข้อ 21 เรื่องบาปของอัมโนน ตามด้วยสิ่งที่อับซาโลมทำ :
20 อับซาโลมเชษฐาของเธอก็กล่าวกับเธอว่า "อัมโนนเชษฐาได้อยู่กับน้องหรือ
น้องเอ๋ย นิ่งเสีย เพราะเขาเป็นพี่ อย่าร้อนใจเพราะเรื่องนี้เลย" ฝ่ายทามาร์ก็อยู่ เปล่าเปลี่ยวในวังของอับซาโลมเชษฐา (2 ซามูเอล 13:20)
ให้หยุดคิดชั่วครู่ ถึงแบบฉบับของความยุติธรรมในพระคัมภีร์ ในกรณีที่ทามาร์ถูกข่มขืน เราอาจจะคิดว่า อัมโนน เช่นเดียวกับบิดา ดาวิด สมควรถูกลงโทษถึงตาย แต่ไม่ใช่ เพราะดาวิดทำบาปล่วงประเวณี กับ หญิงที่มีสามีแล้ว ; อัมโนนข่มขืนหญิงพรหมจารี กฎหมายพูดถึงบทลงโทษในเรื่องนี้ไว้อย่างชัดเจน :
16 "ถ้าผู้ใดล่อลวงหญิง พรหมจารีที่ยังไม่มีคู่หมั้นและนอนร่วมกับหญิงนั้น ผู้นั้นจะต้องเสียเงินสินสอด และต้องรับหญิงนั้นเป็นภรรยาของตน 17 ถ้า
บิดาไม่ยอมอย่างเด็ดขาด ที่จะยกหญิงนั้นให้เป็นภรรยา เขาก็ต้องเสียเงิน เท่าสินสอดตามธรรมเนียมสู่ขอหญิง พรหมจารีนั้นดุจกัน" (อพยพ 22:16-17)
28 "ถ้าชายคนหนึ่งพบหญิงพรหมจารียังไม่มีคนหมั้น เขาจึงจับตัวเธอและ
ได้ร่วมกับเธอ มีผู้รู้เห็น 29 ชายผู้ที่ได้ร่วมกับเธอนั้นจะต้องมอบเงิน ห้าสิบ เชเขลให้แก่บิดาของหญิงสาวคนนั้น และให้หญิงนั้นตกเป็นภรรยาของผู้ชาย
คนนั้น เพราะเขาได้ทำให้เธอได้รับความอาย และเขาจะหย่าร้างเธอไม่ได้
ตลอดชีวิต" (เฉลยธรรมบัญญัติ 22:28-29)
ทามาร์ขอร้องอัมโนนให้ไปขอกับดาวิดให้เธอเป็นภรรยา แต่อัมโนนปฏิเสธ อย่างน้อย อัมโนนน่าจะแต่งงาน กับทามาร์ หลังจากที่ข่มขืนเธอแล้ว นี่เป็นไปตามบทบัญญัติของกฎหมาย นอกเสียจากดาวิดจะไม่ยินยอม 71 เราคงสงสัยว่าทำไม? ทำไมอัมโนนถึงไม่แต่งงานกับทามาร์? เราเห็นชัดว่า เขาไม่อยากมีส่วนเกี่ยวข้องกับ ทามาร์อีกต่อไป แต่ก็ไม่เป็นเหตุพอที่จะหลีกเลี่ยงการแต่งงาน เพราะอัมโนนคงไม่มีทางเลือก คนที่ทำให้ อัมโนนไม่อาจแต่งงานกับทามาร์ได้ น่าจะเป็นฝีมือของอับซาโลม พี่ชายแท้ๆของทามาร์เอง
ผมเห็นชัดเจนจากพระคัมภีร์ ว่าอับซาโลมมีวิธีการแก้แค้นในแบบที่แตกต่างออกไป :
32 แต่โยนาดับบุตรชิเมอาห์เชษฐาของดาวิดกราบทูลว่า "ขออย่าให้เจ้านายของ ข้าพระบาทสำคัญผิดไปว่า เขาได้ประหารราชโอรสหนุ่มแน่นเหล่านั้นหมดแล้ว เพราะว่าอัมโนนสิ้นชีวิตแต่ผู้เดียว เพราะตามบัญชาของอับซาโลม เรื่องนี้ท่านตั้ง
ใจไว้แต่ครั้งที่ อัมโนนข่มขืนทามาร์น้องหญิงของท่านแล้ว (13:32)
อับซาโลมเกลียดชังอัมโนน พี่ชายต่างมารดาคนนี้ยิ่งนัก ในสิ่งที่เขาทำกับทามาร์น้องสาว เขามีความตั้งใจ จะไม่ปล่อยให้คนๆนี้ลอยนวลไปได้ง่ายตามที่กฎบัญญัติ นับแต่วันที่ทามาร์ถูกข่มขืน อับซาโลมมุ่งหวังที่จะ ฆ่าอัมโนน เพียงแต่รอเวลาและจังหวะเท่านั้น ดังนั้นอับซาโลมจึงทำตามที่บันทึกไว้ในข้อ 20 เขาบอกให้ น้องสาวเงียบไว้ และเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับภายในครอบครัว คือไม่ให้ทามาร์กล่าวหาอัมโนน ถ้าเป็น ภาษากฎหมายสมัยนี้ เธอต้องไม่ฟ้องร้องเอาเรื่อง ต้องละเรื่องนี้ไว้ให้อับซาโลมจัดการ อีกอย่าง อับซาโลมให้เธอเข้าไปอาศัยอยู่ในวังของเขา และต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยวไปจนวันตาย 72
การกระทำของอับซาโลม เป็นเหมือนปูทางให้ตนเองก้าวไปสู่การฆ่าอัมโนน เขาไม่ยอมให้ทามาร์ ได้ แต่งงานและมีบุตร เขาทำให้ดาิวิด ไม่สามารถทำตามธรรมบัญญัติของโมเสสได้ แน่นอนดาวิดต้องกริ้วมาก เมื่อได้ยินเรื่องทั้งหมดนี้ ท่านโกรธเพราะท่านถูกมัดมือชก ไม่สามารถลงไปจัดการเรื่องนี้ได้ การข่มขืน ทามาร์จึงเป็นเพียงเรื่องข่าวลือ ท่านถูกอับซาโลมมัดไว้ ผมเชื่อว่า ดาวิดไม่เพียงแต่กริ้วในสิ่งที่อัมโนนทำ แต่ในสิ่งที่อับซาโลมทำด้วย
สิ่งที่อับซาโลมทำยังไม่จบลงเพียงแค่นี้ สองปีผ่านไป โอกาสก็ตกเป็นของอับซาโลม ที่จะเอาชีวิตอัมโนน เขาทำโดยใ้ห้ดาวิดต้องตกเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดด้วย (ถึงแม้จะไม่อยากทำ -- เพราะท่านเริ่มได้กลิ่นไม่ค่อยดี กับคำขอของอับซาโลม แต่ไม่รู้ว่าเป็นเรื่องอะไร) เช่นเดียวกับที่อัมโนนหลอกดาวิด ให้ส่งทามาร์ไปให้ถึง ที่บ้าน อับซาโลมก็หลอกให้ดาวิดส่งอัมโนนไปให้ถึงที่บ้านไร่ด้วย
อย่างที่เราคาดกัน ดาวิดโศกเศร้ามากต่อการตายของอัมโนน แต่เมื่ออัมโนนตายไปแล้ว ท่านจำต้องดำเนิน ชีวิตต่อไป อย่างที่ผู้เขียนกล่าว ดาวิด "ค่อยคลายความคิดถึงลง เพราะอัมโนนสิ้นชีพแล้ว" (13:39) อัมโนนบุตรของดาวิดตายไปแล้ว ; อับซาโลมบุตรอีกคนยังมีชีวิตอยู่ แต่หลบซ่อนตัวลี้ภัยอยู่ในดินแดนเกชูร์ ที่ปู่เป็นผู้ปกครองอยู่ ทัลมัยิ (ดู 2 ซามูเอล 3:3) ดาวิดรักอับซาโลมมาก และหวังอยากพบหน้า (ท่านรู้ว่า อับซาโลมมาหาท่านไม่ได้ เพราะเป็นอาชญากรต้องโทษที่หลบหนี จะถูกประหารชีวิตถ้ากลับเข้ามาใน แผ่นดินอิสราเอล)
โยอาบดูจะรู้ใจดาวิดดี จึงวางแผนที่จะนำอับซาโลมกลับคืนสู่อิสราเอล ผมคงพูดไม่ได้เต็มปาก ว่าโยอาบ บริสุทธิ์ใจ แต่เขาคงเป็นเหมือนอับซาโลม คือพวกชอบขัดขวางขบวนการยุติธรรม หลังจากที่อ่านพระธรรม ตอนนี้ ทำให้อยากสรุปว่า แผนการของโยอาบดูไม่โปร่งใสเท่าที่ควร จึงขอเริ่มต้นด้วยการให้เหตุผลตามข้อ สรุปของผม
ถึงแม้จะดูดีถ้ามองเผินๆ ตาม "เรื่อง" ที่หญิงชาวเทโคอาเล่า แต่เป็นคนละเรื่องกับที่นาธันเล่าให้ดาวิดฟัง จนนำไปสู่การกลับใจ นาธันเป็นผู้เผยพระวจนะ ; แต่หญิงจากเทโคอาคนนี้ไม่ใช่ พระเจ้าส่งนาธันมาพบ ดาวิด ; โยอาบเป็นผู้ส่งหญิงคนนี้มาพบดาวิด หญิงคนนี้ดูออกจะกลัวโยอาบ ไม่ค่อยอยากทำตามสักเท่าไร ; แต่นาธันมาพบดาวิดเป็นการส่วนตัว เรื่องที่หญิงคนนี้เล่าไม่ได้เป็นเรื่องจริง ; เรื่องของนาธัน ถึงแม้จะแต่งขึ้น แต่ก็ถูกต้องและชี้ชัดต่อความบาปของดาวิด นาธันจบเรื่องลงที่ข้อกล่าวหา "ฝ่าพระบาท นั่นแหละ คือชาย คนนั้น" เรื่องของหญิงม่าย ไม่มีข้อกล่าวหาเรื่องความบาปของดาวิด ไม่มีข้อมูลสนับสนุน เมื่อนาธันพูดถึง บาปของดาวิด ดาวิดยอมรับด้วยความจริงใจ ; เมื่อเรื่องของหญิงม่ายจบลงที่แผนของโยอาบ ดาวิดรีรอ ไม่ยอมให้ตามคำขอร้อง โยอาบรู้สึกว่าตนเองมีบุญคุณอย่างเหลือล้นต่อดาวิด ทำความดีความชอบให้ กับดาวิด แทนที่จะคิดว่าตนเองตัดสินใจทำในสิ่งที่ถูกต้องหรือเปล่า
ดาวิดถูก ที่รู้สึก "ไม่ชอบมาพากล" เมื่อเรื่องที่หญิงเทโคอาเล่าจบลง และที่ "ไม่ชอบมาพากล" นั้นคือโยอาบ ความแตกเมื่อดาวิดคาดคั้นเอาความจริง (ว่าโยอาบอยู่เบื้องหลัง) นางบอกว่าเป็นความคิดของโยอาบ นาง ไม่ได้อยากทำ นางรู้สึกโล่งใจที่ความจริงเปิดเผยออกมา นางบอกดาวิดว่า โยอาบเตรียมการทุกอย่าง เพื่อ "เปลี่ยนโฉมหน้าของเหตุการณ์" (ข้อ 20) ฟังๆดูเหมือนนางพูดทำนองว่า "ดิฉันทำตามคำสั่งของโยอาบ เพื่อพระองค์จะได้ทำในสิ่งที่ถูกต้อง"
การกระทำต่อๆมาของโยอาบ (ไม่นับเรื่องก่อนหน้านี้ เช่นที่ฆ่าอับเนอร์) ดูจะมีสิ่งซ่อนเร้นแอบแฝงอยู่ตลอด จุดอ่อนของดาวิดคือท่านรักอับซาโลม ซึ่งโยอาบใช้เป็นเครื่องมือแสวงหาผลประโยชน์ให้กับตนเอง ถ้าอับซา โลมลุกขึ้นมากบฎต่อดาวิด เราคงเห็นโยอาบวางมาดเฉย อับซาโลมตั้งอามาสาให้เป็นผู้คุมกองทัพอิสราเอล (กองทัพที่ทหารมาเข้าพวกกับอับซาโลม) เมื่อดาวิดต่อสู้อับซาโลมและกองทัพของเขา โยอาบไม่ได้เป็นผู้ คุมกองทัพทั้งหมดของดาวิด เขาได้คุมแค่หนึ่งในสามเท่านั้น (2 ซามูเอล 18:2) และโยอาบ แน่นอนเป็นผู้ฆ่า อัับซาโลม ถึงแม้ดาวิดจะสั่งให้ "เบาๆมือกับเขาหน่อย" (18:5, 11-15) เมื่อดาวิดชิงบัลลังก์กลับคืนมาได้ ท่านตั้งอามาสาขึ้นแทนโยอาบ (19:13) แต่ในที่สุดก็ถูกโยอาบฆ่าตาย ด้วยน้ำมือของอาบีชัย น้องชาย (20:8-10) ต่อมาเมื่อดาวิดชราภาพลง และอาโดนียาห์หวังจะขึ้นครองแทน ตัดหน้าซาโลมอน ปรากฎว่า โยอาบไปเข้าพวกด้วย ทำให้เขาต้องตายลงในที่สุด (1 พกษ. 2:28-33)
อับซาโลม เมื่อตกเป็นผู้ต้องหาฆ่าคนตาย ลี้ภัยไปอยู่กับคุณปู่ที่เมืองเกชูร์ ดาวิดไม่ผิดที่ยังรักบุตรคนนี้อยู่ และหวังจะได้พบกับเขาอีก แต่คงเป็นการไม่ถูกต้อง ที่ดาวิดจะให้อภัย แล้วอนุญาติให้กลับบ้านมาเหมือนเดิม ถ้าจะไปหาที่เกชูร์ยิ่งไม่สมควรเข้าไปใหญ่ ด้วยอุบายที่หลอกลวง โยอาบใช้เรื่องนี้เป็นบันได แสวงหาผล ประโยชน์เข้าตัว หลอกบังคับให้ดาวิดต้องยอม ให้อับซาโลมกลับคืนสู่อิสราเอล
หญิงจากเทโคอามาหาดาวิด มาขอความช่วยเหลือ เมื่อดาวิดถามถึงปัญหา นางจึงเล่าให้ฟัง สังเกตุดูนะครับ ฟังทั้งสองโต้ตอบกันเหมือนกับดูแข่งเทนนิส ทุกครั้งที่ผู้หญิงคนนี้ "เสริฟ" ดาวิดด้วยคำขอร้อง ดาวิดก็จะตอบ แล้วนางก็จะมีเรื่องขอ โต้กลับมา จนกระทั่งได้รับคำยินยอมจากดาวิด จนเป็นที่พอใจ นางจึงนำเรื่องนี้มาใช้กับ สถานการณ์ของดาวิด กับเรื่องอับซาโลมผู้เป็นบุตร
คำขอร้องแรกของหญิงคนนี้ "ดิฉันเป็นหญิงม่าย มีบุตรชายสองคน บุตรทั้งสองไปต่อสู้กันในทุ่งนา และ ไม่มีใครห้ามปราม"73 เลยทำให้บุตรคนหนึ่งต้องถูกอีกคนฆ่าตาย ไม่มีใครเข้าไปยับยั้ง และไม่มีใครเห็น เป็นพยานด้วย อาจเป็นการป้องกันตัวก็เป็นได้ ใครจะไปคิดว่าเป็นการฆ่าโดยเจตนา (เตรียมการมาก่อน) ถ้าเรื่องนี้ต้องไปตัดสินกันที่ประตูเมือง คงไม่มีใครกล้าส่งมอบบุตรที่รอดชีวิต ไปให้พวกแค้นเคืองจัดการ
คำตอบของดาวิด: "ทำไมเจ้าไม่กลับไปบ้าน ขอเวลาให้เราคิดสักหน่อย? แล้วจะแจ้งให้ทราบ"
หญิงคนนี้พยายามต่อ "ดิฉันเข้าใจดีพะย่ะค่ะ ว่าเป็นสถานการณ์ที่ค่อนข้างยาก และพระองค์คงไม่อยากจะ เข้าไปเกี่ยวข้องด้วย ดิฉันทราบค่ะ จึงจำต้องขอไปตามทาง และทำเท่าที่ดิฉันจะทำได้ (คือซ่อนตัวลูกชายไว้) และยอมรับสภาพที่เกิดขึ้น ขอให้ดิฉันเป็นผู้รับโทษนี้แต่เพียงผู้เดียว พระองค์ไม่จำต้องเดือดร้อนพระทัย"
คำตอบของดาวิด: "เดี๋ยวก่อน เรายังไม่ได้พูดเลยว่าเราจะไม่ทำสิ่งใด เราเพียงแต่ต้องการคิดเรื่องนี้ให้รอบ คอบก่อน แล้วเราจะแจ้งผลให้ทราบทีหลัง ถ้าใครมาทำให้เจ้าร้อนใจอีก ให้นำเขามาหาเรา เราจะจัดการให้"
ความพยายามครั้งที่สามของหญิงคนนี้ : "พระองค์ทรงพระกรุณามากพะย่ะค่ะ แต่จะไม่เป็นการดีกว่าหรือ เพคะ ถ้าพระองค์จะเป็นผู้เข้ามาจัดการเรื่องนี้ พระองค์จะได้ไม่ต้องไปจัดการกับคนอื่นที่ก่อความเดือดร้อนอีก? เพียงแต่พระองค์ออกคำสั่งห้าม ไม่ให้ใครแตะต้องบุตรของดิฉันเท่านั้น เขาก็จะปลอดภัย ไม่ต้องหลบซ่อนตัว อีกต่อไป และเมื่อพระองค์ตัดสินพระทัยแล้ว ขอให้พระองค์สาบานในามพระเยโฮวาห์เท่านั้น ทุกคนก็จะรู้ว่า เป็นความจริง (และ อาจทำให้ไม่มีการกลับคำ)"
คำตอบของดาวิด: "ก็ได้ เราจะให้ตามที่เจ้าขอ 'พระเจ้าทรงพระชนม์อยู่แน่ฉันใด เส้นผมของบุตรของเจ้า สักเส้นเดียวจะไม่ตกลงถึงดิน"
ความพยายามครั้งที่สามของหญิงคนนี้ : "ดิฉันกราบขอบพระคุณ แต่สิ่งที่พระองค์ตัดสินพระทัยทำลงไป ไม่สามารถนำมาใช้กับปัญหาของพระองค์หรือ? พระองค์ทรงปกป้องบุตรของดิฉัน เหตุใดจึงไม่ปกป้องบุตร ของพระองค์เอง อับซาโลมด้วย? เราทุกคนรู้ดีว่า วันหนึ่งข้างหน้าเราต้องตาย แต่พระเจ้าไม่ทรงปิติกับความ ตาย พระองค์ปรารถนาอยากให้มนุษย์มีชีวิต เพื่อนำผู้ที่ถูกเนรเทศกลับคืนมา เหตุใดพระราชาจึงไม่ทรงทำในสิ่ง เดียวกัน หาวิธีไว้ชีวิต และนำอับซาโลมกลับคืนสู่อิสราเอล?"
คำตอบของดาวิด: "อ้าว! อยู่ดีๆทำไมกลายเป็นว่า เรื่องที่เราพูดอยู่กับเจ้า กลับกลายเป็นเรื่องของเรากับบุตร ไป แทนที่จะเป็นเรื่องของเจ้ากับบุตรของเจ้า เรารู้สึกว่า โยอาบน่าจะอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้ บอกความจริงมาเดี๋ยว นี้ ว่าใช่หรือไม่?"
คำตอบที่ห้าของหญิงคนนี้: "ข้าแต่พระราชา ผู้ใดจะสามารถหลอกลวงพระองค์ได้? โดยเฉพาะอย่างยิ่งดิฉัน พระองค์ทรงพระปรีชาล้ำลึกยิ่ง ทรงเล็งเห็นความจริงทุกประการ ใช่แล้วพะย่ะค่ะ โยอาบอยู่เบื้องหลังเรืองนี้ทั้ง หมด ดิฉันไม่ได้อยากทำ แต่กลัวโยอาบ เพราะเขาบอกว่า ต้องการเปลี่ยนโฉมหน้าเหตุการณ์ เพื่อให้ดูดีขึ้น"
คำตอบของดาวิด: "เอาหละ โยอาบ74 เราจะให้ตามคำขอของเจ้า ที่เจ้าหลอกลวงใช้หญิงคนนี้มา จงไปนำ ตัวอับซาโลมกลับมาเยรูซาเล็ม"
ผมต้องยอมรับว่า คำสนทนาระหว่างดาวิดและหญิงชาวเทโคอานี้ ดูออกจะหลวมๆสักหน่อย แต่ก็เข้าใจได้ดี โดยการวางแผนของโยอาบ หญิงคนนี้สามารถทำให้ดาวิด ยินยอมสาบานที่จะไว้ชีวิตบุตรของนางได้ ในที่สุด นางจึงนำสิ่งที่ดาวิดพึ่งอนุมัติให้สดๆร้อนๆ (ซึ่งไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้) มาเป็นตัวบังคับ ให้ดาิวิดต้องยอมทำ ในสิ่งเดียวกันนี้ กับอับซาโลมบุตรของท่านด้วย (ซึ่งมีความผิดชัดเจน)
ดาวิดจำยอม อย่างไม่สู้เต็มใจนัก กับแผนการของโยอาบ ท่านบอกให้โยอาบไปนำตัวอับซาโลมกลับมาที่ อิสราเอล เป็นที่เข้าใจได้ว่า ชีวิตของอับซาโลมจะไม่มีผู้ใดกล้าแตะต้อง แม้แต่ฝ่ายที่ได้รับความเสียหาย ก็ตาม ดาวิดคิดทบทวนดูอีกครั้ง และเพิ่มเติมเข้าไปในคำสั่งว่า อับซาโลมไม่ได้กลับเข้ามาอิสราเอลในฐานะ ผู้บริสุทธิ์ มีอิสระที่จะไปไหนมาไหนตามใจชอบได้ อับซาโลมต้องถูก "กักบริเวณ" อยู่แต่ภายในวังของตน เองเท่านั้น 75
สงสัยผมคงอ่านพระธรรมตอนนี้ไปมาหลายเที่ยว แต่ความยุติธรรมมันหายไปไหน ดาวิดเพียงแต่สั่งกักบริเวณ อับซาโลมเท่านั้น? อับซาโลมยังคงเป็นอาชญากรที่ลอยนวลอยู่ ไม่มีใครกล้าแตะต้อง การที่ "กักบริเวณ" ให้ อยู่นั้น ก็เท่ากับเป็นเกราะคุ้มครองให้ และให้อยู่พ้นจากสายตาผู้คนด้วย ดูเหมือนกับว่า ดาวิดสั่งให้เขากลับมา โดยไม่คิดจะตัดสินลงโทษ ทำให้ผมคิดถึงที่อับซาโลม สั่งทามาร์น้องสาว ให้อยู่แต่ที่ในวังของเขาเท่านั้น เพื่อต้องการให้เรื่องเงียบ แต่ขณะเดียวกันก็ทิ้งให้เธอต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยว เพียงเพื่อเขาจะลงมือฆ่าอัมโนน ให้สำเร็จตามแผนการได้ แต่ตอนนี้ ดูจะหมาะดี ที่ตัวอับซาโลมเอง ต้องถูกกักบริเวณอยู่แต่ในพระราชวัง เช่น เดียวกับที่เขาทำกับน้องสาวของตนเอง
อับซาโลมดูจะมีดีอยู่หลายอย่าง เป็นผู้ชายที่รูปร่างหน้าตาดีไม่มีตำหนิ ที่เด่นที่สุดเห็นจะเป็นที่ผม ที่เสริม ให้เขาดูดียิ่งขึ้น หลายคนลอบมองด้วยความสนใจ เขามีบุตรชายสามคน และบุตรสาวสวยคนหนึ่ง ยิ่งทำให้ ดูมีสง่าราศี พูดไปแล้ว ดูเหมือนเจ้าหญิงไดอาน่าในสมัยนั้น ส่วนดาวิดเป็นเหมือนเจ้าฟ้าชายชาร์ลส์ แต่ ทั้งหมดนี้ เป็นแผนการสร้างภาพพจน์ของอับซาโลม ยังมีอีกครับ ให้เรามาดูกันก่อน ว่าอับซาโลมได้รับอิสระ ภาพอย่างไร
หลังจากถูกกักบริเวณไปสองปี อับซาโลมสะสมความไม่พอใจไว้ จนอัดแน่นกลายเป็นความโกรธรุนแรง เพราะไปไหนมาไหนไม่ได้ อับซาโลมเรียกโยอาบมาหา แต่ก็ถูกเมินเฉย หลังจากพยายามติดต่อโยอาบถึง สองหน อับซาโลมไม่ขอยอมทนอีกต่อไป ส่งคนไปเผานาของโยอาบ (ที่อยู่ติดกับผืนนาของตน) คราวนี้ ได้ผล โยอาบรีบพุ่งมาหาอับซาโลม แต่กลับกลายเป็นถูกอับซาโลมลุยกลับ ทำไมถึงเอามากักขังอยู่ที่นี่? รู้งี้อยู่ที่เกชูร์ไม่ดีกว่าหรือ? ไปไหนมาไหนได้อย่างอิสระ อับซาโลมสั่งว่า ต้องการไปเข้าเฝ้าพระราชา
สิ่งที่อับซาโลมพูดต่อ ทำให้ผมรู้สึกไม่ดี "ถ้าเรามีความผิด ก็ขอพระองค์ทรงประหารเราเสีย" (ข้อ 32) ฟังดูคุ้นๆหูพวกเรามั้ยครับ? : "ให้อิสรภาพกับผมสิ ไม่ยังงั้นก็ให้ผมไปตายเสียให้รู้แล้วรู้รอด!" อับซาโลม กล้าพูดเช่นนีได้อย่างไร? เขาคิดว่าตนเองเป็นผู้บริสุทธิ์หรือ? ลืมไปหรือว่าตนเองต้องโทษประหารอยู่? ดูท่า จะเป็นเช่นนั้น ถ้าเป็นจริง ก็เท่ากับเขาดูถูกธรรมบัญญัติของพระเจ้าอีกครั้งแล้ว เขาต้องการให้อัมโนนต้อง โทษประหาร ถึงแม้ไม่มีกำหนดอยู่ในธรรมบัญญัติ เขาคิดว่าตัวเขาได้ทำในสิ่งที่สมควรดีแล้ว ไม่สนใจว่า ตนเองต้องโทษถึงตายตามธรรมบัญญัติ นี่คือการแสดงของคนที่ไม่มีการกลับใจใดๆทั้งสิ้น
มาถึงขั้นนี้แล้ว โยอาบจำต้องนำเรื่องขึ้นไปบอกดาวิด ผู้ซึ่งในที่สุดก็ใจอ่อน ยอมให้อับซาโลมมาเข้าเฝ้าได้ ท่านจุบอับซาโลม และแน่นอน เรื่องนี้น่าจะจบลงด้วยดี ต่อแต่นี้ไป อับซาโลมสามารถเข้านอกออกใน ที่วัง ของพระราชาได้อย่างอิสระเสรี และเมื่อเขาเริ่ม เขาเริ่มอย่างมีมาด เขาต้องใช้รถรบ ม้าและทหารถึง 50 นาย วิ่งนำหน้าขบวน (คงไม่มีศัตรูหน้าไหนกล้าแตะ เพราะไม่สามารถฝ่าด่านผู้คุ้มกันเข้ามาได้!)
อับซาโลมนี่น่าจะเป็นนักการเมืองได้ คิดดูดีๆ เขาทำตัวอย่างนั้นจริงๆ! ทุกวันเขาจะไปประจำการอยู่ที่ถนน เข้าเมืองเยรูซาเล็ม (แน่หละ ต้องพ้นหูพ้นตาของชาวเมืองและบิดา) ดูเป็นภาพที่น่าประทับใจ หนุ่มหล่อ ดูมี สง่าราศี ผมยาวสลวยชนิดที่ผู้หญิงอิจฉาไปตามๆกัน ผมจินตนาการว่า รถรบของเขาคงจอดเรียงเป็นระเบียบ ให้เห็น รวมทั้งทหารคุ้มกันอีก 50 นายยืนเวรยามอยู่ ดูเข้มดีมีระดับ ระดับพระราชวงศ์ทีเดียว
อับซาโลมจะเรียกทุกคนที่เดินผ่านไปมา ถามว่ามาจากไหน และจะไปทำธุระเรื่องใด เขาทักทายอย่างเป็น กันเอง จนคนประทับใจไม่รู้ลืม คุณนึกภาพออกมั้ยครับ สมมุติว่า คุณกำลังขับรถอยู่บนถนนสายวงแหวน อยู่ดีๆมีคนโบกให้คุณจอด เทียบเคียงกับรถประจำตำแหน่งสุดหรู พอประตูเปิด คนที่ลุกออกมาคือท่านนายก ออกมาทักทายพูดคุยกับคุณ พอคุณจะทำความเคารพ ท่านกลับจับมือคุณไว้แน่น พร้อมตบหลังตบไหล่ ให้ ความเป็นกันเอง ไม่ต้องเกรงอกเกรงใจ โอ้ โฮ! น่าประทับใจมั้ยครับ? -- คุณคงจำไปจนวันตาย
แต่เรื่องไม่ได้มีแค่นั้น อับซาโลมไม่เพียงแต่ไปแสดงตนเท่านั้น เขากลับไปสร้างความเสียหายให้กับดาวิด เมื่ออับซาโลมรู้ว่าใครกำลังจะเข้าเมืองเพื่อนำคดีไปฟ้องร้อง เขาจะบอกกับคนเหล่านั้นว่า พระราชาไม่ได้ตั้ง ใครให้มาคอยรับฟังคดี (แน่นอนเป็นการโกหก เราพึ่งได้ยินเรื่อง "แม่ม่าย" มาร้องขอความเป็นธรรมจากพระ ราชาอยู่หยกๆ) อับซาโลมบอกอีกด้วยว่าเขารู้สึกเสียใจแทน เมื่อได้ยินเรื่องฟ้องร้องแล้ว เพราะผู้พิพากษา ดูจะไม่มีโอกาสฟัง คดีเหล่านี้ล้วนแล้วแต่อยู่ในข่ายที่ชนะได้แทบทั้งสิ้น แต่น่าเสียดายที่พระราชา ไม่ได้ตั้ง ใครให้มาคอยรับเรื่องราว ตราบใดที่ดาวิดนั่งอยู่บนบัลลังก์ คุณจะไม่ได้รับความยุติธรรม และด้วยความ สามารถพิเศษ อับซาโลมกล่าวว่า ถ้าเขาได้เป็นผู้พิพากษาในอิสราเอล เขาจะให้ความยุติธรรมกับทุกคน และจะปกครองตามใจปรารถนาของประชาชน ในเมื่อไม่มีใครเรียกร้องขอความเป็นธรรมจากดาวิดได้ ; แต่ กับอับซาโลมแล้ว เป็นคนละเรื่องทีเดียว
อับซาโลมไม่ได้เป็นจอมโกหกอย่างเดียว (ที่พูดว่าไม่มีใครมารับฟังคดีความ) เขายังเป็นคนปากว่าตาขยิบ อีกด้วย "ความยุติธรรม" แบบใดกันที่เขาจะจัดสรร? เป็น "ความยุติธรรม" แบบเดียวกับที่อัมโนนได้รับหรือ? หรือ "ความยุติธรรม" อย่างที่น้องสาวของเขาได้รับ? หรือ "ความยุติธรรม" อย่างที่เขาได้รับ? อับซาโลม ไม่ได้อยู่ใกล้กับคำว่ายุติธรรมสักนิดเดียว เขาเพียงแต่ต้องการได้ชาวบ้านมาเป็นพวก และมันก็ได้ผลเสียด้วย อับซาโลมชนะใจพวกชาวบ้าน บัดนี้เขาพร้อมแล้วที่จะดำเนินการขั้นต่อไป
หลังจากสี่ปี76 ที่เขาทำลายชื่อเสียงของดาวิด และทำตัวเป็นวีรบุรุษในสายตาของชาวบ้าน อับซาโลมก็พร้อม จะเดินหน้า ทำตนเป็นกษัตริย์แทนดาวิด ในบ้านเกิดของเขาเอง ที่เมืองเฮโบรน (2 ซามูเอล 3:2-3) ก่อนอื่น เขาต้องหาทางไปที่นั่นให้ได้ โดยที่ไม่กระโตกกระตากให้ดาวิดรู้ เขาไปเข้าเฝ้าพระราชา และบอกกับท่านว่า ได้สาบานไว้ ตั้งแต่ครั้งอยู่ในเกชูร์77 เขาบนว่า ถ้าพระเจ้าทรงอนุญาติให้เขาได้กลับคืนสู่อิสราเอล เขาจะไป นมัสการพระองค์ที่เมืองเฮโบรน และนี่น่าจะเป็นเวลาที่หมาะสมแล้ว ดาวิดอนุญาติให้เขาไปได้ โดยส่งให้เขา "ไปเป็นสุขเถิด" และแน่นอน ผลของมันคงไม่ "เป็นสุข" อย่างที่ดาวิดอวยพร
อับซาโลมนำผู้ชายจากเยรูซาเล็มไปกับเขาถึง 200 คน คนเหล่านี้ไม่ได้รู้เรื่องรู้ราวด้วย แต่อับซาโลมส่งข่าว ไปถึงทุกเผ่าของอิสราเอล ว่าถ้าได้ยินเสียงเขาสัตว์เมื่อไร นั่นคือสัญญาณว่าพวกเขาต้องเป็นพันธมิตรกับท่าน ไม่ใช่กับดาวิด นอกจากนั้น อับซาโลมสามารถชักจูงเอาอาหิโธเฟล คนกิโลน ซึ่งเป็นที่ปรึกษาของดาวิด มาเข้าพวกด้วย อาหิโธเฟลเป็นผู้มีสติปัญญามาก; คำปรึกษาของเขามีค่ามาก:
23 ในสมัยนั้น คำปรึกษาของอาหิโธเฟลที่ทูลถวาย เหมือนกับเป็นพระ บัญชาของพระเจ้า ทั้งดาวิดและอับซาโลมจึงทรงนับถือ คำปรึกษา ของ อาหิโธเฟลมาก (2 ซามูเอล 16:23)
การสูญเสียอาหิโธเฟลให้อับซาโลมไป นับเป็นเรื่องใหญ่ เราคงสงสัยว่า คนมีสติปัญญาอย่างนี้จะไปเข้าพวก กับอับซาโลมได้อย่างไร ถึงจะอย่างไรก็ตาม พระเจ้าก็ทรงใช้อาหิโธเฟล พระองค์ทรงใช้คำปรึกษาของเขา มาทำให้คำพยากรณ์ของพระองค์เป็นจริง (เทียบกับ 2 ซามูเอล 12:11-12 และ 2 ซามูเอล 16:20-22) และ พระองค์ทรงพลิกผันคำปรึกษาของเขา มาช่วยดาวิดให้พ้นจากเงื้อมมืออับซาโลมไปได้ (2 ซามูเอล 17:1-14)
นับเป็นเรื่องน่าเศร้าเมื่ออ่านตอนนี้ ผู้เขียนไม่ได้ข้ามเรื่องใดไปเลย "เ้ส้นทางน้ำตา" เริ่มตั้งแต่ที่ดาวิดสร้าง บาปให้กับอุรียาห์และบัทเชบาผู้เป็นภรรยา จิตวิญญาณของท่านเริ่มเจ็บปวด ก่อนที่ท่านจะสำนึกผิด และ สารภาพเสียอีก (ดูสดุดี 32:3-4) ตามด้วยการตายของบุตรที่เกิดจากดาวิดและภรรยาของอุรียาห์ ไม่นาน ก็เป็นเรื่องของบุตรสาวของดาวิดเอง (ทามาร์) ถูกบุตรชายของท่านข่มขืน และบุตรชายของท่าน (อัมโนน) ถูกบุตรชาย อีกคนฆ่าตาย (อับซาโลม) อับซาโลมหนีไปหลบอยู่ที่เกชูร์ แต่ดาวิดก็ยังไม่วายคิดถึง ทั้งๆที่รู้ว่า ไม่มีทางจะได้พบหน้ากัน โยอาบใช้ความเจ้าเล่ห์ คิดแผนการ มาทำให้ดาวิดต้องจำยอม ท่านเหมือน ถูกมัด มือชกให้ยอมอนุญาติ ให้อับซาโลมกลับอิสราเอลได้ นับเป็นเรื่องที่ไม่สู้ดี เพราะทันทีที่อับซาโลมได้รับ อิสรภาพ เขากลับใช้มันมาทำลายชื่อเสียงและสถานะภาพของดาวิด เขาก่อกบฎ ทำให้อิสราเอลถูกแบ่งแยก และในที่สุด ทำให้ตัวเองต้องจบชีวิตลง ด้วยฝีมือของโยอาบ นับเป็นเส้นทางแห่งน้ำตาอย่างแท้จริง
ในท่ามกลางความทุกข์ใจและถูกต่อต้าน ผมต้องขอย้ำอีกว่า พระเจ้า ไม่ได้ทรงทำโทษดาวิดสำหรับบาป ของท่านในตอนนั้น นาธันพูดไว้ชัดเจนแล้ว ว่าดาวิดไม่ต้อง (ตาย) ใช้โทษบาป เพราะ "องค์พระผู้เป็นเจ้า ได้ทรงนำบาปไปสีย" (2 ซามูเอล 12:13) ตรงนี้พวกเราคริสเตียนมักเข้าใจผิดอยู่บ่อยๆ ; คือว่า ถ้าใครก็ ตามมีความทุกข์ ต้องเป็นเพราะถูกลงโทษบาป เพื่อนของโยบก็เชื่อเช่นนี้ด้วย จึงพยายามบังคับให้โยบกลับ ใจ (ดูโยบ 4 และ 5) พวกอัครสาวกมักคิดว่า คนที่เกิดมาตาบอด เป็นผลมาจากความบาปของบางคน (ยอห์น 9:1-2) แต่มีบางคนเหมือนกัน ที่ตกอยู่ในความทุกข์เพราะผลของบาปโดยตรง (ดูเฉลยธรรมบัญญัติ 28:15) แต่ไม่ใช่เป็นคำอธิบายที่ถูกต้องเสมอไป บางครั้งก็มีผู้ชอบธรรม ต้องทนทุกข์เพื่อผู้ไม่ชอบธรรม (1 เปโตร 4)
บางครั้งผู้ชอบธรรมทั้งหลายต้องทนทุกข์ เพราะพวกเขาเป็น "บุตรของพระเจ้า" ที่ถูกเตรียมไว้ เพื่อพระสิริ ของพระองค์ (ดูฮีบรู 12) ถึงแม้พระเจ้าของเรายังต้องทนทรมาณ เพื่อพระสิริทั้งสิ้นจะเป็นของพระองค์ (ดูฮีบรู 2:10-18; 5:7-10; ฟีลิปปี 2:5-11) ผมไมไ่ด้บอกว่า ความทุกข์ของดาวิดนั้น ไม่เกี่ยวอะไรกับบาปที่ท่านทำ แต่ผมอยากจะบอกว่า ความทุกข์ของท่านนั้นไม่ใช่เป็นการลงโทษบาป แต่เป็นการลงวินัย เพื่อเป็นหนทาง ให้ท่านได้เข้าไกล้ชิดพระเจ้า และไม่ฝักใฝ่กับสิ่งของใดในโลกนี้ (เทียบกับ 2 โครินธ์ 4:16-18)
สิ่งหนึ่งที่พระเจ้าทำในการลงวินัยดาวิด คือให้ท่านได้เห็นบาปของท่านเองในมุมมองอื่น ดาวิดแย่งบัทเชบา มาอย่างไร้ปราณี นอนกับนาง และฆ่าสามีนางทิ้ง ในการนี้ท่านใช้อำนาจ (ในทางที่ผิด) ในฐานะกษัตริย์ของ พระเจ้าทำบาป บัดนี้พระเจ้าทรงมีพระคุณ ทำให้ดาวิดได้เห็นบาปของท่านเองในอีกมุมมอง ดาวิดใช้ความ วางใจที่พระเจ้ามอบให้ในทางที่ผิดหรือเปล่า? ใช้อำนาจที่มีเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัวหรือ? ดูเหมือนโยอาบ เองจะทำในสิ่งเดียวกันด้วย อัมโนนใช้อำนาจอย่างผิดๆ หลอกทามาร์ไปข่มขืน ผมเชื่อว่าพอๆกับที่ดาวิดไป ชิงบัทเชบามา อับซาโลมก็ด้วย ใช้อำนาจที่มีอยู่ เลื่อยขาเก้าอี้ดาวิด หวังจะขึ้นนั่งบัลลังก์แทน ดาวิดเคย หลอกซาอูลเมื่อท่านต้องการหลบหน้าหรือเปล่า? ตอนนี้อับซาโลมเอง หลอกดาวิดเมื่อต้องการหลบหน้าพ่อ ดาวิดพยายามหลอกล่ออุรียาห์ เพื่อกลบเกลื่อนบาปของท่าน ใช่หรือไม่? ดาวิดถูกอัมโนนหลอกใช้ ต่อมา ก็ถูกอับซาโลมหลอก ตามด้วยโยอาบและหญิงชาวเทโคอา ดาวิด ในฐานะเป็น "บุตร" ของพระเจ้า (ดู 2 ซามูเอล 7:8-17) ละเมิดต่อพระองค์ด้วยบาปของท่าน ใช่หรือไม่? บัดนี้บุตรของท่านเอง กำลังละเมิด ต่อท่าน ดาวิดใช้อำนาจในทางที่ผิด ไปกดดันคนที่ไม่มีทางต่อสู้หรือเปล่า? ตอนนี้ดาิวิดจะมีประสบการณ์ เดียวกัน เมื่อถูกอับซาโลมปิดกั้นการใช้อำนาจยุติธรรมไป ไม่ว่าจะสำหรับทามาร์ สำหรับตัวอับซาโลมเอง หรือแม้กระทั่งประชาชนชาวอิสราเอล (2 ซามูเอล 15:2-6) บัดนี้ดาวิดมองเห็นบาปของตนเอง ในแง่มุมอื่น โดยมีคนอื่นเป็นตัวแสดงให้ดู
พระธรรมตอนนี้มีบทเรียนของการเป็นบิดามารดาอยู่มาก เพียงแค่อ่านผ่านๆ เรายังเห็นชัดเจนว่า ไม่มี พ่อแม่คู่ใดสมบูรณ์แบบ แม้กระทั่งคนของพระเจ้าเอง หลายคนล้มเหลว (ไม่ว่าจะเป็นเอลี ซามูเอล ซาอูล และตอนนี้ดาวิด) เราควรตั้งมั่นกับพระเจ้า ที่จะพยายามทำดีที่สุดในการเลี้ยงดูลูก ไม่ใช่เพราะว่าเรา"อบรมดี" แล้วลูกจะดีตาม แต่เพราะ "การอบรมดี" เป็นที่พอพระทัยพระเจ้า เราควรอบรมเลี้ยงดูบุตรอย่างดี เพราะเป็น สิ่งที่พระเจ้าต้องการจากเรา
เมื่อลูกของเราล้มเหลว ซึ่งเป็นไปได้ เราไม่ควรลงโทษตัวเอง และคิดว่าเราเป็นต้นเหตุ ลองดูบรรดาลูกๆของ ดาวิดเป็นตัวอย่าง อัมโนนเป็นคนไม่เอาไหน ไร้สติปัญญา ซาโลมอนเป็นคนฉลาดที่สุดในโลก อาโดนิยาห์ ต้องการแย่งชิงบัลลังก์จากน้องชาย อับซาโลมบิดเบือนกระบวนการยุติธรรม ฆ่าน้องชายตนเอง และก่อกบฎ ต่อบิดา ผมแน่ใจว่า ในกรณีของอับซาโลม ความผิดพลาดของดาวิดกระทบไปถึงบุตร ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ ผมเชื่อว่าพระธรรมตอนนี้ไม่ได้เขียนขึ้นมา เพื่อประณามดาวิดในฐานะบิดา แต่เพื่อต้องการให้เห็นว่าอับซา โลมเป็นบุตรประเภทใด เขาเลือกเองที่จะไม่ยอมเชื่อฟัง และการไม่เชื่อฟังนี้เอง ที่พระเจ้าใช้มาลงวินัยดาวิด เพื่อท่่านจะเป็นผู้ที่ทำตามพระทัยจนหมดใจ
อย่าอ่านพระธรรมตอนนี้แล้วคิดว่าตนเองเป็นคนล้มเหลว อย่ารู้สึกผิดและโทษตัวเอง ถ้าลูกของเราคนใด คนหนึ่ง "หลง" ไป บาปของเรามีส่วนต่อชีวิตของลูก แต่ตัวลูกเอง เหมือนกับอับซาโลม ต้องเป็นคนตัดสินใจ ที่จะเลือกวางใจและเชื่อฟัง ถ้าไม่ คุนไม่ใช่เป็นคนผิดทั้งหมด ; หรืออาจไม่ผิดเลย แต่ถ้าคุณเป็นคริสเตียน ผมขอบอกว่า พระเจ้าจะใช้ลูกของคุณมาสอนคุณ นำคุณเข้ามาใกล้ ติดสนิทกับพระองค์ บางครั้ง ลูกของเรา ก็เหมือน "ทูตสวรรค์" องค์น้อย ที่สอนเราให้รู้จักเรียงลำดับความสำคัญ ในพระคัมภีร์เดิมโดยเฉพาะ ผมพบว่า ความล้มเหลวในครอบครัว มักเป็นส่วนหนึ่งในแผนการของพระเจ้า ที่จัดเตรียมไว้ให้ประชากรของพระองค์ ไม่ใช่เป็นตัวการขัดขวางพระสัญญา ; แต่หลายครั้งกลับเป็นวิถีทางที่พระเจ้าใช้ เพื่อให้พระสัญญาเป็นจริง ครบสมบูรณ์
ผมคิดว่ายังมีบทเรียนเรื่องการลงวินัยในพระธรรมตอนนี้ด้วย เป็นเรื่องการอบรมเลี้ยงดูภายในครอบครัว ดาวิด ต้องการคืนดีกับอับซาโลมบุตรชาย แต่ท่านรู้ว่า เป็นการดีกว่าถ้าอยู่เฉยๆ แทนที่จะไปบิดเบือนข้อกฎหมาย เพื่อให้ได้ลูกกลับคืนมา แต่ท่านก็ถูกหลอก จนยอมจำนน ให้แผนการนำตัวลูกกลับมาเกิดขึ้น ถึงแม้ท่านจะไม่ เห็นควร เราอาจรู้สึกว่าดาวิดใจร้าย ไม่ยอมให้อับซาโลมมาพบหน้า แต่ผมว่าไม่ใช่ ผมคิดว่าดาวิดเข้าใจดีว่า การจะคืนดีกันได้นั้น ต้องมีการกลับใจก่อน ไม่ใช่ล้ำเส้น ดาวิดโกรธ ไม่ใช่แค่เรื่องอัมโนนข่มขืนทามาร์ แต่ รวมทั้งการที่อับซาโลมขัดขวาง ไม่ให้ท่านใช้กระบวนการยุติธรรม ซ้ำยังไปฆ่าน้องชายตายอีก ดาวิดจะคืนดี กับอับซาโลมได้อย่างไร ถ้าอับซาโลมยังไม่สำนึกผิด จนความโกรธของดาวิดค่อย "ทุเลาลง" (เป็นศัพท์ พิเศษที่ใช้ เมื่อความโกรธได้รับการสนองตอบจนพอใจ) เมื่อโยอาบหลอกดาวิดสำเร็จ ยอมให้อับซาโลม กลับมา เขาทำโดยไม่มีการคำนึงถึงเรื่องสำนึกผิดและกลับใจ ถ้าเราจะโทษใครในเรื่องบาปของอับซาโลม (นอกจากตัวอับซาโลมเองที่ต้องรับผิดชอบ) ก็น่าจะเป็นโยอาบแทนที่จะเป็นดาวิด เพราะโยอาบอยากให้มี การคืนดีเกิดขึ้น โดยมองข้ามการสำนึกผิดไป
ทำให้ผมนึกถึงเรื่องของโยเซฟและพี่ๆ พวกพี่ๆทำผิดต่อท่าน ด้วยการลักพาตัวท่านไป ขายไปเป็นทาส เรารู้ จากเรื่องนี้ว่าท่านรักพี่ๆมากมายเพียงใด และปรารถนาอยากกลับคืนดีกันอีกครั้ง แต่ท่านทำไม่ได้ จนกว่าพวก เขาจะสำนึกผิดและกลับใจ ทำให้เราเห็นเรื่องนี้ยาวออกไปอีก ได้เห็นพวกเขาต้องเดินทางไปมาระหว่าง อิสราเอลและอียิปต์ จนนำมาซึ่งการกลับใจอย่างแท้จริง และโยเซฟได้โอกาสเปิดเผยตัวตนกับพี่ๆ พวกเขา สำนึกผิด และโยเซฟให้อภัย การคืนดีจึงเป็นไปได้ เช่นเดียวกัน ในกรณีของดาวิดและอับซาโลม แต่การ กระทำของโยอาบ กลายเป็นตัวการขัดขวาง แทนที่จะเป็นการช่วยให้สำนึกผิดและเกิดการกลับใจ
ผมรู้ว่ามีพ่อแม่หลายคู่ยอมตามใจลูกทุกอย่าง เพื่อให้ได้อยู่ใกล้ จนไม่สามารถอบรมสั่งสอนเขาได้ และเมื่อ พวกเขาทำผิด พ่อแม่ก็รีบไปตามกลับมาโดยยอมทุกอย่าง เมื่อไม่มีการสำนึกผิด การกลับใจที่แท้จริงก็ไม่เกิด เช่นเดียวกับที่ในคริสตจักร ถ้าต้องการความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน มีสามัคคีธรรมอย่างแท้จริง ในระหว่างพี่ น้องทั้งหลาย ต้องมีการตักเตือน การลงวินัย และมีการกลับใจ ก่อนที่จะมีการคืนดีและกลับมารวมกันเหมือน เดิมอีกครั้ง
เรื่องของอับซาโลม บุตรของดาวิด มีบทเรียนสอนเรา เป็นบทเรียนเรื่องการยอมจำนนอย่างจริงใจ และไม่จริง ใจ ผมคิดว่าเราทั้งหลายคงเห็นเหมือนกัน ว่าอับซาโลมเป็นเหมือน "ชาวนากับงูเห่า" อับซาโลมไม่มีความ กตัญญูต่อผู้เป็นบิดา มองข้ามหัวท่านไป นอกจากนั้น เขาไม่เคยยอมลงให้กับบิดาผู้เป็นกษัตริย์ เหมือน ซาตานเจ้าเก่า อับซาโลมมัวแต่มองว่า ตนเองคือ "ผู้สืบต่อ" ราชบัลลังก์ ไม่เคยคิดจะให้เกียรติบิดา แต่กลับ ใช้ตำแหน่งและอำนาจ บ่อนทำลายท่าน ก่อกวนราชบัลลังก์ ลอบทำร้าย และพูดจาให้ท่านเสื่อมเสีย กลาย เป็นคนชั่วร้ายในสายตาของผู้อื่น ที่ทำไปทั้งหมดนี้ ก็เพื่อ "ไต่เต้า" ขึ้นไปครองราชย์แทนเท่านั้น
เราเคยทำอย่างเดียวกันในที่ทำงานหรือเปล่า? เราเคยพูดนินทานายจ้างลับหลังหรือไม่? เราเคยให้ร้ายหัว หน้างานจนเสื่อมเสีย เพื่อเราจะดูดีหรือเปล่า? เราเป็นภรรยาที่บ่อนทำลายความนับถือบิดาต่อหน้าลูกๆหรือ เปล่า? แล้วเราเป็นสามีที่ทำแบบเดียวกันกับภรรยาหรือเปล่า? (พูดนินทาให้ร้ายคู่สมรสต่อหน้าคนอื่น ด้วย เรื่องจริงบ้าง ล้อเล่นบ้าง) มีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นในคริสตจักรด้วยใช่หรือไม่? ทำให้เกิดความข้องใจ หรือเข้าใจ ผิดในตัวผู้นำ ในหน้าที่รับผิดชอบ ในการตัดสินใจ หรือในการเป็นผู้นำ แล้วพยายามพิสูจน์ว่าตัวเองทำได้ดี กว่า ถ้ามีโอกาส อัับซาโลมเตือนเราเรื่องการยอมจำนน และเรื่องตรงข้าม คือการกบฎ
ท้ายสุดนี้ ผมขอสรุปด้วยบางสิ่งที่ทิ้งไว้ให้คุณคิด : เป็นสิ่งเดียวกับที่ดาวิดต้องการจะทำ -- แต่ทำไม่ได้ -- คือช่วยเหลืออับซาโลม เป็นสิ่งที่พระเจ้าทรงทำในองค์พระบุตร และเมื่อทำแล้ว พระองค์มี "บุตร" เพิ่มขึ้น มากมาย ในบทที่ 18 ข้อ 33 ดาวิดคร่ำครวญว่า ถ้าทำได้ ท่านอยากตายแทนอับซาโลม แต่เป็นเรื่องที่เป็นไป ไม่ได้ ถึงท่านจะต้องตายก็ตาม เพราะอับซาโลมจะไม่ได้ประโยชน์ใดจากการตายของท่าน ดาวิดช่วยกู้ อับซาโลมไม่ได้ พอๆกับที่เราช่วยลูกของเราให้รอดไม่ได้ แต่พระเจ้าได้ทรงทำในสิ่งที่มนุษย์ไม่สามารถทำได้ พระองค์ทรงสละพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ องค์พระเยซูคริสต์ผู้ปราศจากบาป มาทนทุกข์และสิ้นพระชนม์ บนไม้กางเขน เพื่อเป็นค่าไถ่โทษบาปแทนเรา พระองค์ทรงยอมสละพระบุตรองค์เดียว เพื่อให้เราทั้งหลายได้รับ การอภัยจากบาป และเพื่อเราจะได้เป็นบุตรของพระองค์ สิ่งที่ไม่มีมนุษย์คนใดทำได้ (ช่วยกู้คนที่รักให้รอดตาย) พระเจ้าทรงทำได้ พระเจ้าได้จัดเตรียมการให้อภัยบาป และเป็นบุตรของพระองค์ ตามที่เราปรารถนาอยากเป็น พระองค์จัดเตรียมการทั้งสิ้นนี้ด้วยวิธีเดียว การตายเป็นเครื่องบูชาไถ่โทษขององค์พระเยซู ทรงสิ้นพระชนม์ ถูกฝังไว้และทรงคืนพระ ชนม์กลับมา ถ้าคุณปรารถนาจะคืนดีกับพระเจ้า คุณต้องยอมรับในบาปของคุณ ในการ ล่วงละเมิดต่อพระเจ้า และรับเอาของประทานแห่งการให้อภัยโดยไม่คิดมูลค่าจากพระองค์ และรับชีวิตนิรันดร์ ที่พระองค์มอบให้ ผมภาวนาขอให้คุณได้รับของประทานนี้ และถ้ายังไม่ได้ ขอให้คุณได้รับในวันหนึ่งข้างหน้า
71 แต่แน่นอน ติดขัดอยู่ที่ปัญหาว่าทามาร์เป็นน้องสาวคนละแม่กับอัมโนน แต่ว่าถ้าทั้งคู่ต้องแต่งงานกัน เธอ ก็จะเป็นเหมือนนางซาราห์กับอับราฮัม ภรรยาที่เป็นทั้งน้องสาวด้วย แต่ผมขอมองข้ามตรงนี้ไปก่อน ขอให้คิด ว่าการแต่งงานนี้เป็นไปได้ ตามที่ทามาร์ขอร้อง
72 ตอนแรกผมนึกว่าอับซาโลมทำเพราะอยากช่วยเหลือน้อง แต่พออ่านต่อๆไป ผมค่อนข้างแน่ใจว่า อับซาโลมไม่ได้สนใจใยดีในตัวน้องสาว มากไปกว่าความต้องการที่จะได้แก้แค้น
73 เพื่อนผม ออวิลล์ เมอร์ฟี เคยบอกผมว่า ในแถบตะวันออกกลาง การต่อสู้กันจะมีไปเรื่อยๆ จนกว่าจะมีคน ไปห้าม บางครั้งคู่ต่อสู้อยากจะหยุดแทบตาย ก็ทำไม่ได้ เพราะไม่มีใครไปห้าม มันเป็นเรื่องของศักดิ์ศรี พวก เขาก็จะสู้ต่อ จนตายกันไปข้างหนึ่ง นี่น่าจะเป็นกรณีเดียวกัน
74 พออ่านไป เราเริ่มไม่แน่ใจว่าโยอาบอยู่ในเหตุการณ์ด้วยหรือเปล่า อยู่ใกล้กับหญิงชาวเทโคอา เพื่อควบ คุมไม่ให้พูดจาตกหล่น ในพระคัมภีร์ไม้ได้พูดว่า ดาวิดสั่งให้ไปตามตัวโยอาบมา แต่กลับพูดกับโยอาบใน ทันที ผมคงต้องขอสรุปว่า โยอาบน่าจะอยู่ในเหตุการณ์ตลอดเวลาที่หญิงคนนี้พูดกับดาวิด
75 แรกๆผมคิดเอาเองตามนี้ แต่เมื่อมาพิจารณาดู ดาวิดสั่งอับซาโลมให้กลับไปอยู่ที่วังของเขา (ข้อ 24) อับซาโลมต้องไม่มาให้ดาวิดเห็นหน้า ซึ่งยาก ถ้าอาศัยอยู่ในเยรูซาเล็ม เพราะไปๆมาๆ วันหนึ่งคงต้องเจอกัน โดยบังเอิญ อับซาโลมเบื่อสถานการณ์เช่นนี้ ที่ต้องเรียกโยอาบมาหาที่บ้านทุกครั้ง ; เขาไปหาโยอาบหรือ ดาวิดไม่ได้ ผมคิดว่าน่าจะเป็นเพราะถูกกักบริเวณ แต่เมื่ออับซาโลมได้รับอิสรภาพ เขากลับทำตัวเป็นที่ดึงดูด ความสนใจ ด้วยการมีขบวนรถม้าถึง 50 คันนำหน้าไปทุกหนแห่งที่เขาไป
76 คุณคงเห็นหมายเหตุของฉบับ NASB ที่บอกว่าในฉบับฮีบรูบันทึกไว้ "สี่สิบปี" ต้นฉบับอื่นๆ บันทึกไว้แค่ "สี่" ซึ่งน่าจะตรงกับเนื้อหาของเรา
77 สงสัยผมคงอ่านพระธรรมตอนนี้มากไปหน่อย แต่เป็นการบังเอิญมาก ที่อับซาโลมให้เหตุผลที่ต้องเดิน ทางไกลไปจากพระราชา (ดาวิด) เกือบเป็นเหตุผลเดียวกับที่ดาวิดเคยให้กับพระราชาซาอูล (ดู 1 ซามูเอล 20:1-34) เป็นได้หรือไม่ว่า พระเจ้ายังไม่ได้จัดการเรื่องของดาวิด จนถึงเดี๋ยวนี้ เพื่อให้เขาได้รู้สึกในแบบ เดียวกับที่ตกเป็นผู้ถูกหลอก ในบาปเดียวกัน?
ตอนที่ผมกำลังเป็นวัยรุ่น ครอบครัวผมไปซื้อบ้านพักตากอากาศอยู่ในถิ่นที่สำหรับตกปลา เป็นบ้านพักอาศัย จริงของเจ้าของเดิม พ่อผมตั้งชื่อบ้านหลังนี้ว่า "อุทยานนักบุกเบิก" ปกติพ่อผมมีเพื่อนมาก แต่พอเรามีบ้าน ตากอากาศริมน้ำหลังนี้ จำนวนเพื่อนของท่าน "เพิ่มขึ้น" อีกหลายเท่าตัว ส่วนใหญ่เราจะคิดค่าใช้จ่ายเล็ก น้อย สำหรับครอบครัวที่ต้องการมาว่ายน้ำ มาปิกนิก หรือมาขอใช้ห้องน้ำ (นอกบ้าน) เรามีเตาปิ้งย่างนอกบ้าน (ผมมีหน้าที่ จัดหา ตัดลากกิ่งไม้มา) บ่อยครั้งจะมีรถมาจอดหน้าบ้าน แต่แทนที่จะยอมจ่ายค่าผ่านประตู แค่ 50 เซ็นต์เอง เขากลับบอกว่า : "แค่อยากแวะมาทำความรู้จัก… ." เด็กๆที่นั่งมาในรถ ใส่ชุดว่ายน้ำมาเรียบ ร้อย ท้ายรถมีตะกร้าปิกนิกใหญ่ขนอาหารมาเต็มเพียบ แถมบางคันมีรถพ่วงบันทุกเรือมาด้วย (กะว่าจะไม่ยอม เสียค่าจอดเรือที่ท่าน้ำบ้านเราเลย)
เราทุกคนมี "เพื่อน" รวมทั้งเพื่อนแท้ด้วย สิ่งที่แยกอย่างแรกออกจากอย่างหลังคือ ความทุกข์ยาก เมื่อ เผชิญความทุกข์ "เพื่อน" จะเป็นตัวพิสูจน์ พระธรรมตอนนี้ เราจะเห็น "เพื่อน" ของดาวิดบางคน และเพื่อน แท้ของท่าน ความทุกข์ที่ท่านต้องเผชิญ ทำให้เห็นชัดว่าใครเป็นเพื่อนแบบใด
คงจำกันได้ถึงบาปล่วงประเวณี ที่ดาวิดทำต่อนางบัทเชบา ภรรยาของอุรียาห์ และนำไปจนถึงบาปฆาตรกรรม อุรียาห์ด้วย หลังจากที่พระเจ้าเตรียมใจดาวิดไว้ สำหรับการสำนึกผิด (ดูสดุดี 32:3-4) นาธันมาพบดาวิด ด้วย เรื่องที่กระทบใจอย่างแรง ท่านรู้สึกโกรธและต้องการลงโทษผู้กระทำผิด นาธันจึงชี้ให้ท่านเห็นถึงบาปที่ท่าน ทำไว้กับบัทเชบาและอุรียาห์ แต่ให้ความมั่นใจว่า ท่านไม่ถึงตาย เพราะบาปของท่านถูกนำไปเสีย แต่ท่าน จะต้องได้รับผลบาปที่เกิดตามมา ด้วยใจที่เจ็บปวดอย่างแสนสาหัส :
10 เพราะฉะนั้นดาบนั้นจะไม่คลาดไปจากราชวงศ์ของ เจ้าเพราะเจ้าได้ดูหมิ่นเรา เอาภรรยาของอุรีอาห์คนฮิตไทต์มาเป็นภรรยาของเจ้า' 11 พระเจ้าตรัสดังนี้ว่า 'ดู
เถิด เราจะให้เหตุร้ายบังเกิดขึ้นกับเจ้า จากครัวเรือนของเจ้าเอง และเราจะเอา ภรรยาของเจ้าไปต่อหน้าต่อตาเจ้า ยกไปให้แก่เพื่อนบ้านของเจ้า ผู้นั้นจะนอน ร่วมกับภรรยาของเจ้าอย่างเปิดเผย 12 เพราะเจ้าทำการนั้นอย่างลับๆ แต่เราจะ
กระทำการนี้ต่อหน้า อิสราเอลทั้งสิ้นและอย่างเปิดเผย'" 13 ดาวิดจึงรับสั่งกับนาธัน
ว่า "เรากระทำบาปต่อพระเจ้าแล้ว" และนาธันกราบทูลดาวิดว่า "พระเจ้าทรงให้อภัย บาปของฝ่าพระบาทแล้ว ฝ่าพระบาทจะไม่ถึงแก่มรณา 14 อย่างไรก็ตาม เพราะฝ่า
พระบาทได้เหยียดหยามพระเจ้าอย่าง ที่สุดด้วยการกระทำครั้งนี้ ราชบุตรที่จะประสูติ มานั้นจะต้องสิ้นชีวิต" (2 ซามูเอล 12:10-14)
บุตรนั้นได้สิ้นชีวิตไปแล้ว บุตรสาวถูกพี่ชายต่างมารดาข่มขืน อัมโนนถูกอับซาโลมฆ่าตาย อับซาโลมลี้ภัย ไป อยู่กับปู่ กษัตริย์เมืองเกชูร์ และอยู่ที่นั่นเป็นเวลาสองปี จนกระทั่งโยอาบ ใช้กลอุบายล่อลวง บังคับดาวิดให้ ต้องจำยอม นำตัวกลับมาเยรูซาเล็ม ดาวิดกักบริเวณอับซาโลมให้อยู่แต่ในราชวัง จนทำให้เขาทนต่อไปอีก ไม่ไหว ดิ้นรนจนได้รับอิสรภาพ ในที่สุดสามารถไปไหนมาไหนได้ตามใจชอบ หลังจากได้อิสรภาพแล้ว อับซาโลมกลับใช้มันไปในทางที่ผิด หันเหจิตใจของคนอิสราเอลไปจากดาวิด ให้มาที่ตนแทน เมื่อเห็น สมควรแล้ว เขาขอนุญาติดาวิดไปที่เมืองเฮโบรน ด้วยเหตุผลว่าจะไปแก้บน แต่ความจริงแล้ว ไปก่อการกบฎ ต่อต้านดาวิดที่นั่น ตั้งตนขึ้นเป็นกษัตริย์แทน
เมื่อมาถึงบทเรียนตอนนี้ ข่าวมาถึงดาวิดว่าประชาชนไปเข้าพวกกับอับซาโลมจนหมดสิ้น และกำลังจะมาล้ม ล้างราชบัลลังก์ ดาวิดตัดสินใจหนีออกจากเยรูซาเล็ม พร้อมผู้ติดตาม มีหลายคนตามไปเป็นเพื่อน (และมี บางคนสมัครใจอยู่ที่เยรูซาเล็ม) สิ่งนี้แหละ คือการพิสูจน์ ว่าใครคือเพื่อนแท้ของดาวิด
ผมคิดว่าผู้เขียนกำลังชี้โครงร่างของพระธรรมตอนนี้ให้เราเห็น โดยเรียงทั้งตามประวัติศาสตร์ และภูมิศาสตร์ เมื่อดาวิดหนีออกจากเยรูซาเล็ม ท่านมุ่งขึ้นเหนือและไปทางตะวันตก จนถึงถิ่นทุรกันดาร ซึ่งอยู่ทางตะวันตก ของแม่น้ำจอร์แดน ท่านคอยอยู่ที่นั่นจนกว่าจะรู้แผนการของอับซาโลม เมื่อท่านรู้ว่า อับซาโลมจะตามมาโจมตี ท่านข้ามแม่น้ำจอร์แดนและมุ่งขึ้นเหนือ โครงร่างของพระธรรมจะจัดเรียงไปตามที่ๆดาวิดหยุดพัก จากเยรูซา เล็ม ไปจนถึงถิ่นทุรกันดาร ฉากแรกอยู่ที่กรุงเยรูซาเล็ม ดาวิดได้ยินเรื่องที่เกิดขึ้นในเฮโบรน และตัดสินใจหนี ฉากสุดท้ายจบลงที่เยรูซาเล็ม เมื่ออับซาโลมมาถึง และเข้ายึดครองนางสนมทั้งสิบ ที่ดาวิดทิ้งไว้ที่พระราชวัง ฉากที่สองจะเป็นที่ "บ้านหลังสุดท้าย" ในระหว่างที่ดาวิดหนีออกจากเยรูซาเล็ม ฉากที่สามคือที่ลำธาร ขิดโรน และที่สี่คือทางขึ้นบนภูเขามะกอกเทศ ฉากที่ห้าอยู่บนยอดเขาเขามะกอกเทศ และที่หกอยู่ีที่บาฮูริม ในที่แต่ละแห่ง จะมี "เพื่อน" คือบรรดาเพื่อนแท้ของท่านทั้งหลายมาขอพบ
13 ผู้สื่อสารคนหนึ่งมาเฝ้าดาวิดกราบทูลว่า "ใจของคนอิสราเอล ได้คล้อยตาม
อับซาโลมไปแล้ว" 14 แล้วดาวิดรับสั่งแก่บรรดาข้าราชการที่อยู่กับพระองค์ ณ
เยรูซาเล็มว่า "จงลุกขึ้นให้เราหนีไปเถิด มิฉะนั้นเราจะหนีไม่พ้นจากอับซาโลม
สักคนเดียว จงรีบไป เกรงว่าเขาจะตามเราทันโดยเร็วและนำเหตุร้ายมาถึงเรา และทำลายกรุงนี้เสียด้วยคมดาบ" 15 ข้าราชการของพระราชาจึงกราบทูลพระรา
ชาว่า "ดูเถิด ข้าพระบาทพร้อมที่จะกระทำตามสิ่งซึ่งพระราชาเจ้านาย ของข้า พระบาทตัดสินพระทัยทุกประการ" 16 พระราชาก็เสด็จออกไปพร้อมกับคนในราช
สำนัก ของพระองค์ด้วย เว้นแต่นางสนมสิบคนได้ทรงละไว้ให้เฝ้าพระราชวัง
มีผู้สื่อสารมาหาดาวิด พร้อมกับข่าวที่ไม่น่าอภิรมย์นัก : "ประชาชนเอาใจไปเข้ากับอับซาโลมแล้ว" ผมเดาว่า ดาวิดคงพอจะรู้อยู่ในใจ ว่าไม่ช้าก็เร็ว เรื่องแบบนี้ต้องเกิดขึ้น ท่านคงไม่ถึงกับหูหนาตาบอด จนไม่รู้ว่าอับซา โลมกำลังทำอะไร และหวังสิ่งใดอยู่ หวังขึ้นแทนที่ท่าน ดาวิดไม่สงสัยในเรื่องที่ได้ยินสักนิด ที่จริงท่านกลับ บอกว่า ถ้าไม่รีบหนี ไม่เพียงแต่เยรูซาเล็มจะถูกอับซาโลมโจมตีเท่านั้น แต่กษัตริย์และข้าราชการในราชสำนัก จะเดือดร้อนแน่นอน
ให้ดูข่าวที่ผู้สื่อสารรายงาน ไม่ได้พูดเรื่องอับซาโลม "เป่าเขาสัตว์" และประกาศตนขึ้นเป็นกษัตริย์เลยสักนิด (ดู 15:10) และไม่มีการพูดถึงอับซาโลมยกพลเข้ามาโจมตีเยรูซาเล็มด้วย น่าจะเป็นที่เข้าใจกันได้ เพราะถ้า ยังไม่เกิดขึ้นตอนนั้น อีกไม่นานเกิดแน่ ต้องรีบดำเนินการบางอย่างทันที
ดูเหมือนดาวิดจะรีรอ จนกระทั่งพวกข้าราชสำนักต้องบอกว่าพร้อมแล้วที่จะทำตามทุกอย่าง ขอแต่เพียงสั่ง การมา ผมขอคิดว่า น่าจะรวมถึงการป้องกันดาวิดและกรุงเยรูซาเล็มจากการโจมตีของอับซาโลมด้วย แต่ แทนที่จะสั่งให้เตรียมการตั้งรับ ดาวิดกลับสั่งให้เตรียมหนีออกจากเยรูซาเล็ม คนนี้ใช่คนเดียวกับที่เคยลุกขึ้น สู้กับโกลิอัทหรือเปล่า ในขณะที่ไม่มีใครกล้าสักคน? แม้กระทั่งกษัตริย์ซาอูล คนๆนี้หรือเปล่า เมื่อถูกนาบาล พูดจาหยาบหยาม (1 ซามูเอล 25) โกรธถึงขนาดจะไปฆ่านาบาล และผู้ชายทุกคนในครัวเรือนให้หมดสิ้น เหตุใดดาวิดจึงอยากหนี มากกว่าอยู่ต่อสู้?
สิ่งแรกเราต้องเข้าใจก่อน ในการหนีออกจากเยรูซาเล็ม ดาวิดไม่ได้พูดว่าท่านจะสละราชบัลลังก์ เหตุนี้ท่าน จึงทิ้งนางสนมทั้งสิบไว้ เพื่อให้ "เฝ้าพระราชวัง" (15:16) ท่านเพียงแต่ละจากเมืองมา แต่ไม่ได้ละจากราช บัลลังก์ อับซาโลมออาจเข้ามายึดไว้ แต่ไม่มีผล เพราะดาวิดไม่ได้กล่าวว่าจะสละราชสมบัติ นางสนมทั้งสิบ เป็นสัญลักษณ์ว่าดาวิดยังปกครองอยู่เหนืออิสราเอล
มีเหตุผลหลายประการ ที่ดาวิดตัดสินใจหนีออกจากเยรูซาเล็ม ถึงแม้ไม่ได้ประกาศสละราชบัลลังก์ ประการ แรกดาวิดรู้อยู่แล้ว ว่าพระเจ้าจะให้เกิดเหตุร้ายขึ้นในแผ่นดิน ในครัวเรือนของท่านเอง ถ้าการกบฎของอับซา โลมเป็นส่วนหนึ่งของการตีสอนที่มาจากพระเจ้า ดาวิดไม่แน่ใจว่าท่านควรต่อต้านหรือไม่ ถ้าเป็นแผนการของ พระเจ้า ถ้าท่านต่อสู้ศึกครั้งนี้ จะเป็นการต่อสู้กับพระเจ้าหรือเปล่า? ดาวิดต้องการจะคอย จนกว่าจะรู้ว่าท่าน ต้องทำอย่างไร :
25 แล้วพระราชาตรัสสั่งศาโดกว่า "จงหามหีบของพระเจ้ากลับเข้าไปใน
เมืองเถิด หากว่าพระเจ้าทรงพอพระทัยเรา พระองค์จะทรงโปรดนำเรากลับ
มา ให้เห็นทั้งหีบนั้นกับที่ประทับของพระองค์ด้วย 26 แต่ถ้าพระองค์ตรัสว่า
'เราไม่พอใจเจ้า' ดูเถิด เราอยู่ที่นี่ ขอพระองค์ทรงกระทำกับเราตามที่พระ
องค์ ทรงโปรดเห็นชอบเถิด" 27 พระองค์ตรัสกับศาโดกปุโรหิตด้วยว่า "ท่าน
เป็นผู้พยากรณ์หรือ จงกลับเข้าไปในเมืองโดยสวัสดิภาพ พร้อมกับบุตรชายทั้ง สองของท่านคืออาหิมาอัสบุตรของท่าน และโยนาธานบุตรของอาบียาธาร์
28 ดูก่อนท่าน เราจะคอยอยู่ที่ท่าข้ามไปถิ่นทุรกันดาร จนจะมีข่าวมาจากท่าน
ให้เราทราบ" (2 ซามูเอล 15:25-28)
นอกจากนั้น ดาวิดอาจเป็นห่วงความปลอดภัยของคนที่อาศัยอยู่ในเยรูซาเล็ม ท่านกำลังทำให้พวกเขาตกอยู่ ในอันตราย โดยต้องลุกขึ้นมาต่อสู้ปกป้องเมืองไว้หรือเปล่า? จากสดุดี 51:18 เราคงเข้าใจว่ากำแพงเมือง เยรูซาเล็มอาจยังไม่เสร็จสมบูรณ์ ทำให้ยากแก่การป้องกันตนเอง และที่แน่ที่สุด ดาวิดรักอับซาโลม ท่าน ไม่ต้องการให้มีการต่อสู้ เสียเลือดเสียเนื้อเกิดขึ้น (ดู 2 ซามูเอล 18) จะต่อสู้ไปทำไม ในเมื่อไม่ต้องการชัย ชนะ? อับซาโลมพร้อมและต้องการฆ่าดาวิด และคนอื่นๆด้วยถ้าจำเป็น ; ดาวิดไม่ต้องการฆ่าอับซาโลม ท่าน จึงเลือกหนี แทนการต่อสู้
17 พระราชาก็เสด็จออกไป พลทั้งสิ้นก็ตามพระองค์ไปและเสด็จประทับที่บ้านสุดท้าย78
18 บรรดาข้าราชการทั้งสิ้นเดินผ่านพระองค์ไป บรรดาคนเคเรธีและคนเปเลท กับคนกัท หกร้อยคนที่ติดตามพระองค์มาจากเมืองกัท ได้เดินผ่านพระราชาไป 19 พระราชาจึงตรัส
สั่ง อิททัยคนกัทว่า "ทำไมเจ้าจึงไปกับเราด้วย กลับเถิดไปอยู่กับพระราชา เจ้าเป็นแต่
คนต่างด้าว และถูกเนรเทศมาด้วย จงกลับไปบ้านเมืองของเจ้าเถิด 20 เจ้าเพิ่งมาถึงเมื่อ
วานนี้ และวันนี้ควรที่เราจะให้เจ้าไปมากับเราหรือ ด้วยเราไม่ทราบว่าจะไปที่ไหน จงกลับ
ไปเถิด พาพี่น้องของเจ้าไปด้วย ขอความรักมั่นคงและความสัตย์จริงจงมีกับเจ้าเถิด" 21 แต่อิททัยทูลตอบพระราชาว่า "พระเจ้าทรงพระชนม์อยู่แน่ฉันใด และพระราชาเจ้านาย ของข้าพระบาททรงพระชนม์ อยู่แน่ฉันใด พระราชาเจ้านายของข้าพระบาทเสด็จประทับ
ที่ไหน จะสิ้นพระชนม์หรือทรงพระชนม์ ข้าพระบาทขอไปอยู่ที่นั้นด้วย" 22 ดาวิดก็รับสั่ง
กับอิททัยว่า "จงผ่านไปเถิด" อิททัยชาวเมืองกัทจึงผ่านไปพร้อมกับ บรรดาพรรคพวก
ของเขา ทั้งผู้ใหญ่และเด็ก
ดูเหมือนดาวิดและคนที่ต้องการหนีไปกับท่าน กำลังดำเนินการเรื่องการหนีออกจากเมือง ณ ที่ "บ้านหลัง สุดท้าย" ดาวิดหยุดพัก และอนุญาติให้บรรดาผู้ที่มาด้วย เดินล่วงหน้าไปก่อน น่าจะเป็นบ้านหลังสุดท้าย ที่ ภรรยาและบุตรของท่านอาศัยอยู่ที่ในเยรูซาเล็ม ดูเหมือนจะเป็นบ้านหลังสุดท้าย "ก่อนออกนอกเขตเมือง" ดาวิดหยุดพักที่รอบนอกของตัวเมือง เพื่อให้คนที่ติดตามมา ล่วงหน้าไปก่อน ซึ่งเป็นโอกาสที่ดาวิดต้องการ ให้คนที่ต้องการจะเปลี่ยนใจ กลับไปได้
ที่นี่เอง ที่ "เพื่อนเก่าผู้สัตย์ซื่อ" ของท่านมาหา ซึ่งก็มีชาวเคเรธี ชาวเปเลท และคนกัท มีการพูดถึงคนเคเรธี และคนเปเลทไปแล้วในตอนต้น (8:18) และต่อมา (23:22-23) ใน 2 ซามูเอล พวกเขาเป็นคนต่างชาติ ไม่ ใช่คนอิสราเอล โดยการนำของเบนานียาห์ คนพวกนี้น่าจะเป็นเหมือนกองทหารเกียรติยศของดาวิด หรือเป็น องครักษ์ส่วนตัว มีหน้าที่ปกป้องความปลอดภัยให้กับกษัตริย์ 79 "คนกัท" เป็นชาวฟิลิสเตียที่มาจากเมืองกัท โกลิอัทเป็นชาวเมืองกัทที่เรารู้จักกันดี (ดู 2 ซามูเอล 21:19) คนกลุ่มนี้เป็นกลุ่มแรกที่จงรักภักดีต่อดาวิด เป็น พวกที่ติดตามท่าน ขณะหนีออกจากเยรูซาเล็ม เป็นคนต่างชาติ -- ต่างศาสนา และไม่ใช่พึ่งมาติดตามนะครับ เป็นพวกที่อยู่กับดาวิดมาตลอดตั้งแต่เมื่อครั้งหลบหนีซาอูล อยู่ในแผ่นดินฟิลิสเตีย คนพวกนี้ "ตามท่านมา จากเมืองกัท" (15:18)
นอกจากผู้ติดตามที่ซื่อสัตย์ต่างชาติกลุ่มใหญ่นี้แล้ว ยังมีชายอีกคนหนึ่ง เป็นคนต่างศาสนาเหมือนกัน แต่เป็น คนเพิ่งมาถึง่80 เป็นชาวกัทชื่ออิททัย ผู้เขียนให้ความสำคัญโดยกล่าวถึงอิททัยอยู่หลายข้อ (19-22) คนๆนี้ คงจะต้องทั้งจงรักภักดี และมีความสามารถพอที่ดาวิดจะให้คุมกองกำลังได้ในบทที่ 18 81 มีเหตุผลอยู่หลาย ประการ ที่อิททัยรู้สึกว่าตนเองมีหน้าที่ ต้องติดตามดาวิดไป เขาเป็นคนต่างชาติ -- คงไม่ใช่เรื่องการสู้รบ เพราะดูเหมือนเขาเพิ่งมาถึง เนื่องด้วยเขามีผู้ติดตาม หรือญาติพี่น้อง "อายุน้อย" อยู่ด้วยหลายคน จะเป็น ภาระ และเสี่ยงอันตรายเกินไป ถ้าดาวิดจะถูกอับซาโลมไล่ตาม
ดาวิดเรียกอิททัยมาพบส่วนตัว ขอให้เขากลับไปอยู่ในเยรูซาเล็ม หรือไม่ก็กลับบ้านเกิด เขาไม่สมควรมาสู้รบ ไม่สมควรเอาชีวิตคนอื่นมาเสี่ยง ดาวิดขอให้เขาเลิกติดตาม แต่อิททัยไม่ยอมล้มเลิกความตั้งใจ ไม่ยอมทิ้ง ดาวิด คำตอบที่เขาตอบดาวิด คล้ายคลึงกับที่นางรูธตอบนาโอมี :
16 แต่รูธตอบว่า "ขอแม่อย่าวิงวอนให้ฉันจากแม่หรือเลิกติดตามแม่ไปเลย เพราะแม่จะไปไหนฉันจะไปด้วย และแม่จะอาศัยอยู่ที่ไหนฉันก็จะอยู่ที่นั่นด้วย ญาติของแม่จะเป็นญาติของฉัน และพระเจ้าของแม่ก็จะเป็นพระเจ้าของฉัน 17 แม่ตายที่ไหนฉันจะตายที่นั่น และจะขอให้ฝังฉันไว้ที่นั่นด้วย ถ้ามีอะไรมาพราก ฉันจากแม่นอกจากความตาย ก็ขอพระเจ้าทรงลงโทษฉัน และให้หนักยิ่ง"
(นางรูธ 1:16-17)
21 แต่อิททัยทูลตอบพระราชาว่า "พระเจ้าทรงพระชนม์อยู่แน่ฉันใด และ พระราชา เจ้านายของข้าพระบาททรงพระชนม์ อยู่แน่ฉันใด พระราชา เจ้านายของข้าพระบาทเสด็จประทับที่ไหน จะสิ้นพระชนม์หรือทรงพระชนม์ ข้าพระบาทขอไปอยู่ที่นั้นด้วย" (2 ซามูเอล 15:21)
ความปรารถนาที่อิททัยต้องการติดตามดาวิด น่าจะมากกว่าความชอบพอเป็นส่วนตัว ; ดูเป็นส่วนหนึ่งของ ความเชื่อ เพราะเขาเริ่มต้นด้วยคำพูดว่า "พระเจ้าทรงพระชนม์อยู่แน่ฉันใด … ." ผมเชื่อว่าอิททัยมีส่วน คล้ายนางรูธ เป็นผู้ที่มีความเชื่อในพระเจ้าของอิสราเอลอย่างแท้จริง ไม่เคยคิดที่จะกลับไปบ้านเกิด ไปกราบ ไหว้พระเดิมที่เคยปรนนิบัติมาก่อน
23 เมื่อพลเดินผ่านไปเสีย ชาวเมือง นั้นทั้งสิ้นก็ร้องไห้เสียงดัง พระราชาก็เสด็จข้าม
ลำธารขิดโรน และพลทั้งหมดก็ผ่านเข้าทางไปถิ่นทุรกันดาร 24 และนี่แน่ะศาโดกก็มา ด้วยพร้อมกับคนเลวีทั้งสิ้น หามหีบพันธสัญญาของพระเจ้ามา และเขาวางหีบของพระ
เจ้าลง ฝ่ายอาบียาธาร์ก็ขึ้นมาจนประชาชนออกจากเมืองไปหมด 25 แล้วพระราชา ตรัส
สั่งศาโดกว่า "จงหามหีบของพระเจ้ากลับเข้าไปในเมืองเถิด หากว่าพระเจ้าทรงพอพระ
ทัยเรา พระองค์จะทรงโปรดนำเรากลับมาให้เห็นทั้งหีบนั้นกับที่ประทับของพระองค์ด้วย
26 แต่ถ้าพระองค์ตรัสว่า 'เราไม่พอใจเจ้า' ดูเถิด เราอยู่ที่นี่ ขอพระองค์ทรงกระทำ กับเราตามที่พระองค์ ทรงโปรดเห็นชอบเถิด" 27 พระองค์ตรัสกับศาโดกปุโรหิตด้วยว่า "ท่านเป็นผู้พยากรณ์หรือ จงกลับเข้าไปในเมืองโดยสวัสดิภาพ พร้อมกับบุตรชายทั้งสอง ของท่านคืออาหิมาอัสบุตรของท่าน และโยนาธานบุตรของอาบียาธาร์ 28 ดูก่อนท่าน เราจะคอยอยู่ที่ท่าข้ามไปถิ่นทุรกันดาร จนจะมีข่าวมาจากท่านให้เราทราบ" 29 ฝ่าย ศาโดกกับอาบียาธาร์จึง หามหีบของพระเจ้ากลับไปยังกรุงเยรูซาเล็มและพักอยู่ที่นั่น
เมื่ออกจากเยรูซาเล็ม ดาวิดและผู้ติดตาม ต้องเดินลงไปยังหุบเขาขิดโรน และขึ้นไปบนภูเขามะกอกเทศ ที่อยู่อีกฝั่ง ฉากที่สามเกิดขึ้นที่หุบเขาขิดโรนนี้ หลังจากข้ามลำธารขิดโรนมาแล้ว ศาโดกปุโรหิตมาถึงพร้อม กับพวกเลวี หามหีบพระบัญญัติมา เขาวางหีบพระบัญญัติลง และรอให้บรรดาผู้ที่ตามมาจากเยรูซาเล็ม ข้ามไปก่อน ดาวิดกล่าวแก่ศาโดก สั่งให้ท่านนำหีบแห่งพระเจ้ากลับไปกรุงเยรูซาเล็ม ถ้าพระเจ้าทรงสถิตย์ กับดาวิด พระองค์จะให้ดาวิดได้กลับคืนสู่เยรูซาเล็ม ไปสู่สถานที่พระองค์เลือกให้ดาวิดอาศัย ถ้าพระเจ้า ไม่ได้สถิตย์กับท่าน ดาวิดรู้ดีว่าหีบพระบัญญัติไม่สามารถช่วยอะไรท่านได้
ทำให้หวนระลึกถึง 1 ซามูเอล 4 ที่อิสราเอลกำลังพ่ายแพ้ต่อชาวฟิลิสเตีย ประชาชนไปหามหีบแห่งพระเจ้า มา โดยคิดว่าจะมีการอัศจรรย์ทำให้พวกเขาชนะ แต่อิสราเอลกลับพ่ายแพ้ บุตรทั้งสองของเอลีถูกฆ่า และ พวกฟิลิสเตียยึดหีบแห่งพระเจ้าไป จบลงที่เอลีล้มลงสิ้นใจ เมื่อได้ยินว่าบุตรทั้งสองตาย และหีบแห่งพระเจ้า ถูกศัตรูยึดไป ดาวิดไม่ได้เห็นว่าหีบแห่งพระเจ้าเป็นเครื่องลางของขลัง ว่าพระเจ้าจะช่วยกู้ให้พ้นภัยผ่านหีบ ดาวิดเห็นว่าหีบแห่งพระเจ้าสมควรอยู่ในเยรูซาเล็ม ท่านจึงไม่คิดจะนำติดตัวไป
นอกจากนี้ ดาวิดรู้ดีว่าศาโดกไม่เป็นแต่เพียงปุโรหิต แต่เป็นผู้เผยพระวจนะด้วย (ในสมัยนั้นเรียกผู้เผยพระ วจนะว่าผู้พยากรณ์ -- ดู 1 ซามูเอล 9:6-9) หมายความว่าข้อมูลที่ศาโดกบอกดาวิดนั้นไว้ใจได้ เพราะใครๆ ย่อมต้องการข้อมูลจากผู้เผยพระวจนะ มากกว่าแหล่งอื่นใด ศาโดกต้องอยู่กับหีบแห่งพระเจ้าที่เยรูซาเล็ม และต้องอยู่เก็บข้อมูลภายใน เพื่อรายงานความเป็นไปให้ดาวิดทราบ ศาโดกสามารถใช้บุตรทั้งสองของท่าน อาหิมาอัสและโยนาธาน รายงานแผนการของอับซาโลมให้ดาวิดที่รอฟังข่าวอยู่ ก่อนเข้าสู่ถิ่นทุรกันดาร เป็น วิธีเดียวที่ดาวิดจะสามารถตัดสินใจได้ ว่าควรหนีเข้าไปในถิ่นทุรกันดาร รออยู่ที่เดิม หรือ กลับคืนสู่เยรูซาเล็ม
30 ฝ่ายดาวิดเสด็จขึ้นไปตามทางขึ้นภูเขามะกอกเทศ เสด็จพลางกันแสงพลาง มีผ้าคลุมพระเศียรเสด็จโดยพระบาทเปล่า และประชาชนทั้งสิ้นที่อยู่กับพระองค์ ก็เอาผ้าคลุมศีรษะเดินไปพลางร้องไห้พลาง 31 มีคนมากราบทูลดาวิดว่า "อาหิ โธเฟลอยู่ในพวกคิดกบฏของอับซาโลมด้วย" ดาวิดกราบทูลว่า "ข้าแต่พระเจ้า ขอทรงโปรดให้คำปรึกษาของอาหิโธเฟลฟั่นเฝือไป" 32 อยู่มาเมื่อดาวิดมาถึง ยอดซึ่งเป็นที่นมัสการพระเจ้า ดูเถิด หุชัยตระกูลอารคีได้เข้ามาเฝ้า มีเสื้อผ้า ฉีกขาดและดินอยู่บนศีรษะ 33 ดาวิดตรัสกับเขาว่า "ถ้าเจ้าไปกับเราเจ้าจะเป็น
ภาระแก่เรา 34 แต่ถ้าเจ้ากลับเข้าไปในเมืองและกล่าวกับอับซาโลมว่า 'ข้าแต่
พระราชา ข้าพระบาทขอถวายตัวเป็นข้าของฝ่าพระบาท ดังที่ข้าพระบาทเป็น ข้าของพระราชบิดาของ ฝ่าพระบาทมาแต่กาลก่อนฉันใด ข้าพระบาทขอเป็น ข้าของฝ่าพระบาทฉันนั้น' แล้วเจ้าจะกระทำให้คำปรึกษาของอาหิโธเฟลพ่าย
แพ้ไป เพื่อเห็นแก่เรา 35 ศาโดกกับอาบียาธาร์ปุโรหิต ก็อยู่กับเจ้าที่นั่นมิใช่
หรือ สิ่งใดที่เจ้าได้ยินในพระราชวัง จงบอกให้ศาโดกกับอาบียาธาร์ทราบ 36
ดูเถิด บุตรสองคนของเขาก็อยู่ด้วย คืออาหิมาอัสบุตรศาโดก และโยนาธานบุตร
อาบียาธาร์ ดังนั้นเมื่อท่านได้ยินเรื่องอะไรจงใช้เขามา บอกเราทุกเรื่องเถิด"
37 หุชัยสหายของ ดาวิดจึงกลับเข้าไปในเมือง พอดีกับอับซาโลมกำลังเสด็จ
เข้ากรุงเยรูซาเล็ม
เป็นฉากที่น่าเศร้าอย่างแท้จริง ดาวิดเดินขึ้นภูเขามะกอกเทศ ร้องไห้ไปตลอดทางจนถึงยอดเขา มีผ้าคลุม หน้าและเดินเท้าเปล่า บรรดาคนที่ติดตามก็ทำเช่นเดียวกัน มีคนมารายงานดาวิดว่า อาหิโธเฟลไปเข้าพวก กับอับซาโลมแล้ว นับเป็นข่าวร้่ายที่สุด เพราะคำปรึกษาของอาหิโธเฟล ป็นที่เชื่อถือได้ :
23 ในสมัยนั้น คำปรึกษาของอาหิโธเฟลที่ทูลถวาย เหมือนกับเป็นพระบัญชาของ
พระเจ้า ทั้งดาวิดและอับซาโลมจึงทรงนับถือ คำปรึกษาของอาหิโธเฟลมาก
(2 ซามูเอล 16:23)
ขณะที่เรื่องของอาหิโธเฟลเป็นการสูญเสียที่สำคัญยิ่งของดาวิด แต่ไม่เป็นที่น่าประหลาดใจ ดูได้จากพระ ธรรมสองข้อนี้ :
3 ดาวิดทรงใช้คนไปไต่ถามเรื่องผู้หญิงคนนั้น คนหนึ่งมากราบทูลว่า "หญิงคนนี้ชื่อ
บัทเชบา บุตรีของเอลีอัม ภรรยาของอุรีอาห์คนฮิตไทต์มิใช่หรือพ่ะย่ะค่ะ" ?"
(2 ซามูเอล 11:3)
34 เอลีเฟเลทบุตรอาหัสบัยชาวมาอาคาห์ เอลีอัม บุตรอาหิโธเฟล ชาวกิโลห์
(2 ซามูเอล 23:34)
จากพระคำสองข้อนี้ ทำให้เรารู็้ว่าเอลีอัมเป็นบุตรของอาหิโธเฟล ชาวกิโลห์ และบัทเชบาเป็นบุตรสาวของ เอลีอัม พูดง่ายๆก็คือ บัทเชบาเป็นหลานปู่ของอาหิโธเฟล ทำให้เราไม่ต้องคิดนาน ว่าทำไมอาหิโธเฟลจึงทิ้ง ดาวิดไปเข้าพวกกับอับซาโลมผู้เป็นบุตร ที่หวังจะแย่งชิงราชบัลลังก์ แม้จะต้องฆ่าผู้เป็นบิดาก็ยอม? อาหิโธเฟล คงรู้สึกกับดาวิด แบบเดียวกับที่อับซาโลมรู้สึกกับอัมโนน82
ดาวิดตอบสนองต่อข่าวนี้ด้วยการหันหาพระเจ้า อธิษฐานทูลขอให้พระองค์บิดเบือนคำปรึกษาของอาหิโธเฟล เสีย พระเจ้าทรงตอบคำอธิษฐานของท่านในเวลาไม่นานนัก ดาวิดยังไม่ทันจบคำอธิษฐานดี เพื่อนที่ซื่อสัตย์ ของท่าน หุชัยชาวอารคีก็มาถึง เสื้อผ้าขาดวิ่น มีผงคลีดินอยู่บนศีรษะ เป็นเครื่องหมายแสดงถึงการคร่ำครวญ อย่างทุกข์ใจ เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องร้ายแรงที่สุด หุชัยพร้อมที่จะไปทุกหนแห่งกับดาวิด แต่ดาวิดเปลี่ยนความ ตั้งใจของเขา พระราชาบอกกับหุชัยว่า ถ้าเขาตามไป จะเป็นการเพิ่มภาระ หุชัยสามารถช่วยได้มากกว่านี้ ด้วย การกลับไปเยรูซาเล็ม ไปทำทีเข้าพวกช่วยเหลืออาหิโธเฟล ด้วยวิธีนี้ หุชัยจะอยู่ในฐานะร่วมให้คำปรึกษา คู่กันกับกับอาหิโธเฟล ดาวิดบอกหุชัยด้วยว่า ศาโดกและอาบียาธาร์ ปุโรหิตเป็นฝ่ายเดียวกัน เมื่อศาโดกและ อาบียาธาร์ได้ยินเรื่องใดจากพระราชวัง ทั้งสองจะส่งข่าวไปถึงดาวิด โดยผ่านทางบุตรทั้งสอง อาหิมาอัสบุตร ของศาโดก หรือโยนาธาน บุตรของอาบียาธาร์ หุชัยจึงกลับเข้าเยรูซาเล็ม ไปถึงพอดีกับที่อับซาโลมมาถึง
1 เมื่อดาวิดเสด็จเลยยอดเขาไปหน่อยหนึ่ง ศิบามหาดเล็กของเมฟีโบเชทก็เข้ามา
เฝ้าพระองค์ มีลาคู่หนึ่งผูกอานพร้อม บรรทุกขนมปังสองร้อยก้อน องุ่นแห้งร้อยพวง และผลไม้ฤดูร้อนอีกหนึ่งร้อย กับเหล้าองุ่นหนึ่งถุงหนัง 2 พระราชาตรัสกับศิบาว่า "เจ้านำสิ่งเหล่านี้มาทำไม" ศิบาทูลตอบว่า "ลาคู่นั้นเพื่อราชวงศ์จะได้ทรงขนมปัง และผลไม้ฤดูร้อนสำหรับชายฉกรรจ์รับประทาน และเหล้าองุ่นเพื่อผู้ที่อ่อนเปลี้ยอยู่
กลาง ถิ่นทุรกันดารจะได้ดื่ม" 3 พระราชาตรัสว่า "บุตรเจ้านายของเจ้าอยู่ที่ไหนเล่า" ศิบากราบทูลพระราชาว่า "ดูเถิด ท่านพักอยู่ในเยรูซาเล็ม เพราะท่านว่า 'วันนี้พงศ์พันธุ์ อิสราเอลจะคืนราชอาณาจักร บิดาของเราให้แก่เรา'" 4 แล้วพระราชาตรัสกับศิบาว่า
"ดูเถิด บัดนี้ทรัพย์สมบัติของเมฟีโบเชทก็ตกเป็นของเจ้า" และศิบากราบทูลว่า "ข้าพระบาทขอกราบถวายบังคมข้าแต่ พระราชาเจ้านายของข้าพระบาท ขอข้า พระบาทเป็นที่โปรดปรานของฝ่าพระบาท"
ดาวิดและบรรดาผู้ติดตามได้ขึ้นไปถึงยอดเขามะกอกเทศ ที่นั่นท่านได้พบศิบา ผู้รับใช้ของเมฟีโบเชท เรารู้ จักศิบาครั้งแรกใน 2 ซามูเอล 9 ศิบาเป็นข้าราชการของกษัตริย์ซาอูล และเมื่อดาวิดต้องการรักษาสัญญา ที่ท่านมีต่อโยนาธาน ท่านต้องหาเชื้อสายของซาอูลให้พบ เพื่อจะได้ทำตามคำขอร้องของโยนาธาน มีคน เอ่ยชื่อศิบา ผู้เคยเป็นคนรับใช้ของซาอูล ศิบาถูกเรียกให้มาเข้าเฝ้า เขาเล่าเรื่องเมฟีโบเชทให้ดาวิดฟัง ดาวิดจึงนำเมฟีโบเชทมาเลี้ยงดู ให้ร่วมโต๊ะเสวย และจัดให้อยู่สมกับตำแหน่งบุตรหลานเชื้อสายของซาอูล ดาวิดเลือกให้ศิบาและครอบครัว มีหน้าที่ดูแลเมฟีโบเชท อย่างที่เคยทำมา ก่อนซาอูลสิ้นชีวิต
เราได้พบศิบาอีกครั้ง ครั้งนี้ศิบานำเสบียงสำหรับการเดินทางมาให้ดาวิด ดาวิดถามศิบาว่าทำเช่นนี้ทำไม ศิบา ตอบว่าเพื่อใช้เป็นอาหารสำหรับพระราชาและผู้ติดตาม เพราะหนทางข้างหน้าลำบากยากเย็น 83 ดาวิดถาม ถึงเจ้านายของศิบา เมฟีโบเชท ศิบาตอบว่าเมฟีโบเชทเข้าไปที่เยรูซาเล็ม ด้วยความหวังว่าจะได้ราชบัลลังก์ ของซาอูลบิดาคืนมา ฟังจากที่ศิบาเล่า ดาวิดนำสิ่งที่ท่านมอบให้เมฟีโบเชท มามอบให้กับศิบาและครอบครัว แทน
5 เมื่อกษัตริย์ดาวิดเสด็จมายังตำบลบาฮูริม มีชายคนหนึ่งอยู่ในตระกูลวงศ์วานซาอูล ชื่อชิเมอีบุตรเก-รา เขาออกมาเดินพลางด่าพลาง 6 และเอาหินขว้างดาวิด และขว้าง บรรดาข้าราชการ ของกษัตริย์ดาวิด พวกพลและชายฉกรรจ์ทั้งสิ้นก็อยู่ข้างขวาและ ข้างซ้ายของพระองค์ 7 ชิเมอีร้องด่ามาว่า "เจ้าคนกระหายโลหิต เจ้าคนถ่อย จงไปเสีย
ให้พ้น 8 พระเจ้าได้ทรงสนองเจ้า ในเรื่องโลหิตแห่งพงศ์พันธุ์ของซาอูล ผู้ซึ่งเจ้าเข้าครอง
แทนอยู่นั้น และพระเจ้าทรงมอบราชอาณาจักร ไว้ในมืออับซาโลมบุตรของเจ้า ดูซิ ความพินาศตกอยู่บนเจ้าแล้ว เพราะเจ้าเป็นคนกระหายโลหิต" 9 อาบีชัยบุตรนางเศรุยาห์ จึงกราบทูลพระราชาว่า "ทำไมปล่อยให้สุนัขตายตัวนี้มาด่าพระราชาเจ้านาย ของข้าพระ
บาท ขออนุญาตให้ข้าพระบาทข้ามไปตัดหัวมันออกเสีย" 10 แต่พระราชาตรัสว่า "บุตร
ทั้งสอง ของนางเศรุยาห์เอ๋ย เรามีธุระอะไรกับเจ้า ถ้าเขาด่าเพราะพระเจ้าตรัสสั่งเขาว่า
'จงด่าดาวิด' แล้วใครจะพูดว่า 'ทำไมเจ้าจึงกระทำเช่นนี้'" 11 ดาวิดตรัสกับอาบีชัย และ ข้าราชการทั้งสิ้นของ พระองค์ว่า "ดูเถิด ลูกของเราเองยังแสวงหาชีวิตของเรา ยิ่งกว่านั้น ทำไมกับคนเบนยามินคนนี้ จะไม่กระทำเล่า ช่างเขาเถิดให้เขาด่าไป เพราะพระเจ้าทรง
บอกเขาแล้ว 12 บางทีพระเจ้าจะทอด พระเนตรความทุกข์ใจของเรา และพระองค์จะทรง สนองเราด้วยความดีเพราะเขาด่า เราในวันนี้" 13 ดาวิดจึงทรงดำเนินไปตามทาง พร้อม กับพลของพระองค์ ฝ่ายชิเมอีก็เดินไปตามเนินเขาตรงข้าม เขาเดินพลางด่าพลาง เอา ก้อนหินปาและเอาฝุ่นซัดใส่ 14 พระราชากับพลทั้งปวงที่อยู่กับพระองค์ก็มา ถึงแม่น้ำ จอร์แดนด้วยความเหนื่อยอ่อน จึงทรงพักผ่อนเอาแรง ณ ที่นั่น
บาฮูริมเป็นเมืองเล็กๆ อยู่ต่ำกว่าและไม่ไกลจากเยรูซาเล็ม พาลทิเอล สามี (คนที่สอง) ของมีคาลตามมาส่ง นางไกลถึงเมืองนี้ แล้วต้องกลับไป (2 ซามูเอล 3:14-16) เป็นที่เดียวกับที่สายสืบสองคน คืออาหิมาอัส และ โยนาธานหลบซ่อนตัวอยู่ในบ่อน้ำ จนกระทั่งคนของอับซาโลมเลิกตามหา (2 ซามูเอล 17:17-20) ที่เมืองนี้ มีชายชื่อชีเมอี ผู้ไม่ได้โศกเศร้าไปกับดาวิด หรือช่วยหาเสบียงให้ท่าน แต่กลับมาเยาะเย้ยด่าทอ ปาหินและ เศษดินใส่ท่านและใส่ผู้ติดตาม
พออ่านมาถึงตรงนี้ ผมงงครับว่าหมอนี้ทำตัวโง่ได้ยังไง เขาเป็นแค่คนๆเดียว ใช้วาจาหยาบคายกับดาวิด และทำร้ายท่าน (ผมสงสัยว่าทำไมผู้คุ้มกันดาวิดถึงปล่อยให้ชายคนนี้เข้าจนใกล้จนทำร้ายท่านได้) เขาไม่รู้ หรือว่าอาจถูกตัดหัวได้ ถ้าดาวิดอนุญาติ? ผมคิดว่าผมเคยเห็นในข่าว ที่ผู้ประท้วงมีเพียงท่อนไม้หรือก้อนหิน ในมือ ด่าทอประท้วงผู้ที่เขาคิดว่าเป็นศัตรู ส่วนผู้คุ้มกันมีทั้งรถถัง ปืนผาหน้าไม้ครบครัน แต่คนพวกนี้ก็ไม่กลัว ไม่ยอมหยุดครับ จนต้องมีการเสียเลือดเสียเนื้อกันเกิดขึ้น
คำกล่าวหาของชิเมอีน่าสนใจครับ ให้ลองมาฟังดู เขากล่าวหาว่าดาวิดเป็น "ผู้กระหายเลือด" ทำให้เรานึก ถึงการตายของอุรียาห์ ที่ดาวิดเป็นผู้บงการอยู่เบื้องหลัง แต่ชิเมอีไม่ได้เจาะจงเรื่องนั้น เขาหมายถึงกระหาย เลือดในกรณีของซาอูลและราชวงศ์ (ข้อ 8) ผมคิดว่าชิเมอีพูดเกินไป เมื่อเขากล่าวหาดาวิด (กษัตริย์ที่พระ เจ้าเจิมตั้ง) ว่าเป็น "คนถ่อย" และกล่าวหาว่า ทำให้ซาอูลและพงศ์พันธ์โลหิตตก ทั้งๆที่ท่านไม่ได้เป็นผู้ กระทำ อาบีชัยต้องการปิดปากชายคนนี้ในทันที ด้วยการตัดหัว ดาวิดไม่อนุญาติ ท่านมีความวางใจในพระเจ้า ผู้ครอบครองอยู่ ท่านรู้ว่าชิเมอีทำสิ่งไม่ถูกต้อง และข้อกล่าวหาก็เป็นเท็จ ถึงกระนั้นดาวิดเชื่อว่า อาจเป็นได้ ที่พระเจ้ากำลังตรัสกับท่านผ่านชายคนนี้ ท่านจึงไม่ควรปิดปากคนที่พระเจ้าทรงใช้ ท่านจึงดำเนินต่อ มอบให้ พระเจ้าเป็นผู้จัดการ ท่านรู้สึกเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทาง รู้สึกอ่อนล้าใจ ในที่สุด ทั้งหมดก็มาถึงที่หมาย ที่ซึ่งพวกเขาจะหยุดรอฟังข่าวจากเยรูซาเล็ม
15 ฝ่ายอับซาโลมกับประชาชนทั้งสิ้น คือคนอิสราเอลก็มาถึงกรุงเยรูซาเล็ม และ อาหิโธเฟลก็มาด้วย 16 และอยู่มาเมื่อหุชัยชาวอารคี สหายของดาวิดเข้าเฝ้าอับ
ซาโลม หุชัยกราบทูลอับซาโลมว่า "ขอทรงพระเจริญ ขอพระราชาทรงพระเจริญ"
17 และอับซาโลมตรัสกับหุชัยว่า "นี่หรือความจงรักภักดีต่อสหายของท่าน ทำไม ท่านไม่ไปกับสหายของท่านเล่า" 18 หุชัยกราบทูลอับซาโลมว่า "มิใช่พ่ะย่ะค่ะ พระเจ้ากับประชาชนเหล่านี้ กับคนอิสราเอลทั้งสิ้นเลือกตั้งผู้ใดไว้ ข้าพระบาทขอ
เป็นฝ่ายผู้นั้น ข้าพระบาทจะขออยู่กับผู้นั้น 19 อีกประการหนึ่ง ข้าพระบาทควรจะ
ปรนนิบัติผู้ใด มิใช่โอรสของท่านผู้นั้นดอกหรือ ข้าพระบาทได้ปรนนิบัติเสด็จพ่อ ของฝ่าพระบาทมาแล้วฉันใด ก็ขอปรนนิบัติฝ่าพระบาทฉันนั้น" 20 อับซาโลมตรัส
ถามอาหิโธเฟลว่า "เราจะทำอย่างไรดี จงให้คำปรึกษาของท่าน" 21 อาหิโธเฟล กราบทูลอับซาโลมว่า "จงเข้าหานางสนมของเสด็จพ่อของฝ่าพระบาท ซึ่งเสด็จพ่อ ทิ้งไว้ให้เฝ้าพระราชวัง เมื่อคนอิสราเอลทั้งสิ้นได้ยินว่าฝ่าพระบาทได้กระทำ ให้ตน เป็นที่เกลียดชังของเสด็จพ่อแล้ว บรรดามือเหล่านั้นที่อยู่ฝ่ายฝ่าพระบาทก็จะเข้ม
แข็งขึ้น" 22 เขาจึงกางเต็นท์ให้อับซาโลมไว้ที่บนดาดฟ้าหลังคา และอับซาโลม ก็ทรงเข้าหานางสนมของพระราชบิดา ของพระองค์ต่อหน้าอิสราเอลทั้งสิ้น 23 ใน
สมัยนั้น คำปรึกษาของอาหิโธเฟลที่ทูลถวาย เหมือนกับเป็นพระบัญชาของพระเจ้า ทั้งดาวิดและอับซาโลมจึงทรงนับถือ คำปรึกษาของอาหิโธเฟลมาก
ผมขอพูดถึงพระธรรมตอนนี้อย่างสั้นๆ เพราะเป็นกุญแจใขเข้าสู่บทที่ 17 คำแปลของข้อ 1 ในบทที่ 17 มักเริ่ม ต้นด้วย "นอกจากนี้" หรือ "ยิ่งไปกว่านั้น" ที่จริงคำธรรมดาในภาษาฮีบรูที่ใช้เชื่อมประโยค ที่ใช้บ่อยที่สุดคือ คำว่า "และ" ที่ผมพูดเช่นนี้เพราะคิดว่าการแบ่งบทตรงนี้ดูไม่เหมาะสม เพราะไปแบ่งเรื่องที่น่าจะอยู่ด้วยกัน ออกเป็นสอง บทที่ 16:25-33 และ 17:1-4 เป็นเรื่องที่อาหิโธเฟลให้คำแนะนำแก่อับซาโลมสองเรื่อง คือ: (1) ให้เข้าหานางสนมของดาวิด เพื่อเป็นการประกาศตนว่าเป็น "กษัตริย์" และ (2) "ขอกำลัง 12,000 คน เพื่อไปตามล่าหาดาวิดให้ได้ในคืนนั้น"
สำหรับบทเรียนตอนนี้ ผมขอมุ่งไปที่ 16:20-23 เพียงเรื่องเดียว เป็นเรื่องคำปรึกษาแรกที่อาหิโธเฟลให้ แก่ อับซาโลม ในบทเรียนหน้า เราจะกลับมาดูข้อพระคำนี้กันอีกครั้ง ดูถึงความเกี่ยวเนื่องกับบทต่อไป
ผู้เขียนไม่เคยกล่าวถึงเรื่องที่อับซาโลม "เป่าเขาสัตว์" เพื่อเป็นเครื่องหมายแก่ประชาชน ให้เข้าเป็นพันธมิตร กับกษัตริย์องค์ใหม่ของอิสราเอล (15:10) การที่ดาวิดหนีไปจากเยรูซาเล็ม ทำให้อับซาโลมได้ใจ กล้าที่จะ เข้ามายึดและครอบครองเมืองหลวง เมื่อเข้ามาถึง อับซาโลมขอคำปรึกษาจากอาหิโธเฟล ว่าควรทำสิ่งใดต่อ อาหิโธเฟลให้คำแนะนำ ให้อับซาโลมสร้างสัญลักษณ์ที่แสดงถึงความเป็นกษัตริย์องค์ใหม่ ด้วยการกระทำ เป็นที่ประกาศแ่ก่ดาวิดและอิสราเอลทั้งปวง อาหิโธเฟลแนะนำให้อับซาโลมเข้าหาภรรยาทั้งสิบของดาิวิด (หรือนางสนม -- เป็นคำที่ใช้สลับกันไปมา) และหลับนอนกับนางเหล่านี้อย่างเปิดเผย เพื่อเป็นสัญลักษณ์ แห่งการครอบครองบัลลังก์ (และฮาเร็ม) การเข้าครอบครองฮาเร็มของใครก็ตาม เท่ากับเป็นการประกาศว่า เข้าแทนที่แล้ว รูเบนทำเช่นเดียวกันโดยเข้าหานางสนมของยาโคบ (ปฐก. 35:22; 49:4) อาโดนียาห์ พยายามทำในแบบเดียวกันกับอาบีชาค นางสนมของดาวิด (1 พกษ. 2:13-25)
ผมอยากจะย้ำตรงนี้ว่า สิ่งที่อับซาโลมกระทำกับนางสนมของดาวิด ไม่เพียงแต่เป็นการแสดงสัญลักษณ์ของ การเข้าครอบครองราชบัลลังก์เท่านั้น แต่เป็นการทำให้คำพยากรณ์ที่นาธันกล่าวไว้ในบทที่ 12 เป็นจริง :
9 ทำไมเจ้าดูหมิ่นพระวจนะของพระเจ้า กระทำสิ่งที่ชั่วในสายพระเนตรของพระองค์ เจ้าได้ฆ่าอุรีอาห์คนฮิตไทต์เสียด้วยดาบ เอาภรรยาของเขามาเป็นภรรยาของตน และได้ฆ่าเขาเสียด้วยดาบของคนอัมโมน 10 เพราะฉะนั้นดาบนั้นจะไม่คลาดไปจาก
ราชวงศ์ของ เจ้าเพราะเจ้าได้ดูหมิ่นเรา เอาภรรยาของอุรีอาห์คนฮิตไทต์มาเป็น
ภรรยาของเจ้า' 11 พระเจ้าตรัสดังนี้ว่า 'ดูเถิด เราจะให้เหตุร้ายบังเกิดขึ้นกับเจ้า จากครัวเรือนของเจ้าเอง และเราจะเอาภรรยาของเจ้าไปต่อหน้าต่อตาเจ้า ยก ไปให้แก่เพื่อนบ้านของเจ้า ผู้นั้นจะนอนร่วมกับภรรยาของเจ้าอย่างเปิดเผย
12 เพราะเจ้าทำการนั้นอย่างลับๆ แต่เราจะกระทำการนี้ต่อหน้า อิสราเอลทั้งสิ้น
และอย่างเปิดเผย'" "' (2 ซามูเอล 12:9-12 และผม)
เราคงไม่ต้องสงสัยว่า พระเจ้าทรงกระทำในสิ่งที่พระองค์ตรัสผ่านนาธันไว้ทุกประการ ผู้เขียนไม่ต้องการให้เรา พลาดความจริงของเหตุการณ์นี้ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในคำพยากรณ์ของนาธัน ดาวิดทำบาปกับหญิงคนหนึ่ง แย่ง นางมาทั้งๆที่รู้ว่านางเป็นภรรยาของคนอื่น บัดนี้อับซาโลมเข้าหานางสนมทั้งสิบของดาวิด และหลับนอนกับ พวกนาง ดาวิดทำบาปในที่ลับ ; อับซาโลมจงใจประจานความบาปของตนเองต่อหน้าสาธารณชน เพื่อต้องการ ให้อิสราเอลทั้งปวงเห็นและรับรู้ ดาวิดรู้สึกอับอายในเรื่องนี้เป็นที่สุด ฉะนั้นขออย่าให้เราคิดสั้นๆว่า ทำบาปนั้นคุ้ม นะครับ ถ้าเพียงแต่ดาวิดจะรู้ว่าบาปของท่านนำไปสู่เรื่องใดบ้าง ท่านคงไม่เลือกเดินในหนทางบาปเด็ดขาด ขอให้เราเรียนรู้จากความผิดพลาดของดาวิด (ความบาป) อย่าเลือกเลียนแบบท่าน เพราะบาปไม่เคยทำให้ใคร ได้ดีหรอกครับ
ขณะที่เราสรุปบทเรียนเรื่องนี้ ผมอยากให้เราหยุดคิดชั่วครู่ ถึงสิ่งที่เราเรียนรู้ และสามารถนำมาใช้ได้กับชีวิตของเรา
บทเรียนตอนนี้สอนเรามากมายถึงมิตรแท้ พระธรรมสุภาษิตพูดถึงเรื่องมิตรนี้ไว้หลายข้อ และพูดถึงเรื่อง "เพื่อน" ประเภทอื่นอีก:
6 คนเป็นอันมากเอาอกเอาใจคนใจกว้าง และทุกคนก็เป็นมิตรกับคนที่ให้ ของกำนัล (สุภาษิต 19:6)
7 พวกพี่น้องของคนยากจนก็ยังเกลียดเขา มิตรของเขาจะยิ่งไกลจากเขา สักเท่าใด เขาพยายามพูด แต่ไม่มีใครยอมฟัง (สุภาษิต 19:7)
10 อย่าทอดทิ้งมิตรของเจ้า และมิตรของบิดาเจ้า และอย่าไปที่เรือนพี่น้อง ของเจ้า ในวันลำบากยากเย็นของเจ้า เพื่อนบ้านที่อยู่ใกล้ ดีกว่าพี่น้องที่อยู่ ห่างไกล (สุภาษิต 27:10)
ในพระธรรมตอนนี้ เราเห็นว่าใครเป็นมิตรแท้ของดาวิด ที่น่าทึ่งคือ หลายคนไม่ใช่คนยิว เป็นเพียงคนต่างชาติ ท่านได้มิตรแท้หลายคนมา ในขณะที่ท่านเผชิญกับความทุกข์ยาก หลบหนีเพื่อเอาชีวิตรอด
ผมหวังว่าที่คริสตจักรของเราและที่อื่นๆ สมาชิกทุกคนจะมีเพื่อนแท้ในท่ามกลางพี่น้องในพระคริสต์ ที่เราจะ นมัสการและร่วมรับใช้ด้วยกัน แต่มันไม่ง่ายนัก แม้แต่ อ.เปาโลเองยังถูกเพื่อนๆปฏิเสธ (ดู 2 ทิโมธี 4:9-11, 16) มีคริสตจักรเพียงไม่กี่แห่ง เช่นที่มาสิโดเนีย และฟีลิปปี ที่ยังคงให้การสนับสนุนท่านอย่างต่อเนื่อง (ฟีลิปปี 4:10-16) มีพี่น้องอยู่ไม่กี่คน เช่นทิโมธีและเอพาโฟรดิทัส ที่ อ.เปาโลวางใจ เมื่อท่านต้องเผชิญ ปัญหา (ฟีลิปปี 2:19-30) แต่สิ่งหนึ่งที่ อ.เปาโลรู้แน่แก่ใจ คือท่านมี "เพื่อนแท้" ที่จะไม่มีวันละทิ้งท่าน :
24 มีเพื่อนที่แสร้งทำเป็นเพื่อน แต่มีมิตรบางคนที่ใกล้ชิดยิ่งกว่าพี่น้อง (สุภาษิต 18:24)
16 ในการแก้คดีครั้งแรกของข้าพเจ้านั้น ไม่มีใครเข้าข้างข้าพเจ้าสักคนเดียว เขาได้ละทิ้งข้าพเจ้าไปหมด ขอโปรดอย่าให้พวกเขาต้องได้รับโทษเลย 17 แต่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงประทับอยู่ใกล้ข้าพเจ้า และได้ทรงประทานกำลังให้
ข้าพเจ้า ประกาศพระวจนะได้อย่างเต็มที่ เพื่อให้คนต่างชาติทั้งปวงได้ยิน ดังนั้นข้าพเจ้าจึงรอดพ้นจากปากสิงห์ 18 องค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงโปรดช่วย ข้าพเจ้าให้พ้นจากการร้ายทุกอย่าง และจะทรงช่วยข้าพเจ้าให้รอดเข้าสู่แผ่น
ดินสวรรค์ของพระองค์ พระสิริจงมีแด่พระองค์สืบๆไปชั่วนิตย์นิรันดร์ อาเมน
(2 ทิโมธี 4:16-18)
5 ท่านจงอย่าเป็นคนเห็นแก่เงิน จงพอใจในสิ่งที่ท่านมีอยู่ เพราะว่าพระองค์
ได้ตรัสว่า เราจะไม่ละท่าน หรือทอดทิ้งท่านเลย (ฮีบรู 13:5) 84
"เพื่อน" ผู้จะไม่มีวันทอดทิ้งโมเสส หรือโยชูวา หรือเปาโล หรือดาวิด ก็คือองค์พระเยซูคริสต์ พระองค์ไม่ได้ อยู่ภายใต้อิทธิพลของใคร ไม่ได้ย่อท้อกับความทุกข์ยากลำบาก พระองค์ทนต่อการถูกปฏิเสธ ทนทรมาณเพื่อ ให้เราได้รับความรอด พระองค์ทรงเป็นแบบอย่าง เป็นสัญลักษณ์ของมิตรแท้
พระธรรมตอนนี้เตือนเราว่าพระเจ้าทรงรักษาพระคำเสมอ และความบาปไม่เคยคุ้มกับราคา พระเจ้า ทรงตรัสผ่านนาธัน ว่าบาปที่ดาวิดทำกับนางบัทเชบา จะมีผลทำให้ท่านต้องเผชิญความทุกข์ในแบบเดียวกับ บาปที่ท่านทำไว้ แต่จะเต็มขนาดกว่า ดาวิดไปแย่งภรรยาผู้อื่นมาอย่างลับๆ ; ท่านจะต้องทุกข์หนัก เมื่อชาย คนอื่นมาแย่งภรรยาทั้งสิบของท่านไป อย่างเปิดเผย ความบาปไม่เคยคุ้ม ไม่เคยคุ้มกับความสูญเสีย พระคำ ตอนนี้ทำให้เราเห็นดาวิดและทุกคนที่เกี่ยวข้อง ต้องเดินอยู่ใน "เส้นทางแห่งน้ำตา" เต็มด้วยความทุกข์สาหัส เต็มด้วยน้ำตา ก็เพราะบาปตัวเดียว บาปของดาวิด
พระธรรมตอนนี้เรียกให้เราตระหนักถึงความอุ่นใจ ที่รู้ว่าพระเจ้าทรงอำนาจอธิปไตย อำนาจอธิปไตย คืออำนาจที่มีสิทธิเด็ดขาด และควบคุมอยู่เหนือทุกสิ่ง พระเจ้าทรงครอบครองเหนือสรรพสิ่งทีพระองค์ทรง สร้าง เหนือมนุษย์ ไม่มีิสิ่งใดที่ทำให้แผนการของพระเจ้า พระประสงค์และพระสัญญาบิดเบือนไปได้ พระเจ้า บอกกับดาวิดว่าท่านจะได้รับผลอย่างไรในบาปครั้งนี้ และเราเห็นว่ามันเกิดขึ้นจริง ซึ่งไม่เป็นเรื่องที่น่าประ หลาดใจ พระเจ้าสัญญากับดาวิดว่าท่านจะไม่ตาย และอาณาจักรของท่านจะไม่สูญสิ้น เราจึงเห็นว่าพระเจ้า ทรงปกป้องชีวิตของดาวิด แม้ในท่ามกลางความทุกข์ของท่าน พระเจ้าทรงเตรียมหนทางหลายวิธี ที่ดาวิด คาดไม่ถึง โดยเฉพาะทางเพื่อนของท่านเอง ซึ่งไม่ใช่เป็นคนอิสราเอลด้วยซ้ำไป
ด้วยอำนาจอธิปไตยของพระองค์ พระเจ้าใช้ศัตรูของดาวิด คนชั่วร้าย มาทำให้พระประสงค์ และพระสัญญา เกิดขึ้น พระองค์ใช้หุชัยให้ไปบิดเบือนคำปรึกษาของอาหิโธเฟล ทรงใช้นักรบต่างชาติมาต่อสู้เพื่อท่าน ใช้แม้ กระทั่งคนปากสามหาวอย่างชิเมอี มาทำให้ดาวิดต้องถ่อมใจ ถึงแม้สิ่งที่เขาพูดกล่าวหาจะเป็นเท็จก็ตาม พระเจ้าทรงใช้สิ่งเหล่านี้มาตีสอนดาวิด เพื่อให้ท่านได้รับการเยียวยา
ด้วยอำนาจอธิปไตย พระเจ้าทรงใช้เวลาอันยากลำบากนี้ มาทำให้ดาวิดเติบโตขึ้นในความเชื่อ และ ในการปฏิบัติตน พระเจ้าทรงใช้ "ความชั่ว" มาทำให้ดาิวิดเป็น "คนดี" พระธรรมโรม 8:28 เกิดขึ้นเป็นจริง ในชีวิตของดาวิด โดยเฉพาะในช่วงเวลาเช่นนี้ "ในทุกสิ่ง" ที่พระเจ้ากระทำในผู้ที่รักพระองค์ ล้วนแล้วก็ เพื่อให้เกิด "ผลดี" แก่เราทั้งสิ้น การทนทุกข์และรอยน้ำตาในชีิวิต จะเป็นที่ถวายแด่พระสิริของพระองค์ พระเจ้าไม่ได้อนุญาติให้สิ่งที่เกิดขึ้น เพื่อมาทำลายดาวิด แต่เพื่อมาดึงท่านเข้าไกล้พระองค์ ด้วยความถ่อมใจ และวางใจในพระองค์
การต้องหนีออกจากเยรูซาเล็มด้วยน้ำตานองหน้า เป็นความเศร้าเหลือที่จะกล่าว แต่ในท่ามกลางความเศร้า มีบางสิ่งดีแอบแฝงอยู่ เราได้เห็นการตอบสนองของดาวิดต่อวันอันมืดมนในชีวิตของท่าน เราเห็นบางอย่างที่ไม่ ค่อยจะได้เห็นนัก เราเห็นว่าในท่ามกลางความอับอาย และจิตใจที่แตกสลาย เราเห็นในสิ่งที่เราไม่เคยเห็น ขณะที่ท่านประสพความสำเร็จ "ดาวิด" คนเดียวกันนี้ เคยกระหายอยากฆ่านาบาล และครัวเรือนทั้งสิ้นของเขา เพราะถูกด่าว่า อย่างหยาบคาย แต่บัดนี้ท่านกลับยอมทนวาจาสามหาวของชิเมอี เพราะท่านรู้สึกว่า บางสิ่งที่เขา พูดเป็นความจริง ดาวิดยอมที่จะเรียนรู้จากศัตรู และอดทนต่อการถูกกดขี่ข่มเหง
ในหลายทาง การยอมทนของดาวิด เตือนเราให้เห็นถึงภาพการทนทุกข์ของพระคริสต์ เมื่อเราอ่านพระธรรม ตอนนี้ เราิอดไมได้ที่จะนึกถึงเมื่อพระเยซูถูกปฏิเสธ โดยคนของพระองค์เอง ประชากรอิสราเอล แต่คนต่าง ชาติ ต่างศาสนากลับยอมรับพระองค์ เราเห็นอับซาโลมทรยศต่อบิดาของตน ผู้เป็นกษัตริย์ ซึ่งเหมือนกับ ยูดาส สาวกของพระเยซูเองทรยศต่อพระองค์ ขณะที่ดาวิดและบรรดาผู้ติดตาม กำลังหนีออกจากเยรูซาเล็ม ไปยังภูเขามะกอกเทศ เราเห็นภาพที่พระเยซูแบกกางเขนออกจากเยรูซาเล็ม มุ่งสู่เนินหัวกระโหลก ในท่าม กลางความโศกเศร้านี้ เราเห็นภาพเงาแห่งความหวังในพระราชกิจ ที่พระเยซูกระทำบนไม้กางเขน เช่นเดียว กับที่ดาวิดถูกปฏิเสธ ในฐานะกษัตริย์ของอิสราเอล ท่านจะมีชัย ได้กลับคืนสู่อิสราเอลอีกครั้ง ในฐานะกษัตริย์ พระเจ้าของเรา ก็เช่นกัน พระองค์จะปราบศัตรูลงอย่างราบคาบ และจะจัดตั้งราชบัลลังก์ถาวรบนโลกนี้ ขอให้ เรามีความหวัง และวางใจในบุตรดาวิด ผู้เสด็จมาเพื่อช่วยคนบาป และจัดตั้งอาณาจักรอันชอบธรรมของพระ องค์บนแผ่นดินโลกนี้
78 ฉบับ NIV ใช้คำว่า "สถานที่อยู่ห่างไกลออกไป"
79 เพื่อนผมชี้ให้เห็นว่า อาคีช กษัตริย์เมืองกัท แต่งตั้งดาวิดให้เป็นผู้คุ้มกันตลอดชีพ (1 ซามูเอล 28:1-2) เป็นเพราะว่า ผู้คุ้มกันที่เป็นคนต่างชาติ น่าจะจงรักภักดี และยากที่จะไปมีส่วนสมรู้ร่วมคิดในการโค่นราช บัลลังก์หรือเปล่า? อย่างไรก็ตาม คงไม่ใช่เรื่องผิดปกติ ที่ดาวิดจะมีทหารองครักษ์เป็นชาวเคเรธี และชาว เปเลท
80 ในพระคัมภีร์ ดาิวิดพูดถึงอิททัยว่า "เพิ่งมาถึงเมื่อวานนี้" (15:20) จึงเป็นที่ชัดเจนว่า อิททัยคงต้องอยู่ กับดาวิดมานานกว่านั้น เพราะเขาจะได้รับเลือกให้คุมกองกำลังหนึ่งในสาม ไปสู้รบกับอับซาโลมในบทที่ 18 ข้อ 2 "เพิ่งมาถึงเมื่อวานนี้" คงต้องเป็นเหมือนคำพูด ที่พูดกับคนคุ้นเคย แปลว่า"เพิ่งกลับเข้ามา"
81 เราคงอดสงสัยไม่ได้ว่า ทำไมอิททัย ไม่ถูกเลือกให้คุมกำลังชาวกัทที่ติดตามดาวิดไป ในขณะที่ท่าน อพยพหนีออกจากเยรูซาเล็ม
82 "มีความเป็นไปได้ ที่ตั้งแต่อุรียาห์ถูกฆ่าตายอย่างโหดเหี้ยม อาหิโธเฟลคอยจ้องหาทางแก้แค้น พอบุตร ของดาวิดเอง อับซาโลมก่อกบฎ โอกาสก็มาถึง "ยอห์น เจ ดาวิส และยอห์น ซี วิทโคมบ์ เขียนไว้ในหนังสือ Israel: From Conquest to Exile (สำนักพิมพ์ Winona Lake, Indiana, BMH Books, 1969, 1970, 1971) หน้า 313
83 ผมงงครับ เพราะมีหลายคนกล่าวหาว่าศิบาทำสิ่งนี้เพราะมีบางอย่างแอบแฝง ผมคิดว่าเราต้องนำบางเรื่อง มาพิจารณาดูเกี่ยวกับเมฟีโบเชทในบทที่ 19 เขาไปพบดาวิดขณะเดินทางกลับเยรูซาเล็ม คืนสู่ราชบัลลังก์ เขาโทษว่าถูกศิบาใส่ร้าย ผลก็คือดาวิดแบ่งสมบัติของเมฟีโบเชทให้ศิบาครึ่งหนึ่งในบทที่ 19 ดูเหมือนข้อ เท็จจริงเป็นอย่างไรไม่มีใครทราบ แต่ดาวิดคงทราบดี ท่านจึงแบ่งที่ดินของซาอูลออกให้ศิบาครึ่งหนึ่ง ผมทำ ใจไม่ได้ืัที่จะกล่าวหาศิบาทั้งหมด และเชื่อเมฟีโบเชท ในเมื่อดาวิดเองยังไม่เชื่อเลยครับ
84 ไม่ว่าพระธรรมฮีบรู อ.เปาโลจะเป็นผู้เขียนหรือไม่ก็ตาม ท่านอัครสาวกก็ทราบความจริงข้อนี้ ซึ่งถ่ายทอด มาจากพระคัมภีร์เดิม (เฉลยธรรมบัญญัติ 31:6; โยชูวา 1:5)
ชื่อเรื่องของพระธรรมตอนนี้ คล้ายกับหนังโทรทัศน์สมัยเก่าอยู่เรื่องหนึ่ง "เรื่องปฏิบัตการเหนือชั้น" (Mission Impossible) ในหนังเรื่องนี้ มร.เฟลพส์มักได้รับมอบภาระกิจสำคัญให้ทำ -- และเป็นงานที่ไม่มีทางสำเร็จได้ บทเรียนตอนนี้ก็เช่นกัน อัับซาโลมกำลังจะประกาศตั้งตนเป็นกษัตริย์ของอิสราเอล แทนบิดา เมื่อดาวิดได้ยิน เรื่องการกบฎนี้ ท่านเลือกที่จะหนีออกจากเยรูซาเล็ม มีผู้จงรักภักดีต่อท่าน ติดตามไปด้วยหลายคน บทเรียน ก่อนหน้านี้เต็มไปด้วยน้ำตา ขณะที่ดาวิดต้องอพยพ ทิ้งเยรูซาเล็มไว้เบื้องหลัง มุ่งสู่ถิ่นทุรกันดาร ท่านทิ้ง หุชัย เพื่อนที่ซื่อสัตย์ ทิ้งศาโดกและอาบียาธาร์ ผู้เป็นปุโรหิต (และหีบแห่งพระเจ้า) ไว้ให้อยู่ในเยรูซาเล็ม ที่ พวกเขาจะเป็นหูเป็นตาให้ท่านได้ ศาโดกเป็นผู้เผยพระวจนะ ท่านสามารถให้ข้อมูลที่ดาวิดเชื่อใจได้ (ได้รับ การดลใจ) ในเรื่องที่อับซาโลมคิดจะทำ บุตรของศาโดกและอาบียาธาร์ อาหิมาอัสและโยนาธาน เป็นคนคอย ส่งข่าว ดาวิดยังคอยข่าวจากศาโดก "อยู่ที่ทางเข้าถิ่นทุรกันดาร" ทางทิศตะวันตกของแม่น้ำจอร์แดน จน กว่าจะรู้ว่าอับซาโลมคิดทำสิ่งใด
เมื่ออับซาโลมมาถึง และเข้าครอบครองเมืองหลวงแล้ว เขาเรียกหาอาหิโธเฟล เพื่อขอคำปรึกษา ว่าต้องทำ ประการใด เพื่อตั้งตนขึ้นเป็นกษัตริย์ อาหิโธเฟลให้คำปรึกษาสองประการ ซึ่งถูกแบ่งออกเป็นสองบท (คือ ปลายบทที่ 16 และ ต้นบทที่ 17) คำแนะนำประการแรกของอาหิโธเฟล คือต้องประกาศตนเป็นกษัตริย์โดย แสดงสัญลักษณ์ให้เห็นกันทั่ว ด้วยการหลับนอนอย่างเปิดเผยกับนางสนมทั้งสิบของดาวิด ที่ท่านทิ้งไว้ให้เฝ้า พระราชวังในเยรูซาเล็ม สิ่งนี้จะเป็นการประกาศให้อิสราเอลทั้งปวง ทราบอย่างชัดเจน ถึงสัมพันธภาพ ระหว่างตัวเขา บิดา และราชบัลลังก์
คำปรึกษาตอนสองของอาหิโธเฟล อยู่ในข้อ 1-3 ของบทที่ 17 เขาแนะนำให้รีบติดตามดาวิดไป แยกท่าน ออกมา และฆ่าเสีย เพื่อทำให้ผู้ติดตามดาวิดบังเกิดความกลัว และเปลี่ยนใจมาสามิภักดิ์อับซาโลม กษัตริย์ องค์ใหม่แทน อับซาโลมและพวกผู้ใหญ่ของอิสราเอลชอบความคิดนี้ แต่อับซาโลมต้องการความเห็นอื่นมา สนับสนุน จึงเรียกหาหุชัย เมื่อหุชัยมาถึง ก็รับรู้เรื่องคำแนะนำที่อาหิโธเฟลได้ให้ไว้
คุณอยากเป็นหุชัยในตอนนั้นมั้ยครับ? เขารู้ดีว่าอับซาโลมคลางแคลงใจในตัวเขา เพราะเคยเป็นเพื่อนดาวิด มาก่อน (16:16-19) เขาต้องรู้แล้วด้วยว่า อับซาโลมและพวกผู้ใหญ่เห็นชอบกับคำแนะนำของอาหิโธเฟล ยิ่งไปกว่านั้น เขารู้ว่าอับซาโลมเชื่อใจอาหิโธเฟลขนาดไหน เพราะคำปรึกษาของอาหิโธเฟลเป็นเหมือนกับ "พระบัญชาของพระเจ้า" (16:23) หุชัยเป็นเพื่อนของดาวิด และเขารู้ว่า คำปรึกษาของเขาจะมีผลอย่าง ใหญ่หลวงต่อชีวิตของดาวิด คุณเห็นด้วยหรือเปล่าครับว่าเรื่องนี้มัน "mission impossible" จริงๆ?
มีเรื่องอันตรายแอบแฝงอยู่เล็กน้อยตรงนี้ ทั้งคุณและผมรู้เบื้องหน้าเบื้องหลังดี ดาวิดอธิษฐานขอให้พระเจ้า บิดเบือนคำปรึกษาของอาหิโธเฟลเสีย (15:31) และเรารู้ล่วงหน้าด้วยว่า "พระเจ้าทรงสถาปนา ที่จะให้ คำปรึกษา อันดีของอาหิโธเฟลพ่ายแพ้ เพื่อพระเจ้าจะทรงนำ เหตุร้ายมายังอับซาโลม" (17:14) เมื่อรู้แล้วทำให้เรามองไม่เห็นถึงความสำคัญในภาระกิจของหุชัย เรารู้สึกว่า ยังไงๆอับซาโลมและพวกผู้ใหญ่ ของอิสราเอลต้องรีบทำตามคำปรึกษาของหุชัยทันที ไม่ว่าจะโง่เง่าขนาดไหนก็ตาม เรามองไม่เห็นค่าของ คำปรึกษา และคิดว่า ไม่ว่าคำปรึกษาจะออกมาอย่างไร อับซาโลมต้องทำตาม เพราะเขาถูกพระเจ้าปิดหูปิด ตาจากความจริงเสียแล้ว
ผมขอพูดว่า หุชัยได้รับสติปัญญาอันล้ำลึกมาจากพระเจ้า ทำให้แผนที่เขาเสนอนั้นดูดีมีเหตุผล ทำให้ อับซาโลมต้องมาคิดทบทวนดูใหม่ เราต้องระวังอย่าไปคิดว่า คำปรึกษาของอาหิโธเฟลนั้น "ดี" ในแง่ศีล ธรรม ดูเป็นแผนการที่ดี แต่ถ้าทำสำเร็จ ดาวิดต้องจบชีวิตลง ทำให้อับซาโลมเข้มแข็งขึ้น พอที่จะปกครอง อิสราเอลต่อไปได้ ในแง่ศีลธรรมแล้ว แผนการนี้ไม่ "ดี" เพราะอนุญาติให้ -- ไม่เชิง เป็นการเห็นชอบให้ -- ฆ่ากษัตริย์ที่พระเจ้าเจิมตั้ง ไม่ "ดี" เพราะสนับสนุนอับซาโลมให้ทำบาปล่วงประเวณี โดยการเข้าหาภรรยา ของบิดา แถมด้วยบาปแห่งความทะเยอทะยานของอาหิโธเฟลเอง และแผนการแก้เอาคืน ผ่านคำปรึกษาที่ ตนเองให้กับอับซาโลม
พระธรรมตอนนี้เต็มไปด้วยเล่ห์กระเท่ กลอุบายซับซ้อนเหมือนละคอนโทรทัศน์ และเป็นตอนที่พูดถึงยามเมื่อ ดาวิดต้องเผชิญกับความมืดมนที่สุดในชีวิต ผมไม่คิดว่าดาวิดจะทุกข์โศกมากมายครั้งใดเกินไปกว่าครั้งนี้ ให้ เรามาดูว่า พระเจ้าทรงทำสิ่งใดกับดาวิดในเวลาเช่นนี้ พวกเราเองคงสัมผัสได้ถึงความทุกข์ใจของท่าน ถ้า ดาวิดมีความหวัง มีหนทางรอด ในช่วงเวลาอันมืดมิดเช่นนี้ เราเองก็มีเช่นกัน เมื่อยามต้อง "เดินผ่านหุบ เขาเงามัจจุราช"
20 อับซาโลมตรัสถามอาหิโธเฟลว่า "เราจะทำอย่างไรดี จงให้คำปรึกษาของท่าน"
21 อาหิโธเฟลกราบทูลอับซาโลมว่า "จงเข้าหานางสนมของเสด็จพ่อของฝ่าพระบาท ซึ่งเสด็จพ่อทิ้งไว้ให้เฝ้าพระราชวัง เมื่อคนอิสราเอลทั้งสิ้นได้ยินว่าฝ่าพระบาทได้กระทำ ให้ตนเป็นที่เกลียดชังของเสด็จพ่อแล้ว บรรดามือเหล่านั้นที่อยู่ฝ่ายฝ่าพระบาทก็จะเข้ม
แข็งขึ้น" 22 เขาจึงกางเต็นท์ให้อับซาโลมไว้ที่บนดาดฟ้าหลังคา และอับซาโลมก็ทรง เข้าหานางสนมของพระราชบิดา ของพระองค์ต่อหน้าอิสราเอลทั้งสิ้น 23 ในสมัยนั้น คำปรึกษาของอาหิโธเฟลที่ทูลถวาย เหมือนกับเป็นพระบัญชาของพระเจ้า ทั้งดาวิด และอับซาโลมจึงทรงนับถือ คำปรึกษาของอาหิโธเฟลมาก
1 และอาหิโธเฟลกราบทูลอับซาโลมว่า "ขอโปรดอนุญาตให้ข้าพระบาทเลือกทหาร หนึ่งหมื่นสองพันคน ข้าพระบาทจะยกออกไปติดตามดาวิดคืนวันนี้ 2 ข้าพระบาทจะไป ทันท่านเมื่อท่านยังเหนื่อยอ่อน อยู่และท้อถอย กระทำให้ท่านกลัวตัวสั่น พลทั้งปวง ที่อยู่กับท่านก็จะหนีไป ข้าพระบาทจะฆ่าฟันแต่กษัตริย์ 3 แล้วจะนำประชาชนทั้งสิ้น กลับมาเข้าฝ่ายฝ่าพระบาท เมื่อได้คนที่ฝ่าพระบาทมุ่งหาคนเดียว ก็เหมือนได้ประชา ชนกลับมาทั้งหมดแล้ว ประชาชนทั้งปวงก็จะอยู่เป็นผาสุก" 4 คำทูลนี้เป็นที่พอพระทัย
อับซาโลม และบรรดาผู้ใหญ่แห่งอิสราเอลก็พอใจด้วย
ผมใช้เวลานานพอควร กว่าจะเข้าถึงเนื้อหาตอนนี้ได้ ตอนแรกผมก็คิดว่าคำปรึกษาของอาหิโธเฟลแบ่งเป็น สองตอนตามบทในพระคัมภีร์ ผมไปคิดว่าอับซาโลมขอคำปรึกษาจากอาหิโธเฟล เมื่อได้รับแล้ว เกี่ยวกับเรื่อง การเข้ายึดครอง "สมบัติของบิดา" คือภรรยาทั้งสิบที่ถูกทิ้งไว้ในเยรูซาเล็ม ผมใช้เวลาไปสองสามวันด้วยความ คิดที่ว่าอับซาโลม เข้าหาและ "ครอบครอง" ภรรยาของดาวิดแล้ว จึงค่อยกลับไปหาอาหิโธเฟลอีกครั้ง เพื่อ ขอคำปรึกษา แล้วจึงไปขอความเห็นเพิ่มเติมจากหุชัย แต่ที่จริงไม่เป็นเช่นนั้น
ก่อนอื่นให้เราคิดถึงเหตุการณ์ของบทนี้ในเรื่องของเวลา ดาวิดเมื่อรู้ว่าอับซาโลมจะมายึดครองราชบัลลังก์ รีบหนีออกจาเยรูซาเล็ม นำภรรยาและลูกๆไปด้วย บางคนก็ค่อนข้างมีอายุ ทำให้การหลบหนีค่อนข้างล่าช้า เรื่องราวที่บันทึกไว้ ทำให้เรามองข้ามความเร่งด่วน และเรื่องความยุ่งยากในการอพยพผู้คนจำนวนมากไป อับซาโลมอาจอยู่ไม่ไกลจากพวกเขานัก ถ้าไม่มีการส่งข่าวให้ดาวิดรู้ตัวในทันที และถ้าท่านไม่รีบหลบหนี อับซาโลมอาจไล่มาทัน ทำให้ดาวิดและทุกคนที่อยู่กับท่านต้องตกอยู่ในอันตราย
ดาวิดหนีออกจากเยรูซาเล็ม ขณะที่อับซาโลมเดินทางกระชั้นชิดเข้ามา พร้อมที่จะเข้ามาครอบครองเยรูซา เล็มและราชบัลลังก์แทน อับซาโลมขอคำปรึกษาจากอาหิโธเฟล ทันทีที่ถึงเยรูซาเล็ม และอับซาโลมได้ให้ คำปรึกษา -- เป็นสองตอน ตอนแรกเป็นคำแนะนำว่าอับซาโลมเองควรทำอย่างไร -- ครอบครองภรรยา ของดาวิด ตอนที่สอง อาหิโธเฟลเสนอตัวจะเป็นผู้ลงมือทำการแทนอับซาโลมเอง -- นำกองกำลัง 12,000 คนตามดาวิดไปในคืนนั้นทันที ไปทำให้ดาวิดและผู้ติดตามตกใจกลัวจนตัวสั่น อาหิโธเฟลเสนอว่าจะเป็นผู้ฆ่า ดาวิดด้วยตนเอง เพื่อหลีกเลี่ยงการนองเลือด และทำให้บัลลังก์เข้มแข็งขึ้นในเวลาอันสั้น
ถ้าเราดูตามสรรพนามที่ใช้ในพระธรรมด้านบนนี้ เราเห็นว่าอาหิโธเฟล มีข้อแนะนำสำหรับให้อับซาโลมทำ และข้อแนะนำว่าตนเองจะทำอย่างไร ผมเชื่อว่าอาหิโธเฟลต้องการให้ดำิเนินการไปพร้อมๆกัน ไม่ใช่ทำที ละหน ดังนั้นแผนการของอาหิโธเฟลจึงออกมาเช่นนี้ : (1) อับซาโลมจะใช้เวลาไปในการเข้าครอบครอง ภรรยาของดาวิด ต่อหน้าต่อตาชาวอิสราเอล (2) ขณะที่อับซาโลมดำเนินการอยู่ อาหิโธเฟลจะนำกองกำลัง 12,000 คนออกไปตามล่าดาวิด เมื่อไปถึง เขาจะเป็นผู้ลงมือฆ่าดาวิดด้วยตนเอง ทำให้การครอบครอง อาณาจักรใหม่นี้เสร็จสิ้นสมบูรณ์ ในเวลาอันรวดเร็ว
คำปรึกษาของอาหิโธเฟลเต็มไปด้วย "เล่ห์กล" หลายประการ ประการแรก มันเกิดขึ้นได้ตามนั้น ถ้าพระเจ้า ไม่เข้ามาแทรกแซงเสียก่อน ประการที่สอง เป็นคำปรึกษาที่อับซาโลมอยากทำตาม เขาจะประพฤติตนคล้าย กับบิดา คือไม่ไปสงคราม เลือกอยู่บ้านเพื่อจะ "นอนกับสาวๆ" ในขณะที่อาหิโธเฟล และกองกำลังออกไปทำ สงครามกับดาวิด หลังจากนั้นอับซาโลมสามารถเข้าครอบครองราชบัลลังก์ได้เลย โดยไม่ต้องเสียแรงออกไป สู้รบ นอกจากนั้น เขายังได้ปล่อยเนื้อปล่อยตัวไปกับภรรยาของดาวิด ด้วยวิธีที่ทำให้ผู้เป็นพ่อเจ็บแสบและ อับอายเป็นที่สุด ถ้าดาวิดตายจริง ใครจะเป็นศัตรูตัวจริงของอับซาโลม?
เมื่อเราเรียนรู้ว่าอับซาโลมทำตามคำแนะนำของอาหิโธเฟล เรื่องภรรยาของดาวิด ผมเชื่อว่าเขาทำการนี้ ใน ขณะที่คนอิสราเอลส่วนมากถูกเรียกตัวไปทำสงคราม ที่อาหิโธเฟลนำคน 12,000 คนออกไปตามล่าดาวิด ถ้าเป็นเช่นนั้น -- ซึ่งน่าจะเป็นได้ -- ทำให้เรามองเห็นมุมมองอื่นในเรื่องการครอบครองภรรยาของดาวิดทันที การนี้เป็นไปตามคำพยากรณ์ของนาธันผู้เผยพระวจนะ มันเป็นการประกาศตัวของอับซาโลม ด้วยการใช้ สัญลักษณ์ ซึ่งสร้างความเจ็บปวดมากให้กับดาวิด แต่ขณะเดียวกัน เป็นส่วนหนึ่งในแผนการอันยิ่งใหญ่ของ พระเจ้า เพื่อให้ดาวิดมีเวลาพอที่จะหนีไปได้ ตั้งตัวทัน เอาชนะอับซาโลมได้ และกลับคืนสู่เยรูซาเล็มในฐานะ กษัตริย์ของอิสราเอล เรื่องเจ็บปวดที่สุดบางเรื่องในชีวิตของเรา อาจเป็นแผนการที่ให้เราเกิดผล เพื่อจะทำ การดีที่พระเจ้าปรารถนาจากเรา อาหิโธเฟลและอับซาโลม ตั้งใจจะทำการชั่ว (และเพื่อสนองตัณหาตนเอง) แต่พระเจ้าต้องการให้ออกมาดี (ดูปฐก. 50:20)
อาหิโธเฟลเสนอแผนปฏิการชนิดสั้นง่าย รวดเร็ว และมีชัยให้แก่อับซาโลม เขาจะเป็นผู้ลงมือทำเอง ในขณะที่ "ว่าที่กษัตริย์" จะรออยู่ที่เยรูซาเล็ม ดูเป็นแผนการที่ดีจนเหลือเชื่อ ความจริงก็คือ มันคงเป็นได้ ถ้าพระเจ้า ไม่ได้ มีแผนการอื่นสำหรับดาวิด และอับซาโลม แผนการเหล่านี้จะสำเร็จลงผ่านทางเพื่อนๆของดาวิด : หุชัย ศาโดก และอาบียาธาร์ปุโรหิต พรอ้มด้วยบุตรทั้งสองของเขา อาหิมาอัสและโยนาธาน ยังมีภรรยาของชาวไร่ ที่บาฮูริม และเพื่อนๆที่หนุนหลังอยู่อีกหลายคน เป็นเรื่องราวการช่วยกู้ของดาวิด ที่เราจะมาเรียนกันต่อไป
5 อับซาโลมตรัสว่า "จงเรียกหุชัยคนอารคีเข้ามา เพื่อเราจะฟังเขาจะว่าอย่าง
ไรด้วย" 6 เมื่อหุชัยเข้ามาเฝ้าอับซาโลมแล้ว อับซาโลมจึงตรัสถามเขาว่า
"อาหิโธเฟลว่าอย่างนี้แล้ว เราควรจะทำตามคำแนะนำของเขาหรือไม่ ถ้าไม่
ท่านจงพูดมา" 7 หุชัยจึงกราบทูลอับซาโลมว่า "คำปรึกษาซึ่งอาหิโธเฟลให้
ในครั้งนี้ไม่ดี" 8 หุชัยกราบทูลต่อไปว่า "ฝ่าพระบาททรงทราบแล้วว่าเสด็จพ่อ
และคนที่อยู่ด้วย เป็นทหารแข็งกล้าและเขาทั้งหลายกำลังโกรธเหมือนหมี
ที่ลูกถูกลักเอาไปในป่า นอกจากนั้นเสด็จพ่อของพระองค์ทรงชำนาญศึก พระองค์คงไม่ทรงพักอยู่กับพวกพล 9 ดูเถิด ถึงขณะนี้พระองค์ก็ทรงซ่อนอยู่ใน
บ่อแห่งหนึ่ง หรือในที่หนึ่งที่ใดแล้วเมื่อมีคนล้ม ตายในการสู้รบครั้งแรกใครที่
ทราบเรื่องก็จะกล่าวว่า 'ทหารที่ติดตามอับซาโลมถูกฆ่าฟัน' 10 แม้คนที่กล้าหาญ ที่จิตใจเหมือนอย่างสิงห์ก็จะกลัวลาน เพราะอิสราเอลทั้งสิ้นทราบว่าเสด็จพ่อของ
ฝ่าพระบาท เป็นวีรบุรุษ และคนที่อยู่ก็เป็นทหารที่แข็งกล้า 11 แต่คำปรึกษาของ
ข้าพระบาทมีว่า ขอฝ่าพระบาทรวบรวมอิสราเอลทั้งสิ้น ตั้งแต่ดานถึงเบเออร์เชบา ให้มากมายดั่งทรายที่ทะเล แล้วฝ่าพระบาทก็เสด็จคุมทัพไปเอง 12 เราทั้งหลาย
จะเข้ารบกับเขา ณ ที่หนึ่งที่ใดที่พบกัน และเราจะเข้าโจมตีเหมือนน้ำค้างตกใส่พื้น
ดิน ตัวเขาและคนที่อยู่กับเขาก็จะไม่มีเหลือสักคนหนึ่ง 13 ถ้าเขาจะถอยร่นเข้าไป
ในเมือง คนอิสราเอลทั้งสิ้นก็จะเอาเชือกมาลากเมืองนั้นลง ไปที่ลุ่มแม่น้ำ จนกระ ทั่งก้อนกรวดสักก้อนหนึ่งก็ไม่มีให้เห็นที่นั่น" 14 อับซาโลมและคนอิสราเอลทั้งปวงว่า "คำปรึกษาของหุชัยคนอารคีดีกว่าคำปรึกษา ของอาหิโธเฟล" เพราะพระเจ้าทรง
เราไม่รู้ว่าทำไมอับซาโลมถึงไปขอความเห็นสนับสนุนจากหุชัยอีก หรือว่าเป็นการพิสูจน์ถึงความจงรักภักดี ของเขา? เราคงจำได้ว่า เขาไม่มีเวลาได้ไตร่ตรองว่าควรพูดสิ่งใดเลย เขาถูกนำตัวมาพบอับซาโลม บอกคำ ปรึกษาที่อาหิโธเฟลให้ไว้ และขอคำตอบในทันที คำตอบของหุชัยนั้นล้ำลึกมาก เขาเริ่มด้วยการยอมรับว่า อาหิโธเฟลนั้นเป็นผู้มีสติปัญญาในการให้คำปรึกษามาก แต่เขาบอกต่อไปด้วยว่า คำปรึกษาครั้งนี้ไม่ดีเท่าที่ ควร แน่นอนไม่มีใครสมบูรณ์แบบ ไม่มีใครถูกต้องเสมอทุกทีไป อาหิโธเฟลส่วนมากจะถูก แต่สำหรับครั้งนี้ ไม่ใช่
หุชัยมีแต้มต่อดีอยู่อย่างหนึ่ง : อับซาโลมและทุกคนในอิสราเอลทราบดีว่า เขาเป็นเพื่อนกับดาวิดมานาน แล้ว อับซาโลมจะเชื่อใจคนอย่างนี้ได้อย่างไร? คำปรึกษาของเขาน่าจะมีบางสิ่งแอบแฝง แทนที่จะหลบเลี่ยงเรื่อง นี้ หุชัยกลับใช้เรื่องความเป็นเพื่อนนี่แหละ มาพูดกับอับซาโลม
"ผมเป็นเพื่อนกับดาวิดหรือ? ใช่ เป็นความจริง เราเคยเป็นเพื่อนกันมานาน ก็เพราะ ความเป็นเพื่อนนี่แหละ ที่ทำให้ผมรู้จักตัวตนของดาวิดดี ผมรู้จักเขามากกว่าพวก คุณเสียอีก ดังนั้นผมจึงรู้ดีว่าเขาต้องตอบโต้การกบฎของอับซาโลมแน่ๆ ผมขอ แนะนำแผนการ โดยใช้จากประสบการณ์ที่ผมรู้จักดาวิดดี และจากที่พวกคุณทั้ง หลายรู้เรื่องของท่านดีมาในอดีต"
แผนการของอาหิโธเฟลน่าสนใจ เพราะสามารถเอาชนะดาวิดได้อย่างรวดเร็วและง่ายดาย ไม่ต้องเสียเลือดเสีย เนื้อมาก อับซาโลมไม่ต้องไปด้วยตนเอง เขาควรอยู่ในเยรูซาเล็มกับบรรดาสนมของดาวิด ส่วนอาหิโธเฟลจะ รวบรวบคน 12,000 คน ออกไปตามล่าดาวิดในทันที เมื่อพบแล้ว จะฆ่าเฉพาะดาวิดคนเดียว และนำคนที่เหลือ กลับมามอบให้อับซาโลม แผนการนี้ตั้งอยู่บนการคาดคะเนเสียเป็นส่วนใหญ่ คือคาดว่าดาวิดคงจะเหน็ดเหนื่อย และท้อใจเป็นที่สุด ไม่มีกำลังเหลือที่จะต้านทาน และจะยอมพ่ายแพ้แต่โดยดี แต่ถ้าเป็นการคาดคะเนที่ผิด พลาด แผนทั้งหมดของอาหิโธเฟลจะพังพินาศย่อยยับในทันที
หุชัยท้าทายอาหิโธเฟลที่คิดแผนการจากการคาดเดา เขาเสนอให้มองดาวิดในมุมมองที่ต่างออกไป และแผน ที่นำมาใช้ต่างไปด้วย หุชัยย้ำว่า อาหิโธเฟลประเมินดาวิดต่ำเกินไปจนน่ากลัว ว่าจะไม่มีทางสู้ และไม่มีทาง ปกป้องอาณาจักรเอาไว้ได้ หุชัยย้ำเตือนพวกผู้ใหญ่ของอิสราเอลให้คิดดีๆ ว่าดาวิดเป็นคนอย่างไร เป็นผู้มี ปัญญาเฉียบเแหลม ; เป็นนักรบที่แข็งแกร่งและชำนาญการศึก การกบฎของอับซาโลม ไม่ได้ทำให้ดาวิดสะดุ้ง สะเทือนแต่ประการใด ; แต่กลับทำให้ท่านรู้สึกอยากเอาชนะ ท่านจะเป็นเหมือนแม่หมี ที่ถูกแย่งลูกไป ดาวิด จะสู้อย่างชนิดหัวชนฝา และถ้าอาหิโธเฟลคิดจะเข้าไปในถิ่นทุรกันดาร เพื่อไปจัดการกับดาวิดลำพัง ก็คิดผิด เพราะที่นั่นเป็นถิ่นที่ดาวิดคุ้นเคยดี ท่านใช้เวลาหลบหนีซาอูลอยู่ที่นั่นนานหลายปี อาหิโธเฟลคิดหรือว่า จะพบ ดาวิดนั่งคอยอยู่ท่ามกลางพวกพ้อง? ท่านคงไม่อยู่ให้เห็น และเมื่ออาหิโธเฟลและกองกำลังเล็กๆนี้ไปถึง จะถูก ดาวิดบดขยี้เป็นจุลในพริบตา พ้ายแพ้ยับเยิน พวกทหารของอับซาโลมต่างหาก ที่จะหมดกำลังใจ ไม่ใช่ดาวิด หรือคนของท่านแน่
ถ้าการคาดเดานี้ถูกต้อง (คะเนตามประสบการณ์การศึกที่ดาวิดมีมาในอดีต ) แผนการต้องเปลี่ยนใหม่หมด มัน คงไม่ใช่เรื่องง่ายและรวดเร็วอย่างที่คิดแน่ มันไม่ใช่แค่เรื่องดาวิดตายคนเดียวอีกต่อไป จำต้องใช้กองกำลังที่ ใหญ่กว่านี้ เพื่อจะปราบดาวิดและคนของท่านลงได้ การจะรวบรวมคนจำนวนมาก คงต้องใช้เวลา สมควรจะรอ ไว้ก่อน (ในขณะที่รออยู่ในเยรูซาเล็ม อับซาโลมจะได้มีเวลาอยู่กับสนมของดาวิด) และการนำกองทัพใหญ่ เช่นนี้ คงต้องใช้แม่ทัพที่มีความสามารถมากกว่าอาหิโธเฟล อับซาโลมเองน่าจะเป็นคนเหมาะที่สุด เพราะ สงครามที่ใหญ่เช่นนี้ ต้องมีผู้นำการรบที่ยิ่งใหญ่ด้วย และจะนำมาซึ่งชัยชนะที่ยิ่ิงใหญ่ แผนการแบบนี้ท้าทาย คนที่ชอบขี่รถม้าไปมา แถมมีคนวิ่งนำหน้าถึง 50 คน อับซาโลมเป็นคนขี้โอ่ และแผนของหุชัยเข้าทางพอดี ทำให้แผนของอาหิโธเฟลล้มไป เป็นแผนการที่ละเอียดรอบคอบ รู้เขารู้เรา และดูท้าทายดี เป็นแผนที่พระเจ้า ทรงนำมาใช้ และเป็นแผนการที่ท้าทายอับซาโลมอย่างดีเยี่ยม
แผนของหุชัยทำให้เกิดการรบครั้งใหญ่ ไม่เพียงแต่พวกพ้องของอับซาโลมต้องตายลงมากมาย อับซาโลม เองถูกฆ่าตายด้วย เพื่อการกบฎจะได้จบลง85 แผนของหุชัย เอื้อให้ดาวิดมีเวลาเตรียมตัว -- เพื่อการรบแบบ กองโจร เป็นการรบในถิ่นของท่านเอง ใช้ป่าเป็นทั้งที่ป้องกันและฆ่าผู้ไม่ชำนาญทาง (18:8) แผนของหุชัย ทำให้แผนของอาหิโธเฟลโง่เง่าหมดความหมาย ซึ่งตรงกับที่ดาวิดอธิษฐานทูลขอ (15:31) ทำให้ดาวิดได้ รับการช่วยกู้ และมีชัยเหนือศัตรู
15 แล้วหุชัยจึงบอกศาโดกและอาบียาธาร์ปุโรหิตว่า "อาหิโธเฟลได้ให้คำปรึกษา อย่างนั้นอย่างนี้แก่อับซาโลม และพวกผู้ใหญ่ของอิสราเอลและข้าพเจ้าได้ให้คำ
ปรึกษา อย่างนั้นอย่างนี้ 16 จงรีบส่งคนไปกราบทูลดาวิดว่า 'คืนวันนี้อย่าพักอยู่ที่ ท่าข้ามไปถิ่นทุรกันดาร อย่างไรก็จงให้เสด็จข้ามไปเสียเกรงว่า พระราชาและ ประชาชนทั้งสิ้นที่อยู่กับพระองค์ จะถูกกลืนไปหมด'" 17 ฝ่ายโยนาธาน และ อาหิมาอัสกำลังคอยอยู่ที่เอนโรเกลแล้ว มีสาวใช้คนหนึ่งเคยไปบอกเรื่องแก่เขา แล้วเขาก็ไปกราบทูลกษัตริย์ดาวิด เพราะเขาไม่กล้าเข้ากรุงให้ใครเห็น 18 แต่มี เด็กหนุ่มคนหนึ่งเห็นเขาทั้งสอง จึงไปทูลอับซาโลม เขาทั้งสองก็รีบไปโดยเร็ว จนถึงบ้านชายคนหนึ่งที่บาฮูริม เขามีบ่อน้ำอยู่ที่ลานบ้าน เขาทั้งสองจึงลงไปอยู่
ในบ่อนั้น 19 หญิงแม่บ้านก็เอาผ้ามาปูปิดปากบ่อ แล้วก็เกลี่ยปลายข้าวตากอยู่บน
นั้น ไม่มีใครทราบเรื่องเลย 20 เมื่อข้าราชการของอับซาโลมมาถึงที่บ้านหญิงคนนี้
เขาก็ถามว่า "อาหิมาอัสกับโยนาธานอยู่ที่ไหน" หญิงนั้นก็ตอบเขาว่า "เขาข้าม
ลำธารน้ำไปแล้ว" เมื่อเขาเที่ยวหาไม่พบแล้วก็กลับไปยังกรุงเยรูซาเล็ม 21 เมื่อคน
เหล่านั้นไปแล้ว ชายทั้งสองก็ขึ้นมาจากบ่อ ไปกราบทูลกษัตริย์ดาวิด เขาทูลดาวิดว่า
"ขอทรงลุกขึ้น และรีบข้ามแม่น้ำไปเพราะอาหิโธเฟลได้ให้คำปรึกษา ต่อสู้อย่างนั้น
อย่างนี้" 22 ดาวิดก็ทรงลุกขึ้น พร้อมกับพวกพลที่อยู่กับพระองค์และข้ามแม่น้ำจอร์
แดน พอรุ่งเช้าก็ไม่มีเหลือสักคนหนึ่ง ที่ยังไม่ได้ข้ามแม่น้ำจอร์แดน 23 เมื่ออาหิโธ เฟลเห็นว่าเขาไม่กระทำตามคำปรึกษา ของท่าน ก็ผูกอานลาขึ้นขี่กลับไปเรือนของ ตนที่อยู่ในเมืองของตน เมื่อสั่งเสียเสร็จแล้วก็ผูกคอตาย เขาจึงเอาศพฝังไว้ที่อุโมงค์
บิดาของท่าน 24 ฝ่ายดาวิดก็เสด็จมายังเมืองมาหะนาอิม และอับซาโลมก็ข้ามแม่น้ำ จอร์แดนพร้อมกับคนอิสราเอล 25 อับซาโลมทรงตั้งอามาสาเป็นแม่ทัพแทนโยอาบ อามาสาเป็นบุตรของชายคนหนึ่งชื่ออิธราคนอิสราเอล ได้แต่งงานกับอาบีกัล บุตรี ของนาหาชน้องสาวของนาง เศรุยาห์มารดาของโยอาบ 26 ฝ่ายคนอิสราเอลและ
อับซาโลม ตั้งค่ายอยู่ในแผ่นดินกิเลอาด 27 เมื่อดาวิดเสด็จมาถึงมาหะนาอิม โชบี บุตรนาหาชชาวเมืองรับบาห์แห่งคนอัมโมน และมาคีร์บุตรอัมมีเอลชาวโลเดบาร์ และบารซิลลัยชาวกิเลอาดจากเมืองโรเกลิม 28 ได้ขนที่นอน อ่างน้ำและเครื่อง
ภาชนะดิน ข้าวสาลี ข้าวบารลี และแป้ง ข้าวคั่ว ถั่ว ถั่วยาง และถั่วแดง 29 น้ำ
ผึ้ง เนย แกะ และเนยแข็งที่ได้มาจากฝูงสัตว์ถวายแด่ดาวิด และให้พวกพลที่อยู่ กับพระองค์รับประทาน เพราะเขาทั้งหลายกล่าวว่า "พวกพลหิวและอ่อนเพลีย และ กระหายอยู่ที่ในถิ่นทุรกันดาร"
ในที่สุด อับซาโลมก็เลือกที่จะทำตามคำแนะนำของหุชัยแทนอาหิโธเฟล แผนของหุชัยเอื้อให้ดาวิดมีเวลา เพิ่ม แต่ก็ทำให้กองทัพที่มาโจมตีนั้นใหญ่ขึ้น นำโดยอับซาโลม จึงจำเป็นที่จะต้องแจ้งให้ดาวิดรู้ตัวโดยด่วน ท่านต้องรีบข้ามแม่น้ำจอร์แดนไป ไปเตรียมการ หาทำเลเหมาะคอยตั้งรับ และหลบซ่อนตัว เมื่ออับซาโลม และกองทัพไปถึง
หุชัยส่งข่าวไปหาศาโดกและอาบียาธาร์ปุโรหิต เพื่อแจ้งให้รู้ถึงคำปรึกษาที่ให้ไว้กับอับซาโลม รวมทั้งคำ ปรึกษาของอาหิโธเฟลด้วย เขาสั่งให้ส่งข่าวผ่านไปทางโยนาธานและอาหิมาอัส ที่รอฟังข่าวอยู่ที่เอนโรเกล ซึ่งเป็นหมู่บ้านเล็กๆ อยู่ต่ำกว่าเยรูซาเล็มลงไป น่าจะเป็นแหล่งน้ำนอกตัวเมือง เพราะจะมีพวกผู้หญิงไปตักน้ำ เป็นประจำ หญิงรับใช้ผู้หนึ่งเป็นคนไปบอกข่าวกับทั้งสอง
คนของอับซาโลมไปเห็นโยนาธานและอาหิมาอัสเข้าพอดี ดูเหมือนเขาจะรู้ว่าทั้งคู่เป็นพวกดาวิด มีการค้นหา คนทั้งสอง เพราะเกรงว่าอาจนำข่าวไปถึงดาวิด ทั้งสองรีบหลบไปยังบ้านของชายคนหนึ่ง ซึ่งเป็นพวกเดียว กัน อยู่ที่บาฮูริม 86 ภรรยาของชายคนนี้ ซ่อนทั้งสองไว้ในบ่อน้ำ และปิดบากบ่อด้วยปลายข้าวตาก ทำให้ไม่มี ทางหาเจอ คนของอับซาโลมมาถึงและออกค้นหา เขาถามผู้หญิงคนนี้ว่าเห็นชายทั้งสองหรือไม่ นางบอกว่า เห็นข้ามลำธารหนีไปแล้ว หนีไป "ตั้งนาน" แล้ว เมื่อคนของอับซาโลมหาจนทั่วไม่พบแล้ว จึงเดินทางกลับ เยรูซา เล็ม บุตรของปุโรหิตทั้งสองรีบไปพบดาวิด แจ้งเรื่องราวต่างๆให้ทราบ ขอร้องให้ท่านข้ามแม่น้ำไปเสีย และไปหาที่ปลอดภัยหลบซ่อนตัว ดาวิดและคนของท่านจึงข้ามแม่น้ำไปตั้งแต่ย่ำรุ่ง (ถ้าเพียงแต่อาหิโธเฟล ออกตามหาดาวิดเย็นก่อนหน้านั้น เรื่องคงจะออกมาอีกแบบ)
อาหิโธเฟลอยู่ในเยรูซาเล็ม นานพอที่จะแน่ใจแล้วว่า คำปรึกษาของเขา อับซาโลมไม่สนใจ เมื่อเขารู้แน่ชัด ว่าคำปรึกษาของหุชัยเป็นที่ยอมรับ ก็รู้ว่าเขานั้นจบลงแล้ว เขาเอาทุกอย่างมาเสี่ยง ด้วยหวังว่าอับซาโลมจะ มีชัยเหนือดาวิด แต่บัดนี้เขารู้แจ้งแก่ใจแล้วว่า อับซาโลมถูกกำหนดให้แพ้ เขาจึงกลับไปบ้าน สั่งเสียทุกสิ่ง และฆ่าตัวตาย เป็นโศกนาฏกรรมของคนทีน่าจะเป็นกำลังสำคัญของบ้านเมืองได้
เมื่ออับซาโลมข้ามแม่น้ำจอร์แดน ออกไล่ล่าดาวิดอย่งกระชั้นชิดนั้น ดาวิดหลบเข้าไปยังเขตมาหะนาอิม เมือง นี้เป็นเมืองที่มีประวัติยาวไกล ยาโคบเป็นผู้ตั้งชื่อเมืองนี้ ในขณะเดินทางกลับสู่ดินแดนแห่งพันธสัญญา ด้วย ความกลัวที่จะต้องเผชิญกับพี่ชาย เอซาว มีทูตสวรรค์มาพบยาโคบ ทำให้ท่านกล่าวว่า "นี่แหละกองทัพของ พระเจ้า" ท่านจึงตั้งชื่อสถานที่แห่งนั้นว่ามาหะนาอิม (แปลว่า "สองหมู่" -- ดูตามหมายเหตุในฉบับแปลของ NASB) คุณว่าดาวิดกลัวที่จะต้องเผชิญหน้ากับอับซาโลมบุตรชายหรือไม่? ท่านคงจำได้ว่า พระเจ้าจะคอยปก ป้องประชากรของพระองค์เสมอ ทรงรักษาพระสัญญา พระประสงค์ ทรงใช้ทูตสวรรค์ด้วย ถ้าพระองค์ต้องการ มาหะนาอิมเคยเป็นที่อาศัยระยะสั้นๆของอิชโบเชท ในช่วงที่อับเนอร์ตั้งเขาขึ้นครองราชย์แทนซาอูลผู้พ่อ (2 ซามูเอล 2:8, 12, 29)
พระเจ้าจัดเตรียมสำหรับดาวิดที่มาหะนาอิม ทั้งสิ่งของที่เป็นรูปธรรมและนามธรรม เมื่อพวกเขาไปถึง มีคน คอยให้ความช่วยเหลืออยู่อย่างเต็มใจ คนแรกคือโชบี บุตรของนาหาช กษัตริย์ของอัมโนน เรื่องนี้เป็นเรื่อง ประหลาดที่สุด ดาวิดและนาหาชเป็นเพื่อนกัน แต่เมื่อนาหาชตายลง และลูกชายขึ้นครอง เขาทำเรื่องขาย หน้า ด้วยการดูหมิ่นเยาะเย้ย คณะบุคคลที่ดาวิดส่งไปเพื่อไว้อาลัยให้กับนาหาช (2 ซามูเอล 10:1) เรื่องนี้ เลยเถิดจนเกิดศึกสงครามระหว่างอิสราเอลและอัมโมนขึ้น ที่จริงสงครามกับอัมโนนครั้งนี้ (โดยเฉพาะการล้อม เมืองรับบาห์ไว้) ทำให้ดาวิดหลีกเลี่ยง ปล่อยให้โยอาบออกไปทำการรบแทน (2 ซามูเอล 11:1) ในที่สุดพวก อัมโมนก็พ่ายแพ้ต่อดาวิด (2 ซามูเอล 12:26-31) ตอนนี้โชบีเป็นผู้ครองบัลลังก์ของอัมโมน และมีใจอยาก ช่วยดาวิดต่อสู้กับอับซาโลม น่าประหลาดนะครับ!
ผู้ที่มาให้ความช่วยเหลือดาวิดที่มาหะนาอิมคนต่อไปคือ มาคีร์บุตรของอัมมีเอล ชาวโลเดบาร์ (17:27) เป็น คนที่รับเมฟีโบเชทมาดูแล หลังจากกษัตรยิ์ซาอูลและโยนาธานสิ้นชีพลง (2 ซามูเอล 9:4-5) สุดท้ายคือ บารซิลลัยคนกิเลอาด เป็นผู้ใหญ่ที่มั่งคั่งและน่านับถือ นำเสบียงมากมายมาให้ดาิวิดและคนของท่าน เราจะ รู้เรื่องของคนๆนี้อีกในบทที่ 19 ข้อ 31-40 ที่เขาให้ทั้งกำลังใจและความช่วยเหลือเช่นไรแก่ดาวิด
1 ดาวิดจึงตรวจพลที่อยู่กับพระองค์ และทรงจัดตั้งนายพันนายร้อยให้ควบคุม
2 และดาวิดทรงจัดทัพออกไป ให้อยู่ในบังคับบัญชาของโยอาบหนึ่งในสาม และในบังคับของอาบีชัยน้องชายของโยอาบ บุตรนางเศรุยาห์หนึ่งในสาม และ อีกหนึ่งในสามอยู่ในบังคับบัญชาของอิททัยคนกัท และพระราชาตรัสกับพวกพล
ว่า "เราจะไปกับท่านทั้งหลายด้วย" 3 แต่พวกพลเหล่านั้นทูลว่า "ขอฝ่าพระบาท
อย่าเสด็จเลย ถ้าข้าพระบาททั้งหลายจะหนีไป เขาทั้งหลายก็ไม่ไยดีอะไรหนัก
หนา ถ้าข้าพระบาททั้งหลายตายเสียสักครึ่งหนึ่ง เขาทั้งหลายก็ไม่ไยดีอะไรแต่
ฝ่าพระบาท มีค่าเท่ากับพวกข้าพระบาทหนึ่งหมื่นคน เพราะฉะนั้นขอฝ่าพระบาท
พร้อมที่จะส่ง กองหนุนจากในเมืองจะดีกว่า" 4 พระราชาตรัสกับเขาทั้งหลายว่า
"ท่านทั้งหลายเห็นชอบอย่างไร เราจะกระทำตาม" พระราชาจึงทรงประทับที่ข้าง
ประตูเมือง และบรรดาพลทั้งหลายเดินออกไปเป็นกองร้อยกองพัน 5 พระราชารับสั่ง
โยอาบ อาบีชัย และอิททัยว่า "เบาๆมือกับชายหนุ่มนั้น ด้วยเห็นแก่เราเถิด คือ
กับอับซาโลม" พวกพลก็ได้ยินคำรับสั่งซึ่งพระราชาประทานแก่ ผู้บังคับบัญชาด้วย
เรื่องอับซาโลม 6 พวกพลจึงเคลื่อนออกไปเพื่อสู้รบกับคนอิสราเอล การสงคราม นั้นทำกันในป่าเอฟราอิม 7 คนอิสราเอลก็พ่ายแพ้แก่ข้าราชการของดาวิด มีการฆ่า ฟันกันอย่างหนักที่นั่น ทหารตายเสียสองหมื่นคนในวันนั้น 8 การสงครามกระจายไป
ทั่วแผ่นดิน ในวันนั้นป่ากินคนเสียมากกว่าดาบกิน 9 เผอิญอับซาโลมไปพบข้าราช
การของดาวิดเข้า อับซาโลมทรงล่ออยู่และล่อนั้นได้วิ่งเข้าไปใต้กิ่ง ต้นก่อหลวงใหญ่ ศีรษะของท่านก็ติดกิ่งต้นก่อแน่น เมื่อล่อนั้นวิ่งเลยไปแล้วท่านก็แขวนอยู่ระหว่างฟ้า
และดิน 10 มีชายคนหนึ่งมาเห็นเข้า จึงไปเรียนโยอาบว่า "ดูเถิด ข้าพเจ้าเห็นอับ
ซาโลม แขวนอยู่ที่ต้นก่อหลวง" 11 โยอาบก็พูดกับชายที่บอกท่านว่า "อะไรนะ
เจ้าเห็นเขาแล้ว ทำไมเจ้าไม่ฟันให้ตกดินเสียทีเดียวเล่า เราก็จะยินดีที่จะรางวัล เงินสิบเหรียญกับสายรัดเอว เส้นหนึ่งให้เจ้า" 12 แต่ชายคนนั้นเรียนโยอาบว่า "ถึงมือของข้าพเจ้าอุ้มเงินพันเหรียญอยู่ ข้าพเจ้าจะไม่ยื่นมือออกทำแก่ราชบุตร เพราะว่าหูของพวกเราได้ยินพระบัญชาของพระราชา ที่ตรัสสั่งท่านและอาบีชัยกับ
อิททัยว่า 'เพื่อเห็นแก่เราขอจงป้องกันอับซาโลมชายหนุ่มนั้น' 13 แต่ถ้าข้าพเจ้า ประทุษร้ายต่อชีวิตของเขา (และไม่มีอะไรจะปิดบังให้พ้นพระราชาได้) แล้วตัวท่าน เองก็คงใส่โทษข้าพเจ้าด้วย" 14 โยอาบจึงว่า "เราไม่ควรเสียเวลากับเจ้าเช่นนี้" ท่านก็หยิบหลาวสามอันแทงเข้าไปที่หัวใจของอับซาโลม ขณะที่ท่านยังมีชีวิตอยู่
ที่ในต้นก่อหลวง 15 ทหารหนุ่มสิบคนที่ถือเครื่องรบของโยอาบ ก็ล้อมอับซาโลมไว้ แล้วประหารชีวิตท่านเสีย 16 โยอาบก็เป่าเขาสัตว์ และกองทัพก็กลับจากการไล่ตาม อิสราเอลเพราะโยอาบยับยั้งเขาทั้งหลายไว้ 17 เขาก็ยกศพอับซาโลมโยนลงไปใน บ่อใหญ่ซึ่งอยู่ในป่า เอาหินกองทับไว้เป็นกองใหญ่มหึมา คนอิสราเอลทั้งสิ้น ต่างก็หนีกลับไปบ้านเรือนของตน 18 เมื่ออับซาโลมยังมีชีวิตอยู่ ได้ตั้งเสาไว้เป็น อนุสรณ์ที่หุบเขาหลวง เพราะท่านกล่าวว่า "เราไม่มีบุตรชายที่จะสืบชื่อของเรา" ท่านเรียกเสานั้นตามชื่อของตน เขาเรียกกันว่าอนุสรณ์อับซาโลมจนทุกวันนี้
เป็นเรื่องที่เลี่ยงไม่ได้จริงๆ ดาวิดอาจไม่ยอมรับความจริง พยายามบ่ายเบี่ยงมานาน แต่ครั้งนี้ท่านหนีไปไม่ได้ อีกแล้ว ; ท่านคงต้องสู้กับกองทัพของบุตรชาย ดาวิดแบ่งกองกำลังของท่านออกเป็นสามส่วน เราไม่ทราบแน่ นอนว่าท่านมีกำลังในมือเท่าใด รู้แต่เพียงว่าเป็นพันๆคน เพราะมีการแบ่งกองกำลังออกเป็นกองพัน และกอง ร้อย โยอาบและอาบีชัยคุมกันคนละกอง ส่วยอิททัยคนกัท คุมกองที่สาม ดาวิดบอกกับทหารว่าท่านจะไปร่วม รบด้วย แต่ประชาชนกลับขอให้ท่านอยู่ที่มาหะนาอิม เพราะถ้าพวกเขาต้องหนี คงไม่สำคัญสำหรับอับซาโลม แต่ถ้ามีดาวิดอยู่ด้วย พวกนั้นจะไม่หยุด จนกว่าจะจับท่านได้และฆ่าเสีย ฉะนั้นท่านอยู่ไกลออกไป ท่าจะดีกว่า
ในขณะที่คนกำลังเดินหน้าจะไปรบเพื่อพระราชา ดาวิดมีคำสั่งสุดท้าย คงไม่ใช่คำสั่งที่ธรรมดา ในขณะที่ทุก คนใจจดจ่ออยู่กับชัยชนะ คงเป็นคนละคำพูดกับที่โยอาบเคยพูด ก่อนออกไปโจมตีซีเรียและอัมโมน:
11 ท่านกล่าวว่า "ถ้ากำลังคนซีเรียแข็งเหลือกำลังของเรา เจ้าจงยกไปช่วยเรา แต่ถ้ากำลังคนอัมโมนแข็งเกินกำลังของเจ้า เราจะยกมาช่วยเจ้า 12 จงมีความ
กล้าหาญเถิด ให้เราเป็นลูกผู้ชายเพื่อชนชาติของเรา และเพื่อหัวเมืองแห่งพระเจ้า ของเราและขอพระเจ้าทรง กระทำตามที่พระองค์ทรงเห็นชอบเถิด" (2 ซามูเอล 10:11-12)
คำสั่ง "ปะทะ" ของดาวิดต่างออกไป : " เบาๆมือกับชายหนุ่มนั้น ด้วยเห็นแก่เราเถิด คืออับซาโลม" (18:5) ทุกคนได้ยินคำสั่งนี้ ซึ่งต่างจากคำแนะนำของอาหิโธเฟลโดยสิ้นเชิง ที่มุ่งหวังแต่จะฆ่าดาวิดคนเดียว และปล่อยทุกคนที่เหลือให้รอด ดาวิดกลับอนุญาติให้ฆ่าประชาชนอิสราเอลได้ แต่ไม่ใช่ลูกชายของท่าน ผู้นำ การกบฎ ท่านสั่งแก่คนที่ยอมสละชีวิตไปสู้รบ แต่ไม่รบให้ได้ชัยชนะ นับเป็นเรื่องน่าสลดใจ
ถึงกระนั้นก็ตาม ทั้งกองทัพก็ต่อสู้อย่างกล้าหาญเพื่อดาวิด กองทัพของอับซาโลมพ่ายแพ้อย่างยับเยิน ไม่ใช่ เพราะฝีมือทหารของดาวิดเพียงอย่างเดียว แต่เป็นป่าด้วย คนของอับซาโลมไม่ชำนาญพื้นที่และยุทธวิธีการ รบเช่นนี้ ทั้งหมด 20,000 คนถูกฆ่าตาย เกลื่อนไปทั่วผืนแผ่นดิน ทหารของอับซาโลมหนีเอาตัวรอด ฝ่ายของ ดาวิดได้ชัยชนะอย่างเด็ดขาด ส่วนฝ่ายของอับซาโลมพ่ายแพ้ยับเยิน
เราไม่รู้แน่ชัดว่าอับซาโลมหนีเอาชีวิตรอดหรือไม่ ดูเหมือนเขาอยู่ตามลำพัง เมื่อล่อที่เขาขี่อยู่ วิ่งลอดไปใต้ กิ่งต้นก่อหลวงใหญ่ และศีรษะของเขาติดอยู่ที่กิ่งไม้นั้น87 คนของอับซาโลมอาจอยากช่วยเหลือ (แต่จำต้อง หนีเอาชีวิตรอด) คนของโยอาบมาเห็นเข้า ไปบอกผู้บังคับบัญชา โยอาบโกรธที่ทหารคนนั้น ไม่ฆ่าอับซาโลม ในทันที ไม่อยากได้เงินรางวัลหรือไง? ทหารคนนั้นไม่กลัวคำตำหนิของโยอาบ เขากลับเตือนโยอาบว่า ดาวิด ท่านแม่ทัพ ได้สั่งห้ามไม่ให้ผู้ใดทำอันตรายอับซาโลมบุตรของท่าน ไม่ว่าโยอาบสัญญาจะตกรางวัล อย่างไร ทหารคนนี้รู้ดีว่า ถ้าดาวิดทราบว่าเขาเป็นผู้ฆ่าบุตรของท่าน คงไม่มีใครยื่นมือไปช่วยแน่ โยอาบทำ เป็นพูดดีไป ทั้งๆที่ดาวิดกำชับสั่งโดยตรง ไม่ให้ฆ่าบุตรของท่าน ถ้่าชายคนนี้ยอมทำตาม รับรอง โยอาบจะ ยืนเฉยทำเป็นทองไม่รู้ร้อน เขาคงต้องรับเคราะห์เพียงผู้เดียวแน่ๆ ไม่มีทางที่ชายคนนี้ จะยอมทำตามคำสั่ง ของโยอาบ โดยฝ่าฝืนคำสั่งของพระราชาโดยเด็ดขาด
โยอาบรู้สึกรำคาญทหารคนนี้เต็มทน มัวแต่ยอมเชื่อฟังคำสั่งพระราชา เห็นทีเขาคงต้องลงมือเอง เขาออก ไปตามหาอับซาโลม ตามทางที่ทหารบอกไว้ เขาใช้หลาวสามอัน แทงไปที่หัวใจของอับซาโลม และทหาร ที่เหลืออยู่ ก็รุมฆ่าอับซาโลมเสีย ศัตรูของดาวิดตายแล้ว
เรื่องนี้ดูแปลกมั้ยครับ ที่โยอาบเป็นคนฆ่าอับซาโลม? โยอาบอุตส่าห์ลงทุนแต่งเรื่อง เพื่อให้อับซาโลมได้กลับ มาบ้าน โยอาบวิ่งเต้นจนอับซาโลมได้รับอิสรภาพ เข้าเฝ้าพระราชาได้ โยอาบทำให้อับซาโลมขนาดนี้ ยังไม่ วายถูกอับซาโลมหักหลัง แย่งชิงบัลลังก์บิดา แต่งตั้งคนอื่นขึ้นมาคุมกองทัพอิสราเอลแทน เช่นกันกับที่ โยอาบได้รับคำสั่งจากดาวิด ให้ไปฆ่าอุรียาห์ในสนามรบ โดยไม่มีการคัดค้าน ผู้คุมกองทัพผู้นี้ ที่ลงมือฆ่าคน ไร้ผิดตามคำสั่งของดาวิด บัดนี้ฝ่าฝืนคำสั่ง ลงมือฆ่าบุตรชายแทน มีคำกล่าวที่เหมาะสมสำหรับตอนนี้ว่า: "ดาบนั้นคืนสนอง" ดาวิดใช้อำนาจในทางที่ผิด ไปแย่งภรรยาของอุรียาห์มา และฆ่าสามีทิ้ง แต่อำนาจที่ท่าน มีอยู่ในมือ ไม่สามารถปกป้องชีวิตบุตรชายของท่านเองจากเงื้อมมือของโยอาบได้ (หรือคนอื่นๆ)
พระคัมภีร์ตอนนี้เป็นเหมือนคำจารึกสำหรับการตายของอับซาโลม ผู้เขียนเคยบันทึกไว้ว่า อับซาโลมไม่มีบุตร ชาย และกลัวว่าตนเองจะถูกลืมเลือน จึงไปสร้างอนุเสาวรีย์ให้กับตนเองที่หุบเขาแห่งกษัตริย์ ด้วยคิดว่า จะ เป็นวิธีที่ชื่อของเขาจะคงอยู่ แต่กลับเป็นว่า อับซาโลมมีบุตรชาย แต่มีใจปรารถนาอยากขึ้นครองราชย์แทน ที่บิดา และก็ได้สมใจ เพียงแค่สองสามวัน แต่คนกลับจำเขาได้ ในฐานะผู้ทรยศ ถูกแขวนให้ตายคากิ่งไม้ เป็น การตายที่สยดสยอง อนุเสาวรีย์ที่เขาสร้างไว้ในหุบเขาแห่งกษัตริย์ ไม่สามารถลบเลือนความเขลา และเรื่อง ความตายอันน่าอัปยศนี้ไปได้
19 อาหิมาอัสบุตรศาโดกกล่าวว่า "ขอให้ข้าพเจ้าวิ่งนำข่าวไปทูลพระราชาว่า พระเจ้าทรงช่วยกู้พระองค์ให้พ้นจากมือศัตรูของพระองค์แล้ว" 20 โยอาบก็ตอบ
เขาว่า "ท่านอย่านำข่าวไปในวันนี้เลย ท่านจงนำข่าวในวันอื่นเถิด แต่วันนี้ท่าน
อย่านำข่าวเลย เพราะว่าโอรสสิ้นชีพแล้ว" 21 โยอาบก็สั่งชาวคูชคนหนึ่งว่า "จง นำข่าวไปกราบทูลพระราชา ตามสิ่งที่ท่านได้เห็น" ชาวคูชคนนั้นก็กราบลงคำนับ
โยอาบ แล้วก็วิ่งไป 22 อาหิมาอัสบุตรศาโดกจึงเรียนโยอาบอีกว่า "จะอย่างไร
ก็ช่างเถิด ขอให้ข้าพเจ้าวิ่งตามชาวคูชคนนั้นไปด้วย" โยอาบตอบว่า "ลูกเอ๋ย
เจ้าจะวิ่งไปทำไม ด้วยว่าการส่งข่าวนี้จะไม่มีรางวัลให้แก่เจ้า" 23 เขาตอบว่า
"จะอย่างไรก็ช่างเถิด ข้าพเจ้าจะขอวิ่งไป" โยอาบจึงบอกเขาว่า "วิ่งไปเถอะ" และอาหิมาอัสก็วิ่งไปตามทางที่ราบขึ้นหน้าชาวคูชนั้นไป 24 ฝ่ายดาวิดประทับ อยู่ระหว่างประตูเมืองทั้งสอง มีทหารยามขึ้นไปอยู่บนหลังคาซุ้มประตูที่กำแพง
เมือง เมื่อเงยหน้าขึ้นมองดู เห็นชายคนหนึ่งวิ่งมาลำพัง 25 ทหารยามคนนั้น
ก็ร้องกราบทูลพระราชา พระราชาตรัสว่า "ถ้าเขามาลำพังก็คงคาบข่าวมา" ชายคนนั้นก็วิ่งเข้ามาใกล้ 26 ทหารยามเห็นชายอีกคนหนึ่งวิ่งมา ทหารยามก็ร้อง
บอก ไปที่นายประตูเมืองว่า "ดูซี มีชายอีกคนหนึ่งวิ่งมาแต่ลำพัง" พระราชาตรัสว่า "เขาคงนำข่าวมาด้วย" 27 ทหารยามนั้นกราบทูลว่า "ข้าพระบาทคิดว่าคนที่วิ่งมา ก่อนวิ่งเหมือนอาหิมาอัสบุตรศาโดก" และพระราชาตรัสว่า "เขาเป็นคนดี เขามา
ด้วยข่าวดี" 28 แล้วอาหิมาอัสร้องทูลพระราชาว่า "สวัสดี พ่ะย่ะค่ะ" เขาก็กราบ พระราชาซบหน้าลงถึงพื้นดินกราบทูลว่า "สาธุการแด่พระเยโฮวาห์พระเจ้าของฝ่า
พระบาท พระองค์ได้ทรงมอบบรรดาผู้ที่ยกมือของเขา ต่อสู้กับพระราชาเจ้านาย
ของข้าพระบาทแล้ว" 29 พระราชาตรัสถามว่า "อับซาโลม ชายหนุ่มนั้นสวัสดีอยู่
หรือ" อาหิมาอัสทูลตอบว่า "เมื่อโยอาบใช้ให้ข้าพระบาทมานั้น ข้าพระบาทเห็น
ผู้คนสับสนกันใหญ่ แต่ไม่ทราบเหตุ" 30 พระราชาตรัสว่า "จงหลีกมายืนตรงนี้" เขาจึงหลีกไปยืนนิ่งอยู่ 31 ดูเถิด ชาวคูชนั้นก็มาถึง ชาวคูชนั้นกราบทูลว่า "มีข่าว ดีถวายแด่พระราชาเจ้านายของข้าพระบาท เพราะในวันนี้พระเจ้าทรงช่วยกู้ฝ่าพระ
บาทให้พ้น จากมือของบรรดาผู้ที่ลุกขึ้นต่อสู้ฝ่าพระบาท" 32 พระราชาตรัสถามชาว
คูช นั้นว่า "อับซาโลมชายหนุ่มนั้นเป็นสุขอยู่หรือ" ชาวคูชนั้นทูลตอบว่า "ขอให้ ศัตรูของพระราชาเจ้านายของข้าพระบาท และผู้ที่ลุกขึ้นกระทำอันตรายต่อฝ่าพระ
บาทเป็นเหมือนชายหนุ่มผู้นั้นเถิด" 33 พระราชาทรงโทมนัสนัก เสด็จขึ้นไปบนห้อง
ที่อยู่เหนือประตู และกันแสง เมื่อเสด็จไปพระองค์ตรัสว่า "โอ อับซาโลมบุตรของ
เรา บุตรของเรา อับซาโลมบุตรของเราเอ๋ย เราอยากจะตายแทนเจ้า โอ อับซาโลม
บุตรของเรา บุตรของเราเอ๋ย"
เรื่องก็จบลง อาหิโธเฟลรู้ดีว่า ถ้าดาวิดถูกฆ่า คนที่อยู่ฝ่ายตรงข้ามกับอับซาโลมจะถูกบดขยี้ตามไปด้วย ในทางกลับกัน คนของอับซาโลมล้มตายไปมากมาย กองทัพของเขาพ่ายแพ้ และเมื่อตัวอับซาโลมตาย การกบฎครั้งนี้ ก็ตายตามไปด้วย อย่างที่เราเห็น ทหารของอับซาโลมหนีเอาชีวิตรอดไปคนละทิศละทาง เรื่องจึงจบสิ้นลง! ดาวิดเป็นผู้ชนะ! เป็นวันแห่งชัยชนะอันยิ่งใหญ่
ภาพแห่งการนำทัพกลับมามาหะนาอิมอย่างมีชัย คงเป็นภาพที่ยิ่งใหญ่ คงเป็นเหมือนเมื่อนักกีฬาได้ถ้วย แช็มป์โลกกลับมาบ้าน มีเสียงร้องตะโกนและเฉลิมฉลอง เป็นวันแห่งชัยชนะของคนทั้งประเทศ แต่กษัตริย์ ดาิวิดไม่ได้อยู่ในกองทัพ ท่านกลับเข้าเมือง เพื่อรอฟังผลของสงคราม ทหารที่กลับมาด้วยความยินดีใน ชัยชนะ ไม่ได้คาดคิดเลยว่า กษัตริย์จะไม่รอต้อนรับอยู่ที่ประตูเมือง เพราะท่านทราบเรื่องการสิ้นชีวิตของ บุตรชายแล้ว
มันเริ่มจากที่ทหารของอับซาโลมเริ่มพ่ายแพ้ ตามด้วยการตายของอับซาโลม อาหิมาอัสขอร้องโยอาบให้ตน เองเป็นผู้นำ "ข่าวดี" ไปบอกกับดาวิด โยอาบรู้ว่านี่ไม่ใช่ "ข่าวดี" ของกษัตริย์แน่ ถึงแม้จะเป็นข่าวดีสำหรับ คนอื่นๆก็ตาม โยอาบจึงไม่อยากให้อาหิมาอัสไปมาหะนาอิม เขาส่งคนคูชไปแทน อาหิมาอัสไม่ยอมล้มเลิก ความตั้งใจ ในที่สุดโยอาบจำยอม ให้ไปพร้อมกับคนคูชนั้น ด้วยความกระตือรือร้น (อาจเป็นนักวิ่ง หรืออาจ เลือกเส้นทางที่ลัดกว่า) อาหิมาอัสมาสามารถมาถึงมาหะนาอิมก่อนชาวคูช จากทั้งสองนี้ ดาวิดจึงทราบข่าว การตายอของอับซาโลมบุตรชาย ท่านเป็นทุกข์โศกเศร้ายิ่งนัก
ก่อนที่เราจะเรียนต่อ ผมอยากจะชี้ให้เห็นว่าเรื่องการรายงานข่าวของผู้ส่งสารทั้งสองนี้ กินเนื้อที่มากกว่าเรื่อง สงครามเสียอีก รวมทั้งเรื่องการตายของอับซาโลมด้วย ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น? ทำไมผู้เขียนถึงให้ความสำคัญ กับเรื่องที่อาหิมาอัสอยากไปรายงานข่าวให้ดาวิดมาก? คำตอบนั้นสำคัญ เพราะเป็นเหมือนกุญแจที่ทำให้เรา เข้าใจพระธรรมตอนนี้ได้ดีขึ้น อย่างที่ผู้เขียนต้องการ
ผมตั้งข้อสังเกตุเห็นความยาว (ในเรื่องเนื้อที่) ที่ใช้ไปกับเรื่องผู้ส่งข่าวของพระธรรมตอนนี้ ผมขอชี้ให้เห็น อีกด้วย ในเรื่องความสำคัญของ "ข่าวดี" นี้ ในฉบับของ NASB มีเอ่ยถึงอยู่สี่ครั้งในข้อ 25-31 และยังมีคำ อื่นๆ อีกที่หมายถึง "ข่าว" ซึ่งฟังดูน่าจะเป็นเรื่องข่าวดี คำว่า "ข่าวดี" ในภาษาฮีบรู หมายถึง "ข่าวดี" (ตาม ที่คาดไว้) ผู้แปลฉบับเซปตัวจิ้นท์ใช้คำในภาษากรีก ซึ่งเราพบบ่อยมากในพระคัมภีร์ใหม่ เกี่ยวกับการประกาศ ข่าวประเสริฐขององค์พระเยซูคริสต์ "ข่าวดี" ที่อาหิมาอัสอยากประกาศกับดาวิดคือ พระเจ้าได้ประทานชัย ชนะให้แก่ท่าน ทำให้ท่านมีชัยเหนือศัตรู คืออับซาโลม ด้วยการสิ้นชีวิตของอับซาโลม
ปัญหาก็คือ ดาวิดไม่ต้องการยอมรับว่าข่าวนี้เป็นข่าวดี ลองสังเกตุดูเมื่อผู้ส่งข่าวแต่ละคนมาพบดาวิด ทั้งสอง บอกกับดาวิดว่าเป็นข่าวดีสำหรับท่าน ดาวิดไม่ได้ถามถึงผลของสงคราม ถามแต่เรื่องสวัสดิภาพของบุตรชาย ข่าวดีสำหรับดาวิดคือ อับซาโลมยังไม่ตาย ข่าวดีสำหรับผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องในสงครามคือ อับซาโลมและ พวกพ้องของเขาพ่ายแพ้ และตัวเจ้าปัญหาถูกกำจัดออกไป
โยอาบรู้จักพระราชาดี รู้ดีว่าดาวิดไม่มีทางยอมรับข่าวที่บุตรชายต้องตาย นี่คือเหตุผลที่เขาไม่อยากส่ง อาหิมาอัสให้ไปส่งข่าว นี่คือสาเหตุที่อาหิมาอัสไม่ยอมพูดตรงๆเมื่อดาวิดถามถึงบุตรชาย ดังนั้นเมื่อกองทัพ กลับมาที่มาหะนาอิม พวกเขาจึงไม่พบกษัตริย์คอยอยู่ เพื่อแสดงความยินดีที่รบชนะ แต่พวกเขากลับรับรู้ว่า ดาวิดกำลังคร่ำครวญถึงการตายของอับซาโลม แทนที่พวกเขาจะรู้สึกภาคภูมิใจที่รบชนะ พวกเขากลับรู้สึก อับอายขายหน้า
1 เขาไปเรียนโยอาบว่า "ดูเถิด พระราชากันแสงและไว้ทุกข์เพื่ออับซาโลม"
2 เพราะฉะนั้นชัยชนะในวันนั้นก็กลาย เป็นการไว้ทุกข์ของประชาชนทั้งหลาย เพราะในวันนั้นประชาชนได้ยินว่า "พระราชาทรงโทมนัสเพราะพระราชบุตร
ของพระองค์" 3 ในวันนั้นประชาชนได้แอบเข้ามาในเมืองอย่าง กับคนหนีศึก
แล้วอายแอบเข้ามา 4 พระราชาทรงคลุมพระพักตร์กันแสงเสียงดังว่า "โอ
อับซาโลมบุตรของเราเอ๋ย โอ อับซาโลมบุตรของเรา บุตรของเรา" 5 โย
อาบ ก็เข้ามาในพระราชวังทูลว่า "วันนี้ฝ่าพระบาทได้ทรงกระทำให้ข้าราชการ
ทั้งสิ้นของฝ่าพระบาท ผู้ซึ่งวันนี้ได้อารักขาพระชนม์ของฝ่าพระบาท ทั้งราช บุตรและราชธิดาและชีวิตของบรรดามเหสี และสนมทั้งหลายของฝ่าพระบาท ให้เขาได้รับความละอาย 6 เพราะว่าฝ่าพระบาททรงรักผู้ที่เกลียดชังฝ่าพระบาท และทรงเกลียดชังผู้ที่รักฝ่าพระบาท เพราะในวันนี้ ฝ่าพระบาทได้กระทำให้
ประจักษ์แล้วว่า ฝ่าพระบาทไม่ไยดีต่อนายทหารและบรรดาข้าราชการทั้งหลาย ในวันนี้ข้าพระบาททราบว่า ถ้าในวันนี้อับซาโลมยังมีชีวิตอยู่ และข้าพระบาท
ทั้งหลายก็ตายสิ้น ฝ่าพระบาทก็จะพอพระทัย 7 ขอฝ่าพระบาททรงลุกขึ้น ณ
บัดนี้ขอเสด็จออกไป ตรัสให้ถึงใจข้าราชการทั้งหลาย เพราะข้าพระบาท ได้ ปฏิญาณในพระนามพระเจ้าว่า ถ้าฝ่าพระบาทไม่เสด็จจะไม่มีชายสักคนหนึ่งอยู่ กับฝ่าพระบาทในคืนนี้ เรื่องนี้จะร้ายแรงยิ่งกว่าเหตุร้ายอื่นๆทั้งสิ้น ซึ่งบังเกิด แก่ฝ่าพระบาทตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์จนบัดนี้" 8 พระราชาก็ทรงลุกขึ้น ประทับ
ที่ประตูเมือง เขาไปบอกประชาชนว่า "ดูเถิด พระราชาประทับอยู่ที่ประตูเมือง" ประชาชนทั้งหลายก็มาเฝ้าพระราชา ฝ่ายอิสราเอลนั้นต่างคนต่างก็หนีไปยัง บ้านเรือนของตนหมดแล้ว
นักรบของดาวิด เสี่ยงชีวิตปกป้องกษัตริย์ กลับเดินคอตกด้วยความอาย วันแห่งชัยชนะกลับกลายเป็นวันแห่ง การคร่ำครวญ พวกทหารต้องค่อยๆแอบกลับเข้าเมือง เหมือนกับว่าไปทำผิดมา เหมือนได้เตะลูกโทษหน้า ประตู ห่างไปไม่กี่หลา แต่กลับเตะพลาด ทั้งๆที่ไม่น่าจะพลาด ทำให้ทั้งทีมตกรอบ พวกเขาคงรู้สึกอับอาย เมื่อต้องเดินออกจากสนาม กลับไปหาโค้ช น่าจะเป็นความรู้สึกเดียวกับที่ทหารของดาวิดรู้สึกในตอนนั้น
พระราชาร้องให้คร่ำครวญต่อการตายของอับซาโลม ท่านร้องซ้ำไปซ้ำมาว่า "โอ อับซาโลม บุตรของเรา โอ้ อับซาโลม บุตรของเรา บุตรของเรา!" โยอาบไม่ได้คิดจะไปร่วมร้องให้คร่ำครวญด้วย ที่จริงเขาทน แทบไม่ได้ด้วยซ้ำไป อยากให้หยุดๆเสีย เขาเข้าไปที่บ้าน ไม่ได้แสดงว่าเห็นอกเห็นใจดาวิด ในความคิดของ โยอาบ ดาวิดกำลังทำผิดใหญ่หลวงที่สุดในชีวิต เขายังต้องประสพเคราะห์ที่ยิ่งใหญ่กว่านี้ ที่ไม่เคยต้องเผชิญ มาก่อน
โยอาบตำหนิดาวิด ที่ทำให้ทุกคนที่หนีตามท่านออกจากเยรูซาเล็ม ต้องอับอาย ไม่ใช่แค่พวกทหารเท่านั้น ภรรยาและลูกๆ และนางสนมของท่านด้วย เพราะการตอบสนองของท่าน บ่งบอกว่าท่านกำลังต้องการให้ทุก คนรู้ว่า ท่านรักศัตรูมากกว่าเพื่อนหรือครอบครัว ท่านรักคนที่เกลียดชังท่าน มากกว่าคนที่รักท่าน ท่านไม่ใย ดีกับคนที่ยอมเสี่ยงตายเพื่อปกป้องท่าน โยอาบพูดอย่างตรงไปตรงมาที่สุด : สงสัยดาวิดคงอยากได้ยินว่า ทั้งกองทัพถูกฆ่าตายหมด แต่บุตรชายของท่านยังมีชีวิตอยู่ มากกว่าได้ยินว่าทั้งกองทัพมีชัย แต่บุตรชาย ของท่านสิ้นชีวิต
อันที่จริงโยอาบกำลังสั่งให้ดาวิดทำตาม ควรลุกขึ้น หยุดคร่ำครวญ และออกไปต้อนรับกองทัพที่ประตูเมือง รับนักรบที่เสี่ยงชีวิตเพื่อท่าน ถ้าท่านไม่รีบทำ โยอาบบอกว่าก่อนรุ่งสาง จะไม่มีทหารหลงเหลือเป็นพวกท่าน สักคนเดียว พระราชาทำตามที่โยอาบบอก ท่านไปที่ประตูเมือง และเมื่อทุกคนทราบ ก็รีบมาเข้าเฝ้าท่านใน ทันที ส่วนทหารที่ไปเข้าพวกกับอับซาโลม ต่างหนีตายกลับไปยังบ้านของตน สงครามยุติแล้ว ดาวิดได้ กลับมาเป็นกษัตริย์อิสราเอลอีกครั้งหนึ่ง
พระธรรมตอนนี้มีเรื่องให้เราเรียนรู้มากมาย ผมเชื่อว่ามีบางสิ่งที่เราสามารถเรียนได้จากแต่ละคนในเรื่อง ผมขอ พูดถึงสักสองสามเรื่อง
เรื่องแรก เราเรียนรู้ได้จากสองตัวร้ายในเรื่อง อับซาโลม และอาหิโธเฟล ทั้งคู่เคยเป็นที่สนิทสนม กับดาวิดมาก่อน ทั้งคู่เลือกจะกบฎต่อดาวิด หมายโค่นล้มราชบัลลังก์ ทั้งคู่คงไม่ใช่คนดีนัก ไม่ใช่คนที่เชื่อ ฟังและทำตามพระบัญญัติ ทั้งคู่ไม่รู้สึกอะไรเลย ที่ยื่นมือไปแตะต้องกษัตริย์ที่พระเจ้าเจิมไว้ ทั้งคู่จบชีวิตลง อย่างน่าสังเวชใจ ทั้งคู่คงต้องเคยเห็นพระหัตถ์ของพระเจ้าที่ทำการผ่านดาวิด ในฐานะกษัตริย์ของพระองค์ ทั้งคู่ยินดีที่จะได้กำจัดท่านออกไป เพื่อจัดตั้ง "อาณาจักร" ของตนเองขึ้น ทั้งคู่เป็นเหมือนมาร และเหมือน อาดัมกับเอวา คือเลือกที่จะไม่ยอมเล่นบทรอง พวกเขาคิดว่าตราบใดที่ดาวิดปกครองอยู่ ชีวิตของพวกเขา ไม่มีทางได้ดี ดังนั้นควรฉกชิงมาให้ได้ตามใจปรารถนา
ทั้งสองคนนี้ อับซาโลมและอาหิโธเฟล ล้มเหลวในการตอบคำถามที่สำคัญที่สุดในชีวิต : "เราจะปรนนิบัติ กษัตริย์องค์ใด?" อับซาโลมและอสหิโธเฟลไม่อยากได้ดาวิดมาเป็นกษัตริย์ ทั้งคู่ต้องการเป็นกษัตริย์ทีปก ครองเหนือชีวิตตนเอง แต่เมื่อปฏิเสธดาวิดในฐานะกษัตริย์ พวกเขาก็ปฏิเสธกษัตริย์ของพระเจ้า จึงเท่ากับ ก่อการกบฎต่อพระเจ้า คนทั้งคู่มีความรู้ความสามารถ แต่ที่สุดแล้ว ความสามารถนั้นไม่เกิดผลเพื่อชีวิตนิรันดร์
คำถามนี้ไม่เคยเปลี่ยนครับ เป็นคำถามก่อนที่จะมีการจัดตั้งกษัตริย์ของอิสราเอล และยังเป็นอยู่จนทุกวันนี้ อาดัมและเอวา ปฏิเสธไม่ให้พระเจ้าเข้ามาสิทธิครอบครองสูงสุดในชีวิตของพวกเขา แต่กลับแสวงหาวิธี ที่ จะอยู่เหนือพระองค์ คนอิสราเอลปฏิเสธไม่ให้พระเจ้ามาเป็นกษัตริย์ปกครอง พวกเขาเรียกร้อง ขอมีกษัตริย์ ที่เป็นมนุษย์เหมือนชาติอื่นๆ (ดู 1 ซามูเอล 8:7) อับซาโลม อาหิโธเฟล และอีกหลายๆคน ที่ก่อกบฎ ต่อ ดาวิด ปฏิเสธไม่ยอมรับกษัตริย์ของพระเจ้า เมื่อพระเยซูคริสต์เสด็จมาบนโลก พระองค์มาในฐานะผู้ครอบ ครองบัลลังก์ของบรรพบุรุษ คือกษัตริย์ดาวิด พระองค์มาในฐานะกษัตริย์ที่พระเจ้าเจิมไว้ แต่กมนุษย์กลับ ปฏิเสธว่าพวกเขาไม่มีกษัตริย์อื่นใด เว้นแต่ซีซาร์ พระเยซูถูกปฏิเสธเมื่อเสด็จมาครั้งแรก ว่าไม่ใช่เป็นกษัตริย์ อิสราเอล เพื่อพระองค์จะทรงแบกรับโทษความบาปของพวกเรา และเตรียมหนทาง ให้เราเข้าสู่อาณาจักร ของพระองค์ได้ ทุกคนที่รับของประทานแห่งการอภัยบาป และชีวิตนิรันดร์ จะได้ครอบครองร่วมกับพระองค์ ตลอดนิรันดร์ พระองค์จะเสด็จกลับมาอีก มาปราบศัตรูลงให้หมดสิ้น และจัดตั้งพระราชบัลลังก์ของพระองค์ บนโลกนี้ ทุกคนที่ต้อนรับพระองค์ ว่าเป็นหนทางความรอดที่องค์พระผู้เป็นเจ้าจัดเตรียมไว้ ว่าเป็นกษัตริย์ ผู้ครอบครอง คนที่ปฏิเสธของประทานสำหรับความรอดนี้ ก็เท่ากับปฏิเสธว่าพระเยซูไม่ได้เป็นกษัตริย์ และ เมื่อพระองค์เสด็จกลับมาอีกครั้ง มนุษย์ทุกคนจะก้มลงกราบพระองค์ ในฐานะกษัตริย์ของพระเจ้า แต่เฉพาะ ผู้ที่ต้อนรับพระองค์เป็นพระผู้เช่วยเท่านั้น จะมีส่วนเข้าในแผ่นดินของพระองค์ ใครเป็นกษัตริย์ของคุณครับ? เป็นคำถามที่สำคัญที่สุดในชีวิตทีเดียวคุณนะครับ
เรื่องที่สอง เราเรียนรู้ได้จากโยอาบ เราอาจเถียงกันว่า โยอาบเป็นผู้ลงมือฆ่าอับซาโลมหรือไม่ โดยขัด คำสั่งดาิวิด หรือว่าอับซาโลมตายเอง ผมคิดว่าที่โยอาบตำหนิกษัตริย์ เรื่องการตอบสนองต่อการตายของ อับซาโลมนั้น ค่อนข้างถูกต้อง โยอาบเป็นผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาของดาวิด แต่เขาทำถูกที่ตำหนิดาวิด บางครั้ง ต้องมีการตักเตือนกันในแบบของพระคัมภีร์ เมื่อมีบาปเกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นผู้ที่มีอาวุโสกว่าหรือไม่ก็ตาม แต่ เราต้องทำด้วยการอธิษฐานอย่างรอบคอบและระมัดระวัง เพื่อการตักเตือนจะเป็นไปอย่างเกิดผล
นอกจากนั้น พระธรรมตอนนี้สอนเราให้ยอมรับคำตักเตือนจากคนที่ด้อยหรืออ่อนอาวุโสกว่า เราสามารถพูด วิพากษ์วิจารณ์การกระทำของโยอาบ แต่ความจริงก็คือ เขาทำถูก ที่กล่าวตักเตือนดาวิด ทุกวันนี้ เรามีเรื่อง พูดคุยกันมากมาย เรือง "การเลี้ยงดูผู้อื่น" และ "การเป็นผู้ให้คำปรึกษา" เราชอบคิดเอาเองว่า เรามีพี่เลี้ยง ของเรา เรามีคนคอยให้คำปรึกษา ซึ่งก็มีความจริงอยู่บ้าง แต่ก็มีสิ่งที่ต้องแก้ใขอีกมาก ประเด็นของผมคือ เราไม่ควรจำกัดคำปรึกษาอยู่เฉพาะในรายชื่อที่เราต้องการเท่านั้น ศัตรูของเรา บางครั้งก็เป็น นักวิจารณ์ที่ดี ที่สุด เพราะเขาไม่เกรงใจเรา ไม่กลัวว่าเราจะโกรธ ไม่สนใจด้วยว่าเราจะคบเขาหรือไม่ พวกเขาอาจพูดในสิ่ง ที่ "เพื่อนสนิท" ของคุณไม่กล้าพูด โยอาบตำหนิดาวิด ดาวิดยอมฟัง และเรียนรู้ ขอให้เราเรียนจากคนที่เรา ไม่ชอบหน้า หรือจากคนที่ไม่ชอบหน้าเราด้วย
เรื่องที่สอง ให้เราเรียนจากมุมมองในการสูญเสียของดาวิด โยอาบทำถูก ที่กล่าวตักเตือนดาวิด เพราะ ดาวิดกำลังสับสนไปหมด คำพูดของโยอาบ ที่บอกว่าดาวิดรักศัตรู และเกลียดชังเพื่อน มัวแต่ไปห่วงใยสวัสดิ ภาพของศัตรู มากกว่าความมั่นคงของประเทศชาติ ที่เขาปกครองอยู่ตามที่พระเจ้ากำหนด ดาวิดห่วงใยคน เพียงคนเดียว หลงลืมละเลยคนอื่นไปหมดสิ้น งานนี้ดาวิดผิดและโยอาบถูก
ดาวิดทำไม่ถูกที่ออกคำสั่งให้เพลาๆมือกับอับซาโลม อับซาโลมน่าจะตายไปตั้งหลายหนแล้ว น่าจะตาย ตั้งแต่คิดวางแผนฆ่าอัมโนน เพราะฝ่าฝืนกฎหมาย น่าจะตายเมื่อคิดกบฎต่อราชบัลลังก์ของบิดา (ตั้งแต่ก่อน พระธรรมตอนนี้) และน่าจะตายตั้งแต่คิดมักใหญ่ใฝ่สูง แสวงฆ่าผู้ที่พระเจ้าเจิมไว้ เพื่อตั้งตนขึ้นเป็นแทน ดาวิด คิดได้อย่างไร ที่ส่งกองทัพออกไปสู้กับกองทัพของอับซาโลม โดยไม่ให้ต่อสู้กับอับซาโลม? ดาวิดเคยใช้ อำนาจในทางที่ผิด ทำให้ผู้ชอบธรรม (เช่นอุรียาห์) ต้องตายลง ตอนนี้ท่านกำลังใช้อำนาจ ในฐานะกษัตริย์ ไว้ชีวิต ผู้ก่อกบฎที่ต้องโทษถึงตาย สามัญสำนึกของดาวิดยุ่งเหยิงตีกันไปหมด ต้องใช้ความหลักแหลมของ โยอาบมาตักเตือน และนำท่านให้คืนสู่สภาพปกติให้ได้
ผมอยากจะบอกว่า สามัญสำนึกของดาวิดอาจสับสนยุ่งเหยิงในตอนนั้น ซึ่งอาจเกิดกับเราได้ในตอนนี้ เพียงแต่เราไม่รู้ตัว ตัวอย่างเช่น เรารู้ดีว่าโลกนี้ และทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัว จะพินาศสูญสิ้นไปได้ภายใน พริบตา แต่เราก็ยังเร่งสะสมมันไว้ให้เยอะๆ เราเร่งสะสมสมบัติในโลก มากกว่าสะสมสมบัติแห่งแผ่นดิน สวรรค์ เรารู้ดี (ด้วยปัญญา) ว่า คนที่หลงหายจะพินาศในบึงไฟนรก ตัดขาดจากพระเจ้า แต่เราก็ยังไม่ คิดจะบอกกับคนเหล่านั้น ไม่คิดจะไปแบ่งปันข่าวประเสริฐ (คือ "ข่าวดี") กับพวกเขา คุณว่าเรามีสามัญ สำนึกและทัศนคติพอๆกับดาวิดในตอนนั้นมั้ยครับ?
เรามองเห็นว่าดาวิดเห็นแก่สวัสดิภาพของบุตร มากกว่าสวัสดิภาพของคนอื่น ไม่ว่าจะเป็นคนในครอบครัว ของท่านเอง หรือประชาชนอิสราเอลทั้งชาติ ในกรณีนี้ ดาวิดกำลังให้ความสำคัญกับ "ครอบครัว" เหนือ สิ่งอื่นใดหรือเปล่า? ดาวิดไม่ยอมจัดการกับความบาปของบุตร อย่างที่เขาสมควรได้รับหรือเปล่า? ดาวิด พยายาม "ช่วยเหลือ" บุตรให้พ้้นผิด เหมือนกับที่เรา ไม่พยายามแก้ใข ลูกที่ดื้อดึงไม่เชื่อฟัง เพราะกลัวว่า เขาจะไม่รักเราเหรือเปล่า? เราปฏิเสธการลงวินัยสมาชิกที่ทำผิด ด้วยกลัวว่าเขาจะหลงหาย หรือไม่ได้ ความช่วยเหลือบางด้านจากเขาอีกหรือเปล่า? ขอให้เราเรียนรู้จากดาวิดว่า สามัญสำนึกเราบางทีก็หดหาย ไปได้อย่างรวดเร็ว โดยไม่ทันรู้ตัว หนทางเดียวที่จะระวังรักษาสามัญสำนึกและทัศนคติของเราให้ถูกต้อง คือให้พระคำเข้ามาคอยหล่อหลอมจิตใจ ให้เรามีกรอบความคิดในแบบของพระเจ้า เพราะเราศึกษาพระวจนะ ขอให้เราเป็นผู้ที่มีพระคำในใจ เพื่อจะมีมุมมองและทัศนติแบบเดียวกันกับพระเจ้า
ท้ายที่สุด เราเรียนรู้มากมายจากควมทุกข์ของดาวิด ช่วงเวลานั้นเป็นช่วงเวลาที่มืดมนที่สุดในชีวิตของ ดาวิด ผมคงไม่สามารถอธิบายถึงความทุกข์ใจที่ดาวิดแบกอยู่ ผมขอใช้คำว่ากดดันแทน ผมเชื่อว่ามีคริส เตียนอีกหลายคนที่อยู่ในภาวะกดดัน ผมขอพูดต่อไปว่า คริสเตียนอาจอยู่ในภาวะกดดันได้ โดย "ไม่ได้ ทำบาป" แต่การกดดันบางทีก็เป็นเพราะบาป (ซึ่งเป็นสาเหตุบางส่วนที่ดาวิดต้องเผชิญ) การกดดันบาง อย่างก็เกิดจากผลของบาปโดยตรง ซึ่งแปลว่าเราเลือกที่จะเข้าไปสู่ภาวะกดดันเอง ทั้งๆที่รู้ถึงรากปมของมัน ผมคงไม่ขอเจาะลึกมากนักเรื่องความกดดัน ที่เกิดจากความบาป ทั้งนอกและในตัวของมันเอง
หลายปีมาแล้ว มีผู้รับใช้อาวุโสท่านหนึ่ง ยืนขึ้นในระหว่างการนมัสการ อ่านพระธรรมตอนที่พระเยซูอธิษฐาน อยู่ในสวนเกทเสมนี เขากล่าว (ที่จริงเขาอ่านจากฉบับแปลใหม่ล่าสุด) ว่าพระเยซูทรงอยู่ในสภาวะกดดัน ผมทำเรื่องขายหน้าครับ ด้วยการยืนขึ้นและโต้เถียงกับผู้รับใช้ท่านนั้น ผมบอกเขาว่าความกดดันเป็นบาป เพราะฉะนั้นไม่มีทางเป็นได้ ที่พระเยซูจะอยู่ภายใต้ความกดดัน เราอยู่ในภาวะกดดันได้โดยไม่ทำบาป ผมเชื่อ ว่าดาวิดรู้สึกกดดัน และเพราะความกดดันนี้เอง ที่ทำให้ความคิดจิตใจของท่าน สับสนจนทำอะไรไม่ถูก
สิ่งที่ผมอยากให้คุณสังเกตุดู คือพระเจ้าทรงไว้ชีวิตดาวิด และประทานชัยชนะเหนืออับซาโลมให้ ถึงแม้ดาวิด จะรู้สึกกดดัน ถึงแม้ท่านจะออกคำสั่ง ไม่ให้ทหารทำร้ายอับซาโลม พระประสงค์และแผนการของพระเจ้า ไม่มี วันล้มไปเพราะความบาป และแน่นอนไม่ใช่เพราะความกดดัน มีบางเวลา บางโอกาสที่ความเชื่อของดาวิด ตก ต่ำลงจนถึงขีดสุด สิ่งนี้เป็นตัวการขัดขวางพระประสงค์ของพระเจ้าได้หรือ? ไม่มีทางครับ!
ผมพูดเรื่องนี้ขึ้นมาเพราะมีเหตุผลสำคัญมาก มีการสอนและเสนอแนวคิดกันอย่างแพร่หลายในคริสตจักร ว่าพระเจ้าไม่สามารถทำการของพระองค์ภายใต้ความกดดันได้ คำสอนในเรื่องความคิดเชิงบวกของทุกวันนี้ เป็นตัวการด้วย คือสอนว่าถ้าเรามองในแง่ดี สิ่งดีต่างๆก็จะตามมา ถ้าเรามีแนวโน้มคิดในเชิงร้าย เรากำลังมี ปัญหา นี่คือสิ่งที่สอนกันอยู่ในปัจจุบัน ฟังดูเป็นแนวคริสเตียนดี คล้ายกับว่าถ้าเรามีความเชื่อพอ พระเจ้าจะ กระทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่เพื่อเรา ถ้าเราขาดความเชื่อ เราจะได้รับผลแห่งความทุกข์และความโศกเศร้า
มีมุมมองที่ผิดอยู่มากมายในคำสอนนี้ เราให้ความสำคัญในเรื่องพระพรกับตัวเราเองมากไป เราเอาพระพร ของพระเจ้ามาบวกเข้ากับความเชื่อ กับการเชื่อฟัง และการมีทัศนคติที่ดี แต่พอต้องเผชิญความกดดัน (ซึ่ง ต้องมีมาแน่) เราไม่มีความหวังในคำสอนนั้นหลงเหลืออยู่เลย เราคิดว่าพระเจ้าไม่สามารถทำการใดๆได้ เมื่อเราอยู่ในภาวะกดดัน ดังนั้นเราจึงต้องมีความเชื่อเต็มเปี่ยม และมีสันติสุขอยู่ตลอดเวลา บ่อยครั้งที่ คริสเตียนหลอกตนเองและคนรอบข้าง ว่ามีสันติสุข มีความชื่นชมยินด ีและมีความเชื่ออยู่เต็มเปี่ยม เพราะ คนรอบข้างคาดหวังจากเรา ในขณะนั้น ดาวิดไม่มีสันติสุข ไม่มีความชื่นชมยินดี หรือมีความเชื่อเหลืออยู่เลย ท่านอยู่ในภาวะที่จิตใจตกต่ำที่สุด ถึงกระนั้นก็ตาม พระเจ้าทรงทำให้พระประสงค์ และพระสัญญาของพระ องค์สำเร็จไป ทั้งๆที่ดาวิดอยู่ในภาวะสับสนที่สุด พระเจ้าทรงจัดเตรียมเพื่อนในยามยากให้ดาวิดหลายคน พระองค์ทรงให้หุชัย ไปทำให้คำปรึกษาของอาหิโธเฟลฟั่นเฝือไป ทรงใช้โยอาบไปกำจัดอับซาโลมและเป็นผู้ ไปตักเตือนดาวิด พระเจ้าทรงทำงานภายในชีวิตของดาวิด ไม่ใช่เพราะท่านมีความเชื่ออยู่เต็มเปี่ยม มีความ ชื่นชมยินดี และมีความหวังอยู่ในตอนนั้น แต่เป็นเพราะพระองค์ทรงสัตย์ซื่อในพระสัญญาของพระองค์
ผมขอเจาะลึกเรื่องความกดดันนี้ออกไปอีกหน่อย หลายครั้งคนที่กำลังมีความกดดัน มุมมองของเขาจะผิด ปกติ -- พวกเขามองบางอย่างในชีวิตไม่ออก แต่ก็มีบางครั้ง ที่ความกดดันช่วยทำให้เราเข้าใจชีวิตได้ดีขึ้น เรามีความมั่นใจในตัวเองมากเกินหรือเปล่า มั่นใจว่าเรามีความสามารถ มีความชอบธรรม และมีความเชื่อใน แบบของตัว? คุณเชื่อมั้ยว่า ความกดดันจะกวาดทุกสิ่งที่คุณมั่นใจนี้ไปได้หมด? คนที่มีความเชื่อมั่นในตนเอง สูง มีความสุขมาก ประสพความสำเร็จในแทบทุกเรื่อง มักหลอกตนเองถึงแหล่งที่มาของสิ่งเหล่านี้ ดาวิดมอง เห็นชีวิตชัดเจนเมื่อท่านอยู่บนยอดหอคอยของความสำเร็จ มากกว่าเมื่อท่านดำดิ่งลงสู่ความอัปยศ ดาวิดไม่ อาจวางใจในตนเองได้ในสภาพที่สิ้นหวัง สิ่งเดียวที่ท่านทำได้คือมอบวางไว้ที่องค์พระผู้เ็ป็นเจ้า พักพิงและ มีความหวังในพระองค์
ผมได้กล่าวไปแล้วว่า พระเจ้าทรงทำงานในชีวิตของดาวิดมากในช่วงที่ท่านอยู่ภายใต้ความกดดัน ผมขอบอก ต่อไปอีกว่า พระเจ้าทรงทำงานผ่านชีวิตของท่านในภาวะกดดันมากเช่นกัน ผมไม่อาจหาข้อพิสูจน์มาสนับ สนุนสิ่งที่พูดนี้ได้ แต่ผมจินตนาว่าพระธรรมสดุดีของดาวิดหลายๆบท ถูกเขียนขึ้นจาก "ปลักแห่งความระทม" หลายบทเขียนขึ้นในยามสิ้นหวัง ขณะที่ดาวิดพูดถึงความกลัว ความสิ้นหวัง ความกดดันที่มีต่อพระเจ้า ท่าน กลับพบความหวัง รับการช่วยเหลือ เมื่อท่านระลึกถึงพระเจ้าที่ท่านกำลังทูลขออยู่ ในขณะที่เขียนพระธรรม สดุดีนี้ ดาวิดได้ช่วยเหลือผู้อื่นผ่านความสิ้นหวังของท่าน บ่อยครั้ง ขณะที่เราคร่ำครวญ เรามีทุกข์ เราจะมอง เห็นชีวิตชัดเจนขึ้น วางใจในพระเจ้ามากยิ่งขึ้น ถ้าเป็นเช่นนี้ การทนทุกข์ และความกดดันต่างๆ ก็น่าจะเป็น มิตรยิ่งกว่าเป็นศัตรู สิ่งใดก็ตาม ที่นำเราเข้าใกล้พระเจ้ามากยิ่งขึ้น คือมิตรแท้ของเรา
ผมแน่ใจว่าขณะที่ผมพูดเรื่องราวเหล่านี้ ผมกำลังพูดอยู่กับคนที่กำลังอยู่ภายใต้ความกดดันบางประการ บาง คนอาจไม่รู้ตัว และไม่อยากยอมรับ อาจเป็นเพราะบางคน ผมก็ด้วย ที่ไปคิดว่าความกดดันคือความบาปอย่าง หนึ่ง และคุณไม่อยากรู้สึกผิดเพราะความบาปนี้ แต่ก็มีหลายคนอยู่ท่ามกลางการกดดัน และยอมรัับได้ หลาย คนอายที่จะยอมรับ และไม่กล้าแบ่งปันให้คนอื่นฟัง ผมขอบอกอย่างง่ายๆว่า พระเจ้าทรงทำงานในชีวิตของ ดาวิด ไม่ว่าท่านจะอยู่ในสภาพใด ในสภาพกดดัน พระองค์ก็ทรงทำได้
ผมขอจบลงด้วยคำตรัสขององค์พระเยซูคริสต์:
1 ครั้นทอดพระเนตรเห็นคนมากดังนั้น พระองค์ก็เสด็จขึ้นไปบนภูเขาและ
เมื่อประทับแล้ว เหล่าสาวกของพระองค์มาเฝ้าพระองค์ 2 แล้วพระองค์
จึงตรัสสอนเขาว่า 3 "บุคคลผู้ใด รู้สึกบกพร่องฝ่ายวิญญาณ ผู้นั้นเป็นสุข เพราะแผ่นดินสวรรค์เป็นของเขา 4 "บุคคลผู้ใดโศกเศร้า ผู้นั้นเป็นสุข เพราะว่าเขาจะได้รับการทรงปลอบประโลม (มัทธิว 5:1-4)
28 บรรดาผู้ทำงานเหน็ดเหนื่อยและแบกภาระหนัก จงมาหาเรา และเรา
จะให้ท่านทั้งหลาย หายเหนื่อยเป็นสุข 29 จงเอาแอกของเราแบกไว้
แล้วเรียนจากเรา เพราะว่าเราสุภาพและใจอ่อนน้อม และจิตใจท่านทั้ง
หลายจะได้พัก 30 ด้วยว่าแอกของเราก็พอเหมาะ และภาระของเราก็เบา"
(มัทธิว 11:28-30)
85 ผมอดคิดไม่ได้ว่า แผนการที่ขยายกองกำลังของอับซาโลมให้ยิ่งใหญ่ กลับกลายเป็นอุปสรรคอย่างใหญ่ หลวงต่อการรบ คนของดาวิดล้วนแล้วแต่เป็นนักรบที่เก่งกล้าและชำนาญการศึก เคยร่วมรบกับท่านมาในอดีต สิ่งที่กองทัพของอับซาโลมต้องเผชิญคือ นักรบที่ชำนาญทั้งการรบ และพื้นที่ กองกำลัง "อาสาสมัคร" ที่จะ ไปกับอับซาโลมนี้ ไม่ชำนาญการรบ ขาดประสบการณ์ และขาดวินัย เมื่อมีผู้นำคนใหม่ อ่อนประสบการณ์ เหมือนกับน้องน้อยในวงการ ที่ด้อยคุณภาพทั้งตัวผู้นำและผู้ตาม แถมไม่เคยผ่านฝึกซ้อมมาก่อน
86 บาฮูริมอยู่ไม่ไกลจากเยรูซาเล็ม เป็นที่ซึ่งพัลทิเอล สามีคนที่สองของมีคาลได้รับอนุญาติให้มาส่งได้ (2 ซามูเอล 3:14-16) อีกทั้งยังเป็นบ้านของชิเมอี คนที่สาปแช่งเอาหินปาดาวิด ตอนกำลังอพยพออกจาก เยรูซาเล็ม
87 นอกจากที่เราคิดว่าผมของอับซาโลมเกี่ยวติดกับต้นไม้แล้ว ในพระคัมภีร์บอกว่าศีรษะของเขาติดกิ่งต้นก่อ แน่น ถ้าใครอยู่ในเหตุการณ์ จะเห็นว่าอับซาโลมติดแน่นจนดิ้นไม่หลุด ถ้าไม่มีใครไปเห็นเข้า เขาคงต้องตาย อยู่ดีเพราะถูกป่ากิน ไม่จำเป็นที่คนของดาวิดต้องลงไม้ลงมือ
พระธรรมตอนนี้ทำให้ผมนึกถึงถนนไปค่ายฝึกมิชชันนารี่ที่ประเทศอินเดีย หนทางเลี้ยวลดหักมุมจนผมนึกว่า จะไปไม่รอดเสียแล้ว ดาวิดทำบาปล่วงประเวณีกับนางบัทเชบา และฆ่าสามีนางทิ้ง (โดยฝีมือของโยอาบ เจ้าเก่า ซึ่งเป็นตัวเอกของพระธรรมตอนนี้) พระเจ้าพิพากษาลงโทษดาวิดผ่านนาธันผู้เผยพระวจนะ ดาวิด สำนึกในบาปและกลับใจ ถึงกระนั้นผลของมันก็ตามติดไปอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เริ่มด้วยลูกสาวของท่าน ทามาร์ถูกข่มขืน โดยพี่ชายต่างมารดา อัมโนน อััมโนนเองก็ถูกพี่ชายต่างมารดาคืออับซาโลมฆ่าตาย อับซาโลมหนีไปซ่อนตัวที่เมืองเกชูร์ ซึ่งปู่ของเขา ทัลมาอีเป็นผู้ปกครองอยู่ ด้วยการวางแผน เข้าแทรก แซงของโยอาบ ดาวิดจำยอม อนุญาติให้อับซาโลมกลับสู่เยรูซาเล็ม หลังจากนั้นไม่นาน อับซาโลมก็เริ่ม เลื่อยขาราชบัลลังก์ ทำดาวิดเสื่อมเสียชื่อเสียง จนที่สุดก่อการกบฎ ดาวิดต้องอพยพลูกเมียหนีออกจาก เยรูซาเล็ม เข้าไปในถิ่นทุรกันดาร พระเจ้าทรงไว้ชีวิตท่าน ประทานชัยชนะให้แก่กองทัพของท่าน และให้ โยอาบเป็นผู้กำจัดอับซาโลม ทั้งๆที่ดาวิดเองออกคำสั่งห้ามไม่ให้ผู้ใดแตะต้อง
บัดนี้ดาวิดพร้อมแล้ว ที่จะกลับคืนสู่เยรูซาเล็ม กลับไปปกครองประเทศอิสราเอลอีกครั้งหนึ่ง ไปกอบกู้ชื่อ เสียงกลับคืน (ไปเอาหนามออกจากเนื้อ) ดาวิดปลดโยอาบออกจากผู้บัญชาการรบ ตั้งอามาสาขึ้นแทน ดูเหมือนอนาคตทางทหารของโยอาบดับวูบไปแล้ว แต่ทว่าตอนจบบท กลับกลายเป็นว่าอามาสาต่างหาก ที่ดับวูบ โดยฝีมือของโยอาบ แล้วโยอาบก็ได้กลับมานั่งในตำแหน่งเดิมอีกครั้ง ใครเล่าจะไปคาดคิด?
เรื่องไม่ได้จบลงอย่างง่ายๆ เมื่อดาวิดถูกบังคับให้หนีออกจากเยรูซาเล็มเพราะอับซาโลมก่อกบฎ อับซาโลม ไม่สามารถแย่งชิงบัลลังก์ไปได้ เขาทำตัวเป็นกษัตริย์ได้เพียงสองสามวัน ก็พ่ายแพ้ไปในสงคราม ถูกโยอาบ ฆ่าตาย ดาวิดถูกเชิญให้กลับเยรูซาเล็ม เพื่อไปปกครองประเทศอิสราเอลอีกครั้ง แต่ระหว่างทางจากแม่น้ำ จอร์แดนสู่เยรูซาเล็ม เกิดการปะทะกันขึ้น ระหว่างชนเผ่ายูดาห์ (เผ่าของดาวิด) และเผ่าที่เหลือของอิสราเอล เชบาเป็นผู้เริ่มปลุกปั่น ทำให้คนอิสราเอลที่เหลือต่างละทิ้งดาวิด กลับไปยังบ้านเรือนของตน เหมือนโชค ชะตาหักเห (ภาษาชาวโลกครับ) เชบาถูกไล่ล่า ไปจนมุมที่เมืองป้อมแห่งหนึ่ง หญิงมีสติปัญญาที่อาศัย อยู่ในเมืองนั้น เข้ามาช่วยจัดการ ให้เชบาถูกสังหาร และเมืองนั้นก็รอดปลอดภัย อิสราเอลกลับมาคืนดี กันอีกครั้ง เราสามารถสรุปเหตุการณ์ทั้งหมดได้ดังต่อไปนี้ : (1) ดาวิดเป็นกษัตริย์ ; (2) ดาวิดไม่ได้เป็น กษัตริย์ ; (3) ดาวิดถูกเชิญให้กลับมาเป็นกษัตริย์อีก; (4) อาณาจักรของดาวิดแตกแยก; (5) อาณาจักรของ ดาวิดมารวมกันอีกครั้งหนึ่ง
เหตุการณ์รุนแรงที่เกิดขึ้นอย่างชนิดเลือดท่วมจอนี้ ถ้าเป็นในปัจจุบัน กบว.คงจัดอันดับเรท "อาร์" ให้โยอาบ ที่ใช้มีดแทงอามาสาอย่างโหดเหี้ยม ใส้ทะลักลงมากองบนพื้นถนน ; ทหารในกองทัพของดาวิดหยุดดูศพ ที่ นอนจมกองเลือดอยู่ แลัวมาจบลงที่หัวของเชบาถูกตัดขาด ขว้างข้ามกำแพงเมืองมา เพื่อให้โยอาบและทหาร ที่ติดตามได้เห็น
เรื่องแบบนี้เหมาะจะเอาไปทำหนังนะครับ ไม่ใช่แค่ทำหนังอย่างเดียว แต่เป็นเรื่องที่เราต้องอ่านอย่างรอบคอบ ด้วย เป็นเรื่องประวัติศาสตร์ของศาสนา ; เป็นประวัติศาสตร์ที่ผู้เผยพระวจนะท่านหนึ่ง ต้องจับปากกามาบันทึก เอาไว้ เป็นเรื่องราวที่ถูกถ่ายทอดมาให้เรารับรู้และพยายามหลีกเลี่ยง ขอให้เราเข้าสู่บทเรียนด้วยใจที่คาดหวัง รับฟัง และปฏิบัติตาม ในสิ่งที่พระเจ้าทรงถ่ายทอดมาถึงเราแต่ละคน ผ่านพระธรรมตอนนี้
9 ประชาชนทั้งสิ้นก็หมางใจกันไปทั่วอิสราเอลทุกเผ่า กล่าวว่า "พระราชาเคยทรง
ช่วยกู้เรา ให้พ้นจากมือศัตรูของเรา และทรงช่วยเราให้พ้นจากมือคนฟีลิสเตีย บัดนี้ พระองค์ทรงหนีอับซาโลมออกจากแผ่นดิน 10 แต่อับซาโลมผู้ที่เราเจิมตั้งไว้เหนือเรา นั้นก็สิ้นชีวิตเสียแล้วในสงคราม ทำไมเจ้าไม่พูดอะไรบ้างเลยในเรื่องที่จะเชิญพระราชา ให้เสด็จกลับ"
เป็นเรื่องยากที่พวกเราซึ่งอยู่ในประเทศประชาธิปไตย จะเิข้าใจถึงสถานการณ์ที่ชาวอิสราเอลในยุคนั้นกำลัง เผชิญ ตอนที่ปธน. ยอห์น เอฟ เคเนดี้ถูกยิง ปธน. ลินดอน ยอห์นสันต้องเข้าพิธีสาบานตนขึ้นเป็นประธานา ธิบดีในทันที เพื่อรับผิดชอบงานต่อ ระบอบประชาธิปไตยของเรา เขียนขั้นตอนในการปฏิบัติไว้อย่างชัดเจน แต่เมื่อกษัตริย์จบสิ้นชีวิตลง ประชาชนจะทำอย่างไร? คงมีการวิวาทถกเถียง ชี้หน้ากล่าวหากันไปมาใน อิสราเอล ต่างฝ่ายต่างก็สาดโคลนใส่กัน และเกี่ยงกันว่าใครควรจะรับผิดชอบจัดการ ดาวิดเป็นกษัตริย์มาก่อน เมื่อท่านหนีออกจากบ้านเมืองไป ประชาชนมาเจิมตั้งอับซาโลมขึ้นแทน แต่ตอนนี้ อับซาโลมตายไปแล้ว มีการคาดเดาและสรุปกันว่า ดาิวิดน่าจะกลับมาปกครองใหม่ แต่ว่าจะทำได้อย่างไร? ด้วยวิธีใด? เริ่มอย่าง ไร? และใครควรจะเป็นคนทำ? มีการถกเถียงกันอย่างมากมายในเรื่องนี้
มีข้อเท็จจริงอีกข้อที่ต้องนำมาพิจารณา สำหรับปัญหาที่กำลังเกิดขึ้น -- คนกลุ่มเดียวกันนี้ คือคนที่ให้การสนับ สนุนอับซาโลม กลุ่มคนที่ไม่เห็นด้วย จนต้องมาถกเถียงกัน คือประชาชนอิสราเอลที่เหลืออยู่ในแผ่นดิน พวก เขาไม่ได้ให้การสนับสนุน หรือช่วยเหลือดาวิดเมื่อท่านหนีเข้าไปในถิ่นทุรกันดาร คนพวกนี้ไม่ต้องการให้ ดาวิดเป็นกษัตริย์ แต่ดูเหมือนเป็นเรื่องเลี่ยงไม่ได้ ที่ดาวิดจะกลับมาปกครองอีก ใครอยากจะยื่นมือไปช่วย คนที่ตนเองปฏิเสธล่ะ? คนที่ตัวเองเคยหักหลังมาก่อน ดูเหมือนอิสราเอลกำลังมีปัญหาเรื่องผู้นำครับ
11 กษัตริย์ดาวิดทรงใช้คนไปหาศาโดกและ อาบียาธาร์ปุโรหิต รับสั่งว่า "ขอบอกพวกผู้ใหญ่ของคนยูดาห์ว่า 'ทำไมท่านทั้งหลายจึงเป็นคนสุดท้าย ที่จะเชิญพระราชากลับพระราชวังของพระองค์ เมื่อถ้อยคำเหล่านี้มาจาก
อิสราเอลถึงพระราชา ที่จะเชิญพระองค์ให้กลับพระราชวังของพระองค์
12 ท่านทั้งหลายเป็นญาติของเรา เป็นกระดูกและ เนื้อหนังของเรา ทำไม ท่านจึงจะเป็นคนสุดท้ายที่จะเชิญพระราชากลับ' 13 และจงบอกอามาสาว่า 'ท่านมิได้เป็นกระดูกและเนื้อหนังของเราหรือ ถ้าท่านมิได้เป็นผู้บังคับบัญชา
กองทัพแทน โยอาบสืบต่อไป ขอพระเจ้าทรงลงโทษเรา และยิ่งหนักกว่า
นั้นอีก'" 14 ท่านก็ได้ชักจูงจิตใจของ บรรดาคนยูดาห์ดังกับเป็นจิตใจของ
ชายคนเดียว เขาจึงส่งคนไปทูลพระราชาว่า "ขอฝ่าพระบาทเสด็จกลับพร้อม
กับบรรดาข้าราชการ ทั้งหลายด้วย" 15 พระราชาก็เสด็จกลับ และมายัง
แม่น้ำจอร์แดน และยูดาห์ก็พากันมาที่กิลกาลเพื่อรับเสด็จพระราชา และนำ
เสด็จข้ามแม่น้ำจอร์แดน 16 ชิเมอี บุตรเก-รา คนเบนยามินผู้มาจากบาฮูริม รีบลงมาพร้อมกับคนยูดาห์เพื่อจะรับเสด็จกษัตริย์ดาวิด 17 มีคนจากเผ่า เบนยามินพร้อมกับท่านหนึ่งพันคน และศิบามหาดเล็กในราชวงศ์ของซาอูล พร้อมกับบุตรสิบห้าคนกับคนใช้อีกยี่สิบ ก็รีบมายังแม่น้ำจอร์แดนต่อพระพักตร์
พระราชา 18 เขาทั้งหลายได้ข้ามท่าข้ามไปรับราชวงศ์ของพระราชา และคอย
ปฏิบัติให้ชอบพระทัย
เรื่องนี้รู้ไปถึงหูของดาวิด ขณะที่ท่านยังอยู่ในมาหะนาอิม ท่านทรงทำให้ง่ายขึ้น สำหรับชาวอิสราเอล ที่จะ ต้อนรับท่านกลับ ดาวิดติดต่อไปยังศาโดกและอาบียาร์ธาร์ (ปุโรหิตที่เป็นคนของท่านในเยรูซาเล็ม) สั่งให้ ทั้งสอง ไปพูดกับพวกผู้ใหญ่ของยูดาห์ คนพวกนี้เป็นคนในเผ่าเดียวกับดาวิด เป็นพวกแรกที่มาเจิมตั้งท่าน ขึ้นเป็นกษัตริย์ที่เมืองเฮโบรน นับเป็นญาติสนิท คนพวกนี้เหมาะที่สุด ที่ต้องเป็นตัวตั้งตัวตี ในการนำท่านคืน สู่เยรูซาเล็ม ดาวิดทำให้ง่ายขึ้นสำหรับคนยูดาห์ ด้วยการปลดโยอาบออกจากตำแหน่งผู้คุมกองทัพ และตั้ง อามาสาขึ้นแทน การกระทำเช่นนี้ ใช้ได้ผลครับ มีเสียงมาจากพวกผู้ใหญ่ของยูดาห์ เชิญท่านกลับ ดาวิดและผู้ติดตามทั้งหมด จึงออกจากมาหะนาอิมมายังชายฝั่งแม่น้ำจอร์แดน คนยูดาห์มารวมตัวกันที่กิล กาล เพื่อช่วยดาวิดและผู้ติดตามข้ามแม่น้ำ และต้อนรับท่านกลับ ในฐานะกษัตริย์ของอิสราเอล นอกจากคน ในเผ่ายูดาห์แล้ว ยังมีประชาชนอิสราเอลมาเป็นตัวแทนจากเผ่าอื่นๆด้วย ในท่ามกลางคนเหล่านี้ มีเมฟี โบเชท ศิบา (ผู้รับใช้ และครอบครัวของเขา) และชิเมอี รวมทั้งคนในเผ่าเบนยามินอีกนับพันด้วย
ชิเมอีบุตรเก-รา ได้กราบลงต่อพระพักตร์ พระราชาขณะที่พระองค์จะเสด็จข้าม
แม่น้ำจอร์แดน 19 กราบทูลพระราชาว่า "ขอเจ้านายของข้าพระบาทอย่าทรงถือ
โทษข้าพระบาท และทรงจดจำความผิดที่ข้าพระบาทได้กระทำในวัน ที่พระราชา เจ้านายของข้าพระบาทสละกรุงเยรูซาเล็ม ขอพระราชาอย่าทรงจดจำไว้ในพระทัย
20 ด้วยข้าพระบาทได้ทราบแล้วว่าได้กระทำบาป เพราะฉะนั้น ดูเถิด ในวันนี้ ข้าพระบาทได้มาเป็นคนแรกในพงศ์พันธุ์โยเซฟ ที่ลงมารับเสด็จพระราชาเจ้านาย
ของข้าพระบาท" 21 อาบีชัยบุตรนางเศรุยาห์จึงตอบว่า "ที่ชิเมอีกระทำเช่นนี้ ไม่ควรจะถึงที่ตายดอกหรือ เพราะเขาได้ด่าผู้ที่เจิมตั้งของพระเจ้า" 22 แต่ดาวิด
ตรัสว่า "บุตรทั้งสองของนางเศรุยาห์เอ๋ย เรามีธุระอะไรกับท่าน ซึ่งในวันนี้ท่าน จะมาเป็นปฏิปักษ์กับเรา ในวันนี้น่ะควรที่จะให้ใครมีโทษถึงตาย หรือในวันนี้เรา
ไม่ทราบดอกหรือว่า เราเป็นกษัตริย์ครอบครองอิสราเอล" 23 และพระราชาตรัส
กับชิเมอีว่า "เจ้าจะไม่ถึงตาย" แล้วพระราชาก็ประทานคำปฏิญาณแก่เขา
ทั้งดาวิดและพวกเรารู้จักชิเมอีดี เป็นพวกลูกหลานของซาอูล เป็นผู้ที่มาด่าทอสาปแช่งดาวิด ขณะที่ท่านเดิน ทางหนีออกจากเยรูซาเล็ม (2 ซามูเอล 16:5) เขาเอาหิ้นขว้างใส่ดาวิด เอาโคลนปาและพูดจาหยาบคายต่อ ท่าน อาบีชัยคิดจะจัดการกับชายคนนี้ตั้งแต่ตอนนั้น แต่ดาวิดยับยั้งไว้ เพราะท่านเข้าใจว่า สิ่งนี้เป็นมาจาก พระเจ้า ที่ต้องการตำหนิท่านผ่านชายคนนี้ บัดนี้เมื่อเดินทางกลับ ดาวิดต้องผ่านที่บาฮูริมอีกครั้ง เมืองที่ ชิเมอีอาศัยอยู่ ชิเมอีรู้ดีว่าตัวเองกำลังเดือดร้อนหนัก ดาวิดกลับมาเป็นกษัตริย์อิสราเอลอีกครั้ง และท่านอาจ เห็นว่าชิเมอีคือศัตรูตัวฉกาจ ที่สมควรถูกกำจัด
ชิเมอีมาเข้าเฝ้า ยอมรับในความเขลาและความผิดที่ก่อเอาไว้ สำนึกผิดและต้องการได้รับการอภัย เขานำคน เบนยามินมาด้วย 1,000 คน มาแสดงความสามิภักดิ์ต่อดาวิดในฐานะกษัตริย์ ชิเมอีไม่อ้อมค้อม เขาสารภาพ ความผิด ความโง่เขลาของเขา และขอการอภัยจากดาวิด อีกครั้ง อาบีชัยขอจัดการกับชายคนนี้ ไม่ให้มาก่อ กวนได้อีกต่อไป ดาวิดปฏิเสธอาบีชัยอีกครั้ง ตักเตือนเขาและโยอาบผู้เป็นพี่ด้วย (คงเป็นตัวการยุยงอยู่เบื้อง หลัง -- สังเกตุดู "บุตรทั้งสอง (พหูพจน์) ของนางเศรุยาห์เอ๋ย" ในข้อ 22) วันนี้เป็นวันแห่งการคืนดีกัน จะไม่มีใครตาย ถึงแม้ชิเมอีจะสมควรถูกประหาร เพราะบังอาจไปสาปแช่ง ผู้ปกครองประชากร (ดูอพยพ 22:28) ดาวิดบอกกับชิเมอีว่า "เจ้าจะไม่ถึงตาย" (ข้อ 23) 88
24 เมฟีโบเชท โอรสซาอูลก็ลงมารับเสด็จ โดยมิได้แต่งเท้าหรือขลิบเครา หรือซักเสื้อผ้าของตนตั้งแต่วันที่พระราชาเสด็จจาก ไปจนวันที่เสด็จกลับมา
โดยสวัสดิภาพ 25 เมื่อเมฟีโบเชทมายังกรุงเยรูซาเล็ม เพื่อจะรับเสด็จพระ
ราชาตรัสถามว่า "เมฟีโบเชททำไมท่านมิได้ไปกับเรา" 26 ท่านทูลตอบว่า "ข้าแต่พระราชาเจ้านายของข้าพระบาท มหาดเล็กของข้าพระบาทหลอกลวง
ข้าพระบาท เพราะข้าพระบาทบอกเขาว่า 'ข้าจะผูกอานลาตัวหนึ่ง เพื่อข้า จะได้ขี่ไปตามเสด็จพระราชา' เพราะว่าข้าพระบาทเป็นง่อย 27 เขากลับไป ทูลพระราชาเจ้านายของข้าพระบาท ใส่ร้ายข้าพระบาท แต่พระราชาเจ้านาย ของข้าพระบาทเหมือนทูตของพระเจ้า เมื่อฝ่าพระบาททรงเห็นสมควร จะกระ
ทำ แก่ข้าพระบาท ประการใด ก็ขอทรงกระทำเถิดพ่ะย่ะค่ะ 28 เพราะว่าเชื้อ
วงศ์ ราชบิดาของข้าพระบาทก็สมควรถึงตาย ต่อพระพักตร์พระราชาเจ้านาย
ของข้าพระบาท แต่ฝ่าพระบาทก็ทรงแต่งตั้งข้าพระบาทไว้ใน หมู่ผู้ที่รับ
ประทาน ร่วมโต๊ะเสวยของฝ่าพระบาท ข้าพระบาทจะมีสิทธิประการใดเล่า
ที่จะร้องทูล อีกต่อพระราชา" 29 พระราชาจึงตรัสกับท่านว่า "ท่านจะพูด
เรื่องธุรกิจของท่าน ต่อไปทำไม เราตัดสินใจว่า ท่านกับศิบาจงแบ่งที่ดิน
กัน" 30 เมฟีโบเชทกราบ ทูลพระราชาว่า "เมื่อพระราชาเจ้านายของข้า
พระบาท ได้เสด็จกลับสู่พระราชสำนัก โดยสวัสดิภาพเช่นนี้แล้ว ก็ให้ศิบา รับไปหมดเถิดพ่ะย่ะค่ะ"
เมื่อดาวิดขึ้นเป็นกษัตริย์อิสราเอล ท่านปรารถนาจะทำตามพันธสัญญาที่มีต่อโยนาธาน ท่านจึงออกค้นหา ลูกหลานที่หลงเหลืออยู่ของซาอูลและโยนาธาน มีคนบอกท่านเรื่องศิบา ผู้เคยเป็นมหาดเล็กของซาอูล ดาวิด เรียกศิบามาพบ จึงรู้ว่ายังมีบุตรรอดชีวิตอยู่คนนหนึ่ง ชื่อเมฟีโทเชท เป็นง่อยตั้งแต่เด็ก ดาวิดให้คนไปรับเมฟี โบเชทมา ประทานทรัพย์สมบัติส่วนของซาอูลให้ รวมทั้งให้ศิบาและครอบครัวของเขาเป็นผู้ดูแล นอกจากนี้ ดาวิดยังให้เมฟีโบเชทมานั่งร่วมโต๊ะเสวยเช่นดียวกับลูกๆของท่าน เมื่อดาวิดหนีออกจากเยรูซาเล็ม ศิบามา พบท่านที่กลางทาง พร้อมด้วยเสบียงอาหาร เมื่อดาวิดถามถึงเมฟีโบเชท ศิบาบอกว่าเขาเลือกที่จะอยู่ต่อใน เยรูซาเล็ม ด้วยความหวังที่จะได้ราชบัลลังก์ของปู่กลับคืนมา ในตอนนั้น ดาวิดมอบส่วนมรดกทั้งสิ้นของโยนา ธานที่เคยให้เมฟีโบเชท มามอบให้กับศิบาแทน
บัดนี้ดาวิดกลับมาสู่เยรูซาเล็มและคืนสู่ราชบัลลังก์แล้ว ศิบาและครอบครัวของเขา รวมทั้งเมฟีโบเชทด้วย มา ให้การต้อนรับ มาช่วยอำนวยความสะดวกในระหว่างข้ามแม่น้ำจอร์แดน ในขณะที่ศิบาวุ่นเรื่องอื่นอยู่ ดาวิด มีโอกาสพูดคุยกับเมฟีโบเชท ดูเหมือนเขาเป็นผู้ละทิ้งดาวิด แต่เมฟีโบเชทคิดว่าตนเองอยู่ในสถานะมั่นคง ดาวิดถามว่า ทำไมจึงไม่ตามท่านไป ตอนหนีอออกจากเยรูซาเล็ม
พวกคุณคงพอจำได้ว่าผมเคยเป็นครูมาก่อน ผมสอนอยู่หลายปี ในตอนนั้นผมได้ยินได้ฟังข้อแก้ตัวหลายแบบ ล้วนแล้วแต่ไม่เอาไหน (ผมและภรรยามีลูกสาวห้าคน แล้วเราบางทีก็เป็นไปด้วย) ผมว่าผมพยายามทำความ เข้าใจกับคำพูดของเมฟีโบเชท แต่ก็ยังดูไม่สมเหตุสมผล เขาไม่ได้ยอมรับว่าตนเองทำผิด แต่พยายามปก ป้องตนเองด้วยการบอกกับดาวิดว่า เขาถูกหลอก เพราะเขาพูดว่าจะผูกอานลาเอง แล้วทำไมถึงไม่ทำ? ถ้า ไม่ถูกศิบาขัดขวาง ทำไมเมฟีโบเชทไม่ทำอย่างที่ตัวเองพูด? ผมไม่เข้าใจ แล้วเมฟีโบเชทยังกล่าวหาว่าถูก ศิบาใส่ความกับดาวิด ว่าที่อยู่ในเยรูซาเล็มนั้น เพราะหวังว่าจะได้ราชบัลลังก์คืน
ผมมีความสงสัยเป็นส่วนตัว ว่าจะเอาเรื่องทั้งสองนี้มาผูกกันได้อย่างไร ทำไมเมฟีโบเชทจึงหายตัวไป ตอนที่ ดาวิดกำลังหนีออกจากเมือง ดูเหมือนดาวิดก็นึกไม่ออกเหมือนกัน เพราะท่านไม่รู้ว่าใครพูดจริงพูดโกหก แต่ ท่านกลับนำที่ดินส่วนของเมฟีโบเชท (ที่ดาวิดเคยมอบให้ และต่อมาได้ยกให้ศิบาไป) มาแบ่งเป็นสองส่วน เท่าๆกันให้กับเมฟีโบเชทและกับศิบา อย่าลืมว่า วันนี้เป็นวันแห่งการคืนดีและเฉลิมฉลอง ดาวิดยกประโยชน์ ให้จำเลยทั้งคู่ไป เพื่อการคืนดีและเป็นการตัดปัญหา
แน่นอนเมฟีโบเชทไม่ได้ขอสิ่งใดจากกษัตริย์ เขาสำนึกในบุญคุณที่ดาวิดเคยมีต่อเขา และเขาเองไม่สมควร จะได้รับสิ่งใดจากกษัตริย์ เขาทำทีว่าจะสละสิทธิ์ในสิ่งที่ดาวิดมอบให้ ต้องการเซ็นโอนให้กับศิบาไป (ซึ่งที่ จริงกำลังครอบครองอยู่) เขาจะทำตามปากพูดหรือไม่ก็ตาม สิ่งที่เขาพูดกับดาวิด คือพยายามสร้างภาพให้ ท่านรู้สึกว่า แค่อยู่ใกลท่านเขาก็มีความสุขพอแล้ว ไม่ต้องการลาภยศหรือทรัพย์สินใดๆอีก
31 ฝ่ายบารซิลลัย ชาวกิเลอาดได้ลงมาจากโรเกลิม และไปกับพระราชาถึง
แม่น้ำจอร์แดน เพื่อส่งพระองค์ข้ามแม่น้ำจอร์แดนไป 32 บารซิลลัยเป็นคน
ชรามากแล้ว อายุแปดสิบปี ท่านได้นำเสบียงอาหารมาถวายพระราชาขณะ พระองค์ประทับที่มาหะนาอิมเพราะท่านเป็นคนมั่งมีมาก 33 พระราชาจึงตรัส
กับบารซิลลัยว่า "ข้ามมาอยู่กับเราเสียเถิด เราจะชุบเลี้ยงท่านให้อยู่กับเรา
ที่กรุงเยรูซาเล็ม" 34 แต่บารซิลลัยทูลพระราชาว่า "ข้าพระบาทจะอยู่ต่อไป
ได้อีกกี่ปี ที่ข้าพระบาทจะไปอยู่กับพระราชาที่กรุงเยรูซาเล็ม
35 วันนี้ข้าพระบาทมีอายุแปดสิบปีแล้ว ข้าพระบาทจะสังเกตว่าอะไรเป็นที่
พอใจและไม่พอใจได้หรือ ข้าพระบาทจะลิ้มรสอร่อยของสิ่งที่กินและดื่มได้หรือ ข้าพระบาทจะฟังเสียงชายหญิงร้องเพลงได้หรือ ทำไมจะให้ข้าพระบาทเป็น
ภาระเพิ่มแก่พระราชา เจ้านายของข้าพระบาทอีกเล่า 36 ข้าพระบาทจะตาม เสด็จพระราชาข้ามแม่น้ำ จอร์แดนไปเท่านั้น ไฉนพระราชาจะพระราชทาน
รางวัลเช่นนี้เล่า 37 ขอให้ข้าพระบาทกลับเพื่อไปตายที่ในเมืองของข้าพระบาท ใกล้ที่ฝังศพของบิดามารดาของข้าพระบาท ขอทรงโปรดให้คิมฮามข้าของ
ฝ่าพระบาท ตามเสด็จพระราชาเจ้านายของข้าพระบาทไป ฝ่าพระบาทจะโปรด เขาประการใดก็แล้วแต่ทรงเห็นควร" 38 พระราชาตรัสตอบว่า "คิมฮามจงข้ามไป
กับเรา เราจะกระทำคุณแก่เขาตามที่ท่านเห็นควร สิ่งใดที่ท่านปรารถนาให้เรา
กระทำแก่ท่าน เรายินดีกระทำตาม" 39 แล้วประชาชนทั้งสิ้นก็ข้ามแม่น้ำจอร์แดน พระราชาเสด็จข้ามไป พระราชาทรงจุบบารซิลลัย และทรงอวยพระพรแก่ท่าน ท่านก็กลับไปยังบ้านช่องของตน
บารซิลลัยเป็นคนโปรดของผมในพระธรรมตอนนี้ ท่านเป็นคนชรา อายุ 80 ปี เป็นคนมั่งคั่ง ท่านพักอาศัย อยู่ใกล้กับมาหะนาอิม และเป็นผู้คอยจัดส่งเสบียง ไปให้ดาวิดและผู้ติดตามในขณะหลบหนี บัดนี้ ดาวิดกำลัง เดินทางกลับเยรูซาเล็ม บารซิลลัยก็ยังแสดงความมีน้ำใจ ช่วยอำนวยความสะดวกให้กับขบวนผู้ติดตาม ของดาวิด จากมาหะนาอิมมาที่แม่น้ำจอร์แดน น่าจะประมาณ 20 ถึง 25 ไมลส์ (เราไม่รู้แน่ชัดว่ามาหะนาอิม ตั้งอยู่ตรงไหน) และเมื่อข้ามฝั่งมาแล้ว ต้องเดินทางต่อเข้าเยรูซาเล็มอีกประมาณ 20 ถึง 25 ไมลส์เช่นกัน ชายชราท่านนี้มาส่งดาวิดถึงที่ริมแม่น้ำ ข้ามไปยังฝั่งกิลกาล (ซึ่งไม่ไกลไปจากเมืองเยริโคในสมัยโบราณ) และกำลังกล่าวอำลาดาวิด
ดาวิดต้องการตอบแทนบุญคุณเพื่อสูงวัยท่านนี้ จึงเชิญท่านให้ไปที่เยรูซาเล็มด้วยกัน และสัญญาจะเลี้ยงดู เป็นอย่างดี บารซิลลัยปฏิเสธด้วยใจที่ขอบคุณ ท่านยอมรับว่าแก่เกินกว่าที่จะฝักใฝ่ในลาภยศทางโลก ท่าน ไม่ปรารถนาในการปรนนิบัติปรนเปรอด้วยอาหารหรู หรือสิ่งบันเทิงเริงใจใดๆอีกต่อไป อีกอย่าง ท่านมีเวลา เหลืออีกไม่มากนัก ท่านอยากอยู่อย่างสงบที่บ้านเกิด ใกล้กับที่ฝังศพของบิดามารดา และอีกไม่นาน ท่าน ก็จะตามไปอยู่ด้วย 89
บารซิลลัยไม่ต้องการแสวงหาผลประโยชน์จากความเอื้อเฟื้อของดาวิด แต่ท่านมีข้อเสนอ ท่านแนะนำชาย หนุ่มคนหนึ่งชื่อคิมฮาม ให้กับกษัตริย์ ขอให้กษัตริย์ช่วยดูแลหนุ่มคนนี้แทน จากใน 1 พกษ. 2:7 เราเห็น ว่าดาวิดไม่ได้แค่รักษาสัญญา ที่มีกับบารซิลลัยในขณะมีชีวิตอยู่เท่านั้น แต่หลังจากท่านตายไปแล้วด้วย ดาวิดสั่งซาโลมอนให้เลี้ยงดูบุตรทั้งหลายของบารซิลลัยต่อไป(มากกว่าหนึ่งคน) ผมจึงคิดว่าคิมฮาม น่าจะ เป็นหนึ่งในบรรดาบุตรของบารซิลลัย และพี่น้องของเขาอาจมาสมทบด้วยในตอนนั้น หรือหลังจากนั้นก็เป็นได้ ดาวิดแสดงความปราณีอย่างล้นเหลือต่อหนุ่มๆเหล่านี้ เหมือนกับที่บารซิลลัยบิดาของพวกเขาเคยปราณีต่อ ท่าน
40 พระราชาเสด็จไปยังกิลกาล และคิมฮามก็ข้ามตามเสด็จไปด้วย ประชาชน ยูดาห์ทั้งหมดกับประชาชน อิสราเอลครึ่งหนึ่งได้นำพระราชาข้ามมา 41 แล้วคน อิสราเอลทั้งหมดมาเฝ้าพระราชา กราบทูลพระราชาว่า "ไฉนคนยูดาห์ พี่น้อง ของเราจึงได้ลักพาฝ่าพระบาทไปเสีย พาพระราชาและราชวงศ์ข้ามแม่น้ำจอร์
แดนไปพร้อม กับคนของดาวิดด้วย" 42 ประชาชนยูดาห์จึงตอบประชาชนอิสรา
เอลว่า "เพราะพระราชาเป็นญาติสนิทกับเรา ท่านทั้งหลายจะโกรธด้วยเรื่องนี้
ทำไมเล่า เราได้อยู่กินสิ้นเปลืองพระราชทรัพย์ของพระราชาหรือ พระองค์ได้ ให้รางวัลอะไรแก่เราหรือ" 43 คนอิสราเอลก็ตอบคนยูดาห์ว่า "เรามีส่วนในพระ
ราชา สิบส่วนและในดาวิดเราก็ มีมากกว่าท่าน ทำไมท่านจึงดูถูกเราเช่นนี้เล่า
เราไม่ได้เป็น พวกแรกที่พูดเรื่องการนำพระราชากลับดอกหรือ" แต่ถ้อยคำของ คนยูดาห์รุนแรงกว่าถ้อยคำของคนอิสราเอล
เท้ายังไม่ทันจะแห้งดี หลังข้ามแม่น้ำจอร์แดนมา คนอิสราเอลเริ่มบ่นใส่กัน คนยูดาห์ทั้งหมดมารับดาวิด และครึ่งหนึ่งของคนอิสราเอลมาด้วย เหตุการณ์นี้ทำให้ผมนึกถึงเวลาขับรถ แล้วพวกเด็กๆที่นั่งมาด้วยเริ่ม ทะเลาะกัน อิสราเอลบางพวกชินกับข้อเท็จจริงว่า คนยูดาห์นอกจากจะเป็นตัวตั้งตัวตีในการเสนอให้พระ ราชากลับมาแล้ว ยังเป็นผู้ลงมือทำให้เกิดขึ้นด้วย (ทุกคนคงลืมไปว่า ไม่กี่วันก่อนหน้านี้ คนพวกนี้ยังเถียง กันอยู่ว่าใครควรทำ -- แต่ก็ไม่มีใครทำ จนกระทั่งพวกผู้ใหญ่ของยูดาห์ลุกขึ้นมาลงมือทำ) มีการอิจฉา แก่งแย่ง ชิงดีกันเกิดขึ้น จนกลายเป็นการทุ่มเถียงกัน : "ทำไมพวกยูดาห์ต้องมาบอกให้เราทำโน่นทำนี่? ใครตั้งพวกเขาขึ้นมา ให้มาจัดขบวนแห่นำพระราชากลับ?"
คนยูดาห์ตอบกลับอย่างเผ็ดร้อนว่า : "เรากำลังนำพระราชากลับเยรูซาเล็ม เพราะเราเป็นญาติสนิทของดาวิด" ผมพอนึกภาพออกครับ ว่ามันคงออกมาแนวนี้ : "เราเป็นพวกเดียวกัน พวกคุณหุบปากได้แล้ว!" คนยูดาห์ พยายามปกป้องตนเอง พูดต่อไปว่า ถึงแม้พวกเขาจะเป็นญาติกับกษัตริย์ ก็ไม่ได้แสวงหาผลประโยชน์ เอารัดเอาเปรียบจากท่าน คนอิสราเอลไม่ยอมแพ้ง่ายๆ ด้วยคำพูดของคนยูดาห์ ญาติๆของดาวิดคิดหรือ ว่าการเป็นญาติกับกษัตริย์จะมีสิทธิเหนือคนอื่น? พวกเขามีมุมมองกันคนและแบบ พวกเขาเป็นตัวแทนของ สิบเผ่าที่เหลือ ในขณะที่ยูดาห์เป็นเพียงเผ่าเดียว พวกเขาเสียอีกน่าจะมีสิทธิมากกว่าถึงสิบเท่า
การโต้เถียงกันไม่จบลงเพียงแค่นั้น แต่กลับทำให้สถานการณ์เลวร้ายลงไปอีก ผู้เขียนคิดว่า เป็นการดีกว่าที่ จะจบเรื่องนี้ลงเพียงแค่นี้ โดยเขียนสรุปท้ายว่าคำพูดของคนยูดาห์ว่ารุนแรงกว่า ("ดุเดือดกว่า" KJV, NKJV; "ร้ายกาจกว่า" Y LT) ของคนอิสราเอล (ข้อ 43) ผมเข้าใจว่าผู้เขียนไม่ต้องการบันทึกคำพูดโง่เขลา ขาด สติ จนเลยเถิดเหล่านี้ไว้ เพราะผู้อ่านคงเข้าใจสถานการณ์ได้ ความริษยาและพูดเพื่อเอาชนะกัน ทำให้คน อิสราเอลทั้งสิบเผ่าหมางใจกับเผ่ายูดาห์ ความตึงเครียดทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ถ้ามีใครสักคนจุดชนวน ก็ พร้อมจะระเบิดได้ในทันที
1 เผอิญที่นั่นมีคนอันธพาลอยู่ คนหนึ่งชื่อเชบาบุตรบิครีคนเบนยามิน เขาได้เป่าเขา
สัตว์ขึ้นกล่าวว่า "เราไม่มีส่วนในดาวิด เราไม่มีมรดกในบุตรของเจสซี โอ อิสราเอล
เอ๋ย ให้ต่างคนต่างกลับไปเต็นท์ของตนเถิด" 2 ดังนั้นพวกคนอิสราเอลทั้งหมดจึงถอน
ตัวจากดาวิด และไปตามเชบาบุตรบิครี แต่พวกคนยูดาห์ได้ติดตาม พระราชาของเขา อย่างมั่นคงจากแม่น้ำจอร์แดน ไปถึงกรุงเยรูซาเล็ม
มีเรื่องเกิดขึ้นในทันที มีชายคนหนึ่งในท่ามกลางคนอิสราเอลชื่อเชบา ผู้เขียนบอกว่าเขาเป็น "คนอันธพาล" (หรือ "บุตรของความชั่ว") เชบาเป็นคนชั่ว ซึ่งในสถานการณ์ปกติก็ไม่เป็นไร แต่พอการถกเถียงเริ่มรุน แรงขึ้น เขาโมโหจัด (หรืออาจเห็นทางตั้งตนขึ้นเป็นผู้นำก็ได้) ระเบิดอารมณ์ออกมา "เราไม่มีส่วนในดาวิด เราไม่มีมรดกในบุตรของเจสซี ; โอ อิสราเอลเอ๋ย ให้ต่างคนต่างกลับไปเต็นท์ของตนเถิด" แค่นี้ก็ เพียงพอให้อิสราเอลทั้งหมด หันกลับไปพร้อมกับเขา ดังนั้นงานที่ควรฉลองด้วยความชื่นชมยินดี กลับกลาย เป็นการท้าทายกัน และนำไปถึงการแตกแยกครั้งใหญ่ ชาวอิสราเอลกำลังได้ดาวิดกลับมาเป็นผู้นำ อยู่ดีๆ กลายเป็นว่าได้เชบา คนอันธพาลเป็นผู้นำแทน ดาวิดยังไม่ถึงเยรูซาเล็มด้วยซ้ำไป อาณาจักรก็แตกแยกเสีย แล้ว ดูเหมือนท่านกลับไปที่จุดเริ่มต้นใหม่ ในฐานะกษัตริย์ของเผ่ายูดาห์
3 ดาวิดเสด็จกลับพระนิเวศที่กรุงเยรูซาเล็ม พระราชาก็รับสั่งให้นำนางสนมทั้งสิบ คน ที่พระองค์ทรงละไว้ให้เฝ้าพระราชวัง นั้นไปรวมกักอยู่ในบ้านหลังหนึ่ง ทรง ชุบเลี้ยงไว้แต่มิได้ทรงสมสู่อยู่ด้วย นางเหล่านั้นก็ต้องถูกกักให้มีชีวิตอยู่อย่างแม่ ม่ายจนวันตาย
4 พระราชาตรัสสั่งอามาสาว่า "จงระดมพลยูดาห์ให้มาพร้อมกันที่นี่ภายในสามวัน
ตัวท่านจงมาด้วย" 5 อามาสาก็ออกไประดมคนยูดาห์ แต่เขาก็ทำงานล่าช้าเกิน
กำหนดที่พระองค์รับสั่งไว้ 6 ดาวิดตรัสกับอาบีชัยว่า "บัดนี้เชบาบุตรบิครีคงทำ
อันตราย แก่เรายิ่งกว่าอับซาโลม จงนำข้าราชการทหารของเจ้านายของท่านไป
ติดตาม เกรงว่าเขาจะหาเมืองที่มีป้อมได้ และหนีพ้นสายตาเรา" 7 มีคนของโยอาบ ตามเขาไปและคนเคเรธีกับคน เปเลทกับทหารที่แข็งกล้าทั้งหมด และเขาทั้งหลาย ยกออกไปจากกรุงเยรูซาเล็มเพื่อไล่ ตามเชบาบุตรบิครี 8 เมื่อเขาทั้งหลายมาถึงศิลา
ใหญ่ ที่อยู่ในเมืองกิเบโอน อามาสาก็มาพบกับเขาทั้งหลาย ฝ่ายโยอาบสวมเครื่อง
แต่งกาย ทหารมีเข็มขัดติดดาบที่อยู่ในฝักคาดอยู่ที่บั้นเอว เมื่อท่านเดินไปดาบก็ตก
ลง 9 โยอาบจึงถามอามาสาว่า "พี่ชายเอ๋ย สบายดีหรือ" และโยอาบก็เอามือขวา จับเคราอามาสาจะจุบเขา 10 แต่อามาสาไม่ได้สังเกตเห็นดาบซึ่งอยู่ใน มือของโย
อาบ โยอาบจึงเอาดาบแทงท้องอามาสาไส้ทะลักถึงดิน ไม่ต้องแทงครั้งที่สอง90
เขาก็ตายเสียแล้ว
สิ่งแรกที่ดาวิดทำทันทีที่ไปถึงเยรูซาเล็มคือ จัดการกับเรื่องภรรยา (นางสนม) ทั้งสิบ ที่ถูกทิ้งให้อยู่ในเยรูซา เล็ม อับซาโลมได้เข้าหานางทั้งสิบนี้ในที่สาธารณะ ดาวิดไม่มีทางปล่อยให้เหมือนเิดิมได้อีกต่อไป ท่านไป ร่วมหลับนอนกับสนมพวกนี้ไม่ได้อีกแล้ว ท่านจึงจัดหาที่อยู่ใหม่ ให้ได้อยู่อาศัยอย่างสุขสบาย (ผมค่อนข้าง แน่ใจ) แต่ท่านไม่อาจกลับไปร่วมหลับนอนได้อีก เพราะการกระทำของอับซาโลม
เรื่องต่อไปที่ดาวิดต้องจัดการคือการกบฎที่กำลังก่อตัวขึ้น นำโดยเชบา ดาวิดรู้ดีว่าเป็นเรื่องจำเป็นเร่งด่วน ท่านไม่ปล่อยให้เชบามีเวลาพอจะรวบรวมผู้คน จัดตั้งเป็นกองทัพ และหาเมืองป้อมสำหรับใช้ต่อสู้ได้ ถ้าคน ของดาวิดจัดการกับเชบาได้เร็วเท่าไร ยิ่งเป็นการดีเท่านั้น ดาวิดจึงเรียกผู้คุมคนใหม่ อามาสา91 และสั่งให้ เขาไปรวบรวมกำลังพลของยูดาห์ เพื่อออกติดตามปราบปรามเชบาลง ให้ราบคาบโดยเร็วที่สุด
ด้วยเหตุผลบางประการ อามาสาไม่สามารถรวบรวมคนยูดาห์ได้ตามเวลาสามวันที่ดาวิดสั่งไว้ เราคงพอเข้า ใจความรู้สึกกระสับกระส่ายของดาวิดได้ ตราบใดที่เชบายังเป็นอิสระอยู่ ราชบัลลังก์ของท่านก็ไม่ปลอดภัย ในที่สุดดาวิดทนรออามาสาไม่ได้อีกต่อไป จึงเรียกอาบีชัย พี่ชายของโยอาบ ที่ดาวิดไม่ค่อยชอบหน้านัก มาหา (ดู 1 ซามูเอล 26:6-11; 2 ซามูเอล 16:9-12; 19:21-22) ดาวิดไม่ได้เรียกหาโยอาบ เพราะจะเท่า กับเป็นการยอมรับว่าท่านทำผิดที่ปลดโยอาบออกไป และเลือกอามาสาขึ้นมาแทน และเมื่ออาบีชัยออกจาก เยรูซาเล็มไป ในฐานะผู้นำกองกำลังนักรบที่ดาวิดเลือกสรรไว้ (เป็นเหมือนพวกหน่วยปฏิบัติการพิเศษในสมัย นี้) ไปตามล่าเชบา เขามีโยอาบเป็นผู้ติดตามไปด้วย
โยอาบและคนของเขาตามหน่วยรบพิเศษของดาวิดไปด้วย ประกอบด้วยคนเคเรธี คนเปเลท และ "ทหาร ที่แข็งกล้าทั้งหมด" เมื่อพวกเขาไปถึงศิลาใหญ่ที่เมืองกิเบโอน อามาสาออกไปพบพวกเขา ผมคิดว่า ครั้งนี้อาบีชัยน่าจะเป็นผู้นำ หรืออาจเป็นได้ว่ากองกำลังทั้งหมดที่ออกจากเยรูซาเล็ม แบ่งออกเป็นกลุ่มเล็กๆ เพื่อแยกย้ายกันออกไปตามหาเชบา ให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ พระธรรมตอนนี้มีการเอ่ยชื่ออาบีชัย แต่จริงๆ แล้วโยอาบเป็นตัวสำคัญที่สุด อาจเป็นได้เหมือนกันที่โยอาบนำกองกำลังของตนออกไปเอง และเจอกับ อามาสา หรือจงใจไปตามหาอามาสาเพื่อจัดการให้หมดอุปสรรคก่อน ทำไมอามาสาถึงพลาด ทำงานไม่ สำเร็จ? หรือว่าขี้ขลาดไม่กล้าทำ? เราไม่อาจรู้ได้ แต่การกระทำของเขาดูน่าสงสัย ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม สิ่งที่เขาทำ เป็นเหตุให้เกิดเรื่องร้ายขึ้นกับตัวเอง
โยอาบกับอามาสาเผชิญหน้ากัน โยอาบทักทายอามาสาด้วยท่าทีที่อบอุ่น ("พี่ชายเอ๋ย" ข้อ 9) อามาสา จึงไม่ทันระวังตัว โยอาบใส่เครื่องแบบทหารเต็มยศ ซึ่งประกอบด้วย เข็มขัดติดดาบที่อยู่ในฝัก คาดอยู่ที่เอว (ซึ่งดูไม่น่าเป็นอันตราย) ขณะที่โยอาบโน้มตัวไปหา ดาบก็หลุดออกจากฝัก เขาจึงก้มลงเก็บด้วยมือซ้าย อามาสาไม่ทันสังเกตุเห็นดาบในมือของโยอาบ โอกาสตกเป็นของโยอาบ เขาสามารถฆ่าอามาสาได้อย่าง ง่ายดาย จึงตัดสินในลงมือ มันเกิดขึ้นในชั่วพริบตา โยอาบเอามือรวบเคราอามาสาไว้ ซึ่งดูเป็นเรื่องปกติ ในธรรมเนียมจุบทักทาย ขณะที่มือขวารวบหนวดอามาสา เขาใช้มือซ้าย อาจจะเบี่ยงตัวนิดหน่อย แทง ไปที่ท้องของอามาสาทันที อาจจะทะลวงท้องด้วยดาบ ทำให้ใส้ทะลักออกมา
แล้วโยอาบก็เดินจากไปอย่างไม่แยแส เพื่อไปสบทบกับอาบีชัยพี่ชาย ออกตามล่าเชบาต่อ จากพระคัมภีร์ ตอนนี้ ผมไม่แน่ใจว่าโยอาบต้องการทำสิ่งอื่นใดอีก เว้นแต่ฆ่าอามาสา ไม่มีการบันทึกว่าโยอาบต้องการไป คุมกองทหารของดาวิด ; เพียงแต่พูดว่าเขาออกตามล่าเชบาต่อ
แล้วโยอาบกับอาบีชัยน้องชายก็ไล่ตามเชบาบุตรบิครีไป 11 ทหารหนุ่มคนหนึ่ง ของโยอาบมายืนอยู่ใกล้อามาสาพูดว่า "ผู้ใดเห็นชอบฝ่ายโยอาบและผู้ใดอยู่
ฝ่ายดาวิดให้ผู้นั้น ติดตามโยอาบไป" 12 อามาสาก็นอนเกลือกโลหิตของตัว
อยู่ที่ในทางหลวง เมื่อชายคนนั้นเห็นประชาชนทั้งสิ้นมาหยุดอยู่ เขาก็นำศพ อามาสาไปทิ้งในทุ่งนาและเอาเสื้อผ้าปิดไว้ เพราะเมื่อใครมาก็เข้าไปดูและหยุด
อยู่ 13 เมื่อเอาศพอามาสาออกจากทางหลวงแล้ว ประชาชนทั้งปวงก็ตามโยอาบ เพื่อติดตามเชบาบุตรบิครี
โยอาบไม่ได้สั่งการอะไร มีทหารคนหนึ่งตัดสินใจเข้ามาจัดการกับสถานการณ์ ในพระคัมภีร์กล่าวว่า "ทหาร หนุ่มคนหนึ่งของโยอาบ" เราจึงเดาได้ว่า ทหารคนนี้คงต้องอยู่ฝ่ายเดียวกับโยอาบ เมื่อเห็นอามาสาตายแล้ว เขารู้ว่ากองทัพต้องมีผู้นำคนใหม่ และระหว่างรอ ต้องมีคนเข้าไปช่วยจัดการ ตามสายงานแล้ว อาบีชัยต้องรับ หน้าที่แทน เพราะเป็นบุตรคนโต (1 พษด 2:16) และที่สำคัญที่สุด เขาเป็นผู้ที่ดาวิดส่งไปติดตามเชบา เพราะ อามาสามาไม่ทันกำหนด แต่ถึงกระนั้น ทหารหนุ่มคนนี้ กลับชักจูงให้ที่เหลือยอมรับโยอาบ เป็นผู้นำคนใหม่ เมื่อเป็นเช่นนี้ และไม่มีผู้ใดคิดจะคัดค้าน โยอาบจึงได้กลับมาเป็นผู้นำกองกำลังอีกครั้ง
พวกทหารรีๆรอๆ ไม่ใช่เป็นเพราะโยอาบมารับหน้าที่แทน แต่เป็นเพราะสภาพศพอันไม่น่าดูของอามาสา ที่ นอนจมกองเลือดอยู่กลางถนน ทุกคนหยุดดูและรู้สึกคลื่นใส้ เหมือนกับไทยมุงเวลาเกิดอุบัติหตุบนถนน ทหารหนุ่มคนเดิม เมื่อรู้สาเหตุที่พวกทหารรีรออยู่ แทนที่จะติดตามโยอาบไปไล่ล่าเชบา จึงย้ายศพออกไป จากถนน ไปที่ทุ่งนา และเอาเสื้อผ้าปิดไว้ ทำให้พวกทหารเลิกหยุดดู และกลับไปปฏิบัติงานต่อ
14 เชบาก็ผ่านคนอิสราเอลทุกเผ่าไปจนถึงตำบลอาเบล และเมืองเบธมาอาคาห์ และคนตระกูลเบเคอร์คนเหล่านั้น ก็มารวมกันและติดตามเขาไป 15 ประชาชนที่
อยู่กับโยอาบก็ มาถึงและล้อมเขาไว้ในตำบลอาเบล แขวงเมืองเบธมาอาคาห์ เขาทำเชิงเทินขึ้นที่ริมกำแพงเมือง เขาก็ทะลวงกำแพงเพื่อจะให้พัง 16 มีหญิง ฉลาดคนหนึ่งร้องออกมาจากในเมืองว่า "ขอฟังหน่อย ขอฟังหน่อย ขอบอก
โยอาบให้มาที่นี่ ฉันอยากจะพูดด้วย" 17 โยอาบก็เข้ามาใกล้หญิงนั้น นางนั้น
ก็พูดว่า "ท่านคือโยอาบหรือ" เขาตอบว่า "ใช่แล้ว" นางจึงเรียนท่านว่า "ขอ ท่านฟังถ้อยคำของสาวใช้ของท่านสักหน่อย" ท่านก็ตอบว่า "ฉันกำลังฟังอยู่แล้ว"
18 นางก็พูดว่า "สมัยโบราณเขาพูดกันว่า 'ให้เขาขอคำปรึกษาที่อาเบลเถิด' แล้ว
เขาก็ตกลงกันได้ 19 ฉันเป็นคนหนึ่งที่รักสงบและสัตย์ซื่อในอิสราเอล ท่านหาช่อง
ที่จะทำลายเมือง อันเป็นเมืองแม่ในอิสราเอล ทำไมท่านจึงจะกลืนมรดกของพระ
เจ้าเสีย" 20 โยอาบจึงตอบว่า "ซึ่งฉันจะกลืนหรือทำลายนั้น ขอให้ห่างไกลจากฉัน ขอให้ห่างไกลทีเดียว 21 เรื่องนี้ไม่เป็นความจริง แต่มีชายคนหนึ่งจากแดนเทือก
เขาเอฟราอิม ชื่อเชบาบุตรบิครี ได้ยกมือของเขาขึ้นต่อสู้กษัตริย์ คือต่อสู้ดาวิด จงมอบเขามาแต่คนเดียว ฉันจะถอยทัพกลับจากเมืองนี้" หญิงนั้นจึงตอบโยอาบว่า
"ดูเถิด เราจะโยนศีรษะของเขาข้ามกำแพงมาให้ท่าน" 22 แล้วหญิงนั้นก็ไปหาประ
ชาชน ด้วยปัญญาของนาง เขาทั้งหลายได้ตัดศีรษะของเชบาบุตรบิครีโยนออก
มาให้โยอาบ โยอาบก็เป่าเขาสัตว์ ต่างก็แยกกันไปจากนครนั้นกลับไปยังบ้าน
เรือนของตน โยอาบก็กลับไปเฝ้าพระราชาที่กรุงเยรูซาเล็ม
โยอาบพร้อมด้วยกองทหาร ลุยหาเชบาไปทั่วแผ่นดินอิสราเอล ผู้เขียนเล่าว่า "เขาผ่านคนอิสราเอลทุกเผ่า ไปจนถึงตำบลอาเบล …" (ข้อ 14) ซึ่งก็แปลว่า ทั่วทั้งอิสราเอลรู้ดีว่าดาวิดกำลังตามหาเชบา เป็นแรงกดดัน มหาศาสต่อบรรดาคนที่เลือกติดตามเชบาแทนที่จะกลับบ้านไป คนอิสราเอลโกรธใช่มั้ย ที่คนยูดาห์เป็นผู้ริเริ่ม เชิญดาวิดกลับสู่เยรูซาเล็ม? แต่ครั้งนี้หนักกว่า เพราะยูดาห์อีกที่เป็นผู้ริเริ่มออกไล่ล่า ตามหาเชบาไปทั่วแผ่นดิน โดยนำกองทัพ ออกตามล่าอย่างไม่หวั่นเกรงใดๆทั้งสิ้น
ในที่สุดโยอาบและกองทัพ ก็ตามเชบามาจนเจอที่ตำบลอาเบล เมืองเบธมาอาคาห์ เชบาหลบซ่อนตัวอยู่ที่เชิง เทินริมกำแพงเมือง จึงล้อมเมืองไว้ ผู้คนในเมืองเริ่มหวั่นวิตก ไม่เข้าใจว่าทำไมเมืองจะถูกโจมตี 92 เขากลัวว่า โยอาบและกองทหารจะรื้อกำแพงเมืองออกเป็นชิ้นๆ และอีกไม่นานก็ทะลวงเข้ามาได้ ถ้ารอให้ถึงตอนนั้น นอก จากทั้งเมืองจะถูกทำลายแล้ว จะมีการเสียเลือดเสียเนื้อเกิดขึ้นแน่ ถ้าต้องปะทะกัน
หญิงเจ้าปัญญาผู้หนึ่ง ประเมิณสถานการณ์ออก จึงยื่นมาเข้ามา หวังช่วยแก้ใข นางไปที่กำแพงเมือง ร้องตะโกน ลงไปหาโยอาบ นางบอกกับโยอาบว่า เมืองของนางนั้นเป็นเมืองที่ได้ชื่อว่า "เป็นผู้ให้คำปรึกษาแห่งอาเบล" เป็นเมืองที่รักสงบ และใช้สติปัญญาในการแก้ปัญหา แล้วเหตุใดโยอาบจึงต้องการจะทำลายเมืองเช่นนี้เสีย? นางบอกโยอาบต่อไปว่า นางเองก็เป็นผู้หนึ่ง ที่รักสันติและสัตย์ซื่อต่ออิสราเอล และชาวเมืองนี้ก็ไม่ได้ทำสิ่ง ร้ายอันใด ถึงขั้นที่โยอาบต้องมาบุกทำลาย เพราะที่นี่เป็น "เมืองแห่งมรดกของพระเจ้า" โยอาบอยากเป็น ผู้ที่ได้ชื่อว่า เป็นผู้ทำลายเมืองนี้หรือ?
โยอาบบอกกับหญิงนั้นว่า เขาไม่ได้ประสงค์จะทำลายเมือง แต่ที่ต้องล้อมเมืองเอาไว้ เพราะกำลังตามหาบุคคล คนหนึ่ง ชื่อเชบาบุตรบิครี ผู้คิดการกบฎต่อต้านกษัตริย์ดาวิด ถ้าหญิงผู้นี้ สามารถส่งเชบามาให้ได้ พวกเขาก็จะ จากไปอย่างสันติ หญิงนั้นจึงบอกโยอาบว่า นางจะจัดการโยนศีรษะของเชบาข้ามกำแพงเมืองไปให้ นางจึงไป เจรจาขอให้ชาวเมืองกำจัดเชบาเสีย เพื่อนำหัวไปโยนให้โยอาบและกองทัพ เมื่อเป็นตามนั้น โยอาบจึงเป่าเขา สัตว์ เพื่อเป็นการประกาศจบสิ้นการตามล่า ทั้งหมดจึงกลับคืนสู่เยรูซาเล็ม ไปเข้าเฝ้ากษัตริย์ดาวิด
23 โยอาบเป็นผู้บังคับบัญชากองทัพ ทั้งหมดในอิสราเอล และเบไนยาห์ บุตรเยโฮยาดาเป็นผู้บังคับบัญชา กองคนเคเรธีและคนเปเลท 24 และอา
โดรัม ดูแลคนงานโยธา เยโฮชาฟัทบุตรอาหิลูดเป็นเจ้ากรมสารบรรณ 25
เชวาเป็นราชเลขา ศาโดกกับอาบียาธาร์ปุโรหิต 26 อิราตระกูลยาอีร์เป็น
ปุโรหิตของดาวิดด้วย
ผมแน่ใจว่า แต่ละคนที่กล่าวนามไปนี้ มีเรื่องน่าพูดถึง แต่ต้องขอข้ามไปครับ ขออนุญาติพูดถึงเฉพาะคนๆเดียว ในตอนนี้ โยอาบ น่าขันนะครับ! ชายคนนี้มีกลิ่นตุๆ ที่ไม่สามารถกำจัดไปได้ คิดดูดีๆ โยอาบมาเข้าพวกกับดาิวิด เมื่อครั้งท่านหลบหนีซาอูล (ดู 1 ซมอ 22:1-2; 26:6) และโยอาบผู้นี้ กับอับเนอร์เป็นผู้ออกมาท้าทายความ เป็นลูกผู้ชายกัน จนทำให้เกิดมีการต่อสู้กันถึงตาย รวมทั้งน้องชายคนเล็กของโยอาบ อาสาเฮลต้องตายไปด้วย (2 ซมอ 2) เพื่อเป็นการแก้แค้นแทนน้องชาย ที่ถูกอับเนอร์ฆ่าตายในระหว่างการสู้รบ โยอาบฆ่าอับเนอร์ตาย อย่างผิดกติกา และถูกดาวิดตำหนิอย่างรุนแรง (2 ซมอ 3) เป็นเรื่องน่าสงสัย ว่าดาวิดยังจะเลือกให้โยอาบทำ หน้าที่ผู้นำกองทัพอีกหรือ? แต่ดาวิดเสนอตำแหน่ง ให้กับใครก็ตาม ที่สามารถโจมตีเมืองเยบุสได้เป็นคนแรก และโยอาบทำสำเร็จ (1 พศด 11:4-6) โยอาบยังเป็นผู้ทำเล่ห์กล หลอกให้ดาวิดยอมอนุญาติให้อับซาโลมกลับ คืนสู่อิสราเอล และต่อมาได้อิสรภาพคืน (2 ซมอ 14) แต่แล้วโยอาบกลับเป็นคนฆ่าอับซาโลมเสียเอง ถึงแม้ ดาวิดขอร้องให้ยั้งมือไว้ (2 ซมอ 18) เราคงสงสัยว่าทำไมดาวิดจึงยังคงตั้งโยอาบขึ้นมาแทนอามาสา ที่น่าสง สัยที่สุด คือทั้งๆที่โยอาบเป็นคนลงมือฆ่าอามาสาเอง แล้วยังได้ตำแหน่งเดิมคืนกลับมา เราคงอยากให้บทที่ 20 จบลงในทำนองเดียวกับที่บท 19 เริ่มต้น (19:13)
ในส่วนของกษัตริย์ดาวิด เราคงรู้สึกโล่งใจ ที่ดาวิดได้กลับคืนสู่เยรูซาเล็มอีกครั้ง กลับมาปกครองในฐานะ กษัตริย์ของอิสราเอล ดาวิดเคยต่อสู้ดิ้นรนอย่างหนัก และรอคอยเวลา กว่าที่พระเจ้าจะทำตามพระสัญญา ที่จะ ให้ท่านได้ขึ้นครองอิสราเอลแทนที่ซาอูล ดาวิดต้องหลบซ่อนตัวจากซาอูลผู้แสวงชีวิตท่านอยู่หลายปี และ เมื่อท่านได้ขึ้นครองแล้ว ท่านอยู่อย่างสงบสุขและได้รับแต่ความสำเร็จเป็นเวลาหลายปี จนทำให้ท่านเกิด ชะล่าใจ ทำผิดพลาด จมดิ่งลงไปจนถึงที่สุด ขณะจมดิ่งลง ท่านต้องเผชิญกับความทุกข์มากมาย ที่ร้ายสุดๆ คือการก่อกบฎของอับซาโลม บุตรของท่านเอง ทำให้ท่านต้องทิ้งเยรูซาเล็ม หลบหนีเอาชีวิตรอด บัดนี้ อับซาโลมสิ้นชีวิตลงแล้ว การกบฎถูกปราบลงอย่างราบคาบ และดาวิดได้กลับคืนสู่เยรูซาเล็ม น่าโล่งใจ นะครับ!
แต่ชีวิตของดาวิดไม่ใช่นวนิยาย ท่านไม่ได้มีชิวิตแบบ "แฮปปี้เอ็นดิ้ง" ท่านต้องเผชิญความลำบากมากมาย เมื่อก้าวพลาดไป และแต่ละครั้งท่านเป็นทุกข์สาหัส ขอให้เราทั้งหลาย เรียนรู้จากประสบการณ์เหล่านี้ และ สำหรับคนที่ชอบพูดว่า "ดูสิ ดาวิดยังทำบาปเลย" แต่อยากหมายความว่า: "ดาวิดทำบาป แล้วกลับใจ และ ได้กลับคืนสู่สภาพดีเหมือนเดิม" ผมขอยืนยันว่าไม่เป็นความจริง ใช่! ดาวิดทำบาป และกลับใจ แต่ท่านไม่มี วันเหมือนเดิม สงบสุขเหมือนอย่างที่เคยเป็น ขออย่าให้มีผู้หนึ่งผู้ใด เห็นผลของบาปในชีวิตของดาวิด เป็น เรื่องเล็กน้อย ความบาปไม่เคยคุ้มครับ ดังที่เราเห็นตัวอย่างได้ จากชีวิตจริงของดาวิด
ขอให้เราตระหนักว่า ความยากลำบากทั้งหลายที่เกิดขึ้น ก็เพื่อดาวิดจะได้ดี เพื่อประชากรทั้งหลายของ พระเจ้าจะได้ดี ความลำบากที่ดาวิดเผชิญ เป็นบทเรียนอย่างดี ที่สอนเราว่าความบาปนั้นไม่เคยคุ้มค่าจ้าง ในทางกลับกัน ความยากลำบากทำให้ดาวิดถ่อมลง และเข้าพึ่งพิงพระเจ้ามากขึ้น ลองสังเกตุดู จะเห็นว่า ความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นในชีวิตท่าน ทำให้ท่านถ่อมลง และเต็มด้วยความกรุณา อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ท่าน ให้อภัยชิเมอีต่อสิ่งที่เขากระทำกับท่านด้วยความปราณี สิ่งนี้เกิดจากส่วนหนึ่ง ที่ท่านเองได้รับการอภัยจาก พระเจ้าหรือไม่? เช่นเดียวกับที่ท่านปฏิบัติต่่อเมฟีโบเชท ดาวิดเรียนรู้เรื่องการรับ พอๆกับการให้ จากเพื่อน ที่น่ารักอย่างบาร์ซิลลัย
เหตุการณ์ทั้งหลายที่เกิดขึ้นในพระธรรม 2 ซามูเอลทั้งสองบทนี้ เทียบไม่ได้กับการจัดเตรียมของพระเจ้า หลายครั้งพระเจ้าเข้ามาแทรกแซงชีวิตมนุษย์โดยตรง พระองค์ทรงสำแดงพระองค์เองให้ชาวอียิปต์เห็น ในระหว่างอพยพ หลายครั้งพระเจ้าทรงกระทำการผ่านทางความเชื่อ และการเชื่อฟังของบรรดาธรรมิกชน ของพระองค์ ตัวอย่างเช่น ดาวิดแสดงให้เห็นชัดเจนว่า ที่ท่านเอาชนะโกลิอัทได้ เป็นการกระทำของพระเจ้า ทั้งสิ้น ซึ่งก็เป็นความจริง มีหลายต่อหลายครั้ง เรามองไม่เห็นพระหัตถ์ของพระเจ้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่ ไม่มี "สายตาแห่งความเชื่อ" พระเจ้าทรงสัญญากับดาวิดว่า ท่านจะได้ขึ้นครองเป็นกษัตริย์ และอาณาจักรนี้ จะเป็นอาณาจักรนิรันดร์ โดยทางผู้เผยพระวจนะนาธัน พระเจ้าประทานความมั่นใจให้กับดาวิดว่าท่านจะไม่ ถึงตายเพราะบาปของท่าน บ่อยครั้ง โอกาสรอดของดาวิดแขวนอยู่บนเส้นด้าย แต่พระเจ้าทรงรักษาพระ สัญญาเสมอ ด้วยสถานการณ์หรือโดยคนที่นึกไม่ถึงอยู่หลายครั้ง พระองค์ใช้คนต่างชาติ (กษัตริย์ต่างชาติ ที่ดาวิดเคยสู้รบด้วย -- ดู 17:27) รวมทั้งชาวยิว พระองค์ทรงใช้การกระทำที่ต้องอาศัยความเชื่อ และพึ่งใน พระเมตตาของพระองค์ รวมทั้งจากบรรดามนุษย์เนื้อหนัง (เช่นโยอาบเมื่อเขาขัดคำสั่งดาวิด ฆ่าอับซาโลม รวมทั้งฆ่าอามาสา โดยไม่มีเหตุผลอันควร) ไม่ว่าสถานการณ์จะ "คับขัน" ควบคุมไม่ได้เพียงใด แต่พระเจ้า ทรงควบคุมอยู่ พระองค์ทรงใช้วิธีการที่เรานึกไม่ถึง เพื่อให้พระประสงค์และพระสัญญาของพระองค์สำเร็จลง อย่างบริบูรณ์
ลองนึกถึงจุดที่หักเหบางจุดของพระธรรมตอนนี้ ดาวิดแต่งตั้งอามาสาขึ้นแทนโยอาบ ทำให้ชาวยูดาห์พอใจ แต่อามาสาก็ทำงานล่าช้า รวบรวมกองกำลังเข้ามาเยรูซาเล็มไม่ทัน ทำให้ดาวิดต้องส่งอาบีชัย พี่ชายของ โยอาบออกไปตาม เพราะดาบหลุดจากฝัก และอามาสาไม่ทันระวังตัว โยอาบถือโอกาสกำจัดอามาสาทิ้ง และขึ้นควบคุมแทน ชายทั้งสอง เชบาและทหารหนุ่มนิรนาม เป็นผู้ผลักดันให้พวกทหารทำการบางอย่าง พวกเขายอมทำตาม หญิงเจ้าปัญญานางหนึ่งพูดให้โยอาบ เลิกล้มความตั้งใจที่จะสู้รบกับเชบา และโยอาบ ก็ยินยอมทำตาม พระธรรมตอนนี้ทำให้ตาเราสว่างขึ้น เพื่อจะ "มองเห็น" พระหัตถ์ของพระเจ้าที่ไม่ปรากฎ แต่ทรงกระทำการผ่านชีวิตประชากรของพระองค์
ในพระธรรมตอนนี้ มีตัวอย่างของการจัดเตรียมของพระเจ้าให้เราเห็น และการจัดเตรียมเพื่ออนาคตของชาว อิสราเอลที่จะต้องแตกแยกกัน ลองสังเกตุคำพูดของเชบาดู :
"เราไม่มีส่วนในดาวิด เราไม่มีมรดกในบุตรของเจสซี โอ อิสราเอลเอ๋ย ให้ต่างคนต่างกลับไปเต็นท์ของตนเถิด" (2 ซามูเอล 20:1ข)
ให้ลองเปรียบเทียบคำพูดของเชบาในพระธรรมตอนนี้ กับคำพูดของคนอิสราเอลหลังจากที่ซาโลมอนตายลง
16 และเมื่ออิสราเอลทั้งปวงเห็นว่า พระราชามิได้ทรงฟังเขาทั้งหลาย ประชาชนก็ทูลตอบพระราชาว่า "ข้าพระบาททั้งหลายมีส่วนอะไรในดาวิด ข้าพระบาททั้งหลายไม่มีส่วนมรดกในบุตรชายของเจสซี โอ อิสราเอลเอ๋ย กลับไปเต็นท์ของตนเถิด ข้าแต่ดาวิด จงดูแลราชวงศ์ของพระองค์เองเถิด" อิสราเอลจึงจากไปยังบ้านเรือนของเขาทั้งหลาย (1 พกษ 12:16)
ดูเหมือนคำพูดของเชบา กลายเป็นคติพจน์ประจำใจของบรรดาผู้กบฎในอิสราเอล รากฐานของความแตก แยกระหว่างยูดาห์และเผ่าที่เหลือของอิสราเอลฝังรากลึกอยู่ในประวัติศาสตร์ของชาติ เราเห็นได้ชัดตั้งแต่เมื่อ ครั้งที่มีการแตกแยกกันระยะสั้นๆในรัชสมัยของดาวิด การแตกแยกนี้ไม่เคยสมานกันสนิท อาจจะหลบซ่อนอยู่ ในสมัยของซาโลมอน แต่เมื่อซาโลมอนตายลง มันก็เผยโฉมออกมา ในทั้งหมดนี้ พระเจ้าทรงจัดเตรียมชน ชาตินี้ไว้เพื่อการแตกแยกตามพระประสงค์ เมื่อการแตกแยกเกิดขึ้นเป็นครั้งที่สอง มันจะมารวมกันไม่ได้อีก อาณาจักรทางเหนือจะตกอยู่ภายใต้การปกครองของอัสซีเรีย เพื่อเป็นบทเรียนให้กับชาวยูดาห์ ซึ่งไม่เคยใส่ ใจเรียนรู้ จนในที่สุดอาณาจักรทางใต้ก็ล่มสลายตามไปด้วย ไปเป็นเมืองขึ้นของบาบิโลน พระเจ้าทรงเตรียม การให้ชนชาติอิสราเอลเกิดการแตกแยก โดยผ่านเหตุการณ์ต่างๆในพระธรรมที่เรากำลังศึกษาอยู่นี้
พระธรรมตอนนี้ทำให้เราเห็นสภาพจิตวิญญาณของชนชาตินี้ในช่วงเวลานั้นในประวัติศาสตร์ เราเห็นถึงความ บาปของคนอิสราเอล ในเรื่องที่พระเจ้าเลือกสรรดาวิดขึ้นมาเป็นผู้นำปกครองประเทศ ประชาชนเรียกร้อง อยากมีกษัตริย์ และพระเจ้าประทานให้ตามที่ขอ เมื่อพระองค์เจิมตั้งดาวิดแทนที่ซาอูล และโดยทางดาวิด ราชวงศ์ดาวิดได้ถูกก่อตั้งขึ้น ดาวิดปฏิเสธไม่ขอยกมือขึ้นทำร้ายผู้ที่พระเจ้าเจิมไว้ แต่แล้วชนเผ่าของ อิสราเอลเอง กลับไปเชื่อฟังเชบา ละทิ้งดาวิดกษัตริย์ของตนเอง พวกเขาประกาศไม่ยอมรับว่าดาวิดเป็น กษัตริย์ ทั้งๆที่รู้ว่าพระเจ้าเป็นผู้เจิมตั้ง พวกเขานึกถึงกษัตริย์ในแง่เป็นจ้าวเข้าจ้าวของ เป็นผู้ที่ยอมทำตาม ที่พวกเขาต้องการ ไม่ว่าจะเป็นเมื่อใด และถ้าท่านไม่ยอม พวกเขาก็รู้สึกว่า ไม่เอาก็ได้ และทิ้งท่านไป การที่ อิสราเอลกบฎต่อดาวิด ก็คือกบฎต่อพระเจ้าด้วย
แต่ขออย่าให้เราพลาด คิดเอาเองว่าเป็นเพราะอิสราเอลทำบาป กบฎต่อดาวิด ยูดาห์จะเป็นฝ่ายที่สัตย์ซื่อ ต่อพระเจ้า เพราะยังจงรักภักดีต่อดาวิดอยู่ เมื่อตอนที่คนยูดาห์ทะเลาะกับคนอิสราเอล คนอิสราเอลเถียงว่า พวกเขานั้นมีสิบเผ่า พวกเขาจึงมีสิทธิในดาวิดสิบเท่า พูดง่ายๆก็คือ ดาวิดมีหน้าที่ต้องทำตามพวกเขามากกว่า ยูดาห์สิบเท่า แต่เมื่อคนยูดาห์พูดถึงสัมพันธภาพที่มีต่อดาวิด พวกเขาอ้างว่าเป็นญาติสนิท สืบเชื้อสายกันมา ไม่มีฝ่ายใดเลย ไม่ว่าจะอิสราเอลหรือยูดาห์ จะพูดว่าดาวิดเป็นกษัตริย์ที่พระเจ้าเจิมไว้ ทั้งสองฝ่ายยื้อดาวิดไว้ ก็เพื่อสนองความต้องการของตนเอง ดังนั้นยูดาห์ก็ไม่ดีไปกว่าการที่อิสราเอลทิ้งท่านไป
เป็นจริงเช่นเดียวกันหรือไม่ สำหรับมวลมนุษยชาติ ทุกยุคทุกสมัย? เมื่อพระเจ้าสร้างอาดัมและเอวา พระองค์ ทำที่อาศัยให้ในสวนเอเด็น พระองค์อนุญาตให้พวกเขามีอิสระที่จะรับประทานผลไม้ทุกต้นในสวน ยกเว้นแต่ เพียงต้นเดียว ที่ต้องห้าม ซาตานมาทันที มันบอกพวกเขาว่าถ้าความต้องการของพวกเขาไม่ตรงกับพระเจ้า พวกเขาก็มีสิทธิทำตามอำเภอใจได้ ไม่จำเป็นต้องขึ้นตรงต่อพระองค์ พวกเขาจึงทำตาม จากนั้นเป็นต้นมา มนุษย์ได้กบฎต่อการเป็นผู้นำของพระเจ้า
เมื่อองค์พระเยซูคริสต์เสด็จมาบนโลกนี้ พระองค์เป็นพระเมสซิยาห์ของพระเจ้า เป็นผู้ที่พระเจ้าเจิมตั้งไว้ เป็น กษัตริย์ของพระเจ้า แรกๆ มีหลายคนติดตามพระองค์ ตื่นเต้นเกี่ยวกับราชอาณาจักรของพระองค์ แต่เมื่อพวก เขาพบว่า อาณาจักรของพระองค์ไม่ได้เป็นแบบที่พวกเขาคิดไว้ พวกเขาประกาศไม่ยอมรับพระองค์ กลับไป เลือกซีซาร์ให้เป็นกษัตริย์แทน
ทุกวันนี้ก็เหมือนกัน มีการพูดคุยถกเถียงกันมากมาย เกี่ยวกับการเป็นพระเจ้าของพระองค์ เป็นการยากที่จะ ปฏิเสธว่าพระเยซูไม่เพียงแต่ต้องการให้เราวางใจในพระองค์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอดเท่านั้น แต่ให้ยอมเชื่อฟัง พระองค์ในฐานะเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าด้วย เราช้าและขาดความไวที่จะยอมรับเรื่องนี้มากแค่ไหน? แต่เราเร็ว มากที่จะละทิ้ง ไม่ยอมให้พระองค์มาเป็นพระผู้เป็นเจ้าในชีวิตของเรา พระคัมภีร์เขียนไว้อย่างชัดเจน สั่งให้เรา ทำบางสิ่ง และหลีกเลี่ยงบางเรื่อง แต่เผอิญคำสั่งนี้ไม่สอดคล้อง ตรงกับความต้องการของเรา เราหันหลัง กลับทันควัน ไม่ต้องการให้พระองค์มายุ่งกับเราอีกต่อไป ปัดคำสั่งของพระองค์ออกไปจากทางของเรา เพราะ เห็นว่าไม่น่าจะเกี่ยวกับเราตรงไหน (ความหมายเดียวกับการกบฎและไม่เชื่อฟัง) เมื่อผู้นำที่พระเจ้าแต่งตั้ง (ไม่ว่า จะเป็น สามี บิดามารดา ผู้นำบ้านเมือง หรือผู้นำคริสตจักร) ขอให้เราทำในสิ่งที่เสื่อมเกียรติสำหรับเรา เราไม่ยอมรับคนๆนั้น มองหาผู้นำคนใหม่ในทันที และต้องเป็นผู้นำแบบที่จะ "นำ" เราไปในทางที่เราชื่นชอบ เราปฏิเสธไม่ยอมรับการเป็นผู้นำของพระเจ้าไปกี่มากน้อยแล้ว?
ในที่สุดแล้ว "ผู้นำ" มีแต่เพียงผู้เดียวเท่านั้น ที่เราต้องทำตาม นั่นคือองค์พระเยซูคริสต์ พระผู้เป็นเจ้าของเรา:
13 พระองค์ได้ทรงช่วยเราให้พ้นจากอำนาจของความมืด และได้ทรงย้ายเรามา ตั้งไว้ในแผ่นดินแห่งพระบุตรที่รักของพระองค์ 14 ในพระบุตรนั้นเราจึงได้รับการไถ่ ซึ่งเป็นการทรงโปรดยกบาปทั้งหลายของเรา 15 พระองค์ทรงเป็นพระฉายของพระเจ้า ผู้ซึ่งไม่ประจักษ์แก่ตา ทรงเป็นบุตรหัวปีเหนือสรรพสิ่งทั้งปวง 16 เพราะว่าในพระองค์ สรรพสิ่งได้ถูกสร้างขึ้น ทั้งในท้องฟ้าและที่แผ่นดินโลก สิ่งซึ่งประจักษ์แก่ตาและ ซึ่งไม่ประจักษ์แก่ตา ไม่ว่าจะเป็นเทวบัลลังก์ หรือเป็นเทพอาณาจักร หรือเป็นเทพ ผู้ครองหรือศักดิเทพ สรรพสิ่งทั้งสิ้นถูกสร้างขึ้น โดยพระองค์และเพื่อพระองค์ 17
พระองค์ทรงดำรงอยู่ก่อนสรรพสิ่งทั้งปวง และสรรพสิ่งทั้งปวงเป็นระเบียบอยู่โดย
พระองค์ 18 พระองค์ทรงเป็นศีรษะของกาย คือคริสตจักร พระองค์ทรงเป็นปฐม เป็นผู้แรกที่ทรงเป็นขึ้นมาจากความตาย เพื่อพระองค์จะได้ทรงเป็นเอกในสรรพสิ่ง
ทั้งปวง 19 เพราะว่าพระเจ้าทรงพอพระทัย ที่จะให้ความบริบูรณ์ทั้งสิ้นธำรงในพระ
องค์ 20 และโดยพระองค์ ให้สิ่งสารพัดกลับคืนดีกับพระเจ้า ไม่ว่าสิ่งนั้นจะอยู่ใน แผ่นดินโลกหรือในสวรรค์ พระองค์ทรงทำให้มีสันติภาพด้วยพระโลหิตแห่งกางเขน
ของพระองค์ (โคโลสี 1:13-20)
คนที่ปฏิเสธพระองค์ ก็นำชีวิตตนเองเข้าสู่อันตราย และในวันหนึ่งข้างหน้า จะยอมรับว่าพระองค์เป็นจอม กษัตริย์ขององค์พระผู้เป็นเจ้า:
5 ท่านจงมีน้ำใจต่อกันเหมือนอย่างที่มีในพระเยซูคริสต์ 6 ผู้ทรงสภาพของพระเจ้า แต่มิได้ทรงถือว่าการเท่าเทียมกับพระเจ้านั้นเป็นสิ่งที่จะต้องยึดถือ 7 แต่ได้กลับทรง
สละ และทรงรับสภาพทาส ทรงถือกำเนิดเป็นมนุษย์ 8 และเมื่อทรงปรากฏพระองค์ ในสภาพมนุษย์แล้ว พระองค์ก็ทรงถ่อมพระองค์ลงยอมเชื่อฟังจนถึงความมรณา กระทั่งความมรณาที่กางเขน 9 เหตุฉะนั้นพระเจ้าจึงได้ทรงยกพระองค์ขึ้นอย่างสูง และได้ประทานพระนามเหนือนามทั้งปวงให้แก่พระองค์ 10 เพื่อเพราะพระนามนั้น
ทุกเข่า ในสวรรค์ ที่แผ่นดินโลก ใต้พื้นแผ่นดินโลก จะคุกลงกราบ พระเยซู 11
และเพื่อ ทุกลิ้นจะยอมรับ ว่าพระเยซูคริสต์ทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า อันเป็นการ ถวายพระเกียรติแด่พระบิดาเจ้า (ฟีลิปปี 2:5-11)
พระเจ้าประทานโอกาสให้กับมนุษย์ ที่จะยอมวางใจให้พระเยซูคริสต์เป็นองค์พระผู้ช่วยให้รอด เป็นผู้แบกบาป ของเรา และรับพระองค์ในฐานะกษัตริย์ของพระเจ้า ผู้ใดที่ยอมรับพระองค์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดและเป็นจอม กษัตริย์ จะได้รับการอภัยบาป และมีที่อยู่ในอาณาจักรของพระองค์ ผู้ที่ปฏิเสธพระองค์ ในวันหนึ่งข้างหน้า จะยอมรับพระองค์เป็นกษัตริย์ แต่จะถูกกำจัดออกจากอาณาจักรของพระองค์ตลอดไป ต้องทนทุกข์ทรมาณ ชั่วนิรันดร์เพราะการเป็นกบฎ ผู้ที่พระเจ้าแลือกไว้ให้เป็นกษัตริย์ปกครองเรา เป็นผู้เดียวกับที่พระเจ้าทรงส่งให้ มาเป็นผู้รับใช้ที่ทนทุกข์เพื่อพระองค์ เป็นผู้แบกรับการลงทัณฑ์แทนบาปของเรา เพื่อที่จะมอบชีวิตนิรันดร์ให้ เรา ขอให้เรายอมรับพระองค์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด และเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า ให้เราดำเนินชีวิตเป็นประชากร ที่สัตย์ซื่อของพระองค์ เพื่อพระสิริและเพื่อความสุขนิรันดร์ของเรา
88 ในต้นฉบับภาษาฮีบรู คำๆนี้เป็นคำพูดเดียวกับ ที่นาธันพูดกับดาวิดใน 2 ซามูเอล 12:13 พระคุณของ พระเจ้าที่มีต่อดาวิด บัดนี้ดาวิดมีต่อให้ชิเมอีด้วย
89 ผมต้องขอสารภาพครับ เมื่อตอนที่เราเรียนพระธรรมบทที่ 12 ผมพูดชัดว่า ดาวิดไม่ได้สนใจเรื่องว่าตนเอง ต้องถูกฝังใกล้กับบุตร เขาเพียงแต่พูดด้วยความหวังว่าจะไปพบกับบุตรในสวรรค์ ผมยังไม่ลืมครับ แต่ผมต้อง ชี้ให้เห็นว่าบารซิลลัย กลับรู้สึกสงบที่จะได้ถูกฝังอยู่ใกล้กับผู้เป็นที่รัก น่าจะเป็นความสบายใจที่ทำให้ดาวิด สงบลงได้ในบทที่ 12 ใครมีความเห็นอย่างไร พูดคุยกันได้ครับ
90 คุณคงจำอาบีชัยพี่ชายโยอาบได้ คนที่เคยขอลงมือฆ่าซาอูล และถ้าได้ลงมือ แค่เพียงครั้งเดียว เหยื่อจะ ตายทันที โดยไม่ต้องซ้ำสอง (1 ซามูเอล 26:8) พี่น้องสองคนนี้ รู้สึกภาคภูมิใจในฝีมือตนเองยิ่งนัก
91 อามาสาเป็นบุตรของพี่สาวดาวิด อาบิกายิล (2 ซามูเอล 17:25; 1 พงศาวดาร 2:17) ส่วยโยอาบเป็นบุตร ของพี่สาวอีกคน นางเศรุยาห์ ดังนั้นโยอาบและอามาสาจึงเป็นลูกพี่ลูกน้องกัน
92 ชัดเจนตามคำบอกเล่าของหญิงผู้นั้น ในข้อ 19
ไม่นานมานี้ ผมและภรรยาได้เดินทางไปพักผ่อน เราใช้เวลาหนึ่งอาทิตย์ ท่องเที่ยวอยู่ทางเหนือของชาย ฝั่งตะวันออก เราขับรถผ่านไปทางแมสซาชูเสส รัฐเมน โนวา-สโกเทีย เกาะพรินส์เอดเวิร์ด นิวบรันสวิก เวอร์มอนท์ นิวแฮมเชอร์ และโรดส์ไอส์แลนด์ เราทั้งคู่รักชายฝั่งทะเล ที่มีทั้งอ่าว ท่าเรือและชายหาด ใบไม้ เปลี่ยนสีของฤดูใบไม้ร่วงทำให้เราถึงกับตะลึง ไม่ว่าจะเป็นสีทอง สีเหลือง สีแสด หรือแม้กระทั่งสีแดงเพลิง ตลอดชีวิต เราอาศัยอยู่แต่แถบตะวันตกเฉียงเหนือ และแถวเท็กซัส เมื่อได้มาสัมผัสบรรยากาศเก่าๆแถว ชายฝั่งด้านตะวันออก เราได้แต่นิ่งงัน เห็นโบสถ์ที่สร้างก่อนการประกาศเอกราช สุสานของคนที่ตายไปแล้ว นับศตวรรษ
คำว่า "เก่า" สร้างความหมายใหม่ให้กับเรา ; "เก่า" นี้น่าจะ "เก่ากว่า" ที่เราเคยคิดเอาไว้ แต่ว่าในอเมริกา คำว่า "เก่า" ยังไม่ค่อย "เก่า" เท่าไหร่ คุณคิดว่าตึกอายุ 200 ปี หรือสุสานเก่าๆนี้ "เก่า" จริงหรือ? ลองเทียบ กับ "ความเก่า" ที่บรรดาธรรมิกชนในพระคัมภีร์เดิมนึกถึง เช่น ชาวอิสราเอลที่ทำพันธสัญญากับชาวกิเบโอน สี่ร้อยปีก่อนสมัยของดาวิด เราคงสงสัยกันว่ากษัตริย์ซาอูลลืมเรื่องพันธสัญญานี้หรือเปล่า หรืออาจเป็นได้ว่า เพราะมัน "เก่า" เกินกว่าจะไปยึดถือเป็นจริงเป็นจัง ท่านคิดผิดมากครับ! การกระทำของท่าน ชาวกิเบโอน ถือว่าเป็นการทำให้แผ่นดินอิสราเอลมัวหมอง เกิดกันดารอาหารหลังจากที่ท่านตาย จึงตกอยู่ที่ดาวิด ผู้จะต้อง เข้ามาแก้ใข ทำในสิ่งที่ซาอูลละเมิดให้ถูกต้อง
เรื่องเช่นนี้ฟังดูไม่คุ้นหูพวกเราทั้งหลาย เราสงสัย ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงต้องฆ่าคนในราชวงศ์ของซาอูลถึงเจ็ด คน เพื่อชดใช้การกระทำของท่าน ที่ทำไว้หลายปีมาแล้ว เพียงเพื่อรักษาสัญญาที่ทำไว้เมื่อ 400 ปีก่อนหน้า เรางุนงงที่เห็นมารดาของบุตรที่ถูกสังหารทั้งสอง พยายามปกป้องศพของบุตรชาย และการที่ ดาวิดนำกระดูก ของพวกเขามาทำพิธีฝังให้อย่างถูกต้อง รวมกับกระดูกของซาอูลและบรรดาบุตรของท่าน ที่แปลกคือ เราพบ ว่าโกลิอัท ทหารยักษ์ที่ดาวิดฆ่าเมื่อเริ่มเข้าสู่วงการ มีบุตรหลานอยู่มากมาย ล้วนแล้วแต่ มีร่างกายใหญ่โต เป็นยักษ์ทั้งสิ้น
เรื่องแปลกๆเช่นนี้ ถูกรวบรวมเอาไว้ในบทที่ 21 ของพระธรรม 2 ซามูเอล ด้วยการดลใจและควบคุมขององค์ พระผู้เป็นเจ้า ขอให้เราตระหนักว่า เรื่องราวเหล่านี้ เป็นจุดสูงสุด ที่สรุปรวมความของพระธรรม 1 และ 2 ซามูเอลไว้ด้วยกัน ผู้เขียนค่อยๆนำเราเข้าสู่จุดนี้ในพระคัมภีร์ ดังนั้นเนื้อหาที่มีอยู่ จึงสำคัญยิ่งสำหรับพวกเรา ของให้เราตั้งใจฟังให้ดี และเรียนในสิ่งที่พระเจ้ามีพระประสงค์ให้เราเรียนรู้
1 ในสมัยของดาวิดมีการกันดารอาหารอยู่สามปี ปีแล้วปีเล่า และดาวิดก็เข้าเฝ้าต่อ
พระพักตร์พระเจ้า พระเจ้าตรัสว่า "เพราะเขาฆ่าคนกิเบโอน ความผิดที่เขาทั้งหลาย
ต้องตายจึง ตกอยู่กับซาอูลและพงศ์พันธุ์ของเขา" 2 พระราชาจึงทรงเรียกคนกิเบ
โอนมาตรัสแก่เขา (ฝ่ายคนกิเบโอนนั้นไม่ใช่ประชาชนอิสราเอล แต่เป็นคนอาโมไรต์
ที่ยังเหลืออยู่ ถึงแม้ว่าประชาชนอิสราเอลจะ ได้ปฏิญาณไว้ว่าจะไว้ชีวิตเขาทั้งหลาย แต่ซาอูลก็ทรงหาช่องที่จะสังหารเขาทั้งหลายเสีย เพราะความร้อนใจที่เห็นแก่คน อิสราเอลและคนยูดาห์) 3 ดาวิดตรัสถามคนกิเบโอนว่า "เราจะกระทำอะไรให้แก่พวก
ท่านได้ เราจะทำอย่างไรจึงจะลบมลทินบาปเสียได้ เพื่อพวกท่านจะได้อวยพรแก่ มรดกของพระเจ้าได้" 4 คนกิเบโอนทูลตอบพระองค์ว่า "ระหว่างพวกข้าพระบาท กับ ซาอูลและพงศ์พันธุ์ของท่าน นั้นไม่ใช่เรื่องเงินหรือทอง ทั้งไม่ใช่เรื่องของพวกข้าพระ บาทที่จะประหารชีวิต อิสราเอลคนหนึ่งคนใด" พระองค์จึงตรัสว่า "แล้วพวกท่านจะ ให้เรากระทำอะไรแก่ท่านเล่า" 5 เขากราบทูลพระราชาว่า "ชายผู้ที่เผาผลาญพวกข้า
พระบาท และวางแผนการทำลายพวกข้าพระบาท เพื่อมิให้พวกข้าพระบาทมีที่อยู่ใน เขตแดนอิสราเอล 6 ขอทรงมอบบุตรเจ็ดคนของเขาให้แก่พวกข้าพระบาท เพื่อพวกข้า พระบาทจะได้แขวนเขาเสียต่อ พระพักตร์พระเจ้าที่กิเบอาห์แห่งซาอูลผู้เลือกสรรของ
พระเจ้า" และพระราชาตรัสว่า "เราจะจัดเขามาให้" 7 แต่พระราชาทรงไว้ชีวิตเมฟีโบเชท บุตรของโยนาธานราชโอรสของซาอูล ด้วยเหตุคำปฏิญาณระหว่างทั้งสองที่กระทำใน พระนามพระเจ้า คือระหว่างดาวิดกับโยนาธานราชโอรสของซาอูล 8 แต่พระราชานำ เอาบุตรสองคนของนาง ริสปาห์บุตรีของอัยยาห์ ซึ่งบังเกิดกับซาอูล ชื่ออารโมนีกับ
เมฟีโบเชท กับบุตรห้าคนของเมราบ ราชธิดาของซาอูล ซึ่งพระนางมีกับอาดรีเอล บุตรบารซิลลัยชาวเมโหลาห์ 9 พระองค์ทรงมอบคนเหล่านี้ไว้ในมือของคนกิเบโอน เขาทั้งหลายจึงแขวนคนทั้งเจ็ดไว้บนภูเขาต่อพระพักตร์พระเจ้า และทั้งเจ็ดคนก็พินาศ
ไปด้วยกัน เขาถูกฆ่าตายในวันแรกของฤดู เกี่ยวข้าวในวันต้นการเกี่ยวข้าวบารลี
ชาวกิเบโอนเป็นชนเผ่าที่น่าสนใจ ผู้เขียนเรียกคนพวกนี้ว่าเป็นชาวอาโมไรต์ (21:2) แต่โดยทั่วไปแล้ว เป็นที่ รู้จักกันว่าเป็นคนฮีไวต์ (โยชูวา 9:1, 7; 11:19)93 คนกิเบโอนเหล่านี้อาศัยอยู่ในคานาอัน เป็นคนที่พระเจ้า สั่งให้คนอิสราเอลทำลายให้หมดสิ้น (อพยพ 33:2; 34:11; เฉลยธรรมบัญญัติ 7:1-2) ซึ่งน่าจะเป็นไปตามนั้น เสียแต่เพียงว่ามีกรณีพิเศษ ทำให้ต้องหักเหไป ตามที่บันทึกอยู่ในพระธรรมโยชูวาบทที่ 9 ภายใต้การนำของ โยชูวา ชาวอิสราเอลได้ข้ามแม่น้ำจอร์แดน (โยชูวา 3) และเข้ายึดเมืองเยริโค(บทที่ 6) และต่อมายึดเมืองอัย (บทที่ 7 และ 8) เมืองที่อิสราเอลต้องเข้ายึดครองเมืองต่อไปคือกิเบโอน และชาวกิเบโอนก็รู้ตัวดี
กิเบโอนเป็นเมืองใหญ่ มีนักรบที่มีฝีมืออยู่เป็นจำนวนมาก (10:2) เราคิดว่าพวกเขาน่าจะลุกขึ้นต่อสู้ แต่ชาว เมืองนี้กลับเลือกใช้วิธีอื่น เช่นเดียวกับนางราหับที่เมืองเยริโค ชาวกิเบโอนเชื่อว่าพระเจ้าประทานแผ่นดิน คานาอันให้กับชาวอิสราเอล พวกเขารู้ดีว่าไม่มีทางชนะถ้าขืนคิดสู้ จึงตัดสินใจส่งคณะผู้แทนไปเจรจา ทำที ว่ามาจากที่ไกล เพื่อจะมาให้ถึงที่ๆอิสราเอลตั้งค่ายอยู่ คณะผู้แทนนี้บันทุกกะสอบเก่า และถุงหนังเหล้าองุ่นไว้ บนหลังลา สวมใส่เสื้อผ้าเก่าขาด นำแป้งขนมปังและเสบียงมาด้วย ภาพทุกอย่างทำให้เห็นเหมือนกับว่ามา จากที่ไกล คนอิสราเอลตกลงทำสัญญาสันติภาพกับกลุ่มคนที่ "มาจากที่ไกล" คณะนี้ เมื่อคนอิสราเอลรู้ว่า ถูกหลอก พวกเขาต้องการฆ่าคนกิเบโอน แต่พันธสัญญาที่พึ่งได้ตกลงกันไป ทำให้พวกเขาไม่สามารถทำได้ คนอิสราเอลจึงนำคนกิเบโอนมาใช้เป็นทาส ให้ตัดฟืน และตักน้ำ โดยเฉพาะสำหรับใช้ที่ในพลับพลา (โยชูวา 9:16-17)
พันธสัญญาที่ชาวกิเบโอนทำไว้กับชาวอิสราเอล ทำให้พวกเขาอยู่รอดปลอดภัย แต่ก็เสี่ยงกับความไม่พอใจ ของเพื่อนร่วมชาติชาวอาโมไรต์เมืองอื่นๆ เมื่อกษัตริย์ทั้งห้าของอาโมไรต์ รู้เรื่องสัญญาเป็นพันธมิตรที่ชาว กิเบโอนทำกับอิสราเอล พวกเขาจึงมองชาวกิเบโอนเป็นศัตรู กษัตริย์ทั้งห้าตัดขาดกับกิเบโอน และยกทัพ หมายจะมาโจมตีและทำลายเมืองนี้เสีย (10:1-5) เมื่อคนกิเบโอนรู้ว่าจะถูกโจมตี พวกเขาส่งสารไปหาโยชูวา ที่กิลกาล ขอความช่วยเหลือ และก็ได้ตามนั้น (สัญญาที่กิเบโอนทำไว้กับอิสราเอล ครอบคลุมไปถึงการช่วย คุ้มครองด้วย) พระเจ้าทรงประทานความมั่นใจให้แก่โยชูวาว่าท่านจะชนะ : "จะไม่มีผู้ใดในพวกเขา สักคน เดียวที่จะยืนหยัด ต่อสู้เจ้าได้" (10:8) เดินทางทั้งคืนมาจากกิลกาล โยชูวาจัดการกับกษัตริย์อาโมไรต์ทั้ง ห้าจนไม่เหลือเลยที่กิเบโอน ทั้งที่ต่างพยายามหลบหนี พระเจ้าทรงโยนลูกเห็บใหญ่ลงมาจากฟ้า ฆ่าพวกเขา ตายไปเสียมากกว่าคมดาบ (10:11) ถึงกระนั้นก็ยังไม่ชนะเด็ดขาด โยชูวาจึงอธิษฐานขอให้พระเจ้า ทำให้ดวง อาทิตย์หยุดอยู่กับที่ เพื่ออิสราเอลจะมีเวลาและแสงเพียงพอ ที่จะทำลายคนอาโมไรต์ให้หมดสิ้น ดวงอาทิตย์ หยุดนิ่งอยู่เหนือกิเบโอน ไม่มีวันใดอีกแล้ว ที่เป็นวันแห่งสงครามอันยาวนานเท่าวันนั้น เราคงสงสัย ว่าทำไม คนอาโมไรต์เหล่านี้ คิดว่าจะยับยั้งพระหัตถ์พระเจ้าได้ ในเมื่อพวกเขากำลังทำลายประชากรอิสราเอล พล เมืองของพระองค์ ประชากรที่พระองค์ประทานพระพรให้
เมื่ออิสราเอลเข้าครอบครองคานาอัน เมืองกิเบโอนถูกแบ่งให้เป็นส่วนของเผ่าเบนยามิน และเป็นเมืองที่เก็บ ไว้้สำหรับพวกเลวี (โยชูวา 21:17) เป็นเมืองที่ "สงวนไว้" สำหรับจัดตั้งพลับพลา และประดิษฐานอยู่ที่นั่น จนกระทั่งพระวิหารที่ซาโลมอนสร้างเสร็จลง (ดาวิดนำหีบแห่งพระเจ้ามาไว้ที่เยรูซาเล็ม แต่พลับพลาและ แท่นเผาบูชา ยังอยู่ทีกิเบโอน (ดู 2 ซามูเอล 6; 1 พศด. 16:39-40; 21:29) ในช่วงเริ่มต้นการปกครองของ ซาโลมอน ท่านไปที่กิเบโอน เพื่อไปนมัสการพระเจ้าและถวายเครื่องบูชา และที่นี่เองเป็นสถานที่ ที่พระเจ้า เสนอจะมอบสิ่งที่ซาโลมอนทูลขอ (1 พศด. 16:39; 21:29; 2 พศด. 1:1-13; 1 พกษ. 3:4-5)
กิเบโอนเป็นเมืองบรรพบุรุษของซาอูล (1 พศด. 8:29-30; 9:35-39) เป็นเมืองที่คน 12 คนของอิชโบเชท (บุตรของซาอูล) มาท้าทายกับ 12 คนของดาวิด ทะเลาะเป็นเรื่องเป็นราวใหญ่โตจนเกิดการสู้รบ ถึงขั้นนอง เลือด (2 ซามูเอล 2:12-17) เป็นเมืองที่มี "ศิลาใหญ่" ตั้งอยู่ เป็นที่เดียวกับที่โยอาบออกมาพบอามาสา และฆ่าเสีย (2 ซามูเอล 20:8) ต่อมาเมื่อดาวิดชราภาพ และโยอาบทำสิ่งที่โง่เขลา ด้วยการไปสนับสนุน อาโดนียาห์ (ต่อต้านซาโลมอน) ให้เป็นผู้สืบทอดราชบัลลังก์ต่อจากดาวิด โยอาบหนีไปที่กิเบโอน ไปจับ เชิงงอนที่แท่นบูชาไว้ แต่ก็ไม่เป็นผล (1 พกษ. 2:28-34).
เวลาผ่านไปถึง 400 ปีแล้ว กว่าจะมาถึงพระธรรมตอนนี้ ที่พวกผู้นำอิสราเอลเคยพลาดท่า ไปทำพันธสัญญา กับชาวกิเบโอน เราคิดว่าพันธสัญญานี้น่าจะล้มเลิกไปได้แล้ว เพราะเป็นเรื่องเก่าเก็บในประวัติศาสตร์ แต่ อยู่ดีๆ ก็มีพวกกิเบโอนโผล่ขึ้นมาในพระธรรม 2 ซามูเอลตอนนี้ เกิดการกันดารอาหารขึ้นในอิสราเอลเป็นเวลา ถึงสามปี ดาวิดจึงทูลถามพระเจ้า ว่าเหตุใดพระองค์จึงให้เกิดการกันดารอาหารขึ้น พระเจ้าตอบว่าเป็นเพราะ บาปของซาอูลและราชวงศ์ของท่าน บาปที่ทำไว้กับชาวกิเบโอน เป็นเพราะต้องการรักษาประโยชน์ให้กับ ประเทศ ให้กับลูกหลานอิสราเอลและยูดาห์ ซาอูลและราชวงศ์ของท่าน จึงคิดแผนการทำลายล้างเผ่าพันธ์ กิเบโอนให้หมดสิ้น ท่านค่อยๆกำจัดพวกนี้ออกไปทีละนิดๆ ซึ่งแทบไม่มีผู้ใดรู้ (รวมทั้งคนในราชวงศ์ด้วย) ที่จริง ถ้าซาอูลคิดจะกำจัดพวกกิเบโอน ท่านน่าจะทำได้ง่ายกว่า จากเมืองบ้านเกิดของท่านเองที่กิเบอา เรา ไม่รู้ว่าซาอูลดำเนินแผนการชั่วร้ายนี้ไปได้มากน้อยแค่ไหน และเพราะหตุใดจึงทำไม่สำเร็จ
การกระทำของซาอูลเป็นการละเมิดต่อพันธสัญญาที่อิสราเอลทำไว้กับชาวกิเบโอน เมื่อกว่า 400 ปีมาแล้ว 94 เป็นพันธสัญญาที่ผู้ใหญ่อิสราเอลในสมัยนั้นพลาดท่าเสียทีทำไป คนอิสราเอลไม่น่าหลวมตัวไปในเรื่องนี้ แต่ เมื่อทำไปแล้ว คนอิสราเอลจำต้องรักษาพันธสัญญาไว้ โยชูวาถึงได้ไปช่วยชาวกิเบโอนสู้รบ หลังจากที่ทำ พันธสัญญานี้ได้ไม่กี่วัน และบัดนี้ เวลาผ่านไปแล้วหลายร้อยปี ซาอูลกลับไปลงมือทำในสิ่งที่ขัดกับข้อผูกมัด ในอดีต ท่านเริ่มปฏิบัติการล้างเผ่าพันธ์กิเบโอน ซึ่งต่างกับที่ฮามานเคยคิดจะทำลายล้างชาวยิว (ดูพระธรรม เอสเธอร์) อย่างไรก็ตาม พระเจ้าทรงยับยั้งไม่ให้แผนการชั่วร้ายนี้สำเร็จ เราไม่รู้เรื่องราวของแผนการนี้เลย จนกระทั่งหลายปีผ่านไป พระเจ้าให้เกิดการกันดารอาหารขึ้นในอิสราเอล ทำให้ดาวิดต้องทูลถามพระเจ้า ถึงปัญหา และพยายามแก้ใขให้ถูกต้อง
ผู้เขียนไม่ได้พูดชัดเจนเรื่องเวลาที่เหตุการณ์นี้เกิดขึ้น เราไม่รู้ว่าการกันดารอาหารนี้อยู่ในช่วงใหนของชีวิต ดาวิด เรารู้แต่เพียงว่าเกิดขึ้นหลังจากที่ซาอูลและบุตรสิ้นชีพไปแล้ว เมื่อเกิดการกันดารอาหาร ก็เกิดต่อเนื่อง กันไปถึงสามปี นี่ไม่ใช่เป็นการกันดารอาหารแบบธรรมดา แต่เป็นเหตุการณ์ที่ดาวิดรู้สึกได้ว่าต้องเป็นมาจาก พระเจ้า ในพันธสัญญาโมเสส มีบ่งไว้ว่า การกันดารอาหารมาจากพระหัตถ์พระเจ้า เพื่อเป็นการลงโทษสำหรับ ความบาป (ดูเฉลยธรรมบัญญัติ 28:23-24; 2 พศด. 6:26-31) ดาวิดจึงทูลถามพระเจ้า ถึงสาเหตุของการ กันดารอาหาร คำตอบของพระเจ้านั้นชัดเจนยิ่งนัก :
"เพราะเขาฆ่าคนกิเบโอน ความผิดที่เขาทั้งหลายต้องตายจึง ตกอยู่กับซาอูล และพงศ์พันธุ์ของเขา" (2 ซามูเอล 21:1ข KJV)
ผมเลือกที่จะนำคำตอบของพระเจ้ามาจากฉบับบแปลของ KJV เพราะคิดว่าใกล้เคียงกับภาษาฮีบรูมากที่สุด "สำหรับซาอูล และสำหรับราชวงศ์กระหายเลือด (ของเขา)" คำพูดนี้น่าจะช่วยให้การแปลในฉบับอื่นๆเห็น ภาพชัด เหตุใดดาวิดจึงส่งบุตรหลานของซาอูลให้ไปตาย ทั้งๆที่บาปนั้นซาอูลเป็นผู้กระทำ? บัญญัติของ โมเสสสั่งห้ามอิสราเอลไม่ให้ลงโทษบุตรในบาปของบิดา:
16 "อย่าให้บิดาต้องรับโทษถึงตายแทนบุตรของตน หรือให้บุตรต้องรับโทษถึง ตายแทนบิดาของตน ให้ทุกคนรับโทษถึงตายด้วยโทษของคนนั้นเอง" (เฉลยธรรมบัญญัติ 24:16, NASV)
คำตอบของพระเจ้าที่มีต่อดาวิด ย้ำข้อเท็จจริงว่าซาอูลไม่ได้ลงมือทำการฆ่าล้างเผ่าพันธ์กิเบโอนเพียง คนเดียว ท่านคงต้องมีคนช่วย และใครจะทำเช่นนี้ได้ นอกจากเป็นคนในครอบครัว ไม่ว่าพวกเขาเป็นผู้ลงมือ ทำโลหิตของชาวกิเบโอนตกเองหรือไม่ก็ตาม อย่างน้อยพวกเขาต้องรู้ จึงจัดว่าเป็นผู้สมรู้ร่วมคิด มีส่วนใน แผนการชั่วร้ายนี้ด้วย95
ผมคิดว่าแรงจูงใจที่ซาอูลลุกขึ้นมากำจัดชาวกิเบโอนนั้น น่าจะเป็นการสนองตัณหาตัวเองมากกว่า เพราะว่า ท่านอาศัยอยู่ในแผ่นดินส่วนของเผ่าเบนยามิน และเมืองกิเบอาบ้านเกิดก็ไม่ไกลไปจากเมืองกิเบโอน อาจ เป็นได้ว่าครอบครัวของท่าน น่าจะเป็นผู้ได้ครอบครองดินแดนส่วนนี้ แต่ในพระคัมภีร์พูดว่า ซาอูลทำการ ครั้งนี้ก็ด้วยแรงจูงใจที่รักชาติอย่างผิดๆ "แต่ซาอูลก็ทรงหาช่องที่จะสังหารเขาทั้งหลายเสีย เพราะ ความร้อนใจที่เห็นแก่คน อิสราเอลและคนยูดาห์" (ข้อ 2) เพื่อนผมคนหนึ่งเคยพูดถึงประโยคนี้ว่า "ซาอูล ไม่เคยทำอะไรถูกสักที" ท่านไม่ยอมฆ่าคนอามาเลขให้หมด ทั้งๆที่พระเจ้าสั่ง (1 ซามูเอล 15) ท่านพยายาม ทำลายล้างเผ่าพันธ์กิเบโอน ด้วยความคิดว่าทำประโยชน์ให้กับอิสราเอลและยูดาห์ แต่ทำไม่สำเร็จ ดังนั้น ท่านจึงเป็นตัวต้นเหตุที่ทำให้แผ่นดินอิสราเอลเกิดการกันดารอาหาร
ดาวิดรู้ดีว่าท่านต้องทำบางสิ่ง เพื่อลบล้างบาปของซาอูล และเพื่อให้ได้มาซึ่งพรจากชาวกิเบโอน เพื่อว่า การกันดารอาหารจะได้จบสิ้นลง แต่สำหรับเราแล้ว เรารู้สึกว่าเป็นเรื่องแปลกประหลาดเหลือเชื่อ ที่ชาว กิเบโอนจะเป็นผู้ "อวยพร" คนอิสราเอล ประชากรของพระเจ้า เพื่อว่าพระเจ้าจะอำนวยพระพรให้กับคน อิสราเอลอีกครั้ง ดูจะเป็นเรื่องกลับกัน กับที่ีบัญญัติไว้ในพันธสัญญาโมเสส :
"เราจะอำนวยพรแก่คนที่อวยพรเจ้า เราจะสาปคนที่แช่งเจ้า บรรดาเผ่าพันธุ์ทั่ว โลก จะได้พรเพราะเจ้า" (ปฐมกาล 12:3)
เป็นเพราะบาปของซาอูลและราชวงศ์กระหายเลือดของท่าน ทำให้ดูว่าคนกิเบโอนเป็นฝ่ายผิด ดูเหมือนพวก เขาร้องขอความเป็นธรรมจากพระเจ้า และสาปแช่ง (กันดารอาหาร) ให้ตกอยู่กับแผ่นดิน มันไม่ได้เกิดขึ้นใน สมัยของซาอูล แต่เกิดทีหลัง (อาจเป็นได้ว่าซาอูลไม่เคยคิดจะหาสาเหตุ ว่าทำไมแผ่นดินจึงกันดารอาหาร ไม่ใส่ใจที่จะแก้ใขสถานการณ์) บัดนี้เพื่อให้เรื่องนี้ยุติลง ต้องมีการชดใช้บาป (ด้วยการฆ่าผู้สืบทอดวงศ์วาน ของซาอูลเจ็ดคน) เพื่อชาวกิเบโอนจะได้อวยพรชาวอิสราเอล และพระเจ้าจะได้อำนวยพระพรแก่อิสราเอล ประชากรของพระองค์อีกครั้ง
ดาวิดเรียกชาวกิเบโอนมาพบ เพื่อสอบถามว่าท่านต้องทำสิ่งใด เพื่อจะแก้ใขเรื่องนี้ให้ถูกต้อง พวกเขาตอบ ท่านต่างจากที่ใจเราคิด อาจเป็นเพราะในสมัยนั้นยังไม่มีทนายความหัวเห็ด (โทษทีครับ) ที่คอยคิดสาระตะว่า จะได้เงินจากงานนี้เท่าไร แต่ชาวกิเบโอนแสดงชัดเจนว่ามันไม่ใช่เรื่องเงินที่เขาอยากได้ เพราะมันไม่มีทาง "สม" กับโลหิตที่ซาอูลทำให้ตกบนแผ่นดิน สิ่งที่พวกเขาพูดต่อมา คือสิ่งที่พวกเขาคิดว่าสาสมกับความ ยุติธรรม : "ทั้งไม่ใช่เรื่องของพวกข้าพระ บาทที่จะประหารชีวิต อิสราเอลคนหนึ่งคนใด" (ข้อ 4) พวก เขาไม่มีอำนาจใดในฐานะเมืองขึ้น ที่จะสั่งประหารคนยิว ดาวิดคงพอเข้าใจในสิ่งที่พวกเขากำลังขอ ท่านจึง ถามเขาไปตรงๆว่า พวกเขาต้องการให้ท่านทำสิ่งใด ท่านจะทำให้
ชาวกิเบโอนตอบดาวิดว่า เนื่องจากซาอูลได้สังหารพวกเขาไปมากมาย และยังมีความตั้งใจจะทำลายล้างเผ่า พันธ์ของพวกเขาให้หมดสิ้น พวกเขาคิดว่าชีวิต "ลูกหลาน"96 ของคนในราชวงศ์ซาอูลเจ็ดคน น่าจะสมกับ ความยุติธรรมที่ควรได้ พวกเขาจะแขวนคอลูกหลานทั้งเจ็ดคนนี้ "เพื่อพวกข้าพระบาทจะได้แขวนเขาเสีย ต่อ พระพักตร์พระเจ้า ที่กิเบอาห์แห่งซาอูลผู้เลือกสรรของพระเจ้า" (ข้อ 6) การแขวนคอ เป็นการลง โทษสำหรับความผิดสถานหนัก (ดูปฐมกาล 40:19; เฉลยธรรมบัญญัติ 21:22-23; โยชูวา 8:29; 10:26) ชาว กิเบโอนสัญญาว่าจะแขวนคอลูกหลานของซาอูล "ต่อเบื้องพระพักตร์พระเจ้า" ผมคิดว่าพวกเขามองเรื่องนี้ อย่างที่ควรเป็น คือทำตามพระประสงค์ของพระเจ้า ในแบบที่พระองค์พอพระทัย และแบบที่พวกเขาเองก็พอใจ พวกเขาจะทำการประหารนี้ที่บ้านเกิดของซาอูล ต่อหน้าพระพักตร์พระเจ้าที่กิเบอา เมืองของซาอูล
ผมพบว่าน่าสนใจ ที่ชาวกิเบโอนพูดถึงซาอูลว่าเป็น "ผู้เลือกสรรของพระเจ้า" แน่นอน นี่คงเป็นชื่อที่ใช้เรียก ซาอูลโดยทั่วไป ที่ชาวกิเบโอนคุ้นเคยดี แต่ผมคิดว่าที่เรียกเช่นนี้ในตอนนั้น คงต้องมีจุดประสงค์บางอย่าง หรือ ว่าซาอูลถือเอาว่าตนเองนั้นเป็น "ผู้เลือกสรรของพระเจ้า" จึงทำอะไรก็ได้ตามต้องการ? คุณว่าสิ่งนี้เป็นสิทธิ พิเศษเฉพาะตัว ที่ทำให้พระเจ้ามองข้ามความบาปของเขาไปหรือ?! ลูกหลานของ "ผู้เลือกสรรของพระเจ้า" กำลังจะถูกประหารที่บ้านเกิดของตนเอง พระเจ้าไม่เคยมองข้าม หรือยกเว้นความบาปของคนที่พระองค์เลือก ไว้ พระองค์คงไม่ได้ลงโทษชาวคานาอันในความบาปของพวกเขา แล้วทำเป็นมองไม่เห็นบาปเดียวกันใน ประชากรอิสราเอล ที่พระองค์เลือกไว้ พระเจ้าไม่ได้ละเว้นบาปของดาวิด หรือบาปของซาอูล คนที่พระองค์ได้ "เลือกสรร" ไว้
มีหลายครั้งที่คริสเตียนรู้สึกหงุดหงิดในเรื่องนี้ เมื่อพวกอาหรับไปทิ้งระเบิด หรือทำลายตึกรามบ้านช่อง ทำให้ คนบริสุทธิ์พลอยรับเคราะห์ เรารีบประณามการกระทำนี้ว่าเป็นการกระทำของ "ผู้ก่อการร้าย" และเรียกร้องหา ความยุติธรรม แต่เมื่อคนอิสราเอลทำในแบบเดียวกัน เรากลับมองว่าเป็นการ "ป้องกันตัว" และถือว่าเป็นการเอา คืนที่ยุติธรรม การเป็นพลเมืองที่พระเจ้าเลือกสรร ไม่ใช่เป็นใบเบิกทางให้เราทำบาป พระเจ้าทรงได้ยินเสียงร้อง ทูลของผู้ที่ถูกข่มเหง และพระองค์จะพิพากษาอย่างยุติธรรม ถึงแม้บาปนั้น พลเมืองของพระองค์เป็นผู้กระทำก็ ตาม
26 ถ้าเจ้าได้รับเสื้อคลุมของเพื่อนบ้านไว้เป็นของประกัน จงคืนของนั้นให้เขา
ก่อนตะวันตกดิน 27 เพราะเขาอาจมีเสื้อคลุมตัวนั้นตัวเดียว เป็นเครื่องปกคลุม
ร่างกาย มิฉะนั้นเวลานอนเขาจะเอาอะไรห่มเล่า เมื่อเขาทูลร้องทุกข์ต่อเรา เราจะสดับฟังเพราะเราเป็นผู้มีเมตตากรุณา (อพยพ 22:26-27)
12 เพราะท่านช่วยกู้คนขัดสนเมื่อเราร้องทูล คนยากจน และคนที่ไร้ผู้อุปถัมภ์ (สดุดี 72:12).
4 นี่แน่ะ ค่าจ้างของคนที่ได้เกี่ยวข้าวในนาของท่านซึ่งท่านได้ฉ้อโกงไว้นั้น ก็ร้อง ฟ้องขึ้น และเสียงร้องทุกข์ของคนที่เกี่ยวข้าวนั้น ได้ทรงทราบถึงพระกรรณ ของ องค์พระผู้เป็นเจ้าจอมโยธาแล้ว (ยากอบ 5:4)
การพิพากษาของพระองค์อาจไม่มาในทันที แต่จะมาแน่
ดังนั้นจึงมีการเลือก "ลูกหลาน" ของซาอูลเจ็ดคนขึ้นมา เมฟีโบเชท บุตรของโยนาธาน ไ้ด้รับการยกเว้น เพราะพันธสัญญาที่ดาวิดได้ทำไว้กับโยนาธาน บุตรทั้งสองของนางริสปาห์ 97 สนมของซาอูล ถูกประหาร รวมไปถึงบุตรห้าคนของธิดาซาอูล เมราบ98 ชาวกิเบโอนนำชายทั้งเจ็ดนี้ไป และ "...แขวนคนทั้งเจ็ด ไว้บนภูเขาต่อพระพักตร์พระเจ้า" (ข้อ 9) การประหารนี้เกิดในเริ่มต้นฤดูเกี่ยวข้าวบารลี
ก่อนที่เราจะเข้าสู่บทสรุปของเหตุการณ์ระหว่างอิสราเอล และชาวกิเบโอน ตามที่บันทึกอยู่ในข้อ 10-14 ผม ขอหยุดไว้สักนิด เพื่อจะมาตั้งข้อสังเกตุบางประการของเหตุการณ์ในครั้งนี้ และจะนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์ ได้อย่างไร
พระธรรมตอนนี้เตือนเราให้เห็นถึงความสำคัญของพันธสัญญา ตลอดทั้งสมัยพระคัมภีร์เก่าและใหม่ พระเจ้า ทรงปฏิบัติต่อมนุษย์ผ่านทางพันธสัญญา เมื่อพระเจ้าไว้ชีวิตโนอาห์และครอบครัว พระองค์ทรงทำพันธสัญญา กับพวกเขาด้วยรุ้งกินน้ำ เพื่อเป็นสัญลักษณ์แห่งพันธสัญญา (ปฐก. 9:1-17) ต่อมาพระเจ้าทรงทำพันธสัญญา กับอับราฮัม ด้วยสัญลักษณ์ที่ติดตัว การเข้าสุหนัต (ปฐก. 12:1-3; 17:1-22) แล้วทรงทำพันธสัญญา กับชาว อิสราเอล ผ่านทางโมเสส ด้วยสัญลักษณ์ของวันสะบาโต (อพยพ 19-20; 31:12-17; เฉลยธรรมบัญญัติ 5) พระเจ้าทรงทำพันธสัญญากับดาวิด ว่าจะทำให้ราชวงศ์ของท่านเป็นราชวงศ์นิรันดร์ (2 ซามูเอล 7:12-17) และแน่นอน องค์พระเยซูคริสต์เป็นผู้กระทำพันธสัญญาใหม่ โดยการหลั่งพระโลหิตของพระองค์ (เยเรมีย์ 31:31-34; ลูกา 22:20; 1 โครินธ์ 11:25; 2 โครินธ์ 3:6; ฮีบรู 9:11-22) พระเจ้าทรงปฏิบัติต่อมนุษย์อย่าง มั่นคง และไม่เปลี่ยนแปลง ; พระองค์ปฏิบัติต่อเราตามพันธสัญญาที่ทรงให้ไว้
ดาวิดจัดการกับชาวกิเบโอนที่ปมของปัญหา มันเป็นเรื่องของการรักษาพันธสัญญา คนอิสราเอลเคยทำสัญญา ไว้กับคนกิเบโอนนาน 400 ปีมาแล้ว แต่เป็นพันธสัญญาที่ยังคงต้องยึดถือ ซาอูลละเมิดพันธสัญญานี้ เพราะ อยากได้แผ่นดินของพวกเขามาเป็นกรรมสิทธิ์ ไม่ว่าท่านจะมีจุดประสงค์ดีอันใด แต่สัญญาก็ต้องเป็นสัญญา การละเมิดสัญญาจะนำมาซึ่งผลอันร้ายแรง ทำให้ซาอูลและลูกหลานของท่านต้องเสียชีวิต ทำให้มีการกันดาร อาหารเกิดขึ้นในแผ่นดินอิสราเอล ยังมีพันธสัญญาอื่นๆในทำนองเดียวกันนี้อีก ส่วนมากบันทึกอยู่ในพระคัมภีร์ มีคำเตือนของพระเจ้าสำหรับบรรดาผู้ที่ละเมิดพันธสัญญาโมเสสอยู่ในเฉลยธรรมบัญญัติ 28-30 นอกจากนี้ พันธสัญญาของดาวิดที่มีต่อโยนาธาน คงต้องรักษาไว้ เมฟีโบเชทจึงรอดพ้น ไม่ถูกส่งให้ชาวกิเบโอนไป
พระเจ้าปฏิบัติต่อมนุษย์ด้วยพันธสัญญา เวลาไม่ได้ทำให้พันธสัญญาหมดความหมาย สัญญาเป็นสิ่งที่ต้อง รักษา ถึงแม้มนุษย์จะไม่ยึดถือเป็นจริงเป็นจัง แต่พระเจ้าทรง พระองค์มีพระประสงค์ให้เรารักษาสัญญา :
4 ในสายตาของเขา คนถ่อยเป็นคนที่ถูกดูหมิ่นเหยียดหยาม เขาให้เกียรติ
แก่ผู้ที่ยำเกรงพระเจ้า ถึงสาบานแล้ว และต้องเสียประโยชน์เขาก็ไม่กลับคำ
(สดุุดี 15:4)
ถึงแม้พันธสัญญานั้นทำไปเพราะความเขลา เช่นที่ชาวอิสราเอลถูกชาวกิเบโอนหลอก พระเจ้าทรงปรารถนา ให้เรารักษาสัญญา มีกี่ครั้งกัน ที่เราไปเป็นพยานให้กับคู่สมรส ที่หญิงชายเข้าสู่พันธสัญญาแห่งการแต่งงาน ไม่นานหลังจากนั้น ผ่ายใดผ่ายหนึ่ง (หรือทั้งสองฝ่าย) ตัดสินใจว่าการแต่งงานไม่ได้เป็นไปตามที่ฝันไว้ เพราะต่างคนต่างคาดหวังซึ่งกันและกัน พวกเขาจึงรู้สึกว่าน่าจะแยกจากกัน ไปตามทางของตนเองดีกว่า ถ้า พระเจ้าปรารถนาให้คนอิสราเอลรักษาสัญญาที่มีต่อคนกิเบโอน ถึงแม้จะถูกหลอกก็ตาม และเวลาผ่านไปแล้ว นานถึง 400 ปีมา คุณว่าพระเจ้าจะรู้สึกอย่างไร ที่พันธสัญญาแห่งการแต่งงานถูกละเมิด? เราคงไม่มีข้อ สงสัย:
13 และเจ้าได้กระทำอย่างนี้อีกด้วย คือเจ้าเอาน้ำตารดทั่วแท่นบูชาของพระเจ้า ด้วยเหตุเจ้าได้ร้องไห้คร่ำครวญเพราะพระเจ้าไม่สนพระทัยหรือรับเครื่องบูชาด้วย ชอบพระทัยจากมือของเจ้าอีกแล้ว 14 เจ้าถามว่า "เหตุใดพระองค์จึงไม่รับ" เพราะ ว่าพระเจ้าทรงเป็นพยานระหว่างเจ้ากับภรรยา คนที่เจ้าได้เมื่อหนุ่มนั้น แม้ว่านาง เป็นคู่เคียงของเจ้าและเป็นภรรยาของเจ้าตามพันธสัญญา เจ้าก็ทรยศต่อนาง
15 แต่ไม่มีสักคนหนึ่งที่มีสติจะกระทำอย่างนี้ ผู้มีสตินั้นย่อมประสงค์สิ่งใด ย่อม ประสงค์ลูกหลานที่เชื่อฟังพระเจ้า ดังนั้นจงระวังตัวให้ดี อย่าให้ผู้ใดทรยศต่อ ภรรยาคนที่ได้เมื่อหนุ่มนั้น 16 พระเยโฮวาห์พระเจ้าของอิสราเอลตรัสว่า "เพราะ ว่าเราเกลียดชังการหย่าร้าง และการที่ใครกระทำทารุณต่อภรรยาของตน" พระเจ้า จอมโยธาตรัสดังนี้แหละ เพราะฉะนั้น จงระวังตัวให้ดี อย่าเป็นคนทรยศ" "
(มาลาคี 2:13-16)
ขอบคุณพระเจ้า ที่พระองค์เป็นผู้ที่รักษาสัญญา ตลอดประวัติศาสตร์ของอิสราเอล ประชากรที่พระเจ้าเลือกไว้ คอแข็ง จิตใจกระด้างไม่ยอมเชื่อฟังพระเจ้า พระผู้ทรงช่วยให้เขาพ้นจากการเป็นทาสในประเทศอียิปต์ เป็น การง่ายเพียงใด ที่พระองค์จะล้างมือ ไม่ขอมีส่วนเกี่ยวข้องกับชนชาติจอมกบฎเช่นนี้อีก แต่พระเจ้าทรงรักษา สัญญา ด้วยการให้เผชิญความทุกข์ เมื่อพวกเขาทำบาป (เช่นการกันดารอาหารในอิสราเอลในสมัยของดาวิด) แต่พระองค์ทรงประทานผู้ช่วยให้ เป็นผู้ที่รักษาบัญญัติของโมเสสอย่างครบถ้วน เป็นผู้ถือรักษาพันธสัญญา อับราฮัม และพันธสัญญาของดาวิด พระองค์ทรงตั้งพันธสัญญาใหม่ ที่ช่วยให้คนบาปทุกคน มีสิทธิได้รับ ความรอดโดยความเชื่อในองค์พระเยซูคริสต์ และพระโลหิตของพระองค์ ที่ต้องหลั่งออกเพื่อลบบาปของ มนุษย์ทั้งหลาย
ผมประทับใจ ที่พระธรรมตอนนี้เล็งไปถึงพระกิตติคุณในหลายๆทาง ไม่เพียงแต่เตือนให้เราจำว่า พระเจ้าทรง มีสัมพันธภาพกับมนุษย์ผ่านทางพันธสัญญาเท่านั้น แต่ตรัสกับเราโดยเฉพาะเจาะจงในพันธสัญญาใหม่ด้วย บาปของซาอูลต้องถูกลบล้าง เพื่อจะได้มาซึ่งพระพร บาปของซาอูลทำให้เกิดภัยพิบัติในรูปของการกันดาร อาหารในแผ่นดิน เงินทองใช้ลบความบาปไม่ได้ นอกจากต้องมีโลหิตตก และการที่โลหิตตกนี้เอง จะเป็นการ ชดใช้ที่ทั้งพระเจ้าและชาวกิเบโอนพอใจ
มีบางคนคิดว่าพระกิตติคุณในพันธสัญญาใหม่นั้นกระหายเลือดเกินไป (จำได้หรือไม่ว่า "พระสัญญา" ของ พระเจ้าเป็นคำเดียวกับคำว่าพันธสัญญา) มีสิ่งอื่นใดอีกหรือที่จะลบล้างความผิดบาปได้? การพยายามทำดี ช่วยได้หรือ? ทรัพย์สมบัติที่เรามีอยู่ช่วยได้หรือ? มีเพียงการหลั่งโลหิตเท่านั้น ที่ลบล้างความผิดบาปได้ :
22 ความจริงนั้นตามพระบัญญัติถือว่า เกือบทุกสิ่งจะบริสุทธิ์เพราะโลหิต และถ้า ไม่มีโลหิตไหลออกแล้ว ก็จะไม่มีการอภัยบาปเลย (ฮีบรู 9:22).
มีโลหิตของเพียงผู้เดียวเท่านั้น ที่ต้องหลั่งออกเพื่อช่วยเราให้รอดจากความบาป -- โลหิตขององค์พระ เยซูคริสต์ ที่บนไม้กางเขนบนเนินหัวกระโหลก:
7 ในพระเยซูนั้น เราได้รับการไถ่บาปโดยพระโลหิตของพระองค์ คือได้รับการ อภัยโทษบาปของเราโดยพระกรุณาอันอุดมของพระองค์ (เอเฟซัส 1:7).
13 แต่บัดนี้ในพระเยซูคริสต์ ท่านทั้งหลายซึ่งเมื่อก่อนอยู่ไกล ได้เข้ามาใกล้ โดยพระโลหิตของพระคริสต์ (เอเฟซัส 2:13)
19 เพราะว่าพระเจ้าทรงพอพระทัย ที่จะให้ความบริบูรณ์ทั้งสิ้นธำรงในพระองค์
20 และโดยพระองค์ ให้สิ่งสารพัดกลับคืนดีกับพระเจ้า ไม่ว่าสิ่งนั้นจะอยู่ในแผ่น ดินโลกหรือในสวรรค์ พระองค์ทรงทำให้มีสันติภาพด้วยพระโลหิตแห่งกางเขน
ของพระองค์ (โคโลสี 1:19-20)
11 แต่เมื่อพระคริสต์ได้เสด็จมาเป็นมหาปุโรหิตแห่งสิ่งประเสริฐ ซึ่งมาถึงแล้ว พระองค์ก็ได้เสด็จเข้าไปสู่เต็นท์อันใหญ่ยิ่งกว่าแต่ก่อน (ที่ไม่ได้สร้างขึ้นด้วยมือ คือไม่ใช่เต็นท์แห่งโลกนี้) 12 พระองค์เสด็จเข้าไปในวิสุทธิสถานเพียงครั้งเดียว
เท่านั้น และพระองค์ไม่ได้ทรงนำเลือดแพะและเลือดลูกวัวเข้าไป แต่ทรงนำพระ โลหิตของพระองค์เองเข้าไป และทรงสำเร็จการไถ่บาปชั่วนิรันดร์ 13 เพราะว่าถ้า เลือดแพะและเลือดวัวตัวผู้ และเถ้าของลูกโคตัวเมีย ที่ประพรมลงบนคนบาป สามารถชำระมนุษย์ให้บริสุทธิ์ได้ 14 พระโลหิตของพระเยซูคริสต์ ผู้ได้ทรงถวาย พระองค์เองแด่พระเจ้าโดยพระวิญญาณนิรันดร์ ให้เป็นเครื่องบูชาอันปราศจาก
ตำหนิ ก็จะทรงชำระได้มากยิ่งกว่านั้นสักเพียงใด เพื่อให้จิตใจของคนที่หมกมุ่น ในการประพฤติที่นำไปสู่ความตาย หันไปรับใช้พระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่ (ฮีบรู 9:11-14)
17 และถ้าท่านอธิษฐานขอต่อพระองค์ เรียกพระองค์ว่า พระบิดาผู้ทรงพิพากษา ทุกคนตามการกระทำของเขา โดยไม่มีอคติ จงประพฤติตนด้วยความยำเกรง ตลอดเวลาที่ท่านอยู่ในโลกนี้ 18 ท่านรู้ว่าพระองค์ได้ทรงไถ่ท่านทั้งหลายออกจาก การประพฤติอันหาสาระมิได้ ซึ่งท่านได้รับต่อจากบรรพบุรุษของท่าน มิใช่ไถ่ไว้ด้วย สิ่งที่เสื่อมสลายได้ เช่นเงินและทอง 19 แต่ทรงไถ่ด้วยพระโลหิตประเสริฐของพระ
คริสต์ ดังเลือดลูกแกะที่ปราศจากตำหนิหรือจุดด่าง (1 เปโตร 1:17-18)
มีพระคำข้อหนึ่งในหนังสือวิวรณ์ ทีทำให้ผมรู้สึกทึ่งตลอดเวลา :
20 บ่อย่ำองุ่นถูกย่ำ ภายนอกเมือง และโลหิตไหลออกจากบ่อย่ำองุ่นนั้น สูงถึงบังเหียนม้าไหลนองไปประมาณ สามร้อยกิโลเมตร (วิวรณ์ 14:20)
พระคำข้อนี้อธิบายถึงภาพการไหลของพระอาชญาของพระเจ้า ที่มีต่อบรรดาผู้ที่ปฏิเสธองค์พระเยซูคริสต์ ต่อต้านพระองค์ เหตุใดจึงพูดถึงพระอาชญาของพระเจ้าด้วยคำพูดที่ฟังดูออกจะนองเลือด? โลหิตที่ไหล ออกมา สูงถึงบังเหียนม้า -- และยาวไปไกลถึง 300 กิโลเมตร ฟังดูเหลือเชื่อ! พูดเกินจริงไปหรือเปล่า? หรือเป็นเพียงการเปรียบเทียบให้เห็นภาพ? ผมเองก็ไม่แน่ใจ แต่อย่างน้อยก็ทำให้เรารู้ว่า คนบาปนั้น อยู่ใน สภาพน่าเวทนาเพียงใด และผลของความบาปนั้นรุนแรงขนาดไหน ต้องหลั่งโลหิตไปจำนวนมากแค่ไหนกัน ถึงจะเพียงพอกับความบาปของโลกนี้? มีไม่พอครับ การหลั่งโลหิตขององค์พระเยซูคริสต์ โลหิตที่หาค่ามิได้ นั้นเพียงพอ ท่านมีส่วนได้รับการหลั่งพระโลหิตนี้ เพื่อจะได้รับการอภัยแล้วหรือยัง?
เรื่องราวของซาอูล ดาวิด และชาวกิเบโอนสอนเรามากมาย ไม่เพียงแต่เตือนให้เรารู้ว่า ความบาปต้องได้รับ การชดใช้ด้วยการหลั่งโลหิต และวันที่ต้องชดใช้ความบาป จะมาถึงวันหนึ่งข้างหน้า ผมไม่แน่ใจว่าทำไมพระ เจ้าจึงให้เกิดการกันดารอาหารหลังจากที่ซาอูลและบุตรชายสิ้นชีวิตไปแล้ว แต่ผมประทับใจที่ความบาปนี้ ไม่ได้ถูกมองข้าม ในเวลาอันควรของพระเจ้า พระองค์จะจัดการกับความบาป เหมือนกับที่พระองค์ทรงทำ ต่อบาปทุกบาป บางคนคิดว่า ถ้าพระเจ้าไม่ได้ลงมือในทันที พระองค์จะไม่ทำ แต่พวกเขาลืมไปว่า การที่ พระเจ้าเลื่อนเวลาออกไปนั้น เป็นการสำแดงพระคุณของพระองค์ แต่ไม่ใช่เป็นการทำให้มนุษย์หลงผิด คิด ทำบาปอย่างไม่เกรงกลัวพระอาชญา (ดู 2เปโตร 3:1-13)
ชาวกิเบโอนเป็นเหมือนภาพเงาของพระคุณแห่งการช่วยกู้ ที่มีไปถึงคนต่างชาติ เป็นส่วนหนึ่งของแผนการ ความรอดนิรันดร์ของพระเจ้า ชาวกิเบโอนเป็นคนบาป สมควรแก่พระอาชญา แต่เป็นเพราะความเขลาของ อิสราเอล (ถ้าไม่ใช่บาป) ทำให้เกิดพันธสัญญาขึ้นกับชาวกิเบโอน คนบาปกิเบโอนเหล่านี้ ได้รับการช่วยกู้ เพราะความเขลาของอิสราเอล และอย่างน่ามหัศจรรย์ โดยทางคนต่างชาติอย่างกิเบโอน ที่อิสราเอลจะได้ กลับคืนสู่พระพรของพระเจ้าอีกครั้ง นี่เป็นภาพเล็งถึงการที่พระเจ้านำความรอดไปสู่คนต่างชาติ ใช่หรือไม่? และโดยคนต่างชาติเหล่านี้ จะเป็นผู้นำพระพรกลับคืนสู่ชาวยิว? ผมอยากให้คุณอ่านพระธรรมโรม 9-11 เพื่อจะดูว่า อ.เปาโลพูดถึงเรื่องนี้ไว้อย่างไร
เมื่อคนอิสราเอลรู้ตัวว่าถูกคนกิเบโอนหลอก พวกเขาโกรธมาก พวกเขาไม่สามารถฆ่าชาวกิเบโอนได้ เพราะ พันธสัญญาที่พึ่งทำไปเป็นตัวต้นเหตุ แต่อิสราเอลสามารถ "สาปแช่ง" พวกกิเบโอนได้ โดยการให้ไปเป็นทาส ให้คอยตัดไม้ หาฟืน และหาบน้ำ "คำสาป" นี้เป็นคำสาปจริงหรือ? ไม่เชิงครับ ที่จริงเป็นพระพรมหาศาล คน กิเบโอนมีสิทธิพิเศษ เพราะมีส่วนรับใช้ในการนมัสการร่วมกับประชากรของพระเจ้า ด้วยการตัดฟืนสำหรับใช้ที่ แท่นเผาบูชา และหาบน้ำสำหรับใช้ที่ในพลับพลา ไม่เป็นที่น่าสงสัยเลยครับ ว่าชาวกิเบโอนเหล่านี้ เมื่อ 400 ปีผ่านไป จะมีจิตสำนึกถึงพระประสงค์ของพระเจ้า ถึงเรื่องผิดถูก และแก้ใขให้ถูกต้องยุติธรรม ทำให้ผมนึกถึง พระธรรมสดุดีข้อที่กล่าวว่า
10 เพราะวันเดียวในบริเวณพระนิเวศของพระองค์ ดีกว่าพันวันในที่อื่น ข้าพเจ้าจะเป็น คนเฝ้าประตูพระนิเวศ ของพระเจ้าของข้าพเจ้า ดีกว่าอยู่ในเต็นท์ของความอธรรม
(สดุดี 84:10)
พระเจ้าทรงสำแดงพระคุณมากมายให้กับชาวต่างชาติเหล่านี้ และโดยทางชาวต่างชาตินี้เอง ที่เป็นผู้นำ พระพรคืนสู่ชาวอิสราเอล
10 แล้วนางริสปาห์บุตรีของอัยยาห์ก็เอาผ้ากระสอบ ปูไว้บนก้อนหินสำหรับตนเอง ตั้งแต่ต้นฤดูเกี่ยวจนฝนจากท้องฟ้าตกบนเขาทั้งหลาย กลางวันนางก็ไม่ยอมให้นก มาเกาะหรือกลางคืนก็ ไม่ให้สัตว์ป่าทุ่งมา 11 เมื่อเขากราบทูลดาวิดว่านางริสปาห์
บุตรีของอัยยาห์ นางสนมของซาอูลกระทำอย่างไร 12 ดาวิดก็เสด็จไปนำอัฐิของซาอูล
และของ โยนาธานราชโอรสมาจากเมืองยาเบชกิเลอาด จากผู้ที่ลักลอบเอาไปจากลาน เมืองเบธชาน ที่คนฟีลิสเตียได้แขวนพระองค์ทั้งสองไว้ ในวันที่คนฟีลิสเตียประหารซาอูล บนเขากิลโบอา 13 พระองค์ทรงนำอัฐิของซาอูลและของโยนาธาน ราชโอรสขึ้นมาจาก
ที่นั่น และรวบรวมกระดูกของผู้ที่ถูกแขวนไว้ให้ตายนั้น 14 และเขาก็ฝังอัฐิของซาอูลและ ของโยนาธานราชโอรส ไว้ในแผ่นดินของเบนยามินในเมืองเศลาในอุโมงค์ของ คีชบิดา
ของพระองค์ เขาทั้งหลายก็กระทำตามทุกอย่างที่พระราชาทรงสั่งไว้ ครั้นต่อมาพระเจ้า ก็ทรงสดับฟังคำอธิษฐานเพื่อแผ่นดินนั้น อาบีชัยช่วยดาวิดให้พ้นจากคนยักษ์
คุณกับผมคงเห็นพ้องต้องกันว่า นี่เป็นเรื่องแปลกอีกเรื่องหนึ่ง แปลกกว่าเรื่องการแขวนคอบรรดา "ลูกหลาน" ของซาอูลเสียอีก เหตุใดผู้เขียนพระธรรมซามูเอลจึงบันทึกเรื่องราวนี้ไว้? มีจุดประสงค์ใด? ลองสังเกตุตามผม นะครับ ประการแรกเลย เรื่องนี้ต่อเนื่องและจบลงนับจากข้อ 1-9 เป็นเรื่องการประหารบุตรหลานของซาอูล ซึ่ง เป็นเหตุที่ทำให้นางริสปาห์เป็นเช่นนี้ และต่อมาดาวิดได้ลงมือทำบางอย่าง และจนกระทั่งการฝังอัฐิของซาอูล และบุตรของท่านสิ้นสุดลง การกันดารอาหารจึงจบสิ้น (ข้อ 14) เราต้องพยายามเข้าใจเรื่องนี้จากบริบทที่เรา ได้อ่านมา และจากเนื่อหาของพระธรรมบทนี้ทั้งบท
ริสปาห์ เป็นนางสนมของซาอูล ที่ต้องสูญเสียบุตรชายสองคนไปให้ชาวกิเบโอนแขวนคอ ศพของบุตรชายทั้ง สองไม่ได้ถูกเคลื่อนย้ายไปไหน อย่างที่ต้องทำ (ดูเฉลยธรรมบัญญัติ 21:22-23) ขณะที่ผมอ่านพระคัมภีร์เดิม ผมพบข้อความที่น่าสนใจนี้เข้า :
"ซากศพของท่านทั้งหลายจะเป็นอาหาร ของนกในอากาศ และสำหรับสัตว์ป่า ในโลก และไม่มีผู้ใดขับไล่ฝูงสัตว์เหล่านั้นไป (เฉลยธรรมบัญญัติ 28:26)
พระธรรมตอนนี้บอกเราว่า สิ่งที่นางริสปาห์ทำไม่ใช่เรื่องประหลาดแต่อย่างใด แม่คนใดเล่าอยากให้นกมาจิกกิน ซากศพของลูก? ในเมื่อไม่มีการนำศพลูกหลานของซาอูลไปฝัง แม่คนนี้จึงตั้งใจจะคอยเฝ้าระวัง นางนั่งอยู่ไม่ ไกล เพื่อจะคอยไล่นกและฝูงสัตว์ที่จะมากินซากศพ เมื่อดาวิดได้ยินเรื่องนี้ เรื่องการกระทำของนางริสปาห์ ท่าน จึงตัดสินใจทำบางอย่าง ทั้งเจ็ดศพนี้เป็นลูกหลานของซาอูล ที่ยังไม่ได้ถูกนำไปฝังอย่างถูกต้อง ดาวิดจำ ได้อีกว่า ซาอูลเองและบุตรชายทั้งสาม99 ก็ยังไม่ได้ถูกนำไปฝังอย่างถูกต้องด้วย
เราคงจำกันได้ว่า ดาวิดไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการฝังศพอย่างรีบเร่งของซาอูลและบุตรก่อนหน้านี้ ตามที่บันทึก อยู่ใน 1 ซามูเอล 31 เพราะดาวิดอยู่ที่ศิกลากเมื่อตอนซาอูลตาย ชาวฟิลิสเตียนำศพของท่านและบุตรชาย ไปแขวนไว้ที่กำแพงเมืองเบธชาน ชายกล้าจากยาเบช-กิเลอาด เดินทางทั้งคืน เพื่อไปนำร่างของท่านมาเผา และนำอัฐิไปฝังไว้ที่ใต้ต้นสนหมอกในยาเบช (31:11-13) ชายกล้าชาวยาเบชเป็นผู้กระทำการนี้ทั้งหมด เพราะ ดาวิดไม่ได้อยู่ที่นั่น ดังนั้นอัฐิของซาอูลและบุตรของท่านยังไม่ได้ถูกฝังตามประเพณี ถึงแม้จะมีคนนำศพมาให้ พ้นจากความอุจาดที่พวกฟิลิสเตียทำไว้ก็ตาม
ดาวิดมีเหตุผลพอที่จะทำเรื่องนี้ให้่ถูกต้อง ไม่มีการนำศพหรืออัฐิของลูกหลานทั้งเจ็ดของดาวิดไปฝังให้ถูก ต้องตามประเพณี นางริสปาห์จึงทำสิ่งที่เธอกระทำอยู่ เรื่องนี้คง "ไม่ยุิติลงง่ายๆ" จนกว่าบุตรชายทั้งเจ็ดนี้ จะถูกฝังให้ถูกต้อง เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ ดาวิดจึงมีเหตุผลเพียงพอ ที่จะทำการฝังอัฐิของซาอูลและบุตรชายไป พร้อมๆกัน เพื่อจะให้เรื่องนี้ "ยุิติลง" ดาวิดจัดการให้ใมีการนำอัฐิของซาอูลและบุตรชายทั้งสาม รวมทั้งลูก หลานทั้งเจ็ดคน ไปยังที่ฝังศพของบิดาของซาอูล และฝังไว้ด้วยกัน เมื่อฝังเรียบร้อยแล้ว เรื่องนี้จะได้จบลง
ผมคิดว่ายังมีเหตุผลอื่นอีกสำหรับเรื่องนี้ เราเห็นชัดถึงความเกี่ยวข้องกัน ระหว่างเรื่องชาวกิเบโอนประหารลูก หลานทั้งเจ็ดของซาอูล การกระทำของนางริสปาห์ และการกระทำของดาวิด ผมคิดว่ามันไม่ใช่แค่เกี่ยวข้อง กันธรรมดาๆ ที่มีการนำอัฐิของซาอูลและบุตรทั้งหลาย มาฝังให้ถูกต้องตามประเพณี ลูกหลานทั้งเจ็ดนี้ มีส่วน คล้ายกับบุตรทั้งสามของซาอูลอย่างไร? - ทั้งหมดเป็นผู้สืบสายโลหิตของซาอูล และทั้งหมดถูก "แขวนคอ" เหมือนกัน ทำให้้ผมคิดว่า เป็นเพราะเหตุนี้ ดาวิดจึงมองเห็นความเกี่ยวข้องกัน ระหว่างซาอูลกับบุตรทั้งสาม และลูกหลานทั้งเจ็ดของท่าน บัดนี้เมื่อคนทั้งเจ็ดถูกฆ่าแขวนคอประจาน โทษฐานทำลายล้างเผ่าพันธ์กิเบโอน การตายก่อนหน้านี้ และการตายครั้งนี้ จึงเป็นการชดใช้บาปในแบบเดียวกัน ใช่หรือไม่? เมื่อดาวิดนำอัฐิและศพ ของคนทั้งหมดมาผังไว้ที่ฝังศพของบิดาซาอูล ท่านไม่เพียงแต่ทำให้ถูกต้องตามธรรมเนียมเท่านั้น แต่ท่านรวม เป็นบาปเดียวกัน และเป็นการพิพากษาเดียวกัน นี่คือเหตุผลที่ผู้เขียนให้ความสำคัญกับการกระทำของนาง ริสปาห์ และการกระทำของดาวิด อย่างน้อยก็ทำให้เห็นว่าเรื่องนี้จบสิ้นเสียที ไม่มีค้างคา
มีความจริงอีกข้อที่เราควรสังเกตุ ประโยคสุดท้ายของข้อ 14 ที่ค่อนข้างสำคัญ : "ครั้นต่อมาพระเจ้าก็ทรง สดับฟังคำอธิษฐานเพื่อแผ่นดินนั้น" เราคงคาดกันว่าคำพูดควรจะเป็น: "และพระเจ้าทรงนำการกันดาร อาหารที่เกิดขึ้นมาเป็นเวลาสามปีนั้น ออกไปเสียจากแผ่นดิน" แต่เรากลับเห็นว่า พระเจ้าทรงทราบแล้วว่ามีการ ชดใช้บาป และอีกครั้งพระองค์ทรงฟังคำอธิษฐานของประชากร ที่ร้องขอให้พระองค์เลิกลงโทษแผ่นดินนี้เสียที ความหมายคือ ประชาชนคงทูลวิงวอนขอ ให้พระเจ้ายุติการกันดารอาหารที่เกิดมาสามปีแล้วเสีย แต่ที่พระเจ้าไม่ ทำ เป็นเพราะความบาปของซาอูลและราชวงศ์นองเลือดของท่าน และบัดนี้เมื่อมีการชดใช้บาปแล้ว พระเจ้าจะ ทรงสดับคำอธิษฐานจากประชากรของพระองค์อีกครั้ง พระเจ้าทรงครอบครอง แต่บ่อยครั้งพระองค์ทรงกระทำ การด้วยวิธีที่พระองค์กำหนดเอาไว้ และวิธีสำหรับเรื่องนี้คือคำอธิษฐานจากประชากรของพระองค์ ให้มาดูว่า หลายปีหลังจากนั้น กษัตริย์ซาโลมอนกล่าวว่าอย่างไร :
26 "เมื่อฟ้าสวรรค์ปิดอยู่ และไม่มีฝน เพราะเขาทั้งหลายได้กระทำบาปต่อพระองค์ ถ้าเขาทั้งหลายได้อธิษฐานต่อสถานที่นี้ และยอมรับพระนามของพระองค์ และหันกลับ เสียจากบาปของเขาทั้งหลาย เมื่อพระองค์ทรงให้ใจเขาทั้งหลายรับความทุกข์ใจ
27 ก็ขอพระองค์ทรงสดับในฟ้าสวรรค์ และขอประทานอภัยแก่บาปของผู้รับใช้ของ
พระองค์ และของอิสราเอลประชากรของพระองค์ เมื่อพระองค์ทรงสอนทางดีแก่เขา ซึ่งเขาควรจะดำเนิน และขอทรงประทานฝนบนแผ่นดินของพระองค์ ซึ่งพระองค์พระ ราชทานแก่ประชากรของพระองค์เป็นมรดกนั้น 28 "ถ้ามีการกันดารอาหารในแผ่นดิน
ถ้ามีโรคระบาด ข้าวม้าน รากินข้าว หรือตั๊กแตนวัยบิน หรือตั๊กแตนวัยคลาน หรือ ศัตรูของเขาทั้งหลายล้อมเมืองของเขาไว้รอบด้าน จะเป็นภัยพิบัติอย่างใด หรือความ เจ็บอย่างใดมีขึ้นก็ดี 29 ไม่ว่าคำอธิษฐานอย่างใด หรือคำวิงวอนประการใด ซึ่งประ
ชาชนคนใด หรืออิสราเอลประชากรของพระองค์ทั้งสิ้นทูล ต่างก็ประจักษ์ในภัยพิบัติ และความทุกข์ใจของเขา และได้กางมือของเขาสู่พระนิเวศนี้ 30 ขอพระองค์ทรงสดับ ในฟ้าสวรรค์อันเป็นที่ประทับของพระองค์ และพระราชทานอภัย และทรงประทานแก่
ทุกคน ซึ่งพระองค์ทรงทราบจิตใจตามการประพฤติทั้งสิ้นของเขา (เพราะพระองค์ คือ พระองค์เท่านั้นที่ทรงทราบจิตใจ ของมนุษยชาติทั้งสิ้น) 31 เพื่อว่าเขาทั้งหลายจะได้
ยำเกรง พระองค์ และดำเนินในมรรคาของพระองค์ตลอดวันเวลา ที่เขามีชีวิตอาศัยใน
แผ่นดิน ซึ่งพระองค์พระราชทานแก่บรรพบุรุษของข้าพระองค์ทั้งหลาย"
(2 พงศาวดาร 6:26-31)
พระเจ้าทรงตอบคำอธิษฐาน ในกรณีนี้ ผู้เขียนพระธรรม 2 ซามูเอล ต้องการเน้นให้เห็นความจริงที่ว่า พระเจ้า ทรงยุติการกันดารอาหาร เพราะพระองค์ทรงสดับฟังคำอธิษฐานของประชากร เพราะความบาปที่กั้นขวางอยู่ ได้ถูกกำจัดไปแล้ว อย่าให้เราหลงประเด็นที่ผู้เขียนพยายามย้ำให้เห็นความสำคัญ : ความบาปเ็ป็นตัวการ ขวางกั้นคำอธิษฐาน แต่เมื่อความบาปได้รับการแก้ใข พระเจ้าจะทรงสดับคำอธิษฐานของเรา ขออย่าให้เรา มองข้ามความสำคัญ ของการอธิษฐาน
15 คนฟีลิสเตียได้ทำสงครามกับคนอิสราเอลอีก ดาวิดก็ลงไปพร้อมกับบรรดา ข้าราชการของพระองค์ และได้สู้รบกับคนฟีลิสเตีย และดาวิดก็ทรงอ่อนเพลีย
16 อิชบีเบโนบคนหนึ่งในพงศ์พันธุ์ของคนยักษ์ ถือหอกทองสัมฤทธิ์หนักสาม
ร้อยเชเขล มีดาบใหม่คาดเอว คิดจะสังหารดาวิดเสีย 17 แต่อาบีชัยบุตร นาง เศรุยาห์เข้ามาช่วยพระองค์ไว้ และสู้รบกับคนฟีลิสเตียคนนั้นฆ่าเขาเสีย แล้ว บรรดาประชาชนของดาวิดก็ทูลวิงวอน พระองค์ด้วยการสาบานว่า "ขอฝ่าพระ บาทอย่าเสด็จไปทำศึกพร้อมกับพวก ข้าพระบาททั้งหลายอีกต่อไปเลย เกรง ว่าฝ่าพระบาทจะดับประทีปของอิสราเอลเสีย" 18 อยู่มาภายหลังนี้ มีการรบกับ คนฟีลิสเตียที่เมืองโกบ คราวนั้นสิบเบคัยตระกูลหุชาห์ได้ฆ่าสัฟคนหนึ่งในพงศ์
พันธุ์ของคนยักษ์ 19 และมีการรบกับคนฟีลิสเตียที่เมืองโกบอีก เอลฮานันบุตร
ยาอาเรโอเรกิม ชาวเบธเลเฮมได้ฆ่าโกลิอัท ชาวกัทผู้มีหอกที่มีด้ามโตเท่าไม้
กระพั่นทอผ้า 20 มีการรบกันอีกที่เมืองกัท อันเป็นเมืองที่มีชายคนหนึ่งรูปร่าง
ใหญ่โต มีนิ้วมือข้างละหกนิ้ว และนิ้วเท้าข้างละหกนิ้ว รวมกันยี่สิบสี่นิ้ว เขา ก็สืบเนื่องมาจากพวกคนยักษ์ด้วย 21 เมื่อเขาท้าทายอิสราเอล โยนาธานบุตร ของชิเมอีเชษฐาของดาวิดก็ สังหารเขาเสีย 22 คนทั้งสี่นี้สืบเนื่องมาจากคนยักษ์
ในเมืองกัท เขาทั้งหลายล้มตายด้วยพระหัตถ์ของดาวิด และด้วยมือของข้าราช
การของพระองค ์100
เรื่องเริ่มแปลกประหลาดขึ้นเรื่อยๆเมื่อบทที่ 21 ใกล้จะจบลง ประการแรก บาปของคนที่ตายไปแล้ว และวงศ์ วานของเขา มีผลทำให้ลูกหลานต้องตายเพิ่มไปอีกเจ็ดคน เมื่อคนทั้งเจ็ดนี้ถูกประหาร ร่างของพวกเขาถูกทิ้ง ไว้ประจาน ทำให้ผู้เป็นมารดาต้องมานั่งเฝ้าศพ เพื่อกันไม่ให้นกหรือสัตว์มากัดกิน ดาวิดจึงไปขุดเอาอัฐิของ ซาอูลและบุตรมา นำมาฝังรวมไว้กับศพทั้งเจ็ดนี้ ที่ในอุโมงค์ฝังศพของบิดาซาอูล และที่ทำให้วุ่นไปอีก คือเกิดสงครามขึ้นกับชาวฟิลิสเตีย สงครามครั้งนี้ลูกหลานยักษ์ของโกลิอัทออกมารบเต็มไปหมด ซึ่งเป็น เหตุการณ์ที่ทั้งน่าหวาดหวั่นและน่าสะพรึงกลัว
อีกครั้ง ที่เราไม่รู้ว่าสงครามครั้งนี้เกิดขึ้นในช่วงเวลาใด เรารู้แต่เพียงว่าพวกฟิลิสเตียยกทัพมาโจมตีอิสราเอล และดาวิดนำกองทัพออกไปต่อสู้ ในระหว่างการสู้รบ ดาวิดอ่อนกำลังลง อิชบีเบโนบ ทหารคนหนึ่งของฟิลิส เตีย เห็นว่าดาวิดกำลังจะเพลี่ยงพล้ำ จึงถือโอกาสเข้ามาหมายจะสังหาร ทหารคนนี้เป็นหนึ่งในลูกหลานของ ยักษ์โกลิอัท ใช้อาวุธแบบเดียวกัน นอกจากหอกแล้ว ยังมีดาบใหม่คาดเอว ซึ่งเขาหมายจะประเดิมดาบใหม่นี้ ดื่มเลือดกษัตริย์อิสราเอลเป็นคนแรก
คนที่เข้ามาช่วยเหลือดาวิดไม่ใช่ใครอื่น อาบีชัยพี่ชายคนโตของโยอาบและของอาสาเฮลที่สิ้นชีพไปแล้วนั่น เอง ทั้งสามเป็นบุตรของนางเศรุยาห์ พี่สาวของดาวิด (2 ซามูเอล 2:18) คนนี้เป็นคนเดียวกับที่เคยติดตาม ดาวิดไปที่ค่ายของซาอูล และต้องการจะปลิดชีพซาอูล (1 ซามูเอล 26:6-8) เขามีส่วนในการช่วยโยอาบ สังหารอับเนอร์ (2 ซามูเอล 3:30) อาบีชัย บางครั้งจะได้รับแต่งตั้งให้คุมกองกำลังของดาวิด (2 ซามูเอล 10:10; 18:2) เขาเป็นคนที่อยากฆ่าชิเมอีถึงสองครั้ง ที่บังอาจพูดจาลบหลู่ดาวิด ขณะที่อพยพหนีอับซาโลม ออกมาจากเยรูซาเล็ม (2 ซามูเอล 16:9-12; 19:21-22) เขาเป็นผู้นำนักรบกล้าสามสิบคน ออกต่อสู้กับศัตรู สามร้อยคนในสงคราม และสามารถฆ่าศัตรูทั้งหมดตายสิ้นด้วยคมดาบ ได้รับการยกย่องให้เป็นวีรบุรุษของ อิสราเอล (2 ซามูเอล 23:18) ถึงแม้ดาวิดจำต้องอดทนกับอาบีชัย -- ไม่พอใจการกระทำบางอย่าง -- แต่ ท่านก็เป็นหนี้ชีวิตอาบีชัย
เหตุการณ์ครั้งนี้นำมาซึ่งความยุ่งยากลำบากใจ ทั้งกับคนในกองทัพและกับดาวิดเอง พวกเขาเกือบจะสูญเสีย กษัตริย์ไปในสงคราม ทุกครั้งที่ดาวิดออกไปรบ ท่านจะเป็นผู้นำกองทัพเอง ท่านจึงเป็นเป้าหมายแลขหนึ่ง ของพวกศัตรู โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากทหารกล้าของฝ่ายตรงข้าม (ดู 1 พกษ. 22:29-33) การสูญเสียชีวิต ทหารไปในสงครามเป็นเรื่องหนึ่ง แต่การสูญเสียกษัตริย์ไปในสงครามเป็นคนละเรื่องจริงๆ อาบีชัยช่วยชีวิต ดาวิดไว้ได้ในครั้งนี้ แล้วครั้งต่อๆไปเล่า? ดาวิดเลยจุดสูงสุดของหน้าที่นี้ไปแล้ว ; ท่านไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป คนของท่านไม่อยากสูญเสียกษัตริย์อย่างท่านไป พวกเขาจึงขอร้องไม่ให้ท่านออกไปทำสงครามอีก
ย่อหน้าต่อไป ข้อ 18-22 ต่อเนื่องกันไปกับข้อ 15-17 สงครามกับพวกฟิลิสเตียครั้งก่อน ดาวิดถูกลูกหลาน ของโกลิอัทเล่นงาน และเกือบถูกฆ่าตาย จึงมีการตัดสินใจกันว่า ดาวิดไม่ต้องออกไปสู้ศึกอีกต่อไป แต่ว่า พวกเขาจะชนะหรือ ถ้าไม่มีดาวิดผู้ฆ่ายักษ์ไปด้วย? ดาวิดนั้นมีความสำคัญ ต่อชัยชนะเหนือฟิลิสเตียหรือ? เรามีคำตอบอยู่ในข้อ 18-22 ในสงครามครั้งต่อๆมา101 ลูกหลานของโกลิอัทมาปรากฎตัวขึ้น และก็ถูกฆ่า มีสัฟที่ถูกสิบเบคัยตระกูลหุชัยฆ่าตาย (ข้อ 18) และก็มีสงครามที่เมืองโกบ เอลฮานันบุตรของยาอาเรโอเรกิม ชาวเบทเลเฮม ฆ่าโกลิอัทชาวกัทตาย102 (ข้อ 19)
ลูกหลานยุคสุดท้ายของ "โกลิอัท" ที่ยังมีชีวิตอยู่ แน่นอนต้องขย่มขวัญคู่ต่อสู้พอสมควร ด้วยขนาดและพละ กำลัง ลองนึกถึงภาพที่คุณต้องเตะลูกโทษหน้าประตูผ่านแถวคนยืนป้องกัน คุณกำลังตั้งสมาธิ รวบรวมสติ พร้อมที่จะเตะลูกออกไป คุณมองไปที่คู่ต่อสู้ เห็นมือ เห็นนิ้วที่สะดุดตา คุณพยายามนับ หนึ่ง....สอง.... สาม....สี่.....ห้า...........หก หกจริงๆหรือ? เพื่อให้แน่ใจคุณมองไปที่มืออีกข้าง แล้วเลยไปที่เท้า มันไม่ได้ แค่ใหญ่ผิดมนุษย์มนา แต่มันมีมากกว่า! จะอย่างไรก็ตาม โยนาธานบุตรชิเมอี พี่ชายของดาวิดได้สังหารยักษ์ พวกนี้ พร้อมกับทหารคนอื่นๆในกองทัพ ยักษ์พวกนี้ล้มตายลงสิ้น ไม่ว่าจะด้วยฝีมือของดาวิด หรือทหารใน กองทัพก็ตาม ทั้งหมดก็พ่ายแพ้ต่อกองทัพของอิสราเอล
เหตุใดจึงมีการบันทึกเรื่องราวเหล่านี้ไว้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งไม่มีการบอกเล่าถึงลำดับเวลา และในตอนใกล้ จบของพระธรรม 2 ซามูเอล ?103 ผมขอตั้งข้อสังเกตุสักสองสามประการ และดูว่าควรจะนำมาใช้ให้เกิด ประโยชน์ได้อย่างไร
แรก พระธรรมตอนนี้เตือนให้เรานึกถึงพระวจนะที่บันทึกอยู่ในพระธรรมมัทธิว :
21 "ท่านทั้งหลายได้ยินคำซึ่งกล่าวไว้แก่คนโบราณว่า อย่าฆ่าคน ถ้าผู้ใดฆ่าคน ผู้นั้นจะต้องถูกพิพากษาลงโทษ 22 เราบอกท่านทั้งหลายว่า ผู้ใดโกรธพี่น้องของตน ผู้นั้นจะต้องถูกพิพากษาลงโทษ ถ้าผู้ใดจะพูดกับพี่น้อง 'อ้ายโง่' ผู้นั้นต้องถูกนำไป ที่ศาลสูงให้พิพากษาลงโทษและผู้ใดจะว่า 'อ้ายบ้า' ผู้นั้นจะมีโทษถึงไฟนรก 23
เหตุฉะนั้นถ้าท่านนำเครื่องบูชามาถึงแท่นบูชาแล้ว และระลึกขึ้นได้ว่า พี่น้องมีเหตุ ขัดเคืองข้อหนึ่งข้อใดกับท่าน 24 จงวางเครื่องบูชาไว้ที่หน้าแท่นบูชา กลับไปคืนดี กับพี่น้องผู้นั้นเสียก่อน แล้วจึงค่อยมาถวายเครื่องบูชาของท่าน 25 จงปรองดองกับ คู่ความโดยเร็วในขณะที่พากันไปศาล เกลือกว่าคู่ความนั้นจะอายัดท่านไว้กับผู้พิพาก
ษา แล้วผู้พิพากษาจะมอบท่านไว้กับผู้คุม และท่านจะต้องถูกขังไว้ในเรือนจำ 26 เราบอกความจริงแก่ท่านว่า ท่านจะออกจากที่นั่นไม่ได้จนกว่าจะได้ใช้หนี้จนครบ
(มัทธิว 5:21-26)
ผมต้องขอสารภาพว่าไม่ได้ให้ความสนใจกับพระธรรมตอนนี้ ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับตอนที่เรากำลังศึกษาอยู่ จนกระทั่งพี่น้องคนหนึ่งแสดงความคิดเห็น ผมจึงนึกขึ้นได้ แน่นอนการรักษาพระบัญญัติของพระเจ้า โดย เฉพาะอย่างยิ่ง ในเรื่องความชังและการฆ่าคน เป็นสิ่งที่ดีเลิศ แต่ขอข้ามเรื่องนี้ไปก่อน ประเด็นที่ผมจะพูดนี้ เกี่ยวกับเรื่องความเกลียดชัง และการนมัสการของเรา องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงสอนเรา ให้คืนดีกับคนอื่นก่อน แล้วจึงค่อยไปนมัสการพระองค์ พระธรรม 2 ซามูเอลที่เราเรียนอยู่ พูดในสิ่งเดียวกันด้วย จนกว่าความผิด ที่ซาอูลและวงศ์วานของเขา ที่ทำต่อชาวกิเบโอนได้รับการชดใช้ พระเจ้าจะไม่ทรงอำนวยพระพรให้กับ แผ่นดิน (จึงเกิดการกันดารอาหารขึ้น) แต่เมื่อมีการแก้ใข พระพรของพระเจ้าจึงกลับคืนมาอีกครั้ง พระเจ้า ทรงรับฟังคำอธิษฐานของประชากรของพระองค์ และทรงยุติการกันดารอาหาร
ประการที่สอง ผมต้องจำให้ได้ว่าผู้เขียนพระธรรมเล่มนี้ มีความเชี่ยวชาญมาก เป็นผู้มีความสามารถ พิเศษในงานที่เขาได้รับมอบหมายให้ทำ ถ้าผมงงในสิ่งที่ผมอ่าน ไม่ใช่เป็นเพราะผู้เขียนผิดพลาด แต่ เป็นเพราะผมขาดความเข้าใจในสิ่งที่ผู้เขียนต้องการถ่ายทอด -- และเป็นการถ่ายทอดที่ยอดเยี่ยมด้วย ผู้เขียนไม่ได้จัดเรียงเรื่องลำดับเวลาสำหรับพระธรรมตอนนี้ แต่ค่อยๆนำเข้าสู่เนื้อหาที่ต้องการถ่ายทอด ดังนั้น ผมต้องตั้งใจศึกษาพระธรรมตอนนี้ให้ดี เพื่อจะเข้าใจว่าผู้เขียนต้องการถ่ายทอดสิ่งใด
ประการที่สาม ผมเห็นเรื่องการเน้นความสำคัญของผู้คนในรุ่นต่อมา ซาอูลจบตอนไปแล้ว รวมทั้งบรรดา ลูกหลานของท่านด้วย ลูกหลานเหล่านี้เป็นอันตรายต่อบัลลังก์ของซาโลมอนบุตรของดาวิด แต่พระเจ้าทรง เตรียมการ กำจัดคนพวกนี้ออกไปเสีย ส่วนดาวิดเริ่มเกษียณตนเองออกจากหน้าที่ทางทหารแล้ว และอีกไม่นาน จากหน้าที่กษัตริย์ของอิสราเอล เพื่อเปิดทางให้ซาโลมอนผู้เป็นบุตร นางริสปาห์ ทำหน้าที่อย่างดี ในการดูแล ศพของบุตรชาย ปกป้องร่างของพวกเขา จากนกและฝูงสัตว์ที่จะมากัดกิน และโกลิอัท ถึงแม้จะตายไปตั้งนาน แล้ว ก็ยังมีผู้สืบเชื้อสาย ที่ดำเนินรอยตามอีกหลายคน ดูเหมือนเรากำลังเดินหน้า ออกจากยุคหนึ่ง ไปยังอีก ยุคหนึ่ง
ประการที่สี่ เรารู้สึกได้ว่าเรื่องราวกำลังจะจบลงในบทนี้ ถ้าคิดดูดีๆ บทนี้เป็นบทส่งท้ายอาชีพทางทหาร ของดาวิด แต่ยังไม่ใช่บทส่งท้ายในฐานะกษัตริย์อิสราเอล ชีวิตราชการทหารของท่านจบลงแล้ว ดาวิดจะไม่ ออกไปร่วมรบกับกองทัพอีก (ข้อ 17) ดาวิดเริ่มต้นอาชีพทหารของท่าน ถ้าเรายังจำได้ เมื่อตอนออกไปสู้กับ โกลิอัท และนำชัยชนะเหนือฟิลิสเตียมาสู่อิสราเอล (1 ซามูเอล 17) จุดเริ่มต้นอาชีพของท่าน คือเมื่อท่าน สามารถเอาชนะโกลิอัทและกองทัพฟิลิสเตียได้ จุดสุดท้ายในอาชีพทหารของท่าน จบลงที่การสู้รบ และมีชัย ต่อบรรดาลูกหลาน (ยักษ์) ของโกลิอัท และกองทัพฟิลิสเตีย
คุณเคยได้ยินได้ฟัง เวลาที่นักกีฬาชื่อดังประกาศ "อำลาวงการ" หรือไม่? สิ่งหนึ่งที่พวกเขาไม่อยากให้เกิด ขึ้น คืออำลาวงการเมื่อความตกต่ำมาเยือน พวกเขาต้องการอำลาเมื่อยังรุ่งโรจน์อยู่ ผมเข้าใจได้ว่า จากไป เมื่อคนกำลังคิดถึง ดีกว่าจากไปเพราะคนเบื่อขี้หน้าเต็มทน ผมว่าเราคงเห็นพ้องต้องกันว่า ดาวิดอำลาวงการ ได้อย่างสวยงาม ถึงแม้ท่านต้องมีคนมาช่วย เพื่อกำจัดอิชบีเบโนบ แต่ในที่สุดยักษ์ตนนี้ก็ถูกฆ่าตาย และ ฟิลิสเตียก็พ่ายแพ้ต่ออิสราเอล
ผมกำลังคิดถึงความสำเร็จนี้ในมุมมองที่กว้างกว่านี้ เมื่อตอนที่อิสราเอลเรียกร้องขอกษัตริย์ เพื่อที่ว่าพวกเขา จะมีผู้นำ นำออกสู่สงครามได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสงครามกับชาวฟิลิสเตีย (1 ซามูเอล 8:19-20; 9:16) แต่ บัดนี้พวกเขาจะทำอย่างไร? เมื่อดาวิดไม่สามารถออกไปร่วมรบได้อีกต่อไปแล้ว
คำตอบนั้นสวยงามมาก แต่ผมขอนำพวกคุณย้อนเวลากลับไปสักหน่อย เมื่อบรรพบุรุษยุคแรกของอิสราเอล มีโอกาสได้ครอบครองแผ่นดินคานาอัน พวกเขากลับไม่กล้า เพราะกลัวข่าวลือที่ได้ยินมา ว่าเป็นดินแดนที่มี คนยักษ์ครอบครองอยู่ (ดูกันดารวิถี 13:25-33) เมื่ออิสราเอลถูกพวกฟิลิสเตียเขย่าขวัญ โกลิอัทเป็นนักรบ คนเก่งของฟิลิสเตีย ที่ทำให้อิสราเอลยิ่งขยาด ดาวิดเดินหน้าออกไปสังหารโกลิอัท ทำให้กองทัพฟิลิสเตีย พ่ายแพ้ แต่บัดนี้ ดาวิดไม่สามารถต่อกรกับ "โกลิอัท" ทั้งหลายที่ฟิลิสเตียส่งมาได้ สิ่งนี้ทำให้อิสราเอลตกเป็น รองหรือไม่? ไม่เลยครับ! เมื่ออยู่ภายใต้ "การนำ" ของซาอูล ท่านไม่สามารถส่งใครไปเป็นตัวแทน สู้กับ โกลิอัทได้ รวมทั้งตัวท่านเองด้วย แต่ภายใต้การนำของดาวิด มีนักรบฝีมือฉกาจเกิดขึ้นมากมาย ดาวิดหมด กำลังแล้วหรือ? ไม่มีปัญหา! มีคนรอจ่อคิวฆ่าพวกยักษ์ฟิลิสเตียนี้อีกหลายคน พวกเขากำจัดลูกหลานโกลิอัท ไปได้หมด ทำให้ฟิลิสเตียต้องพ่ายแพ้ นับเป็นการอำลาวงการทหารที่สวยงามมากของดาวิด ประชาชน ไม่จำเป็นต้องรอให้กษัตริย์ออกมารบแทนแล้ว ; พวกเขาสามารถจัดการเองได้ ไม่ว่าจะอีกกี่ลูกหลานของ โกลิอัทก็ตาม ผมขอเรียกว่า นี่เป็นการอำลาวงการที่สวยงามมาก
ดูเหมือนเรื่องราวต่างๆที่ค้างคาอยู่ได้รับการแก้ใขให้จบลง ไม่ว่าเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในสมัยของซาอูลก็ตาม ดาวิดลงมือแก้ใขให้ถูกต้อง บาปของซาอูลและวงศ์วานของท่านที่ทำต่อชาวกิเบโอน ได้รับการชดใช้ และ บัดนี้แผ่นดินก็ได้รับพระพรกลับคืนมาอีกครั้ง ไม่เพียงแต่ "บุตรหลาน" ที่เสียชีวิตทั้งเจ็ดของซาอูลได้ถูกนำ ไปฝังอย่างถูกต้องตามประเพณีแล้ว อัฐิของซาอูลเองและบุตรของท่าน ที่ถูกฝังไว้อย่างเร่งรีบที่ ยาเบช กิเลอาดด้วย และเมื่อกองทัพอิสราเอลมาถึงจุดที่ดาวิดไม่จำเป็นต้องนำทัพไปสู้รบแล้ว พวกเขาจัดการ กันเองได้ เพราะมีทหารที่มีฝีมือเก่งกล้าอยู่มากมาย ที่สามารถรบแทนท่านได้
สำหรับผมมีบทเรียนเรื่องผู้นำที่สำคัญมากในตอนนี้ บ่อยครั้ง ผู้คนมักต้องการผู้นำที่สามารถทำการแทนพวก เขาได้ ความยิ่งใหญ่และเสียสละของผู้นำที่ดีนั้น วัดได้จากช่องโหว่ที่เกิดขึ้นเมื่อผู้นำคนนั้นจากไป ในทาง พระคัมภีร์ นับว่ายังเป็นผู้รับใช้ที่ใช้การไม่ได้เท่าที่ควร ภาระของผู้นำคือไม่ใช่ทำทุกสิ่ง แต่มอบหมายจัดสรร ผู้อื่นให้ลงตัว การฝึกฝนคน จัดเตรียมให้พร้อม ให้กำลังใจและให้โอกาสผู้อื่นขึ้นมาทำแทน ซึ่งอาจทำได้ดี กว่าด้วยซ้ำไป ถ้านี่คือการเป็นผู้นำที่ดีของคริสเตียน ดาวิดก็นับได้ว่าเป็นผู้นำที่ยิ่งใหญ่ ภายใต้การนำของ ซาอูล ไม่มีสักคนที่กล้ายืนหยัดสู้กับโกลิอัท ภายใต้การนำของดาวิด มีคนกล้าหลายคนที่พร้อมจะลงมือ ดาวิด จึงมีอิสระพอที่จะหลบทางให้ (จากตำแหน่งแม่ทัพก่อน และต่อมาจากตำแหน่งกษัตริย์) เพราะท่านทำหน้าที่ ของท่านได้อย่างยอดเยี่ยม -- ท่านได้สร้างผู้นำชั้นรองๆขึ้นมารองรับ และสวมแทน พวกผู้นำจอมเผด็จการ ทั้งหลาย กลัวที่จะต้องเผชิญเรื่องเช่นนี้ กลับเลือกที่จะกำจัดคนเหล่านั้นแทน เพราะกลัวจะเข้ามาแย่งที่ แต่ไม่ใช่สำหรับดาวิด และควรไม่ใช่สำหรับเราทั้งหลายด้วย
93 คำว่า "คนคานาอัน" ถูกใช้ทั้งในกรณีเฉพาะเจาะจง หรือเป็นภาพรวมของผู้ที่อาศัยอยู่ในดินแดนคานาอัน เช่นเดียวกับคำว่า "คนอาโมไรต์" ที่ถูกนำมาใช้ในตอนนี้ ผู้เขียนพระธรรมซามูเอล ดูเหมือนจะใช้คำว่า "คน อาโมไรต์" ในแง่ที่พูดถึงโดยทั่วไปในพระธรรมตอนนี้
94 ใน 1 ซามูเอล 15:7 ซาอูลจำได้ว่าคนเคไนต์เคยให้ความช่วยเหลือคนอิสราเอลในระหว่างการอพยพ ท่าน จึงไว้ชีวิตพวกเขา ในขณะเข้าโจมตีพวกอามาเลข แล้วซาอูลลืมพันธสัญญาที่อิสราเอลเคยทำไว้กับชาว กิเบโอนได้อย่างไร? มันยากที่จะเชื่อว่าท่านลืม
95 และแน่นอน มีคำถามที่น่าเจ็บปวดตามมา โยนาธานมีส่วนเกี่ยวข้องในเรื่องนี้หรือไม่? ดูเหมือนเขาไม่น่า จะเป็นคนที่ชอบทำบาปเช่นนี้ หรือรู้แล้ว แต่เก็บความลับนี้เงียบไว้ เราไม่อาจทราบได้
96 คำว่า "ลูกหลาน" ที่ใช้ในตอนนี้เป็นภาพรวมกว้างๆ โดยทั่วไป ซึ่งรวมไปถึงบุตรชายทั้งห้าของเมราบ ที่เป็น หลานตาของซาอูลด้วย
97 ริสปาห์เป็นนางสนมที่อับเนอร์ไปหลับนอนด้วย หลังจากที่ซาอูลตายไปแล้ว เมื่ออิชโบเชทแสดงความ ไม่พอใจ อับเนอร์จึงแปรพักตร์ไปเข้าข้างดาวิดในทันที (ดู 2 ซามูเอล 3:7)
98 เรื่องนี้ออกจะแปลกๆ เมราบเป็นธิดาคนโตของซาอูล มีคาลเป็นน้องสาว (1 ซามูเอล 14:49) ซาอูลเสนอ เมราบให้ดาวิดก่อน แล้วก็เปลี่ยนใจ (1 ซามูเอล 18:17-19) ต่อมามีคาลถูกเสนอให้เป็นภรรยาของดาวิด (1 ซามูเอล 18:27) แล้วก็ถูกนำตัวกลับมา ไปมอบให้เป็นภรรยาคนอื่นแทน (1 ซามูเอล 25:44) ต่อมาดาวิดนำ เธอกลับมา (2 ซามูเอล 3:13-16) แต่เธอไม่เคยมีบุตรกับดาวิด (2 ซามูเอล 6:23) มีคาลจึงไม่มีส่วนในความ ทุกข์ที่ต้องสูญเสียบุตรไปก่อนวัยอันควร
99 ผู้เขียนเอ่ยชื่อแค่ซาอูลและโยนาธาน แต่ใน 1 ซามูเอล 31 พูดว่ามีบุตรทั้งสาม ผมเข้าใจว่า ไม่ใช่เพียง ซาอูลและโยนาธานเท่านั้นที่อัฐิถูกนำไปฝังอย่างถูกต้อง น่าจะรวมถึงอัฐิของบุตรชายทั้งสามด้วย
100 ให้ดูข้อพระคำในตอนเดียวกันนี้ใน 1 พงศาวดาร 20:4-8 ด้วย
101 ให้สังเกตุดูคำว่า "อยู่มาภายหลังนี้" ในข้อ 18
102 เรื่องชื่อ "โกลิอัท" นี้ คงไม่สร้างปัญหายุ่งยากใจให้แก่เรา เพราะในตอนต้นๆ เราเห็นชื่อเมฟีโบเชทซ้ำกัน สองคน (ดูข้อ 7-8) โกลิอัทคนนี้คงตั้งชื่อตามบรรพบุรุษ แต่ในพระธรรมตอนเดียวกันใน 1 พศด 20:5 เรียกชื่อ คนๆเดียวกันนี้ว่า "ลามี น้องชายของโกลิอัท"
103 "พระธรรมตอนนี้" ผมหมายถึงฉบับดั้งเดิมของพระธรรมซามูเอลที่มีเพียงเล่มเดียว ไม่ได้แบ่งเป็นสองเล่ม เหมือนที่เราใช้กันอยู่ในปัจจุบัน
เมื่อเริ่มเข้าสู่บทเพลงสดุดีีสองบทของดาวิดใน 2 ซามูเอล 22 (ทั้งบท) และ 23 (ข้อ 1-7) ทำให้ผมนึกถึง ครอบครัวของเพื่อนรักคู่หนึ่ง คาร์ล และมาร์ธา ลินด์ ปัจจุบันคาร์ลอายุแปดสิบกว่าแล้ว เป็นทั้งโรคหัวใจ และโรคไต ต้องนอนรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลตลอดเวลา คาร์ลสามารถรับมือกับความเจ็บป่วย และรอ การกลับคืนสู่บ้านบนสรวงสวรรค์ได้อย่างน่าชื่นชม เมื่อนึกย้อนไปเกี่ยวกับครอบครัวนี้ บางเรื่องผมจำไม่ ค่อยได้แล้ว แต่บางเรื่องก็ยังแจ่มชัดอยู่ในความทรงจำ สมัยที่ผมกับภรรยาแต่งงานกันใหม่ๆ เรามีเงินอยู่ เพียงนิดเดียว ดังนั้นคืนที่สี่ของการดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์ของเรา จบลงที่ห้องนอนรับแขกของครอบครัวลินด์ เช้าวันรุ่งขึ้น คาร์ลและมาร์ธาช่วยกันจัดเตรียมอาหารเช้าสุดอร่อยให้ จอห์นลูกชายคนโตมีหน้าที่ประกาศ เชิญทุกคนมารับประทานอาหารเช้าทางอินเตอร์คอมของบ้าน "อาหารเช้าพร้อมภายในห้านาทีครับ" จอห์น พยายามทำหน้าที่อย่างสุดความสามารถของเด็กที่เพิ่งเข้าสู่วัยรุ่น พอประกาศเสร็จ อินเตอร์คอมยังไม่ได้ปิดดี เราได้ยินเสียงดังโครมใหญ่ ดังเหมือนกับจานชามทุกใบในตู้ตกลงมาแตกบนพื้น ตามด้วยเสียงตะโกนลั่น ของคาร์ล "จอห์น จอห์น!"
คาร์ลเป็นพ่อครัวฝีมือเอก ถ้าจะให้อธิบายเป็นคำพูด ก็น่าจะสรุปรวมความได้เป็นดังนี้ : "ควันขึ้นเมื่อไร ก็แปล ว่ากำลังได้ที่ ; ถ้ามันไหม้ ก็แปลว่าสุกดีแล้ว" เมื่อหลายปีมาแล้ว ศิษยาภิบาลที่โบสถ์ของคาร์ลเทศนาเรื่อง คนต้นเรือน และเมื่อเลิกโบสถ์ ท่านศบ.จะยืนคอยอยู่ที่ประตูทางออก เพื่อรอจับมือกับสมาชิกแต่ละคน พอมา ถึงคาร์ล ท่าน ศบ. (ผมขอใช้ชื่อว่า"ชัค" แล้วกัน จะได้ไม่เสียหน้า) คาดหวังที่จะได้รับคำชมเรื่องคำเทศนา จากคาร์ล คาร์ลไม่ยั้งเลยครับ เขามองเข้าไปในตาของ "ชัค" พร้อมกับพูดว่า "ชัค ตามความเห็นของผม ผม คิดว่าคำเทศนาของคุณมีค่าเพียง 25 เหรียญเท่านั้น พูดกันตรงๆนะชัค เราทั้งคู่ต่างก็รู้ดีว่า ไม่สมราคาเลย" นี่แหละครับคาร์ล เพื่อนรักของผม
คาร์ลมีบทบาทสำคัญมากในวัยเด็กของผม ในการตั้งคริสตจักรขึ้นที่เมืองออเบอร์น วอชิงตัน พ่อแม่ของผม รวมทั้งคาร์ลและมาร์ธา ลินด์ และเพื่อนๆอีกหลายคน มีสิทธิพิเศษ มีส่วนในการจัดตั้งโบสถ์ที่มีชื่อว่า "ไบเบิ้ล แบ็บติสท์" พวกผมตอนนั้นกำลังย่างเข้าสู่วัยรุ่น ยังจำได้ว่า เรามักมีการประชุมกันที่ห้องสำหรับพักศพ เพื่อ รอทำพิธีไว้อาลัย (ตอนอยู่ในโบสถ์ผมไม่เคยมองหาศพเจอ ยังสงสัยอยู่ว่าเขาเอาศพไปไว้ที่ไหน)104 ต่อมา ห้องนั้นก็กลายเป็น ที่ชุมนุมของหมู่บ้าน และถูกปรับเปลี่ยนไปเป็นโรงหนัง จนในที่สุดเป็นโบสถ์หลังแรก ของพวกเรา พระเจ้าทรงเสริมกำลังให้คาร์ลมีชีวิตยืนยาวมาจนถึงวันนี้ เมื่อชีวิตของเขาไกล้จะจบลง คาร์ล ได้รวบรวมเรื่องราวประวัติศาสตร์การจัดตั้งคริสตจักรไบเบิ้ลแบ็บติสท์แห่งนี้ไว้ และเมื่อบั้นปลายชีวิตมาถึง คาร์ลกำลังมองย้อนกลับไปในอดีต กลับไปสู่พระหัตถ์ของพระเจ้าที่ควบคุมอยู่ตั้งแต่ในวันเริ่มแรกนั้นเลย
เป็นสิ่งเดียวกับที่กษัตริย์ดาวิดกระทำในบทเพลงสดุดีสองบทส่งท้ายของพระธรรม 2 ซามูเอล บทที่ 22 ของ 2 ซามูเอล เป็นการบันทึกภาพที่สะท้อนเรื่องราวของดาวิด จากจุดเริ่มต้น เมื่อท่านขึ้นครองในฐานะกษัตริย์ อิสราเอล105 ส่วนเจ็ดข้อแรกของบทที่ 23 เป็นบทเพลงสดุดีบทที่สอง ; ซึ่งน่าจะเป็นบทเพลงบทสุดท้าย ของดาวิด เชื่อกันว่าเกิดจากแรงบันดาลใจของท่าน ในฐานะของกษัตริย์ปกครองอิสราเอล มีคำพูดที่เป็น เหมือนบทส่งท้ายในฐานะกษัตริย์ บทเพลงสดุดีของดาวิดทั้งสองบทนี้ เป็นแรงบันดาลใจที่เกิดจากสำนึก ที่ว่าพระหัตถ์ของพระเจ้า ปกอยู่เหนือชีวิตของท่านในฐานะกษัตริย์อิสราเอล จากวันเริ่มต้น จวบจนวันสุดท้าย
อย่างที่ผมกล่าวไปแล้ว -- และจากที่คุณอ่านจากฉบับแปลทั้งหลาย -- คำสดุดีที่เราศึกษาอยู่นี้ เป็นบทกวี ภาษาฮีบรูทั้งสองบท ที่จริง 2 ซามูเอล บทที่ 22 นั้นคำพูดคล้ายคลึงกับสดุดีบทที่ 18 มีข้อแตกต่างอยู่เพียง นิดเดียว บทสดุดีทั้งสองบทของดาวิดนี้เป็นบทเพลง และอันที่จริงพระธรรม 2 ซามูเอล 22 นี้น่าจะเป็นบท สดุดีที่ยาวที่สุดของดาวิด 106 ทั้งรูปแบบและเนื้อหา ไม่ใช่ของใหม่หรือโดดเด่น แต่เป็นตามรูปแบบดั้งเดิม ของบทสดุดีก่อนหน้า 107 ซึ่งบางบทมีอยู่ใน :
บทสดุดีของอิสราเอลที่ริมทะเล (อพยพ 15:1-18)
บทเพลงสดุดีของโมเสส (เฉลยธรรมบัญญัติ 32:1-43)
บทเพลงสดุดีของเดโบราห์ (ผู้วินิจฉัย 5)
บทเพลงของนางฮันนาห์ (1 ซามูเอล 2:1-10)
บทเพลงของดาวิด (2 ซามูเอล 22; สดุดี 18)
บทเพลงของฮาบากุก (ฮาบากุก 3:1-19)
ถึงแม้จะอ่านบทเพลงนี้อย่างผ่านๆ เรายังมองเห็นความคล้ายคลึงกันกับบทเพลงสดุดีบทอื่นของดาิวิด เป็นเรื่องที่เราจะนำมาศึกษากันในวันนี้ พระธรรมตอนนี้ เป็นบทสดุดีที่ถูกนำมารวมกันไว้ เพื่อใช้ถ่ายทอด เรื่องราวในประวัติศาสตร์ 108 ในหนังสือพระธรรมสดุดี (เช่นสดุดี 18) บทเพลงเดียวกันนี้ ถูกใช้เป็นแบบ ในการนมัสการของชาวอิสราเอล เป็นรูปแบบที่เอื้อประโยชน์ให้กับเรา เช่นเดียวกับที่ให้ชาวอิสราเอลในยุค โบราณ เป็นบทเพลงสำหรับให้เราร้อง (อาจต้องใส่ดนตรีใหม่ เพราะทำนองเพลงเก่าสูญหายไปนานแล้ว) เพื่อการเรียนรู้และการนมัสการพระเจ้า 109 ใน 2 ซามูเอล 23:1-2 เราถูกเตือนให้ตระหนักว่า บทเพลงสดุดี เหล่านี้ ถูกเขียนขึ้นภายใต้การดลใจขององค์พระวิญญาณบริสุทธิ์ เราต้องให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก ไม่ใช่แค่เห็นว่าเป็นเพียงบทเพลงสำหรับคนสมัยโบราณเท่านั้น แต่มีไว้สำหรับเราทั้งหลายด้วย
โดยทั่วไป เราจะมองว่าบทเพลงสดุดีเป็นการกลั่นกรอง หรือการแสดงออกของความรู้สึกที่ซับซ้อนภายในใจ ผมไม่ขอโต้แย้งในเรื่องนี้ แต่อยากจะชี้ให้เห็นว่า บทสดุดีอาจเป็นได้มากกว่านั้น บางครั้งบทเพลงสดุดี เป็น การขยายภาพความคิดออกมา โดยการใช้คำพูดในเชิงเปรียบเทียบ และพูดย้ำๆ ตัวอย่างเช่น ดาวิดควรจะ พูดอย่างตรงๆว่าพระเจ้าทรงพระพิโรธ แต่ท่านกลับใช้คำพูดที่จินตนาการถึงพระลักษณะต่างๆของพระเจ้าใน ข้อ 2 และ 3 ถึงแปดอย่างด้วยกัน ข้อมูลที่ท่านต้องการสื่อให้รู้ในบทที่ 22 จึงไม่มีอะไรมาก สรุปออกมาเป็น คำพูดได้ไม่กี่ประโยค ผมจะลองพยายามแยกแยะให้คุณเห็นและเข้าใจ เพื่อจะได้มีโอกาสชื่นชมบทสดุดีนี้ ด้วยกัน
1-3 |
ข้าฯสรรเสริญพระเจ้า เพราะพระองค์ทรงทำให้ข้าฯปลอดภัย |
4-20 |
เมื่อข้าฯร้องหาพระองค์ พระองค์ทรงช่วย เมื่อข้าฯจมอยู่ในความทุกข์สาหัส ; ข้าฯเรียกหาพระเจ้า พระองค์ได้ยิน และเสด็จมาช่วยข้าฯ |
21-29 |
พระเจ้าทรงช่วยกู้ข้าฯ เพราะความชอบธรรม |
30-46 |
พระเจ้าทรงช่วยข้าฯ โดยเสริมกำลังข้าฯให้เข้มแข็ง เพื่อต่อสู้และมีชัยเหนือศัตรู |
47-50 |
สรรเสริญพระเจ้า! |
51 |
พระเจ้าทรงช่วยกู้พระราชา พระราชาของพระองค์ ผู้ที่พระองค์ทรงเจิมไว้ |
ขณะที่ผมศึกษาพระธรรมตอนนี้ ผมลองเข้าไปอ่านบทเทศนาต่างๆที่ทางคริสตจักรเพนนินซูลาไบเบิ้ล ใน แคลิฟอร์เนียเผยแพร่อยู่ทางอินเตอร์เนท โดยปกติบทเทศนาตามหน้าจอเหล่านี้จะสั้นกว่าของผมประมาณ ครึ่งหนึ่ง (อาจเป็นเพราะในเรื่องเดียวกัน ผมต้องอธิบายมากกว่าคนอื่นถึงสองเท่า) ตอนที่ผมศึกษาพระธรรม สดุดีบทที่ 18 ผมเชื่อว่าพระธรรมตอนนี้ถูกแบ่งออกเป็นบทเรียนได้ถึงหกบท เพื่อจะพรรณนาและสื่อให้ผู้อื่น เข้าใจ ดังนั้นอย่าหวังว่าผมจะสามารถทำบทเรียนนี้ได้ภายในบทเดียว! เรื่องหลักที่เราจะต้องทำก่อน คือ มองหาหัวใจของสดุดีบทนี้ ข้ามรายละเอียดปลีกย่อยบางประการไป เพื่อจะได้ประโยชน์ให้มากที่สุด ผมจะค่อยๆไล่ตามความคิดของดาวิด ที่ท่านถ่ายทอดออกมา เพื่อจะหาข้อสรุปถึงแรงบันดาลใจของผู้เขียน/ หรือกษัตริย์ท่านนี้ ที่พยายามจะบอกแก่เราทั้งหลาย .
1 เมื่อพระเจ้าทรงช่วยกู้ดาวิด ให้พ้นจากมือของศัตรูทั้งสิ้นของพระองค์ท่าน และให้ พ้นจากพระหัตถ์ของซาอูล ดาวิดก็ถวายถ้อยคำของเพลงบทนี้แด่พระเจ้า 2 พระองค์
ท่านตรัสว่า "พระเจ้าทรงเป็นพระศิลา ป้อม ปราการ110 และผู้ช่วยกู้ของข้าพเจ้า 3
เป็นพระเจ้า ซึ่งทรงเป็นพระศิลาของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าเข้าลี้ภัยอยู่ในพระองค์ เป็นโล่ และเป็นพลังแห่งความรอดของข้าพเจ้า เป็นที่กำบังเข้มแข็งและเป็นที่ลี้ภัยของข้าพ
เจ้า องค์พระผู้ช่วยของข้าพระองค์เจ้าข้า พระองค์ทรงช่วยข้าพระองค์ให้รอดจากความ
ทารุณ
ข้อแรกของบทสดุดีบทนี้ มีพื้นเพของประวัติศาสตร์อยู่ บทสดุดีนี้ดาวิดเขียนขึ้นหลังจากพระเจ้าทรงช่วยกู้ ท่านให้รอดจากศัตรู ให้พ้นจากเงื้อมมือของซาอูล ดูเหมือนบทสดุดีนี้ เขียนขึ้นหลังจากซาอูลมรณภาพได้ ไม่นาน และดาวิดพึ่งได้ขึ้นครองเป็นกษัตริย์ และจากจุดที่ดาวิดได้ครอบครองบัลลังก์นี้เอง ท่านพยายาม สะท้อน ให้เห็นถึงพระคุณของพระเจ้า ที่มีต่อชีวิตของท่าน และพระสัญญาที่จะให้ท่านเป็นกษัตริย์อิสราเอล เกิดขึ้นเป็นจริงทุกประการ
บทสดุดีนี้เริ่มต้นที่ดาวิดสรรเสริญพระเจ้าอย่างที่พระองค์ทรงเป็น -- เป็นที่ลี้ภัย ท่านนำสัญลักษณ์หลาย อย่างมาใช้ ท่านพูดถึงพระเจ้าว่าทรงเป็นที่คุ้มภัย เป็นพระศิลา (เป็นป้อมปราการสูง ข้อ 2) ไม่ต้องสงสัยเลย ว่าดาวิดคงใช้เวลามากมาย ยืนอยู่บนพระศิลา มองลงมาจากบนป้อมสูง ด้วยความอุ่นใจว่า ไม่มีทางที่ศัตรู จะเอื้อมถึงได้ พระเจ้าทรงเป็น "ป้อม" และเป็น "ปราการ" ของดาวิด พระองค์ทรงเป็น "โล่ห์" และเป็น "พลังแห่งความรอด" นี่ไม่ใช่เป็นการเปรียบเทียบให้เห็นภาพเท่านั้น ; แต่เป็นวิธีการจริงที่พระเจ้านำมาใช้ ช่วยชีวิตท่านให้พ้นภัยจากศัตรู และบัดนี้ ดาวิดต้องการให้เราทั้งหลายมองย้อนกลับไปในวิธีการที่พระเจ้า จัดเตรียมด้วยพระองค์เอง พระเจ้าเองที่เป็นผู้ช่วยกู้ ; เป็นพระองค์เองที่เป็นที่คุ้มภัยให้เรา เป็นผู้ช่วยเรา ทรง เป็นที่หลบภัยให้แก่พวกเรา
4 ข้าพเจ้าร้องทูลต่อพระเจ้า ผู้ทรงสมควรแก่การสรรเสริญ และข้าพเจ้าได้รับ การช่วย ให้พ้นจากศัตรูของข้าพเจ้า 5 "เพราะคลื่นมัจจุราชล้อมข้าพเจ้า กระแสแห่งความหายนะ
ท่วมทับข้าพเจ้า กระทำให้กลัว 6 สายใยของแดนคนตายพันตัวข้าพเจ้า บ่วงมัจจุราชปะ
ทะข้าพเจ้า 7 "ในยามทุกข์ใจข้าพเจ้าร้องทูลต่อพระเจ้า ข้าพเจ้าร้องทูลต่อพระเจ้าของ
ข้าพเจ้า จากพระวิหารของพระองค์ พระองค์ทรงสดับเสียงของข้าพเจ้า และเสียงร้อง ของข้าพเจ้ามาถึงพระกรรณของพระองค์ 8 "แล้วแผ่นดินโลกก็สั่นสะเทือนและโคลงเคลง รากฐานของฟ้าสวรรค์ก็หวั่นไหว และสั่นสะเทือนเพราะพระองค์ทรงกริ้ว 9 ควันออกไปตาม ช่องพระนาสิกของพระองค์ และเพลิงผลาญออกมาจากพระโอษฐ์ของพระองค์ ถ่านก็ติด
เปลวไฟนั้น 10 พระองค์ทรงโน้มฟ้าสวรรค์ลงด้วยและเสด็จลงมา ความมืดทึบอยู่ใต้พระ บาทของพระองค์ 11 พระองค์ทรงเครูบตนหนึ่ง และทรงเหาะไป เออ เห็นพระองค์เสด็จ โดยปีกของลม 12 พระองค์ทรงกระทำความมืดเป็นปะรำของพระองค์ คือที่รวบรวมบรรดาน้ำ เมฆทึบแห่งฟ้า 13 ถ่านลุกเป็นเพลิงจากความสุกใสข้างหน้าพระองค์ 14 พระเจ้าทรงคะนอง กึกก้องจากฟ้าสวรรค์ และองค์ผู้สูงสุดก็เปล่งพระสุรเสียงของพระองค์ 15 และพระองค์ทรง ใช้ลูกธนูของพระองค์ออกมา ทำให้เขากระจายไป พระองค์ทรงปล่อยฟ้าแลบและทำให้เขา
โกลาหล 16 แล้วก็เห็นท้องธาร รากฐานของพิภพก็ปรากฏแจ้ง ตามการขนาบของพระเจ้า ตามที่ลมพวยพุ่งจากช่องพระนาสิกของพระองค์ 17 "พระองค์ทรงเอื้อมมาจากที่สูงทรงจับ
ข้าพเจ้า พระองค์ทรงดึงข้าพเจ้าออกมาจากน้ำมากหลาย 18 พระองค์ทรงช่วยกู้ข้าพเจ้า
จากศัตรู ที่เข้มแข็งของข้าพเจ้า จากบรรดาผู้ที่เกลียดชังข้าพเจ้า เพราะเขามีอานุภาพ เกินกว่าข้าพเจ้า 19 เขาปะทะข้าพเจ้าในวันที่ข้าพเจ้าเกิดภัยพิบัติ แต่พระเจ้าทรงเป็นที่พึ่ง ของข้าพเจ้า 20 พระองค์ทรงนำข้าพเจ้า ออกมายังที่กว้างใหญ่ด้วย พระองค์ทรงช่วยกู้
ข้าพเจ้า เพราะพระองค์ทรงยินดีในข้าพเจ้า
เราจะเห็นหลักการในข้อ 4 ตั้งอยู่บนพื้นฐานว่า พระเจ้าทรงเป็นที่ลี้ภัยของดาวิด (จากข้อ 2-3) เป็นการ สำแดงให้เห็นถึงวิธีการช่วยกู้อันหลากหลายของพระองค์ (ข้อ 5-20) ในข้อ 4 ดาวิดไม่ได้แค่พูดว่า "ข้าพเจ้า ร้องทูลต่อพระเจ้า … และพระองค์ทรงช่วย" แต่ท่านพูดให้เราเห็นภาพว่า "เมื่อข้าพเจ้าร้องทูลวิงวอนต่อ พระเจ้าแห่งการช่วยกู้ พระองค์ทรงช่วยข้าพเจ้า" แล้วท่านอธิบายต่อถึงภาพของความน่ากลัวที่ท่านเผชิญ (ข้อ 5-6) และการทรงช่วยของพระเจ้า (ข้อ 8-20) เพราะพระองค์สดับคำร้องทูลวิงวอนของท่าน (ข้อ 7)
ดาวิดใช้ภาพกระแสแห่งภัยพิบัติ อธิบายถึงชีวิตของท่านที่ถูกศัตรูไล่ตามฆ่า แรก ท่านอธิบายว่าตัวท่านกำลัง จมอยู่ภายใต้คลื่นลูกใหญ่ แต่คนละแบบกับโยนาห์ 111 จากนั้นภาพก็เปลี่ยนไปจากที่กำลังจมดิ่งลึกลง กลาย เป็นถูกกระแสน้ำเชี่ยวพัดพาไป (ข้อ 5) ท่านอธิบายว่าถูกสายบ่วงมัจจุราช (หรือหลุมศพ; ฉบับ KJV ใช้คำว่า "นรก") พันและเหนี่ยวรั้งท่านไว้ และท่านกำลังเผชิญกับกับดักของความตาย (ข้อ 6) ด้วยลมหายใจสุดท้าย ด้วยการกระเสือกกระสนให้พ้นจากน้ำครั้งที่สาม ดาวิดบอกเราว่า ท่านร้องทูลวิงวอนขอความช่วยเหลือจาก พระเจ้า และจากที่ๆพระองค์ประทับอยู่ พระองค์ทรงสดับเสียงร้องของท่าน (ข้อ 7)
ดาวิดอธิบายถึงการช่วยกู้ด้วยจินตนาการถึงการเสด็จมาของพระเจ้า (การเปิดเผยพระองค์ต่อมนุษยชาติ) ใน หลายๆทาง จินตนาการของดาวิดทำให้นึกถึงภาษาพูดที่ใช้ เืมื่อครั้งพระเจ้าทรงสำแดงพระองค์ที่ภูเขาซีนาย เมื่อพระองค์มอบธรรมบัญญัติให้กับโมเสส :
16 อยู่มาพอถึงรุ่งเช้าวันที่สาม ก็บังเกิดฟ้าร้อง ฟ้าแลบ มีเมฆอันหนาทึบ ปกคลุมภูเขานั้นไว้กับมีเสียงแตรดังสนั่น จนคนทั้งปวงที่อยู่ในค่ายต่างก็พา
กันกลัวจนตัวสั่น 17 โมเสสก็นำประชาชนออกจากค่ายไปเฝ้าพระเจ้า พวก
เขามายืนอยู่ที่เชิงภูเขา 18 ภูเขาซีนายมีควันกลุ้มหุ้มอยู่ทั่วไป เพราะพระเจ้า เสด็จลงมาบนภูเขานั้นโดยอาศัยเพลิงควันไฟพลุ่งขึ้นเหมือนควันจากเตาใหญ่ ภูเขาก็สะท้านหวั่นไหวไปหมด 19 เมื่อเสียงแตรยิ่งดังขึ้น โมเสสก็กราบทูล พระเจ้าก็ตรัสตอบเป็นเสียงฟ้าร้อง (อพยพ 19:16-19)
เป็นคำพูดในแบบเดียวกันในบทเพลงของเดโบราห์ :
4 "ข้าแต่พระเจ้า เมื่อพระองค์เสด็จออกจากเสอีร์ เมื่อพระองค์เสด็จจากท้องถิ่น
เอโดม แผ่นดินก็หวาดหวั่นไหว ท้องฟ้าก็ปล่อยลงมา เออ เมฆก็ปล่อยฝนลงมา
5 ภูเขาก็ไหวสะท้านต่อพระพักตร์พระเจ้า ทั้งภูเขาซีนาย โน้มต่อพระพักตร์ พระ เยโฮวาห์พระเจ้าของอิสราเอล (ผู้วินิจฉัย 5:4-5; ดูสดุดี 68:8; ฮาบากุก 3:3-15)
ดาวิดร้องขอการช่วยกู้จากพระเจ้า พระองค์ทรงตอบโดยสำแดงให้เห็นเป็นสัญลักษณ์ว่า พระองค์เองเป็น ผู้ครอบครองอยู่เหนือทุกสิ่งที่ทรงสร้าง เมื่อพระองค์สดับคำร้องทูลวิงวอนของดาวิด พระองค์ทรงตอบโดย เห็นได้ชัดเจนผ่านทางสิ่งที่พระองค์สร้าง พระเจ้าทรงพระพิโรธต่อบรรดาศัตรูที่เข้ามาทำร้ายกษัตริย์ที่พระ องค์เจิมตั้งไว้ และสรรพสิ่งทั้งหลายที่พระองค์ทรงสร้าง ก็สะท้อนให้เห็นถึงพระพิโรธของพระองค์ นี่ไม่ใช่ เป็นการอธิบายให้เห็นว่า พระเจ้าทรงต้องการช่วยกู้กษัตริย์ของพระองค์เท่านั้น แต่พระองค์ต้องการจะทำลาย ศัตรูทั้งหลาย ที่เข้ามาข่มขู่กษัตริย์ของพระองค์ด้วย
สิ่งแรกที่เห็นชัดว่าเป็นการช่วยกู้ของพระเจ้าคือเกิดแผ่นดินไหว โลกทั่งใบสั่นสะเทือนและปริออก (ข้อ 8) ควันแห่งพระพิโรธพลุ่งออกมาจากพระนาสิก และไฟจากพระโอษฐ์เผาผลาญทุกสิ่งที่ขวางกั้น และถ่านก็ ลุกติดไฟนั้น (ข้อ 9) เมื่อพระเจ้าเสด็จลงมา สวรรค์ก็โน้มลงมา พระองค์ทรงประทับอยู่เหนือความมืดทึบ เป็น ลางบ่งถึงเหตุร้าย (ข้อ 10) พระอง์ทรงเครูปเหาะไปด้วยปีกของลม ความมืดเป็นปะรำของพระองค์ ความสุก ใสสว่างเป็นประกายนำหน้าพระองค์ (ข้อ 12-13) พระสุรเสียงกึกก้องเหมือนเสียงฟ้าร้อง พระองค์ทรงปล่อย ฟ้าแลบออกไป พุ่งเหมือนลูกธนู (ข้อ 14-15) เมื่อพระองค์เสด็จมา ทะเลก็แยกออก เผยให้เห็นรากฐานของ แผ่นดิน การขนาบของพระองค์พวยพุ่งออกมาจากพระนาสิก (ข้อ 16) พระเจ้าทรงยื่นพระหัตถ์ลงไป และดึง ผู้รับใช้ของพระองค์ขึ้นมาจากน้ำมากหลาย กู้เขาให้พ้นจากศัตรูผู้ห้าวหาญ นำเขามาวางไว้บนแผ่นดินกว้าง ใหญ่ แม้บรรดาศัตรู จะมีกำลังมากมหาศาล แต่พระเจ้าทรงช่วยกู้ให้พ้นจากเงื้อมมือศัตรูได้ พระองค์ทรงเป็น ที่พึ่งพิง112 ของท่าน เมื่อศัตรูจู่โจมเข้ามา
21 "พระเจ้าทรงประทานรางวัลแก่ข้าพเจ้าตามความชอบธรรม ของข้าพเจ้า พระองค์ทรงตอบข้าพเจ้าตามความสะอาดแห่งมือของข้าพเจ้า 22 เพราะ ข้าพเจ้ารักษาบรรดาพระมรรคาของพระเจ้า และไม่ได้พรากจากพระเจ้าของ
ข้าพเจ้าอย่างอธรรม 23 เพราะกฎหมายทั้งสิ้นของพระองค์อยู่ต่อหน้าข้าพเจ้า และข้าพเจ้ามิได้หันจากกฎเกณฑ์ของพระองค์ 24 ต่อพระพักตร์พระองค์
ข้าพเจ้าไร้ตำหนิ และข้าพเจ้ารักษาตัวไว้ให้พ้นจากกรรมชั่วของข้าพเจ้า
25 เพราะฉะนั้นพระเจ้าทรงตอบแทนข้าพเจ้าตามความชอบธรรม ของข้าพเจ้า ตามความสะอาดของข้าพเจ้าในสายพระเนตรของพระองค์ 26 "พระองค์ทรง สำแดงความรักมั่นคงต่อผู้ที่จงรักภักดี พระองค์ทรงสำแดงพระองค์ไร้ตำหนิ
ต่อผู้ที่ไร้ตำหนิ 27 พระองค์ทรงสำแดงพระองค์บริสุทธิ์ต่อผู้ที่บริสุทธิ์ พระองค์ ทรงสำแดงพระองค์เป็นปฏิปักษ์ต่อผู้ที่คดโกง 28 พระองค์ทรงช่วยกู้ประชาชน
ที่อนาถ แต่พระองค์ทอดพระเนตรผู้ที่ยโสเพื่อนำเขาให้ต่ำลง
เมื่อพระเจ้าประทานธรรมบัญญัติโมเสสให้กับอิสราเอล พระองค์ตรัสอย่างชัดเจนว่า ถ้ากระทำตามก็จะนำมา ซึ่งพระพร (เฉลยธรรมบัญญัติ 28:1-14) แต่ถ้าไม่เชื่อฟัง จะนำมาซึ่งคำสาปและภัยพิบัติ (28:15-68).113 ดาวิดเป็นผู้ที่ทำตามพระเจ้าอย่างสุดใจ ด้วยข้อยกเว้นบางประการ (ดู 1 พกษ. 15:5) ดาวิดรักและดำเนิน ตามพระบัญญัติ ท่านเข้าใจดีว่าผู้ที่อยู่ใกล้องค์พระผู้เป็นเจ้า คือผู้ที่รักษาพระบัญญัติของพระองค์ :
1 (บทสดุดีของดาวิด) ข้าแต่พระเจ้า ผู้ใดจะอาศัยอยู่ในพลับพลาของพระองค์ ผู้ใดจะอยู่บนภูเขาศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์ 2 คือผู้ที่ดำเนินชีวิตอย่างหาที่ติ มิได้ และปฏิบัติให้ถูกต้องตามธรรม และพูดความจริงจากจิตใจของตน 3 ผู้ซึ่งไม่ใช้ลิ้น ของตนในการนินทาว่าร้าย ไม่กระทำชั่วต่อเพื่อน และไม่ด่าเพื่อนบ้านของตน
4 ในสายตาของเขา คนถ่อยเป็นคนที่ถูกดูหมิ่นเหยียดหยาม เขาให้เกียรติแก่ผู้
ที่ยำเกรงพระเจ้า ถึงสาบานแล้ว และต้องเสียประโยชน์เขาก็ไม่กลับคำ 5 เขา เป็นผู้ที่มิได้ให้คนอื่นกู้เงินโดยคิดดอกเบี้ย และไม่ยอมรับสินบนต่อสู้ผู้ไร้ความผิด ผู้ซึ่งกระทำสิ่งเหล่านี้จะไม่หวั่นไหวเป็นนิตย์ (สดุดี 15)
3 ผู้ใดจะขึ้นไปบนภูเขาของพระเจ้า และผู้ใดจะยืนอยู่ในวิสุทธิสถานของพระองค์
4 คือผู้ที่มีมือสะอาดและใจบริสุทธิ์ ผู้ที่มิได้ปลงใจในสิ่งเท็จ และมิได้สาบานอย่าง
หลอกลวง 5 เขาจะรับพระพรจากพระเจ้า และความยุติธรรมจากพระเจ้าแห่งความ
รอดของเขา (สดุดี 24:3-5)
ดาวิดเชื่อ เช่นเดียวกับคนอิสราเอลที่สัตย์ซื่อ ว่าพระเจ้าจะลงโทษคนอธรรม และช่วยผู้ชอบธรรมที่เข้ามา ลี้ภัยอยู่ในพระองค์ :
35 ข้าพเจ้าเห็นคนอธรรมมีอำนาจมากยิ่ง และสูงเด่นอย่างต้นสนสีดาร์แห่งเลบานอน
36 เขาได้ผ่านไป และนี่แน่ะ ไม่มีเขาเสียแล้ว ถึงข้าพเจ้าจะแสวงหาเขา ก็ไม่พบเขา
37 จงหมายคนไร้ตำหนิไว้ และมองดูคนเที่ยงธรรม เพราะสันติชนจะมีอนาคต 38 แต่ ผู้ละเมิดจะถูกทำลายเสียด้วยกัน อนาคตของคนอธรรมจะถูกตัดออกไปเสีย 39 ความ รอดของคนชอบธรรมมาจากพระเจ้า พระองค์ทรงเป็นที่ลี้ภัยของเขาในเวลายากลำบาก
40 พระเจ้าทรงช่วยเขาและทรงช่วยกู้เขา พระองค์ทรงช่วยกู้เขาจากคนอธรรมและทรง ช่วยเขาให้รอด เพราะเขาทั้งหลายเข้าลี้ภัยในพระองค์ (สดุดี 37:35-40)
ในธรรมบัญญัติของโมเสส พระเจ้าสั่งชัดเจนต่อประชากรของพระองค์ว่า จะทรงอำนวยพระพร เมื่อพวกเขา วางใจ และรักษาธรรมบัญญัติของพระองค์ (ดูเฉลยธรรมบัญญัติ 7:12-16) ในทางกลับกัน พระองค์ทรงสั่ง อย่างชัดเจนเช่นกันว่า ความดีทั้งหลายที่พวกเขากระทำด้วยตนเองนั้น ไม่ใช่เป็นสิ่งที่นำมาซึ่งพระคุณ :
4 "เมื่อพระเยโฮวาห์พระเจ้า ของท่านได้ขับไล่เขาออกไปต่อหน้าท่านทั้งหลาย
แล้ว ท่านทั้งหลายอย่านึกในใจว่า 'เพราะความชอบธรรมของข้า พระเจ้าจึงทรง นำข้ามาให้ยึดครองแผ่นดินนี้' แต่เพราะความชั่วของประชาชาติเหล่านี้ พระเจ้า จึงทรงขับไล่เขาออกไปต่อหน้าท่าน 5 ซึ่งท่านทั้งหลายกำลังเข้าไปยึดครองแผ่นดิน
นี้นั้น มิใช่เพราะความชอบธรรมของท่าน หรือความสัตย์ธรรม ในใจของท่าน แต่เป็น เพราะความชั่วช้าของประชาชาตินี้ ซึ่งพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านต้องขับไล่ เขา ออกเสียต่อหน้าท่านทั้งหลาย และเพื่อว่าพระองค์จะทรงให้เป็นจริงตาม พระวจนะ ซึ่งพระเจ้าทรงปฏิญาณต่อบรรพบุรุษของท่าน คือต่ออับราฮัม ต่ออิสอัค และต่อยาโคบ
6 "เพราะฉะนั้นท่านทั้งหลายพึงทราบเถิดว่า ซึ่งพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่าน ทรง ประทานแผ่นดินดีนี้ให้ท่านยึดครองนั้น มิใช่เพราะความชอบธรรมของท่าน เพราะว่า ท่านทั้งหลายเป็นชนชาติที่ดื้อดึง (เฉลยธรรมบัญญัติ 9:4-6).
ดาวิดไม่เคยลืมว่าตนเป็นคนบาป ที่ต้องการได้รับการอภัยและพระคุณ :
3 เพราะพระพิโรธของพระองค์ จึงไม่มีความปกติในเนื้อหนังของข้าพระองค์ เพราะบาปของข้าพระองค์ จึงไม่มีอนามัยในกระดูกของข้าพระองค์ 4 เพราะ ความบาปผิดของข้าพระองค์ท่วมศีรษะ มันหนักเหมือนภาระ ซึ่งหนักเหลือ
กำลังข้าพระองค์ 5 เพราะความโง่เขลาของข้าพระองค์ บาดแผลของข้า พระองค์จึงเหม็นและเน่าเปื่อย (สดุดี 38:3-5)
ดาวิดเข้าใจดีว่าพระเจ้าทรงช่วยผู้ชอบธรรม และลงโทษคนอธรรม เพราะเหตุนี้พระองค์จึงทรงสดับคำร้องทูล ของดาวิด และช่วยท่านให้พ้นภัยจากบรรดาศัตรู พระเจ้าไม่เพียงแต่ช่วยผู้ชอบธรรมเท่านั้น พระองค์ทรงช่วย ผู้ที่ทุกข์ยากด้วย แต่ทรงสาปแช่งบรรดาผู้ที่หยิ่งยโส
เราจะมาพูดเรื่องความชอบธรรมของดาวิดทีหลัง แต่ผมกำลังนึกถึงบาปของซาอูลและราชวงศ์นองเลือดของ ท่าน ที่ทำให้อิสราเอลต้องเกิดกันดารอาหารถึงสามปี จนกว่าบาปนี้จะได้รับการชดใช้ พระเจ้าจึงจะฟังเสียง ร้องทูลของประชากร และยุติการกันดารอาหาร (ดู 2 ซามูเอล 21) ดังนั้นดาวิดเชื่อมั่นว่า ถ้าท่านเชื่อฟังและ วางใจในพระเจ้า พระองค์จะฟังคำทูลวิงวอนของท่าน
29 ข้าแต่พระเจ้า พระองค์ทรงเป็นประทีปของข้าพระองค์ พระเจ้าทรงกระทำ ให้ความมืดของข้าพเจ้าสว่าง 30 พ่ะย่ะค่ะ ข้าพระองค์ตะลุยกองทัพ ได้โดย
พระองค์ โดยพระเจ้าของข้าพเจ้า ข้าพเจ้ากระโดดข้ามกำแพงได้ 31 ฝ่าย
พระเจ้า พระมรรคาของพระองค์บริสุทธิ์หมดจด พระสัญญาของพระเจ้าพิสูจน์
แล้วเป็นความจริง พระองค์ทรงเป็นโล่ของบรรดาผู้ที่ลี้ภัยอยู่ในพระองค์ 32 "เพราะผู้ใดจะเป็นพระเจ้า นอกจากพระเยโฮวาห์ และผู้ใดเล่าเป็นพระศิลา
นอกจากพระเจ้าของเรา 33 พระเจ้าทรงเป็นป้อมเข้มแข็งของข้าพเจ้า และ พระองค์ทรงนำผู้ไร้ตำหนิในพระมรรคาของพระองค์ 34 พระองค์ทรงกระทำ ให้เท้าของข้าพเจ้าเหมือนอย่างตีนกวางตัวเมีย และทรงวางข้าพเจ้าไว้บนที่
สูงของข้าพเจ้า 35 พระองค์ทรงหัดมือของข้าพเจ้าให้ทำสงคราม แขนของ ข้าพเจ้าจึงโก่งคันธนูทองสัมฤทธิ์ได้ 36 พระองค์ประทานโล่ความรอดของ
พระองค์ให้ข้าพระองค์ และซึ่งพระองค์ทรงน้อมพระทัยลง ก็กระทำให้ข้าพระ
องค์เป็นใหญ่ขึ้น 37 พระองค์ประทานที่กว้างขวางสำหรับเท้าของข้าพระองค์ เท้าของข้าพระองค์จึงไม่พลาด 38 ข้าพระองค์ไล่ตามศัตรูของข้าพระองค์ และ
ได้ทำลายเขาเสีย และไม่หันกลับจนกว่าเขาจะถูกผลาญเสียสิ้น 39 ข้าพระองค์
ผลาญเขา ข้าพระองค์แทงเขาทะลุ เขาจึงไม่สามารถลุกขึ้นอีกได้ พ่ะย่ะค่ะ เขา ล้มลงใต้เท้าของข้าพระองค์แล้ว 40 เพราะพระองค์ทรงคาดเอวข้าพระองค์ไว้ด้วย
กำลัง เพื่อทำสงคราม พระองค์ทรงกระทำให้พวกที่ลุกขึ้นต่อสู้ข้าพระองค์ จม
ลงใต้ข้าพระองค์ 41 พระองค์ทรงกระทำให้ศัตรูของ ข้าพระองค์หันหลังหนีข้า
พระองค์ บรรดาผู้ที่เกลียดชังข้าพระองค์ ข้าพระองค์ก็ทำลายเสีย 42 เขามองหา แต่ไม่มีใครช่วยให้รอดได้ เขาร้องทูลต่อพระเจ้า แต่พระองค์มิได้ทรงตอบเขา
43 ข้าพระองค์ทุบตีเขาแหลกละเอียดอย่างผงคลีดิน ข้าพระองค์เหยียบเขาลง เหมือนโคลนตามถนนและกระจายเขาออกไปทั่ว 44 "พระองค์ทรงช่วยกู้ ข้าพระ
องค์จากการเกี่ยงแย่ง ประชาชนของข้าพระองค์ พระองค์ทรงรักษาข้าพระองค์ไว้ ให้เป็นหัวหน้าของบรรดาประชาชาติ ชนชาติที่ข้าพระองค์ไม่เคยรู้จัก ก็จะปรนนิบัติ
ข้าพระองค์ 45 ชนต่างด้าวจะมาหมอบราบต่อข้าพระองค์ พอเขาได้ยินถึงข้าพระองค์ เขาก็จะเชื่อฟังข้าพระองค์ 46 ชนต่างด้าวเสียกำลังใจ และตัวสั่นออกมาจากที่กำบัง ของเขาทั้งหลาย
ดาวิดสรรเสรญพระเจ้าที่เป็นพระผู้ช่วยของท่าน เป็นที่ลี้ภัย (ข้อ 2-3) เมื่อใดก็ตามที่ท่านร้องทูลขอความช่วย เหลือ พระองค์ทรงสดับและตอบคำทูลนั้น (ข้อ 4) ด้วยวิธีที่เห็นถึงพระสิริของพระองค์ พระพิโรธที่มีต่อศัตรู ที่ต่อต้านผู้รับใช้ของพระองค์ และเห็นถึงฤทธานุภาพอันไม่จำกัดของพระองค์ (ข้อ 5-20) พระเจ้าทรงช่วยกู้ ดาวิดเพราะความชอบธรรมของท่าน และความชั่วของศัตรู (ข้อ 21-28) บางทีอ่านมาถึงตรงนี้ พวกเราอาจสรุป เอาเองว่า "ความรอดนั้นมาจากพระเจ้า" ไม่เกี่ยวกับเรา ดังนั้นเราควรนิ่งเฉยหรือ? รอให้พระเจ้าเข้ามาจัดการ ถ้าจะดีกว่า บางครั้งก็เป็นสิ่งที่พระเจ้าต้องทำ เพื่อให้เราตระหนักว่า พระองค์เองเป็นผู้ประทานชัยชนะ เหมือน กับที่เกิดขึ้นในพระธรรมอพยพ เมื่อพระเจ้าบันดาลให้พวกอียิปต์จมน้ำตายในทะเลแดง แต่บ่อยครั้งพระเจ้าทรง ให้เรามีส่วนร่วมในวิธีการช่วยกู้ของพระองค์ ในกรณีเช่นนี้ พระเจ้าเองเป็นผู้ประทานกำลัง หนุนให้เราสามารถ เอาชนะศัตรู ดาวิดลุกขึ้นมาสู้กับโกลิอัทและมีชัย แต่ชัยชนะนั้นพระเจ้าเป็นผู้ประทานให้ ในข้อ 30-46 ดาวิด พูดว่า พระเจ้าเป็นผู้ดลบันดาล ให้ท่านมีกำลังเข้มแข็งขึ้น จนมีชัยเหนือศัตรู
พระกำลังของพระเจ้าไม่ใช่เพิ่มเติมให้เรามีกำลังมากยิ่งขึ้น ; พระกำลังของพระเจ้าเติมจุดอ่อนเราให้เต็ม นี่เอง เป็นเหตุให้ดาวิดเริ่มด้วยคำพูดว่า
ข้าแต่พระเจ้า พระองค์ทรงเป็นประทีปของข้าพระองค์ พระเจ้าทรง กระทำให้ความมืดของข้าพเจ้าสว่าง (ข้อ 29)
พระเจ้าขจัดความมืดออกไปจากดาวิด พระเจ้าเสริมให้ดาวิดมีเรี่ยวแรงขึ้น เป็นสิ่งเดียวกับที่ อ.เปาโลสอนไว้ ในพระคัมภีร์ใหม่ :
7 และเพื่อไม่ให้ข้าพเจ้ายกตัวจนเกินไป เนื่องจากที่ได้เห็นการสำแดงมากมายนั้น ก็ทรงให้มีหนามใหญ่ในเนื้อของข้าพเจ้า หนามนั้นเป็นทูตของซาตานคอยทุบตี ข้าพเจ้าเพื่อไม่ให้ข้าพเจ้ายกตัวเกินไป 8 เรื่องหนามใหญ่นั้น ข้าพเจ้าวิงวอนองค์ พระผู้เป็นเจ้าถึงสามครั้ง เพื่อขอให้มันหลุดไปจากข้าพเจ้า 9 แต่พระองค์ตรัสกับ
ข้าพเจ้าว่า "การที่มีคุณของเราก็พอแก่เจ้าแล้ว เพราะความอ่อนแอมีที่ไหน เดช ของเราก็มีฤทธิ์ขึ้นเต็มขนาดที่นั่น" เหตุฉะนั้น ข้าพเจ้าจึงภูมิใจในบรรดาความอ่อน
แอของข้าพเจ้า เพื่อฤทธิ์เดชของพระคริสต์จะได้อยู่ในข้าพเจ้า 10 เหตุฉะนั้นเพราะ
เห็นแก่พระคริสต์ ข้าพเจ้าจึงชื่นใจในบรรดาความอ่อนแอของข้าพเจ้า ในการประทุษ ร้ายต่างๆในความยากลำบาก ในการถูกข่มเหง ในความอับจน เพราะว่าข้าพเจ้า
อ่อนแอเมื่อใด ข้าพเจ้าก็จะแข็งแรงมากเมื่อนั้น (2 โครินธ์ 12:7-10)
ดาวิดอธิบายถึงเรี่ยวแรงที่พระเจ้าประทานให้ในการสู้ศึกศงคราม พระกำลังของพระองค์ทำให้ท่านกระโดด ข้ามกำแพงได้ ไล่บดขยี้ศัตรูลงอย่างราบคาบ (ข้อ 30) ความแข็งแกร่งในเชิงรบ เริ่มต้นที่ใจก่อน ดาวิดมี ความกล้าหาญ ยืนหยัดต่อสู้กับโกลิอัท และมีสติปัญญาที่พระเจ้าประทานให้ ใช้สลิงยิงจนโกลิอัทตาย ราก ฐานของความกล้าหาญเช่นนี้ (เราควรเรียกว่า -- ความเชื่อ) คือพระคำของพระเจ้า พระวจนะคำเป็นแหล่ง ความเชื่อของดาวิด ดลบันดาลให้ท่านต่อสู้ได้ ด้วยพระวจนะคำที่ว่าพระองค์ทรงเป็นพระศิลา เป็นที่ลี้ภัย (ข้อ 31-33) พระองค์ไม่เพียงแต่ยกดาวิดให้สูงขึ้น (เป็นต่อในเชิงรบ) แต่ทรงประทานความมั่นคงในที่ๆท่านยืนอยู่ เพื่อสามารถยืนหยัดต่อสู้ได้ (ข้อ 34) พระเจ้าเป็นผู้ฝึกปรือยุทธวิธีในการรบให้แก่ดาิวิด ให้กำลังที่จะโก่งคัน ธนูทองสัมฤทธิ์ได้ (ข้อ 35) ประทานโล่ห์แห่งความรอดให้ ประทานพื้นฐานอันมั่นคง ทำให้เท้าของท่านไม่มี วันพลาดไป (ข้อ 36-37)
ทุกสิ่งทุกอย่างที่พระเจ้าประทานให้ ก็เพื่อให้ท่านตามล่าศัตรู จนต้องถอยหนี (ข้อ 38) แต่หนีอย่างไรก็หนี ไม่พ้น เพราะพระองค์ทำให้ท่านทำลาย (ทุบตีอย่างแหลกละเอียด-ข้อ 43) ผู้ที่ต่อต้านลงได้ (ข้อ 39-40) ศัตรูของดาวิด -- ส่วนใหญ่ เป็นพี่น้องร่วมชาติด้วยกันเอง แต่บรรดาศัตรูและพันธมิตรของท่าน ก็มีคนต่าง ชาติปะปนอยู่ด้วย ประโยคส่งท้ายของบทเพลงสดุดีนี้ ให้ความสำคัญแก่คนต่างชาติ เพราะพวกเขาช่วยกู้ ท่านให้พ้นจากประชากรของท่านเอง (ข้อ 44) และพระเจ้าทรงทำให้ประชาชาติอกสั่นหวั่นไหว (ต่างชาติ) ผลก็คือ พระเจ้าไม่เพียงแต่ตั้งดาวิดขึ้นเป็นกษัตริย์ปกครองเหนืออิสราเอลเท่านั้น แต่ให้ท่านเป็นใหญ่เหนือ ประชาชาติทั้งปวงด้วย คนต่างชาติพวกนี้เกรงกลัวดาวิด และถ้าพวกนี้ไม่ยอมจำนนอย่างจริงใจ แกล้งทำเป็น พันธมิตร (ข้อ 44-45) ในไม่ช้าจะต้องเสียใจ ตัวสั่นออกมา หมอบราบคาบต่อท่าน (ข้อ 46)
47 "พระเจ้าทรงพระชนม์อยู่ และพระศิลา ของข้าพระองค์เป็นที่สรรเสริญ พระเจ้า พระศิลาแห่งความรอด114 ของข้าพระองค์เป็นที่ยกย่อง 48 คือพระเจ้าผู้ทรงกระทำ
การ แก้แค้นให้แก่ข้าพระองค์ และนำชนชาติทั้งหลายลงให้อยู่ใต้ข้าพระองค์ 49 ผู้
ทรงนำ ข้าพระองค์ออกมาจากศัตรูของข้าพระองค์ พ่ะย่ะค่ะ พระองค์ทรงยกข้าพระ
องค์ ให้เหนือปฏิปักษ์ของข้าพระองค์ พระองค์ทรงช่วยกู้ข้าพระองค์จากคนทารุณ 50
"ข้าแต่พระเจ้า เพราะ เหตุนี้ข้าพระองค์ขอเชิดชูพระองค์ ในหมู่ประชาชาติทั้งหลาย และร้องเพลงสรรเสริญพระนามของพระองค์"
พระเจ้าทรงเป็นที่ลี้ภัยและโล่ห์ปกป้องดาวิด เมื่อท่านร้องทูลขอการช่วยกู้ พระองค์ทรงสดับและทรงช่วย พระเจ้าเคลื่อนไหวทั้งท้องฟ้าและแผ่นดินโลก เพื่อนำการช่วยเหลือมาสู่ดาวิด บางครั้งพระองค์ช่วยด้วยวิธี เสริมกำลังท่าน เพื่อต้านภัยและมีชัยเหนือศัตรู ทีนี้ก็มาถึงเรื่องที่น่าสนใจแล้วครับ คุณว่าใครคือศัตรูของ ดาวิด? และใครคือบรรดาผู้ที่จะสรรเสริญพระเจ้าร่วมกันกับท่าน? ชาวยิวที่ชอบธรรมจะตอบได้ทันทีเลยครับ "คนยิวคือมิตรสหายของดาวิด เป็นผู้ที่จะร่วมสรรเสริญพระเจ้าด้วยกันกับท่าน ; คนต่างชาติเป็นศัตรูของ พระเจ้า สมควรถูกบดขยี้ให้แหลกเป็นจุล" แต่ดาวิดไม่ได้พูดเช่นนั้น
ดาวิดบ่งชัดเจนว่า หนึ่งในบรรดาศัตรูของท่าน ไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นพี่น้องร่วมชาตินั่นเอง (ดูข้อ 44ก) และ บรรดาประชาชาติทั้งหลาย ที่ยอมจำนนกับท่าน คือบรรดาผู้ที่จะร่วมสรรเสริญพระเจ้าด้วยกันกับท่าน (ดูข้อ 44ข) ท่านพูดชัดเจนมากเลยครับในข้อที่ 50 :
50 "ข้าแต่พระเจ้า เพราะ เหตุนี้ข้าพระองค์ขอเชิดชูพระองค์ ในหมู่ประชาชาติ
ทั้งหลาย และร้องเพลงสรรเสริญพระนามของพระองค์
พวกยิวบางคนต่อต้านพระเจ้าด้วยการต่อต้านดาวิด แต่ชาวต่างชาติบางคน เป็นผู้ที่ร่วมสรรเสริญในการช่วยกู้ ของพระเจ้าร่วมกันกับดาวิด ถ้าคุณคิดว่าผมพูดเกินเลยไป ขอนำพระวจนะของ อ.เปาโลที่พูดไว้ เป็นสิ่งยืน ยันในเรื่องนี้ :
7 เหตุฉะนั้นจงต้อนรับกันและกัน เช่นเดียวกับที่พระคริสต์ได้ทรงต้อนรับท่าน เพื่อพระเกียรติของพระเจ้า 8 เพราะข้าพเจ้าหมายว่า พระคริสต์ได้ทรงรับใช้
มายังพวกที่เข้าสุหนัต เพื่อเห็นแก่ ความสัตย์จริงของพระเจ้า เพื่อจะดำรงพระ
สัญญา ที่ประทานไว้กับบรรดาอัครปิตานั้น 9 และเพื่อให้คนต่างชาติได้ถวาย
พระเกียรติแด่พระเจ้า เพราะพระเมตตาของพระองค์ ตามที่มีคำเขียนไว้ในพระ
คัมภีร์ว่า เพราะเหตุนี้ ข้าพระองค์ขอสรรเสริญพระองค์ ท่ามกลางประ
ชาชาติทั้งหลาย และร้องเพลงสรรเสริญพระนามของพระองค์ 10 และ
มีคำกล่าวอีกว่า ประชาชาติทั้งหลายเอ๋ย จงชื่นชมยินดีกับชนชาติของ
พระองค์ 11 แล้วยังมีคำกล่าวอีกว่า ประชาชาติทั้งปวงเอ๋ย จงสรรเสริญพระเจ้า เถิดและให้ชนชาติทั้งหลายยกย่องพระองค์ 12 และอิสยาห์กล่าวอีกว่า รากแห่ง
เจสซีจะมา คือผู้จะทรงบังเกิดมาครอบครองบรรดาประชาชาติ ประชาชาติทั้งหลาย ะมีความหวังในพระองค์ (โรม 15:7-12)
พระเจ้าทรงเป็นผู้ช่วยกู้ของดาวิด เป็นที่ลี้ภัยของท่านหรือไม่? ใช่ครับ แต่พระองค์ยังทรงเป็นที่ลี้ภัย และเป็น ผู้ช่วยกู้สำหรับทุกคนที่วางใจในพระองค์ ซึ่งรวมไปถึงคนต่างชาติด้วย บรรดาคนที่ต่อต้านกษัตริย์ของพระ เจ้า (ดาวิด หรือพระเมสซิยาห์) ก็คือศัตรูของพระองค์ และจะถูกกษัตรยิ์ของพระองค์บดขยี้แหลกเป็นจุล
51 พระองค์ประทานชัยชนะยิ่งใหญ่แก่พระราชาของพระองค์ และทรงสำแดงความรัก
มั่นคง แก่ผู้ที่ทรงเจิมของพระองค์แก่ดาวิด และพงศ์พันธุ์ของท่านเป็นนิตย์ 115
บทสรุปของดาวิดเต็มไปด้วยความหวังและการรอคอย ดาวิดเป็นพระราชาที่พระเจ้าเจิม แต่การปกครองของ ท่านในไม่ช้าจะจบลง พระเจ้าได้พิสูจน์แล้วว่าพระองค์ทรงเป็น "ป้อมปราการแห่งความรอด" แต่ไม่ได้ จบลงเพียงแค่สมัยของดาวิดเท่านั้น แต่เป็นพระสัญญาที่จะให้ครอบครองบัลลังก์ชั่วนิรันดร์ :
12 เมื่อวันของเจ้าครบแล้ว และเจ้านอนพักอยู่กับบรรพบุรุษของเจ้า เราจะให้บุตรชาย คนหนึ่งของเจ้าเกิด ขึ้นสืบต่อจากเจ้าผู้ซึ่งเกิดมาจากตัวเจ้าเองและ เราจะสถาปนา อาณาจักรของเขา 13 เขาจะเป็นผู้สร้างนิเวศเพื่อ นามของเราและเราจะสถาปนา บัลลังก์แห่งราชอาณาจักรของเขาให้อยู่เป็นนิตย์ 14 เราจะเป็นบิดาของเขา และเขา จะเป็นบุตรของเรา ถ้าเขากระทำผิดเราจะตีสอนเขาด้วยไม้เรียวของมนุษย์ ด้วยการ เฆี่ยนแห่งบุตรมนุษย์ทั้งหลาย 15 แต่ความรักมั่นคงของเรา จะไม่พรากไปจากเขาเสีย ดังที่เราพรากไปจากซาอูล ซึ่งเราได้ถอดเสียให้พ้นหน้าเจ้า 16 ราชวงศ์ของเจ้า และอาณาจักรของเจ้าจะดำรง อยู่ต่อหน้าเจ้าอย่างมั่นคงเป็นนิตย์ และบัลลังก์ ของเจ้าจะถูกสถาปนาไว้เป็นนิตย์'" (2 ซามูเอล 7:12-16 ผมขอย้ำด้วย)
ดาวิดปลอดภัยและมั่นคงเพราะพระเจ้าเป็นที่ลี้ภัยจริงหรือ? จริงครับ เพราะตอนท้ายท่านเปิดเผยว่า ความมั่น ใจ ความปลอดภัยของท่านนั้นยืนยาวกว่าชีวิตของท่าน ท่านรู้ดีว่าพระิจ้าทรงสำแดงพระทัยรักและเมตตาต่อ ท่าน และพระองค์จะทำสิ่งเดียวกันนี้ต่อราชวงศ์ของท่านด้วย ดังนั้นพระพรที่ท่านพูดถึงนี้ เป็นพระพรนิรันดร์ พระเจ้าไม่เพียงแต่รักษาพระสัญญาที่มีต่อดาวิดเท่านั้น แต่จะทรงปกป้องจากผู้หวังเข้ามาทำลายด้วย และจะ จัดตั้งพระบัลลังก์ และเตรียมการให้พระสัญญาที่มีต่อดาวิดนั้นสำเร็จเป็นจริง โดยทางผู้ที่พระองค์เจิมไว้ คือ องค์พระเมสซิยาห์
ในการสรุปพระธรรมที่ยิ่งใหญ่ตอนนี้ มีหลายสิ่งที่สะท้อนให้ผมประทับใจ
ประการแรก ผมเห็นว่า "ความสำเร็จ" ของดาวิดเป็นมาจากพระเจ้าทั้งสิ้น เมื่อดาวิดมองย้อนกลับไป ถึงการขึ้นครองบัลลังก์ของท่าน ท่านเข้าใจดีว่า อำนาจและความยิ่งใหญ่ของท่าน ได้มาโดยพระคุณ ท่านจำ ได้ถึงภัยอันตรายที่ต้องเผชิญ ความตายที่รออยู่เบื้องหน้า หลบไม่พ้น ท่านจึงสรรเสริญพระเจ้าแห่งการช่วยกู้ เป็นที่ลี้ภัย เป็นแหล่งของกำลังและความมีชัย ไม่ใช่ว่าดาวิดแค่นั่งรอพระเจ้าเฉยๆโดยไม่ทำสิ่งใด ท่านทำ ทุกสิ่งเท่าที่ทำได้ ท่านรู้ว่าพระเจ้าจะปกป้องท่าน และนำท่านไปจนถึงบัลลังก์กษัตริย์ของอิสราเอล ดาวิด ถ่อมใจลงอย่างแท้จริง ขอให้เราเรียนจากท่าน ถ้าบุคคลที่ยิ่งใหญ่ขนาดนี้ ยังถวายเกียรติทั้งสิ้นแด่พระเจ้า แน่นอนเราทั้งหลายสมควรด้วย อย่างที่ อ.เปาโลเคยกล่าวไว้
7 ผู้ใดเล่ากระทำให้ท่านวิเศษกว่าคนอื่น ท่านมีอะไรที่ท่านมิได้รับมา ก็เมื่อท่าน
ได้รับมา เหตุไฉนท่านจึงโอ้อวดเหมือนกับว่าท่านมิได้รับเลย (1 โครินธ์ 4:7)
ประการที่สอง เราเห็นว่าความสำเร็จของดาวิด บางครั้งมาจากศัตรู จากการถูกข่มเหง หลายครั้ง พวกศัตรูนี่แหละทำให้ประสพความสำเร็จ ดาวิดสรรเสริญพระเจ้าแห่งความรอด บ่อยครั้ง "ความรอดนี้" เป็นความรอดทางกาย (พระเจ้าช่วยชีวิตท่าน) เมื่อเราอ่านพระกิตติคุณ เราจะพบเรื่องเดียวกัน "ความรอด" ทั้งสิ้น เป็นความรอดที่ฉุดเราออกมาจากการถูกพิพากษานิรันดร์ ให้เราได้รับการอภัยจากบาป โดยโลหิต พระเยซูคริสต์ มั่นใจในชีวิตนิรันดร์ แต่ในพระกิตติคุณตลอดทุกเล่ม เราจะเห็นว่าพระเจ้าของเรา "ช่วยกู้" ประชาชนในภาพกว้าง ภาพที่ย้ำให้เห็นชัดเจนว่าพระองค์เป็นพระผู้ช่วยที่ยิ่งใหญ่แท้จริง
ในพระคัมภีร์ใหม่ คำภาษากรีกคำว่าการช่วยกู้ มาจากการ "ช่วยกู้" ในหลายรูปแบบ เป็น (ราก) ศัพท์คำเดียว กับ "การช่วยเหลือ" พวกสาวกที่เผชิญพายุร้ายในทะเล (มัทธิว 8:25) การช่วยรักษาหญิงโลหิตตก (มัทธิว 9:21-22) การช่วยเปโตรไม่ให้จมน้ำเมื่อท่านเดินบนทะเล (มัทธิว 14:30) คำร้องขอของไยรัสให้พระเยซูช่วย "รักษา" ชีวิตของบุตรสาว (มาระโก 5:23) การรักษาโรคภัยใข้เจ็บทั้งหลาย (มาระโก 6:56) การรักษาคนตา บอดให้หาย (มาระโก 10:52) รวมถึงการขับผีด้วย (ลูกา 8:36)
บทเรียนที่เราเีรียนอยู่นี้บอกว่า พระเจ้าทรงเป็นพระผู้ช่วยของเราในทุกทาง แต่การช่วยกู้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคือ การจัดเตรียมโดยการหลั่งพระโลหิตของพระเยซูคริสต์ สิ่งแรกและเป็นสิ่งสำคัญที่สุด คือการยอมรับการจัด เตรียมเพื่อความรอดนี้ เพื่อหลุดพ้นจากบาปผิดและกรรมเวรทั้งสิ้น โดยการยอมรับในการสิ้นพระชนม์ การฝัง พระศพ และการคืนพระชนม์ขององค์พระเยซูคริสต์ และในแต่ละวันของชีวิต เราต้องมองพระองค์เป็นพระ ผู้ช่วยให้รอด เป็นป้อมปราการ เป็นที่ลี้ภัยของเรา ที่เราสามารถเข้าไปหลบอยู่อย่างปลอดภัยเป็นนิตย์
เมื่อตกอยู่ในห้วงแห่งความทุกข์และการถูกข่มเหง เราจะสำนึกถึงพระคุณ (2 โครินธ์ 12:7-10) ถ้าเป็นเช่นนั้น (ใช่ครับ มันต้องเป็น) เราควรมองความทุกข์ยากในมุมมองที่ต่างไป ถึงแม้มันจะไม่น่ารื่นรมย์ แต่ผลหอมหวาน ที่ได้รัย ในการที่พระเจ้ามีส่วนร่วมทุกข์ร่วมสุขด้วย นำมาซึ่งความชื่นชมยินดีและสัมพันธภาพที่แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น กับพระองค์ (ฟีลิปปี 3:10) ไม่ต้องสงสัยเลยครับว่าทำไมพระเยซูจึงตรัสว่า "บุคคลผู้ใดโศกเศร้า ผู้นั้น เป็นสุข …" (มัทธิว 5:4)
ประการที่สาม การกอบกู้ผู้ชอบธรรมนั้นเกิดขึ้นได้ เมื่อพระเจ้าทรงพระพิโรธ ดาวิดพูดถึงภัยที่เกิด ขึ้นกับท่านนั้น เป็นฝีมือของฝ่ายศัตรู ของพวกที่ต้องการกำจัดท่าน (22:18-19, 38-46) เมื่อท่านพูดถึงการ ช่วยเหลือของพระเจ้าในข้อ 8-16 ท่านอธิบายถึงการที่พระเจ้าทรงบัญชาธรรมชาติในรูปแบบต่างๆมากมาย ทรงเสด็จมาเหมือนบินได้ ด้วยปีกของลม (ข้อ 11); ทรงใช้ทั้งเสียงและสายฟ้าฟาด (ข้อ 14-15) โลกทั้งใบ ก็สั่นสะเทือน (ข้อ 8) นี่เป็นการสำแดงถึงพระพิโรธของพระองค์ ต่อบรรดาคนบาป ที่ต่อสู้พระองค์ โดยต่อต้าน กษัตรยิ์ที่พระองค์เลือกสรรไว้ (ดูข้อ 8) พระเจ้าทรงช่วยกู้ผู้รับใช้ของพระองค์ ด้วยการทำลาย และมีชัยเหนือ ศัตรูทุกคนที่มุ่งร้าย ต่อผู้รับใช้ของพระองค์
ดาวิดรวมการช่วยกู้และการพิพากษาของพระเจ้าไว้ด้วยกัน พระเจ้าช่วยกู้ดาวิดด้วยการทำลายศัตรูของท่าน ไม่มีสิ่งใดอีกแล้ว จะน่าสะพรึงกลัวไปกว่า เมื่อพบว่าตนเองอยู่ฝ่ายตรงข้ามกับพระเจ้าผู้บริสุทธิ์และยุติธรรม ไม่มีอะไรจะน่ากลัวไปกว่าเมื่อตระหนักว่า - มันสายไปแล้ว - เราได้ต่อต้านผู้ที่พระเจ้าเจิมไว้ "พระบุตร" ของพระองค์ (ดู 2 ซามูเอล 7:12-16) ถ้ามันเกิดขึ้นกับศัตรูของดาวิด ลองคิดดูว่าผู้ที่ปฏิเสธองค์พระเยซู คริสต์ "บุตรดาวิด" และ "บุตรพระเจ้า" จะเป็นเช่นไร ไม่มีบาปผิดใดจะใหญ่หลวงไปกว่าการกบฎต่อ พระเจ้า ด้วยการปฏิเสธพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ .
ประการที่สี่ แน่นนอนยังมีสิ่งยิ่งใหญ่กว่าที่ดาวิดได้กล่าวไปแล้วในพระธรรมตอนนี้ เมื่ออ่านสดุดี 22 เรารู้ว่าดาวิดเป็นผู้เขียน ในขณะที่ท่านตกอยู่ภายใต้เงื้อมมือของศัตรู มีอีกสิ่งหนึ่งที่เราสามารถพูดถึงได้ คือ พระคริสต์ ผู้จะเกิดมาในวงศ์วานของท่าน เช่นเดียวกับสดุดี 18 (2 ซามูเอล 22) รวมความหมายทั้งหมดแล้ว พระองค์คือ "บุตรดาวิด" คือพระเยซูคริสต์ที่ถูกกล่าวถึง
พวกคาลวินกล่าวว่า บทสดุดีเกือบทั้งบทนี้กล่าวถึงพระคริสต์ มากกว่าถึงดาวิด ; และในโรม 15:9 อ.เปาโลไม่มีข้อโต้แย้งใดสำหรับข้อ 49 [สดุดี 18; ข้อ 50 ใน 2 ซามูเอล 22] ว่าเป็นส่วนหนึ่งของคำพยากรณ์เรื่องพระเมสซิยาห์ 116
พระเยซูคริสต์ พระบุตรองค์เดียว ที่ถูกคนอธรรมฆ่า แต่องค์พระผู้เป็นเจ้าพระบิดาทรงช่วยกู้พระองค์ให้คืน พระชนม์ และพระเจ้าเองจะเป็นผู้ทำลายศัตรู เมื่อพระองค์ส่งพระบุตรกลับมาในโลกอีกครั้ง บทเพลงการช่วยกู้ ของดาวิดพูดเรื่องนี้ -- เป็นบทสดุดีที่มองไปในอนาคตกาล เมื่อมีการจัดตั้ง "พระบัลลังก์นิรันดร์" บนโลกนี้ บรรดาศัตรูทั้งหลายจะถูกลงโทษ และถูกกำจัดออกไป แต่ผู้ที่วางใจในพระองค์จะได้รับความรอด นับเป็นวัน แห่งความชื่นชมยินดีอันแท้จริง! ความยินดีในความรอด และความตระหนกในการพิพากษาของพระองค์จะ เกิดขึ้นในเวลาเดียวกัน
ประการที่ห้า ถ้าพระเจ้าเป็นที่ลี้ภัยของเรา เราก็ไม่มีอะไรต้องกลัว ผมเคยเห็นสติ๊กเกอร์ที่ติดตามท้าย รถ (ที่จริงส่วนมากจะเป็นพวกรถกะบะหรือรถบันทุก) ที่เขียนว่า "ไม่กลัว" ผมไม่แน่ใจว่าเขาหมายถึงอะไร หมายความว่า "ถ้าไม่แน่จริง อย่าซ่า" หรือว่า "นี่เป็นเขตพกพาอาวุธ" ไม่ว่าจะแปลว่าอะไร คงไม่มีทางเทียบ ได้กับพระคำของพระเจ้าที่ว่า "อย่ากลัวเลย" ไม่มีอะไรในโลกนี้จะเทียบได้กับ ความมั่นคงปลอดภัยในชีวิต ของบรรดาธรรมิกชนอีกแล้ว:
6 จงเข้มแข็งและกล้าหาญเถิด อย่ากลัวหรืออย่าครั่นคร้ามเขาเลย เพราะว่า ผู้ที่ไปกับท่านคือพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่าน พระองค์จะไม่ทรงปล่อยท่าน ให้ล้มเหลวหรือทอดทิ้งท่านเสีย" (เฉลยธรรมบัญญัติ 31:6)
14 ข้าพเจ้ามองดู แล้วลุกขึ้นพูดกับขุนนางและเจ้าหน้าที่ทั้งหลาย กับคนนอก นั้นว่า "อย่ากลัวเขาเลย จงระลึกถึงพระเจ้าผู้ใหญ่ยิ่งและน่าเกรงกลัว และต่อสู้ เพื่อพี่น้องของท่าน บุตรชายบุตรหญิงของท่าน ภรรยาและเรือนของท่าน (เนหะมีย์ 4:14)
6 ข้าพเจ้าไม่กลัวคนเป็นหมื่นๆ ซึ่งตั้งตนต่อสู้ข้าพเจ้าอยู่รอบด้าน (สดุดี 3:6)
4 ในพระเจ้า ผู้ที่ข้าพระองค์สรรเสริญ พระวจนะของพระองค์ ในพระเจ้า ข้า พระองค์วางใจอย่างปราศจากความกลัว เนื้อหนังจะกระทำอะไรแก่ข้าพระองค์ ได้ (สดุดี 56:4)
11 ในพระเจ้า ข้าพระองค์วางใจอย่างปราศจากความกลัว คนจะกระทำอะไร แก่ข้าพระองค์ได้ (สดุดี 56:11)
6 มีพระเจ้าอยู่ฝ่ายข้าพเจ้า ข้าพเจ้าไม่กลัว มนุษย์จะทำอะไรแก่ข้าพเจ้าได้เล่า (สดุดี 118:6)
2 "ดูเถิด พระเจ้าเป็นความรอดของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะวางใจและไม่กลัว เพราะ พระเจ้าทรงเป็นกำลังและบทเพลงของข้าพเจ้า และพระองค์ทรงเป็นความรอด ของข้าพเจ้าแล้ว" (อิสยาห์ 12:2)
8 อย่ากลัวหน้าเขาเลย เพราะเราอยู่กับเจ้า จะช่วยกู้เจ้าไว้ พระเจ้าตรัสดังนี้ แหละ (เยเรมีย์ 1:8)
11 อย่ากลัวพระราชาแห่งบาบิโลนผู้ซึ่ง เจ้ากลัวอยู่นั้นพระเจ้าตรัสว่า อย่ากลัว เขาเลย เพราะเราอยู่กับเจ้าทั้งหลาย เพื่อช่วยเจ้าและช่วยกู้เจ้าให้พ้นจากมือ ของเขา (เยเรมีย์ 42:11)
27 ในทันใดนั้นพระเยซูตรัสกับเขาว่า "ทำใจให้ดีไว้เถิด เราเอง อย่ากลัวเลย" (มัทธิว 14:27)
9 และองค์พระผู้เป็นเจ้าได้ตรัสกับเปาโลทางนิมิต ในคืนหนึ่งว่า "อย่ากลัวเลย
แต่จงกล่าวต่อไป อย่านิ่งเสีย (กิจการ 18:9)
5 ท่านจงอย่าเป็นคนเห็นแก่เงิน จงพอใจในสิ่งที่ท่านมีอยู่ เพราะว่าพระองค์ได้ตรัสว่า เราจะไม่ละท่าน หรือทอดทิ้งท่านเลย 6 เหตุฉะนั้นเราทั้งหลายอาจกล่าวด้วยใจเชื่อมั่น
ว่า องค์พระผู้เป็นเจ้า ทรงเป็นพระผู้ช่วยของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะไม่กลัว มนุษย์จะทำ อะไรแก่ข้าพเจ้าได้เล่า
5 ท่านจงอย่าเป็นคนเห็นแก่เงิน จงพอใจในสิ่งที่ท่านมีอยู่ เพราะว่าพระองค์ได้ตรัสว่า เราจะไม่ละท่าน หรือทอดทิ้งท่านเลย 6 เหตุฉะนั้นเราทั้งหลายอาจกล่าวด้วยใจเชื่อ
มั่นว่า องค์พระผู้เป็นเจ้า ทรงเป็นพระผู้ช่วยของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะไม่กลัว
มนุษย์จะทำ อะไรแก่ข้าพเจ้าได้เล่า (ฮีบรู 13:5-6)
สำหรับผู้ที่รู้จักและวางใจในองค์พระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด ไม่มีอะไรจะต้องกลัว ไม่จำเป็นต้องกลัว การพิพากษา เพราะโทษบาปทุกอย่าง พระผู้ช่วยของเราชดใช้ให้หมดแล้ว ไม่ต้องกังวลถึงความต้องการใดๆ พระองค์สัญญาจะจัดเตรียมให้ ไม่ต้องเกรงกลัวสถานการณ์ต่างๆที่เข้ามาในชีวิต เพราะพระองค์ร่วมอยู่ด้วย ขอให้ความมั่นคงของพระองค์สถิตย์ในเรา ขณะที่เราวางใจในความรอดที่พระองค์จัดเตรียมให้ในองค์พระ เยซูคริสต์
31 ถ้าเช่นนั้นเราจะว่าอย่างไร ถ้าพระเจ้าทรงอยู่ฝ่ายเรา ใครจะขัดขวางเรา
32 พระองค์ผู้มิได้ทรงหวงพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ แต่ได้ทรงโปรด ประทานพระบุตรนั้นเพื่อประโยชน์แก่เรา ถ้าเช่นนั้นพระองค์จะไม่ทรงโปรด ประทานสิ่งสารพัดให้เราทั้งหลาย ด้วยกันกับพระบุตรนั้นหรือ 33 ใครจะฟ้อง คนเหล่านั้นที่พระเจ้าได้ทรงเลือกไว้ พระเจ้าทรงโปรดให้พ้นโทษแล้ว 34 ใครเล่าจะเป็นผู้ปรับโทษอีก พระเยซูคริสต์น่ะหรือ ผู้ทรงสิ้นพระชนม์แล้ว และยิ่งกว่านั้นอีกได้ทรงถูกชุบให้เป็นขึ้นมาจากความตาย ทรงสถิต ณ เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า และทรงอธิษฐานขอเพื่อเราทั้งหลายด้วย
35 แล้วใครจะให้เราทั้งหลายขาดจากความรักของพระคริสต์ได้เล่า จะเป็น
ความทุกข์ หรือความยากลำบาก หรือการเคี่ยวเข็ญ หรือการกันดารอาหาร
หรือการเปลือยกาย หรือการถูกโพยภัย หรือการถูกคมดาบหรือ 36 ตามที่
เขียนไว้ในพระคัมภีร์ว่า เพราะเห็นแก่พระองค์ ข้าพระองค์จึงถูกประหาร
วันยังค่ำ และนับว่าเป็นแกะสำหรับจะเอาไปฆ่า 37 แต่ว่าในเหตุการณ์
ทั้งปวงเหล่านี้ เรามีชัยเหลือล้นโดยพระองค์ผู้ได้ทรงรักเราทั้งหลาย 38 เพราะ
ข้าพเจ้าเชื่อมั่นว่า แม้ความตาย หรือชีวิต หรือบรรดาทูตสวรรค์ หรือเทพเจ้า หรือสิ่งซึ่งมีอยู่ในปัจจุบันนี้ หรือสิ่งซึ่งจะมีในภายหน้า หรือฤทธิ์เดชทั้งหลาย
39 หรือซึ่งสูง หรือซึ่งลึก หรือสิ่งใดๆอื่นที่ได้ทรงสร้างแล้วนั้น จะไม่สามารถ กระทำให้เราทั้งหลายขาดจากความรักของพระเจ้า ซึ่งมีอยู่ในพระเยซูคริสต์ องค์พระผู้เป็นเจ้าของเราได้ (โรม 8:31-39)
104 ผมพึ่งมีโอกาสคุยกับคาร์ลเรื่องนี้อยู่หยกๆ เขาเล่าให้ฟังว่ามาร์ธา ภรรยาของเขาสอนรวีอยู่ใกล้ๆกับ ห้องเก็บศพ ดังนั้นมีบางอาทิตย์ที่มีกลิ่นน้ำยาอาบศพลอยเข้ามาในห้องอยู่เป็นประจำ
105 เนื้อหาของบทเพลงนี้ เป็นการที่ดาวิดตอบสนองต่อการช่วยกู้ของพระเจ้า ออกจากเงื้อมมือศัตรู และออก จากซาอูล ผมจึงเข้าใจว่าท่านเริ่มเขียนจากจุดที่ท่านขึ้นครองเป็กษัตริย์ คือหลังจากที่ซาอูลตายได้ไม่นาน สิ่ง ที่ช่วยย้ำความคิดของผม มาจากข้อเท็จจริงว่า นักวิชาการบางคนเชื่อว่าเป็นหนึ่งในบทเพลงสดุดี ที่เก่าที่สุด ของดาวิด
106 "นอกจาก "เป็นถ้อยคำที่ยาวที่สุด ที่เชื่อว่าเป็นผลงานของดาวิด" (มี 365 คำในภาษาฮีบรู) และ มีการ ใช้คำศัพท์อย่างหลากหลาย โครงร่างเป็นไปอย่างมีระเบียบถูกต้อง นับเป็นตัวอย่างของบทกวีชั้นสูงในภาษา ฮีบรู" โดย โรเบิร์ต ดี เบอร์เก้น 1, 2 ซามูเอล (Broadman and Holman Publishers, 1996), p. 450.
107 บทสดุดีของฮาบากุกเกิดทีหลัง และไม่คล้ายกับของดาวิด ถึงแม้ว่าผู้เผยพระวจนะท่านนี้ ไม่เพียงแต่ คุ้นเคยกับบทเพลงของดาวิดเท่านั้น แต่ท่านอาจยืมบางตอนมาใช้ด้วย
108 เบอร์เก้นชี้ให้เห็นถึงความสำคัญที่มีการนำบทเพลงสดุดีนี้ มาใส่ไว้ในตอนท้ายของพระธรรมซามูเอล : "พระธรรมตอนนี้ เป็นตอนที่โดดเด่นที่สุดตอนหนึ่งของหนังสือพระธรรม 2 ซามูเอล ที่ว่าสำคัญนั้นมีเหตุผล สามประการ : ประการแรก ตอนนี้ -- รวมทั้ง 22:1-51 -- เป็นหัวใจ เป็นศูนย์กลาง ของโครงเรื่องทั้งหมด แต่ค่อยๆถูกนำเสนออย่างต่อเนื่อง และเกี่ยวโยงกันทั้งหมด ( chiastic structure) : ดังนั้นบทเพลงนี้จึงทำ หน้าที่เป็นส่วนหนึ่งของทั้งโครงเรื่อง จากข้อเขียนของ Bergen, pp. 464-465.
109 "มีการบันทึกไว้ว่า อาธาเนซีอุส ผู้นำคนสำคัญของคริสเตียนในสมัยศตวรรษที่สี่ ประกาศว่าบทเพลงนี้ เป็นบทสดุดีที่มีเอกลักษณ์โดดเด่นบทหนึ่งในพระคัมภีร์ เพราะพระวจนะคำโดยส่วนมากจะพูดกับเรา แต่พระ ธรรมสดุดีจะพูดแทนเรา " กล่าวโดยเบอนาร์ด แอนเดอสัน จากหนังสือ Out of the Depths: The Psalms Speak for Us Today (Philadelphia: The Westminster Press), p. x.
110 "ป้อม ปราการ (2) เป็นคำที่ใช้สำหรับที่หลบภัยในถ้ำอดุลลัม (1 ซมอ. 22:1-5; 23:14, 19, 29) และ ป้อมปราการที่ค่ายของชาวเยบุส ที่ต่อมาได้กลายเป็น "เมืองดาวิด" (5:9)" จากบทความของ Robert P. Gordon, I & II Samuel: A Commentary (Grand Rapids: Regency Reference Library, Zondervan Publishing House, 1986), p. 304.
111 สงสัยมั้ยครับ ว่าโยนาห์อาจยืมคำพูดตอนนี้ของดาวิด มาใช้อธิบายถึงสถานะการณ์ของท่าน ระหว่าง ที่ลอยคออยู่ในทะเล (เปรียบเทียบระหว่าง 2 ซามูเอล 22:5 กับโยนาห์ 2:3-5)?
112 "ดาวิดเปลี่ยนจากภาพจินตนาของห้วงทะเลในข้อ 19 เป็นทุ่งกว้างใหญ่แทน ในข้อนี้ท่านพูดถึงพระเจ้า ว่าเป็นดังคฑา (ฉบับ NIV ข้อ 19 ใช้คำว่าเป็นที่พึ่ง) ของท่าน คำที่นำมาใช้ตรงนี้ … หมายถึง ด้ามไม้ใหญ่ ที่ปลายด้านบนเป็นเหมือนขอเกี่ยว ที่พวกคนเลี้ยงแกะใช้สำหรับดึงแกะที่เดินหลงทาง หรือที่กำลังตกอยู่ใน อันตรายขึ้นมา" จากหนังสือของ Bergen หน้า 456.
113 "… บทเพลงนี้ดูเหมือนนำเอาหัวใจหลักของพระคัมภีร์ห้าเล่มแรก (โทราห์) มาทบทวน-- เชื่อฟังองค์ พระผู้เป็นเจ้านำมาซึ่งพระพรแห่งชีวิต ดังนั้นสิ่งที่ต้องการสื่อจากบทสดุดีบทนี้สรุปได้คือ เพราะดาวิดเชื่อฟัง พระเจ้าอย่างตั้งใจ พระองค์ทรงประทานบำเหน็จให้ด้วยการตอบคำร้องทูลของท่าน ช่วยเหลือท่านในช่วง เวลาแห่งความทุกข์ยากเดือดร้อน ชุบชูท่านขึ้นมาใหม่ ด้วยเหตุนี้พระเจ้าจึงสมควรได้รับคำสรรเสริญ โดย Robert D. Bergen, 1, 2 Samuel (Broadman and Holman Publishers, 1996), p. 451.
114 "การใช้คำว่าพระเจ้าทรงเป็นพระศิลา เป็นการประกาศว่าพระองค์จะทรงทำการ "แก้แค้น" แทน (นำการ แก้แค้นไปสู่) ต่อบรรดาศัตรูของดาวิด และคำว่า "พระเจ้าทรงพระชนม์อยู่" ในตอนท้ายของบทสดุดีของ ดาวิดจะโยงไปเข้ากับบทเพลงสดุดีของโมเสส โดยเฉพาะใน ฉธบ. 32:31-43 ความคล้ายคลึงกันทั้งคำศัพท์ และใจความนี้ บ่งบอกว่าผู้เขียนต้องการประกาศความสำคัญของเรื่องนี้ให้ได้รับรู้กันอย่างทั่วถึง" จากข้อเขียน ของ Bergen, p. 462.
115 "มีความคล้ายคลึงกันระหว่างตอนท้ายของบทเพลงของนางฮันนาห์ (1 ซมอ. 2:10) และตอนท้ายของ บทเพลงของดาวิด ทั้งสองพูดว่าพระเจ้าทรงช่วย "พระราชาของพระองค์" และ "ผู้ที่ทรงเจิมของพระ องค์" เหมือนกัน แต่ในขณะเดียวกันก็มีความต่างอยู่ด้วย -- ดาวิดเอ่ยถึงชื่อตนเอง และพงษ์พันธ์ของตน ว่าเป็นพระราชาของพระเจ้า ในขณะที่นางฮันนาห์ไม่ได้กล่าวอะไร ข้อแตกต่างที่เห็นได้ชัดเจนในพระธรรม ทั้งสองนั้น เป็นการยืนยันคำพยากรณ์ของนางฮันนาห์ ที่มีต่อดาวิดและวงศ์วานของท่าน จากข้อเขียนของ Bergen, p. 463.
116 จากบทความของ Derek Kidner, สดุดี 1-72: An Introduction and Commentary (Downers Grove: Inter-Varsity Press, 1973), vol. 1, p. 90.
ตอนที่แล้ว ผมเล่าเรื่องเพื่อนเก่าท่านหนึ่ง คาร์ล ลินด์ ที่นอนรอการกลับไปอยู่ในสวรรค์กับองค์พระผู้เป็นเจ้า ผมโทรหาคาร์ล เพื่อจะบอกว่าเราคิดถึงเขามาก และจดจำเขาเสมอในคำอธิษฐาน ผมบอกเขาไปด้วยว่า ยืม เรื่องของเขามาเกริ่นเป็นบทนำในตอนที่แล้ว เราย้อนระลึกถึง "วันเก่าๆ" ด้วยกัน เมื่อตอนเริ่มตั้งคริสตจักร ไบเบิ้ลแบบติสท์ใหม่ๆ เราใช้ห้องเตรียมศพเป็นที่ประชุมนมัสการ ผมจำได้ว่าตอนเด็กๆ ผมชอบมองหาว่า เขาเอาศพไปเก็บไว้ตรงไหน "นั่นยังไม่เท่าไหร่" คาร์ลบอก "มาร์ทา (ภรรยาของคาร์ล) เคยสอนรวีอยู่ห้องติด กับห้องแต่งศพ ทุกครั้งเวลาเรียน กลิ่นน้ำยาอาบศพที่ลอยมา ไม่จืดเลยครับ"
อันที่จริง กลิ่นน้ำยาอาบศพสักหน่อยก็ดี จะได้เตือนใจว่า ชีวิตเรานั้นไม่ยืนยาว ตอนที่ผมกับภรรยาเดินทาง ไปเที่ยวแถวฝั่งตะวันออก เราเห็นโบสถ์เล็กๆน่ารักหลายแห่ง มีสุสานตั้งอยู่ในบริเวณเดียวกัน เดี๋ยวนี้หาไม่ ได้แล้วในเมืองใหญ่ๆอย่างเช่นที่ดัลลัส ผมคิดว่าพระกิตติคุณและความตายควรเป็นเรื่องเกี่ยวข้องกันอย่าง ไกล้ชิด ทุกครั้งที่ไปโบสถ์ จะได้เตือนให้เราตระหนักว่า ความตายเป็นเรื่องหนีไม่พ้น และทุกครั้งที่ไปงานศพ เราควรมองเรื่องความตายด้วยสายตาแห่งพระคุณขององค์พระเยซูคริสต์
โจ เบย์ลี่ เสียชีวิตไปแล้ว เคยเขียนหนังสือชื่อ "วิวจากรถบันทุกศพ" เป็นหนังสือที่ดีมาก สำหรับคริสเตียน และความตาย ตอนหลังนำกลับมาพิมพ์ใหม่ ชื่อหนังสือถูกเปลี่ยนไป; ถ้าจำไม่ผิด คิดว่าเปลี่ยนเป็นชื่อ "สิ่งสุด ท้ายที่เราอยากพูดถึง" แต่ผมชอบชื่อแรกมากกว่า ผมคิดว่าเราทุกคนควรมองชีวิตของเราจากหน้าต่างของ รถบันทุกศพ ทุกคนไม่ว่าจะเป็นหญิงหรือชาย เมื่อเวลาตายใกล้เข้ามา มักจะจัดเตรียมทำสิ่งต่างๆตามลำดับ ความสำคัญ ผมเคยดูหนังที่พระเอก มัลคอล์ม มักเกอร์ริดจ์ แสดงตอนที่ต้องเข้าไปยังสุสานประจำตระกูล เขา พูดทำนองว่า : "ผมยืนอยู่ตรงที่ครอบครัวผมถูกฝังไว้ และรู้ดีว่า อีกไม่นานผมจะเป็นหนึ่งในนั้น ผมอยากจะ บอกว่า เมื่อผมมองชีวิตย้อนกลับไป ผมเริ่มตระหนักว่า หลายสิ่งหลายอย่างที่ผมเคยเกรงกลัวในวัยเยาว์ เดี๋ยวนี้เป็นสิ่งที่เต็มไปด้วยคุณค่า เป็นยิ่งกว่ารางวัลชีวิต ในทางกลับกัน สิ่งที่ผมคิดว่าเป็นเรื่องจำเป็นที่สุด กลับกลายเป็นเรื่องไร้สาระ และหาค่าไม่ไ้ด้เอาเสียเลย"
หลายคน ในยามที่ชีวิตบรรเจิด เมื่อมองย้อนกลับไปในอดีต สิ่งที่เห็นและความรู้สึกจะต่างไปจากเดิมมาก ดาวิดก็เป็นอีกผู้หนึ่ง ในยามที่ท่านขึ้นสู่จุดสูงสุด มองสิ่งต่างๆไม่เพียงแค่มุมมองในอดีตเท่านั้น แต่ด้วยความ หวังใจอันเป็นนิรันดร์ 117 บทเพลงสดุดีเจ็ดข้อแรกของพระธรรม 2 ซามูเอล 23 คล้ายๆกับมุมมองผ่านหน้า ต่างของรถบันทุกศพ 118 มีการบันทึกไว้ว่า นี่คือคำพูดสุดท้ายของดาวิด ก่อนที่ท่านจะอำลาโลกนี้ (ข้อ 1) เมื่อวาระสุดท้ายของท่านไกล้เข้ามา ท่านมองชีวิตของท่านย้อนกลับไป และมองไปข้างหน้า ด้วยใจที่เปี่ยม ไปด้วยความหวัง อันเป็นนิรันดร์
บทเพลงสดุดีในตอนต้นของ 2 ซามูเอล 23 อาจดูไม่น่าเกี่ยวข้องกับที่เหลือของบท ที่เต็มไปด้วยชื่อเสียง เรียงนาม และการประกาศเกียรติคุณของเหล่าวีรบุรุษ ที่มีส่วนในความสำเร็จร่วมกันกับดาวิด อันที่จริง ผมว่า มันเกี่ยวข้องกันเป็นอย่างยิ่ง ซึ่งเราจะได้เห็นต่อไป ตอนนี้ผมขอพูดแต่เพียงว่า พระธรรมบทนี้ทั้งบท เป็น เรื่องของความยิ่งใหญ่ ข้อ 1-7 เราจะเห็นว่ามีสิ่งใดอยู่เบื้องหลังกษัตริย์ที่ใหญ่ยิ่งท่านนี้ ส่วนข้อ 8-39 เป็น เรื่องราวของวีรบุรุษผู้ยิ่งใหญ่สองท่าน ที่รวมอยู่ใน "ทั้งสาม" และในทั้ง "สามสิบ" มีการอธิบายถึงความ สามารถของวีรบุรุษเหล่านี้ และพูดถึงว่าบุคคลสำคัญเหล่านี้ เหตุใดจึงนับว่าเป็นผู้ยิ่งใหญ่ในสายพระเนตร พระเจ้า
เราใกล้จะถึงบทสรุปตอนจบของพระธรรม 2 ซามูเอลแล้ว (แต่ในต้นฉบับภาษาฮีบรูมีเพียงพระธรรม "ซามูเอล" เท่านั้น ทั้ง 1 และ 2 เป็นเล่มเดียวกัน) ; อันที่จริงบทที่ 21-24 นับว่าเป็นเรื่องเดียว เป็นเหมือน บทส่งท้ายที่ผู้เขียนใช้สรุปเรื่องราวทั้งหมด ขอให้เราเรียนรู้ถึงเบื้องหลังความสำเร็จของกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ ของพระเจ้าท่านนี้ ขอให้เราตั้งใจฟังในสิ่งที่ผู้เขียนพยายามสอนเราจากพระธรรมทั้งสองเล่ม
1 ต่อไปนี้เป็นวาทะสุดท้ายของดาวิด ดาวิดบุตรเจสซีได้กล่าว และชายที่ได้รับการ แต่งตั้งขึ้นให้สูงได้กล่าว คือผู้ที่ถูกเจิมตั้งไว้ของพระเจ้าแห่งยาโคบ นักแต่งสดุดีอย่าง ไพเราะของอิสราเอล ได้กล่าวดังนี้ว่า 2 "โดยข้าพเจ้า พระวิญญาณของพระเจ้าได้ตรัส พระวจนะของพระองค์อยู่ที่ลิ้นของข้าพเจ้า 3 พระเจ้าแห่งอิสราเอลทรงลั่นพระวาจา พระศิลาแห่งอิสราเอลได้ตรัสกับข้าพเจ้าว่า เมื่อผู้หนึ่งปกครองมนุษย์โดยชอบธรรม คือปกครองด้วยความยำเกรงพระเจ้า 4 เขาทอแสงเหนือประชาชนเหมือนแสงอรุณ เมื่อดวงอาทิตย์ขึ้น คือรุ่งเช้าที่ไม่มีเมฆ ซึ่งเมื่อภายหลังฝน กระทำให้หญ้างอกออก
จากดิน 5 เออ พงศ์พันธุ์ของข้าพเจ้าตั้งมั่นอยู่กับพระเจ้ามิใช่หรือ เพราะพระองค์ทรง กระทำพันธสัญญาเนืองนิตย์กับข้าพเจ้าไว้ อันเป็นระเบียบทุกอย่างและมั่นคง เพราะ พระองค์จะไม่ทรงกระทำ ให้ความอุปถัมภ์และความปรารถนาของข้าพเจ้า 120 สัมฤทธิ์ผล
หรือ 6 แต่คนที่อธรรมก็เป็นเหมือนหนามที่ต้องผลักไสไป เพราะว่าจะเอามือหยิบก็ไม่ได้
7 แต่คนที่ถูกต้องมัน ต้องมีอาวุธที่ทำด้วยเหล็กและมีด้ามหอก และต้องเผาผลาญเสีย ให้สิ้นเชิงด้วยไฟ"
จากข้อ 1 บทเพลงสดุดีของดาวิดบทนี้เป็นวาทะสุดท้าย ของท่าน แต่ไม่ได้หมายความว่าเมื่อท่านกล่าวจบ ท่านสิ้นชีวิตในทันที121 ไม่มีโอกาสได้กล่าวอะไรต่อ แต่หมายความว่าเป็นถ้อยคำสุดท้ายในรูปแบบของ บทสดุดีที่มีการบันทึกไว้ โดยส่วนตัวแล้ว ผมค่อนข้างจะเห็นด้วยตามวรรคตอนของฉบับแปล NASB ที่เริ่มใช้ เครื่องหมายเปิดคำพูดที่ข้อ 2 แทนที่จะเป็นข้อ 1 ผมเข้าใจว่าผู้แปล (และที่สำคัญที่สุด เนื้อหาของพระธรรม ตอนนี้) ผู้เขียน 2 ซามูเอล ใช้ข้อ 1 เป็นคำเกริ่นนำ คงไม่ใช่ดาวิดแน่ ที่พูดถึงตนเองแบบนี้ ("ชายที่ได้รับ การแต่งตั้งให้ขึ้นสูง;" "นักแต่งสดุดีอย่างไพเราะของอิสราเอล") น่าจะเป็นผู้เขียนมากกว่า ดาวิดเป็น ดังที่ผู้เขียนกล่าวไว้ในข้อ 1 ทุกประการ แต่ตัวท่านเองคงไม่กล่าวแนะนำตนเองแบบนั้น ผมว่าถ้าอ่านดูดีๆ น่า จะเป็นตามที่ผมเข้าใจ
จากเด็กหนุ่มธรรมดาๆ บุตรชายคนสุดท้องของเจสซี ผู้ไม่มีความสำคัญใดๆในอิสราเอล ดาวิดได้รับการยกชู ขึ้นโดยพระเจ้า ท่านเป็นผู้ที่ "ได้รับการเจิม" ให้เป็นกษัตริย์ เป็นบุตรหลานของยาโคบ หรืออิสราเอล อันที่ จริงเป็นบุตรหลานของยาโคบก็ไม่น่ามีอะไรมาอวดอ้างได้ แต่สิ่งนี้เป็นตัวเชื่อมโยงท่านเข้าในพันธสัญญา อับราฮัม (ปฐก. 12:1-3, ฯลฯ) และด้วยพระสัญญาที่มีต่อยาโคบ โดยทางบุตรของท่านยูดาห์ พระเมสซิยาห์ (ผู้ได้รับการเจิมไว้) จะทรงมาบังเกิด(ปฐก. 49:8-10)
ถ้อยคำของดาวิดเริ่มต้นจากข้อ 2 ท่านเริ่มด้วยการอ้างถึงความจริงว่า ถ้อยคำเหล่านี้ท่านไม่ได้พูดเอง แต่ ถ่ายทอดมาจากพระเจ้า ที่ได้ทรงตรัสผ่านท่าน ท่านจึงถวายเกียรติแด่พระวิญญาณบริสุทธิ์ ผู้ทรงกระทำการ ผ่านท่าน สิ่งนี้สอดคล้องกับพระวจนะในพระคัมภีร์ใหม่ ที่พูดถึงดาวิด และผู้เขียนอีกหลายคนในพระคัมภีร์ เดิม:
10 บรรดาผู้เผยพระวจนะผู้ได้พยากรณ์ถึงพระคุณซึ่งจะบังเกิดแก่ท่านทั้งหลาย ก็ได้สืบค้นและสอบถามเกี่ยวกับเรื่องความรอดนี้ 11 เขาได้สืบค้นหาบุคคล และ
เวลา ซึ่งพระวิญญาณของพระคริสต์ผู้ทรงสถิตอยู่ในตัวเขาได้ทรงบ่งไว้ เมื่อเขา ได้ทำนายถึงความทุกข์ทรมานของพระคริสต์ และถึงพระสิริที่จะมาภายหลัง 12 ก็ทรงโปรดเผยให้ผู้เผยพระวจนะเหล่านั้นทราบว่า ที่เขาเหล่านั้นได้ปรนนิบัติใน
เหตุการณ์ทั้งปวงนั้น ไม่ใช่สำหรับเขาเองแต่สำหรับท่านทั้งหลาย บัดนี้คนเหล่านั้น ที่ประกาศข่าวประเสริฐแก่ท่านทั้งหลาย ก็ได้กล่าวสิ่งเหล่านั้นแก่ท่านแล้ว
(1 เปโตร 1:10-12)
20 ท่านทั้งหลายต้องเข้าใจข้อนี้ก่อน คือผู้หนึ่งผู้ใดจะตีความหมายคำของผู้เผย พระวจนะในพระคัมภีร์เอาเองไม่ได้ 21 เพราะว่าคำของผู้เผยพระวจนะนั้น ไม่ได้มา จากความคิดในจิตใจของมนุษย์ แต่มนุษย์ได้กล่าวคำซึ่งมาจากพระเจ้า ตามที่ พระวิญญาณบริสุทธิ์ได้ทรงดลใจเขา (2 เปโตร 1:20-21)
16 "ดูก่อนพี่น้องทั้งหลาย จำเป็นจะต้องสำเร็จตามพระคัมภีร์ ซึ่งพระวิญญาณ บริสุทธิ์ได้ตรัสไว้โดยโอษฐ์ของกษัตริย์ดาวิด ด้วยเรื่องยูดาส ซึ่งเป็นผู้นำทาง
คนที่ไปจับพระเยซู (กิจการ 1:16)
ดังนั้นถ้อยคำของดาวิด จึงเป็นถ้อยคำของพระเจ้า ที่ไม่ได้แตกต่างจากพระคัมภีร์ตอนอื่นๆ เพราะพระคัมภีร์ทุก ตอนได้รับการดลใจจากพระเจ้า เป็นถ้อยคำที่มาจากพระเจ้า พระเจ้าตรัสกับดาวิดถึงองค์ประกอบของกษัตริย์ ที่ปกครองโดยความชอบธรรม กษัตริย์ของพระเจ้าต้องเป็นกษัตริย์ที่ปกครองผู้อื่นอย่างชอบธรรม ความชอบ ธรรมเช่นนี้ เกิดจากสัมพันธภาพที่ยำเกรงในพระเจ้า (ข้อ 3) กษัตริย์ต่างชาติมักมีความคิดว่าตนเองต้องอยู่ เหนือผู้อื่น ; กษัตริย์ของพระเจ้าต้องคิดว่าตนเองนั้นอยู่ภายใต้ร่มเงาของพระเจ้า สิ่งนี้ปรากฎชัดเป็นพยาน ในองค์จอมกษัตริย์ของเรา องค์พระเยซูคริสต์ :
30 "เราจะทำสิ่งใดตามอำเภอใจไม่ได้ เราได้ยินอย่างไรเราก็พิพากษาอย่างนั้น และการพิพากษาของเราก็ยุติธรรม เพราะเรามิได้มุ่งที่จะทำตามใจของเราเอง แต่ตามพระประสงค์ของพระองค์ผู้ทรงใช้เรามา (ยอห์น 5:30)
6 และพระเยซูจึงเสด็จไปกับเขา เมื่อไปเกือบจะถึงตึกแล้ว นายร้อยจึงใช้เพื่อน ฝูงไปหาพระองค์ทูลว่า "พระองค์เจ้าข้า อย่าลำบากเลย เพราะว่าข้าพระองค์เป็น คนไม่สมควรที่จะรับเสด็จพระองค์เข้าใต้ชายคาของข้าพระองค์ 7 เพราะเหตุนั้น ข้าพระองค์จึงคิดเห็นว่า ไม่สมควรที่ข้าพระองค์จะไปหาพระองค์ด้วย แต่ขอพระ
องค์ตรัสสั่ง และบ่าวของข้าพระองค์จะหายโรค 8 ข้าพระองค์ทราบดี เพราะเหตุว่า ข้าพระองค์อยู่ใต้วินัยทหาร แต่ก็ยังมีทหารอยู่ใต้บังคับบัญชาของข้าพระองค์ ข้า
พระ องค์จะบอกแก่คนนี้ว่า 'ไป' เขาก็ไป บอกแก่คนนั้นว่า 'มา' เขาก็มาบอกบ่าว ของข้าพระองค์ว่า 'จงทำสิ่งนี้' เขาก็ทำ" 9 เมื่อพระเยซูทรงได้ยินคำเหล่านั้นแล้ว ก็ประหลาดพระทัยด้วยคนนั้น จึงทรงเหลียวหลังตรัสกับประชาชนที่ตามพระองค์มา
ว่า "เราบอกท่านทั้งหลายว่า แม้ในพวกอิสราเอล เราไม่เคยพบศรัทธามากเท่านี้"
(ลูกา 7:6-9, ผมขอย้ำด้วย)
พูดในแบบพระคัมภีร์ กษัตริย์ของพระเจ้าจะถูกกล่าวถึงว่าเป็นบุตรของพระเจ้าด้วย (ดู 2 ซามูเอล 7:14; สดุดี 2:7) ไม่ใช่ในแง่เป็นผู้สืบเชื้อสายของพระเจ้า แต่ในแง่ว่าเป็นข้ารับใช้ของพระบิดา
ผลของการปกครองโดยชอบธรรม จะนำมาซึ่งพระพรสู่ประชาชน แต่การปกครองของกษัติรย์อธรรม จะนำมา ซึงความเดือดร้อนในแผ่นดิน :
15 ผู้ครอบครองที่ชั่วร้ายเหนือคนยากจน ก็เหมือนสิงห์คำรามหรือหมีที่กำลังเข้าต่อสู้ (สุุภาษิต 28:15)
2 เมื่อคนชอบธรรมทวีอำนาจ ประชาชนก็เปรมปรีดิ์ แต่เมื่อคนชั่วร้าย ครอบครองประชาชนก็คร่ำครวญ (สุภาษิต 29:2)
ดังนั้นเราจึงเห็นว่าพระวจนะคำย้ำหนักแน่นว่า กษัตริย์จำต้องปกครองด้วยความชอบธรรม :
10 คำตัดสินอันมาจากพระเจ้าอยู่ที่ ริมฝีพระโอษฐ์ของพระราชา พระโอษฐ์ ของพระองค์ไม่บาปในการพิพากษา 11 ตราชูและตาชั่งเที่ยงตรงเป็นของพระ
เจ้า ลูกตุ้มทั้งสิ้นในถุงเป็นพระราชกิจของพระองค์ 12 การกระทำความชั่วร้าย เป็นสิ่งที่น่าเกลียดน่าชังต่อพระราชา เพราะว่าพระที่นั่งนั้นถูกสถาปนาไว้ด้วย
ความชอบธรรม 13 ริมฝีปากที่ชอบธรรมเป็นที่ปีติยินดีแก่พระราชา และพระองค์ ทรงรักบุคคลผู้พูดสิ่งที่ถูก (สุภาษิต16:10-13)
8 พระราชาผู้ประทับบนบัลลังก์พิพากษา ย่อมทรงฝัดความชั่วออกด้วยพระเนตร
ของพระองค์ (สุภาษิต 20:8)
26 พระราชาที่ฉลาดย่อมฝัดคนชั่วร้าย แล้วทรงขับกงจักรทับเขา 27 มโนธรรม ของมนุษย์เป็นประทีปของพระเจ้า ส่องดูส่วนลึกที่สุดของเขาทั้งสิ้น 28 ความ จงรักภักดีและความซื่อสัตย์สงวนพระราชาไว้ และความชอบธรรมก็เชิดชูพระที่นั่ง
ของพระองค์ไว้ (สุภาษิต 20:26-28)
ดาวิดพรรนาถ้อยคำเดียวกันนี้เป็นบทกวี (ด้วย) ท่านเปรียบกษัตริย์ผู้ชอบธรรมว่า จะทอแสงเหมือนแสงอรุณ ในยามเช้า (ข้อ 4ก) ซื่งเมื่อหลังฝน จะสร้างความอบอุ่น ทำให้หญ้าเจริญงอกงามขึ้นจากดิน (ข้อ 4ข) การ ปกครองด้วยความชอบธรรม จะก่อให้เกิดผลมากมาย ; แต่ความอธรรมจะเป็นตัวการคอยครอบคลุมและขัด ขวาง คุณว่าเราเคยเห็นสิ่งเหล่านี้มาก่อนมั้ย ในสมัยที่ลัทธิคอมมิวนิสต์ยังเฟื่องฟู?
ในข้อ 5 ท่านเปลี่ยนมาพูดเรื่องพงศ์พันธุ์ของท่าน (ราชวงศ์ของท่าน) ฉบับ KJV และ NKJV ใช้ประโยคแรก ตรงข้ามกับฉบับอื่นๆ :
วงศ์วานของข้าพเจ้าจะไม่ตั้งอยู่กับพระองค์หรือ? ; ถึงกระนั้นพระองค์ทรงทำ พันธสัญญานิรันดร์กับข้าพเจ้า ในทุกสิ่ง อย่างเป็นระเบียบมั่นคง: นี่เป็นความ อุปถัมภ์ทั้งสิ้นของข้าพเจ้า เป็นความปราถนาทั้งสิ้นของข้าพเจ้า พระองค์จะ ไม่ทรงกระทำให้มันงอกงามขึ้นหรือ (KJV)
"เออ พงศ์พันธุ์ของข้าพเจ้าตั้งมั่นอยู่กับพระเจ้ามิใช่หรือ เพราะพระองค์ ทรงกระทำพันธสัญญาเนืองนิตย์กับ ข้าพเจ้าไว้ อันเป็นระเบียบทุกอย่าง และมั่นคง เพราะพระองค์จะไม่ทรงกระทำ ให้ความอุปถัมภ์และความ ปรารถนาของข้าพเจ้าสัมฤทธิ์ผลหรือ?" (NKJV)
ลองเปรียบเทียบกับฉบับของ NIV, NAB และ NRS :
"พงศ์พันธุ์ของข้าพเจ้าไม่ได้ตั้งมั่นอยู่กับพระองค์หรือ? พระองค์ไม่ได้ทรงทำ พันธสัญญานิรันดร์กับข้าพเจ้าหรือ? ไม่ได้ทรงทำให้ทุกสิ่งมั่นคงหรือ? จะไม่ทรง ทำให้ความอุปถัมภ์และความปรารถนาทั้งสิ้นของข้าพเจ้าเกิดผลหรือ?" (NIV)
"แท้จริงพงศ์พันธุ์ของข้าพเจ้าไม่ตั้งมั่นอยู่กับพระเจ้าหรือ? เพราะพระองค์ทรงทำ พันธสัญญานิรันดร์กับข้าพเจ้า ทุกสิ่งจึงเป็นระเบียบและมั่นคง ; พระองค์จะไม่ทรง ทำให้ความอุปถัมภ์ และความปรารถนาทั้งสิ้นของข้าพเจ้าสัมฤทธิ์ผลหรือ?" (NAB)
พงศ์พันธุ์ของข้าพเจ้าไม่เป็นเช่นนั้นกับพระเจ้าหรือ? พระองค์ได้ทรงทำพันธ สัญญานิรันดร์กับข้าพเจ้า ทุกสิ่งตั้งอยู่ในระเบียบและมั่นคง พระองค์จะไม่ทรง ช่วยให้ทุกสิ่ง และความปรารถนาทั้งสิ้นของข้าพเจ้าเกิดผลหรือ? (NRS)
ผู้แปลมีตัวเลือกให้ใช้ ผู้แปลฉบับบ King James Versions (ทั้งเก่าและใหม่) เลือกที่จะใช้ประโยคแรกเป็น ประโยคเชิงปฏิเสธ ; คนอื่นๆเลือกใช้ตรงข้าม จะแบบใดก็ตาม ความหมายที่ดาวิดสื่อนั้นชัดเจน ดาวิดเริ่มด้วย การย้ำถึงตัวท่านและพงศ์พันธุ์ด้วยความถ่อมใจ เมื่อเทียบกับพระคุณมากมายที่พระเจ้าประทานให้กับวงศ์วาน ของท่านทางพันธสัญญาดาวิด : "ไม่ว่าข้าพเจ้าหรือวงศ์วานของข้าพเจ้าไม่สมควรได้รับสิ่งนี้ แต่พระเจ้าก็ทรง ทำพันธสัญญากับข้าพเจ้า เป็นพันธสัญญาที่มั่นได้ใจว่าจะเป็นการปกครองด้วยความชอบธรรมชั่วนิรันดร" ดาวิดยังคงย้ำต่อไปถึงพระคุณของพระเจ้าที่มีต่อตัวท่าน และที่ผ่านทางท่าน : "อันที่จริง นี่ไม่ใช่สิ่งที่พระเจ้า ทรงประทานให้ข้าพเจ้าหรือ ทำให้การปกครองของข้าพเจ้าและผู้สืบทอด ปกครองด้วยความชอบธรรม โดย ประทานพันธสัญญานิรันดร์ให้กับข้าพเจ้าหรือ?"
ผลที่สุดแล้ว ดาวิดมีความมั่นใจ จนกล้าพูดได้ว่า วงศ์วานของท่านจะปกครองด้วยความชอบธรรม ที่เป็นเช่นนี้ ไม่ใช่เพราะคุณความดีของดาวิด หรือความชอบธรรมของท่าน แต่เป็นพระคุณพระเจ้า ที่ประทานให้ทางพันธ สัญญาดาวิด (2 ซามูเอล 7:14) ด้วยพระสัญญานี้เอง ดาวิดสามารถวางใจได้ ว่าการปกครองจะเป็นไปโดย ชอบธรรม ปิดผนึก ประทับตรา และส่งถึงมือผู้รับ122 ทุกอย่างจะเป็นไปตามนั้น (อย่างถาวรและตลอดไป) ใน องค์พระบุคคลของพระเมสซิยาห์ องค์พระเยซูคริสต์ 123 นี่เป็นความรอดและความปรารถนาทั้งสิ้นที่พระเจ้า ให้เกิดขึ้น พระองค์ทรงเป็นทั้งผู้จัดเตรียม และผู้กระทำให้สำเร็จทุกประการ บทเพลงการช่วยกู้ของดาวิดมุ่ง อยู่ที่พระเจ้า ทุกสิ่งเป็นมาจากพระองค์ โดยทางพระองค์ และในพระองค์
ลองดูว่าบทเพลงนี้สร้างผลกระทบอย่างไรให้กับซาโลมอน ตามบทเพลงที่ซาโลมอนเขียนขึ้น:
(บทสดุดีของซาโลมอน )
1 ข้าแต่พระเจ้า ขอประทานความ ยุติธรรมของพระองค์แก่พระราชา และความ ชอบธรรมของพระองค์แก่ราชโอรส 2 เพื่อท่านจะได้พิพากษาประชากรของ พระองค์ ด้วยความชอบธรรม และคนยากจนของพระองค์ด้วยความยุติธรรม 3 ให้ภูเขาบังเกิด สันติสุขสำหรับประชาชน และเนินเขา โดยความชอบธรรม 4 ขอท่านสู้คดีของคน
ยากจน แห่งประชาชน ให้การช่วยกู้แก่ลูกหลานของคนขัดสน และขยี้ผู้บีบบังคับ
5 ขอให้ท่านดำรงชีวิตตราบที่ดวงอาทิตย์คงอยู่ ตราบเท่าดวงจันทร์ ตลอดชาติพันธุ์
6 ขอให้ท่านเป็นเหมือนฝนที่ตกบนหญ้าที่ตัดแล้ว เหมือนห่าฝนที่รดแผ่นดินโลก 7
ในสมัยของท่าน ขอความชอบธรรมเจริญขึ้น และสันติภาพอันอุดม จนไม่มีดวงจันทร์
(สดุดี 72:1-7)
ลองมาดูว่าผู้เขียนพระคัมภีร์ใหม่ในยุคหลัง นำบทเพลงของดาวิดบทนี้มาพูดถึงคำพยากรณ์ ที่สำเร็จเป็น จริงแล้วในองค์พระเยซูคริสต์อย่างไร :
1 จะมีหน่อแตกออกมาจากตอแห่งเจสซี จะมีกิ่งงอกออกมาจากรากทั้งหลาย
ของเขา 2 และพระวิญญาณของพระเจ้าจะอยู่บนท่านนั้น คือวิญญาณแห่ง
ปัญญาและความเข้าใจ วิญญาณแห่งการวินิจฉัยและอานุภาพ วิญญาณแห่งความรู้และความยำเกรงพระเจ้า 3 ความพึงใจของท่านก็ในความยำเกรง
พระเจ้า ท่านจะไม่พิพากษาตามซึ่งตาท่านเห็น หรือตัดสินตามซึ่งหูท่านได้ยิน
4 แต่ท่านจะพิพากษาคนจนด้วยความชอบธรรม และตัดสินเผื่อผู้มีใจถ่อมแห่ง
แผ่นดินโลก ด้วยความเที่ยงธรรม ท่านจะตีโลกด้วยตะบองแห่งปากของท่าน และท่านจะประหารคนอธรรมด้วยลมแห่งริมฝีปากของ ท่าน 5 ความชอบธรรม จะเป็นผ้าคาดเอวของท่าน และความสัตย์สุจริตจะเป็นผ้าคาดบั้นเอวของท่าน
(อิสยาห์ 11:1-5)
1 "พระเจ้าจอมโยธาตรัสว่า "ดูเถิด วันนั้นจะมาถึง คือวันที่จะเผาไหม้เหมือน
เตาอบ เมื่อคนที่อวดดีทั้งสิ้น และคนที่ประกอบการอธรรมทั้งหมดจะเป็นเหมือน
ตอข้าว วันที่จะมานั้นจะไหม้เขาหมด จนไม่มีรากหรือกิ่งเหลืออยู่เลย 2 แต่ดวง อาทิตย์แห่งความชอบธรรมซึ่งมีปีกรักษาโรคภัยได้ จะขึ้นมาสำหรับคนเหล่านั้น
ที่ยำเกรงนามของเรา เจ้าจะกระโดดโลดเต้นออกไปเหมือนลูกวัวออกไปจากคอก
(มาลาคี 4:1-2)
ดาวิดไม่ใช่นักสากลนิยม คิดเอาเองว่าพระพรที่ท่านกล่าวถึงนั้นมีไว้เพื่อมวลมนุษยชาติ การช่วยกู้ที่ท่านพูด ถึงนั้น เป็นความปรารถนา เป็นความชื่นชมยินดีของตัวท่านเอง ด้วยว่าไม่ใช่มนุษย์ทุกคนที่จะมีความหวังใจ และวางใจในพระเจ้า พึ่งพิงความรอดของพระองค์ ดังนั้นในตอนจบบทเพลงของท่าน ท่านจึงวกกลับมาที่ ปลายทางของคนอธรรม คนที่ปฏิเสธพระคุณความรอดของพระเจ้าโดยทางองค์พระเมสซิยาห์ ผู้ที่พระเจ้า เจิมไว้ ข้อ 6 และ 7 เป็นเรื่องราวต่อเนื่องกับข้อ 4 เพียงแต่เป็นเชิงเปรียบเทียบ เมื่อกษัตริย์ผู้ชอบธรรมของ อิสราเอล (พระเยซูคริสต์) มาปกครองโลกนี้ อาณาจักรของพระองค์จะทำให้ผู้ชอบธรรมจำเริญขึ้น เช่นเดียว กับฝนที่ทำให้หญ้าเกิดขึ้นและงอกงาม แต่คนอธรรมไม่เป็นเช่นหญ้า ; กลับเป็นเหมือนพงหนาม หนามที่ไร้ค่า ไม่มีใครอยากเก็บไว้ หาประโยชน์ใดๆไม่ได้ ไม่มีใครอยากยื่นมือไปแตะต้อง มีแต่ต้องทำลายทิ้ง และการจะ ทำลาย ต้องระวังให้ดี มิฉะนั้นอาจบาดเจ็บ ต้องใช้อาวุธที่ทำด้วยเหล็ก ตัดทำลาย สับมัน และโยนเข้ากองไฟ เผาทิ้งไป
น่าเป็นเวลาเหมาะ ที่จะนำสิ่งที่ดาวิดเขียนไว้สะท้อนออกมา ข่าวประเสริฐในพระคัมภีร์ ไม่ใช่เป็นคำสัญญา ว่าความรอดนิรันดร์จะไปถึงมนุษย์ทุกคน แต่เป็นการมอบความรอดให้กับมนุษย์ทุกคน ถึงแม้พระเจ้าทรงจัด เตรียมหนทางไว้ให้ คนอธรรมทั้งหลาย ก็ยังคงปฏิเสธไม่ยอมรับ และเมื่อพวกเขาปฏิเสธ พวกเขาจึงต้อง พินาศในบึงไฟนรก ถ้าจะพูดให้ชัดๆอย่างไม่เกรงใจก็คือ ปลายทางของคนอธรรมทุกคน คือนรกแน่นอน :
4 ข้าพเจ้าได้เห็นบัลลังก์หลายบัลลังก์ และผู้ที่นั่งบนบัลลังก์นั้น เป็นผู้ที่จะ
พิพากษา และข้าพเจ้ายังได้เห็นดวงวิญญาณของคนทั้งปวงที่ถูกตัดศีรษะ เพราะเป็นพยานของพระเยซูและเพราะพระวจนะของพระเจ้า และผู้ที่ไม่ได้ บูชาสัตว์ร้ายนั้นหรือรูปของมัน และไม่ได้ติดเครื่องหมายของมันไว้ที่หน้าผาก
หรือที่มือของเขา คนเหล่านั้นกลับมีชีวิตขึ้นมาใหม่ และได้ครอบครองร่วมกับ พระคริสต์เป็นเวลาพันปี 5 นอกจากคนเหล่านี้คนอื่นๆ ที่ตายแล้วไม่ได้กลับ มีชีวิตอีกจนกว่าจะครบกำหนดพันปี นี่แหละคือการฟื้นจากความตายครั้งแรก
11 ข้าพเจ้าได้เห็นพระที่นั่งใหญ่สีขาวและเห็นท่านผู้ประทับบนพระที่นั่งนั้น เมื่อพระองค์ทรงปรากฏแผ่นดินโลกและท้องฟ้าก็หายไป และไม่มีที่อยู่สำหรับ แผ่นดินโลกและท้องฟ้าเลย 12 ข้าพเจ้าได้เห็นบรรดาผู้ที่ตายแล้ว ทั้งผู้ใหญ่ และผู้น้อยยืนอยู่หน้าพระที่นั่งนั้น และหนังสือต่างๆก็เปิดออก หนังสืออีกเล่ม
หนึ่งก็เปิดออกด้วย คือหนังสือชีวิต และผู้ที่ตายไปแล้วทั้งหมด ก็ถูกพิพากษา ตามข้อความที่จารึกไว้ในหนังสือเหล่านั้น และตามที่เขาได้กระทำ13 ทะเลก็ส่ง
คืน คนทั้งหลายที่ตายในทะเล ความตายและแดนมรณาก็ส่งคืนคนทั้งหลายที่
อยู่ในแดนนั้น และคนทั้งหลายก็ถูกพิพากษาตามการกระทำของตนหมดทุกคน
14 แล้วความตาย และแดนมรณาก็ถูกผลักทิ้งลงไปในบึงไฟ บึงไฟนี่แหละเป็น
ความตายครั้งที่สอง 15 และถ้าผู้ใดที่ไม่มีชื่อจดไว้ในหนังสือชีวิต ผู้นั้นก็ถูกทิ้ง
ลงไปในบึงไฟ (วิวรณ์ 20:4-5, 11-15)
ข่าวประเสริฐแห่งพระกิตติคุณ เรื่องความรอดที่ประทานให้กับมนุษย์ทุกคน จะไม่สามารถป่าวประกาศออก ไปได้ หากปราศจากคำเตือนเรื่องการพิพากษาที่จะมาถึง บทเพลงการช่วยกู้ของดาวิด มองไกลไปในอนาคต เมื่อจอมกษัตริย์ของพระเจ้าเสด็จมา "บุตรดาวิด" คือองค์พระเยซูคริสต์ ผู้เสด็จมาพร้อมกับการช่วยกู้บรรดา ผู้ชอบธรรม (ในพระเยซู) และการพิพากษาที่จะมีไปถึงคนอธรรม (ไม่มีส่วนกับพระคริสต์) ที่สุดแล้ว "การช่วย กู้" ของดาวิด ไม่ใช่โดยกำลังทหาร หรือกำลังฝ่ายกาย แต่เป็นจิตวิญญาณ
ก่อนจะเรียนต่อ ผมขอยกตัวอย่างถึงสิ่งที่กล่าวไป ว่าเกี่ยวข้องกับเรา หรือเราจะนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์ได้ อย่างไร ประการแรก ความชอบธรรมควรสะท้อนออกมาจากบรรดาผู้ที่พระเจ้าเลือกให้เป็นผู้นำ ความชอบ ธรรมก่อกำเนิดมาจากพระราชกิจของพระเยซูคริต์ ไม่ใช่มาจากตัวเรา สะท้อนมาจากจิตใจที่เมตตาในผู้ทุกข์ ยากขัดสน และการตอบสนองของเราที่มีต่อคนอธรรม มีกี่ครั้งกันที่พ่อแม่มีวิธีจัดการกับลูกๆได้เป็นอย่างดี แต่ไม่ยอมจัดการกับเรื่องความบาปในตัวลูก พระคัมภีร์สั่งเราให้กำจัดความชั่วออกไป และยึดมั่นในสิ่งดีงาม (โรม 12:9) ความชอบธรรมสะท้อนออกมาได้ทั้งแง่บวกและแง่ลบ ถ้าละเลยแง่หนึ่งแง่ใดไป คือการไม่ได้ ปฏิบัติอย่างชอบธรรมตามพระประสงค์ของพระเจ้า ที่มีต่อบรรดาผู้นำ
8 ต่อไปนี้เป็นชื่อวีรบุรุษที่ดาวิดทรงมีอยู่ คือ โยเชบบัสเชเบธตระกูลทัคโมนี เป็นจอม ในคนทั้งสามนั้น เขาเหวี่ยงหอกเข้าแทงคนแปดร้อยคน ซึ่งเขาได้ฆ่าเสียในครั้งเดียว
9 ในจำนวนวีรบุรุษสามคน คนที่รองคนนั้นมา คือเอเลอาซาร์บุตรโดโด ผู้เป็นบุตรของ
อาโหไฮ ท่านอยู่กับดาวิดตั้งแต่ครั้งที่เขาทั้งหลายได้ พูดหยามพวกฟีลิสเตียซึ่งชุมนุมกัน ที่นั่นเพื่อสู้รบ และคนอิสราเอลก็ถอยทัพ 10 ท่านได้ลุกขึ้นฆ่าฟันพวกฟีลิสเตีย จนมือของ
ท่านเป็น เหน็บแข็งติดดาบ ในวันนั้นพระเจ้าทรงกระทำให้ได้ชัยชนะอย่างใหญ่หลวง ทหารก็กลับตามท่านมา เพื่อปลดข้าวของจากผู้ที่ถูกฆ่าตายเท่านั้น 11 รองเขามาคือชัมมาห์ บุตรอาเกชาวฮาราร์ คนฟีลิสเตียมาชุมนุมกันอยู่ที่เลฮี เป็นที่ที่มีพื้นดินผืนหนึ่งมีถั่วแดงเต็ม
ไปหมด พวกพลก็หนีพวกฟีลิสเตียไป 12 แต่ท่านยืนมั่นอยู่ ท่ามกลางพื้นดินผืนนั้น และป้อง กันที่ดินนั้นไว้ และฆ่าฟันคนฟีลิสเตีย และพระเจ้าได้ทรงประทานชัยชนะอย่างใหญ่หลวง
วีรบุรุษคนกล้าคนแรกจาก "ทั้งสาม" คือโยเชบบัสเชเบธ เป็นหัวหน้าของทั้งสาม มีการบันทึกไว้ว่า ท่านได้ สังหารคนเสีย 800 คนในเวลาเดียว แต่ข้อมูลที่บันทึกอยู่ในพระธรรมพงศาวดารนั้นต่างออกไป:
11 ต่อไปนี้เป็นจำนวนวีรบุรุษของดาวิดคือยาโชเบอัม ตระกูลฮัคโมนีเป็นหัวหน้า
ของคนทั้งสาม เขายกหอกของเขาสู้คนสามร้อย และฆ่าเสียในคราวเดียวกัน
(1 พงศาวดาร 11:11)
ชื่อหรือจำนวนที่ต่างกันนี้ ไม่น่าถือว่าเป็นเรื่องประหลาดหรือใหญ่โตอย่างใด จำนวนอาจดูแตกต่างค่อนข้าง มากหน่อย124 ใน 2 ซามูเอล เราอ่านพบว่าวีรบุรุษท่านนี้ฆ่าคน 800 คนในคราวเดียว ; ในพงศาวดารบอก ว่าฆ่าไปเพียง 300 เท่านั้น คงยากที่จะบอกว่าพระธรรมฉบับใหนคัดลอกผิดพลาด จะอย่างไรก็ตาม บุคคลที่ สามารถต่อสู้และฆ่าศัตรูหลายร้อยคนได้ในการรบครั้งเดียว ย่อมต้องนับว่าเป็นวีรบุรุษสงคราม
วีรบุรุษรองของหนึ่งในสามคือเอเลอาซาร์บุตรโดโดชาวอาโหไฮ ในพงศาวดารบันทึกเรื่องวีรกรรมของท่าน เอาไว้ด้วย:
12 และในคนทั้งสาม คนที่ถัดเขาไปคือเอเลอาซาร์ บุตรโดโดตระกูลอาโหอาห์
13 เขาอยู่กับดาวิดที่ปัสดัมมิม เมื่อคนฟีลิสเตียชุมนุมกันทำสงคราม ที่นั่นมีที่ดินแปลงหนึ่งมีข้าวบาร์ลีเต็มไปหมด และคนทั้งหลายก็หนีจากคนฟีลิสเตีย 14 แต่
เขา ยืนหยัดอยู่ท่ามกลางที่ดินแปลงนั้น และป้องกันมันไว้ ได้ฆ่าคนฟีลิสเตียเสีย และพระเจ้าทรงช่วยเขาทั้งหลาย ให้พ้นด้วยชัยชนะอันยิ่งใหญ่ (1 พศด. 11:12-14)
เอเลอาซาร์ร่วมรบกับดาวิดต่อสู้กับพวกฟิลิสเตีย และดูเหมือนคนอิสราเอลกำลังเพลี่ยงพร้ำ อย่างน้อยก็ใน สายตาของทหารอิสราเอลที่กำลังหนีเอาตัวรอด เอเลอาซาร์ตกเข้าไปอยู่ในนาข้าวบาร์ลี ที่พวกฟิลิสเตียต้อง การจะเข้าไปปล้นและทำลาย (เทียบกับผู้วินิจฉัย 6:2-6, 11) คำว่า "คนทั้งหลาย" ใน 1 พศด. 11:14, ทำ ให้ผมเข้าใจว่าเอเลอาซาร์ไม่ได้สู้คนเดียว แต่เคียงบ่าเคียงไหล่กับดาวิด ถึงแม้คนอื่นๆกำลังหนีเอาตัวรอด แต่ เอเลอาซาร์สามารถป้องกันไว้ได้ ท่านรบจนมือที่จับดาบเป็นเหน็บชาจนแข็ง และในที่สุดก็ชนะ นับเป็นความ กล้าและความมุมานะของเอเลอาซาร์ แต่ที่สุดแล้วต้องขอบพระคุณพระเจ้า ผู้ประทานชัยชนะให้ เมื่อคนทั้ง หลายกลับมาที่สนามรบ สิ่งที่เหลือต้องทำคือ จัดการกับศพและของริบของศัตรู -- พูดง่ายๆก็คือเคลียร์พื้นที่ ให้กับเอเลอาซาร์
วีรบุรุษคนสุดท้ายใน "ทั้งสาม" คือชัมมาห์บุตรอาเก ในเหตุการณ์อีกครั้งที่พวกฟิลิสเตียมาต่อสู้กับอิสราเอล พวกศัตรูต้องการเข้ามายึดครองที่ดินที่เพาะปลูกถั่วแดงอยู่ ต้องการมาปล้นเอาผลผลิตที่กำลังงามไป การจะ ยึดพื้นที่ให้ได้ ต้องมีเสบียงเพียงพอและขับไล่คนอิสราเอลออกไป คนอื่นๆหนีไปกันหมด แต่ชัมมาห์ยืนหยัด ต่อสู้ พระเจ้าทรงประทานชัยชนะให้ และชัมมาห์ได้ฆ่าคนฟิลิสเตียล้มตายไปเป็นอันมาก
13 ในพวกทหารเอกสามสิบคนนั้นมีสามคนที่ลงมา และได้มาหาดาวิดที่ถ้ำอดุลลัม
ในฤดูเกี่ยวข้าว มีคนฟีลิสเตียกองหนึ่งตั้งค่ายอยู่ในหุบเขาเรฟาอิม 14 คราวนั้นดาวิด ประทับในที่กำบังเข้มแข็ง และทหารประจำป้อมของฟีลิสเตียก็อยู่ที่เบธเลเฮม 15 ดาวิดตรัสด้วยความอาลัยว่า "ใครหนอจะส่งน้ำจากบ่อที่เบธเลเฮมซึ่งอยู่ข้างประตู เมืองมาให้เราดื่มได้" 16 ทแกล้วทหารสามคนนั้นก็แหกค่ายคนฟีลิสเตียเข้าไป ตักน้ำ ที่บ่อเบธเลเฮมซึ่งอยู่ข้างประตูเมือง นำมาถวายแก่ดาวิด แต่ดาวิดหาทรงดื่มน้ำนั้นไม่ พระองค์ทรงเท ออกถวายแด่พระเจ้า 17 และตรัสว่า "ข้าแต่พระเจ้า ซึ่งข้าพระองค์จะ
กระทำเช่นนี้ ก็ขอให้ห่างไกลจากข้าพระองค์ ควรที่ข้าพระองค์จะดื่มโลหิต ของผู้ที่ตัก มาด้วยการเสี่ยงชีวิตของเขาหรือ" เพราะฉะนั้นพระองค์หาทรงดื่มไม่ ทแกล้วทหารทั้งสาม ได้กระทำสิ่งเหล่านี้ 18 ฝ่ายอาบีชัยน้องชายของโยอาบบุตรนางเศรุยาห์ เป็นหัวหน้าของ ทั้งสามสิบคนนั้น ท่านได้ยกหอกต่อสู้ทหารสามร้อยคน และฆ่าตายสิ้น และได้รับชื่อเสียง
ดัง วีรบุรุษสามคนนั้น 19 ท่านเป็นผู้ที่มีชื่อเสียงโด่งดังที่สุดในสามสิบคนนั้น ฉะนั้นได้เป็น ผู้บังคับบัญชาของเขา แต่ท่านไม่มียศเท่ากับสามคนนั้น 20 เบไนยาห์บุตรเยโฮยาดา เป็น คนแข็งกล้า แห่งเมืองขับเซเอล เป็นคนประกอบมหกิจ ท่านได้ฆ่าบุตรอารีเอลของโมอับ เสียสองคน ท่านได้ลงไปฆ่าสิงห์ที่ในบ่อในวันที่หิมะตกด้วย 21 ท่านได้ฆ่าคนอียิปต์คนหนึ่ง เป็นชายรูปร่างงาม คนอียิปต์นั้นถือหอกอยู่ แต่เบไนยาห์ถือไม้เท้าลงไปหา เขาและแย่ง เอาหอกมาจากมือของคนอียิปต์คนนั้น และฆ่าเขาตายด้วยหอกของเขาเอง 22 เบไนยาห์ บุตรเยโฮยาดาได้ กระทำกิจเหล่านี้และได้ชื่อเสียงดั่งวีรบุรุษสามคนนั้น 23 ท่านมีชื่อเสียง โด่งดังกว่าสามสิบคนนั้น แต่ท่านไม่มียศเท่ากับสามคนนั้น และดาวิดก็ทรงแต่งท่านให้เป็น ผู้บังคับบัญชาทหารรักษาพระองค์ 24 อาสาเฮลน้องชายของโยอาบเป็นคนหนึ่ง ในสามสิบ
คนนั้น เอลฮานันบุตรชายของโดโดชาวเบธเลเฮม 25 ชัมมาห์ชาวเมืองฮาโรด เอลีคา ชาวเมืองฮาโรด 26 เฮเลสตระกูลเปเลท อิราบุตรอิกเขช ชาวเมืองเทโคอา 27 อาบีเฮเซอร์ ชาวเมืองอานาโธท เมบุนนัยตระกูลหุชาห์ 28 ศัลโมนชาวอาโหไฮ มาหะรัย ชาวเนโทฟาห์
29 เฮเลบบุตรบาอานาห์ ชาวเนโทฟาห์ อิททัยบุตรรีบัยชาวกิเบอาห์ แห่งคนเบนยามิน
30 เบไนยาห์ ชาวปิราโธน ฮิดดัย ชาวลำธารกาอัช 31 อาบีอัลโบนตระกูลอารบาห์ อัสมาเวท ชาวบาฮูริม 32 เอลียาบาชาวชาอัลโบน บรรดาบุตรชายของยาเชน โยนาธาน 33 ชัมมาห์ชาว
ฮาราร์ อาหิยัมบุตรของชาราร์ คนฮาราร์ 34 เอลีเฟเลทบุตรอาหัสบัยชาวมาอาคาห์ เอลีอัม บุตรอาหิโธเฟล ชาวกิโลห์ 35 เฮสโร ชาวคารเมล ปารัย ชาวอาราบ 36 อิกาล บุตรนาธัน ชาวโศบาห์ บานีคนเผ่ากาด 37 เศเลก คนอัมโมน นาหะรัย ชาวเบเอโรท คนถือเครื่องอาวุธ ของโยอาบ บุตรนางเศรุยาห์ 38 อิรา ตระกูลอิทไรต์ กาเรบ ตระกูลอิทไรต์ 39 อุรีอาห์คน
ฮิตไทต์ รวมสามสิบเจ็ดคนด้วยกัน
เหตุการณ์ในพระธรรมด้านบนตอนนี้ น่าจะเกิดก่อนที่ดาวิดขึ้นครองเป็นกษัตริย์ ในขณะที่ท่านยังหลบหนีซาอูล ซ่อนตัวอยู่ในถิ่นทุรกันดาร มีการเอ่ยถึง "ถ้ำอดุลลัม" ครั้งแรกใน 1 ซามูเอล 22:1 เป็นสถานที่ ที่ดาวิดใช้ หลบซ่อนตัวเมื่อออกมาจากเมืองกัท และเป็นที่ๆมีอีกหลายคนมาสมทบกับท่าน รวมทั้งคนที่ไม่ชอบการกระ ทำของซาอูล คงมีบางครั้ง ที่ดาวิดและคนของท่านอาศัยอยู่ในถ้ำ ในขณะที่สู้รบกับพวกฟิลิสเตีย พวกฟิลิส เตียเข้ายึดบ้านเกิดของท่านที่เบธเลเฮม และตั้งกองกำลังขึ้นที่นั่น อาจเป็นได้ที่ดาวิดขาดแคลนน้ำ และรู้สึก กระหาย ท่านอาจจะเอ่ยความปรารถนาของท่านออกมาโดยไม่ตั้งใจ ว่าท่านอยากมีโอกาสได้ดื่มน้ำจากบ่อ ที่ในเบธเลเฮม คงจะเป็นบ่อที่ท่านใช้ดื่มมาตั้งแต่เด็ก และพอใจในรสชาติของน้ำ
คนของดาวิดได้ยินสิ่งที่ท่านเปรยออกมา ท่านไม่ได้สั่งให้ใครไปนำน้ำจากบ่อนั้นมาให้ ท่านไม่ได้คิดด้วยซ้ำ ว่าจะมีบางคนยึดถือเป็นจริง พยายามฝ่าอันตรายไปนำมาให้ แต่สำหรับทแกล้วทหารทั้งสามนี้ ความปรารถนา ของดาวิดคือคำสั่ง ทั้งสามละจากความปลอดภัยในถ้ำ เดินทางไปประมาน 12 ไมล์ เพื่อไปเบธเลเฮม ฝ่าแนว รบเข้าไป เพื่อไปตักน้ำ แล้วเดินทางกลับอีก 12 ไมล์นำมาให้ดาวิด
เมื่อพวกเขานำน้ำมามอบให้ดาวิด ท่านกลับทำสิ่งที่ใครๆก็คิดว่าผิดวิสัย 125 ท่านไม่ดื่มน้ำนั้น แต่กลับเทลง บนดิน ไม่ใช่เป็นเพราะท่านดูถูกความพยายามของทหารกล้าทั้งสามนี้ หรือเพราะท่านไม่กระหายอีกแล้ว ผม เชื่อว่าการกระทำของท่านที่ไม่ดื่มน้ำ ไม่ใช่เป็นเพราะท่านหยิ่งหรืออะไรทำนองนั้น แต่ดาวิดไม่เคยคิดที่จะให้ ใครไปเสี่ยงชีวิตถึงปานนั้น เพียงเพื่อสนองความต้องการของท่าน 126 สิ่งที่คนเหล่านี้ทุ่มเทเพื่อท่าน น่าจะ เป็นสิ่งที่ทุ่มเทให้กับพระเจ้า ท่านเทน้ำถวายแด่พระเจ้า เป็นสิ่งสูงสุดที่ดาวิดสามารถสำแดงให้คนของท่าน เห็นว่า ท่านซาบซึ้งใจในสิ่งที่พวกเขาทำ น้ำจึงเป็นดังสัญลักษณ์ของโลหิต ที่ทหารทั้งสามนี้ยอมสละ เพื่อ ปรนนิบัติท่าน สิ่งสูงสุดที่ท่านสามารถนำน้ำไปใช่้ได้คือ นำไปนมัสการพระเจ้า ดาวิดจึงเทน้ำออกเพื่อถวาย แด่พระองค์
อาบีชัยเกี่ยวดองกับดาวิด รวมทั้งน้องชายโยอาบและอาสาเฮล ทั้งสามเป็นบุตรของนางเศรุยาห์ น้องสาว ของดาวิด (ข้อ 18; ดู 1 พศด. 2:16) เมื่อดาวิดนำบทบาทต่างๆของคนเหล่านี้มาทบทวน ท่านคงรู้สึกฉงน อยู่ในใจ อันที่จริงอาบีชัยเป็นนักรบและผู้นำทหารที่เก่งกล้า เป็นคนอาสาไปบุกค่ายซาอูลกับดาวิด เป็น ภาระกิจเสี่ยงตาย (1 ซามูเอล 26:6-12) เขาเป็นผู้นำทหารให้กองกำลังของดาวิด ออกสู้รบกับซีเรียและ อัมโมน (2 ซามูเอล 10:9-14) นำกองกำลังหนึ่งในสามของดาวิดออกไปจัดการกับพวกกบฎของอับซาโลม (2 ซามูเอล 18:2) รับคำสั่งจากดาวิดไปจัดการกับเชบาจอมกบฎ (2 ซามูเอล 20:6) และภายใต้การนำ ของอาบีชัย ทหารอิสราเอลสามารถสังหารคนเอโดมได้ถึง 18,000 คนในหุบเขาเกลือ (1 พศด.18:12)
ถึงกระนั้น อาบีชัยก็ยังเป็นหนามยอกอกของดาวิด เมื่อครั้งที่เขาและดาวิดบุกไปค่ายของซาอูล อาบีชัย กระเหี้ยนกระหืออยากฆ่ากษัตริย์ที่พระเจ้าเจิมไว้ (1 ซามูเอล 26:6-8) ทั้งเขาและโยอาบน้องชาย สมรู้ร่วม คิดกันฆ่าอับเนอร์ เพื่อแก้แค้นแทนอาสาเฮลน้องเล็กที่ถูกอับเนอร์ฆ่าตายในสงคราม (ดู 2 ซามูเอล 3:26-30) อาบีชัยและโยอาบยังต้องการจะกำจัดชีเมอี เพราะบังอาจพูดจาดูหมิ่นเยาะเย้ยดาวิด ระหว่างที่ท่านหลบหนี กลุ่มก่อกบฎของอับซาโลม ถึงแม้ดาวิดจะให้อภัยไม่ถือโทษแล้วก็ตาม (2 ซามูเอล 16:5-14) เมื่อท่านกลับ คืนสู่กรุงเยรูซาเล็ม และชีเมอีมาขอการอภัย อาบีชัยยังไม่สมใจ ยุยงให้ดาวิดสั่งฆ่าชีเมอีเสีย เพราะชายคนนี้ บังอาจพูดจาดูหมิ่นพระมหากษัตริย์ (2 ซามูเอล 19:16-23).
นอกจากข้อบกพร่องต่างๆของอาบีชัยที่พูดไปแล้ว นับได้ว่าเขาเป็นนักรบที่เก่งกล้าสามารถ ไม่อาจปฏิเสธ ฝีมือและชั้นเชิงในการรบได้เลย อาบีชัยได้รับตำแหน่งสูงในกองทัพอิสราเอล ได้ "เป็นวีรบุรุษ" เพราะเป็น นักรบที่เลื่องชื่อ มีการบันทึกไว้ว่า ครั้งหนึ่งอาบีชัยสามารถขว้างหอกใส่ศัตรูและฆ่าตายได้ถึง 300 คน ใน ท่ามกลางสามสิบคนนี้ อาบีชัยเป็นอันดับหนึ่ง แต่ไม่ได้อยู่ในทำเนียบ "หนึ่งในสาม" ที่กล่าวไปก่อนหน้านี้
ผมต้องขอสารภาพว่า ในท่ามกลางวีรบุรุษของดาวิด เบไนยาห์เป็นคนโปรดของผม หนุ่มคนนี้ไม่ธรรมดา เป็น บุตรของผู้ที่ได้เรียกว่าเป็นคนแข็งกล้า ได้กระทำภารกิจใหญ่เยี่ยงวีรบุรุษ (ข้อ 20) เบไนยาห์ฆ่าบุตรสองคน ของอารีเอล 127 ชาวโมอับ ฟังๆดูยังไม่ค่อยน่าเลื่อมใส แต่ยังมีอีก เขาทำการกล้าหาญไว้หลายประการ ได้ลง ไปฆ่าสิงห์ที่ในบ่อในวันหิมะตก! อาจเป็นได้ว่า "บ่อ" ที่ว่านี้คือถังน้ำใหญ่ 128 และเป็นเพราะสิงห์มันตกลงไป พวกนักรบจึงตักน้ำขึ้นมาดื่มไม่ได้ ใครอยากเสี่ยงตายไปแย่งน้ำจากสิงห์เล่า? แต่กองทัพก็ขาดน้ำไม่ได้ เบไนยาห์จึงอาสาลงไปเอาสิงห์ออกมา จะอย่างไรก็ตาม อุปสรรคจะยิ่งใหญ่ปานไหนก็ตาม เบไนยาห์ทำได้ สำเร็จ
แต่ยังมีอีกเหตุการณ์หนึ่งที่ผู้เขียนบันทึกไว้ถึงความเก่งกล้าของเบไนยาห์ ชายร่างยักษ์ชาวอียิปต์มาประจันหน้า กับเบไนยาห์ในสนามรบ ปัญหาก็คือชายยักษ์คนนี้ใหญ่โตน่ากลัว ในขณะที่เบไนยาห์ไม่มีอาวุธใดๆในมือ แต่ ศัตรูมีหอกเหมือนกับที่โกลิอัทเคยใช้ และต้องการสู้กับเบไนยาห์ เบไนยาห์จึง "ลงไป" หา เขามีเพียงไม้เท้า ในมือเท่านั้น เขาใช้ไม้เท้าหลอกล่อชายยักษ์นี้ แย่งหอกมาได้ และใช้หอกนี้แหละ ฆ่าเจ้าของหอกจนตาย ต่าง กับดาวิด ผู้ฆ่าโกลิอัทด้วยดาบของท่าน (1 ซามูเอล 17:50-51).
ที่น่าทึ่งคือ เบไนยาห์เป็นบุตรของปุโรหิตชาวเลวี :
5 ผู้บังคับบัญชาการกองทัพคนที่สามสำหรับเดือนที่สาม คือเบไนยาห์ บุตรเยโฮยาดาปุโรหิตเป็นหัวหน้า ในกองเวรของเขามีสองหมื่นสี่พันคน (1 พงศาวดาร 27:5)
เราคงคิดไม่ถึงว่าปุโรหิตชาวเลวีจะสวมหัวใจสิงห์ลงไปปราบสิงห์จริงๆ แต่นี่เป็นปุโรหิตที่ยอมให้มือเปื้อน เพื่อจะสำแดงถึงความเชื่อ บางทีเป็นเพราะท่านรับใช้ด้วยหัวใจที่สัตย์ซื่อ ดาวิดจึงตั้งท่านให้เป็นหัวหน้า หน่วยองครักษ์ส่วนพระองค์ ควบคุมดูแลชาวเปเรธี และชาวเปเลท (2 ซามูเอล 8:18; 20:23)
ผู้เขียนสรุปเรื่องวีรกรรมของวีรบุรุษสงครามเหล่านี้ไว้ด้วยรายชื่อไม่น้อยกว่า 30 ชื่อ มีการบันทึกไว้ว่ารวม ทั้งสิ้น 37 คน นับไปนับมาอาจได้น้อยกว่า เพราะไม่มีใครทราบจำนวนบุตรที่แท้จริงของ "บรรดาบุตรชายของ ยาเชน" (ข้อ 32) บางคนที่เสียชีวิตไปแล้ว (เช่นอุรียาห์) มีการแต่งตั้งคนอื่นขึ้นมาแทน นี่เป็นการประกาศ เกียรติคุณของวีรบุรุษทั้ง 30 ถึงแม้บางคนสิ้นชีวิตไปแล้ว และมีการแต่งตั้งผู้อื่นขึ้นมาดำรงตำแหน่งแทน
การพูดถึงอุรียาห์เป็นเรื่องน่าสนใจครับ อุรียาห์ไม่ธรรมดา เป็นนักรบเลื่องชื่อที่ต่อสู้เพื่อดาวิดและประเทศ อิสราเอล ดาวิดคงต้องรู้จักอุรียาห์เป็นอย่างดี แต่ท่านก็ยังกล้าไปแย่งภรรยาของเขา และกล้าวางแผนการ กำจัดนักรบที่มีค่าเช่นนี้ โดยใช้ความสามารถในการรบของเขาเองทำให้ต้องสิ้นชีวิตลง
ไม่มีการบอกเล่าถึงวีรกรรมของทหารแกล้วทั้งสามสิบนี้ในข้อ 24-39 แต่เบอร์เกน129 ได้ชี้ให้เห็นข้อเท็จจริง ที่น่าสนใจบางประการของบุคคลกลุ่มนี้ อาจมีถึงสิบสองคนในสามสิบนี้ที่เป็นชาวยูดาห์ และอย่างน้อยสามคน มาจากเผ่าเบนยามิน สองคนมาจากเอฟราอิม หนึ่งคนอาจมาจากเผ่าดาน และอีกคนจากกาด สามคนไม่มีการ พูดถึงที่มา และอีกสองคนไม่ทราบว่ามาจากไหนแน่ชัด เพราะมีมากกว่าสองสถานที่ ที่เหลือเป็นต่างชาติ (รวม อุรียาห์ด้วย) อีกครั้งแล้วที่เราเห็นว่าคนต่างชาติมีส่วนอยู่ในแผนการของพระเจ้าในการกอบกู้ประชากรของ พระองค์ ผมรู้สึกว่ามีอยู่หลายชื่อเป็นคนที่เคยอยู่กับดาวิดในช่วงแรกๆ ก่อนที่ท่านจะขึ้นเป็นกษัตริย์ และก่อนที่ ท่านจะหลบหนีซาอูลด้วยซ้ำไป
เมื่อมาถึงตอนท้ายของพระธรรมตอนนี้ เรารู้สึกได้ว่าเป็นบทส่งท้ายที่สรุปรวมพระธรรม 1 และ 2 ซามูเอล ไว้ด้วยกัน ผู้เขียนได้นำเราผ่านเรื่องราวต่างๆมาจนถึงตอนจบที่ตรงนี้ และเป็นตอนสำคัญตอนหนึ่งที่ผู้เขียน (ดลใจโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์) พยายามจะถ่ายทอดบางสิ่งกับเรา เรื่องใดกันที่เป็นบทเรียนสำหรับอิสราเอล ในยุคโบราณและคริสเตียนในยุคนี้ ? ผมขอเสนอบางข้อนะครับ
(1) ผู้เขียนกำลังเตือนเราถึงหลักการในการดูแลคนอย่างทั่วถึง เบอร์เกนชี้ให้เห็นถึงสิ่งที่พระเจ้า กระทำผ่านดาวิด พระองค์ทรงกระทำให้สำเร็จผ่านทางคนอื่นๆด้วย :
"พระเจ้าจอมโยธาทรงฝึกฝน เสริมกำลัง
และประทานชัยชนะในสนามรบให้แก่ผู้ที่ พระองค์ทรงเจิมไว้ ดาวิด
แต่พระองค์ไม่ได้ทรงจำกัดอยู่แค่ดาวิดเท่านั้น ทหาร
คนอื่นๆที่อยู่ในพระสัญญา เช่นเอลีอาซาร์
สามารถมีประสบการณ์ในพระพรด้วย เช่นกัน "130
เราชอบนึกไปว่า พระเจ้ามักจำกัดพระองค์เองไว้สำหรับบางคนเท่านั้น คนที่พระองค์เมตตาให้เกิดผลมาก ในพระคัมภีร์ใหม่คัดค้านความคิดเรื่อง "ผูกขาดคนเดียว" นี้อย่างสิ้นเชิง คริสตจักรเป็นพระกายของพระคริสต์ ประกอบด้วย ทั้งยิวและคนต่างชาติที่เข้ามาร่วมอยู่ "ในพระคริสต์" โดยทางความเชื่อ ทุกส่วนของพระกาย ต่อกันสนิทเป็นหนึ่งเดียว ทำงานโดยของประทานฝ่่ายวิญญาณตามที่ได้รับมา ไม่มีผู้หนึ่งผู้ใดคิดว่าตนเอง สามารถแยกอยู่ตามลำพัง ไม่ขึ้นอยู่กับผู้อื่นได้ (1 โครินธ์ 12:21-22) หรือมีใครคนใดคนหนึ่งคิดเอาเองว่า ตนนั้นไม่สำคัญ (1 โครินธ์ 12:14-19) คริสตจักรไม่ได้ถูกปกครองโดย "ศิษยาภิบาล" คนเดียว แต่โดยคณะ ผู้ปกครอง (1 ทิโมธี 3; ทิตัส 1)
ในขณะที่คนทั้งหลายยอมรับหลักเรื่องการมีส่วนร่วมในพระคัมภีร์ใหม่นี้ มีอีกหลายคนยังมีใจเอนเอียงคิดไป ว่าในพระคัมภีร์เดิมนั้นเป็นเรื่องของ "เด่นคนเดียว" ผมอยากขอร้องให้ทบทวนดูใหม่ พระเจ้าทรงจัดแบ่ง ความรับผิดชอบให้กับบรรดาผู้นำอิสราเอล ในท่ามกลางผู้เผยพระวจนะ ในบรรดาปุโรหิต และกษัตริย์ พระ องค์ไม่ได้ผูกขาดอำนาจของพระองค์ให้ใครคนใดคนหนึ่ง และนีคือเหตุผลที่ซาอูลพลาดไป จนนำความ เดือดร้อนแสนสาหัสมาสู่ตนเอง ท่านล้ำเส้นซามูเอล ไม่ยอมรอตามคำสั่ง จัดสั่งให้ทำการถวายเครื่องเผาบูชา (1 ซามูเอล 13) ส่วนเอลียาห์ก็นึกไปเองว่า "ท่านถูกทอดทิ้ง" ให้อยู่โดดเดี่ยว ซึ่งไม่เป็นความจริง (ดู 1 พกษ. 19) พระ เจ้าทรงทำการผ่านผู้คนมากมาย เพื่อให้พระประสงค์ของพระองค์สำเร็จ พระองค์ไม่ได้ ผูกขาดไว้ที่คนหนึ่งคนใด หรือเพียงบางกลุ่มเท่านั้น
(2) ความกล้าเช่นเดียวกับความขลาด ติดต่อกันได้ ทำไมเมื่อเราอ่านเรื่องราวของซาอูล เราไม่เคยได้ ยินเรื่อง "นักรบคนกล้า" เลย? เมื่อผมอ่านเรื่องราวการเป็นผู้นำอิสราเอลของซาอูล ดูเหมือนท่านชอบ พึ่งพาพวกทหารรับจ้าง (1 ซามูเอล 14:52) ซึ่งไม่เคยสร้างวีรกรรมใดๆเหมือนกับทหารแกล้ว "ทั้งสาม" และ "ทั้งสามสิบ" ของดาวิดเลย เหตุผลล่ะครับ? ผมอยากจะบอกว่าซาอูลขาด "ความกล้า" ที่ดาวิดมี และด้อย ในเรื่องการสร้างและหนุนใจให้มี "นักรบคนกล้า" เกิดขึ้น แต่มีการพูดถึงว่าบิดาท่านเป็นผู้มีชื่อเสียงดี (1 ซามูเอล 9:1) แต่สำหรับซาอูลแล้วไม่เคยได้ยินคำยกย่องเช่นนี้ ตอนที่โกลิอัทออกมาถากถางคนอิสราเอล และพระเจ้า เราไม่เคยเห็นซาอูลออกไปเผชิญหน้าจัดการกับวาจาสามหาวของโกลิอัท แล้วก็ไม่เห็นทหารคน ใดของท่านกล้าด้วย เมื่อซาอูลขี้ขลาดอย่างนี้ ลูกน้องเองก็พลอยเป็นไปด้วย (ดู 1 ซามูเอล 17:11, 24) คน ของซาอูลเองพร้อมที่จะเผ่นมากกว่าคิดจะยืนหยัดต่อสู้ (ดู 1 ซามูเอล 13:5-7)
ดาวิดเป็นบุรุษที่กล้าหาญ เมื่อสมัยที่มีหมี มีสิงห์มารบกวนฝูงแกะของบิดา ท่านไม่ยอมให้มันจับเหยื่อไปได้ เมื่อโกลิอัทกล่าวหมิ่นประมาทพระนามพระเจ้าของอิสราเอล ดาวิดออกไปต่อสู้และฆ่าทิ้ง หลังจากนั้นท่านก็ ได้พิสูจน์ตนเองให้เห็นถึงความกล้าของท่าน ที่เพิ่มมากขึ้นตามลำดับ คุณยังคงสงสัยมั้ยว่า ทำไมท่านถึงเป็น ที่ชื่นชมของผู้คนจนเป็นแบบอย่าง? คนที่กล้าสู้กับโกลิอัท จะเป็นแบบอย่างให้คนกล้าคนอื่น กล้าไปจัดการ กับลูกหลานของตระกูลยักษ์นี้ (ดู 2 ซามุเอล 21:15-22) ความกล้าชูใจผู้อื่นให้กล้า และดาวิดก็เป็นคนกล้า จึงไม่เป็นที่สงสัยเลยว่าทำไมในสมัยของท่าน จึงมีวีรบุรุษกล้าหาญใกล้ตัวท่านเกิดขึ้นเต็มไปหมด
ในสมัยของเราก็เช่นกัน หลายครั้งที่ลูกของพระเจ้าถอดใจเพราะผู้นำขาดความกล้า ไม่กล้าวางใจในพระเจ้า กลัวการข่มเหง กลัวการต่อต้าน สิ่งที่คริสตจักรต้องการในทุกวันนี้ และตลอดไปคือ คริสตจักรควรเต็มไปด้วย สมาชิก "หญิง-ชายที่มีใจกล้าหาญ" ที่พระเจ้าจะสามารถทำการใหญ่ผ่านได้ และที่พระเจ้าจะสามารถใช้เป็นที่ หนุนใจ ให้คนอื่นๆสามารถกล้าได้เช่นกัน
(3) พระธรรมตอนนี้เล่าเรื่องราวมากมาย ถึงบรรดาประชากรชาย-หญิงของพระเจ้าที่เป็นคนกล้า ผมขอสรุปเรื่องราวความกล้าของ "วีรบุรุษ" บางคนให้เราได้รู้จักกัน
วีรบุรุษไม่ใช่เป็นที่รู้จักกันว่า "ฆ่าได้กี่ศพ" จริงอยู่ที่ในพระธรรมตอนนี้มีการเอ่ยถึงจำนวนศัตรูที่ถูกฆ่าตาย แต่ ยังเอ่ยถึงเรื่องอื่นๆด้วย ผมจะพยายามถ่ายทอดให้ฟัง แต่ขอเริ่มต้นด้วยการย้ำว่าวิธีการ "นับจำนวน" ศพศัตรู ไม่ใช่เป็นวิธีการของยุคปัจจุบันอีกต่อไป คนในสมัยของดาวิดต้องสู้ศึกในสงครามอยู่ตลอดเวลา และความ สำเร็จขึ้นอยู่กับจำนวนศัตรูที่ถูกฆ่าตาย แต่ในทุกวันนี้เรากำลังอยู่ใน "สงครามฝ่ายวิญญาณ" ซึ่งเราไม่จำเป็น ต้องไปฆ่าฝ่ายตรงข้ามให้ตาย บางครั้งผมสงสัยอยู่ว่าคริสเตียนในยุคนี้ตระหนักถึงความจริงนี้บ้างหรือเปล่า
วีรบุรุษเกิดเมื่อวิกฤติกาลเกิด บรรดาผู้ที่ได้รับการยกย่องในพระธรรมตอนนี้ไม่ได้เป็นพวกแสวงหา ชื่อเสียง; พวกเขาเพียงแต่ไม่ยอมแพ้เมื่อคับขัน วันอันยากลำบากท้าทายเราให้ก้าวขึ้นไปสู่ทำเนียบ "วีรบุรุษ" ของประวัติศาสตร์
วีรบุรุษเกิดเมื่อมีคนขลาดและและหวาดกลัว คุณสังเกตุมั้ยครับว่าหลายครั้งทีเดียวที่วีรบุรุษของดาวิด (และของพระเจ้า) ยืนหยัดต่อสู้ ในขณะที่คนอื่นลนลานหนีด้วยความกลัว เมื่อบางคนรู้สึกถอดใจ วีรบุรุษ วีรสตรีทั้งหลาย กลับเข้มแข็งขึ้นในความเชื่อ และเชื่อมั่น วีรบุรุษไม่คร้ามที่จะต่อสู้เพียงลำพัง เช่นเดียวกับ ที่ดาวิด ปฏิบัติต่อโกลิอัท ทำให้เกิดกำลังใจฮึกเหิมอยากทำตาม
วีรบุรุษทั้งหลายต้องได้รับการปลูกฝัง และสำแดงให้เห็นจากการดำเนินชีวิตประจำวัน ผมได้เกริ่น ไปแล้วว่า เมื่อมีวิกฤติก็มีวีรบุรุษ เป็นความจริงครับ แต่เรื่องอย่างนี้ต้องมีการเตรียมตัวปลูกฝังกันมาก่อน คนที่ยืนหยัดอยู่ได้ในท่ามกลางวิกฤติ คือคนที่รู้จักวางใจและเรียนรู้ที่จะเชื่อฟังในเวลาปกติ ดังนั้นวีรบุรุษ พร้อมอยู่แล้ว ก่อนวิกฤติจะเกิด แและพวกเขาจะสำแดงให้เห็นในทันทีที่เหตุการณ์คับขัน
วีรบุรุษต้องไม่หวั่นไหวด้วยเรื่องต่างๆที่จู่โจมเข้ามา พูดอีกแบบคือ วีรบุรุษยอมเสี่ยงชีวิตโดยมอบความ วางใจทั้งสิ้นไว้ที่พระเจ้า โยนาธานเป็น "คนกล้า" จึงไม่เป็นที่น่าประหลาดใจที่เขาเป็นที่ชอบพอของดาวิด ซาอูลและคนของท่านหวั่นไหว เมื่อเห็นจำนวนของคนฟิลิสเตียที่ยกทัพมา โยนาธานกลับเป็นผู้ออกไปไล่ล่า ศัตรู ด้วยคำพูดว่า "โยนาธานกล่าวกับคนหนุ่มที่ถือเครื่องอาวุธของท่านว่า "มาเถิด ให้เราข้ามไปยัง กองทหารรักษาการของ คนเหล่านั้นที่มิได้เข้าสุหนัต บางทีพระเจ้าจะทรงประกอบกิจเพื่อเรา เพราะ ว่าไม่มีสิ่งใดที่ขัดขวางพระเจ้าได้ในการที่พระองค์จะทรงช่วยกู้ ไม่ว่าโดยคนมากหรือน้อย" (1 ซามู เอล 14:6) วีรบุรุษของดาวิดไม่ได้หวั่นไหวไปกลับกำลังมหาศาลของฝ่ายตรงข้าม พวกเขากลับยืนหยัด และ วางใจในชัยชนะที่พระเจ้ามอบให้
วีรบุรุษยอมตาย ถ้าจำเป็น วีรบุรุษในพระคัมภีร์เป็นผู้ที่วางใจในพระเจ้า คนเหล่านี้ (ทั้งหญิงและชาย) ไม่กลัวตาย เพราะความเชื่อของพวกเขามุ่งตรงอยู่ที่พระเจ้าและอาณาจักของพระองค์ (ดูฮีบรู 11) คนที่กลัว ตาย คือคนที่พยายามรักษาชีวิตตนเองให้ปลอดภัย ไม่ยอมเสี่ยงภัยใดๆให้กับผู้อื่น
วีรบุรุษต้องทำงานหนักทุ่มเทฝึกฝน แต่ที่สุดแล้วพวกเขาพึ่งพิงพระเจ้าในชัยชนะ ในแต่ละวีรกรรม วีรบุรุษได้รับคำชมเชย เพราะพวกเขายืนหยัดต่อสู้ขณะที่คนอื่นหนีเอาตัวรอด พวกเขากล้าตัดสินใจ เมื่อ สถานะการคับขัน เหตุนี้เองพวกเขาจึงได้รับการยกย่อง แต่ทว่าไม่ใช่ความเก่งกล้าสามารถของพวกเขาเพียง อย่างเดียว ที่นำมาซึ่งชัยชนะ ชัยชนะที่ได้รับนั้นเหนือกำลังมนุษย์จะทำได้ ผู้เขียนแสดงให้เห็นชัดว่า ใน ที่สุด ชัยชนะทั้งสิ้นมาจากพระเจ้า
วีรบุรุษยึดถือในหน้าที่รับผิดชอบอย่างจริงจัง ในฐานะทหาร พวกเขาต้องยืนหยัดและต่อสู้จนถึงที่สุด พวกเขาได้ทำเช่นนั้น ถึงแม้คนอื่นๆจะหลบหนีไป แต่พวกเขาไม่ พวกเขารับผิดชอบตามที่ได้รับมอบหมาย จนถึงที่สุด สมกับเป็น "ทหารกล้าวีรบุรุษ"
วีรบุรุษทำมากกว่าที่ได้รับมอบหมาย ด้วยความเชื่อ ความสัตย์ซื่อ และความรัก เราเห็นได้ชัดจาก วีรกรรมของวีรบุรุษทั้งสามของดาวิด เสี่ยงตายไปนำน้ำจากบ่อน้ำที่ในเบธเลเฮมมาให้ท่านดื่ม ดาวิดไม่ได้ สั่งให้ทำ เพราะถ้าท่านสั่ง พวกเขาต้องทำ มันก็เป็นเพียงแค่หน้าที่รับผิดชอบ ดาวิดเพียงแต่เปรยความ ปรารถนาของท่านดังไปหน่อย แต่สำหรับพวกเขาแล้ว ความปรารถนาของท่านก็คือคำสั่ง พวกเขาเสี่ยงชีวิต ฝ่าไปจนถึงบ่อและฝ่ากลับมา ทั้งสิ้นก็เพราะความจงรักภักดีและความรักที่มีต่อท่าน วีรบุรุษที่แท้จริงจะเป็นผู้ ที่รักจะทำตามความปรารถนาของผู้บังคับบัญชา ; ไม่ใช่เพราะเป็นคำสั่ง แต่เป็นเพราะอยากให้ผู้นั้นมีความสุข
วีรบุรุษเกิดขึ้นได้เพราะมีคนเห็นคุณค่า มีแบบอย่าง และได้รับการยกย่องตามสมควร ทำไมผู้เขียน ถึงนำเรื่องของ "ทั้งสาม" และ "สามสิบ" มาเล่าให้เราฟัง? ผมคิดว่าส่วนหนึ่งเป็นเพราะวีรกรรมเหล่านี้สมควร ได้รับการยกย่อง และยึดเป็นแบบอย่าง ชีวิตของดาวิดเอง ท่านเป็นแบบอย่างของความกล้า ท่านเห็นคุณค่า และมอบบำเหน็จให้แก่ผู้คนรอบข้าง จึงไม่่น่าประหลาดใจ ที่เมื่อยามคับขันมีวีรบุรุษมากมายเกิดขึ้น ซึ่งต่างกับ สมัยก่อน (เช่นสมัยของซาอูล)
วีรบุรุษคือบรรดาผู้กล้าแสดงตัวว่าตนอยู่ฝ่ายเดียวกับผู้ที่พระเจ้าเจิม ทำให้ผมนึกขึ้นได้ว่าบรรดา "คน กล้า" เหล่านี้คือ "คนกล้า" ของดาวิด คนเหล่านี้ยืนหยัดอยู่กับท่านและเพื่อท่าน ไม่ใช่เพียงแค่ในเวลาแห่ง ความสุขและชื่นชมยินดีเท่านั้น แต่ในเวลาทุกข์ยากเผชิญปัญหาและช่วยปกป้องท่านด้วย ในพระธรรมฮีบรู บรรดาธรรมิกชนทั้งหลาย คือวีรบุรุษที่กล้าแสดงตนว่าอยู่ฝ่ายพระคริสต์ ถึงแม้เป็นเรื่องเสี่ยงชีวิตที่สุดก็ตาม (ดูฮีบรู 10:32-34; 13:1-3)
ในเวลาเช่นนั้นนับเป็นเวลาที่วีรบุรุษหายาก เพราะไม่ใช่เป็นเรื่องได้รับการยกย่อง (หรือปลอดภัย) อีกต่อไป ที่จะเที่ยวไปป่าวประกาศว่าตนเป็นคริสเตียน ผมคิดว่าคงไม่มีใคร "ปรบมือ" ให้คุณที่มีความเชื่อ และยืนหยัด เชื่อฟังองค์พระผู้เป็นเจ้าหรอกครับ แต่เราอาจเห็นคริสเตียนบางคนทนแทบไม่ไหวเมื่อถูกข่มเหง เราอาจจะ ต้องยืนหนาวอยู่คนเดียว ในที่ทำงาน ที่โรงเรียน หรือแม้แต่ในครอบครัวของตัวเอง
ดาวิดเป็นวีรบุรุษ "นักรบผู้กล้าหาญ" เช่นเดียวกับผู้ที่เราเอ่ยชื่ออยู่ในบทนี้ แต่อย่าลืม "วีรบุรุษ" ผู้ยิ่งใหญ่ ที่เคยมีชีวิตอยู่บนโลกนี้ – องค์พระเยซูคริสต์ของเรา :
1 เหตุฉะนั้นเมื่อเรามีพยานพรั่งพร้อมอยู่รอบข้างเช่นนี้แล้ว ก็ขอให้เราละทิ้งทุก
อย่างที่ถ่วงอยู่ และบาปที่เกาะแน่น ขอให้เราวิ่งแข่งด้วยความเพียรพยายาม ตามที่ได้กำหนดไว้สำหรับเรา 2 หมายเอาพระเยซูเป็นผู้บุกเบิกความเชื่อ และ ผู้ทรงทำให้ความเชื่อของเราสมบูรณ์ พระองค์ได้ทรงอดทนต่อกางเขน เพื่อความ รื่นเริงยินดีที่ได้เตรียมไว้สำหรับพระองค์ ทรงถือว่าความละอายนั้นไม่เป็นสิ่งสำคัญ และพระองค์ได้ประทับ ณ เบื้องขวาพระที่นั่งของพระเจ้า 3 ท่านทั้งหลายจงคิดถึง พระองค์ผู้ได้ทรงยอมทนต่อคำคัดค้านของคนบาป เพื่อว่าท่านทั้งหลายจะได้ไม่รู้สึก
ท้อถอย (ฮีบรู 12:1-3)
18 ท่านทั้งหลายที่เป็นคนรับใช้ จงเชื่อฟังนายของท่านทุกอย่าง ไม่ใช่เฉพาะนาย ที่เป็นคนใจดีและสุภาพเท่านั้น แต่ทั้งนายที่ร้ายด้วย 19 เพราะว่าผู้ที่ได้รับความเห็น
ชอบว่าดีนั้น ก็ต่อเมื่อเขาเห็นแก่พระเจ้าและยอมอดทนต่อความทุกข์ที่ไร้ความเป็น
ธรรม 20 เพราะจะเป็นความดีความชอบอย่างไรถ้าท่านทำความชั่ว และท่านถูกเฆี่ยน เพราะการกระทำชั่วนั้น แม้ท่านจะอดทนต่อการถูกเฆี่ยนด้วยความอดกลั้น แต่ว่าถ้า ท่านทั้งหลายกระทำการดีและทนเอาเมื่อตกทุกข์ยาก เพราะการดีนั้น ท่านก็จะเป็น
ที่พอพระทัยของพระเจ้า 21 เพราะพระเจ้าทรงใช้ท่านสำหรับเหตุการณ์เช่นนี้ เพราะว่า พระคริสต์ก็ได้ทรงทนทุกข์ทรมานเพื่อท่านทั้งหลาย ให้เป็นแบบอย่างแก่ท่านเพื่อท่าน จะได้ดำเนินตามรอยพระบาทของพระองค์ 22 พระองค์ไม่ได้ทรงกระทำบาปเลย และ
ไม่ได้ ตรัสคำเท็จเลย 23 เมื่อเขากล่าวคำหยาบคายต่อพระองค์ พระองค์ไม่ได้ทรง
กล่าวตอบ เขาด้วยคำหยาบคายเลย เมื่อพระองค์ทรงทนทุกข์ พระองค์ไม่ได้ทรงมาดร้าย แต่ทรงมอบเรื่องของพระองค์ไว้แก่พระเจ้าผู้ทรงพิพากษาอย่างยุติธรรม 24 พระองค์เอง ได้ทรงรับแบกบาปของเราไว้ในพระกายของพระองค์ ที่ต้นไม้นั้น เพื่อว่าเราทั้งหลาย จะได้ตายจากบาปได้ และดำเนินชีวิตตามคลองธรรม ด้วยบาดแผลของพระองค์ ท่าน ทั้งหลายจึงได้รับการรักษาให้หาย 25 เพราะว่าท่านทั้งหลายเป็นเหมือนแกะที่พลัดฝูงไป แต่บัดนี้ได้กลับมาหาพระผู้เลี้ยงและผู้พิทักษ์วิญญาณจิตของท่านทั้งหลายแล้ว (1 เปโตร 2:18-25)
พระองค์ทรงเป็นแหล่งที่มาของกำลังใจและความเชื่อ :
5 ท่านจงอย่าเป็นคนเห็นแก่เงิน จงพอใจในสิ่งที่ท่านมีอยู่ เพราะว่าพระองค์ได้ตรัสว่า เราจะไม่ละท่าน หรือทอดทิ้งท่านเลย 6 เหตุฉะนั้นเราทั้งหลายอาจกล่าวด้วยใจเชื่อ
มั่นว่า องค์พระผู้เป็นเจ้า ทรงเป็นพระผู้ช่วยของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะไม่กลัว มนุษย์จะ ทำอะไรแก่ข้าพเจ้าได้เล่า (ฮีบรู 13:5-6)
ผมไม่แน่ใจว่าวีรบุรุษในทุกวันนี้หน้าตาเป็นอย่างไร ไม่ใช่เป็นเพราะจำนวนลดน้อยลง แต่อาจเป็นเพราะ วีรกรรมของพวกเขา ไม่เห็นเด่นชัดเท่ากับร่างศัตรูที่นอนซ้อนทับตายกันอยู่ในสมัยของดาวิด อาจเป็นได้ว่า สมาชิกส่วนใหญ่ในพระกายของพระคริสต์ (คริสตจักร) คือผู้ที่ไม่สำแดงตนชัด ในขณะที่คนที่เด่นๆอาจไม่ได้ สำคัญเท่าที่เรา (หรือพวกเขา) คิด (ดู 1 โครินธ์ 12:21-25) ตามที่ผมเข้าใจพระคัมภีร์ เราทุกคนจะมีเวลา ที่ต้องยืนอยู่ที่พระบัลลังก์ จำเพาะพระพักตร์ขององค์พระผู้เป็นเจ้า ทุกความคิดและการกระทำของเราจะถูก นำมาตัดสิน แล้วมันจะดีเพียงไหนที่จะได้ยินพระองค์ตรัสว่า "ดีมาก เจ้าเป็นผู้รับใช้ที่ดีและสัตย์ซื่อ ของเรา"
* คำแปลของบทอ้างอิงตอนท้าย มีบางตอนถูกตัดออกไปบ้าง เพราะยากมากในการแปล ต้องขออภัยด้วย - ผู้แปล *
117 "อย่างไรก็ตาม คำพูดส่งท้ายที่สำคัญของดาวิด เป็นเหมือนคำพูดที่ท่านเตรียมไว้ก่อนตาย เป็นเรื่อง ประสบการณ์ชีวิตของท่าน ที่สัมผัสใจเรา ท่านเป็นส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์แห่งความรอด นำไปสู่พระผู้ ช่วยให้รอด คือองค์พระเยซูคริสต์ หน้าที่ของท่านมีส่วนสำคัญอย่างยิ่ง ในการปูทาง เตรียมไว้สำหรับพระ ประสงค์ของพระเจ้า ถึงแม้ท่านเป็นคนพิเศษ แต่ท่านก็ไม่ต่างไปจากบรรดาบุตรทั้งหลายของพระเจ้า คือ มีชีวิตและตาย แต่ในฐานะกษัตริย์ที่พระเจ้าเจิม เป็นบทเพลงสรรเสริญของอิสราเอล ที่ยกชูท่านขึ้น เป็นแบบ อย่างที่บุตรทั้งหลายของพระเจ้าควรยึดไว้ ในการเตรียมตัวก่อนชีวิตจะหาไม่ … . มัทธิว เฮนรี้ กล่าวไว้ว่า "เมื่อเราสัมผัสว่าความตายนั้นไกล้เข้ามา เราควรถวายเกียรติแด่พระเจ้า และควรสร้างแบบอย่าง ที่ดีให้แก่ ผู้คนรอบข้าง ด้วยคำพูดอันเป็นที่หนุนใจ คำพูดถึงประสบการณ์ในพระคุณความรัก พระทัยเมตตา ขององค์ พระผู้เป็นเจ้าที่มีเหนือชีวิตเรา … ให้ทิ้งคำพยาน ความหวังใจในพระสัญญาที่เป็นจริงไว้เป็นอนุสรณ์ … การเผชิญกับความตายเป็นสิ่งยืนยันความเชื่อของเรา ที่แจ่มชัดในองค์พระเยซูคริสต์ … สุกใสไปถึงก้น บึ้งของการเป็นคริสเตียน" จากข้อเขียนของ Gordon J. Keddie, Triumph of the King: The Message of 2 Samuel (Durham, England: Evangelical Press, 1990), pp. 230-231.
118 "มัทธิว เฮนรี่เคยอธิบายไว้ว่า ‘นี่คือความประสงค์สุดท้าย และคำพยานของกษัตริย์ดาวิด’ อาร์ พี กอร์ดอนเรียกว่า ‘เป็นมรดกนิรันดร์ของอิสราเอล’ และยังกล่าวด้วยว่าเป็นการถ่ายทอด ‘ทั้งความหวังใจ สำคัญของวงศ์ตระกูล และการปกครองของดาวิดที่เป็นการเริ่มต้นของการเสด็จมา ขององค์พระเมสซิยาห์ ’ ทำให้นึกได้ว่า ปีเตอร์ อัคครอยด์เคยตั้งข้อสังเกตุไว้ว่า ‘ถ้อยคำอวยพรสุดท้ายที่ยาโคบให้ไว้กับบรรดา บุตรชาย ในฐานะเป็นตัวแทนของเผ่า (ปฐก. 49), และ … ของโมเสส (ฉธบ. 33)’." Gordon J. Keddie, p. 230.
119 เค้ดดี้สรุปสิ่งที่ดาวิดพรรณาไว้ในสดุดีข้อ 2-7: "บทสดุดีของดาวิดเริ่มด้วยความคิดเรื่อง พระพรมากมาย ที่พระเจ้าประทานให้ตลอดชีวิตของท่าน และไกลไปยังปากประตูแห่งชีวิตนิรันดร์ (23:1-4), พูดถึงเรื่องพระ พรในอนาคต เรื่องพระสัญญานิรันดร์ที่พระเจ้าประทาน (23:5) และสรุปด้วยการเตรียมพร้อมที่จะพบพระองค์ ผู้ทรงพร้อมที่จะอภัยให้แก่ความบาปและคนอธรรมที่กลับใจ แต่จะไม่ปล่อย "ให้คนชั่วลอยนวล" (ปฐก. 34:7)." Keddie, p. 231.
120 "ข้อนี้ [5] แปลค่อนข้างยาก และเป็นได้ที่ถ้อยคำตอนท้าย อาจหมายถึง ‘ทุกความปรารถนาของดาวิด’ แต่เป็นความพอพระทัยของพระเจ้า" (Keddie, pp. 234-235).
121 วาทะสุดท้ายของดาวิดที่มีให้แก่่ซาโลมอน ดูเหมือนจะบันทึกอยู่ใน 1 พงศ์กษัตริย์ 2:2-9
122 "เป็นระเบียบและมั่นคงในทุกสิ่ง เปรียบเทียบกับภาษาอังกฤษที่ใช้คำว่า ‘เซ็นชื่อและปิดผนึก’’ (Jb. 13:18; 23:4; Ps. 50:21). Robert P. Gordon, I & II Samuel: A Commentary (Grand Rapids: Regency Reference Library, 1996), p. 311.
123 หนังสือ "The Targum of Jonathan แปลตอนนี้ว่า เป็นเหมือนคำพยากรณ์ถึงการเสด็จมาขององค์พระ เมสซิยาห์ เป็น "แสงสว่าง" (ยอห์น 8:12; 9:5; cf. V. 4)
124 "ทั้งสาม ได้รับการยกย่องเหนือที่เหลือ และเรียงชื่อตามลำดับสำคัญ ชื่อแรกอาจจะเพี้ยนไปหน่อย ตามที่บันทึกอยู่ใน 1 พศด. 11:11 และต่างออกไปอีกใน LXX; ที่เหลือในข้อ 8 ก็ยังเป็นปัญหา (cf. RSV, mg., NIV, mg.)." Joyce G. Baldwin, 1 & 2 Samuel: An Introduction and Commentary (Downers Grove, Illinois: Inter-Varsity Press, 1988), p. 292.
"1 พศด. 11:11 บันทึกว่าเยโชเบอัม ตระกูลฮัคโมนี มีชื่อเรียกตามวงศ์วานว่า โยเชบ-บัสเชเบท คนฮัคโมน ผู้ได้ฆ่าคนไปเสียสามร้อย ซึ่งน่าจะหมายถึงคนเดียวกัน อาจผิดพลาดตอนคัดลอก จึง ค่อนข้างลำบากที่จะตัดสินว่าตัวเลขใดกันแน่ที่ถูกต้อง" เบอร์เก้น หน้า 469, fn. 47.
125 "เมื่อรู้เบื้องหน้าเบื้องหลังที่มาของน้ำ ดาวิดจึงทำสิ่งที่ดูเหมือนเพี้ยน หรือเหมือนไม่เห็นคุณค่า : ท่าน ‘ไม่ยอมดื่ม’ น้ำที่นำมามอบให้นั้น เพราะได้มาด้วยความลำบากยากเย็น จึงเปรียบเสมือนของมีค่ายิ่ง มีค่าจน ดาวิดคิดว่า ตนเองไม่สมควรจะได้รับ" เบอร์เก้น หน้า 470.
126 คงจำกันได้ ว่ามันไปได้เป็นเช่นนี้เสมอ เราเห็นได้จากการกระทำของดาวิดต่อนางบัทเชบา และสามีของ นาง อุรียาห์
127 กอร์ดอนเขียนเอาไว้ว่า "อารีเอล เป็นคำแปลงมาจากภาษาฮีบรูซึ่งอาจใช้หมายถึงคนเก่งก็ได้ (NEB; cf. NIV ‘best men’) กอร์ดอนหน้า 313.
โดยส่วนตัวแล้ว ผมเห็นมีการเล่นคำอย่างน้อยสองแห่งในตอนนี้ เพราะคำในภาษาฮีบรูคำว่า "สิงห์โต" นั้นคล้ายคลึงกับคำที่แปลออกมาว่า "อารีเอลl." ดังนั้นผู้แปลของทั้งฉบับ KJV และฉบับ NKJV ใช้คำว่า อารีเอล "เป็นเหมือนกับสิงห์" คนที่สามารถต่อสู้และเอาชนะศัตรูที่แข็งแกร่งเหมือน สิงห์ได้ถึงสองคน ก็จะสามารถจัดการกับสิงห์โตจริงๆได้อย่างง่ายดาย
128 "เป็นการสำแดงความกล้าที่โดดเด่นของเขา – เป็นเรื่องที่ดาวิดนำไปถ่ายทอดให้ผู้อื่นฟังต่อได้ (1 ซมอ. 17:34-36 – ที่ลงไปในบ่อ ในวันที่หิมะตกหนัก และฆ่าสิงห์ ; เป็นได้ว่าเจ้าป่าตัวนี้ อาจพลัดตกลงไปในบ่อ ที่ใช้กักน้ำสำหรับดื่มในฤดูหนาว" เบอร์เก้น 471
129 เบอร์เก้น หน้า 472.
130 เบอร์เห้น หน้า 469.
ดาวิดนับกำลังพล 131
ในช่วงปีแรกๆที่โบสถ์ของเราตั้ง เรายังไม่มีสำนักงานโบสถ์ แปลว่าไม่มีตึกหรือสิ่งก่อสร้างใดๆทั้งสิ้น (เราใช้โรงเรียนประถมแห่ง หนึ่ง และต่อมาโรงแรมนอร์ทดัลลัสเป็นที่พบปะประชุม) ด้วยเหตุนี้และอื่นๆอีกหลายประการ ที่ทำงานของผมจึงอยู่ในห้องพักโรง แรม เป็นห้องเล็กๆ มีเลขาตั้งโต๊ะทำงานอยู่บริเวณล้อบบี้โรงแรม เธอรับจ้างทำงานพิมพ์ และงานธุรการทั่วไปให้กับบริษัทอื่นๆ ที่เช่าห้องโรงแรมใช้เป็นสำนักงานเช่นกัน มีอยู่วันหนึ่ง เลขาอายุน้อยผู้นี้เรียกผมให้หยุด เพื่อจะเล่าให้ฟังว่า ผู้เช่ารายอื่น มาพูดคุยกับเธอเรื่องค่าจ้าง โดยอ้างว่า ในเมื่อเธอทำงานให้กับ "่องค์กรคริสเตียน" ราคาค่าจ้างก็น่าจะลดลง เธอจึงคิดว่า เมื่อเธอลดราคาให้คนอื่นได้ โบสถ์ของเราก็สมควรได้รับการลดราคาด้วย
ผมรู้สึกไม่ค่อยสบายใจกับข้อเสนอนี้ และบอกเธอไปว่า ขอนำไปปรึกษาพูดคุยกับผู้ใหญ่ท่านอื่นก่อน หลังจากที่ได้พูดคุยกัน เราสรุปว่า่ เป็นการไม่สมควร ที่เธอต้องยอมลดราคาค่าจ้างเพื่อมาสนับสนุนโบสถ์เรา ผมบอกเธอว่าเราขอคงราคาเดิม ไม่ต้อง ลดหย่อนใดๆ เพราะเราคิดว่าไม่สมควรที่เธอต้องมาสละรายได้สนับสนุนโบสถ์เรา ซึ่งเธอเองก็ไม่ได้เป็นสมาชิกอยู่ด้วย
บทเรียนตอนนี้ ดาวิดได้โอกาสทองในสิ่งที่เราชอบเรียกว่า "ส้มหล่น" พระเจ้าทรงตรัสสั่งดาวิดผ่านทางผู้เผยพระวจนะกาด (หรือ "ผู้ทำนาย") ให้่ท่านตั้งแท่นบูชาขึ้นบนลาดนวดข้าวของอาราวนาห์ เพื่อจะทำตามพระประสงค์ ดาวิดต้องขอซื้อที่ดินผืนนั้นก่อน เมื่อดาวิดแจ้งความประสงค์กับอาราวนาห์ ว่าท่านต้องการขอซื้อที่ดิน เพื่อทำการตั้งแท่นถวายบูชาถวายแด่พระเจ้า อาราวนาห์ ตัดสินใจยกให้ฟรีๆ ไม่คิดเงิน แถมวัวสองตัวที่ใช้ในการนวดข้าวให้ด้วย พูดง่ายๆก็คือ ดาวิดไม่ต้องทำอะไรเลย อาราวนาห์จัด เตรียมให้เสร็จ ไม่คิดเงินด้วย ส้มหล่นมั้ยครับ? เราคิดว่าดาวิดน่าจะปลื้มที่สุด ท่านได้นมัสการพระเจ้าโดยไม่ต้องควักกระเป๋า มีอาราวนาห์เป็นสปอนเซอร์ใหญ่ จัดการให้เสร็จสรรพ แต่ดาวิดปฏิเสธครับ เราต้องมาค้นหากันว่าทำไม และเราเรียนรู้สิ่งใด จากเหตุการณ์นี้
เราเห็นชัดว่า 2 ซามูเอล 24 เป็นตอนจบของพระธรรมสองเล่มนี้ (คงจำกันได้ว่าเดิมในภาษาฮีบรูมีเพียงเล่มเดียว) และตอนนี้ ผู้เขียนกำลังนำเราเข้าสู่บทสุดท้าย ท่านพยายามชี้ให้เราเห็นประเด็นที่เป็นตอนสุดยอดของพระธรรมเล่มนี้ มีบทเรียนมากมาย สำหรับเรา ขอให้ตั้งใจฟังให้ดี ขอพระวิญญาณช่วยเราให้เข้าใจ และให้พระองค์ทำการภายในเรา และกระทำผ่านเรา ให้สำเร็จ ตามพระประสงค์ทุกประการ
1 พระพิโรธของพระเจ้าได้เกิดขึ้นต่ออิสราเอลอีก เพื่อทรงต่อสู้เขาทั้งหลายจึงทรงดลใจดาวิดตรัสว่า "จงไปนับคนอิสราเอล และคนยูดาห์"
2 พระราชาจึงรับสั่งโยอาบ แม่ทัพซึ่งอยู่กับพระองค์ว่า "จงไปทั่วอิสราเอลทุกเผ่า ตั้งแต่เมืองดานถึงเบเออร์เชบา และท่าน จงนับจำนวนประชาชน เพื่อเราจะได้ทราบจำนวนรวมของประชาชน"
3 แต่โยอาบกราบทูลพระราชาว่า "ขอพระเยโฮวาห์พระเจ้าของฝ่าพระบาท ทรงให้มีประชาชนเพิ่มขึ้นอีกร้อยเท่าของที่มีอยู่ ขอพระราชาเจ้านายของข้าพระบาททรงเห็นทันตา แต่ไฉนพระราชาเจ้านายของข้าพระบาทจึงพอพระทัย ในเรื่องนี้"
4 แต่โยอาบและผู้บังคับบัญชากองทัพก็ต้องยอม จำนนต่อพระดำรัสของพระราชา โยอาบกับบรรดาผู้บังคับบัญชาของกองทัพ จึงออกไป จากพระพักตร์พระราชา เพื่อจะนับประชาชนอิสราเอล
5 เขาทั้งหลายข้ามแม่น้ำจอร์แดนไปและตั้งค่าย ในเมืองอาโรเออร์ ด้านขวาของเมืองที่อยู่กลางหุบเขากาดถึงยาเซอร์
6 แล้วเขาทั้งหลายก็มายังกิเลอาดและมาถึงแผ่นดินตะทิมโหดฉิ และเขาทั้งหลายมาถึงเมืองดานยาอัน อ้อมไปยังเมืองไซดอน
7 และมาถึงป้อมเมืองไทระ และทั่วทุกหัวเมืองของคนฮีไวต์ และของคนคานาอัน และเขาออกไปยังเนเกบแห่งยูดาห์ ที่เมืองเบเออร์เชบา
8 เมื่อเขาไปทั่วแผ่นดินนั้นแล้ว เขาจึงมายังกรุงเยรูซาเล็มเมื่อสิ้นเก้าเดือนกับยี่สิบวัน
9 และโยอาบก็ถวายจำนวนประชาชนที่นับได้แก่ พระราชาในอิสราเอล มีทหารแข็งกล้าแปดแสนคน ผู้ซึ่งชักดาบ และ คนยูดาห์มีห้าแสนคน
ไม่มีการบันทึกว่าทำไมท่านทำเช่นนี้ แต่พระเจ้าทรงพระิพิโรธต่ออิสราเอล อ่านดูแล้ว รู้สึกว่าพระองค์คงกริ้วสุดๆ ต่อบาปของ อิสราเอลครั้งนี้ บ่อยครั้งในพระคัมภีร์เดิม มีการพูดถึงพระพิโรธของพระเจ้า133 ในแต่ละกรณี ต้องเป็นเรื่องความผิดร้ายแรง ร้ายแรง จนทำให้พระองค์แทบลุกเป็นไฟด้วยพระพิโรธอันชอบธรรมของพระองค์ นี่เป็นอีกครังที่พระเจ้าทรงกริ้วอิสราเอล และพระองค์ ต้องการตีสอนชนชาติที่หัวแข็งดื้อดึงนี้ พระองค์ทรงใช้บาปของดาวิดกระทำให้ทั้งดาวิดและประชาชนต้องสำนึกและรับการลงโทษ ขออย่าให้เรามัวมองแต่ความผิดบาปของดาวิดเท่านั้น โดยลืมไปว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นครั้งนี้เป็นเพราะบาปของคนอิสราเอลด้วย
พระเจ้าทรงดลใจดาวิด 134 ดาวิดตัดสินใจนับกำลังพลของทั้งอิสราเอลและยูดาห์ การนับกำลังพลไม่ใช่เป็นเรื่องความผิดเสมอไป โมเสสนับกำลังพลอิสราเอลเพื่อเตรียมการศึก (กดว. 1:1-4) โมเสสนับกำลังพลของพวกโคฮาท (กดว. 4:2) และพวกเกอร์โชน (กดว. 4:22) เพื่อจะทำงานในเต็นท์นัดพบ ซาอูลนับกำลังพลอิสราเอลเพื่อช่วยปกป้องชาวยาเบช-กิเลอาดจากพวกอัมโมน (1 ซมอ. 11:8) ดาวิดนับจำนวนคนที่อยู่ฝ่่ายท่าน เพื่อเตรียมป้องกันตนเองจากการกบฎของอับซาโลมบุตรชาย (2 ซมอ. 18:1).135 ในกรณีเช่นนี้ไม่ถือว่าเป็นการผิดบาปแต่ประการใด
เราต้องมองให้ออกว่า การนับกำลังพลของดาวิดครั้งนี้ ไม่ใช่เป็นการนับกำลังทางทหารอิสราเอลแบบธรรมดาๆ แต่เป็นการ อยากรู้ตัวเลข ต้องใช้เวลาถึงสิบเดือนกว่าจะเสร็จ และต้องใช้ฝีมือผู้นำทางทหารเลงมือ ตามความเข้าใจของผม เมื่อนับ กำลังทางทหาร ต้องมีการเรียงตามตำแหน่ง ซึ่งหมายความว่า การนับกำลังทหารตามตำแหน่งบังคับบัญชาเพื่อเตรียมพร้อมรบ
เราเห็นคำเตือนในเรื่องการนับกำลังทหารจากพระธรรมอพยพ :
12 "เมื่อเจ้าจะจดสำมะโนครัวชนชาติอิสราเอล จงให้เขาต่างนำทรัพย์สินมาถวายพระเจ้าเป็นค่าไถ่ ชีวิตเมื่อเจ้านับจำนวนเขา เพื่อจะ มิได้เกิดภัยพิบัติขึ้นในหมู่พวกเขาเมื่อเจ้านับเขา
13 ทุกคนที่ขึ้นทะเบียนสำมะโนครัว จะต้องถวายของอย่างนี้ คือเงินครึ่งเชเขล ตามเชเขลของสถานนมัสการ (เชเขลหนึ่ง มียี่สิบเก-ราห์) ครึ่งเชเขลเป็นเงินถวายแด่พระเจ้า
14 ทุกๆคนที่ขึ้นทะเบียนสำมะโนครัว อายุตั้งแต่ยี่สิบปีขึ้นไป ให้นำเงินมาถวายพระเจ้า
15 เมื่อเจ้าทั้งหลายนำเงินมาถวายพระเจ้า เพื่อจะได้ไถ่ชีวิตของเจ้าทั้งหลายนั้น สำหรับคนมั่งมีก็อย่าถวายเกิน และสำหรับ คนจน ก็อย่าให้น้อยกว่าครึ่งเชเขล
16 จงเก็บเงินค่าไถ่จากชนชาติอิสราเอล และจงกำหนดเงินไว้ใช้จ่ายในเต็นท์นัดพบ เพื่อพระเจ้าจะได้ทรงระลึกถึงชนชาติ อิสราเอล สำหรับการไถ่ชีวิตของเจ้าทั้งหลาย" ขัน (อพยพ 30:12-16)
จากพระธรรมตอนนี้ เราเห็นชัดว่าการนับกำลังพลนั้น เท่ากับขาดความยำเกรง เป็นความผิดร้ายแรงที่ต้องชดใช้ ถ้าไม่ชดใช้ ภัยพิบัติร้ายแรง จำต้องเกิดขึ้น
ผมค่อนข้างมีปัญหากับพระธรรมตอนนี้ โดยเฉพาะเรื่องการนับจำนวนคนอิสราเอล เรามองไม่เห็นเหตุผลชัดเจน แต่ผมเริ่มเห็น ความจริงบางอย่าง ถ้าพระเจ้าไม่ทรงพอพระทัยในการกระทำของดาวิดด้วยสาเหตุบางประการ เราเองก็ไม่เห็นสาเหตุใด ที่ดาวิดอยู่ดีๆ ลุกขึ้นมานับกำลังพล แต่ละครั้งในอดีต การนับกำลังพลมีเหตุผลเสมอ เมื่อนับกำลังทางทหาร แปลว่าเตรียม พร้อมออกศึก แต่ครั้งนี้ไม่ได้มีศึกสงครามใด ดูเหมือนดาวิดต้องการอยากรู้กำลังภายใต้อำนาจของตน เพื่อความภูมิใจส่วนตัว ดาวิดดูจะใส่ใจเรื่องอำนาจของตน ในเรื่องความแข็งแกร่ง ในการสู้ศึก จนเกินพอดี อาจเกินไปจนลืมพึ่งพาพระเจ้า เช่นเดียว กับกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ในพระธรรมดาเนียลบทที่ 4 หลงไหลในความเก่งกล้าของตนเอง อำนาจที่มีอยู่ในมือ และยศฐา บรรดาศักดิ์
มี "ความรู้สึก" บางอย่างซ่อนอยู่ในพระธรรมตอนนี้ ทำให้ผมนึกถึงเมื่ออาดัมและเอวาล้มลงในบาปในปฐมกาล 3 การนับกำลัง พลอิสราเอล เหมือนกับทำให้ดาวิด "รู้" ในเรื่องต้องห้าม ไม่สมควรรู้ เรื่องความยิ่งใหญ่ทางทหารของตนเอง (เทียบกับ ฉธบ. 17:14-20) ท่านต้องการ "เห็น" และรู้ถึงกำลังและอำนาจที่ตนเองมี ถึงแม้เป็นเรื่องต้องห้าม แต่ความปรารถนามันรุนแรงกว่าครับ
ขณะที่เราสงสัยเรื่อง "ความบาป" ในการกระทำเช่นนี้ แต่สำหรับคนของท่าน โยอาบ ผู้นำกองทัพ กลับไม่สงสัย (ข้อ 3; ดู 1 พกษ. 21:6) และท่านผู้นำกองทัพ (ข้อ 4) จึงไม่เห็นด้วยอย่างยิ่งกับความคิดนี้ แม้แต่ดาวิดเองก็ถูกจิตสำนึกโจมตี (ข้อ 10) ก่อนที่ ผู้เผยพระวจนะกาด จะมาเผชิญหน้าและตำหนิท่านเสียอีก (เช่นเดียวกับที่นาธันทำในกรณีของอุรียาห์และบัทเชบา – 2 ซามูเอล 12) การนับกำลังพลของ แผ่นดินเป็นสิ่งที่ผิด แต่ทว่าคนอื่นๆในแผ่นดินดูเหมือนจะพากันลืมสิ้น
โยอาบพยายามคัดค้านอย่างสุดความสามารถ เอาตำแหน่งและความปลอดภัยมาเสี่ยง ถึงกระนั้นก็ไม่อาจต้านทานดาวิด และคนอื่นๆได้ แม้จะไม่เห็นด้วย แต่ก็ต้องจำยอม ออกไปทำตามความประสงค์ของดาวิด (ดู 1 พกษ. 21:6) โยอาบต้องไป ทำหน้าที่ที่ตนเองเกลียด นับว่าเป็นภาระอันหนักอึ้ง ต้องข้ามแม่น้ำจอร์แดน มุ่งขึ้นเหนือ ไปทางตะวันตก แล้ววกลงใต้ เดินทาง ไปทั่วประเทศ เหมือนเข็มนาฬิกา และเมื่อภาระนี้จบลง ดาวิดจึงได้รับรายงาน มีนักรบกล้าถึง 800,000 คนในอิสราเอล และ นักสู้เฉพาะกิจอีก 500,000 คนในยูดาห์ (ข้อ 9)136
10 เมื่อได้นับจำนวนเสร็จแล้วพระทัยของดาวิดก็โทมนัส และดาวิดกราบทูลต่อพระเจ้าว่า "ข้าพระองค์ได้กระทำบาป ใหญ่ยิ่งในสิ่งซึ่ง ข้าพระองค์ได้กระทำนี้ ข้าแต่พระเจ้า แต่ขอพระองค์ทรงให้อภัยความบาปชั่วของข้าพระองค์ เพราะ ข้าพระองค์กระทำการอย่างโง่เขลามาก"
11 และเมื่อดาวิดทรงลุกขึ้นในตอนเช้า พระวจนะของพระเจ้าก็มายังกาดผู้เผย พระวจนะผู้ทำนายของดาวิดว่า
12 "จงไปบอกดาวิดว่า พระเจ้าตรัสดังนี้ว่า 'เราเสนอเจ้าสามประการ จงเลือกเอาประการหนึ่งเพื่อเราจะได้กระทำให้แก่เจ้า'"
13 กาดจึงเข้าเฝ้าดาวิดและกราบทูลพระองค์ว่า "จะให้เกิดกันดารอาหารในแผ่นดินของฝ่า พระบาทสิ้นเจ็ดปีหรือ ฝ่าพระบาท จะยอมหนีศัตรูสิ้น เวลาสามเดือนด้วยเขาไล่ติดตาม หรือจะให้โรคระบาดเกิดขึ้นใน แผ่นดินของฝ่าพระบาทสิ้นสามวัน บัดนี้ขอฝ่าพระบาททรงตรึกตรอง และตัดสินในพระทัยว่าจะให้คำตอบประการใด เพื่อข้าพระบาทจะนำกลับไปกราบทูล พระองค์ผู้ทรง ใช้ข้าพระบาทมา"
14 ดาวิดจึงตรัสกับกาดว่า "เรามีความกระวนกระวายมาก ขอให้เราทั้งหลายตกเข้าไปอยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า เพราะ พระกรุณาคุณของพระองค์ใหญ่ยิ่งนัก แต่ขออย่าให้เราตกเข้าไปในมือของมนุษย์เลย"
ก่อนจะถูกเตือน ดาวิดได้ตระหนักถึงความบาปของตนแล้ว ที่บังอาจไปนับกำลังพลของแผ่นดิน เมื่อใจของท่านเป็นทุกข์หนัก ท่านได้สำนึก ท่านสารภาพว่าบาปที่ทำลงไปนั้นใหญ่หลวงนัก และการกระทำของท่านนั้นโง่เขลาที่สุด (ข้อ 10) ความรู้สึกผิด และยอมสารภาพของท่าน เกิดขึ้นในตอนกลางคืน เพราะเมื่อท่านตื่นขึ้น ผู้เผยพระวจนะกาด137 มาพบ พร้อมด้วยพระวจนะจาก พระเจ้า ไม่มีคำโต้แย้ง ไม่มีการสอบสวนว่าดาวิดผิดจริงหรือไม่ มีอยู่อย่างเดียว คือต้องตัดสินใจเรื่องบทลงโทษ ท่านมีสาม ทางเลือก ทุกอย่างตรงตามที่บัญญัติอยู่ในพระธรรมเฉลยธรรมบัญญัติ 28 เป็นบทลงโทษ เมื่ออิสราเอลผิดสัญญาที่ทำไว้กับ พระเจ้า138
ทางเลือกของดาวิดมีเรื่องระยะเวลาของบทลงโทษรวมอยู่ด้วย : เจ็ดปีกันดารอาหาร139 สามเดือนถูกศัตรูไล่ล่า หรือสามวัน โรคระบาด ดาวิดเลือกทางเลือกที่สาม ไม่ใช่เพราะระยะสั้นที่สุด แต่ท่านเลือกที่จะถูกลงโทษโดยตรงจากพระหัตถ์ของพระเจ้า มากกว่าน้ำมือของมนุษย์
ทำไมเป็นเช่นนั้น? ทำไมดาวิดเลือกการลงโทษโดยตรง ที่มาจากพระเจ้าผู้ชอบธรรมและเี่ที่ยงธรรม มากกว่าจากฝีมือมนุษย์? ผมเชื่อว่า เป็นเพราะดาวิดรู้ดีว่า ท่านจะถูกลงโทษไม่ใช่ในฐานะผู้อื่น แต่ในฐานะบุตรของพระเจ้า ถึงกระนั้นภัยพิบัติ ก็ยังเป็น เรื่องน่าสะพรึงกลัว :
15 แล้วกษัตริย์ทั้งหลายในโลก พวกคนใหญ่คนโต นายทหารใหญ่ เศรษฐี ผู้มีอำนาจ และทุกคนทั้งที่เป็นทาสและเป็นอิสระ ก็ซ่อนตัว อยู่ในถ้ำและโขดหินตามภูเขา
16 พวกเขาร้องบอกกับภูเขาและโขดหินว่า "จงล้มทับเราเถิด จงซ่อนเราไว้ ให้พ้นจากพระพักตร์ของพระองค์ ผู้ประทับ อยู่บนพระที่นั่ง และให้พ้นจากพระพิโรธของพระเมษโปดกนั้น
17 เพราะว่าวันสำคัญแห่งพระพิโรธของพระองค์มาถึงแล้ว และผู้ใดจะทนอยู่ได้เล่า" (วิวรณ์ 6:15-17)
12 ข้าพเจ้าได้เห็นบรรดาผู้ที่ตายแล้ว ทั้งผู้ใหญ่และผู้น้อยยืนอยู่หน้าพระที่นั่งนั้น และหนังสือต่างๆก็เปิดออก หนังสืออีก เล่มหนึ่ง ก็เปิดออกด้วย คือหนังสือชีวิต และผู้ที่ตายไปแล้วทั้งหมด ก็ถูกพิพากษาตามข้อความที่จารึกไว้ในหนังสือเหล่านั้น และตามที่เขาได้กระทำ
13 ทะเลก็ส่งคืนคนทั้งหลายที่ตายในทะเล ความตายและแดนมรณาก็ส่งคืนคนทั้งหลายที่อยู่ในแดนนั้น และคนทั้งหลาย ก็ถูกพิพากษา ตามการกระทำของตนหมดทุกคน
14 แล้วความตาย และแดนมรณาก็ถูกผลักทิ้งลงไปในบึงไฟ บึงไฟนี่แหละเป็นความตายครั้งที่สอง
15 และถ้าผู้ใดที่ไม่มีชื่อจดไว้ในหนังสือชีวิต ผู้นั้นก็ถูกทิ้งลงไปในบึงไฟ (วิวรณ์ 20:12-15)
ดาวิดไม่จำเป็นต้องกลัวพระอาชญาของพระเจ้าที่ทรงมีต่อผู้ไม่เชื่อ ถึงแม้จะไม่ได้รับผ่อนผันการลงวินัย แต่การถูกลงวินัย โดยบิดาผู้เป็นที่รัก กลับจะทำให้ท่านได้ไกล้ชิดพระองค์มากยิ่งขึ้น :
7 ท่านทั้งหลายจงรับและทนเอาเถอะเพราะเป็นการตีสอน พระเจ้าทรงปฏิบัติต่อท่านในฐานะที่ท่านเป็นบุตรของพระองค์ ด้วยว่ามีบุตร คนใดเล่าที่บิดาไม่ได้ตีสอนเขาบ้าง
8 แต่ถ้าท่านทั้งหลายไม่ได้ถูกตีสอนเช่นเดียวกับคนอื่นๆ ท่านก็ไม่ได้เป็นบุตร แต่เป็นลูกที่ไม่มีพ่อ
9 อีกประการหนึ่ง เราทั้งหลายมีบิดาเป็นมนุษย์ที่ได้ตีสอนเรา และเราก็นับถือบิดานั้น ยิ่งกว่านั้นอีก เราควรจะอยู่ใต้บังคับของ พระบิดาแห่งวิญญาณจิต และมีชีวิตจำเริญมิใช่หรือ
10 เพราะบิดาที่เป็นมนุษย์ตีสอนเราเพียงชั่วเวลาเล็กน้อย ตามความเห็นดีเห็นชอบของเขาเท่านั้น แต่พระองค์ได้ทรงตีสอนเรา เพื่อประโยชน์ของเรา เพื่อให้เราได้เข้าส่วนในวิสุทธิภาพของพระองค์
11 เมื่อมีการตีสอนนั้นดูไม่เป็นที่ชื่นใจเลย เป็นเรื่องเศร้าใจ แต่ต่อมาภายหลังก็จะก่อให้เกิดความสุขสำราญแก่บรรดาคนที่ต้อง ทนอยู่นั้น คือความชอบธรรมนั้นเอง
12 เพราะเหตุนั้นจงยกมือที่อ่อนแรงขึ้น และจงให้หัวเข่าที่อ่อนล้ามีกำลังขึ้น
13 และจงทำทางให้ตรงเพื่อให้เท้าของท่านเดินไป เพื่อว่าขาที่เขยกนั้นจะได้ไม่เคล็ด แต่จะหายเป็นปกติ (ฮีบรู 12:7-13)
ฟังดูขัดแย้งกันนะครับ พระเจ้าผู้บริสุทธิ์ยุติธรรม และทรงเป็นพระเจ้าที่เปี่ยมไปด้วยพระกรุณา และพระทัยดี :
6 พระเจ้าเสด็จผ่านไปข้างหน้าท่าน ตรัสว่า "พระเยโฮวาห์ พระเยโฮวาห์ พระเจ้าผู้ทรงพระกรุณา ทรงกอปรด้วยพระคุณ ทรงกริ้วช้า และบริบูรณ์ด้วยความรักมั่นคง และความสัตย์จริง
7 ผู้ทรงสำแดงความรักมั่นคงต่อมนุษย์กระทั่งพันชั่วอายุ ผู้ทรงโปรดยกโทษการล่วงละเมิด การทรยศ และบาปของเขาเสีย แต่จะทรงถือว่า ไม่มีโทษก็หามิได้ และให้โทษบิดาตกทอดไปถึงลูกหลานสามชั่ว สี่ชั่วอายุคน" (อพยพ 34:6-7)
โดยพระเมตตานี้เอง ดาวิดจึงเข้ามาพึ่งในพระคุณ ท่านรู้ดีว่าท่านทำผิดต่อพระองค์ และสมควรถูกพระองค์ลงโทษ และท่านก็รู้ ด้วยว่าพระหัตถ์ของพระเจ้านั้นมีเมตตากว่าเงื้อมมือมนุษย์ ลองมาหยุดคิดดู ดาวิดไม่เพียงวางใจในพระเจ้าเป็นพระผู้ช่วยให้รอด และช่วยกู้ท่านออกจากศัตรูเท่านั้น แต่รับการตีสอนของพระองค์ด้วย ไม่มีตรงไหนในชีวิตของเรา ที่เราควรจะวางใจในมนุษย์ มากไปกว่าในองค์พระผู้เป็นเจ้า
15 ดังนั้นพระเจ้าจึงทรงให้โรคระบาดเกิดขึ้นในอิสราเอล ตั้งแต่เวลาเช้าจนสิ้นเวลากำหนด และประชาชนที่ตาย ตั้งแต่เมืองดาน ถึงเบเออร์เชบา มีเจ็ดหมื่นคน
16 และเมื่อทูตสวรรค์ยื่นมือออกเหนือกรุงเยรูซาเล็ม จะทำลายเมืองนั้น พระเจ้าทรงกลับพระทัยในเหตุร้ายนั้น ตรัสสั่งทูตสวรรค์ ผู้กำลังทำลายประชาชนว่า "พอแล้ว ยับยั้งมือของเจ้าได้" ส่วนทูตของพระเจ้าก็อยู่ที่ลาน นวดข้าวของอาราวนาห์คนเยบุส
17 เมื่อดาวิดทอดพระเนตร ทูตสวรรค์ผู้กำลังสังหารประชาชนนั้น พระองค์กราบทูลพระเจ้าว่า "นี่แหละข้าพระองค์ได้ละเมิด กระทำบาปแล้ว แต่บรรดาแกะเหล่านี้ เขาได้กระทำอะไร ขอพระหัตถ์ของพระองค์อยู่เหนือข้าพระองค์ และพงศ์พันธุ์ของ ข้าพระองค์เถิด"
พระเจ้าทรงพิโรธต่ออิสราเอล และพวกเขาสมควรถูกการลงโทษด้วยโรคระบาด ไม่ใช่เป็นแค่ความบาปของดาวิดเท่านั้น แต่เป็นความบาปของอิสราเอลเองด้วย น่าขำนะครับ ทันทีที่ดาวิดรู้จำนวนตัวเลขนักรบในปกครอง ผลลัพท์ของมัน คือตัวเลข ลดลงไปทันที 70,000 คน ภัยพิบัติที่เกิดขึ้นนั้น กระจายไปทั่วทั้งแผ่นดินอิสราเอล และเมื่อทูตสวรรค์ของพระเจ้ากำลังจะ ลงดาบทำลายบรรดาผู้ที่มีส่วนในการนับกำลังพล กำลังอยู่ปากประตูเยรูซาเล็มพร้อมด้วยภัยพิบัติ ดาวิดเห็นทูตสวรรค์นั้นชูดาบขึ้น พร้อมที่จะทำลายเยรูซาเล็ม เรารู้ว่าในที่สุดแล้วพระเจ้าทรงยับยั้ง ความเชื่อที่ดาวิดมีเต็มเปี่ยมในพระเจ้า กำลังจะส่งผล เมื่อพระองค์เทพระพิโรธลงไปยังประชากรของพระองค์ แต่แล้ว ทรงมีพระทัยสงสาร ทูตสวรรค์ของพระองค์ยืนอยู่ที่ปากประตู ที่ลานนวดข้าวของอาราวนาห์คนเยบุส 140 ได้รับคำสั่งให้หยุดการลงพระอาชญาในทันที
ดาวิดคงไม่เข้าใจน้ำพระทัยนัก ทรงทูลขอให้พระองค์ยับยั้งภัยพิบัติต่อประชาชน แต่ให้นำมันเทลงมาที่ท่าน และพงศ์พันธ์ ของท่านแทน (ซึ่งต่างกับวงศ์วานของซาอูลในบทที่ 21) พระเจ้ามีแผนการที่ดีกว่านั้น พระองค์จะทรงสั่งดาวิดผ่านทาง ผู้เผยพระวจนะกาด ในตอนจบของพระธรรมเล่มยิ่งใหญ่นี้
18 ในวันนั้นกาดก็เข้ามาเฝ้าดาวิด กราบทูลพระองค์ว่า "ขอเสด็จขึ้นไปสร้างแท่นบูชา ถวายแด่พระเจ้าบนลานนวดข้าวของอาราวนาห์ คนเยบุส"
19 ดาวิดก็เสด็จขึ้นไปตาม คำของกาดตามที่พระเจ้าทรงบัญชา
20 เมื่ออาราวนาห์มองลงมา เห็นพระราชาและข้าราชการขึ้นมาหาตน อาราวนาห์ก็ออกไปถวายบังคมพระราชาซบหน้าลงถึงดิน
21 และอาราวนาห์กราบทูลว่า "ไฉนพระราชาเจ้านายของข้าพระบาท จึงเสด็จมาหาข้าพระบาท" ดาวิดตรัสว่า "มาซื้อลานนวดข้าวจาก ท่าน เพื่อจะสร้างแท่นบูชาถวายแด่พระเจ้า เพื่อโรคร้ายจะได้ระงับเสียจากประชาชน"
22 อาราวนาห์จึงกราบทูลดาวิดว่า "ขอพระราชาเจ้านายของข้าพระบาท จงรับสิ่งที่พระองค์ทรงเห็นชอบขึ้นถวาย ที่นี่มีวัวสำหรับ ทำเครื่องเผาบูชา และเลื่อนนวดข้าวกับแอกสำหรับวัวเป็นฟืน
23 ของทั้งสิ้นนี้อาราวนาห์ขอถวายแด่พระราชา" และอาราวนาห์กราบทูลพระราชาอีกว่า "ขอพระเยโฮวาห์พระเจ้าของฝ่าพระบาท จงโปรดปรานฝ่าพระบาท"
24 แต่พระราชาตรัสกับอาราวนาห์ว่า "หามิได้ แต่เราจะขอเสียเงินซื้อจากท่าน เราจะถวายเครื่องเผาบูชาแด่พระเยโฮวาห์พระเจ้าของ เราโดยที่เราไม่เสียค่าอะไรเลยนั้นไม่ได้" ดาวิดจึงทรงซื้อลานนวดข้าวกับวัวเป็นเงินห้าสิบเชเขล 25 ดาวิดก็ทรงสร้างแท่นบูชาถวายแด่พระเจ้าที่นั่น และถวายเครื่องเผาบูชากับเครื่องศานติบูชา พระเจ้าทรงสดับฟังคำอธิษฐานเพื่อแผ่นดินนั้น และโรคร้ายก็ระงับเสียจากอิสราเอล (2ซามูเอล 24:18-24)
ผู้เผยพระวจนะกาดมาพบดาวิดพร้อมเสนอทางแก้ใข – ถวายบูชา ดาวิดต้องตั้งแท่นถวายบูชาแด่พระเจ้า บนลานนวดข้าว ของอาราวนาห์ ในทันที ดาวิดมุ่งตรงไปยังสถานที่ ที่ท่านเห็นทูตสวรรค์ของพระเจ้ายับยั้งการลงอาญา อาราวนาห์และ บุตรชายทั้งสี่กำลังทำงานอยู่ที่ลานนวดข้าว เมื่อเขามองขึ้นมา เห็นทูตสวรรค์ของพระเจ้า และเห็นดาวิดกับเหล่ามหาดเล็ก กำลังมุ่งตรงมา (1 พศด. 21:20-21) คงอกสั่นขวัญแขวนด้วยความสะพรึงกลัว (ใน 1 พศด. ใช้ชื่อออร์นาน)
ในจินตนาการของผม ผมนึกไปถึงเพื่อนร่วมห้องคนหนึ่ง ที่อยู่หอพักมหาวิทยาลัยเดียวกัน เขาขับรถฟอร์ดปี 1953 ซึ่งใกล้จะ หมดสภาพอยู่รอมร่อ ตอนนั้นเผอิญมีเพื่อนอีกคนเป็นเซลล์ขายรถใหม่ และค้ารถเก่าไปด้วยพร้อมๆกัน เจอร์รี่เพื่อนผมขับฟอร์ด ปี 1953 นี้ ไปเมืองออร์เบินที่รัฐวอชิงตัน เพื่อไปดูสภาพรถอีกคัน เป็นเชฟโรเร็ตปี 1959 ซึ่งเขาพอใจแต่ไม่กล้าแย้มให้เซลล์ขาย รถรู้ ทันทีที่เซลล์เสนอราคา "ดีที่สุด" ให้ (พร้อมทั้งยอมรับซื้อรถฟอร์ดคันเก่าเอาไว้ด้วย) เจอร์รี่กลับบอกว่าขอกลับไปคิดดูก่อน แล้วขึ้นนั่งรถฟอร์ด ใขกุญแจสตาร์ท ; เงียบสนิทครับ เขาตัดสินใจค่อยๆลุกออกจากรถ เดินไปหาเซลล์ขายรถ พร้อมกับพูดว่า "ตกลงซื้อครับ" ตอนนี้คงไม่ใช่เวลามาเกี่ยงราคาแล้วครับ เพราะเจอร์รี่กำลังจนมุม
อาราวนาห์ตกอยู่ในสถานะเดียวกัน ทูตสวรรค์ของพระเจ้าอยู่ที่นั่น ดาวิดและมหาดเล็กของท่านกำลังมุ่งตรงมา อาราวนาห์ เป็นคนต่างชาติ ที่ยังโชคดีมีชีวิตอยู่ แถมยังมีที่ดินไกล้กับดาวิดในกรุงเยรูซาเล็ม เป็นที่ดินผืนงามที่ดาวิดแจ้งความประสงค์ ว่าอยากได้ ดาวิดต้องการทราบราคา อาราวนาห์คิดว่าน่าจะเป็นโอกาสดีที่ี่ควรเสนอบางอย่างให้กับดาวิด เขาเสนอไม่เพียง แต่มอบที่ดินให้ฟรีๆเท่านั้น แต่ให้วัวและเครื่องไม้เครื่องมือในการนวดข้าวด้วย เพื่อดาวิดจะสามารถนำไปใช้ในการถวายบูชาได้
ผมว่าเป็นข้อเสนอที่น่าสนใจนะครับ สามารถถวาย "ของหรู" ให้กับพระเจ้าได้ – ในราคาที่ไม่น่าเชื่อ (คือฟรีครับ) อาราวนาห์ คงตกใจกับคำตอบของดาวิด ท่านไม่ยอมรับข้อเสนอสำหรับที่ดินผืนงามนี้ เพราะถ้าดาวิดรับ เท่ากับท่านถวายบูชาโดยไม่ต้อง จ่ายอะไรเลย แล้วการ "ถวายบูชา" โดยไม่สละสิ่งใด "ถวาย"เลย จะไปมีความหมายได้อย่างไร? ดาวิดซื้อที่ดินผืนนั้น (ผมไม่ แน่ใจเรื่องวัว และเครื่องมือนวดข้าว) ในราคาเต็ม และทำพิธีถวายบูชา เมื่อเสร็จแล้ว พระเจ้าทรงรับฟังคำร้องทูลของดาวิด และประชาชน พระองค์จึงทรงยับยั้งภัยพิบัติเสีย 141
พระธรรมบทนี้เป็นการสรุป 1 และ 2 ซามูเอลของผู้เขียน เราอาจเรียกว่าเป็นการสรุปของบทสรุปก็ได้ อีกแง่หนึ่ง เรื่องราว จบลงตั้งแต่บทที่ 20 บทที่ 21-24 เป็นเหมือนบทส่งท้ายของพระธรรมทั้งเล่ม นำเราให้เข้าถึงประเด็นที่ผู้เขียนต้องการถ่ายทอด การจะเข้าใจบทส่งท้ายนี้ให้ดีที่สุด ต้องใช้ตารางหรือภาพประกอบเข้าช่วย ตามที่คุณเห็นด้านล่างนี้
แก่นของวาทะสุดท้ายคือบทเพลงทั้งสองของดาวิด เพลงแรกเป็นการย้อนกลับไปเมื่อท่านได้รับการช่วยกู้จากซาอูล และจากศัตรู ยาวไปจนถึงเมื่อท่านได้ขึ้นครองเป็นกษัตริย์ ส่วนเพลงหลังย้อนกลับไปในสมัยที่ท่านปกครอง และเมื่อวาระสุดท้ายไกล้เข้ามา (22:1-51; 23:1-7) หัวใจของทั้งสองบทเพลงคือ "พระเจ้าเป็นผู้ช่วยกู้" ถึงแม้ท่านหวุดหวิดตายหลายหน ต้องเผชิญกับเรื่อง ประหลาดมหัศจรรย์มากมาย พระเจ้ายังทรงช่วยท่านให้พ้นความตาย และทำตามพระสัญญาที่ให้ท่านขึ้นเป็นกษัตริย์อิสราเอล นอกจากนี้ ดาวิดยังมองพระองค์เป็นพระผู้ช่วยในอนาคต เมื่อพระองค์ส่งกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ของพระองค์ คือพระเมสซิยาห์ลงมา ทำให้น้ำพระทัย เรื่องแผนการความรอดสุดท้ายของพระองค์สำเร็จลง
ตอนที่สองและตอนที่ห้าของวาทะสุดท้ายนี้ เกี่ยวข้องกับทหารกล้า "วีรบุรุษ" ของดาวิด ใน 21:15-22 ดาวิดได้ผ่านจุดสูงสุด ของชีวิตมาแล้ว และพวกลูกหลานยักษ์ของโกลิอัทเกือบเอาชีวิตท่านไป ดีที่อาบีชัยมาช่วยไว้ทัน ฆ่ายักษ์อิชบีเบโนบเสีย พร้อม ทั้งยักษ์อื่นอีกสามตน ก็ถูกทหารกล้าของดาวิดฆ่าตาย (พวกนี้เป็นลูกหลานของโกลิอัท) ใน 23:8-39 มีการยกย่องกลุ่ม วีรบุรุษของดาวิดคือ "ทั้งสาม" และ "สามสิบ" คนเหล่านี้วางใจในพระเจ้า และเป็นเครื่องมือที่พระองค์ทรงใช้ ให้มีชัยชนะอย่าง อัศจรรย์ ต่อบรรดาศัตรูของอิสราเอล พระเจ้าทรงประทานชัยชนะให้แก่ดาวิดและอิสราเอลผ่านฝีืมือของทหารกล้าเหล่านี้
ตอนแรกและตอนท้ายของวาทะสุดท้ายนี้ เป็นเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับความบาปของกษัตริย์สององค์แรกของอิสราเอล ใน 21:1-14 มีการถวายบูชาไถ่ความผิดบาปของซาอูล ที่พยายามทำลายเผ่าพันธ์ของกิเบโอน ซึ่งชาวอิสราเอลในอดีตเคยทำสัญญาไว้ชีวิต บุตรชายจำนวน "เจ็ด" คนของซาอูล ถูกส่งไปให้คนกิเบโอนประหาร เพื่อเป็นการชดใช้บาป และการกันดารอาหารก็หมดไป เมื่อ พระเจ้าทรงกลับมาฟังคำทูลวิงวอนของชาวอิสราเอลอีกครั้ง ใน 24:1-25 (ของตอนนี้) เราเห็นความบาปของดาวิด ซึ่งทำให้ทั้ง ชาติต้องโทษ จนเมื่อมีการซื้อขายที่ดินบนลาดนวดข้าวของอาราวนาห์ จัดตั้งแท่นบูชา และการถวายบูชาแด่พระเจ้าเสร็จสิ้นลง พระองค์ทรงระงับภัยพิบัติเสีย จากประชาชนและแผ่นดินอิสราเอล
ทั้งสามย่อหน้านี้เป็นบทสรุปของพระธรรมทั้งเล่ม มีบทเรียนสำคัญบางเรื่องที่ผู้เขียนต้องการทิ้งท้ายให้เรา ผมขออนุญาตสรุป ดังนี้ครับ
ประการแรก เตือนเราอีกครั้ง ถึงความสัตย์ซื่อของพระเจ้าในการช่วยกู้ประชากรของพระองค์ พระธรรมซามูเอลฉบับ แรกเริ่มด้วยความทุกข์ของนางฮันนาห์ที่ไม่สามารถมีบุตร พระเจ้า "ทรงช่วย" นางจากการเป็นหมัน และไม่ได้มีบุตรชายเพียง ซามูเอลเท่านั้น แต่มีบุตรชายหญิงอีกหลายคน บทเพลงของนางจึงเป็น "บทเพลงการช่วยกู้" (1 ซามูเอล 2) ตั้งแต่โมเสส และอาโรน ตลอดจนยุคผู้วินิจฉัย พระเจ้าทรงช่วยประชากรของพระองค์เสมอเมื่อเขาร้องทูลขอ (1 ซามูเอล 12:6-11) และ พระเจ้าทรงช่วยอิสราเอลโดยทางซาอูลและดาวิด เมื่อทั้งสองออกสู้ศึก โดยเฉพาะสงครามกับพวกฟิลิสเตีย พระเจ้าทรงเป็น พระผู้ช่วยของดาวิด ครั้งแล้วครั้งเล่า ตลอดอายุใขของท่าน ดาวิดยังมองไปไกลถึง "บุตรดาวิด" ที่ี่จะมาเป็นผู้ช่วยในเบื้องปลาย ซามูเอลมีเรื่องมากมายที่ถ่ายทอดให้เรารู้ ถึงความสัตย์ซื่อของพระเจ้า ในฐานะผู้ช่วยกู้คนของพระองค์ ถึงแม้พวกเขาจะล้มเหลว จึงไม่น่าประหลาดใจ ที่ดาวิดกล่าวถึงชีวิตของท่าน ด้วยการสรรเสริญว่า พระองค์ทรงเป็นป้อมปราการ ที่ช่วยกอบกู้ท่าน
ประการที่สอง เมื่อเราเห็นว่า พระเจ้าทรงเป็นพระผู้ช่วยที่สัตย์ซื่อ บ่อยครั้งเราเห็นว่าพระองค์ทรงใช้คนที่มีใจกล้า และมีความเชื่อ ดาวิดถูกเตรียมให้ขึ้นเป็นกษัตริย์ปกครองอิสราเอล จากการเป็นเพียงเด็กดูแลฝูงแกะฝูงเล็กๆของบิดา ในช่วง เวลาเหล่านั้น ท่านเรียนรู้ที่จะวางใจพระเจ้า ทำสิ่งกล้าหาญ ช่วยลูกแกะออกจากปากหมีและปากสิงห์ ท่านเริ่มอาชีพทหารของ ท่านอย่างอัศจรรย์ ด้วยการไปเผชิญหน้ากับโกลิอัทที่แนวหน้าในสนามรบ ขณะที่ซาอูลเอง ไม่เคยหนุนคนของท่านให้มีใจกล้า ความกล้าของดาวิด ทำให้้คนอื่นเห็นเป็นแบบอย่าง และปรารถนาจะทำตามด้วยใจกล้าหาญ คนของท่านสามารถทำให้ดาวิดรา มือจากการสู้รบได้เมื่อท่านเริ่มชราลง ขณะที่พระเจ้าทรงเป็นพระผู้ช่วยที่สัตย์ซื่อ บ่อยครั้งที่พระองค์ช่วยกู้อิสราเอลผ่านทาง ความเชื่อและความกล้าของวีรบุรุษเหล่านี้ เพราะคนเหล่านี้ต่อสู้กับศัตรูของพระเจ้าด้วยความวางใจ การครอบครองอยู่ของพระ เจ้าในแผนการความรอด ไม่ได้เป็นอุปสรรคขัดขวางความเชื่อและความตั้งใจของมนุษย์ ; แต่กลับเป็นแรงบันดาลใจ
ประการที่สาม เราเห็นได้ว่า ถึงแม้มนุษย์เป็นคนบาป แต่ความบาปของเราไม่ได้เป็นอุปสรรคขัดขวาง พระราชกิจ เรื่องความรอดของพระเจ้า ถ้าดาวิดเป็นบุคคลยิ่งใหญ่ที่สุด ที่ประวัติศาสตร์เคยมีมา เราก็ยังมองออกว่าท่านไม่ใช่ผู้ช่วย มนุษยชาติให้รอด ความรอดที่พระเจ้าสัญญาจะประทานผ่านวงศ์วานดาวิด ต้องมาจากบุคคลที่ยิ่งใหญ่กว่านั้น อย่างที่เรารู้ๆกัน ดาวิดเองยังทำบาป ถึงแม้จะเป็นกรณียกเว้น แต่ที่แน่ๆ มันทำให้ท่านไม่เหมาะจะเป็นพระิเมสซิยาห์ของอิสราเอล เรื่องน่าทึ่งใน พระธรรม 1 และ 2 ซามูเอลคือ ขณะที่ดาวิดทำบาป และสร้างผลกระทบต่อคนมากมาย พระเจ้าผู้ทรงครอบครอง ยังคงเลือกที่จะ มอบพระพรอันยิ่งใหญ่ให้บังเกิดขึ้นผ่านความล้มเหลวของท่าน ผลของบาปหนักสองประการที่ดาวิดทำ นำมาซึ่งพระพรอัน ยิ่งใหญ่ถึงสองประการ บาปที่ท่านกับนางบัทเชบา ทำให้เกิดพงศ์พันธ์ของพระเมสซิยาห์ผ่านมาทางนางบัทเชบา และในที่สุด เมื่อท่านแต่งงานกับนาง บุตรที่เกิดขึ้นคือกษัตริย์องค์ต่อมาของอิสราเอล - กษัตริย์ซาโลมอน บาปที่ท่านนับกำลังพลของอิสราเอล ทำให้ท่านต้องไปขอซื้อที่ดินบนลานนวดข้าวของอาราวนาห์ ซึ่งต่อมากลายเป็นที่ตั้งของพระวิหารที่กษัตริย์ซาโลมอนเป็นผู้สร้าง การที่คนต่างชาติได้มามีส่วนในความรอด เป็นเพราะคนยิวเองปฏิเสธองค์พระเยซูคริสต์เป็นพระเมสซิยาห์ (ดูโรม 11) บาปของ เราทำให้พระเจ้าผู้ทรงธรรมเสียพระทัย แต่ไม่สามารถปิดกั้นพระราชกิจของพระองค์ได้ พระองค์ทรงใช้ความบาปนี้ ทำให้พระ ประสงค์และพระสัญญาสำเร็จลงได้ นอกจากนี้ พระองค์ยังสามารถใช้ประโยชน์จากมารซาตาน เพื่อให้พระประสงค์ของพระองค์ สำเร็จลงได้เช่นกัน (1 พศด. 21:1)
ประการที่สี่ จากบทส่งท้ายนี้ ทำให้เราเห็นว่ากษัตริย์ที่เป็นมนุษย์ ไม่สามารถทำพระสัญญาเรื่องความรอดขององค์พระ ผู้เป็นเจ้าให้สำเร็จได้ ต้องเป็นบุคคลที่ยิ่งใหญ่กว่าดาวิด อิสราเอลปฏิเสธไม่ยอมให้พระเจ้าเป็นกษัตริย์ของพวกเขาใน 1 ซามูเอลบทที่ 18 พวกเขาเรียกร้องอยากมีกษัตริย์ที่สามารถ "ช่วย" ให้พ้นจากเงื้อมมือของศัตรูได้ ถึงแม้พระเจ้าไม่เคยสละ ตำแหน่งของพระองค์ในฐานะกษัตริย์อิสราเอล พระผู้ช่วย โดยทางเชื้อสายของดาวิด พระองค์จะทรงประทานกษัตริย์ให้กับ ประชากรของพระองค์ เป็นผู้ช่วยพวกเขาให้รอดพ้นจากความผิดบาป พระองค์นั้น จะเป็นมากกว่าดาวิด เป็นยิ่งกว่ามนุษย์ และ ปราศจากบาป คือองค์พระเยซูคริสต์ ผู้จะเสด็จมาเป็น "พระเมษโปดกของพระเจ้า ผู้ทรงรับความผิดบาปของโลกไปเสีย"
(ยอห์น 1:29) พระองค์จะเสด็จมาดำเนินชีวิตโดยปราศจากบาป สละพระชนม์เป็นค่าไถ่แทนความบาปของมนุษย์ จะทรงถูกชุบ "ให้เป็นขึ้นมาจากความตาย" โดยพระบิดา และจะเสด็จกลับมาในฐานะกษัตริย์ของอิสราเอล มีชัยต่อบรรดาศัตรู ซามูเอลเพียงแต่ แง้มให้เราห็น "กษัตริย์" ที่จะเสด็จมานี้ มาเพื่อช่วยประชากรของพระองค์ให้พ้นจากความผิดบาป
ก่อนที่จะจบพระธรรมเล่มนี้ สายตาของเราจับจ้องอยู่ที่องค์พระเยซูคริสต์ ผู้จะเสด็จมาช่วยประชากรของพระองค์ เป็น "บุตรดาวิด" ที่จะนั่งบนบัลลังก์ของบรรพบุรุษ "ดาวิด" และเช่นกัน สายตาของเราจะมุ่งไปยังจุดที่อยู่บนยอดเขาไกล้เยรูซาเล็ม ที่ผมจินตนาเห็น ทูตสวรรค์ของพระเจ้า ยกมือขึ้นสูง พร้อมจะฟาดดาบลงมาทำลายเยรูซาเล็ม ทำให้ผมนึกย้อนไปไกลถึงอับราฮัม ที่ชูมือขึ้น พร้อม มีดในมือ เพื่อฆ่าบุตรสุดรักอิสอัค เหตุการณ์ทั้งสองเกิดในสถานที่เดียวกัน บนภูเขาโมรียาห์ ทั้งสองครั้งพระเจ้าทรงยั้งมือนั้น เพราะพระองค์มีเครื่องถวายบูชาที่ประเสริฐกว่า เป็นเครื่องบูชาไถ่บาปของโลกนี้
แล้วพระวิหารก็ถูกสร้างขึ้นตรงจุดนี้ บนภูเขาโมรียาห์ เป็นสถานที่เดียวกับที่มีการถวายบูชา และพระเจ้าทรงยั้งพระหัตถ์ แห่งการพิพากษาของพระองค์เสีย เหนือกว่าอื่นใด สถานที่นี้อยู่บนเขาที่ไม่ไกลไปจากเนินหัวกระโหลก ที่พระอาชญา ของพระเจ้าลงมาเหนือพระบุตรสุดที่รักของพระองค์ และด้วยการพลีพระชนม์เป็นเครื่องบูชานี้ มนุษย์จึงรอดพ้น จากพระอาชญานิรันดร์ของพระเจ้า ที่ลงโทษความบาปของมนุษย์ เพราะการพลีพระชนม์บนไม้กางเขน และกลับ คืนพระชนม์ – โดยพระบิดา – ความรอดนิรันดร์จึงมีมาถึงพวกเรา คุณเคยรับเอาของขวัญนี้หรือยัง? คุณได้มอบให้พระเจ้า เป็นพระผู้ช่วยให้รอด เป็นโล่ห์ เป็นที่กำบังเข้มแข็งของคุณแล้วยัง? ถ้ายัง ผมอยากให้คุณตัดสินใจรับในทันที
บทเรียนตอนนี้มีเรื่องราวสอนเรามากมาย ผมขอนำบางเรื่องมาให้ลองพิจารณาดู ขอให้เราระวังระไว ในสิ่งที่พระเจ้าทรงกระทำให้ สำเร็จ โดยผ่านเราและภายในเรา เราจะเห็นว่าปัญหาของดาวิดส่วนใหญ่มาจากความผยอง คิดว่าตัวเองทำสำเร็จ โดยลืมไปว่า พระเจ้าต่างหากที่เป็นผู้กระทำ อย่าวัดความสำเร็จออกมาเป็นตัวเลข ในสายพระเนตรพระเจ้า พระเจ้าไม่เคยวัดความสำเร็จจาก ปริมาณ ขอให้สิ่งนี้เตือนใจเรา ระวังจะถูกทดลองให้ติดกับ (เรื่องความผยอง) โดยคิดเอาเองว่า "ตัวข้านี้แน่"
อย่ายึดติดกับเกียรติยศ หลงวนเวียนอยู่กับความสำเร็จในอดีต ขอให้มุ่งอยู่ในสิ่งที่พระเจ้าปรารถนาจะทำผ่านเรา เพื่อพระเกียรติ พระสิริทั้งสิ้นจะมีแด่พระองค์ (ดูฟิลิปปี 3)
สุดท้ายนี้ ขอให้เรียนจากเรื่องราวของดาวิด ไม่มีการถวายบูชาที่ไหน ที่ปราศจากการเสียสละ และการถวายบูชาที่ยิ่งใหญ่ที่สุด คือพระชนม์ขององค์พระเยซูคริสต์ ดังนั้นขอให้การถวายบูชาของเราทั้งหลาย มาจากการเสียสละตัวตนของเราด้วย
1 พี่น้องทั้งหลาย ด้วยเหตุนี้โดยเห็นแก่ความเมตตากรุณาของพระเจ้า ข้าพเจ้าจึงวิงวอนท่านทั้งหลาย ให้ถวายตัวของท่าน แด่พระองค์ เพื่อเป็นเครื่องบูชาที่มีชีวิตอันบริสุทธิ์และเป็นที่พอพระทัยพระเจ้า ซึ่งเป็นการนมัสการ โดยวิญญาณจิตของ ท่านทั้งหลาย
2 อย่าประพฤติตามอย่างคนในยุคนี้ แต่จงรับการเปลี่ยนแปลงจิตใจ แล้วอุปนิสัยของท่านจึงจะเปลี่ยนใหม่ เพื่อท่านจะได้ ทราบน้ำพระทัยของพระเจ้า จะได้รู้ว่าอะไรดี อะไรเป็นที่ชอบพระทัยและอะไรดียอดเยี่ยม
3 ข้าพเจ้าขอกล่าวแก่ท่านทั้งหลายทุกคนโดยพระคุณ ซึ่งทรงประทานแก่ข้าพเจ้าแล้วว่า อย่าคิดถือตัวเกินที่ตนควรจะคิดนั้น แต่จงคิดให้ถ่อมสุขุมสมกับขนาดความเชื่อ ที่พระเจ้าได้ทรงโปรดประทานแก่ท่าน
4 เพราะว่า ในร่างกายอันเดียวนั้น เรามีอวัยวะหลายอย่าง และอวัยวะนั้นๆมิได้มีหน้าที่เหมือนกันฉันใด
5 พวกเราผู้เป็นหลายคนยังเป็นกายอันเดียวในพระคริสต์ และเป็นอวัยวะแก่กันและกันฉันนั้น
6 และเราทุกคนมีของประทานที่ต่างกัน ตามพระคุณที่ได้ประทานให้แก่เรา คือถ้าเป็นการเผยพระวจนะ ก็จงเผยตาม กำลังของความเชื่อ
7 ถ้าเป็นการปรนนิบัติก็จงปรนนิบัติ ถ้าเป็นการสั่งสอนก็จงสั่งสอน
8 ถ้าเป็นการเตือนสติก็จงเตือนสติ ถ้าเป็นการบริจาค ก็จงให้ด้วยใจกว้างขวาง ผู้ที่ครอบครอง ก็จงครอบครองด้วยเอาใจใส่ ผู้ที่แสดงความเมตตา ก็จงแสดงด้วยใจยินดี (โรม 12:1-8)
9 อย่าหลงไปตามคำสอนต่างๆที่แปลกๆ เพราะว่าเป็นการดีอยู่แล้วที่จะให้กำลังใจเข้มแข็งขึ้นด้วยพระคุณ ไม่ใช่ด้วยอาหาร การกิน ซึ่งไม่เคยเป็นประโยชน์แก่คนที่หลงติดอยู่เลย
10 เรามีแท่นบูชาแท่นหนึ่ง และคนที่ปรนนิบัติในเต็นท์นั้น ไม่มีสิทธิ์ที่จะรับประทานของจากแท่นนั้นได้
11 เพราะร่างของสัตว์เหล่านั้น ที่มหาปุโรหิตได้เอาเลือดเข้าไปในสถานศักดิ์สิทธิ์ เพื่อเป็นเครื่องบูชาลบบาปนั้น เขาเคยเอา ไปเผาเสียนอกค่าย
12 เหตุฉะนั้นพระเยซูก็ได้ทรงทนทุกข์ทรมานภายนอกประตูนครเช่นเดียวกัน เพื่อทรงชำระประชาชนให้บริสุทธิ์ ด้วยพระโลหิตของพระองค์เอง
13 เพราะฉะนั้นให้เราทั้งหลายออกไปหาพระองค์ภายนอกค่ายนั้น และยอมรับคำดูหมิ่นเหยียดหยามเพื่อพระองค์
14 เพราะว่าที่นี่เราไม่มีนครที่ถาวร แต่ว่าเราแสวงหานครที่จะมีในภายหน้า
15 เหตุฉะนั้น ให้เราถวายคำสรรเสริญเป็นเครื่องบูชาแด่พระเจ้าตลอดไป โดยทางพระองค์นั้น คือคำกล่าวยอม รับเชื่อพระนามของพระองค์
16 จงอย่าละเลยที่จะกระทำการดี และจงแบ่งปันข้าวของซึ่งกันและกัน เพราะเครื่องบูชาอย่างนั้นเป็นที่พอพระทัยพระเจ้า
17 ท่านทั้งหลายจงเชื่อฟังและยอมอยู่ในโอวาทของหัวหน้าของท่าน จงให้เขาทำงานนี้ด้วยความชื่นใจ ไม่ใช่ด้วยความ เศร้าใจ ซึ่งจะไม่เป็นประโยชน์อะไรแก่ท่านทั้งหลายเลย เพราะว่าท่านเหล่านั้นดูแลรักษาจิตวิญญาณของท่านอยู่ เสมือนหนึ่งผู้ที่จะต้องเสนอรายงาน (ฮีบรู 13:9-17)
ในทุกคริสตจักรแห่งการประกาศ (ยังไม่นับค.จ.ทั่วๆไป) ที่ผมรู้จัก มีน้อยคนเป็นผู้ให้อย่างสัตย์ซื่อ เสียสละและทุ่มเทรับใช้คน ส่วนใหญ่ของคริสตจักร ที่ไม่ค่อยอยากรับใช้หรือไม่เคยรับใช้เลย บางคนไม่เคยสอน ไม่เคยปรนนิบัติผู้อื่น ไม่เคยเป็นผู้ให้ คนเหล่านี้เปรียบเหมือนนักช็อปปิ้งตัวยง ที่สรรหาแต่ของดีราคาถูก ดังนั้นเครื่องถวายบูชาของพวกเขาจึงด้อยค่า เพราะการถวาย นั้นกระเหม็ดกระแหม่ไปด้วยเรื่องเวลา ภาระใจ และเงินถวาย
ผมไม่ได้พูดให้ใครๆรู้สึกผิดนะครับ ถึงแม้คุณควรรู้สึกผิดและกลับใจจากบาปแห่งการละเลย ละเลยเรื่องของประทาน และ งานรับใช้ ผมพูดเพื่อประโยชน์ของคุณเอง ถ้าคุณไม่เคยคิดจะสละเพื่อการถวาย เครื่องบูชาของคุณก็ดูด้อยค่า และไม่เหมาะสม ถ้าคุณต้องการการถวายบูชาที่สมกับถวายแด่องค์พระผู้เป็นเจ้า ไม่จำเป็นต้องมาโบสถ์พร้อมทีมนมัสการ ที่มีนักร้อง นักดนตรี ระดับมืออาชีพ แต่ด้วยการรับเอากางเขนที่พระเจ้ามอบให้ ถวายตัวของเราเอง เพื่อเป็นเครื่องถวายบูชา ผมไม่ได้โกรธอะไร นะครับที่พูดเช่นนี้ แต่ผมสมเพชคนที่เอาเครื่องบูชาถูกๆมาถวายพระเจ้า ดังนั้นขอปิดท้ายบทเรียนนี้ ด้วยพระคำที่พูดถึง มาตรฐานของการถวายบูชา :
"เพราะว่าบุตรมนุษย์มิได้มาเพื่อรับการปรนนิบัติ แต่ท่านมาเพื่อจะปรนนิบัติเขา และประทานชีวิตของท่าน ให้เป็นค่าไถ่ คนเป็นอันมาก" (มาระโก 10:45)
35 "ท่านทั้งหลายจงคาดเอวของท่านไว้ และให้ตะเกียงของท่านจุดอยู่
36 พวกท่านเองจงเหมือนคนที่คอยรับนายของตน เมื่อนายจะกลับมาจากงานสมรส เพื่อเมื่อนายมาเคาะประตู แล้วเขาจะเปิดให้นายทันทีได้
37 บ่าวซึ่งนายมาพบกำลังคอยเฝ้าอยู่ก็เป็นสุข เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า นายนั้นจะคาดเอวไว้ และให้บ่าวเหล่านั้นเอนกายลง และท่านจะมาเดินโต๊ะ
38 ถ้านายมาเวลาสองยามหรือสามยามและพบบ่าวอยู่อย่างนั้น บ่าวเหล่านั้นก็จะเป็นสุข
39 ให้ท่านทั้งหลายเข้าใจอย่างนี้เถอะว่า ถ้าเจ้าของบ้านล่วงรู้ได้ว่า ขโมยจะมาเวลาไหน เขาจะตื่นอยู่และระวัง ไม่ให้ทะลวงเรือนของเขาได้
40 ท่านทั้งหลายจงเตรียมตัวไว้ให้พร้อมด้วย เพราะในโมงที่ท่านไม่คิดไม่ฝันนั้น บุตรมนุษย์จะเสด็จมา"
41 ฝ่ายเปโตรทูลพระองค์ว่า "พระองค์เจ้าข้า พระองค์ได้ตรัสคำเปรียบนั้นแก่พวกข้าพเจ้าหรือ หรือตรัสแก่คนทั้งปวง"
42 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า "ใครเป็นคนต้นเรือนสัตย์ซื่อและฉลาด ที่นายได้ตั้งไว้เหนือพวกคนใช้สำหรับแจกอาหารตามเวลา
43 เมื่อนายมาพบเขากระทำอยู่อย่างนั้น บ่าวผู้นั้นก็จะเป็นสุข
44 เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า นายจะตั้งเขาไว้ให้ดูแลบรรดาข้าวของของท่าน
(ลูกา 12:35-44).
131 เราทั้งหลายคงรู้จัก "ตลาดนัด" กันดี เป็นแหล่งหาซื้อของราคาถูก ซึ่งอยู่คนละขั้วกับห้างหรูๆอย่างเอมโพเรี่ยม ฯลฯ ที่ขายแต่ของแบรนด์เนมยี่ห้อดังๆ สำหรับคนที่ต้องการใช้ของดีที่สุดโดยไม่เกี่ยงราคา
132 เราจะสังเกตุเห็นว่า เหตุการณ์ตอนเดียวกันนี้ที่บันทึกอยู่ใน 1 พงศาวดาร 21 มีข้อแตกต่างค่อนข้างเยอะ จนดูเหมือน ค้านกันด้วยซ้ำไป มีคำอธิบายในทั้งสองกรณีครับ แต่ผมจะไม่นำมาพูดถึงในบทเรียนนี้
133 มีการใช้คำเดียวกันนี้บ่อยครั้งในพระคัมภีร์ และทุกครั้งจะเป็นเรื่องราวความบาปที่ร้ายแรง ตัวอย่างเช่น อพยพ 4:14; กันดารวิถี 12:9; เฉลยธรรมบัญญัติ 29:27; โยชูวา 7:1; ผู้วินิจฉัย 2:14, 20; 10:7; 2 ซามูเอล 6:7; 2 พงศาวดาร 25:15
134 เราคงต้องคุยกันยาวในเรื่องนี้ ซึ่งไม่น่าเป็นเวลาเหมาะ ถ้าอ่านผ่านๆ เราคงสรุปว่า พระเจ้า เป็นผู้กระทำ ให้ดาวิดทำบาป โดยการนับกำลังพลอิสราเอล เรารู้ว่าพระเจ้าไม่มีทางล่อลวงให้มนุษย์ทำบาป (ยากอบ 1:13-17) แน่นอนพระองค์ทรงทดสอบเรา (ฉธบ. 8:2) จะอย่างไรก็ตาม ผู้เขียนต้องการให้เรารู้ว่า พระเจ้าทรงอยู่เบื้องหลังความบาปของดาวิดในครั้งนี้ เพราะพระองค์ ทรงรู้ว่ามันจะต้องเกิดขึ้น (เช่นเดียวกับที่ยูดาสทรยศพระเยซู) เช่นเดียวกับที่พระเจ้าแจ้งแก่โมเสส ว่าพระองค์จะทำให้ใจของ ฟาโรห์นั้นแข็งกระด้าง (ปฐก. 4:21) เพื่อพระเกียรติทั้งสิ้นจะเป็นของพระองค์ (ดูโรม 9:14-18) โมเสสเองก็บอกกับเราว่า ฟาโรห์นั้นมีใจแข็งกระด้าง (ปฐก. 8:32) พระเจ้ามีพระประสงค์ ให้ดาวิดทำการนับกำลังพลอิสราเอล พระองค์ทราบว่ายังไง มันต้องเกิดอยู่ดี พระองค์ไม่ได้บังคับให้ดาวิดทำบาป พระองค์ให้โอกาสดาวิดที่จะเลือก และเมื่อดาวิดเลือกที่จะทำบาป พระองค์จึงนำความบาปนี้ มาทำให้พระประสงค์ของพระองค์สำเร็จลง (เทียบกับปฐก. 50:20 )
135 ดู 1 พกษ. 20:15, 26-27; 2 พกษ. 3:6; 2 พงศาวดาร 25:5 ด้วย
136 ตามที่นักวิชาการกล่าว จำนวนเหล่านี้ไม่สอดคล้องกับที่บันทึกอยู่ใน 1 พกษ. 21 มีคำอธิบายหลายหลาก แต่ที่สุดแล้ว เราคงต้องวางไว้้ที่องค์พระผู้เป็นเจ้า และรอวันที่ทุกอย่างจะกระจ่างจนเราพอใจ สิ่งหนึ่งที่พระธรรมทั้งสองเล่มมีเหมือนกันคือ เมื่อการนับกำลังพลเสร็จสิ้นลง จำนวนนักรบกลับลดลง น่าจะเป็นการพิพากษาที่มาจากพระเจ้า
137 ผู้เผยพระวจนะกาด เป็นตำแหน่งเดียวกับ "ผู้พยากรณ์" ในยุคก่อนๆ (ดู 1 ซามูเอล 9:9).
138 การกันดารอาหารอยู่ใน ฉธบ. 28:48; 32:24; เรื่องถูกศัตรูไล่ล่าอยู่ในเลวีนิติ 26:17, 36. เรื่องภัยพิบัติอันเกิดจากทำผิด สัญญาที่ให้ไว้กับพระเจ้า (ฉธบ. 28:21; 1 พกษ. 8:31) เกี่ยวเนื่องกับการนับกำลังพล (อพยพ 30:12-16).
139 ต้นฉบับภาษาฮีบรู 2 ซามูเอล 24:13 เขียนไว้ว่า "เจ็ดปีกันดารอาหาร" แต่ฉบับแปลภาษากรีกตอนนี้ (ฉบับเซปทัวจิ้นท์) และตามที่ บันทึกอยู่ใน 1 พศด. 21:12 เขียนว่า "สามปีกันดารอาหาร" ใจผมเอนเอียงไปทาง "สามปี" มากกว่า โดยเฉพาะ ทางเลือกตัวอื่น ก็ย้ำเลขสามด้วย : สามปีกันดารอาหาร ; สามเดือน ถูกศัตรูไล่ล่า ; สามวัน โรคระบาด
140 เราคงบอกได้ว่าอาราวนาห์ไม่ได้เป็นยิว เป็นคนต่างชาติ มีบางคนคิดเลยไปด้วยว่าเขาเป็นอดีตกษัตริย์ของคนเยบุส ที่อิสราเอลใจดี ยอมไว้ชีวิต อาจเป็นด้วยเหตุผลว่าเขากลับใจ มามีความเชื่อในพระเจ้าของอิสราเอล และเนื่องจากเป็น คนต่างชาติจึงมีสิทธิขายที่ดิน เพราะไม่ใช่เป็นที่มรดกของเผ่า
141 คงยากที่จะประเมิณราคาที่ดินผืนนี้ เป็นที่ดินผืนงาม มองไปแลเห็นกรุงเยรูซาเล็ม เหมาะจะใช้เป็นที่สร้างแท่นถวายบูชา หรือแม้กระทั่ง พระวิหาร !