MENU

Where the world comes to study the Bible

บทที่ 25: เดินหน้าหนึ่งก้าวถอยหลังสองก้าว (1 ซามูเอล 27:1—28:2)

หรือ
"คนอย่างคุณมาทำอะไรอยู่แถวนี้?"

คำนำ

เมื่อปีที่แล้ว ผมพบว่าผมได้ทำบางสิ่งที่ไม่เคยฝันว่าจะต้องมาทำ สุขภาพของหญิงชรา ที่อยู่ข้างบ้านเราทรุดโทรมลงอย่างรวดเร็ว มองผ่านหน้าต่างบ้านเราออกไป บางทีก็เห็น เธอนั่งอยู่ที่โต๊ะในครัว บางทีก็หายไป ถ้าหายไปผมรู้เลยว่าเธอล้มลงไปนอนบนพื้นแล้ว ต้องรีบออกไปช่วย เวลาผ่านไป จากนั่งกลายเป็นนอนอยู่ที่บ้าน แล้วก็เปลี่ยนเป็นไปนอน ที่โรงพยาบาล ผมต้องคอยวิ่งเข้าวิ่งออกซื้อของให้ ของบางอย่างที่ซื้อ เกิดมาไม่เคยได้ ยินมาก่อนก็มี

อยู่มาวันหนึ่ง พยาบาลที่เคยมาเป็นประจำแวะมาเยี่ยม ผมผ่านไปเห็นเข้าจึงจอดรถลงไป ถาม เธอบอกว่าเพื่อนบ้านผมอาการแย่ลงคงจะต้องใช้วิธี "โยกย้ายถาวร" ผมงงเพราะไม่ รู้แปลว่าอะไร เธอจึงตอบว่า "มา ฉันจะแสดงให้ดู" ก่อนที่ผมจะรู้ตัวว่าผมกำลังยืนอยู่ที่ ทางเข้าประตูเพื่อนบ้านโดยมีนางพยาบาลสาธิตวิธี "โยกย้ายถาวร" ให้ดู เธอเอาขาสอง ข้างล็อคขาผมไว้ แล้วเอามือเหนี่ยวล็อคคอไว้ ผมรู้ทันทีเลยว่า "โยกย้ายถาวร" แปลว่า อะไร ซึ่งก็คือการต้องบังคับย้ายผู้ป่วยจากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่งเป็นการถาวร ปัญหาก็คือ ที่ๆเรายืนกันอยู่นั้นคือหน้าประตูบ้านซึ่งถ้าใครเห็นคงสงสัยว่ากำลังทำอะไรกันอยู่ ผมนึก ภาพเพื่อนบ้านหลังอื่นแถวนั้นแอบมองมาทางหน้าต่าง บางบ้านอาจใช้กล้องส่องทางใกล ด้วยซ้ำไป ! ผมจะไปอธิบายยังไงได้? ในสถานการณ์แบบนี้ผมควรทำยังไง?

เมื่อผมอ่านเรื่องราวที่ดาวิดหนีไปเมืองกัทและไปเป็นพันธมิตรกับอาคีชกษัตริย์เมืองกัทนั้น ผมอยากจะถามคำถามเดียวกัน เพราะตอนจบของพระธรรมตอนนี้ เราพบว่าดาวิดอยู่ใน กองทัพที่ออกไปกับกษัตริย์พร้อมจะร่วมรบ ที่เป็นปัญหาคือ ดาวิดอยู่ในกองทัพของ ฟิลิสเตีย และกำลังจะออกไปรบกับ อิสราเอล เราอ่านพบว่าดาวิดให้ความมั่นใจกับ กษัตริย์ฟิลิสเตียว่าพร้อมและเต็มใจแสดงให้เห็นว่าท่านและคนของท่านต่อสู้กับประชากร ของพระเจ้าได้ แล้วคนอย่างดาวิดไปทำอะไรในสถานที่แบบนี้?131 เราหวังจะพบคำตอบ เมื่อเราเรียนพระธรรมตอนที่แสนจะสลับซับซ้อนนี้ ให้เรามองดูที่พระวิญญาณของพระเจ้า เพื่อเป็นดังแสงที่จะส่องเข้ามาในใจและจิตวิญญาณของเรา เพื่อจะเข้าใจได้ในบทเรียนที่ พระเจ้าประทานให้กับเรา

ภูมิหลัง

ในบทที่ 16 ซามูเอลเจิมตั้งดาวิดขึ้นมาเป็นกษัตริย์องค์ต่อไปของอิสราเอล ในบทที่ 17 ท่านออกไปต่อสู้และฆ่าโกลิอัท ทหารกล้าของฟิลิสเตียจากเมืองกัท พอบทที่ 18 ซาอูล เริ่มหวั่นไหวเพราะความนิยมยกย่องที่ประชาชนมีให้กับดาวิดจึงแสวงหาช่องทางฆ่าดาวิด แรกๆ ท่านทำทีว่าเป็นอุบัติเหตุ แล้วในที่สุดก็ออกคำสั่งให้ฆ่า ทำให้ดาวิดจำต้องหลบหนี ไปเพื่อรักษาชีวิต ท่านกลายเป็นนักโทษที่ต้องหลบหนีอย่างไร้ความยุติธรรม

ดาวิดเริ่มหลบหนีซาอูลด้วยการไปปรากฎตัวที่เมืองโนบ ท่านต้องปกปิดความจริงจาก อาหิเมเลขปุโรหิตถึงสาเหตุที่ท่านมา ดาวิดขอปันขนมปังบริสุทธิ์จากท่านปุโรหิต และ ขอดาบของโกลิอัทไป จากเมืองโนบดาวิดหนีไปหาอาคีชกษัตริย์เมืองกัท อาคีชยินดี ให้ดาวิดลี้ภัยอยู่ด้วย แต่พวกผู้รับใช้กลับเตือนให้อาคีชทบทวนดูให้ดีๆ ดาวิดรู้ตัวว่าท่าน กำลังตกอยู่ในอันตราย จึงแกล้งทำเป็นคนบ้าเดินน้ำลายไหลยืดขีดเขียนอยู่ที่ตามประตู ทั่วเมือง อาคีชไม่สนใจคนบ้า และมองไม่เห็นประโยชน์อันใดที่จะให้ลี้ภัยอยู่ในเมือง จึง ขับไล่ดาวิดออกไปเสียจากเมืองกัท จากตรงนี้ ดาวิดจึงเริ่มรวบรวมคนที่มาเข้ากับท่าน และหลบซ่อนตัวอยู่ในที่ห่างไกลในเขตยูดาห์ตามคำแนะนำของผู้เผยพระวจนะกาด (22:5)

ในบทที่ 24 ซาอูลและดาวิดเกิดใจตรงกันเข้าไปอยู่ในถ้ำ คนของดาวิดแปลสถานการณ์ นี้อย่างผิดๆ คิดเอาว่าพระเจ้าต้องการให้ฆ่าซาอูลเพื่อปัญหาจะได้จบสิ้นลง แต่ดาวิดไม่ ยอมทำ ถึงแม้ท่านเพียงแค่แอบตัดชายเสื้อคลุมของกษัตริย์ไว้ท่านก็ถูกจิตสำนึกโจมตี อย่างรุนแรงแล้ว ดาวิดปล่อยให้ซาอูลออกจากถ้ำไป ก่อนจะแสดงตัวให้เห็น ดาวิดกล่าว ตำหนิซาอูลอย่างสุภาพในการที่ท่านออกมาไล่ฆ่าอย่างไร้เหตุผล ดาวิดให้ความมั่นใจกับ ซาอูลว่าไม่เคยคิดทำร้าย แต่มอบการทั้งสิ้นไว้กับพระเจ้า ซาอูลดูเหมือนจะสำนึก และทั้ง สองก็จากกันอย่างสันติ

ในบทที่ 25 ดาวิดถูกนาบาลชายโง่ถากถางด้วยคำพูด นาบาลผู้ทำให้ต้นตระกูลอย่าง คาเลบต้องเสียชื่อ ดาวิดตั้งใจไม่เพียงแต่จะไปฆ่านาบาลเท่านั้น แต่ฆ่าชายทุกคนในครัว เรือนทั้งสิ้น แต่เป็นเพราะสตรีที่มีสติปัญญาและเสียสละอย่างนางอาบิกายิลภรรยาของ นาบาล เข้ามาแทรก ทำให้ความโกรธของดาวิดลดลงและล้มเลิกการแก้แค้น ในการพบกัน ครั้งนี้ อาบิกายิลพูดให้ดาวิดมั่นใจว่าจะได้ขึ้นปกครองอิสราเอลแน่ และขอให้ดาวิดละ ความ แค้นไว้ที่พระเจ้าเป็นดีที่สุด ดาิวิดตกลง และทั้งคู่จากกันอย่างสันติ

บทที่ 26 ดูจะเป็นจุดสูงสุดด้านจิตวิญญาณของดาวิด ซาอูลออกตามล่าดาวิดอีกครั้ง ดาวิดรู้เข้าจึงส่งคนไปสอดแนมหาที่ตั้งค่าย ดาวิดกับอาบีชียจึงลงไปที่ค่ายในขณะที่ ทหารทุกคนนอนหลับสนิทด้วยการดลบันดาลจากพระเจ้า (26:12) ดาวิดไม่อนุญาตให้ อาบีชัยฆ่าซาอูลอย่างที่เขาต้องการ (26:8-9, 15) แต่ท่านกลับหยิบเอาหอกและเหยือก น้ำของซาอูลกลับไปเพื่อแสดงว่าท่านเข้าถึงตัวซาอูลและฆ่าได้ถ้าต้องการ โดยที่คน ของซาอูลนอนหลับไม่รู้เรื่อง

ในการเผชิญหน้ากันครั้งนี้ ดาวิดกล่าวตำหนิอับเนอร์ก่อนแล้วตามด้วยการชี้ให้เห็นข้อบก พร่องในหน้าที่ของทหารคุ้มกันที่ไม่สามารถดูแลกษัตริย์ได้ โทษนี้ถึงตาย เมื่อดาวิดพูด ตักเตือนแล้ว ท่านกล่าวว่าท่านเองเป็นผู้ช่วยชีวิตกษัตริย์ไว้หาใช่คนของซาอูลไม่ แล้วทำ ไมคนที่ช่วยชีวิตกษัตริย์ไว้จึงถูกตามล่าด้วยข้อหาลอบปลงพระชนม์ ในขณะคนที่สมควร ตายน่าจะเป็นคนที่ตามฆ่าท่านต่างหาก

ดาวิดพูดกับกษัตริย์ซาอูลว่าท่านยังสัตย์ซื่อและจงรักภักดีต่อกษัตริย์ และท่านถามอีกครั้ง ว่าเหตุใดซาอูลจึงต้องการฆ่าท่าน ท่านชี้แจงว่าน่าจะมีใครยุยงอยู่เบื้องหลัง ซึ่งเป็นการทำ ผิดอย่างมหันต์ เพราะท่านไม่เป็นอันตรายต่อซาอูล แต่ในการตามล่าดาวิดนั้นซาอูลกำลัง บีบบังคับให้ดาวิดต้องออกจากบ้านเกิดไป ออกจากสถานที่แห่งการนมัสการและแหล่ง ของพระพร ซึ่งเท่ากับเป็นการบังคับให้ดาวิดไปปรนนิบัติพระอื่น ดาวิดร้องขอต่อซาอูล ว่าอย่าให้ท่านต้องออกจากแผ่นดินนี้เลย ท่านไม่ต้องการให้โลหิตของท่านตกลงในดิน แดนต่างด้าว (26:17-20) ซาอูลสารภาพผิดและยอมรับว่าดาวิด "....จะกระทำหลาย สิ่งหลายอย่างและจะสำเร็จแน่" (26:25) ท่านกำลังใ้ห้สัญญากับดาวิดในทางอ้อมว่า ท่านจะล้มเลิกการตามล่า และเชิญชวนดาวิดว่า "จงกลับเถิด" (26:21) ผมคิดว่าซาอูล ต้องการหนุนใจให้ดาวิด "กลับมา" นมัสการโดยไม่ต้องกลัวอีกต่อไป

ถึงแม้ดาวิดได้รับการยืนยันว่าจะได้เป็นกษัตริย์องค์ต่อไปของอิสราเอล ถึงแม้ท่านได้ พิสูจน์ความเชื่อแล้ว เราพบว่าดาวิดก็ยังออกจากอิสราเอลไปยังเมืองกัท เรื่องนี้นับว่าน่า ทึ่งจริงๆ

อยู่ที่กัทดีกว่าไปอยู่ป่าช้า
(27:1-4)

1 ดาวิดนึกในใจว่า "ข้าคง_จะพินาศสักวันหนึ่ง132 ด้วยมือ ของซาอูล ไม่มีสิ่งใดดีกว่าที่ข้าจะหนีไปอยู่ที่แผ่นดินคน ฟีลิสเตีย แล้วซาอูลก็จะทรงเลิกไม่ติดตามข้าอีก ภายใน พรมแดนอิสราเอล และข้าจะรอดพ้นจากมือของท่านได้" 2 ดาวิดจึงลุกขึ้นยกข้ามไป ทั้งตัวท่านและคนที่อยู่กับท่าน หกร้อยคนด้วยกัน ไปหาอาคีชบุตรมาโอค กษัตริย์เมืองกัท 3 และดาวิดก็อาศัยอยู่กับอาคีชที่เมืองกัท คือตัวท่านและ คนของท่าน ทุกคนมีครัวเรือนไปด้วย ทั้งดาวิดพร้อมกับ ภรรยาสองคน คืออาหิโนอัมชาวยิสเรเอล และอาบีกายิล ชาวคารเมลแม่ม่ายของนาบาล 4 และเมื่อมีคนไปทูลซาอูล ว่า ดาวิดได้หนีไปเมืองกัทแล้ว พระองค์ก็มิได้แสวงท่าน อีกต่อไป

ข้อ 1 ทำให้เรามีความรู้สึกว่าเวลาระหว่างเหตุการณ์ในบทที่ 26 และ 27คงจะเกิดใกล้ เคียงกัน ถึงแม้ไม่มีการบันทึกไว้และไม่มีเหตุการณ์รุนแรงใดที่ทำให้ดาวิดต้องเปลี่ยนใจ กระทันหัน133 http://www.bible.org/docs/ot/books/1sa/deffin/ ดาวิดแน่ใจมากว่าพระเจ้าจะปกป้องท่าน (24:15) และนางอาบีกายิลก็ยืน ยันในเรื่องนี้ (25:29) แต่แล้วท่านกลับพูดว่าจะต้องพินาศแน่ถ้าท่านไม่หนีไปยังดินแดน ฟิลิสเตียที่แน่ใจในความปลอดภัย (27:1) ดาวิดกล่าวไว้ในบทก่อนว่าซาอูลจะพินาศ (26:10)134 http://www.bible.org/docs/ot/books/1sa/deffin/ แต่ตอนนี้ท่านกลับคิดว่าท่านกำลังจะพินาศ และดาวิดเองได้ร้องขอต่อซาอูล ว่าอย่าบังคับให้ท่านต้องออกไปจากอิสราเอลเลย กลับรู้สึกว่าต้องออกไปถึงแม้ซาอูลจะ รับรองความปลอดภัยแล้วก็ตาม เรื่องนี้น่าทึ่งครับ

คำที่ดาวิดใช้ (คือคำว่า "พินาศ") นี้สำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งว่าดาวิดรู้จักธรรมบัญญัติ ของโมเสสดี มีการนำคำนี้มาใช้ถึง 18 ครั้งจากปฐมกาลถึงผู้วินิจฉัย – และจนกระทั่ง ดาวิดนำมาใช้อีกใน 26:10 และ 27:1 ในสามครั้งเป็นการกล่าวถึงการที่พระเจ้าทรง พิพากษาบรรดาศัตรูของอิสราเอล สิบเอ็ดครั้งถึงการที่พระเจ้าพิพากษาอิสราเอลเองใน ฐานะศัตรูของพระองค์ที่ไม่เชื่อฟังและละเลยพระบัญญัติ นับเป็นเรื่องน่าสนใจที่ดาวิด พึ่งประกาศว่าตนเองเป็นผู้บริสุทธิ์และผู้อื่นเป็นฝ่ายผิดนั้นกำลังใช้คำเดียวกันนี้เพื่อแสดง ให้เห็นถึงความกลัวถูกซาอูลฆ่า ดาวิดกำลังหลงประเด็น เดล ราล์ฟ ดาวิส เขียนไว้ว่า "... ความคิดที่นำดาวิดมาถึงจุดนี้คือความเชื่อที่เริ่มจะเสื่อมถอย (ตามที่ เฮช แอล เอลลิสัน เรียก):

‘แล้วดาวิดคิดในใจว่า: ‘เราต้องพินาศด้วยน้ำมือของ ซาอูลสักวันเป็นแน่ ; ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะอยู่ (ที่นี่) ควรต้องหนีไปฟิลิสเตีย – ซาอูลคงจะหมดหวังในเรา เลิกติดตามหาเราในเขตแดนอิสราเอล ; เราคงจะพ้น ไปจากเงื้อมมือของท่าน [27:1]"135 http://www.bible.org/docs/ot/books/1sa/deffin/

เวลาคงผ่านไปไม่นานนักนับจากดาวิดหนีไปลี้ภัยที่เมืองกัทครั้งแรก ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่ นับว่าหายนะสำหรับดาวิด ท่านรอดมาได้ แต่ก็ออกมาในสภาพคนบ้าสกปรกมอมแมม เรา คงพอเดาได้ว่าพอดาวิดพ้นจากประตูเมืองกัทมาได้ ท่านคงพูดกับตัวเองว่า "จ้างให้ก็ไม่ เอาอีกแล้ว!" แต่แล้วเราก็เห็นท่านกลับมาอีก แต่ครั้งนี้ไม่ได้มาคนเดียว ครั้งนี้มีผู้ติดตาม มาด้วยถึง 600 คนยังไม่นับรวมถึงครอบครัว (27:2-3)136 http://www.bible.org/docs/ot/books/1sa/deffin/ ดาวิดเองนำภรรยาทั้งสองไป ด้วย137

ดาวิดคิดถูกอยู่เรื่องหนึ่ง เมื่อซาอูลได้ยินว่าดาวิดหนีไปเมืองกัท ท่านก็ล้มเลิกการตามล่า แปลว่าถ้าดาวิดยังอยู่ในอิสราเอลต่อ ซาอูลคงพยายามจะล่าดาวิดอยู่หรือเปล่า? ที่ไม่น่า ประหลาดใจนักคือซาอูลไม่คิดจะไปไล่ล่าดาวิดที่ฟิลิสเตีย เพราะท่านเองไม่เคยกระตือรือ ร้นที่จะไปสู้กับพวกฟิลสเตียอยู่แล้ว โยนาธานบุตรของท่านต่างหากที่ลุกขึ้นมาทำ แต่การ ที่ "คิดถูก" ในเรื่องของซาอูลก็ไม่ได้หมายความว่าดาวิดคิดถูกในเรื่องการหนีไปในดินแดน ฟิลิสเตีย แต่ไม่ว่าผมคิดอะไร ผู้เขียนได้ทำให้เรื่องนี้กระจ่างชัดขึ้นมา

มีที่อยู่เป็นของตนเอง
(27:5-7)

5 แล้วดาวิดจึงทูลอาคีชว่า "ถ้าข้าพระบาทเป็นที่โปรดปรานในสาย พระเนตรของฝ่าพระบาท ขอทรงให้เขามอบที่ในหัวเมืองแก่ข้าพระ บาทสักแห่งหนึ่ง เพื่อข้าพระบาทจะได้อาศัยอยู่ที่นั่น ไฉนผู้รับใช้ ของฝ่าพระบาทจะอยู่ในกรุงกับฝ่าพระบาทเล่า" 6 ในวันนั้นอาคีช ทรงมอบเมืองศิกลากให้ ศิกลากจึงเป็นหัวเมืองขึ้นแก่กษัตริย์ยูดาห์ จนถึงทุกวันนี้ 7 ระยะเวลาที่ดาวิดเข้าไปอยู่ในแผ่นดินฟีลิสเตียนั้น เป็นหนึ่งปีกับสี่เดือน คุณคงพอนึกออกว่า ดาวิดและนักรบ 600 คนพร้อมทั้งครอบครัวจะสร้างผลกระทบแบบ ใดให้กับเมืองกัท อาคีชและชาวกัทคงพอรู้อยู่ว่าดาวิดจะขอสิ่งใด และดาวิดก็ร้องขอจาก อาคีช ท่านขอสักเมืองหนึ่งที่ท่านและคนของท่านทั้งหมดจะอาศัยอยู่อย่างเป็นสัดส่วนได้ เป็นคำขอที่สมเหตุผล อาคีชจึงตัดสินใจยกเมืองศิกลากให้ เมืองนี้อยู่ห่างจากกัทไปทาง ตะวันออกเฉียงใต้ประมาณ 40 กม. ซึ่งค่อนข้างจะไกลจากสายตาของชาวฟิลิสเตีย และ ไม่ไกลนักจากอิสราเอล ทำให้ดาวิดและพรรคพวกมี "ที่อยู่เป็นของตนเอง" เป็นที่อยู่ที่ ห่างไกลจากความควบคุมของอาคีช คล้ายๆกับย้ายไปอยู่ให้ไกลจากพ่อตา-แม่ยายเพื่อ จะมีชีวิตเป็นส่วนตัว ดาวิดอาศัยอยู่ในฟิลิสเตียเป็นเวลาหนึ่งปีกับสี่เดือน แต่เมืองศิกลาก กลับกลายไปเป็นเมืองในครอบครองของอิสราเอลอย่างถาวร (ข้อ 6-7)

ปิดหูปิดตาอาคีช
(27:8-12)

8 ฝ่ายดาวิดกับคนของท่านก็ขึ้นไปปล้นชาวเกชูร์ คนเกอร์กาชี คนอามาเลข เพราะประชาชาติเหล่านี้เป็นชาวแผ่นดินนั้นตั้งแต่สมัยโบราณ ไกลไปจนถึง เมืองชูร์ถึงแผ่นดินอียิปต์ 9 ดาวิดก็โจมตีแผ่นดินนั้น ไม่ไว้ชีวิตผู้ชายหรือผู้หญิง แต่ริบแกะ โค ลา อูฐ และเสื้อผ้า แล้วกลับมาหาอาคีช 10 เมื่อไรอาคีชถามว่า "วันนี้ท่านไปปล้นผู้ใดมา" ดาวิดก็ทูลว่า "ปล้นถิ่นใต้ที่แผ่นดินยูดาห์" หรือ "ปล้นเนเกบที่ตระกูลเยราเมเอล" หรือ "ปล้นถิ่นใต้คนเคไนต์" 11 ดาวิดมิได้ ไว้ชีวิตผู้ชายหรือผู้หญิงที่จะนำมาที่เมืองกัท โดยคิดว่า "เกรงว่า เขาจะบอก เรื่องของเรา และกล่าวว่า 'ดาวิดได้ทำอย่างนั้นๆ'" นี่เป็นวิธีการ ขณะที่ท่าน อาศัยอยู่ในแผ่นดินฟีลิสเตีย 12 อาคีชทรงวางพระทัยในดาวิด ด้วยทรงดำริว่า "เขาได้กระทำให้อิสราเอลชนชาติของเขาเกลียดอย่างที่สุด เพราะฉะนั้นเขาจึง เป็นผู้รับใช้ของเราได้ตลอดไป"

ดาวิดและคนของท่านได้มีที่อยู่เป็นของตนเอง แต่เขายังต้องทำมาหาเลี้ยงชีพ การแก้ปัญ หาของดาวิดนั้นชาญฉลาด ท่านใช้ศิกลากเป็นกองบัญชาการบริหารงาน จากที่เมืองนี้ ท่านและพรรคพวกออกโจมตีและปล้นบรรดาเมืองที่เป็นศัตรูของอิสราเอล บางพวกเรารู้ จักดี เช่นชาวอามาเลข แต่บางพวกเช่นเกอร์กาซีเราไม่รู้จัก รู้แต่เพียงว่าเป็นพวกที่อาศัย อยู่ในแผ่นดินตั้งแต่ครั้งโบราณ อาจจะสรุปได้ว่าคนเหล่านี้เป็น "ชาวคานาอัน" ที่จำต้อง ถูกกำจัด (ดูอพยพ 23:23; กันดารวิถี 21:3; เฉลยธรรมบัญญัติ 7:1-5; ผู้วินิจฉัย 1:17)

ถ้าเป็นเช่นนี้ (เราอาจมีข้อข้องใจอยู่บ้างตัวอย่างเช่นในกรณีของชาวเกอร์กาซี) การฆ่า "ชาวคานาอัน" ทั้งหมดจึงเป็นการสมควร ผมต้องชี้ให้เห็นว่า ถึงแม้ดาวิดจะฆ่าทุกคนรวม ทั้งเด็กในหมู่บ้านที่เข้าไปปล้น ท่านไม่ได้ฆ่าสัตว์เลี้ยงทั้งหมด ท่าน "ริบแกะ โค ลา อูฐ และเสื้อผ้า" (ข้อ 9) ถ้าดาวิดโจมตีคนเหล่านี้เพื่อทำตามคำสั่งของพระเจ้า ท่านก็ไม่ต่าง ไปจากซาอูล ที่ไว้ชีวิตกษัตริย์และฝูงสัตว์ที่ดีที่สุด ดังนั้นการปล้นโจมตีคนเหล่านี้เป็น การกระทำเพื่อผลประโยชน์ เช่นการหาเสบียงอาหารให้ครอบครัว ท่านฆ่าคนทั้งหมด ไม่มีผู้ใดเหลือรอดชีวิต ไม่ใช่เป็นเพราะพระเจ้าสั่ง แต่เป็นเพราะเพื่อปกปิดการกระทำ ของท่านไม่ให้รั่วไหล (ดูข้อ 11)

ดาวิดอาจกำลังทำสิ่งที่ถูกต้อง (เช่นฆ่าคนที่พระเจ้าประสงค์จะให้กำจัด) แต่ด้วยเหตุผล ที่ผิด พระเจ้าทำพระประสงค์ของพระองค์ให้สำเร็จโดยการใช้คนที่ไม่ได้ทำในสิ่งที่พระ องค์ปรารถนาให้ทำ เราเห็นได้ในกรณีพี่ชายของโยเซฟ (ดูปฐมกาล 50:20) และดูเหมือน เป็นสิ่งที่ดาวิดกำลังกระทำในเขตแดนฟิลิสเตีย

ดาวิดอาจทำในสิ่งที่ไม่ฉลาดนักด้วยการหนีเข้าไปในฟิลิสเตีย แต่ท่านเป็นคนฉลาดแกม โกงทีเดียว กษัตริย์อาคีชอาจคิดว่าตนเองนั้นเฉียบแหลม แต่ผมกลับคิดว่าเขาเป็นคนซื่อ และไม่ทันคน138 http://www.bible.org/docs/ot/books/1sa/deffin/ ดาวิดมาที่ฟิลิสเตียอย่างมี "ข้อกังขา" แต่อาคีชกลับเห็นเป็นของมีค่า เป็นเพชรประดับมงกุฎ การมีดาวิดอยู่ในฟิลิสเตียดูเหมือนเป็นสมบัติล้ำค่าของอาคีช เพราะ ดูภายนอกเหมือนดาิวิดกำลังต่อสู้กับอิสราเอลเพื่อฟิลิสเตีย (27:10) ซึ่งก็แปลว่าคนอิสรา เอลไม่มีวันจะรับดาวิดกลับไป และแน่นอนไม่มีทางได้เป็นกษัตริย์ของอิสราเอลอีกต่อไป (เทียบกับ 21:11; 27:12) แทนที่จะมาเป็นภาระให้กับอาคีช ดาวิดต้องการเป็นผู้อำนวย ประโยชน์ให้ ทุกครั้งหลังการปล้น ดูเหมือนดาวิดมารายงานและแบ่งของที่ริบได้ให้กับ อาคีช (27:9) อาคีชคิดว่ามีดาวิดอยู่ในกำมือและสามารถ "ใช้" ให้เกิดประโยชน์ฝ่ายตน ได้

อาคีชคงไม่ใช่คนช่างสังเกตุ ดาวิดไม่ได้กำลังฆ่าคนอิสราเอลสักนิด แต่ฆ่าเหล่าศัตรูของ อิสราเอลต่างหากโดยใช้เมืองศิกลากที่ลี้ภััยอยู่เป็นศูนย์กลาง ถึงแม้ไม่มีกล่าวอยู่ในพระ ธรรมตอนนี้ แต่อีกไม่นานเราจะเห็นว่าดาวิดแบ่งของที่ริบมาได้ให้กับคนที่ท่านต้องไปฆ่า - คือพี่น้องร่วมชาติ :

26 เมื่อดาวิดมาถึงเมืองศิกลากแล้ว ก็ส่งของที่ริบได้นั้นส่วนหนึ่ง ไปให้เพื่อนซึ่งเป็นพวกผู้ใหญ่ในยูดาห์กล่าวว่า "นี่เป็นของขวัญ ฝากมาให้ท่านซึ่งเป็นส่วนของของริบจากศัตรูของพระเจ้า" 27 คือ แก่คนที่อยู่ในเบธเอลในราโมทที่เนเกบ ในยัททีร 28 ในอาโรเออร์ ในสิฟโมท ในเอชเทโมอา 29 ในราคาล ในหัวเมืองของคนเยราเม เอล ในหัวเมืองของคนเคไนต์ 30 ในโฮเรมาห์ ในโบราชาน ใน อาธาค 31 ในเฮโบรน คือให้แก่ทุกตำบลที่ดาวิดกับคนของท่าน ได้เคยไปๆมาๆ (1 ซามูเอล 30:26-31) คุณเห็นสิ่งที่ดาวิดนำเสนอกษัตริย์อาคีชเพื่อเป็นการตบตาในสิ่งที่ท่านทำจริงหรือเปล่า ? ท่านบอกกับอาคีชว่าท่านไปต่อสู้กับชาวอิสราเอลพี่น้องร่วมชาติ ทำให้กษัตริย์ฟิลิสเตีย เข้าใจว่า "เขาได้กระทำให้อิสราเอลชนชาติของเขาเกลียดอย่างที่สุด" (27:12) ในความเป็นจริง ท่านไปต่อสู้กับบรรดาศัตรูของอิสราเอล และนำของที่ริบได้ไปให้พี่น้อง ร่วมชาติ ทำให้ท่านได้กลับไปเยี่ยมพวกเขาบ่อยครั้ง (30:26-31) ดาวิดเอาใจชาวอิสราเอล ในขณะอยู่ในความคุ้มครองของฟิลิสเตีย เราคงเรียกได้ว่าดาวิดกำลัง "จับปลาสองมือ"

ในระหว่างนี้ดาวิดอาจปลอบใจตนเองว่า: "นี่เป็นทางออกที่ดีที่สุด" ท่านไม่จำเป็นต้องหลบซ่อน อยู่ในถิ่นทุรกันดารของอิสราเอลอีกต่อไป ; สามารถไปใหนมาใหนได้ตามต้องการและมีคนเคารพ นับถือ เข้าไปพบกษัตริย์ได้ตลอดเวลา ไม่ต้องไป "ขอ" ปันอาหารจากผู้ใด แต่อยู่ดีกินดีจากของ ที่ริบมาได้ ท่านไม่ต้องกลัวจะถูกคนอิสราเอลหักหลัง ท่านไปเยี่ยมเยียนและแบ่งปันข้าวของให้ แก่คนอิสราเอลตลอดเวลา และถ้าซาอูลไม่คิดจะจัดการกับศัตรูที่อยู่รอบด้าน ดาวิดจะลงมือเอง ดูเหมือนดาวิดจะได้ทั้งขึ้นทั้งล่อง (ทั้งอิสราเอลและฟิลิสเตีย) แต่แล้วไม่นาน ลูกเจี๊ยบที่แอบ เลี้ยงไว้ "มันเริ่มจะขัน"

อุ๊ย ! (28:1-2)

1 อยู่มาในครั้งนั้น คนฟีลิสเตียได้รวบรวมกำลังเพื่อทำสงครามสู้รบ กับอิสราเอล และอาคีชตรัสกับดาวิดว่า "จงเข้าใจเถิดว่า ท่านกับคน ของท่านจะออกทัพไปกับเรา" 2 ดาวิดทูลอาคีชว่า "ดีทีเดียวพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าพระบาทจะได้ทราบว่าผู้รับใช้ของฝ่าพระบาทจะกระทำอะไรได้บ้าง" และอาคีชรับสั่งกับดาวิดว่า "ดีแล้ว เราจะให้ท่านเป็นองครักษ์ของเรา ตลอดชีพ"

สองสามเดือนที่ผ่านมา มีหลายครอบครัวเลือกที่จะให้ลูกๆนั่งอยู่ด้วยในช่วงเรียนรอบ 11 โมงเช้า มีการตั้งชื่อเรื่องชื่อตอนพร้อมทั้งวาดการ์ตูนประกอบบทเรียนให้กับผมด้วย ทั้ง ตอนเก่าตอนใหม่ มีเพื่อนรุ่นเยาว์ตั้งชื่อตอนและเขียนภาพการ์ตูนประกอบมาให้สำหรับ ตอนนี้ เมื่อผมสอนมาถึงบทนี้ มีเสียงเด็กคนหนึ่งร้องออกมาว่า "โอ๊ะ โอ๋ !" ผมว่าใช่ครับ เธอเสียวไส้แทนดาวิด ผมจึงตั้งชื่อตอนสำหรับสองข้อแรกของบทที่ 28 นี้ว่า "อุ๊ย"

ฟิลิสเตียยังทำสงครามกับอิสราเอลอย่างต่อเนื่องตามที่เราอ่านในพระธรรม 1 ซามูเอล ดู เหมือนครั้งนี้แม่ทัพของฟิลิสเตียตัดสินใจออกรบกับอิสราเอลอีก อาคีชแจ้งเรื่องนี้ให้ดาวิด ทราบ และ "ให้เกียรติ" ดาวิดด้วยการให้ท่านและพรรคพวกเข้าร่วมรบด้วย ผมไม่ทราบว่า ดาวิดประหลาดใจขนาดใหน แต่สิ่งที่ท่านตอบกษัตริย์ไปนั้นทำให้เราประหลาดใจยิ่งกว่า : "ดีทีเดียวพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าพระบาทจะได้ทราบว่าผู้รับใช้ของฝ่าพระบาทจะกระทำอะไร ได้บ้าง"

ฟังดูเหมือนเป็นคำพูดของพวกผู้ชายขี้โอ่ "นี่พวกนาย ฉันจะเอาพวกนายออกไปรบด้วย" "ได้เลยลูกพี่ คราวนี้จะได้เห็นผีมือพวกเราซะที " ดาวิดหมายความตามที่พูดจริงหรือ ? ท่านรู้ตัวหรือเปล่าว่าพูดอะไรออกไป ? ผมสงสัยว่าดาวิดคงตกใจเลยพูดออกไปแบบไม่ ทันได้ตั้งตัว ที่แน่ๆคือท่านพูดในสิ่งที่อาคีชอยากฟัง เพราะกษัตริย์ตอบสนองต่อคนขี้โม้ อย่างดาวิดโดยแต่งตั้งให้เป็นราชองค์รักษ์ตลอดชีพ น่าทึ่งไหมครับ ! ดาวิดผู้ที่ครั้งหนึ่ง เคยเป็นผู้ถือเครื่องอาวุธให้กับซาอูล (16:21) ตอนนี้กลับได้รับเลือกให้เป็นราชองค์รักษ์ ของกษัตริย์ฟิลิสเตีย และกำลังออกไปร่วมรบกับฟิลิสเตียเพื่อต่อสู้กับอิสราเอล แน่นอน ผู้อ่านอย่างเราๆท่านๆคงอยากจะถามว่า "แล้วคนอย่างคุณมาทำอะไรอยู่แถวนี้ ?"

บทสรุป

ก่อนที่จะสรุปบทเรียนตอนนี้ สิ่งแรกที่เราต้องพูดกันคือ "เรื่องนี้ยังไม่จบครับ" ผู้เขียนมีวิธี การแยบยลที่ทำให้เราต้องเกาหัวด้วยความสงสัย แถมยังตามด้วยเรื่องที่สลับซับซ้อน หนักขึ้นไปอีก (เรื่องซาอูลไปปรึกษาคนทรงที่เมืองเอนโดร์ใน 28:3-25) เรื่องที่เริ่มต้นใน บทที่ 27 จะสรุปลงได้ในบทที่ 29-31 แต่เราจะไม่ได้คำตอบอย่างเร็วๆง่ายๆ หรอกครับ ; เราต้องติดอยู่กับคำถามนี้อีกพอควร เราจึงต้องหยุดและใช้ความคิดกันสักหน่อย ผู้เขียน ไม่ได้กำลังเล่านิทานที่ตอนจบแฮปปี้เอ็นดิ้งนะครับ ; ท่านกำลังเล่าเรื่องจริง จริงชนิดที่ ทำให้เราหัวหมุนทีเดียว พวกเราต้องการให้พระคัมภีร์พูดในทุกสิ่งหรือเปล่าครับ เพื่อ เราจะไม่ต้องหยุดคิดพิจารณาด้วยตัวเราเอง ? ถ้าเช่นนั้นเราจะไม่ได้อะไรเลย บ่อยครั้ง ที่ในพระคัมภีร์เล่าเรื่องราวของปัญหา แล้วทิ้งท้ายไว้ให้เราคิด พระคัมภีร์ไม่ได้คิดแทนเรา ไปเสียทั้งหมด ; แต่กลับกระตุ้นให้เราใช้ความคิด เราต้องไม่นำเอาพระคำมาคิดหรือตี ความเอาเองตามใจชอบ แต่เราควรนำมาคิดในแง่ที่เป็นพระวจนะจากพระเจ้า พระคัมภีร์ สอนเราอย่างไรสำหรับเรื่องราวในตอนนี้ ?

เราสามารถเรียนได้จากบทเรียนตอนนี้ (และตอนอื่นๆอีกหลายตอน) ว่าพระคัมภีร์ไม่ได้ สร้างวีรบุรุษให้เราหลงไหล ในแวดวงทั้งคริสเตียนและไม่ใช่คริสเตียนทุกวันนี้แทบไม่ ต่างกัน คนส่วนมากจะมีวีรบุรุษประจำใจ สิ่งนี้ทางฮอลลีวู้ดมีจัดไว้เตรียมเพื่อตอบสนอง ต่อความต้องการของเยาวชน พวกเราที่เป็นผู้ใหญ่มักคิดว่าตัวเองอาบน้ำร้อนมาก่อน อาจเป็นพวกที่ติดดาราทีวีจนงอมแงม แอบส่งของขวัญไปให้กำลังใจวีรบุรุษในจอเหล่านี้ แต่พอวีรบุรุษของคริสเตียนล้มเหลว เราทนแทบไม่ได้ อยากเหวี่ยงเขาไปให้พ้นหน้าพ้นตา เพราะเขาไม่ได้เป็นอย่างที่เราคิด ถ้าผู้นำของเราไม่สามารถทำตามมาตรฐานที่เราตั้งไว้ เราก็พูดกับตัวเองว่า แล้วจะให้เขาเป็นแบบอย่างได้อย่างไร ? ความล้มเหลวของผู้นำ คริสเตียนในสายตาของผู้คนทั่วไป จะมีผลกระทบอย่างรุนแรงต่อชุมชนคริสเตียนใน ที่นั้นๆ

วีรบุรุษเช่นนี้ไม่มีในพระคัมภีร์ ไม่มีชายหรือหญิงคนใดที่มีสัมผัสพิเศษ ทำทุกสิ่งให้ ประสพผลสำเร็จอย่างง่ายดาย ไม่มีการทำผิด ในพระคัมภีร์มีทั้งชายและหญิงที่เต็มไป ด้วยข้อบกพร่อง มีจุดอ่อนเช่นเราทั้งหลาย อย่างที่ยากอบเรียกว่า "เป็นมนุษย์ที่มี สภาพเหมือนกับเราทั้งหลาย" (ยากอบ 5:17) อับราฮัมผู้เคยยินยอมมอบบุตรชาย อิสอัค ยินยอม"ยกภรรยา" นางซาราห์ให้ไปโดยอ้างว่าเป็นน้องสาว (และทำมากกว่าหนึ่ง ครั้ง ดูปฐมกาล 12:13; 20:10-13) ยาโคบชายที่ยังไม่ได้มาตรฐานเซลส์แมนขายรถมือ สองยกโหล ถึงแม้จะมี "คุณลุง" เป็นเจ้าของกิจการด้วยซ้ำไป139 http://www.bible.org/docs/ot/books/1sa/deffin/ เรากำลังเห็นจุดอ่อน ของดาวิด และแน่นอนเรารู้จักคนอย่างกิเดโอน โยนาห์ และเปโตร ในพระคัมภีร์ไม่มีใคร เป็นสามีที่สมบูรณ์แบบ ไม่มีบิดาที่สมบูรณ์แบบ ไม่มีภรรยาที่สมบูรณ์แบบ140 http://www.bible.org/docs/ot/books/1sa/deffin/ พระเจ้าไม่ ต้องการให้เราหลงไหล "บูชา" ในมนุษย์คนใดจนกลายเป็นรูปเคารพของเรา พระองค์ต้อง การให้เราบูชาพระองค์ เมื่อเราบูชามนุษย์ เราไม่เพียงแต่ทำสิ่งที่โง่เขลา แต่เรากำลัง สร้างปัญหาให้กับตัวเราเองและคนที่เราหลงบูชา

เรามาเข้าสู่เรื่องสุดท้ายกัน ผู้เขียนต้องการสอนผู้อ่านถึงสิ่งใดในสมัยนั้น และเนื้อหานี้ สอนสิ่งใดกับเราในสมัยนี้ ? ให้เริ่มจากในสมัยของผู้เขียนก่อน141 เราไม่รู้แน่ชัดว่าพระ ธรรม 1 ซามูเอลนี้เขียนขึ้นเมื่อใด แต่เรารู้ว่าเขียนขึ้นหลังเหตุการณ์ผ่านไปนานพอสมควร และนี่เองทำให้เรารู้จักคำว่าหญิง "คนทรง" ในสมัยพระธรรม 1 ซามูเอล ว่าคือ "ผู้เผย พระวจนะ" ในสมัยของผู้อ่าน (1 Samuel 9:9) เรารู้อีกด้วยว่าเมืองศิกลากที่ถูกมอบให้ กับดาวิดใน 1 ซามูเอล 27 นั้นตกเป็นเมืองในครอบครองของกษัตริย์อิสราเอลมาจนถึง สมัยของผู้อ่าน (1 ซามูเอล 27:6) ดูเหมือนเหตุการณ์ที่บันทึกไว้ในตอนนี้เป็นคำสั่งสอน สำหรับบรรดา "กษัตริย์" ในสมัยที่มีการเขียนพระธรรม 1 และ 2 ซามูเอล และมีการนำมา อ่านเป็นครั้งแรก คุณว่าพวกเขาเห็นอันตรายจากการเป็นพันธมิตรกับต่างชาติไหม ? น่าจะ เห็นนะครับ เพราะนี่คือภัยที่เกิดอย่างสม่ำเสมอตลอดมาในประวัติศาสตร์ของอิสราเอล บทเรียนที่ดาวิดได้รับในฐานะ "กษัตริย์ในอนาคต" นั้น เป็นบทเรียนเดียวกันสำหรับกษัตริย์ ทุกพระองค์รวมทั้ง "กษัตริย์ในอนาคต" ด้วย "

ยังมีบทเรียนสำหรับสามัญชนในยุคนั้นด้วย และบทเรียนเหล่านี้ก็เหมาะสำหรับพวกเราทั้ง หลายในปัจจุบันเช่นกัน แน่นอนเมื่อเริ่มอ่านสองข้อแรกของ 1 ซามูเอล 28 เราต้องหยุด ถามว่า "ดาวิดเอาตนเองเข้าไปอยู่ในสภาพนั้นได้อย่างไร ?" ท่านทำผิดตรงไหน ? ท่าน พลาดไปได้อย่างไร ? ให้เรานำคำถามนี้มาไตร่ตรองให้ดี และด้วยการอธิษฐานขอความ เข้าใจ ผมขอยืนยันว่าคริสเตียนในสมัยนี้ทำผิดได้พอๆกับเมื่อหลายร้อยปีที่แล้ว ปัญหา และการแก้ใขก็ไม่ต่างกัน ผมขอชี้ให้เห็นข้อผิดพลาดบางประการที่ดาวิดได้กระทำ

ประการแรก ดาวิดกำลังตกอยู่ในอาการของ "ความโดดเดี่ยว" ดาวิดเป็นผู้อยู่ใน อุปการะเลี้ยงดูของคนอื่น มีซามูเอล ผู้ไม่เพียงแต่เจิมตั้งให้ท่านเป็นกษัตริย์องค์ต่อไป ของอิสราเอล แต่เป็นคนที่ดาวิดหนีไปพึ่งเมื่อถูกซาอูลตามฆ่า (1 ซามูเอล 19:18-24) ยังมีอาบียาร์ธาร์ทายาทของอาหิเมเลขที่หนีตามดาวิดมาพร้อมด้วยเอโฟด (1 ซามูเอล 22:20-23; 23:6) มีโยนาธานที่คอยหนุนหลังอยู่ ให้ความมั่นใจว่าดาวิดจะได้ขึ้นครอง เป็นกษัตริย์องค์ต่อไป (1 ซามูเอล 20:12-17, 41-42; 23:15-18) แล้วยังมีอาบีกายิล ที่เป็นกำลังใจให้อย่างมาก ทำให้ท่านทำในสิ่งที่ถูกต้องในฐานะกษัตริย์องค์ต่อไปของ อิสราเอล (1 ซามูเอล 25:26-31)

ถึงแม้ดาวิดจะมีคนคอยช่วยเหลืออยู่มาก ดูเหมือนท่านจะไม่ค่อยเปิดเผยตัวตนนัก คำพูด ใน 27:1 นั้นท่านพูดกับตนเอง ดาวิดเป็นโรคที่ผมขอเรียกว่า "สู้อย่างโดดเดี่ยว" เป็น เพราะความรู้สึก "โดดเดี่ยว" นี้เองที่ทำให้วิญญาณต้องดิ้นรนต่อสู้กับความเจ็บปวดตาม ลำพัง ถึงแม้ผู้เผยพระวจนะอย่างเอลียาห์ก็ยังถูกโจมตีด้วยอาการในแบบเดียว :

9 ที่นั่นท่านมาถึงถ้ำแห่งหนึ่งก็เข้าพักอยู่ และดูเถิด พระวจนะ ของพระเจ้ามาถึงท่าน และพระองค์ตรัสกับท่านว่า "เอลียาห์เอ๋ย เจ้าทำอะไรอยู่ที่นี่" 10 ท่านทูลว่า "ข้าพระองค์ร้อนรนเพื่อพระเย โฮวาห์พระเจ้าจอมโยธา ยิ่งนัก เพราะประชาชนอิสราเอลได้ทอด ทิ้งพันธสัญญาของพระองค์ พังแท่นบูชาของพระองค์ลงเสีย และ ประหารผู้เผยพระวจนะของพระองค์เสียด้วยดาบ และข้าพระองค์ ข้าพระองค์แต่ผู้เดียวเหลืออยู่และเขาทั้งหลายแสวงชีวิตของ ข้าพระองค์เพื่อจะเอาไปเสีย" (1 พกษ. 19:9-10)

13 และเมื่อเอลียาห์ได้ยินท่านก็เอาผ้าคลุมหน้าไว้ ออกไปยืน อยู่ที่ปากถ้ำ และดูเถิด มีเสียงมาถึงท่านว่า "เอลียาห์เอ๋ย เจ้า ทำอะไรอยู่ที่นี่" 14 ท่านทูลว่า "ข้าพระองค์ร้อนรนเพื่อพระเยโฮ วาห์พระเจ้าจอมโยธายิ่งนัก เพราะว่าประชาชนอิสราเอลได้ทอด ทิ้งพันธสัญญาของพระองค์ พังแท่นบูชาของพระองค์ลงเสีย และ ประหารผู้เผยพระวจนะของพระองค์เสียด้วยดาบ และข้าพระองค์ ข้าพระองค์แต่ผู้เดียวเหลืออยู่ และเขาทั้งหลายแสวงชีวิตของข้า พระองค์เพื่อจะเอาไปเสีย" (1 พกษ. 19:13-14)

เมื่อใดก็ตามที่เราคิดว่าเรากำลังต่อสู้ดิ้นรนเรื่องฝ่ายวิญญาณอย่างโดดเดี่ยว เราก็กำลัง หลอกตัวเอง และเร่งไปสู่ความตกต่ำฝ่ายวิญญาณ ดาวิดดูจะตกอยู่ในสถานการณ์ "สู้ อย่างโดดเดี่ยว" นี้ในความคิดของตนเอง ท่านไม่ได้แสวงหาการทรงนำจากพระเจ้า ทั้งๆ ที่พระองค์พร้อมและคอยอยู่ แต่ท่านไม่ต้องการทำ

ประการที่สอง ดาวิดมักจะหลงลืมในสิ่งที่ควรจะจำ อาการนี้น่าเป็นห่วงมากครับ ชน ชาติอิสราเอลหลงลืมอยู่ร่ำไปว่าพระเจ้าได้จัดเตรียมและนำพวกเขาอย่างสัตย์ซื่อตลอดมา ทั้งอดีตที่ไกลและไกล้ ในเฉลยธรรมบัญญัติโมเสสย้ำเตือนคนอิสราเอลอยู่ตลอดเวลาให้ "จดจำ" ทุกสิ่งที่พระเจ้ากระทำให้ และเตือนไม่ให้ "หลงลืม" สิ่งเหล่านั้น ดาวิดลืมหมด สิ้นโดยเลือกที่จะหนีออกไปจากแผ่นดินอิสราเอลและไปหาความคุ้มครองในแผ่นดินฟิลิส เตียแทน ดาวิดลืมถ้อยคำที่พระเจ้าตรัสผ่านมาทางซามูเอลและคนอื่นๆ ท่านลืมการช่วยกู้ ให้พ้นจากซาอูลหลายครั้งหลายครา ท่านลืมคำสั่งของผู้เผยพระวจนะกาดที่ให้ออกมาจาก ที่กำบังเข้มแข็ง (แน่นอนอยู่นอกประเทศ) และกลับคืนสู่แผ่นดินยูดาห์ (1 ซามูเอล 22:5) ท่านลืมคำพูดที่ตนเองที่พูดไว้ไม่นาน ถึงพระพรที่จะได้รับเมื่ออยู่ในแผ่นดิน และคำสาป แช่งถ้าต้องจากไป (บทที่ 26) ดาวิดลืมแม้กระทั่งความหายนะที่ท่านเผชิญเมื่อครั้งหนีไป พึ่งอาคีชที่เมืองกัท (21:10-15) การหลงลืม (คำสั่งของพระเจ้า พันธสัญญา และความ สัตย์ซื่อของพระองค์) มักเป็นจุดเริ่มต้นของความล้มเหลวที่นำพาไปสู่ความหายนะ

ประการที่สาม ดาวิดดูเหมือนจะปิดหูปิดตาต่อสิ่งที่ท่านกระทำและผลลัพท์ของมัน ท่านพยายามทำให้ดูเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อย ท่านไม่ต้องการล้มเหลว และไม่ได้ต้องการ จะเข้าไปอยู่ในกองทัพของฟิลิสเตียเพื่อไปต่อสู้กับซาอูล กับโยนาธานและทหารอิสราเอล ที่ท่านอยากทำคือหลบไปจากอิสราเอลสักพัก เพื่อให้ซาอูลผ่อนลงและล้มเลิกการตามฆ่า แต่การทำบาปหนึ่งเป็นประตูที่เปิดออกไปสู่บาปอื่นๆ และอื่นๆอีก และนี่คือสิ่งที่เกิดกับ ดาวิด สถานการณ์จากแย่เป็นตกต่ำลงเรื่อยๆ และดาวิดตกลงไปลึกมากจนหาทางกลับขึ้น มาไม่ได้ มันเริ่มจากสิ่งที่ดูเหมือนความเชื่อที่คลอนเล็กน้อย แต่จบลงในสถานการณ์ที่ ร้ายแรงที่ดาวิดเริ่มรู้สึกว่าตนเองเป็นเหมือนโกลิอัท ที่ต้องออกไปสู้กับกษัตริย์ซาอูลและ ชนชาติอิสราเอล

ประการที่สี่ การตัดสินใจของดาวิดนั้นกระทำตามที่ "ตาเห็น" มากกว่าทำด้วย "ความเชื่อ" ดาวิดไม่ได้มองสถานการณ์ที่ท่านกำลังเผชิญอยู่ด้วยสายตาของความเชื่อ แต่ด้วยสายตาของมนุษย์ ท่านประเมินสถานการณ์ตามแบบมนุษย์ เป็นการไม่ใส่ใจต่อการ จัดเตรียมของพระเจ้าในอดีต พระสัญญาและการเปิดเผยของพระองค์ ดาวิดใช้สายตา ของมนุษย์ และที่ท่านเห็นก็คือความตายแน่นอนถ้าขืนอยู่ต่อไปในอิสราเอล "ความหวัง" เดียวของท่านอยู่ในความเมตตา อำนาจ และความคุ้มครองของกษัตริย์ต่างชาติ นี่ไม่ใช่ความเชื่อ แต่เป็นความกลัวที่กำลังมีอำนาจอยู่เหนือท่าน

ประการที่ห้า ความล้มเหลวของดาวิดไม่ได้เกิดจากการตอบสนองต่อชัยชนะที่ ท่านได้มา หรือเป็นการทดลอง หรือเหตุการใหญ่ใดๆ ผมคิดว่า เราคงรู้สึกดีกว่านี้ ถ้าการตอบสนองของดาวิด จะเป็นไปอย่างตื่นตระหนก หรือนิ่งงันไปด้วยความตกใจ หรือ ต่อต้าน หรืออยากลองดี แต่ความจริงก็คือในพระคัมภีร์ไม่ได้พูดเช่นนั้น เรื่องก็คือความล้ม เหลวของดาวิดในบทที่ 27 นั้นจ่ออยู่ติดกับ"ความสำเร็จ"ใน บทที่ 26 ซึ่งไม่ต่างไปจาก เอลียาห์ซึ่งกลายเป็นมนุษย์ถ้ำไป (ขอโทษครับ) หลังจากพึ่งมีชัยชนะบนภูเขาคารเมลมา หยกๆ

สิ่งนี้เกี่ยวกับความล้มเหลวของดาวิดในบทที่ 27 อย่างไร ? ผมคิดว่าผมพอรู้ มันเป็นศัตรู ตัวฉกาจตัวหนึ่งในชีวิตคริสเตียนทีเดียว – ความเหนื่อยล้า ให้เราลองมาฟังคำหนุนใจ ในเรื่องความเหนื่อยล้ากันดู :

9 อย่าให้เราเมื่อยล้าในการทำดี เพราะว่าถ้าเราไม่ท้อ ใจแล้ว เราก็จะเกี่ยวเก็บในเวลาอันสมควร (กาลาเทีย 6:9) 13 ดูก่อนพี่น้องทั้งหลาย ท่านอย่าอ่อนใจที่จะกระทำ การดีเลย (2 เธสะโลนิกา 3:13)

ท่านทั้งหลายจงคิดถึงพระองค์ผู้ได้ทรงยอมทนต่อคำ คัดค้านของคนบาป เพื่อว่าท่านทั้งหลายจะได้ไม่รู้สึก ท้อถอย (ฮีบรู 12:3)

1 "จงเขียนถึงทูตสวรรค์แห่งคริสตจักรที่เมืองเอเฟซัส ว่า 'พระองค์ผู้ทรงถือดาวทั้งเจ็ดไว้ในพระหัตถ์เบื้องขวา และดำเนินอยู่ท่ามกลางคันประทีปทองคำทั้งเจ็ดนั้นตรัส ดังนี้ว่า 2 "'เรารู้จักแนวการกระทำของเจ้า รู้ความเหนื่อย ยากและความอดทนของเจ้า และรู้ว่าเจ้าไม่สามารถทน ต่อทุรชนได้ เจ้าได้ลองใจคนเหล่านั้นที่อวดว่าเป็นอัครทูต แต่หาได้เป็นไม่ และเจ้าก็เห็นว่าเขาเป็นคนมุสา 3 เรารู้ว่า พวกเจ้ามีความอดทน และเหนื่อยยากเพราะเห็นแก่นาม ของเรา และมิได้อ่อนระอาไป (วิวรณ์ 2:1-3)

ผมคิดว่าดาวิดเหนื่อยล้าในการกระทำดี ลองคิดดู ท่านระหกระเหินมาพักใหญ่ ซาอูล ตั้งค่าหัวท่าน แล้วยังถูกคนในเผ่าเดียวกัน เผ่ายูดาห์ (เช่นชาวศีฟ) หักหลังเข้าข้าง ซาอูลอีก ดาวิดมีส่วนทางอ้อมรับผิดชอบต่อการตายของพวกปุโรหิตและครอบครัว ท่านทำให้บุตรชายโยนาธาน และมีคาลบุตรหญิงของซาอูลต้องแตกแยกจากครอบครัว ท่านนำชีวิตครอบครัวของท่านมาเสี่ยงตาย ท่านต้องนำพวกเขาไปให้อยู่ในความดูแล ของกษัตริย์โมอับ ดาวิดมีผู้ติดตามอยู่ถึง 600 คน และคนเหล่านี้ต่างก็มีครอบครัวให้เป็น ห่วงเป็นใย ภาระหนักขนาดนี้ทำให้ท่านอ่อนล้าลง แต่กล่าวได้ว่ายังไม่ถึง"จุดระเบิด"ที เดียวนัก เพียงแค่ "เหนื่อยล้า" เต็มทนและไม่คิดจะฝืนทนต่อไป

เป็นสิ่งที่ผิด แต่ก็เป็นวิถีเดียวกับที่ประชากรของพระเจ้าล้มเหลวมาแล้วหลายศตวรรษทั้งๆ ที่ไม่ควรเป็น พวกเราทั้งหลายที่รู้สึกเหนื่อยล้าจึงต้องเข้ามาพึ่งองค์พระผู้เป็นเจ้าเพื่อเสริม กำลังขึ้นมาใหม่ เราจำต้องเข้าใจว่า ในความเหนื่อยล้าของเรานั้น พระเจ้าจะสำแดงความ ยิ่งใหญ่ของพระองค์ให้ปรากฎ :

28 ท่านไม่เคยรู้หรือ ท่านไม่เคยได้ยินหรือ พระเจ้าทรงเป็น พระเจ้าเนืองนิตย์ คือพระผู้สร้างที่สุดปลายแผ่นดินโลก พระองค์มิได้ทรงอ่อนเปลี้ยหรือเหน็ดเหนื่อย ความเข้า พระทัยของพระองค์ก็เหลือที่จะหยั่งรู้ได้ 29 พระองค์ ประทานกำลังแก่คนอ่อนเปลี้ย และแก่ผู้ที่ไม่มีกำลัง พระองค์ทรงเพิ่มแรง 30 แม้คนหนุ่มๆจะอ่อนเปลี้ยและ เหน็ดเหนื่อย และชายฉกรรจ์จะล้มลงทีเดียว 31 แต่เขา ทั้งหลายผู้รอคอยพระเจ้าจะเสริมเรี่ยวแรงใหม่ เขาจะ บินขึ้นด้วยปีกเหมือนนกอินทรี เขาจะวิ่งและไม่เหน็ดเหนื่อย เขาจะเดินและไม่อ่อนเปลี้ย (อิสยาห์ 40:28-31)

28 "บรรดาผู้ทำงานเหน็ดเหนื่อยและแบกภาระหนักจงมาหา เรา และเราจะให้ท่านทั้งหลายหายเหนื่อยเป็นสุข 29 จงเอา แอกของเราแบกไว้ แล้วเรียนจากเรา เพราะว่าเราสุภาพและ ใจอ่อนน้อม และจิตใจท่านทั้งหลายจะได้พัก 30 ด้วยว่าแอก ของเราก็พอเหมาะ และภาระของเราก็เบา" (มัทธิว 11:28-30)

7 และเพื่อไม่ให้ข้าพเจ้ายกตัวจนเกินไป เนื่องจากที่ได้เห็นการ สำแดงมากมายนั้น ก็ทรงให้มีหนามใหญ่ในเนื้อของข้าพเจ้า หนามนั้นเป็นทูตของซาตานคอยทุบตีข้าพเจ้าเพื่อไม่ให้ข้าพเจ้า ยกตัวเกินไป 8 เรื่องหนามใหญ่นั้น ข้าพเจ้าวิงวอนองค์พระผู้เป็น เจ้าถึงสามครั้ง เพื่อขอให้มันหลุดไปจากข้าพเจ้า 9 แต่พระองค์ ตรัสกับข้าพเจ้าว่า "การที่มีคุณของเราก็พอแก่เจ้าแล้ว เพราะ ความอ่อนแอมีที่ไหน เดชของเราก็มีฤทธิ์ขึ้นเต็มขนาดที่นั่น" เหตุฉะนั้น ข้าพเจ้าจึงภูมิใจในบรรดาความอ่อนแอของข้าพเจ้า เพื่อฤทธิ์เดชของพระคริสต์จะได้อยู่ในข้าพเจ้า 10 เหตุฉะนั้น เพราะเห็นแก่พระคริสต์ ข้าพเจ้าจึงชื่นใจในบรรดาความอ่อน แอของข้าพเจ้า ในการประทุษร้ายต่างๆในความยากลำบาก ในการถูกข่มเหง ในความอับจน เพราะว่าข้าพเจ้าอ่อนแอเมื่อใด ข้าพเจ้าก็จะแข็งแรงมากเมื่อนั้น (2 โครินธ์ 12:7-10)

ผมรู้จักเยาวชนหลายคนที่ยอมรับเอาองค์พระเยซูคริสต์ และตั้งใจจะดำเนินชีวิตให้เป็นที่ พอพระทัยพระเจ้า หนุ่มสาวเหล่านี้บอกปฏิเสธภาพลามกอนาจาร ปฏิเสธการมีเพศสัมพันธ์ ก่อนแต่งงาน ไม่ยอมประนีประนอมกับความบาป ไม่เสพย์สิ่งเสพย์ติด แต่แล้ววันหนึ่งพวก เขารู้สึกอ่อนล้า และในช่วงขณะนั้นพวกเขาละทิ้งความตั้งใจที่จะติดตามพระเจ้าไปอย่าง ไม่ใยดี อาจจะไม่ได้เกิดขึ้นในทันทีทันใด แต่เริ่มอ่อนข้อรามือ เริ่มยอมตาม และในที่สุด ก็นำไปสู่ทางแห่งความพินาศ

ผมรู้ว่าขณะนี้มีหลายคู่ที่ชีวิตแต่งงานจวนเจียนจะพัง สามีหรือภรรยาเกิดความไม่พอใจ ต่อคู่ของตนเองและต่อชีวิตแต่งงานอย่างรุนแรง เช่นเดียวกับดาวิด พวกเขาตกลงปลง ใจกันตามหลักเกณฑ์ของพระคัมภีร์ กล่าวยืนยันจะร่วมชีวิตกันตลอดไป พวกเขาตระหนัก และยอมรับว่าการแต่งงานนั้นเป็นเหมือนภาพสะท้อนฝ่ายโลกของพระคริสต์และคริสตจักร แต่แล้ว พวกเขาก็อ่อนล้าต่่อการต่อสู้ดิ้นรน ยอมล้มเลิกอย่างง่ายดาย โยนข้อผูกมัดที่มี ต่อกันและกันและต่อหน้าพระเจ้าทิ้งไปอย่างไม่ใยดี ชีวิตแต่งงานของครอบครัวคริสเตียน หลายคู่ที่ผมเฝ้าดูอยู่ แหลกละเอียดลงไปเพราะผลของความเหนื่อยล้าจากฝ่ายใดฝ่าย หนึ่งหรือจากทั้งคู่

สิ่งเดียวกันนี้เกิดขึ้นในแวดวงธุรกิจของคริสเตียน ผู้เชื่อทั้้งหลายรู้ว่าต้องลงแข่งกันใน สนามชั้นเชิงธุรกิจกับบรรดาคู่แข่ง พวกเขาไม่เพียงแต่ทำตามกฎหมายบ้านเมืองเท่านั้น แต่ดำเนินตามหลักการของพระวจนะด้วย เมื่อต้องประมูลงาน เขาใช้ตัวเลขตามจริง และ รู้ว่าจะถูกตัดราคาเพียงเพื่อหาทางเอาคืนทีหลัง และบริษัทคริสเตียนทั้งหลายก็หมดกำลัง ใจท้อแท้ที่ต้องเสียงาน เสียกำไรไปครั้งแล้วครั้งแล่า จึงเริ่มหันมามองที่สาเหตุและยอม ประนีประนอมตามวิถีทางของโลก มากกว่าตามความเชื่อและการเชื่อฟัง

เพื่อนที่รัก ขอให้เราเรียนจากดาวิดว่าถึงแม้ผู้ที่มีหัวใจสัตย์ซื่่อต่อพระเจ้า ก็ยังมีสิทธิที่จะ ล้มเหลว แต่ข่าวดีคือ ถึงแม้ความเชื่อของเราจะล้มเหลว แต่พระเจ้ายังทรงไว้ซึ่งความ สัตย์จริง

13 ถ้าเราไม่มีความสัตย์จริง พระองค์ก็ยังทรงไว้ซึ่ง ความสัตย์จริง เพราะพระองค์จะไม่ทรงเป็นพระองค์ เองไม่ได้ (2 ทิโมธี 2:13)

ให้เรายอมมอบตนไว้กับพระองค์ผู้ทรงสัตย์ซื่อ ผู้ทรงเสริมกำลังให้กับผู้อ่อนแอ ให้เรายอม รับในความอ่อนแอของตนเอง และวางใจในพระองค์


131 คำถามนี้ไม่ใช่คำถามใหม่หรือประหลาด เราอาจเคยถามว่าอับราฮัมไปทำอะไรที่ในอียิปต์ ไป บอกใครๆว่าภรรยาเป็นน้องสาว (ปฐมกาล 12) เราหด้ยินว่าพระเจ้าตรัสถามเอลีหยาห์ที่โฮเรบ ภู เขาของพระเจ้า (1 พกษ. 19:9) เราอยากจะถามคำถามเดียวกันกับเปโตรเมื่อตอนที่ท่านไปนั่งผิง ไฟอยู่กับพวกที่คิดจะตรึงพระเยซู (มาระโก 14:66)

132 เท่าที่ผมเห็นในพระคัมภีร์เดิม คำว่า "สักวันหนึ่ง" (บางครั้งอ่านแล้วแปลได้ว่า "บางวัน") มักจะเจาะจงถึงวันใดวันหนึ่ง

133 ฉบับภาษาอังกฤษใช้คำว่า "ดาวิดพูดกับตนเอง" แต่ในภาษาไทยใช้คำชัดเจนว่า "ดาวิดนึก หรือ คิดอยู่ในใจ"

134 Dale Ralph Davis ชี้ให้เห็นถึงคำว่า "พินาศ" ที่ดาวิดใช้ซ้ำกับ 26:10 เมื่อท่านบอกกับ อาบีชัยว่าพระเจ้าจะทำลายซาอูลในเวลาของพระองค์ เช่น ซาอูลอาจออกไปทำสงครามและ ‘พิ นาศเสีย’ ตอนนี้ดาวิดกลับเชื่อว่าท่านเองกำลังจะ ‘พินาศเสีย’ เช่นกันด้วยฝีมือของซาอูลถ้ายัง ขืนอยู่ต่อไปในอิสราเอล กลายเป็นกลับตาลปัตร ค้านกับการที่พระเจ้าได้ปกป้องมาตลอด ค้านกับ สิ่งที่พระเจ้าย้ำผ่านโยนาธานและอาบีกายิล ดาวิดกลับแน่ใจว่าท่านเองจะต้อง "พินาศ" - จากข้อ เขียนของ Dale Ralph Davis ในหนังสือ Looking on the Heart: Expositions of the Book of 1 Samuel (Grand Rapids: Baker Books, 1994), vol. 2, p. 140.

135 จากหนังสือของ Dale Ralph Davis, vol. 2, p. 140.

136 ผู้ติดตามเหล่านี้มีส่วนสำคัญในการตัดสินใจไปลี้ภัยที่เมืองกัทหรือเปล่า แม้แต่ดาวิดเอง ยังนำบิดามารดาไปอยู่ที่โมอับ (22:3-4)? ผมสงสัยว่าทั้งกลุ่มนี้อยู่ในถ้ำด้วยหรือเปล่าในบทที่ 24 ครอบครัวของบรรดาผู้ติดตามดาวิดอาจเผชิญภัยจากซาอูล (ยังจำอาหิเมเลขในบทที่ 22ได้หรือ ไม่?) ยิ่งดาวิดและพรรคพวกหลบหนีนานเท่าใด (โดยเฉพาะเมื่อดาวิดไม่ยอมฆ่าซาอูลเมื่อมี โอกาส) คนเหล่านี้ยิ่งต้องการกลับไปหาครอบครัวมากขึ้นเท่านั้น

137 เราอาจสงสัยว่าอาบีกายิลคิดอย่างไรกับแผนการหนีไปพึ่งอาคีชของดาวิดในครั้งนี้ เราอาจ สงสัยว่าท่านปรึกษานางหรือเปล่า อาบีกายิลอาจไม่กล้ามากเท่ากับครั้งก่อน และบางทีอาจเป็น เหตุผลที่ดีก็ได้

138 ครั้งแรกที่ดาวิดหนีไปหาอาคีชในบทที่ 21 คนรับใช้ของอาคีชเป็นคนเตือนให้เห็นถึงอันตราย ในการให้คนอิสราเอลที่มีชื่อเสียงในการฆ่าคนฟิลิสเตียมาอยู่ด้วย (21:11-12) ในบทที่ 29 แม่ทัพ ฟิลิสเตียเองปฏิเสธไม่ให้ดาวิดเข้าร่วมรบต่อสู้กับอิสราเอลด้วย (29:1-5) แต่อาคีชถูกดาวิดหลอก เสียอยู่หมัด

139 OK ผมยอมรับว่าอาจจะพูดเกินเลยไปนิด เพราะยากที่จะแยกแยะได้ว่าใครร้ายกว่ากัน ยาโคบ หรือลุงของท่าน ลาบัน ในพระคัมภีร์ใหม่ผมไม่เห็นคนยิวที่ไหนเที่ยวไปโม้ว่าตัวเองสืบเชื้อสายมา จากยาโคบเลย

140 "ภรรยาในอุดมคติ" ในพระธรรมสุภาษิตเป็นเพียงอุดมคติ เป็นภรรยาที่เพียบพร้อม มาตรฐาน สูงชนิดที่ไม่มีภรรยาคนใดทำได้ ยอมรับกันเถอะครับคุณภรรยาทั้งหลาย ในอีกมุมมองหนึ่งผู้หญิง ที่สมบูรณ์แบบเกินไปนี้น่ารังเกียจนะครับ

141 เพื่อนวัยเดียวกันกับผม ฮิวจ์ เบลวิน ชี้ประเด็นนี้ให้เห็น ทำให้ผมรู้สึกเป็นหนี้บุญคุณมากครับ

Related Topics: Introductions, Arguments, Outlines

Report Inappropriate Ad