MENU

Where the world comes to study the Bible

บทที่ 17: พระเจ้าทรงช่วยกู้ดาวิด (1 ซามูเอล 18:30 -- 19:24)

คำนำ

ผมอยากเริ่มต้นบทเรียนนี้ด้วยการเปรียบเทียบดาวิดกับแมวที่คนสมัยก่อนชอบพูดว่ามี "เก้าชีวิต" แต่นั่นก็ยังไม่เหมาะสมเท่าไร เพราะดูเหมือนท่านมี "ชีวิต" มากกว่านั้น เพียงแค่สองบท (1 ซามูเอล 18 และ 19) ซาอูลพยายามฆ่าดาวิดอย่างน้อยถึงสิบสอง ครั้งด้วยกัน :

18:11

ซาอูลพุ่งหอกใส่ดาวิดถึงสองครั้ง

18:13

ซาอูลตั้งดาวิดเป็นผู้บังคับการกองพัน โดยหวังว่าจะถูกฆ่าตายในสนามรบ

18:17

มีการเสนอยกเมราบให้กับดาวิดโดย "ขอแต่เธอจงเป็นคนกล้าหาญและ สู้ศึกของพระเจ้าเท่านั้น"

18:20f.

มีการเสนอมีคาลให้กับดาวิดแลกกับปลายหนังองคชาตของฟิลิสเตีย 100 คน แต่ดาวิดมอบให้ถึง 200

19:1

ซาอูลสั่งให้โยนาธานและผู้รับใช้ของท่านฆ่าดาวิดเสีย

19:10

ซาอูลพุ่งหอกใส่ดาวิดอีก

19:11f

ซาอูลส่งผู้สื่อสารไปฆ่าดาวิดที่บ้าน

19:18f

ซาอูลส่งคนไปที่นาโยทสามกลุ่มเพื่อจับดาวิด และท่านตามไปเองด้วย

ในบทที่ 20 ซาอูลไม่เพียงแต่ดำเนินการฆ่าดาวิดต่อ ท่านยังพุ่งหอกใส่โยนาธานด้วยที่ ออกมาปกป้องดาวิด (20:33) ในบทที่ 22 ซาอูลฆ่าอาหิเมเลขและทั้งพงศ์พันธ์ของบิ ดาท่าน (เว้นแต่คนเดียว) และกำจัดทุกคนที่เมืองโนบ เมืองปุโรหิต

ผมอดคิดไม่ได้ว่าถ้าซาอูลทำงานหนักขนาดนี้เพื่อฆ่าศัตรูของอิสราเอล (เช่นฟิลิสเตีย) เหมือนกับที่ฆ่าคนรับใช้ผู้ซื่อสัตย์ (เช่นดาวิด โยนาธานและอาหิเมเลข) ท่านคงจะเป็น ทั้งแม่ทัพผู้กล้าหาญและกษัตริย์ที่ยิ่งใหญ่ของอิสราเอล ในขณะที่ท่านอยู่ในอาการ เพี้ยน มิตรที่ดีที่สุดของท่านกลับกลายเป็นศัตรู และศัตรูกลับกลายเป็นมิตรไปแทน (ในการตามไล่ล่าดาวิด) ซาอูลกลายเป็นคนโรคประสาท ท่านกลัวผู้รับใช้ที่สัตย์ซื่อ ที่สุดของท่าน ดาวิด ผู้ไม่เคยคิดจะฆ่าท่านถึงแม้โอกาสอำนวยให้หลายครั้งก็ตาม ซาอูลพยายามปกปิดความเกลียดชัง ความริษยา และการเป็นปฏิปักษ์ต่อดาวิด แต่ไม่ สามารถปิดต่อไปได้เมื่อมาถึงข้อแรกของบทที่ 19 หลังจากนั้นความตั้งใจจริงที่อยาก ฆ่าดาวิดและทุกคนที่ให้ความร่วมมือปกป้องดาวิดได้ถูกเปิดเผย

พระคำตอนนี้พูดถึง การช่วยกู้ของพระเจ้าสี่ครั้ง ที่ช่วยดาวิดจากเงื้อมมือของกษัตริย์ ซาอูล ครั้งแรก อยู่ในข้อ 1-7 เมื่อโยนาธานตำหนิและให้เหตุผลกับบิดาในสิ่งที่ท่าน ทำต่อดาวิด ครั้งที่สอง อยู่ในข้อ 8-10 เมื่อหอกที่ท่านพุ่งใส่ดาวิดพลาดเป้า ครั้งที่สาม โดยทางมีคาล ภรรยาของดาวิดผู้เป็นธิดาของซาอูล เธอช่วยหย่อนดาวิด ลงทางหน้า ต่าง หลอกบิดาและคนรับใช้ของท่าน ถ่วงเวลาจนดาวิดหนีไปได้ ท้ายสุด ได้รับการ ช่วยกู้จากซามูเอล และผู้สื่อสารที่ซาอูลส่งไปจับดาวิดก็เปลี่ยนไปเผยพระวจนะแทน ในข้อ 18-24

ผมเคยนำพระคำตอนนี้ไปเทศนาวันอาทิตย์ก่อนหน้าคริสตมาส คนคงสงสัยว่าเกี่ยวอะ ไรกับบรรยากาศเทศกาลที่กำลังจะเฉลิมฉลองด้วย ผมขอบอกว่าพระคำตอนนี้กับการ เกี่ยวข้องในเรื่องราววันคริสตมาสนั้นไม่ใช่เรื่องแต่งขึ้นมาเอง เมื่อเราเรียนพระคำตอน นี้อย่างทะลุปรุโปร่ง เราจะเห็นว่าอะไรในซาอูลที่ขัดแย้งกับวิญญาณของคริสตมาส หรือ จิตวิญญาณของคริสเตียน บทเรียนนี้สำคัญสำหรับพวกเราที่รู้ว่าพระคริสต์เป็นพระผู้ช่วย ให้รอด และสำหรับคนอื่นๆที่ควรรู้จักพระองค์ในแบบเดียวกันด้วย

ช่วยด้วยเหตุผล
(18:30—19:7)

30บรรดาเจ้านายแห่งคนฟีลิสเตียก็ออกมาทำสงคราม เขาทั้งหลายจะออกมาสักกี่ครั้งก็ตาม ดาวิดก็ได้กระทำ ความสำเร็จมากกว่าบรรดาข้าราชการของซาอูล ชื่อเสียง ของเธอจึงโด่งดังมาก 1 ซาอูลตรัสกับโยนาธานราชบุตร และกับบรรดาผู้รับใช้ของพระองค์ว่า ให้เขาทั้งหลายฆ่า ดาวิดเสีย แต่โยนาธานราชบุตรของซาอูลพอใจในดาวิด มาก 2 และโยนาธานก็บอกดาวิดว่า "ซาอูลเสด็จพ่อของ ฉันหาช่องจะฆ่าเธอเสีย เพราะฉะนั้นพรุ่งนี้เช้าขอจงระวัง ตัวให้ดี จงอยู่เสียในที่ลับซ่อนตัวไว้ 3 และฉันจะออกไป ยืนอยู่ข้างๆเสด็จพ่อในทุ่งนาที่เธออยู่ และฉันจะกราบ ทูลเสด็จพ่อด้วยเรื่องของเธอ ถ้าฉันรู้เรื่องอะไรจะบอก ให้ทราบ" 4 โยนาธานกล่าวชมดาวิดให้ราชบิดาฟังทูลว่า "ขอพระราชาอย่าทรงกระทำบาปต่อดาวิดผู้รับใช้ของพระ องค์เลย เพราะดาวิดหาได้กระทำบาปสิ่งใดต่อฝ่าพระบาท ไม่ และการงานของเธอก็เป็นงานปฏิบัติฝ่าพระบาทอย่างดี 5 เพราะเธอเสี่ยงชีวิตของตน และประหารคนฟีลิสเตียนั้น และพระเจ้าทรงกระทำให้มีชัยใหญ่หลวงเพื่ออิสราเอลทั้ง ปวง ฝ่าพระบาททรงเห็นแล้วและทรงชื่นชมยินดี แต่ไฉน ฝ่าพระบาทจึงจะกระทำบาปต่อโลหิตที่ไร้ความผิดด้วยการ ฆ่าดาวิดเสียอย่างปราศจากเหตุผล" 6 ซาอูลก็ทรงฟังเสียง ของโยนาธานและซาอูลจึงปฏิญาณว่า "พระเจ้าทรงพระ ชนม์อยู่แน่ฉันใด ดาวิดจะไม่ต้องถูกประหารชีวิตเลย" 7 และโยนาธานก็เรียกดาวิด และโยนาธานแจ้งให้เธอทราบ ถึงสิ่งเหล่านี้ และโยนาธานนำดาวิดเข้าเฝ้าซาอูล และ ดาวิดได้เข้าเฝ้าซาอูลอย่างแต่ก่อน

สิ่งเดียวที่ซาอูลทนไม่ได้คือความสำเร็จของคนรับใช้ เช่นเดียวกับพวกมาร ซาอูลไม่ ชอบเป็นที่สองรองใคร (ดูอิสยาห์ 14; เอเสเคียล 28) ดังนั้นเมื่อบรรดาผู้บังคับกองพัน ไปออกรบ ซึ่งมีดาวิดรวมอยู่ด้วย (ดู 18:13) และท่านทำได้ดีกว่าคนอื่นๆ (18:30) ทั้งๆ ที่ไม่ได้ตั้งใจ ท่านกลับเป็นที่รู้จักมากขึ้น สติปัญญาของท่าน (ไม่ต้องสงสัยว่าเป็นผล ของพระวิญญาณ ; ดู 16:13) ทำให้ท่านแตกต่างและโดดเด่นไปจากผู้บังคับกองพันคน อื่น ท่านเป็นบุรุษที่ได้รับการยกย่องเป็นอย่างสูง

นี่คือสิ่งที่ซาอูลกลัวที่สุด ไม่ต้องปิดบังอีกต่อไปแล้ว ซาอูลสั่งผู้รับใช้ – รวมทั้งโยนา ธานด้วย – ให้ฆ่าดาวิด แต่โยนาธานทำสัญญาไว้กับดาวิด และไม่มีความตั้งใจที่จะละ เมิดด้วย แต่เหตุผลแท้จริงที่โยนาธานไม่ทำอันตรายดาวิดเป็นเพราะท่าน "พอใจใน ดาวิดมาก" การปกป้องดาวิดเป็นยิ่งกว่าหน้าที่ ; โยนาธานพอใจในดาวิด ท่านรักดา วิดเท่ากับตัวท่านเอง (18:1) โยนาธานจึงออกไปกลับคำสั่งของบิดาที่ให้ไปฆ่าดาวิด ถ้าจำเป็น โยนาธานยอมขัดคำสั่ง แต่ท่านใช้เหตุผลพูดจนบิดายอมเข้าใจและล้มเลิก ความตั้งใจ สิ่งนี้สำเร็จลงในข้อ 1-7

โยนาธานไปเตือนดาวิด แจ้งเรื่องคำสั่งของบิดา และบอกให้ดาวิดระวังตัวจนกว่าท่านจะ ไปพูดกับบิดา ที่น่าแปลกคือท่านนัดพบบิดาในที่ที่เดียวกับที่ดาวิดซ่อนตัวอยู่ (ข้อ 2-3) เพื่อดาวิดจะเห็นและได้ยินทุกอย่างหรือ ? หรือโยนาธานต้องการให้ดาวิดมั่นใจว่า ท่านจริงใจไม่มีสิ่งใดซ่อนเร้น ? อีกอย่างคือ ท่านสัญญาจะรายงานผลการเจรจาต่อรอง ให้ดาวิดทราบ

วิธีการที่โยนาธานต่อรองกับบิดาแทนดาวิดนั้นเป็นแบบอย่างอันดีให้กับเราหลายประ การ แรก เราเห็นแบบอย่างของเพื่อนที่รักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง การเผชิญหน้า กับซาอูล (หรือควรเรียกว่า "ขวางลำ" ดี) เป็นเรื่องเสี่ยงตาย (ดู 16:2, 4; 20:33; 22:11-19) แต่โยนาธานก็ยอมเสี่ยง สอง โยนาธานยอมลดตนและความต้องการส่วน ตัวลง (เช่นราชบัลลังก์) ให้กับดาวิด (ดู 23:17) สาม โยนาธานนั้นเป็นบุตรที่สัตย์ซื่อ และยอมให้กับซาอูลผู้เป็นบิดา โยนาธานเข้าพบบิดาโดยตรงและพูดกับท่านด้วยความ เคารพ ท่านพูดเรื่องดีๆเกี่ยวกับดาวิด ด้านหนึ่งท่านร้องขอชีวิตของดาวิดไว้ และอีกด้าน หนึ่งท่านชี้ให้บิดาเห็นถึงคุณความดีของดาวิด ท่านเตือนซาอูลว่าดาวิดนั้นเป็นผู้รับใช้ที่ สัตย์ซื่อและทุ่มเทเป็นที่สุดแล้ว และทุกสิ่งที่ท่านทำล้วนนำมาซึ่งประโยชน์ของซาอูล ท่านยังเตือนบิดาด้วยถึงตอนที่ดาวิดฆ่าโกลิอัท ว่าเป็นเหตุนำมาซึ่งชัยชนะของซาอูล ด้วย (19:5) การเป็นปฏิปักษ์กับดาวิดนั้นนอกจากเป็นการกระทำที่ไม่ฉลาดแล้ว ที่ร้าย กว่านั้นคือเป็นความบาปด้วย เพราะเปรียบเหมือนกระทำให้โลหิตของผู้ไร้ความผิดตก (19:4-5)80

เพียงชั่วคราว ที่โยนาธานใช้เหตุผลจนซาอูลล้มเลิกความตั้งใจ ท่านสาบานว่า "พระ เจ้าทรงพระชนม์อยู่แน่ฉันใด" ดาวิดจะไม่ถูกประหารชีวิต (ข้อ 6) เป็นคำสัญญาที่มี อายุสั้นมาก แต่ทำให้เราเห็นว่าซาอูลยอมรับบ้างว่าท่านผิด และเห็นถึงความบริสุทธิใจ ของดาวิด โยนาธานเรียกดาวิด และรายงานผลของการพูดกับบิดา และนำดาวิดกลับ เข้าวังเหมือนเดิม เหตุการณ์กลับคืนสู่ปกติ ถึงแม้จะเป็นเวลาสั้นๆก็ตาม (ข้อ 7)

ช่วยโดยพระเจ้า
(19:8-10)

8 สงครามได้เกิดขึ้นอีก ดาวิดก็ออกไปต่อสู้กับคน ฟีลิสเตีย และได้ฆ่าฟันเสียเป็นอันมาก เขาทั้งหลาย จึงหนีไปเสียจากเธอ 9 แล้ววิญญาณชั่วจากพระเจ้า ก็เข้ามาสิงซาอูลเมื่อพระองค์ประทับในนิเวศของ พระองค์ทรงหอกอยู่ และดาวิดก็กำลังดีดพิณถวาย 10 และซาอูลทรงพุ่งหอกหมายปักดาวิดให้ติดฝาผนัง แต่เธอก็หลบหนีซาอูลไป ซาอูลจึงทรงพุ่งหอกติดผนัง และดาวิดก็หลบหนีรอดไปได้ในคืนนั้น

ซาอูลเหมือนเหยียบเรือสองแคม : ท่านไม่อยากออกไปสู้รบกับพวกฟิลิสเตีย แต่เมื่อ ดาวิดออกไปสู้ ได้ชัยชนะเป็นวีรบุรุษกลับมา ซาอูลกลับโกรธและอิจฉา ไม่มีตรงไหนที่ กล่าวว่าซาอูลออกไปรบกับพวกฟิลิสเตีย แต่เรารู้ว่าดาวิดไป และมีชัยชนะอย่างเด็ดขาด (ข้อ 8) ทำให้เหตุการณ์กลับไปเป็นเหมือนในบทที่ 18 ข้อ 6-9 ที่ "วิญญาณชั่วจาก พระเจ้า" เข้ามาสิงซาอูล ท่านนั่งอยู่ในวังถือหอกไว้ในมือ (ดาวิดก็อยู่ด้วย ถือพิณอยู่ ในมือ – ข้อ 9) ด้วยความริษยา ซาอูลพยายามปักดาวิดให้ติดผนังด้วยหอกในมือ81 แต่ดาวิดก็สามารถหลุดรอดหนีไปได้ในความมืด และรอดตายไปได้อีกครั้ง (ข้อ 10)

ความเกี่ยวข้องระหว่างความริษยาของซาอูลที่มีต่อดาวิด และการที่ "วิญญาณชั่ว จากพระเจ้า" มาเข้าสิงในข้อ 9 นั้นไร้ความหมายใดๆ เรารู้ดีว่า "วิญญาณชั่วจาก พระเจ้า" ที่มาสิงซาอูลนั้นเป็นเพราะพระวิญญาณพรากไปจากท่าน (16:14-15) เรารู้ ด้วยว่าวิญญาณชั่วนี้ไม่ได้มาสิงอยู่ตลอดเวลา ครั้งแรกๆ ตอนที่วิญญาณชั่วมาสิง ดาวิด ถูกเรียกให้มาเล่นพิณกล่อมท่าน และท่านจะสงบลง (16:23) เรารู้ว่าเสียงพิณของ ดาวิดทำให้วิญญาณชั่วจากไป แต่เราไม่รู้ว่าวิญญาณชั่วนี้มาสิงซาอูลทำไม อาจเป็น เพราะความริษยาและความโกรธของซาอูลเป็นเหตุให้วิญญาณชั่วเข้ามา หรือเป็นเพราะ เมื่อซาอูลมีความโกรธและริษยาจน "ถึงขีดสุด" วิญญาณชั่วจะเข้ามาในทันที ทำให้ท่าน ตกอยู่ในสภาวะที่อ่อนแอและพ่ายแพ้82 เมื่อเรายอมพ่ายแพ้ต่อการบังคับตนเอง ไม่ว่า เป็นเพราะความโกรธ ความโลภ หรือความเย้ายวนทางเพศ (ขอยกมาเพียงสองสามตัว อย่าง) เราก็กำลังเปิดทางให้กับกิจการและอิทธิพลของมาร ผมเชื่อว่านี่เป็นเหตุให้ ซาอูลยอมแพ้ต่อวิญญาณชั่ว เมื่อท่านโกรธในชัยชนะของดาวิดจนยั้งไม่อยู่

ดาวิดที่สุดสายปลายเชือก
(19:11-17)

11 ซาอูลทรงใช้ผู้สื่อสารไปที่บ้านของดาวิดเพื่อเฝ้าดูเธอ และเพื่อจะฆ่าเธอเสียในเวลาเช้า แต่มีคาลภรรยาของดาวิด บอกดาวิดว่า "ถ้าคืนนี้เธอไม่ช่วยชีวิตของเธอ พรุ่งนี้เธอจะ ถูกฆ่าตาย" 12 มีคาลจึงหย่อนดาวิดลงทางหน้าต่าง และ เธอก็หนีรอดไป 13 มีคาลได้นำรูปเคารพมาวางไว้บนเตียง นอน และวางหมอนขนแพะไว้ที่ศีรษะเอาผ้าห่มคลุมไว้ 14 เมื่อซาอูลส่งผู้สื่อสารไปจับดาวิด มีคาลตอบว่า "เขาไม่สบาย" 15 แล้วซาอูลส่งผู้สื่อสารนั้นให้ไปดูดาวิด สั่งว่า "จงนำเขา มาหาเราทั้งเตียง เพื่อเราจะได้ฆ่าเขาเสีย" 16 เมื่อผู้สื่อสาร เข้ามา ดูเถิด รูปเคารพก็อยู่ในเตียงพร้อมกับหมอนขนแพะ อยู่ที่ศีรษะ 17 ซาอูลรับสั่งถามมีคาลว่า "ไฉนเจ้าจึงหลอก ลวงเราและปล่อยศัตรูของเราไปเสีย เขาจึงรอดพ้นไป" และมีคาลทูลตอบซาอูลว่า "เธอพูดกับหม่อมฉันว่า 'ปล่อย ให้ฉันไปเถิด จะให้ฉันฆ่าเธอทำไมเล่า'"

ดาวิดคงหนีซาอูลไปได้ในความมืด แต่ซาอูลยังไม่ละความตั้งใจที่จะจับให้ได้และฆ่า ให้ตาย ซาอูลส่งคนไปสังเกตุการแถวบ้านของดาวิด สั่งให้รอจนกว่าจะเช้าและฆ่าเสีย ดาวิดคงรู้สึกปลอดภัยเมื่อกลับมาบ้าน แต่มีคาลรู้จักบิดาของนางดี นางจึงรีบเตือนดาวิด ให้หนีไปเสียในคืนนั้น มิฉะนั้นคงต้องตายแน่ๆ และต้องหนีในทันทีด้วย ผมพอจินตนา ภาพออกว่า มีคาลคงยืนท้าวสะเอวบอกกับดาวิดผู้ใสซื่ออย่างเอาจริงเอาจังว่า ท่านคงรู้ จักบิดาเธอน้อยไปหน่อย

การพรางตัวดาวิดอาจเป็นวิธีเดียวที่จะหนีรอดไปได้ ดูไม่ค่อยสมศักดิ์ศรีสักเท่าไร แต่ ถ้าท่านต้องการจะมีชีวิตอยู่ ท่านต้องยอมทิ้งศักดิ์ศรีไว้เบื้องหลัง83 บ้านของท่านคงจะ อยู่แถวๆกำแพงเมือง มีคาลจึงต้องค่อยๆหย่อนสามีลงทางหน้าต่าง เพื่อให้ท่านลงไปยัง พื้นเบื้องล่างนอกกำแพงเมืองและหลบหนีไปในความมืดได้

เหตุการณ์ที่บ้านก็ดูไม่จืดสักเท่าไร แต่เ็ป็นวิธีเดียวที่จะทำให้ดาวิดหลบหนีจากบ้านไปสู่ ความมืดโดยไม่มีใครเห็นได้ ส่วนมีคาลรู้ดีว่านางต้องหาวิธีถ่วงเวลาจนกว่าดาวิดจะหนี ไปจนไกล ดังนั้นเมื่อคนของซาอูลมาเคาะประตูบ้าน มีคาลจึงพร้อม นางเตรียมอุปกรณ์ จัดฉากไว้หมดแล้ว ที่บนเตียง นางได้นำรูปเคารพใส่เสื้อผ้าของดาวิดมาวางไว้ เพื่อทำ ให้เหมือนมีคนนอนอยู่ เอาหมอนขนแพะวางไว้ตรงศรีษะ ถ้าดูจากไกลๆ ไม่ต้องเข้ามา ใกล้ คนคงคิดว่าเป็นดาวิดที่นอนอยู่บนเตียง และท่านคงจะป่วยจริงๆ

ผู้สื่อสารที่ซาอูลส่งไป กลับไปรายงานตามคำบอกเล่าของมีคาล ซาอูลสงสัยเป็นอย่าง ยิ่ง จึงส่งผู้สื่อสารกลับไปอีกครั้งและให้ไปนำตัวดาวิดมาด้วย เพื่อหวังจะฆ่าด้วยมือของ ตนเอง คงเป็นเหตุการณ์ที่ระทึกใจไม่น้อย เมื่อผู้สื่อสารเหล่านี้รื้อเตียงออกมาดู และ พบว่าเป็นเพียงรูปเคารพที่มาวางไว้เพื่อพรางตา โกรธจนหน้าเขียว ผู้สื่อสารของซาอูล รีบกลับไปรายงานให้เจ้านายทราบว่าถูกหลอก ซาอูลโกรธลูกสาวมากที่ช่วยดาวิดให้ หนีรอดไปได้ มีคาลจึงหลอกบิดาว่า ถ้านางไม่ให้ความร่วมมือก็จะถูกดาวิดฆ่า สิ่งนี้ตรง กับความคิดที่บิดเบือนของซาอูลพอดี ถึงแม้จะไม่เป็นความจริงก็ตาม84

ที่จริงการช่วยเหลือครั้งนี้ดูน่าขำดี เพราะแสดงให้เห็นถึงแผนการจะฆ่าดาวิดอย่างไร้ เหตุผลของซาอูล เราต้องกลับไปย้อนเหตุการณ์ดูว่าดาวิดได้ภรรยาคนนี้มาอย่างไร ครั้งแรกตอนที่โกลิอัทออกมาเยาะเย้ยถากถางซาอูลและกองทัพอิสราเอลนั้น ซาอูล เสนอจะยกธิดาให้กับใครก็ตามที่สามารถปราบโกลิอัทลงได้ (17:25) โดยสิทธิอันชอบ ธรรม ดาวิดควรได้ธิดาคนนั้นมาเป็นภรรยาตั้งแต่ตอนนั้น หลังจากดาวิดเริ่มมีชื่อเสียงใน แผ่นดิน และซาอูลเกิดความริษยา ท่านจึงเสนอธิดาของท่านให้เป็นภรรยาของดาวิด :

17ฝ่ายซาอูลจึงรับสั่งกับดาวิดว่า "ดูเถิด นี่คือบุตรสาวคนโตของเรา ชื่อเมราบ เราจะมอบแม่นางให้เป็นภรรยาของเธอ ขอแต่เธอจงเป็นคน กล้าหาญและสู้ศึกของพระเจ้าเท่านั้น" เพราะซาอูลทรงดำริว่า "อย่า ให้มือของเราแตะต้องเขาเลย ให้มือคนฟีลิสเตียแตะต้องเขาดีกว่า" (1 ซามูเอล 18:17)

ดาวิดปฏิเสธข้อเสนอ เพราะท่านเห็นว่าฐานะท่านไม่เหมาะสมกับธิดาของกษัตริย์ และท่านตระหนักดีว่าไม่มีเงินพอจะจ่ายค่าสินสอดได้ (18:18; ดูข้อ 23 ด้วย)

ครั้งต่อมาเมื่อซาอูลเสนอธิดาอีกคนให้ดาวิด ครั้งนี้ท่านมีแผนการร้ายในใจซ่อนอยู่ด้วย:

20ฝ่ายมีคาลราชธิดาของซาอูลนั้นรักดาวิด มีคนเอาเรื่อง ไปทูลซาอูลเรื่องนี้เป็นที่พอพระทัยพระองค์ 21 ซาอูลทรง ดำริว่า "ให้เรายกแม่นางให้แก่เธอ แม่นางจะได้เป็นกับดัก เธอและมือของคนฟีลิสเตียจะได้ต่อสู้เธอ" ดังนั้นซาอูลจึง รับสั่งแก่ดาวิดครั้งที่สองว่า "ครั้งนี้เธอจะเป็นบุตรเขยของเรา" 22 ซาอูลทรงบัญชามหาดเล็กว่า "จงพูดเป็นส่วนตัวกับดาวิด ว่า 'ดูเถิด พระราชาพอพระทัยในเธอ และบรรดามหาดเล็ก ของพระองค์ก็รักเธอ เพราะฉะนั้นจงเป็นบุตรเขยของพระราชา เถิด'" 23 และมหาดเล็กของซาอูลพูดเรื่องนี้ให้ดาวิดฟัง ดาวิด ก็ถามว่า "ท่านทั้งหลายเห็นว่าที่จะเป็นบุตรเขยของพระราชา นั้นเป็นเรื่องเล็กน้อยอยู่หรือ ด้วยข้าพเจ้าเป็นแต่คนจนและไม่ มีชื่อเสียงอะไรเลย" 24 และมหาดเล็กของซาอูลจึงทูลว่า "ดาวิดพูดอย่างนั้นอย่างนี้" 25 ซาอูลจึงรับสั่งว่า "เจ้าจงพูด เช่นนี้แก่ดาวิด 'พระราชาไม่มีพระประสงค์จะเอาอะไรในการ แต่งงานเลย นอกจากหนังปลายองคชาตของคนฟีลิสเตียสัก หนึ่งร้อย เพื่อพระองค์จะทรงแก้แค้นศัตรูของพระราชา'" ฝ่ายซาอูลทรงดำริว่าจะให้ดาวิดตายเสียด้วยมือของคนฟีลิสเตีย 26 และเมื่อมหาดเล็กกล่าวคำเหล่านั้นให้ดาวิดฟัง ก็เป็นที่พอ ใจดาวิดที่จะเป็นบุตรเขยของพระราชา ก่อนเวลาที่กำหนดไว้จะ หมดไป 27 ดาวิดก็ลุกขึ้นไปพร้อมกับคนของเธอ ได้ฆ่าคนฟีลิส เตียเสียสองร้อยคน และดาวิดก็นำหนังปลายองคชาตของคน เหล่านั้นมาถวายแก่พระราชาครบจำนวน เพื่อเธอจะเป็นบุตรเขย ของพระราชา ซาอูลจึงยกมีคาลพระราชธิดาของพระองค์ให้เป็น ภรรยาของดาวิด (1 ซามูเอล 18:20-27)

เมื่อเป็นการชัดเจนว่าดาวิดต้องการจะแต่งงานกับมีคาล และท่านยินดีที่จะไปนำปลาย หนังองคชาตของพวกฟิลิสเตียตามจำนวนที่ต้องการมาให้ (ที่จริงได้มากเป็นสองเท่า = 200) ซาอูลดีใจเป็นที่สุด ท่านแน่ใจว่าความรักที่มีคาลมีต่อดาวิด (และที่ดาวิดมีต่อ นาง) จะเป็นเหตุที่ทำให้ดาวิดต้องตาย แต่เมื่อดาวิดพยายามฆ่าฟิลิสเตียให้ได้มากที่สุด อีกครั้ง แผนการของซาอูลก็ถูกตีกลับ ดาวิดสามารถนำปลายหนังองคชาตของฟิลิสเตีย มาให้ได้ (มากเป็นสองเท่า) และท่านได้ธิดาคนหนึ่งของซาอูลไปเป็นภรรยา นางรักสามี และไม่มีวันยอมมีส่วนในแผนการครั้งนี้ นอกจากนั้น นางยังเป็นคนช่วยสามีให้พ้นไป จากเงื้อมมือบิดาเสียอีก อีกครั้ง ที่ซาอูลเล็งไปถูกหัวแม่เท้าตนเอง (โดยใช้หอก ?) ท่านพยายามฆ่าคนที่พระเจ้าเจิมตั้งไว้ ผมว่าซาอูลคงหัวเราะไม่ออก แต่คาดว่าคงได้ ยินมากกว่าเสียงหัวเราะในสวรรค์สถาน

ก่อนที่จะจากเรื่องการช่วยเหลือของมีคาลไป เราไม่ควรมองข้าม สดุดีบทที่ 59 ซึ่งสะ ท้อนให้เห็นภาพการช่วยกู้ดาวิดในครั้งนั้น เราคงจะไม่เจาะพระคำตอนนี้ให้ลึกลงไป แต่เราควรมองหาข้อสังเกตุบางประการ ประการแรก ไม่มีการเอ่ยชื่อนางมีคาลในพระ ธรรมสดุดี ไม่ใช่เพราะดาวิดอยากปิดบังว่านางมีส่วนในการช่วยเหลือ แต่ดาวิดไม่ได้ มองเฉพาะการช่วยเหลือที่มีมาในตอนนั้น แต่ท่านมองไปที่แหล่งสำคัญที่สุดของการ ช่วยกู้ – พระเจ้า ดังนั้นดาวิดจึงโมทนาสรรเสริญพระองค์ ประการที่สอง คำอธิบายถึง ผู้ที่ไล่ลาดาวิดนั้นฟังดูเหมือนเป็นพวกต่างชาติมากกว่าเป็นยิว (ดู สดุดี 59:5-8) ผมคง ไม่ประหลาดใจถ้าจะบอกว่าผู้สื่อสารที่ซาอูลส่งไปล่าดาวิดนั้นเป็นคนต่างชาติำเรารู้ว่า ซาอูลชอบจ้างพวกคนร้ายๆมาไว้ใกล้ตัว (ดู 1 ซามูเอล 14:52) คนเหล่านี้ไม่่รีรอที่ฆ่า ดาวิด แต่คงไม่ใช่คนอิสราเอล ช่างเป็นการเหมาะสมที่ซาอูล (ชาวยิว) ยืมมือคนร้ายๆ (อย่างคนต่างชาติ) มาต่อสู้กับกษัตริย์ของพระเจ้า เช่นเดียวกับที่ผู้นำศาสนายิวในเวลา ต่อมาทำเพื่อต่อต้านองค์พระเยซูคริสต์ ในที่สุด ดาวิดพูดถึงพวกที่ไล่ล่าท่านเหล่านี้ว่า เป็นพวกมุสา (สดุดี 59:12) คนเหล่านี้หรือเปล่าที่ชอบเพ็จทูลเรื่องดาวิดให้ซาอูลฟัง (ดู 1 ซามูเอล 24:9; 26:19)?

เข้าพึ่งพระศาสนา: ช่วยโดยพระวิญญาณ
หรือ
ความพยายามของปุโรหิต
(19:18-24)

18 ฝ่ายดาวิดก็หนีรอดไป เธอมาหาซามูเอลที่เมืองรามาห์ และเล่าเรื่องที่ซาอูลได้ทรงกระทำแก่เธอให้ซามูเอลฟัง เธอและซามูเอลก็ไปอยู่เสียที่นาโยท 19 มีคนไปทูลซาอูล ว่า "ดูเถิด ดาวิดอยู่ที่นาโยทในเมืองรามาห์" 20 ซาอูลก็รับ สั่งให้ผู้สื่อสารไปจับดาวิด และเมื่อเขาไปเห็นหมู่ผู้เผยพระ วจนะกำลังเผยพระวจนะอยู่ และซามูเอลยืนเป็นหัวหน้าเขา ทั้งหลาย พระวิญญาณของพระเจ้าก็มาสถิตกับผู้สื่อสารของ ซาอูล และเขาทั้งหลายก็เผยพระวจนะด้วย 21 เมื่อมีคนไป ทูลซาอูลพระองค์ก็ทรงใช้ผู้สื่อสารอื่นไป และคนเหล่านั้นก็ เผยพระวจนะด้วย ซาอูลทรงใช้ให้ผู้สื่อสารไปครั้งที่สาม เขา ทั้งหลายก็เผยพระวจนะด้วย 22 ซาอูลก็เสด็จไปที่รามาห์เอง มาถึงบ่อน้ำใหญ่ที่ในเมืองเสคู และรับสั่งถามว่า "ซามูเอลกับ ดาวิดอยู่ที่ไหน" มีคนทูลว่า "ดูเถิด เขาทั้งสองอยู่ที่นาโยท ในเมืองรามาห์" 23 พระองค์จึงเสด็จไปที่นั่นยังนาโยทใน เมืองรามาห์ และพระวิญญาณของพระเจ้าสิงสถิตกับพระองค์ ด้วย ทรงดำเนินพลางเผยพระวจนะพลางจนเสด็จถึงนาโยท ที่เมืองรามาห์ 24 พระองค์ทรงถอดฉลองพระองค์ออก และ ก็ทรงเผยพระวจนะด้วยต่อหน้าซามูเอล และบรรทมเปลือย กายอยู่ตลอดคืนนั้นและตลอดวันนั้น ดังนั้นเขาจึงพูดกันว่า "ซาอูลอยู่ในจำพวกผู้เผยพระวจนะด้วยหรือ"

ความพยายามถ่วงเวลาของมีคาลเกิดผล ดาวิดอาศัยความมืดหนีรอดไปได้ถึงรามาห์ ท่านไปพบกับซามูเอล และเล่าเรื่องที่ซาอูลทำกับท่าน ทั้งสองจึงออกจากรามาห์ไป ยังนาโยท85 เรื่องนี้ได้ยินไปถึงหูของซาอูลว่าทั้งสองหลบหนีอยู่ในรามาห์ ซาอูลจึงส่ง คนไปจับดาวิด เมื่อคนพวกนี้ไปถึงนาโยท ก็ได้พบกับพวกผู้เผยพระวจนะที่กำลังเผย พระวจนะอยู่ และซามูเอลก็อยู่ท่ามกลางและกำลังนำพวกเขาด้วย และพระวิญญาณ ของพระเจ้าก็ลงมาเหนือคนเหล่านั้นที่ซาอูลส่งไปให้จับดาวิด พวกเขาก็เริ่มเผยพระ วจนะด้วย

ไม่มีการพูดถึงว่าคนเหล่านี้ทำสิ่งอื่นใดเมื่อพระวิญญาณมาสถิต นอกจากเผยพระวจนะ แต่เราลองเดาดูได้โดยไม่น่าพลาด เรารู้ว่าคนเหล่านี้ไม่ได้จับดาวิดหรือทำร้ายซามูเอล ถ้าพวกเขาเผยพระวจนะ จึงคาดได้ว่าคำพูดของพวกเขาต้องมีการสรรเสริญพระเจ้าหรือ พยากรณ์เกี่ยวกับกษัตริย์องค์ต่อไปของอิสราเอล ถ้าคนเหล่านี้ถูกควบคุมโดยพระ วิญญาณพระเจ้า และประกาศว่าดาวิดคือกษัตริย์องค์ต่อไปของอิสราเอล พวกเขาจะมี ส่วนในการลงมือฆ่าดาวิดได้อย่างไร ? จากมุมมองของซาอูล พวกคนกลุ่มแรกที่ส่งไป นี้ ตัดทิ้งไปได้เลย

ซาอูลเรียนบทเรียนได้ไม่ดีนัก เราไม่รู้ว่าคำรายงานที่ซาอูลได้รับเกี่ยวกับคนกลุ่มแรก ที่ท่านส่งไปจับดาวิดมีว่าอย่างไร มีบันทึกไว้เพียงว่า "มีคนไปทูลซาอูล" ถ้ามีคนเล่า ให้ซาอูลฟังว่าพระวิญญาณพระเจ้าลงมาสถิตกับคนเหล่านั้น และพวกเขาทำการเผย พระวจนะ ก็แสดงว่าท่านยังไม่เข้าใจ ดังนั้นจึงมีการส่งชุดที่สองออกไปจับกุมดาวิดอีก (เราคงแน่ใจว่ากลุ่มที่ส่งไปครั้งที่สองนี้ ท่านคงเลือกผู้ที่พระวิญญาณไม่น่าจะมาสถิต ด้วย) แต่เมื่อกลุ่มที่สองนี้มาถึง ก็เกิดเหตุการณ์ซ้ำอีก ซาอูลจึงส่งกลุ่มที่สามออกไป และเหตุการณ์เดิมก็เกิดขึ้นอีก

ซาอูลไม่ยอมเข้าใจว่าความพยายามของท่านนั้นไร้ประโยชน์ ถ้าความพยายามครั้งหลัง สุดท่านเพียงแต่พูดกับตนเองว่า "สามหนน่าจะเป็นลางดี" และท่านคงคิดว่า "ถ้าท่าน อยากให้งานเดินหน้า ท่านต้องไปทำด้วยตนเอง" ซาอูลจึงไปยังรามาห์ ไปจนถึงบ่อน้ำ ใหญ่ในเมืองเสคู ท่านถามหาซามูเอลและดาวิด มีคนบอกว่าทั้งสองอยู่ที่นาโยทในเมือง รามาห์ ท่านจึงเดินทางไปที่นั่น ในขณะกำลังไป พระวิญญาณพระเจ้าลงมาสถิตกับซา อูล และท่านเริ่มเผยพระวจนะไปจนถึงที่หมาย

คงเป็นภาพที่น่าดู ซาอูลโมโหมากที่คนทั้งสามครั้งที่ท่านส่งไปเพื่อจับกุมดาวิด ไม่ มีสักคนประสพความสำเร็จ และตอนนี้ท่านตั้งใจจะไปจัดการด้วยตัวเอง คุณนึกออก ไหมว่าอารมณ์ของซาอูลเป็นอย่างไรเมื่อเข้าใกล้ที่พักของดาวิดและซามูเอลไปทุกที ? และในทันใดพระวิญญาณของพระเจ้าก็มาสถิตเหนือท่าน ท่านถอดเสื้อผ้าออก นอน เปลือยกายอยู่ต่อหน้าซามูเอลตลอดทั้งวันและคืนนั้น

ซาอูลต้องการจะฆ่าดาวิดไปให้พ้นจากราชบัลลังก์ของท่าน ใช่หรือไม่ ? ซาอูลยังจับกุม ดาวิดไม่สำเร็จด้วยซ้ำไป และตอนนี้ท่านอาจกำลังกล่าวคำพยากรณ์เรื่องดาวิดจะขึ้นมา เป็นกษัตริย์ด้วย ซาอูลมาในฐานะกษัตริย์ พร้อมด้วยสิทธิและอำนาจ ตั้งใจจะมาทำให้ แผนการสำเร็จลง ใช่หรือไม่ ? แต่บัดนี้ท่านกลับนอนเปลือยกายอยู่ต่อหน้าซามูเอล !

คำเล่าลือเรื่องการมาของซาอูลและความประพฤติเพี้ยนๆของท่านกระฉ่อนไปทั่ว ผมนึก ถึงภาพของผู้คนที่ได้ยินและต้องการมาดูให้เห็นกับตาออก คงมีหลายคนมาดู และพบ ว่าเนื้อในท่านไม่ได้หล่ออย่างที่คิด (ผมนึกเอาน่ะครับ) ที่ผมสนใจที่สุดคือ คำถามที่ ออกจากปากของคนเหล่านี้ที่เห็นท่าน : "ซาอูลอยู่ในจำพวกผู้เผยพระวจนะด้วย หรือ?" (ข้อ 24)

การมาของซาอูลและความประพฤติของท่านจะอธิบายว่าอย่างไรดี ? คนที่นั่นรู้หรือไม่ว่า ท่านมาเพื่อจะฆ่าดาวิด ? ถ้าไม่รู้ การมาของท่านและความประพฤติต้องเป็นที่น่าสงสัย อย่างแน่นอน มีเหตุผลใดที่ซาอูลต้องทำเป็นเผยพระวจนะในท่ามกลางผู้เผยพระวจนะ ด้วย ? เรารู้ว่า ไม่มีผู้ใดที่อยู่ในการควบคุมของพระวิญญาณ จะสามารถทำตามแผนชั่ว ที่คิดจะฆ่าคนที่พระเจ้าเจิมตั้งได้ นี่เป็นวิธีหนึ่งที่พระเจ้ารับประกันความปลอดภัยของ ดาวิด ถึงแม้จะมาลงมือทำการด้วยตัวเอง ซาอูลก็ยังไม่ประสพความสำเร็จในการขัด ขวางงานของพระเจ้า เช่นเดียวกับที่พระเยซูผู้ทรงพระสิริกล่าวแก่เซาโล (อ.เปาโล) ในเวลาต่อมาว่า "ซึ่งเจ้าถีบประตักก็เจ็บตัวเจ้าเอง" (กิจการ 26:14).

ให้เราสังเกตุดูอีกอย่างก่อนที่จะจบตอนสุดท้ายของบทที่ 19 นั่นคือความคล้ายคลึง กันระหว่างเหตุการณ์ครั้งนี้ และเหตุการณ์ที่เกิดกับซาอูลก่อนหน้านี้ :

5 ต่อจากนั้นท่านจะมาถึงกิเบอัทเอโลฮิม ที่นั่นมีกองทหารรักษา การของคนฟีลิสเตีย เมื่อท่านมาถึงเมืองนั้น ท่านจะพบผู้เผยพระ วจนะหมู่หนึ่งกำลังลงมาจากปูชนียสถานสูงถือพิณใหญ่ รำมะนา ปี่ พิณเขาคู่ นำหน้ามา กำลังเผยพระวจนะเรื่อยมา 6 แล้วพระ วิญญาณของพระเจ้าจะมาสถิตกับท่านอย่างมาก และท่านจะเผย พระวจนะกับคนเหล่านั้น เปลี่ยนเป็นคนละคน 7 เมื่อหมายสำคัญ เหล่านี้เกิดแก่ท่านแล้วจงกระทำอะไรตามแต่มีโอกาสเถิด เพราะ พระเจ้าทรงสถิตกับท่าน 8 และท่านจงลงไปที่กิลกาลก่อนฉัน และดูเถิด ฉันจะลงมาหาท่านเพื่อจะถวายเครื่องเผาบูชา และ ถวายสัตว์เป็นเครื่องศานติบูชา ท่านจงคอยอยู่ที่นั่นเจ็ดวันจน ฉันมาหาท่านและสำแดงแก่ท่านว่า ท่านควรจะกระทำอะไร" 9 เมื่อซาอูลหันหลังไปจะจากซามูเอล พระเจ้าทรงประทานจิต ใจอีกอย่างหนึ่งแก่ท่าน และหมายสำคัญเหล่านี้ทั้งหมดเกิดขึ้น ในวันนั้น 10 เมื่อเขาทั้งสองมาถึงกิเบอาห์ ดูเถิด ผู้เผยพระวจนะ หมู่หนึ่งพบกับท่าน และพระวิญญาณของพระเจ้าสิงสถิตกับท่าน อย่างมาก และท่านก็เผยพระวจนะอยู่ในหมู่พวกเขา 11 และเมื่อ คนทั้งหลายที่รู้จักท่านมาก่อน เห็นท่านเผยพระวจนะอยู่กับพวก ผู้เผยพระวจนะ ประชาชนเหล่านั้นก็พูดกันและกันว่า "อะไรหนอ เกิดขึ้นแก่บุตรชายของคีช ซาอูลอยู่ในจำพวกผู้เผยพระวจนะด้วย หรือ" 12 ชายคนหนึ่งอยู่ที่นั่นตอบว่า "และบิดาของเขาทั้งหลาย คือใคร" ดังนั้นจึงเป็นคำภาษิตว่า "ซาอูลอยู่ในจำพวกผู้เผยพระ วจนะด้วยหรือ" (1 ซามูเอล 10:5-12)

คำพูดนี้เหมือนกันโดยบังเอิญหรือ? จากบทที่ 10และซ้ำอีกทีในบทที่ 19? ครั้งแรกเกิด ระหว่างที่ซาอูลเตรียมตัวจะเป็นกษัตริย์ของอิสราเอล พระวิญญาณมาสถิตอยู่กับท่าน เพื่อสำแดงให้เห็นว่าท่านเป็นผู้ที่พระเจ้าเลือกให้เป็นกษัตริย์ และเติมท่านให้เต็มพร้อม จะปฏิบัติหน้าที่ในฐานะกษัตริย์ได้ จิตใจของซาอูลได้รับการเปลี่ยนแปลง และท่าน "เปลี่ยนเป็นคนละคน" (10:6, 9-10) พระวิญญาณมาสถิตกับซาอูลเมื่อท่านอยู่ "ท่าม กลางผู้เผยพระวจนะ " (10:5, 10) เมื่อซาอูลเผยพระวจนะร่วมกับผู้เผย พระวจนะท่านอื่นๆ ประชาชนที่เห็นเหตุการณ์ต่างก็รู้สึกประหลาดใจและกล่าวว่า "อะไร หนอเกิดขึ้นแก่บุตรชายของคีช ซาอูลอยู่ในจำพวกผู้เผยพระวจนะด้วยหรือ" (10:11) คำนี้จึงกลายเป็นคำภาษิตของคนทั้งหลาย (10:12).

ความคล้ายคลึงกันของพระคำทั้งสอนตอนนี้น่าทึ่งมาก ถึงแม้จะเป็นเวลาห่างกันหลายปี ทั้งสองกรณี พระวิญญาณลงมาเหนือซาอูล และท่านเผยพระวจนะอยู่ท่ามกลางบรรดา ผู้เผยพระวจนะคนอื่นๆ คนที่เห็นเหตุการณ์นี้รู้สึกประหลาดใจจนต้องถามไถ่กันว่า "ซาอูลอยู่ในจำพวกผู้เผยพระวจนะด้วยหรือ" แต่ในทั้งสองกรณี การเผยพระวจนะ เป็นไปได้ไม่เกินวันหรือสองวัน แล้วก็จบสิ้นลง (เหมือนกับที่เราเห็นในกันดารวิถี 11:16-30)

อย่างไรก็ตาม มีความแตกต่างระหว่างการเผยพระวจนะครั้งแรกที่เกิดขึ้นในระหว่าง ซาอูลเตรียมตัวจะเป็นกษัตริย์ ที่จริง พระวิญญาณลงมาสถิตเหนือซาอูลเป็นข้อพิสูจน์ ว่าพระเจ้าทรงจัดเตรียมท่านให้พร้อมรับหน้าที่ในฐานะกษัตริย์ (ดูกันดารวิถี 11:16-30) เหมือนดังพระเจ้าแต่งตั้งท่านอย่างเป็นทางการให้ขึ้นเป็นกษัตริย์ของอิสราเอล ครั้ง ที่สองและครั้งสุดท้ายนี้ เกิดขึ้นเมื่ออาชีพของซาอูลใกล้จะสิ้นสุดลง หลังจากที่ท่าน ได้รับแจ้งว่าการเป็นกษัตริย์ของท่านจะสิ้นสุดลง เมื่อท่านเผยพระวจนะในครั้งสุดท้าย จึงเป็นเหมือนพระเจ้ากำลังแต่งตั้งดาวิดขึ้นอย่างเป็นทางการ (ดูเหมือนประชด) ให้มา แทนซาอูล คล้ายกับพระเจ้ากำลังแสดงให้เห็นว่าการเผยพระวจนะครั้งแรกเพื่อซาอูล จะขึ้นเป็นกษัตริย์ และครั้งสุดท้ายเพื่อแสดงว่าการเป็นกษัตริย์ของท่านกำลังจบสิ้นลง เรื่องนี้เป็นสิ่งที่เราต้องนำกลับมาทบทวนดูดีๆ

บทสรุป

ในวันอาทิตย์ก่อนคริสตมาส เราคงสงสัยว่าทำไมผมถึงนำพระธรรมตอนนี้มาเทศนา แทนที่จะเทศน์ "เรื่องราววันคริสตมาส" เหมือนกับที่เคยทำ ในขณะที่ผมเตรียมบทเรียน บทนี้ ผมถึงตระหนักว่าเรื่องราวช่างคล้ายคลึงกับ "คริสตมาสแรก" ค่อนข้างมากทีเดียว เรามีดาวิด บุคคลที่พระเจ้าเลือกสรรและเจิมตั้งให้เป็นกษัตริย์ของอิสราเอล กษัตริย์ ซาอูลรู้ว่า ดาวิดเป็นผู้ที่พระเจ้าเลือกไว้ เหตุนี้ท่านจึงหวาดระแวงมาก ถึงแม้ดาวิด ไม่ได้มีท่าทีจะมาปลดท่านออกไปจากตำแหน่งแต่อย่างใด ด้วยความอิจฉา ซาอูลจึง ลงมือฆ่าดาวิด ไม่ว่าท่านจะพยายามมากเพียงใด ที่จะจับดาวิดมาฆ่าให้ตาย แผนการ ของท่านล้มเหลวทุกครั้งไป ไม่มีทางที่ ดาวิด – กษัตริย์ของพระเจ้า – จะถูกทำลาย โดยน้ำมือของมนุษย์เช่นซาอูล หรือใครก็ตาม เมื่อมาคิดดู เราอาจพูดได้ว่าดาวิดมี ชีวิตเป็นที่ดึงดูดใจ เพราะพระเจ้ามีพระประสงค์ที่จะให้ท่านเป็นกษัตริย์องค์ต่อไป

เรื่องราววันคริสตมาสพูดถึงกษัตริย์อีกพระองค์หนึ่ง "บุตรดาวิด" ผู้ซึ่งพระเจ้าแต่งตั้ง ให้มาปกครองประชากรอิสราเอลของพระองค์ เมื่อกษัตริย์พระองค์นี้ประสูติ พวกนัก ปราชญ์จากทางตะวันออกเดินทางมาตามหา เพื่อที่จะนมัสการพระองค์ กษัตริย์เฮโรด และชาวเมืองเยรูซาเล็ม มีความวิตกกังวลเป็นอันมาก (ไม่ได้ยินดี!) ที่บุรุษสำคัญทั้ง สามจากตะวันออกมาตามหา "กษัตริย์ของชาวยิว" (มัทธิว 2:1-3) กษัตริย์เฮโรด เรียกชุมนุมผู้นำศาสนายิว เพื่อหาแหล่งที่อยู่ของ "กษัตริย์" องค์นี้ ท่านยังสั่งพวก นักปราชญ์ให้บอกท่านด้วยถ้าหา "กษัตริย์" องค์นี้พบ ท่านไม่ได้อยากจะไปนมัสการ พระเยซูหรอก (ต่างกับพวกนักปราชญ์) แต่อยากจะไปฆ่าให้ตาย เฮโรดมีความตั้งใจ เป็นอย่างยิ่งที่จะกำจัด "กษัตริย์" องค์นี้เสีย ท่านคิดว่าพระองค์จะมาแย่งชิงบัลลังก์ไป จากท่าน ท่านถึงกับฆ่าเด็กผู้ชายทุกคนที่เกิดแถวเบธเลเฮมในเวลานั้น เพราะคิดว่า "กษัตริย์" องค์นี้อยูในกลุ่มเด็กเหล่านั้น ถึงแม้พยายามอย่างที่สุด แผนการของท่านก็ ล้มเหลว

เช่นเดียวกับกษัตริย์ซาอูล เฮโรดไม่เคยเรียนบทเรียนที่กษัตริย์ชาวโลกควรเข้าใจ : พระ เจ้าแต่งตั้งผู้ปกครองของพระองค์ พระเยซูคริสต์ พระเมสซิยาห์ที่ทรงสัญญาไว้ ผู้ซึ่งจะ ไม่มีวันถูกกำจัดหรือทำลายไป บทเรียนนี้มีอยูในพระธรรมสดุดีบทที่สอง :

1 เหตุใดบรรดาประชาชาติจึงคิดกบฏ ทำไมชนชาติทั้งหลาย ปองร้ายกันเปล่าๆ 2 บรรดากษัตริย์แห่งแผ่นดินโลกตั้งตนเอง ขึ้น และนักปกครองปรึกษากันต่อสู้พระเจ้าและผู้รับการเจิม ของพระองค์ กล่าวว่า 3 "ให้เราระเบิดสายแอกให้ขาดสะบั้น และขจัดบังเหียนของเขาให้พ้นจากเรา" 4 พระองค์ผู้ประทับ ในสวรรค์ทรงพระสรวล พระเจ้าทรงเย้ยหยันเขาเหล่านั้น 5 แล้วพระองค์ตรัสกับเขาทั้งหลายด้วยพระพิโรธ และกระทำ ให้เขาสยดสยองด้วยความกริ้วของพระองค์ ตรัสว่า 6 "เราได้ ตั้งกษัตริย์ของเราไว้แล้วบนศิโยน ภูเขาศักดิ์สิทธิ์ของเรา" 7 ข้าพเจ้าจะบอกถึงพระดำรัสของพระเจ้า พระองค์รับสั่งกับ ข้าพเจ้าว่า "เจ้าเป็นบุตรของเรา วันนี้เราได้ให้กำเนิดแก่เจ้าแล้ว 8 จงขอจากเราเถิด และเราจะมอบบรรดาประชาชาติให้เป็น มรดกของเจ้า ตลอดทั้งแผ่นดินโลกให้เป็นกรรมสิทธิ์ของเจ้า 9 เจ้าจะตีเขาให้แตกด้วยกระบองเหล็ก และฟาดให้แหลก เป็นชิ้นๆ ดุจภาชนะของช่างปั้นหม้อ" 10 เพราะฉะนั้น ข้าแต่ กษัตริย์ทั้งหลาย จงฉลาดเถิด ข้าแต่นักปกครองแห่งแผ่นดินโลก จงรับคำเตือนเถิด 11 จงปรนนิบัติพระเจ้าด้วยความยำเกรง และจงเกษมเปรมปรีดิ์จนเนื้อเต้น 12 จงนมัสการพระองค์ด้วย ใจจริง เกลือกว่าพระองค์จะทรงพระพิโรธ และเจ้าต้องพินาศ จากทางนั้น เพราะพระพิโรธของพระองค์นั้นจุดให้ลุกได้รวดเร็ว ความสุขเป็นของคนทั้งหลายผู้เข้ามาลี้ภัยในพระองค์ !(สดุดี 2:1-12)

นักปราชญ์จากตะวันออกนั้นถูกต้อง และเฮโรด (เช่นเดียวกับซาอูล) นั้นผิดพลาดมหันต์ ไม่มีผู้ใดจะทำลายกษัตริย์ผู้ที่พระองค์เจิมตั้งได้ และกษัตริย์พระองค์นี้คือองค์พระเยซู คริสต์ พระองค์จะเสด็จกลับมาอีกครั้ง พระองค์จะมีชัยเหนือบรรดาศัตรู พระองค์จะปก ครองเหนือทุกสิ่ง ผู้ที่ยอมรับพระองค์เป็นกษัตริย์ของพระเจ้า จะปกครองร่วมกันกับพระ องค์ ; พระองค์จะทำให้ผู้ที่ต่อต้านพินาศไป

พระกุมารในรางหญ้า องค์พระเยซูคริสต์ เป็นพระเมสซิยาห์ที่ทรงสัญญาไว้ กษัตริย์ผู้ที่ ปกครองเหนือทุกสิ่ง ท่านสืบเชื้อสายมาจากดาวิด พระเจ้าไม่เพียงแต่งตั้งดาวิดให้เป็น กษัตริย์ของอิสราเอลเท่านั้น พระองค์เลือกให้ท่านเป็นต้นกระกูลของกษัตริย์ที่จะเกิด มาในภายหลังด้วย ซาอูลโง่เขลาเพียงไรที่พยายามจะฆ่าดาวิด ในขณะที่ซาอูลนอน หมอบราบอย่างถ่อมต่อหน้าผู้เผยพระวจนะซามูเอล ทุกคนที่ต่อต้านพระเยซูคริสต์ กษัตริย์ของพระเจ้า จะต้องล้มลงต่อเบื้องพระพักตร์และยอมรับพระองค์เป็นจอมกษัตริย์ เหนือกษัตริย์ทั้งหลายในวันหนึ่งข้างหน้าด้วย :

5 ท่านจงมีน้ำใจต่อกันเหมือนอย่างที่มีในพระเยซูคริสต์ 6 ผู้ทรงสภาพของพระเจ้า แต่มิได้ทรงถือว่าการเท่า เทียมกับพระเจ้านั้นเป็นสิ่งที่จะต้องยึดถือ 7 แต่ได้กลับ ทรงสละ และทรงรับสภาพทาส ทรงถือกำเนิดเป็นมนุษย์ 8 และเมื่อทรงปรากฏพระองค์ในสภาพมนุษย์แล้ว พระองค์ ก็ทรงถ่อมพระองค์ลงยอมเชื่อฟังจนถึงความมรณา กระทั่ง ความมรณาที่กางเขน 9 เหตุฉะนั้นพระเจ้าจึงได้ทรงยก พระองค์ขึ้นอย่างสูง และได้ประทานพระนามเหนือนาม ทั้งปวงให้แก่พระองค์ 10 เพื่อเพราะพระนามนั้น ทุกเข่า ในสวรรค์ ที่แผ่นดินโลก ใต้พื้นแผ่นดินโลก จะคุกลงกราบ พระเยซู 11 และเพื่อทุกลิ้นจะยอมรับว่าพระเยซูคริสต์ทรง เป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า อันเป็นการถวายพระเกียรติแด่พระ บิดาเจ้า (ฟีลิปปี 2:5-11)

นี่คือข่าวประเสริฐวันคริสตมาส นี่เป็นข่าวแห่งพระกิตติคุณ พระเจ้าได้ส่งพระบุตรของ พระองค์มาเป็นพระผู้ช่วยให้รอด พระองค์จะส่งพระบุตรลงมาอีกครั้ง เพื่อมาเป็นกษัตริย์ เหนือกษัตริย์ทั้งหลาย ทุกคนที่ปฏิเสธพระเยซูเป็นพระผู้ช่วยให้รอด จะเป็นฝ่ายตรง ข้ามกับพระองค์ และเมื่อพระองค์เสด็จกลับมาอีกครั้ง คนที่ปฏิเสธพระองค์ในวันนี้จะ ต้องล้มลงต่อหน้าพระองค์ เช่นเดียวกับผู้ที่พ่ายแพ้ ทุกคนที่ยอมรับพระองค์ในวันนี้ให้ เป็นพระผู้ไถ่ความผิดบาปสำหรับพวกเขา จะปกครองร่วมกับพระองค์เมื่อพระองค์เสด็จ กลับมา ถ้าเราได้เรียนบางสิ่งจากซาอูล น่าจะเป็นเรื่องความโง่ที่ปฏิเสธกษัตริย์ที่พระ เจ้าแต่งตั้ง ดังนั้นขออย่าให้เราทำผิดในแบบเดียวกันเลย


80 ผมค่อนข้างประทับใจในอิทธิพลที่โยนาธานมีต่อบิดาของท่าน และจะเห็นชัดเจนมากขึ้นใน 1 ซามูเอล ว่าทัศนคติและการกระทำของซาอูลต่อดาวิดนั้นเป็นอิทธิพลที่ท่านได้รับมาจากผู้อื่น ซึ่งได้ประโยชน์จากความเกลียดชังที่ท่านมีต่อดาวิด (ดู 24:9; 26:19) โยนาธานจัดการกับ เรื่องนี้อย่างตรงไปตรงมา อย่างน้อยก็ในครั้งนี้

81 ดูไม่ค่อยชัดเจนทีเดียวนักว่าซาอูลพยายามฆ่าดาวิดด้วยหอกในครั้งนี้ ที่ท่านทำคือ "ปัก ดาวิดให้ติดฝาผนัง" เช่นเมื่อก่อน (18:11) แต่ตอนนั้นท่านพุ่งหอกไปที่ดาวิด ครั้งนี้ท่านอาจ จะจับดาวิดไว้ด้วยมือข้างหนึ่ง และอีกข้างใช้หอกเสียบไปที่ลำตัว หรือที่พูดว่า "ปักให้ติดผนัง" มันคงดูตลกที่ซาอูลเลิกพุ่งหอกจากระยะไกล เพราะท่านมือไม่แม่นเลย จะอย่างไรก็ตาม ซาอูล อาจให้เหตุผลกับตัวเองว่า "ถ้าฆ่ามันในระยะไกลไม่ได้ (เพราะมือไม่แม่น) ก็จะจับมันไว้ แล้ว เสียบด้วยหอกให้ติดผนังไปเลย" ถ้ารูปการเป็นเช่นนี้ และซาอูลยังทำอะไรดาวิดไม่ได้ เราคง จินตนาการได้ว่าเมื่อเดินอยู่ในวังของซาอูล ผนังวังคงมีรูที่ถูกหอกปักอยู่เต็มไปหมด

82 เราอาจนำทฤษฎีนี้ไปเปรียบเทียบกับกิจการบทที่ 5 เมื่อความโลภของอานาเนียและนาง สัปฟีราเปิดประตูเชิญมาร "เข้ามาในใจ" เพื่อจะโกหกเกี่ยวกับเงินที่ถวาย

83 ถ้าคุณเคยได้ดูหนังที่เกี่ยวกับการพยายามช่วยชีวิตคนในรูปแบบต่างๆ คุณคงพอนึกภาพออก

84 ที่จริงสิ่งที่มีคาลตอบบิดานั้นชัดเจนยิ่ง ถ้านางพูดว่า "เธอพูดกับหม่อมฉันว่า 'ปล่อยให้ฉัน ไปเถิด จะให้ฉันฆ่า เธอทำไมเล่า ?'" ซึ่งนางหมายถึงว่าดาวิดมีความตั้งใจจะฆ่าซาอูล ไม่ใช่จะ ฆ่านาง หรือจะพูดให้ชัดอีกก็ได้ว่า "เธอพูดกับหม่อมฉันว่า 'ปล่อยให้ฉันไปเถิด จะให้ฉันฆ่าเธอ ทำไมเล่า ในเมื่อบิดาเธอต่างหาก ที่ฉันอยากฆ่า ?'"

85 ไม่มีใครทราบว่านาโยทคือสถานที่ใด (หรือตั้งอยู่ที่ใด) หรือคำนี้อาจแปลว่า "ค่าย" ก็เป็น ได้ เพราะความหมายก็คือ "กระท่อม" หรือ"ค่าย" ให้ดูหมายเหตุที่ 7 หน้า 57 ในหนังสือชื่อ Looking on the Heart: Expositions of the Book of 1 Samuel: (Grand Rapids: Baker Books, 1994), vol. 2 เขียนโดย Dale Ralph Davis ดูเหมือนรามาห์และนาโยทจะอยู่ใกล้ๆกัน แต่เราไม่รู้จักชื่อเมือง ผมคิดว่าซามูเอลและดาวิดคงจะไปหลบอยู่ในกระท่อมหลังใดหลังหนึ่งที่ ในค่าย ซึ่งอาจจะอยู่ในรามาห์หรือที่เมืองใกล้เคียงกัน

Related Topics: Introductions, Arguments, Outlines

บทที่ 18: เมื่อซาอูลขว้างหอก โยนาธานก็รู้ว่าเอาจริง (1 ซามูเอล 20:1-42)

คำนำ

ภรรยาผมมีชื่อเหมือนคุณป้าของเธอ คุณป้าคนนี้ตายไปเมื่อท่านอายุประมาณเก้าสิบกว่า ผมไม่แน่ใจว่าตอนเข้าสู่วัยเลขเก้าท่านรู้สึกอย่างไร แต่คาดว่าคงจะดี "คุณป้าเจ" (ชื่อ เต็มว่าเจ็นเนท) ค่อนข้างจะเป็นคนแข็งแรงกระฉับกระเฉง ในช่วงท้ายของชีวิต ความ จำของท่านเริ่มเสื่อมลง ไม่ถึงกับว่าจำอะไรไม่ได้เลย แต่เป็นเหมือนกับว่าความจำสับสน (ที่พวกนักคอมพิวเตอร์เรียกว่าไฟล์ล้มน่ะครับ) ข้อมูลจากบางที่บางเวลาถูกนำมารวม กับอีกที่อีกเวลา ทำให้เรื่องราวต่างๆที่ท่านเล่าผิดไปจากที่ภรรยาผมจำได้

ตอนที่เราไปเยี่ยมป้าเจ มีการคุยกันเรื่องวันเก่าๆ ป้าเจจะชวนคุยบางเรื่องที่ภรรยาผม เจ็นเนทต้องคอยแก้ให้ถูกต้อง เธอชอบพูดว่า "ไม่ใช้แล้วค่ะคุณป้าเจ ป้าจำไม่ได้หรือ คะว่าตอนอยู่ที่ซานฟรานซิสโกบ้านเป็นอีกแบบหนึ่ง ?" ป้าเจจำไม่ได้หรอกครับ ที่เธอ จำได้เป็นอีกแบบไปเลย ผมนั่งฟังเรื่องที่ป้าเจเล่า และภรรยาผมคอยพูดแ้ก้อยู่พักใหญ่ ในที่สุด พอป้าเจเล่าเรื่องสุดท้ายจบ ภรรยาผมพูดว่า "ผิดอีกแล้วค่ะป้าเจ เรื่องมันเป็น อย่างนี้ๆค่ะ … . . " ป้าเจอาจจะแก่ และความจำไม่ค่อยจะดี แต่ท่านก็ยังคงแหลมคม ไม่ใช่เล่น ท่านตอบภรรยาผมว่า "ป้าว่าไม่พูดถึงจะดีกว่า… ." เป็นคำตอบที่เข้าท่าดี นะครับ! ถึงแม้ป้าเจจะจำเรื่อราวได้ไม่ถูกต้องนัก แต่ท่านคิดว่าความจำของท่านนั้นเป็น จริง ท่านไม่อยากให้ภรรยาผมเสียความรู้สึก แต่ท่านก็ไม่ได้ปมายความว่าท่านเห็นด้วย กับที่ภรรยาผมแย้ง คำตอบว่า "ป้าว่าไม่พูดถึงจะดีกว่า" นั้นเหมาะจริงๆ ท่านเห็นด้วย ไรือไม่เห็นด้วยท่านก็ไม่ต้องแสดงออกมา

เมื่อผมอ่าน 1 ซามูเอลบทที่ 20 ผมนึกถึงป้าเจและคำพูดของท่าน ท่านทำให้ผมนึกถึง โยนาธานที่พูดตอบดาวิดในตอนต้นบท ดาวิดไปหาโยนาธานเพื่อบอกให้รู้ว่าบิดาของ โยนาธาน ซาอูลจงใจฆ่าท่านให้ตาย ดาวิดต้องการรู้ว่าท่านทำสิ่งใดผิดจึงทำให้ซาอูล ทำเช่นนี้ โยนาธานไม่เชื่อหูตัวเอง โยนาธานคิดแต่เพียงว่าซาอูลจะยึดมั่นในคำพูดที่ สัญญาว่าจะไม่ฆ่าดาวิด (19:6) ดาวิดต้องย้ำให้โยนาธานเข้าใจให้ได้ว่าท่านไม่ไ้ด้บ้า หรือคิดไปเอง เหมือนที่ซาอูลหวาดกลัว ท่านจึงสาบานกับโยนาธานว่าท่านพูดความ จริง โยนาธานตอบเหมือนกับที่ป้าเจตอบ "โอ เค ผมเชื่อคุณ คงจะเป็นเรื่องจริง"

พระธรรมบทนี้เป็นเรื่องเศร้าสำหรับซาอูล โยนาธานและดาวิด เพราะตอนนี้ยิ่งกว่าชัด เจนแล้วว่าซาอูลต้องการฆ่าดาวิดจริงๆ แล้วก็จะฆ่าลูกตัวเองด้วยถ้าเข้ามาขวางทาง เป็นตอนที่สัมพันธ์ภาพระหว่างดาวิดกับโยนาธาน และระหว่างดาวิดกับซาอูลกำลังจะ หักเห เป็นโอกาสที่จะพิสูจน์ถึงสัญญาที่ดาวิดและโยนาธานมีต่อกัน แม้จะต้องจากกัน ด้วยความเศร้า แต่ยังมีแสงสว่างอยู่บ้างในบทที่แสนมืดมัวนี้ เป็นบทเรียนที่สำคัญยิ่ง สำหรับคริสเตียนในทุกวันนี้

ดาวิดเสนอให้พิสูจน์

(20:1-23)

1 ดาวิดก็หนีจากนาโยทในเมืองรามาห์ และมาหาโยนาธานกล่าวว่า "ข้าพเจ้าได้กระทำสิ่งใด อะไรเป็นความผิดของข้าพเจ้า และข้าพเจ้า ได้กระทำบาปอันใดต่อเสด็จพ่อของท่าน พระองค์จึงได้แสวงชีวิตของ ข้าพเจ้า" 2 และโยนาธานจึงตอบเธอว่า "ไม่มีวี่แววเลย เธอไม่ต้องตาย ดอก ดูเถิด เสด็จพ่อมิได้ทรงกระทำการใหญ่น้อยสิ่งใดโดยมิให้ฉันรู้ ทำไมเสด็จพ่อจะปิดบังเรื่องนี้จากฉันเล่า คงไม่เป็นเช่นนั้นแน่" 3 แต่ ดาวิดตอบว่า "เสด็จพ่อของท่านทรงทราบดีว่า ข้าพเจ้าเป็นที่พอใจท่าน และพระองค์คงดำริว่า 'อย่าให้โยนาธานรู้เรื่องนี้เลย เกรงว่าเขาจะเศร้าใจ' พระเจ้าทรงพระชนม์อยู่แน่ฉันใด และท่านมีชีวิตแน่ฉันใด ความจริงมีอยู่ว่า ระหว่างข้าพเจ้ากับความตายก็ยังเหลืออีกเพียงก้าวเดียว" 4 โยนาธาน จึงพูดกับดาวิดว่า "เธอว่าอย่างไร ฉันจะทำตามเพื่อเธอ" 5 ดาวิดจึงกล่าว กับโยนาธานว่า "ดูเถิด พรุ่งนี้เป็นวันขึ้นค่ำ ข้าพเจ้าไม่ควรขาดที่จะนั่ง ร่วมโต๊ะเสวยกับพระราชา แต่ขอโปรดให้ข้าพเจ้าไปซ่อนตัวอยู่ที่ในทุ่งนา จนถึงเย็นวันที่สาม 6 ถ้าเสด็จพ่อของท่านเห็นข้าพเจ้าขาดไป ก็ขอโปรด ทูลพระองค์ว่า 'ดาวิดได้วิงวอนขอลาข้าพระบาทรีบกลับไปเมืองเบธเลเฮม เมืองของตน เพราะที่นั่นวงศ์ญาติทำการถวายสัตวบูชาประจำปี' 7 ถ้าพระ องค์รับสั่งว่า 'ดีแล้ว' ผู้รับใช้ของท่านก็ดีไป แต่ถ้าพระองค์ทรงกริ้วก็ขอ ทราบเถิดว่าพระองค์ดำริการร้าย 8 เพราะฉะนั้นขอท่านกรุณากระทำแก่ ผู้รับใช้ของท่านด้วยใจจงรัก เพราะท่านได้กระทำพันธสัญญาแห่งพระ เจ้ากับผู้รับใช้ของท่านแล้ว แต่ถ้าความผิดมีอยู่ในข้าพเจ้า ขอท่านฆ่า ข้าพเจ้าเสียเองเถิด เพราะท่านจะนำข้าพเจ้าไปให้เสด็จพ่อของท่านทำไม" 9 โยนาธานจึงกล่าวว่า "อย่าให้มีวี่แววอย่างนี้เลยน่ะ ถ้าฉันทราบว่าเสด็จ พ่อคิดร้ายต่อเธอ ฉันจะไม่ไปบอกเธอหรือ" 10 แล้วดาวิดก็กล่าวแก่ โยนาธานว่า "ถ้าเสด็จพ่อของท่านตอบท่านอย่างดุดัน ใครจะบอกแก่ ข้าพเจ้าได้" 11 และโยนาธานบอกดาวิดว่า "มาเถิดให้เราเข้าไปในทุ่งนา" เขาทั้งสองจึงเข้าไปในทุ่งนา 12 และโยนาธานกล่าวแก่ดาวิดว่า "ขอ พระเยโฮวาห์ พระเจ้าแห่งอิสราเอลทรงเป็นพยาน เมื่อฉันได้หยั่งดูเสด็จ พ่อของฉันในวันพรุ่งนี้ประมาณเวลานี้ หรือในวันที่สาม ดูเถิด ถ้ามีอะไร ดีต่อดาวิดแล้ว ฉันจะไม่ใช้คนไปบอกเธอทีเดียวหรือ 13 แต่ถ้าเสด็จพ่อ พอพระทัยที่จะทำร้ายเธอ ถ้าฉันไม่บอกเธอให้ทราบ และไม่ส่งให้เธอ หนีไปให้พ้นภัยแล้ว ก็ขอพระเจ้าทรงลงโทษแก่โยนาธาน และยิ่งหนักกว่า ขอพระเจ้าทรงสถิตกับเธอ อย่างที่พระองค์ทรงสถิตกับเสด็จพ่อของฉัน 14 ถ้าฉันยังมีชีวิตอยู่ต่อไป ขอเธอสำแดงความรักมั่นคงแห่งพระเจ้าต่อฉัน เพื่อฉันจะไม่ต้องตาย 15 ขออย่าตัดความรักมั่นคงของเธอที่มีต่อพงศ์พันธุ์ ของฉันเป็นนิตย์ ในเมื่อพระเจ้าทรงกำจัดศัตรูทั้งสิ้นของดาวิด เสียจากผิว พิภพแล้ว" 16 โยนาธานจึงทำพันธสัญญากับพงศ์พันธุ์ของดาวิดว่า "ขอ พระเจ้าทรงแก้แค้นต่อศัตรูของดาวิดเถิด" 17 และโยนาธานก็ให้ดาวิด ปฏิญาณอีกครั้งหนึ่ง โดยความรักของท่านที่มีต่อเธอ เพราะท่านรักเธอ อย่างกับรักชีวิตของตนเอง 18 แล้วโยนาธานจึงพูดกับเธอว่า "พรุ่งนี้เป็น วันขึ้นค่ำ และเขาจะเห็นว่าเธอขาดไป เพราะที่นั่งของเธอจะว่างอยู่ 19 เมื่อเธออยู่สามวันแล้ว เธอจงลงไปโดยเร็ว ไปยังที่ที่เธอได้ซ่อนตัวอยู่ ในวันแห่งการกระทำนั้น และคอยอยู่ข้างศิลาเอเซล 20 ฉันจะยิงลูกธนู สามลูกไปข้างๆที่นั่น อย่างกับว่าฉันยิงเป้า 21 และดูเถิด ฉันจะใช้เด็ก ไปสั่งว่า 'จงไปหาลูกธนู' ถ้าฉันพูดกับเด็กนั้นว่า 'ดูเถิด ลูกธนูอยู่ทาง ข้างนี้ของเจ้า ไปเอามา' แล้วขอเธอเข้ามาเพราะพระเจ้าทรงพระชนม์ แน่ฉันใด เธอก็ปลอดภัยแล้ว ไม่มีอันตรายอันใด 22 ถ้าฉันพูดกับเด็ก หนุ่มนั้นว่า 'ดูเถิด ลูกธนูอยู่ข้างหน้าเจ้าโน้น' เธอจงไปเถิดเพราะว่า พระเจ้าได้ทรงส่งเธอไปแล้ว 23 ส่วนเรื่องที่เธอและฉันได้พูดกันนั้น ดูเถิด พระเจ้าทรงเป็นพยานระหว่างเธอและฉันเป็นนิตย์"

ผมว่าผมเข้าใจดีว่าทำไมดาวิดจึง "หนี" จากรามาห์ไปหาโยนาธานที่วังของซาอูล (ข้อ 1) ที่รามาห์ ดาวิดอยู่กับผู้เผยพระวจนะซามูเอล และซาอูลไม่สามารถแตะต้องท่านได้ เมื่อซาอูลส่งผู้สื่อสารถึงสามกลุ่มไปจับกุมดาวิด ทุกคนถูกพระวิญญาณครอบครองและ เกิดการอัศจรรย์ และเกิดกับซาอูลด้วย (19:18-24) แล้วเพราะเหตุใดดาวิดจึง "หนี" ออกไปยังสถานที่ที่ซาอูลและโยนาธานอยู่ ? มีคำอธิบายเดียวที่สมเหตุผลที่สุดสำหรับ ผมคือ ที่นั่นเป็นที่แห่งเดียวที่ท่านจะพบกับโยนาธานเพื่อนรักได้ ดาวิดไม่ได้คิดหนี ไปจากซาอูล 86 เท่ากับที่ท่านอยากหนีไปหาโยนาธาน เหมือนกับที่ท่านหนีไปหา อาหิเมเลข และซามูเอลก่อนหน้านี้

ดาวิดไม่ได้พูดจาหลอกลวงโยนาธาน ท่านถ่อมใจลงอย่างน่านับถือ ท่านไม่ได้กล่าวหา หรือโจมตีซาอูล ท่านเพ่งไปที่ความบาปของท่านเองก่อน สังเกตุดูว่ามีการใช้คำสอง คำเมื่อพูดถึงบาป ("ความผิด" "บาป") ในข้อ 1 ดาวิดต้องการรู้ด้วยใจจริงว่าท่านทำ ผิดสิ่งใดหรือ ซาอูลถึงได้ปฏิบัติต่อท่านเช่นนี้

โยนาธานยังล้าหลังดาวิดอยู่สองสามก้าว ท่านไม่ได้ตอบดาวิดเรื่องความผิดบาป แต่ กลับให้ดาวิดทบทวนดูใหม่ถึงเรื่องที่ว่าตกอยู่ในอันตราย – เพราะซาอูล ! โยนาธาน กลับพูดเรื่องที่ซาอูลต้องการฆ่าดาวิด แต่กลับไม่พูดเรื่องความผิดบาป โยนาธานดูจะ ใสซื่อไปหน่อย เพราะท่านกลับไปย้ำกับดาวิดว่า ถ้าบิดาท่านจะฆ่าดาิวิดจริง คงต้อง บอกให้ท่านรู้ – ท่านเป็นบุตร – น่าจะต้องรู้ก่อน

ดาวิดไม่เห็นด้วยกับการประเมิณสถานการณ์ของโยนาธาน ท่านจึงต้องสาบานว่าเรื่อง นี้เป็นเรื่องจริง และโยนาธานไม่ควรมองข้ามไป โดยเฉพาะเมื่อซาอูล รู้ว่าทั้งสองเป็น เพื่อนรักกัน มีพันธสัญญาต่อกัน ทำไมซาอูลจะโง่ไปบอกแผนการนี้กับโยนาธานเล่า ? ซาอูลต้องการเก็บเรื่องนี้ไว้เงียบๆคนเดียว ไม่ต้องการให้โยนาธานรู้

ดาวิดจึงต้องย้ำด้วยคำพูดที่หนักแน่น ว่าชีวิตของท่านกำลังอยู่ในอันตรายอันใหญ่หลวง ท่านอยู่ห่างจากความตายเพียงก้าวเดียว ตอนนี้โยนาธานเริ่มรู้แล้วว่าดาวิดพูดจริงเรื่อง ความตาย ท่านเข้าใจแล้วว่าดาวิดต้องการให้ท่านช่วยจริงๆ โยนาธานจึงใจอ่อนและ บอกกับดาวิดว่าท่านจะช่วยตามที่ดาวิดต้องการ โยนาธานอาจจะยังไม่ค่อยมั่นใจว่าบิดา คิดทำการชั่ว แต่ท่านมั่นใจว่าดาวิดทั้งหวาดวิตกทั้งกลัว โยนาธานตกลงใจเชื่อดาวิด

จากข้อ 5 ไป ดาวิดเสนอแผนการที่จะพิสูจน์ว่าซาอูลคิดจะฆ่าท่าน และแผนการนี้จะได้ ประโยชน์ทั้งดาวิดและโยนาธาน เป็นแผนการง่ายๆ ในวันรุ่งขึ้น ดวงจันทร์เต็มดวง เป็น เวลาที่ซาอูลต้องถวายเครื่องบูชา และรับประทานเนื้อจากการถวาย ดาวิดเป็นส่วนหนึ่ง ของครอบครัว และต้องอยู่ในพิธีด้วย ถ้าซาอูลคิดจะฆ่าดาวิด ท่านจะรู้สึกไม่พอใจที่ ดาวิดไม่มาร่วมรับประทานด้วย ถ้าซาอูลไม่คิดจะฆ่าดาวิด ดาวิดอยู่หรือไม่อยู่ก็ไม่ใช่ เรื่องใหญ่สำหรับซาอูล ดาวิดจึงมีแผนจะไม่ไปร่วมรับประทานอาหาร เมื่อท่านหายหน้า ไป จะเ็ป็นการพิสูจน์ถึงใจจริงของซาอูล

มีคำอธิบายที่ดูมีเหตุผลในการหายไปของดาวิด ดาวิดอธิบายแผนการนี้ให้โยนาธานฟัง เพราะโยนาธานจะอยู่ในพิธีและจะเป็นคนตอบข้อสงสัยให้กับบิดาถ้าท่านถามถึงดาวิด โยนาธานต้องบอกซาอูลว่าดาวิดขออนุญาติไปร่วมฉลองกับครอบครัวบิดาที่เบธเลเฮม เป็นคำอธิบายที่สมเหตุผล และไม่น่าจะสร้างปัญหาให้กับซาอูล ยกเว้นท่านอยากจะหา เรื่อง – หาเรื่ื่องฆ่าดาวิด

แต่เหตุใดการหายไปของดาวิดจึงเป็นเรื่องใหญ่สำหรับซาอูล ? ผมคิดว่าน่าจะเป็นเพราะ ดาวิดไม่มาร่วมโต๊ะเสวยหลายครั้ง อย่างน้อยก็สองครั้งแล้ว ซาอูลเคยคิดจะฆ่าดาวิด ด้วยการพุ่งหอกใส่ที่ในวัง ดาวิดหนีไปจากวังของซาอูล และหนีไปจากบ้านของท่าน เองด้วย ท่านหลบไปอยู่กับซามูเอลที่รามาห์ระยะหนึ่ง การหายไปของดาวิดเป็นที่น่า สงสัย เพราะการรับประทานอาหารในพิธีฉลองนี้เป็นเหมือนกับที่เราฉลองคริสตมาสกัน เป็นเวลาของครอบครัวที่สมาชิกควรอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตา ถึงแม้ดาวิดจะแยกครอบ ครัวไปแล้ว ท่านก็ยังคงต้องมาร่วมฉลองด้วย ซาอูลต้องการให้ดาวิดมาอยู่ด้วย เพื่อจะมี โอกาสฆ่าอีกครั้ง ถ้าดาวิดไม่มาร่วมฉลอง ซาอูลไม่แน่ใจว่าเมื่อใดจะมีโอกาสอีก ดังนั้น การหายตัวไปของดาวิดจะเป็นสิ่งที่พิสูจน์ถึงความตั้งใจจริงของซาอูล

ดาวิดขอร้องให้โยนาธานทำตามแผนเพื่อจะพิสูจน์ว่าซาอูลต้องการฆ่าท่านจริงหรือไม่ ท่านใช้ความรักและสัญญาที่ทั้งสองผูกพันกันอยู่ขอร้องให้โยนาธานทำตามแผน (ดู 18:1-4; 19:1) ดาวิดพูดกับโยนาธานเหมือนพูดกับเจ้านาย ตัวท่านเป็นเพียงผู้รับใช้ (20:8) ที่จริงก็ถูก เพราะเวลานั้นโยนาธานเป็นโอรสของกษัตริย์ และดาวิดยังอยู่ภาย ใต้ท่าน ดาวิดขอให้เห็นกับคำสัญญาที่ทั้งสองมีต่อกัน เพื่อโยนาธานจะยอมทำตามแผน แทนที่จะนำดาวิดไปมอบให้กับซาอูล ดาวิดขอให้โยนาธานฆ่าท่านแทน ถ้าพบว่าท่าน ทำผิดสิ่งใด โยนาธานตกใจต่อคำพูดของดาวิด ดาวิดคิดจริงๆหรือว่าท่านจะหักหลัง ด้วยการส่งเพื่อนรักไปให้ถูกฆ่า ? ถ้าเกิดโยนาธานรู้เรื่องแผนการที่บิดาคิดจะฆ่าดาวิด ท่านจะไม่เตือนเพื่อนรักให้รู้ตัวเชียวหรือ ท่านจะหักหลังเพื่อนได้อย่างไร ?

โยนาธานจึงบอกว่าถ้าท่านรู้เรื่องใดเกี่ยวกับแผนการฆ่าดาวิด ท่านจะเตือนให้ดาวิด รู้ตัวแน่นอน ถ้าบิดาท่านคิดจะฆ่าดาวิด ท่านจะรีบบอกให้ดาวิดรู้แน่ มีทางเป็นไปได้ว่า ถ้าแผนนี้เกิดพลิกผัน สมมุติว่าถ้าซาอูลต้องการจะฆ่าดาวิดจริงๆ ท่านจะฆ่าโยนาธาน ด้วยหรือไม่ที่มารู้เข้า ? และถ้าเกิดซาอูลฆ่าโยนาธานเพราะรู้ว่ามาช่วยดาวิด แล้วใคร จะมาเตือนดาวิดให้รู้ตัวได้ ? ผมพูดอย่างชัดเจนตรงไปตรงมา แต่ดาวิด ท่านมีวิธีการ พูดที่นุ่มนวลกว่า :

"ถ้าเสด็จพ่อของท่านตอบท่านอย่างดุดัน ใครจะบอกแก่ข้าพเจ้าได้" (ข้อ 10ข)

มาถึงตอนนี้ โยนาธานทำสิ่งที่ค่อนข้างจะแปลกและคาดไม่ถึง ท่านไม่ได้พูดอะไรต่อไป แต่กลับชวนดาวิดไปที่กลางทุ่งนา (ข้อ 12) ซึ่งคงจะเป็นทุ่งนาเดียวกับที่ท่านเคยกล่าว ตักเตือนบิดา โดยมีดาวิดเฝ้าดูอยู่ (19:1-6) ผมเชื่อว่าโยนาธานคงตระหนักดีแล้วว่า สถานการณ์นั้นร้ายแรง ถ้าซาอูลอิจฉาจนบ้าคลั่ง วางแผนฆ่าดาวิดให้ตาย ก็น่ากลัวว่า สิ่งที่ทั้งสองพูดกันอยู่อาจมีคนได้ยินและนำไปบอกกับซาอูล ทั้งสองคงไม่ได้ตั้งใจออก ไปสูดอากาศที่กลางทุ่งแน่ ทั้งสองต้องออกไปเพื่อให้พ้นจากหูและสายตาของพวก สอดรู้สอดเห็น และที่ในทุ่งยังเป็นสถานที่ที่จะใช้สำหรับ "พิสูจน์" เพื่อจะได้วางแผนให้ รัดกุมยิ่งขึ้น

ถ้าพิสูจน์ออกมาว่าซาอูลเปลี่ยนใจเกี่ยวกับเรื่องดาวิด และความตั้งใจของท่านนั้นดี โยนาธานจะส่งสัญญาณให้ดาวิดรู้ตัว (ข้อ 12) แต่ถ้าซาอูลยังมีความเกลียดชังดาวิด อยู่ โยนาธานจะหาทางบอกให้ดาวิดรู้ตัวและรีบหนีไปเสีย ถ้าเป็นตามนั้น และดาวิด ต้องรีบหนี (อย่างที่โยนาธานหวั่นๆอยู่) ก็ขอให้ดาวิดรู้ว่าท่านทั้งรัก และปรารถนาให้ พระเจ้าประทานพระพรให้ดาวิด (ข้อ 13).

และถ้าดาวิดต้องหนีไปจริงๆ โยนาธานขอบางอย่างจากดาวิด ท่านขอให้ดาวิดระลึก ถึงพันธสัญญาที่ทั้งสองมีต่อกัน ถ้าโยนาธานยังมีชีวิตอยู่ 87 ขอให้ดาวิดไว้ชีวิตท่าน เช่นเดียวกับที่ท่านพยายามปกป้องชีวิตดาวิด โยนาธานรู้ดีว่าดาวิดจะมีชีวิตอยู่ และจะ ขึ้นปกครองอิสราเอลในฐานะกษัตริย์ และเมื่อท่านขึ้นเป็นกษัตริย์แล้ว โยนาธานขอให้ ท่านไว้ชีวิต ท่านรู้ดีว่าเมื่อมีการเปลี่ยนราชวงศ์ใหม่ กษัตริย์องค์ใหม่จะฆ่าเชื้อสายของ ราชวงศ์เก่าให้หมดสิ้นเพื่อปกป้องราชบัลลังก์ โยนาธานต้องการความมั่นใจว่าตัวท่าน และลูกหลานจะไม่ถูกกำจัดออกไปเหมือนที่อื่นๆ ทั้งสองทบทวนสัญญาด้วยกันอีกครั้ง เพื่อเป็นการแสดงถึงความรักผูกพันที่มีต่อกัน มีข้อแตกต่างที่สำคัญมากระหว่างพันธ สัญญาครั้งนี้กับครั้งก่อนหน้า พันธสัญญาที่ทำกันก่อนหน้านี้ ทำระหว่างสองคนเท่านั้น คือดาวิดและโยนาธาน แต่ครั้งนี้ทำระหว่างสองตระกูล สองราชวงศ์ คือระหว่างราช วงศ์ของดาวิด และราชวงศ์ของโยนาธาน

มีการเปลี่ยนแปลงที่เห็นได้ในข้อ 18-23 โยนาธานกลายมาเป็นผู้นำในเรื่องนี้ ดาวิด เป็นผู้เริ่มเรื่อง ท่านหลบออกจากรามาห์เพื่อมาตามหาโยนาธาน ตอนแรกโยนาธาน ไม่ค่อยอยากจะเชื่อเรื่องที่ดาวิดเล่าเกี่ยวกับบิดา แต่พอเห็นว่าดาวิดจริงจังกับเรื่องนี้ มาก ท่านจึงตกลงใจช่วยในสิ่งที่ดาวิดเห็นสมควร ดาวิดเสนอแผนที่จะเปิดเผยความ ตั้งใจจริงของซาอูล ต่อมาในข้อ 11 โยนาธานพาดาวิดออกไปที่กลางทุ่งนา เพื่อพูด คุยกันต่อ ผมคงต้องขอบอกว่าเนื้อหานับจากจุดนี้ไป โยนาธานขึ้นมาเป็นคนจัดการแทน ท่านไม่ได้เพียงแค่รับฟังหรือรอคำสั่งจากดาวิดอีกต่อไป ท่านเป็นผู้นำ 88

ในข้อ 18-23 โยนาธานค่อยๆวางแผนการ เพื่อจะแจ้งดาวิดให้ทราบถึงคำตอบในการ พิสูจน์ ดาวิดต้องหลบซ่อนอยู่สามวันเพื่อทำตามแผน หลังจากนั้นให้ท่านออกไปที่ยัง ทุ่งนาเดียวกันนี้ แล้วโยนาธานจะส่งสัญญาณให้รู้คำตอบ โยนาธานจะยิงธนูสามลูก เหมือนกับว่าเล็งไปที่เป้า แล้วโยนาธานจะส่งเด็กไปหาลูกธนู ถ้าโยนาธานสั่งให้เด็ก ไปข้างที่ท่านชี้ไป ก็ให้ดาวิดรู้ว่าซาอูลประสงค์ดีต่อท่าน และท่านก็ออกมาจากที่ซ่อน ได้ แต่ถ้าโยนาธานส่งเด็กออกไป ให้ไปเก็บลูกธนูซึ่งอยู่ข้างหน้าเด็กออกไป ก็ให้ดาวิด รู้ว่าซาอูลประสงค์จะฆ่าท่าน และท่านควรรีบหนีไปโดยเร็ว

มีการพูดถึงเรื่องพันธสัญญาระหว่างทั้งสองอีกครั้งในแผนการนี้ โยนาธานพูดให้ดาวิด มั่นใจว่าท่านจะทำทุกอย่างตามที่วางแผน เพราะเห็นแก่สัญญาของทั้งสอง การที่นำคำ ว่า เป็นนิตย์ มาใช้ในข้อ 23 แสดงให้เห็นว่าพันธสัญญานี้ครอบคลุมทั้งโยนาธานและ พงศ์พันธ์ของท่าน และดาวิดและพงศ์พันธ์ของท่านด้วย การทำพันธสัญญาครั้งนี้ทำ ด้วยความไว้ใจและความรักที่มีต่อกัน

ซาอูลสอบตก
(20:24-34)

24 ดาวิดจึงซ่อนตัวอยู่ในทุ่งนาและเมื่อถึงวันขึ้นค่ำ พระราชาก็ ประทับเสวยพระกระยาหาร 25 พระราชาประทับบนพระที่นั่งของ พระองค์อย่างที่เคยทรงกระทำ คือประทับที่พระที่นั่งข้างๆฝาผนัง โยนาธานยืนอยู่และอับเนอร์นั่งอยู่ข้างซาอูล แต่ที่ของดาวิดก็ว่าง อยู่ 26 อย่างไรก็ดีในวันนั้นซาอูลมิได้ตรัสประการใด เพราะทรง ดำริว่า "ดาวิดคงเกิดเหตุบางอย่าง เขาคงมลทิน เขาคงมลทินแน่" 27 แต่รุ่งขึ้นจากวันขึ้นค่ำ คือวันที่สอง ที่ของดาวิดก็ว่างอยู่ และ ซาอูลก็ตรัสกับโยนาธานราชบุตรของพระองค์ว่า "ทำไมบุตรเจส ซีมิได้มารับประทานอาหารทั้งวานนี้และวันนี้" 28 โยนาธานทูล ตอบซาอูลว่า "ดาวิดได้วิงวอนขอลาข้าพระบาทไปยังบ้านเบธเลเฮม 29 เขาว่า 'ขออนุญาตให้ข้าพเจ้าไป เพราะตระกูลของข้าพเจ้า มีการถวายสัตวบูชาในเมือง และพี่ชายของข้าพเจ้าบัญชาให้ข้าพ เจ้าไปที่นั่น ถ้าข้าพเจ้าได้รับความปรานีในสายตาของท่าน ก็ขอ ให้ข้าพเจ้าไปเพื่อเยี่ยมพี่ชายของข้าพเจ้า' ด้วยเหตุนี้เขาจึงมิได้ มาที่โต๊ะของพระราชา" 30 แล้วความกริ้วของซาอูลก็พลุ่งขึ้นต่อ โยนาธาน พระองค์ตรัสกับท่านว่า "เจ้าลูกของหญิงกบฏและวิปลาส ข้าไม่รู้หรือว่าเจ้าเลือกบุตรเจสซีมาให้ ความอับอายแก่เจ้าเอง และ ให้ท้องแม่ของเจ้าได้อาย 31 ตราบใดที่ลูกของเจสซีมีชีวิตอยู่บนดิน ตัวเจ้าหรือราชอาณาจักรของเจ้าก็จะตั้งอยู่ไม่ได้ เพราะฉะนั้นจงใช้ คนไปตามเขามาให้เรา เพราะเขาจะต้องตายแน่" 32 แล้วโยนาธาน จึงทูลตอบพระราชบิดาของท่านว่า "ทำไมเขาจะต้องถูกประหาร เขาได้กระทำผิดสิ่งใดพระเจ้าข้า" 33 แต่ซาอูลได้ทรงพุ่งหอกใส่ท่าน เพื่อจะฆ่าท่าน ดังนั้นโยนาธานจึงทราบว่าพระราชบิดาของท่านหมาย ฆ่าดาวิดเสีย 34 โยนาธานจึงลุกขึ้นจากโต๊ะด้วยความโกรธยิ่งนักมิได้ รับประทานอาหารในวันที่สองของเดือนนั้น เพราะท่านเศร้าใจด้วย เรื่องดาวิด เพราะว่าพระราชบิดาของท่านได้หยามน้ำหน้าดาวิด

วันต่อมา โยนาธานไปนั่งร่วมโต๊ะกับบิดาเหมือนเช่นเคย ซาอูลนั่ง "ประทับพระที่ นั่งข้างๆฝาผนัง" (ข้อ 25) เพื่อความปลอดภัย (ไม่มีใครยิงหรือเอามีดมาฟันทางด้าน หลังได้) โยนาธานยืนอยู่ อับเนอร์นั่งข้างๆซาอูล ทุกคนนั่งตามที่นั่งในตำแหน่ง แต่ที่ นั่งของดาวิดว่างเปล่า ซาอูลไม่ได้พูดอะไร ท่านให้เหตุผลกับตัวเองว่าดาวิดคงจะเป็น มลทิน จึงไม่สามารถมาร่วมพิธีฉลองได้

วันต่อมา ที่นั่งดาวิดก็ยังว่างเปล่า ซึ่งมองดูเหมือนไม่เห็นความสำคัญ ซาอูลจึงถาม โยนาธานว่าทำไม "บุตรเจสซี"89 จึงไม่มาร่วมรับประทานอาหารถึงสองวันแล้ว โยนาธานตอบบิดาตามที่วางแผนไว้ ท่านตอบว่า ดาวิดมาขออนุญาตท่านเพื่อลา ไปร่วมฉลองกับครอบครัวบิดาที่เบธเลเฮม เพราะพี่ชายอยากให้ไป ท่านจึงมาขอ อนุญาติจากโยนาธาน และโยนาธานอนุญาติตามที่ขอ เป็นเรื่องแสนธรรมดา -- ไม่ เห็นน่าจะมีปัญหา

แต่เป็นปัญหาร้ายแรงสำหรับซาอูล ! ท่านโกรธเป็นอย่างมาก และระบายลงไปที่โยนา ธาน โดยสรุปว่าเป็นความผิดของโยนาธานทั้งหมด ท่านด่าว่าบุตรด้วยถ้อยคำรุนแรง ทุกสิ่งที่ท่านพูดถูกเกือบทั้งหมด โดยเฉพาะพันธสัญญาที่โยนาธานทำกับดาวิด โยนา ธานเป็นบุตรหัวปีของซาอูล เป็นรัชทายาท แต่โยนาธานกลับไม่ใยดี ขว้างทิ้งด้วยการ ไปทำพันธมิตรด้วยความรักกับดาวิด ถ้าดาวิดยังมีชีวิตอยู่ บัลลังก์จะตกอยู่กับดาวิด ไม่ ใช่กับโยนาธาน เป็นเพราะเหตุนี้ ซาอูลจึงสั่งให้โยนาธานไปนำตัวดาวิดมาเพื่อฆ่าเสีย

เหตุผลของซาอูลเป็นความเห็นแก่ตัว ไมใช่เป็นไปตามพระทัย ซาอูลไม่ยอมรับความ จริงที่ว่า พระเจ้าตรัสสั่งทางซามูเอลว่าราชอาณาจักรของซาอูลจะถูกตัดออกไป (13:13 -14; 15:22-23) ท่านไม่สนใจความจริงเรื่องการที่ซามูเอลเจิมตั้งดาวิดให้เป็นกษัตริย์ องค์ต่อไปของอิสราเอล (16:13) การฆ่าดาวิดก็เท่ากับเป็นการฆ่าผู้ที่พระเจ้าเจิม ดาวิด ไม่เคยคิดจะทำเช่นนี้กับซาอูล แต่ซาอูลกลับตั้งใจอย่างแรงกล้าที่จะฆ่าดาวิด โยนาธาน พยายามชี้ให้บิดาเห็นผิดถูกชั่วดี ทำไมต้องฆ่าดาวิด ? ท่านทำผิดประการใดหรือ ? ผิด มากถึงกับต้องโทษประหารเชียวหรือ ? ถ้าตามบทบัญญัติ (เช่น บัญญัติของโมเสส) ซาอูลต่างหากที่กำลังทำผิดบาปอย่างร้ายแรง ไม่ใช่ดาวิด

ตอนนี้ซาอูลบ้าจริง ท่านหยิบหอกที่ข้างตัว และพุ่งใส่โยนาธานบุตรของท่านเอง ทันที ที่ซาอูลขว้างหอก โยนาธานก็ถึงบางอ้อ หอกพลาดเป้า ดีหน่อยที่ซาอูลเป็นพวกมือไม่ เที่ยง 90 โยนาธานไม่มีใจสงสัยอีกต่อไป ตอนนี้ที่ว่างในโต๊ะเสวยเพิ่มเป็นสองที่ คือที่ ของดาวิดและโยนาธาน โยนาธานเสียใจมาก ที่ท่านเสียใจไม่ใช่เพราะบิดาทำให้ท่าน รู้สึกอับอายที่โต๊ะเสวย แต่เป็นเพราะบิดาท่านไม่ให้เกียรติกับดาวิด (ข้อ 34) ดาวิดพูด ถูกทั้งหมด ซาอูลต้องการฆ่าท่าน และฆ่าใครก็ตามที่บังอาจมาขวางทาง

การอำลาที่แสนเศร้า
(20:35-42)

35 รุ่งเช้าขึ้นโยนาธานก็ออกไปที่ทุ่งนาตาม ที่นัดหมาย ไว้กับดาวิด มีเด็กไปด้วยคนหนึ่ง 36 และท่านสั่งเด็กนั้น ว่า "จงวิ่งไปหาลูกธนูที่ฉันยิงไป" เมื่อเด็กนั้นวิ่งไป โย นาธานก็ยิงธนูลูกหนึ่งขึ้นหน้าไป 37 และเมื่อเด็กนั้นมา ถึงที่ที่ลูกธนูซึ่งโยนาธานยิงไปนั้น โยนาธานก็ร้องสั่งเด็ก นั้นว่า "ลูกธนูอยู่ข้างหน้าโน้นไม่ใช่หรือ" 38 และโยนา ธานร้องสั่งเด็กนั้นว่า "จงรีบไปโดยเร็วอย่าหยุดอยู่" เด็ก ของโยนาธานก็ไปเก็บลูกธนู และกลับมาหานายของตน 39 แต่เด็กนั้นไม่ทราบเรื่อง โยนาธานและดาวิดเท่านั้นที่ ทราบ 40 และโยนาธานก็มอบอาวุธของท่านให้เด็กนั้น และบอกเขาว่า "ไป จงแบกสิ่งเหล่านี้ไปในเมือง" 41 เมื่อเด็กนั้นไปแล้ว ดาวิดก็ลุกขึ้นมาจากที่ที่อยู่ทิศใต้ซบ หน้าลงถึงดินแล้วกราบลงสามครั้ง และทั้งสองก็จุบกัน และร้องไห้กัน จนดาวิดร้องมากเหลือเกิน 42 โยนาธาน จึงกล่าวกับดาวิดว่า "ขอจงไปเป็นสุขเถิด เพราะเราทั้ง สองได้ปฏิญาณไว้แล้วในพระนามแห่งพระเจ้าว่า 'พระเจ้า จะทรงเป็นพยานระหว่างฉันและเธอ และระหว่างพงศ์พันธุ์ ของฉันกับพงศ์พันธุ์ของเธอสืบไปเป็นนิตย์'" ดาวิดก็ลุกขึ้น จากไปและโยนาธานก็เข้าไปในเมือง

เวลาที่จะต้องทำตามแผนก็มาถึง โยนาธานต้องหาทางส่งสัญญาณให้ดาวิดรู้ตัว ว่าซาอูลตั้งใจจะฆ่าท่านแน่ ตามที่ตกลงกันไว้ โยนาธานจะออกไปทีทุ่งนาที่ดาวิด ซ่อนตัวคอยอยู่ ท่านส่งเด็กรับใช้ไปเตรียมหาลูกธนูที่จะยิงออกไป โยนาธานยิง ธนูลูกแรกเลยผ่านเด็กไป และตะโกนบอกเด็กว่า ลูกธนูอยู่เลยออกไปข้างหน้า ดาวิดรู้ได้ในทันทีว่าซาอูลจะฆ่าท่านแน่ ท่านต้องรีบหนีไปโดยเร็วที่สุึด เมื่อเด็กรับใช้ นำธนูมาคืนให้โยนาธาน โยนาธานจึงสั่งให้กลับเข้าเมืองไป

ถ้าทำตามแผน ดาวิดต้องรีบหนีเข้าป่าไปก่อนที่ใครจะมาเห็น แต่ไม่เป็นเช่นนั้น ทั้งสอง รู้ว่านับจากนี้ ชีวิตของทั้งคู่จะไม่มีวันเหมือนเดิม อาจจะไม่ได้เห็นหน้ากันอีก ถ้าจะเจอ ก็ต้องเป็นการแอบซ่อนลับๆ เพียงระยะสั้นๆ ดังนั้นวิดจึงตัดสินใจออกมาจากที่ซ่อน มาหาโยนาธาน และกล่าวลาด้วยน้ำตา ทั้งสองจุบและร้องไห้ ดาวิดร้องหนักกว่า โยนาธาน เพราะท่านรู้ดีว่านี่เป็นการสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ ก่อนจากกัน โยนาธานย้ำเตือน ดาวิดเรื่องคำสัญญาเกี่ยวกับวงศ์ตระกูล ดาวิดจึงลุกขึ้นและจากไป ส่วนโยนาธานกลับ เข้าเมือง ทุกอย่างจะไม่มีวันเหมือนเดิม ทั้งคู่รู้ดี

บทสรุป

เราจะเห็นว่าพระธรรมบทนี้เป็นจุดหักเหครั้งใหญ่ ระหว่างสัมพันธ์ภาพของดาวิด ซาอูล และโยนาธาน ก่อนหน้านี้ดาวิดหนีไปจากซาอูล แต่ก็เป็นเพียงชั่วคราว แต่บัดนี้คงเป็น การถาวร ดาวิดจะไม่มีวันได้นั่งร่วมโต๊ะเสวยกับซาอูลอีก ไม่ได้เล่นพิณถวายกล่อมท่าน และจะไม่ได้ร่วมรบในกองทัพอิสราเอลอีกต่อไป ดาวิดกลายเป็นผู้ลี้ีภัยผู้ซึ่งต้องคอย หลบหนีซาอูลผู้จะมาฆ่าท่าน เพราะเหตุนี้มิตรภาพที่เคยมีความสุขกับโยนาธานจำต้อง จบสิ้นลง ดังนั้นดาวิดจึงต้องบอกลาโยนาธานด้วยความเศร้า ไม่รู้ว่าจะมีโอกาส หรือเมื่อ ใดจะได้พบกันอีก

มีคำๆหนึ่งที่น่าจะใช้เป็นบทสรุปเรื่องราวในพระธรรมตอนนี้ คำนั้นคือ พันธสัญญา ดาวิดแอบหนีไปพบโยนาธาน ในเวลาที่ท่านเกือบจะสิ้นหวัง เพราะสัญญาที่ทั้งคู่มีต่อ กัน ดาวิดจึงแน่ใจว่าจะได้รับความรักและการช่วยเหลือจากโยนาธาน เป็นเพราะความ รักและปรารถนาดีที่ทั้งสองมีต่อกัน โยนาธานจึงเห็นว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่สำคัญยิ่ง ท่าน ยินยอมที่จะช่วยดาวิดพิสูจน์ความจริง เราจะเห็นว่าโยนาธานทำการนี้อย่างรอบคอบ (เช่นออกไปคุยกันที่ในทุ่งนา และคิดวางแผนโดยใช้สัญญาณต่างๆ) มีการนำพันธสัญ ญามาพูดคุยกันให้เข้าใจ พันธสัญญาเดิมที่ทำไว้สำหรับสองคนเปลี่ยนมาเป็นสำหรับ สองตระกูลแทน คำสัญญาที่ไม่เคยถือเอาจริงเอาจังนัก ทำในสมัยที่ซาอูลยังไม่ เกลียดชังดาวิด แต่บัดนี้เมื่อซาอูลชังดาวิดและกำลังใช้ความรุนแรงเข้ากำจัด เรื่อง พันธสัญญาระหว่างดาวิดและโยนาธานจึงเป็นเหตุหนึ่งที่ทำให้ซาอูลยิ่งไม่พอใจ คำ สัญญาที่ทั้งสองทำเพื่อครอบครัว ยิ่งทำให้ซาอูลโกรธและเกลียดดาวิดและโยนาธาน หนักขึ้นไปอีก ซาอูลไม่สามารถต่อต้านคนหนึ่งคนใด โดยไม่ต่อต้านอีกคนได้ . .

พันธสัญญาระหว่างดาวิดและโยนาธานเป็นพื้นฐานและเป็นหลักของความสัมพันธ์ของ บุคคลสองคน เป็นสิ่งที่สร้างความมั่นคงและการยอมรับที่จะดูและปรนนิบัติซึ่งกันและ กัน เรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญที่เราต้องนำมาคิดทบทวนดู เราควรนำเรื่องคำสัญญาที่เรามี ต่อผู้มาอื่นพูดคุยกัน เราจะสรุปเรื่องนี้โดยการนำพันธสัญญาที่ควบคุมความสัมพันธ์ระ หว่างเรากับพระเจ้ามาทบทวนกันใหม่

คำสัญญาที่ควบคุมความสัมพันธ์ระหว่างเรากับผู้อื่น

ผืนดินที่เรายืนอยู่นี้ถูกควบคุมด้วยพันธสัญญาที่มนุษย์มีให้แก่กัน การลงนามในสัญญา ประกาศอิสรภาพ เกิดขึ้นเพราะคนในประเทศกลัวว่าเครือจักรภพอังกฤษจะไม่รักษาและ ทำตามคำสัญญาที่ให้ไว้ รัฐธรรมนูญของเราก็เป็นพันธสัญญาแบบหนึ่ง ซึ่งรวบรวมเรา ให้เป็นประเทศชาติ ไม่ว่าจะเป็นคำพูด ลงนาม และนำมาใช้ปฏิบัติ ล้วนเป็นคำสัญญา ที่มนุษย์เป็นผู้ทำขึ้นทั้งสิ้น

ผมคิดว่าการแต่งงานเป็นพันธสัญญาที่สำคัญที่สุดที่ชาย-หญิงมีให้แก่กัน คู่ที่นิยมอยู่กัน เฉยๆโดยไม่แต่งงาน มักจะกล่าวว่า : "เรารักกัน โดยไม่ต้องมีกระดาษอะไรมายึดเหนี่ยว เราไว้ด้วยกัน" แต่บทเรียนตอนนี้บอกเราชัดเจนว่า พันธสัญญาเกิดขึ้นเพราะความรัก เป็นการแสดงความจริงใจในความรัก ดาวิดและโยนาธานมีพันธสัญญาต่อกัน เพราะทั้ง คู่รักกัน ในความคิดของทั้งสอง คงจะประหลาดถ้าไม่ทำพันธสัญญากัน เหตุใดคนทั้ง สองที่รักกันเหมือนพี่เหมือนน้อง จะไม่ยอมผูกมัดตัวในสิ่งที่เขาสาบานจะรักษาไปจนชั่ว ชีวิต ?

พันธสัญญาเป็นเครื่องพิสูจน์ความรัก พันธสัญญาที่ทั้งคู่ทำร่วมกันคือสิ่งที่สะท้อนให้ เห็นถึงความรักที่มีอยู่ในสัมพันธภาพนั้น ผมคิดด้วยว่าพันธสัญญาทำให้ความรักเจริญ งอกงาม เมื่อความชังของซาอูลที่มีต่อดาวิดถูกเปิดเผย ทั้งดาวิดและโยนาธานนำพันธ สัญญามาทบทวน (ขยายความ) ขึ้นใหม่โดยนำเรื่องที่เกิดขึ้นเข้ามารวมด้วย คำสัญญา ที่ทั้งสองผูกมัดกันไว้ไม่ได้ลดลงไปเลย ถึงแม้สถานการณ์ในสัมพันธภาพจะดูย่ำแย่ ; แต่กลับเป็นว่าทั้งสองยิ่งผูกมัดกันมากขึ้น 91 สิ่งเดียวกันนี้ใช้สำหรับคำสัญญาการ แต่งงานด้วย เมื่อชายและหญิงมาผูกพันเป็นสามีภรรยา ทั้งคู่แสดงความจำนงด้วยคำ สัญญา และเป็นสัญญาที่ล้มเลิกไม่ได้ พันธสัญญานี้เป็นรากฐาน เป็นสิ่งที่โยงใยไว้ด้วย กันยามเผชิญปัญหา และยามที่ความรักถดถอย พันธสัญญาให้ความมั่นคงที่ความ โรมันติกไม่สามารถให้ได้ เพราะอารมณ์่เป็นสิ่งแปรปรวน

สำหรับผู้ที่เชื่อในพระคริสต์ พันธสัญญานี้ไม่ได้มีระหว่างผู้เชื่อแต่ละคนกับพระคริสต์ เท่านั้น แต่มีในท่ามกลางผู้เชื่อด้วยกันด้วย เราเป็นชุมชนแห่งพันธสัญญา ผูกพันกัน ไว้ด้วยพันธสัญญา ให้เรามาดูคำพูดที่ผู้เผยพระวจนะมาลาคีกล่าวตำหนิชาวอิสราเอล ในยุคก่อนที่ล้มเหลวในการรักษาพันธสัญญา :

10 เราทุกคนมิได้มีบิดาคนเดียวดอกหรือ พระเจ้าองค์เดียว ได้ทรงสร้างเรามิใช่หรือ แล้วทำไมเราจึงทรยศต่อกันและกัน กระทำให้พันธสัญญาของบรรพบุรุษของเราสาธารณ์ 11 ยูดาห์ ก็ทรยศ การน่าเกลียดน่าชังเขาก็ทำกันในอิสราเอล และใน เยรูซาเล็ม เพราะว่ายูดาห์ได้กระทำให้สถานศักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้า ซึ่งพระองค์ทรงรักนั้นสาธารณ์ และได้ไปแต่งงานกับบุตรีของ พระต่างด้าว 12 ขอพระเจ้าทรงกำจัดชายคนใดๆที่กระทำเช่นนี้ ทั้งครอบครัวเสียจากเต็นท์ของยาโคบ ถึงแม้ว่าเขาจะนำเครื่อง บูชาถวายแด่พระเจ้าจอมโยธาก็ตามเถิด 13 และเจ้าได้กระทำ อย่างนี้อีกด้วย คือเจ้าเอาน้ำตารดทั่วแท่นบูชาของพระเจ้า ด้วย เหตุเจ้าได้ร้องไห้คร่ำครวญเพราะพระเจ้าไม่สนพระทัยหรือรับ เครื่องบูชาด้วยชอบพระทัยจากมือของเจ้าอีกแล้ว 14 เจ้าถาม ว่า "เหตุใดพระองค์จึงไม่รับ" เพราะว่าพระเจ้าทรงเป็นพยาน ระหว่างเจ้ากับภรรยาคนที่เจ้าได้เมื่อหนุ่มนั้น แม้ว่านางเป็นคู่เคียง ของเจ้าและเป็นภรรยาของเจ้าตามพันธสัญญา เจ้าก็ทรยศต่อนาง 15 แต่ไม่มีสักคนหนึ่งที่มีสติจะกระทำอย่างนี้ ผู้มีสตินั้นย่อมประ สงค์สิ่งใด ย่อมประสงค์ลูกหลานที่เชื่อฟังพระเจ้า ดังนั้นจงระวัง ตัวให้ดี อย่าให้ผู้ใดทรยศต่อภรรยาคนที่ได้เมื่อหนุ่มนั้น 16 พระ เยโฮวาห์พระเจ้าของอิสราเอลตรัสว่า "เพราะว่าเราเกลียดชังการ หย่าร้าง และการที่ใครกระทำทารุณต่อภรรยาของตน" พระเจ้า จอมโยธาตรัสดังนี้แหละ เพราะฉะนั้น จงระวังตัวให้ดีอย่าเป็นคน ทรยศ" (มาลาคี 2:10-16)

พันธสัญญาควบคุมความสัมพันธ์ของเรากับพระเจ้า

ที่ผมพูดไปแล้วคือ พันธสัญญาที่ควบคุมความสัมพันธ์ในมนุษย์ด้วยกัน เป็นของประ ทานจากเบื้องบน : พระเจ้าควบคุมความสัมพันธ์ที่มนุษย์มีต่อพระองค์ด้วยพันธสัญญา เมื่อพระเจ้าทำลายล้างมนุษย์เพราะความบาป พระองค์ตั้งพันธสัญญากับโนอาห์ และ ลูกหลาน เมื่อพระเจ้าสร้างสัมพันธ์กับอับราม (ต่อมาคืออับราฮัม) พระองค์กระทำโดย ใช้พันธสัญญา "พันธสัญญาอับราฮัม" (ปฐมกาล 12:1-3 ฯลฯ) เมื่อพระเจ้าปลดปล่อย อิสราเอลจากการเป็นทาสในประเทศอียิปต์ พระองค์ทรงสร้างสัมพันธ์กับพวกเขาขึ้น ใหม่ สัมพันธภาพนี้ควบคุมโดย "ธรรมบัญญัติของโมเสส" สิ่งที่พระเจ้ากระทำกับอิสรา เอลในพระคัมภีร์เดิม เป็นผลสืบเนื่องตามพันธสัญญา พระเจ้าทรงทำในสิ่งที่พระองค์ สัญญาไว้

ทุกสิ่งที่พระเจ้ากระทำกับมนุษย์เป็นผลสืบเนื่องจากพันธสัญญาทั้งสิ้น ขณะที่พระเจ้ารัก ษาพระสัญญาของพระองค์อย่างสัตย์ซื่อ มนุษย์ยังคงเป็นฝ่ายที่ล้มเหลวอยู่ร่ำไป ไม่สา มารถรักษาสัญญา ถ้าความรอดของเราขึ้นอยู่กับการรักษาพันธสัญญา เราคงไม่มีวัน ได้รับการอภัยบาป และเข้าสู่อาณาจักรของพระเจ้าได้ พระเจ้าทรงทราบดีว่าเมื่อมนุษย์ สัญญาว่าจะถือตามพันธสัญญาของโมเสส พวกเขาไม่มีทางทำตามได้ :

28 "เมื่อท่านทั้งหลายพูดกับข้าพเจ้านั้น พระเจ้าทรงทราบถ้อย คำของท่านทั้งหลาย และพระเจ้าตรัสกับข้าพเจ้าว่า 'เราได้ยิน ถ้อยคำของชนชาติซึ่งเขาพูดกับเจ้าแล้ว ซึ่งเขาพูดกับเจ้าเช่น นั้นก็ดีอยู่ 29 โอ อยากให้มีจิตใจเช่นนี้อยู่เสมอไปหนอ คือที่ จะยำเกรงเราและรักษาบัญญัติทั้งสิ้นของเรา เขาทั้งหลายก็จะ สุขเจริญอยู่ตลอดชั่วลูกหลานของเขาเป็นนิตย์" (เฉลยธรรมบัญญัติ 5:28-29)

หลังจากนั้น เมื่อโยชูวาพูดสั่งอำลาชาวอิสราเอล พวกเขาสัญญาอีกว่าจะถือรักษาตาม ธรรมบัญญัติ (ของโมเสส) แต่โยชูวารู้ดีกว่านั้น :

19 แต่โยชูวากล่าวแก่ประชาชนว่า "ท่านทั้งหลายจะปรนนิบัติ พระเจ้าไม่ได้ ด้วยว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าบริสุทธิ์ พระองค์ ทรงเป็นพระเจ้าหวงแหน พระองค์จะไม่ทรงอภัยความทรยศ หรือบาปของท่าน 20 ถ้าท่านทั้งหลายละทิ้งพระเจ้าไปปรนนิ บัติพระอื่น แล้วพระองค์จะทรงหันกลับและกระทำอันตรายแก่ ท่านและผลาญท่านเสีย หลังจากที่พระองค์ทรงกระทำดีต่อ ท่านแล้ว" 21 และประชาชนกล่าวแก่โยชูวาว่า "หามิได้ แต่ ข้าพเจ้าทั้งหลายจะปรนนิบัติพระเจ้า" 22 แล้วโยชูวากล่าวแก่ ประชาชนว่า "ท่านทั้งหลายเป็นพยานปรักปรำตนเองว่า ท่าน ได้เลือกพระเจ้า เพื่อปรนนิบัติพระองค์นะ" และเขากล่าวว่า "ข้าพเจ้าทั้งหลายเป็นพยาน" 23 ท่านจึงกล่าวว่า "เพราะฉะนั้น จงทิ้งพระอื่นซึ่งอยู่ในหมู่พวกท่านนั้นเสีย และโน้มจิตใจของ ท่านเข้าหาพระเยโฮวาห์พระเจ้าของอิสราเอล" 24 และประชาชน กล่าวแก่โยชูวาว่า "ข้าพเจ้าทั้งหลายจะปรนนิบัติพระเยโฮวาห์ พระเจ้าของข้าพเจ้า และเชื่อฟังพระสุรเสียงของพระองค์" 25 ดังนั้นโยชูวาก็ได้กระทำพันธสัญญากับประชาชน และวาง กฎเกณฑ์และกฎหมายให้แก่เขาในวันนั้นที่เมืองเชเคม (โยชูวา 24:19-25)

ข้อสรุปมีอยู่ประการเดียว ความรอดต้องไม่ขึ้นอยู่กับการกระทำ และความดีของมนุษย์ ความรอดขึ้นอยู่กับความดีเลิศและการกระทำของพระเจ้า ดังนั้นในสมัยพระคัมภีร์เดิม พระเจ้าจึงเริ่มพูดถึง "พันธสัญญาใหม่" ที่พระองค์จะทำขึ้นกับมนุษย์ เพื่อความรอด นิรันดร์จะมาถึงได้ :

31"พระเจ้าตรัสว่า ดูเถิด วันเวลาจะมาถึงซึ่งเราจะทำ พันธสัญญาใหม่กับประชาอิสราเอลและประชายูดาห์ 32 ไม่เหมือนกับพันธสัญญาซึ่งเราได้กระทำกับบรรพ บุรุษของเขาทั้งหลาย เมื่อเราจูงมือเขาเพื่อนำเขาออก มาจากแผ่นดินอียิปต์ เป็นพันธสัญญาของเราซึ่งเขาผิด ถึงแม้ว่าเราได้เป็นสามีของเขา พระเจ้าตรัสดังนี้แหละ 33 แต่นี่จะเป็นพันธสัญญาซึ่งเราจะกระทำกับประชาอิส ราเอลภายหลังสมัยนั้น พระเจ้าตรัสดังนี้แหละ เราจะ บรรจุพระธรรมไว้ในเขาทั้งหลาย และเราจะจารึกมันไว้ บนดวงใจของเขาทั้งหลาย และเราจะเป็นพระเจ้าของเขา และเขาจะเป็นประชากรของเรา 34 และทุกคนจะไม่สอน เพื่อนบ้านของตน และพี่น้องของตนแต่ละคนอีกว่า 'จงรู้ จักพระเจ้า' เพราะเขาทั้งหลายจะรู้จักเราหมดตั้งแต่คน เล็กน้อยที่สุดถึงคนใหญ่โตที่สุด พระเจ้าตรัสดังนี้แหละ เพราะเราจะให้อภัยบาปชั่วของเขา และจะไม่จดจำบาป ของเขาทั้งหลายอีกต่อไป" (เยเรมีย์ 31:31-34)

"พันธสัญญาใหม่" นี้จะเกิดขึ้นโดยองค์พระเยซูคริสต์ พระเมสซิยาห์ที่ทรงสัญญาไว้

19 พระองค์ทรงหยิบขนมปัง โมทนาพระคุณ แล้วหักส่ง ให้แก่เขาทั้งหลายตรัสว่า "นี่เป็นกายของเรา ซึ่งได้ให้ สำหรับท่านทั้งหลาย จงกระทำอย่างนี้ให้เป็นที่ระลึกถึง เรา" 20 เมื่อรับประทานแล้ว จึงทรงหยิบถ้วยกระทำ เหมือนกันตรัสว่า "ถ้วยนี้ซึ่งเทออกเพื่อท่านทั้งหลายเป็น คำสัญญาใหม่ โดยโลหิตของเรา" (ลูกา 22:19-20)

4 เรามีความไว้ใจในพระเจ้าโดยพระคริสต์อย่างนั้น 5 มิ ใช่เราจะคิดถือว่าสิ่งหนึ่งสิ่งใดเกิดจากความสามารถของ เราเอง แต่ว่าความสามารถของเรามาจากพระเจ้า 6 ผู้ทรง โปรดประทานให้เราสามารถที่จะเป็นพันธกรแห่งพันธสัญ ญาใหม่ อันมิใช่ประมวลกฎแต่เป็นมาโดยพระวิญญาณ ด้วย ว่าประมวลกฎนั้นประหารให้ตาย แต่ส่วนพระวิญญาณประ ทานชีวิต 7 แต่ถ้าการปฏิบัติที่ประหารให้ตาย คือตามตัว อักษรที่จารึกไว้ที่แผ่นศิลานั้น ยังมาด้วยรัศมี แม้ว่าจะเป็น รัศมีที่จางหายไป ก็ยังทำให้พวกอิสราเอลแลดูหน้าของ โมเสสไม่ได้ 8 ดังนั้นการที่ปฏิบัติตามพระวิญญาณจะไม่มี รัศมียิ่งกว่านั้นอีกหรือ 9 เพราะว่าถ้าการปฏิบัติสำหรับปรับ โทษยังมีรัศมี การปฏิบัติสำหรับความชอบธรรมก็ยิ่งมีรัศมี มากกว่านั้นอีก 10 อันที่จริงรัศมีซึ่งได้ทรงประทานให้นั้น ก็อับแสงไปแล้ว เพราะถูกรัศมีอันเลิศประเสริฐนั้นได้ส่อง ข่มเสียหมด 11 เพราะถ้าสิ่งที่ได้จางไปยังเคยมีรัศมีถึง เพียงนั้น สิ่งซึ่งจะดำรงอยู่ก็จะมีรัศมีมากยิ่งกว่านั้นอีก (2 โครินธ์ 3:4-11)

11 แต่เมื่อพระคริสต์ได้เสด็จมาเป็นมหาปุโรหิตแห่งสิ่ง ประเสริฐซึ่งมาถึงแล้ว พระองค์ก็ได้เสด็จเข้าไปสู่เต็นท์ อันใหญ่ยิ่งกว่าแต่ก่อน (ที่ไม่ได้สร้างขึ้นด้วยมือ คือไม่ใช่ เต็นท์แห่งโลกนี้) 12 พระองค์เสด็จเข้าไปในวิสุทธิสถาน เพียงครั้งเดียวเท่านั้น และพระองค์ไม่ได้ทรงนำเลือดแพะ และเลือดลูกวัวเข้าไป แต่ทรงนำพระโลหิตของพระองค์ เองเข้าไป และทรงสำเร็จการไถ่บาปชั่วนิรันดร์ 13 เพราะว่า ถ้าเลือดแพะและเลือดวัวตัวผู้ และเถ้าของลูกโคตัวเมีย ที่ประพรมลงบนคนบาปสามารถชำระมนุษย์ให้บริสุทธิ์ได้ 14 พระโลหิตของพระเยซูคริสต์ ผู้ได้ทรงถวายพระองค์เอง แด่พระเจ้าโดยพระวิญญาณนิรันดร์ให้เป็นเครื่องบูชาอัน ปราศจากตำหนิ ก็จะทรงชำระได้มากยิ่งกว่านั้นสัก เพียงใด เพื่อให้จิตใจของคนที่หมกมุ่นในการประ พฤติที่นำไปสู่ความตาย หันไปรับใช้พระเจ้าผู้ทรง พระชนม์อยู่ 15 เพราะเหตุนี้ พระองค์จึงทรงเป็นผู้ กลางแห่งพันธสัญญาใหม่ เพื่อให้คนทั้งหลายที่พระ องค์ทรงเรียกมาได้รับมรดกนิรันดร์ตามพระสัญญา เพราะการพลีชีวิตนั้นไถ่คนให้พ้นจากบาปอันเกิดใต้ พันธสัญญาเดิมแล้ว (ฮีบรู 9:11-15; ดูบทที่ 8 ด้วย)

ทั้งหมดสรุปได้ดังนี้ พระเจ้าทรงปฏิบัติกับมนุษย์ตามพันธสัญญา แต่มนุษย์ล้มเหลว ในการรักษาตามพันธสัญญาในทุกกรณี ถึงแม้พระเจ้าจะทรงสัตย์ซื่อและรักษาพระสัญ ญาของพระองค์ ในการที่จะช่วยมนุษย์ให้หลุดพ้นจากบาป และมีสิทธิจะเข้าในแผ่นดิน สวรรค์ได้ พระเจ้าได้ตัดพันธสัญญาเดิมออกไป เพื่อทำพันธสัญญาใหม่ที่ดีกว่าเดิม พันธสัญญานี้ไม่ได้ขึ้นอยู่กับการกระทำของเรา แต่ขึ้นอยู่กับพระเจ้า พระองค์ส่งพระบุตร องค์เดียว พระเยซูคริสต์ ลงมาใช้ชีวิตบนโลกนี้โดยปราศจากตำหนิ สมบูีรณ์เพียบพร้อม ที่สุดเพื่อทำให้พันธสัญญาเดิมของโมเสสจบลง และเมื่อพระองค์สิ้นพระชนม์บนไม้กาง เขนที่ิเนินหัวกระโหลกนั้น พระองค์ทรงแบกรับเอาโทษบาปทั้งสิ้นของมนุษย์ไป เมื่อ พระองค์ฟื้นคืนพระชนม์ พระองค์สำแดงให้เห็นถึงความชอบพระทัยของพระบิดา และ ความชอบธรรมของพระองค์ (พระคริสต์) โดยการสิ้นพระชนม์ของพระคริสต์ ถูกฝังไว้ และการฟื้นคืนพระชนม์ พระเจ้าทรงจัดเตรียมพันธสัญญาใหม่ให้กับมนุษย์ ที่มนุษย์ สามารถมั่นใจได้ว่า ทรงอภัยบาปและมอบชีวิตนิรันดร์ให้ เพื่อจะได้รับความรอด เรา ต้องรับเอาพันธสัญญานี้ไว้ เป็นความหวังเดียวสำหรับความรอด พันธสัญญานี้ ผูก พันไว้เพียงครั้งเดียวและตลอดไป ไม่มีการล้มล้างหรือยกเลิก เพียงแต่ต้องรับเอาไว้ เป็นของตนเอง โดยยอมจำนนว่าเราไม่สามารถทำตามพระทัยพระเจ้าด้วยกำลังของเรา และมาวางใจในสิ่งที่พระคริสต์ทรงทำเพื่อเราทั้งหลาย เราจึงจะเข้าสู่พันธสัญญาใหม่ และรับเอาความรอดนี้ได้ ท่านเข้าสู่พันธสัญญานี้หรือยัง ? ผมอยากให้ท่านทำในวันนี้ เพราะเรามีพระเจ้าที่ยิ่งใหญ่ ทรงมอบพันธสัญญานี้เพื่อให้เราทั้งหลายมีความสัมพันธ์์ กับพระองค์ อย่าเมินเฉยอีกต่อไป


86 คุณจะหนีไปจากซาอูลได้ยังไง ในเมื่อคุณรีบกลับไปยังที่ที่ซาอูลและบุตรอาศัยอยู่ ?

87 ดูเหมือนโยนาธานค่อยๆซึมซับไปเรื่อยๆว่าบิดาของท่านมีความรู้สึก และต้องการทำอย่างไร กับดาวิด และกับตัวท่านเอง "ถ้าฉันยังมีชีวิตอยู่ต่อไป…" บ่งว่าโยนาธานเริ่มสัมผัสได้ถึง ความเป็นจริงในสถานการณ์นี้

88 จากข้อ 11 ไป มีประโยคว่า "และโยนาธานบอกดาวิดว่า …" หลายครั้งมาก

89 เหมือนกับสมัยนี้ เวลาที่เราพูดถึงคนอื่นแสดงให้เห็นว่าเรากำลังคิดอะไรอยู่ เช่นเวลาแม่ เรียกชื่อลูกเต็มๆ ธงชัย หรือ "โยนาธาน" เราเริ่มรู้แล้วว่าถ้าจะไม่ค่อยดี และเมื่อพ่อกลับบ้าน มาตอนเย็นและแม่พูดว่า "วันนี้ลูกคุณ … ." เราก็จะรู้สึกเช่นเดียวกัน

90 หรือ เป็นพระเจ้าที่ทำให้หอกพลาดเป้า ? ไม่มีใครทำให้แผนการของพระเจ้าล้มเหลวไปได้ (เทียบกับ ลูกา 4:28-30; John 18:3-6)

91 อาจไม่จำเป็นที่ผมต้องนำเรื่องนี้มาพูด สัมพันธภาพระหว่างดาวิดและโยนาธานไม่ใช่เรื่อง โรมันติก เรื่องทางเพศ หรือรักร่วมเพศ ทั้งสองรักกันเหมือนมนุษย์รักกัน เหมือนพี่เหมือนน้อง ผมคิดว่าเป็นเรื่องน่าเศร้าที่ต้องนำเรื่องนี้มาพูดกัน

Related Topics: Introductions, Arguments, Outlines

บทที่ 19: บุรุษไร้แผ่นดิน (1 ซามูเอล 21:1--22:4)

คำนำ

ก่อนผมเข้ามหาวิทยาลัย ผมทำงานในช่วงปิดเทอมอยู่สองแห่ง ผมทำอยู่ที่ร้านขายอะ ไหล่รถยนตร์อยู่สองสามปี แต่เนื่องจากกิจการไม่ค่อยดี ผมเลยมองหาที่อื่นด้วยเพื่อ จะมีเงินพอใช้จ่าย ผมไปสมัครที่ร้านแดรี่ควีน ซึ่งอยู่ตรงข้ามกับร้านเดิม หน้าที่ผมไม่ ได้ทำประจำอยู่ที่ร้าน แต่ต้องนั่งรถสกู๊ตเตอร์ออกไปขายไอสครีมหวานเย็น รถที่ว่านี้ ทำเป็นเหมือนรถป๊อกๆ ตรงกลางรถเป็นตู้สำหรับแช่ไอสครีม "หวานเย็น" ด้านหน้ารถ จะเป็นกันแดดยื่นออกไป ด้านข้างโล่งๆไม่มีประตู หน้าที่ของผมคือต้องขับเจ้ารถคันนี้ ไปขายไอสครีมให้เด็กๆในบริเวณแถวบ้านที่ผมอยู่ พวกเด็กๆพอได้ยินเสียงสกู๊ตเตอร์ ก็จะวิ่งมาหาด้วยความดีใจ การต้องขับรถนี้ขึ้นลงไปตามพื้นที่สูงๆต่ำๆนับว่าเป็นเรื่อง ท้าทาย แต่ที่เป็นอันตรายสุดๆคือพวกหมา บางตัวก็วิ่งไล่ ถ้าตัวที่ร้ายๆหน่อยก็จะพยา ยามโดดขึ้นมานั่งด้วย ไอ้พวกร้ายที่สุดคือพยายามทำให้ผมตกจากรถ งานนี้ผมคงเรียก ไม่ได้ว่าเป็นงานโก้หรู ที่ผมต้องทำคือพยายามดึงดูดเด็กๆมาซื้อไอสครีมให้มากๆ แต่ ในขณะเดียวกันต้องพยายามไม่ทำตัวให้เป็นที่ดึงดูดของพวกหมาๆ

มีอยู่ครั้งหนึ่ง ผมตกอยู่ในที่นั่งลำบาก ร้านอะไหล่รถยนตร์พร้อมๆกับร้านแดรี่ควีนต้อง การให้ผมไปช่วยงานด่วน ผมไปขอคำปรึกษาจากคุณพ่อ ท่านก็แสนดี อาสาจะไปขับ รถสกู๊ตเตอร์แดรี่ควีนแทนให้ผม ทุกอย่างดูจะเป็นไปด้วยดี คุณพ่อควบคุมรถขึ้นลงภู เขาได้เป็นอย่างดี พวกหมาๆดูจะประพฤติตัวดีตามไปด้วย ระหว่างทางมีสุภาพสตรี ท่านหนึ่งโบกเรียกให้จอด เพื่อจะซื้อไอสครีมให้ลูก แต่พอเห็นหน้ากัน ทั้งคู่ทั้งตกใจ และประหลาดใจ สามีของผู้หญิงคนนี้เป็นหนึ่งในคณะกรรมการของโรงเรียนที่คุณพ่อ เป็นครูใหญ่ ทั้งสองพยายามทำให้เป็นเรื่องตลกโดยที่เธอพูดว่า "ขายหวานเย็นส่ง ลูกเข้ามหาลัยหรือคะ ?" แล้วทั้งคู่ก็หัวเราะกันลั่น

ทุกคนมีเรื่องน่าอับอายในชีวิตด้วยกันทั้งนั้น คุณว่าไหม ? ผมยังจำได้ ในระหว่างนมัส การที่โบสถ์ คุณนายเดรบริกเกิดหน้ามืดเป็นลม มีคนพยายามมาช่วยอุ้มเธอออกไปข้าง นอก ในขณะที่ผู้ชายสองคนพยายามอย่างดีที่สุดค่อยๆอุ้มเธอออกมา อยู่ดีๆขาของเธอ ก็กระตุก ปลายเท้าไปเตะเอาหมวกของผู้หญิงที่นั่งข้างหน้า ทำให้หมวกตกลงมาปิด หน้าผู้หญิงคนนั้นมิด ผมรู้ว่าไม่สมควร แต่ก็กลั้นไว้ไม่อยู่ หัวเราะเสียดังสนั่น …

แต่เรื่องน่าอับอายที่สุดของผมเกิดขึ้นเมื่อผมต้องขึ้นไปพูดเป็นพยานที่โบสถ์ เกี่ยวกับ เรื่องค่ายฤดูร้อนที่ผมไปมา ผมพูดเพียงสั้นๆ ทุกอย่างจึงเป็นไปด้วยดี พูดจบมีการร้อง เพลงสั้นๆขอบคุณพระเจ้าโดยมีท่านศิษยาภิบาลเล่นกีต้าร์ไฟฟ้าให้ พอเพลงจบ ขณะ ที่ผมก้าวลงจากธรรมาสน์ ขาผมเกิดไปพันเข้ากับสายไฟของกีต้าร์ไฟฟ้า ผมสดุดล้ม กลิ้งลงมาอย่างไม่เป็นท่า ดีที่หัวไม่แตกและสายไฟไม่ขาด

เราทุกคนเคยผ่านเรื่องน่าอับอายมาแล้วทั้งนั้น ผมอยากฟังเรื่องของพวกคุณๆเหมือน กัน กษัตริย์ดาิวิดก็เช่นกัน ท่านมีช่วงเวลาที่น่าอับอายมากมาย ในพระธรรมตอนนี้ ดาวิดมีประสพการณ์ที่น่าอับอายอยู่หลายครั้ง เป็นเพราะความอิจฉาของซาอูลที่อยาก จะฆ่าท่านให้ตาย นับเป็นเวลาที่ตกต่ำของดาวิด เป็นประสพการณ์ที่เจ็บปวดแต่ช่วย เสริมสร้างท่านให้แข็งแกร่งขึ้น เมื่อเรามองดูเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดกับดาวิด เราจะเริ่ม เห็นว่าพระเจ้าทรงใช้สถานการณ์ต่างๆนี้ให้เป็นประโยชน์สำหรับเราด้วย ให้เรามาตั้งใจ เรียนในสิ่งที่พระเจ้าต้องการสอนเราผ่านพระธรรมตอนนี้

ทบทวนอย่างย่อๆ

ครั้งหนึ่ง ทุกอย่างเคยดูดีระหว่างซาอูลและดาวิด ซาอูลดูจะชอบพอดาวิดมาก (16:21) และท่านมีความชื่นชมเมื่อดาวิดเอาชนะโกลิอัทและชาวฟิลิสเตียได้ (19:5) การที่ดาวิด ได้รับการเจิมขึ้นเป็นกษัตริย์องค์ต่อไปของอิสราเอล ท่านไม่ได้ทะเยอทะยานอยากเป็น แต่เป็นเพราะความเขลาของซาอูลเอง ในเวลาที่คุมสติไม่อยู่ ซาอูลขัดคำสั่งของซามู เอลที่ให้รออยู่ (10:8) โดยไปทำพิธีเผาเครื่องบูชาถวายเสียเอง (บทที่ 13) ซามูเอล กล่าวตำหนิท่านอย่างแรง แต่ซาอูลไม่เคยคิดจะกลับใจจากบาปครั้งนี้ ต่อมาท่านก็ก่อ เรื่องอีกโดยไม่ยอมทำตามคำสั่งของพระเจ้าที่ให้ฆ่าชาวอามาเลขเสียให้สิ้น (บทที่ 15) ทุกสิ่งนี้เป็นชะนวนที่ทำให้อาณาจักรและราชวงศ์ของซาอูลต้องจบสิ้นลง และซามูเอล แจ้งเรื่องนี้ให้ซาอูลได้รับรู้

เรารู้ว่าพระวิญญาณพรากไปจากซาอูล และถูกแทนที่ด้วย "วิญญาณชั่วจากพระเจ้า" เรารู้ด้วยว่าพระวิญญาณไปสถิตอยู่เหนือดาวิดพร้อมด้วยฤทธานุภาพ (16:13-14) สิ่ง นี้เปิดโอกาสให้ดาวิดถูกจ้างให้ไปเล่นพิณขับกล่อมซาอูล (16:14-23) ถึงแม้ซาอูล จะรักดาวิดในตอนแรก ต่อมาท่านกลับอิจฉาและเกลียดชัง ท่านได้ยินเพลงที่พวกผู้ หญิงร้องยกย่องดาวิดแว่วอยู่ตลอดเวลา (18:7) และเห็นถึงความรักที่คนในครอบครัว ของท่านมีให้กับดาวิด (18:1-5, 20) รวมทั้งความนิยมชมชื่นที่ดาวิดได้รับจากทหารใน กองทัพด้วย (18:13-16, 30) ซาอูลระแวงในทุกสิ่งที่ดาวิดกระทำ เพลงที่พวกผู้หญิง ร้อง ชัยชนะต่างๆที่ดาวิดได้รับจากการรบ ในที่สุดทำให้ทำนบของซาอูลพังลง

ซาอูลพยายามหลายครั้งที่จะเอาชีวิตดาวิด บางครั้งแบบแอบแฝง เช่นเสนอยกธิดาให้ แต่งงานด้วย (แต่ดาวิดต้องออกไปรบด้วยความกล้าหาญเพื่อที่จะพิสูจน์ว่าคู่ควรกับเธอ – 18:17-29) บางครั้งก็กระทำอย่างเปิดเผย เช่นท่านต้องการใช้หอกปักดาวิดไว้กับฝา ผนัง (18:10-12) ในที่สุด ท่านถึงกับสั่งฆ่าอย่างเปิดเผย (19:1) แต่เป็นเพราะโยนา ธานพูดขอร้องไว้ ท่านจึงล้มเลิกคำสั่งเสีย (19:1-7) แต่หลังจากนั้นอีกไม่นาน ท่านก็ คิดหาทางฆ่าดาวิดอีก (19:8) โยนาธานและดาวิดจึงต้องมาวางแผนเพื่อพิสูจน์ว่าซา อูลต้องฆ่าดาวิดแน่ๆ ผลพิสูจน์ทำให้ดาวิดถึงกับต้องหลบหนีไปจากซาอูล และต้องจาก โยนาธานไปด้วยความเศร้า (บทที่ 20)

ในบทที่ 21 นี้ เราจะพบว่าดาวิดกลายเป็นผู้ลี้ภัยทางการเมืองไปแล้ว เป็นบุรุษที่ไม่มี แผ่นดิีนอาศัย เราได้เข้าสู่บทใหม่ในชีวิตของดาวิดอีกครั้ง เป็นเวลาแห่งความเจ็บปวด ที่ต้องจากภรรยาไป จากหน้าที่การงานรับใช้ซาอูล และจากเพื่อนรักอย่างโยนาธานไป เป็นเวลาที่ตกอยู่ในอันตราย แต่สำหรับคนที่พระเจ้าเจิมตั้งไว้จะไม่มีวันถูกฆ่า ไม่ว่าอัน ตรายจะหนักหนาเพียงใด นับเป็นเวลาที่พระเจ้าทรงเตรียมไว้เพื่อเสริมสร้างท่านให้ จำเริญขึ้น พร้อมที่จะปกครองอิสราเอลในฐานะกษัตริย์ที่พระองค์เจิมตั้งไว้

ขอยืมขนมปังหน่อยครับ
(21:1-9)

1 แล้วดาวิดก็มาหาอาหิเมเลคปุโรหิตเมืองโนบ และอาหิเมเลคออก มาหาดาวิดตัวสั่นอยู่พูดกับท่านว่า "ทำไมท่านจึงมาคนเดียว และไม่ มีผู้ใดมากับท่าน" 2 ดาวิดจึงพูดกับอาหิเมเลคปุโรหิตว่า "พระราชา ทรงบัญชาข้าพเจ้าให้ทำเรื่องหนึ่ง รับสั่งแก่ข้าพเจ้าว่า 'อย่าบอกเรื่อง ซึ่งเราใช้เจ้าไปกระทำนั้นแก่ผู้ใดให้รู้เลย และด้วยเรื่องซึ่งเรามอบ หมายแก่เจ้านั้น' ข้าพเจ้าได้นัดหมายไว้กับพวกคนหนุ่ม ณ ที่แห่งหนึ่ง 3 ท่านมีอะไรติดมืออยู่บ้างเล่า ขอขนมปังข้าพเจ้าสักห้าก้อน หรืออะ ไรๆที่มีที่นี่ก็ได้" 4 ปุโรหิตนั้นตอบดาวิดว่า "ข้าพเจ้าไม่มีขนมปังธรรม ดาเลย แต่มีขนมปังบริสุทธิ์ ขอแต่คนหนุ่มได้อยู่ห่างจากผู้หญิงมาแล้ว ก็แล้วกัน" 5 และดาวิดก็ตอบท่านปุโรหิตว่า "ที่จริงเมื่อเราทั้งหลายออก ไปปฏิบัติงาน ผู้หญิงก็ถูกกันให้ห่างจากเราอย่างทุกครั้ง การเดินทาง ธรรมดากายของคนหนุ่มก็บริสุทธิ์อยู่แล้ว ยิ่งวันนี้กายของเราก็ยิ่งบริสุทธิ์ กว่า" 6 ดังนั้นปุโรหิตจึงมอบขนมปังให้แก่ดาวิดเพราะที่นั่นไม่มีขนมปัง อื่นนอกจากขนมปังที่ตั้งถวาย ซึ่งเก็บมาจากหน้าพระพักตร์พระเจ้าเพื่อวาง ขนมปังใหม่ในวันที่เก็บเอาขนมปังเก่านั้นออกไป 7 ในวันนั้นมีชายคนหนึ่ง อยู่ที่นั่นเป็นผู้รับใช้ของซาอูล มีธุระต้องเฝ้าพระเจ้าอยู่ เขาชื่อโดเอก คน เอโดม เป็นหัวหน้าคนเลี้ยงสัตว์ของซาอูล 8 และดาวิดกล่าวแก่อาหิเมเลค ว่า "ท่านไม่มีหอกหรือดาบติดมืออยู่สักเล่มหนึ่งหรือ ด้วยข้าพเจ้ามิได้นำ ดาบ หรือเครื่องอาวุธติดมาเลย เพราะราชการของพระราชาเป็นการด่วน" 9 ปุโรหิตนั้นจึงกล่าวว่า "ดาบของโกลิอัทคนฟีลิสเตียซึ่งท่านฆ่าเสียที่หุบ เขาเอลาห์นั้น ดูเถิด ยังห่อผ้าอยู่ที่ข้างหลังเอโฟด ถ้าท่านต้องการดาบนั้น จงเอาไปเถิด นอกจากเล่มนั้นแล้วก็ไม่มีดาบอื่นอีก" และดาวิดกล่าวว่า "ไม่มีดาบอื่นเหมือนดาบเล่มนั้นแล้ว ขอให้ข้าพเจ้าเถิด"

ดาวิดจะไปที่ใหนถ้าต้องการที่หลบภัยและความช่วยเหลือ ? แน่นอน อาหิเมเลข มหาปุ โรหิตน่าจะไว้ใจได้ ดาวิดจึงหนีไปที่เมืองโนบ เมืองของปุโรหิต อยู่ไปทางตะวันออก เฉียงเหนือของกรุงเยรูซาเล็มประมาณ 3-4 กม. (2-3 กม. ทางตอนใต้ของกิเบอาห์ บ้าน เกิดของซาอูล) ดาวิดตระหนักดีถึงความดุร้ายและอิทธิพลของซาอูล ท่านจึงเก็บจุด ประสงค์ที่แท้จริงไว้เป็นความลับ เพราะคิดว่าจะได้เป็นการปกป้องท่านปุโรหิต แต่เหตุ การณ์ไม่เป็นไปตามที่ท่านคิด ซึ่งเราจะมาดูกันต่อไป

อาหิเมเลขคงไม่ถูกหลอกง่ายๆ เมื่อท่านเห็นดาวิด ท่านออกมาหาด้วยตัวสั่น (เปรียบ เทียบกับ 16:1-5) และยิ่งตกใจเมื่อเห็นว่าดาวิดมาตามลำพัง ท่านจึงถามออกไป ดาวิด ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้บังคับการกองพัน ถ้าท่านมาในหน้าที่ (ซึ่งท่านเคยปฏิบัติอยู่ เป็นประจำ – ดู 22:15) ท่านต้องมีลูกน้องมาด้วย "พวกเขาอยู่ที่ไหนกัน ?" ท่านปุโรหิต คงสงสัย จึงถามดาวิด

ดาวิดเตรียมหาคำตอบอยู่แล้ว ผมไม่ทราบว่าท่านปุโรหิตเชื่อหรือไม่ แต่อย่างน้อยท่าน ก็ไม่ได้กดดันดาวิดด้วยการถามต่อ ท่านรับรู้ตามที่ดาวิดบอก ดาวิดเชื่อว่าเป็นการดี กว่า ที่อาหิเมเลขจะไม่รู้อะไร ซาอูลคงจะไม่ทำอันตรายท่าน ดาวิดคิดผิด ดาวิดบอก กับท่านปุโรหิตแต่เพียงว่า มาทำงานพิเศษตามที่กษัตริย์ซาอูลใช้มา เป็นราชการลับ ซึ่งท่านไม่อาจเล่าให้อาหิเมเลขฟังได้ ดาวิดบอกกับปุโรหิตว่าท่านไม่ได้มาตามลำพัง ; ลูกน้องของท่านซ่อนตัวอยู่ในที่ที่นัดแนะกันไว้ เรื่องที่ท่านเล่าทำให้งานนี้ดูจะสำคัญ มาก อย่างน้อยดาวิดคิดว่าเป็นเช่นนั้น

เมื่อเล่าเสร็จแล้วดาวิดจึงบอกถึงสาเหตุที่แวะมา : ท่านต้องการเสบียง เพื่อทำให้เรื่อง ที่ท่านเล่าดูสมจริง ท่านบอกกับอาหิเมเลขว่าท่านต้องการขนมปัง แต่ที่อาหิเมเลขมีคือ ขนมปังบริสุทธิ์ ขนมปังหน้าพระพักตร์ ซึ่งมีแต่ปุโรหิตเท่านั้นที่รับประทานได้ แต่ถ้าดา วิดและลูกน้องไม่ได้ข้องเกี่ยวกับผู้หญิงมา92 ท่านจะมอบขนมปังบริสุทธิ์นี้ให้ห้าก้อน ดาวิดยืนยันกับท่านว่า ท่านทราบกฎดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเวลางานราชการด้วยแล้ว ดาวิดไม่มีเวลากลับไปที่บ้านเลย อาหิเมเลขจึงมอบขนมปังบริสุทธิ์ให้ดาวิดไป ในขณะ เดียวกัน โดเอก ชาวเอโดม มองดูด้วยความสนใจ โดเอกเป็น "หัวหน้าดูแลฝูงแกะให้ กับซาอูล" งานที่ดาวิดเชี่ยวชาญ คงไม่ต้องรอนาน โดเอกนำเรื่องนี้ไปบอกกับซาอูล เป็นเหตุนำความตายมาสู่แทบทุกชีวิตในเมืองโนบ (ดู 22:6-23)

ดาวิดถามอาหิเมเลขถึงอาวุธ มีดาบอยู่เพียงไม่กี่เล่มทั่วทั้งอาณาจักร ยิ่งในที่พักของ ปุโรหิตยิ่งแล้วใหญ่ พวกเขาจะมีอาวุธไปทำไม ? แต่ก็มีดาบอยู่เล่มหนึ่งที่นั่น ดาบของ โกลิอัท ดาบที่ดาวิดได้มาจากการฆ่ายักษ์โกลิอัท ดาบนี้เป็นเหมือนรางวัลที่ระลึกแห่ง ชัยชนะที่พระเจ้ามอบให้กับชาวอิสราเอลผ่านทางดาวิดในครั้งนั้น ที่จริงดาบนี้เป็นสิทธิ ของดาวิดอยู่แล้ว ท่านปุโรหิตจึงยินดีมอบให้ ท่านคงสงสัยไม่น้อยเลยถึงสภาพของ ดาวิดในตอนนั้น ดาวิดให้เหตุผลว่าท่านรีบร้อนมาก จนไม่ได้เตรียมอาวุธใดติดตัวมา เลย ท่านปุโรหิตคงมีสีหน้าที่งุนงงอยู่ไม่น้อย เพราะเรื่องที่ดาวิดเล่ายิ่งฟังก็ยิ่งไม่เข้า ท่า ถึงกระนั้น ท่านก็มอบดาบของโกลิอัทให้ดาวิดไป และดาวิดจึงรีบเดินทางไปที่เมือง กัท

แล้วเหตุการณ์ก็ดำเนินต่อไป
หรือ
หาทางสร้างสัมพันธ์กับอาคีช
(21:10-15)

10 และดาวิดก็ลุกขึ้นในวันนั้น หนีจากซาอูลไปหาอาคีช พระราชาเมืองกัท 11 และมหาดเล็กของอาคีชทูลว่า "ดา วิดคนนี้ไม่ใช่หรือที่เป็นกษัตริย์ของแผ่นดินนั้น เขามิได้เต้น รำและขับเพลงรับกันหรือว่า 'ซาอูลฆ่าคนเป็นพันๆ และดา วิดฆ่าคนเป็นหมื่นๆ'" 12 และดาวิดก็จำถ้อยคำเหล่านี้ไว้ใน ใจและกลัวอาคีชกษัตริย์เมืองกัท 13 ท่านจึงเปลี่ยนอากัป กริยาต่อหน้าเขาทั้งหลาย และกระทำตนเป็นคนบ้าเที่ยวกา ไว้ที่ประตู และปล่อยให้น้ำลายไหลลงเปรอะเครา 14 อาคีช จึงสั่งผู้รับใช้ของท่านว่า "นี่แน่ะ เจ้าเห็นว่าคนนั้นบ้า แล้วเจ้า พาเขามาหาเราทำไม 15 ข้าขาดคนบ้าหรือ เจ้าจึงพาคนนี้ มาทำบ้าให้ข้าดู คนอย่างนี้ควรเข้ามาในนิเวศของข้าหรือ"

ในฐานะที่ผมเป็นครูสอนพระคัมภีร์ ผมเคยเข้าไปจัดสัมนาในคุกหลายหน และผมก็ค่อน ข้างหวั่นใจ บางครั้งผมเคยลองถามตัวเองว่า ถ้ามีการจลาจลเกิดขึ้นในคุกตอนที่ผมอยู่ ผมจะทำยังไงดี ผมคงอยากอยู่หลังลูกกรงกับพวกผู้เชื่อมากกว่าออกไปอยู่ด้านนอกกับ พวกพัศดีที่ไม่มีความเชื่อ การได้เข้าไปจัดสัมนาในคุกบ่อยๆจึงทำให้ผมเข้าใจถึงพระ คำข้อสุดท้ายของ 1 ซามูเอล 21 ได้เป็นอย่างดี

สิ่งที่ดาวิดทำตอนนี้น่าทึ่งมากนะครับ ดาวิดหนีออกจากแผ่นดินอิสราเอลไปยังดินแดน ฟิลิสเตีย ท่านจากประชากรของพระเจ้าเพื่อไปหาศัตรูของพระเจ้า ท่านไปขอลี้ภัยกับ กษัตริย์อาคีชที่ท่านเคยทำสงครามด้วยมาก่อน ดาวิดเคยไปที่เมืองกัทมาก่อน – อย่าง น้อยก็เกือบถึง หลังจากที่ท่านฆ่าโกลิอัททหารกล้าของฟิลิสเตีย ดาวิดและทหารอิสรา เอลไล่ตามฆ่าคนฟิลิสเตียไปจนถึงเมืองกัท และเอโครน (1 ซามูเอล 17:51-52) ตอนนี้ ดาวิดต้องมาที่เมืองกัทอีกครั้ง แต่ครั้งนี้มาในฐานะนักโทษลี้ภัยการเมือง มาขอความคุ้ม ครองจากกษัตริย์อาคีช

ดาวิดมาที่เมืองกัทเพื่อเสาะหาที่พึ่งพิงคุ้มภัย แต่เมืองนี้เป็นบ้านเกิดของโกลิอัทที่ท่าน ฆ่า (17:23) ที่แย่ไปกว่านั้น ดาวิดถือดาบของโกลิอัทมาด้วย (ข้อ 8-9) ผมว่าดาวิดถ้า จะบ้าที่เลือกไปเมืองกัท ที่บ้าไปกว่านั้นคือการประพฤติตนของท่านที่กัท (ข้อ 13) ถ้า จะมีอะไรแอบแฝงอยู่ในพระคำตอนนี้ ก็น่าจะเป็นการที่ซาอูลตามฆ่าดาวิดอย่างเอาจริง เอาจัง ถ้าดาวิดต้องหลบหนีไปพึ่งพิงศัตรู สิ่งนี้บอกอะไรเราถึงความเป็น "เพื่อน" อย่าง ซาอูล ? นอกจากจะบอกให้เรารู้ถึงความเกลียดชังอย่างรุนแรง (ขั้นใกล้บ้า) ของซาอูล ทุกอย่างดูสิ้นหวังจริงๆ !

ผู้เขียนพระธรรมตอนนี้ไม่ได้ให้ความสนใจเรื่องการมาถึงเมืองกัทของดาวิด มากเท่ากับ อธิบายตอนที่ท่านออกไป ไม่ว่าดาวิดไปที่เมืองกัทด้วยเหตุผลใดก็ตาม ดูเหมือนพระ เจ้าไม่ทรงพอพระทัยที่จะให้ท่านอยู่ที่เมืองนี้ พระเจ้าทรงใช้ให้มหาดเล็กของอาคีช กดดันกษัตริย์ฟิลิสเตีย ให้ถือเรื่องดาวิดเป็นเรื่องอันตรายร้ายแรงต่อความมั่นคงของประ เทศ พระธรรมตอนนี้และในบทที่ 27-29 อาคีชดูเหมือนเป็นคนไม่มีเล่ห์เหลี่ยมและเซ่อ ซ่า แต่ท่านออกจะชอบดาวิด ท่านมีความเชื่อมั่นว่าดาวิดยอมจำนนกับท่านจริงๆ และ น่าจะเป็นพันธมิตรที่เอื้อประโยชน์ได้ ท่านไม่อยากจะคิดว่าดาวิดยังคงสัตย์ซื่อต่ออิสรา เอล และในไม่ช้าจะขึ้นครองราชย์ในอิสราเอล

เป็นเรื่องปกติที่กษัตริย์จะช่วยคุ้มครองนักโทษลี้ภัยการเมืองจากประเทศรอบด้านเอาไว้ (ดูตัวอย่างจาก 1 พกษ 11:40; 2 พกษ 25:27-30) ถ้าให้ความคุ้มครองช่วยเหลือ ใคร จะไปรู้วันหนึ่งข้างหน้าอาจจะมาเป็นพันธมิตรกัน พวกผู้ลี้ภัยเหล่านี้เป็นเหมือนถ้วยราง วัลชนิดหนึ่ง เป็นพยานที่มีชีวิตที่แสดงถึงอำนาจทางการเมืองของประเทศนั้นๆ มหาด เล็กของอาคีชทำให้ท่านตื่นจากความฝัน ท่านจำไม่ได้หรือว่า ดาวิดได้รับการเจิมตั้งให้ เป็นกษัตริย์องค์ต่อไปของอิสราเอล ? ท่านจำไม่ได้หรือ ถึงการตายของโกลิอัท และ ความปราชัยต่ออิสราเอลโดยการนำของดาวิด ? ท่านลืมเพลงที่แต่งให้สำหรับดาวิดไป แล้วหรือ เพลงที่ประกาศว่าดาวิดเป็นใหญ่กว่าซาอูล ? :

"ซาอูลฆ่าคนเป็นพันๆ ดาวิดฆ่าคนเป็นหมื่นๆ"

อาคีชถูกกดดันให้คิดอย่างรอบคอบก่อนที่จะรับให้ดาวิดมาอาศัยอยู่ในเมืองกัท ท่าน คิดหนัก ดาวิดก็เช่นกัน ท่านได้ยินเรื่องที่มหาดเล็กให้คำปรึกษาต่ออาคีช และท่านรู้ดี ว่า ถ้ากษัตริย์ยอมทำตามคำแนะนำ ท่านอาจถูกประหาร ท่านกำลังตกที่นั่งลำบาก ลำ บากมากซะด้วย ดาวิดจะออกจากสถานการณ์เสี่ยงตายเช่นนี้ได้อย่างไร ?

ดูเหมือนจะมีหนทาง ดาวิดเอาชีวิตรอดได้ แต่ต้องยอมเสียศักดิ์ศรี ถ้าท่านมาถึงเมืองนี้ อย่างนักรบผู้น่าเกรงขาม น่ากลัวกว่าโกลิอัท เมื่อท่านจากไป ท่านจากไปแบบคนบ้า ดาวิดคิดทางออกได้โดยทำตัวเป็นคนบ้า ถ้าท่านทำให้กษัตริย์เชื่อได้ว่าท่านเสียสติไป แล้ว จะไม่มีใครอยากมายุ่งกับท่าน และท่านอาจมีชีวิตอยู่ต่อไป คิดได้แล้ว ดาวิดก็ทำ ตามแผน ท่านเที่ยวขีดเขียนไปทั่วประตูเมือง ปล่อยให้น้ำลายไหลยืดเลอะหนวดเครา ช่างน่าสะอิดสะเอียนและน่าสมเพชเสียจริง

อาการบ้าของท่านอาจหลอกใครไม่ได้ แต่น่าจะหลอกกษัตริย์ได้ เพราะถึงอย่างไร อาคีชก็ไม่ได้อยากจะฆ่าดาวิดอยู่แล้ว ดูเหมือนท่านจะชอบใจดาวิดจริงๆ ทางออก ของท่านคือ กษัตริย์ไม่ควรไปยุ่งเกี่ยวกับคนบ้า ! การฆ่าดาวิดไม่ทำให้เกิดอะไรขึ้น และการเก็บท่านเอาไว้ก็ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์กับเมืองกัทด้วย เพราะเมืองกัทไม่ใช่ เป็นโรงพยาบาลบ้า ! มีพวกฟิลิสเตียบ้าๆอยู่ในเมืองมากพอแล้ว ; ไม่รู้จะเอาคนบ้า อิสราเอลมาไว้อีกทำไม อาคีชจึงปล่อยดาวิดออกจากเมืองไป ชีวิตท่านรอดพ้นอีกครั้ง และปัญหาของบรรดาผู้ให้คำปรึกษาก็จบสิ้นลง ดูเหมือนสถานการณ์ครั้งนี้ไม่มีใครได้ ใครเสีย

ดาวิดเป็นคนถ้ำและเป็นผู้นำ
(22:1-2)

1 ดาวิดก็จากที่นั่นหนีไปอยู่ที่ถ้ำอดุลลัม เมื่อพี่ชาย ของท่านและพงศ์พันธุ์บิดาของท่านทั้งสิ้นได้ยินเรื่อง เขาก็ลงไปหาท่านที่นั่น 2 นอกนั้นทุกคนที่มีความ ทุกข์ยาก และทุกคนที่มีหนี้สิน และทุกคนที่ไม่มีความ พอใจก็พากันมาหาท่าน และท่านก็เป็นหัวหน้าของเขา ทั้งหลาย มีคนมามั่วสุมอยู่กับท่านประมาณสี่ร้อยคน

ดาวิดหนีกลับไปที่เขตแดนของยูดาห์ ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากชายแดนอิสราเอลและฟิลิสเตีย ท่านซ่อนตัวอยู่ในถ้ำอดุลลัม ซึ่งไม่มีใครทราบแน่ชัดว่าอยู่ที่ใด แต่ดูเหมือนจะอยู่ห่าง จากเมืองกัทไปทางตะวันออกหลายกิโลเมตร อยู่ค่อนไปทางเมืองเบธเลเฮมและเยรู ซาเล็ม ดาวิดหาที่ปลอดภัยพออยู่ได้ ไกลจากเมืองกัทและห่างจากซาอูล

ก่อนหน้านี้ดาวิดเหมือนตัวคนเดียว แต่เมื่อท่านมาซ่อนตัวอยู่ในถ้ำอดุลลัม มีคนเริ่มมา หามาเข้าพวก คนกลุ่มแรกที่ได้ยินเรื่องท่านก็คือครอบครัวของท่านเอง และพวกเขามา หาท่านที่ถ้ำ พวกเขาคงรู้ตัวดีว่าถ้าดาวิดถูกนับเป็นศัตรูของซาอูลแล้ว ครอบครัวต้อง เดือดร้อนแน่ๆ น่าจะเป็นการคาดเดาที่ถูกต้อง โดยดูจากชะตาที่พวกปุโรหิตเผชิญ (ดูบทที่ 22) มีคนตามมาสมทบอีก คนที่ถูกข่มเหง เป็นหนี้ หรือเป็นฝ่ายตรงข้ามกับ ซาอูล พวกเขามาโดยให้ดาวิดเป็นผู้นำ มีหลายคนสงสัย คนพวกนี้เป็นแบบเดียวกับ สาวกพระเยซูหรือเปล่า คือหวังว่าจะมีกษัตริย์องค์ใหม่มาโค่นองค์เก่าออกไป ? ในช่วง ที่ท่านอาศัยอยู่ในถ้ำ มีคนมาเข้าพวกกับท่านถึง 400 คน

ไปโมอับและกลับคืน
(22:3-5)

3 ดาวิดก็ออกจากที่นั่นไปยังเมืองมิสปาห์ในแผ่นดินโมอับ และท่านทูลพระราชาเมืองโมอับว่า "ขอโปรดให้บิดามาร ดาของข้าพเจ้ามาอยู่กับพระองค์เถิด จนกว่าข้าพเจ้าจะ ทราบว่าพระเจ้าจะทรงกระทำประการ ใดเพื่อข้าพเจ้า" 4 และท่านก็นำบิดามารดามาฝากไว้กับพระราชาแห่งโมอับ และท่านทั้งสองก็อาศัยอยู่กับพระราชาตลอดเวลาที่ดาวิด อยู่ในที่กำบังเข้มแข็ง 5 แล้วผู้เผยพระวจนะกาดกล่าวแก่ ดาวิดว่า "ท่านอย่าอยู่ในที่กำบังเข้มแข็งนี้เลย จงไปเข้า ในแผ่นดินยูดาห์เถิด" ดาวิดก็ไปและมาอยู่ในป่าเฮเรท

ถ้ำดูจะเล็กไปแล้ว หรือมีคนเริ่มรู้เรื่องดาวิดอยู่ในถ้ำนี้แล้ว ดาวิดจึงไปที่มิสปาห์ในแผ่น ดินโมอับ เพื่อไปหาที่อยู่อาศัยให้กับบิดามารดาผู้ชราภาพ (ดู 1 ซามูเอล 17:12) พวก เขาคงไม่ปลอดภัยในเบธเลเฮม เพราะซาอูลมาหาได้โดยง่ายและอาจใช้ท่านเป็นสะ พานมาหาดาวิด และยังทำให้ดาวิดไม่กล้าหอบท่านเดินทางไปไหนมาไหนในแถวทะเล ทรายได้นาน ท่านไม่สมควรมาใช้ชีวิตเป็นเหมือนนักโทษลี้ภัยอย่างนี้ ดาวิดจึงไปหาที่ พักให้ท่านในแผ่นดินโมอับ คุณคงจำได้ว่านางรูธ คุณยายทวดของดาวิดเป็นหญิงชาว โมอับ (ดูนางรูธ 1:4; 4:13-17) นี่อาจจะเป็นเหตุให้กษัตริย์โมอับทำตามที่ดาวิดร้องขอ บิดามารดาของดาวิดจึงอยู่ในที่ปลอดภัยในช่วงเวลานับปีที่ดาวิดหลบหนีซาอูล

ในขณะที่ดาวิดหลบซ่อนตัวอยู่ในแผ่นดินโมอับ ผู้เผยพระวจนะกาดมหาท่านพร้อมกับ พระคำของพระเจ้าว่า ดาวิดต้องไม่หลบซ่อนตัวอีกต่อไป ท่านต้องออกจากที่นั่นและ กลับไปที่แผ่นดินยูดาห์93 ดาวิดทำตามคำสั่งของท่านผู้เผยพระวจนะ ถึงแม้ท่านคง สงสัยว่าให้กลับไปที่ยูดาห์ทำไม เมื่ออ่านไปถึงบทที่ 26 ดาวิดถึงรู้ว่าทำไม และท่าน จะบอกกับเรา (และบอกซาอูลด้วย) ดาวิดกลับไปยังยูดาห์ แอบซ่อนตัวอยู่ในป่าเฮเรท เลยทำให้เรานึกถึงพระเอกตลอดกาล "โรบินฮู้ด"

บทสรุป

สิ่งหนึ่งที่แสดงให้เราเห็นความจริงอันชัดเจน คือพระคำที่เขียนโดยอัครสาวกยากอบ ในพระคัมภีร์ใหม่ :

17 ท่านเอลียาห์ก็เป็นมนุษย์ที่มีสภาพเหมือนกับเราทั้งหลาย และท่านได้อธิษฐานด้วยความเชื่ออันแรงกล้าขอไม่ให้ฝนตก และฝนก็ไม่ตกต้องแผ่นดินถึงสามปีกับหกเดือน
(ยากอบ 5:17)

หลายคนคิดว่าดาวิดเป็นมนุษย์ที่แท้จริง ผมเชื่อว่าพระธรรมตอนนี้แสดงให้เราเห็นความ เป็นมนุษย์ที่แท้จริงของท่าน ท่านไม่ได้คิดหรือทำในแง่จิตวิญญาณเสมอไป ท่านมีใจ ให้กับพระเจ้า แต่เท้าท่านก็ยังติดดิน ดาวิดไปขอความช่วยเหลือจากอาหิเมเลข โดย คิดว่าตนเองรู้ดีกว่า ท่านยอมรับว่าการตายของบรรดาปุโรหิตและครอบครัวทั้งสิ้นของ พวกเขาเป็นความผิดของท่านทั้งหมด (22:22) ท่านหนีเข้าไปในดินแดนฟิลิสเตีย ไป ขอพึ่งพิงศัตรูแทนที่จะพึ่งพิงพระเจ้า แล้วท่านก็หนีไปยังโมอับ ที่ซึ่งผู้เผยพระวจนะ กาดต้องมาบอกให้ท่านกลับไปบ้าน ดาวิดไม่ได้ทำถูกไปเสียทุกเรื่อง ท่านเป็นมนุษย์ ธรรมดา ไม่ใช่เป็นภาพฝัน ไม่ใช่เป็นมนุษย์วิเศษที่ผู้เขียนแต่งขึ้นตามจินตนาการ หลายครั้งที่ความล้มเหลวของดาวิดทำให้เราเองได้รับการหนุนใจและมีความหวัง ท่าน เป็นเพียงผู้ชายคนหนึ่ง "มีธรรมชาตินิสัยเหมือนพวกเรา" พระเจ้าปฏิบัติต่อเราทั้งหลาย อย่างเปี่ยมไปด้วยพระคุณ เช่นเดียวกับที่พระองค์ปฏิบัติต่อดาวิด

เราอาจจะผ่านเหตุการณ์ในพระธรรมตอนนี้ไปโดยไม่ดูซ้ำสอง สำหรับสายตาของผู้ที่ไม่ ได้รับการฝึกฝน ดูเหมือนดาวิดโชคดี อย่างน้อยถึงสองครั้ง ครั้งแรก ดาวิดสามารถหนี รอดไปจนถึงเมืองโนบ ไม่มีขนมปังให้ท่าน เว้นแต่ขนมปังสำหรับปุโรหิต อาหิเมเลข ยอมยกเว้นและมอบขนมปังนี้ให้กับดาวิด ครั้งที่สอง ดาวิด "หนี" ไปยังดินแดนฟิลิสเตีย ถือดาบของโกลิอัทไปด้วย ไปยังบ้านเกิดของยักษ์ตนนี้ ท่านถูกหมายหัวไว้ว่าต้องตาย แน่ๆ แต่การทำตัวแกล้งบ้าทำให้ท่านถูกส่งออกไปจากเมือง คนอะไรจะโชคดีได้ ขนาดนี้?

การช่วยกู้ และบทเพลงสรรเสริญของดาวิด

พระธรรมตอนอื่นทำให้เห็นชัดเจนว่า นี่ไม่ใช่เรื่อง "โชคดี" การที่ดาวิดรอดตัวไปได้ ไม่ใช่เป็นเพราะท่านใช้เล่ห์เหลี่ยม แต่เป็นการช่วยกู้ที่มาจากพระเจ้า อันที่จริง เรากำลัง จะเห็นในไม่ช้า (ในบทที่ 22) ว่าระหว่างที่ดาวิดหนีจากโนบไปที่เมืองกัทนั้น พวกปุโรหิตและครอบครัวกำลังเคราะห์ร้าย สิ่งนี้ถูกเปิดเผยให้เรารู้่ในพระธรรมสดุดี 52 เบื้องหลังประวัติศาสตร์ของสดุดี 52 คือสิ่งที่โดเอกรายงานให้ซาอูลรู้ว่าเห็นดาวิดอยู่ที่ เมืองโนบ สดุดีบทที่ 34 และ 56 เขียนในระหว่างที่ดาวิดอยู่ในเมืองกัท สดุดีบทที่ 57 และ 142 เขียนในระหว่างที่ดาวิดหลบซ่อนอยู่ในถ้ำ บทเพลงสดุดีเหล่านี้เป็นภาพสะ ท้อนของดาวิด เป็นเรื่องราวเบื้องหลังของพระธรรมตอนนี้ ให้เราหยุดสักชั่วครู่เพื่อดูว่า บทสดุดีนี้สอนและนำเราในเรื่องใด

(1) การช่วยกู้เป็นของพระเจ้า พระเจ้าเป็นผู้ประทานความรอด ดังนั้นพระองค์จึง เป็นผู้เดียวที่เราควรร้องทูลขอความรอด (34:4-7; 57:1-3; 142) เป็นผู้เดียวที่เราต้อง โมทนาสรรเสริญในความรอดนี้ บางทีเรามองไม่ออกว่าพระองค์คือผู้กระทำ แต่แน่ใจ เถิดว่าการช่วยกู้มาจากพระองค์ ดูอย่างผิวเผิน เราคงดูไม่ออกว่าพระเจ้าช่วยกู้ดาวิด ออกมาจากเมืองกัท แต่ในสดุดี 34 ทำให้เราเห็นชัดเจนว่าการช่วยกู้มาจากพระเจ้า

(2) พระเจ้าเป็นผู้ช่วยกู้จากบรรดาผู้ประสงค์จะทำลายเรา (56:1-7; 57:4-6) ดาวิดเห็นจุดจบของท่านในเงื้อมมือคนชั่วร้าย และเห็นพระเจ้าเป็นผู้ช่วยท่านออกจาก เงื้อมมือคนชั่วเหล่านั้น

(3) การช่วยกู้จะไปถึงยังบรรดาคนที่รักและวางใจในพระเจ้า ผู้ที่ร้องทูลขอให้ พระองค์ช่วย (56:3-4, 9-11; 57:1-3; 142:1-2) พระเจ้าทรงห่วงใย และต้องการ ปกป้องคนที่พระองค์รัก ผู้ใดเข้าพึ่งพิงในพระองค์ ผู้ใดที่มีความยำเกรงพระองค์ และผู้ ใดร้องทูลต่อพระองค์ พระองค์จะประทานความรอดให้

(4) เราไม่สมควรได้รับการช่วยกู้ ; เป็นของประทานโดยพระคุณ (57:1) พระเจ้า ช่วยกู้มนุษย์ไม่ใช่เพราะมนุษย์สมควรได้รับ แต่เป็นเพราะพระเจ้าทรงพระกรุณาและมี เมตตา พระองค์สงสารที่เห็นมนุษย์ถูกข่มเหง (34:17-18; 56:8) การช่วยกู้ของพระ เจ้าเป็นเพราะความบาปและความโง่เขลาของเรา

(5) พระเจ้าช่วยกู้มนุษย์ เพื่อพระสิริ คำสรรเสริญและโมทนาพระคุณของพระ องค์ (สดุดี 56:12; 57:5, 8, 9, 11; 142:7) เมื่อพระเจ้าช่วยกู้มนุษย์ออกจากความ ยากลำบาก พวกเขาสมควรประกาศพระนามและโมทนาขอบพระคุณพระองค์ให้ชาวโลก ได้รับรู้ถึงพระเมตตาของพระองค์ ดังนั้นการช่วยกู้ไม่ใช่เพื่อสำหรับตัวเราจะได้ดี แต่เพื่อ พระสิริขององค์พระผู้เป็นเจ้า

(6) พระเจ้าทรงช่วยกู้เพื่อให้มนุษย์รู้จักพระองค์ดีขึ้น และนำสิ่งที่รู้ไปสั่งสอน ผู้อื่นต่อ (34:8-14) ผมเชื่อว่าดาวิดเขียนเรื่องความกลัวในสดุดีบทที่ 34 เพราะท่าน เรียนรู้มากมายเกี่ยวกับความกลัว ดาวิดกลัวมนุษย์ก่อน นี่คือสาเหตุที่ท่านหนีไปเมือง กัท ท่านกลัวซาอูล ต่อมาท่านกลัวพวกฟิลิสเตีย ไม่นานดาวิดก็เรียนรู้ว่า พระเจ้าขจัด ความกลัวของมนุษย์ออกไปเสีย และเมื่อพระองค์ทำ เราจึงเรียนรู้ที่จะยำเกรงพระองค์ มากกว่าเกรงกลัวมนุษย์ ความยำเกรงพระเจ้าสอนเราให้ "จงระวังลิ้นของเจ้าจาก ความชั่ว และอย่าให้ริมฝีปากพูดเป็นอุบายล่อลวง" (34:13) ผมเชื่อว่าดาวิด เข้าใจดีถึงความสำคัญของการพูดความจริง และเมื่อท่านยำเกรงพระเจ้ามากกว่า เกรงกลัวมนุษย์ ท่านพูดความจริงและต้องการให้คนรอบข้างทำเช่นกัน การช่วยกู้ ดาวิดทำให้ท่านสามารถนำสิ่งที่ท่านเรียนรู้ไปใช้สั่งสอนผู้อื่นได้

(7) พระเจ้าทรงช่วยกู้ โดยหลากหลายวิธีการ (34) ใครจะไปคิดถึงว่า การที่ดาวิด แกล้งบ้าและถูกขับออกจากเมืองกัทนั้นเป็นมาจากพระหัตถ์พระเจ้า ? ไม่ใช่โชคดี หรือ ดาวิดแสดงได้สมบทบาท ไม่ใช่เป็นความคิดของดาวิด ! เป็นพระเจ้าเองที่ช่วยกู้ดาิวิด ออกมาจากเมืองกัท ถึงแม้จะต้องใช้วิธีแกล้งบ้า (เป็นพระเจ้าใช่หรือไม่ที่ใส่ความคิด เรื่องแกล้งบ้าเข้าไปในหัวของดาวิด ?)

(8) พระเจ้าทรงใช้วิธีการที่แสนธรรมดามาช่วยกู้ ซึ่งบางครั้งดูอาจน่ารังเกียจ สำหรับมนุษย์ (34) คุณเคยดูหนังที่มีบางตอนเป็นเรื่องของจิตวิญญาณบ้างไหม ? ถึงผมจะไม่ได้อยู่หน้าจอโทรทัศน์ แค่ได้ยินเสียง ผมบอกได้เลยว่าเป็นฉากบรรยากาศ ของสวรรค์ มีเสียงเพลงประกอบแบบ "สวรรค์ๆ" ไม่รู้จะอธิบายยังไงดี เแต่เป็นเพลง ที่ฟังแล้วทำให้รู้สึกสงบ มีความสุข (ส่วนมากจะใช้เครื่องดนตรีจำพวกไวโอลินหรือพิณ บรรเลง)

คุณเคยเห็นป้ายบนถนนหลวงที่เตือนผู้ขับขี่ว่า "ขับช้าๆ ข้างหน้ามีคนทำงาน" หรือ เปล่า ? ผมคิดว่าคริสเตียนหลายคนหวังจะให้พระเจ้าทำเช่นเดียวกัน เมื่อพระเจ้าช่วย กู้ใครก็ตามในพระคัมภีร์ เราคาดจะเห็นป้ายที่เขียนว่า "ขับช้าๆ พระเจ้ากำลังทำงานอยู่" เราหวังจะได้ยินเสียงเพลงลอยมาจากสวรรค์ขับกล่อม สร้างบรรยากาศของการสถิตอยู่ แต่สิ่งเหล่านี้ไม่ได้เกิดขึ้นเมื่อครั้งพวกพี่ๆขายโยเซฟให้ไปเป็นทาส ไม่ได้เกิดขึ้นเมื่อ ซาตานมาสร้างความทุกข์สาหัสให้กับโยบ หรือแม้กระทั่งเมื่อดาวิดน้ำลายไหลยืด เดิน ไปมาอยู่ที่เมืองกัท แต่พระเจ้าทรงทำงานของพระองค์โดยที่ตาเรามองไม่เห็น ในพระ ธรรม 2 ซามูเอล เราจะเห็นว่าซาโลมอนได้เป็นผู้สืบต่อราชบัลลังก์จากบิดา(ดาวิด) ถึง แม้ว่าท่านจะเกิดจากนางบัทเชบา หญิงที่เคยเป็นภรรยาของอุรียาห์มาก่อน มีการสร้าง พระวิหารบนแผ่นดินที่ดาวิดซื้อไว้หลังจากที่ท่านทำผิดโดยนับกำลังพลอิสราเอล ท่าน ขึ้นไปสร้างแท่นเพื่อถวายบูชาแด่พระเจ้าบนแผ่นดินนั้น เพื่อพระเจ้าจะทรงพระกรุณา ยับยั้งโรคระบาดเสียจากอิสราเอล แผ่นดินนั้นเคยเป็นลาดนวดข้าวของอาราวนาห์ คน เยบุส (2 ซามูเอล 24) พระเจ้าทรงทำงานของพระองค์อยู่เสมอโดยเราไม่ต้้องคาด หวังจะเห็นพระหัตถ์ของพระองค์อยู่เหนือพระราชกิจที่ทรงทำการอยู่

(9) การช่วยกู้ของพระเจ้ามักเกิดขึ้นในสถานการณ์ที่เราจนมุม (142:4) หลาย ครั้งพระเจ้าต้องการปล่อยให้เราตกอยู่ในสถานการณ์คับขันที่สุด เพราะเมื่อพระองค์ทรง ช่วยกู้ เราจะเห็นภาพชัดว่ามาจากพระองค์ ในบทเพลงสดุดี ดาวิดบรรยายถึงสถาน การณ์ที่คับขันที่สุดของท่าน และบรรยายถึงวิธีการที่พระเจ้าทรงช่วยกู้ท่านออกมา

10) พระเจ้าไม่ได้ช่วยกู้เราด้วยวิธีการที่ทำให้เราสมใจนึก แต่ด้วยวิธีการที่ทำ ให้เราต้องถ่อมใจ หลายครั้งเมื่อเราดูข่าวการช่วยชีวิตคนในโทรทัศน์ เราจะเห็นภาพ ที่ไม่น่าประทับใจ เช่นผู้หญิงผมเผ้าเป็นกระเซิงหน้าตามอมแมมดูไม่ได้ในชุดนอน ไม่มี ใครอยากให้สถานการณ์เช่นนั้นเกิดกับตนเอง แต่ไม่มีทางเลือก คุณอยากรอดชีวิตหรือ เปล่า ? คงตัดสินใจได้ไม่ยาก พระเจ้าทรงช่วยกู้ดาวิดด้วยวิธีการที่ทำให้ท่านต้องถ่อม ใจเป็นอย่างมาก พระเจ้าไม่ได้ทำให้ดาวิดรู้สึกผยอง; แต่พระองค์ทรงช่วยด้วยวิธีการที่ ทำให้ดาวิดต้องถ่อมใจหันมาพึ่งพิงในพระองค์ แปลกแต่จริง พระเจ้าสอนเราให้รู้จักที่ จะถ่อมใจก่อน เพื่อเราจะเห็นถึงความอ่อนแอไร้สมรรถภาพของตัวเอง และต้องร้องทูล ขอการช่วยกู้จากพระองค์

เมื่อผมคิดถึงเรื่องราวต่างๆในพระคัมภีร์ ผมตระหนักว่าบ่อยครั้งที่พระเจ้าทรง "ช่วยกู้" คนของพระองค์จากความพินาศ ด้วยวิธีการที่ดูแสนจะต่ำต้อย ผมนึกถึงอับราฮัม ที่หนี ไปยังแผ่นดินอียิปต์เพื่อ "ให้รอด" จากการกันดารอาหาร เมื่อท่านทำเช่นนั้น ท่านไม่ เพียงแต่เสี่ยงชีวิตตนเอง แต่เสี่ยงกับพระสัญญาที่พระเจ้าจะประทานบุตรให้ทางนาง ซาราห์ เพื่อพระพรของพระองค์จะตกอยู่กับท่านและมนุษยชาติด้วย (ดูปฐมกาล 12:1-3) อับราฮัมโกหกเรื่องนางซาราห์ว่าเป็นเพียงน้องสาว ไม่ใช่ภรรยา ผลก็คือนางถูกส่ง ไปอยู่ในฮาเร็มของฟาโรห์ พระเจ้าทรงช่วยคนทั้งสองด้วยวิธีการที่ต่ำต้อย ฟาโรห์ให้ คนใช้ส่งทั้งสองออกไปจากแผ่นดินอียิปต์ พร้อมด้วยทรัพย์สมบัติที่มอบให้ด้วย (ดู ปฐมกาล 12:17-20)

การช่วยกู้ที่ดูจะต่ำต้อยที่สุดอีกเรื่องหนึ่ง (นอกจากเรื่องดาวิดที่เรากำลังเรียนอยู่) คือ เรื่องนาอามาน คุณคงจำได้ว่านาอามานเป็นผู้บัญชาการกองทัพของซีเรียที่เป็นโรค เรื้อน นาอามานรู้จากทาสสาวว่ามีท่านผู้เผยพระวจนะท่านหนึ่งในอิสราเอลสามารถรัก ษาได้ แต่เมื่อท่านไปยังบ้านผู้เผยพระวจนะท่านนี้ แทนที่จะได้รับการต้อนรับเป็นส่วน ตัว กลับรับคำสั่งผ่านคนใช้แทน ท่านถูกสั่งให้ไปอาบน้ำในแม่น้ำจอร์แดนเจ็ดครั้ง นา อามานโกรธมาก เพราะท่านไม่ได้รับเกียรติเท่าที่ควร แต่ในที่สุด คนใช้ของท่านแนะ นำให้ทำตามคำสั่ง ผู้บัญชาการกองทัพซีเรียก็ยอมเชื่อฟัง และได้รับการรักษาให้หาย พระเจ้าทรงรักษาท่าน แต่ด้วยวิธีที่ท่านต้องถ่อมใจ (ดู 2 พกษ. 5)

(11) พระเจ้าไม่ได้ช่วยกู้เฉพาะปัญหาฝ่ายโลกหรือฝ่ายกายเท่านั้น ; การช่วย กู้ของพระองค์รวมถึงกู้จากความพินาศนิรันดร์ด้วย (สดุดี 34:21-22; 56:13) น่าสนใจที่ในพระคัมภีร์ใหม่ คำว่า "ช่วยกู้" มักถูกใช้ในวงกว้างมากกว่าเรื่องการช่วย กู้ฝ่ายวิญญาณ ใช้ในการช่วยรักษาอาการทางกาย หรือจากความทุกข์ร้อนต่างๆ ในพระ ธรรมตอนนี้ พระเจ้าช่วยกู้ชีวิตของดาวิด แต่ในพระธรรมสดุดีดาวิดบอกกับผู้อ่านว่าการ ช่วยกู้ฝ่ายกายนั้นเป็นต้นแบบของการช่วยกู้ฝ่ายวิญญาณ ซึ่งพระเจ้าเป็นผู้กระทำให้ สำเร็จ พระเจ้าองค์ที่ช่วยกู้เราจากการกดขี่ข่มเหงและจากศัตรู คือพระเจ้าเดียวกับที่ช่วย กู้เราให้รอดพ้นจากพระอาชญานิรันดร์

การช่วยกู้ของดาวิดและองค์พระเยซูคริสต์ของเรา

การช่วยกู้ของดาวิดนั้นเกี่ยวพันโดยตรงกับพระคัมภีร์ใหม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งองค์พระ เยซูคริสต์ ให้มาพิจารณาดูเนื้อหาที่พระองค์ตรัสในพระธรรมมัทธิว 12:

1 ในคราวนั้น พระเยซูเสด็จไปในนาในวันสะบาโต และพวก ศิษย์ของพระองค์หิว จึงเด็ดรวงข้าวมากินแก้หิว 2 เมื่อพวก ฟาริสีเห็นเข้า จึงทูลพระองค์ว่า "นั่นแน่ะศิษย์ของท่านทำการ ซึ่งต้องห้ามในวันสะบาโต" 3 พระองค์จึงตรัสกับเขาว่า "พวก ท่านยังไม่ได้อ่านหรือ ซึ่งดาวิดได้กระทำ เมื่อท่านและพรรค พวกอดอยาก 4 ท่านได้เข้าไปในพระนิเวศของพระเจ้า รับประ ทานขนมปังหน้าพระพักตร์ ซึ่งท่านหรือพรรคพวกไม่มีสิทธิ์จะ รับประทาน ควรแต่ปุโรหิตพวกเดียว 5 ท่านทั้งหลายไม่ได้ อ่านในธรรมบัญญัติหรือที่ว่า พวกปุโรหิตในพระวิหารย่อมละ เมิดกฎวันสะบาโตแต่ไม่มีความผิด 6 แต่เราบอกท่านทั้งหลาย ว่า ที่นี่มีสิ่งหนึ่งเป็นใหญ่กว่าพระวิหารอีก 7 ถ้าท่านทั้งหลาย ได้ เข้าใจความหมายของพระคัมภีร์ที่ว่า เราประสงค์ความ เมตตา ไม่ประสงค์เครื่องสัตวบูชา ท่านก็คงจะไม่กล่าว โทษคนที่ไม่มีความผิด 8 เพราะว่าบุตรมนุษย์เป็นเจ้าเป็นใหญ่ เหนือวันสะบาโต"
(มัทธิว 12:1-8)

พวกฟาริสีรู้สึกไม่พอใจมากที่เห็นว่าพระเยซูและพวกสาวกละเมิดกฎวันสะบาโต เมื่อ พวกสาวก (ซึ่งไม่รวมพระเยซู) เด็ดรวงข้าวกินในวันสะบาโต พวกฟาริสีเห็นอยู่ชัดๆว่า เป็นการละเมิดกฎวันสะบาโต พวกเขาอ้างว่าทำการต้องห้าม จึงกล้านำเรื่องนี้มาเผชิญ กับพระเยซู โดยหาว่าพระองค์ละเลยวันสะบาโต

พระเยซูทรงถามกลับพวกฟาริสี ในสิ่งที่พวกเขาพยายามจะถามว่า "คุณคิดว่าคุณเป็น ใครกัน ?" "พระเยซูกล้่าดีอย่างไรจึงละเมิดวันสะบาโตด้วยการอนุญาติให้พวกสาวกไป "เกี่ยว" ข้าวในวันอันต้องห้ามเช่นนี้ !" พระเยซูทรงตอบคำถามท้าทายเรื่องวันสะบาโต ในหลายวิธี พระองค์แสดงให้เห็นว่าพวกเขาเป็นคนหน้าซื่อใจคด เพราะพวกเขาเองก็ ไม่ได้รักษาวันสะบาโตตามที่กล่าวหาผู้อื่น (พวกเขาจะฉุดแกะขึ้นจากบ่อในวันนั้นถ้าจำ เป็นต้องทำ) เช่นกันการทำความดีในวันสะบาโตไม่ได้ถือว่าเป็นการทำผิด พวกเขาขาด ความเข้าใจว่าวันสะบาโตมีไว้เพื่อเป็นประโยชน์สำหรับมนุษย์ ไม่ใช่มีมนุษย์เพื่อวันสะ บาโต อีกคำตอบคือ พระเยซูทรงทำการในวันสะบาโตเช่นเดียวกับพระบิดา ผู้ทรงทำ เช่นกันเพื่อช่วยเหลือมนุษย์ให้ได้รับความรอด

พระเยซูทรงตอบโต้ด้วยวิธีการที่ต่างออกไป พระองค์ตรัสถึงสิ่งที่เรากำลังเรียนอยู่ในบท นี้ พระองค์เตือนพวกฟาริสีว่า ดาวิดยังรับประทานขนมปังจากโต๊ะหน้าพระพักตร์ และ ท่านก็ไม่ได้เป็นปุโรหิต ทำไมพวกเขาไม่ทักท้วงในเรื่องนี้ ? คำตอบที่พระเยซูกำลัง ตอบคือ คุณคือผู้สร้างความแตกต่างให้เกิดขึ้นในโลก พวกเขาไม่ทักท้วงเรื่องการที่ ดาวิดกินขนมปังบริสุทธิ์ เพราะนั่นเป็นดาวิด ผู้ซึ่งอีกไม่นานจะขึ้นมาเป็นกษัตริย์เหนือ อิสราเอล จึงทำให้มองเรื่องนี้ต่างออกไปโดยสิ้นเชิง เช่นเดียวกับปุโรหิตที่พลับพลา พวกเขาต้อง "ทำงาน" ในวันสะบาโต แต่ไม่เห็นมีใครไปประณามพวกเขา ที่เป็นเช่นนั้น เพราะพวกเขาเป็นปุโรหิต

เหตุผลหนึ่งที่พระเยซูไม่ทำตามกฎเกณฑ์ของพวกฟาริสีในเรื่องวันสะบาโตเพราะพระ องค์เป็นบุตรของพระเจ้า พระองค์เป็นพระเมสซิยาห์ ที่ได้รับการเจิมให้ครอบครองโลก นี้ในฐานะกษัตริย์ ถ้าดาวิดสามารถทานขนมปังบริสุทธิ์ได้เพราะเป็นตัวท่าน และถ้าปุโร หิตยอมละเมิดกฎวันสะบาโตเพื่อดาวิดและคนของท่าน พระเยซูคริสต์จึงไม่สมควรถูก ท้าทายด้วยคำถามของพวกฟาริสีด้วย เช่นกัน คุณคือคนที่สร้างความแตกต่างในโลก ใบนี้ เช่นเดียวกับพระธรรมตอนนี้ ที่พระเจ้ากำลังแสดงให้เราเห็นผ่านทางบทเรียน

คุณเป็นคนที่สร้างความแตกต่างให้กับโลกใบนี้ ถ้าไม่มีองค์พระเยซูคริสต์ เราก็เป็นคน แปลกหน้าต่างถิ่นในอาณาจักรของพระเจ้า เราเป็นศัตรู เป็นฝ่ายตรงข้ามกับพระองค์ เราเป็นคนบาป สมควรถูกลงโทษให้พินาศนิรันดร์ แต่ในพระเยซูคริสต์ เราได้รับการ อภัย ได้รับการชำระ มีความชอบธรรมและมีชีวิตนิรันดร์ ดาวิดได้รับการช่วยกู้หลายต่อ หลายครั้งในชีวิตของท่าน โดยเฉพาะการช่วยกู้ในพระธรรมตอนที่เรากำลังศึกษาอยู่นี้ เป็นตอนที่ต่ำต้อยที่สุด ถ้าเลือกได้ท่านคงไม่อยากให้เป็นแบบนี้ แต่ท่านก็รอดพ้นจาก ศัตรูมาได้ เป็นการช่วยกู้แบบต่ำต้อยอย่างที่สุดแล้ว แต่เป็นการช่วยกู้ที่มาจากพระเจ้า ด้วยเหตุนี้ดาวิดจึงถวายพระเกียรติทั้งสิ้นแด่พระเจ้า

เช่นเดียวกับดาวิด เราเป็นผู้ที่สมควรถูกลงพระอาชญา ถ้าไม่เพราะพระคุณ เราคงมีค่า เท่ากับศูนย์ ตัวการปัญหาคือความบาปของเรา ที่ทำให้เราไม่สมควรในสายพระเนตร พระเจ้า แต่สมควรกับการพิพากษาให้พินาศนิรันดร์ พระเจ้าทรงมีพระทัยเมตตาสงสาร และโดยพระคุณทรงประทานทางออกให้กับเรา วิธีการช่วยกู้ของพระองค์อาจดูไม่สม ใจพวกเรา แต่เป็นการถวายพระสิริแด่พระองค์ พระองค์ทรงส่งพระบุตรองค์เดียวลงมา ในโลกนี้ในฐานะมนุษย์ (เป็นทั้งมนุษย์และพระเจ้าที่สมบูรณ์) มาดำเนินชีวิตที่ปราศ จากตำหนิ ทรงสิ้นพระชนม์โดยไม่มีความผิดเพื่อชดใช้ความบาปของเรา การสิ้นพระ ชนม์บนไม้กางเขนไม่ใช่เป็นเรื่องน่าอภิรมย์ เป็นการตายที่ไม่น่าดู เพราะตายแทนความ บาปของพวกเรา แต่พระเจ้าทรงบันดาลให้พระเยซู ฟื้นจากความตาย เพื่อพระสิริทั้งสิ้น เป็นของพระองค์ และเพื่อผู้เชื่อทั้งหลายจะได้มีส่วนร่วมกันกับพระองค์ โดยความเชื่อ ในองค์พระเยซูคริสต์ ทำให้บรรดาคนบาปที่ไม่สมควร กลับได้รับการช่วยกู้ขึ้นมาจาก ความตายนิรันดร์ เพื่อมาถวายเกียรติแด่พระเจ้า คุณเคยได้รับการอภัยเช่นนี้หรือยัง การอภัยซึ่ง พระเจ้าทรงประทานความชอบธรรมให้ในองค์พระเยซูคริสต์ ? สิ่งที่คุณ ต้องทำคือยอมรับว่าเป็นคนบาป กลับใจและหันมาวางใจในองค์พระเยซูคริสต์ว่าเป็น หนทางเดียว สำหรับความรอด ผมอยากหนุนใจให้คุณทำเสียเดี๋ยวนี้


92 ในพระธรรม 2 ซามูเอล อุรียาห์แสดงให้เห็นถึงการเป็นทหารที่ทุ่มเท ด้วยการไม่ไปหาภรรยา ที่บ้านในระหว่างปฏิบัติงานในสงคราม ซึ่งก็เป็นความจริง (ดูข้อ 6-13)

93 ผมเข้าใจว่าในช่วงเวลาการหลบหนีซาอูล ดาวิดคงมีที่หลบซ่อนตัวอยู่หลายแห่ง และไม่ใช่ ทุกแห่งอยู่ในเขตแดนอิสราเอล "ที่หลบซ่อนตัว" นี้ คงอยู่ในแผ่นดินโมอับ ดังนั้นท่านผู้เผยพระ วจนะกาดจึงมาสั่งให้ท่านกลับไปยังดินแดนยูดาห์

Related Topics: Introductions, Arguments, Outlines

บทที่ 20: ซาอูลบันดาลโทสะ (1 ซามูเอล 22:5 --23:14)

คำนำ

เพื่อนผมเคยเล่าเรื่องที่คนแก่คร่ำครวญถึงอาการที่มากับวัยชรา "ยายไม่ค่อยกังวลเรื่อง ต้องถอดแว่นก่อนนอน ไม่เคยกังวลว่าจะลืมถอดฟันปลอมหรือเปล่า รวมถึงเรื่องเครื่อง ช่วยฟังด้วยที่ต้องวางไว้ใกล้ๆตัวก่อนนอน ยายไม่กังวลเรื่องสายตาที่พร่ามัว ฟันที่หลุด ไปทีละซี่สองซี่ หูที่ได้ยินบ้างไม่ได้ยินบ้าง -- แต่ยายคิดถึงความจำของยาย!"

พวกเราบางคนอาจจะยังไม่แก่พอที่จะเข้าใจเรื่องคิดถึงความจำ แต่คงสงสัยว่ามันเป็น ยังไง ถ้าจะเป็นใครสักคนที่รู้สึก "คิดถึงความจำของตนเอง" ก็น่าจะเป็นกษัตริย์ซาอูล มาจนถึงตอนนี้ ซาอูลมีปัญหามากมายในชีวิต ท่านเคยยินดีที่มีดาวิดคอยเล่นพิณขับ กล่อมยามท่านมีปัญหา (16:14-23) ท่านชื่นชมยินดี เมื่อดาวิดกำจัดโกลิอัทลงได้ (บทที่ 17; ดู 19:5 ด้วย) แต่เมื่อพวกผู้หญิงของอิสราเอลร้องเพลงในงานเฉลิมฉลอง ยกย่องดาวิดให้เหนือกว่าซาอูล ท่านเริ่มมองดาวิดด้วยสายตาไม่ไว้วางใจ (18:6-9) เมื่อความอิจฉาเข้าครอบงำท่านโดยไม่ทันตั้งตัว ท่านพยายามฆ่าดาวิดด้วยวิธีที่ไม่ทำ ให้ตนดูเสื่อมเสียในสายตาประชาชน (18:10-29) แต่ทำได้ไม่นาน ซาอูลอดไม่ได้ ออก คำสั่งให้คนอื่นไปฆ่าแทน (19:1) โยนาธานสามารถยับยั้งเรื่องนี้ไว้ได้ชั่วคราว (19:1-7) แต่แล้วซาอูลก็พุ่งหอกใส่บุตรของตนเอง (20:33) ถึงแม้ซาอูลพยายามหลายๆวิธี ที่จะฆ่าดาวิด พระเจ้าทรงช่วยดาวิดไว้เสมอ แต่แล้วก็มาถึงจุดที่ดาวิดต้องหลบหนีไปให้ พ้นหน้าซาอูล ท่านหนีไปหาอาหิเมเลค มหาปุโรหิตผู้ทูลถามพระเจ้าให้ท่าน (22:10, 15) และมอบขนมปังบริสุทธิ์ให้ไปเป็นเสบียง พร้อมทั้งมอบดาบโกลิอัทให้ไป (21:1-9) บทเรียนตอนนี้เป็นผลสืบเนื่องต่อจากเหตุการณ์ในครั้งนั้น

เมื่อเข้าสู่บทที่ 22 เรามองเห็นกษัตริย์ที่ควบคุมตนเองไม่ได้ ถ้าพูดตามหลักจิตเวช ซาอูลต้องเข้ารับการบำบัดด่วนที่โรงพยาบาลโรคประสาท ความโกรธ ความอิจฉา คุ้มคลั่งเริ่มรุนแรงและออกอาการมากขึ้นทุกที ท่านแทบควบคุมตัวเองไม่ได้อีกต่อไป ในบทเรียนตอนนี้ ซาอูลมาถึงขีดตกต่ำที่สุดในชีวิตของท่าน เพราะความที่ท่านกลัว ดาวิด ท่านได้ฆ่าคนที่บริสุทธิ์ไปเสียมากมาย ความอิจฉาอย่างรุนแรงที่ครอบงำท่าน อยู่ทำให้ท่านสั่งฆ่าบรรดาปุโรหิต เป็นการกระทำที่ขาดความยั้งคิดโดยสิ้นเชิง

ในบัญญัติเรื่องความรับผิดชอบและหน้าที่ีสำหรับอิสราเอลและผู้เป็นกษัตริย์นั้น เราพบ ว่ามีตอนที่พูดถึงปุโรหิตไว้ดังนี้ :

8 "ถ้าคดีใดเกิดขึ้นเป็นเรื่องยากที่จะตัดสินได้ว่าเป็นคดีฆ่าคนตาย โดยเจตนาหรือไม่ เป็นคดีเกี่ยวด้วยการเกี่ยงกรรมสิทธิ์ในทรัพย์ เป็นคดีทำร้ายร่างกาย เป็นคดีใดๆซึ่งโต้แย้งกันในเมืองของท่าน ท่านจงลุกขึ้นพากันไปยังสถานที่ซึ่งพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่าน ทรงเลือกไว้ 9 จงไปหาคนเลวีซึ่งเป็นปุโรหิต และไปหาผู้พิพากษา ประจำการในสมัยนั้น ท่านจงปรึกษาหารือกับเขา และเขาจะชี้แจง ให้ท่านทราบถึงคำตัดสิน 10 แล้วท่านจงกระทำตามซึ่งเขาชี้แจงแก่ ท่านจากสถานที่ซึ่งพระเจ้าทรงเลือกนั้น และท่านจงระวังกระทำ ตามทุกสิ่งซึ่งเขาแนะนำท่าน 11 ท่านจงกระทำตามคำแนะนำซึ่ง เขาให้แก่ท่าน และกระทำตามคำตัดสินซึ่งเขาได้สั่งท่าน ท่านทั้ง หลายอย่าหันเหไปจากคำตัดสินซึ่งเขาชี้แจงแก่ท่าน อย่าหันไป ทางขวามือหรือซ้ายมือ 12 ผู้ใดที่ขัดขืนมิได้กระทำตาม คือ ไม่ได้ เชื่อฟังปุโรหิตผู้ที่ยืนปรนนิบัติ พระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านที่นั่น หรือเชื่อฟังผู้พิพากษาผู้นั้นต้องตาย ทั้งนี้เพื่อท่านทั้งหลายจะกำ จัดความชั่วเสียจากอิสราเอล 13 และประชาชนทั้งหลายจะได้ยิน และยำเกรง และมิได้ขัดขืนต่อไปอีก
(เฉลยธรรมบัญญัติ 17:8-13)

กษัตริย์ซาอูลไม่ได้คิดจะฆ่าแค่ปุโรหิตท่านเดียว แต่ต้องการจะประหารปุโรหิตทั้งหมด และครอบครัวของพวกเขาด้วย -- ถึงแม้จะมีพระบัญญัติของพระเจ้าที่กำกับให้อิสราเอล และกษัตริย์มีความเคารพและเชื่อฟังปุโรหิตอยู่ก็ตาม ให้เรามาดูบทเรียนตอนนี้กันให้ รอบคอบ ดูว่าซาอูลมาถึงขีดที่ตกต่ำเช่นนี้ได้อย่างไร และพระเจ้าต้องการให้เราเรียน รู้สิ่งใดจากพระธรรมตอนนี้

คำแนะนำจากท่านผู้เผยพระวจนะ
(22:5)

5 แล้วผู้เผยพระวจนะกาดกล่าวแก่ดาวิดว่า "ท่านอย่าอยู่ ในที่กำบังเข้มแข็งนี้เลย จงไปเข้าในแผ่นดินยูดาห์เถิด" ดาวิดก็ไปและมาอยู่ในป่าเฮเรท

ดูเหมือนสาเหตุหนึ่งที่ดาวิดไปหามหาปุโรหติอาหิเมเลคคือต้องการขอคำแนะนำจาก พระเจ้า อย่างน้อยนี่คือสิ่งที่โดเอกรายงานให้ซาอูลทราบ และดูเหมือนอาหิเมเลคจะ ยืนยันในสิ่งเดียวกันด้วย (22:10, 15) เนื่องจากดาวิดปกปิดความจริงเรื่องท่านหลบหนี มาจากซาอูล จึงไม่มีผู้ใดรู้ว่าอาหิเมเลคให้คำแนะนำใดแก่ท่าน แต่เรารู้ว่า หลังจากนั้น ดาวิดรีบหนีออกนอกประเทศ ท่านไปที่เมืองกัท และถูกขับไล่ออกมาเพราะเป็นคนบ้า (21:10-15) ท่านหนีไปซ่อนตัวอยู่ที่ในถ้ำอดุลลัม (22:1-2) จากนั้นไปยังแผ่นดินโมอับ (22:3-4) เพื่อนำบิดามารดาไปฝากไว้ และอาจไปหาที่หลบซ่อนตัวอยู่ก็เป็นได้94

เช่นเดียวกับเมลคีเซเดคในปฐมกาลบท 14 ผู้เผยพระวจนะกาดปรากฎตัวออกมาจากที่ ใดไม่มีใครทราบ ท่านมาบอกกับดาวิดไม่ให้หลบซ่อนตัวอีกต่อไป แต่ให้กลับเข้าไปยัง ดินแดนยูดาห์เสีย ถ้าผมเข้าใจถูกต้อง ท่านกำลังบอกให้ดาวิดเลิกซ่อนตัวอยู่นอกประ เทศเสียที ดาวิดควรกลับเข้ามาหาที่พึ่งพิงในอิสราเอลแทน โดยเฉพาะกลับมายังดิน แดนที่เผ่าของท่านปักหลักอาศัยอยู่ คือแผ่นดินยูดาห์ และยูดาห์นี่แหละเป็นเมืองแรก ที่ยอมรับดาวิดในฐานะกษัตริย์ (2 ซามูเอล 2:4) ดาวิดเชื่อฟัง โดยมาหลบซ่อนตัวอยู่ ที่ป่าเฮเรทแทน ไม่มีใครรู้ตำแหน่งที่ตั้งแน่นอนของป่าเฮเรทนี้ แต่ถ้าไปอ่าน 2 ซามูเอล 18:8 ก็จะพบว่า เป็นสถานที่อันตรายน่ากลัว น่าจะเป็นที่ที่ซาอูลและลูกน้องคงไม่อยาก จะเข้าไปเท่าไร ป่าแห่งนี้น่าจะเหมือนกับป่าเชอร์วู้ดที่โรบินฮูดและพรรคพวกอาศัยอยู่

ซาอูลกำลังสิ้นท่า95 แต่ได้ข้อมูลจากโดเอกคนเอโดมมาช่วย
(22:6-10)

6 ฝ่ายซาอูลทรงทราบว่ามีผู้พบดาวิดและคนที่อยู่กับท่าน เวลานั้นซาอูลประทับที่เมืองกิเบอาห์ใต้ต้นสนหมอก ณ ที่ เนินสูง ทรงหอกอยู่และผู้รับใช้ของพระองค์ก็ยืนอยู่รอบพระ องค์ 7 และซาอูลตรัสกับผู้รับใช้ที่ยืนอยู่รอบพระองค์ว่า "เจ้า ทั้งหลายพวกคนเบนยามิน จงฟังเถิด บุตรของเจสซีจะให้นา และสวนองุ่นแก่เจ้าหรือ จะตั้งเจ้าให้เป็นผู้บังคับการกองพัน กองร้อยหรือ 8 เจ้าทั้งหลายจึงได้คิดกบฏต่อเรา ไม่มีใครแจ้ง แก่เราเลย เมื่อลูกของเราทำพันธไมตรีกับบุตรของเจสซีนั้น ไม่มีผู้ใดร่วมทุกข์กับเรา หรือแจ้งแก่เราว่า ลูกของเราปลุกปั่น ผู้รับใช้ของเราให้ต่อสู้เรา คอยซุ่มดักเราอยู่อย่างทุกวันนี้" 9 โดเอกคนเอโดมซึ่งยืนอยู่ใกล้ผู้รับใช้ของซาอูล จึงทูลตอบว่า "ข้าพระบาทเห็นบุตรเจสซีมาที่เมืองโนบมาหาอาหิเมเลคบุตร อาหิทูบ 10 แล้วเขาก็ทูลถามพระเจ้าให้ท่าน และให้เสบียงอา หาร และให้ดาบของโกลิอัทคนฟีลิสเตียแก่ท่านไป"

ผมยอมรับว่าบางทีก็ปล่อยให้จินตนาการลอยไปไกล พออ่านมาถึงตรงที่ว่าซาอูลนั่งอยู่ ใต้ต้นไม้มือถือหอก ผมอดคิดไม่ได้ว่าถ้าซาอูลอยู่ในสมัยนี้ เขาจะใช้อาวุธแบบใด น่า จะเป็นปืนออโตแมติก 357 เหน็บอยู่ที่สีข้าง มีปืนสั้นคู่ใจวางอยู่ใกล้ตัว หรือถือระเบิด อยู่ในมือ ? ชายคนนนี้เสียสติไปแล้ว ดูเหมือนต้องมีอาวุธอยู่ติดตัว ต้องมีบอดี้การ์ด ล้อมรอบอยู่ตลอดเวลา

ซาอูลคงคิดว่าทั้งโลกกำลังลุกขึ้นมาต่อต้านท่านเพื่อดาวิด มีคำว่าร่วมกันกบฎ อยู่สอง แห่งในพระธรรมตอนนี้ (ในข้อ 8 และ 13) ซาอูลตามที่เห็นในข้อ 8 ถึง 10 เป็นเหมือน พวกขี้โวยเรียกร้องหา "ความยุติธรรม" ท่านกล่าวโทษทุกคนว่าร่วมกันคบคิดแผนการ ต่อต้าน ทั้งๆที่ความจริงแล้วเป็นพระเจ้าต่างหากที่นำอาณาจักรไปเสีย เพราะความบาป ผิดของท่าน (ดู 13:8-14; 15:1-31) ซาอูลพยายามป้ายความรู้สึกผิดไปที่ลูกน้อง โดเอกจึงรายงานต่อท่านเรื่องที่เห็นดาวิดไปพบอาหิเมเลค และอาหิเมเลคทำตามที่ ดาวิดขอร้องโดยบริสุทธิ์ใจ

ไม่ใช่เรื่องแปลกที่ซาอูลกกล่าวหาว่าดาวิดก่อกบฎต่อท่าน แน่นอน เพราะสิ่งนี้อยู่ใน สมองท่านตลอดเวลา แต่ท่านผิดที่คิดว่าดาวิดกำลังคิดกบฎต่อท่าน ดาวิดไม่ได้ "ปลุกปั่น" ผู้ใดเพื่อหาโอกาสกำจัดซาอูลเสียตามที่ท่านกล่าวหา (22:8, 13) ดาวิด เพียงแต่หลบซ่อนตัวอยู่ ไม่ต้องการเผชิญหน้ากับซาอูล ไม่ต้องการตกเป็นเหยื่อการ ตามฆ่าของซาอูล

สิ่งที่มหัศจรรย์ในตอนนี้คือ ข้อกล่าวหาของซาอูลที่มีต่อบุตรของตนเองโยนาธาน จริง อยู่ที่ดาวิดทำพันธสัญญากับโยนาธาน เราคงไม่ประหลาดใจถ้าซาอูลกล่าวหาว่าบุตร ถูกดาวิดครอบงำให้เข้าร่วมก่อการกบฎด้วย แต่ซาอูลกลับกล่าวหาว่าโยนาธานเป็นผู้ ปลุกปั่นดาวิดให้มาต่อสู้ท่าน (22:8) นับเป็นข้อกล่าวหาที่น่าทึ่งที่สุด การ "ร่วมกันก่อ กบฎ" ต่อซาอูลนั้น ถ้านึกย้อนไปที่ต้นตอ มันเริ่มมาจากโยนาธาน ไม่ใช่ดาวิด ซาอูล ผิดเพี้ยนไปใหญ่แล้ว

แต่ทฤษฎีร่วมกันก่อกบฎนี้ยิ่งเพี้ยนมากขึ้น ซาอูลไม่เพียงแต่กล่าวหาว่าโยนาธาน และดาวิดร่วมมือกันก่อกบฎเท่านั้น ท่านยังกล่าวหาลูกน้องของท่านเองอีกด้วย – ว่าทุกคนร่วมมือกัน ! อย่าลืมว่าในขณะที่ท่านนั่งอยู่ใต้ต้นไม้แถวกิเบอาห์นั้น ท่านมีลูก น้องของท่านห้อมล้อมอยู่มากมาย (ข้อ 6) ท่านเริ่มด้วยการพูดทวงบุญคุณเรื่องทรัพย์ สินยศฐาบรรดาศักดิ์ สำหรับผู้ที่ซื่อสัตย์ต่อท่าน คนเบนยามินเป็นคนที่ได้รับผลประ โยชน์มากที่สุดเมื่อมีการแบ่งของที่ริบมาได้ พวกเขาคิดหรือว่าถ้าดาวิดเป็นกษัตริย์เขา จะมีโอกาสได้อย่างนี้ ? แน่นอนไม่มีทาง ท่านยังพูดทวงบุญคุณต่อไปอีกว่าพวกเขาเป็น หนี้ท่าน และถึงเวลาแล้วที่พวกเขาจะต้องทดแทน -- ด้วยการแจ้งเบาะแสของดาวิด ซาอูลกล่าวว่าผู้ใดก็ตามที่ปกปิดข้อมูลของดาวิดก็เท่ากับเป็นผู้คบคิดร่วมกันกบฎต่อ ท่าน โดเอกคนเอโดมจึงเห็นสมควรที่จะให้ข้อมูลเบาะแสของดาวิด ที่เขาเห็นที่โนบ ให้กับซาอูล

โดเอกเห็นดาวิดที่เมืองโนบ เขาเห็นว่าดาวิดมาหาและพูดคุยกับมหาปุโรหิตอาหิเมเลค ท่านปุโรหิตทูลถามพระเจ้าให้ถึงเรื่องของดาวิด และยังให้ขนมปังบริสุทธิ์ไปเป็นเสบียง พร้อมทั้งมอบดาบของโกลิอัทที่ท่านเก็บรักษาไว้ไปอีกด้วย ทุกสิ่งเป็นความจริง แต่โด เอกไม่ได้บอกกับซาอูล (อาจเป็นเพราะไม่รู้) ว่าดาวิดปกปิดมหาปุโรหิตไม่ให้รู้ว่ากำลัง หลบหนีมา ท่านไม่ได้เล่าถึงสิ่งใดให้มหาปุโรหิตฟังด้วยเกรงว่าจะเป็นอันตรายต่อตัว ของอาหิเมเลค แต่ซาอูลไม่ได้อยากรู้ความจริง ท่านกำลังมืดบอดตามัวเพราะความ โกรธ และพร้อมที่จะจัดการกับทุกคนที่หยิบยื่นความช่วยเหลือให้กับคนที่จะมาแย่งชิง บัลลังก์ท่านไป

สังหารหมู่ที่โนบ
(22:11-23)

11 แล้วพระราชาก็ใช้ให้ไปเรียกอาหิเมเลคปุโรหิต บุตรอาหิทูบ และ พงศ์พันธุ์บิดาของท่านทั้งสิ้น ผู้เป็นปุโรหิตเมืองโนบ ทุกคนก็มาหาพระ ราชา 12 และซาอูลตรัสว่า "บุตรอาหิทูบเอ๋ย จงฟังเถิด" เขาทูลตอบว่า "เจ้านายของข้าพระบาท ข้าพระบาทอยู่ที่นี่" 13 และซาอูลตรัสแก่เขาว่า "ทำไมเจ้าจึงร่วมกันกบฏต่อเราทั้งเจ้าและบุตรของเจสซี ในการที่เจ้าได้ ให้ขนมปังและดาบแก่เขา และได้ทูลถามพระเจ้าให้เขา เขาจึงลุกขึ้นต่อ สู้เรา และคอยซุ่มดักเราอยู่อย่างทุกวันนี้" 14 และอาหิเมเลคทูลตอบพระ ราชาว่า "ในบรรดาข้าราชการผู้รับใช้ของฝ่าพระบาท มีผู้ใดเล่าที่จะซื่อ สัตย์อย่างดาวิด พระราชบุตรเขยของพระราชาผู้บังคับบัญชา ทหารราช องครักษ์ และเป็นผู้มีเกียรติในพระราชสำนักของฝ่าพระบาท 15 ในวันนี้ ข้าพระบาทได้ทูลขอพระเจ้าเพื่อเขาจริงหรือ เปล่าเลย ขอพระราชาอย่า ทรงกล่าวโทษสิ่งใดต่อผู้รับใช้ของพระองค์ หรือพงศ์พันธุ์ของบิดาของ ข้าพระบาท เพราะผู้รับใช้ของฝ่าพระบาทไม่ทราบเรื่องนี้เลยไม่ว่า มาก หรือน้อย" 16 พระราชาตรัสว่า "อาหิเมเลค เจ้าจะต้องตายแน่ ทั้งเจ้า และพงศ์พันธุ์บิดาของเจ้าด้วย" 17 และพระราชาก็รับสั่งแก่ราชองครักษ์ ผู้ยืนเฝ้าอยู่ว่า "จงหันมาประหารปุโรหิตเหล่านี้ของพระเจ้าเสีย เพราะว่า มือของเขาอยู่กับดาวิดด้วย เขารู้แล้วว่ามันหนีไป แต่ไม่แจ้งให้เรารู้" แต่ ข้าราชการผู้รับใช้ของพระราชาไม่ยอมลงมือทำกับปุโรหิตของพระเจ้า 18 แล้วพระราชาจึงตรัสกับโดเอกว่า "เจ้าจงไปฟันปุโรหิตเหล่านั้น" โดเอก คนเอโดมก็หันไปฟันบรรดาปุโรหิต ในวันนั้น เขาฆ่าบุคคลที่สวมเอโฟด ผ้าป่านเสียแปดสิบห้าคน 19 และเขาประหารชาวเมืองโนบ ซึ่งเป็นเมือง ของปุโรหิตเสียด้วยคมดาบ ฆ่าเสียด้วยคมดาบ ทั้งผู้ชาย ผู้หญิง เด็ก และเด็กกินนม โค ลาและแกะ 20 แต่บุตรชายคนหนึ่งของอาหิเมเลค บุตรอาหิทูบ ชื่ออาบียาธาร์ได้รอดพ้นและหนีตามดาวิดไป 21 อาบียาธาร์ ก็บอกดาวิดว่าซาอูลได้ประหารปุโรหิต ของพระเจ้าเสีย 22 ดาวิดจึงพูด กับอาบียาธาร์ว่า "ในวันนั้นเมื่อโดเอกอยู่ที่นั่น เรารู้แล้วว่า เขาจะต้องทูล ซาอูลแน่ เราเป็นต้นเหตุแห่งความตายของบุคคลในครอบครัวบิดาของท่าน 23 จงอยู่เสียกับเราเถิด อย่ากลัวเลย เพราะถ้าเขาแสวงชีวิตของท่านก็แสวง ชีวิตของเราด้วย ท่านอยู่กับเราก็จะพ้นภัย"

หลังจากที่ซาอูลพูดขู่ลูกน้องของท่าน โดเอกจึงรายงานเรื่องที่เห็นดาวิดไปพบอาหิเม เลคมหาปุโรหิต แล้วท่านทูลถามพระเจ้าให้ และยังมอบทั้งขนมปังบริสุทธฺ์และดาบของ โกลิอัทให้ไปอีกด้วย ซาอูลคิดว่าแค่นี้ก็เพียงพอแล้ว ในใจท่านคงคิดว่าไม่ใช่อาหิเม เลคผู้เดียวหรอก แต่ต้องเป็นพวกปุโรหิตทั้งหมดที่กำลัง "คบคิดการกบฎ" ต่อต้านท่าน ดังนั้นอาหิเมเลคและปุโรหิตทั้งหมดจึงถูกสั่งให้มาเข้าเฝ้าซาอูลเป็นการด่วน ผมว่าทั้ง คุณและผมคงเดาบรรยากาศอันน่าสะพรึงกลัวนี้ได้ไม่ยาก เราอยู่ในโลกที่ผู้นำถูกสอบ สวน ถูกคัดค้าน หรือแม้ถูกปลดจากตำแหน่งได้ เมื่อมีการพูดแก้ตัวก็อาจถูกโห่ฮาป่า โดยไม่ต้องกลัวว่าจะถูกประหาร แต่ว่าในศาลของกษัตริย์ซาอูล ไม่เป็นเช่นนั้น

เมื่อไม่นานมานี้ผมได้อ่านบทความที่อธิบายถึงความกลัวที่ โยเซฟ สตาลิน สามารถ สร้า้งให้เกิดขึ้นในใจของคณะรัฐบาลของท่านได้ :

งานเลี้ยงอาหารค่ำของสตาลินที่เครมลินมีตลอดทั้ง คืน ท่านจะนั่งอยู่ที่โต๊ะยาวแลคอยคะยั้นคะยอให้ทั้ง เพื่อนและคณะรัฐบาลดื่ม ชั่วโมงแล้ว ชั่วโมงเล่า ใน ขณะที่ท่านสร้างเรื่องต่างๆขึ้นมาเพื่อทั้งขู่ทั้งปลอบ สลับกันไป พอเช้า สมองของคนเหล่านี้ก็จะมึนไปด้วย ความหวาดกลัว ความสับสนและอาการเมาค้าง หลัง จากนั้นก็จะถูก เอาไปยิงทิ้งที่ละคนสองคนโดยไม่มีคำ อธิบายใดๆ นี่คือ อาการทางจิตตามผลพิสูจน์ในห้อง ทดลอง : ทุกๆการกระทำ จะมีปฏิกิริยาจากฝ่ายตรง ข้าม (ในเครมลินโดยเฉพาะอย่างยิ่ง) โรตจิตจะ แสดงอาการทางจิตออกมา สตาลินสะท้อนความ กลัวของตนเองโดยพึ่งฤทธิ์แอลกอฮอลล์ ทำให้มี ความกล้า ทำในสิ่งที่เหมือนกับเล่นเกมส์ที่ตอนจบ คือความตาย96

การมีคนบ้าในที่ทำงานเป็นเรื่องหนึ่งที่คุณอาจอดทนเอา หรือย้ายไปให้พ้นหน้าได้ แต่ การมีคนบ้าเป็นผู้นำแบบเผด็จการเช่นสตาลิน หรือเนโร หรือฮิตเลอร์ ที่กุมอำนาจไว้ทั้ง หมด พวกเขาสามารถทำสิ่งใดก็ได้ ถึงแม้จะดูไร้เหตุผลและบ้าดีเดือดก็ตาม ไม่มีใคร กล้ายับยั้ง ซาอูลก็เหมือนกัน ซาอูลเป็นคนบ้าที่ไม่มีใครหยุดยั้งได้ ซาอูลคลั่งเรื่อง ดาวิดและโยนาธาน หรือแม้แต้ลูกน้องท่านว่ากำลังคบคิดการกบฎหรือ ? ใครจะไปแก้ ใขท่านได้ ? คนบ้าคนนี้กำลังข่มขู่ปุโรหิตทั้งเมือง ในกรณีนี้ ไม่ใช่พวกปุโรหิตที่กำลัง ตัดสินความซาอูล แต่กลับกัน กลายเป็นซาอูลกำลังพิพากษาพวกปุโรหิตแทน คงไม่มี ใครอยากเป็นผู้ที่ต้องไปยืนต่อหน้าซาอูลในเหตุการณ์อันน่าหวาดหวั่นสะพรึงกลัวนี้แน่ นอน

ซาอูลแสดงอาการรังเกียจดาวิดและอาหิเมเลคด้วยการไม่ยอมเรียกชื่อ แต่กลับไปเรียก ชื่อบิดาแทน : "บุตรของเจสซี" (ข้อ 8) และ "บุตรอาหิทูบ" (ข้อ 12) เมื่อท่านทำ บาปด้วยการไปถวายเครื่องบูชาในบทที่ 13 ซาอูลตีตนเสมอซามูเอล เมื่อท่านพูดกับ อาหิเมเลคและพวกปุโรหิตในครั้งนี้ ซาอูลทำตัวเหนือกว่า ท่านไม่ได้ไต่สวนหาข้อเท็จ จริง แต่รีบด่วนสรุปว่าพวกปุโรหิตเป็นพวกคิดคดทรยศต่อราชบัลลังก์ ท่านไม่ได้แม้แต่ จะถามว่า อาหิเมเลคได้ทรยศต่อท่านหรือไม่ ถ้าใช่ ทำไม (ข้อ 13)

อาหิเมเลคตอบอย่างมีสติทีเดียว ท่านไม่ได้ถือโอกาสเอาตัวรอดด้วยการบอกปัดความ ผิดไปว่าถูกดาวิดหลอก ซึ่งที่จริงก็น่าจะใช่ แต่ท่านกลับชี้แจงเหตุผลโดยพูดแทน ดาวิด ท่านเตือนซาอูลด้วยว่าดาวิดนั้นนอกจากจะเป็นผู้รับใช้ที่ซื่อสัตย์ที่สุดแล้ว ยังเป็น ผู้ได้รับการยกย่อง และเป็นผู้ที่ซาอูลแต่งตั้งให้อยู่ในตำแหน่งที่มีอำนาจมากด้วย ซาอูล อาจมองข้ามสิ่งเหล่านี้ไปได้ แต่อย่าลืมว่าดาวิดนั้นยังเป็นราชบุตรเขยอยู่ (ข้อ 14)

ข้อ 14 อาหิเมเลคพูดแก้ต่างให้ตนเอง และพูดแทนปุโรหิตทั้งปวงที่ถูกซาอูลเรียกมา

จริงอยู่อาหิเมเลคช่วยเหลือดาวิดด้วยการทูลถามพระเจ้า ด้วยการให้ขนมปังบริสุทธิ์ และด้วยการมอบดาบโกลิอัทให้ไป แต่ท่านไม่ได้มีส่วนรู้เห็นเรื่องการก่อกบฎใดๆ และ การที่ท่านช่วยเหลือดาวิดก็ไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่ แม้อาจดูไม่เหมาะสม แน่นอน ครั้งนี้ ไม่ใช่ครั้งแรกที่ดาวิดมาหาท่าน เพื่อให้ท่านทูลถามจากพระเจ้า เราคงลงความเห็นได้ ว่า ตั้งแต่ได้รับการเจิมตั้งให้เป็นกษัตริย์ ดาวิดแสวงหาน้ำพระทัยพระเจ้าอยู่ตลอดเวลา ซาอูลจึงไม่ควรมองว่าเรื่องการที่ดาวิดไปพบ หรือการที่อาหิเมเลคให้คำปรึกษาเป็น เรื่องผิดปกติหรือเลยเถิดจนเกินไป97

อาหิเมเลคพูดถูก ซาอูลจึงโกรธมาก ถึงกับสั่งให้ฆ่าเสีย ไม่ใช่ฆ่าเฉพาะอาหิเมเลค เท่านั้น แต่ปุโรหิตทุกคนที่มาด้วย ถ้านึกภาพของสถานที่ที่เกิดเหตุ ดูเหมือนว่า ซาอูลออกคำสั่งให้ราชองค์รักษ์ที่ยืนอยู่ มาจัดการฆ่าพวกปุโรหิต ถึงแม้องครักษ์ เหล่านี้จะเกรงกลัวซาอูล แต่พวกเขาไม่อยากเป็นผู้ลงมือฆ่าปุโรหิต น่าจะเป็นบรรยา กาศที่เงียบงัน เต็มไปด้วยความเศร้า ไม่มีใครสามารถทำตามคำสั่งซาอูลได้ลงคอ98

แต่ซาอูลไม่มีวันยอมให้้ใครมาขัดขวาง ท่านหันไปหาโดเอกคนเอโดมและสั่งให้เขาเป็น ผู้ฆ่าปุโรหิตแทน ซึ่งเขาก็ทำ ดังนั้นซาอูลมุ่งจะฆ่าดาวิด "กษัตริย์ของชาวยิว" และใคร ก็ตามที่ให้การสนับสนุน (เช่นพวกปุโรหิต) ซาอูลพร้อมที่จะเรียกพวกต่างชาติมาลงมือ ทำแทนถ้าจำเป็น โดเอกฆ่าปุโรหิตไป 85 คนในวันนั้น แต่ยังไม่หนำใจซาอูล ท่านไป ที่โนบ เมืองของปุโรหิต เพื่อไปสังหารครอบครัวของปุโรหิต พร้อมทั้งบรรดาสัตว์เลี้ยง สยดสยองไหมครับ ! ซาอูลคนที่ไม่ค่อยอยากจะฆ่าคนอามาเลคสักเท่าใด ถึงแม้เป็น คำสั่งของพระเจ้า กลับกระตือรือร้นที่อยากจะฆ่าปุโรหิตและบรรดาสัตว์เลี้ยงของพวก เขา ถึงแม้จะเป็นคำสั่งห้ามของพระเจ้าก็ตาม ซาอูลจะตกต่ำไปจนถึงไหนกัน ?

มีปุโรหิตท่านหนึ่ง อาบียาธาร์ รอดชีวิตไปได้ และหนีไปหาดาวิดเพื่อจะเล่าให้ท่าน ทราบถึงเรื่องการกระทำของซาอูล ดาวิดรับว่าเป็นความผิดของท่านเต็มประตู ท่านยอม รับว่าเห็นโดเอกที่โนบ และนึกอยู่แล้วว่าโดเอกต้องไปรายงานซาอูล ดาวิดไม่สามารถ ทำสิ่งใดชดเชยกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไปแล้ว ท่านจึงให้อาบียาธาร์มาอยู่กับท่านด้วย

ดาวิดช่วยเมืองเคอีลาห์
(23:1-14)

1 เขาบอกดาวิดว่า "ดูเถิด คนฟีลิสเตียกำลังรบเมืองเคอีลาห์อยู่ และปล้นเอาข้าวที่ลาน" 2 ดาวิดจึงทูลถามพระเจ้าว่า "ควรที่ข้า พระองค์จะไปต่อสู้กับคนฟีลิสเตียเหล่านี้หรือไม่" และพระเจ้าตรัส กับดาวิดว่า "จงไปต่อสู้คนฟีลิสเตียและช่วยเมืองเคอีลาห์ไว้" 3 แต่คนของดาวิดเรียนท่านว่า "ดูเถิด เราอยู่ในยูดาห์นี่ก็ยังกลัวอยู่ ถ้าเราขึ้นไปยังเคอีลาห์สู้รบกับกองทัพของฟีลิสเตียเราจะยิ่งกลัว มากขึ้นเท่าใด" 4 แล้วดาวิดก็ทูลถามพระเจ้าอีก และพระเจ้าตรัส ตอบท่านว่า "จงลุกขึ้นลงไปยังเคอีลาห์เถิด เพราะเราจะมอบคน ฟีลิสเตียไว้ในมือของเจ้า" 5 และดาวิดกับคนของท่านก็ไปยังเคอี ลาห์ ต่อสู้กับคนฟีลิสเตีย นำเอาสัตว์เลี้ยงของเขาไป และฆ่าฟันเขา ทั้งหลายเสียเป็นอันมาก ดังนั้นแหละดาวิดก็ได้ช่วยกู้ชาวเมืองเคอี ลาห์ไว้ 6 อยู่มาเมื่ออาบียาธาร์ บุตรของอาหิเมเลคหนีไปหาดาวิด ที่เมืองเคอีลาห์นั้น เขาถือเอโฟดลงมาด้วย 7 มีคนไปทูลซาอูลว่า ดาวิดมาที่เคอีลาห์แล้ว ซาอูลจึงตรัสว่า "พระเจ้าทรงมอบเขาไว้ใน มือเราแล้ว เพราะที่เขาเข้าไปในเมืองที่มีประตูและดาล เขาก็ขังตัว เองไว้" 8 และซาอูลทรงให้เรียกพลทั้งปวงเข้าสงคราม ให้ลงไป ยังเคอีลาห์เพื่อล้อมดาวิดกับคนของท่านไว้ 9 ดาวิดทราบว่าซาอูล ทรงคิดร้ายต่อท่าน ท่านจึงพูดกับอาบียาธาร์ปุโรหิตว่า "จงนำเอา เอโฟดมาที่นี่เถิด" 10 ดาวิดกราบทูลว่า "ข้าแต่พระเยโฮวาห์พระ เจ้าแห่งอิสราเอล ผู้รับใช้ของพระองค์ได้ยินแน่ว่าซาอูลหาช่องที่ จะมายังเคอีลาห์ เพื่อทำลายเมืองนี้เพราะข้าพระองค์เป็นเหตุ 11 ประชาชนชาวเคอีลาห์จะมอบข้าพระองค์ไว้ในมือท่านหรือ ซาอูล จะเสด็จมาดังที่ผู้รับใช้ของพระองค์ได้ยินนั้นหรือ ข้าแต่พระเยโฮ วาห์พระเจ้าแห่งอิสราเอล ขอพระองค์ทรงบอกผู้รับใช้ของพระองค์ เถิด" และพระเจ้าตรัสว่า "เขาจะลงมา" 12 แล้วดาวิดจึงกราบทูลว่า "ประชาชนชาวเคอีลาห์จะมอบข้าพระองค์และคนของข้าพระองค์ ไว้ในมือของซาอูลหรือ" และพระเจ้าตรัสว่า "เขาทั้งหลายจะมอบ เจ้าไว้" 13 แล้วดาวิดกับคนของท่านซึ่งมีประมาณหกร้อยคน ก็ลุก ขึ้นไปเสียจากเคอีลาห์และเขาทั้งหลายก็ไป ตามแต่ที่เขาจะไปได้ เมื่อมีคนไปทูลซาอูลว่า ดาวิดหนีไปจากเคอีลาห์แล้ว ซาอูลก็ทรง เลิกการติดตาม 14 และดาวิดก็อยู่ในถิ่นทุรกันดารตามที่กำบังเข้มแข็ง และอยู่ในแดนเทือกเขาแห่งถิ่นทุรกันดาร และซาอูลก็ทรงแสวงท่าน ทุกวัน แต่พระเจ้ามิได้มอบท่านไว้ในมือของซาอูล

คนของดาวิดมาเรียนท่านว่าเมืองเคอีลาห์กำลังถูกฟิลิสเตียโจมตี ซึ่งอันที่จริง เป็นหน้า ที่รับผิดชอบของซาอูลที่ต้องไปต่อสู้กับพวกฟิลิสเตีย (1 ซามูเอล 9:16) แต่ท่านกลับ สนใจอยากฆ่าคนอิสราเอลมากกว่าจะไปต่อสู้กับผู้บุกรุกอย่างฟิลิสเตีย ด้วยสำนึกใน หน้าที่ของกษัตริย์ ดาวิดรู้สึกว่าท่านต้องออกไปปกป้องพี่น้องร่วมชาติ ท่านแสวงหา น้ำพระทัยพระเจ้าสำหรับเรื่องนี้ และพระเจ้าสั่งให้ท่านไปโจมตีฟิลิสเตีย เพื่อช่วยกู้ เมืองเคอีลาห์99

คนของดาวิดรู้สึกไม่ชอบใจที่ต้องไปต่อสู้กับพวกฟิลิสเตีย พวกเขาจึงบอกให้ดาวิดรู้ ความรู้สึกนี้เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ไม่ยาก เพราะกำลังคนแค่ 600 (23:13) แถมไม่ได้รับ การฝึกฝนทางทหารด้วย พวกเขาเป็นเพียงกลุ่มคนหลากหลายที่ไม่พอใจและหลบหนี มาจากซาอูล (22:2) ส่วนมากเป็นพวกที่ติดตามดาวิดสมัยที่หลบซ่อนอยู่ในถ้ำอดุลลัม ซึ่งถ้ำนี้น่าจะอยู่ในดินแดนฟิลิสเตีย ถ้าไม่ ก็คงอยู่แถวๆแนวชายแดนอิสราเอล จากที่ ตรงนี้ ดาวิดและคนที่ติดตามท่านย้ายเข้าไปในโมอับ และไปหลบซ่อนตัวอยู่ใน "ที่กำ บังเข้มแข็ง" (22:4-5) ผู้เผยพระวจนะกาดสั่งให้ดาวิดเลิกหลบซ่อนตัวในแผ่นดินต่าง ชาติเสียทีิ ให้กับมายังบ้านเกิดในแผ่นดินยูดาห์ ท่านทำตาม และมาหลบซ่อนอยู่ที่ใน ป่าเฮเรทแทน (22:5) ภูมิประเทศของป่าที่รกทึบขนาดนี้ คนของดาวิดย่อมรู้สึกปลอด ภัยจากเงื้อมมือของซาอูล แต่เมื่อดาวิดสั่งให้ออกไปสู้รบกับพวกฟิลิสเตียที่เคอีลาห์นั้น เป็นอีกเรื่องทีเดียว เพราะเป็นการเสี่ยงภัยที่อันตรายที่สุด พวกเขาต้องออกจากที่ซ่อน มาสู่ที่โล่งแจ้ง เพื่อทำการสู้รบกับฟิลิสเตีย สิ่งนี้หมายความว่าพวกเขาจะตกเป็นเป้าชั้น ดีให้กับซาอูลทีเดียว เมืองเคอีลาห์อยู่ห่างจากเมืองกัทไปทางตะวันออกเฉียงใต้ประ มาณ 40 กม. ดาวิดและพรรคพวกจะต้องลงมาจากป่าบนภูเขา ไปยังแผ่นดินเบื้องล่าง ในที่โล่งแจ้ง ที่ซึ่งกองทัพของซาอูลมองเห็นถนัด และรถรบของฟิลิสเตียจู่โจมได้ง่าย คนของดาวิดไม่เห็นด้วยกับการตัดสินใจไปช่วยเมื่องเคอีลาห์ เพราะดูเสี่ยงมากจนเกิน ไป การหลบซ่อนอยู่ในป่า ให้พ้นจากมือของซาอูลน่าจะดีกว่าการออกไปสู้รบกับพวก ฟิลิสเตียในที่โล่งเช่นนั้น

ดาวิดฟังคำคัดค้านจากคนของท่าน แต่ท่านมีความตั้งใจจะเชื่อฟังพระเจ้ามากกว่า ฟังมนุษย์ ท่านจึง "ทูลถามพระเจ้า" เป็นครั้งที่สอง (23:4) และได้รับคำตอบเหมือน เดิม พร้อมกับคำสัญญาว่าจะประทานชัยชนะให้ ด้วยความมั่นใจนี้เอง ดาวิดและคน ของท่านจึงไปโจมตีฟิลิสเตียกอบกู้เคอีลาห์กลับคืนมา ท่านได้รับชัยชนะอย่างเด็ดขาด สามารถช่วยกู้คนอิสราเอลออกมาจากการยึดครองของฟิลิสเตีย และยึดเอาสัตว์เลี้ยง ของพวกเขามาได้ (23:5) พระเจ้าทรงมีวิธีการในแบบของพระองค์จริงๆ อาทิตย์ก่อน หน้านั้น ใครจะไปคิดว่าอยู่ดีๆก็ได้กินทีโบนสเต็กจากฝูงวัวของฟิลิสเตีย ?

หลังจากได้ช่วยกู้เคลีอาห์ออกจากเงื้อมมือฟิลิสเตียแล้ว ใครๆคงนึกว่าต่อไปนี้เมือง เคลีอาห์คงต้องจงรักภักดีและให้การสนับสนุนดาวิด และที่แน่ๆ พวกเขาคงยอมให้ดาวิด และคนของท่านลี้ภัยอยู่ที่นั่นได้ ซาอูลรู้เรื่องที่ดาวิดอยู่ในเคอีลาห์แล้ว ท่านจึงรวบรวม คนอิสราเอลให้มาล้อมเมืองเคอีลาห์ไว้ เพราะแน่ใจว่าต้องจับดาวิดคนของท่านได้แน่ที่ เมืองนี้ เพราะเคลีอาห์เป็นเมืองที่มีกำแพงล้อมรอบ ซาอูลคาดว่า "ประตูสองชั้นและ ลูกกรง" ที่ป้องกันเมือง จะกลายเป็นสิ่งที่จำกัดและขังดาวิดกับพรรคพวกไว้ให้อยู่ข้างใน

เมื่อดาวิดรู้ว่าซาอูลกำลังจะมาจัดการท่าน ท่านจึงคิดว่าเป็นการปลอดภัยหรือไม่ที่จะ อยู่ในเมืองนี้ต่อ ดาวิดไม่ต้องการถูกจับ แต่ขณะเดียวกันก็เป็นห่วงสวัสดิภาพของชาว เมืองเคอีลาห์ ท่านอุตส่าห์ช่วยเมืองนี้ออกมาจากเงื้อมมือของฟิลิสเตียเพียงเพื่อจะ ให้ซาอูลมาทำลายหรือ ? นับว่ายังดีอยู่ ที่อาบียาธาร์นำเอโฟดมาด้วยตอนที่ท่านหลบ หนีมาอยู่กับดาวิด ท่านยังสามารถแสวงหาน้ำพระทัยพระเจ้าได้ (23:6) ดาวิดประสงค์ คำแนะนำจากพระเจ้า ท่านจึงใช้เอโฟด ท่านมีคำถามถามพระองค์สองข้อ ข้อแรก ซาอูลกำลังมาที่เคอีลาห์ตามที่ท่านได้ยินมาหรือไม่ ? สายสืบของท่านให้ข้อมูลถูกต้อง หรือเปล่า ? ข้อสอง ถ้าซาอูลมาที่เคอีลาห์จริง ประชาชนชาวเมืองนี้จะหักหลังด้วยการ มอบท่านให้กับซาอูลหรือไม่ ?

คำตอบของทั้งสองคำถามคือ "ใช่" ลองสังเกตุดูว่าคำตอบของทั้งสองข้อนี้ตั้งอยู่บน เงื่อนใขที่เปลี่ยนแปลงได้ คือถ้าดาวิดยังอยู่ในเคอีลาห์ คนของซาอูลจะมาโจมตี เมืองนี้แน่ ถ้าดาวิดและคนของท่านยังอยู่ต่อในเมืองเคอีลาห์ คนของซาอูลก็จะมาโจม ตี และคนเคอีลาห์ก็ต้องมอบดาวิดให้ซาอูลไป เมื่อรู้เช่นนี้ จึงทำให้ดาวิดตัดสินใจออก ไปจากเมืองนี้ก่อนที่คนของซาอูลจะมาถึง ในที่สุดซาอูลก็ไม่ได้โจมตีเคอีลาห์ หรือ ชาวเมืองก็ไม่ได้มอบดาวิดไปให้กับซาอูล แต่พวกเขาทำแน่ถ้าดาวิดยังขืนอยู่ต่อ

สิ่งแรก เราควรนำคำถามของดาวิดและคำตอบของพระเจ้ามาคำนึงดู : พระเจ้าไม่เพียง แต่ทราบดีถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้น พระองค์ยังทรงทราบอีกว่าจะเกิดสิ่งใดขึ้น เมื่อสถานการณ์ เปลี่ยนไป ไม่ว่าในรูปใด การรู้เรื่องในอนาคตนั้นเป็นเรื่องหนึ่ง แต่การรู้ว่าในอนาคตจะ เกิดสิ่งใดขึ้นเมื่อสถานการณ์่ต่างออกไป นับว่าเป็นความยิ่งใหญ่จริงๆ พระเจ้าทรง สัพพัญญู (สัพพัญญู = รู้ทุกสิ่ง) คือพระองค์ทรงทราบถึงเรื่องที่จำต้องเกิดขึ้น และเรื่อง ที่อาจเกิดขึ้นในสถานการณ์อื่น นี่คือฤทธานุภาพในการควบคุมทุกสิ่งของพระองค์ (อำนาจอธิปไตย) พระองค์ไม่ต้องรับผิดชอบในความบาปของมนุษย์ ตัวอย่างเช่น พระองค์ทรงอนุญาติให้ยูดาสทรยศขายพระเยซูด้วยราคาเพียง 30 เหรียญเงิน การ ทรยศของยูดาสอยู่ในแผนการอันเป็นนิรันดร์ และแน่นอนมันจำเป็นต้องเกิดขึ้น ความ สัพพัญญูของพระเจ้าทำให้ทุกสิ่งเป็นไปได้ โดยที่พระองค์ไม่มีส่วนรับผิดชอบในความ บาปของมนุษย์ทั้งสิ้น เราจะเห็นจากคำพูดของ อ.เปโตรที่มีต่อชาวยิว (และต่างชาติ) ผู้มีส่วนทำให้พระเยซูสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนว่า :

22 "ท่านทั้งหลายผู้เป็นชนชาติอิสราเอล ขอฟังคำของข้าพเจ้า คือพระเยซูชาวนาซาเร็ธ เป็นผู้ที่พระเจ้าทรงโปรดชี้แจงให้ท่าน ทั้งหลายทราบโดยการอิทธิฤทธิ์ การอัศจรรย์และหมายสำคัญ ต่างๆ ซึ่งพระเจ้าได้ทรงกระทำโดยพระองค์นั้น ท่ามกลางท่าน ทั้งหลาย ดังที่ท่านทราบอยู่แล้ว 23 พระเยซูนี้ทรงถูกมอบไว้ตาม ที่พระเจ้าได้ทรงดำริแน่นอนล่วงหน้าไว้ก่อน ท่านทั้งหลายได้ให้ คนอธรรมจับพระองค์ไปตรึงที่กางเขนและประหารชีวิตเสีย"
(กิจการ 2:22-23 )

ดังนั้นเมื่อได้คำตอบจากพระเจ้าว่าผลใดจะเกิดขึ้นถ้ายังอยู่ต่อในเมืองเคอีลาห์ ดาวิด และคนของท่านประมาณ 600 คนจึงกลับเข้าไปหลบซ่อนตัวอยู่ในที่กำบังเข้มแข็งใน ป่าอีกครั้ง เมื่อรู้ว่าดาวิดออกจากเมืองไปแล้ว ซาอูลและคนของท่านจึงหันหลังกลับ เมืองเคอีลาห์จึงรอดตัวไป รอดจากทั้งพวกฟิลิสเตียและพวกของซาอูล ดังนั้นคนที่เป็น หนี้ชีวิตดาวิดจึงไม่ต้องลำบากใจที่จะต้องส่งมอบท่านให้ซาอูล ในการทั้งหมดนี้ ดาวิด เองก็ได้รับการช่วยกู้ออกจากเงื้อมมือซาอูลอีกครั้ง เพราะพระเจ้าจะไม่ทรงส่งกษัตริย์ ในอนาคตของพระองค์ไปสู่มือของซาอูลแน่

บทสรุป

มีบทเรียนมากมายสอดแทรกอยู่ในพระธรรมตอนนี้ บางเรื่องก็ดูโดดเด่นแตกต่างออกมา แต่ทั้งหมดสามารถรวบรวมได้เป็นคำพูดดังนี้ :

เมื่อโลกทั้งโลกขาดจิตสำนึกและหาจุดยืนไม่ได้ เมื่อคนบ้ามีอำนาจและใช้มันอย่างโหดร้าย คนบริ สุทธิ์ก็เป็นทุกข์ถึงตาย แต่ พระเจ้ายังควบคุมอยู่ ถึงแม้เดี๋ยวนี้จะสับสนและมองไม่เห็น แต่แผนการ และพระประสงค์ของพระองค์จะสำเร็จลง ไม่ว่าจะ โดยคนบ้าที่ต้องการทำลายหรือหยุดยั้งพระประสงค์ และพระสัญญาของพระองค์ก็ตาม

ตลอดประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา คริสเตียนหลายต่อหลายคนมีชีวิตอยู่ในช่วงเวลาที่เรา อยากจะเรียกว่า "บ้าคลั่ง" หรือ "วิกลจริต" เราจะอธิบายว่าทำไมพวกผู้ก่อการร้ายจึงขับ เครื่องบินชนตึก ทำให้ผู้คนที่เขาไม่รู้จักตายไปทีละหลายพันคนว่าอย่างไร ? คนที่บุก ปล้นคนขายของเพื่อเงินไม่กี่บาทแล้วฆ่าทิ้ง เป็นพวกที่มีจิตสำนึกประเภทใด ? ทำไม เด็กวัยรุ่นถึงนำปืนกลไปยิงกราดใส่เด็กนักเรียนอนุบาล ? หลายต่อหลายสิ่งที่เกิดขึ้น รอบตัว เราดูไร้เหตุผลสิ้นดี – มันบ้าคลั่ง เราทิ้งแขนเราลงอย่างหมดแรงหรือเปล่า โดยคิดว่า ท่ามกลางความบ้าคลั่งโหดเหี้ยมนี้ พระเจ้าควบคุมไม่อยู่ ?

พระธรรมตอนนี้สร้้างความมั่นใจให้เราว่า ท่ามกลางความบ้าคลั่งนี้ พระเจ้าทรงควบคุม อยู่ ซาอูลเสียสติไปแล้วเมื่อออกคำสั่งให้โดเอกคนเอโดมฆ่าปุโรหิตทั้งหมดและครอบ ครัว ดูเป็นการกระทำที่ขาดสติคุ้มคลั่ง เรารู้ดีว่าในวันนั้นมีผู้บริสุทธิ์มากมายถูกฆ่าตาย และเราไม่ต้องไปมองหาเหตุผล แต่ในเวลาเดียวกัน เราอย่าลืมความจริงว่าพระเจ้าทรง ใช้ซาอูล – ในช่วงเวลาที่ท่านขาดสติที่สุด – เพื่อพระประสงค์และพระสัญญาของ พระองค์จะสำเร็จลง ในบทที่ 2 และ 3 ของ 1 ซามูเอล เอลีได้รับการแจ้งถึงความชั่ว ร้ายของบุตร และท่านจะถูกถอดจากการเป็นปุโรหิต

27 ครั้งนั้นมีบุรุษของพระเจ้ามาหาเอลี กล่าวแก่ท่านว่า "พระเจ้า ตรัสดังนี้ว่า 'เราได้เผยเราเองให้แจ้งแก่พงศ์พันธุ์บิดาเจ้า เมื่อเขา ทั้งหลายอยู่ในอียิปต์ใต้บังคับพงศ์พันธุ์ของฟาโรห์ 28 และเราได้ เลือกเขาออกจากเผ่าอิสราเอลทั้งหมด ให้เป็นปุโรหิตของเราเพื่อ จะขึ้นไปที่แท่นบูชาของเรา เพื่อเผาเครื่องบูชาเพื่อใช้เอโฟดต่อ หน้าเรา และเราได้มอบของที่บูชาด้วยไฟ ซึ่งคนอิสราเอลนำมา ถวายนั้นแก่พงศ์พันธุ์บิดาของเจ้า 29 เหตุใดเจ้าจึงเหยียบย่ำเครื่อง สัตวบูชาของเรา และของที่เขาถวายตามบัญชาของเรา และให้เกียรติ แก่บุตรทั้งสองของเจ้าเหนือเรา และกระทำให้ตัวของเจ้าทั้งหลาย อ้วนพีด้วยส่วนที่ดีที่สุดจากของถวายทุกราย จากอิสราเอลชนชาติ ของเรา' 30 เพราะฉะนั้นพระเยโฮวาห์ พระเจ้าของอิสราเอลจึงตรัสว่า 'เราพูดจริงๆว่าพงศ์พันธุ์ของเจ้าและพงศ์พันธุ์บิดาของเจ้าจะเข้าออก ต่อหน้าเราอยู่เป็นนิตย์' แต่บัดนี้พระเจ้าทรงประกาศว่า 'ขอให้การนั้น ห่างไกลจากเรา เพราะว่าผู้ที่ให้เกียรติแก่เรา เราจะให้เกียรติและบรร ดาผู้ที่ดูหมิ่นเรา ผู้นั้นจะถูกดูหมิ่น 31 ดูเถิด วาระนั้นจะมาถึงอยู่แล้ว เมื่อเราจะตัดแขนของเจ้าออกและตัดแขนของพงศ์พันธุ์บิดาของเจ้า ออก เพื่อจะไม่มีคนชราในพงศ์พันธุ์ของเจ้า 32 แล้วด้วยสายตา ริษยาและด้วยความทุกข์ร้อน เจ้าจะมองดูความมั่งคั่งซึ่งเราจะพอก พูนให้อิสราเอล และจะไม่มีคนชราในพงศ์พันธุ์ของเจ้าเป็นนิตย์ 33 คนของเจ้าซึ่งเรามิได้ตัดขาดเสียจากแท่นบูชาของเรานั้น เราจะ ไว้ชีวิตเพื่อให้ร้องไห้จนตาถลน และให้เจ้ามีจิตใจเศร้าโศกและผลอัน เพิ่มพูนในพงศ์พันธุ์ของเจ้าจะตายเสียเมื่อวัยฉกรรจ์ 34 และสิ่งนี้จะเป็น หมายสำคัญแก่เจ้า ซึ่งจะบังเกิดแก่บุตรทั้งสองของเจ้า คือโฮฟนี และฟีเนหัส ทั้งสองจะสิ้นชีวิตในวันเดียว 35 และเราจะให้ปุโรหิต ผู้ซื่อสัตย์ของเราเกิดขึ้นมา ซึ่งจะกระทำตามสิ่งที่มีอยู่ในจิตในใจ ของเรา และเราจะสร้างพงศ์พันธุ์มั่นคงให้เขา
(
1 ซามูเอล 2:27-34)

11 แล้วพระเจ้าตรัสกับซามูเอลว่า "ดูเถิด เราจะทำสิ่งหนึ่งในอิสรา เอล หูของทุกคนผู้ที่ได้ยินจะแสบทั้งสองข้าง 12 ในวันนั้นเราจะ กระทำให้สิ่งที่เราลั่นวาจาไว้เกี่ยวด้วยเรื่องพงศ์พันธุ์ของเอลีให้สำเร็จ เสียต่อเอลี ตั้งแต่ต้นจนถึงที่สุด 13 ดังนั้นเราจึงบอกเขาว่าเราจะลงโทษ พงศ์พันธุ์ของเขาเป็นนิตย์ เพราะความบาปชั่วซึ่งเขารู้แล้ว เพราะบุตรทั้ง สองของเขาเหยียดหยามพระเจ้า และเขาก็มิได้ห้ามปราม 14 เพราะฉะนั้น เราจึงปฏิญาณต่อพงศ์พันธุ์ของเอลีว่า ความบาปชั่วของพงศ์พันธุ์เอลี นั้นจะลบล้างเสียด้วยเครื่องสัตวบูชา และของถวายไม่ได้เป็นนิตย์"
(1 ซามูเอล 3:11-14)

เพราะเหตุที่เอลีไม่จัดการกับความบาปของบุตร เอลีจึงถูกถอดออกจากการเป็นปุโรหิต หมายสำคัญว่าเหตุการณ์นี้จะเกิดขึ้นก็คือ บุตรทั้งสองของท่าน โฮฟนีและ ฟีเนหัสจะ ตายลงพร้อมกัน (2:34) แผนการในคำพยากรณ์ของพระเจ้ากำลังจะสำเร็จลงอีกขั้น ในพระธรรมตอนนี้ โดยฝีมือความบ้าของซาอูลเองที่สั่งให้โดเอกคนเอโดม ฆ่าปุโรหิต และครอบครัวทั้งหมด มีผู้รอดตายคนเดียวที่เหลืออยู่ตามที่พระเจ้าได้พยากรณ์ไว้ (2:33) ขั้นตอนต่อไปที่แผนการของพระองค์จะสำเร็จลงอยู่ในสมัยของ กษัตริย์โซโล มอน เมื่ออาบียาธาร์ผู้เป็นเชื้อสายของอาโรน และอิทามาผู้เป็นบุตร ถูกปลดจากตำ แหน่งปุโรหิต และมอบให้กับศาโดกแทน ซึ่งเป็นผู้สืบเชื้อสายมาจากเอลีอาซาร์บุตร อีกคนของอาโรน (1 พกษ. 2:27, 35) แผนการขั้นสุดท้ายสำเร็จลงอย่างบริบูรณ์โดย การเสด็จมาขององค์พระเยซูคริสต์ ผู้เป็นองค์ปุโรหิตผู้สัตย์ซื่อ (ดูสดุดี 110; ฮีบรู 5:6; วิวรณ์ 19:16).100

เราคงนึกไม่ถึงว่าคำพยากรณ์ในบทที่ 2 และ 3 จะสำเร็จลงในบทที่ 22 โดยน้ำมือของ คนบ้า ? ในขณะที่ขาดความเชื่อและขาดสติ ; ถึงแม้จะกบฎต่อพระเจ้าโดยการฆ่า บรรดาปุโรหิต พระเจ้าทรงใช้ประโยชน์ในความบาปของซาอูลเพื่อทำให้พระสัญญา ของพระองค์สำเร็จลง และด้วยวิธีที่ไม่ขัดแย้งกับพระลักษณะของพระองค์

ให้มาดูความคล้ายคลึงกันระหว่างคำพยากรณ์ที่พูดถึงการเป็นปุโรหิตของเอลีในบทที่ 2 และ 3 และคำพยากรณ์ที่พูดถึงการเป็นกษัตริย์ของซาอูลในบทที่ 13 และ 15 เพราะ ความบาปที่ไม่ยอมจัดการกับบุตรที่ดูถูกความเป็นปุโรหิต เอลีจึงถูกปลด ส่วนสำคัญที่ บันทึกอยู่ในบทที่ 22 คือเราเห็นคำพยากรณ์ที่พระเจ้าสัญญาไว้ในเรื่องของเอลีสำเร็จ ลง คุณว่าคำสัญญาของพระเจ้าในเรื่องของเอลีสำเร็จลงในตอนนี้เป็นสิ่งยืนยันว่าคำ พยากรณ์เรื่องการเป็นกษัตริย์ของซาอูลจะสำเร็จลงด้วยหรือไม่ ? เช่นเดียวกับการเป็น ปุโรหิตของเอลีจะต้องถูกถอดแน่นอนในสองสามปีและสองสามบทต่อมา การเป็น กษัตริย์ของซาอูลก็จะต้องถูกถอดแน่ในสองสามปีและสองสามบทให้หลังด้วย พระเจ้า ทรงรักษาพระสัญญาเสมอ และบางครั้งพระองค์ก็ใช้วิธีและเครื่ื่องมือที่เรานึกไม่ถึง ทีเดียว

ประการที่สอง เราจะเห็นจากพระธรรมตอนนี้ว่าความบาปที่ดูเหมือนเล็กน้อย สามารถ นำเราดิ่งลงอย่างรวดเร็วได้อย่างไร บาปของซาอูลในบทที่ 13 และ 15 เป็นบาปที่ร้าย แรง ดูเหมือนไม่ส่งผลร้ายแรงให้เห็นในทันที แต่จงระวังบาปเล็กน้อยให้ดี เพราะในไม่ ช้า มันจะโตจนเต็มขนาดของมัน ซาอูลผู้ซึ่งตอนแรก เป็นคนขี้กลัวและสงบ แต่เมื่อไม่ ทำตามคำสั่งของพระเจ้า บัดนี้กลับกลายเป็นคนบ้าคลั่งไป ท่านตกต่ำมากจนถึงขนาด สั่งฆ่าปุโรหิตและครอบครัวทั้งหมดได้ บาปมักจะดูเหมือนไม่มีภัยอันตรายใดๆเมื่อเริ่ม แต่ไม่นาน ลักษณะที่แท้จริงของมันจะปรากฎชัดออกมาให้เราได้เห็น

ประการที่สาม ผมขอสรุปข้อสังเกตุอย่างย่อๆ และถามคำถาม สำหรับผมดูเหมือนคริส เตียนบางกลุ่มเป็นพวกที่ให้การสนับสนุนทฤษฎีการก่อกบฎโดยไม่รู้ตัว เหตุใดหน่วยงาน FCC จึงได้รับจดหมายมากมายจากคริสเตียนที่ต่อต้านเรื่องที่แมดเดลีย เมอร์เรย์ โอแฮร์ ก่อขึ้น ในการห้ามรายการของคริสเตียนทั้งทางวิทยุและโทรทัศนออกอากาศ ? เรามัก มีใจเอนเอียงเชื่อเรื่องแนวนี้ ผมสงสัยว่าทำไม อย่าให้เราแตกตื่นไปนักเลย อย่าให้เรา ตกเป็นเครื่องมือโปรโมทหรือให้ความสำคัญกับแผนงานของซาตานจนได้

ประการที่สี่ จากพระธรรมตอนนี้ผมเห็นต้นแบบสี่แบบ ซาอูลเป็นต้นแบบของปฏิปักษ์ พระคริสต์ ผู้เคยมีมาก่อนแล้ว และจะกลับมาอีกเพื่อต่อต้านพระเจ้า และพระเมสซิยาห์ ของพระองค์ คือพระเยซูคริสต์ เฮโรดก็เป็นหนึ่งในปฏิปักษ์ของพระคริสต์ (ดูมัทธิว 2) พวกฟาริสีและธรรมาจารย์ก็เป็นตัวอย่างของปฏิปักษ์พระคริสต์ (ดูมัทธิว 27:18; มาระ โก 15:10; ยอห์น 11:47-48) เมื่อซาอูลเอาโดเอกคนต่างชาติมาเข้าพวก เพื่อต้อง การกำจัดดาวิดให้พ้นจากบัลลังก์ ผู้นำชาวยิวก็สมคบกับคนต่างชาติเพื่อประหารพระ เยซู ดาวิดเป็นต้นแบบของพระเยซู ผู้ถูกปฏิเสธและถูกต่อต้าน เพราะท่านมาในฐานะ กษัตริย์ของพระเจ้า อาหิเมเลคเป็นต้นแบบของบรรดาผู้ต้องทนทุกข์ถึงตายเพราะมี ส่วนเกี่ยวข้องกับพระเยซูคริสต์ ส่วนท่านเองตายเพราะมีส่วนเกี่ยวข้องกับดาวิด

สุดท้าย ผมเห็นบทเรียนสำคัญบางอย่างจากพระธรรมตอนนี้ รวบรวมได้ดังต่อไปนี้ :

ความปลอดภัยของคริสเตียนไม่ได้เกิดขึ้นเพราะเราหลบซ่อนจากภัยอันตรายของโลกนี้ แต่เกิดขึ้นเมื่อเราเข้ามาพึ่งพิงพระเจ้า ให้พระองค์เป็นผู้นำและดูแล มีใจแสวงหาน้ำพระ ทัยและปรารถนาจะทำตาม

ดาวิดและพวกที่ติดตามท่านในตอนแรกคิดว่า ยิ่งอยู่ห่างจากซาอูลเท่าไร ความปลอด ภัยยิ่งมีมากขึ้นเท่านั้น ดาวิดพบว่าการอยู่ที่เมืองกัทกับพวกฟิลิสเตียนั้นเป็นการเสี่ยง อย่างสูง ท่านคงรู้สึกว่าอยู่ในดินแดนโมอับน่าจะปลอดภัยกว่า แต่ผู้เผยพระวจนะกาด สั่งให้ท่านเดินทางกลับเข้ามาในแผ่นดินยูดาห์ และเมื่อพวกที่ติดตามดาวิดรู้สึกว่า ปลอดภัยดีแล้วในป่าเฮเรท พระเจ้ากลับสั่งให้ไปรบที่เคอีลาห์ เมืองที่ตกเป็นเป้าโจมตี ได้โดยง่ายทั้งจากฟิลิสเตียและจากซาอูล

ดาวิดเป็นคนของพระเจ้าที่พระองค์เลือกไว้ให้เป็นกษัตริย์ ท่านจะไม่เป็นอันตรายเพื่อว่า แผนการของพระเจ้าจะสำเร็จลง ท่านไม่จำเป็นต้องหลบซ่อนหรือพยายามทำตัวเองให้ ปลอดภัย เพราะจะเป็นการขัดขวางงานของพระเจ้าและหน้าที่รับผิดชอบของท่านเอง (เช่นการไปช่วยกู้ชาวเมืองเคอีลาห์) ดาวิดไม่จำเป็นต้องคิดคำนวนระยะทางให้ห่าง จากอันตราย ;ท่านควรคำนวนถึงความปลอดภัยในการอยู่ใกล้ชิดกับพระเจ้ามากกว่า การชอบหลบไปอยู่ในที่สงบมีอยู่ทั่วไปในแวดวงคริสเตียนทุกวันนี้ มันดูเหมือนว่ายิ่ง ออกห่างยิ่งปลอดภัย ผมขอท้าทายให้คุณเปลี่ยนความคิดเป็นดังนี้ พระเจ้าอาจนำบาง คนให้ไปอยู่ในที่ห่างไกล ขออย่าให้เราหลบหนีไปเมื่อพระองค์เรียก ขอให้เราออกไป เป็นเกลือ และแสงสว่างในโลกอันมืดมิดนี้ดีกว่า

ผมขอพูดอีกด้วยว่า การวางใจในพระเจ้าและทำในสิ่งที่ถูกต้อง ไม่ได้หมายความว่าเรา จะรอดจากอันตรายฝ่ายกาย ในพระธรรมตอนนี้ อาหิเมเลคเป็นคนมีชื่อเสียงดี เป็นคน ของพระเจ้า เป็นผู้ที่กล้ายืนหยัดต่อสู้กับซาอูลเพื่อดาวิด ถึงแม้ท่านรู้ว่าเป็นการเสี่ยง ชีวิต ท่านถูกประหารรวมกับเพื่อนๆปุโรหิตและครอบครัว ในความรู้สึกที่สุดแล้ว อาหิ เมเลคและเพื่อนผู้พลีชีพ ไม่มีวันปลอดภัยไปกว่านี้เมื่ออยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า พวก เขา "ปลอดภัย" พอๆกับดาวิด เพียงแต่ภาระกิจของพวกเขาจบสิ้นลงแล้ว แต่ของดาวิด ยังไม่ การดำเนินชีวิตติดตามพระเจ้าไม่ได้หมายความว่าจะปลอดจากภัยอันตราย จาก การทนทุกข์ หรือแม้กระทั่งความตาย แต่พระเจ้าไม่ปล่อยให้สิ่งเหล่านี้มาพรากเราไป จากพระประสงค์ของพระองค์ จนกว่าเราจะทำภารกิจของพระองค์เสร็จสิ้นลง ไม่ใครอีก แล้วที่จะปลอดภัยเท่ากับคริสเตียนที่เชื่อฟังและวางใจ ถึงแม้จะตกอยู่ในสถานการณ์ที่ เป็นอันตรายถึงตาย


94 บางคนคิดว่าที่หลบซ่อนตัว นี้น่าจะเป็นที่ มาซาดา แต่ผมไม่ค่อยจะแน่ใจเท่าใด เพราะดู เหมือนน่าจะมีมากกว่าหนึ่งแห่ง (ดู 22:4, 5; 23:14) และที่หลบซ่อนตัวใน 22:4 นั้นอยู่ใน โมอับ ไม่ใช่ในอิสราเอล

95 ขอโทษนะครับ ที่ผมหมายถึงคือซาอูลปราศจากไหวพริบในทางทหารจนแทบหมดท่า

96 Lance Morrow จากหนังสือ "The Power of Paranoia," ในนิตยสารTime Magazine ฉบับ วันที่ 15 เมษายน 1966 เล่มที่147 No. 16.

97 ผมอดคิดไม่ได้ว่าคำพูดของอาหิเมเลคมีความหมายลึกกว่าธรรมดา ถ้าจะให้แปลตรงตัวก็คง ประมาณว่า: "ซาอูล ดาวิดมาหาเราออกบ่อยครั้งไป เพราะท่านต้องการให้เราทูลขอต่อพระเจ้า ท่านเสียอีกที่เราแทบไม่เคยพบหน้ามาตั้งนานแล้ว … ."

98 ช่วยไม่ได้ที่ต้องนำตอนนี้ไปเปรียบเทียบกับเหตุการณ์ในบทที่ 14 ตอนที่ซาอูลตั้งใจฆ่า โยนาธาน บุตรของท่านเอง ตอนนั้นซาอูลถูกตำหนิโดยประชาชน และถูกคัดค้านไม่ให้ทำ (14:45) แต่ตอนนี้ถูกคัดค้านด้วยความเงียบ หรือเป็นเพราะว่าซาอูลยิ่งทียิ่งโหดเหี้ยมทารุณ และไร้เหตุผลมากขึ้นทุกที ?

99 วิธีการที่ดาวิด"แสวงหาน้ำพระทัยพระเจ้า" ในตอนนี้ไม่ได้มีกล่าวถึง แต่จากในข้อ 6 และ ข้ออื่นๆ ผมคิดว่าไม่น่าจะเป็นจากเอโฟดที่อาบียาธาร์นำมาด้วย น่าจะเป็นวิธีอื่น น้ำพระทัยพระ เจ้าเปิดเผยได้หลายวิธี และดูเหมือนผู้เขียนคงคิดว่าไม่จำเป็นต้องนำมาพูดถึงในตอนนี้

100 อ้างอิงจาก Walvoord, John F. and Zuck, Roy B., The Bible Knowledge Commentary, (Wheaton, Illinois: Scripture Press Publications, Inc.) 1983, 1985.

Related Topics: Introductions, Arguments, Outlines

บทที่ 21: เพื่อนแท้ (1 ซามูเอล 23:15-29)

คำนำ

ในช่วงชีวิตของดาวิดก่อนที่จะเป็นกษัตริย์ของอิสราเอล เป็นเวลาที่มืดมนที่สุด เราคง ไม่ต้องอ่านเนื้อหามากนักที่จะพอรู้ว่าจิตวิญญาณของท่านในขณะนั้นตกต่ำลงเพียงใด ความกล้า ความชำนาญต่างๆที่พระเจ้าประทานให้ เคยทำให้ท่านประสพความสำเร็จ มากมาย ได้รับการยกย่องเป็นอย่างสูง แต่แล้วความชื่นชมยินดีที่ซาอูลเคยมีให้กับ ท่านกลับกลายเป็นความกลัวและความหวาดระแวง จนถึงขนาดต้องฆ่าให้ตาย ตอน นี้ดาวิดกลายเป็นที่ต้องการตัวที่สุดในอิสราเอล ทั้งที่ไม่มีความผิดในข้อหาใดนอกจาก ต้องการรับใช้พระเจ้า และรับใช้กษัตริย์อย่างสัตย์ซื่อ ดาวิดหนีไปหาอาหิเมเลค มหาปุ โรหิตผู้มอบขนมปังบริสุทธิ์ และดาบของโกลิอัทให้ และทูลถามพระเจ้าให้ตามที่ท่าน ขอร้อง (21:1-9) เรื่องนี้ถึงกับทำให้ปุโรหิตและครอบครัวถูกสังหารหมู่ -- ทั้งนี้เป็น เพราะซาอูลด่วนสรุปเอาอย่างผิดๆว่าอาหิเมเลคและพวกปุโรหิต สมคบกับดาวิดก่อการ กบฎ (22:6-19)

จากที่ทำการของอาหิเมเลคในเมืองโนบ ดาวิดหนีไปเมืองกัท หวังไปขอลี้ภัยจาก กษัตริย์ฟิลิสเตีย อาคิช มหาดเล็กของอาคิชไม่เห็นด้วยเพราะคิดว่าเป็นการเสี่ยงเกิน ไป เพื่อให้รอดชีวิต ดาวิดต้องแกล้งทำเป็นคนบ้าเพื่อจะถูกขับออกไปให้พ้นจากเมือง กัท (21:10-15) จากนั้นท่านไปหาที่หลบซ่อนตัวอยู่ในถ้ำอดุลลัม ที่ซึ่งครอบครัวของ ท่าน และผู้ที่ไม่ชอบการกระทำของซาอูลมาขออาศัยอยู่ด้วย (22:1-2) มีคนทั้งสิ้น ประมาณ 400 คนอยู่กับท่านในเวลานั้น (22:2) ต่อมาท่านนำพวกเขาเข้าไปยังแผ่น ดินโมอับ เพื่อหาที่ลี้ภัยที่ดีกว่าให้กับบิดามารดาผู้ชรา (22:3-4) ส่วนตัวท่านและผู้ติด ตามไปหลบอยู่ในที่กำบังเข้มแข็งไม่ไกลออกไป แต่ยังอยู่ในดินแดนโมอับ

จากจุดนี้ผมขอพาพวกคุณไปผจญภัยเล็กน้อยโดยยึดถือตามเนื้อหาของพระคัมภีร์ ก่อน อื่นผมขอยอมรับว่ารู้สึกไม่ค่อยสบายใจที่ดาวิดนำบิดามารดาไปฝากไวในโมอับ ถึงจะรู้ ว่าดาวิดสืบเชื้อสายมาทางนางรูธชาวโมอับก็ตาม สิ่งุนี้อาจทำให้กษัตริย์โมอับเห็นใจ แต่อย่าลืมว่าโมอับยังเป็นศัตรูกับชาวอิสราเอลอยู่ เหตุใดดาวิดจึงกล้าทิ้งบิดามารดาไว้ ในแผ่นดินโมอับ ?

คำอธิบายที่น่าเป็นไปได้อยู่ในสดุดี 27 บทเพลงสดุดีของดาวิด ที่พูดถึงความไว้วางใจ ที่ดาวิดมีในพระเจ้าในขณะที่พวกคนชั่วแสวงชีวิตของท่าน อาจเป็นเวลาเดียวกับที่เรา ศึกษาพระธรรม 1 ซามูเอล 23 ในตอนนี้ ข้อ 10 ของสดุดีบทนี้กล่าวว่า

10 แม้บิดาและมารดาของข้าพระองค์ทอดทิ้งข้าพระองค์ แต่พระเจ้าจะทรงยกข้าพระองค์ขึ้น

ผมขอยึดตามคำพูดนี้ จึงมีคำถามเกิดขึ้นว่า "บิดามารดาของดาวิดละทิ้งท่านตั้งแต่เมื่อ ใด ?" อาจเป็นจุดนี้ในชีวิตของท่านก็เป็นได้101 ผมสงสัยว่าครอบครัวของท่านคงเป็น พวกสุดท้ายที่ตระหนักว่าท่านกำลังจะขึ้นเป็นกษัตริย์ของอิสราเอล เช่นเดียวกับน้องๆ ของพระเยซูที่ไม่เคยตระหนักว่าพระองค์เป็นกษัตริย์ของชาวยิว (ดูยอห์น 7:2-5) เรา รู้จักพี่ชายของดาวิด เอลีอับ ผู้ดุว่าเมื่อครั้งที่ท่านออกไปยังแนวรบ (1 ซามูเอล 17:28) และเมื่อครอบครัวของท่านอพยพมาอยู่ที่ถ้ำอดุลลัม (22:1) พวกเขาคงเริ่มตระหนักถึง ภัยอันใหญ่หลวงในการที่่เป็นคนในครอบครัวเดียวกับดาวิด ถ้าซาอูลสามารถฆ่าครอบ ครัวของปุโรหิตที่ท่านสงสัยว่าสมคบกับดาวิดก่อกบฎได้ ท่านจะไว้ชีวิตคนในครอบครัว ของดาวิดทำไม ?

ผมเชื่อว่าครอบครัวของดาวิดเหมือนกับจำยอม ต้องไปอยู่ที่ถ้ำอดุลลัม และแน่นอนย่อม ไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาอยากทำ พวกเขาอาจรู้สึกขุ่นเคืองและโทษว่าดาวิดเป็นต้นเหตุทำ ให้พวกเขาต้องตกระกำลำบาก เมื่อต้องมาอยู่กับดาวิดในสถานที่ห่างไกล ไม่สะดวก สบายอย่างที่เคย บิดามารดาของท่านอาจไม่ยอมรับ และสั่งให้ท่านหาที่อยู่อื่นให้ ถ้าเป็นเช่นนั้น การถูกบิดามารดาปฏิเสธไม่อยากอยู่ด้วยจึงเป็นเหมือนชนวนสุดท้าย ที่ระเบิดหัวใจของท่านให้แหลกสลาย ถ้าถูกศัตรู เช่นพวกฟิลิสเตียปฏิเสธยังเป็น เรื่องหนึ่ง หรือแม้แต่เป็นซาอูลหรือพี่น้องร่วมชาติ หรือใกล้กว่านั้นเผ่ายูดาห์ก็ตาม แต่ ถูกบิดามารดาปฏิเสธเป็นเรื่องที่ท่านรับแทบไม่ไหว

นอกจากนั้น การที่โยนาธานมาเยี่ยมดาวิดในที่ซ่อนตัวตอนกลางของบทที่ 23 นับเป็น เรื่องสำคัญเพราะตอนต้นของบทเป็นเรื่องการที่ดาวิดช่วยกู้เมืองเคอีลาห์ ท่านจำต้อง ออกจากที่ซ่อนตัวในป่าทึบเฮเรท มายังพื้นที่ราบโล่งในเขตเมืองเคอีลาห์ ท่านเลือกที่ จะออกมาจากที่ซ่อนตัวเพื่อต่อสู้กับคนฟิลิสเตียและอาจต้องเผชิญหน้ากับซาอูลด้วย ในการช่วยกอบกู้เมืองเคอีลาห์ สิ่งที่ดาวิดได้รับตอบแทนคือ ประชาชนจะทรยศด้วยการ ส่งตัวท่านให้กับซาอูล ตอนท้ายของบทที่ 23 เราพบว่าชาวศิฟ ไปหาซาอูลเอง เพื่อ เสนอส่งมอบตัวดาวิดให้

มาถึงจุดนี้ในชีวิต ทุกอย่างคงดูมืดมนและหมดหนทางสำหรับดาวิด ท่านเป็นชายที่มีค่า หัว ไม่อาจไว้วางใจใครได้ ที่โนบ ดาวิดเคยสงสัยโดเอกคนเอโดมมาแล้ว และตอนนี้ ท่านยังต้องมาสงสัยคนกันเองอีก บิดามารดาของท่านก็ห่างเหินไปจากท่าน ดูเหมือน ไม่มีใครเหลือเลยสำหรับดาวิด แน่นอนยังมีโยนาธานอีกคน แต่ก็อยู่ห่างไกลเหลือเกิน ไม่สามารถติดต่อพูดคุยได้สะดวก … .

เมื่อมาถึงที่หลบซ่อนตัว โยนาธานคงมีดวงตาที่ชอกช้ำขณะที่ท่านโอบดาวิดเพื่อนรักไว้ ผู้รับใช้พระเจ้าที่ยิ่งใหญ่อย่าง ดาวิด อ.เปาโล และอีกหลายๆคนซึ่งรวมทั้งองค์พระเยซู คริสต์ด้วย เคยผ่านประสพการณ์ของความท้อแท้สิ้นหวังมาแล้วทั้งสิ้น นี่คือสิ่งที่ดาวิด กำลังเผชิญอยู่ โดยพระคุณ พระเจ้าส่งผู้มาเยี่ยมเยียนท่าน โยนาธาน มาเป็นผู้ให้กำลัง ใจท่านอย่างมากมาย ในท่ามกลางการถูกหักหลัง ไม่ว่าจะเป็นจากชาวเมืองเคอีลาห์ หรือจากชาวศีฟก็ตาม ยังมีเพื่อนสนิทที่สุดที่ทั้งรักและทุ่มเทเพื่อท่านอยู่ โยนาธานไม่ เพียงปลอบประโลมและให้กำลังใจดาวิดเท่านั้น ท่านยังให้บทเรียนสอนใจที่มีค่ามาก สำหรับพวกเราทั้งหลายในการให้กำลังใจ ให้เรารับบทเรียนบทนี้ด้วยใจที่ต้องการแบ่ง เบาภาระซึ่งกันและกัน

อันตรายของดาวิด
(23:15)

15 และดาวิดเห็นว่าซาอูลได้ทรงออกมาแสวงชีวิต ของเธอ ดาวิดอยู่ในป่าศิฟที่โฮเรช102

ผมเชื่อว่าข้อ 15 มีเรื่องราวมากกว่าแค่บอกว่าซาอูลกำลังออกตามล่าดาวิด ข่าวนี้บอก สิ่งใดใหม่หรือ ? นอกจากบอกว่าซาอูลเข้ามาใกล้แล้ว แต่คำว่า "เห็นว่า" แปลตรงๆ คือ "เห็น" ดาวิดเห็นชัดแล้วว่าซาอูลได้ออกมาตามสังหารท่าน คำว่า "เห็น" จึงน่าจะ มีความหมายใกล้เคียงพอๆกับคำว่ากลัว บางคนสันนิษฐานว่าผู้เขียนคงตั้งใจบอกว่า ดาวิดกำลังกลัว ผมไม่อยากสนับสนุนให้เปลี่ยนคำในเนื้อหา ถึงแม้จะเป็นความหมาย เดียวกันก็ตาม การรู้ว่าซาอูลกำลังเอาจริงยิ่งเพิ่มความกดดันให้กับดาวิดอย่างมาก ท่าน คงอ่อนล้าทั้งกายและใจ และเมื่อได้ยินว่าซาอูลกำลังเข้ามาใกล้เพื่อจะฆ่าท่านแน่ๆ ท่านถึงกับหมดสิ้นเรี่ยวแรง มีหลักฐานเพียงพอที่จะเชื่อว่าซาอูลทำแน่ถ้ามีโอกาส สิ่งนี้ทำให้ผมนึกถึงข้อพระคำหลายข้อในสุภาษิตที่เตือนใจเรา :

15 มีชีวิตในสว่างแห่งพระพักตร์ของพระราชา และ ในความพอพระทัยของพระองค์ก็เหมือนเมฆที่นำ ฝนหนักปลายฤดูมา
(16:15).

12 พระพิโรธของพระราชาเหมือนเสียงคำรามของ สิงห์หนุ่ม แต่ความโปรดปรานของพระองค์เหมือน น้ำค้างบนผักหญ้า
(19:12).

2 ความพิโรธอันน่าครั่นคร้ามของพระราชา ก็เหมือน สิงห์หนุ่มคำราม ผู้ใดยั่วเย้าพระองค์ให้กริ้วก็เสี่ยงชีวิต ของตนเอง
(20:2)

15ผู้ครอบครองที่ชั่วร้ายเหนือคนยากจน ก็เหมือน สิงห์คำรามหรือหมีที่กำลังเข้าต่อสู้
(28:15)

ถ้อยคำหนุนใจจากผู้มาเยี่ยมเยียน
(23:16-18)

16 และโยนาธานราชบุตรของซาอูลได้ลุกขึ้นไปหาดาวิด ที่โฮเรช และสนับสนุนมือของเธอให้เข้มแข็งขึ้นในพระเจ้า 17 โยนาธานพูดกับเธอว่า "อย่ากลัวเลยเพราะว่ามือของ ซาอูลเสด็จพ่อของฉันจะหาเธอไม่พบ เธอจะได้เป็นพระ ราชา เหนืออิสราเอล และฉันจะเป็นอุปราช ซาอูลเสด็จพ่อ ของฉัน ก็ทราบเรื่องนี้ด้วย" 18 และทั้งสองก็กระทำพันธ สัญญาต่อ พระพักตร์พระเจ้า ดาวิดยังค้างอยู่ที่โฮเรช และ โยนาธานก็กลับไปวัง

เมื่อผมอ่านพระธรรมตอนนี้ ผมนึกถึงพระธรรมสุภาษิตบางข้อขึ้นมาอีกครั้ง :

11 ถ้อยคำที่พูดเหมาะๆ จะเหมือนลูกท้อทองคำ ล้อมเงิน
(สุภาษิต 25:11)

25 ข่าวดีจากเมืองไกล ก็เหมือนน้ำเย็นที่ให้แก่คน กระหาย
(สุภาษิต 25:25)

ซาอูลอาจจะกำลังตามล่าดาวิด แต่โยนาธานกลับเป็นผู้ที่พบดาวิด ไม่มีเวลาใด ที่เหมาะไปกว่านี้ที่โยนาธานไปพบดาวิด และคำพูดของท่านก็เหมาะเป็นที่สุด จุด ประสงค์ที่ โยนาธานออกมาพบดาวิดก็เพื่อให้กำลังใจท่านให้เข้มแข็งขึ้นในพระเจ้า คำหนุนใจของโยนาธานที่มีอยู่ในข้อ 17 ทั้งหมด แยกแยะออกมาได้ดังนี้ :

(1) โยนาธานบอกดาวิดว่าไม่ต้องกลัว แหล่งกำลังที่ซาอูลมีอยู่ ดูเหมือนว่าดาวิด ไม่มีทางหลุดรอดไปได้ ซาอูลออกคำสั่งอย่างเปิดเผยให้จับกุมตัวดาวิด และนำไปมอบ ให้ท่าน หรืออย่างน้อยแจ้งเบาะแสถึงแหล่งที่หลบซ่อนตัวอยู่ ซาอูลมีอำนาจและความ ตั้งใจแน่วแน่ ที่จะจัดการกับใครก็ตามที่ให้การสนับสนุนช่วยหลือดาวิด การสังหารหมู่ที่ เมืองโนบยืนยันในเรื่องนี้ได้เป็นอย่างดี ซาอูลจะประทานรางวัลให้กับผู้ที่ซื่อสัตย์และ ช่วยเหลือท่านในการสังหารดาวิด ดาวิดไม่ได้กลัวอย่างไร้เหตุผล ; แต่กระนั้นก็ตาม โยนาธานมาบอกไม่ให้ท่านต้องกลัว

(2) โยนาธานบอกใ้ห้ดาวิดมั่นใจว่า ถึงแม้บิดาท่านจะพยายามมากเพียงใด จะ ไม่มีวันประสพความสำเร็จ

(3) ความั่นใจของโยนาธานว่ายังไงๆดาวิดก็ปลอดภัย ตั้งอยู่บนความเชื่อมั่น ของท่านว่าพระเจ้าได้ทรงแต่งตั้งดาวิดไว้แล้วให้เป็นกษัตริย์องค์ต่อไป ถ้าดาวิด เป็นผู้ที่พระเจ้าเลือกสรรไว้ให้ขึ้นเป็นกษัตริย์องค์ต่อไปของอิสราเอล จะไม่มีผู้ใด แม้แต่ ซาอูลเองจะฆ่าหรือทำให้พระประสงค์และพระสัญญาของพระองค์บิดเบือนไปได้ ความ เชื่อมั่นของโยนาธานฝังรากลงในอำนาจอธิปไตยของพระเจ้าทีทั้้งท่านและดาวิดปรนนิบัติอยู่ แต่ผู้ที่ซาอูลต่อต้าน

(4) โยนาธานให้กำลังใจดาวิดโดยให้ท่านมั่นใจว่า โยนาธานจะยอมรับและ เต็มใจรับใช้กษัตริย์องค์ต่อไปของอิสราเอลอย่างจงรักภักดี โยนาธานรู้ดีว่า พระเจ้าจะปลดบิดาของท่านออกจากบัลลังก์ และแต่งตั้งดาวิดขึ้นมาแทนที่ โยนาธาน ไม่เพียงแต่ยอมรับความจริงนี้ด้วยเต็มใจ แต่ท่านยังเสนอตัวเป็นผู้สนับสนุนและรับใช้ ดาวิดด้วยความภักดี ดาวิดจะไม่เพียงหลุดรอดจากเงื้อมมือของซาอูลและขึ้นครอง เป็นกษัตริย์องค์ต่อไปเท่านั้น ท่านยังจะมีโยนาธานเป็นผู้ให้การช่วยเหลืออยู่ด้วย

(5) สุดท้าย ความภักดีของโยนาธานไม่ได้ปิดเป็นความลับ บิดาของโยนาธาน ทราบดีถึงความจงรักภักดีที่โยนาธานมีต่อดาวิด ท่านไม่ชอบใจเป็นอันมาก โยนาธาน ไม่เคยบิดปังเรื่องการคบหากับดาวิด และแน่นอนโยนาธานจะเป็นผู้ชักนำให้คนอื่นๆใน แผ่นดินมาสนับสนุนดาวิดด้วย

โยนาธานคือบารนาบัสในพระคัมภีร์เดิม ทั้งคู่เป็นลูกแห่งการหนุนน้ำใจที่ยิ่งใหญ่ ในพระ ธรรมกิจการ บารนาบัสเริ่มต้นด้วยการเป็นผู้นำคนสำคัญ และเซาโล (อัครทูตเปาโล) เป็นเพียงคนที่บารนาบัสดูแลอยู่ เมื่อเวลาผ่านไป เห็นได้ชัดเจนว่าพระเจ้าทรงเลือก เปาโลให้ขึ้นมาดำรงตำแหน่งแทน และเมื่อเกิดขึ้น บารนาบัสยอมรับความจริงด้วยความ ยินดี และท่านกลับกลายเป็นผู้ให้การสนับสนุน อ.เปาโลด้วยความสัตย์ซื่อและเต็มใจ

เราเห็นจิตวิญญาณแบบเดียวกันในโยนาธาน โยนาธานเป็นผู้สืบทอดราชบัลลังก์ที่จะ ได้ขึ้นครองต่อจากซาอูลเมื่อเวลามาถึง เนื่องจากความบาปของซาอูล พระเจ้าปฏิเสธ ท่านและเจิมตั้งดาวิดขึ้นมาเป็นกษัตริย์องค์ต่อไปแทน โยนาธานตระหนักถึงเรื่องนี้เป็น อย่างดี และเช่นเดียวกับที่บารนาบัสในยุคพระคัมภีร์ใหม่ ท่านกลับเป็นผู้ให้การสนับสนุน และเป็นเพื่อนที่จงรักภักดีต่อดาวิดเป็นที่สุด เมื่อดาวิดตกอยู่ในอันตรายและจิตวิญญาณ ของท่านอ่อนล้าลง โยนาธานบุกป่าไปหาเพื่อนรักเพื่อไปให้กำลังใจ ท่านทำสิ่งนี้ด้วย ความจริงใจ

ผลของการพบกันครั้งนี้ก่อให้เกิดพันธสัญญาระหว่างดาวิดและโยนาธานขึ้นมาใหม่ ที่ จริงดูเหมือนเป็นการย้ำถึงพันธสัญญาเดิมที่เคยทำไว้ก่อนหน้านี้ เพียงแต่เพิ่มเติมราย ละเอียดเข้าไป พันธสัญญาครั้งแรกทำในบทที่ 18:1-4 แต่ไม่มีรายละเอียดให้ไว้ การ ถอดเสื้อคลุมและมอบเครื่องใช้ในการรบให้ เป็นสัญญลักษณ์ที่สื่อได้เป็นอย่างดี ในบท ที่ 20 ดาวิดมาขอความช่วยเหลือจากโยนาธาน โดยอ้างถึงพันธสัญญาที่เคยทำ (ข้อ 8) และโยนาธานจึงขอให้ดาวิดไว้ชีวิตของท่านและครอบครัว (ข้อ 14-17)103 ต่อมาใน ข้อ 41 และ 43 ของบทที่ 20 ดาวิดและโยนาธานรื้อฟื้นพันธสัญญากันใหม่อีกครั้ง และ เป็นสัญญาที่ครอบคลุมไปทั้งพงศ์พันธ์ ดังนั้นพันธสัญญาที่ทำกันอีกในบทที่ 23 นี้คง ย้ำในสิ่งเดิม

ก่อนจะมาดูต่อในบทที่ 23 ให้เรามาดูภาพสะท้อนของโยนาธานที่ท่านปรนนิบัติต่อดาวิด และสิ่งนี้สำแดงให้เห็นภาพของการให้กำลังใจที่ใช้ได้ในทุกยุคทุกสมัย รวมทั้งสำหรับ เราทั้งหลายด้วย

ประการแรก การให้กำลังใจควรใช้คำพูดที่เหมาะสม และในเวลาที่สมควร หลายคน อาจทำตัวเหมือนเพื่อนของโยบในเวลาเช่นที่ดาวิดเผชิญอยู่ พวกเขาอาจพูดว่า "ดาวิด คุณเป็นอะไรไป ? ไม่รู้หรือว่าการจมอยู่ในความทุกข์เป็นบาป ? ทำไมคุณไม่ใช้เวลาไป อ่านพระคัมภีร์และอธิษฐาน ?" พระธรรมสุภาษิตมีข้อคิดมากมายสำหรับเรื่องเช่นนี้

ประการที่สอง การให้กำลังใจชี้ให้เห็นถึงความกลัว และช่วยสร้างความกล้าให้เกิดขึ้น นี่คือคำจำกัดความสำคัญเบื้องต้นของผมสำหรับคำว่าการให้กำลังใจ เป็นเวลาหลายปี ที่ผมได้ยินคนพูดถึงของประทานในการให้กำลังใจ หรือคนที่มีของประทานในการโน้ม น้าวผู้อื่น ดูเหมือนกับว่าคนๆนั้นมีสิทธิที่จะเข้าไปวุ่นวายในชีวิตของผู้อื่นด้วยการให้คำ แนะนำ ส่วนมากแล้วผมเกรงว่าพวกเขาคิดไปว่าการให้กำลังใจนั้น คือการใช้ถ้อยคำที่ ก่อให้เกิดความภาคภูมิใจ มีบรรดา "ผู้ให้กำลังใจ" หลายคนชอบกล่าวชมผู้อื่นที่ประสพ ความสำเร็จ ผมไม่ได้ต่อต้านการพูดยกย่องคนที่ทำงานดี แต่เราควรระมัดระวังให้เป็น คำพูดที่มาจากใจจริงและไม่ได้ยกยอปอปั้น104 ฐานรากของเรื่องนี้คือ การให้กำลังใจ คือการช่วยให้ผู้ที่มีความกลัวบังเกิดความกล้า

ให้มาพิจารณาดูข้อความในจดหมายฝากจาก อ.เปาโลถึงชาวเธสะโลนิกา :

14 และพี่น้องทั้งหลาย เราขอวิงวอนพวกท่าน ให้ตักเตือนคนที่เกียจคร้าน หนุนน้ำใจผู้ที่ท้อใจ ชูกำลังคนที่อ่อนกำลัง และมีใจอดเอาเบาสู้ต่อ คนทั้งปวง
(1 เธสะโลนิกา 5:14)

ในบทเรียนของเรา โยนาธานให้กำลังใจ (ด้วยคำพูด ที่เสริมกำลังของ) ดาวิดโดยบอก ไม่ให้ท่านกลัว การให้กำลังใจคือความสามารถสัมผัสได้ถึงความกลัวในจิตใจของผู้ อื่น และช่วยผู้นั้นด้วยวิธีที่ก่อให้เขาเกิดความกล้าขึ้นมา

ประการที่สาม การให้กำลังใจก่อให้เกิดความกล้าในการลงมือปฏิบัติ ผมได้กล่าวไป แล้วว่า การให้กำลังใจชี้ให้เห็นถึงความกลัว และสร้างความกล้าให้เกิดขึ้น แต่การให้ กำลังใจของโยนาธานมีมากกว่านั้น การให้กำลังใจที่แท้จริงไม่เพียงแต่ทำให้ผู้นั้นรู้สึก ดีขึ้น แต่ยังเป็นการทำให้พวกเขาเกิดความกล้าที่จะทำในสิ่งที่ยาก สิ่งที่พวกเขากลัว ไม่กล้าทำ การให้กำลังใจทำให้มือของผู้ที่อ่อนล้า "เข้มแข็งขึ้น" และเป็น "มือ" ที่ นำกลับมาใช้การได้ สามารถทำงานที่พระเจ้ามอบหมายให้จนสำเร็จ105

ประการที่สี่ การให้กำลังใจในพระคัมภีร์ทำให้คนที่ท้อแท้เกิดกำลังขึ้นโดยหันกลับไป มองที่พระเจ้า โยนาธานให้กำลังใจดาวิดขึ้นในพระเจ้า ดูไปแล้วดาวิดไม่น่ามีอายุรอด เกินหนึ่งสัปดาห์ ไม่ต้องพูดถึงเรื่องจะขึ้นเป็นกษัตริย์อิสราเอล แต่พระเจ้าเจิมตั้งดาวิด โดยมือของซามูเอล เป็นพระประสงค์และแผนการของพระองค์ที่จะให้ดาวิดปกครอง อิสราเอล ถ้าเป็นเช่นนี้ แผนการของพระเจ้าจะไม่มีวันล้มเหลว พื้นฐานความกล้าของ ดาวิดคือความเชื่อในพระเจ้า ในพระคำ ในพระสัญญา ในฤทธิ์อำนาจ และในความสัตย์ ซื่อทำสิ่งที่พระองค์เริ่มต้นไว้ให้สำเร็จลง โยนาธานหันสายตาของดาวิดให้มุ่งตรงไปที่ พระเจ้า ที่ซึ่งเป็นแหล่งของกำลังและความกล้า ตลอดทั้งพระคัมภีร์ตอกย้ำในเรื่องนี้ : ความกล้ามาจากพระเจ้า (อิสยาห์ 35:4; 54:4; เยเรมีย์ 30:10; เศคาริยาห์ 9:9; ยอห์น 12:15) ความกล้ามาโดยทางพระวิญญาณ (มีคาห์ 3:7-8; ฮักกัย 2:3-5) ความ กล้ามาจากความเชื่อในพระเจ้า (ดูมัทธิว 9:2, 22; 14:27; ยอห์น 16:33; กิจการ 23:11)

ประการที่ห้า ความกล้าเป็นมากกว่าเพียงคำพูด ; มาจากคนที่แสดงให้เห็นถึงความกล้า ไม่ใช่ดีแต่พูด คงไม่เหมาะที่จะไปพูดให้กำลังใจคนอื่นในขณะที่เข่าของคุณสั่นไปด้วย ความกลัว ความกล้ามีอิทธิพลต่อผู้อื่น ความกลัวก็เช่นกัน ซาอูลเป็นบุรุษที่แสดงบุคลิก ภาพของความกลัวมากกว่าความเชื่อ คุณสงสัยไหมว่าทำไมกองทัพของซาอูลละลาย หายไปเมื่อเหตุการณ์ "เข้าที่คับขัน"? ที่แน่ๆ ความกลัวของซาอูลแทรกซึมเข้าไปใน กองทัพ ทหารของท่านจึงเผ่นกระจายไปคนละทิศละทาง (ดู1 ซามูเอล 13:5-7; 17:11 24, 32) คนที่มีความกลัวจะไม่ไปให้กำลังใจผู้อื่น แต่คนที่มีความกล้าจะเป็นผู้ให้กำลัง ใจได้ ถ้าผู้เขียนพระธรรม 2 ซามูเอลต้องการบอกเราบางสิ่ง ก็คงต้องการบอกว่า โยนา ธานนั้นต่างจากบิดา ท่านเป็นบุรุษแห่งความกล้า (ดู 1 ซามูเอล 13:3; 14:1-14) โยนา ธานคงต้องใช้ความกล้ามากที่ออกไปเสาะหาดาวิดในป่าในขณะที่บิดาของท่านก็ออก ตามล่าดาวิดมาติดๆเช่นกัน

เมื่อผมอ่านเรื่องของบรรดา "ผู้ให้กำลังใจ" ในพระคัมภีร์ใหม่ ทุกท่านล้วนแต่เป็นผู้ที่มี ความกล้าหาญ บารนาบัสเป็นหนึ่งในผู้ให้กำลังใจที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในพระธรรมกิจการ เรา เริ่มรู้จักท่านในกิจการบทที่ 4 ท่านลูกาบันทึกไว้ว่าชายผู้นี้ขายที่ดินของตนและนำเงินที่ ได้มาวางไว้ที่เท้าของอัครทูต (4:36-37) ผมอยากจะบอกว่าบารนาบัสไม่เพียงแต่เป็น คนใจกว้างเท่านั้น แต่เป็นผู้ที่มีความกล้าด้วย ทำไมผมเองถึงไม่กล้าพอที่จะให้เงินมาก มายกับคนอื่น ? ถ้าตอบอย่างสัตย์ซื่อ ก็เป็นเพราะผมกลัวว่าถ้าให้ไปแล้ว ตัวผมและ ครอบครัวจะไม่พอกิน นี่น่าจะเป็นสาเหตุเดียวกับที่อานาเนียและสัปฟีราโกหกเรื่องเงิน ถวาย เพราะต้องการกักบางส่วนไว้ใช้ในยาม "ขัดสน" ใช่หรือไม่ ? (ดูกิจการ 5)

สิ่งที่นับเป็นความกล้าที่สุดของบารนาบัสคือเมื่อท่านไปช่วยเหลือ อ.เปาโลในกิจการ 9 คนอย่างเซาโล ที่เคยจับกุมคริสเตียนและเคยทำให้ถึงตายมาแล้ว อยู่ดีๆก็มาที่กรุง เยรูซาเล็ม ประกาศว่าตนได้กลับใจเป็นคริสเตียนแล้ว คุณคงโทษคริสเตียนในตอนนั้น ไม่ได้ที่พวกเขาระแวงสงสัยและพยายามหลบเลี่ยงเซาโล แต่บารนาบัสเป็นบุรุษที่มีทั้ง ความเชื่อและความกล้า ท่านเชื่อว่าพระเจ้าได้ช่วยกู้คนอย่างเซาโล (ธรรมิกชนส่วนมาก เชื่อเช่นนี้) ท่านยังเชื่อว่าพระเจ้าได้ประทานความรอดให้กับเซาโลแล้ว (พวกเราส่วน มากคงยอมรับยาก) บารนาบัสออกมายืนหยัดช่วยเหลือ (แสดงความกล้า) ดังนั้นท่าน ไม่เพียงแต่หนุนน้ำใจเซาโล (เปาโล) เท่านั้น สิ่งที่ท่านทำยังหนุนใจให้ทั้งคริสตจักรมี ความกล้าที่จะยอมรับอดีตศัตรูท่านนี้ไว้ในฐานะผู้ที่ถูกสร้างใหม่ในพระคริสต์ด้วย ความ กล้าจึงเป็นบ่อเกิดของการให้กำลังใจ

ผมได้พูดถึงลูกแห่งการหนุนน้ำใจที่ยิ่งใหญ่อย่างบารนาบัสมาพอสมควร ตอนนี้ผมต้อง ขอพูดถึง อ.เปาโลผู้กลายเป็นผู้ให้กำลังใจที่ยิ่งใหญ่อีกท่านหนึ่ง (ซึ่งต้องขอขอบคุณ บารนาบัสที่มีส่วน) การให้กำลังใจของเปาโลเกิดขึ้นเพราะความกล้าของท่าน ในพระ ธรรมฟิลิปปี 1:14 เปาโลเขียนถึงชาวฟิลิปปีว่าพวกเขา "มีใจกล้าขึ้นที่จะกล่าวพระวจนะ ของพระเจ้าโดยปราศจากความกลัว" เพราะเหตุการณ์ที่ตัวท่านเองทนทุกข์เพื่อข่าวประ เสริฐ (ดู 1:12-13) มาดูเหตุการณ์ท่ามกลางพายุที่ความกล้าของ อ.เปาโลทำให้เกิด ผลกระทบในทางบวก แม้แต่ผู้ที่ไม่ได้รับความรอดก็ตาม :

21 ครั้นเขาได้อดอาหารมานานแล้ว เปาโลจึงมายืนอยู่ในหมู่เขา กล่าวว่า "ดูก่อนท่านทั้งหลาย ท่านทั้งหลายควรได้ฟังข้าพเจ้า และไม่ควรออกจากเกาะครีตเลย จะได้พ้นจากอันตรายนี้และไม่ เสียสิ่งของ 22 บัดนี้ข้าพเจ้าขอเตือนท่านทั้งหลายให้ทำใจดีๆไว้ ด้วยว่าในพวกท่านจะไม่มีผู้ใดเสียชีวิต จะเสียก็แต่เรือเท่านั้น 23 เพราะว่าเมื่อคืนนี้เอง ทูตองค์หนึ่งของพระเจ้าผู้เป็นเจ้าของของ ข้าพเจ้า ซึ่งข้าพเจ้าได้ปรนนิบัติได้มายืนอยู่ใกล้ข้าพเจ้า 24 ทูต นั้นกล่าวว่า 'เปาโลเอ๋ย อย่ากลัวเลย เจ้าจะต้องเข้าเฝ้าซีซาร์ ส่วนคนทั้งปวงที่อยู่ในเรือกับเจ้านั้น ดูเถิด พระเจ้าจะทรงโปรดให้ รอดตาย เพราะอำนวยตามคำเจ้า' 25 ดูก่อน ท่านทั้งหลาย เพราะ ฉะนั้นจงทำใจดีๆไว้ เพราะข้าพเจ้าเชื่อพระเจ้าว่า การณ์จะเป็นไป เหมือนอย่างที่พระองค์ได้ทรงกล่าวแก่ข้าพเจ้านั้น 26 แต่ว่าเราจะ ต้องเกยเกาะแห่งหนึ่ง" ……33 เมื่อจวนรุ่งเช้า เปาโลจึงชวนคนทั้ง ปวงให้รับประทานอาหารและกล่าวว่า "วันนี้เป็นวันที่สิบสี่ที่ท่านทั้ง หลายต้องเฝ้าคอยอยู่ และอดอาหารมิได้รับประทานอาหารอะไร ตลอดมา 34 ฉะนั้นข้าพเจ้าขอชวนท่านทั้งหลายให้รับประทาน อาหารเสียบ้างเพื่อจะดำรงชีวิตอยู่ได้ เพราะเส้นผมของผู้หนึ่ง ผู้ใดในพวกท่านจะไม่เสียไปสักเส้นเดียว" 35 ครั้นกล่าวอย่างนั้น แล้ว ท่านจึงหยิบขนมปังขอบพระเดชพระคุณพระเจ้าต่อหน้าคนทั้ง ปวง แล้วก็หักรับประทาน 36 คนทั้งปวงก็มีกำลังใจขึ้นจึงรับประทาน อาหารด้วย 37 (เราทั้งหลายที่อยู่ในกำปั่นนั้นรวมสองร้อยเจ็ดสิบ หกคน)
(กิจการ 27:21-26, 33-37)

ทุกอย่างสรุปได้ว่า : คนที่ให้กำลังใจผู้อื่นต้องเริ่มจากการเป็นคนมีความกล้าก่อน และ ปลูกฝังความกล้าลงในผู้อื่นโดยชี้ให้เขาหันกลับไปที่องค์พระผู้เป็นเจ้า ผู้เป็นแหล่งที่ มาของกำลังอันประเสริฐ โยนาธานเป็นบุคคลเช่นนี้ เช่นเดียวกับพระคริสต์ บารนาบัส และ อ.เปาโล ท่านเหล่านี้เป็นต้นแบบที่เราควรยึดไว้และกระทำตาม

รอดอย่างหวุดหวิด
(23:19-29)

19 ฝ่ายชาวศิฟได้ขึ้นไปหาซาอูลที่กิเบอาห์ทูลว่า "ดาวิดได้ซ่อนตัว อยู่ท่ามกลางพวกข้าพระบาท ในที่กำบังเข้มแข็งที่โฮเรช บนเนินเขา ฮาคีลาห์ซึ่งอยู่ใต้เยชิโมนมิใช่หรือ 20 ข้าแต่พระราชา เพราะฉะนั้น ขอเสด็จลงไปตามพระทัยปรารถนาที่จะลงไป ฝ่ายพวกข้าพระบาท จะมอบเขาไว้ในหัตถ์ของพระราชา" 21 และซาอูลตรัสว่า "ขอพระเจ้า ทรงอำนวยพระพรแก่พวกท่าน เพราะพวกท่านปรานีเรา 22 จงไปหาดู ให้แน่นอนยิ่งขึ้น ดูให้รู้ว่าเขาอยู่ที่ไหน ใครเห็นเขาที่นั่นบ้าง เพราะมี คนบอกข้าว่า เขาฉลาดนัก 23 เพราะฉะนั้นจงไปสังเกตดูที่ซุ่มว่าเขา ซ่อนตัวอยู่ที่ไหนและกลับมา เอาเนื้อความแน่นอนมาบอกเรา แล้วเรา จะไปกับท่าน ถ้าเขาอยู่ในเขตแผ่นดิน เราจะค้นหาเขาในหมู่คนตระกูล ยูดาห์" 24 เขาทั้งหลายก็ลุกขึ้นไปยังศิฟก่อนซาอูล ฝ่ายดาวิดกับคน ของท่านอยู่ในถิ่นทุรกันดารมาโอนในอาราบาห์ใต้เยชิโมน 25 ซาอูลกับ คนของพระองค์ก็แสวงท่าน มีคนบอกดาวิด ท่านจึงลงไปยังศิลาและอยู่ใน ถิ่นทุรกันดารมาโอน เมื่อซาอูลทรงทราบดังนั้นก็ทรงติดตามดาวิดไปใน ถิ่นทุรกันดารมาโอน 26 ซาอูลเสด็จไปฟากภูเขาข้างหนึ่ง ดาวิดกับคน ของท่านอยู่ที่ภูเขาอีกฟากหนึ่ง ดาวิดก็รีบหนีจากซาอูล เพราะซาอูล กับคนของพระองค์เข้ามาใกล้ ดาวิดกับคนของท่านเพื่อจะจับ 27 แต่มี ผู้สื่อสารคนหนึ่งมาทูลซาอูลว่า "ขอรีบเสด็จกลับ เพราะพวกฟีลิสเตีย ยกกองทัพมาปล้นแผ่นดิน" 28 ซาอูลจึงเสด็จกลับจากการไล่ตามดาวิด ไปรบกับฟีลิสเตีย เขาจึงเรียกที่นั้นว่าศิลาพ้นภัย 29 ดาวิดก็ขึ้นไปจาก ที่นั่น ไปอาศัยอยู่ในที่กำบังเข้มแข็งแห่งเอนเกดี

โยนาธานกลับไปบ้าน ส่วนดาวิดยังหลบซ่อนอยู่ในที่กำบังในป่าโฮเรช(ข้อ 18-19) สถานภาพของดาวิดยังเหมือนเดิม แตเรามีเหตุผลพอที่จะคิดว่าท่าทีของท่านคงจะ เปลี่ยนไป ผู้คนในถิ่นนั้นคือชาวศิฟ คนศิฟ (ข้อ 19) เป็นคนในเผ่ายูดาห์เหมือนกับ ดาวิด แต่พวกเขากลับไปหาซาอูลที่กิเบอาห์ เสนอบอกทางให้ไปจับดาวิด พวกเขาต้อง การประจบเอาใจซาอูล ไม่ต้องการถูกลูกหลง พวกเขาจึงยินดีที่จะส่งมอบดาวิดไปให้

คำพูดที่ซาอูลใช้ในข้อ 21 นั้นน่าเศร้า ฟังดูเหมือนคนศรัทธา แต่ที่จริงแล้วคำพูดนี้เป็น เหมือนผ้าขาวที่ปิดบังความชั่วที่ท่านตั้งใจจะกระทำเอาไว้ "ขอพระเจ้าทรงอำนวย พระพรแก่พวกท่าน… ." มีคำพูดใดฟังดูเป็นเรื่องฝ่ายวิญญาณไปกว่านี้หรือ ? การ ออกพระนามพระเจ้าอย่าง "ไม่สมควร" ถือเป็นการดูหมิ่น เป็นสิ่งที่พระเจ้าสั่งห้าม – ถือเป็นการนำพระนามมาใช้อย่างไม่สมควร ในเชิงดูถูก (เฉลยธรรมบัญญัติ 5:11) ซาอูลไม่ควรใช้พระนามพระเจ้ามาอวยพรผู้ที่ให้การช่วยเหลือในการกบฎต่อพระองค์ การอวยพรผู้ที่สาปแช่งคนที่พระเจ้าเจิมไว้ไม่ใช่เรื่องจิตวิญญาณแน่ และการหักหลัง พวกเดียวกันเองก็ไม่ใช่เรื่องฝ่ายวิญญาณเช่นกัน ที่น่าประหลาดก็คือ ชาวศิฟแสดง ความสงสารซาอูล แต่บุตรของซาอูลเอง โยนาธาน กลับมีความสงสารดาวิด

ซาอูลเริ่มจะฉลาดขึ้น ท่านไม่ได้รีบร้อนรวบรวมคนเพื่อไปตามล่าดาวิดในทันที เพราะ ดูเหมือนท่านเองพึ่งล้มเหลวกลับมาได้ไม่นาน คราวนี้ท่านต้องรอบคอบกว่าเดิม เพราะ ถ้ากลับมามือเปล่าอีกคงเสียหน้า ท่านสั่งให้ชาวศีฟคอยเฝ้าดูการเคลื่อนไหวของดาวิด ให้ดี คอยรายงานถึงที่หลบซ่อนตัวและเส้นทางทีดาวิด่ใช้ และมารายงานให้ท่านทราบ แน่ชัดก่อนลงมือ ครั้งนี้ซาอูลมั่นใจว่าจะจับเหยื่อได้แน่ๆ

ข้อ 22 นี้น่าสนใจ ซาอูลบอกพวกศิฟว่า มีคนบอกว่า ดาวิดฉลาดนัก แล้วทำไมท่านไม่ พูดว่าตัวท่านเองนั่นแหละที่รู้ว่าดาวิดเป็นอย่างไร ? อาจเป็นเพราะข้อมูลเรื่องดาวิดที่ ซาอูลรู้นั้นมักเป็นข้อมูลมือสองจากบรรดาคนที่ไม่น่าไว้ใจ เช่นโดเอกคนเอโดม เราจะ มาเรียนเพิ่มเติมเรื่องนี้เมื่อมาถึงบทที่ 24 ข้อ 9 ข้อมูลมือสองเป็นเพียงคำบอกเล่าของ ผู้อื่น จึงไม่ควรรับไว้เป็นเหมือนความจริงที่สำคัญ

ชาวศิฟกลับไปยังดินแดนของตน พร้อมและเต็มใจที่จะทำตามคำสั่งของซาอูล ในขณะ นั้นดาวิดอพยพลึกเข้าไปอีกสามสี่กิโลเมตร เข้าไปในถิ่นทุรกันดารมาโอน (ข้อ 25)106 ซาอูลและคนของท่านก็ออกตามล่าดาวิดอย่างกระชั้นชิดอีก ถ้าได้ดูเหตุการณ์นี้จากเฮลิ คอปเตอร์จะเห็นว่าเป็นการล่าที่ตื่นเต้นเป็นที่สุด ! ดาวิดหนีซาอูลอย่างสุดชีวิต ขณะที่ ท่านอ้อมไปรอบภูเขา ตามมาติดๆคือซาอูลและคนของท่าน พวกเขาเริ่มรุกเข้าไปไกล้ ทุกทีๆ หรือเป็นได้ว่าพวกเขามาจากอีกด้าน ซึ่งแปลว่าการเผชิญหน้าอย่างจังกำลังจะ เกิดขึ้น หรือว่าซาอูลแบ่งกำลังให้ออกล่าทั้งสองทาง ไม่ว่าจะเป็นแบบใดก็ตาม ดาวิด และคนของท่านกำลังถูกล้อมไว้ ที่เหลือคือเวลา ก่อนที่จะตกอยู่ภายใต้เงื้อมมือของ ซาอูล เราเห็นภาพคนของซาอูลเข้าไปใกล้ทุกที มองไม่เห็นทางหลุดรอดไปได้ ทุกทางถูกปิดหมด พวกเขาเสร็จแน่ๆ

ทันใดนั้น เมื่อคนของซาอูลใกล้จนแทบจะเอื้อมมือไปจับดาวิดได้ มีเสียงตะโกนดังขึ้น มีคนมาส่งข่าวถึงซาอูล แจ้งแก่ท่านว่า พวกฟิลิสเตียกำลังยกทัพมาโจมตีอิสราเอล คง ไม่ใช่ที่เคอีลาห์ เพราะซาอูลไม่เคยสนใจเมืองนี้ หรือว่าใกล้กับเมืองกิเบอาห์ บ้านของ ซาอูล ? สถานการณ์คงจะร้ายแรง เพราะซาอูลล้มเลิกการไล่ล่าในทันที ท่านพลาด ความสำเร็จไปเพียงเสี้ยววินาที ท่านสั่งให้ทุกคนหันหลังกลับ ลงจากภูเขา เพื่อเตรียม ไปสู้กับพวกฟิลิสเตียแทน

เป็นเหตุการณ์ที่อกสั่นขวัญแขวน ตึงเครียดจนแทบขาดผึง ดาวิดและคนของท่าน เหมือนสิ้นชื่อไปแล้ว แต่พระเจ้าทรงไว้ชีวิต ที่แปลกคือขณะที่ซาอูลเป็นศัตรูของดาวิด พวกฟิลิสเตียเป็นพันธมิตรของท่านโดยไม่เจตนา การที่ฟิลิสเตียยกมาโจมตีคือวิธีการ ที่พระเจ้าใช้กู้กษัตริย์ที่พระองค์เจิมไว้ ดาวิด ให้พ้นจากเงื้อมมือของกษัตริย์ซาอูล

บทสรุป

ใครจะไปเชื่อเล่า ? ใครจะไปคิดว่าซาอูลเกือบจะฆ่าดาวิดได้อยู่แล้ว แต่ก็หันหลังกลับ ไปในนาที่สุดท้าย ? ใครจะไปคิดว่าการโจมตีที่มาจากปฏิปักษ์ของอิสราเอล จะเป็น วิธีการที่พระเจ้าใช้ในการรักษากษัตริย์ของพระองค์ ? ทุกคนที่มีความเชื่อในพระเจ้า เชื่อว่าเป็นไปได้ ที่จริงแล้ว น่าจะเป็นสิ่งที่คาดได้ วิธีการของพระเจ้าไม่มีขีดจำกัด พระองค์ไม่จำเป็นต้องช่วยกู้คนของพระองค์ในแบบเก่าๆดั้งเดิม หรือใช้อัศจรรย์เดิม ซ้ำแล้วซ้ำอีก พระเจ้าเข้ามากู้เมื่อความหวังของมนุษย์สูญสิ้น ในหนทางที่เรานึกไม่ ออก คาดไม่ถึง เพราะพระองค์เป็นพระเจ้า พระองค์ไม่ได้ถูกจำกัดด้วยวิธีการ และวิถี ของพระองค์ล้ำลึกเกินกว่าที่เราจะจินตนาการได้

พระเจ้าไม่เพียงช่วยกู้ดาวิดด้วยวิธีที่ไม่ธรรมดา พระองค์ยังหนุนน้ำใจท่านด้วยวิธีที่ พิเศษ พระเจ้าทรงให้กำลังใจดาวิดด้วยการมาเยี่ยมของโยนาธาน ในที่ๆห่างใกลยาก จะไปถึงได้ ไม่ใช่เป็นที่ๆโยนาธานบังเอิญผ่านไป แต่เป็นที่ๆดาวิดคิดว่าไม่มีใครจะหา พบ แต่ก็มีคนไปพบ และคนที่พระเจ้าเลือกไปหนุนน้ำใจดาวิดผู้ซึ่งกำลังถูกซาอูลตาม ล่าอย่างกระชั้นชิดนั้น ไม่ใช่ใครที่ไหน คือบุตรของซาอูลเอง โยนาธาน

เราคงต้องจบบทเรียนนี้ด้วยพระวจนะคำที่พูดได้ดีกว่าคำอธิบายใดๆ :

6 "จงแสวงหาพระเจ้า เมื่อจะพบพระองค์ได้ จงทูลพระองค์ ขณะพระองค์ทรงอยู่ใกล้ 7 ให้คนอธรรมละทิ้งทางของเขา และคนไม่ชอบธรรมสละความคิดของเขา ให้เขากลับยังพระ เจ้า เพื่อพระองค์จะทรงกรุณาเขา และยังพระเจ้าของเรา เพราะพระองค์จะทรงอภัยอย่างล้นเหลือ 8 เพราะความคิด ของเราไม่เป็นความคิดของเจ้า ทั้งทางของเจ้าไม่เป็นวิถีของ เรา" พระเจ้าตรัสดังนี้ 9 "เพราะฟ้าสวรรค์สูงกว่าแผ่นดินโลก ฉันใด วิถีของเราสูงกว่าทางของเจ้า และความคิดของเราก็สูง กว่าความคิดของเจ้าฉันนั้น" 10 "เพราะฝนและหิมะลงมาจาก ฟ้าสวรรค์ และไม่กลับที่นั่นเว้นแต่รดแผ่นดินโลก กระทำให้มัน บังเกิดผลและแตกหน่อ อำนวยเมล็ดแก่ผู้หว่านและอาหาร แก่ผู้กิน 11 คำของเราซึ่งออกไปจากปากของเรา จะไม่กลับ มาสู่เราเปล่า แต่จะสัมฤทธิ์ผลซึ่งเรามุ่งหมายไว้ และให้สิ่ง ซึ่งเราใช้ไปทำนั้นจำเริญขึ้นฉันนั้น
(อิสยาห์ 55:6-11)

33 โอ พระปัญญาและความรอบรู้ของพระเจ้านั้น ล้ำลึก เท่าใด ข้อตัดสินของพระองค์นั้นเหลือที่จะหยั่งรู้ได้ และ ทางของพระองค์ก็เหลือที่จะสืบเสาะได้ 34 เพราะว่า ใครเล่ารู้พระทัยของพระเจ้า หรือใครเล่าเป็นที่ปรึกษา ของพระองค์ 35 หรือใครเล่าได้ถวายสิ่งหนึ่งสิ่งใดแก่พระ องค์ ที่พระองค์จะต้องประทานตอบแทนให้แก่เขา 36 เพราะสิ่งสารพัดมาจากพระองค์ โดยพระองค์ และเพื่อพระ องค์ ขอพระสิริจงมีแด่พระองค์สืบๆไปเป็นนิตย์ อาเมน
(โรม 11:33-36)


101 เนื่องด้วยบิดามารดาท่านชรามากแล้ว จึงไม่น่าเป็นเวลาอื่นไปได้ (ดู 1 ซามูเอล 17:12)

102 นักวิชาการเองก็ไม่แน่ใจว่าตำแหน่งที่ตั้งของ "โฮเรช" นี้เป็นสถานที่แบบใดและตั้งอยู่ที่ ใดกันแน่ คำว่า "โฮเรช" ในภาษาฮีบรู ที่แปลอยู่ในฉบับ NASB มีความหมายถึง "ป่า" ดังนั้น ฉบับ NKJV จึงนำคำว่า "ป่า" มาใช้ "และดาวิดเห็นว่าซาอูลได้ทรงออกมาแสวงชีวิตของเธอ ดาวิดอยู่ในป่าศิฟที่โฮเรช"

103 อาจเป็นเวลาที่ดาวิดต้องการป้องกันตนเองให้พ้นจากซาอูล และเมื่อดาวิดได้ขึ้นเป็นกษัตริย์ แล้ว มักเป็นธรรมเนียมว่าจะต้องกำจัดทุกคนที่ท่านคิดว่าอาจจะเป็นเสี้ยนหนามต่อราชบัลลังก์

104 บ่อยครั้งที่คนส่วนมากพยายาม "ให้กำลังใจ" คนที่ทำงานได้ไม่ดีว่าพวกเขาทำได้ดีแล้ว ถ้ามีคนขอขึ้นมาร้องเพลงเดี่ยว ทั้งๆที่ร้องยังไม่ตรงคีย์ คงไม่เป็นการดีที่จะให้ขึ้นไปร้อง แล้ว ทำให้ผู้ฟังต้องพูดให้กำลังใจในความพยายาม หนึ่งในคำโกหกคำโตที่สุดมักเกิดจากสถาน การณ์ ที่ใครบางคนกำลังอับอายในความล้มเหลว

105

105 ดูจาก 2 พงศาวดาร 15:1-8; 32:1-8; ฮักกัย 2:1-5 ด้วย

106 จากนั้นไม่มีการเอ่ยถึงชาวศิฟอีกจนถึงบทที่ 26 ที่พูดถึงในข้อ 1

Related Topics: Introductions, Arguments, Outlines

บทที่ 23: เรียนคุุณศิราณี (1 ซามูเอล 25:1-44)

คำนำ

ถึงแม้จะเกิดขึ้นไม่บ่อยนัก เวลาที่ผมว่าผมกำลังทำในสิ่งที่ถูกต้อง แต่แล้วที่แย่ที่สุดคือ หลังจากนั้นไม่นานผมกลับทำสิ่งที่โง่เขลาและเป็นบาปแทน สิ่งเดียวที่ให้กำลังใจผมคือ (ไม่ใช่ข้อแก้ตัวนะครับ) ผมพบว่ามีหลายๆคนที่เคยอยู่ในสภาพจิตวิญญาณแบบเดียว กันมาก่อน ผมคิดถึง อ.เปโตรเป็นคนแรก (ใครจะไม่คิดเล่าครับ?) ท่านเป็นสาวกคนแรก ที่โพล่งตอบพระเยซูก่อนเพื่อนเมื่อพระองค์ถามว่า "แล้วพวกท่านเล่า ว่าเราเป็นใคร? " (มัทธิว 16:13-20) หลังจากที่พระองค์ชมเชยเปโตรได้ไม่นาน สองสามนาทีหลังจากนั้น พระองค์ทรงดุเปโตรว่า "อ้ายซาตานจงไปให้พ้น!" (ข้อ 23) เพราะ เขาพยายามพูด ขัดขวางไม่ให้พระองค์ไปสิ้นพระชนม์ที่บนกางเขน ต่อมาเปโตรรับรองกับพระเยซูอีกว่า ถึงแม้คนอื่นๆจะปฏิเสธ เขาจะยังจะซื่อสัตย์และติดตามพระองค์ไป (ลูกา 22:31-34) ห่าง กันเพียงแค่สองสามข้อและสองสามชั่วโมงต่อมา เปโตรก็ปฏิเสธพระองค์ ไม่ใช่แค่ครั้ง เดียว แต่ถึงสามครั้งทีเดียว (ลูกา 22:54-62).

ในพระคัมภีร์เดิม เราจะเห็นความเชื่อและการเชื่อฟังที่โลเลเอาแน่ไม่ได้ แม้กระทั่งจาก คนที่ได้รับการยกย่องเป็นอันมาก (หรือแม้ในสมัยนี้) อย่างดาวิด ใน1 ซามูเอลบทที่ 24 เราเห็นจุดสูงสุดในความเชื่อของดาวิด กษัตริย์ซาอูลแวะมาใช้ถ้ำเป็นห้องสำราญส่วน ตัว โดยหารู้ไม่ว่าชีวิตของท่านตกอยู่ในเงื้อมมือของดาวิดและลูกน้องที่หลบซ่อนอยู่ลึก เข้าไปในถ้ำ ดาวิดปฏิเสธที่จะยกมือของท่านขึ้นต่อสู้กับซาอูล และห้ามปรามคนของ ท่านไม่ให้กระทำด้วย ท่านเองยังเสียใจที่แอบไปตัดชายเสื้อคลุมของซาอูลไว้ ในที่สุด ท่านยอมเสี่ยงชีวิตโดยการแสดงตัวต่อซาอูลเพื่อจะบอกว่าท่านเป็นผู้รับใช้ของกษัตริย์ ที่สัตย์ซื่อเพียงใด ท่านไม่เคยคิดชั่วร้ายถึงแม้โอกาสจะอำนวยให้ก็ตาม

แต่พอบทต่อมา ดาวิดกลับบันดาลโทสะเพราะถูกคนโง่บางคนพูดจาดูหมิ่น ดาวิดไม่ เพียงแต่คิดจะฆ่าคนโง่คนนี้เท่านั้น แต่คิดจะฆ่าผู้ชายในบ้านหลังนั้นให้หมดทุกคน เป็นเพราะมีสตรีนางหนึ่งที่มีสติปัญญา เธอกล้าเสี่ยงชีวิตโดยการทำบางสิ่งที่ช่วยชีวิต สามีไว้ และช่วยไม่ให้ดาวิดกระทำการโง่เขลาเป็นการตอบโต้ ผมเชื่อว่าผู้เขียนพระ ธรรม 1 ซามูเอลไม่เพียงแต่มองว่านางอาบิกายิล ภรรยาของนาบาล เป็นเพียงสตรีที่ มีรูบโฉมและฉลาดเท่านั้น แต่เป็นแบบอย่างแห่งการยอมจำนนในวิถีของพระเจ้า การ ยอมจำนนของนางไม่ใช่เป็นแบบธรรมดา เราจึงต้องใส่ใจในเนื้อหาของบทเรียนนี้เป็น พิเศษ

ดาวิดสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่
(25:1)

1 ฝ่ายซามูเอลก็สิ้นชีวิตและคนอิสราเอลทั้งปวงก็ ประชุมกันไว้ทุกข์ให้ท่าน และเขาทั้งหลายก็ฝังศพ ท่าน ไว้ในบ้านของท่านที่รามาห์ และดาวิดก็ลุก ขึ้นไปยังถิ่นทุรกันดารปาราน 119

ซามูเอลเป็นบุคคลที่สำคัญค่อนข้างมากในพระธรรม 1 ซามูเอล จึงมีการใช้ชื่อของท่าน มาเป็นหนังสือพระธรรมเล่มนี้ ท่านเป็นผู้ทำการเลือกและเจิมตั้งซาอูลให้ขึ้นเป็นกษัตริย์ องค์แรกของอิสราเอล (บทที่ 9 และ 10) ท่านเองเป็นผู้เผยพระวจนะแก่ซาอูลว่าจะถูก ปลดออกจากการเป็นกษัตริย์ (บทที่ 13 และ 15) และท่านเองเป็นผู้เผยพระวจนะที่เจิม ตั้งดาวิดขึ้นมาแทนที่ซาอูล (บทที่ 16) ซามูเอลเป็นบุคคลที่ดาวิดหนีไปพึ่งเมื่อครั้งที่ ถูกซาอูลตามไล่ล่า (19:18-24) และเมื่อซามูเอลสิ้นชีวิตลง ดาวิดรู้สึกถึงความสูญเสีย ครั้งยิ่งใหญ่ ซามูเอลสิ้นชีวิตไปแล้ว เพื่อนรักโยนาธานก็กล่าวลาไป และคงไม่มีโอกาส ได้เจอกันอีก (บทที่ 23) มีคาลภรรยาของท่านผู้เป็นลูกสาวของซาอูล ก็ถูกยกให้เป็น ภรรยาผู้อื่น (25:44) นอกไปจากนี้ บิดามารดาของท่านก็ตกอยู่ในความดูและของ กษัตริย์โมอับ (22:3) ถึงแม้ดาวิดจะมีคนติดตามท่านอยู่ถึง 600 คนก็ตาม แต่ไม่มีสัก คนที่เข้าใจท่านเมื่อท่านต้องยอมกับกษัตริย์ซาอูล ท่านคงรู้สึกโดดเดี่ยวยิ่งนัก

ดาวิดและคนอิสราเอลอีกมากมายได้ไปที่รามาห์บ้านเกิดของซามูเอล เพื่อไปไว้อาลัย ให้กับผู้รับใช้ที่ยิ่งใหญ่ของพระเจ้า เมื่อการไว้อาลัยสิ้นสุดลง ดาวิดก็กลับเข้าสู่ที่กำบัง เข้มแข็งในถิ่นทุรกันดารปารานอีกครั้ง ถิ่นทุรกันดารปารานนั้นเคยเป็นที่ที่นางฮาการ์ และลูกชายอิชมาเอลไปอาศัยอยู่หลังจากถูกอับราฮัมและนางซาราห์ขับไล่ (ปฐมกาล 21:21) ที่นี่ยังเป็นสถานที่ที่ชาวอิสราเอลมาตั้งค่ายอยู่หลังจากอพยพออกจากภูเขา ซีนาย และยังเป็นที่ซึ่งมีการส่งสายสืบ 12 คนเข้าไปเพื่อสอดแนมดูแผ่นดินคานาอัน (กันดารวิถี 10:12; 13:3) และตอนนี้เป็นสถานที่ซึ่งดาวิดใช้หลบซ่อนตัว

เวลาตัดขนแกะและเวลาแห่งการแบ่งปัน
(25:2-8)

2 มีชายคนหนึ่งในมาโอนมีการงานอยู่ในคารเมล ชายผู้นั้นมั่งมีมาก มีแกะสามพันและแพะหนึ่งพัน เขาตัดขนแกะของเขาอยู่ที่คารเมล 3 ชายคนนั้นชื่อนาบาล และภรรยาของท่านชื่ออาบีกายิล สตรีคน นั้นมีความรอบคอบและหน้าตาสวยงามด้วย แต่ชายคนนั้นเป็นคน สามานย์และประพฤติตัวเลวทราม เป็นวงศ์วานของคาเลบ 4 ดาวิด อยู่ในถิ่นทุรกันดาร ทราบว่านาบาลกำลังตัดขนแกะของเขาอยู่ 5 ดาวิดจึงใช้ชายหนุ่มสิบคน และดาวิดสั่งชายหนุ่มเหล่านั้นว่า "จงขึ้น ไปที่คารเมลไปหานาบาล และคำนับเขาในนามของเรา 6 ท่านทั้ง หลายจงกล่าวคำคำนับเขาเช่นนี้ว่า 'สวัสดิภาพจงมีแก่ท่าน สวัสดิภาพ จงมีแก่ครอบครัวของท่าน และสวัสดิภาพจงมีแก่บรรดาสิ่งที่ท่านมี 7 ข้าพเจ้าได้ยินว่าท่านมีคนตัดขนแกะ ฝ่ายผู้เลี้ยงแกะของท่านนั้นอยู่กับเรา เรามิได้กระทำอันตรายเขาเลย และเขาก็มิได้ขาดอะไรไปตลอดเวลาที่ เขาอยู่ในคารเมล 8 ขอถามคนหนุ่มของท่านดูเถิด เขาทั้งหลายคงจะ บอกแก่ท่าน เพราะฉะนั้นขอให้คนหนุ่มของ ข้าพเจ้าได้รับความกรุณา ในสายตาของท่าน เพราะเรามาในวันมีการเลี้ยง ขอท่านได้ให้สิ่งที่มี ติดมือของท่านแก่พวกผู้รับใช้ของท่านและแก่ดาวิดบุตรของท่าน'"

มีการแนะนำคนสำคัญให้เรารู้จักเพิ่มในตอนนี้ถึงสองคนด้วยกัน คือผู้ชายชื่อนาบาล และภรรยาชื่ออาบิกายิล นาบาลมีฐานะมั่งคั่ง (ตามมาตรฐานในสมัยโน้น) เขาตั้งบ้าน เรือนอยู่ที่เมืองมาโอน และมีฝูงปศุสัตว์อยู่ที่เมืองคารเมลซึ่งอยู่ห่างออกไปสี่ห้ากิโล เมตร และที่ใกล้กับคารเมลนี้เองที่ดาวิดและคนของท่านหลบซ่อนตัวอยู่ คำว่านาบาล แปลว่าโง่ และเขาก็โง่จริงๆด้วย มีการบันทึกไว้ว่าเขาเป็นคนสามานย์และประพฤติชั่วช้า เลวทราม (ข้อ 3) แต่ภรรยานั้นตรงข้ามโดยสิ้นเชิง นางอาบิกายิลนั้นมีทั้งความสวย และความฉลาดที่สอดคล้องกันอย่างลงตัว

ดาวิดรู้มาว่านาบาลกำลังตัดขนแกะ และเมื่อการตัดขนสิ้นสุดลงจะมีงานเลี้ยงฉลอง ให้กับคนงานและผู้คนที่อยู่ในละแวกนั้น จำได้ไหมว่าในช่วงงานฉลองนี้เองที่ยูดาห์ ขึ้นไปที่ทิมนาท และทำให้ลูกสะใภ้ของตน ทามาร์ตั้งครรภ์ (ปฐมกาล 38:12-26) และ ในช่วงงานฉลองนี้เองที่อับซาโลมชักจูงดาวิดให้ส่งบรรดาโอรสไปร่วมฉลองที่บ้านของ เขา และหาโอกาสฆ่าอัมโนนเสียเพื่อแก้แค้น (2 ซามูเอล 13:23-29) เรารู้ดีว่าตาม ธรรมบัญญัติของโมเสสมีการสั่งให้คนอิสราเอลอย่าละเลยที่จะเลี้ยงดูคนที่ด้อยโอกาส ขัดสน (ดูเฉลยธรรมบัญญัติ 14:28-29; 26:10-13; เนหะมีย์ 8:10-12) ดังนั้นการที่ ดาวิดส่งคนไปขออาหารจากนาบาลจึงเป็นเรื่องที่ปกติธรรมดา และเนื่องด้วยดาวิดและ คนของท่านมีส่วนช่วยให้นาบาลมั่งคั่งและกินดีอยู่ดีนั้น การมาขอความกรุณาจึงดูสม เหตุสมผล

ดาิวิดส่งคนหนุ่มสิบคนให้ไปหานาบาล ทักทายและอำนวยพรทั้งเขาและครอบครัว ในนามของดาวิด พวกเขาขอร้องให้นาบาลนึกถึงเวลาของการตัดขนแกะ และพวกเขา ไม่เคยสร้างความเดือดร้อนอันใดให้ แต่กลับคอยดูแลอย่างดี คนของดาวิดไม่เคยทำ อันตรายใดๆกับคนงานของนาบาล และที่จริงกลับคอยช่วยเป็นหูเป็นตาระวังภัยให้กับ ฝูงสัตว์ของนาบาลด้วย ยังไงก็ลองสอบถามกับพวกคนงานดู ดังนั้นพวกเขาจึงมาขอ ความกรุณาจากนาบาลในเรื่องอาหารและข้าวของ และคอยคำตอบด้วยความคาดหวัง

นาบาลตอบแทนการดีด้วยการร้าย
(25:9-13)

9 เมื่อพวกคนหนุ่มของดาวิด มาถึงก็กล่าวคำเหล่านั้นแก่นาบาล ในนามของดาวิด และเขาทั้งหลายก็คอยอยู่ 10 และนาบาลตอบ คนรับใช้ของดาวิดว่า "ดาวิดคือผู้ใด บุตรของเจสซีคือผู้ใด สมัยนี้ มีคนใช้เป็นอันมากที่หนีไปจากนายของตน 11 ควรหรือที่ข้าจะนำ ขนมปังของข้า และน้ำของข้า และเนื้อของข้า ซึ่งข้าได้ฆ่าเสีย สำหรับคนตัดขน แกะของข้ามอบให้แก่คนซึ่งมาจากที่ไหนข้าก็ไม่รู้" 12 พวกคนหนุ่มของดาวิดก็หันกลับ และมาบอกเรื่องราวทั้งสิ้นนี้แก่ ดาวิด 13 และดาวิดสั่งคนของท่านว่า "ทุกคนจงเอาดาบคาดเอวไว้" และทุกคนก็เอาดาบคาดเอวของตน และดาวิดก็เอาดาบคาดเอวด้วย และมีคนติดตามดาวิดไปประมาณสี่ร้อยคน ส่วนอีกสองร้อยคนอยู่เฝ้า กองสัมภาระ

ในขณะที่คนของดาวิดรอคอยคำตอบหรือที่จริงรอของรางวัลจากนาบาลนั้น นาบาลมี ตัวเลือกหลายทาง (1) เขาอาจส่งคนเหล่านี้กลับไปพร้อมด้วยคำขอบคุณและของตอบ แทนมากมาย (2) เขาอาจส่งคนของดาวิดกลับไปพร้อมกับของฝากเล็กๆน้อยๆเพื่อ รักษาน้ำใจ (3) เขาอาจส่งคนของดาวิดกลับไปพร้อมด้วยคำขอโทษ (หรือคำขอบคุณ) แต่ไม่มีสิ่งใดตอบแทนให้ (4) เขาอาจส่งคนของดาวิดกลับไปโดยไม่ให้อะไร แถมพูด จาเยาะเย้ยถากถางตามไปด้วย และคนอย่างนาบาลก็เลือกตัวเลือกสุดท้าย

ถ้าฟังอย่างเผินๆจากคำพูดของนาบาลดูเหมือนเขาไม่รู้จักดาวิด ถ้าเป็นจริง นาบาลก็คง ไม่อยากให้ของกับคนแปลกหน้า แต่นาบาลรู้ว่าดาวิดเป็นใคร เพราะเขาพูดออกมาเอง ว่า "บุตรของเจสซี" ดังนั้นเขาจึงรู้ว่าดาวิดเป็นลูกหลานอยู่ของยูดาห์เช่นเดียวกับตน เอง นาบาลเป็นวงศ์วานของ "คาเลบ" (ข้อ 3) และเรารู้ว่าคาเลบเป็นผู้ที่มาจากเผ่า ยูดาห์ เป็นหนึ่งในสายสืบที่ถูกส่งไปสอดแนมในคานาอัน (กันดารวิถี 13:6) ที่จริงก็คือ ดาวิดเป็นญาติห่างๆของนาบาลนั่นเอง แต่นาบาลกลับเอาหูทวนลมเมื่อดาวิดส่งคนมา ขอของตอบแทนในช่วงงานฉลอง

นาบาลรู้ดีกว่านั้น เพราะว่าเขาไม่ได้รู้แต่เพียงว่าดาวิดเป็น "บุตรเจสซี" แต่กลับรู้ดีถึง ข้อพิพาทระหว่างซาอูลและดาวิด นาบาลพูดในทำนองว่าดาวิดนั้นเป็น "คนใช้ของ ซาอูล" ผู้ซึ่ง "หนีมาจากเจ้านายของตนเอง" นางอาบิกายิล ภรรยาของนาบาล รู้ดีว่าดาวิดได้รับการเลือกให้ขึ้นมาครองแทนซาอูล (ข้อ 30-31) แต่นาบาลกลับพูด แต่เพียงว่าดาวิดเป็นคนใช้ที่หนีมาจากเจ้านายของตนเอง คล้ายกับพวกทาสที่แอบ หลบหนี ผมไม่คิดว่านาบาลปฏิเสธคำขอของดาวิดเพราะกลัวอิทธิพลของซาอูลจาก เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับอาหิเมเลขและพวกปุโรหิต เมื่อพวกเขาให้ขนมปังและดาบของ โกลิอัทให้ไปกับดาวิด เพราะคำพูดของเขาไม่ได้บอกว่ากลัวอิทธิพลเลย แต่เป็นเพราะ ความเห็นแก่ตัวและใจดำมากกว่า เขาจะไม่มีวันแบ่งข้าวของที่เป็นของเขาให้กับดาวิด และพรรคพวกเป็นอันขาด (สังเกตุดูมีการใช้คำว่า "ของข้า" ในข้อ 11)

คำพูดประโยคสุดท้ายที่นาบาลพูดนั้นน่าสนใจ เขาบอกกับคนของดาวิดว่า "ควรหรือที่ข้าจะ นำขนมปังของข้า และน้ำของข้า และเนื้อของข้า ซึ่งข้าได้ฆ่าเสียสำหรับคนตัดขนแกะของข้า มอบให้แก่คนซึ่งมาจากที่ไหนข้าก็ไม่รู้ " (ข้อ 11) ถ้าผมเข้าใจคำพูดของนาบาลอย่างถูกต้อง เขากำลังแสดงอาการโอ้อวดและหยิ่งยโส นาบาลเป็น "ชาวคาเลบ" มาจากครอบครัวที่มีชื่อ เสียง ส่วนดาวิดและคนของท่านมาจากที่ใดไม่รู้หัวนอนปลายเท้า แล้วทำไมคนมีระดับอย่าง นาบาลถึงต้องไปใส่ใจกับพวกกระจอกด้วย ? ที่น่าขันคือ ทั้งดาวิดและนาบาลมาจากรากเดียว กัน คือยูดาห์ และถ้านาบาลคิดว่าเขาสามารถอวดได้ว่าเขาสืบสายโลหิตเดียวกันกับคาเลบ เขาก็ควรออกมาจากกะลาได้แล้ว เพราะเขาไม่มีอะไรดีเท่ากับบรรพบุรุษคาเลบของเขาเลย แต่ดาวิดต่างหาก ที่เป็นเหมือนกับวีรบุรุษในแบบคาเลบ

คนของดาวิดกลับไปมือเปล่า และนำคำพูดของนาบาลไปถ่ายทอดให้ดาวิดฟัง ดาวิด โกรธจน "ควบคุมตนเองไม่อยู่" "ทุกคนจงเอาดาบคาดเอวไว้ !" ดาวิดตะโกนสั่งลูก น้องพร้อมทั้งเอาดาบคาดเอวตนเองและมุ่งไปเพื่อหวังจะให้นาบาลจ่ายให้สาสม - คือ จ่ายด้วยชีวิต ทั้งชีวิตของนาบาลและผู้ชายครัวเรือนทั้งสิ้น 120 http://www.bible.org/docs/ot/books/1sa/deffin/ ถ้าเป็นศัพท์สมัยใหม่ คงต้องพูดว่า ดาวิดทะลุ "จุดเดือด" ในข้อ 21 และ 22 ดาวิดยังพลุ่งพล่านอยู่โดยดูได้ จากคำพูดของท่าน :

21 ดาวิดกล่าวไว้แล้วว่า "ข้าได้เฝ้าทุกสิ่งที่คนนี้มีอยู่ใน ถิ่นทุรกันดารเสียเปล่า ไม่มีสิ่งใดของเขาขาดไปเลย และ เขายังกระทำความชั่วต่อข้าตอบแทนความดี 22 ถ้าถึง พรุ่งนี้เช้าข้ายังปล่อยให้ชายสักคนหนึ่งในบรรดาที่เขามี อยู่นั้นเหลืออยู่ ก็ขอพระเจ้าทรงลงโทษดาวิด และยิ่ง หนักกว่า"

ดาวิดโกรธเพราะการกระทำของท่านไม่ได้ตามที่คาดไว้ ท่านไม่ได้มองดูเรื่องนี้อย่าง "เจาะลึก" ลงไป จากมุมมองของท่าน ท่านคิดว่าท่านทำดีที่สุดแล้วกับนาบาล และถึง เวลาที่นาบาลควรตอบแทนด้วยความดีเช่นกัน แต่แทนที่จะอำนวยพรตอบแทนต่อ ดาวิดและคนของท่าน นาบาลกลับพูดจาเยาะเย้ยดูถูกและส่งกลับไปมือเปล่า ดาวิดจึง สรุปว่าการดีที่ท่านทำให้นั้นไร้ความหมาย และถ้านาบาลตอบแทนการดีด้วยความชั่ว จึงสมควรแล้วที่ท่านจะจัดการแบบตาต่อตาฟันต่อฟัน

เราควรจะหยุดชั่วครู่เพื่อนำทัศนคติและการกระทำของดาวิดมาทบทวนกันดู ผมขอรวบ รวมเหตุผลของดาวิดดังนี้

  • ดาวิดกระทำการดีต่อนาบาลและครัวเรือนทั้งสิ้นของเขา
  • ดาวิดคาดหวังว่านาบาลจะตอบแทนด้วยใจกว้างขวาง แต่ท่านกลับไม่ได้รับสิ่ง ใด นอกจากคำพูดเยาะเย้ยถากถาง
  • ดาวิดจึงรู้สึกเป็นการยุติธรรมที่จะจัดการฆ่านาบาลและผู้ชายทุกคนในครัวเรือน นี้เสีย

หลายคนคิดและให้เหตุผลแบบเดียวกันกับดาวิด แต่ผมขอบอกว่าดาวิดทำผิด ผิดมาก เสียด้วย ท่านผิดที่คิดว่าถ้าทำสิ่งดีแล้วสมควรจะได้รับการตอบแทนด้วยความเมตตา กรุณา ดาวิดทำการดีต่อซาอูล ; ท่านปรนนิบัติซาอูลด้วยความสัตย์ซื่อ ไม่เคยคิดทำร้าย ถึงแม้โอกาสจะอำนวย แต่ซาอูลกลับตอบแทนด้วยการชั่ว ไม่ใช่ด้วยการดีตามที่ท่าน สารภาพต่อดาวิด :

18 "เจ้าชอบธรรมยิ่งกว่าข้า เพราะเจ้าตอบแทนข้าด้วยความดี ในเมื่อข้าได้ตอบแทนเจ้าด้วยความร้าย 18 เจ้าได้ประกาศใน วันนี้แล้วว่า เจ้าได้กระทำความดีต่อข้าอย่างไร ในการที่เจ้า มิได้ประหารข้าเสีย ในเมื่อพระเจ้าทรงมอบข้าไว้ในมือของเจ้า แล้ว"
(1 ซามูเอล 24:17ข-18)

ดาวิดยอมรับต่อการกระทำที่ร้ายกาจของซาอูล แต่รับไม่ได้กับคำพูดถากถางของ นาบาล ทำไม ? ผมว่าผมพอมีคำตอบ แรกเลย ซาอูลนั้นอยู่ในฐานะที่สูงกว่าในเรื่อง ของอำนาจ ดาวิดเป็นเพียงผู้รับใช้ของซาอูล ท่านยอมรับการกระทำอันไร้ยุติธรรมของ ผู้ที่มีอำนาจเหนือกว่าได้ สอง ดาวิดรู้ดีว่าจะได้ขึ้นครองแทนที่ซาอูล ดาวิดทนต่อการ กระทำของซาอูลได้เพราะท่านรู้ดีว่าอีกไม่นานท่านจะได้ไปนั่งครองแทนที่

นาบาลไม่ได้มีอำนาจเหนือกว่าดาวิด และท่านไม่ชอบการกระทำของนาบาลด้วย นอกจากนั้นแล้ว ดาวิดไม่ได้กำลังดำเนินในความเชื่อเมื่อท่านคิดจะไปฆ่านาบาลและ ครัวเรือนของเขา ดาวิดต้องการ "โต้กลับ" ทันทีในสิ่งที่ท่านได้ "ลงแรงไป" ในการ ช่วยดูแลฝูงสัตว์ของนาบาล ท่านคาดหวังจะได้รับสิ่งตอบแทนจากนาบาล ตอนนี้ท่าน ลืมเรื่องบำเหน็จในสวรรค์เสียสนิท

พวกเรากี่คนกันที่ทำงานรับใช้ผู้อื่นโดยมีไม้บันทัดอยู่ในมือ ? เราพร้อมที่จะรักและรับใช้ ผู้อื่นด้วยความเสียสละ และด้วยความคาดหวังบางประการ เราคาดว่าความรัก การเสีย สละที่เราปรนนิบัติต่อผู้อื่นนั้นเราต้องได้รับอย่างเดียวกันกลับคืนมา แต่เมื่อเราทำการดี แล้วแต่กลับได้รับการชั่วตอบแทน เหมือนดาวิด เราเริ่มควันออกหูและมองหาหนทาง ที่จะเอาคืน เราลืมไปว่า เช่นเดียวกับพระเยซูคริสต์ คำพูดและการกระทำของเราอาจนำ มาซึ่งการถูกข่มเหงและทนทุกข์ มากกว่าจะได้รับการยอมรับและเห็นคุณค่า บำเหน็จใน สวรรค์ของเรานั้นยิ่งใหญ่ แต่อาจไม่มีผลดีใดๆตอบแทนบนโลกนี้ ให้เราระมัดระวังใน การทำหน้าของเราเหมือนทำถวายองค์พระผู้เป็นเจ้า มองดูที่พระองค์เป็นรางวัลตอบ แทน และไม่ใชไปคาดหวังเอากับคนที่เราทำดีด้วย ดาวิดคงเรียนรู้ว่าปัญหาของการทำ ตนเป็นผู้รับใช้คือทุกคนจะปฏิบัติต่อคุณเหมือนผู้รับใช้ การรับใช้เพื่อหวังจะได้เลื่อนตำ แหน่งนั้นเป็นเรื่องหนึ่ง ; แต่การรับใช้เพื่อจะถูกลดฐานะลงมานั้นแตกต่างโดยสิ้นเชิง

(ร้อง) เรียนคุณอาบิกายิล
(25:14-17)

14 แต่มีคนหนุ่มคนหนึ่งไปบอกนางอาบีกายิล ภรรยาของนาบาลว่า "ดูเถิด ดาวิดส่งผู้สื่อสารมาจากถิ่นทุรกันดาร เพื่อจะคำนับนายของ เราและนายกลับดุว่าคนเหล่านั้น 15 แต่คนเหล่านั้นเคยดีต่อเรามาก และเราไม่ต้องถูกทำร้ายอย่างใดเลย และไม่ขาดสิ่งไรตราบใดที่เรา ไปกับเขาเมื่อเราอยู่ในทุ่งนา 16 เขาเป็นเหมือนกำแพงของเราทั้ง กลางคืนและกลางวัน ตลอดเวลาที่เราเลี้ยงแกะอยู่กับเขา 17 บัดนี้ ขอท่านทราบเรื่องนี้และพิจารณา ว่าท่านควรจะกระทำประการใด เพราะเขาคงมุ่งร้ายต่อนายของเรา และต่อครัวเรือนทั้งสิ้นของนาย นายนั้นเป็นคนสามหาว ใครจะพูดด้วยก็ไม่ได้"

คนงานหนุ่มคนหนึ่งของนาบาลสังเกตุดูเหตุการณ์ระหว่างนาบาลและคนของดาวิด เขารู้ดีว่าดาวิดและพรรคพวกได้สร้างประโยชน์ให้กับนาบาลมากมาย และนาบาล ปรนนิบัติตอบอย่างไร เขารู้ด้วยว่าดาวิดกำลังมาแก้แค้น ถ้าไม่รีบแก้ใขโดยด่วน จะมีปัญหาใหญ่เกิดขึ้นแน่นอน หนุ่มคนนี้รู้ว่านาบาลเป็นคนโง่ที่ไม่ยอมฟังเหตุผล จึง ไม่มีประโยชน์ที่จะไปพูดกับนาบาล เขาจึงมาร้องเรียนกับนางอาบิกายิลแทนเพื่อให้ช่วย เหลือ ดูเหมือนว่าผู้รับใช้คนนี้จะเห็นศักยภาพและความเที่ยงตรงในตัวของนางอาบิ กายิลที่พอจะพึ่งพิงได้ เขาไม่ได้ให้คำแนะนำใดต่อนาง เพียงแต่เล่าความจริงให้ฟัง เพื่อให้นางรีบแก้ใขสถานการณ์ด้วยสติปัญญาของนาง

การตอบสนองของอาบิกายิลและปฏิกิริยาของดาวิด
(25:18-22)

18 แล้วนางอาบีกายิลก็รีบจัดขนมปังสองร้อยก้อน และเหล้าองุ่นสองถุง หนัง และแกะที่ทำเสร็จแล้วห้าตัว และข้าวคั่วห้าถัง และองุ่นแห้งร้อยช่อ และขนมมะเดื่อสองร้อยแผ่นบรรทุกหลังลา 19 นางก็สั่งชายหนุ่มของนาง ว่า "จงรีบไปก่อนเรา ดูเถิด เราจะตามเจ้าไป" แต่นางมิได้บอกนาบาลสามี ของนาง 20 เมื่อนางขี่ลาลงมา มีสันเขาบังฝ่ายนางอยู่ ดูเถิด ดาวิดกับคน ของท่านก็ลงมาทางนาง และนางก็พบเขาทั้งหลายเข้า 21 ดาวิดกล่าวไว้ แล้วว่า "ข้าได้เฝ้าทุกสิ่งที่คนนี้มีอยู่ในถิ่นทุรกันดารเสียเปล่า ไม่มีสิ่งใด ของเขาขาดไปเลย และเขายังกระทำความชั่วต่อข้าตอบแทนความดี 22 ถ้าถึงพรุ่งนี้เช้าข้ายังปล่อยให้ชายสักคน หนึ่งในบรรดาที่เขามีอยู่นั้นเหลือ อยู่ ก็ขอพระเจ้าทรงลงโทษดาวิด และยิ่งหนักกว่า"

เราต้องมาดูว่าอาบิกายิลทำการนี้โดยไม่ได้แจ้งหรือขออนุญาตจากสามี ที่นางไม่ถาม เพราะนางคงพอรู้คำตอบ นางไม่ได้บอกสามีว่านางจะทำอะไร เพราะถ้าบอกสามีก็คง สั่งห้ามคนใช้ เรามาดูกันว่าสิ่งที่นางอาบิกายิลทำนั้นเป็นแบบอย่างที่ดีของการยอม จำนนอย่างแท้จริง ถึงแม้ดูเผินๆอาจไม่ใช่ก็ตาม

สิ่งที่นางทำในทันทีคือจัดอาหารอย่างมากมายให้คนใช้รีบขนไปล่วงหน้า ตอนนี้ความ เร็วเป็นเรื่องสำคัญ ดาวิดกำลังเดินทางมาด้วยความตั้งใจที่จะฆ่าชายทุกคนที่พบในครัว เรือนของนาบาล รวมทั้งตัวนาบาลด้วย ดูเหมือนเสบียงอาหารจะถึงมือดาวิดก่อนนาง อาบิกายิล แม้ไม่มีการบันทึกไว้ก็ตาม เพียงแต่บอกว่าให้รีบส่งเสบียงไปล่วงหน้าเพื่อ ดาวิดจะได้รับทันเวลา

ผมอดไม่ได้ที่จะสงสัยว่านางอาบิกายิลจัดเสบียงอาหารตั้งมากมายขนาดนี้ได้รวดเร็ว อย่างไร ผมว่า ถ้าผมคิดไม่ผิด สถานการณ์นี้คงสนุกพอดู เรารู้ว่านางส่งขนมปังไป 200 ก้อน เหล้าองุ่นสองถุงหนัง แกะ 5 ตัวที่เตรียมแล้ว ยังแถมด้วยข้าวคั่ว องุ่นแห้ง และผล มะเดื่อ ในขณะที่นางอาบิกายิลออกจากบ้านไป นาบาลคงกำลังมีงานเลี้ยงฉลองอยู่ใน บ้าน น่าจะเป็นงานใหญ่พอๆกับในวังทีเดียว (ข้อ 36) ผมเชื่อว่าเสบียงอาหารที่อาบิ กายิลส่งให้ดาวิดนั้นมาจากที่นาบาลเตรียมไว้ใช้ในงานฉลอง คุณพอนึกภาพออกไหม ว่าพอนาบาลเข้าไปในครัวแล้วพบว่าอาหารที่เตรียมไว้หายไปเป็นจำนวนมาก เขาจะทำ อย่างไร ? หรือว่าเขามีมากพอจนแทบไม่รู้สึกว่าขาดอะไร

หลังจากส่งอาหารไปล่วงหน้าแล้ว อาบิกายิลก็ขี่ลาลงมาจากภูเขา สันเขาบัง ทำให้ ดาวิดและคนของท่านมองไม่เห็น ดาวิดก็เช่นกันกำลังลงมาจากที่สูง ท่านคงกำลัง โมโหเรื่องนาบาล และคงกำลังวางแผนว่าจะจัดการคนบ้าอำนาจนี้ด้วยวิธีใด โดยที่ ทั้งสองฝ่ายไม่ทันได้คาดคิด ทั้งดาวิดและอาบิกายิลมาเผชิญหน้ากันระหว่างทางพอดี

คำพูดฉลาดสามารถดับความโกรธ
(25:23-31)

23 เมื่อนางอาบีกายิลเห็นดาวิดนางก็รีบลงจากหลังลา ซบหน้าลง ต่อดาวิดกราบลงถึงดิน 24 นางกราบลงที่เท้าของดาวิดกล่าวว่า "เจ้านายของดิฉันเจ้าข้า ความผิดนั้นอยู่ที่ดิฉันแต่ผู้เดียว ขอให้ผู้รับ ใช้ของท่านได้พูดให้ท่านฟัง ขอท่านได้โปรดฟังเสียงผู้รับใช้ของท่าน 25 ขอเจ้านายของดิฉันอย่าได้เอาความกับนาบาลชายสามหาวคนนี้ เลย คือนาบาล เพราะเขาเป็นอย่างที่ชื่อของเขาบอก นาบาลเป็นชื่อ ของเขา และความโง่เขลาก็อยู่กับเขา แต่ดิฉันผู้รับใช้ของท่านหาได้ เห็นพวกคนหนุ่มของเจ้านายซึ่งท่านได้ใช้ไปนั้นไม่ 26 เหตุฉะนั้น เจ้านายของดิฉัน พระเจ้าทรงพระชนม์อยู่แน่ฉันใด และท่านมีชีวิตอยู่ แน่ฉันใด ด้วยว่าพระเจ้าทรงกระทำให้ท่านระงับเสียจากความผิดที่ทำ ให้โลหิตตก และจากการแก้แค้นด้วยมือของท่านเอง เพราะฉะนั้นขอ ให้ศัตรูของท่าน และบรรดาผู้ที่กระทำร้ายต่อเจ้านายของดิฉันจงเป็น อย่างนาบาล 27 สิ่งเหล่านี้ซึ่งผู้รับใช้ของท่านได้นำมาให้เจ้านายของ ดิฉัน ขอมอบแก่บรรดาคนหนุ่มซึ่งติดตามเจ้านายของดิฉัน 28 ได้โปรด อภัยความผิดของผู้รับใช้ของท่านเถิด เพราะพระเจ้าคงทรงกระทำให้ เจ้านายของดิฉันเป็นพงศ์พันธุ์ที่มั่นคง ด้วยว่าเจ้านายของดิฉันทำสงคราม อยู่ฝ่ายพระเจ้า ตราบใดที่ท่านมีชีวิตอยู่จะหาความชั่วที่ตัวท่านไม่ได้เลย 29 แม้มีคนลุกขึ้นไล่ตามท่านและแสวงชีวิตของท่าน ชีวิตของเจ้านาย ของดิฉันจะผูกมัดอยู่กับกลุ่มชีวิตซึ่งอยู่ในความพิทักษ์ของพระเยโฮวาห์ พระเจ้าของท่าน แต่ชีวิตศัตรูของท่านจะถูกเหวี่ยงออกไปดั่งออกไปจาก รังสลิง 30 และเมื่อพระเจ้าจะทรงกระทำแก่เจ้านายของดิฉันแล้วตาม บรรดาความดีซึ่งพระองค์ทรงลั่นวาจาเกี่ยวกับท่าน และทรงตั้งท่านไว้ เป็นเจ้านายเหนืออิสราเอล 31 เจ้านายของดิฉันจะไม่มีเหตุที่ต้องเศร้าใจ หรือระกำใจ เพราะได้กระทำให้โลหิตเขาตกด้วยไม่มีสาเหตุหรือ เพราะ เจ้านายของดิฉันทำการแก้แค้นเสียเอง และเมื่อพระเจ้าทรงกระทำความ ดีแก่เจ้านาย ของดิฉันแล้วก็ขอระลึกถึงผู้รับใช้ของท่านบ้าง"

ทันใดนั้นเส้นทางของอาบิกายิลและดาวิดก็มาบรรจบกัน อาบิกายิลรีบลงจากหลังลา และซบหน้าลงถึงดินกราบดาวิด (เหมือนกับที่ดาวิดกระทำต่อซาอูลในบทที่แล้ว) ทุก สิ่งที่อาบิกายิลพูดและทำแสดงให้เห็นถึงการยอมจำนนของนาง นางพูดว่านางเป็นผู้ รับใช้ของดาวิดถึงหกครั้งด้วยกัน และนางเรียกดาวิดว่า "เจ้านายของดิฉัน" ถึงสิบสี่ ครั้ง นางเริ่มด้วยการอ้อนวอนให้ดาวิดเห็นว่าความผิดทั้งหมดนั้นตกอยู่ที่นางผู้เดียว ผู้เดียวเท่านั้น ถ้าดาวิดต้องการแก้แค้นด้วยการฆ่านาบาลและผู้ชายในบ้านทั้งหมด นางขอให้เขามาลงโทษที่นางแทน งานนี้นอกจากนางจะช่วยชีวิตสามีไว้แล้ว แต่ยัง ช่วยชีวิตอื่นๆในครัวเรือนไว้ด้วย

ในการยอมตกเป็นแพะรับบาป อาบิกายิลอ้อนวอนให้ดาวิดฟังคำของนาง แน่นอนดาวิด นั้นต่างจากนาบาลคนผู้ไม่ยอมฟังใคร (ข้อ 17) เพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง ท่านจึง ยอมรับฟัง นางอาบิกายิลเริ่มด้วยการขอร้องไม่ให้ดาวิดเอาความกับนาบาล นางบอก กับดาวิดว่านางไม่ทราบเรื่องที่นาบาลทำกับดาวิด ขบวนลาขนเสบียงที่อยู่ใกล้ๆคงเป็น พยานอย่างดีในสิ่งที่นางพูด นางบอกกับดาวิดว่าสามีของนางนั้นโง่สมชื่อ เพราะชื่อ นาบาลนั้นแปลว่า "โง่"

สตรีผู้นี้เรียกสามีว่า "โง่" ได้อย่างไร ซ้ำยังได้รับการยอมรับและยกย่องอย่างชัดเจน ตามที่เราห็น ? คำตอบนั้นไม่ยาก สามีนางเป็นคนโง่จริงอย่างไม่มีข้อโต้แย้ง แม้กระทั่ง คนใช้ยังรู้ (ข้อ 17) แล้วยังคนอื่นๆอีกที่รู้จักเขาอีก มีเหตุผลดีบางประการที่อาบิกายิล เรียกสามีว่าเป็นคนโง่ เพราะอาจเป็นสิ่งที่ช่วยชีวิตเขาเอาไว้ คุณยังจำตอนที่ดาวิด หลบหนีซาอูลไปที่เมืองกัทได้ไหม ? เมืองที่เป็นบ้านเกิดของโกลิอัท แล้วท่านเริ่มรู้ตัว ว่าชีวิตกำลังตกอยู่ในอันตราย ดาวิดต้องแกล้งทำเป็นคนบ้า เพราะกษัตริย์อาจออก คำสั่งให้ฆ่าดาวิดอย่างง่ายๆถ้ารู้ว่าสติไม่ดี แต่พอกษัตริย์แน่ใจว่าดาวิดบ้าจริง แทนที่ จะฆ่า กลับไล่ให้ออกจากเมืองไป เพราะฆ่าคนบ้าไม่ก่อให้เกิดประโยชน์อันใด การ แกล้งทำบ้าช่วยรักษาชีวิตดาวิดไว้ การเรียกนาบาลว่าโง่ อาจช่วยชีวิตเขาไว้ก็ได้

ถ้าอาบิกายิลสามารถโน้มน้าวดาวิดว่าการฆ่านาบาลไม่เกิดประโยชน์อันใดสำเร็จ นางก็กำลังแสดงให้ดาวิดเห็นด้วยเช่นกันว่า การแก้แค้นรังแต่จะทำให้ดาวิดเสียหาย นางเริ่มชี้ให้ดาวิดเห็นว่าพระเจ้ายับยั้งดาวิดไม่ให้กระทำให้ผู้อื่นโลหิตตก และให้ท่าน เลิกจากการแก้แค้นด้วยมือของท่านเอง (ข้อ 26) นางพูดถึงเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้น หรือนางพูดถึงวิธีการที่พระเจ้ายับยั้งไม่ให้ดาวิดแก้แค้นซาอูลด้วยตัวของท่านเองในบท ที่แล้วหรือเปล่า ? ผมไม่แน่ใจในเรื่องนี้ แต่คำพูดของนางชี้ให้เห็นว่าเป็นพระหัตถ์ของ พระเจ้าที่อยู่ในเหตุการณ์ครั้งนี้ พระเจ้าเป็นผู้ยับยั้งดาวิดไม่ให้ทำให้ผู้อื่นโลหิตตก และ ยับยั้งการแก้แค้นด้วยน้ำมือของตนเอง นางแสดงความมั่นใจว่าถ้าดาวิดละการแก้แค้น ไว้ที่พระเจ้า พระองค์จะจัดการกับนาบาลเอง และกับทุกคนที่กระทำการชั่วต่อดาวิด

อาบิกายิลขอร้องให้ดาวิดรับเสบียงที่นางเตรียมมาและแบ่งปันให้คนของท่านด้วย นาง ยังขอให้ดาวิดยกโทษให้แก่นาง ซึ่งดูเหมือนว่านางเป็นผู้ทำความผิดแต่เพียงผู้เดียว และมาถึงตอนสำคัญ นางแค่คิดว่านาบาลสามีของนาง เมินเฉยปฏิเสธดาวิดว่าเป็นพวก ปัญหาหรือ ? เปล่าเลย อาบิกายิลรู้ดีกว่านั้น นางแสดงความมั่นใจว่าดาวิดจะได้ขึ้น ครองเป็นกษัตริย์อิสราเอลแน่ และพงศ์พันธ์ของท่านก็จะไม่มีวันสลาย 121 http://www.bible.org/docs/ot/books/1sa/deffin/ ดาวิดทำ สงครามอยู่ฝ่ายพระเจ้า นางกล่าวว่า ด้วยเหตุนี้ ความชั่วจะไม่มีวันทำอันตรายท่านได้ ถ้าผู้ใดลุกขึ้นมาต่อต้านและแสวงชีวิตท่าน ควรจะรู้ไว้ว่าท่านนั้นมีค่ามากกับพระเจ้า หรืออีกความหมายก็คือ ชีวิตของศัตรูนั้นไร้ค่า พระเจ้าจะเหวี่ยงพวกศัตรูออกไปเหมือน กับเหวี่ยงออกจากรังสลิง 122

สำหรับอาบิกายิลไม่มีข้อสงสัย ดาวิดต้องขึ้นครองเป็นกษัตริย์แน่ คำสัญญาที่พระเจ้า ให้ไว้กับดาวิดจะสำเร็จลง พระเจ้าจะแต่งตั้งท่านให้ปกครองเหนืออิสราเอล (ข้อ 30) จะเป็นเรื่องน่าเศร้าและมืดมิดเพียงเพียงใดถ้าดาวิดขึ้นครองอาณาจักร หลังจากที่ท่าน ทำการแก้แค้นด้วยความหุนหันพลันแล่น และกระทำให้โลหิตไร้ความผิดตกด้วยมือของ ท่าน ธรรมบัญญัติของโมเสสในพระคัมภีร์เดิมพูดถึงหลักในการรักษาความยุติธรรมว่า : ตาแทนตา ฟันแทนฟัน (ดูอพยพ 21:24; เลวีนิติ 24:20; เฉลยธรรมบัญญัติ 19:21; ดูมัทธิว 5:38 ด้วย) นาบาลพูดดูหมิ่่นดาวิด นับเป็นความผิดของเขา แต่ผู้ชายที่เหลือ ในครัวเรือนไม่ได้ทำผิดประการใดต่อดาวิด เท่าที่เรารู้ การฆ่านาบาลและผู้ชายทั้งหมด ในครัวเรือนเพราะคิดว่าเป็นพวกเห็นแก่ตัวและดูถูกดาวิดนั้นก็เท่ากับเป็นการทำให้โล หิตไร้ความผิดตก ดังนั้นการลงโทษดูจะสาหัสกว่าการทำผิด

อาบิกายิลพูดอย่างมั่นใจว่าพระเจ้าจะกระทำการดีแก่ดาวิดตามที่พระองค์ตรัสไว้ และ ถ้าแผนการของพระเจ้านั้นดี แล้วเหตุใดดาวิดจึงต้องการทำชั่ว ? ทัศนคติและการ กระทำของดาวิดไม่ควรค้านกับพระคำและพระประสงค์ของพระเจ้า เพราะดาวิดเป็น ผู้ที่ทำตามน้ำพระทัยพระเจ้าอย่างที่สุด ท่านเองต้องรู้สึกเสียใจต่อสิ่งที่ท่านคิดจะทำ ท่านจะรู้สึกโศกเศร้าและฝังใจไปตลอดถ้าท่านลงมือทำ คราวก่อนท่านถูกจิตสำนึก โจมตีอย่างรุนแรงเมื่ออยู่ในถ้ำในบทที่ 24 ครั้งนี้กำลังจะเกิดขึ้นซ้ำอีก เหตุใดจึงไม่ หยุดเสียในทันที และละลายความโกรธให้หมดสิ้นไป ?

เราคงนึกสงสัยว่าอาบิกายิลเคยได้ยินเรื่องการเผชิญหน้าระหว่างซาอูลและดาวิดในถ้ำ มาก่อนหรือเปล่า ถ้าเคย นางได้ใช้ประโยชน์จากสิ่งที่นางรู้มา แต่ถ้าไม่เคย ก็แสดงว่า พระเจ้าใส่ถ้อยคำให้นางพูด เพื่อดาวิดจะได้หวนนึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ นางอาบิกายิลเพียงแต่ผลักดันให้ดาวิดกระทำตามหลักเกณฑ์และมาตรฐานเดิมของ ท่าน อย่างที่ท่านเคยกล่าวไว้ในบทที่ 24 นางหนุนใจให้ดาิวิดปฏิบัติกับนาบาลเหมือน ดังที่ท่านปฏิบัติต่อซาอูล ละการแก้แค้นไว้ที่พระเจ้า และไม่กระทำให้โลหิตไร้ความ ผิดตก

เมื่อดาวิดหวนนึกไปถึงเหตุการณ์ครั้งก่อน ท่านตระหนักว่านางอาบิกายิลจัดการกับ สถานการณ์นี้อย่างชาญฉลาด ท่านต้องจดจำเรื่องนี้ไว้ ผมเชื่อว่านางอาบิกายิลอาจ ไม่ตระหนักว่าทุกสิ่งที่นางพูด วันหนึ่งข้างหน้าพระเจ้าจะอวยพระพรนางโดยกำจัด นาบาลไปและให้นางได้เป็นภรรยาของดาวิด คำพูดของนางนั้นใกล้เคียงกับที่โยเซฟ พูดกับพนักงานน้ำองุ่นของฟาโรห์ในปฐมกาล 40:14-15

ยกย่องในสติปัญญา
(25:32-35)

32 ดาวิดจึงกล่าวแก่อาบีกายิลว่า "สาธุการแด่พระเยโฮวาห์พระเจ้า แห่งอิสราเอล ผู้ทรงใช้เจ้าให้มาพบเราในวันนี้ 33 ขอให้ความสุขุม ของเจ้ารับพระพร และขอให้ตัวเจ้าได้รับพระพร เพราะเจ้าได้ป้องกัน เราในวันนี้ให้พ้นจากความผิดที่ทำให้โลหิตตก และจากการแก้แค้น ด้วยมือของเราเอง 34 เพราะพระเยโฮวาห์พระเจ้าแห่งอิสราเอล ผู้ทรงระงับเราเสียจากการกระทำร้ายเจ้า ทรงพระชนม์อยู่แน่ฉันใด ถ้าเจ้ามิได้รีบมาพบเราเสีย ถึงพรุ่งนี้เช้าคงไม่มีเหลือแก่นาบาลแม้ แต่เพียงชายสักคนหนึ่งเป็นแน่" 35 แล้วดาวิดก็รับบรรดาสิ่งที่นางนำ มาจากมือของนาง และดาวิดกล่าวแก่นางว่า "จงกลับไปยังบ้านเรือน ของเจ้าด้วยสวัสดิภาพเถิด ดูซิเราได้ฟังเสียงของเจ้าแล้ว และเราก็ได้ อนุโลมตามคำขอร้องของเจ้า"

คำพูดของอาบิกายิลนั้นเป็นความจริง สิ่ีงที่นางยกมาอ้างนั้นเป็นเรื่องเดียวกับที่พระเจ้า เคยสอนดาวิดไว้ทั้งสิ้น ดาวิดรู้ว่านางพูดถูก และท่านยอมรับโดยการยกย่องนางต่อ หน้าคนของท่าน ดาวิดตระหนักว่าพระเจ้าส่งนางมาช่วยท่าน จากคำพูดและการกระทำ ของนาง พระเจ้าได้ยับยั้งท่านจากการแก้แค้นนาบาล และการทำบาปที่ทำให้โลหิต ไร้ความผิดตก ถ้านางไม่ได้รีบลงมือแก้ใข ดาวิดคงจะทำจนสำเร็จตามแผน นางได้ ช่วยท่านให้พ้นจากความเขลาและความผิด ในขณะเดียวกันก็ช่วยรักษาชีวิตสามีและ คนในครัว เรือนของนาง ยอมตาที่นางขอ ดาวิดรับเสบียงที่นางจัดมาให้ และส่งนาง กลับบ้านโดยสวัสดิภาพ

นาบาลในพระหัตถ์พระเจ้า
(25:36-38)

36 และอาบีกายิลก็กลับไปหานาบาล และนี่แน่ะ เขากำลังมีการเลี้ยง ใหญ่ในบ้านของเขาอย่างการเลี้ยงของพระราชา และจิตใจของนาบาล ก็ร่าเริงอยู่ เพราะเขามึนเมามาก นางจึงมิได้บอกอะไรให้เขาทราบจน เวลารุ่งเช้า 37 และในเวลาเช้า เมื่อเหล้าองุ่นสร่างจากนาบาลไปแล้ว ภรรยาของเขาก็เล่าเหตุการณ์เหล่านี้ให้ฟัง และจิตใจของเขาก็ตายเสีย ภายใน และเขากลายเป็นดังก้อนหิน 38 อยู่มาอีกประมาณสิบวันพระเจ้า ทรงประหารนาบาลและท่านก็สิ้นชีวิต

โดยไม่สำเหนียกถึงการกระทำที่โง่เขลาของตัว นาบาลไม่รู้หรอกว่าความตายนั้นอยู่ ไกล้แค่เอื้อม เขายังมีงานเลี้ยงใหญ่ในบ้าน เหมือนงานเลี้ยงของพระราชา เมื่ออาบิกา ยิลกลับเข้ามา นาบาลมีจิตใจเบิกบาน ซึ่งน่าจะเป็นเพราะความเมา นางอาบิกายิล ฉลาดพอที่จะไม่เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้สามีฟังในทันที แต่พอรุ่งเช้า เมื่อนาบาลสร่างเมา ตื่นขึ้น อาบิกายิลจึงเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวานให้ฟัง นาบาลหน้าถอดสี และเริ่มเข้าใจ แล้วว่าความโง่ของเขาก่อให้เกิดสิ่งใดขึ้น เขาตกใจจนกระดิกกระเดี้ยไม่ได้ ในพระ คัมภีร์กล่าวว่า "จิตใจของเขาก็ตายเสียภายใน และเขากลายเป็น ดังก้อนหิน" ซึ่งก็น่าจะแปลได้ว่าเขาคงหัวใจวายจนเป็นอัมพาตไป สิบวันต่อมาเขาก็ถูกพระเจ้า ประหาร เป็นการดีเพียงใดที่ชายคนนี้ตายด้วยพระหัตถ์พระเจ้า และไม่ใช่ด้วยฝีมือของ ดาวิด

รางวัลของดาวิดและอาบิกายิล
(25:39-44)

39 เมื่อดาวิดได้ยินว่านาบาลสิ้นชีวิตแล้ว ท่านจึงว่า "สาธุการแด่พระเจ้า ผู้ทรงแก้แค้นการเหยียดหยามที่ข้าพระองค์ได้รับจากมือของนาบาลและ ทรงป้องกันผู้รับใช้ของพระองค์ไม่ให้ทำความชั่ว พระเจ้าทรงตอบแทน การกระทำชั่วของนาบาลให้ตกบนศีรษะของเขาเอง" แล้วดาวิดก็ส่งคน ไปสู่ขออาบีกายิลให้มาเป็นภรรยาของท่าน 40 และเมื่อผู้รับใช้ของดาวิด มาถึงอาบีกายิลที่คารเมล เขาทั้งหลายก็พูดกับนางว่า "ดาวิดได้ให้เรา ทั้งหลายมานำเธอไปให้เป็นภรรยาของท่าน" 41 และนางก็ลุกขึ้นซบหน้า ลงถึงดินกล่าวว่า "ดูเถิด ผู้รับใช้ของท่านเป็นผู้รับใช้ที่จะล้าง เท้าให้ แก่ผู้รับใช้แห่งเจ้านายของดิฉัน" 42 อาบีกายิลก็รีบลุกขึ้นขี่ลาตัวหนึ่ง พร้อมกับสาวใช้ปรนนิบัติเธออีกห้าคน นางตามผู้สื่อข่าวของดาวิดไป และได้เป็นภรรยาของดาวิด 43 ดาวิดยังได้รับนางอาหิโนอัม ชาวยิสเร เอลมาด้วย และทั้งสองก็เป็นภรรยาของท่าน 44 ซาอูลได้ทรงยกมีคาล ราชธิดาของพระองค์ ผู้เป็นภรรยาของดาวิด ให้แก่ปัลทีบุตรลาอิชชาว กัลลิมแล้ว

ข่าวเรื่องการตายของนาบาลรู้ไปถึงหูของดาวิด ดาวิดทั้งประหลาดใจและขอบพระคุณ ท่านสรรเสริญพระเจ้าที่ทรงรับฟังคำร้องทูลเรื่องนาบาล ท่านยอมรับว่าพระเจ้าเป็นผู้ ป้องกันท่านไม่ให้ทำชั่ว ท่านเข้าใจแล้วว่าเป็นการดีที่จะละความแค้นไว้ที่พระเจ้า พระ องค์ทรงเป็นผู้กำจัดนาบาล ไม่ใช่ดาวิด นี่คือวิธีที่ถูกต้อง ทั้งนี้เป็นเพราะสติปัญญา ที่ฉลาดของสตรีที่ชื่ออาบิกายิล

ผู้รับใช้ของดาวิดมาที่บ้านของนางอาบิกายิล พวกเขามาแจ้งแก่นาง ไม่เชิงว่าเป็นการ ขอแต่งงาน แต่เป็นเหมือนเรียกให้มา : "ดาวิดได้ให้เราทั้งหลายมานำเธอไปให้ เป็นภรรยาของท่าน" สตรีผู้นี้ไม่ต้องรอให้พูดซ้ำสอง นางซบหน้าลงถึงดินรับข้อเสนอ ด้วยความถ่อมใจ นางไม่ได้คาดหวังว่าจะเป็นราชินีของดาวิด เป็นแต่เพียงผู้รับใช้ผู้ยิน ดีจะล้างเท้าให้กับผู้รับใช้ของดาวิด นางลุกขึ้น ติดตามคนของดาวิดไปพร้อมด้วยสาว ใช้อีกห้าคน และได้ไปเป็นภรรยาของดาวิด

ข้อพระคำตอนสุดท้ายในบทนี้กล่าวว่าอาบิกายิลเป็นภรรยาคนที่สองของดาวิด ท่านมี นางอาหิโนอัมคนยิสเรเอลเป็นภรรยาอยู่ก่อน มีคาลเคยเป็นภรรยาท่าน แต่เมื่อท่าน ต้องหลบหนีซาอูล ซาอูลนำนางไปมอบให้กับปัลทีบุตรลาอิชชาวกัลลิมแทน

บทสรุป

บุคคลสำคัญหลายคนในบทนี้มีบางสิ่งบางอย่างสอนเรา ให้เรามาสรุปด้วยการเรียนจาก นางอาบีกายิล จากนาบาล และจากดาวิดเอง

    อาบีกายิล

บทที่ 25 ของพระธรรม 1 ซามูเอล ดูจะเริ่มต้นและจบลงด้วยเหตุการณ์ที่ไม่เกี่ยวข้อง กันนัก ข้อ 1 พูดเรื่องการตายของซามูเอล ข้อ 43 และ 44 พูดถึงเรื่องดาวิดมีภรรยา คนที่สอง คนแรกของท่าน (มีคาล) ถูกยกให้คนอื่นไป ผมไม่คิดว่าเป็นเรื่องบังเอิญ ผมเชื่อว่าผู้เขียนมีจุดประสงค์บางอย่าง ดาวิดสูญเสียคนสำคัญในชีวิตของท่านไปถึง สองคน ซามูเอลผู้เผยพระวจนะ ซึ่งเป็นผู้เจิมตั้งท่านและเป็นผู้ที่ท่านไปขอพึ่งพิงเมื่อ ถูกซาอูลไล่ล่า (ดู 19:18-24) เราไม่รู้เรื่องของอาหิโนอัมภรรยาคนแรกมากนัก รู้แต่ เพียงว่าเป็นคนยิสเรเอล และเป็นมารดาของอัมโนน (2 ซามูเอล 3:2) บุตรชายที่ข่มขืน ทามาร์น้องสาวของตนเอง (2 ซามูเอล 13) ส่วนมีคาลเป็นบุตรสาวคนที่สองที่ซาอูล เสนอยกให้เป็นภรรยาของดาวิด (1 ซามูเอล 18) ดูเหมือนว่าทั้งสองจะรักกัน อย่าง น้อยก็ในช่วงแรก (18:20-29) การที่นางถูกยกให้ไปเป็นภรรยาคนอื่น คงเป็นเรื่องที่ ทารุณจิตใจดาวิดเป็นอย่างมาก

ผมขอสรุปว่า ตลอดเหตุการณ์ที่ต่อเนื่องมาในบทที่ 25 พระเจ้าทรงจัดเตรียมผู้ช่วยที่มี สติปัญญาให้กับดาวิด พระองค์ทรงชดเชยที่ท่านต้องสูญเสียซามูเอลและมีคาลไป คำ พูดของนางอาบีกายิลทำให้ดาวิดระลึกถึงคำพยากรณ์ที่ซามูเอลเคยกล่าวไว้ ความ ฉลาดของอาบิกายิลช่วยให้นางสามารถเป็นคู่คิดและที่ปรึกษาที่ ใกล้ชิดที่สุดให้กับ สามีได้ ความงามของนางจะช่วยปลอบประโลมให้ดาวิดลืมมีคาลไปได้ ถ้าเราจะสลับ คำพูดในพระคัมภีร์ "พระเจ้าทรงเอาไปเสีย และพระเจ้าประทาน" (ดูจาก โยบ 1:21) การจัดเตรียมของพระเจ้านั้นประเสริฐยิ่งนัก พระองค์ทรงจัดการกับนาบาลเอง ซึ่งแน่ นอนดีกว่าที่ดาวิดคิดจะทำ และพระองค์ทรงประทานภรรยาม่ายของนาบาลให้ดาวิด ซึ่งเป็นสตรีที่ดาวิดทั้งรักและนับถือ พระเจ้าจะจัดเตรียมอย่างสัตย์ซื่อให้กับความ จำเป็นของเรา พระองค์ทรงทราบถึงความต้องการของเราทั้งสิ้น

อาบิกายิลเป็นการสำแดง (จะเรียกว่าเป็นแบบอย่างก็ได้) ในการจัดเตรียมความรอด ของพระเจ้าให้กับมนุษย์ ด้วยความเขลาของนาบาล บ้านทั้งหลังของอาบิกายิลตก อยู่ในอันตราย ผู้ชายทุกคนเกือบต้องตาย ถ้านางไม่คิดแก้ใขทั้งหมดคงต้องตายลง ด้วยฝีมือของดาวิด ด้วยความฉลาดและความถ่อม อาบิกายิลก้าวออกไปเสนอตัวยอม รับโทษทั้งสิ้นแทน (ดูข้อ 24) นี่เป็นภาพแทนบางเรื่องใช่หรือไม่ ?เป็นภาพสะท้อน ของพระเยซูคริสต์ เพราะบาปของอาดัมและของเรา ทุกคนต้องพินาศ และความพินาศ ก็ใกล้เข้ามา แต่องค์พระเยซูคริสต์ (ผู้ทรงบริสุทธิ์และปราศจากบาป) ก้าวออกมา ยอม รับโทษทัณฑ์แทนเรา พระองค์เสนอแทนที่เราโดยยอมสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน รับ การลงโทษแทนความบาปทั้งสิ้นของเรา และด้วยความเชื่อในพระองค์ เราสามารถเข้า สู่ชีวิตนิรันดร์ และในพระองค์เราจะเป็นดังเจ้าสาวของพระคริสต์

นอกจากนี้ อาบิกายิลยังเป็นตัวแทนของการยอมจำนนที่แท้จริง แน่นอนคุณคงต้องรู้สึก ประหลาดใจ ผู้หญิงที่กระทำการโดยไม่ปรึกษาสามี ทำสิ่งที่ค้านกับความต้องการและ คำสั่งของสามี แถมยังกล่าวว่าสามีเป็นคนโง่อีก จะเรียกว่าเป็นแบบอย่างของภรรยาที่ เชื่อฟังสามีได้อย่างไร ? ผมอยากจะแนะนำว่าสิ่งที่อาบิกายิลทำเป็นการแสดงแต่ภาย นอกเท่านั้น แน่นอนนางทำในสิ่งที่ค้านกับสามี สิ่งที่สามีปฏิเสธไม่ทำเป็นสิ่งที่นางกลับ กระทำ แต่ภายในจิตใจ นางเป็นผู้ที่ยอมเชื่อฟังอย่างแท้จริง การยอมทำตามโดยไม่ลืม หูลืมตา หรือยอมทำตามคำสั่งของผู้ที่มีอำนาจเหนือกว่าไม่เรียกว่าเป็นการเชื่อฟังที่ถูก ต้อง การเชื่อฟังที่ถูกต้องคือการกระทำที่ก่อให้เกิดประโยชน์กับผู้อื่น โดยยอมสละ ความชอบใจของเรา การเชื่อฟังที่แท้จริงมีอธิบายอยู่ในพระธรรมฟิลิปปีบทที่ 2 :

1 เหตุฉะนั้นถ้าชีวิตในพระคริสต์อำนวยการเร้าใจประการใด ถ้ามีการ หนุนใจประการใดในความรัก ถ้ามีส่วนประการใดกับพระวิญญาณ ถ้ามี การรักใคร่เอ็นดูและเห็นอกเห็นใจประการใด 2 ก็ขอให้ท่านทำให้ความ ยินดีของข้าพเจ้าเต็มเปี่ยมด้วยการมีความคิดอย่างเดียวกัน มีความรัก อย่างเดียวกัน มีใจรู้สึกและคิดพร้อมเพรียงกัน 3 อย่าทำสิ่งใดในทางชิง ดีกันหรือถือดี แต่จงมีใจถ่อมถือว่าคนอื่นดีกว่าตัว 4 อย่าให้ต่างคนต่าง เห็นแก่ประโยชน์ของตนฝ่ายเดียว แต่จงเห็นแก่ประโยชน์ของคนอื่นๆด้วย 5 ท่านจงมีน้ำใจต่อกันเหมือนอย่างที่มีในพระเยซูคริสต์ 6 ผู้ทรงสภาพ ของพระเจ้า แต่มิได้ทรงถือว่าการเท่าเทียมกับพระเจ้านั้นเป็นสิ่งที่จะต้อง ยึดถือ 7 แต่ได้กลับทรงสละ และทรงรับสภาพทาส ทรงถือกำเนิดเป็นมนุษย์ 8 และเมื่อทรงปรากฏพระองค์ในสภาพมนุษย์แล้ว พระองค์ก็ทรงถ่อมพระองค์ ลงยอมเชื่อฟังจนถึงความมรณา กระทั่งความมรณาที่กางเขน
(ฟิลิปปี 2:1-8)

อาบิกายิลไม่ได้กระทำเพราะเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัว นางคงจะเป็นภรรยาที่สมบูรณ์ แบบ ถ้าทำทุกสิ่งตามที่นาบาลต้องการ นางเพียงแต่อยู่บ้านคอยผสมเครื่องดื่มให้สามี ดาวิดคงจะเป็นผู้ "ปลดปล่อย" นางให้เป็นอิสระ เมื่อสามีที่โง่เขลาของนางถูกฆ่าตาย นางก็จะหลุดพ้นจากการถูกกดขี่ แต่อาบิกายิลเป็นผู้ที่ยอมกับสามีจริงๆโดยการช่วย ชีวิตเขาไว้ (และชีวิตของผู้ชายทุกคนในบ้าน) เพื่อจะช่วยชีวิตพวกเขานางยอมเอาชีวิต ของนางเข้าแลก นางออกไปตามลำพัง ไปพบผู้ที่กำลังจะมาฆ่าสามีและชายทุกคนใน บ้าน เมื่อนางเผชิญหน้ากับดาวิด นางขอให้ท่านเอาความโกรธและโทษทั้งสิ้นให้ตกอยู่ ที่นางผู้เดียว ผู้เดียวเท่านั้น การยอมของนางคือการทำในสิ่งที่เกิดผลดีแก่สามี โดย นางจะเป็นผู้จ่ายราคาด้วยตนเอง การไม่ทำสิ่งใดเลย (แต่ดูเหมือนเป็นผู้ยอมเชื่อฟัง) จะเกิดผลดีกับนางแทนโดยมีสามีเป็นผู้จ่ายราคา

ผมต้องระมัดระวังในสิ่งที่ผมกำลังจะพูด และในสิ่งที่คุณกำลังคิด ส่วนมากการยอมเชื่อ ฟังแสดงให้เห็นได้โดยการทำตามทุกสิ่งที่ผู้มีอำนาจเหนือกว่าสั่ง ส่วนมากการยอมเชื่อ ฟังแสดงให้เห็นโดยเราพยายามทำในสิ่งที่ทำให้ผู้บังคับบัญชาของเราได้รับเกียรติ แต่ บางครั้งการยอมเชื่อฟังของเราแสดงออกในแบบที่ต่างออกไป บางครั้งเราต้องทำใน สิ่งที่ขัดกับความต้องการของผู้ที่เหนือกว่า แต่จะเกิดเฉพาะในกรณีที่ขัดและค้านกับ น้ำพระทัยของพระเจ้าอย่างชัดเจน และเป็นการกระทำที่เราต้องเปลืองตัวเพื่อผลดีจะ ตกอยู่กับผู้อื่น

ผมอยากจะบอกว่าการยอมเชื่อฟังในแบบนี้ – แบบของอาบิกายิล – เป็นกรณียกเว้น ไม่ใช่กฎตายตัว ถึงกระนั้นก็ดี มีบางครั้งที่เราพยายามปลอบใจตนเองโดย "ประนีประ นอม" ทำในสิ่งที่ผิดโดยอ้างว่าเรากำลังยอมเชื่อฟัง การยอมเชื่อฟังในแบบของพระ เจ้าคือการยอมเชื่อฟังพระองค์ก่อน รองลงมาคือยอมเชื่อฟังมนุษย์ในแนวทางของ พระเจ้า การยอมเชื่อฟังในแบบของพระเจ้าคือการกระทำในสิ่งที่เกิดประโยชน์แก่ผู้ อื่นมากกว่าประโยชน์ของตนเอง บางครั้งการยอมเชื่อฟังพระเจ้าทำให้เราต้องทำใน สิ่งที่ค้านกับความต้องการของผู้ที่มีอำนาจเหนือกว่า ผมไม่ได้พูดเพื่อทำให้คุณทิ้งกฎ เกณฑ์เดิมที่เคยยึดถือมา เพียงแต่อยากให้เพิ่มเข้าไป ขอให้เราทุกคนระมัดระวังที่จะ ไม่นำสิ่งนี้มาเป็นข้ออ้างเพื่อจะกระทำบาป

สุดท้ายนี้ ให้เราเรียนรู้้จากอาบิกายิลว่าการยอมเชื่อฟังเป็นการกระทำที่เราสามารถนำ มาใช้ขัดเกลาแก้ใขข้อบกพร่องของผู้เชื่อคนอื่นได้ คุณสังเกตุเห็นหรือไม่ว่าอาบิกายิล ไม่พยายามแก้ใขนาบาลในเหตุการณ์ครั้งนี้ ? ผมเข้าใจว่าน่าจะเป็นเพราะนางคงอาจ เคยใช้เหตุผลโต้แย้งมาก่อน และเรียนรู้ว่าไม่มีประโยชน์อะไรที่จะไปแก้ใขคนโง่อย่าง นาบาล คนรับใช้ในบ้านเองคงทราบดีจากคำพูดของเขา แต่ผมอยากจะชี้ให้เห็นว่า อาบิกายิลไม่เพียงแต่ยอมเชื่อฟังสามีเท่านั้น นางยังยอมกับผู้ที่จะเป็นกษัตริย์ใน อนาคต ถ้านางอาบิกายิลยอมกับพระเจ้า แล้วนางจะไม่ยอมให้กับดาืวิดในฐานะ กษัตริย์องค์ต่อไปหรือ ? เนื้อหาในพระธรรมตอนนี้ทำให้เราเห็นชัดเจนว่าอาบิกายิล ใช้ท่าทีที่ถ่อมและยอมจำนนที่สุดถือโอกาสแก้ใขขัดเกลาดาวิดในขณะที่ท่านคิดจะทำ สิ่งโง่เขลาเพราะความโกรธ ท่าทีและคำพูดที่ยอมจำนนของนางทำให้ดาวิดตั้งสติได้

การเป็นผู้อยู่ใต้บังคับบัญชา (โดยเฉพาะกับผู้เชื่อด้วยกัน) ไม่ไช่ข้อแก้ตัวที่เราจะทำ เป็นมองไม่เห็น เมื่อผู้นั้นกำลังทำในสิ่งที่ขัดกับพระประสงค์และพระวจนะคำ หลายครั้ง ที่ผมได้ยินคำปฏิเสธไม่ยอมไปกล่าวตำหนิผู้ใหญ่ เพราะคิดว่าตนเองเป็นเพียงผู้น้อย ผมขอแนะนำว่า จากพระธรรมตอนนี้ ทัศนคติและท่าทีถ่อมใจของเราในฐานะผู้อยู่ใต้ บังคับบัญชาจะเป็นสิ่งที่ใช้ขัดเกลาแก้ใขข้อบกพร่องของผู้อื่นได้ เมื่อเราพยายามที่ จะแก้ใขจาก "ที่สูงลงมา" ท่าทีความถ่อมใจและยำเกรงพระเจ้าที่เราต้องสำแดงนั้นยาก ยิ่งกว่า แต่ขอให้เรามีสำนึกรับผิดชอบที่จะแก้ใขตักเตือนเพื่อเห็นแก่ประโยชน์ของเขา โดยเฉพาะผู้ที่มีอำนาจเหนือกว่า และขอให้เป็นด้วยท่าทีถ่อมใจและยอมกับผู้นั้นด้วย ใจจริง

1 ดูก่อนพี่น้องทั้งหลาย แม้จับผู้ใดที่ละเมิดประการใดได้ ท่านซึ่ง อยู่ฝ่ายพระวิญญาณ จงช่วยผู้นั้นด้วยใจอ่อนสุภาพให้เขากลับตั้ง ตัวใหม่ โดยคิดถึงตัวเอง เกรงว่าท่านจะถูกชักจูงให้หลงไปด้วย 2 จงช่วยรับภาระของกันและกัน ท่านจึงจะได้ปฏิบัติตามพระบัญญัติ ของพระคริสต์ 3 เพราะว่าถ้าผู้ใดถือตัวว่าเป็นคนสำคัญ ทั้งๆที่เขา ไม่สำคัญอะไรเลย ผู้นั้นก็หลอกตัวเอง 4 ทุกคนจงสำรวจการกระทำ ของตนเอง จึงจะมีอะไรๆที่จะอวดได้ในตัวไม่ใช่เปรียบกับผู้อื่น 5 เพราะว่าทุกคนต้องรับภาระของตัวเอง
(กาลาเทีย 6:1-5)

    ดาวิด

ผมเคยชี้ให้เห็นไปบ้างแล้วว่าดาวิดทำผิดด้วยการหวังจะได้รับบำเหน็จในทันที แทนที่ จะรอคอยบำเหน็จนิรันดร์ ดาวิดทำดีต่อนาบาลเพราะหวังจะได้รับผลตอบแทน แต่เมื่อ นาบาลแสดงว่าไม่เห็นบุญคุณ ดาวิดก็พร้อมจะแก้แค้นในทันที นี่ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ ดาวิดต้องการแก้แค้นเองแทนที่จะมอบให้กับพระเจ้า เมือเวลานั้นจึงดูเหมือนดาวิดมี ชีวิตแค่ตรงนั้นไมใช่อยู่เพื่อรอคอยชีวิตนิรันดร์ ในพระคัมภีร์ใหม่ อัครสาวกเรียกร้องให้ เรามีชีวิตปัจจุบันที่รอคอยความหวังในชีวิตนิรันดร์ :

11 ดูก่อนท่านที่รัก ข้าพเจ้าขอวิงวอนท่านทั้งหลายผู้อาศัยในโลก อย่างโลกไม่เป็นบ้านเกิดเมืองนอน ให้เว้นจากตัณหาของเนื้อหนัง ซึ่งเป็นข้าศึกต่อวิญญาณจิตของท่าน 12 จงรักษาความประพฤติอัน ดีของท่านไว้ในหมู่คนต่างชาติ เพื่อว่าเมื่อมีคนติเตียนท่านว่าประพฤติ ชั่ว เขาจะได้เห็นการดีของท่าน และเขาจะได้สรรเสริญพระเจ้าในวัน ที่พระองค์เสด็จมา
(1 เปโตร 2:11-12)

12 ดูก่อนท่านที่รัก อย่าประหลาดใจที่ท่านต้องได้รับความทุกข์ยาก อย่างแสนสาหัสเป็นการลองใจ เหมือนหนึ่งว่าเหตุการณ์อันประหลาด ได้เกิดขึ้นกับท่าน 13 แต่ว่าท่านทั้งหลายจงชื่นชมยินดีในการที่ท่าน ได้มีส่วนร่วมในความทุกข์ยากของพระคริสต์ เพื่อว่าเมื่อพระสิริของ พระเจ้าปรากฏขึ้น ท่านทั้งหลายก็จะได้ชื่นชมยินดีเป็นอันมากด้วย 14 ถ้าท่านถูกด่าว่า เพราะพระนามของพระคริสต์ ท่านก็เป็นสุข ด้วย ว่าพระวิญญาณแห่งพระสิริและของพระเจ้าทรงสถิตอยู่กับท่าน
(1 เปโตร 4:12-14)

ความเชื่อในพระธรรมฮีบรูบทที่ 11 เต็มไปด้วยเรื่องราวของหญิงชายมากมายที่ดำเนิน ชีวิตอยู่บนโลกนี้ด้วยแสงสว่างแห่งพระสัญญาของพระเจ้า และด้วยความแน่ใจใน บำเหน็จนิรันดร์ที่จะได้รับ

ชีวิตของอับราฮัมเป็นตัวอย่างของความโลเลในชีวิตคริสเตียน มีความเชื่อและการเชื่อ ฟังที่เอาแน่ไม่ได้ เราคิดว่าท่านเจ็บปวดเมื่อท่านต้องมอบภรรยาให้ผู้อื่นไปในอียิปต์ เพราะท่านพูดว่านางซารายเป็นน้องสาวไม่ใช่ภรรยา ท่านคงจะไม่ทำผิดอีก แต่เมื่ออ่าน มาถึงปฐมกาลบทที่ 20 ท่านก็ทำซ้ำอีกด้วยการบอกกับใครต่อใครว่านางซารายเป็น น้องสาว (20:13) ชัยชนะในอดีตไม่ได้เป็นหลักประกันว่าในอนาคตเราจะชนะได้แบบ เดิม เราจึงต้องระมัดระวังเพราะเรามีโอกาสล้มเหลว เราต้องพึ่งพิงพระเจ้าตลอดเวลา ด้วยการฟังพระวจนะคำ และพึ่งในพระวิญญาณของพระองค์

ดาวิดก็ไม่ต่างไปจากเรานัก ผิดพลาดล้มเหลวในเรื่อง "การเชื่อมโยง" ท่านมองเห็นได้ ถึง "ความเชื่อมโยง" ระหว่างความเชื่อของท่าน พระสัญญาของพระเจ้า และการกระ ทำที่ท่านทำต่อซาอูลในถ้ำ (บทที่ 24) แต่ในทำนองเดียวกัน หลังเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ในบทที่ 24 ดาวิดกลับมองข้ามหลักการเดียวกันนี้อย่างสิ้นเชิงในบทที่ 25 แต่ด้วยคำ พูดที่ชาญฉลาดของนางอาบีกายิล ที่เตือนดาวิดให้เห็นหลักความจริงของ "การเชื่อม โยง" ในความโง่และคำพูดสามหาวของนาบาล ผมคิดถึงพวกอัครสาวกและผู้นำ คริสตจักรในกรุงเยรูซาเล็มในพระธรรมกิจการบทที่ 10 และ 11 พวกเขาเชิญเปโตร ไปที่บ้านของคนต่างชาติ เพื่อไปประกาศพระกิตติคุณให้ทุกคนที่นั่นฟัง พวกเขาสรุป กันว่าพระเจ้าประทานความรอดให้แก่คนต่างชาติด้วยเช่นเดียวกับที่ให้คนยิว (กิจการ 11:18) แต่เมื่อพวกเขาเองออกไปประกาศ ก็ประกาศให้เฉพาะคนยิวเท่านั้น (กิิจการ 11:19) พวกเขามองไม่เห็น "การเชื่อมโยง" กันระหว่างคำสอนของพระเจ้า และการ นำไปใช้ในชีวิตจริง และเราเองทุกคนก็เป็นเหมือนกันด้วย

ดาวิดเป็นเหมือนสิ่งเตือนให้เรานึกถึงพระคุณที่เทลงมาอย่างล้นเหลือเพื่อเรา โดย เฉพาะ (ในบทนี้) พระองค์เข้ามาแทรกแซงไม่ให้เรากระทำในสิ่งที่โง่เขลา เรารู้ดีว่า เราได้รับความรอดโดยพระคุณล้วนๆ ไม่มีส่วนใดมาจากตัวเราเองเลย เรารู้ดีอีกว่า ทุก สิ่งดีในชีวิตเป็นผลมาจากพระคุณทั้งสิ้น มีหญิงชราบางคนเคยพูดไว้ว่า "ทุกอย่างล้วน เป็นพระคุณ" ซึ่งก็ใช่ และในท่ามกลางทุกสิ่งคือการเข้ามาคั่นกลางเพื่อป้องกันเราจาก ความบาปและการกระทำอันโง่เขลา ผมไม่ได้บอกว่าพระเจ้าจะกันเราออกจากความบาป เสมอไป ; ผมกำลังจะบอกว่าถ้าพระเจ้าไม่เข้ามามีส่วนในชีวิตประจำวันของเรา เราคง ต้องทำบาปมากมายเกินกว่าที่เรานึกถึง ถ้าปล่อยทิ้งไว้ดาวิดคงจะทำชีวิตของตนเอง ป่นปี้ด้วยการไปฆ่านาบาลและคนในครัวเรือน ผมสงสัยจังว่าเราคงจะทำบาปโง่เขลา ลงไปมากมายถ้าพระเจ้าไม่เข้ามาขัดขวางเอาไว้ อาจไม่ใช่วิธีเดียวกับที่ทูตสวรรค์ขัด ขวางบาลาอัม แต่เราขอบพระคุณพระองค์ที่ได้ช่วยขัดขวางเราไว้ !

สุดท้ายนี้ เราได้รับบทเรียนจากการที่ดาวิดถ่อมใจรับฟังผู้ที่ด้อยกว่า ดาวิดเป็นผู้ที่ได้ รับเลือกให้เป็นกษัตริย์องค์ต่อไปของอิสราเอล ท่านมีผู้ติดตาม 600 คน รวมทั้งอาบี อาธาร์ปุโรหิต และยังมี "เอโฟด" เพื่อแสวงหาน้ำพระทัยพระเจ้าด้วย ถึงแม้ดาวิดจะ มีการทรงนำหลายวิธีจากพระเจ้า ดาวิดยังยินยอมที่จะฟังคำของสตรีผู้นี้ นางอาบีกายิล ดาวิดอาจคิดทำสิ่งที่โง่เขลา แต่อย่างน้อยท่านก็ยังเห็นคุณค่าในถ้อยคำของนาง ท่าน รับฟังและเรียนรู้ ท่านเข้าใจดีว่าความรู้ไม่จำเป็นต้องมาจากผู้ที่่เหนือกว่าเสมอไป บาง คนจะยอมฟังเฉพาะจากผู้ที่มีอำนาจเหนือกว่าเท่านั้น เพราะคิดว่าไม่มีทางเรียนรู้ได้จาก ผู้ที่ต่ำกว่า สามีหลายคนไม่ยอมฟังสติปัญญาที่พระเจ้ามอบให้ผ่านทางภรรยา หรือแม้ กระทั่งผ่านทางลูกๆ ขอให้เราทั้งหลายตระหนักว่าสติปัญญาและของประทานไม่จำเป็น ต้องผูกอยู่กับตำแหน่งหน้าที่ของใครคนใดคนหนึ่่งหรือผู้ที่มีอำนาจสูงกว่า ขอให้เรา เรียนรู้จากสติปัญญาเหล่านี้ไม่ว่ามาจากแหล่งใดก็ตามที่พระเจ้าทรงใช้

    นาบาล

นาบาลเป็นตัวแทนของความเลวร้ายในมนุษย์ เป็นคนหยิ่งยโสและเห็นแก่ตัว เขาไม่ ตระหนักเลยว่าความมั่งคั่งที่ได้รับนั้นมาจากพระเจ้า เขาตัดสินผู้อื่นด้วยรูปกายภายนอก เช่นวงศ์ตระกูลชื่อเสียง เขาไม่ชื่นชมในสติปัญญา และไม่ยอมฟังเสียงของผู้ที่ช่วย แบ่งเบาปัญหาได้ แม้กระทั่งช่วยชีวิตไว้ด้วย เขามองไม่เห็นถึงสติปัญญาของภรรยาที่ พระเจ้าประทานให้ เขาคิดว่าความมั่งคั่งเป็นตัววัดคุณค่าของคน จึงรู้สึกว่าไม่ต้องการ คำแนะนำจากผู้ใด เขานึกไม่ถึงว่าอันตรายกำลังใกล้เข้ามา นาบาลเป็นคนเลวร้ายได้ ถึงที่สุด เป็นคนที่ต้องการพระคุณอย่างยิ่ง แต่กลับเชื่อมั่นว่าสามารถสร้างได้ด้วยตนเอง นาบาลมองไม่เห็นและไม่สนใจในกษัตริย์ของพระเจ้าถึงแม้จะได้ยินกับหูก็ตาม เขาเป็น คนที่ทำให้ตัวเองต้องประสบกับหายนะ

นาบาลนับว่าเป็นคนที่แย่ที่สุด และดาวิดก็เกือบทำในสิ่งที่ไม่ต่างกัน ถ้านางอาบิกายิล ไม่ห้ามไว้ ขอให้เรายกย่องในสติปัญญาของสตรีผู้นี้ และให้เกียรติแก่นาง :

30 เสน่ห์เป็นของหลอกลวง และความงามก็เปล่า ประโยชน์ แต่สตรียำเกรงพระเจ้าสมควรได้รับคำ สรรเสริญ 31 จงให้เธอรับผลแห่งน้ำมือของเธอ และให้การงานของเธอสรรเสริญเธอที่ประตูเมือง
(สุภาษิต 31:30-31).


119 มีการบันทึกถึงการสิ้นชีวิตของซามูเอลซ้ำอีกใน 28:3 ผมคิดว่าผู้เขียนคงไม่ได้ต้องการ บันทึกตามข้อมูลทางประวัติศาสตร์เท่านั้น แต่การเสียชีวิตของซามูเอลคงมีผลกระทบที่สำคัญ ต่อเหตุการณ์ที่ติดตามมา

120 คำว่า "ผู้ชาย" ในครัวเรือน (ในฉบับแปลภาษาอังกฤษใช้คำนี้) แปลมาจากคำในภาษา ฮีบรูที่มีความหมายว่า "ผู้ที่ถ่ายปัสสาวะรดกำแพง" ผมไม่แน่ใจว่าทำไมดาิวิดจึงใช้เฉพาะคำว่า "ผู้ชาย" กับครัวเรือนของนาบาล แต่ก็มีที่อื่นที่ใช้ในทำนองเดียวกัน เช่น 1 ซามูเอล 25:34; 1 พกษ. 14:10; 16:11; 21:21; 2 พกษ. 9:8.

121 สิ่งที่น่ามหํศจรรย์ใจในคำพูดของอาบิกายิล คือพระเจ้ายังไม่ได้เปิดเผยเรื่องนี้กับดาวิดจน ถึง 2 ซามูเอลบทที่ 7 คำพูดของนางไปไกลกว่าที่พระเจ้าได้เผยไว้กับดาวิดในตอนนั้น คำพูด ของนางจึงน่าจะเป็นดังคำพยากรณ์

122 การเลือกใช้คำพูดของนางอาบิกายิลนั้นสำคัญมาก นางเลือกใช้ภาพของรังสลิง ซึ่งเป็น อาวุธชนิดเดียวกับที่ดาวิดใช้ฆ่าโกลิอัท มาเป็นตัวเปรียบเทียบ

Related Topics: Introductions, Arguments, Outlines

บทที่ 24: โอกาสครั้งที่สอง (1 ซามูเอล 26:1-25)

คำนำ

มาถึงบทนี้ นักวิชาการบางคนมักให้เหตุผลทำนองว่า "เหตุการณ์ในบทที่ 26 นี้เหมือน กับบทที่ 24 มาก ความเหมือนนี้สามารถอธิบายสรุปได้ว่า เป็นเรื่องใหม่ในสถานการณ์ เดิม"123 http://www.bible.org/docs/ot/books/1sa/deffin/ คงยากที่สรุปเช่นนี้โดยไม่ทำให้เกิดความรู้สึกว่าเนื้อหาในพระคัมภีร์นั้นสับสน และผิดพลาด เป็นความจริงว่าทั้งสองบทมีส่วนคล้ายกัน ตัวอย่างเช่น ในทั้งสองบท ชาวศิฟเป็นผู้ไปแจ้งเบาะแสของดาวิดให้แก่ซาอูล แต่ที่ยากคือเราแค่มองเห็นว่าชาว ศิฟพยายามทำซ้ำสองอีกเมื่อครั้งแรกไม่ประสบความสำเร็จหรือเปล่า ?

ผมคิดว่านักเรียนพระคัมภีร์ทำถูกต้องที่สังเกตเห็นความเหมือนกันนี้ แต่ยังผิดในความ เห็นของผม พวกเขาอธิบายถึงความเหมือนกันนี้โดยถือตามข้อสรุปว่า พระคัมภีร์ทั้ง สองตอนหรือตอนใดตอนหนึ่งมีช่องโหว่ ซึ่งฟังดูง่าย (หรือดี) กว่า แต่เมื่อเราเริ่มต้น ว่าพระคัมภีร์เป็นพระวจนะคำของพระเจ้าที่ไม่มีข้อผิดพลาด ผมจึงอยากให้เราสรุปว่า ความเหมือนกันเรื่องการเผชิญหน้าของซาอูลและดาิวิดในทั้งสองบทนี้เป็นพระประสงค์ ในแบบของพระเจ้า ให้คิดว่าผู้เขียนตั้งใจให้เราเห็นว่าทั้งสองบทมีทั้งความเหมือนและ ความต่าง เพื่อเราจะได้คำนึงถึงข้อเหมือนและข้อแตกต่าง และผมอยากให้เราสรุปต่อ ไปด้วยว่าผู้เขียนต้องการให้เราพิจารณาดูทั้งสองข้อนี้ให้ดี เพราะสองข้อนี้อาจเป็น กุญแจสำคัญใขไปสู่ความเข้าใจเรื่องราวทั้งสองตอนได้

ขอยกตัวอย่างในสิ่งที่ผมพยายามอธิบาย ในพระธรรมปฐมกาล เราพบว่าพวกพี่ชาย ของโยเซฟขายท่านไปเป็นทาสในอียิปต์ ที่ทำเช่นนั้นเพราะความอิจฉาและเกลียดชัง เหตุเพราะท่านเป็นลูกคนโปรดของยาโคบ พวกเขาไม่สนใจว่าการขายโยเซฟไปนั้นจะ ทำให้หัวใจของผู้เป็นบิดาแหลกสลาย แต่เมื่อโยเซฟได้ขึ้นเป็นถึงตำแหน่งรองจาก ฟาโรห์ พวกพี่ชายต้องเดินทางมาขอซื้อข้าวถึงในอียิปต์ โดยหารู้ไม่ว่าต้องมาขอซื้อ จากน้องชายของตนเอง โยเซฟจึงสร้างสถานการณ์ที่บังคับให้พวกพี่ๆพาน้องชายคน เล็กเบนยามินมาด้วยในครั้งหน้าที่กลับมาอียิปต์ และโยเซฟได้สร้างเหตุการณ์ที่ทำให้ เบนยามินดูเหมือนขโมยของไป โยเซฟให้โอกาสพี่ชายที่จะทรยศต่อเบนยามินผู้เป็น น้องอีกครั้ง เพื่อน้องจะได้ถูกกักตัวไว้เป็นทาสในอียิปต์ และพี่ชายสามารถเดินทาง กลับบ้านได้โดยปลอดภัย พูดอย่างสั้นๆก็คือ โยเซฟให้โอกาสพวกพี่ชายที่จะรื้อฟื้นสิ่ง ที่พวกเขากระทำแก่ท่านเมื่อ 20 ปีที่แล้ว จุดเด่นในสถานการณ์ที่ "คล้าย" กันในอียิปต์นี้ คือการกระทำของพี่ชาย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง - การตอบสนองของยูดาห์ ความสงสารที่ พวกเขามีต่อยาโคบและความเป็นห่วงในเบนยามินแสดงให้โยเซฟเห็นว่าพวกเขาสำนึกผิดอย่างจริงใจ สถานการณ์นี้คล้ายกับสถานการณ์ที่โยเซฟเคยผ่านมาก่อน และใน แบบของพระเจ้า พระองค์ต้องการแสดงให้เห็นชัดเจนว่าการกลับใจของพี่ชายนั้นเป็น ข้อแตกต่างจากเหตุการณ์ซึ่ง "เหมือนกัน" ในครั้งแรกอย่างสิ้นเชิง

สิ่งนี้น่าจะเป็นสิ่งเดียวกับที่ผู้เขียนพระธรรม 1 ซามูเอลต้องการแสดงให้เห็นในบทที่ 26 ในบทที่ 24 ดาวิดถูกจิตสำนึกของตนเองโจมตีเพราะท่านแอบไปตัดชายเสื้อคลุมของ ซาอูล ขณะที่ดาวิดทำในสิ่งที่ถูกต้องหลายอย่างต่อซาอูลในบทที่ 24 แต่ท่านกลับผิด พลาดที่จะทำในหลักเดียวกันกับนาบาลในบทที่ 25 แต่เมื่อหลังจากถูกนางอาบิกายิล ตำหนิอย่างอ่อนสุภาพ ดาวิดจึงละการแก้แค้นทั้งสิ้นไว้ที่พระเจ้าและล้มเลิกแผนการฆ่า นาบาลหมดสิ้น ในบทที่ 26 เราพบว่าดาวิดต้องเผชิญกับสถานการณ์ที่คล้ายคลึงกับใน บทที่ 24 ผมเชื่อว่าพระเจ้ากำลังให้โอกาสครั้งที่สองกับท่าน ให้โอกาสทำในสิ่งที่ "ถูก ต้อง" และท่านก็ได้ทำอย่างที่เราจะเห็นกันต่อไป ความคล้ายคลึงกันระหว่างบทที่ 24 และ 26 นี้ทำให้เรารู้ว่าดาวิดได้รับโอกาสแก้ตัวอีกครั้ง ที่แตกต่างคือเราจะเห็นว่าดาวิด ทำได้อย่างไรในครั้งที่สองนี้

รำลึกถึงความหลัง
(26:1-5)

1 ชาวศิฟมาหาซาอูลที่เมืองกิเบอาห์ทูลว่า "ดาวิดซ่อนตัวอยู่บนเขา ฮาคีลาห์ ซึ่งอยู่ทางตะวันออกของเยชิโมนมิใช่หรือ" 2 ซาอูลจึงทรง ลุกขึ้นลงไปที่ถิ่นทุรกันดารศิฟ พร้อมกับชายอิสราเอลที่คัดเลือกแล้ว สามพันคน เพื่อแสวงดาวิดในถิ่นทุรกันดารศิฟ 3 และซาอูลทรงตั้ง ค่ายอยู่ที่เขาฮาคีลาห์ซึ่งอยู่ข้างถนนทางทิศตะวันออกของเยชิโมน แต่ดาวิดยังคงอยู่ในถิ่นทุรกันดาร และเมื่อท่านเห็นว่าซาอูลเสด็จมา หาท่านที่ในถิ่นทุรกันดาร 4 ดาวิดก็ส่งผู้สอดแนมออกไป จึงทราบว่า ซาอูลทรงยกมาแน่แล้ว 5 แล้วดาวิดก็ลุกขึ้นมายังที่ซึ่งซาอูลทรงตั้ง ค่ายอยู่ และดาวิดก็เห็นที่ที่ซาอูลบรรทมพร้อมกับอับเนอร์บุตร เนอร์ แม่ทัพ ซาอูลบรรทมอยู่กลางเขตค่าย ฝ่ายกองทัพก็ตั้งค่ายอยู่รอบ พระองค์

เราเคยรู้จักชาวศิฟมาก่อน บทที่ 23 กล่าวว่าชาวศิฟมาพบซาอูลที่บ้านในกิเบอาห์ เพื่อจะบอกที่ซ่อนตัวของดาวิด และสัญญาจะนำตัวมามอบให้ (23:19-20) ซาอูลต้อง การให้มั่นใจว่าดาวิดจะไม่หลุดรอดไปได้ ท่านจึงสั่งให้พวกศิฟกลับบ้านไปก่อนพร้อม สั่งให้คอยจับตาดูดาวิดไว้ เพื่อว่าเมื่อออกตามล่าจะได้หนีไม่พ้น (23:21-23) พวกเขา จึงกลับไป และซาอูลก็รีบเร่งออกไปตามล่าดาวิดในทันที เมื่อดาวิดรู้ว่าซาอูลกำลังมา ท่านหนีลงใต้และเกือบถูกซาอูลจับได้ที่บนภูเขาในถิ่นทุรกันดารมาโอน ถ้าไม่เป็นเพราะ มีผู้มาส่งข่าวเรื่องฟิลิสเตียยกทัพมาโจมตีอิสราเอล ซาอูลคงจะจับดาวิดได้สำเร็จ (23:24-29)

เมื่อซาอูลกลับจากการรบกับฟิลิสเตีย ท่านออกมาตามล่าดาวิดอีกครั้ง ในระหว่างทาง ท่านเข้าไปในถ้ำที่ดาวิดและพรรคพวกหลบซ่อนอยู่ ขณะที่ซาอูลอยู่ในถ้ำ ดาวิดแอบ ตัดชายเสื้อคลุมของท่านไว้ แต่ไม่อนุญาตให้ใครทำอันตรายท่าน หลังจากนั้นดาวิด แสดงตัวแก่ซาอูล เพื่อแจ้งว่าท่านมีใจบริสุทธิ์และไม่เคยคิดทำร้ายถึงแม้โอกาสจะ อำนวย ซาอูลรู้สึก "สำนึก" ผิดในขณะนั้น แล้วทั้งสองก็จากกันด้วยดี (บทที่ 24) ตรง นี้เป็นสิ่งที่ดาวิดแสดงให้ทุกคนเห็นว่าท่าน (หรือคนอื่นๆ) จะเป็นฝ่ายผิดถ้าคิดกำจัด ซาอูลออกจากบัลลังก์ด้วยการทำร้าย เพราะเท่ากับเป็นการต่อต้านผู้ที่พระเจ้าเจิมไว้ ดาวิดจะไม่ทำอันตรายกษัตริย์ ; ท่านต้องการทำแต่สิ่งดีเท่านั้น

พอบทที่ 25 เราเห็นว่าดาวิดไม่ยินยอมผ่อนปรนกับนาบาลในแบบเดียวกับที่ทำต่อ ซาอูล ดาวิดส่งลูกน้อง 10 คนไปพบนาบาลเพื่อขอปันอาหารจากงานฉลองหลังตัด ขนแกะ นาบาลปฏิเสธอย่างหยาบคาย นอกจากไม่ให้อาหารแล้วยังพูดจาเยาะเย้ย ดาวิดและพรรคพวกอย่างเจ็บแสบ ดาวิดโกรธจัดมุ่งออกไปหมายจะฆ่านาบาลและู้ชาย ในครัวเรือนทั้งสิ้น ด้วยการใช้สติปัญญาแก้ปัญหาของนางอาบิกายิลภรรยาของนาบาล นาบาลจึงรอดชีวิต และดาวิดไม่ได้พลาดพลั้งทำสิ่งโง่เขลาลงไป เมื่อนางวิงวอนต่อ ดาวิด นางเตือนสติทำให้ท่านระลึกถึงวิธีการที่ท่านเคยปฏิบัติมาก่อนแล้วในบทที่ 24

แล้วเราก็เห็นชาวศิฟมาแจ้งเบาะแสเรื่องดาวิดกับซาอูลอีกครั้ง เมื่อพวกศิฟมาหาซาอูล ซาอูลไม่ได้อยู่ในถิ่นทุรกันดารศีฟเพื่อสร้างอิทธิพลกดดันแก่ชาวศิฟที่ไม่ยอมให้ความ ร่วมมือ ท่านอยู่ที่บ้านในกิเบอาห์และล้มเลิกการออกตามล่าดาวิดไปแล้ว อย่างน้อยก็ ในชั่วขณะนั้น แต่เมื่อมีผู้มาแจ้งเบาะแส ซาอูลก็ออกตามล่าดาวิดอีกในทันที124 http://www.bible.org/docs/ot/books/1sa/deffin/ ชาวศิฟเหล่านี้เป็นลูกหลานของคาเลบและเป็นคนยูดาห์ ซึ่งก็คือเป็นพี่น้องในเผ่ายูดาห์ เช่นเดียวกับดาวิด แต่พวกเขากลับทรยศต่อกษัตริย์องค์ต่อไปโดยนำข้อมูลไปให้กับคน ต่างเผ่าเบนยามินอย่างซาอูล

ซาอูลกลับไปยังถิ่นทุรกันดารศีฟโดยมีทหารฝีมือดีตามไปถึง 3,000 คน ครั้งนี้ท่านจะ ไม่มีวันปล่อยให้ดาวิดหลุดมือไปได้ ซาอูลไปตั้งค่ายอยู่ที่เขาฮาคีลาห์ติดกับถนน ส่วน ดาวิดยังอยู่ลึกเข้าไปในถิ่นทุรกันดาร ครั้งนี้แตกต่างไปจากครั้งที่แล้วที่ทั้งสองเผชิญ หน้ากัน ครั้งแรกดาวิดพยายามหนีในขณะที่ซาอูลไล่ตามไปติดๆ ครั้งนี้ทหารของซาอูล ตั้งค่ายอยู่ในขณะที่ดาวิดรุก คนของดาวิดไปสอดแนมและกลับมารายงาน ท่านออกไป ดูเองพร้อมกับลูกน้อง เมื่อมองลงไปที่ค่ายเห็นซาอูลนอนอยู่กลางค่าย คงจะสังเกตเห็น ได้ง่ายเพราะท่านสูงใหญ่ใส่เสื้อเกราะครบชุดและมีหอกอยู่ด้วย ที่นอนอยู่ใกล้ๆกันคือผู้ เป็นทั้งลุงและแม่ทัพของท่าน อับเนอร์ ล้อมรอบด้วยทหาร 3,000 คน ซึ่งดูคล้ายวง แหวนที่กระจายออกเมื่อโยนก้อนหินลงน้ำ

ชักชวนและอาสาสมัคร
(26:6-12)

6 แล้วดาวิดก็พูดกับอาหิเมเลคคนฮิตไทต์ และกับอาบีชัยบุตรของนาง เศรุยาห์ น้องชายของโยอาบว่า "ผู้ใดจะลงไปในค่ายของซาอูลกับเราบ้าง" อาบีชัยตอบว่า "ข้าพเจ้าจะลงไปกับท่าน" 7 ดาวิดและอาบีชัยจึงลงไปที่ กองทัพในเวลากลางคืน และดูเถิด ซาอูลบรรทมอยู่กลางเขตค่าย มีหอก ปักอยู่ที่ที่ดินตรงศีรษะ อับเนอร์กับพวกพลก็นอนล้อมพระองค์อยู่ 8 อาบีชัย พูดกับดาวิดว่า "ในวันนี้พระเจ้าทรงมอบศัตรูของท่านไว้ในมือของท่านแล้ว บัดนี้ขอให้ข้าพเจ้าแทงเขาด้วยหอกให้ติดดินครั้งเดียวก็พอ และข้าพเจ้าไม่ ต้องแทงเขาครั้งที่สอง" 9 แต่ดาวิดบอกอาบีชัยว่า "ขออย่าทำลายพระองค์ เลย เพราะผู้ใดเล่าจะเหยียดมือออกต่อสู้ผู้ซึ่งพระเจ้าทรงเจิมไว้ และจะไม่ มีความผิด" 10 และดาวิดกล่าวว่า "พระเจ้าทรงพระชนม์อยู่แน่ฉันใด พระเจ้า จะทรงฆ่าพระองค์ท่านเอง หรือจะถึงวันกำหนดที่พระองค์ต้องสิ้นพระชนม์ หรือพระองค์จะเสด็จเข้าสงครามและพินาศเสีย 11 ขอพระเจ้าทรงห้ามปราม ข้าพเจ้าไม่ให้เหยียดมือออกต่อสู้ผู้ที่พระองค์ทรงเจิมไว้ บัดนี้จงเอาหอกที่ อยู่ตรงพระเศียรกับเหยือกน้ำ และให้เราไปกันเถิด" 12 ดาวิดจึงเอาหอกและ เหยือกน้ำจากที่พระเศียรของซาอูล และเขาทั้งสองก็ออกไป ไม่มีใครเห็น ไม่มีใครทราบ และไม่มีคนใดตื่นเพราะเขาหลับสนิททุกคน เพราะพระเจ้าทรง บันดาลให้เขาหลับสนิท

เมื่อดาวิดรู้ตำแหน่งที่ตั้งของค่ายจากสายสืบ ท่านพร้อมด้วยผู้ติดตามอีกสองคนลง ไปดูที่นั่น125 สองคนที่ไปด้วยคืออาหิเมเลคคนฮิตไทต์ (คนละคนกับปุโรหิตที่ถูก ซาอูลฆ่าตาย) และอาบีชัยบุตรเศรุยาห์ผู้เป็นน้องของโยอาบและพี่ของอาสาเฮล (2 ซามูเอล 2:18) ดาวิดถามสองคนนี้ว่าใครจะอาสาลงไปที่ค่ายของซาอูลกับท่านบ้าง อาหิเมเลคนิ่งเฉยขณะที่อาบีชัยอาสาลงไป

ลองจินตนาการดูว่าถ้าคุณเป็นอาบีชัย แล้วซาอูลนอนอยู่ข้างในสุดของวงล้อมทหาร อับเนอร์แม่ทัพผู้กล้าหาญและองครักษ์ของซาอูลนอนอยู่ติดกัน คุณต้องย่องผ่านบรรดา ทหารที่นอนเรียงรายอยู่อย่างระมัดระวัง อาจมีคนตื่นขึ้น เพราะมันดูเหลือเชื่อว่าทหาร ทั้ง 3,000 คนนี้ไม่มีใครตื่นอยู่ยามเลย คุณต้องได้ยินเสียงกรนดังจนนึกอยากจับนอน ตะแคงให้หมดถ้าไม่กลัวว่าจะตื่น คุณอาจสะดุดเศษไม้หน้าคะมำ -- หัวใจแทบหยุดเต้น คุณคงไม่อยากเชื่อว่าคุณและดาวิดจะทำสำเร็จเมื่อมาถึงและยืนดูซาอูลนอนหลับสนิท พร้อมด้วยอับเนอร์แม่ทัพ เหนือศีรษะของซาอูลมีหอกปักอยู่ และมีเหยือกน้ำวางอยู่ ด้วย126

ถ้าคุณเป็นอาบีชัย คงไม่ต้องคิดนานหรอกว่าอะไรจะเกิดตามมา เพราะจากเหตุการณ์ ในถ้ำ และท่าทีที่ดาวิดอิดออดไม่ยอมฆ่าซาอูล อาบีชัยจึงกระซิบให้เหตุผลกับดาวิดว่า "พระเจ้าได้มอบซาอูลไว้ในมือของท่านแล้ว ขอให้ผมลงมือจัดการฆ่าท่านเสียด้วยหอก นี้แหละ แค่แทงเพียงครั้งเดียว ผมมั่นใจว่าไม่รอดแน่" อาบีชัยอาจคิดในใจว่า "จริงอยู่ ดาวิดปฏิเสธไม่ยอมฆ่าซาอูลที่ในถ้ำ แต่ตอนนี้ท่านน่าจะได้รับบทเรียนแล้ว เพราะถ้า ท่านยังขืนรีรออยู่อีก เราน่าจะเป็นผู้ลงมือทำให้เอง ที่แน่ๆดาวิดคงไม่ได้อาสาหาคน เสี่ยงตายลงมาด้วยเพื่อมายืนดูกษัตริย์เฉยๆแล้วกลับขึ้นไป" นับเป็นเรื่องชวนท้าทาย ทั้งดาวิดและอาบีชัยมาก เพราะทั้งคู่ความเห็นไม่ลงรอยกัน แถมยังต้องคอยระวังไม่ทำ ให้ทั้งกองทัพและซาอูลตื่นขึ้นมาด้วย

ดาวิดสั่งไม่ให้อาบีชัยฆ่าซาอูลด้วยเหตุผลสำคัญอย่างที่ท่านเคยพูดไว้ในถ้ำในบทที่ 24 ไม่มีผู้ใดสามารถเหยียดมือขึ้นต่อสู้กับผู้ที่พระเจ้าเจิมไว้โดยไร้ความผิดก็หามิได้ 127 http://www.bible.org/docs/ot/books/1sa/deffin/ ใน ข้อ 10 ดาวิดพูดมากกว่าที่ท่านเคยพูดไว้ "พระเจ้าทรงพระชนม์อยู่แน่ฉันใด พระเจ้า จะทรงฆ่าพระองค์ท่านเอง" ดาวิดให้ความมั่นใจกับอาบีชัย ถึงแม้ท่านจะไม่รู้ว่าด้วยวิธี การใด แต่จากประสบการณ์เรื่องนาบาลและอาบีกายิล ท่านรู้ดีว่าพระเจ้าจะทำพระประ สงค์ของพระองค์ให้สำเร็จได้ด้วยหลากหลายวิธี พระองค์อาจบันดาลให้ซาอูลตายลง ด้วยสาเหตุตามธรรมชาติ หรืออาจตายในสนามรบ นี่อาจเป็นหนึ่งในหลายๆวิธีที่พระเจ้า ปลดซาอูลลง แต่ไม่ว่ากรณีใดก็ตาม ต้องไม่ใช่ด้วยน้ำมือของดาวิดหรือของผู้ติดตาม

ดาวิดตั้งใจมาเพื่อเอาหอกและเหยือกน้ำของซาอูลไปเท่านั้น ท่านจึงดึงหอกและหยิบ เหยือกน้ำกลับไป พร้อมทั้งสั่งให้อาบีชัยตามกลับไปด้วย ผมพอจะเห็นภาพอาบีชัยเดิน ส่ายหัวตามหลังด้วยความเซ็งผ่านร่างระเกะระกะที่นอนอยู่บนพื้นกลับไป และหายลับไป ในความมืด นับเป็นภาระกิจที่เสี่ยงตาย! เพียงเพื่อไปเอาหอกและเหยือกน้ำกลับมาแค่ นั้น ไม่ว่าพวกเขาจะรู้หรือไม่ ผู้เขียนต้องการสื่อให้เห็นว่าเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องของโชค หรือยุทธวิธีทางทหารที่เก่งกาจ พระเจ้าได้บันดาลให้ทหารทั้ง 3,000 คนหลับสนิท อย่างอัศจรรย์ ถึงแม้ว่าดาวิดกับอาบีชัยจะเถียงกันเสียงดังลั่น (เป็นไปได้ไหมครับ ?) ก็ไม่มีสักคนตื่นขึ้นมา อาบีชัยอาจเดินสะดุดใครต่อใครต่อมาบ้างก็ได้ แต่ก็ยังปลอดภัย ผมสงสัยว่าในประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา มีวีรบุรุษกี่คนที่ต้องเผชิญกับสถานการณ์ที่เสี่ยง ตาย หรือได้รับมอบหมายภาระกิจที่สำคัญยิ่งโดยไม่รู้เลยว่าเบื้องหลังความสำเร็จทั้งสิ้น คือพระหัตถ์ของพระเจ้า

ปลุกอย่างไม่เกรงใจ
(26:13-16)

13 และดาวิดก็ข้ามไปอีกฟากหนึ่ง ไปยืนอยู่บนยอดเขาไกลออกไป มีที่ว่างกว้างใหญ่ระหว่างทั้งสองฝ่าย 14 ดาวิดก็ตะโกนเรียกพวกพล และเรียกอับเนอร์บุตรเนอร์ว่า "อับเนอร์เอ๋ย ท่านไม่ตอบหรือ" แล้ว อับเนอร์ตอบว่า "ใครนั่นที่มาร้องเรียกพระราชา" 15 และดาวิดตอบ อับเนอร์ว่า "ท่านไม่ใช่ผู้ชายดอกหรือ ในอิสราเอลมีใครเหมือนท่านบ้าง ทำไมท่านไม่เฝ้าพระราชาเจ้านายของท่านไว้ให้ดี เพราะมีคนหนึ่งเข้า ไปจะทำลายพระราชาเจ้านายของท่าน 16 ที่ท่านกระทำเช่นนี้ไม่ดีแน่ พระเจ้าทรงพระชนม์อยู่แน่ฉันใด ท่านควรตายเพราะท่านมิได้เฝ้าเจ้า นายของท่านไว้ให้ดี ผู้ที่พระเจ้าทรงเจิมไว้ บัดนี้ตรวจดูทีว่าหอกของ พระราชาอยู่ที่ไหน และเหยือกน้ำที่ตรงพระเศียรนั้นอยู่ที่ไหน"

ดาิวิดถูกเลี้ยงมาให้ฉลาด ท่านรอจนข้ามบริเวณที่เป็นหุบเขาไป ไกลขึ้นไปบนยอดเขา จนซาอูลไม่อาจทำอันตรายได้ จึงตะโกนออกไปให้ทุกคนได้ยิน โดยเจาะจงไปที่ อับเนอร์ เวลานั้นอาจจะยังมืดอยู่หรือเป็นเวลาย่ำรุ่ง ทหารของซาอูลคงตื่นขึ้นมา เพราะเสียงของดาวิด โดยไม่เห็นตัวคนเรียก อับเนอร์จำเสียงดาวิดไม่ได้

ดาวิดมีเหตุผลที่ต้องการให้ทุกคนได้ยินโดยเฉพาะอับเนอร์ ดาวิดชี้ให้ทั้งกองพลเห็น ว่าไร้ความสามารถในการปกป้องกษัตริย์ และดาวิดกล่าวว่าความบกพร่องเช่นนี้มีโทษ ถึงตาย เมื่อเราได้อ่านถ้อยคำที่ดาวิดพูดกับอับเนอร์และกองทัพ เราเริ่่มเห็นถึงเหตุผล ที่ดาวิดบุกเข้าไปในค่ายของซาอูล ท่านไม่ได้ทำเพื่อความสนุกสนาน เพื่อความสะใจ ชั่วครู่ ท่านมีแผน และเป็นแผนที่ประสพความสำเร็จด้วย เมื่อดาวิดเรียกหาอาสาสมัคร อาบีชัยก้าวออกมา ตามที่ดาวิดคาดไว้ เรารู้ว่าอาบีชัยเป็นนักรบผู้กล้าหาญตามที่พูดถึง อยู่ในพระธรรม 2 ซามูเอล 23:18-19:

18 ฝ่ายอาบีชัยน้องชายของโยอาบบุตรนางเศรุยาห์ เป็นหัวหน้าของ ทั้งสามสิบคนนั้น ท่านได้ยกหอกต่อสู้ทหารสามร้อยคน และฆ่าตายสิ้น และได้รับชื่อเสียงดังวีรบุรุษสามคนนั้น 19 ท่านเป็นผู้ที่มีชื่อเสียงโด่งดัง ที่สุดในสามสิบคนนั้น ฉะนั้นได้เป็นผู้บังคับบัญชาของเขา แต่ท่านไม่มี ยศเท่ากับสามคนนั้น

อาบีชัยเป็นทหารที่มีใจกล้า เป็นคนที่สามารถฆ่าคนได้โดยไม่สะทกสะท้าน ดาวิดให้ อาบีชัยติดตามมาด้วยโดยรู้อยู่เต็มอกว่าเขาต้องการจะฆ่าซาอูลทันทีที่เข้าถึงตัวได้

คนที่ดาิวิดตะโกนเรียกล้วนแล้วแต่เป็นทหาร ที่มาเพื่อจะจับดาวิด บางคนคิดว่าดาวิด เป็นบุคคลอันตรายที่ต้องการล้มราชบัลลังก์ ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง (ซึ่งความจริงไม่ใช่) พวกเขาเป็นองครักษ์ส่วนตัว แต่ดาวิดกลับบอกว่าเห็นข้อบกพร่องในหน้าที่ของพวก เขา -- หน้าที่ปกป้องซาอูล ดาวิดกล่าวว่าผู้ทีคิดจะ "ฆ่า" ซาอูลได้ฝ่าด่านป้องกันแข็ง ขันเข้าไปจนถึงตัวกษัตริย์เพื่อตั้งใจไปฆ่าแต่ก็ไม่ได้ทำอันตรายใดๆ เพราะท่านยับยั้งไว้ (เช่นอาบีชัย) กษัตริย์ยังมีลมหายใจอยู่หรือเปล่า ? ดาวิดพูดถูก! ท่านไม่ได้บุกเข้าไป เพื่อจะไปฆ่าซาอูล ในขณะที่อาบีชัยต้องการ สาเหตุเดียวที่อาบีชัยทำไม่สำเร็จเพราะ ดาวิดห้ามไว้ ถ้าไม่เชื่อให้ลองหาหอกและเหยือกน้ำของซาอูลดู ผมพอมองเห็นภาพ ความโกลาหลที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับอับเนอร์เมื่อมองไปที่ซาอูลนอนและเห็น แต่รูที่เคยมีหอกปักอยู่และเหยือกน้ำหายไป อาจมีรอยเท้าคนเดินไปมาในบริเวณนั้น ด้วย ดาวิดร้องเรียกให้กองพลส่งทหารขึ้นมาเอาของกลับคืนไป เพื่อพิสูจน์ว่าหอกอยู่ กับท่านจริง

ที่จริง ดาวิดเองเป็นผู้ที่ปกป้องชีวิตกษัตริย์ไว้ ส่วนอับเนอร์ในฐานะแม่ทัพ มีหน้าที่โดย ตรงในการดูแลความปลอดภัยทุกประการให้กับซาอูล อับเนอร์เป็นผู้รับผิดชอบเต็มตัว มีหน้าที่ต้องคอยเฝ้าดูอยู่ตลอดเวลา อาจกล่าวได้ว่าในขณะที่ซาอูลตกอยู่ในอันตราย เขากำลังอยู่ในหน้าที่ และตัวอับเนอร์เองก็นอนอยู่ใกล้กับกษัตริย์พอที่จะจัดการกับผู้ที่ บุกรุกเข้ามาได้ อับเนอร์เป็นนายทหารที่มีชื่อเสียงในกองทัพของซาอูล เหตุการณ์ครั้ง นี้ทำให้อับเนอร์เสียหน้ายิ่งนัก ! ที่ร้ายแรงที่สุดของการบกพร่องในหน้าที่รักษาความ ปลอดภัยให้กับกษัตริย์คือโทษประหาร ในกรณีนี้ไม่เพียงแต่อับเนอร์เท่านั้นที่สมควร ต้องโทษ ทหารทั้ง 3,000 คนก็มีความผิดในสถานเดียวกัน

บางคนเล่าเรื่องที่ได้ยินมาจากวิทยุให้ผมฟังว่า มีคนปองร้ายลูกชายของซัดดัม ฮุสเซน ลูกของซัดดัมปลอดภัยดี คนร้ายทำอะไรไม่ได้ แต่ข้อหาบกพร่องในหน้าที่รักษาความ ปลอดภัย บอร์ดี้้การ์ดทุกคนถูกฆ่าตายหมด ดาวิดไม่ได้พูดเล่น ทหารทุกคนที่อยู่ใน ที่นั้นคงหวั่นใจว่ากษัตริย์จะตอบโต้อย่างไร

ดาวิดพูดกับซาอูล (26:17-20)

17 ซาอูลทรงจำสำเนียงดาวิดได้จึงตรัสว่า "ดาวิดบุตรของข้าเอ๋ย นี่เป็นเสียงของเจ้าหรือ" และดาวิดทูลว่า "ข้าแต่พระราชาเจ้านาย ของข้าพระบาท เป็นเสียงข้าพระบาทพ่ะย่ะค่ะ" 18 และท่านทูลต่อ ไปว่า "ไฉนเจ้านายของข้าพระบาทจึงไล่ตามผู้รับใช้ของพระองค์ ข้าพระบาทได้กระทำอะไรไป มือข้าพระบาทผิดอย่างไรเล่า 19 เพราะฉะนั้นบัดนี้ขอพระราชาเจ้านายของข้าพระบาท ทรงฟังเสียง ผู้รับใช้ของฝ่าพระบาท ถ้าพระเจ้าทรงปลุกปั่นฝ่าพระบาทให้ต่อ สู้ข้าพระบาท ขอพระเจ้าให้ได้รับเครื่องถวาย ถ้าเป็นคนยุ ก็ขอให้ คนนั้นเป็นที่สาปแช่งต่อพระพักตร์พระเจ้า เพราะเขาได้ขับไล่ข้า พระบาทออกไปในวันนี้มิให้ได้ส่วนมรดกของพระเจ้า โดยกล่าวว่า 'จงไปปรนนิบัติพระอื่น' 20 เพราะฉะนั้นบัดนี้ ขออย่าให้โลหิตของ ข้าพระบาทตกถึงดินไกลจากพระพักตร์ พระเจ้า เพราะพระราชา แห่งอิสราเอลได้ออกมาหาชีวิตหมัดตัวเดียว ดังผู้หนึ่งไล่ตามนก กระทาอยู่บนภูเขา"

ซาอูลค่อยตั้งสติได้ ถึงแม้จะยังสลึมสลือ ท่านคงได้ยินเสียงโต้ตอบของดาวิดและ อับเนอร์ ซาอูลจำเสียงได้ ; ไม่ใช่เสียงใครอื่นนอกจากดาวิด ท่านคงได้ยินมากพอที่ จะทำให้ใจอ่อนลง "ดาวิดบุตรของข้าเอ๋ย นี่เป็นเสียงของเจ้าหรือ"128 ดาวิดจึง โต้ตอบและทูลถามซาอูลว่าทำไมจึงมาไล่ล่าท่านอีก ท่านถามว่าท่านได้ทำผิดสิ่งใด ต่อซาอูลจึงทำให้ซาอูลทำการเช่นนี้ และแน่นอนไม่มีคำตอบที่ดีพอ

คำพูดที่ตามมายิ่งน่าทึ่งเข้าไปใหญ่ ดาวิดขอร้องให้ซาอูลฟังคำของท่านและพิจารณา ดู การที่ซาอูลแสวงจะฆ่าดาวิดนั้นเป็นสิ่งที่ผิด เพราะดาวิดไม่ได้ทำผิดประการใดต่อ ซาอูล อันที่จริงท่านกลับเป็นคนที่ช่วยชีวิตซาอูลไว้ด้วยซ้ำ เมื่อชี้แจงไปแล้วดาวิดเสริม ต่อไปในเชิงหลักศาสนศาสตร์ในข้อ 19 และ 20 ว่าพระเจ้านั้นใหญ่ยิ่ง และพระองค์จะ ตอบแทนต่อซาอูลเองในการที่ท่านออกตามไล่ล่าดาวิด

ดูเหมือนซาอูลจะเชื่อว่าดาวิดทำผิดบางประการต่อท่าน ท่านจึงต้องออกมาล่าและจัด การให้จบสิ้น ดาวิดแสดงให้เห็นว่าซาอูลคิดเช่นนั้นได้เพราะสาเหตุสองประการ คือด้าน หนึ่งเป็นไปได้ว่าดาวิดทำผิดจริง และพระเจ้าเป็นผู้เร้าให้ซาอูลมาจัดการกับความบาป ของดาวิดเสีย ถ้าเป็นเช่นนี้ ก็ขอให้ซาอูลแจ้งความบาปนั้นให้ดาวิดทราบ และดาวิดจะ ไปจัดการถวายเครื่องบูชาลบบาป เพื่อพระเจ้าจะทรงพอพระทัย และถ้าเป็นตามนี้จึงไม่ มีสาเหตุใดที่ซาอูลจะออกมาล่าและลงโทษดาวิดอีกต่อไป เพราะพระเจ้าจะเป็นผู้ยก บาปให้เอง

และความเป็นไปได้อีกประการหนึ่ง ถ้าดาวิดเป็นผู้บริสุทธิ์ จึงเป็นไปได้ว่ามีคนกล่าว หาดาวิดอย่างผิดๆให้ซาอูลฟัง และทำให้ซาอูลเห็นว่าดาวิดเป็นบุคคลอันตรายที่ต้อง รีบกำจัดเสีย ถ้าการนี้เป็นจริง คนที่ใส่ความเท็จนี้จะถูกพระเจ้าลงโทษสาปแช่งเอง และไม่ใช่ดาวิดที่สมควรต้องโทษ แต่กลับเ็ป็นผู้ที่พูดเท็จต่างหาก

15 บุคคลที่ปล่อยผู้กระทำผิดและบุคคลที่ลงโทษคน ชอบธรรม ทั้งสองก็เป็นที่น่าเกลียดน่าชังแก่พระเจ้า
(สุภาษิต 17:15).

20 วิบัติแก่คนเหล่านั้นที่เรียกความชั่วร้ายว่าความดี และ ความดีว่าความชั่วร้าย ผู้ถือเอาว่าความมืดเป็นความสว่าง และความสว่างเป็นความมืด ผู้ถือเอาว่าความขมเป็นความ หวาน และความหวานเป็นความขม
(อิสยาห์ 5:20)

ความบาปของคนประเภทนี้มีมากกว่ากล่าวหาดาวิดด้วยความเท็จ และรุกเร้าให้ซาอูล มาตามฆ่าดาวิด แต่พวกเขาได้บังคับให้คนบริสุทธิืต้องหนีออกจากประเทศ พวกเขา เองพร้อมด้วยการสนับสนุนของซาอูลช่วยกันขับไล่ดาวิดให้ต้องออกจากอิสราเอล ความหมายเบื้องหลังในเรื่องนี้ถือว่าใหญ่ การต้องออกจากประเทศไปอย่างที่ดาวิดทำ ก็เท่ากับ "มิให้ได้ส่วนมรดกของพระเจ้า" (ข้อ 19) การบังคับให้เชื้อสายอิสราเอล แท้ต้องจากแผ่นดินเกิดไปก็เท่ากับเป็นการสั่งให้ "จงไปปรนนิบัติพระอื่น" (ข้อ 19)

จุดนี้เป็นจุดสำคัญมาก สำหรับเราอาจเข้าใจได้ยากกว่าในสมัยของดาวิดในพระคัมภีร์ เดิม ผมขอลองอธิบายดู เมื่อพระเจ้าทรงสร้างโลกและมนุษยชาติ พระองค์ให้อาดัม และเอวาอาศัยอยู่ในสถานที่พิเศษ สวนเอเด็น เป็นสถานที่ที่พระองค์มีสามัคคีธรรมกับ มนุษย์ แต่เมื่อทั้งสองทำบาป พวกเขาถูกขับออกจากสถานที่แห่งการสามัคคีธรรมและ พระพร เมื่อพระเจ้าเลือกสรรอับราฮัม พระองค์แยกผู้ที่เลือกสรรไว้ให้รับพระพร และลูก หลานของท่านจะได้รับพระพรเช่นกัน แต่พระองค์จัดเตรียมสถานที่แห่งพระพรไว้ให้ เป็นสถานที่ซึ่งอับราฮัมได้รับคำสั่งให้เดินทางไป โดยละทิ้งแผ่นดินเกิดและครอบครัว ไว้เบื้องหลัง พระเจ้าทรงเลือกสรรแผ่นดินอิสราเอลไว้ให้เป็นที่ที่พระองค์จะสถิตอยู่ด้วย ในแบบที่พิเศษ

เมื่อยาโคบโกงเอซาวพี่ชาย เขาเองก็ต้องจากแผ่นดินอิสราเอลนี้ไป ในขณะที่กำลัง ออกจากคานาอัน (ซึ่งภายหลังคือประเทศอิสราเอล) มุ่งหน้าไปยังปัดดานอาราม พระ เจ้าบันดาลให้ยาโคบฝัน :

12 เขาฝันว่ามีบันไดอันหนึ่งตั้งขึ้นบนแผ่นดินโลก ยอดถึงฟ้าสวรรค์ ทูตทั้งหลายของพระเจ้ากำลังขึ้นลงอยู่บนนั้น 13 พระเจ้าประทับยืน อยู่เหนือบันไดและตรัสว่า "เราคือเยโฮวาห์พระเจ้าของอับราฮัมบิดา ของเจ้า และพระเจ้าของอิสอัค แผ่นดินซึ่งเจ้านอนอยู่นั้นเราจะให้แก่ เจ้าและเชื้อสายของเจ้า 14 เชื้อสายของเจ้าจะเป็นเหมือนผงคลีบน แผ่นดิน เจ้าจะแผ่กว้างออกไปทิศตะวันตกและทิศตะวันออก ทางทิศ เหนือและทิศใต้ บรรดาพงศ์พันธุ์ของมนุษย์โลกจะได้รับพรเพราะเจ้า และเพราะเชื้อสายของเจ้า 15 เราอยู่กับเจ้า และจะพิทักษ์รักษาเจ้า ทุกแห่งหนที่เจ้าไป และจะนำเจ้ากลับมายังดินแดนนี้ เพราะเราจะไม่ ทอดทิ้งเจ้า จนกว่าเราจะได้ทำสิ่งซึ่งเราพูดกับเจ้าไว้นั้นแล้ว"16 ยาโคบ ตื่นขึ้นและพูดว่า "พระเจ้าทรงสถิตณที่นี้แน่ทีเดียว แต่ข้าหารู้ไม่" 17 เขากลัวและพูดว่า "สถานที่นี้ศักดิ์สิทธิ์นัก สถานที่นี้มิใช่อื่นไกล เป็นที่ประทับของพระเจ้า และประตูฟ้าสวรรค์" 18 ยาโคบจึงลุกขึ้น แต่เช้ามืด เอาก้อนหินซึ่งใช้หนุนศีรษะตั้งขึ้นเป็นเสาศักดิ์สิทธิ์ และเทน้ำ มันบนยอดเสานั้น 19 เขาเรียกสถานที่นั้นว่าเบธเอล แต่ก่อนเมืองนั้น ชื่อลูส 20 แล้วยาโคบปฏิญาณว่า "ถ้าพระเจ้าทรงอยู่กับข้าพระองค์ ทรงพิทักษ์รักษาในทางที่ข้าพระองค์ไป ประทานอาหารให้ข้าพระองค์ รับประทาน และเสื้อผ้าให้ข้าพระองค์สวม 21 จนข้าพระองค์กลับมา บ้านบิดาของข้าพระองค์โดยสวัสดิภาพแล้ว พระเยโฮวาห์จะทรงเป็น พระเจ้าของข้าพระองค์ 22 และก้อนหินซึ่งข้าพระองค์ตั้งไว้เป็นเสา ศักดิ์สิทธิ์ จะเป็นที่ประทับของพระเจ้า และทุกสิ่งที่พระองค์ทรงประ ทานแก่ข้าพระองค์ ข้าพระองค์จะถวายหนึ่งในสิบแก่พระองค์"
(ปฐมกาล 28:12-22)

ในฝันนี้ พระเจ้าสื่อกับยาโคบด้วยเรื่องที่สำคัญมาก นั่นคือเรื่องแผ่นดินคานาอัน สถานที่ที่่พิเศษยิ่ง ; เป็นสถานที่ที่เชื่อมต่อกันระหว่างฟ้าสวรรค์และโลกมนุษย์ เป็น สถานที่ที่พระเจ้าทรงสถิตอยู่อย่างพิเศษ เป็นเรื่องทีเร้าใจให้ยาโคบออกจากปัดดาน อารามและกลับมา เช่นเดียวกับที่พระเจ้าเลือกเฉพาะบางคนที่พระองค์จะสถิตอยู่ด้วย พระองค์ก็ทรงเลือกที่บางแห่งสำหรับพระองค์จะสถิตอยู่ด้วยเช่นกัน ด้วยเหตุนี้ร่างของ ยาโคบจึงถูกฝังอยู่ในแผ่นดินแห่งพันธสัญญา ถึงแม้ท่านจะตายในอียิปต์ก็ตาม (ปฐมกาล 47:27-31; 49:29-33) โยเซฟก็เช่นกัน สั่งว่าให้นำกระดูกของท่านกลับ คืนสู่บ้านเกิดเมื่อชนชาติอิสราเอลคืนสู่ประเทศ (ปฐมกาล 50:22-26; อพยพ 13:19)

เมื่อชาวอิสราเอลพร้อมที่จะเข้าไปยังดินแดนแห่งพันธสัญญา พระเจ้าสั่งอย่างชัดเจนให้ นมัสการพระองค์ในสถานที่ที่พระองค์เตรียมไว้เท่านั้นในแผ่นดินแห่งพันธสัญญา :

5 ท่านจงแสวงหาสถานที่จากเขตแดนของบรรดาเผ่าของท่าน ซึ่งพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านทั้งหลายจะทรงเลือกเพื่อสถาป นาพระนามของพระองค์ไว้ คือให้เป็นที่ประทับของพระองค์ ท่าน ทั้งหลายจงไปเฝ้าพระองค์ที่นั่น 6 และท่านทั้งหลายจงนำเครื่อง เผาบูชาและเครื่องสัตวบูชาของท่านไปที่นั่น ทั้งทศางค์และเครื่อง บูชาที่จะยื่นถวายทั้งเครื่องบูชาแก้บน เครื่องบูชาตามใจสมัคร และ ผลรุ่นแรก ที่ได้จากฝูงวัวและฝูงแพะแกะ 7 ท่านทั้งหลายจงรับ ประทานที่นั่นต่อพระพักตร์พระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่าน ทั้งท่าน และครอบครัวของท่านจงปีติร่าเริงในบรรดากิจการ ซึ่งท่านได้กระ ทำนั้น ซึ่งพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านอวยพระพรแก่ท่านทั้งหลาย 8 ท่านทั้งหลายอย่ากระทำตามอย่างที่เรากระทำอยู่ที่นี่ ทุกวันนี้คือ ทุกคนทำตามความเห็นดีเห็นชอบในสายตาของตนเอง 9 เพราะว่า ท่านทั้งหลายยังไปไม่ถึงที่หยุดพัก และถึงมรดกซึ่งพระเยโฮวาห์ พระเจ้าของท่านประทานแก่ท่าน 10 แต่เมื่อท่านข้ามแม่น้ำจอร์แดน ไปแล้ว และอาศัยอยู่ในแผ่นดินซึ่งพระเยโฮวาห์ พระเจ้าของท่าน ทั้งหลายประทานเป็นมรดกแก่ท่าน และเมื่อพระองค์โปรดให้ท่าน พักพ้นศัตรูรอบข้างของ ท่านทั้งสิ้นท่านจึงอยู่อย่างปลอดภัย 11 แล้ว จงไปยังสถานที่ซึ่งพระเยโฮวาห์ พระเจ้าของท่านจะทรงเลือกไว้ให้ พระนามของพระองค์ประทับที่นั่น จงนำบรรดาสิ่งต่างๆไปด้วยซึ่งข้าพเจ้า ได้บัญชาท่านทั้งหลาย คือเครื่องเผาบูชาและเครื่องสัตวบูชาของท่าน ทั้งทศางค์และเครื่องบูชาที่จะยื่นถวาย ทั้งเครื่องบูชาแก้บนซึ่งท่าน ได้บนไว้ต่อพระเจ้า 12 และท่านทั้งหลายจงปีติร่าเริงต่อพระเยโฮวาห์ พระเจ้าของท่าน ทั้งตัวท่านทั้งหลายและบุตรชายบุตรหญิงของท่าน ทั้งทาสชายหญิงของท่านและคนเลวีซึ่งอยู่ในเมืองของท่าน เพราะเขา ไม่มีส่วนแบ่งหรือส่วนมรดกกับท่าน 13 ท่านทั้งหลายจงระวังให้ดีอย่า ถวายเครื่องบูชาตามที่ทุกแห่งซึ่งท่านเห็นชอบ 14 แต่จงถวายในสถาน ที่ซึ่งพระเจ้าจะทรงเลือกในท่ามกลางเผ่าหนึ่งของท่าน ท่านจงถวายเครื่อง เผาบูชาของท่านที่นั่น และที่นั่นท่านจงกระทำทุกสิ่งที่ข้าพเจ้าได้บัญชา ท่านไว้
(เฉลยธรรมบัญญัติ 12:5-14)

การบังคับดาวิดให้ต้องหลบหนีออกจากอิสราเอล ก็เท่ากับเป็นการบังคับให้ออกจาก สถานที่ที่พระเจ้าสถิตอยู่ ; บังคับให้ออกจากสถานที่ที่ทรงจัดเตรียมไว้ให้ประชากร นมัสการพระองค์ ดังนั้นถ้าบังคับผู้ใดให้ออกไปจากอิสราเอลก็เท่ากับบอกให้ "จง ไปปรนนิบัติพระอื่น" คุณยังจำนางรูธได้หรือเปล่า ? ในพระธรรมนางรูธ นาโอมีและ สามีออกจากอิสราเอลไปยังแผ่นดินโมอับในช่วงขาดแคลนอาหาร เมื่อสามีและบุตรทั้ง สองของนางเสียชีวิต นาโอมีตัดสินใจเดินทางกลับอิสราเอล ลูกสะใภ้ทั้งสองเป็นชาว โมอับซึ่งนางนาโอมีคิดจะให้อยู่ต่อไปในโมอับ และนางจะเดินทางกลับมาตามลำพัง ให้ดูว่านาโอมีพูดกับลูกสะใภ้แบบใด และรูธตอบว่าอย่างไร :

12 ลูกของแม่เอ๋ย กลับไปเสียเถอะ กลับไปตามทางของเจ้า แม่แก่เกินที่จะมีสามีแล้ว หากแม่จะว่าแม่ยังมีความหวังอยู่ ถ้าแม่จะมีสามีคืนวันนี้และมีบุตรชาย 13 แล้วเจ้าจะรออยู่จน บุตรชายนั้นเติบโตได้หรือ เจ้าจะอดใจไม่แต่งงานหรือ อย่าเลย ลูกของแม่เอ๋ย แม่มีความขมขื่นมากเพราะเห็นแก่เจ้า ที่พระ หัตถ์ของพระเจ้าได้กระทำแก่แม่ถึงเพียงนี้" 14 แล้วต่างก็ส่ง เสียงร้องไห้อีก โอรปาห์ก็จุบลาแม่ผัว แต่รูธยังเกาะแม่ผัวอยู่ 15 นาโอมีจึงว่า "ดูซิ พี่สะใภ้ของเจ้ากลับไปหาชนชาติของ เขาและหาพระของเขาแล้ว จงกลับไปตามพี่สะใภ้ของเจ้าเถิด" 16 แต่รูธตอบว่า "ขอแม่อย่าวิงวอนให้ฉันจากแม่หรือเลิกติดตาม แม่ไปเลย เพราะแม่จะไปไหนฉันจะไปด้วย และแม่จะอาศัยอยู่ ที่ไหนฉันก็จะอยู่ที่นั่นด้วย ญาติของแม่จะเป็นญาติของฉัน และ พระเจ้าของแม่ก็จะเป็นพระเจ้าของฉัน 17 แม่ตายที่ไหนฉันจะ ตายที่นั่น และจะขอให้ฝังฉันไว้ที่นั่นด้วย ถ้ามีอะไรมาพรากฉัน จากแม่นอกจากความตาย ก็ขอพระเจ้าทรงลงโทษฉัน และ ให้หนักยิ่ง"
(นางรูธ 1:12-17)

ที่จริงการที่ชักจูงลูกสะใภ้ให้อยู่ต่อในแผ่นดินโมอับ และไม่ให้ติดตามกลับมาที่ อิสราเอล ก็เท่ากับชักจูงให้ไปปรนนิบัติพระอื่น การออกจากอิสราเอลเท่ากับการ ออกจากสถานที่ที่นมัสการพระเจ้า (เพราะพระองค์สถิตอยู่ ณ ที่นั้น โดยเฉพาะมี หีบแห่งพันธสัญญาและพลับพลาด้วย)

ใน 2 พงศ์กษัตริย์ พูดถึงเรื่องการรักษาและการกลับใจของนาอามานชาวซีเรีย เมื่อ นาอามานจะเดินทางกลับ ท่านขอบางสิ่งที่ดูจะแปลก จากผู้เผยพระวจนะเอลีชาห์ :

17 แล้วนาอามานจึงกล่าวว่า "มิฉะนั้นขอท่านได้โปรด ให้เอาล่อสองตัวบรรทุกดินแก่ผู้รับใช้ของท่านเถิด เพราะตั้งแต่นี้ไป ผู้รับใช้ของท่านจะไม่ถวายเครื่อง เผาบูชาหรือเครื่อง สัตวบูชาแด่พระอื่น แต่จะถวาย แด่พระเยโฮวาห์เท่านั้น
(2 พกษ. 5:17)

นาอามานตระหนักแล้วว่าพระเจ้าของอิสราเอลเป็นพระเจ้าเที่ยงแท้เพียงพระองค์เดียว และท่านรู้ดีว่าพระองค์ทรงสถิตอย่างเป็นพิเศษในอิสราเอล และต้องนมัสการพระองค์ ที่นั่น แล้วนาอามานจะทำอย่างไร ? ท่านขอนำดินจากแผ่นดินอิสราเอลกลับไปซีเรีย ด้วย เพื่อจะได้นมัสการพระเจ้าแห่งอิสราเอลบนดินของอิสราเอล129 http://www.bible.org/docs/ot/books/1sa/deffin/

หลังจากนั้นตามประวัติศาสตร์ของอิสราเอล พระเจ้าอนุญาตให้ประชากรของพระองค์ ตกไปเป็นเชลยห่างไกลจากแผ่นดินเกิด นับเป็นการกระทบที่รุนแรงที่สุดต่อคนอิสรา เอล เราสามารถสัมผัสความรู้สึกนี้ได้จากพระธรรมสดุดีบางตอนที่เขียนขึ้นในช่วงเวลา ที่ชาวยิวตกเป็นเชลยในบาบิโลน :

1 ณ ริมฝั่งลำน้ำแห่งบาบิโลนเรานั่งลง เมื่อได้ระลึก ถึงศิโยนเราก็ร่ำไห้ 2 เราแขวนพิณเขาคู่ของเราไว้ที่ ต้นไค้ 3 เพราะที่นั่นผู้ที่นำไปเป็นเชลยต้องการให้เรา ร้องเพลง และผู้ที่มัดพาเราต้องการให้สนุกสนาน เขา ว่า "จงร้องเพลงศิโยนสักบทหนึ่งให้เราฟัง" 4 เราจะ ร้องเพลงของพระเจ้าได้อย่างไร ที่ในแผ่นดินต่างด้าว 5 เยรูซาเล็มเอ๋ย ถ้าข้าพเจ้าลืมเธอ ก็ขอให้มือขวาของ ข้าพเจ้าลืมฝีมือเสีย 6 ขอให้ลิ้นของข้าพเจ้าเกาะติดเพ ดานปากของข้าพเจ้า ถ้าว่าข้าพเจ้าไม่ระลึกถึงเธอ ถ้าว่า ข้าพเจ้ามิได้ตั้งเยรูซาเล็มไว้เหนือความชื่นบานอันสูงที่ สุดของข้าพเจ้า
(สดุดี 137:1-6)

ดาวิดเคยหนีไปที่เมืองกัทในฟิลิสเตีย (21:10-15) และไปโมอับ (22:3-4) ผมเชื่อว่า ดาวิดอยู่นอกแผ่นดินอิสราเอลเมื่อผู้เผยพระวจนะกาดมาหาท่าน สั่งให้ท่านออกจากที่ กำบังเข้มแข็งกลับเข้าไปในแผ่นดินยูดาห์ (22:5) ไม่มีคำอธิบายอื่นใดในพระธรรมตอน นั้น และผมเชื่อว่าดาวิดเองก็ยังไม่ทราบว่าทำไม แต่เมื่อถึงเวลานี้ผมว่าท่านคงพอนึก ออก ท่านได้พบความจริงสำคัญบางประการ – ว่าอิสราเอลเป็นสถานที่พิเศษที่พระเจ้า เลือกที่ประทับอยู่อย่างพิเศษ และเป็นที่ๆพระองค์จะได้รับการนมัสการ เป็นที่ๆ สวรรค์ และโลกมาบรรจบกัน ตามความฝันของยาโคบ ดาวิดเริ่มเห็นความจริงจากการที่ซาอูล ตามล่าท่าน บีบบังคับให้ท่านต้องออกไปจากแผ่นดิน บรรดาผู้ที่ยุยงซาอูลให้ต่อสู้และ ขับไล่ดาวิดออกไปจากประเทศ ได้ปฏิบัติต่อท่านเหมือนคำกล่าวที่ว่า "จงไปปรนนิบัติ พระอื่น" ความผิดนี้ต้องโทษถึงตาย :

6 "ถ้าพี่ชายน้องชายของท่านมารดาเดียวกันกับท่าน หรือบุตรชาย บุตรหญิงของท่าน หรือภรรยาที่อยู่ในอ้อมอกของท่าน หรือมิตร สหายร่วมใจของท่าน ชักชวนท่านอย่างลับๆว่า 'ให้เราไปปรนนิบัติ พระอื่นกันเถิด' ซึ่งเป็นพระที่ท่านเองหรือบรรพบุรุษของท่านไม่รู้จัก 7 เป็นพระบางองค์ของชนชาติทั้งหลาย ซึ่งอยู่รอบท่าน ไม่ว่าใกล้หรือ ไกลจากสุดปลายแผ่นดินโลกข้างนี้ถึงที่สุดปลายโลกข้างโน้น 8 ท่าน อย่ายอมตามหรือเชื่อฟังเขา อย่าให้นัยน์ตาของท่านเมตตาปรานีเขา ท่านอย่าไว้ชีวิตเขา หรืออย่าซ่อนเขาไว้เลย 9 ท่านจงประหารชีวิตเขา เสีย ท่านควรลงมือก่อนในการทำโทษเขาถึงตาย และต่อไปให้คนอื่น ร่วมมือด้วย 10 ท่านจงเอาหินขว้างเขาให้ตาย เพราะเขาแสวงหาช่อง ที่จะพาท่านไปจากพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่าน ผู้ทรงพาท่านออก จากแผ่นดินอียิปต์ออกจากแดนทาส 11 และคนอิสราเอลทั้งปวงจะฟัง และยำเกรง ไม่กระทำความชั่วเช่นนี้ท่ามกลางท่านทั้งหลายอีกเลย
(เฉลยธรรมบัญญัติ 13:6-11; ดูข้อ 12-18 ด้วย)

การตามล่าแสวงชีวิตดาวิดนั้นเป็นเรื่องร้ายแรงมาก เป็นความผิดเพราะดาวิดเป็นผู้ บริสุทธิ์ ผู้ที่ตามล่าดาวิดกำลังนำตนเองให้ตกอยู่ในสถาวะที่อันตรายมาก คนพวกนี้ คิดว่าพระเจ้าอยู่ฝ่ายใดกัน ? ดาวิดสามารถบุกเข้าไปได้ถึงกลางค่าย สามารถไปถึงตัว ของซาอูลและหยิบหอกมาอย่างง่ายดาย และถ้าท่านเลือกที่จะทำ ท่านคงฆ่าซาอูล ไปแล้ว แต่ท่านกลับเลือกที่จะปกป้องชีวิตของซาอูล ทำหน้าที่แทนกองพลของกษัตริย์ ที่ล้มเหลวในหน้าที่รับผิดชอบ ! พวกนี้ต่างหากสมควรตาย ไม่ใช่ดาวิด และเนื่องจาก บรรดาทหารของซาอูลไม่สามารถปกป้องกษัตริย์ของตนเองได้ พวกเขามีความผิด สถานหนัก สมควรตาย คนเหล่านี้ไม่เพียงแต่ต้องถูกซาอูลลงโทษเท่านั้น แต่สมควรถูก โทษโดยพระหัตถ์ของพระเจ้าด้วย การที่พวกเขากล่าวหาดาวิดและบีบบังคับให้หลบหนี ออกนอกประเทศ พวกเขากำลังสนับสนุนให้มีการปรนนิบัติพระอื่นในทางอ้อม คนพวก นี้สมควรถูกทั้งกษัตริย์ของตนเองและพระเจ้าสาปแช่งให้ไปสู่ความพินาศ เหตุการณ์นี้ แสดงให้เห็นว่าไม่ใช่ดาวิดที่ชีวิตกำลังตกอยู่ในอันตรายเท่านั้น แต่ชีวิตของบรรดาคนที่ ตามล่าและยุยงกษัตริย์ให้ตามล่าด้วย ทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ในคืนนั้นมีความผิด ไม่ ใช่หอกของซาอูลหรอกที่ทิ่มแทงพวกเขา แต่เป็นคำพูดของดาวิดต่างหากที่แทงเข้าไป ในใจของทุกคน

ในข้อ20 ดาวิดขอร้องซาอูลอย่าให้โลหิตของท่านต้องตกที่ในต่างแดนห่างจาก พระพักตร์ของพระเจ้าเลย ซาอูลไม่มีความจำเป็นใดที่มาแสวงชีวิตท่านอย่างดุเดือด เช่นนี้ การตามล่าดาวิดนั้นเท่ากับตามหาตัวหมัดเพียงตัวเดียว เท่ากับตามล่านกกระทา อยู่บนภูเขา เป็นงานใหญ่ที่ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์อันใด เป็นภาระกิจที่อันตรายแต่ไร้ ประโยชน์ ขอให้กษัตริย์ล้มเลิกการตามล่าเสีย และเลิกฟังคำยุยงปลุกปั่นจากผู้ที่ต้อง การต่อต้านดาวิดด้วย

เมื่อซาอูลพูด
(26:21-25)

21 แล้วซาอูลตรัสว่า "ข้าได้กระทำผิดแล้ว ดาวิดบุตรของเราเอ๋ย จงกลับเถิด เราจะไม่ทำร้ายเจ้าอีกต่อไป เพราะในวันนี้ชีวิตของเรา ก็ประเสริฐในสายตาของเจ้า ดูเถิด เราสำแดงตัวเป็นคนเขลาและ ได้กระทำผิดมาก" 22 และดาวิดทูลว่า "ข้าแต่พระราชา หอกนั้นอยู่ ที่นี่ ขอรับสั่งให้คนหนุ่มคนหนึ่งมารับไปจากที่นี่ 23 พระเจ้าทรงประ ทานรางวัลแก่ทุกคนตามความชอบธรรมและความสัตย์ซื่อของเขา เพราะในวันนี้พระเจ้าทรงมอบฝ่าพระบาทไว้ในมือของข้าพระบาทแล้ว แต่ข้าพระบาทมิได้เหยียดมือออกต่อสู้ผู้ที่พระเจ้าทรงเจิมไว้ 24 ดูเถิด ในสายตาของข้าพระบาท ชีวิตของฝ่าพระบาทนั้นประเสริฐ จึงขอให้ ชีวิตของข้าพระบาทประเสริฐในสายพระเนตรของพระเจ้า และขอ พระองค์ทรงช่วยกู้ข้าพระบาทให้พ้นจากบรรดาความทุกข์ยากลำบาก" 25 แล้วซาอูลจึงตรัสกับดาวิดว่า "ดาวิดบุตรของเราเอ๋ย ขอพระเจ้า ทรงอวยพรเจ้า เจ้าจะกระทำหลายสิ่งหลายอย่างและจะสำเร็จแน่" ดาวิด จึงไปตามทางของท่านและซาอูลก็เสด็จกลับสู่ราชสำนักของพระองค์

ดาวิดไม่ได้ใช้หอกของซาอูลต่อต้านท่าน ซาอูลเริ่มตระหนัก ท่านเริ่มตระหนักในบาป ของตนเองที่แสวงชีวิตดาวิด แต่คำสำคัญที่สุดคือ "จงกลับเถิด" ซาอูลมีส่วนในบาป ที่บีบบังคับดาวิดให้ต้องออกจากประเทศไปหรือเปล่า มีส่วนในการสนับสนุนให้ดาวิด ไปปรนนิบัติพระอื่นหรือไม่ ? ท่านต้องสารภาพบาปและล้มเลิกการตามล่าดาวิด เพื่อ ดาวิดจะสามารถ "กลับ" คืนสู่สถานนมัสการได้อย่างปลอดภัย การที่ดาวิดเห็นว่าชีวิต ซาอูลนั้นมีค่า ซาอูลก็เห็นเช่นกันว่าชีวิตของดาวิดนั้นประเสริฐ ซาอูลสารภาพบาปของ ท่าน สารภาพว่าสิ่งที่ท่านกระทำนั้นมีความผิดมากอย่างที่ดาวิดกล่าวทุกประการ

ดาวิดตอบสนองการสารภาพและขอคืนดีของซาอูลโดยร้องว่า "ข้าแต่พระราชา หอก นั้นอยู่ที่นี่ ขอรับสั่งให้คนหนุ่มคนหนึ่งมารับไปจากที่นี่" ดูเหมือนบางคนตั้งข้อสัง เกตุว่าหอกนั้นเป็นสัญญลักษณ์ของสิทธิอำนาจในสมัยโบราณ 130 http://www.bible.org/docs/ot/books/1sa/deffin/ ดาวิดไม่ต้องการ เก็บสัญลักษณ์ของสิทธิอำนาจของซาอูลไว้กับตนเอง ท่านจึงเรียกให้ส่งคนของซาอูล ให้มารับคืนไป

ยังมีใครกล่าวหาดาวิดว่าเป็นคนบาป เป็นคนทรยศหักหลัง เป็นศัตรูของซาอูลได้อีก หรือ? ดาวิดสรุปคำร้องโดยพูดถึงความชอบธรรมของท่านในข้อ 23 และ 24 ท่าน เตือนว่า พระเจ้าจะทรงเป็นผู้ประทานรางวัลแห่งความชอบธรรมและสัตย์ซื่อให้ทุกคน พระองค์จะประทานให้ "แต่ละคน" ถึงแม้พระองค์ทรงมอบซาอูลให้อยู่ในมือของดาวิด ดาวิดก็มิได้ทำอันตรายใดต่อท่าน เพราะท่านเป็นผู้ที่พระเจ้าเจิมไว้ ดาวิดจึงมองไปที่ พระเจ้าเพื่อบำเหน็จในการกระทำของท่านครั้งนี้

ขณะที่ซาอูลและคนของท่านทำตัวเสี่ยงต่อความพินาศด้วยการกล่าวหาและไล่ล่าดาวิด ด้วยข้อหาทำความผิดและเป็นอาชญากรนั้น ดาวิดกลับมั่นใจว่าชีวิตของท่านปลอดภัย อยู่ในพระหัตถ์พระเจ้า เมื่อดาวิดเห็นว่าชีวิตของซาอูลนั้นประเสริฐ ท่านรู้ดีว่าพระเจ้า ทรงเห็นว่าชีวิตของท่านเองนั้นก็ประเสริฐในสายพระเนตร และท่านแน่ใจว่าพระเจ้าจะ ทรงกู้ท่านให้พ้นจากความทุกข์ยากทั้งมวล (ข้อ 24)

ประโยคสุดท้ายที่ซาอูลกล่าวนั้นเป็นการขอพระพรจากพระเจ้าให้ดาวิด และแสดงความ มั่นใจว่าดาวิดจะทำหลายสิ่งหลายอย่างสำเร็จแน่ในที่สุด (ข้อ 25) หลังจากนั้นทั้งสอง ก็แยกจากกันเป็นครั้งสุดท้าย ทั้งสองจะมีโอกาสพบกันอีกเมื่อชีวิตของซาอูลใกล้จะสิ้น ลง ซาอูลกลับไปบ้าน ส่วนดาวิดก็ไปตามทางของท่าน แต่ดาวิดรู้ดีว่าการกลับใจของ ซาอูลนั้นคงไม่ยั่งยืน

บทสรุป

ความจริงบางประการถูกส่งไปยังบุคคลเช่นซาอูลและกองพลของท่าน ส่งถึงคนที่ กล่าวหาดาวิดอย่างผิดๆ พระเจ้าทรงปกป้องคนของพระองค์ จะไม่มีการปลดคนที่ พระองค์เจิมไว้จนกว่าเวลาของพระองค์มาถึง สิ่งนี้เป็นจริงสำหรับซาอูล ; และเป็นจริง สำหรับดาวิดด้วย พระเจ้าปกป้องผู้บริสุทธิ์ และจะนำการพิพากษามาสู่ผู้ทำผิด ชั่วระยะ เวลาเพียงสั้นๆ พระเจ้าทรงพลิกสถานการณ์ของฝ่ายศัตรู ดาวิดไม่ใช่เป็นผู้ที่ตกอยู่ใน อันตรายอีกต่อไป แต่เป็นฝ่ายที่ต่อต้านท่านต่างหาก ขอให้บรรดาผู้เลือกเป็นศัตรูของ พระเจ้าระวังให้ดี และขอให้คนที่พระองค์เลือกสรรไว้มีความกล้าหาญยิ่งขึ้น

สำหรับดาวิดเหตุการณ์ในบทนี้เป็นขีดสูงสุดที่ทำให้ท่านตระหนักถึงความจริงของพระ เจ้า และได้นำมาใช้ในชีวิต ดาวิดยืนขึ้นอย่างกล้าหาญที่ปากถ้ำในบทที่ 24 แต่ท่าน ยืนอย่างกล้าหาญยิ่งขึ้นในบทที่ 26 ท่านมั่นใจในการปกป้องและการดูแลของพระเจ้า พระองค์จะทรงประทานบำเหน็จตามความชอบธรรมแก่ท่าน และจะทรงพิพากษาผู้ที่ กล่าวหาท่าน ในบทที่ 24 เราเห็นว่าดาวิดทรงตักเตือนกษัตริย์อย่างนุ่มๆ แต่ในบทที่ 26 ท่านประนามผู้ที่ยุยงปลุกปั่นกษัตริย์ให้มาต่อสู้ท่าน ดาวิดรู้แล้วว่าท่านหลุดพ้นจาก การติดค้างกับศัตรูแล้วในแง่ของจิตวิญญาณ

ดาวิดเติบโตขึ้นฝ่ายวิญญาณหลังจากเหตุการณ์ในบทที่ 24 ซึ่งเราเห็นได้ี้อย่างชัดเจน ในบทที่ 26 เราคงสรุปได้ว่านางอาบิกายิลมีส่วนสำคัญมากในเหตุการณ์นี้ สิ่งที่ยืนยัน ถึงข้อเท็จจริงในบทที่ 26 คือสิ่งเดียวกับที่เคยอาบีกายิลรับรองกับท่าน ถ้าดาวิดยังข้อง ใจในการขึ้นครองเป็นกษัตริย์องค์ต่อไป อาบีกายิลรับรองกับท่านว่าท่านจะได้ปกครอง เหนืออิสราเอล (25:30) ถึงแม้ดาวิดอยากแก้แค้นต่อศัตรู (อย่างนาบาล) แต่อาบีกายิล กลับเตือนท่านให้ละการแก้แค้นไว้ที่พระเจ้า ถ้าท่านยอม ท่านจะไม่มีวันเสียใจในภาย หลัง (25:31) ดาวิดกลัวตายหรือ? อาบีกายิลกลับบอกว่าชีวิตของท่านอยู่ในหัตถ์ของ พระเจ้า (25:29) มีคำกล่าวว่าเบื้องหลังผู้ยิ่งใหญ่หลายคน มีสตรีหนุนหลังอยู่ และนี่ เป็นจริงในกรณีของดาวิดและอาบีกายิล

นักวิชาการบางคนไม่แน่ใจว่าบทที่ 26 นั้นเหมือนบทที่ 24 หรือเปล่า ? คงเหมือนฉาย หนังซ้ำ แต่เมื่อพระเจ้าต้องการสอนบทเรียนบางอย่างกับเรา ถ้าเราไม่ได้เรียนรู้บทเรียน นั้นจากประสบการณ์แรก พระเจ้าจะให้เราทดสอบในประสบการณ์เดิมซ้ำอีก ผมคิดว่า เหตุผลเบื้องหลังที่บทที่ 26 เหมือนกับบทที่ 24 คือพระเจ้าต้องการให้ดาวิดผ่านการ ทดสอบเรื่องในเดิมอีก เพื่อครั้งนี้ท่านจะทำคะแนนได้ดีกว่า

หลายปีมาแล้ว ผมจำได้ว่ามีโอกาสพูดคุยกับเพื่อนคนหนึ่งถึงปัญหาที่เขากำลังเผชิญ อยู่ ในขณะที่พูดคุยกันเขาเล่าว่านอกจากปัญหานี้แล้วเขาเคยประสพปัญหาในทำนอง เดียวกันนี้มาหลายครั้งก่อนหน้า เมื่อผมถามลึกลงไป ทำให้รู้ว่าแต่ละปัญหาที่เกิดขึ้น นั้นคล้ายคลึงกัน ผมจึงถามว่า "คุณเคยนึกไหมว่าพระเจ้านำปัญหาเดิมมาให้กับคุณ เพราะคุณไม่ได้จัดการกับมันอย่างที่ควรเป็น ?" เขายอมรับว่าน่าจะใช่ ผมคิดว่าเช่น เดียวกับดาวิด และอาจจะเช่นเดียวกับเรา คือเมื่อเราไม่จัดการกับปัญหาอย่างถูกต้อง พระเจ้าจะนำมันย้อนกลับมาเพื่อให้โอกาสเราแก้ใขจนกว่าจะถูกต้อง

สุดท้ายนี้ ผมเชื่อว่ามีบางสิ่งสำหรับคริสเตียนในทุกวันนี้ที่จะเรียนรู้ถึง "สถานที่แห่งพระ พร"สำหรับธรรมิกชนในยุคพระคัมภีร์เดิมอย่างที่เรียนไป การได้อยู่ในแผ่นดินอิสราเอล เป็นสิทธิพิเศษและเป็นแหล่งของพระพร ที่นั่นทุกคนสามารถถวายบูชาและนมัสการ พระเจ้าได้อย่างอิสระและเต็มที่ ในที่อื่นๆอาจนมัสการและปรนนิบัติพระเจ้าได้แต่ต้อง ตามกำหนดกฎเกณฑ์ และแน่นอนอาจมีบางคนอาศัยอยู่ในแผ่นดินนี้แต่ห่างไกลจาก พระเจ้าเพราะขาดความเชื่อและไม่ต้องการเชื่อฟัง แต่บางคนอาศัยอยู่ห่างไกลออกไป แต่สามารถดำเนินกับพระเจ้าอย่างใกล้ชิด แต่ที่เป็นเลิศคือการได้อาศัยอยู่ในแผ่นดิน อิสราเอล แผ่นดินที่พระเจ้าสถิตอยู่และเป็นแหล่งแห่งพระพร

สิ่งนี้มีความหมายอย่างไรต่อคริสเตียนในยุคพระคัมภีร์ใหม่เช่นพวกเรา ที่อาศัยอยู่ห่าง ไกลจากดินแดนแห่งพันธสัญญา ? คำตอบนั้นมีอยู่อย่างชัดเจนในพระคัมภีร์ใหม่ในพระ กิตติคุณยอห์นบทที่ 1 พระเยซูสำแดงพระองค์ว่าเป็นพระเมสซิยาห์ของอิสราเอล พระองค์ ทรงเรียกฟิลิปให้ตามพระองค์ไป ฟิลิปไปบอกกับนาธานาเอลถึงการเสด็จมาของพระ เมสซิยาห์ตามที่มีสัญญาไว้ คือองค์พระเยซูคริสต์ชาวนาซาเร็ธ (ยอห์น 1:43-44) เมื่อนาธานาเอลมาพบพระเยซู พระองค์ตรัสกับเขาว่า "ก่อนที่ฟีลิปจะเรียกท่าน เมื่อ ท่านอยู่ที่ใต้ต้นมะเดื่อนั้น เราเห็นท่าน" (1:48) นาธานาเอลกล่าวกับพระองค์ด้วยความ มั่นใจว่า "รับบี พระองค์ทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้า พระองค์ทรงเป็นกษัตริย์ของ ชนชาติอิสราเอล" (1:49) คำตอบที่พระองค์ตรัสกับนาธานาเอลนั้นมหัศจรรย์ยิ่ง :

50 พระเยซูตรัสตอบเขาว่า "เพราะเราบอกท่านว่า เราเห็นท่านอยู่ใต้ต้นมะเดื่อนั้นท่านจึงเชื่อหรือ ท่าน จะได้เห็นเหตุการณ์ใหญ่กว่านั้นอีก" 51 และพระองค์ ตรัสกับเขาว่า "เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ท่านจะได้เห็นท้องฟ้าเบิกออก และบรรดาทูตสวรรค์ ของพระเจ้าขึ้นและลงอยู่เหนือบุตรมนุษย์"
(ยอห์น 1:50-51)

ด้วยคำตอบนี้พระเยซูทรงนำนาธานาเอลและเราทั้งหลายย้อนกลับไปยังความฝันของ ยาโคบในปฐมกาลบทที่ 28 ในความฝันนั้น ยาโคบเห็นทูตสวรรค์ขึ้นลงอยู่บนบันไดที่ เชื่อมอยู่ระหว่างสวรรค์และโลก ยาโคบประทับใจในสถานที่ที่บันใดนั้นตั้งอยู่ – คือใน อิสราเอล – และความพิเศษของสถานที่แห่งนี้เป็นเพราะพระเจ้าสถิตอยู่ พระเยซูย้อน ให้เห็นถึงภาพนี้ขณะที่พระองค์ตรัสกับนาธานาเอล นาธานาเอลพึ่งจะพูดถึงพระเยซู ตามความคิดของเขา โดยตั้งสมมติฐานจากที่ๆพระองค์มา – เมืองนาซาเร็ธ (ยอห์น 1:46) พระเยซูทรงบอกกับนาธานาเอลว่า ขณะที่เขาติดอยู่กับภาพสถานที่ที่ตั้งของ บันใด พระองค์เองทรงเป็นบันใดนั้น! สถานที่นั้นสำคัญ แต่องค์พระเยซูคริสต์สำคัญกว่า องค์พระเยซูคริสต์เป็นผู้ที่พระเจ้าเลือกสรรให้เป็นดังหนทางที่เชื่อมสวรรค์และโลก เพื่อ มนุษย์จะสามารถเข้าสู่แผ่นดินสวรรค์ได้ ไม่ใช่อิสราเอลในแง่ของสถานที่ แต่เป็นอิสรา เอลในพระบุคคล ผู้จะมาช่วยกู้ให้มนุษย์พ้นจากบาปและนำไปสู่สวรรค์

ในพระกิตติคุณมัทธิว เราอ่านถึงกำเนิดของพระเยซูคริสต์ และการที่ครอบครัวของ พระองค์ต้องหนีไปยังอียิปต์ ต่อเมื่อเฮโรดตายแล้ว โยเซฟจึงค่อยนำครอบครัวกลับ สู่แผ่นดินอิสราเอล ตามที่มัทธิวบันทึกไว้

14 ในเวลากลางคืนโยเซฟจึงลุกขึ้น พากุมารกับมารดา ไปยังประเทศอียิปต์ 15 และได้อยู่ที่นั่นจนเฮโรดสิ้นพระ ชนม์ ทั้งนี้เกิดขึ้นเพื่อจะให้สำเร็จตามพระวจนะของพระ เป็นเจ้า ซึ่งได้ตรัสไว้โดยผู้เผยพระวจนะว่า เราได้เรียก บุตรของเราให้ออกมาจากอียิปต์
(มัทธิว 2:14-15)

คำว่า "เราได้เรียก บุตรของเราให้ออกมาจากอียิปต์" อยู่ในโฮเชยา 11:1 ซึ่งเป็น ความจริงที่พระเจ้าได้นำอิสราเอล "บุตร" ของพระองค์ (ดูปฐมกาล 4:22-23) ออกมา จากประเทศอียิปต์ ด้วยการดลใจมัทธิวจึงใช้พระวจนะนี้กับพระกุมารเยซู อิสราเอลคือ "บุตร" ที่พระเจ้านำออกมาจากอียิปต์ พระกุมารเยซูเป็น "พระบุตร" ของพระเจ้าซึ่งถูก นำกลับมาจากอียิปต์ ในพระองค์เดียวคือองค์พระเยซูคริสต์ พระเจ้าได้รวบรวมทั้งสิ้น ของอิสราเอลไว้ ความหวังทั้งหมดของอิสราเอล อิสราเอลเป็นสถานที่ที่พระเจ้าเสด็จมา เยี่ยมเยียนประชากรของพระองค์ แต่พระเยซูคริสต์เป็น "บุตร" ในพระบุคคลที่พระเจ้า ประทานให้ช่วยกู้มนุษย์ อิสราเอลเป็นสถานที่ที่พระเมสซิยาห์เองเสด็จลงมา และเมื่อ พระองค์เสด็จมาแล้ว พระองค์ทรงเป็นผู้สำคัญที่สุด หาใช่สถานที่ไม่

เมื่อพระเยซูพบกับหญิงชาวสะมาเรีย มีการพูดถึง "สถานที่" นมัสการพระเจ้า ผมอยาก ให้เราตั้งใจฟังในสิ่งที่หญิงนั้นทูลพระเยซู และในถ้อยคำที่พระเยซูตรัสตอบนาง :

19 นางทูลพระองค์ว่า "ท่านเจ้าคะ ดิฉันเห็นจริงแล้วว่าท่านเป็น ผู้เผยพระวจนะ 20 บรรพบุรุษของพวกเรานมัสการที่ภูเขานี้ แต่ พวกท่านว่าตำบลที่ควรนมัสการนั้นคือเยรูซาเล็ม" 21 พระเยซู ตรัสกับนางว่า "หญิงเอ๋ย เชื่อเราเถิด คงมีวันหนึ่งที่พวกเจ้าจะมิ ได้ไหว้นมัสการพระบิดาเฉพาะที่ภูเขานี้หรือที่เยรูซาเล็ม 22 ซึ่ง เจ้านมัสการนั้นเจ้าไม่รู้จัก ซึ่งพวกเรานมัสการเรารู้จัก เพราะความ รอดนั้นมาจากพวกยิว 23 แต่วาระนั้นใกล้เข้ามาแล้ว และบัดนี้ก็ถึง แล้ว คือเมื่อผู้ที่นมัสการอย่างถูกต้องจะนมัสการพระบิดาด้วยจิต วิญญาณและความจริง เพราะว่าพระบิดาทรงแสวงหาคนเช่นนั้น นมัสการพระองค์ 24 พระเจ้าทรงเป็นพระวิญญาณ และผู้ที่นมัสการ พระองค์ ต้องนมัสการด้วยจิตวิญญาณและความจริง" 25 นางทูล พระองค์ว่า "ดิฉันทราบว่าพระเมสสิยาห์ (ที่เรียกว่าพระคริสต์) จะเสด็จมา เมื่อพระองค์เสด็จมา พระองค์จะทรงชี้แจงทุกสิ่งแก่เรา" 26 พระเยซูตรัสกับนางว่า "เราที่พูดกับเจ้าคือท่านผู้นั้น"
(ยอห์น 4:19-26).

หญิงผู้นี้รู้ดีถึงข้อแตกต่างระหว่างชาวสะมาเรียและชาวยิวในเรื่องสถานที่นมัสการ นางจึงพูดเรื่องนี้กับพระเยซู แต่พระเยซูไม่ได้ตรัสกับนางถึงเรื่อง "สถานที่" เลย พระองค์บอกกับนางว่า บัดนี้ศูนย์รวมของการนมัสการนั้นอยู่ที่บุคคล ไม่ใช่สถานที่ ทุกคนที่นมัสการพระเจ้าจะนมัสการด้วย "จิตวิญญาณและความจริง" และต้อง นมัสการโดยทางองค์พระเมสซิยาห์ที่เสด็จมา หญิงสะมาเรียเห็นด้วย แต่นางเข้าใจ ผิดว่าพระองค์ท่านนั้นยังไม่เสด็จมา พระองค์จึงตรัสกับนางว่า "เรา . . . คือท่าน ผู้นั้น" ทุกคนที่นมัสการพระเจ้า ต้องนมัสการโดยทางองค์พระเยซูคริสต์เท่านั้น ดังนั้น การนมัสการไม่ได้ติดอยู่กับสถานที่อีกต่อไป แต่การนมัสการขึ้นอยู่กับพระบุคคล

เมื่อพระเยซูคริสต์ พระเมสซิยาห์ของชาวยิวเสด็จมา การนมัสการพระเจ้าไม่ใช่เป็นเรื่อง ของสถานที่อีกต่อไป แต่เป็นเรื่องของพระบุคคลที่ถูกต้อง ในพระกิตติคุณยอห์นบทที่ 15 พระเยซูตรัสกับเหล่าสาวกถึงการเข้าติดสนิทกับพระองค์ โดยเปรียบกับแขนงที่ต้อง ยึดติดกับเถาองุ่น ในบทที่ 14 และ 16 พระเยซูตรัสกับสาวกถึงพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่ จะเสด็จมา และโดยทางพระวิญญาณนี้พระเยซูสัญญาจะเข้าสนิทกับผู้เชื่อแท้จริงทุกคน และในจดหมายฝากต่างๆ เราเห็นถึงความรอด ได้รับการชำระ และพระพรฝ่ายวิญญาณ ที่เป็นผลจากการดำเนิน "อยู่ในพระคริสต์"

23 เพราะว่าทุกคนทำบาป และเสื่อมจากพระสิริของ พระเจ้า 24 แต่พระเจ้าทรงพระกรุณาให้เขาเป็นผู้ชอบ ธรรมโดยไม่คิดมูลค่า โดยที่พระเยซูคริสต์ทรงไถ่เขา ให้พ้นบาปแล้ว
(โรม 3:23-24)

11 เหมือนกันเช่นนั้นแหละ ท่านทั้งหลายจงถือว่าท่าน ได้ตายต่อบาป และมีชีวิตสนิทกับพระเจ้าในพระเยซคริสต์
(โรม 6:11)

23 เพราะว่าค่าจ้างของความบาปคือความตาย แต่ ของ ประทานจากพระเจ้าคือชีวิตนิรันดร์ในพระเยซู คริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา
(โรม 6:23)

11 เหตุฉะนั้นการลงโทษจึงไม่มีแก่คนทั้งหลายที่อยู่ ในพระเยซูคริสต์
(โรม 8:1)

38 เพราะข้าพเจ้าเชื่อมั่นว่า แม้ความตาย หรือชีวิต หรือบรรดาทูตสวรรค์ หรือเทพเจ้า หรือสิ่งซึ่งมีอยู่ ในปัจจุบันนี้ หรือสิ่งซึ่งจะมีในภายหน้า หรือฤทธิ์เดช ทั้งหลาย 39 หรือซึ่งสูง หรือซึ่งลึก หรือสิ่งใดๆอื่นที่ ได้ทรงสร้างแล้วนั้น จะไม่สามารถกระทำให้เราทั้ง หลายขาดจากความรักของพระเจ้า ซึ่งมีอยู่ในพระ เยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเราได้
(โรม 8:38-39)

2 เรียนคริสตจักรของพระเจ้า ที่เมืองโครินธ์ ผู้ได้รับ การทรงชำระให้บริสุทธิ์ในพระเยซูคริสต์ ซึ่งพระองค์ ได้ทรงเรียกให้เป็นธรรมิกชนด้วยกันกับคนทั้งปวง ใน ทุกตำบลที่ออกพระนามพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็น เจ้าของเราและของเขา
(1 โครินธ์ 1:2)

4 ข้าพเจ้าขอบพระคุณพระเจ้าในเรื่องท่านทั้งหลายเสมอ เพราะพระคุณของพระเจ้าซึ่งทรงประทานแก่ท่านทั้งหลาย ในพระเยซูคริสต์
(1 โครินธ์ 1:4)

30 โดยพระองค์ ท่านจึงอยู่ในพระเยซูคริสต์ เพราะพระเจ้า ทรงตั้งพระองค์ให้เป็นปัญญาและความชอบธรรมของเรา และ เป็นผู้ทรงชำระเราให้บริสุทธิ์ และทรงเป็นผู้ไถ่เราไว้ให้พ้นบาป
(1โครินธ์ 1:30)

22 เพราะว่าคนทั้งปวงต้องตายเกี่ยวเนื่องกับอาดัม ฉันใด คนทั้งปวงก็จะกลับได้ชีวิตเกี่ยวเนื่องกับพระ คริสต์ฉันนั้น
(1 โครินธ์ 15:22)

14 แต่ขอบพระคุณพระเจ้า ผู้ทรงนำเราเสมอมาโดย พระคริสต์ด้วยความมีชัย และทรงโปรดประทานกลิ่น หอมแห่งความรู้ของพระองค์ ให้ปรากฏด้วยตัวเราทุกแห่ง
(2 โครินธ์ 2:14)

17 เหตุฉะนั้นถ้าผู้ใดอยู่ในพระคริสต์ ผู้นั้นก็เป็นคน ที่ถูกสร้างใหม่แล้ว สิ่งสารพัดที่เก่าๆก็ล่วงไป นี่แน่ะ กลายเป็นสิ่งใหม่ทั้งนั้น
(2 โครินธ์ 5:17)

4 ตามคำแนะนำของพี่น้องจอมปลอม ที่ได้ลอบเข้ามา เพื่อจะสอดแนมดูเสรีภาพซึ่งเรามีเพราะพระเยซูคริสต์ พวกเขาหวังจะเอาเราไปเป็นทาส
(กาลาเทีย 2:4)

ผมขอจบบทเรียนตอนนี้ด้วยเรื่องเศร้าเคล้าความชื่นชม เพื่อนวัยเดียวกันกับผม ลี แครนเดล เสียชีวิตลงในระหว่างอาทิตย์หลังจากผมเทศนาเรื่องนี้ ผมจำคำพูดสุดท้าย ของเขาได้ดี ลีบอกว่าเขาชอบคำเทศนาตอนนี้มาก โดยเฉพาะการนำมาใช้ในชีวิต ผมรู้ว่าลีหมายถึงสิ่งใด ลีเป็นคนที่รักพระเยซูคริสต์มาก เขาชอบฟังและประกาศเรื่อง ราวของพระองค์ เขาเข้าใจความหมายของการ "อยู่ในพระคริสต์" เป็นอย่างดี ลี สิ้นชีวิตอย่างสงบสุขอยู่ "ในพระคริสต์" :

13 ดูก่อนพี่น้องทั้งหลาย เราไม่อยากให้ท่านไม่ทราบความจริง เรื่องคนที่ล่วงหลับไปแล้ว เพื่อท่านจะไม่เป็นทุกข์โศกเศร้าอย่าง คนอื่นๆที่ไม่มีความหวัง 14 เพราะในเมื่อเราเชื่อว่าพระเยซูทรงสิ้น พระชนม์ และทรงคืนพระชนม์แล้ว โดยพระเยซูนั้น พระเจ้าจะทรง นำบรรดาคนที่ล่วงหลับไปแล้วนั้นมากับพระองค์ 15 ในข้อนี้เราขอ บอกให้ท่านทราบตามพระวจนะขององค์พระผู้เป็นเจ้าว่า เราผู้ยัง เป็นอยู่และคอยองค์พระผู้เป็นเจ้าเสด็จมา จะล่วงหน้าไปก่อนคน เหล่านั้นที่ล่วงหลับไปแล้วก็หาไม่ 16 ด้วยว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าจะ เสด็จมาจากสวรรค์ด้วยพระดำรัสสั่ง ด้วยสำเนียงเรียกของเทพบดี และด้วยเสียงแตรของพระเจ้า และคนทั้งปวงในพระคริสต์ที่ตาย แล้วจะเป็นขึ้นมาก่อน 17 หลังจากนั้นเราทั้งหลายซึ่งยังเป็นอยู่ จะ ถูกรับขึ้นไปในเมฆพร้อมกับคนเหล่านั้น และจะได้พบองค์พระผู้เป็น เจ้าในฟ้าอากาศ อย่างนั้นแหละ เราก็จะอยู่กับองค์พระผู้เป็นเจ้า เป็นนิตย์ 18 เหตุฉะนั้นจงปลอบใจกันด้วยถ้อยคำเหล่านี้เถิด
(1 เธสะโลนิกา 4:13-18)

การอยู่ "ในพระคริสต์" คือการได้รับการยกโทษบาป การอยู่ "ในพระคริสต์" คือการ ถูกสร้างใหม่ คือการปล่อยให้สิ่งเก่าๆให้ล่วงไป และให้ทุกสิ่งเป็นสิ่งใหม่ การอยู่ "ใน พระคริสต์" คือการมีชีวิตนิรันดร์ การอยู่ "ในพระคริสต์" คือความมั่นใจว่าจะฟื้นคืน ชีวิตหลังความตาย และใช้ชีวิตชั่วนิรันดร์กับองค์พระเยซู ลีเพื่อนของผมเคยอยู่ "ใน พระ คริสต์" และถ้าเขายังมีชีวิตอยู่ เขาคงอยากถามคำถามสั้นๆว่า "วันนี้คุณอยู่ ‘ใน พระ คริสต์’หรือยัง?" การได้รับความรอดเพราะเป็นคริสเตียน การมีความมั่นใจว่าได้รับ การยกโทษบาปและมีส่วนในชีวิตนิรันดร์ ไม่ใช่เป็นเรื่องของสถานที่และเวลา แต่เป็น การเข้าสนิทอยู่ในผู้ที่ถูกต้อง การจะเข้าอยู่ "ในพระคริสต์" คือการยอมรับว่าเราเป็น คนบาปละเมิดต่อพระเจ้า และเข้ามาวางใจในองค์พระเยซูคริสต์ผู้เดียวเท่านั้นว่าเป็น หนทางที่พระเจ้าจัดเตรียมสำหรับความรอด ด้วยความเชื่อในพระองค์ ในการทนทุกข์ ทรมาณของพระองค์ที่ยอมรับสภาพเพื่อจ่ายเป็นค่าจ้างของความบาปของคุณ เพราะ ความชอบธรรมและการกลับเป็นขึ้นมาของพระองค์ คุณจะกลายเป็นคนชอบธรรมและ มีชีวิตใหม่ ถ้าคุณยังไม่เคยเชื่อวางใจในการสิ้นพระชนม์ การฝังพระศพ และการกลับ เป็นขึ้นมาขององค์พระเยซูคริสต์ ผมอยากหนุนใจให้คุณทำเดี๋ยวนี้ เพราะการที่ได้อยู่ "ในพระคริสต์" คือการได้อยู่ในแผ่นดินที่พระเจ้าเลือกสรรไว้สำหรับความรอดและพระ พรชั่วนิจนิรันดร์


123 ดูได้จากหนังสือของ Dale Ralph Davis, ชื่อ Looking on the Heart: Expositions of the Book of 1 Samuel (Grand Rapids: Baker Books, 1994), vol. 2, p. 127.

124 ให้เราลองคิดดูว่ากี่ครั้งที่ดาวิดพูดว่ามีคนพยายามยุยงให้ซาอูลคิดร้ายต่อท่าน

125 เราคงนึกไปว่าดาวิดและลูกน้องทั้งหมดลงไปที่ค่ายของซาอูลพร้อมกัน แต่ในเนื้อหาไม่ ได้กล่าวเช่นนั้น เพียงแต่บันทึกว่าท่านส่งผู้ไปสอดแนมหาที่ตั้งของค่าย (ข้อ 4) แล้วต่อมากล่าว ว่าท่านลุกขึ้นลงไปยังที่นั่นทันที (ข้อ 6) มีเพียงอาหิเมเลคคนฮิทไทต์ และอาบีชัยที่ไปกับท่าน สองคนนี้เป็น "ผู้สอดแนม" หรือเปล่า ? น่าจะมีเหตุผลเพียงพอที่ดาวิดไม่นำกำลังคนไปด้วย เพราะการไปประชิดซาอูลแบบไม่ให้รู้ตัวและหลบไปในความมืดเพียงสองสามคนน่าจะง่ายกว่า 600 คน และเมื่อดาวิดไม่ได้ตั้งใจไปต่อสู้หรือฆ่าซาอูลจึงไม่มีความจำเป็นที่จะนำคนหมู่มากไป ด้วย อีกอย่างท่านยังต้องห้ามปรามยับยั้งคนของท่านไม่ให้ทำอันตรายซาอูลด้วย (ดู 24:4-8)

126 เพื่อนผมคนหนึ่งเคยกล่าวเสริมว่าครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ซาอูลน่าจะพุ่งหอกได้แม่นยำที่สุด ถ้า เขาเป็นอับเนอร์เขาคงนอนนิ่งๆข้างซาอูลคอยดูฝีมือความแม่นของกษัตริย์

127 มีความล้ำลึกบางประการในคำตอบของดาวิดต่ออาบีชัย ท่านกล่าวว่า "ขอพระเจ้าทรง ห้ามปรามข้าพเจ้าไม่ให้เหยียดมือออกต่อสู้ผู้ที่พระองค์ทรงเจิมไว้ . . . ." ดูเหมือนอาบี ชัยคงจะพูดในทำนองว่า "ก็ได้ถ้าท่านไม่กล้าทำ ; ขอให้ผมลงมือเอง" คำตอบของดาวิดมีนัย บางประการให้อาบีชัย "ถึงแม้เจ้าจะฆ่าซาอูลได้ แต่เราก็ต้องรับผิดในการที่อนุญาติให้เจ้าทำ" ถ้าดาวิดเป็นผู้บัญชาการคน 600 คน อนุญาตให้คนใดคนหนึ่งฆ่าซาอูล แน่นอนในฐานะหัวหน้า ท่านจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบเต็มประตู

128 ไม่เหมือนเมื่อในสมัยก่อนที่เรียกว่า "บุตรของเจสซี"

129 เหตุนี้เองอับราฮัมจึงสร้างแท่นบูชาหลายแห่งในคานาอัน แต่ไม่เคยสร้างในแผ่นดินอียิปต์ หรือที่ใดที่อยู่นอกอิสราเอลเลย

130 "หอกเป็นสัญลักษณ์ของสิทธิอำนาจเช่นเดียวกับคฑา เหตุนี้ี่ซาอูลจึงถือหอกขณะอยู่ที่ ในวัง (1 ซมอ. 18:10; 19:9) สัญลักษณ์ของสิทธิอำนาจนี้ยังเป็นประเพณีปฏิบัติอยู่ในคน อาหรับชนเผ่าเร่ร่อนเบดูอินในปัจจุบัน หอกที่ปักอยู่ตรงทางเข้าเต็นท์แสดงว่าเป็นที่พักของชีค (ท่านหัวหน้า) อ้างอิงจากหนังสือของ John J. Davis & John C. Whitcomb, Israel: From Conquest to Exile (Winona Lake, Indiana, BMH Books, [combined paper edition], 1989, p. 244.

Related Topics: Introductions, Arguments, Outlines

บทที่ 25: เดินหน้าหนึ่งก้าวถอยหลังสองก้าว (1 ซามูเอล 27:1—28:2)

หรือ
"คนอย่างคุณมาทำอะไรอยู่แถวนี้?"

คำนำ

เมื่อปีที่แล้ว ผมพบว่าผมได้ทำบางสิ่งที่ไม่เคยฝันว่าจะต้องมาทำ สุขภาพของหญิงชรา ที่อยู่ข้างบ้านเราทรุดโทรมลงอย่างรวดเร็ว มองผ่านหน้าต่างบ้านเราออกไป บางทีก็เห็น เธอนั่งอยู่ที่โต๊ะในครัว บางทีก็หายไป ถ้าหายไปผมรู้เลยว่าเธอล้มลงไปนอนบนพื้นแล้ว ต้องรีบออกไปช่วย เวลาผ่านไป จากนั่งกลายเป็นนอนอยู่ที่บ้าน แล้วก็เปลี่ยนเป็นไปนอน ที่โรงพยาบาล ผมต้องคอยวิ่งเข้าวิ่งออกซื้อของให้ ของบางอย่างที่ซื้อ เกิดมาไม่เคยได้ ยินมาก่อนก็มี

อยู่มาวันหนึ่ง พยาบาลที่เคยมาเป็นประจำแวะมาเยี่ยม ผมผ่านไปเห็นเข้าจึงจอดรถลงไป ถาม เธอบอกว่าเพื่อนบ้านผมอาการแย่ลงคงจะต้องใช้วิธี "โยกย้ายถาวร" ผมงงเพราะไม่ รู้แปลว่าอะไร เธอจึงตอบว่า "มา ฉันจะแสดงให้ดู" ก่อนที่ผมจะรู้ตัวว่าผมกำลังยืนอยู่ที่ ทางเข้าประตูเพื่อนบ้านโดยมีนางพยาบาลสาธิตวิธี "โยกย้ายถาวร" ให้ดู เธอเอาขาสอง ข้างล็อคขาผมไว้ แล้วเอามือเหนี่ยวล็อคคอไว้ ผมรู้ทันทีเลยว่า "โยกย้ายถาวร" แปลว่า อะไร ซึ่งก็คือการต้องบังคับย้ายผู้ป่วยจากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่งเป็นการถาวร ปัญหาก็คือ ที่ๆเรายืนกันอยู่นั้นคือหน้าประตูบ้านซึ่งถ้าใครเห็นคงสงสัยว่ากำลังทำอะไรกันอยู่ ผมนึก ภาพเพื่อนบ้านหลังอื่นแถวนั้นแอบมองมาทางหน้าต่าง บางบ้านอาจใช้กล้องส่องทางใกล ด้วยซ้ำไป ! ผมจะไปอธิบายยังไงได้? ในสถานการณ์แบบนี้ผมควรทำยังไง?

เมื่อผมอ่านเรื่องราวที่ดาวิดหนีไปเมืองกัทและไปเป็นพันธมิตรกับอาคีชกษัตริย์เมืองกัทนั้น ผมอยากจะถามคำถามเดียวกัน เพราะตอนจบของพระธรรมตอนนี้ เราพบว่าดาวิดอยู่ใน กองทัพที่ออกไปกับกษัตริย์พร้อมจะร่วมรบ ที่เป็นปัญหาคือ ดาวิดอยู่ในกองทัพของ ฟิลิสเตีย และกำลังจะออกไปรบกับ อิสราเอล เราอ่านพบว่าดาวิดให้ความมั่นใจกับ กษัตริย์ฟิลิสเตียว่าพร้อมและเต็มใจแสดงให้เห็นว่าท่านและคนของท่านต่อสู้กับประชากร ของพระเจ้าได้ แล้วคนอย่างดาวิดไปทำอะไรในสถานที่แบบนี้?131 เราหวังจะพบคำตอบ เมื่อเราเรียนพระธรรมตอนที่แสนจะสลับซับซ้อนนี้ ให้เรามองดูที่พระวิญญาณของพระเจ้า เพื่อเป็นดังแสงที่จะส่องเข้ามาในใจและจิตวิญญาณของเรา เพื่อจะเข้าใจได้ในบทเรียนที่ พระเจ้าประทานให้กับเรา

ภูมิหลัง

ในบทที่ 16 ซามูเอลเจิมตั้งดาวิดขึ้นมาเป็นกษัตริย์องค์ต่อไปของอิสราเอล ในบทที่ 17 ท่านออกไปต่อสู้และฆ่าโกลิอัท ทหารกล้าของฟิลิสเตียจากเมืองกัท พอบทที่ 18 ซาอูล เริ่มหวั่นไหวเพราะความนิยมยกย่องที่ประชาชนมีให้กับดาวิดจึงแสวงหาช่องทางฆ่าดาวิด แรกๆ ท่านทำทีว่าเป็นอุบัติเหตุ แล้วในที่สุดก็ออกคำสั่งให้ฆ่า ทำให้ดาวิดจำต้องหลบหนี ไปเพื่อรักษาชีวิต ท่านกลายเป็นนักโทษที่ต้องหลบหนีอย่างไร้ความยุติธรรม

ดาวิดเริ่มหลบหนีซาอูลด้วยการไปปรากฎตัวที่เมืองโนบ ท่านต้องปกปิดความจริงจาก อาหิเมเลขปุโรหิตถึงสาเหตุที่ท่านมา ดาวิดขอปันขนมปังบริสุทธิ์จากท่านปุโรหิต และ ขอดาบของโกลิอัทไป จากเมืองโนบดาวิดหนีไปหาอาคีชกษัตริย์เมืองกัท อาคีชยินดี ให้ดาวิดลี้ภัยอยู่ด้วย แต่พวกผู้รับใช้กลับเตือนให้อาคีชทบทวนดูให้ดีๆ ดาวิดรู้ตัวว่าท่าน กำลังตกอยู่ในอันตราย จึงแกล้งทำเป็นคนบ้าเดินน้ำลายไหลยืดขีดเขียนอยู่ที่ตามประตู ทั่วเมือง อาคีชไม่สนใจคนบ้า และมองไม่เห็นประโยชน์อันใดที่จะให้ลี้ภัยอยู่ในเมือง จึง ขับไล่ดาวิดออกไปเสียจากเมืองกัท จากตรงนี้ ดาวิดจึงเริ่มรวบรวมคนที่มาเข้ากับท่าน และหลบซ่อนตัวอยู่ในที่ห่างไกลในเขตยูดาห์ตามคำแนะนำของผู้เผยพระวจนะกาด (22:5)

ในบทที่ 24 ซาอูลและดาวิดเกิดใจตรงกันเข้าไปอยู่ในถ้ำ คนของดาวิดแปลสถานการณ์ นี้อย่างผิดๆ คิดเอาว่าพระเจ้าต้องการให้ฆ่าซาอูลเพื่อปัญหาจะได้จบสิ้นลง แต่ดาวิดไม่ ยอมทำ ถึงแม้ท่านเพียงแค่แอบตัดชายเสื้อคลุมของกษัตริย์ไว้ท่านก็ถูกจิตสำนึกโจมตี อย่างรุนแรงแล้ว ดาวิดปล่อยให้ซาอูลออกจากถ้ำไป ก่อนจะแสดงตัวให้เห็น ดาวิดกล่าว ตำหนิซาอูลอย่างสุภาพในการที่ท่านออกมาไล่ฆ่าอย่างไร้เหตุผล ดาวิดให้ความมั่นใจกับ ซาอูลว่าไม่เคยคิดทำร้าย แต่มอบการทั้งสิ้นไว้กับพระเจ้า ซาอูลดูเหมือนจะสำนึก และทั้ง สองก็จากกันอย่างสันติ

ในบทที่ 25 ดาวิดถูกนาบาลชายโง่ถากถางด้วยคำพูด นาบาลผู้ทำให้ต้นตระกูลอย่าง คาเลบต้องเสียชื่อ ดาวิดตั้งใจไม่เพียงแต่จะไปฆ่านาบาลเท่านั้น แต่ฆ่าชายทุกคนในครัว เรือนทั้งสิ้น แต่เป็นเพราะสตรีที่มีสติปัญญาและเสียสละอย่างนางอาบิกายิลภรรยาของ นาบาล เข้ามาแทรก ทำให้ความโกรธของดาวิดลดลงและล้มเลิกการแก้แค้น ในการพบกัน ครั้งนี้ อาบิกายิลพูดให้ดาวิดมั่นใจว่าจะได้ขึ้นปกครองอิสราเอลแน่ และขอให้ดาวิดละ ความ แค้นไว้ที่พระเจ้าเป็นดีที่สุด ดาิวิดตกลง และทั้งคู่จากกันอย่างสันติ

บทที่ 26 ดูจะเป็นจุดสูงสุดด้านจิตวิญญาณของดาวิด ซาอูลออกตามล่าดาวิดอีกครั้ง ดาวิดรู้เข้าจึงส่งคนไปสอดแนมหาที่ตั้งค่าย ดาวิดกับอาบีชียจึงลงไปที่ค่ายในขณะที่ ทหารทุกคนนอนหลับสนิทด้วยการดลบันดาลจากพระเจ้า (26:12) ดาวิดไม่อนุญาตให้ อาบีชัยฆ่าซาอูลอย่างที่เขาต้องการ (26:8-9, 15) แต่ท่านกลับหยิบเอาหอกและเหยือก น้ำของซาอูลกลับไปเพื่อแสดงว่าท่านเข้าถึงตัวซาอูลและฆ่าได้ถ้าต้องการ โดยที่คน ของซาอูลนอนหลับไม่รู้เรื่อง

ในการเผชิญหน้ากันครั้งนี้ ดาวิดกล่าวตำหนิอับเนอร์ก่อนแล้วตามด้วยการชี้ให้เห็นข้อบก พร่องในหน้าที่ของทหารคุ้มกันที่ไม่สามารถดูแลกษัตริย์ได้ โทษนี้ถึงตาย เมื่อดาวิดพูด ตักเตือนแล้ว ท่านกล่าวว่าท่านเองเป็นผู้ช่วยชีวิตกษัตริย์ไว้หาใช่คนของซาอูลไม่ แล้วทำ ไมคนที่ช่วยชีวิตกษัตริย์ไว้จึงถูกตามล่าด้วยข้อหาลอบปลงพระชนม์ ในขณะคนที่สมควร ตายน่าจะเป็นคนที่ตามฆ่าท่านต่างหาก

ดาวิดพูดกับกษัตริย์ซาอูลว่าท่านยังสัตย์ซื่อและจงรักภักดีต่อกษัตริย์ และท่านถามอีกครั้ง ว่าเหตุใดซาอูลจึงต้องการฆ่าท่าน ท่านชี้แจงว่าน่าจะมีใครยุยงอยู่เบื้องหลัง ซึ่งเป็นการทำ ผิดอย่างมหันต์ เพราะท่านไม่เป็นอันตรายต่อซาอูล แต่ในการตามล่าดาวิดนั้นซาอูลกำลัง บีบบังคับให้ดาวิดต้องออกจากบ้านเกิดไป ออกจากสถานที่แห่งการนมัสการและแหล่ง ของพระพร ซึ่งเท่ากับเป็นการบังคับให้ดาวิดไปปรนนิบัติพระอื่น ดาวิดร้องขอต่อซาอูล ว่าอย่าให้ท่านต้องออกจากแผ่นดินนี้เลย ท่านไม่ต้องการให้โลหิตของท่านตกลงในดิน แดนต่างด้าว (26:17-20) ซาอูลสารภาพผิดและยอมรับว่าดาวิด "....จะกระทำหลาย สิ่งหลายอย่างและจะสำเร็จแน่" (26:25) ท่านกำลังใ้ห้สัญญากับดาวิดในทางอ้อมว่า ท่านจะล้มเลิกการตามล่า และเชิญชวนดาวิดว่า "จงกลับเถิด" (26:21) ผมคิดว่าซาอูล ต้องการหนุนใจให้ดาวิด "กลับมา" นมัสการโดยไม่ต้องกลัวอีกต่อไป

ถึงแม้ดาวิดได้รับการยืนยันว่าจะได้เป็นกษัตริย์องค์ต่อไปของอิสราเอล ถึงแม้ท่านได้ พิสูจน์ความเชื่อแล้ว เราพบว่าดาวิดก็ยังออกจากอิสราเอลไปยังเมืองกัท เรื่องนี้นับว่าน่า ทึ่งจริงๆ

อยู่ที่กัทดีกว่าไปอยู่ป่าช้า
(27:1-4)

1 ดาวิดนึกในใจว่า "ข้าคง_จะพินาศสักวันหนึ่ง132 ด้วยมือ ของซาอูล ไม่มีสิ่งใดดีกว่าที่ข้าจะหนีไปอยู่ที่แผ่นดินคน ฟีลิสเตีย แล้วซาอูลก็จะทรงเลิกไม่ติดตามข้าอีก ภายใน พรมแดนอิสราเอล และข้าจะรอดพ้นจากมือของท่านได้" 2 ดาวิดจึงลุกขึ้นยกข้ามไป ทั้งตัวท่านและคนที่อยู่กับท่าน หกร้อยคนด้วยกัน ไปหาอาคีชบุตรมาโอค กษัตริย์เมืองกัท 3 และดาวิดก็อาศัยอยู่กับอาคีชที่เมืองกัท คือตัวท่านและ คนของท่าน ทุกคนมีครัวเรือนไปด้วย ทั้งดาวิดพร้อมกับ ภรรยาสองคน คืออาหิโนอัมชาวยิสเรเอล และอาบีกายิล ชาวคารเมลแม่ม่ายของนาบาล 4 และเมื่อมีคนไปทูลซาอูล ว่า ดาวิดได้หนีไปเมืองกัทแล้ว พระองค์ก็มิได้แสวงท่าน อีกต่อไป

ข้อ 1 ทำให้เรามีความรู้สึกว่าเวลาระหว่างเหตุการณ์ในบทที่ 26 และ 27คงจะเกิดใกล้ เคียงกัน ถึงแม้ไม่มีการบันทึกไว้และไม่มีเหตุการณ์รุนแรงใดที่ทำให้ดาวิดต้องเปลี่ยนใจ กระทันหัน133 http://www.bible.org/docs/ot/books/1sa/deffin/ ดาวิดแน่ใจมากว่าพระเจ้าจะปกป้องท่าน (24:15) และนางอาบีกายิลก็ยืน ยันในเรื่องนี้ (25:29) แต่แล้วท่านกลับพูดว่าจะต้องพินาศแน่ถ้าท่านไม่หนีไปยังดินแดน ฟิลิสเตียที่แน่ใจในความปลอดภัย (27:1) ดาวิดกล่าวไว้ในบทก่อนว่าซาอูลจะพินาศ (26:10)134 http://www.bible.org/docs/ot/books/1sa/deffin/ แต่ตอนนี้ท่านกลับคิดว่าท่านกำลังจะพินาศ และดาวิดเองได้ร้องขอต่อซาอูล ว่าอย่าบังคับให้ท่านต้องออกไปจากอิสราเอลเลย กลับรู้สึกว่าต้องออกไปถึงแม้ซาอูลจะ รับรองความปลอดภัยแล้วก็ตาม เรื่องนี้น่าทึ่งครับ

คำที่ดาวิดใช้ (คือคำว่า "พินาศ") นี้สำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งว่าดาวิดรู้จักธรรมบัญญัติ ของโมเสสดี มีการนำคำนี้มาใช้ถึง 18 ครั้งจากปฐมกาลถึงผู้วินิจฉัย – และจนกระทั่ง ดาวิดนำมาใช้อีกใน 26:10 และ 27:1 ในสามครั้งเป็นการกล่าวถึงการที่พระเจ้าทรง พิพากษาบรรดาศัตรูของอิสราเอล สิบเอ็ดครั้งถึงการที่พระเจ้าพิพากษาอิสราเอลเองใน ฐานะศัตรูของพระองค์ที่ไม่เชื่อฟังและละเลยพระบัญญัติ นับเป็นเรื่องน่าสนใจที่ดาวิด พึ่งประกาศว่าตนเองเป็นผู้บริสุทธิ์และผู้อื่นเป็นฝ่ายผิดนั้นกำลังใช้คำเดียวกันนี้เพื่อแสดง ให้เห็นถึงความกลัวถูกซาอูลฆ่า ดาวิดกำลังหลงประเด็น เดล ราล์ฟ ดาวิส เขียนไว้ว่า "... ความคิดที่นำดาวิดมาถึงจุดนี้คือความเชื่อที่เริ่มจะเสื่อมถอย (ตามที่ เฮช แอล เอลลิสัน เรียก):

‘แล้วดาวิดคิดในใจว่า: ‘เราต้องพินาศด้วยน้ำมือของ ซาอูลสักวันเป็นแน่ ; ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะอยู่ (ที่นี่) ควรต้องหนีไปฟิลิสเตีย – ซาอูลคงจะหมดหวังในเรา เลิกติดตามหาเราในเขตแดนอิสราเอล ; เราคงจะพ้น ไปจากเงื้อมมือของท่าน [27:1]"135 http://www.bible.org/docs/ot/books/1sa/deffin/

เวลาคงผ่านไปไม่นานนักนับจากดาวิดหนีไปลี้ภัยที่เมืองกัทครั้งแรก ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่ นับว่าหายนะสำหรับดาวิด ท่านรอดมาได้ แต่ก็ออกมาในสภาพคนบ้าสกปรกมอมแมม เรา คงพอเดาได้ว่าพอดาวิดพ้นจากประตูเมืองกัทมาได้ ท่านคงพูดกับตัวเองว่า "จ้างให้ก็ไม่ เอาอีกแล้ว!" แต่แล้วเราก็เห็นท่านกลับมาอีก แต่ครั้งนี้ไม่ได้มาคนเดียว ครั้งนี้มีผู้ติดตาม มาด้วยถึง 600 คนยังไม่นับรวมถึงครอบครัว (27:2-3)136 http://www.bible.org/docs/ot/books/1sa/deffin/ ดาวิดเองนำภรรยาทั้งสองไป ด้วย137

ดาวิดคิดถูกอยู่เรื่องหนึ่ง เมื่อซาอูลได้ยินว่าดาวิดหนีไปเมืองกัท ท่านก็ล้มเลิกการตามล่า แปลว่าถ้าดาวิดยังอยู่ในอิสราเอลต่อ ซาอูลคงพยายามจะล่าดาวิดอยู่หรือเปล่า? ที่ไม่น่า ประหลาดใจนักคือซาอูลไม่คิดจะไปไล่ล่าดาวิดที่ฟิลิสเตีย เพราะท่านเองไม่เคยกระตือรือ ร้นที่จะไปสู้กับพวกฟิลสเตียอยู่แล้ว โยนาธานบุตรของท่านต่างหากที่ลุกขึ้นมาทำ แต่การ ที่ "คิดถูก" ในเรื่องของซาอูลก็ไม่ได้หมายความว่าดาวิดคิดถูกในเรื่องการหนีไปในดินแดน ฟิลิสเตีย แต่ไม่ว่าผมคิดอะไร ผู้เขียนได้ทำให้เรื่องนี้กระจ่างชัดขึ้นมา

มีที่อยู่เป็นของตนเอง
(27:5-7)

5 แล้วดาวิดจึงทูลอาคีชว่า "ถ้าข้าพระบาทเป็นที่โปรดปรานในสาย พระเนตรของฝ่าพระบาท ขอทรงให้เขามอบที่ในหัวเมืองแก่ข้าพระ บาทสักแห่งหนึ่ง เพื่อข้าพระบาทจะได้อาศัยอยู่ที่นั่น ไฉนผู้รับใช้ ของฝ่าพระบาทจะอยู่ในกรุงกับฝ่าพระบาทเล่า" 6 ในวันนั้นอาคีช ทรงมอบเมืองศิกลากให้ ศิกลากจึงเป็นหัวเมืองขึ้นแก่กษัตริย์ยูดาห์ จนถึงทุกวันนี้ 7 ระยะเวลาที่ดาวิดเข้าไปอยู่ในแผ่นดินฟีลิสเตียนั้น เป็นหนึ่งปีกับสี่เดือน คุณคงพอนึกออกว่า ดาวิดและนักรบ 600 คนพร้อมทั้งครอบครัวจะสร้างผลกระทบแบบ ใดให้กับเมืองกัท อาคีชและชาวกัทคงพอรู้อยู่ว่าดาวิดจะขอสิ่งใด และดาวิดก็ร้องขอจาก อาคีช ท่านขอสักเมืองหนึ่งที่ท่านและคนของท่านทั้งหมดจะอาศัยอยู่อย่างเป็นสัดส่วนได้ เป็นคำขอที่สมเหตุผล อาคีชจึงตัดสินใจยกเมืองศิกลากให้ เมืองนี้อยู่ห่างจากกัทไปทาง ตะวันออกเฉียงใต้ประมาณ 40 กม. ซึ่งค่อนข้างจะไกลจากสายตาของชาวฟิลิสเตีย และ ไม่ไกลนักจากอิสราเอล ทำให้ดาวิดและพรรคพวกมี "ที่อยู่เป็นของตนเอง" เป็นที่อยู่ที่ ห่างไกลจากความควบคุมของอาคีช คล้ายๆกับย้ายไปอยู่ให้ไกลจากพ่อตา-แม่ยายเพื่อ จะมีชีวิตเป็นส่วนตัว ดาวิดอาศัยอยู่ในฟิลิสเตียเป็นเวลาหนึ่งปีกับสี่เดือน แต่เมืองศิกลาก กลับกลายไปเป็นเมืองในครอบครองของอิสราเอลอย่างถาวร (ข้อ 6-7)

ปิดหูปิดตาอาคีช
(27:8-12)

8 ฝ่ายดาวิดกับคนของท่านก็ขึ้นไปปล้นชาวเกชูร์ คนเกอร์กาชี คนอามาเลข เพราะประชาชาติเหล่านี้เป็นชาวแผ่นดินนั้นตั้งแต่สมัยโบราณ ไกลไปจนถึง เมืองชูร์ถึงแผ่นดินอียิปต์ 9 ดาวิดก็โจมตีแผ่นดินนั้น ไม่ไว้ชีวิตผู้ชายหรือผู้หญิง แต่ริบแกะ โค ลา อูฐ และเสื้อผ้า แล้วกลับมาหาอาคีช 10 เมื่อไรอาคีชถามว่า "วันนี้ท่านไปปล้นผู้ใดมา" ดาวิดก็ทูลว่า "ปล้นถิ่นใต้ที่แผ่นดินยูดาห์" หรือ "ปล้นเนเกบที่ตระกูลเยราเมเอล" หรือ "ปล้นถิ่นใต้คนเคไนต์" 11 ดาวิดมิได้ ไว้ชีวิตผู้ชายหรือผู้หญิงที่จะนำมาที่เมืองกัท โดยคิดว่า "เกรงว่า เขาจะบอก เรื่องของเรา และกล่าวว่า 'ดาวิดได้ทำอย่างนั้นๆ'" นี่เป็นวิธีการ ขณะที่ท่าน อาศัยอยู่ในแผ่นดินฟีลิสเตีย 12 อาคีชทรงวางพระทัยในดาวิด ด้วยทรงดำริว่า "เขาได้กระทำให้อิสราเอลชนชาติของเขาเกลียดอย่างที่สุด เพราะฉะนั้นเขาจึง เป็นผู้รับใช้ของเราได้ตลอดไป"

ดาวิดและคนของท่านได้มีที่อยู่เป็นของตนเอง แต่เขายังต้องทำมาหาเลี้ยงชีพ การแก้ปัญ หาของดาวิดนั้นชาญฉลาด ท่านใช้ศิกลากเป็นกองบัญชาการบริหารงาน จากที่เมืองนี้ ท่านและพรรคพวกออกโจมตีและปล้นบรรดาเมืองที่เป็นศัตรูของอิสราเอล บางพวกเรารู้ จักดี เช่นชาวอามาเลข แต่บางพวกเช่นเกอร์กาซีเราไม่รู้จัก รู้แต่เพียงว่าเป็นพวกที่อาศัย อยู่ในแผ่นดินตั้งแต่ครั้งโบราณ อาจจะสรุปได้ว่าคนเหล่านี้เป็น "ชาวคานาอัน" ที่จำต้อง ถูกกำจัด (ดูอพยพ 23:23; กันดารวิถี 21:3; เฉลยธรรมบัญญัติ 7:1-5; ผู้วินิจฉัย 1:17)

ถ้าเป็นเช่นนี้ (เราอาจมีข้อข้องใจอยู่บ้างตัวอย่างเช่นในกรณีของชาวเกอร์กาซี) การฆ่า "ชาวคานาอัน" ทั้งหมดจึงเป็นการสมควร ผมต้องชี้ให้เห็นว่า ถึงแม้ดาวิดจะฆ่าทุกคนรวม ทั้งเด็กในหมู่บ้านที่เข้าไปปล้น ท่านไม่ได้ฆ่าสัตว์เลี้ยงทั้งหมด ท่าน "ริบแกะ โค ลา อูฐ และเสื้อผ้า" (ข้อ 9) ถ้าดาวิดโจมตีคนเหล่านี้เพื่อทำตามคำสั่งของพระเจ้า ท่านก็ไม่ต่าง ไปจากซาอูล ที่ไว้ชีวิตกษัตริย์และฝูงสัตว์ที่ดีที่สุด ดังนั้นการปล้นโจมตีคนเหล่านี้เป็น การกระทำเพื่อผลประโยชน์ เช่นการหาเสบียงอาหารให้ครอบครัว ท่านฆ่าคนทั้งหมด ไม่มีผู้ใดเหลือรอดชีวิต ไม่ใช่เป็นเพราะพระเจ้าสั่ง แต่เป็นเพราะเพื่อปกปิดการกระทำ ของท่านไม่ให้รั่วไหล (ดูข้อ 11)

ดาวิดอาจกำลังทำสิ่งที่ถูกต้อง (เช่นฆ่าคนที่พระเจ้าประสงค์จะให้กำจัด) แต่ด้วยเหตุผล ที่ผิด พระเจ้าทำพระประสงค์ของพระองค์ให้สำเร็จโดยการใช้คนที่ไม่ได้ทำในสิ่งที่พระ องค์ปรารถนาให้ทำ เราเห็นได้ในกรณีพี่ชายของโยเซฟ (ดูปฐมกาล 50:20) และดูเหมือน เป็นสิ่งที่ดาวิดกำลังกระทำในเขตแดนฟิลิสเตีย

ดาวิดอาจทำในสิ่งที่ไม่ฉลาดนักด้วยการหนีเข้าไปในฟิลิสเตีย แต่ท่านเป็นคนฉลาดแกม โกงทีเดียว กษัตริย์อาคีชอาจคิดว่าตนเองนั้นเฉียบแหลม แต่ผมกลับคิดว่าเขาเป็นคนซื่อ และไม่ทันคน138 http://www.bible.org/docs/ot/books/1sa/deffin/ ดาวิดมาที่ฟิลิสเตียอย่างมี "ข้อกังขา" แต่อาคีชกลับเห็นเป็นของมีค่า เป็นเพชรประดับมงกุฎ การมีดาวิดอยู่ในฟิลิสเตียดูเหมือนเป็นสมบัติล้ำค่าของอาคีช เพราะ ดูภายนอกเหมือนดาิวิดกำลังต่อสู้กับอิสราเอลเพื่อฟิลิสเตีย (27:10) ซึ่งก็แปลว่าคนอิสรา เอลไม่มีวันจะรับดาวิดกลับไป และแน่นอนไม่มีทางได้เป็นกษัตริย์ของอิสราเอลอีกต่อไป (เทียบกับ 21:11; 27:12) แทนที่จะมาเป็นภาระให้กับอาคีช ดาวิดต้องการเป็นผู้อำนวย ประโยชน์ให้ ทุกครั้งหลังการปล้น ดูเหมือนดาวิดมารายงานและแบ่งของที่ริบได้ให้กับ อาคีช (27:9) อาคีชคิดว่ามีดาวิดอยู่ในกำมือและสามารถ "ใช้" ให้เกิดประโยชน์ฝ่ายตน ได้

อาคีชคงไม่ใช่คนช่างสังเกตุ ดาวิดไม่ได้กำลังฆ่าคนอิสราเอลสักนิด แต่ฆ่าเหล่าศัตรูของ อิสราเอลต่างหากโดยใช้เมืองศิกลากที่ลี้ภััยอยู่เป็นศูนย์กลาง ถึงแม้ไม่มีกล่าวอยู่ในพระ ธรรมตอนนี้ แต่อีกไม่นานเราจะเห็นว่าดาวิดแบ่งของที่ริบมาได้ให้กับคนที่ท่านต้องไปฆ่า - คือพี่น้องร่วมชาติ :

26 เมื่อดาวิดมาถึงเมืองศิกลากแล้ว ก็ส่งของที่ริบได้นั้นส่วนหนึ่ง ไปให้เพื่อนซึ่งเป็นพวกผู้ใหญ่ในยูดาห์กล่าวว่า "นี่เป็นของขวัญ ฝากมาให้ท่านซึ่งเป็นส่วนของของริบจากศัตรูของพระเจ้า" 27 คือ แก่คนที่อยู่ในเบธเอลในราโมทที่เนเกบ ในยัททีร 28 ในอาโรเออร์ ในสิฟโมท ในเอชเทโมอา 29 ในราคาล ในหัวเมืองของคนเยราเม เอล ในหัวเมืองของคนเคไนต์ 30 ในโฮเรมาห์ ในโบราชาน ใน อาธาค 31 ในเฮโบรน คือให้แก่ทุกตำบลที่ดาวิดกับคนของท่าน ได้เคยไปๆมาๆ (1 ซามูเอล 30:26-31) คุณเห็นสิ่งที่ดาวิดนำเสนอกษัตริย์อาคีชเพื่อเป็นการตบตาในสิ่งที่ท่านทำจริงหรือเปล่า ? ท่านบอกกับอาคีชว่าท่านไปต่อสู้กับชาวอิสราเอลพี่น้องร่วมชาติ ทำให้กษัตริย์ฟิลิสเตีย เข้าใจว่า "เขาได้กระทำให้อิสราเอลชนชาติของเขาเกลียดอย่างที่สุด" (27:12) ในความเป็นจริง ท่านไปต่อสู้กับบรรดาศัตรูของอิสราเอล และนำของที่ริบได้ไปให้พี่น้อง ร่วมชาติ ทำให้ท่านได้กลับไปเยี่ยมพวกเขาบ่อยครั้ง (30:26-31) ดาวิดเอาใจชาวอิสราเอล ในขณะอยู่ในความคุ้มครองของฟิลิสเตีย เราคงเรียกได้ว่าดาวิดกำลัง "จับปลาสองมือ"

ในระหว่างนี้ดาวิดอาจปลอบใจตนเองว่า: "นี่เป็นทางออกที่ดีที่สุด" ท่านไม่จำเป็นต้องหลบซ่อน อยู่ในถิ่นทุรกันดารของอิสราเอลอีกต่อไป ; สามารถไปใหนมาใหนได้ตามต้องการและมีคนเคารพ นับถือ เข้าไปพบกษัตริย์ได้ตลอดเวลา ไม่ต้องไป "ขอ" ปันอาหารจากผู้ใด แต่อยู่ดีกินดีจากของ ที่ริบมาได้ ท่านไม่ต้องกลัวจะถูกคนอิสราเอลหักหลัง ท่านไปเยี่ยมเยียนและแบ่งปันข้าวของให้ แก่คนอิสราเอลตลอดเวลา และถ้าซาอูลไม่คิดจะจัดการกับศัตรูที่อยู่รอบด้าน ดาวิดจะลงมือเอง ดูเหมือนดาวิดจะได้ทั้งขึ้นทั้งล่อง (ทั้งอิสราเอลและฟิลิสเตีย) แต่แล้วไม่นาน ลูกเจี๊ยบที่แอบ เลี้ยงไว้ "มันเริ่มจะขัน"

อุ๊ย ! (28:1-2)

1 อยู่มาในครั้งนั้น คนฟีลิสเตียได้รวบรวมกำลังเพื่อทำสงครามสู้รบ กับอิสราเอล และอาคีชตรัสกับดาวิดว่า "จงเข้าใจเถิดว่า ท่านกับคน ของท่านจะออกทัพไปกับเรา" 2 ดาวิดทูลอาคีชว่า "ดีทีเดียวพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าพระบาทจะได้ทราบว่าผู้รับใช้ของฝ่าพระบาทจะกระทำอะไรได้บ้าง" และอาคีชรับสั่งกับดาวิดว่า "ดีแล้ว เราจะให้ท่านเป็นองครักษ์ของเรา ตลอดชีพ"

สองสามเดือนที่ผ่านมา มีหลายครอบครัวเลือกที่จะให้ลูกๆนั่งอยู่ด้วยในช่วงเรียนรอบ 11 โมงเช้า มีการตั้งชื่อเรื่องชื่อตอนพร้อมทั้งวาดการ์ตูนประกอบบทเรียนให้กับผมด้วย ทั้ง ตอนเก่าตอนใหม่ มีเพื่อนรุ่นเยาว์ตั้งชื่อตอนและเขียนภาพการ์ตูนประกอบมาให้สำหรับ ตอนนี้ เมื่อผมสอนมาถึงบทนี้ มีเสียงเด็กคนหนึ่งร้องออกมาว่า "โอ๊ะ โอ๋ !" ผมว่าใช่ครับ เธอเสียวไส้แทนดาวิด ผมจึงตั้งชื่อตอนสำหรับสองข้อแรกของบทที่ 28 นี้ว่า "อุ๊ย"

ฟิลิสเตียยังทำสงครามกับอิสราเอลอย่างต่อเนื่องตามที่เราอ่านในพระธรรม 1 ซามูเอล ดู เหมือนครั้งนี้แม่ทัพของฟิลิสเตียตัดสินใจออกรบกับอิสราเอลอีก อาคีชแจ้งเรื่องนี้ให้ดาวิด ทราบ และ "ให้เกียรติ" ดาวิดด้วยการให้ท่านและพรรคพวกเข้าร่วมรบด้วย ผมไม่ทราบว่า ดาวิดประหลาดใจขนาดใหน แต่สิ่งที่ท่านตอบกษัตริย์ไปนั้นทำให้เราประหลาดใจยิ่งกว่า : "ดีทีเดียวพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าพระบาทจะได้ทราบว่าผู้รับใช้ของฝ่าพระบาทจะกระทำอะไร ได้บ้าง"

ฟังดูเหมือนเป็นคำพูดของพวกผู้ชายขี้โอ่ "นี่พวกนาย ฉันจะเอาพวกนายออกไปรบด้วย" "ได้เลยลูกพี่ คราวนี้จะได้เห็นผีมือพวกเราซะที " ดาวิดหมายความตามที่พูดจริงหรือ ? ท่านรู้ตัวหรือเปล่าว่าพูดอะไรออกไป ? ผมสงสัยว่าดาวิดคงตกใจเลยพูดออกไปแบบไม่ ทันได้ตั้งตัว ที่แน่ๆคือท่านพูดในสิ่งที่อาคีชอยากฟัง เพราะกษัตริย์ตอบสนองต่อคนขี้โม้ อย่างดาวิดโดยแต่งตั้งให้เป็นราชองค์รักษ์ตลอดชีพ น่าทึ่งไหมครับ ! ดาวิดผู้ที่ครั้งหนึ่ง เคยเป็นผู้ถือเครื่องอาวุธให้กับซาอูล (16:21) ตอนนี้กลับได้รับเลือกให้เป็นราชองค์รักษ์ ของกษัตริย์ฟิลิสเตีย และกำลังออกไปร่วมรบกับฟิลิสเตียเพื่อต่อสู้กับอิสราเอล แน่นอน ผู้อ่านอย่างเราๆท่านๆคงอยากจะถามว่า "แล้วคนอย่างคุณมาทำอะไรอยู่แถวนี้ ?"

บทสรุป

ก่อนที่จะสรุปบทเรียนตอนนี้ สิ่งแรกที่เราต้องพูดกันคือ "เรื่องนี้ยังไม่จบครับ" ผู้เขียนมีวิธี การแยบยลที่ทำให้เราต้องเกาหัวด้วยความสงสัย แถมยังตามด้วยเรื่องที่สลับซับซ้อน หนักขึ้นไปอีก (เรื่องซาอูลไปปรึกษาคนทรงที่เมืองเอนโดร์ใน 28:3-25) เรื่องที่เริ่มต้นใน บทที่ 27 จะสรุปลงได้ในบทที่ 29-31 แต่เราจะไม่ได้คำตอบอย่างเร็วๆง่ายๆ หรอกครับ ; เราต้องติดอยู่กับคำถามนี้อีกพอควร เราจึงต้องหยุดและใช้ความคิดกันสักหน่อย ผู้เขียน ไม่ได้กำลังเล่านิทานที่ตอนจบแฮปปี้เอ็นดิ้งนะครับ ; ท่านกำลังเล่าเรื่องจริง จริงชนิดที่ ทำให้เราหัวหมุนทีเดียว พวกเราต้องการให้พระคัมภีร์พูดในทุกสิ่งหรือเปล่าครับ เพื่อ เราจะไม่ต้องหยุดคิดพิจารณาด้วยตัวเราเอง ? ถ้าเช่นนั้นเราจะไม่ได้อะไรเลย บ่อยครั้ง ที่ในพระคัมภีร์เล่าเรื่องราวของปัญหา แล้วทิ้งท้ายไว้ให้เราคิด พระคัมภีร์ไม่ได้คิดแทนเรา ไปเสียทั้งหมด ; แต่กลับกระตุ้นให้เราใช้ความคิด เราต้องไม่นำเอาพระคำมาคิดหรือตี ความเอาเองตามใจชอบ แต่เราควรนำมาคิดในแง่ที่เป็นพระวจนะจากพระเจ้า พระคัมภีร์ สอนเราอย่างไรสำหรับเรื่องราวในตอนนี้ ?

เราสามารถเรียนได้จากบทเรียนตอนนี้ (และตอนอื่นๆอีกหลายตอน) ว่าพระคัมภีร์ไม่ได้ สร้างวีรบุรุษให้เราหลงไหล ในแวดวงทั้งคริสเตียนและไม่ใช่คริสเตียนทุกวันนี้แทบไม่ ต่างกัน คนส่วนมากจะมีวีรบุรุษประจำใจ สิ่งนี้ทางฮอลลีวู้ดมีจัดไว้เตรียมเพื่อตอบสนอง ต่อความต้องการของเยาวชน พวกเราที่เป็นผู้ใหญ่มักคิดว่าตัวเองอาบน้ำร้อนมาก่อน อาจเป็นพวกที่ติดดาราทีวีจนงอมแงม แอบส่งของขวัญไปให้กำลังใจวีรบุรุษในจอเหล่านี้ แต่พอวีรบุรุษของคริสเตียนล้มเหลว เราทนแทบไม่ได้ อยากเหวี่ยงเขาไปให้พ้นหน้าพ้นตา เพราะเขาไม่ได้เป็นอย่างที่เราคิด ถ้าผู้นำของเราไม่สามารถทำตามมาตรฐานที่เราตั้งไว้ เราก็พูดกับตัวเองว่า แล้วจะให้เขาเป็นแบบอย่างได้อย่างไร ? ความล้มเหลวของผู้นำ คริสเตียนในสายตาของผู้คนทั่วไป จะมีผลกระทบอย่างรุนแรงต่อชุมชนคริสเตียนใน ที่นั้นๆ

วีรบุรุษเช่นนี้ไม่มีในพระคัมภีร์ ไม่มีชายหรือหญิงคนใดที่มีสัมผัสพิเศษ ทำทุกสิ่งให้ ประสพผลสำเร็จอย่างง่ายดาย ไม่มีการทำผิด ในพระคัมภีร์มีทั้งชายและหญิงที่เต็มไป ด้วยข้อบกพร่อง มีจุดอ่อนเช่นเราทั้งหลาย อย่างที่ยากอบเรียกว่า "เป็นมนุษย์ที่มี สภาพเหมือนกับเราทั้งหลาย" (ยากอบ 5:17) อับราฮัมผู้เคยยินยอมมอบบุตรชาย อิสอัค ยินยอม"ยกภรรยา" นางซาราห์ให้ไปโดยอ้างว่าเป็นน้องสาว (และทำมากกว่าหนึ่ง ครั้ง ดูปฐมกาล 12:13; 20:10-13) ยาโคบชายที่ยังไม่ได้มาตรฐานเซลส์แมนขายรถมือ สองยกโหล ถึงแม้จะมี "คุณลุง" เป็นเจ้าของกิจการด้วยซ้ำไป139 http://www.bible.org/docs/ot/books/1sa/deffin/ เรากำลังเห็นจุดอ่อน ของดาวิด และแน่นอนเรารู้จักคนอย่างกิเดโอน โยนาห์ และเปโตร ในพระคัมภีร์ไม่มีใคร เป็นสามีที่สมบูรณ์แบบ ไม่มีบิดาที่สมบูรณ์แบบ ไม่มีภรรยาที่สมบูรณ์แบบ140 http://www.bible.org/docs/ot/books/1sa/deffin/ พระเจ้าไม่ ต้องการให้เราหลงไหล "บูชา" ในมนุษย์คนใดจนกลายเป็นรูปเคารพของเรา พระองค์ต้อง การให้เราบูชาพระองค์ เมื่อเราบูชามนุษย์ เราไม่เพียงแต่ทำสิ่งที่โง่เขลา แต่เรากำลัง สร้างปัญหาให้กับตัวเราเองและคนที่เราหลงบูชา

เรามาเข้าสู่เรื่องสุดท้ายกัน ผู้เขียนต้องการสอนผู้อ่านถึงสิ่งใดในสมัยนั้น และเนื้อหานี้ สอนสิ่งใดกับเราในสมัยนี้ ? ให้เริ่มจากในสมัยของผู้เขียนก่อน141 เราไม่รู้แน่ชัดว่าพระ ธรรม 1 ซามูเอลนี้เขียนขึ้นเมื่อใด แต่เรารู้ว่าเขียนขึ้นหลังเหตุการณ์ผ่านไปนานพอสมควร และนี่เองทำให้เรารู้จักคำว่าหญิง "คนทรง" ในสมัยพระธรรม 1 ซามูเอล ว่าคือ "ผู้เผย พระวจนะ" ในสมัยของผู้อ่าน (1 Samuel 9:9) เรารู้อีกด้วยว่าเมืองศิกลากที่ถูกมอบให้ กับดาวิดใน 1 ซามูเอล 27 นั้นตกเป็นเมืองในครอบครองของกษัตริย์อิสราเอลมาจนถึง สมัยของผู้อ่าน (1 ซามูเอล 27:6) ดูเหมือนเหตุการณ์ที่บันทึกไว้ในตอนนี้เป็นคำสั่งสอน สำหรับบรรดา "กษัตริย์" ในสมัยที่มีการเขียนพระธรรม 1 และ 2 ซามูเอล และมีการนำมา อ่านเป็นครั้งแรก คุณว่าพวกเขาเห็นอันตรายจากการเป็นพันธมิตรกับต่างชาติไหม ? น่าจะ เห็นนะครับ เพราะนี่คือภัยที่เกิดอย่างสม่ำเสมอตลอดมาในประวัติศาสตร์ของอิสราเอล บทเรียนที่ดาวิดได้รับในฐานะ "กษัตริย์ในอนาคต" นั้น เป็นบทเรียนเดียวกันสำหรับกษัตริย์ ทุกพระองค์รวมทั้ง "กษัตริย์ในอนาคต" ด้วย "

ยังมีบทเรียนสำหรับสามัญชนในยุคนั้นด้วย และบทเรียนเหล่านี้ก็เหมาะสำหรับพวกเราทั้ง หลายในปัจจุบันเช่นกัน แน่นอนเมื่อเริ่มอ่านสองข้อแรกของ 1 ซามูเอล 28 เราต้องหยุด ถามว่า "ดาวิดเอาตนเองเข้าไปอยู่ในสภาพนั้นได้อย่างไร ?" ท่านทำผิดตรงไหน ? ท่าน พลาดไปได้อย่างไร ? ให้เรานำคำถามนี้มาไตร่ตรองให้ดี และด้วยการอธิษฐานขอความ เข้าใจ ผมขอยืนยันว่าคริสเตียนในสมัยนี้ทำผิดได้พอๆกับเมื่อหลายร้อยปีที่แล้ว ปัญหา และการแก้ใขก็ไม่ต่างกัน ผมขอชี้ให้เห็นข้อผิดพลาดบางประการที่ดาวิดได้กระทำ

ประการแรก ดาวิดกำลังตกอยู่ในอาการของ "ความโดดเดี่ยว" ดาวิดเป็นผู้อยู่ใน อุปการะเลี้ยงดูของคนอื่น มีซามูเอล ผู้ไม่เพียงแต่เจิมตั้งให้ท่านเป็นกษัตริย์องค์ต่อไป ของอิสราเอล แต่เป็นคนที่ดาวิดหนีไปพึ่งเมื่อถูกซาอูลตามฆ่า (1 ซามูเอล 19:18-24) ยังมีอาบียาร์ธาร์ทายาทของอาหิเมเลขที่หนีตามดาวิดมาพร้อมด้วยเอโฟด (1 ซามูเอล 22:20-23; 23:6) มีโยนาธานที่คอยหนุนหลังอยู่ ให้ความมั่นใจว่าดาวิดจะได้ขึ้นครอง เป็นกษัตริย์องค์ต่อไป (1 ซามูเอล 20:12-17, 41-42; 23:15-18) แล้วยังมีอาบีกายิล ที่เป็นกำลังใจให้อย่างมาก ทำให้ท่านทำในสิ่งที่ถูกต้องในฐานะกษัตริย์องค์ต่อไปของ อิสราเอล (1 ซามูเอล 25:26-31)

ถึงแม้ดาวิดจะมีคนคอยช่วยเหลืออยู่มาก ดูเหมือนท่านจะไม่ค่อยเปิดเผยตัวตนนัก คำพูด ใน 27:1 นั้นท่านพูดกับตนเอง ดาวิดเป็นโรคที่ผมขอเรียกว่า "สู้อย่างโดดเดี่ยว" เป็น เพราะความรู้สึก "โดดเดี่ยว" นี้เองที่ทำให้วิญญาณต้องดิ้นรนต่อสู้กับความเจ็บปวดตาม ลำพัง ถึงแม้ผู้เผยพระวจนะอย่างเอลียาห์ก็ยังถูกโจมตีด้วยอาการในแบบเดียว :

9 ที่นั่นท่านมาถึงถ้ำแห่งหนึ่งก็เข้าพักอยู่ และดูเถิด พระวจนะ ของพระเจ้ามาถึงท่าน และพระองค์ตรัสกับท่านว่า "เอลียาห์เอ๋ย เจ้าทำอะไรอยู่ที่นี่" 10 ท่านทูลว่า "ข้าพระองค์ร้อนรนเพื่อพระเย โฮวาห์พระเจ้าจอมโยธา ยิ่งนัก เพราะประชาชนอิสราเอลได้ทอด ทิ้งพันธสัญญาของพระองค์ พังแท่นบูชาของพระองค์ลงเสีย และ ประหารผู้เผยพระวจนะของพระองค์เสียด้วยดาบ และข้าพระองค์ ข้าพระองค์แต่ผู้เดียวเหลืออยู่และเขาทั้งหลายแสวงชีวิตของ ข้าพระองค์เพื่อจะเอาไปเสีย" (1 พกษ. 19:9-10)

13 และเมื่อเอลียาห์ได้ยินท่านก็เอาผ้าคลุมหน้าไว้ ออกไปยืน อยู่ที่ปากถ้ำ และดูเถิด มีเสียงมาถึงท่านว่า "เอลียาห์เอ๋ย เจ้า ทำอะไรอยู่ที่นี่" 14 ท่านทูลว่า "ข้าพระองค์ร้อนรนเพื่อพระเยโฮ วาห์พระเจ้าจอมโยธายิ่งนัก เพราะว่าประชาชนอิสราเอลได้ทอด ทิ้งพันธสัญญาของพระองค์ พังแท่นบูชาของพระองค์ลงเสีย และ ประหารผู้เผยพระวจนะของพระองค์เสียด้วยดาบ และข้าพระองค์ ข้าพระองค์แต่ผู้เดียวเหลืออยู่ และเขาทั้งหลายแสวงชีวิตของข้า พระองค์เพื่อจะเอาไปเสีย" (1 พกษ. 19:13-14)

เมื่อใดก็ตามที่เราคิดว่าเรากำลังต่อสู้ดิ้นรนเรื่องฝ่ายวิญญาณอย่างโดดเดี่ยว เราก็กำลัง หลอกตัวเอง และเร่งไปสู่ความตกต่ำฝ่ายวิญญาณ ดาวิดดูจะตกอยู่ในสถานการณ์ "สู้ อย่างโดดเดี่ยว" นี้ในความคิดของตนเอง ท่านไม่ได้แสวงหาการทรงนำจากพระเจ้า ทั้งๆ ที่พระองค์พร้อมและคอยอยู่ แต่ท่านไม่ต้องการทำ

ประการที่สอง ดาวิดมักจะหลงลืมในสิ่งที่ควรจะจำ อาการนี้น่าเป็นห่วงมากครับ ชน ชาติอิสราเอลหลงลืมอยู่ร่ำไปว่าพระเจ้าได้จัดเตรียมและนำพวกเขาอย่างสัตย์ซื่อตลอดมา ทั้งอดีตที่ไกลและไกล้ ในเฉลยธรรมบัญญัติโมเสสย้ำเตือนคนอิสราเอลอยู่ตลอดเวลาให้ "จดจำ" ทุกสิ่งที่พระเจ้ากระทำให้ และเตือนไม่ให้ "หลงลืม" สิ่งเหล่านั้น ดาวิดลืมหมด สิ้นโดยเลือกที่จะหนีออกไปจากแผ่นดินอิสราเอลและไปหาความคุ้มครองในแผ่นดินฟิลิส เตียแทน ดาวิดลืมถ้อยคำที่พระเจ้าตรัสผ่านมาทางซามูเอลและคนอื่นๆ ท่านลืมการช่วยกู้ ให้พ้นจากซาอูลหลายครั้งหลายครา ท่านลืมคำสั่งของผู้เผยพระวจนะกาดที่ให้ออกมาจาก ที่กำบังเข้มแข็ง (แน่นอนอยู่นอกประเทศ) และกลับคืนสู่แผ่นดินยูดาห์ (1 ซามูเอล 22:5) ท่านลืมคำพูดที่ตนเองที่พูดไว้ไม่นาน ถึงพระพรที่จะได้รับเมื่ออยู่ในแผ่นดิน และคำสาป แช่งถ้าต้องจากไป (บทที่ 26) ดาวิดลืมแม้กระทั่งความหายนะที่ท่านเผชิญเมื่อครั้งหนีไป พึ่งอาคีชที่เมืองกัท (21:10-15) การหลงลืม (คำสั่งของพระเจ้า พันธสัญญา และความ สัตย์ซื่อของพระองค์) มักเป็นจุดเริ่มต้นของความล้มเหลวที่นำพาไปสู่ความหายนะ

ประการที่สาม ดาวิดดูเหมือนจะปิดหูปิดตาต่อสิ่งที่ท่านกระทำและผลลัพท์ของมัน ท่านพยายามทำให้ดูเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อย ท่านไม่ต้องการล้มเหลว และไม่ได้ต้องการ จะเข้าไปอยู่ในกองทัพของฟิลิสเตียเพื่อไปต่อสู้กับซาอูล กับโยนาธานและทหารอิสราเอล ที่ท่านอยากทำคือหลบไปจากอิสราเอลสักพัก เพื่อให้ซาอูลผ่อนลงและล้มเลิกการตามฆ่า แต่การทำบาปหนึ่งเป็นประตูที่เปิดออกไปสู่บาปอื่นๆ และอื่นๆอีก และนี่คือสิ่งที่เกิดกับ ดาวิด สถานการณ์จากแย่เป็นตกต่ำลงเรื่อยๆ และดาวิดตกลงไปลึกมากจนหาทางกลับขึ้น มาไม่ได้ มันเริ่มจากสิ่งที่ดูเหมือนความเชื่อที่คลอนเล็กน้อย แต่จบลงในสถานการณ์ที่ ร้ายแรงที่ดาวิดเริ่มรู้สึกว่าตนเองเป็นเหมือนโกลิอัท ที่ต้องออกไปสู้กับกษัตริย์ซาอูลและ ชนชาติอิสราเอล

ประการที่สี่ การตัดสินใจของดาวิดนั้นกระทำตามที่ "ตาเห็น" มากกว่าทำด้วย "ความเชื่อ" ดาวิดไม่ได้มองสถานการณ์ที่ท่านกำลังเผชิญอยู่ด้วยสายตาของความเชื่อ แต่ด้วยสายตาของมนุษย์ ท่านประเมินสถานการณ์ตามแบบมนุษย์ เป็นการไม่ใส่ใจต่อการ จัดเตรียมของพระเจ้าในอดีต พระสัญญาและการเปิดเผยของพระองค์ ดาวิดใช้สายตา ของมนุษย์ และที่ท่านเห็นก็คือความตายแน่นอนถ้าขืนอยู่ต่อไปในอิสราเอล "ความหวัง" เดียวของท่านอยู่ในความเมตตา อำนาจ และความคุ้มครองของกษัตริย์ต่างชาติ นี่ไม่ใช่ความเชื่อ แต่เป็นความกลัวที่กำลังมีอำนาจอยู่เหนือท่าน

ประการที่ห้า ความล้มเหลวของดาวิดไม่ได้เกิดจากการตอบสนองต่อชัยชนะที่ ท่านได้มา หรือเป็นการทดลอง หรือเหตุการใหญ่ใดๆ ผมคิดว่า เราคงรู้สึกดีกว่านี้ ถ้าการตอบสนองของดาวิด จะเป็นไปอย่างตื่นตระหนก หรือนิ่งงันไปด้วยความตกใจ หรือ ต่อต้าน หรืออยากลองดี แต่ความจริงก็คือในพระคัมภีร์ไม่ได้พูดเช่นนั้น เรื่องก็คือความล้ม เหลวของดาวิดในบทที่ 27 นั้นจ่ออยู่ติดกับ"ความสำเร็จ"ใน บทที่ 26 ซึ่งไม่ต่างไปจาก เอลียาห์ซึ่งกลายเป็นมนุษย์ถ้ำไป (ขอโทษครับ) หลังจากพึ่งมีชัยชนะบนภูเขาคารเมลมา หยกๆ

สิ่งนี้เกี่ยวกับความล้มเหลวของดาวิดในบทที่ 27 อย่างไร ? ผมคิดว่าผมพอรู้ มันเป็นศัตรู ตัวฉกาจตัวหนึ่งในชีวิตคริสเตียนทีเดียว – ความเหนื่อยล้า ให้เราลองมาฟังคำหนุนใจ ในเรื่องความเหนื่อยล้ากันดู :

9 อย่าให้เราเมื่อยล้าในการทำดี เพราะว่าถ้าเราไม่ท้อ ใจแล้ว เราก็จะเกี่ยวเก็บในเวลาอันสมควร (กาลาเทีย 6:9) 13 ดูก่อนพี่น้องทั้งหลาย ท่านอย่าอ่อนใจที่จะกระทำ การดีเลย (2 เธสะโลนิกา 3:13)

ท่านทั้งหลายจงคิดถึงพระองค์ผู้ได้ทรงยอมทนต่อคำ คัดค้านของคนบาป เพื่อว่าท่านทั้งหลายจะได้ไม่รู้สึก ท้อถอย (ฮีบรู 12:3)

1 "จงเขียนถึงทูตสวรรค์แห่งคริสตจักรที่เมืองเอเฟซัส ว่า 'พระองค์ผู้ทรงถือดาวทั้งเจ็ดไว้ในพระหัตถ์เบื้องขวา และดำเนินอยู่ท่ามกลางคันประทีปทองคำทั้งเจ็ดนั้นตรัส ดังนี้ว่า 2 "'เรารู้จักแนวการกระทำของเจ้า รู้ความเหนื่อย ยากและความอดทนของเจ้า และรู้ว่าเจ้าไม่สามารถทน ต่อทุรชนได้ เจ้าได้ลองใจคนเหล่านั้นที่อวดว่าเป็นอัครทูต แต่หาได้เป็นไม่ และเจ้าก็เห็นว่าเขาเป็นคนมุสา 3 เรารู้ว่า พวกเจ้ามีความอดทน และเหนื่อยยากเพราะเห็นแก่นาม ของเรา และมิได้อ่อนระอาไป (วิวรณ์ 2:1-3)

ผมคิดว่าดาวิดเหนื่อยล้าในการกระทำดี ลองคิดดู ท่านระหกระเหินมาพักใหญ่ ซาอูล ตั้งค่าหัวท่าน แล้วยังถูกคนในเผ่าเดียวกัน เผ่ายูดาห์ (เช่นชาวศีฟ) หักหลังเข้าข้าง ซาอูลอีก ดาวิดมีส่วนทางอ้อมรับผิดชอบต่อการตายของพวกปุโรหิตและครอบครัว ท่านทำให้บุตรชายโยนาธาน และมีคาลบุตรหญิงของซาอูลต้องแตกแยกจากครอบครัว ท่านนำชีวิตครอบครัวของท่านมาเสี่ยงตาย ท่านต้องนำพวกเขาไปให้อยู่ในความดูแล ของกษัตริย์โมอับ ดาวิดมีผู้ติดตามอยู่ถึง 600 คน และคนเหล่านี้ต่างก็มีครอบครัวให้เป็น ห่วงเป็นใย ภาระหนักขนาดนี้ทำให้ท่านอ่อนล้าลง แต่กล่าวได้ว่ายังไม่ถึง"จุดระเบิด"ที เดียวนัก เพียงแค่ "เหนื่อยล้า" เต็มทนและไม่คิดจะฝืนทนต่อไป

เป็นสิ่งที่ผิด แต่ก็เป็นวิถีเดียวกับที่ประชากรของพระเจ้าล้มเหลวมาแล้วหลายศตวรรษทั้งๆ ที่ไม่ควรเป็น พวกเราทั้งหลายที่รู้สึกเหนื่อยล้าจึงต้องเข้ามาพึ่งองค์พระผู้เป็นเจ้าเพื่อเสริม กำลังขึ้นมาใหม่ เราจำต้องเข้าใจว่า ในความเหนื่อยล้าของเรานั้น พระเจ้าจะสำแดงความ ยิ่งใหญ่ของพระองค์ให้ปรากฎ :

28 ท่านไม่เคยรู้หรือ ท่านไม่เคยได้ยินหรือ พระเจ้าทรงเป็น พระเจ้าเนืองนิตย์ คือพระผู้สร้างที่สุดปลายแผ่นดินโลก พระองค์มิได้ทรงอ่อนเปลี้ยหรือเหน็ดเหนื่อย ความเข้า พระทัยของพระองค์ก็เหลือที่จะหยั่งรู้ได้ 29 พระองค์ ประทานกำลังแก่คนอ่อนเปลี้ย และแก่ผู้ที่ไม่มีกำลัง พระองค์ทรงเพิ่มแรง 30 แม้คนหนุ่มๆจะอ่อนเปลี้ยและ เหน็ดเหนื่อย และชายฉกรรจ์จะล้มลงทีเดียว 31 แต่เขา ทั้งหลายผู้รอคอยพระเจ้าจะเสริมเรี่ยวแรงใหม่ เขาจะ บินขึ้นด้วยปีกเหมือนนกอินทรี เขาจะวิ่งและไม่เหน็ดเหนื่อย เขาจะเดินและไม่อ่อนเปลี้ย (อิสยาห์ 40:28-31)

28 "บรรดาผู้ทำงานเหน็ดเหนื่อยและแบกภาระหนักจงมาหา เรา และเราจะให้ท่านทั้งหลายหายเหนื่อยเป็นสุข 29 จงเอา แอกของเราแบกไว้ แล้วเรียนจากเรา เพราะว่าเราสุภาพและ ใจอ่อนน้อม และจิตใจท่านทั้งหลายจะได้พัก 30 ด้วยว่าแอก ของเราก็พอเหมาะ และภาระของเราก็เบา" (มัทธิว 11:28-30)

7 และเพื่อไม่ให้ข้าพเจ้ายกตัวจนเกินไป เนื่องจากที่ได้เห็นการ สำแดงมากมายนั้น ก็ทรงให้มีหนามใหญ่ในเนื้อของข้าพเจ้า หนามนั้นเป็นทูตของซาตานคอยทุบตีข้าพเจ้าเพื่อไม่ให้ข้าพเจ้า ยกตัวเกินไป 8 เรื่องหนามใหญ่นั้น ข้าพเจ้าวิงวอนองค์พระผู้เป็น เจ้าถึงสามครั้ง เพื่อขอให้มันหลุดไปจากข้าพเจ้า 9 แต่พระองค์ ตรัสกับข้าพเจ้าว่า "การที่มีคุณของเราก็พอแก่เจ้าแล้ว เพราะ ความอ่อนแอมีที่ไหน เดชของเราก็มีฤทธิ์ขึ้นเต็มขนาดที่นั่น" เหตุฉะนั้น ข้าพเจ้าจึงภูมิใจในบรรดาความอ่อนแอของข้าพเจ้า เพื่อฤทธิ์เดชของพระคริสต์จะได้อยู่ในข้าพเจ้า 10 เหตุฉะนั้น เพราะเห็นแก่พระคริสต์ ข้าพเจ้าจึงชื่นใจในบรรดาความอ่อน แอของข้าพเจ้า ในการประทุษร้ายต่างๆในความยากลำบาก ในการถูกข่มเหง ในความอับจน เพราะว่าข้าพเจ้าอ่อนแอเมื่อใด ข้าพเจ้าก็จะแข็งแรงมากเมื่อนั้น (2 โครินธ์ 12:7-10)

ผมรู้จักเยาวชนหลายคนที่ยอมรับเอาองค์พระเยซูคริสต์ และตั้งใจจะดำเนินชีวิตให้เป็นที่ พอพระทัยพระเจ้า หนุ่มสาวเหล่านี้บอกปฏิเสธภาพลามกอนาจาร ปฏิเสธการมีเพศสัมพันธ์ ก่อนแต่งงาน ไม่ยอมประนีประนอมกับความบาป ไม่เสพย์สิ่งเสพย์ติด แต่แล้ววันหนึ่งพวก เขารู้สึกอ่อนล้า และในช่วงขณะนั้นพวกเขาละทิ้งความตั้งใจที่จะติดตามพระเจ้าไปอย่าง ไม่ใยดี อาจจะไม่ได้เกิดขึ้นในทันทีทันใด แต่เริ่มอ่อนข้อรามือ เริ่มยอมตาม และในที่สุด ก็นำไปสู่ทางแห่งความพินาศ

ผมรู้ว่าขณะนี้มีหลายคู่ที่ชีวิตแต่งงานจวนเจียนจะพัง สามีหรือภรรยาเกิดความไม่พอใจ ต่อคู่ของตนเองและต่อชีวิตแต่งงานอย่างรุนแรง เช่นเดียวกับดาวิด พวกเขาตกลงปลง ใจกันตามหลักเกณฑ์ของพระคัมภีร์ กล่าวยืนยันจะร่วมชีวิตกันตลอดไป พวกเขาตระหนัก และยอมรับว่าการแต่งงานนั้นเป็นเหมือนภาพสะท้อนฝ่ายโลกของพระคริสต์และคริสตจักร แต่แล้ว พวกเขาก็อ่อนล้าต่่อการต่อสู้ดิ้นรน ยอมล้มเลิกอย่างง่ายดาย โยนข้อผูกมัดที่มี ต่อกันและกันและต่อหน้าพระเจ้าทิ้งไปอย่างไม่ใยดี ชีวิตแต่งงานของครอบครัวคริสเตียน หลายคู่ที่ผมเฝ้าดูอยู่ แหลกละเอียดลงไปเพราะผลของความเหนื่อยล้าจากฝ่ายใดฝ่าย หนึ่งหรือจากทั้งคู่

สิ่งเดียวกันนี้เกิดขึ้นในแวดวงธุรกิจของคริสเตียน ผู้เชื่อทั้้งหลายรู้ว่าต้องลงแข่งกันใน สนามชั้นเชิงธุรกิจกับบรรดาคู่แข่ง พวกเขาไม่เพียงแต่ทำตามกฎหมายบ้านเมืองเท่านั้น แต่ดำเนินตามหลักการของพระวจนะด้วย เมื่อต้องประมูลงาน เขาใช้ตัวเลขตามจริง และ รู้ว่าจะถูกตัดราคาเพียงเพื่อหาทางเอาคืนทีหลัง และบริษัทคริสเตียนทั้งหลายก็หมดกำลัง ใจท้อแท้ที่ต้องเสียงาน เสียกำไรไปครั้งแล้วครั้งแล่า จึงเริ่มหันมามองที่สาเหตุและยอม ประนีประนอมตามวิถีทางของโลก มากกว่าตามความเชื่อและการเชื่อฟัง

เพื่อนที่รัก ขอให้เราเรียนจากดาวิดว่าถึงแม้ผู้ที่มีหัวใจสัตย์ซื่่อต่อพระเจ้า ก็ยังมีสิทธิที่จะ ล้มเหลว แต่ข่าวดีคือ ถึงแม้ความเชื่อของเราจะล้มเหลว แต่พระเจ้ายังทรงไว้ซึ่งความ สัตย์จริง

13 ถ้าเราไม่มีความสัตย์จริง พระองค์ก็ยังทรงไว้ซึ่ง ความสัตย์จริง เพราะพระองค์จะไม่ทรงเป็นพระองค์ เองไม่ได้ (2 ทิโมธี 2:13)

ให้เรายอมมอบตนไว้กับพระองค์ผู้ทรงสัตย์ซื่อ ผู้ทรงเสริมกำลังให้กับผู้อ่อนแอ ให้เรายอม รับในความอ่อนแอของตนเอง และวางใจในพระองค์


131 คำถามนี้ไม่ใช่คำถามใหม่หรือประหลาด เราอาจเคยถามว่าอับราฮัมไปทำอะไรที่ในอียิปต์ ไป บอกใครๆว่าภรรยาเป็นน้องสาว (ปฐมกาล 12) เราหด้ยินว่าพระเจ้าตรัสถามเอลีหยาห์ที่โฮเรบ ภู เขาของพระเจ้า (1 พกษ. 19:9) เราอยากจะถามคำถามเดียวกันกับเปโตรเมื่อตอนที่ท่านไปนั่งผิง ไฟอยู่กับพวกที่คิดจะตรึงพระเยซู (มาระโก 14:66)

132 เท่าที่ผมเห็นในพระคัมภีร์เดิม คำว่า "สักวันหนึ่ง" (บางครั้งอ่านแล้วแปลได้ว่า "บางวัน") มักจะเจาะจงถึงวันใดวันหนึ่ง

133 ฉบับภาษาอังกฤษใช้คำว่า "ดาวิดพูดกับตนเอง" แต่ในภาษาไทยใช้คำชัดเจนว่า "ดาวิดนึก หรือ คิดอยู่ในใจ"

134 Dale Ralph Davis ชี้ให้เห็นถึงคำว่า "พินาศ" ที่ดาวิดใช้ซ้ำกับ 26:10 เมื่อท่านบอกกับ อาบีชัยว่าพระเจ้าจะทำลายซาอูลในเวลาของพระองค์ เช่น ซาอูลอาจออกไปทำสงครามและ ‘พิ นาศเสีย’ ตอนนี้ดาวิดกลับเชื่อว่าท่านเองกำลังจะ ‘พินาศเสีย’ เช่นกันด้วยฝีมือของซาอูลถ้ายัง ขืนอยู่ต่อไปในอิสราเอล กลายเป็นกลับตาลปัตร ค้านกับการที่พระเจ้าได้ปกป้องมาตลอด ค้านกับ สิ่งที่พระเจ้าย้ำผ่านโยนาธานและอาบีกายิล ดาวิดกลับแน่ใจว่าท่านเองจะต้อง "พินาศ" - จากข้อ เขียนของ Dale Ralph Davis ในหนังสือ Looking on the Heart: Expositions of the Book of 1 Samuel (Grand Rapids: Baker Books, 1994), vol. 2, p. 140.

135 จากหนังสือของ Dale Ralph Davis, vol. 2, p. 140.

136 ผู้ติดตามเหล่านี้มีส่วนสำคัญในการตัดสินใจไปลี้ภัยที่เมืองกัทหรือเปล่า แม้แต่ดาวิดเอง ยังนำบิดามารดาไปอยู่ที่โมอับ (22:3-4)? ผมสงสัยว่าทั้งกลุ่มนี้อยู่ในถ้ำด้วยหรือเปล่าในบทที่ 24 ครอบครัวของบรรดาผู้ติดตามดาวิดอาจเผชิญภัยจากซาอูล (ยังจำอาหิเมเลขในบทที่ 22ได้หรือ ไม่?) ยิ่งดาวิดและพรรคพวกหลบหนีนานเท่าใด (โดยเฉพาะเมื่อดาวิดไม่ยอมฆ่าซาอูลเมื่อมี โอกาส) คนเหล่านี้ยิ่งต้องการกลับไปหาครอบครัวมากขึ้นเท่านั้น

137 เราอาจสงสัยว่าอาบีกายิลคิดอย่างไรกับแผนการหนีไปพึ่งอาคีชของดาวิดในครั้งนี้ เราอาจ สงสัยว่าท่านปรึกษานางหรือเปล่า อาบีกายิลอาจไม่กล้ามากเท่ากับครั้งก่อน และบางทีอาจเป็น เหตุผลที่ดีก็ได้

138 ครั้งแรกที่ดาวิดหนีไปหาอาคีชในบทที่ 21 คนรับใช้ของอาคีชเป็นคนเตือนให้เห็นถึงอันตราย ในการให้คนอิสราเอลที่มีชื่อเสียงในการฆ่าคนฟิลิสเตียมาอยู่ด้วย (21:11-12) ในบทที่ 29 แม่ทัพ ฟิลิสเตียเองปฏิเสธไม่ให้ดาวิดเข้าร่วมรบต่อสู้กับอิสราเอลด้วย (29:1-5) แต่อาคีชถูกดาวิดหลอก เสียอยู่หมัด

139 OK ผมยอมรับว่าอาจจะพูดเกินเลยไปนิด เพราะยากที่จะแยกแยะได้ว่าใครร้ายกว่ากัน ยาโคบ หรือลุงของท่าน ลาบัน ในพระคัมภีร์ใหม่ผมไม่เห็นคนยิวที่ไหนเที่ยวไปโม้ว่าตัวเองสืบเชื้อสายมา จากยาโคบเลย

140 "ภรรยาในอุดมคติ" ในพระธรรมสุภาษิตเป็นเพียงอุดมคติ เป็นภรรยาที่เพียบพร้อม มาตรฐาน สูงชนิดที่ไม่มีภรรยาคนใดทำได้ ยอมรับกันเถอะครับคุณภรรยาทั้งหลาย ในอีกมุมมองหนึ่งผู้หญิง ที่สมบูรณ์แบบเกินไปนี้น่ารังเกียจนะครับ

141 เพื่อนวัยเดียวกันกับผม ฮิวจ์ เบลวิน ชี้ประเด็นนี้ให้เห็น ทำให้ผมรู้สึกเป็นหนี้บุญคุณมากครับ

Related Topics: Introductions, Arguments, Outlines

บทที่ 26: แสวงหาคำตอบจากพระเจ้า วิธีใดไม่เกี่ยง (1 ซามูเอล 28:1-25)

คำนำ

เมื่อไม่นานมานี้ คนอเมริกันหลายล้านคนมีความโกรธเคืองบริษัทอเมริกาออนไลน์ (AOL) เป็นอย่างมาก ในช่วงคริสต์มาสทาง AOL ได้จัดรายการพิเศษ โดยเสนอให้ใช้ บริิการอินเตอร์เน็ทอย่างไม่อั้นในราคาเพียงเดือนละ 19.95 เหรียญ (ประมาน 800บาท) ปัญหาก็คือทุกคนเห็นว่าเป็นข้อเสนอที่ "เยี่ยมมาก" ลูกค้าเดิมของ AOL ที่มีอยู่เริ่มใช้บริ การกันมากขึ้น – เพราะใช้ถึงเดือนละ 15 ชั่วโมงก็จ่ายเท่ากับที่เคยใช้มา 5 ชั่วโมง รวม ทั้งลูกค้าหน้าใหม่ที่เพิ่มจำนวนขึ้นมาอย่างมากมาย ผลก็คือหายนะสำหรับทุกคน เพราะ ทุกคนรุมกันใช้บริการของ AOL อย่างพร้อมเพรียงกัน

เรามีคอมพิวเตอร์อยู่เครื่องหนึ่งที่บ้านที่ใช้บริการของ AOL และนับเป็นเวลาติดต่อกัน หลายอาทิตย์ที่เราไม่สามารถเข้าไปใช้บริการได้ ไม่สามารถอ่านหรือส่งอีเมล์ได้ ในช่วง เวลาเพียงไม่กี่สัปดาห์์ ลูกค้าของ AOL เริ่มไม่พอใจ บางรายถึงกับโกรธจัดทีเดียว พวก เขาไม่ยอมอยู่นิ่ง มีการฟ้องร้อง มีการขู่ทำร้าย ; สถานการณ์ในตอนนั้นย่ำแย่ไปหลาย อาทิตย์ เพราะลูกค้าไม่สามารถใช้บริการได้รวดเร็วเหมือนที่เคยเป็นมาในอดีต หลายคน นึกไม่ถึงเลยว่าจะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ได้

ถ้าความโกรธเคืองนี้เป็นสาเหตุมาจากความผิดพลาดของบริษัทผู้ให้บริการอินเตอร์เน็ท เรามาลองนึกภาพดูว่าถ้ามันเกิดขึ้นกับการสื่อสารของเรากับพระเจ้าล่ะ จะเป็นยังไง ? สิ่งนี้กำลังเกิดขึ้นกับซาอูล ในพระธรรมตอนนี้มีหลายเหตุการณ์เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องจน ทำให้กษัตริย์ซาอูลกลัวถึงขีดสุด ซาอูลกำลังขุดหา "ที่พึ่งทางธรรม" ท่านกำลังแสวง หา "คำตอบจากพระเจ้า" เพื่อจะได้รู้ว่าควรทำอย่างไรให้หลุดพ้นจากความวิบัตินี้ ท่านพยายามมาแล้วหลายวิธี ทุกอย่างล้มเหลวไม่เป็นท่า พระเจ้าทรงอยู่ แต่พระองค์ ทรงนิ่งเฉย ถ้าเป็นสมัยนี้ สิ่งที่ซาอูลกำลังทำอยู่เราคงเรียกว่าพยายามต่อเข้าไป "ออน ไลน์" กับพระเจ้าอย่างสุดชีวิต แต่ไม่มีบริษัทอินเตอร์เน็ทใดสามารถให้บริการได้ ซาอูล กำลังตกที่นั่งลำบาก ท่านไม่สามารถขอคำแนะนำจากพระเจ้าเพื่อให้ได้มาซึ่งชัยชนะ แล้วจะทำยังไงดี ? คำตอบก็คือ : ท่านทำบางสิ่งที่ไม่เคยทำมาก่อน และคงจะไม่กล้า ทำอีกต่อไป

เท่าที่ผ่านมา เวลานี้นับเป็นเวลาที่มืดมนที่สุดในชีวิตของซาอูล เราจะพบในไม่ช้าว่ามัน มืดมนเพียงใด และท่านตกเข้าไปอยู่ในสภาพนี้ได้อย่างไร ให้เราเรียนรู้ที่จะแยกแยะบท เรียนนี้ีสำหรับอิสราเอลในยุคโบราณและสำหรับตัวเราในยุคนี้ให้ได้ เตรียมตัวให้ดีเพราะ บทเรียนตอนนี้ เป็นบทเรียนที่ซับซ้อนที่สุดในพระธรรม 1 ซามูเอล ไม่ใช่เป็นเรื่องที่จบ แบบ"แฮปปี้เอ็นดิ้ง"นะครับ ; ที่จริงแล้วเป็นตรงกันข้าม ให้เราฟังและเรียนให้เข้าใจ เพื่อ จะไม่ตกอยู่ในสภาพเดียวกับที่ซาอูลเคยตกมาก่อน

พระเจ้าทรงอยู่ แต่พระองค์ทรงนิ่งเฉย
(28:1-7)

1 อยู่มาในครั้งนั้น คนฟีลิสเตียได้รวบรวมกำลังเพื่อทำสงครามสู้รบกับ อิสราเอล และอาคีชตรัสกับดาวิดว่า "จงเข้าใจเถิดว่า ท่านกับคนของ ท่านจะออกทัพไปกับเรา" 2 ดาวิดทูลอาคีชว่า "ดีทีเดียวพ่ะย่ะค่ะ ฝ่า พระบาทจะได้ทราบว่าผู้รับใช้ ของฝ่าพระบาทจะกระทำอะไรได้บ้าง" และอาคีชรับสั่งกับดาวิดว่า "ดีแล้ว เราจะให้ท่านเป็นองครักษ์ของเรา ตลอดชีพ" 3 ฝ่ายซามูเอลได้สิ้นชีพแล้ว และคนอิสราเอลทั้งปวงก็ไว้ ทุกข์ให้ท่านและฝังศพท่านไว้ในเมืองรามาห์ ซึ่งเป็นเมืองของท่านเอง และซาอูลทรงกำจัดคนทรงและพ่อมดแม่มดเสียจากแผ่นดิน 4 คนฟีลิส เตียก็ชุมนุมกันและมาตั้งค่ายอยู่ที่ชูเนม และซาอูลทรงรวบรวมอิสราเอล ทั้งสิ้น และเขาทั้งหลายตั้งค่ายอยู่ที่กิลโบอา 5 เมื่อซาอูลทอดพระเนตร กองทัพของคนฟีลิสเตียก็กลัว และพระทัยของพระองค์ก็หวั่นไหวมาก 6 และเมื่อซาอูลทูลถามพระเจ้า พระเจ้ามิได้ทรงตอบพระองค์ ไม่ว่าด้วย ความฝัน หรือด้วยอูริม หรือด้วยผู้เผยพระวจนะ 7 ซาอูลจึงรับสั่งกับมหาด เล็กของพระองค์ว่า "จงออกไปหาหญิงที่เป็นคนทรง เพื่อเราจะได้ไปหา และถามเขาดู" และมหาดเล็กก็กราบทูลว่า "ดูเถิด มีหญิงคนทรงคนหนึ่ง อยู่ที่บ้านเอนโดร์"

เราทุกคนคงเคยมีประสบการณ์ของวันที่แย่ที่สุด เป็นวันที่เรื่องร้ายๆที่ไม่ควรเกิดก็ดัน เกิดขึ้นพร้อมๆกัน และนี่คือวันนั้นของซาอูล (ซึ่งบังเอิญวันของดาวิดก็ไม่ได้ดีไปกว่า) ปัญหาของซาอูลมีแต่จะดิ่งลงเหว แรกสุด พวกฟิลิสเตียกำลังก่อสงครามกับ อิสราเอล แต่ครั้งนี้ดูจะหนักหนาสาหัสที่สุด พวกฟิลิสเตียข่มขู่คนอิสราเอลตลอด มาในรัชสมัยของซาอูล142 http://www.bible.org/docs/ot/books/1sa/deffin/ แต่ครั้งนี้กษัตริย์ฟิลิสเตียตั้งใจจะเอาชนะกองทัพอิสราเอล ให้ได้อย่างเด็ดขาด สิ่งที่พวกเขาทำคือรวบรวมกำลังทั้งหมดไปที่อาเฟก (29:1) และ จากอาเฟกจะเดินทัพขึ้นไปทางเหนือ ไปยังที่ราบเอสดราเอโลนเพื่อต่อไปยังชูเนม (28:3-25) ยุทธวิธีของพวกเขาคือ "ผ่ากลางและปราบให้สิ้น" โดยการแบ่งประเทศ อิสราเอลออกตรงกลางและต่างฝ่ายต่างรบทั้งเหนือและใต้ ฟิลิสเตียมีกำลังเข้มแข็ง กว่ามาก อิสราเอลแทบไม่มีเลย ทหารพรานของซาอูลรายงานถึงกำลังและที่ตั้งของ กองทัพฟิลิสเตีย ตัวเลขฟังแล้วหน้ามืด ที่ร้ายกว่านี้คือ พวกเขาปักหลักอยู่ที่พื้นราบ เพื่อจะได้ใช้รถม้ารบได้อย่างเต็มที่ ผมแทบจะได้ยินเสียงซาอูลพึมพำว่า "เราตายแน่ๆ"

ข้อสอง ซาอูลอาจได้ยินมาว่าดาวิดร่วมอยู่ในกองทัพฟิลิสเตียมาต่อสู้กับอิสรา เอล ถ้าซาอูลกำลังกลัวการเผชิญหน้ากับกองทัพอันมหาศาลของฟิลิสเตีย ท่านคง สั่นแทบตายเมื่อรู้ว่าดาวิดอยู่ฝ่ายนั้นด้วย พระธรรมบทนี้เริ่มด้วยกษัตริย์อาคีชของ ฟิลิสเตียแจ้งดาวิดว่าท่านและคนของท่านต้องออกไปร่วมรบครั้งนี้ด้วย ดาวิดพูดให้ อาคีชมั่นใจว่าตัวท่านจะพิสูจน์ให้เห็นว่าเป็นพันธมิตรที่มีค่าเพียงใด ทำให้อาคีชตัดสิน ใจแต่งตั้งดาวิดให้เป็นองครักษ์ส่วนตัว เราเรียนรู้จากบทที่ 29 ว่าดาวิดและคนของท่าน ไปที่อาเฟกกับกษัตริย์อาคีช และที่เมืองนี้เองที่ดาวิดถูกสั่งให้กลับไปที่ศิกลาก ทหาร พรานของซาอูลอาจเห็นดาวิดอยู่กับพวกฟิลิสเตียที่อาเฟก คุณคงพอนึกออกว่าซาอูล กลัวมากเพียงใดที่จะต้องออกไปสู้รบกับดาวิด โดยเฉพาะเมื่อท่านเคยพูดกับดาวิด ไว้ว่า :

"20 บัดนี้ ดูเถิด ข้าประจักษ์แล้วว่า เจ้าจะเป็นพระ ราชาแน่ และราชอาณาจักรอิสราเอลจะสถาปนา อยู่ในมือของเจ้า" (1 ซามูเอล 24:20)

25 แล้วซาอูลจึงตรัสกับดาวิดว่า "ดาวิดบุตรของเราเอ๋ย ขอพระเจ้าทรงอวยพรเจ้าเจ้าจะกระทำหลายสิ่งหลาย อย่างและจะสำเร็จแน่" ดาวิดจึงไปตามทางของท่าน และซาอูลก็เสด็จกลับสู่ราชสำนักของพระองค์ (1 ซามูเอล 26:25)

ข้อสาม ซาอูลตระหนักถึงอันตรายที่กำลังคอยท่านอยู่ ท่านกลัวจนแทบสิ้นหวัง เราคงพอทราบกันว่าซาอูลดูจะเป็นคนขี้ขลาด (กลัวจนหัวหด) มาตั้งแต่แรก ท่านอยาก เลิกการไปตามหาลาของบิดาอย่างง่ายๆ (9:5) ท่านไม่ยอมบอกลุง (อับเนอร์?) ว่า ซามูเอลพูดอะไรกับท่าน (10:14-16) ท่านไปหลบซ่อนตัวอยู่ที่กองสัมภาระเมื่อถูก เลือกให้เป็นกษัตริย์ (10:22) ตั้งแต่ที่เราอ่านกันมาใน 1 ซามูเอล ไม่มีสักครั้งที่ท่าน เริ่มไปโจมตีฟิลิสเตียก่อน ถึงแม้การปลดแอกอิสราเอลออกจากฟิลิสเตียเป็นหน้าที่หลัก ที่ท่านถูกเลือกให้เป็นกษัตริย์ (9:16) และเมื่อท่านถูกวิญญาณชั่วเข้าสิง ท่านกลัวจน เป็นบ้า (ดู 16:14; 17:11; 18:12) การที่ฟิลิสเตียยกมาโจมตีในครั้งนี้จึงเป็นลางแห่ง ความพ่ายแพ้ทุกประตูสำหรับซาอูล ดังนั้นผู้เขียนจึงบอกเราว่าซาอูลกลัวแทบตาย (ข้อ 5)

ข้อสี่ ถึงแม้ซาอูลพยายามทุกวิถีทางเพื่อแสวงหาคำตอบจาก "ที่มาจากพระเจ้า" แต่ท่านก็ไม่เคยได้รับ จากที่อ่านมา ซาอูลไม่เคยมีประสบการณ์ในการแสวงหาน้ำ พระทัยพระเจ้ามาก่อน ซึ่งต่างจากดาวิด (ดู 1 ซามูเอล 22:10, 15) ซาอูลไม่คุ้นเคย กับการขอการทรงนำจากพระเจ้า143 http://www.bible.org/docs/ot/books/1sa/deffin/ ตอนที่ไปตามหาลาของบิดาก็ไม่ใช่ความคิดของ ท่านที่ให้ไปปรึกษา "คนทำนาย" (1 ซามูเอล 9:5-9) เมื่อมีการจับสลากดูว่าพระเจ้า ทรงเลือกผู้ใดให้เป็นกษัตริย์ของอิสราเอล ซาอูลไม่มีส่วนร่วมด้วย ; ท่านหลบไปซ่อน ตัว (10:22) ซาอูลไม่เคยขอการทรงนำจากพระเจ้าทุกครั้งที่ไปสู้รบกับฟิลิสเตีย อาจ ไม่จำเป็น เพราะส่วนมากโยนาธานเป็นตัวตั้งตัวตีเริ่มให้ (เช่นบุกขึ้นไปโจมตีพวกฟิลิส เตียที่กองกำลังในเกบาห์ -- 13:3) ต่อมาในบทที่ 13 ซาอูลไปเผาเครื่องถวายบูชา "ด้วยตนเอง" แทนที่จะรอซามูเอลต่อ เมื่อทำเช่นนี้ ซาอูลฝ่าฝืนคำสั่งของซามูเอล ที่สั่งไว้ในบทที่ 10 เป็นคำสั่งที่มาจากพระเจ้า

"8 และท่านจงลงไปที่กิลกาลก่อนฉัน และดูเถิด ฉันจะลงมาหา ท่านเพื่อจะถวายเครื่องเผาบูชา และถวายสัตว์เป็นเครื่องศานติ บูชา ท่านจงคอยอยู่ที่นั่นเจ็ดวันจนฉันมาหาท่านและสำแดงแก่ ท่านว่า ท่านควรจะกระทำอะไร" (1 ซามูเอล 10:8)

ซาอูลได้รับคำสั่งจากซามูเอลให้คอยการทรงนำจากพระเจ้า แต่ท่านไม่เชื่อฟัง

ในบทที่ 14 เมื่อโยนาธานลอบขึ้นไปโจมตีชาวฟิลิสเตีย แผ่นดินไหวเกิดการสับสนอล หม่านขึ้นในท่ามกลางทหารฟิลิสเตีย ซาอูลเห็นเหตุการณ์นี้จากระยะไกล จึงมีคำสั่งให้ นำหีบแห่งพระเจ้าออกมา (14:18) ตอนนั้นปุโรหิตกำลังอยู่ในระหว่างขอการทรงนำ จากพระเจ้า และเมื่อฟิลิสเตียกำลังแตกตื่น ท่านสั่งให้ปุโรหิตหยุดก่อน เพื่อออกไปไล่ ฆ่าฟิลิสเตียแทน(14:19) คำสั่งอันโง่เขลาของซาอูลขัดขวางการติดตามทำให้ต้องหยุด ชะงัก และเป็นเหตุทำให้พวกทหารต้องทำบาปโดยกินเลือดพร้อมเนื้อสัตว์เพราะความ หิวโหย (14:24-35) เมื่อพวกทหารกินอิ่มแล้ว ซาอูลก็พร้อมจะออกล่าฟิลิสเตียต่อ แต่ ทางปุโรหิตต้องการให้มีการ"เข้าเฝ้าพระเจ้า" ก่อนเพื่อแสวงหาน้ำพระทัย (14:36) เมื่อไม่มีคำตอบ ซาอูลจึงสรุปว่าเป็นเพราะความบาป (ของโยนาธาน) จึงให้มีการจับ สลากระหว่างคนอิสราเอลฝ่ายหนึ่ง โยนาธานและซาอูลอีกฝ่ายหนึ่ง ฝ่ายซาอูลและโย นาธานถูกจับได้ จึงให้มีการจับสลากอีกระหว่างซาอูลและโยนาธาน คราวนี้จับได้โยนา ธาน ; ซาอูลตั้งใจให้มีการจับสลากเพื่อหาเหตุฆ่าบุตรของตนเอง และคงจะทำสำเร็จถ้า พวกผู้ใหญ่ไม่ยับยั้งเสียก่อน ซาอูลจึงเรียกได้ว่า ห่างไกลจากการแสวงหาการทรงนำ ของพระเจ้า

จากสถานการณ์เหล่านี้ดูเหมือนแรงจูงใจของซาอูลที่แสวงหาน้ำพระทัยของพระเจ้าดูจะไม่ค่อยบริสุทธิ์นัก รู้สึกว่าซาอูลไม่ได้จริงใจในการ "เข้าเฝ้าพระเจ้า" เพื่อแสวงหาน้ำ พระทัยและทำตาม ซึ่งเป็นข้อสรุปเดียวกับที่ผู้เขียน 1 พงศาวดารบันทึกไว้ :

13 ซาอูลจึงสิ้นพระชนม์ด้วยความไม่ซื่อสัตย์ของพระองค์ พระองค์มิได้ซื่อสัตย์ต่อพระเจ้าในเรื่องที่พระองค์มิได้รักษา พระบัญชาของพระเจ้า และได้ทรงแสวงการนำโดยทรงปรึกษา คนทรง 14 และมิได้ทรงแสวงการนำจากพระเจ้า พระเจ้าจึง ทรง สังหารพระองค์เสีย และทรงยกราชอาณาจักรให้แก่ดาวิด บุตรเจสซี (1 พงศาวดาร 10:13-14)

เรารู้ว่าซาอูลได้มีการ "ทูลถามพระเจ้า" (28:6) แต่ไม่ใช่ด้วยความจริงใจ แต่เป็นการ วิงวอนขอให้พระเจ้าช่วยให้หลุดจากปัญหาที่ตนเองก่อขึ้น การวิงวอนทูลขอพระเจ้าใน แบบเดียวกันนี้มีอยู่ในพระธรรมเยเรมีย์ด้วย :

1 ต่อไปนี้เป็นถ้อยคำซึ่งมาจากพระเจ้าถึงเยเรมีย์ เมื่อ กษัตริย์เศเดคียาห์ทรงใช้ให้ปาชเฮอร์ บุตรมัลคีอาห์ และเศฟันยาห์ปุโรหิตบุตรมาอาเสอาห์ไปหาเยเรมีย์ว่า 2 "ขอจงทูลถามพระเจ้าเพื่อเรา เพราะเนบูคัดเนสซาร์ กษัตริย์บาบิโลนกำลังทำสงครามกับเรา ชะรอยพระเจ้า จะทรงกระทำกับเราตามบรรดาราชกิจอันอัศจรรย์ของ พระองค์ จะทรงกระทำให้เนบูคัดเนสซาร์ถอยทัพ (เยเรมีย์ 21:1-2)

ความไม่สบายใจของซาอูลเริ่มกลายเป็นความกลัว และกลัวมากขึ้นจนถึงขีดสุด ท่าน ต้องตัดสินใจทำบางอย่างที่รุนแรง ดูเหมือนท่านกำลังกลับไปทำซ้ำในบทที่ 13 อีกครั้ง เพียงแต่ครั้งนี้ความวิบัติที่เผชิญอยู่นั้นยิ่งใหญ่กว่า พวกฟิลิสเตียตั้งค่ายอยู่ที่ชูเนม ส่วน ซาอูลและกองทัพตั้งมั่นอยู่ที่กิลโบอา (ข้อ 4) ฟิลิสเตียกำลังจะโจมตี และซาอูลรู้ว่า ท่านไม่มีทางสู้เลย ท่านต้องทำบางอย่างโดยด่วน ท่านจึงตัดสินใจทำในสิ่งที่เสี่ยงภัย และเป็นอันตรายอย่างยิ่ง เป็นเพราะท่านไม่ได้รับความสนใจจากพระเจ้าไม่ว่าด้วยวิธีใด ท่านตัดสินในไปปรึกษาคนทรง

เสียงจากคนตาย
(28:7-14)

7 ซาอูลจึงรับสั่งกับมหาดเล็กของพระองค์ว่า "จงออกไปหาหญิงที่ เป็นคนทรง เพื่อเราจะได้ไปหาและถามเขาดู" และมหาดเล็กก็กราบ ทูลว่า "ดูเถิด มีหญิงคนทรงคนหนึ่งอยู่ที่บ้านเอนโดร์" 8 ซาอูลจึง ปลอม พระองค์และทรงฉลองพระองค์อย่างอื่นเสด็จออกไปพร้อมกับ ชายสองคน ไปหาหญิงคนทรงในเวลากลางคืน พระองค์ตรัสว่า "ขอ ทำนายให้ฉันโดยวิญญาณของคนตาย ฉันจะออกชื่อผู้ใดก็ให้เรียกผู้ นั้นขึ้นมา" 9 หญิงคนนั้นจึงทูลตอบพระองค์ว่า "ท่านคงทราบแน่แล้ว ว่าซาอูลทรงกระทำอะไร ที่ได้กำจัดคนทรงและพ่อมดแม่มดเสียจาก แผ่นดิน ทำไมท่านจึงมาวางกับดักชีวิตของข้าพเจ้าเล่า" 10 แต่ซาอูล ทรงปฏิญาณกับหญิงนั้นในพระนามของพระเจ้าว่า "พระเจ้าทรงพระ ชนม์อยู่แน่ฉันใด เจ้าจะไม่ถูกโทษเพราะเรื่องนี้แน่ฉันนั้น" 11 หญิงนั้น จึงทูลถามว่า "ท่านจะให้ข้าพเจ้าเรียกใครขึ้นมา" ซาอูลตรัสว่า "เรียก ซามูเอลขึ้นมาให้ฉัน" 12 และเมื่อหญิงคนนั้นเห็นซามูเอล จึงร้องเสียง ดังและหญิงนั้นกราบทูลซาอูลว่า "ไฉนพระองค์จึงทรงล่อลวงหม่อมฉัน พระองค์คือซาอูล" 13 พระราชาตรัสแก่นางว่า "อย่ากลัวเลย เจ้าได้เห็น อะไร" และหญิงนั้นกราบทูลซาอูลว่า "หม่อมฉันเห็นเทพยเจ้าองค์หนึ่ง เสด็จขึ้นมาจากแผ่นดิน" 14 พระองค์ถามนางว่า "รูปร่างของเขาเป็น อย่างไร" และนางตอบว่า "เป็นผู้ชายแก่ขึ้นมามีเสื้อคลุมกายอยู่" ซาอูล ก็ทรงทราบว่าเป็นซามูเอล พระองค์ทรงโน้มพระกายลงถึงดินกราบไหว้

เมื่อซาอูลไม่สามารถติดต่อกับพระเจ้าได้ตามธรรมเนียมที่เคยปฏิบัติ ท่านจึงหาวิธีอื่น ซามูเอลเป็นผู้เผยพระวจนะคนเดียวที่ให้คำแนะนำโดยตรงจากพระเจ้าแก่ซาอูล อาจมี คนอื่นๆอีกแต่ไม่มีการบันทึกไว้ ซามูเอลมรณภาพไปแล้ว (ข้อ 3) แต่ซาอูลมีความคิด บางอย่างขึ้น ท่านอาจติดต่อกับซามูเอลได้ บางทีท่านอาจใช้พวกคนทรงปลุกวิญญาณ ขึ้นมา เพื่อจะพูดกับซามูเอล ซาอูลจึงสั่งมหาดเล็กให้ไปหาหญิงคนทรง และพบว่ามี อยู่คนหนึ่งอาศัยอยู่ที่เอนโดร์

แผนการที่จะใช้หญิงคนทรงนี้ก็มีปัญหาในตัวมันเองอยู่แล้ว ซึ่งเราจะมาดูกันต่อไป

ประการแรก พระเจ้าสั่งห้ามอย่างเด็ดขาดไม่ให้ติดต่อกับพวกคนทรง มีหลายที่ ในพระคัมภีร์เดิมที่สั่งห้ามไม่ให้มีพวกคนทรง หมอผีอยู่ในแผ่นดินอิสราเอล และสั่งห้าม ไม่ให้คนอิสราเอลปรึกษาหรือมีส่วนเกี่ยวข้องกับคนเหล่านี้ ลองมาดูกฎเหล่านี้ที่มีอยู่ใน ธรรมบัญญัติของโมเสส :

31 "อย่าไปหาคนทรงหรือพ่อมดแม่มด อย่า เที่ยวค้นหาให้ตนมลทินไปเพราะเขาเลย เรา คือพระเยโฮวาห์พระเจ้าของเจ้า" (เลวีนิติ 19:31)

"6 "ผู้ใดใฝ่หาคนทรงผีหรือพ่อมดแม่มด เล่นชู้กับ เขา เราจะหมายหน้าผู้นั้น และอเปหิเขาเสียจากชน ชาติของตน" (เลวีนิติ 20:6)

"27 "ชายหรือหญิงคนใดที่เป็นคนทรงหรือพ่อมด แม่มด จงฆ่าเสีย จงเอาหินขว้าง ที่เขาต้องตายนั้น เขาเองรับผิดชอบ"(เลวีนิติ 20:27)

10"อย่าให้มีคนหนึ่งคนใดในหมู่พวกท่านซึ่งให้บุตรชาย หรือบุตรหญิงของเขาลุยไฟ อย่าให้ผู้ใดเป็นคนทำนาย เป็นหมอดู เป็นหมอจับยามดูเหตุการณ์ หรือเป็นนักวิท ยาคม 11 เป็นหมอผี เป็นคนทรง เป็นพ่อมด แม่มด หรือ เป็นหมอพราย 12 ผู้ใดที่กระทำอย่างนี้ย่อมเป็นที่รังเกียจ แด่พระเจ้า เพราะกระทำสิ่งพึงรังเกียจเหล่านี้ พระเยโฮวาห์ พระเจ้าของท่านทั้งหลายจึงทรงขับไล่เขาเสียจากท่าน 13 ท่านทั้งหลายจงเป็นคนปราศจากตำหนิต่อพระพักตร์ พระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่าน 14 เพราะว่าประชาชาติเหล่า นี้ ซึ่งท่านกำลังจะไปขับไล่นั้นเชื่อฟังหมอดูและคนทำนาย แต่ส่วนตัวท่านนั้นพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านไม่ทรง ยินยอมให้ท่านกระทำเช่นนั้น" (เฉลยธรรมบัญญัติ 18:10-14)

ปัญหาประการที่สองคือ ครั้งหนึ่งที่ซาอูลได้ทำในสิ่งที่ถูกต้อง : "และซาอูลทรง

กำจัด คนทรงและพ่อมดแม่มดเสียจากแผ่นดิน" (ข้อ 3ข) นี่เป็นเรื่องมหัศจรรย์ เพราะซาอูลเคย ทำสิ่งที่ถูกต้องอยู่หนึ่งครั้ง แต่บัดนี้เมื่อกำลังจะถูกฟิลิสเตียบดขยี้ ซาอูลกลับมองหาคนทรง เพื่อทำในสิ่งที่พระคัมภีร์เดิมห้ามไว้ ปัญหาใหญ่สำหรับการ

นี้คือ ท่านกลับเป็นคนที่ขัดคำสั่งของตัวเอง พอเข้าใจไหมครับ : ซาอูลรู้สึกเสียใจ ที่ทำผิดในสิ่งที่ตนเองเคยเป็นผู้ทำให้ถูกต้องมาก่อน

ยังมีปัญหาประการที่สามอีก เป็นเรื่องระยะทาง พวกฟิลิสเตียตั้งค่ายอยู่ที่ชูเนม ซาอูลและกองทัพตั้งอยู่ที่กิลโบอา เมืองเอนโดร์อยู่ไปทางเหนือของกิลโบอาประมาณ 15 กม. จะไปที่นั่นได้ซาอูลต้องเดินทางอ้อมพวกฟิลิสเตียไป

ส่วนปัญหาประการที่สี่ : ซาอูลเปิดเผยตัวไม่ได้ ซาอูลไม่สามารถเปิดเผยตนเอง เรื่องนี้ให้ใครต่อใครรู้ได้ การฆ่ากษัตริย์ของฝ่ายศัตรูได้ ถือว่ามีชัยไปเกินกว่าครึ่งแล้ว ดังนั้นกษัตริย์จึงตกเป็นเป้าสำคัญที่สุด กษัตริย์จำเป็นต้องปลอมตัวในบางกรณีเพื่อ ความปลอดภัย (ดู 1 พกษ. 22:29-36) นอกจากนี้ซาอูลไม่ต้องการให้คนทรงจำได้ เพราะถ้านางรู้นางอาจไม่ยอมติดต่อกับวิญญาณให้ เพราะซาอูลเองเป็นผู้สั่งขับไล่ พ่อมดหมอผีคนทรงออกไปจากแผ่นดิน(ดูข้อ 9) ท่านหาทางออกโดยการเดินทาง ไปตอนกลางคืน เปลี่ยนเครื่องแต่งกายใหม่ ไม่สวมใส่ชุดที่กษัตริย์ใส่

เมื่อซาอูลไปถึงบ้านหญิงคนทรง ท่านไม่อ้อมค้อม ท่านต้องการให้คนทรงยอมติดต่อ กับวิญญาณใดก็ตามที่ท่านสั่ง นางไม่ยอมเพราะกลัวว่าเป็นแผนของสายสืบของซาอูล ที่จะมาล่อให้นางติดกับ นางไม่ต้องการถูกจับด้วยข้อหาฝ่าฝืนคำสั่งของกษัตริย์ นาง ไม่รู้จักคนพวกนี้มาก่อน เป็นคนแปลกหน้าสำหรับนาง ที่น่าขันคือ ซาอูลกลับสาบาน ต่อนางในนามของพระเจ้า ว่านางจะไม่ถูกจับเพราะเรื่องนี้ (ข้อ10) แล้วท่านจึงสั่งให้ นางเรียกวิญญาณซามูเอลขึ้นมา นางทำตามโดยไม่สอบถามต่อ เมื่อนางเห็นซามูเอล นางตกใจร้องเสียงดัง นางไม่เพียงแต่จำซามูเอลได้เท่านั้น ตอนนี้นางเริ่มจำได้แล้วว่า ซาอูลคือคนที่สั่งให้นางทำเช่นนี้ ผมคิดว่าผมได้ยินนางกระซิบกับตัวเองว่า "ตายแน่ๆ"

ซาอูลบอกนางว่าไม่ต้องกลัว และให้อธิบายว่านางได้เห็นผู้ใด144 undefined undefined undefined undefinedhttp://www.bible.org/docs/ot/books/1sa/deffin/วิญญาณที่นางเห็น และคำอธิบายของนางคงจะไม่ใช่เป็นการเรียกวิญญาณธรรมดาขึ้นมา นางบอกซาอูล ว่านางเห็น "เทพยเจ้าองค์หนึ่ง" (พระคัมภีร์ฉบับ NASB; KJV ใช้คำว่า "เทพเจ้า") ฉบับภาษาฮีบรูใช้คำว่า "เอโลฮิม" (เทพ, พระ) ฉบับเซพตัวจินท์ใช้ภาษากรีกว่า "เธอุส" (เทพ, พระ) นี่ไม่ใช่ "วิญญาณธรรมดา" แต่เป็น "เทพยเจ้า" ที่นางเห็น ไม่ แปลกที่นางตกใจกลัว นางอธิบายให้ซาอูลฟังว่า "เทพยเจ้า" องค์นี้เป็นชายแก่มีเสื้อ คลุมกายอยู่ คำว่า "เทพยเจ้า" ที่นางอธิบาย ทำให้ซาอูลรู้ทันทีว่าเป็นซามูเอล ซาอูล จึงโน้มกายลงถึงดิน "กราบไหว้" (ข้อ 14)

เสียงจากหลุมศพ
(28:15-19)

15 แล้วซามูเอลพูดกับซาอูลว่า "ท่านรบกวนเราด้วยเรียกเรา ขึ้นมาทำไม" ซาอูลทรงตอบว่า "ข้าพเจ้ามีความทุกข์หนัก เพราะคนฟีลิสเตียกำลังมาทำสงครามกับข้าพเจ้า และพระเจ้า ทรงหันจากข้าพเจ้าเสียแล้ว มิได้ทรงตอบข้าพเจ้าอีกเลย ไม่ว่า โดยผู้เผยพระวจนะหรือโดยความฝัน เพราะฉะนั้นข้าพเจ้าจึงขอ เรียกท่านขึ้นมาเพื่อท่านจะได้แจ้งว่า ข้าพเจ้าจะกระทำประการ ใดดี" 16 และซามูเอลตอบว่า "ในเมื่อพระเจ้าทรงหันจากท่าน เสียแล้ว และเป็นศัตรูของท่าน ท่านจะมาถามข้าพเจ้าทำไมเล่า 17 พระเจ้าได้ทรงกระทำแก่ท่านอย่างที่พระองค์ตรัสบอกทาง ข้าพเจ้าแล้วนั้น เพราะพระเจ้าทรงฉีกราชอาณาจักรนั้นออกเสีย จากมือของท่านและทรงมอบให้แก่คนอื่น คือดาวิด18 เพราะท่าน มิได้เชื่อฟังพระสุรเสียงของพระเจ้า มิได้กระทำตามพระพิโรธของ พระองค์ที่ทรงมีต่ออามาเลข ฉะนั้นพระเจ้าจึงทรงกระทำสิ่งนี้แก่ ท่านในวันนี้ 19 ยิ่งกว่านั้นอีกพระเจ้าจะทรงมอบอิสราเอล พร้อม กับตัวท่านไว้ในมือของคนฟีลิสเตีย พรุ่งนี้ตัวท่านพร้อมกับบุตร ชายทั้งหลายของท่านจะอยู่กับเรา และพระเจ้าจะทรงมอบกอง ทัพอิสราเอลไว้ในมือของคนฟีลิสเตียด้วย" ในช่วงชีวิตของซาอูลที่ซามูเอลยังมีชีวิตอยู่ ซามูเอลแทนพระเจ้าอย่างชัดเจนต่อ ซาอูล ซามูเอลไม่ได้พูดเฉพาะเรื่องที่ซาอูลอยากได้ยินเท่านั้น ที่จริง บางครั้งซามูเอล เองก็หวั่นใจว่าสิ่งที่ท่านพูดไปอาจทำให้ซาอูลโกรธ (ดู 16:2) ในบทที่ 13 และ 15 ซามูเอลตำหนิซาอูลเรื่องความบาป และเตือนท่านอย่างตรงๆว่าท่านจะสูญเสียอาณา จักรไป ถ้ามาคิดดูให้ดี ตอนนี้ซาอูลคิดว่าซามูเอลจะพูดเรื่องอื่นใดได้อีก ? ถ้าซาอูล คาดว่าการให้คนทรงเรียกซามูเอลขึ้นมาเพื่อจะได้ยินเรื่องที่แตกต่างไป ท่านก็กำลังรบ กวนวิญญาณของผู้ตายอย่างไม่สมควรเป็นที่สุด

ผมมีลูกสาวห้าคน และเธอๆทั้งหลายเป็นประเภทที่ไม่อาจเรียกได้ว่าเป็นคน "ตื่นเช้า" (ที่จริงผมเองก็ไม่ใช่เป็นคน "ตื่นเช้า") ซาอูลเรียนรู้ว่าการปลุกซามูเอลขึ้นมานั้นยาก พอๆกับปลุกลูกสาวผมในตอนเช้า เหมือนกับไปปลุกหมีที่จำศีลอยู่ทีเดียว ผมเคยพูด เล่นว่า เวลาเข้าไปปลุกสาวๆเหล่านี้คงต้องใช้ไม่เขี่ยจากระยะไกล อย่างไรก็ตาม ซามูเอลดูจะ "อารมณ์เสีย" เพราะท่านพูดว่า : "ท่านรบกวนเราด้วยเรียกเราขึ้น มาทำไม?" ท่านคงไม่พอใจที่ถูกซาอูลรบกวน (อันที่จริงท่านมีโอกาส "เหน็บ" ซาอูล ได้โดยไม่ต้องหวั่นใจเหมือนเมื่อตอนมีชีวิต ท่านไม่ต้องกลัวว่าจะถูกซาอูลฆ่าอีกแล้ว) หรือว่าท่านต้องการตำหนิซาอูลที่กำลังทำในสิ่งที่ไม่สมควร – ติดต่อกับวิญญาณคน ตาย ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร เราเห็นชัดเจนว่าซามูเอลไม่พอใจ

ซาอูลมีอาการเหมือนเป็นเด็กนักเรียนที่ถูกจับได้คาหนังคาเขาว่าทำผิด ยืนเข่าสั่นอยู่ ท่านพยายามแก้ตัวว่าท่านมีความทุกข์หนัก และเหตุผลก็คือพวกฟิลิสเตียกำลังมาทำ สงคราม และพระเจ้าทรงละทิ้งท่านไปแล้ว ไม่ตอบท่านเลยไม่ว่าในเรื่องใด ดูเหมือน ซาอูลจะพูดในทำนองว่า "ผมเลยต้องเรียกท่าน เพราะผมไม่รู้จะทำยังไง ขอท่านช่วย แนะนำด้วย ผมรู้ว่ามันเป็นการไม่ถูกต้อง แต่นี่เป็นเรื่องคอขาดบาดตายนะครับ"

ซามูเอลไม่สนใจฟัง ท่านไม่ได้ให้คำแนะนำใดกับซาอูล และท่านกล่าวตำหนิซาอูลที่ มาบอกให้ท่านทำในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ คือให้มาพูดแทนพระเจ้า ในเมื่อพระเจ้าไม่ สถิตอยู่ด้วยแล้ว ก็เหมือนกับสั่งให้บาลาอัมไปสาปแช่งประชากรของพระเจ้า ในเมื่อพระ เจ้าต้องการอวยพระพรพวกเขา ซามูเอลไม่สามารถและไม่ต้องการบอกซาอูลด้วยว่า ควรทำอย่างไร เป็นเรื่องของซาอูลเองแล้ว แต่เมื่อซาอูลได้พยายามติดต่อท่าน ท่านก็ จะบอกให้ทราบว่าพระเจ้าจะทำอย่างไรกับซาอูลในวันรุ่งขึ้น ซาอูลพบว่าตนเองกำลัง ตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกับที่เคยเกิดขึ้นเมื่อตอนซามูเอลพูดไว้ในบทที 13 และ 15 ซาอูลกำลังตระหนักว่าคำพยากรณ์ที่ซามูเอลเคยพูดไว้นั้นเริ่มเป็นจริง

คำพูดของซามูเอลบอกซาอูลถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นและสาเหตุอย่างชัดเจน ซามูเอลเคย พูดมาก่อนหน้าแล้วว่า พระเจ้าจะฉีกอาณาจักรไปจากท่าน และนำไปมอบให้กับ "คน อื่น"145 http://www.bible.org/docs/ot/books/1sa/deffin/ คือดาวิดแทน นี่เป็นเพราะซาอูลไม่เชื่อฟังคำสั่งของพระเจ้าในเรื่องการจัดการ กับคนอามาเลข คำพยากรณ์ที่ซามูเอลให้ไว้ในบทที่ 15 เริ่มจะเป็นจริง ท่านกล่าวต่อไป ว่าในวันพรุ่งนี้ พระเจ้าจะทรงมอบอิสราเอล ซาอูล และบุตรของท่านให้กับพวกฟิลิสเตีย ซาอูลและบุตรของท่านจะถูกฆ่าตาย ซามูเอลพูดอย่างตรงๆว่า "พรุ่งนี้ตัวท่่านพร้อม กับบุตรชายทั้งหลายของท่านจะอยู่กับเรา" ข่าวนี้น่าสะพรึงกลัวและไม่ใช่เป็นเรื่อง ที่ซาอูลอยากได้ยิน ท่านบังอาจปลุกวิญญาณของผู้เผยพระวจนะขึ้นมาจากหลุม และ ซามูเอลก็ยังเป็นผู้เผยพระวจนะที่พูดในเรื่องเดิม

อาหารค่ำมื้อสุดท้ายของซาอูล
(28:20-25)

20 แล้วซาอูลก็ทรงล้มลงเหยียดยาวบนพื้นดินในทันที กลัวยิ่ง นักเพราะถ้อยคำของซามูเอล และไม่มีกำลังเหลืออยู่ในพระองค์ เพราะไม่ได้เสวยมาตลอดวันหนึ่งกับคืนหนึ่งแล้ว 21 หญิงนั้นก็ เข้ามาหาซาอูล และเมื่อนางเห็นว่าพระองค์ตกพระทัยมาก จึงทูล ว่า "ดูเถิด ผู้รับใช้ของฝ่าพระบาทก็ย่อมฟังรับสั่งของฝ่าพระบาท ยอมเสี่ยงชีวิต และยอมฟังพระดำรัสที่พระองค์ตรัสสั่งทุกประการ 22 เพราะฉะนั้นขอฝ่าพระบาทจงฟังเสียงผู้รับใช้ของ ฝ่าพระบาท บ้าง ขอหม่อมฉันได้ถวายพระกระยาหารแก่พระองค์สักหน่อยหนึ่ง ขอพระองค์เสวย เพื่อพระองค์จะทรงมีพระกำลังเมื่อกลับตามทาง ของพระองค์" 23 พระองค์ก็ทรงปฏิเสธ รับสั่งว่า "ไม่กิน" แต่มหาด เล็กกับหญิงนั้นอ้อนวอนพระองค์ พระองค์ก็ทรงฟังเสียงของเขา พระองค์ทรงลุกขึ้นประทับบนเตียง 24 หญิงนั้นมีลูกโคอ้วนอยู่ใน บ้านตัวหนึ่ง ก็รีบฆ่าเสีย เอาแป้งมานวดปิ้งทำขนมปังไร้เชื้อ 25 นางก็นำมาถวายแก่ซาอูลและทรงเสวย กับให้มหาดเล็กเขารับ ประทาน แล้วก็ทรงลุกขึ้นเสด็จกลับไปในคืนนั้น เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นต่อไปนั้นเป็นภาพที่ไม่น่าดูนัก คืนนั้นซาอูลมาหาคนทรงที่เอนโดร์ ด้วยท่าทางน่าเกรงขาม หลังจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ท่านกลายเป็นคนอ่อนปวกเปียก คำพูดของซามูเอลทำให้ท่านเกิดอาการสั่น ล้มลงถึงดินแน่นิ่งไป เหมือนกับถูกยิงด้วย กระสุนทั้งชุด ส่วนหนึ่งอาจเกิดจากไม่มีอะไรตกถึงท้องมานาน แถมยังเหน็ดเหนื่อย จากการเดินทางไกลอีก แต่ที่หนักที่สุดคือความกลัวจนสุดขีด ผมพอนึกภาพออกว่า หญิงคนทรงคงเริ่มรู้สึกเป็นห่วง และอยากให้ซาอูลเดินทางกลับไปโดยเร็ว

นางขอร้องให้ซาอูลฟังนาง เพราะอย่างน้อยนางก็ได้เสี่ยงชีวิตให้ นางขอให้ได้ทำ อาหารเลี้ยงท่าน เพื่อจะมีกำลังเดินทางกลับไปได้ ท่านปฏิเสธ ท่านไม่อยากกินอะไร ทั้งนางและมหาดเล็กของซาอูลช่วยกันอ้อนวอน ไม่ใช่เพราะความหิวแต่เพื่อจะได้มี กำลังเดินทางกลับไปที่ค่ายทหารได้ เหมือนกับบิดาของบุตรน้อยหลงหาย หญิงคน ทรงแห่งเอนโดร์ฆ่าโคอ้วนของนางและทำอาหารมาให้ซาอูล (ดูลูกา15:22-24, 29) แต่ไม่ใช่เพื่อเป็นการเลี้ยงฉลองเพราะบุตรที่หนีไปกลับใจมาขอคืนดี เป็นการปลุก ให้ตื่นขึ้น นางฆ่าโคของนางและจัดเตรียมทำอาหารพร้อมกับขนมปัง ซาอูลรับประทาน ก่อนเดินทางกลับไปตอนกลางคืน เป็นช่วงชีวิตที่มืดมนที่สุดของซาอูล แต่เวลาที่มืดมน ยิ่งกว่ากำลังจะคืบเข้ามา -- วันรุ่งขึ้น -- เมื่อคำพยากรณ์ของซามูเอลเป็นจริง

บทสรุป

เราเคยได้ยินคำพูดที่ว่า : "ต้นร้ายปลายดี" ถ้าเป็นจริง คงใช้ไม่ได้สำหรับซาอูล เดล ราล์ฟ ดาวิส ตั้งชื่อตอนในหนังสือข้อคิดเห็นของพระธรรมตอนนี้ว่า "ขณะนั้น เป็นเวลากลางคืน"146 http://www.bible.org/docs/ot/books/1sa/deffin/ ที่ใช้ชื่อนี้เพราะมีสองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในตอนกลางคืน (28:8, 25) อาจเป็นการเล่นคำให้เหมือนกับในพระกิตติคุณยอห์น 13:30 ที่พูด ถึงเมื่อยูดาสทิ้งพระเยซูและพวกสาวกไว้เพื่อไปขายพระองค์ ในพระคำยอห์นเขียน ไว้ว่า "ขณะนั้นเป็นเวลากลางคืน"

ไม่ต้องคิดซ้ำสองหรอกครับ เวลานี้เป็นเวลาที่มืดมนที่สุดสำหรับซาอูลเท่าที่เคยประสพ มา แล้ววันรุ่งขึ้น (วันสุดท้าย) จะมืดมนสักเพียงใด? นีหรือกษัตริย์ของอิสราเอล กษัตริย์ผู้อ่อนแอ หิวโหยและหวาดกลัว แม้แต่จะทรงกายยืนขึ้นยังไม่ไหวเลย ท่าน แต่งตัวด้วยเสื้อผ้าโทรมๆเพื่อพรางตน แต่ก็ไร้ผล ท่านไปที่บ้านของหญิงคนทรงเพื่อ ให้นางช่วย และเมื่อนางติดต่อกับซามูเอลได้ สิ่งที่ท่านผู้เผยพระวจนะพูดก็คือคำพูด แสนโบราณที่เราชอบพูดกัน "บอกแล้วใช่ไหม?" แถมยังบอกต่อไปอีกว่าท่านและบุตร ทั้งสิ้นจะตายในวันรุ่งขึ้น ไม่มีการให้กำลังใจ ไม่มีความหวัง ไม่มีแม้โอกาสให้กลับใจ มันสายเกินไป เป็นภาพโศกนาฏกรรมของซาอูลที่เราเห็นได้ชัดจริงๆ

สี่สิบปีก่อนหน้านี้ ซาอูลเป็นนักปกครองหนุ่มที่มีอนาคตไกล มีรูปลักษณ์ที่โดดเด่น สูง สง่ากว่าชาวอิสราเอลโดยทั่วไป (9:1-2) ท่านเริ่มต้นงานแรกด้วยการปลดชาวยาเบช- กิเลอาดออกจากการข่มขู่ของชาวอัมโมน (บทที่ 11) จากนั้นมาเหตุใดทุกสิ่งดูเหมือน จะผิดพลาดไปทั้งหมดสำหรับซาอูล พลาดไปถึงขนาดมาจบสิ้นลงบนพื้นบ้านของหญิง คนทรงต้องห้ามเช่นนี้? คำตอบตามที่ซามูเอลพูดนั้นเป็นเรื่องแสนธรรมดา – การไม่ เชื่อฟัง ความผิดข้อใหญ่และข้อแรกของซาอูล (เท่าที่เราอ่านจากในพระคัมภีร์) คือ ที่กิลกาล ท่านขัดคำสั่งของซามูเอล ไม่ยอมรอให้ซามูเอลมาถวายเครื่องเผาบูชา (ดู 10:7-8) เพื่อขอคำแนะนำ (ที่มาจากพระเจ้า) ซาอูลลงมือเผาเครื่องถวายบูชาด้วย ตนเอง147 http://www.bible.org/docs/ot/books/1sa/deffin/

ความผิดข้อใหญ่ประการที่สองดูเผินๆเหมือนมีความตั้งใจดี แต่ที่จริงกลับฉุดให้ท่านตก ต่ำลงไปอีก ซามูเอลให้คำสั่งอย่างชัดเจนจากพระเจ้า ในฐานะเป็นกษัตริย์ของอิสรา เอล เป็นหน้าที่ของซาอูลที่ต้องกำจัดชาวอามาเลขให้หมดสิ้น เพื่อเป็นการตอบแทนที่ พวกเขาปฏิบัติต่อชาวอิสราเอลเมื่อครั้งอพยพอยู่ในถิ่นทุรกันดาร ชาวอามาเลขทุกคน ต้องถูกฆ่า รวมถึงกษัตริย์ด้วย ที่จริงคำสั่งของซามูเอลในเรื่องนี้ชัดเจนมาก (15:1-3) ห้ามเว้นแม้แต่ เด็ก หรือฝูงสัตว์ ถึงแม้ได้รับคำสั่งเช่นนี้ ซาอูลยังไว้ชีวิตกษัตริย์อากัก และฝูงสัตว์ที่ดีที่สุด ซามูเอลบังคับให้ซาอูลรับผิดชอบต่อความบาปครั้งนี้ แต่ซาอูล พยายามทำให้ดูเป็นเรื่องเล็กโดยอ้างว่าที่ทำเช่นนั้นเพราะต้องการเก็บฝูงสัตว์ที่ดีที่สุด ไว้เพื่อนำมาถวายบูชาแด่พระเจ้า ซามูเอลจึงสั่งสอนอย่างชัดเจนถึงหลักในการปฏิบัติ ซึ่งเป็นหลักที่สะท้อนก้องอยู่ในใจของผู้คนจากนั้นตลอดมาจนถึงยุคพระคัมภีร์ใหม่ :

22 และซามูเอลกล่าวว่า "พระเจ้าทรงพอพระทัยใน เครื่องเผาบูชาและเครื่องสัตวบูชามากเท่ากับการจะ เชื่อฟังพระสุรเสียงของพระองค์หรือ ดูเถิดที่จะเชื่อ ฟังก็ดีกว่าเครื่องสัตวบูชา และซึ่งจะสดับฟังก็ดีกว่าใข มันของบรรดาแกะผู้ 23 เพราะการกบฎก็เป็นเหมือน บาปแห่งการถือฤกษ์ถือยาม และความดื้อดึงก็เป็น เหมือนบาปชั่วและการไหว้รูปเคารพ เพราะเหตุที่ท่าน ทอดทิ้งพระวจนะของพระเจ้า พระองค์จึงทรงถอด ท่านออกจากตำแหน่งกษัตริย์ " (1 ซามูเอล 15:22-23)

ดูเหมือนซาอูลจะคิดว่าของถวายของมนุษย์เป็นสิ่งมีค่าที่สุดสำหรับพระเจ้า ถึงแม้ต้อง ขัดคำสั่งเพื่อจะให้ได้มา ซามูเอลเห็นตรงข้ามโดยสิ้นเชิง พระเจ้าทรงพอพระทัยใน เครื่องเผาบูชาและเครื่องสัตวบูชามากเท่ากับการจะเชื่อฟังพระสุรเสียงของพระองค์หรือ การเชื่อฟังพระเจ้าสำคัญที่สุด การไม่เชื่อฟังจึงเป็นความบาปชั่วที่ร้ายแรง ซาอูลคิด หรือว่าพระเจ้าจะพอพระทัยที่ท่านขัดคำสั่งเพียงเพื่อจะได้ทำการถวายบูชา? แน่นอน พระองค์ไม่ทรงพอพระทัย ที่จริงเพราะองค์มองเรื่องการฝ่าฝืนนี้ว่าเป็นการกบฎ เป็น เหมือนการถือฤกษ์ถือยามและเป็นการกราบไหว้รูปเคารพ ซาอูลคิดว่าพระเจ้าจะพอ พระทัยในสิ่งที่ท่านและชาวอิสราเอลทำในเรื่องชาวอามาเลข แต่ซามูเอลกลับบอกว่า สิ่งที่ซาอูลทำนั้นเป็นสิ่งชั่วร้ายที่สุด

เมื่อก่อนผมไม่เคยคิดด้วยมุมมองแบบนี้ แต่ตอนนี้ผมเริ่มเข้าใจพระธรรม 1 ซามูเอล 15:22-23 ดีขึ้นจากข้อพระคำใน 1 ซามูเอล 28:3 ตรงนี้ผู้เขียนบอกเราว่าซาอูลได้ กำจัดบรรดาพ่อมด หมอผี คนทรงออกไปจากแผ่นดินอิสราเอล และเมื่อมองย้อนไปใน บทที่ 15 ผมเริ่มเข้าใจว่า เมื่อซาอูลได้กำจัดพวกหมอผีคนทรงออกไปจากแผ่นดินแล้ว ท่านคงรู้สึกดี เพราะได้ทำตามธรรมบัญญัติของโมเสส148 แต่หลังจากนั้นเมื่อท่านถูก สั่งให้กำจัดชาวอามาเลขให้หมดสิ้น ท่านทำเพียงแค่บางส่วน และอย่างที่บอกไปแล้ว การเชื่อฟังเพียงบางส่วนก็คือการไม่เชื่อฟังนั่นเอง เมื่อพระเจ้ากล่าวตำหนิซาอูลผ่าน ทางซามูเอล พระองค์ตรัสว่าการไม่เชื่อฟังก็เท่ากับการถือฤกษ์ ถือยาม หรือการกราบ ไหว้รูปเคารพ ซาอูลรู้สึกดีเพราะได้กำจัดพ่อมดหมอผีออกไปจากแผ่นดินหรือ? ท่าน เห็นด้วยหรือเปล่าว่าการกระทำของพวกนี้เป็นความชั่วร้ายแรง ? การไม่เชื่อฟังของท่าน มองได้เท่ากับเป็นการถือฤกษ์ถือยามและการกราบไหว้รูปเคารพ ดังนั้นความบาปของ ท่านเรื่องชาวอามาเลขที่ท่านเลือกเชื่อฟังพระเจ้าเฉพาะบางส่วน จึงเป็นบาปพอๆกับ การถือฤกษ์ยามและกราบไหว้รูปเคารพ

ผมคิดว่าคำตำหนิของซามูเอลในบทที่ 15 มีมากกว่านั้น ท่านกล่าวว่าถ้าซาอูลไม่ยอม สำนึกในบาปแห่งการไม่เชื่อฟังและการกบฎ จะนำไปสู่บาปของการถือฤกษ์ ถือยาม และการกราบไหว้รูปเคารพ พูดให้ชัดๆก็คือ ถ้าซาอูลไม่ยอมสำนึกผิดในเรื่องชาว อามาเลข ซามูเอลกำลังพยากรณ์ว่าซาอูลจะเป็นคนทำ"บาป" นี้เอง บาปที่ท่านได้เคย สั่งให้กำจัดพ่อมด หมอผีไปเสียจากแผ่นดิน

เหตุการณ์ในบทที่ 28 ผ่านไปอย่างน่าขนลุก เป็นเพราะซาอูลไม่ยอมรับในความบาป ของตนเองจึงถูกซามูเอลกล่าวตำหนิอย่างรุนแรง ผมมองเห็นความเหมือนค่อนข้างชัด เจนระหว่างบทที่ 13 และ 15 ทั้งสองบทซาอูลทำบาปด้วยการตั้งใจขัดคำสั่งพระเจ้า และในทั้งสองกรณี เมื่อถูกซามูเอลตำหนิ ท่านพยายามป้ายความผิดไปที่ผู้อื่น (อย่าง น้อยก็บางส่วน) ในบทที่ 13 ซาอูลแก้ตัวว่าเป็นเพราะซามูเอลมาสาย (เป็นความผิดของ ซามูเอล) และประชาชนกำลังละทิ้งไป (เป็นความผิดของประชาชน) ในบทที่ 15 อีกที่ ซาอูลพยายามปัดความรับผิดชอบ ท่านอ้างว่าท่านเชื่อฟังพระเจ้า ; แต่ซามูเอลไม่รับ ฟัง ท่านจึงโยนไปที่ประชาชนว่าเป็นพวกที่แอบเก็บฝูงสัตว์ดีๆไว้ แต่ในที่สุดซาอูลก็ยอม รับว่าท่านกลัวประชาชน แต่ท่านก็ยังไม่ยอมรับผิดชอบในฐานะกษัตริย์ ในทั้งบทที่ 13 และ 15 ซาอูลคิดว่าเป็นเพราะสถานการณ์เข้าที่คับขัน ท่านอ้างว่า "ท่านอยู่ในสภาวะ เดือดร้อนอย่างหนัก" ทำให้ท่านต้องใช้ "กฎอัยการศึก" แทนกฎเกณฑ์ของพระเจ้า และ เมื่อข้ออ้างอ่อนๆของท่านใช้ไม่ได้ผล การ"สำนึกผิด"ของท่านยังไม่สมควรจะเรียกได้ ว่าท่าน"รู้สึกเสียใจ"แม้สักนิดเดียว

เราจึงเห็นว่าทำไมเหตุการณ์นี้ถึงเกิดขึ้นอีกในบทที่ 28 ซาอูลดูเหมือนจะเริ่มต้นด้วยดี แต่แล้วในระยะเวลาอันสั้นท่านเริ่มไม่ระมัดระวังที่จะเชื่อฟังพระเจ้า ถึงแม้จะถูกกล่าว ตำหนิก็ตาม ท่านก็ยังไม่สำนึกอย่างจริงใจ การตกลงไปในบาปเดิมจึงเป็นเรื่องหนีไม่พ้น ตามที่ซามูเอลเคยพยากรณ์ไว้ล่วงหน้าในบทที่ 15 เราถึงไม่ประหลาดใจนักที่ซาอูลไป ขอความช่วยเหลือจากคนทรง ถ้าผู้ใดคิดว่าบัญญัติของพระเจ้านั้นน่ารังเกียจ ก็เป็นการ ง่ายที่พวกเขาจะไม่แยแส คงไม่ต้องสงสัยว่าคนเช่นนี้จะไม่หันไปพึ่งหมอดู หรือพวก ทรงเจ้าเข้าผี (หรือใช้หนทางลัดใดก็ได้) และพวกเขาจะ"ถูกนำ"ไปสู่หนทางที่เคย อยากทำมาตั้งแต่แรก (เปรียบเทียบกับ 2ทิโมธี 4:3-4) เราเห็นว่าซาอูลจบชีวิตลงอย่าง โศกนาฏกรรม เป็นสิ่งที่ไม่น่าประหลาด เป็นผลของทางที่ท่านเองเลือกเดิน

เมื่อเราอ่านเรื่องน่าขายหน้าของซาอูลที่เกิดในบ้านของหญิงคนทรงในเอนโดร์ เรา อาจปลอบใจตนเองว่าเรื่องแปลกๆอย่างนี้น่าจะเป็นเรื่องฟลุค ผมขอบอกว่าไม่ใช่เป็น เรื่องฟลุคแน่ๆ ที่จริงผมเห็นว่าเป็นเรื่องธรรมดา เรื่องของซาอูลเป็นเรื่องเกิดขึ้นตาม"กฎ เกณฑ์" ไม่ใช่กรณี "ยกเว้น" ซาอูลเป็นภาพพจน์ของชนชาติอิสราเอล149 http://www.bible.org/docs/ot/books/1sa/deffin/ ที่เราเห็นจาก ชีวิต (และความตาย) ของท่าน เป็นภาพจำลองของประวัติศาสตร์อิสราเอล อิสราเอล ก็เหมือนกับซาอูล ไม่ได้ถูกเลือกเพราะโดดเด่นกว่าผู้อื่น ที่จริงแล้วมาจากตระกูลที่เล็ก น้อยด้วยซ้ำไป (เทียบดูกับเฉลยธรรมบัญญัติ 7:7-8; 1 ซามูเอล 9:21; 10:22; 15: 17) เช่นเดียวกับประเทศอิสราเอล พระเจ้าตั้งซามูเอลให้มา "ทำลาย" ชาวคานาอันให้ หมดสิ้น (เปรียบเทียบเฉลยธรรมบัญญัติ 7:1-2; 1 ซามูเอล 15:1-3) ซามูเอลก็เช่น เดียวกับประเทศอิสราเอล คือต้องวางใจในพระเจ้าและรักษาพระบัญญัติของพระองค์ ไม่ทำตามอย่างคนต่างชาติ (เปรียบเทียบเฉลยธรรมบัญญัติ 7:2-5, 9-16; 1 ซามูเอล 15:20-23) และเช่นกันกับอิสราเอล พระเจ้าจะทำลายซาอูลสำหรับการกบฎที่ไม่รู้เลิก ของท่าน (ดูเฉลยธรรมบัญญัติ 7:4; 1 พงศาวดาร 10:13-14) ลองสังเกตุดูว่าทั้งสอง กรณีนี้เกี่ยวพันกันอย่างไรในบทที่ 12:

14 ถ้าท่านทั้งหลายจะยำเกรงพระเจ้าและปรนนิบัติพระองค์ และฟังพระสุรเสียงของพระองค์ และไม่กบฏต่อพระบัญชา ของพระเจ้า และถ้าท่านทั้งหลายและพระราชาผู้ปกครองเหนือ ท่านจะเป็นผู้ติดตามพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่าน ทั้งหลาย ก็ดีแล้ว 15 แต่ถ้าท่านทั้งหลายไม่ฟังพระสุรเสียงของพระเจ้า แต่กบฏต่อพระบัญชาของพระเจ้า แล้วพระหัตถ์ของพระเจ้าจะ ต่อสู้ท่านทั้งหลาย และบรรพบุรุษของท่าน 16 เพราะฉะนั้นบัดนี้ ท่านทั้งหลายจงยืนนิ่งอยู่ คอยดูเหตุการณ์ยิ่งใหญ่ต่อไปนี้ ซึ่ง พระเจ้าจะทรงกระทำต่อหน้าต่อตาของท่านทั้งหลาย 17 วันนี้ เป็นฤดูเกี่ยวข้าวสาลีไม่ใช่หรือ ข้าพเจ้าจะร้องทูลต่อพระเจ้า ขอพระองค์จัดส่งฟ้าร้องและฝน และท่านทั้งหลายจะทราบ และเห็นเองว่า ความอธรรมของท่านนั้นใหญ่โตเพียงใด ซึ่งท่าน ได้กระทำในสายพระเนตรพระเจ้า ในการที่ได้ขอให้มีพระราชา สำหรับตน" 18 ซามูเอลจึงร้องทูลต่อพระเจ้า และพระเจ้าทรง ส่งฟ้าร้องและฝนมาในวันนั้น ประชาชนก็เกรงกลัวพระเจ้าและ ซามูเอลยิ่งนัก 19 และประชาชนทั้งหลายเรียนซามูเอลว่า "ขอ ท่านอธิษฐานต่อพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านเผื่อผู้รับใช้ทั้ง หลายของท่าน เพื่อเราทั้งหลายจะไม่ถึงตาย เพราะเราได้ เพิ่มความชั่วนี้เข้ากับบาปทั้งสิ้นของเรา คือขอให้มีพระราชา สำหรับเราทั้งหลาย" 20 และซามูเอลกล่าวแก่ประชาชนว่า "อย่ากลัวเลย ท่านทั้งหลายได้กระทำความชั่วนี้ทั้งสิ้นจริงๆแล้ว แต่ท่านทั้งหลายอย่าหันไปเสียจากการติดตามพระเจ้า แต่จง ปรนนิบัติพระเจ้าด้วยสิ้นสุดใจของท่าน 21 และอย่าหันเหไปติด ตามสิ่งอนิจจังซึ่งไม่เป็นประโยชน์ หรือไม่ช่วยให้พ้นเพราะเป็น สิ่งอนิจจัง 22 เพราะพระเจ้าจะไม่ละทิ้งประชากรของพระองค์ ด้วยเห็นแก่พระนามใหญ่ยิ่งของพระองค์ เพราะพระเจ้าทรงพอ พระทัยแล้วที่จะกระทำให้ท่านเป็นประชากรของพระองค์ 23 ยิ่งกว่านั้นส่วนข้าพเจ้าขออย่าให้มีวี่แววที่ข้าพเจ้าจะกระทำบาป ต่อพระเจ้าด้วยการหยุดอธิษฐานเพื่อท่านทั้งหลาย แต่ข้าพเจ้า จะแนะนำทางที่ดีและที่ถูกให้ท่าน 24 จงยำเกรงพระเจ้าเท่านั้น ปรนนิบัติพระองค์ด้วยใจซื่อสัตย์สุจริต และด้วยสิ้นสุดใจของท่าน จงพิเคราะห์ถึงมหกิจซึ่งพระองค์ได้ทรงกระทำแก่ท่านแล้วนั้น 25 แต่ถ้าท่านทั้งหลายขืนกระทำความชั่วอยู่ ท่านจะต้องพินาศ ทั้งตัวท่านทั้งหลายเองและ พระราชาของ ท่านด้วย" (1 ซามูเอล 12:14-25)

ท้ายสุดนี้ ชนชาติอิสราเอลได้รับเลือกจากพระเจ้าให้เป็น "อาณาจักรปุโรหิต" (อพยพ 19:6) แต่การดำเนินในฐานะ"บุตรของพระเจ้า"เป็นไปได้ไม่นาน เพราะขาดการเชื่อ ฟัง (ดูอพยพ 4:23) ต่อมากษัตริย์ของอิสราเอลต้องดำเนินในฐานะ "บุตรของพระ เจ้า" ปกครองประเทศชาติ (ดู 2 ซามูเอล 7:14; สดุดี 2:4-9) แต่ที่สุดแล้ว มีเพียง "กษัตริย์" ที่สมบูรณ์แบบเพียงองค์เดียว "บุตรของพระเจ้า" ที่ทำให้เราหลุดพ้นจาก ความบาปและสามารถครอบครองร่วมกับพระองค์ (ยอห์น 1:12; โรม 8:14-25).

ซาอูลไม่เป็นเพียงภาพพจน์ของอิสราเอลเท่านั้น ท่านเป็นตัวอย่างของความวิบัติที่อาจ เกิดขึ้นกับเราๆทั้งหลายได้ คนที่ปรารถนาจะเรียนรู้น้ำพระทัยและตั้งใจทำตามจะมีความ เข้าใจเรื่องนี้ เพราะพระองค์จะเผยให้ทราบ (ดูยอห์น 7:17) แต่ถ้าเราดื้อดึงกบฎต่อ พระองค์ พระองค์จะไม่ทรงฟังคำอธิษฐานของเรา จะไม่ทรงเปิดเผยพระองค์ และน้ำ พระทัยให้ปรากฎ (พระองค์จะไม่ "โยนใขุ่มุกให้พวกหมู" ดูสดุดี 68:18; ยอห์น 2:23-25; มาระโก 4:20-25ด้วย) และบรรดาผู้ที่ต่อต้าน ไม่ยอมทำตามน้ำพระทัยและ พระคำของพระองค์ (ซึ่งยากที่จะแยกแยะออก) จะมองหาหลักคำสอนอื่นที่ดูคล้ายกับ หลักของ "คริสเตียน" แต่ไม่ใช่ มาทดแทน (ดู 2 ทิโมธี 3:1-13; 4:1-4).

ผมเชื่อว่า คนบางคนเป็นพวก "กู่ไม่กลับ" และบางครั้งพระเจ้าก็มาถึงจุดที่หยุดลงโทษ คนบาป แต่กลับทำให้ใจกลับแข็งกระด้างขึ้น เพราะเขาปฏิเสธไม่ยอมรับพระกิตติคุณ บางครั้งมนุษย์ก็มาถึงจุดที่เราเรียกว่า สายเกินแก้ บรรดาคนที่หลงงมงายอยู่ในความ บาปและปฏิเสธพระคุณ โดยคิดว่ายังไงๆพระเจ้าก็ทรงมี"พระเมตตา"อยู่เสมอนั้น ผมขอ บอกว่าคิดผิดครับ

1 ในเมื่อเราทำงานร่วมกับพระคริสต์แล้ว เราจึงขอ วิงวอนท่านว่า อย่าสักแต่รับพระคุณของพระเจ้าเท่า นั้น 2 เพราะพระองค์ตรัสว่า ในเวลาอันชอบเราได้ ฟังเจ้าในวันแห่งความรอดเราได้ช่วยเจ้า นี่แน่ะ บัดนี้เป็นเวลาอันชอบ นี่แน่ะ บัดนี้เป็นวันแห่งความ รอด (2 โครินธ์ 6:1-2)

ผมคิดว่าคริสเตียนบางคนที่อยู่ในความกบฎดื้อดึงวันหนึ่งจะมาถึงเมื่อ "สายเกินแก้" ไม่ได้หมายความว่าคนเช่นนี้จะสูญเสียความรอด แต่พวกเขาจะสูญเสีย "ความยินดี" ในความรอด พวกเขาอาจสูญเสียความมั่นใจในความรอด แน่นอนพวกเขาสูญเสียความ สัมพันธ์ที่ติดสนิทและการสามัคคีธรรมที่ควรมีกับพระคริสต์และคริสตจักรของพระองค์ อาจถึงสูญเสียชีวิตเช่นเดียวกับซาอูล (ดู 1 โครินธ์ 5:1-5; 1 ทิโมธี 1:18-20; 1 ยอห์น 5:13-17)

แม้ฟังดูไม่ค่อยดี ผมว่าเราทั้งหลายอาจเป็นเหมือนซาอูลอย่างที่เรานึกไม่ถึง เราทุก คนมี "ซาอูล" อยู่ในตัวเรา และนี่คือเหตุที่เราต้องติดสนิทกับพระคริสต์และพระวจนะ อยู่เสมอ นี่คือเหตุที่เราต้องอธิษฐานขอการเสริมกำลังเพื่อจะไม่ต้องตกอยู่ในการทด ลอง และนี่คือเหตุที่ทำให้เราต้อง "ไม่ละทิ้งการประชุม " และคำหนุนใจจากพี่น้อง คริสเตียน และต้องระมัดระวังไม่ให้ตกอยู่ในความบาปที่เรายังอยากฝ่าฝืนทำอยู่เรื่อยๆ (ฮีบรู 10:19-31).

เราเห็นแล้วว่าบทเรียนตอนนี้ไม่ใช่เป็นเรื่องนิทาน ซาอูลไม่ได้จบชีวิตลงอย่าง "แฮปปี้ เอ็นดิ้ง" เหมือนพระเอกในนิทาน เช่นเดียวกับคนที่ไม่เชื่อฟังพระเจ้า ให้เราตื่นขึ้นเถิด และถ่อมลงด้วยบทเรียนจากซาอูล ให้เรายอมรับในความอ่อนแอ และวางใจทั้งหมด ของเราไว้ในพระองค์


142 เมื่อย้อนรอยประวัติศาสตร์ในรัชสมัยของซาอูล เราจะเห็นว่ามีการเผชิญหน้ากับพวก ฟิลิสเตียตลอดพระธรรม 1 ซามูเอล ดังนั้นถ้าดูจากประสบการณ์เดิมจึงไม่น่าแปลกที่ครั้งนี้ ซาอูลจะรู้สึกแย่เอามากๆ ถึงแม้ซาอูลจะถูกตั้งให้เป็นกษัตริย์เพื่อช่วยกู้ชาวอิสราเอลจากพวก ฟิลิสเตีย (9:16) ชัยชนะของท่านไม่มีอะไรเด่นชัดหรือเด็ดขาดสักที ในบทที่ 13 โยนาธาน เป็นผู้เร่งเร้าให้เกิดสงครามใหญ่ระหว่างฟิลิสเตียและอิสราเอล โดยบุกไปโจมตีกองทหารที่ เกบาห์ (13:3) ซาอูลกลับไม่กล้า ดังนั้นคนที่ท่านรวบรวมมาต่อสู้จึงหลบหนีหายไปจนเกือบ หมด โยนาธานไปโจมตีฟิลิสเตียอีกครั้งและได้รับชัยชนะ เพราะพระเจ้าทรงบันดาลให้เกิดแผ่น ดินไหว (14:15) ในระหว่างการไล่ตามพวกฟิลิสเตียไป ผลจากการออกคำสั่งโง่ๆของซาอูล ทำ ให้้อิสราเอลไม่ชนะอย่างเด็ดขาดและโยนาธานเกือบต้องตาย ในขณะที่โยนาธานออกเดินหน้า ไปรบกับฟิลิสเตียนั้น ดาวิดก็เช่นกัน การที่ท่านเอาชนะโกลิอัทและพวกฟิลิสเตียได้นั้นทำให้ท่าน มีชื่อเสียงเกินหน้าซาอูล รวมแล้วก็คือซาอูลไม่เคยจัดการกับพวกฟิลิสเตียได้อย่างเด็ดขาด จึง ทำให้เข้าใจได้ว่าทำไมท่านจึงกลัวนักในครั้งนี้

143 ลองเปรียบเทียบกับดาวิดดู (ดู 1 ซามูเอล 22:10, 15).

144 ทำให้เราทราบว่าหญิงคนทรงนี้ "เห็น" ซามูเอล แต่ซาอูลไม่เห็น ไม่ยังงั้นนางคงไม่ต้อง อธิบายกับซาอูลถึงลักษณะของซามูเอล ถึงแม้ซาอูลจะได้พูดจากับซามูเอล แต่ไม่มีการบ่งชัด ว่าท่าน "เห็น" ตัวซามูเอล

145 น่าคิดนะครับว่าซาอูลไม่ต้องถามว่า "คนอื่น" นั้นคือใคร? ดาวิดหรือ?

146 จากหนังสือของ Dale Ralph Davis, Looking on the Heart: Expositions of the Book of 1 Samuel (Grand Rapids: Baker Books, 1994), vol. 2, pp. 147-157.

147 ผมใช้คำว่าเครื่องเผาบูชาเป็นคำเอกพจน์ในภาษาอังกฤษ เพราะซามูเอลมาถึงในขณะที่ ซาอูลกำลังเผาเครื่องถวายบูชา ไม่เช่นนั้นซาอูลคงเผาเครื่องถวายบูชาศานติต่อไปด้วย (ดู 13:9-10).

148 เป็นไปได้ที่ซามูเอลสั่งให้ซาอูลกำจัดพ่อมด หมอผี คนทรง ออกไปจากแผ่นดิน เหมือนกับ ที่สั่งให้กำจัดคนอามาเลขให้หมดสิ้น

149 เปรียบเทียบกับ อิสยาห์ 6; 29:10; เยเรมีย์ 21; เอเสเคียล 14, 20

Related Topics: Introductions, Arguments, Outlines

บทที่ 28: จากโศกนาฏกรรมมาเป็นชัยชนะ (1 ซามูเอล 30:1-31)

คำนำ

ผมกำลังนึกถึงเรื่องราวในหนังสือที่น่าสนใจมากเล่มหนึ่งชื่อ เขตกักกันชานตุง เขียน โดยแลงก์ดอน กิลคีย์ เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับผลกระทบที่เกิดขึ้นกับคนที่ถูกขังอยู่ในเขต กักกันชานตุง โบสถ์เก่าๆที่ใช้สำหรับการนี้นับเป็นสถานที่ๆไม่เหมาะสมที่สุด ในสมัย ที่ญี่ปุ่นเข้ามายึดประเทศจีนในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ชาวตะวันตกทั้งหลายที่ อาศัยอยู่ในเมืองจีนถูกนำมากักขังไว้ที่นี่ มีทั้งนักธุรกิจ นักการเมือง ครูบาอาจารย์ หมอ สอนศาสนา ฯลฯ ทุกคนถูกนำมากักตัวไว้ในสถานที่ๆต่ำกว่ามาตรฐานการอยู่อาศัย ไม่ ถึงกับเป็นคุกขี้ไก่ของทหารหรอกครับ แต่น่าจะประมาณพอๆกับคุกชั้นเลวทั่วไป สภาพ ของค่ายกักกันชานตุงทำให้เห็นส่วนที่เลวที่สุด และดีที่สุดของผู้คนได้ ผู้เขียนเป็นหนึ่ง ในจำนวนผู้ถูกกักขังในค่ายนี้

เมื่อเวลาคริสต์มาสมาถึง จะมีรถของหน่วยกาชาดมาแจกถุงยังชีพให้กับผู้ที่ถูกขังอยู่ ในสถานกักกันชานตุง เราอาจคิดว่าการไปแจกถุงยังชีพนี้เป็นเรื่องง่ายๆ แค่เพียงหาร จำนวนของถุงด้วยจำนวนคนที่อยู่ในค่าย ถ้ามีคนอยู่ 600 คน และมีถุงยังชีพอยู่ 1200 ถุง ผู้ถูกกักกันก็จะได้รับไปคนละ 2 ถุงเท่าๆกัน งานง่ายๆที่ "ไม่ต้องใช้สมอง"นี้กลับเป็น ปัญหา คุณรู้มั้ย คนอเมริกันบางคนชี้ให้เห็นว่า ในเมื่่อถุงยังชีพนี้มาจาก หน่วยอาสา กาชาดของอเมริกา ก็แปลว่าทำมาให้คนอเมริกันเท่านั้น พวกเขาถกเถียงกันเองว่าถุง ยังชีพนี้ควรหารแบ่งให้กับคนอเมริกันพวกเดียวเท่านั้น และถ้าใครใจดีอยากปันส่วน ของตนให้กับผู้อื่น ก็ให้แบ่งไปจากส่วนที่ตนได้รับ

เหตุการณ์บางอย่างที่คล้ายกันนี้เกิดขึ้นใน 1 ซามูเอลบทที่ 30 เนื้อหาของบทที่ 30 นี้ ศิกลาก กวาดต้อนเอาภรรยาและลูกๆรวมทั้งทรัพย์สิ่งของไปสิ้น มีคนชี้ทางให้ไปที่ค่าย ของกองโจรนี้ และพวกเขาก็ปราบมันลงอย่างราบคาบ และนำทุกสิ่งที่สูญไปกลับคืนมา และยังได้สิ่งของที่คนพวกนี้ริบมาจากอิสราเอลและหัวเมืองฟิลิสเตียแถมอีก บางคนใน กองทหารของดาวิดไม่ยอมแบ่งส่วนของตนเองให้กับอีก 200 คนทีคอยเฝ้ากองสัม ภาระอยู่เบื้องหลัง

มีบทเรียนมากมายจากพระธรรมตอนนี้ เรื่องที่ดูเผินๆในตอนแรกเหมือนเป็นเรื่องที่ "อยู่ ห่างไกลไม่น่าเกี่ยวข้องอะไรกับเรา" แต่ที่จริงแล้วเกี่ยวข้องกับการใช้ชีวิตประจำวันของ เราโดยตรง ผมเทศนาพระธรรมตอนนี้ในวันอาทิตย์อีสเตอร์ ผมแน่ใจว่าพวกคุณคงนึกว่า ทำไมไม่เทศน์เกี่ยวกับเรื่องราววันอีสเตอร์ล่ะ ขอตอบว่าเนื้อหาตอนนี้เป็นเรื่องราวของ วันอีสเตอร์ครับ ที่จริงผมกล้าพูดได้ว่ายังมีเรื่องราวอื่นๆอีกที่มากกว่าวันอีสเตอร์ คงมี บางคนสงสัยอยู่ ผมขอให้เปิดใจกว้างให้พระวิญญาณนำให้คุณเรียนรู้ว่าพระเจ้าต้อง การสอนในสิ่งใด

ฉากเหตุการณ์
(30:1-6ก)

1 อยู่มาในวันที่สามเมื่อดาวิดกับคนของท่านมาถึงเมืองศิกลาก ปรากฏว่าคนอามาเลขได้มาปล้นเนเกบกับปล้นศิกลากแล้ว เขา ชนะศิกลากและเผาเสียด้วยไฟ 2 และจับผู้หญิงกับทุกคนที่อยู่ใน นั้นไปเป็นเชลยทั้งเด็กและผู้ใหญ่ ไม่ได้ฆ่าผู้ใดเลยแต่กวาดต้อน ไปตามทางของเขา 3 เมื่อดาวิดกับคนของท่านมาที่ตัวเมืองก็เห็น ว่าเมืองนั้นถูกเผาด้วยไฟ และภรรยากับบุตรชายบุตรหญิงของเขา ก็ถูกกวาดไปเป็นเชลย 4 แล้วดาวิดกับประชาชนที่อยู่กับท่านก็ ร้องไห้เสียงดังจนเขาไม่มีกำลังจะร้องไห้อีก 5 อาหิโนอัมชาว ยิสเรเอล และอาบีกายิลแม่ม่ายของนาบาลชาวคารเมล ภรรยา ทั้งสองของดาวิดก็ถูกกวาดไปเป็นเชลยด้วย 6 และดาวิดก็เป็น ทุกข์หนักเพราะประชาชนพูดกันว่า จะขว้างท่านเสียด้วยก้อน หินด้วยจิตใจของประชาชนต่างก็ขมขื่นมาก เพราะบุตรชายและ บุตรหญิงของเขา

ข่าวเรื่องฟิลิสเตียจะยกทัพขึ้นเหนือไปบุกขยี้อิสราเอลแพร่สะพัดไปอย่างรวดเร็ว พวกอามาเลข ที่ทำมาหากิน (คนละแบบกับดาวิด) ด้วยการปล้นสะดมภ์ตามหัวเมืองฟิลิสเตียและเมืองทางใต้ ของอิสราเอล ถือว่าเป็นข่าวดี เพราะคนวัยฉกรรจ์ทั้งหลายต้องไปสงคราม มีเหลืออยู่เพื่อคอย ปกป้องอิสราเอลไม่กี่คน160 รวมทั้งหัวเมืองต่างๆของฟิลิสเตียและศิกลากด้วย ในขณะที่ดาวิด และคนของท่านเดินให้ตรวจกำลังพลอยู่ในกองทหารฟิลิสเตียนั้น (29:2) พวกอามาเลขก็มา ปล้นศิกลาก โจรพวกนี้ปล้นเอาฝูงสัตว์ ทรัพย์สิน และลักพาบรรดาภรรยาและบุตรไป แล้วเผา เมืองจนหมดสิ้น

เมื่อดาวิดและคนของท่านเดินทางไปเกือบถึงศิกลาก พวกเขาตระหนกสุดขีดที่เห็นเมือง ถูกทำลายหมดสิ้น คนในครอบครัวถูกจับไปเป็นเชลย ไม่มีใครถูกฆ่า แต่สิ่งมีชีวิตทั้ง หมดหายไป อย่างน้อยพวกเขายังอุ่นใจที่รู้ว่าครอบครัวยังมีชีวิตอยู่ ทุกคนคิดไปต่างๆ นาๆว่าเกิดสิ่งใดขึ้น (หรือจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป) กับภรรยาและบุตรของพวกเขา อย่างดี ที่สุดพวกเขาอาจต้องไปเป็นทาส ถูกใช้งานหนักและถูกข่มขู่บีบบังคับ แต่ที่ร้ายที่สุด … . .และไม่มีใครอยากพูดถึง ภรรยาดาวิดทั้งสองคนถูกจับตัวไปด้วย

นักรบทั้ง 600 คนนี้เป็นทุกข์หนักกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับบ้านเมืองและครอบครัว พวกเขา ร้องไห้คร่ำครวญจนสิ้นเรี่ยวแรง แล้วพวกเขาก็เริ่มย้อนคิดว่าทำไมจึงมีเหตุการณ์เช่นนี้ เกิดขึ้น การอพยพมาอยู่ที่ฟิลิสเตียนี้เป็นแผนการของดาวิด (27:1-4); ดาวิดเป็นผู้จัด การให้พวกเขามาอยู่ทีหัวเมืองไกลอย่างศิกลาก (27:5-6) และดาวิดเป็นผู้นำพวกเขา ให้ไปร่วมรบกับพวกฟิลิสเตีย ทิ้งบ้านช่องครอบครัวให้อยู่ตามลำพัง ช่วยเหลือตนเอง ไม่ได้ จนถูกเข้าปล้น บางคนโกรธจัดจนถึงวางแผนจะเอาหินทุ่มดาวิดให้ตาย

ล่าอย่างร้อนรุ่ม; ร่องรอยเริ่มจางลง
(30:6ข-10)

แต่ดาวิดก็มีกำลังขึ้นในพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่าน161 7 ดาวิดจึง พูดกับอาบียาธาร์ ปุโรหิตบุตรของอาหิเมเลคว่า "ขอนำเอโฟดมาให้ ข้าพเจ้า" อาบียาธาร์ก็นำเอโฟดมาให้ดาวิด 8 และดาวิดทูลถามพระ เจ้าว่า "สมควรที่ข้าพระองค์จะติดตามกองปล้นนี้หรือ ข้าพระองค์จะ ขับทันเขาหรือ" พระองค์ตอบท่านว่า "จงติดตามเถิด เจ้าจะไปทัน เขาแน่ และจะช่วยได้แน่" 9 ดาวิดก็ยกออกติดตามพร้อมกับคนที่อยู่ กับท่านหกร้อยนั้น และเขามาถึงลำธารเบโสร์ คนที่ล้าหลังก็พักอยู่ ที่นั่น 10 แต่ดาวิดติดตามต่อไป ทั้งตัวท่านและคนสี่ร้อย สองร้อยที่ อ่อนเพลียเกินที่จะข้ามลำธารเบโสร์ก็หยุดพักอยู่

อย่างที่คุณดาวิสชี้ให้เห็น ตั้งแต่บทที่ 23 เป็นต้นมา ดาวิดไม่เคยแสวงหาน้ำพระทัย ของพระเจ้าด้วยเอโฟด และจากบทที่ 26 ท่านไม่เคยเอ่ยถึงพระผู้เป็นเจ้า162 และ ในกรณีนี้ ความวิบัติที่เกิดขึ้นทำให้ดาวิดกลับใจมาหาพระเจ้า พระธรรมตอนนี้จึงเป็น ช่วงเวลาที่ดีที่สุดของดาวิด ดาวิดเข้มแข็งขึ้นในพระเจ้าก่อน จึงค่อยแสวงหาการทรงนำ เกี่ยวกับครอบครัวที่ถูกลักพาตัวไป ดาวิดทูลขอให้พระเจ้าเปิดเผยว่าท่านสมควรออก ไปติดตามคนที่มาปล้นเอาครอบครัวท่านไปหรือไม่ และถ้าตามเจอ จะชนะได้หรือไม่? คำตอบคือ "ได้ !" พระเจ้าให้ความมั่นใจกับดาวิดว่า ท่านไม่เพียงแต่จะเอาชนะได้เท่า นั้น แต่จะได้ของที่เสียไปทุกอย่างกลับคืนมา

เราต้องไม่ลืมนึกถึงสภาพร่างกายและจิตใจของคนเหล่านี้ว่าเป็นเช่นไร พวกเขาพึ่งเดิน ทางไกลเป็น 100 กม.กลับมาจากอาเฟก อย่างไม่ต้องสงสัย คงรีบจ้ำกลับมา เพราะ หวังจะพักผ่อนให้เต็มที่เมื่อมาถึงศิกลาก แต่กลับมาพบว่าคนที่พวกเขารักถูกจับไป ฝูงสัตว์ถูกขโมยไป และเมืองทั้งเมืองวอดวายไปในกองไฟ พวกเขาร้องไห้จนหมดแรง (ข้อ 4) แล้วตอนนี้ต้องรีบออกไปติดตามพวกปล้นอีก พวกปล้นคงไปไกลแล้ว ร่องรอย ก็เริ่มตามยากขึ้น พวกเขาอาจหนีเข้าไปในถิ่นทุรกันดาร ถ้าจะ่รีบไปช่วย ดาวิดและคน ของท่านต้องรีบโดยด่วน

ผมจินตนาการว่าดาวิดและคนของท่านรีบเร่งเป็นสองเท่า เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วแถม อากาศก็ร้อน ทุกคนเริ่มอ่อนเพลีย และเมื่อมาถึงลำธารเบโสร์ หนึ่งในสามไปต่อไม่ไหว ถึงแม้มีแรงดึงดูดมากมาย – ครอบครัวตกอยู่ในอันตราย ต้องรีบไปช่วยอย่างเร่งด่วน – แต่พวกเขาไม่มีกำลังเหลืออยู่ สองร้อยคนหมดแรงลงที่ลำธาร ไม่สามารถฝืนไปต่อได้ ถึงแม้ไปต่อก็จะดึงให้ทั้งขบวนต้องล่าช้า ดาวิดและคนที่เหลืออีก 400 ตัดสินใจไปต่อ ทิ้งสัมภาระไว้กับ 200 คน เพื่อจะได้ไปได้เร็วขึ้น และไม่สูญเสียกำลัง

ชายที่ถูกทิ้งให้ตาย
ต่อชีวิตในการตามล่าให้กับดาวิด
(30:11-15)

11 เขาทั้งหลายพบชาวอียิปต์คนหนึ่งอยู่ที่กลางแจ้ง จึงนำเขา มาหาดาวิด ให้ขนมปังและเขาก็รับประทานและให้น้ำเขาดื่ม 12 และให้ขนมมะเดื่อแผ่นหนึ่งกับช่อองุ่นแห้งสองช่อ เมื่อเขา รับประทานแล้ว จิตใจของเขาก็ฟื้นขึ้น เพราะเขาไม่ได้รับประทาน ขนมปังหรือดื่มน้ำมาสามวันสามคืนแล้ว 13 และดาวิดถามเขาว่า "เจ้าเป็นคนพวกไหน และเจ้ามาจากไหน" เขาตอบว่า "ข้าพเจ้า เป็นคนหนุ่มชาวอียิปต์ เป็นคนใช้ของคนอามาเลข คนหนึ่ง เมื่อสามวันมาแล้วข้าพเจ้าป่วยนายข้าพเจ้าจึงทิ้งข้าพเจ้าไว้ 14 เรามาปล้นที่ถิ่นใต้ของคนเคเรธี และปล้นที่ส่วนของยูดาห์ และที่ถิ่นใต้ของคาเลบ และเราเผาเมืองศิกลากเสียด้วยไฟ" 15 ดาวิดถามเขาว่า "เจ้าจะพาเราลงไปถึงกองปล้นนี้หรือไม่" เขาตอบว่า "ขอปฏิญาณแก่ข้าพเจ้าในพระนามของพระเจ้าว่า จะไม่ฆ่าข้าพเจ้า และท่านจะไม่มอบข้าพเจ้าไว้ในมือนายของ ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจึงจะพาท่านไปที่กองปล้นนั้น"

การสะกดรอยนั้นเริ่มไม่ชัด ดูเหมือนดาวิดและคนของท่านไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพวกปล้นเป็น พวกใด (พวกเรารู้ตั้งแต่ข้อ 1 แต่ดาวิดและคนของท่านได้ข้อมูลในข้อ 13-14) ดาวิด และคนของท่านคงไม่แน่ใจในทิศทางสะกดรอย ในขณะเข้าที่คับขัน พวกเขา "บัง เอิญ" พบชายคนหนึ่งนอนรอความตายอยู่ในที่แจ้ง ชายคนนั้นหมดแรงไม่สามารถพูด ได้ บางคนคิดว่า "เสียเวลาเปล่า" ที่จะหยุดช่วย อาจเป็นเพราะความสงสาร (ดาวิด เป็นเหมือนชาวสะมาเรียใจดี) สิ่งที่ท่านทำกลับได้ผลตอบแทนมหาศาล เพียงใช้แค่ ขนมปังและน้ำ ผลมะเดื่อและช่อองุ่นแห้ง ก็ทำให้ชายผู้นี้ฟื้นกลับขึ้นมาหลังจากอด อาหารอดน้ำมาสามวันสามคืน

เมื่อชายคนนี้มีแรงพอที่จะพูด ดาวิดเริ่มสอบถาม คำตอบที่ได้จากชายคนนี้ชุบชูจิตใจ ของทั้งดาวิดและคนของท่าน ชายคนนี้บอกว่าเขาเป็นคนอียิปต์ เป็นทาสของพวกอามา เลข เขาถูกเจ้านายทิ้งไว้เมื่อสามวันที่แล้วเพราะป่วย ทำให้การเดินทางล่าช้า เจ้านาย คิดว่าทิ้งให้ตายเอง โดยไม่มีน้ำและอาหาร เขาบอกดาวิดว่าเขาอยู่กับพวกอามาเลข พวกที่เข้าปล้นเมืองศิกลาก

ดาวิดถามหนุ่มคนนี้ว่าจะพาท่านไปที่ค่ายของพวกอามาเลขได้หรือไม่ ตามปกติ ผมคิด ว่าไม่มีทาง แต่เมื่อเจ้านายและคนอื่นๆจงใจทิ้งเขาไว้ให้ตาย เขาจึงอยากช่วยเพื่อเป็น การตอบแทน แต่ดาวิดต้องให้ความมั่นใจว่า เขาจะไม่ถูกฆ่า หรือถูกส่งกลับคืนให้กับผู้ เป็นนาย ทาสใกล้ตายคนนี้ให้ความหวังในการติดตามครอบครัวกลับคืนมาจากพวก อามาเลข

ช่วยได้สำเร็จ
(30:16-20)

16 เมื่อเขาพาท่านลงไปแล้ว ดูเถิด ก็พบเขาทั้งหลายแผ่กันอยู่เต็มดิน ไปหมด ต่างกินและดื่มและเต้นรำเพราะเขาริบได้ข้าว ของมากมาย มาจากแผ่นดินฟีลิสเตียและจากแผ่นดินยูดาห์ 17 และดาวิดก็ฆ่าฟัน เขาตั้งแต่โพล้เพล้จนถึงเวลาเย็นของวัน รุ่งขึ้น ไม่มีชายคนใดหนีรอด ไปได้สักคนเดียว เว้นแต่ชายสี่ร้อย คนซึ่งขี่อูฐหนีไป 18 ดาวิดได้สิ่ง ของต่างๆที่คนอามาเลขริบคืน มาทั้งหมด และดาวิดช่วยภรรยาทั้ง สองของท่านมาได้ 19 ไม่มีอะไรขาดจากท่านไปเลยไม่ว่าเล็กหรือใหญ่ บุตรชายหรือบุตร หญิง ในสิ่งที่ริบไปหรือสิ่งที่เขาเหล่านั้นเอาไป ดาวิด ได้คืนมาหมด 20 ดาวิดยังจับได้บรรดาฝูงแพะ แกะ ฝูงโค และเขา ไล่ต้อนฝูงสัตว์ไปข้างหน้า ท่านกล่าวว่า "นี่เป็นส่วนหนึ่งของดาวิดริบมา"

ไม่จำเป็นที่ต้องแกะรอยตามพวกนี้อีกต่อไป ต้องขอบคุณทาสอียิปต์ที่พวกเขาช่วยชีวิต เอาไว้ เพราะนำพวกเขามาจนถึงค่ายของพวกอามาเลข ดาวิดและคนของท่านมาถึง ค่าย ในขณะที่คนพวกนี้ไม่ทันระวังตัว เพราะคิดว่าพวกฟิลิสเตีย (รวมทั้งดาวิดและพวก) รวมถึงอิสราเอลด้วย อยู่ในสนามรบห่างไกลออกไปทางเหนือ ใครจะมาติดตามได้ ? พวกเขากำลังฉลองในชัยชนะ กำลังกินดื่มอย่างสนุกสนานด้วยผลที่ได้จากการปล้น พวกอามาเลขกำลัง "แผ่กันอยู่เต็มดินไปหมด" (ข้อ 16) ซึ่งก็แปลว่า อยู่กระจัดกระ จายไม่เป็นระเบียบ อยู่ในสภาพป้องกันตนเองไม่ได้ (ในหนังโคบาลตะวันตก เวลาพัก แรม เขาจะเอาเกวียนมาล้อมเป็นวง ถ้าถูกโจมตีพวกผู้หญิงและเด็กจะถูกกันให้อยู่วง ใน) ถ้าศัพท์ในเชิงรบพูดว่า "ตีให้แตกกระจาย แล้วเข้าชิงชัย" นั้นเป็นจริง คนพวกนี้ก็ กระจายอยู่แล้วโดยไม่ต้องตี แถมยังกินดื่มและเต้นรำกันอย่างเมามาย พูดง่ายๆก็คือ เมากันจนหัวทิ่ม แล้วจะไปรบได้อย่างไร

ถ้าที่นี่เป็นค่ายใหญ่ของพวกอามาเลข คงต้องมีคนมากมายกว่าพวกที่ออกไปปล้น163 ดาวิดและคนของท่านดูจะกระจ้อยร่อย แต่ว่าถ้าพวกอามาเลขเมาขนาดนี้ คงตกเป็น เหยื่อโดยง่าย ดาวิดและพรรคพวกจึงเข้าโจมตี มีการฆ่าฟันกันนานหลายชั่วโมง164 ไม่มีใครหนีรอดไปได้ ยกเว้นคน 400 คนที่ขี่อูฐหนีไป165 ทุกสิ่งและทุกชีวิตที่ถูก พวกอามาเลขยึดมาจากศิกลากถูกนำกลับมาได้หมด ดาวิดและคนของท่านไม่สูญอะไร ไปแม้แต่อย่างเดียว (ยกเว้นบ้านเรือนที่ถูกไฟเผาไปในศิกลาก) ภรรยาทั้งสองของดาวิด รอดมาได้อย่างปลอดภัย ผู้เขียนบันทึกไว้อย่างชัดเจนว่า ไม่มีสิ่งใดสูญเสียเลย ดาวิด นำกลับมาได้ทั้งหมด อย่างที่พระเจ้าตรัสไว้ พวกเขาจะชนะศัตรูและจะได้กลับคืนมา ทั้งหมด ไม่มีภาระกิจใดจะประสบความสำเร็จมากไปกว่านี้

แบ่งของที่ริบมาได้
หรือ
ชัยชนะที่เกิดปัญหา
(30:21-31)

21แล้วดาวิดกลับมายังคนสองร้อยผู้ที่อ่อนเพลียเกินที่จะตามดาวิดไป ซึ่งให้พักอยู่ที่ลำธารเบโสร์ และเขาก็ออกไปต้อนรับดาวิด และต้อนรับ ประชาชนที่อยู่กับท่าน เมื่อดาวิดเข้ามาใกล้ประชาชน ท่านก็คำนับเขา ทั้งหลาย 22 คนอธรรมและคนถ่อยทั้งสิ้น ในพวกพลที่ติดตามดาวิดไป จึงกล่าวว่า "เพราะเขาไม่ไปกับเรา เราจะไม่ให้สิ่งที่เรากู้มาได้แก่เขาเลย นอกจากให้ต่างคนมาพาภรรยาและบุตรของเขาไปก็แล้วกัน" 23 แต่ดาวิด กล่าวว่า "พี่น้องทั้งหลายของข้าพเจ้าเอ๋ย ท่านอย่าทำอย่างนั้นกับสิ่งซึ่ง พระเจ้าทรงมอบแก่เรา ผู้ได้ทรงพิทักษ์รักษาเราไว้และทรงมอบกองปล้น ซึ่งมาต่อสู้กับเราไว้ในมือของเรา 24 ในเรื่องนี้ใครจะฟังเสียงของท่าน เพราะคนที่ลงไปรบได้ส่วนแบ่งของเขาอย่างไร คนที่เฝ้ากองสัมภาระ อยู่ก็ควรได้ส่วนแบ่งอย่างนั้น ให้เขาทั้งหลายรับส่วนแบ่งเหมือนกัน" 25 ตั้งแต่นั้นเป็นต้นไป ดาวิดก็ตั้งข้อนี้ให้เป็นกฎเกณฑ์และกฎหมายแก่ อิสราเอลจนทุกวันนี้ 26 เมื่อดาวิดมาถึงเมืองศิกลากแล้ว ก็ส่งของที่ริบ ได้นั้นส่วนหนึ่งไปให้เพื่อน ซึ่งเป็นพวกผู้ใหญ่ในยูดาห์กล่าวว่า "นี่เป็นของ ขวัญฝากมาให้ท่านซึ่งเป็นส่วนของของริบจากศัตรูของพระเจ้า" 27 คือแก่ คนที่อยู่ในเบธเอลในราโมทที่เนเกบ ในยัททีร 28 ในอาโรเออร์ ในสิฟโมท ในเอชเทโมอา 29 ในราคาล ในหัวเมืองของคนเยราเมเอล ในหัวเมืองของ คนเคไนต์ 30 ในโฮเรมาห์ ในโบราชาน ในอาธาค 31 ในเฮโบรน คือให้ แก่ทุกตำบลที่ดาวิดกับคนของท่านได้เคยไปๆมาๆ

พวกเขาประสบชัยชนะแล้ว ทุกสิ่งที่สูญไปได้คืนมาทั้งหมด ที่จริงดาวิดและคนของท่าน ไม่เพียงแต่ได้ของของตนเองคืน ยังได้มากมายกว่านั้น พวกเขายังได้ของที่พวกอามา เลขปล้นมาจากหัวเมืองฟิลิสเตียและอิสราเอล ของที่ริบได้พวกนี้กลับสร้างปัญหาใหญ่ ให้กับดาวิด บางคนใน 400 ที่รบชนะอามาเลขไม่ยอมแบ่งของริบมาได้ให้กับ 200 คน ที่รออยู่กับกองสัมภาระ

ใน 400 คนที่ไปรบกับอามาเลขนี้มีเพียงบางพวกที่เป็นพวก"คนอธรรมและคนถ่อย" 166 ไม่ใช่ทั้ง 400 คนเป็น มีเพียงบางคน แต่คนอธรรมคนถ่อยเหล่านี้ดูเหมือนจะมีอำนาจต่อ รอง เหตุผลของพวกเขาคือ : คนที่ไปต่อสู้มีเพียง 400 คนเท่านั้น ; ที่เหลือ 200 คนไม่ ได้ไปช่วย หรือมีส่วนร่วมในชัยชนะครั้งนี้ ดังนั้น 200 คนที่ไม่ได้ไปควรได้คืนแค่ของที่ ตนเองเสียไปเท่านั้น ไม่ควรได้ของที่พวกอามาเลขริบมาจากฟิลิสเตียและอิสราเอล ของริบพวกนี้สมควรแบ่งกันภายใน 400 คนเท่านั้น167 สิ่งที่คนพวกนี้สรุปเอาเองเกี่ยว กับของแถมที่ริบมาได้ ตั้งอยู่ตามหลักเกณฑ์ที่พวกเขาตั้งขึ้นเองอย่างผิดๆว่า :

(1) พวกเขาคิดว่าของที่ริบมาได้เป็นของพวกเขา จะจัดการอย่างไรก็ได้ พวกเขาแสดง ให้เห็นชัดเจนว่าไม่ต้องการจะแบ่งของ "ของพวกเขา" ให้กับ 200 คนที่เหลือ

(2) พวกเขาคิดว่า 200 คนนี้ไม่มีส่วนในการต่อสู้ หรือมีส่วนร่วมในชัยชนะ เพียงเพราะ ไม่ได้ไปรบกับพวกอามาเลขพร้อมกับ 400 คนที่เหลือ168

(3) พวกเขาคิดไปว่าชัยชนะครั้งนี้เป็นชัยชนะของพวกเขา พวกเขาสมควรกับชัยชนะ และสมควรได้รับรางวัลตอบแทน

(4) คนพวกนี้ไม่ได้ขอมีส่วนแบ่งใหญ่จากของที่ริบมาได้ พวกเขาบังคับว่าต้องได้ พวก เขาไม่ได้เห็นแก่ความเป็นผู้นำของดาวิด พวกเขากำลังแย่งชิงกัน หรืออย่างน้อยก็กำลัง พยายามทำ

ดาวิดไม่ยอมให้คนถ่อยเหล่านี้ได้ตามต้องการ ท่านเป็นผู้เข้ามาจัดการกับการขู่บังคับ ของพวกเขาอย่างใจเย็น169 ท่านไม่ปล่อยให้คนพวกนี้ได้ตามอำเภอใจ แต่ในขณะ เดียวกัน แสดงให้พวกเขาเห็นว่าการทำเช่นนี้เป็นสิ่งไม่ถูกต้อง ให้เรามาดูเหตุผลที่ ดาวิดยกขึ้นมาอธิบาย

(1) พวกเขาไม่ได้หาของริบเหล่านี้มาได้เองตามที่คิดกัน ชัยชนะและของริบเป็นของ ประทานโดยพระคุณ (ที่ไม่สมควรได้รับ) จากพระเจ้า พระเจ้าเป็นผู้ประทานให้ทั้งชัย ชนะและของริบเหล่านี้ แล้วคนพวกนี้มาอ้างว่าเป็นของที่พวกเขาหามาเองได้อย่างไร ?

(2) ชัยชนะนี้เป็นความร่วมมือกันทั้งทีม และทั้งทีมมีมากกว่า 400 คน เมื่อดาวิดใช้คำ ว่าเรา ท่านหมายความชัดเจนว่า 600 คน ท่านกล่าวว่า "พระเจ้าทรงมอบแก่เรา" "แก่ 600 คน ไม่ใช่แก่ 400"

(3) คนของดาวิดทั้ง 600 คนเป็นพี่น้องกัน (ข้อ 23) ไม่ใช่เป็นคนใดคนหนึ่ง ; แต่เป็น พี่น้องกัน ทั้ง 600 คนนี้เป็นครอบครัวเดียวกัน เมื่อพวกปล้นชาวอามาเลขกลับไปที่ค่าย ทุกคนในค่ายเลี้ยงฉลองความสำเร็จ ทุกคนมีส่วนในของริบ แล้วคนของดาวิดจะทำ แตกต่างไปได้อย่างไร ?

(4) การสู้รบเป็นเรื่องของคนทั้งทีม ทุกคนมีส่วนในหน้าที่แตกต่างกันไป คน 200 ที่อยู่เบื้องหลัง ไม่ได้หมายความว่าไม่มีส่วนร่วม พวกเขาอยู่เฝ้ากองสัมภาระ (ผมเข้า ใจว่าเป็นสัมภาระของ 600 คน) เท่ากับพวกเขามีส่วนร่วมรบเหมือนกัน ชัยชนะเป็นของ ทุกคน ดังนั้นทุกคนจึงสมควรได้รับส่วนแบ่งในของริบเท่าๆกัน

ดาวิดไม่ยอมให้ "คนอธรรม คนถ่อย" เหล่านี้มาทำให้ชัยชนะที่พระเจ้าประทานให้ มัวหมอง ท่านจัดการให้ทุกคนได้รับส่วนแบ่งในของริบเท่าๆกันทั้ง 600 คน แต่ทั้ง 600 คนไม่ได้ของริบไปทั้งหมด ในข้อ 26-31 เราเห็นว่าดาวิดนำของริบที่ได้มาไปใช้ให้เกิด ประโยชน์ด้วยการแบ่งให้กับบรรดาหัวเมืองอิสราเอลที่ท่านและคนของท่านเคยไปๆมาๆ

หัวเมืองเหล่านี้คงเคยถูกพวกอามาเลขโจมตีและสูญเสียทรัพย์สินไป ในกรณีนี้ ของริบ บางอย่างอาจจะเคยเป็นของพวกเขามาก่อนก็เป็นได้

(1) หัวเมืองเหล่านี้ดาวิดและคนของท่านเคยไปๆมาๆ

(2) หัวเมืองเหล่านี้เป็นเมืองที่ดาวิดทำให้อาคีชเชื่อว่าท่านเคยไปปล้นด้วยตนเอง

(3) ผู้คนเหล่านี้บางคนเป็นพวกผู้ใหญ่ ; เป็นคนที่มีอิทธิพลอยู่พอสมควร

(4) บางคนเป็นเพื่อนของดาวิด

(5) หัวเมืองเหล่านี้เป็นของอิสราเอล ; ที่จริงเป็นเมืองในเขตยูดาห์ เป็นคนในเผ่า เดียวกันกับดาวิด

(6) ในไม่ช้านี้ ผู้คนที่เคยได้รับของขวัญจากดาวิดจะเป็นคนพวกแรกที่ต้อนรับดาวิด ในฐานะกษัตริย์องค์ใหม่

การตัดสินใจของดาวิดเกิดผลไปไกล ไกลเกินกว่าที่ท่านจะนึกถึงในตอนนี้ การตัดสิน ใจหลายครั้งของท่านเกิดผลมากเกินกว่าที่ท่านจะนึกออก ตัวอย่างเช่น ผลของการที่ ท่านหนีไปหลบภัยที่ในฟิลิสเตีย หรือสิ่งที่ท่านคาดไม่ถึงจากการที่ท่านออกไปสู้กับ โกลิอัทและได้ชัยชนะ ในช่วงเวลาที่ดุเดือดเช่นนี้ ดาวิดต้องตัดสินใจ ท่านจะปล่อย ให้พวกคนอธรรมคนถ่อยแบ่งของที่ริบมาได้ภายใน 400 คนหรือ? หรือท่านควรเข้ามา ทำให้ถูกต้อง ? ท่านเลือกที่จะจัดการให้ถูกต้อง และในสิ่งที่ท่านทำ ท่านได้ตั้งให้เป็น กฎเกณฑ์ เป็นกฎหมายที่ใช้ไปนานเกินกว่าชีวิตของท่าน ความดี ความชั่ว ที่เราเลือก ทำ จะเป็นตัวกำหนดอนาคตของเรา

บทสรุป

บทที่หนึ่ง : การจัดเตรียมของพระเจ้า การจัดเตรียมของพระเจ้าเป็นเรื่องน่าทึ่งครับ! เราเห็นได้บ่อยครั้งในพระธรรม 1 ซามูเอล โดยเฉพาะในตอนนี้ พระเจ้าทรงยื่นพระหัตถ์ "ที่เรามองไม่เห็น" เข้ามาในเหตุการณ์ต่างๆในชีวิตของเรา ทำให้เรามั่นใจว่าพระองค์จะ ทำพระประสงค์และพระสัญญาของพระองค์ให้สำเร็จ ดาวิดได้รับเลือกและได้รับการ เจิมตั้งให้เป็นกษัตริย์องค์ต่อไปของอิสราเอล พระเจ้าทรงปกป้องดาวิด ทรงจัดเตรียม ให้ท่านและคนของท่านด้วยหลายๆวิธีที่มหัศจรรย์ วิธีที่ไม่มีใครนึกออกในขณะที่เหตุ การณ์เกิดขึ้น เราอ่านพบว่าดาวิดเตรียมพร้อมและเต็มใจไปรบกับอาคีชและพวกผู้นำ ฟิลิสเตียอื่นๆ ท่านรู้สึกผิดหวังมากเมื่อถูกปฏิเสธโดยผู้นำทั้งสี่ และถูกส่งกลับบ้านไป ศิกลาก จากเหตุการณ์นี้ทำให้เราเห็นว่าดาวิดและคนของท่านสามารถไปโจมตีพวก อามาเลข และนำของที่ถูกปล้นทั้งหมดกลับคืนมาได้

พระเจ้าจัดเตรียมการทรงนำให้ดาวิดและคนของท่านโดยทางปุโรหิตและเอโฟด นำทาง พวกเขาไปยังที่พักของพวกปล้น ทำให้พวกเขามีชัยชนะและนำของที่ถูกปล้นไปกลับ คืนมาได้ทั้งหมด นอกเหนือจากการทรงนำนี้ พระเจ้าได้ให้มีทาสอียิปต์คนหนึ่งของชาว อามาเลขป่วย และถูกทิ้งไว้กลางทางให้ตาย เพื่อว่าดาวิดจะไปพบชายคนนี้ ช่วยชีวิต เอาไว้ แล้วชายคนนี้จะตอบแทนบุญคุณด้วยการนำไปยังค่ายของพวกอามาเลข

แต่เดี๋ยวก่อน; ยังมีอีก! ในการจัดเตรียมของพระเจ้า พวกอามาเลขดูจะมาปล้นที่ศิกลาก เป็นเมืองสุดท้าย พวกเขาไม่ได้ปล้นเฉพาะที่ศิกลากเท่านั้น แต่หัวเมืองต่างๆหลายแห่ง ทั้งของฟิลิสเตียและอิสราเอล ดาวิดและคนของท่านไม่เพียงแต่ได้ของที่ถูกริบไปคืน มาเท่านั้น แต่ของปล้นจากที่อื่นๆด้วย ดาวิดนำของเหล่านี้ไปแบ่งให้บรรดาหัวเมืองของ อิสราเอล ทำให้พี่น้องในเผ่าเดียวกันนิยมและนับถือในตัวท่าน ศิกลากถูกเผาวอดวาย ในกองเพลิง ทำให้เกิดการ "สูญเสีย" แต่การ "สูญเสีย" นี้เป็นเหตุให้ดาวิดต้องกลับ คืนสู่แผ่นดินยูดาห์เร็วขึ้น และทำให้ท่านได้เป็นกษัตริย์ของยูดาห์ พระเจ้าทรงช่วยคน ที่รักพระองค์ให้เกิดผลอันดีในทุกสิ่ง คือคนทั้งปวงที่พระองค์ได้ทรงเรียกตามพระประ สงค์ของพระองค์ (โรม 8:28)

บทที่สอง : หลักเกณฑ์ของพระคุณ เป็นหลักเกณฑ์ที่สำคัญที่สุด เป็นสิ่งที่ทำให้เรา ต้องนำมาย้อนคิดดู และปรับเปลี่ยนงานรับใช้ของเราในฐานะพระกายของพระคริสต์ ชัย ชนะของดาวิดและคนของท่าน แท้จริงเป็นชัยชนะของพระเจ้า มนุษย์มีส่วนร่วมเท่านั้น แต่แน่นอน ท้ายที่สุดเป็นชัยชนะของพระเจ้า มนุษย์ไม่สมควรแอบอ้าง (หรือได้รับราง วัล) ในสิ่งที่พระเจ้ากระทำ ประเด็นนี้ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ คุณยังจำที่เฮโรดให้ผู้คนสรรเสริญ เขาว่าเป็นเหมือนพระเจ้าได้หรือไม่? เขาถูกพระเจ้าทำลายและเสียชีวิต เพราะไม่ถวาย เกียรติแด่พระเจ้า (ดูกิจการ 12:20-23) พระเยซูสอนว่า "…ของซีซาร์ จงถวายแก่ ซีซาร์ และของของพระเจ้าจงถวายแด่พระเจ้า" (มัทธิว 22:21) เราไม่ควรอวดใน สิ่งที่เป็นของพระเจ้า แต่จงถวายสรรญเสริญแด่พระองค์ อ.เปาโลสอนหลักเกณฑ์ เดียวกันนี้ในเรื่องของประทานฝ่ายวิญญาณ และงานรับใช้ที่พระเจ้ามอบให้ทุกคนที่อยู่ ในพระกายของพระคริสต์:

ผู้ใดเล่ากระทำให้ท่านวิเศษกว่าคนอื่น ท่านมีอะไรที่ ท่านมิได้รับมา ก็เมื่อท่านได้รับมา เหตุไฉนท่านจึง โอ้อวดเหมือนกับว่าท่านมิได้รับเลย (1 โครินธ์ 4:7)

พระคุณหมายได้รับการอภัย ได้รับความรอด หรือได้รับพระพรที่เราไม่ได้หามาด้วยตัว เอง ที่เราต้องทำคือยอมรับการจัดเตรียมของพระเจ้าโดยพึ่งในพระคุณ แต่พระคุณยัง หมายความอีกว่าเมื่อเราได้รับในสิ่งที่เราไม่สมควรได้แล้ว เราต้องไม่โอ้อวดเป็นเหมือน ว่าเราสมควรได้รับ หลักเกณฑ์ของพระคุณคือมนุษย์ไม่สมควรแอบอ้างในสิ่งที่พระเจ้า เป็นผู้กระทำ

บทที่สาม : หลักเกณฑ์ในการทำงานเป็นกลุ่ม (ทำเป็นทีม - teamwork) ใน ขณะที่พระเจ้าเป็นผู้ประทานชัยชนะ ดาวิดและคนของท่านมีส่วนร่วมในการรบ พวกเขา ทุกคนมีส่วนในการต่อสู้ คน 200 คนที่อยู่ข้างหลังคอยเฝ้ากองสัมภาระ ถ้าพวกเขาติด ตามไป พวกเขาจะทำให้อีก 400 คนต้องล่าช้า เพราะความเหนื่อยอ่อนของพวกเขา ถ้า 200 คนนี้ไม่อยู่เฝ้ากองสัมภาระ ทั้ง 400 คนก็ต้องหอบหิ้วไปด้วยให้เป็นภาระ 200 คน ที่รออยู่ข้างหลังจึงทำหน้าที่อย่างดีให้กับทั้ง 600 และทุกๆคนใน 600 นี้มีส่วนร่วมให้ สำเร็จลง จึงเป็นผลงานของทั้งกลุ่ม

ที่คริสตจักรในเมืองโครินธ์ มีการแบ่งออกเป็นหลายกลุ่ม บางกลุ่มคิดว่าตนเองมีของ ประทานที่แตกต่าง และของประทานเหล่านี้พิเศษกว่าของคนอื่น พวกคนที่คิดว่าตน เองมีของประทานก็จะรู้สึกภาคภูมิใจและมีความสำคัญ จึงดูถูกคนที่มีของประทานที่ ด้อยกว่า และคนที่คิดว่าตนเองมีของประทานที่ด้อยกว่า เริ่มคิดว่าตนเองไม่มีคุณค่าอะ ไร บางทีไม่ได้เป็นส่วนในพระกายด้วยซ้ำไป (1 โครินธ์ 12) อ.เปาโลชี้ให้เห็นว่าของ ประทานทั้งสิ้นมาจากพระคุณ ไม่มีใครโอ้อวดได้ว่าตนเองได้รับสิ่งใดมา ท่านยังย้ำอีก ด้วยว่า ของประทานทุกอย่างมีส่วนสำคัญและจำเป็น คริสตจักรเป็นพระกายของพระ คริสต์ และสมาชิกทุกคนได้รับของประทานมากน้อยต่างกันเพื่อให้พระกายทำงานได้ อย่างสมบูรณ์ ทุกคนในพระกายต่างต้องพึ่งพาอาศัยกัน ไม่มีใครด้อยคุณค่า ทุกคนเป็น ส่วนหนึ่งของทีม การงานขององค์พระผู้เป็นเจ้า – การงานในพระกายของพระคริสต์ คือ คริสตจักร – จะสามารถดำเนินได้ก็ด้วยการทำงานของแต่ละส่วนในพระกาย ในทั้ง ทีม คนที่คิดว่าตนเองเป็นคนโดดเด่นคนเดียว คนนั้นคิดผิดครับ

บทที่สี่ : บทเรียนเกี่ยวกับเทศกาลอีสเตอร์ ในตอนแรกผมได้กล่าวไปแล้วว่าคำ เทศนาในวันนี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับวันอีสเตอร์ ให้เรามาดูว่าเนื้อหาของพระธรรมตอนนี้ เกี่ยวกันยังไง ? เป็นเพราะพระคัมภีร์ ไม่ว่าพระคัมภีร์เก่าหรือใหม่ เป็นเรื่องเกี่ยวกับ ความเชื่อ และความเชื่อตามพระคัมภีร์คือความเชื่อเรื่องการคืนพระชนม์

ธรรมิกชนในยุคพระคัมภีร์ใหม่ รากฐานสำคัญของความเชื่อคือเชื่อว่าองค์พระเยซู คริสต์ทรงคืนพระชนม์ เป็นเรื่องที่ขาดไปจากข่าวประเสริฐไม่ได้ เป็นเรื่องที่ต้องเชื่อ :

8แต่ความชอบธรรมนั้นว่าอย่างไร? ก็ว่า "ถ้อยคำนั้น อยู่ใกล้ท่าน อยู่ในปากของท่านและอยู่ในใจของ ท่าน" -- คือคำซึ่งก่อให้เกิดความเชื่อที่เราทั้งหลาย ประกาศอยู่นั้น 9 คือว่าถ้าท่านจะรับด้วยปากของท่าน ว่า พระเยซูทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า และเชื่อในจิต ใจว่า พระเจ้าได้ทรงชุบพระองค์ให้เป็นขึ้นมาจาก ความตาย ท่านจะรอด 10 ด้วยว่าความเชื่อด้วยใจก็นำ ไปสู่ความชอบธรรม และการยอมรับสัจจะของพระเจ้า ด้วยปากก็นำไปสู่ความรอด
(โรม 10:8-10; ดู 1 โครินธ์ 15:1)

เป็นความเชื่อว่า เราทั้งหลายจะเป็นเหมือนพระเยซู คือได้รับการชุบขึ้นมาจากความตาย

20 แต่ความจริงพระคริสต์ทรงถูกชุบให้เป็นขึ้นมาจาก ความตายแล้ว และทรงเป็นผลแรกในพวกคนทั้งหลาย ที่ได้ล่วงหลับไปแล้วนั้น 21 เพราะว่าความตายได้อุบัติ ขึ้นเพราะมนุษย์ผู้หนึ่งเป็นเหตุฉันใด การเป็นขึ้นมา จากความตายก็ได้อุบัติขึ้นเพราะมนุษย์ผู้หนึ่งเป็นเหตุ ฉันนั้น 22 เพราะว่าคนทั้งปวงต้องตายเกี่ยวเนื่องกับ อาดัมฉันใด คนทั้งปวงก็จะกลับได้ชีวิตเกี่ยวเนื่องกับ พระคริสต์ฉันนั้น 23 แต่ว่าจะเป็นไปตามลำดับ คือพระ คริสต์ทรงเป็นผลแรก แล้วภายหลังก็คือคนทั้งหลายที่ เป็นของพระคริสต์ ในเมื่อพระองค์เสด็จมา
(1 โครินธ์ 15:20-23)

เรารู้เรื่องต่างๆเหล่านี้ และเราเฉลิมฉลองกันทุกวันอีสเตอร์ ความเชื่อของคริสเตียนคือ เชื่อว่าจะฟื้นขึ้นมาจากความตาย เรารู้ว่าเรื่องนี้เป็นความจริงจากธรรมิกชนในยุคพระ คัมภีร์ใหม่ แต่ผมขอเตือนว่าความเชื่อของธรรมิกชนในยุคพระคัมภีร์เก่า ก็เป็นความเชื่อ เรื่องการคืนชีวิตเช่นกัน เรารู้สิ่งนี้เป็นจริงสำหรับอับราฮัม:

16 ด้วยเหตุนี้เอง การที่ได้รับมรดกนั้นจึงขึ้นอยู่กับความเชื่อ เพื่อจะ ได้เป็นตามพระคุณ เพื่อพระสัญญานั้นจะเป็นที่ไว้วางใจแก่ผู้สืบเชื้อ สายของท่านทุกคน มิใช่แก่ผู้สืบเชื้อสายที่ถือธรรมบัญญัติพวกเดียว แต่แก่บรรดาคนที่มีความเชื่อเช่นเดียวกับอับราฮัมผู้เป็นบิดาของพวก เรา 17 ตามที่มีคำเขียนไว้ในพระคัมภีร์ว่า เราได้ให้เจ้าเป็นบิดาของ มวลประชาชาติ ต่อพระพักตร์พระองค์ที่ท่านเชื่อ คือพระเจ้าผู้ทรง ให้คนที่ตายแล้วฟื้นชีวิตขึ้นมา และทรงเรียกสิ่งของที่ยังมิได้มีให้มีขึ้น 18 ฝ่ายอับราฮัมนั้น เมื่อไม่มีหวังซึ่งเป็นที่น่าไว้ใจก็ยังได้เชื่อไว้ใจ มี ความหวังว่าจะได้เป็นบิดาของหลายประชาชาติ ตามคำที่ได้ตรัสไว้ แล้วว่า "พงศ์พันธุ์ของเจ้าจะมากมายอย่างนั้น" 19 ความเชื่อของท่าน มิได้ลดน้อยลงเลย เมื่อท่านพิจารณาดูสังขารของท่านซึ่งเปรียบเหมือน ตายไปแล้ว เพราะท่านมีอายุประมาณร้อยปีแล้ว และเมื่อคำนึงถึงครรภ์ ของนางซาราห์ว่าเป็นหมัน 20 ท่านมิได้หวั่นไหวแคลงใจในพระสัญญา ของพระเจ้า แต่ท่านมีความเชื่อมั่นคงยิ่งขึ้น จึงถวายเกียรติแด่พระเจ้า 21 ท่านเชื่อมั่นว่า พระเจ้าทรงฤทธิ์ อาจกระทำให้สำเร็จได้ตามที่พระ องค์ตรัสสัญญาไว้ 22 ด้วยเหตุนี้เอง พระเจ้าทรงถือว่าความเชื่อของ ท่านเป็นความชอบธรรมของท่าน 23 แต่คำว่า "ทรงถือว่าเป็นความชอบ ธรรมของท่าน" นั้น มิได้เขียนไว้สำหรับท่านแต่ผู้เดียว 24 แต่สำหรับ พวกเราด้วย จะทรงถือว่าเราเป็นคนชอบธรรม คือเราที่เชื่อในพระองค์ ผู้ทรงให้พระเยซูเจ้าของเราให้ฟื้นขึ้นจากความตาย 25 คือพระเยซูผู้ ทรงถูกอายัดไว้ให้ถึงสิ้นพระชนม์แล้ว เพราะการล่วงละเมิดของเรา และได้ทรงฟื้นจากความตาย เพื่อให้เราเป็นคนชอบธรรม(โรม 4:16-25)

ผู้เขียนพระธรรมฮีบรูชี้ให้เราเห็นว่า เป็นความจริงสำหรับธรรมิกชนในยุคพระคัมภีร์เดิม ด้วย ธรรมิกชนในพระคัมภีร์เดิมได้รับความรอดโดยทางความเชื่อ ไม่ใช่โดยการกระทำ ดี --ความเชื่อเช่นนี้เป็นความเชื่อเรื่องการคืนชีพ :

13 คนเหล่านั้นได้ตายไปขณะที่มีความเชื่อเต็มที่ และไม่ได้รับ สิ่งที่ได้ทรงสัญญาไว้ แต่เขาก็ได้เห็นและได้เตรียมรับไว้ตั้งแต่ไกล และรู้ดีว่าเขาเป็นคนแปลกถิ่นที่ท่องเที่ยวไปในโลก 14 เพราะคนที่ พูดอย่างนี้ก็แสดงให้เห็นชัดแล้วว่า เขากำลังแสวงหาเมืองที่จะได้ เป็นของเขา 15 ถ้าเขาคิดถึงบ้านเมืองที่เขาจากมานั้น เขาก็คงจะมี โอกาสกลับไปได้ 16 แต่ความจริงเขาปรารถนาที่จะอยู่ในเมืองที่ประ

        เสริฐกว่านั้น คือเมืองสวรรค์ เหตุฉะนั้นพระเจ้าจึงมิได้ทรงละอาย เมื่อเขาเรียกพระองค์ว่าเป็นพระเจ้าของเขา เพราะพระองค์ได ทรง จัดเตรียมเมืองหนึ่งไว้สำหรับเขาแล้ว 17 เพราะอับราฮัมมีความเชื่อ ฉะนั้นเมื่อท่านถูกลองใจ ท่านจึงได้ถวายอิสอัคเป็นเครื่องบูชา และ ท่านซึ่งเป็นผู้ได้รับพระสัญญา ก็ได้พร้อมแล้วที่จะถวายบุตรคนเดียว

ของท่าน 18 คือบุตรที่มีพระดำรัสไว้ว่า เขาจะสืบเชื้อสายของเจ้า ทางอิสอัค 19 ท่านเชื่อว่าพระเจ้าทรงฤทธิ์สามารถชุบคนตายให้ ฟื้นได้ ฉะนั้นกล่าวโดยอุปมาได้ว่าท่านได้รับบุตรกลับคืนมา 20 เพราะอิสอัคมีความเชื่อ จึงได้ขอพรให้แก่ยาโคบและเอซาว สำหรับ เหตุการณ์ซึ่งจะเกิดขึ้นในภายหน้า 21 เพราะยาโคบมีความเชื่อ ฉะนั้น เมื่อจะตาย จึงได้อวยพรแก่บุตรทั้งสองของโยเซฟ และได้นมัสการพระ เจ้าเหนือหัวไม้เท้าของท่าน 22 เพราะโยเซฟมีความเชื่อเมื่อกำลังจะตาย จึงได้กล่าวถึงการอพยพของชาวอิสราเอล และสั่งเรื่องกระดูกของท่าน
(ฮีบรู 11:13-22)

จากยุคเริ่มต้นในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ พระเจ้าได้ทรงสำแดงพระองค์ว่าทรง เป็นพระเจ้าที่ประทานชีวิต เป็นพระเจ้าที่ชุบชีวิตมนุษย์ขึ้นมาจากความตาย :

(1) ในสองบทแรกของพระธรรมปฐมกาล เราพบเรื่องราวที่พระเจ้าทรงเนรมิตสร้างชีวิต

(2) เราเห็นว่าเรื่องการมีบุตรของอับราฮัมและนางซารายเป็นเรื่องที่ "เหมือนตาย" ไป แล้ว แต่พระเจ้าก็ประทานบุตรให้ (โรม 4:16-25) เมื่อพระเจ้าสั่งให้อับราฮัมนำบุตรมา เป็นเครื่องบูชาถวาย อับราฮัมยินยอมเชื่อฟัง ด้วยวางใจว่าพระเจ้าจะทรงชุบชีวิตเขา ขึ้นมาใหม่ (ฮีบรู 11:17-19).

(3) พี่ชายของโยเซฟเกลียดท่าน โยนท่านลงไปในบ่อ ตั้งใจจะฆ่าให้ตาย ท่านถูกตีค่า เท่ากับ "ศูนย์" แต่ด้วยการจัดเตรียม พระเจ้าได้ให้มีกลุ่มพ่อค้าชาวมีเดียนมาซื้อท่านไป เป็นทาส ดูเหมือนไม่มีความหวังเหลืออยู่เมื่อตกไปเป็นทาส ต่อมาท่านถูกจำคุก พระ เจ้าทรงชุบชีวิตที่เป็นศูนย์ของท่านขึ้นมา พระองค์ทรงชุบให้ท่านขึ้นมาเป็นถึงอันดับ สองรองจากอันดับสูงสุดของอียิปต์ (ดูปฐมกาล 37)

(4) ชาวอิสราเอลตกไปเป็นทาสของชาวอียิปต์ ชีวิตถูกบีบบังคับมากมาย ฟาโรห์ออก คำสั่งให้ฆ่าบุตรชายหัวปีของชาวฮีบรูทุกคน โดยโยนลงไปในแม่น้ำไนล์ให้จมน้ำตาย โมเสสก็เหมือนกับตายไปแล้ว แต่แล้วพระเจ้าได้ให้ธิดาของฟาโรห์นำท่านขึ้นมาจาก น้ำ ฝ่าฝืนคำสั่งของฟาโรห์ที่ให้ฆ่าบุตรหัวปีฮีบรูทุกคน จากทารกที่ได้รับการช่วยกู้นี้เอง พระเจ้าทรงช่วยกู้ชาวอิสราเอลทั้งชาติออกมาจากประเทศอียิปต์ และด้วยอำนาจที่ใช้ หมายจะฆ่าคนอิสราเอล กลับต้องจบชีวิตตนเองลงในทะเลแดง (อพยพ 1-15).

(5) ครั้งแล้วครั้งแล่า ศัตรูรอบด้านเข้ามายึดครองอิสราเอล และขู่จะทำให้ชนชาตินี้สูญ สิ้นไป ; แต่พระเจ้าทรงตั้งผู้วินิจฉัยขึ้นมาช่วยกู้ (ดูพระธรรมผู้วินิจฉัย)

(6) นางฮันนาห์เป็นหมันไม่มีบุตร ถึงแม้นางอยากมีบุตรมากมายเพียงใด : "นางเหมือน ไม่มีทาง" มีบุตรได้ แต่แล้วพระเจ้าประทานซามูเอลให้แก่นาง และประทานบุตร ธิดาคน อื่นๆอีก (1 ซามูเอล 1& 2)

(7) อิสราเอลทำสงครามกับพวกฟิลิสเตีย พวกเขานำหีบพันธสัญญาไปด้วย อิสราเอล พ่ายแพ้ บุตรทั้งสองของเอลีถูกฆ่าตาย เอลีเองก็ตาย รวมทั้งลูกสะใภ้ด้วย ผมดูจะได้ ยินคนอิสราเอลพึมพำว่า "เราตายแน่" แต่พระเจ้าก็ทรงชุบชนชาตินี้ขึ้นมาใหม่ พระองค์ ทรงทรมาณพวกฟิลิสเตีย ทำให้พวกเขาไม่เพียงแต่รีบส่งหีบแห่งพันธสัญญาคืนเท่านั้น แต่ส่งคืนมาพร้อมกับ "ดอกเบี้ยด้วย" (เช่นทองคำ; ดู 1 ซามูเอล 4-6)

(8) พวกอิสราเอลมาชุมนุมกันที่มิสปาห์เพื่อรื้อฟื้นความสัมพันธ์กับพระเจ้าขึ้นมาใหม่ ; พวกฟิลิสเตียพอรู้เรื่องการรวมตัวครั้งนี้ตกใจ คิดว่าจะเกิดสงคราม พวกเขารีบนำกอง ทัพใหญ่มาล้อมอิสราเอล ทหารฟิลิสเตียมีรถรบ และหอก แน่นอนคนอิสราเอลต้องคิด ว่า "เราตายแน่!" แต่พระเจ้าส่งพายุฝนฟ้ารองมา และพวกฟิลิสเตียก็พ่ายแพ้ (1 ซามู เอล 7)

(9) พวกฟิลิสเตียเข้ามายึดครองอิสราเอล โยนาธานยุแหย่ให้เกิดการต่อสู้ขึ้นโดยแอบ ไปโจมตีกองกำลังของฟิลิสเตีย ฟิลิสเตียส่งกองกำลังใหญ่เข้ามาหมายจะสั่งสอน อิสราเอลให้เข็ดหลาบ ซาอูลมีทหารเหลืออยู่เพียง 600 คน เพราะหนีกระจัดกระจาย ไปหมด ที่เหลือก็กำลังคิดหลบหนี ซาอูลคงพูดกับตนเองว่า "เราตายแน่" พระเจ้าทรง ใช้ความกล้าและความเชื่อของโยนาธานไปโจมตีฟิลิสเตีย แล้วพระองค์ทรงทำให้แผ่น ดินไหว ทำให้อิสราเอลมีชัยเหนือฟิลิสเตีย (1 ซามูเอล 13 และ14)

(10) พวกฟิลิสเตียยกทัพมาโจมตีอิสราเอลอีก โกลิอัทพูดจาดูหมิ่นคนอิสราเอลและ พระเจ้าของพวกเขา ซาอูลและคนของท่านกลัวแทบตาย ไม่มีใครกล้าไปสู้กับโกลิอัท อีกครั้งที่คนอิสราเอลคิดว่า "เราเสร็จแน่!" พระเจ้าส่งเด็กเลี้ยงแกะผู้มีความวางใจใน พระองค์ และไม่กลัวที่จะสู้กับโกลิอัท โดยทางดาวิดนี้เองที่พระเจ้าชุบชีวิตคนอิสรา เอลขึ้นมาใหม่ (1 ซามูเอล 17)

(11) ดาวิดและคนของท่านกำลังติดกับซาอูลที่บนภูเขาในถิ่นทุรกันดารมาโอน ซาอูล กับคนของท่านกำลังจะตะครุบดาวิดไว้ได้ เมื่อเราอ่านมาถึงตอนนี้ ช่วยไม่ได้ที่เราจะคิด ว่า "เสร็จแน่ๆ" ในทันใดนั้นมีผู้มาส่งข่าวซาอูลว่า ฟิลิสเตียกำลังยกมาโจมตี ท่านต้อง รีบกลับไปโดยด่วน ดาวิดและคนของท่านได้รับชีวิตคืนมาอีกครั้ง (1 ซามูเอล23).

(12) พระธรรมตอนนี้ ดาวิดและคนของท่านหลบหนีซาอูลไปขอพึ่งกษัตริย์อาคีชแห่ง ฟิลิสเตีย ดาวิดตกอยู่ในภาวะที่ต้องไปต่อสู้กับอิสราเอลเพื่อฟิลิสเตีย ถ้าไม่เช่นนั้น ท่าน จะต้องเป็นฝ่ายหักหลังอาคีช ดูเหมือนไม่มีทางออก แต่อยู่ดีๆดาวิดและคนของท่านก็ ถูกส่งกลับไปศิกลาก เราถอนหายใจอย่างโล่งอก แต่แล้วก็มาเจอเรื่องศิกลากถูกพวก อามาเลขปล้น ทั้งครอบครัวและทรัพย์สินหายไป พวกเขาคง "ตายแล้ว" เราคิดในใจ "พวกเขาสิ้นชื่อไปแล้ว" แต่พระเจ้าประทานความเชื่อให้กับดาวิด ประทานความกล้า และการทรงนำ พระองค์ให้มีทาสคนหนึ่งนอนรอความตายอยู่ที่ระหว่างทาง ในตอนจบ ของพระธรรมที่ดูเหมือนหมดหวังนี้ พระเจ้าได้คืนชีวิตที่เหมือนตายแล้วให้ใหม่

(13) ในขณะที่เอลียาห์ซ่อนตัวจากอาหับกษัตริย์อิสราเอล มีหญิงม่ายผู้อาศัยอยู่กับ บุตรคอยเลี้ยงดู บุตรชายป่วยหนักและตาย แต่โดยทางเอลียาห์พระเจ้าทรงชุบชีวิต เด็กคนนี้ขึ้นมาใหม่ (1 พกษ. 17:17-24) การคืนชีวิตเช่นนี้คล้ายกับที่เกิดขึ้นกับมือของ เอลีชาในพระธรรม 2 พกษ. 4

(14) ผู้เผยพระวจนะโยนาห์ไม่ต้องการเชื่อฟังพระเจ้าที่ให้ไปประกาศแก่ชาวนีนะเวห์ ท่านหนีขึ้นเรือจากอิสราเอลไปยังทิศทางตรงกันข้ามกับนีนะเวห์ มีพายุใหญ่เกิดขึ้น ระหว่างทางทำให้เรือแทบล่ม จะสูญเสียทั้งชีวิตและสินค้าบนเรือ โยนาห์บอกพวกเขา ถึงสาเหตุของพายุ และขอให้ชาวเรือโยนท่านลงทะเลไป เมื่อโยนาห์จมลงไปในคลื่น ทั้งเราและท่านคงพูดว่า "ไม่รอดแน่" แต่แล้วก็มีปลามหึมามากลืนโยนาห์เข้าไป แล้ว ไปสำรอกท่านไว้บนฝั่ง พระเจ้าเองเป็นผู้ทรงตรัสว่า นี่เป็นภาพการคืนพระชนม์ของพระ องค์ (ดูโยนาห์; มัทธิว 12:38-40).

(15) ดาเนียลและเพื่อนของท่านเป็นเชลยชาวฮีบรูในบาบิโลน พวกเขามีความตั้งใจจะ ปรนนิบัติพระเจ้า ถึงแม้ต้องขัดกับคำสั่งของกษัตริย์ที่ทรงอำนาจที่สุดในเวลานั้นก็ตาม กษัตริย์สั่งให้โยนดาเนียลและเพื่อนๆลงไปในเตาเผา และจับขังไว้ในถ้ำสิงห์ เราพูดกัน ว่า "พวกเขาต้องตายแน่ๆ" แต่พระเจ้าให้มีทูตสวรรค์มาปกป้องท่านให้พ้นจากไฟ มาปิด ปากสิงห์ที่ปกติแล้วต้องขย้ำกินดาเนียลแน่ พระเจ้าพอพระทัยที่จะคืนชีวิตให้แก่คนที่ เหมือนตายไปแล้ว จากในพระคัมภีร์เดิม เราจะเห็นว่าพระองค์ทรงทำเช่นนี้ตั้งแต่ต้น ประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติเลยทีเดียว

ในยุคพระคัมภีร์ใหม่ก็เช่นกัน พระเจ้าทรงคืนชีวิตให้กับคนที่เหมือนกับตายแล้ว :

(1) นางเอลีซาเบธและสามีแก่เกินกว่าที่จะมีบุตร พระเจ้าทรงประทานบุตรให้ บุตรชาย ที่เศคาริยาห์ตั้งชื่อว่ายอห์น - พระเจ้าทรงมอบชีวิตใหม่ให้กับคนที่หมดหวัง

(2) นางมารีย์เป็นสาวพรหมจารีที่หมั้นหมายกับชายชื่อโยเซฟ ยังไม่ได้แต่งงานกัน นาง ไม่เคยมีสัมพันธ์ใดๆกับผู้ชายมาก่อน ด้วยฤทธิ์อำนาจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ พระองค์ ทำให้นางตั้งครรภ์มีบุตรคือพระเมสซิยาห์ที่พระองค์ทรงสัญญาไว้ พระเจ้าทรงมอบชีวิต ใหม่ให้กับความตายนิรันดร์

(3) แม่ม่ายที่เมืองนาอินมีบุตรชายคนเดียว เขาตายและกำลังถูกหามไปฝัง ทุกคนที่นั่น เห็นว่าเขาตายแล้วแน่นอน ไม่มีหวังอีกแล้วสำหรับหนุ่มคนนี้ แต่แล้วพระเยซูทรงให้คน หามศพหยุด และสั่งให้ชายคนนั้นลุกขึ้น และเขาก็ทำตามนั้น พระเยซูเป็นผู้มอบชีวิต ให้แก่คนที่ตายแล้ว (ลูกา 7:11-15)

(4) ลาซารัสเป็นพี่น้องกับมารีย์และมาร์ธา ซึ่งเป็นเพื่อนของพระเยซู ลาซารัสป่วยมาก และพระเยซุไม่ได้รีบไปช่วย แต่เมื่อพระองค์และสาวกเดินทางไปถึงนั้น ลาซารัสไม่ เพียงแต่ตายไปแล้วเท่านั้น ท่านถูกฝังไปแล้วถึงสามวัน ท่านตายไปแล้วจริงๆ แต่พระ เยซูทรงเรียกท่านให้ออกมาจากอุโมงค์ฝังศพ และท่านกลับมามีชีวิต (ยอห์น 11)

เรื่องราวการ "กลับฟื้นคืนชีวิต" หลายเรื่องที่บันทึกอยู่ในทั้งพระคัมภีร์เก่าและใหม่เหล่า นี้ เป็นเพียงหมายสำคัญที่บ่งถึงเรื่องราวที่ "ยิ่งใหญ่" กว่า คือการคืนพระชนม์ขององค์ พระเยซูคริสต์แห่งนาซาเร็ธ ผู้เสด็จมาในฐานะบุตรของพระเจ้า พระองค์ดำเนินชีวิต อย่างสมบูรณ์แบบ และถ่ายทอดพระวจนะตามพระคัมภีร์เดิมอย่างที่พระเจ้าต้องการให้ มนุษย์เข้าใจและปฏิบัติ พวกผู้นำศาสนายิว และเจ้าหน้าที่บ้านเมืองโรมันคบคิดกันต่อ ต้านพระองค์ ตรึงพระองค์ไว้ที่บนกางเขนบนเนินหัวกระโหลก มีการประกาศว่าพระองค์ สิ้นพระชนม์แล้ว และพระศพถูกฝังอยู่ในอุโมงค์ พวกสาวกยอมรับอย่างโศกเศร้าว่า "พระเยซูสิ้นพระชนม์แล้ว" ทุกอย่างจบลงแล้ว แต่แล้วในวันที่สาม พวกเขาพบอุโมงค์ ว่างเปล่า และเห็นว่าพระองค์ทรงฟื้นขึ้นมาจากความตาย พวกเขาจะไม่มีวันเหมือน เดิมอีกต่อไป พระเจ้าทรงชุบพระเยซูขึ้นมาจากความตาย

เมื่อพูดเรื่องการฟื้นคืนชีวิต (ที่พระเจ้าชุบชีวิตคนตาย) ในพระคัมภีร์นั้นยากพอๆกับที่ อ.เปาโลพูดถึงพระคริสต์ในจดหมายฝาก การฟื้นคืนชีพเป็นส่วนสำคัญที่สุดของความ เชื่อและพระวจนะคำ คำถามสำคัญก็คือ: "คุณมีประสบการ์เรื่องการคืนพระชนม์ส่วนตัว กับองค์พระเยซูคริสต์หรือยัง?" คุณถูกนำออกจากความตายมามีชีวิตใหม่โดยการวางใจ ในพระเยซู รับการอภัยบาป และรับของประทานแห่งชีวิตนิรันดร์หรือยัง? พระคัมภีร์ กล่าวว่า แม้ว่าเราตายไปแล้วโดย "การละเมิดและการบาป" (เอเฟซัส 2:1) นอกจาก ความเชื่อในองค์พระเยซูคริสต์แล้ว เราไม่สามารถทำให้พระเจ้าพอพระทัยได้โดยทำ ตามพระบัญญัติ เราต้องยอมรับในความบาปของเรา และความจริงที่ว่าเราสมควรแก่พระ อาชญานิรันดร์ เป็นการลงโทษสำหรับความบาปทั้งสิ้น เราเพียงแต่ยอมรับของประทาน แห่งความรอดนี้โดยทางพระชนม์ การสิ้นพระชนม์ และการฟื้นคืนพระชนม์ขององค์พระ เจ้าของเรา เราก็จะเกิดใหม่ มีประสบการณ์ในการคืนพระชนม์โดยส่วนตัวกับพระเยซู คริสต์ จากนี้ไปเราจะมีชีวิต มีชีวิตที่เป็นนิรันดร์ คุณยอมรับเอาของประทานนี้หรือยัง ? นี้คือเรื่องราวของวันอีสเตอร์ พระเจ้าได้ทรงชุบชีวิตคนตายขึ้นมาหลายพันปีมาแล้ว และ พระองค์ทรงสามารถทำสิ่งเดียวกันนี้ให้กับคุณๆด้วย :

1 ท่านตายแล้วโดยการละเมิดและการบาป 2 ครั้งเมื่อก่อนท่านเคย ประพฤติในการบาปนั้นตามวิถีของโลก ตามเจ้าแห่งย่านอากาศ คือ วิญญาณที่ครอบครองอยู่ในคนทั้งหลายที่ไม่เชื่อฟัง 3 เมื่อก่อนเรา ทั้งปวงเคยประพฤติเป็นพรรคพวกกับคนเหล่านั้นที่ประพฤติตามตัณ หาของเนื้อหนัง คือกระทำตามความปรารถนาของเนื้อหนังและความ คิดในใจ ตามสันดานเราจึงเป็นคนควรแก่พระอาชญาเหมือนอย่างคน อื่น 4 แต่พระเจ้าผู้ทรงเปี่ยมด้วยพระกรุณา เพราะเหตุความรักอันใหญ่ หลวง ซึ่งพระองค์ทรงรักเรานั้น 5 ถึงแม้ว่าเมื่อเราตายไปแล้วในการ บาป พระองค์ยังทรงกระทำให้เรามีชีวิตอยู่กับพระคริสต์ (ซึ่งท่าน ทั้งหลาย รอดนั้นก็รอดโดยพระคุณ) 6 และพระองค์ทรงให้เราเป็นขึ้น มากับพระองค์ และทรงโปรดให้เรานั่งในสวรรคสถานกับพระเยซูคริสต์ 7 เพื่อว่า ในยุคต่อๆไป พระองค์จะได้ทรงสำแดงพระคุณของพระองค์ อันอุดมเหลือล้น ในการซึ่งพระองค์ได้ทรงเมตตาเราในพระเยซูคริสต์ 8 ด้วยว่าซึ่งท่าน ทั้งหลายรอดนั้นก็รอดโดยพระคุณเพราะความเชื่อ และมิใช่โดยตัวท่าน ทั้งหลายกระทำเอง แต่พระเจ้าทรงประทานให้ 9 ความรอดนั้นจะเนื่อง ด้วยการกระทำก็หามิได้ เพื่อมิให้คนหนึ่งคน ใดอวดได้ 10 เพราะว่าเรา เป็นฝีพระหัตถ์ของพระองค์ ที่ทรงสร้างขึ้น ในพระเยซูคริสต์เพื่อให้ประกอบการดีซึ่งพระเจ้าได้ทรงดำริไว้ล่วงหน้า เพื่อให้เรากระทำ
(เอเฟซัส 2:1-10)

เป็นเรืี่องจำเป็นสำคัญที่สุดของทั้งคุณและผม ว่าครั้งหนึ่งในชีวิต เรามามีความเชื่อใน พระเยซูคริสต์ ตายต่อความบาป และได้รับชีวิตใหม่ในพระคริสต์ แต่นี่ยังไม่จบนะครับ การคืนพระชนม์ไม่ใช่เป็นเพียงประสบการณ์ที่เกิดขึ้นครั้งเดียวในชีวิตของคุณ ไม่เพียง พอที่คุณจะมาระลึกถึงการคืนพระชนม์ของพระเจ้าแค่ปีละครั้ง ควารจะเฉลิมฉลองที่ คริสตจักรในทุกอาทิตย์ (ดู 1 โครินธ์ 11:26; ลูกา 22:19; กิจการ 20:7) และที่มาก กว่านี้ การคืนพระชนม์เป็นวิถีชีวิตของเรา เราต้องมีชีวิตในการคืนพระชนม์ มีประสบ การณ์ในเรื่องนี้ทุกๆวันในฐานะคริสเตียน:

1 ถ้าเช่นนั้นแล้วเราจะว่าอย่างไร ควรเราจะอยู่ในบาปต่อไปเพื่อให้ พระคุณมีมากยิ่งขึ้นหรือ 2 อย่าให้เป็นอย่างนั้นเลย พวกเราที่ตาย ต่อบาปแล้วจะมีชีวิตในบาปต่อไปอย่างไรได้ 3 ท่านไม่รู้หรือว่าเรา ทั้งหลายที่ได้รับบัพติศมาเข้าในพระเยซูคริสต์ ก็ได้รับบัพติศมานั้น เข้าในความตายของพระองค์ 4 เหตุฉะนั้น เราจึงถูกฝังไว้กับพระ องค์แล้ว โดยการรับบัพติศมาเข้าส่วนในการตายนั้น เพื่อว่าเมื่อพระ คริสต์ได้ทรงถูกชุบให้เป็นขึ้นมาจากความตายโดยเดชพระสิริของ พระบิดาแล้ว เราก็จะได้ดำเนินตามชีวิตใหม่ด้วยเหมือนกัน 5 เพราะ ว่าถ้าเราเข้าสนิทกับพระองค์แล้วในการตายอย่างพระองค์ เราก็จะเข้า สนิทกับพระองค์ ในการเป็นขึ้นมาอย่างพระองค์ได้ทรงเป็นขึ้นมาจาก ความตายด้วย 6 เราทั้งหลายรู้แล้วว่า ตัวเก่าของเรานั้นได้ถูกตรึงไว้ กับพระองค์แล้ว เพื่อตัวที่บาปนั้นจะถูกทำลายให้สิ้นไป และเราจะไม่ เป็นทาสของบาปอีกต่อไป 7 เพราะว่าผู้ที่ตายแล้วก็พ้นจากบาป 8 แต่ ถ้าเราตายแล้วกับพระคริสต์ เราเชื่อว่าเราจะมีชีวิตอยู่กับพระองค์ด้วย 9 เราทั้งหลายรู้อยู่ว่า พระคริสต์ที่ทรงถูกชุบให้เป็นขึ้นมาจากตายนั้น แล้วจะหาตายอีกไม่ ความตายหาครอบงำพระองค์ต่อไปไม่ 10 ด้วยว่า ซึ่งพระองค์ได้ทรงตายนั้นพระองค์ได้ทรงตายต่อบาปหนเดียวเป็นพอ แต่ซึ่งพระองค์ทรงชีวิตอยู่นั้น พระองค์ทรงชีวิตสนิทกับพระเจ้า 11 เหมือนกันเช่นนั้นแหละ ท่านทั้งหลายจงถือว่าท่านได้ตายต่อบาป และมีชีวิตสนิทกับพระเจ้าในพระเยซูคริสต์
(โรม 6:1-11)

9 ถ้าพระวิญญาณของพระเจ้าทรงสถิตอยู่ในท่านทั้งหลายจริงๆแล้ว ท่านก็มิได้อยู่ใต้เนื้อหนัง แต่อยู่ใต้พระวิญญาณ ผู้ใดไม่มีพระวิญญาณ ของพระคริสต์ ผู้นั้นก็ไม่เป็นของพระองค์ 10 และถ้าพระคริสต์อยู่ใน ท่านทั้งหลายแล้ว ถึงแม้ว่า ร่างกายของท่านจะตายไปเพราะบาป แต่วิญญาณจิตของท่านก็จะดำรงอยู่เพราะความชอบธรรม 11 ถ้าพระ วิญญาณของพระองค์ ผู้ทรงชุบให้พระเยซูเป็นขึ้นมาจากความตาย ทรงสถิตอยู่ในท่านทั้งหลาย พระองค์ผู้ทรงชุบให้พระเยซูคริสต์เป็น ขึ้นมาจากความตายแล้วนั้น จะทรงกระทำให้กายซึ่งต้องตายของท่าน เป็นขึ้นมาใหม่ โดยเดชแห่งพระวิญญาณของพระองค์ซึ่งทรงสถิตอยู่ ในท่านทั้งหลาย
(โรม 8:9-11)

ยังมีเรื่องราวเกี่ยวกับวันอีสเตอร์ในพระธรรมตอนนี้อีกที่เราไม่ควรมองข้าม เราจะเห็น เรื่องนี้ชัดเจนจากคำพูดของ อ.เปาโลในเอเฟซัสบทที่ 4:

7 แต่ว่าพระคุณนั้นทรงโปรดประทานแก่เราทุกๆคนตามขนาด ที่พระคริสต์ประทานให้ 8 เหตุฉะนั้นจึงมีพระวจนะว่า ครั้นพระ องค์เสด็จขึ้นไปสู่ที่สูง พระองค์ก็ทรงนำพวกเชลยไป และประ ทานของประทานแก่มนุษย์ 9 (ที่กล่าวว่าพระองค์เสด็จขึ้นไปนั้น จะหมายความอย่างอื่นไปไม่ได้ นอกจากว่าพระองค์ได้เสด็จลง ไปสู่เบื้องต่ำของแผ่นดินโลกแล้วด้วย 10 องค์ผู้เสด็จลงไปนั้น ก็คือพระองค์ผู้ที่เสด็จขึ้นไปสู่ที่สูงเหนือฟ้าสวรรค์ทั้งปวงนั่นเอง เพื่อจะได้สถิตอยู่ทั่วในสิ่งสารพัด) 11 ของประทานของพระองค์ ก็คือให้บางคนเป็นอัครทูต บางคนเป็นผู้เผยพระวจนะ บางคนเป็น ผู้เผยแพร่ข่าวประเสริฐ บางคนเป็นศิษยาภิบาลและอาจารย์ 12 เพื่อเตรียมธรรมิกชนให้เป็นคนที่จะรับใช้ เพื่อเสริมสร้างพระกาย ของพระคริสต์ให้จำเริญขึ้น 13 จนกว่าเราทุกคนจะบรรลุถึงความ เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันในความเชื่อ และในความรู้ถึงพระบุตรของ พระเจ้า จนกว่าเราจะโตเป็นผู้ใหญ่เต็มที่ คือเต็มถึงขนาดความ ไพบูลย์ของพระคริสต์ 14 เพื่อเราจะไม่เป็นเด็กอีกต่อไป ถูกซัด ไปซัดมาและหันไปเหมาด้วยลมปากแห่งคำสั่งสอนทุกอย่าง และ ด้วยเล่ห์กลของมนุษย์ตามอุบายฉลาดอันเป็นการล่อลวง 15 แต่ให้ เรายึดความจริงด้วยใจรัก เพื่อจะจำเริญขึ้นทุกอย่างสู่พระองค์ผู้เป็น ศีรษะ คือพระคริสต์ 16 คือเนื่องจากพระองค์นั้น ร่างกายทั้งสิ้นที่ติด ต่อสนิทและประสานกันโดยทุกๆข้อต่อที่ทรงประทาน ได้จำเริญเติบ โตขึ้นด้วยความรัก เมื่ออวัยวะทุกอย่างทำงานตามความเหมาะสม แล้ว
(เอเฟซัส 4:7-16)

อ.เปาโลกำลังพูดถึงของประทานฝ่ายวิญญาณ ที่พระเจ้าประทานให้กับผู้เชื่อในพระเยซู คริสต์ทุกคน ท่านกล่าวว่าของประทานนี้ – พระเจ้าทรงทำให้เราสามารถรับใช้เพื่อพระ กายของพระคริสต์ คริสตจักรของพระองค์ – อันเป็นผลมาจากชัยชนะของพระคริสต์ที่มี เหนือมารและความบาป โดยการสิ้นพระชนม์ เฉพาะอย่างยิ่งการคืนพระชนม์ เมื่อพระ เยซูทรงมีชัยเหนือมารและความบาป พระองค์ทรงประทานให้แก่คนของพระองค์เพื่อ เป็นการสำแดงในชัยชนะนี้

อ.เปาโลชี้ให้เราเห็นภาพการปกครองของทหารเมื่อได้รับชัยชนะเหนือศัตรู ท่านเปรียบ เทียบการให้ของประทานฝ่ายวิญญาณของพระเจ้าต่อคริสตจักร เป็นเหมือนผู้บัญชาการ ทหารให้รางวัลต่อลูกน้องเมื่อได้รับชัยชนะ ผมขอถามว่าที่ใดในพระคัมภีร์ที่จะกล่าวได้ ชัดเจนไปกว่าพระธรรมในตอนนี้ ? ในขณะที่ดาวิดแจกจ่ายของริบที่ได้จากการมีชัยใน การรบกับพวกอามาเลข ท่านกำลังแสดงภาพที่เล็งถึงเมื่อจอมกษัตริย์ประทาน "ของ ประทานฝ่ายวิญญาณ" ให้กับคริสตจักรของพระองค์ เพื่อแสดงให้เห็นถึงความมีชัย

พระเจ้าของเราเป็นพระเจ้าแห่งการช่วยกู้ พระองค์เป็นพระผู้ประทานชีวิต และพระองค์ ประทานชีวิตใหม่ให้กับคนที่ตายไปแล้ว ไม่ต้องสงสัย พระองค์ทรงกู้เราไว้เมื่อเราตก อยู่ใน "การละเมิดและการบาป" ไม่ต้องสงสัยเราทั้งหลายก็เหมือนกับตายไปแล้ว เพื่อ ชีวิตใหม่ของพระองค์จะสำแดงภายในและโดยทางเรา ขอพระเกียรติทั้งสิ้นเป็นของพระ องค์ พระองค์ผู้เดียวเท่านั้นที่คืนชีวิตให้กับคนตาย

"เพราะพระบิดาทรงทำให้คนที่ตายแล้วฟื้นขึ้นมามี ชีวิตฉันใด ถ้าพระบุตรปรารถนาจะกระทำให้ผู้ใดมี ชีวิตก็จะกระทำเหมือนกันฉันนั้น" (ยอห์น 5:21)

8 พี่น้องทั้งหลาย เราอยากให้ท่านทราบถึงความทุกข์ ยากที่เกิดแก่เราในแคว้นเอเซีย ซึ่งทำให้เราหนักใจ เหลือกำลัง จนเราเกือบหมดหวังที่จะเอาชีวิตรอดมา ได้ 9 ที่จริงเราคาดว่าถึงที่ตายแล้ว แต่ที่เป็นเช่นนี้ก็ เพื่อมิให้เราไว้ใจในตนเอง แต่ให้ไว้ใจในพระเจ้าผู้ ทรงโปรดให้คนทั้งปวงฟื้นจากความตาย (2 โครินธ์ 1:8-9)


160 ผมคิดว่าคนอิสราเอลที่อาศัยทางตอนใต้คงถูกเกณฑ์ให้มาช่วยซาอูลต่อสู้กับฟิลิสเตีย จำ ต้องทิ้งหัวเมืองต่างๆ (โดยเฉพาะทางใต้) ให้อ่อนแอช่วยตัวเองไม่ได้เมื่อถูกพวกอามาเลขเข้า มาปล้น

161 เราพูดถึงข้อ 1-6 ไปแล้วในบทก่อนหน้า ตอนนี้เป็นเพียงการทบทวน

162 จากข้อเขียนของ Dale Ralph Davis, Looking on the Heart: Expositions of the Book of 1 Samuel (Grand Rapids: Baker Books, 1994), vol. 2, p. 173.

163 ผมเดาว่าค่ายทหารของอามาเลขคงจะเหมือนกับศิกลาก พวกทหารไม่เพียงแต่อาศัยอยู่ที่ นี่เท่านั้นลูกเมียและฝูงสัตว์ก็อยู่ด้วยกัน (มีพวกทาส เช่นคนที่พาดาวิดและคนของท่านมาจนถึง ที่นี่ด้วย)

164 บรรดานักวิชาการหลายคนถกเถียงกันว่าใช้เวลานานขนาดไหน แต่รวมแล้วตามที่ผู้เขียน บันทึกไว้ การฆ่ากินเวลาหลายชั่วโมง และศัตรูถูกฆ่าตายมากมาย

165 และนี่แน่นอน เป็นจำนวนเดียวกับคนของดาวิดที่มาโจมตีพวกอามาเลข มีคนลงความเห็น ว่าดาวิดและคนของท่านมีจำนวนน้อยมากเมื่อเทียบกับพวกอามาเลข

166 ผมคิดว่าถ้าเราอยู่ที่นั่นด้วย เราคงเห็นคนอธรรม คนถ่อยพวกนี้เคยลุกขึ้นมาทำอะไรบาง อย่าง พวกนี้หรือเปล่าที่อยากฆ่าซาอูล? พวกนี้หรือเปล่าที่ก่อนหน้านี้จะเอาหินทุ่มดาวิดให้ตาย ? ผมคงไม่ประหลาดใจหรอกครับ

167 ผมน่าจะชี้ให้เห็นว่าคนถ่อยคนอธรรมพวกนี้ที่ท้าทายดาวิด ผู้นำของพวกเขา ดูเหมือนของที่ ริบมาได้และเป็นปัญหาอยู่นี้ (ว่าจะแบ่งระหว่าง 400 หรือ 600 คนดี) เป็นของที่ในข้อ 20 เรียก ว่า "นี่เป็นส่วนหนึ่งของดาวิดริบมา"

168 ผมคิดว่าเป็นเรื่องน่าสนใจที่จะเปรียบเทียบพระธรรมตอนนี้กับตอนที่ดาวิดจะไปจัดการกับ นาบาลและชายในครัวเรือน ตอนนั้นดาวิดมีคนติดตามอยู่ 600 คน ท่านนำไปแค่ 400 คนเท่านั้น ทิ้งอีก 200 ให้เฝ้ากองสัมภาระอยู่ สิ่งนี้ชี้ให้เราเห็นชัดเจนว่า เรื่องที่เกิดขึ้นในตอนนี้ไม่ใช่เรื่อง ธรรมดา คนที่เหลือ 200 คนในบทที่ 25 จะได้รับส่วนแบ่งจากของที่นางอาบีกายิลมอบให้ด้วย หรือเปล่า ? แน่นอน น่าจะได้ !

169 ผมชอบข้อสังเกตุที่ดาวิสเขียนไว้ในตอนนี้ : "ดาวิดใช้วิธีที่นุ่มนวลและเฉลียวฉลาดปิดปากคน

พวกนี้ ("พี่น้องทั้งหลายของข้าพเจ้าเอ๋ย ท่านอย่าทำอย่างนั้น" ข้อ 23ก) ข้อโต้แย้ง (‘… กับสิ่ง ซึ่งพระเจ้าทรงมอบแก่เรา ผู้ได้ทรงพิทักษ์รักษาเราไว้และทรงมอบกองปล้นซึ่งมาต่อสู้กับเราไว้ในมือ ของเรา" ข้อ 23ข) สร้างความสงสัย (ในเรื่องนี้ใครจะฟังเสียงของท่าน 24ข) ใช้สิทธิอำนาจ (เพราะคน ที่ลง ไปรบได้ส่วนแบ่งของเขาอย่างไร - คนที่เฝ้ากองสัมภาระอยู่ก็ควรได้ส่วนแบ่งอย่างนั้น ให้เขาทั้ง หลายรับส่วนแบ่งเหมือนกัน" ข้อ 24ข)" จากข้อเขียนของ Davis, vol. 2, pp. 175-176.

Related Topics: Introductions, Arguments, Outlines

Pages