MENU

Where the world comes to study the Bible

บทที่ 20: ซาอูลบันดาลโทสะ (1 ซามูเอล 22:5 --23:14)

คำนำ

เพื่อนผมเคยเล่าเรื่องที่คนแก่คร่ำครวญถึงอาการที่มากับวัยชรา "ยายไม่ค่อยกังวลเรื่อง ต้องถอดแว่นก่อนนอน ไม่เคยกังวลว่าจะลืมถอดฟันปลอมหรือเปล่า รวมถึงเรื่องเครื่อง ช่วยฟังด้วยที่ต้องวางไว้ใกล้ๆตัวก่อนนอน ยายไม่กังวลเรื่องสายตาที่พร่ามัว ฟันที่หลุด ไปทีละซี่สองซี่ หูที่ได้ยินบ้างไม่ได้ยินบ้าง -- แต่ยายคิดถึงความจำของยาย!"

พวกเราบางคนอาจจะยังไม่แก่พอที่จะเข้าใจเรื่องคิดถึงความจำ แต่คงสงสัยว่ามันเป็น ยังไง ถ้าจะเป็นใครสักคนที่รู้สึก "คิดถึงความจำของตนเอง" ก็น่าจะเป็นกษัตริย์ซาอูล มาจนถึงตอนนี้ ซาอูลมีปัญหามากมายในชีวิต ท่านเคยยินดีที่มีดาวิดคอยเล่นพิณขับ กล่อมยามท่านมีปัญหา (16:14-23) ท่านชื่นชมยินดี เมื่อดาวิดกำจัดโกลิอัทลงได้ (บทที่ 17; ดู 19:5 ด้วย) แต่เมื่อพวกผู้หญิงของอิสราเอลร้องเพลงในงานเฉลิมฉลอง ยกย่องดาวิดให้เหนือกว่าซาอูล ท่านเริ่มมองดาวิดด้วยสายตาไม่ไว้วางใจ (18:6-9) เมื่อความอิจฉาเข้าครอบงำท่านโดยไม่ทันตั้งตัว ท่านพยายามฆ่าดาวิดด้วยวิธีที่ไม่ทำ ให้ตนดูเสื่อมเสียในสายตาประชาชน (18:10-29) แต่ทำได้ไม่นาน ซาอูลอดไม่ได้ ออก คำสั่งให้คนอื่นไปฆ่าแทน (19:1) โยนาธานสามารถยับยั้งเรื่องนี้ไว้ได้ชั่วคราว (19:1-7) แต่แล้วซาอูลก็พุ่งหอกใส่บุตรของตนเอง (20:33) ถึงแม้ซาอูลพยายามหลายๆวิธี ที่จะฆ่าดาวิด พระเจ้าทรงช่วยดาวิดไว้เสมอ แต่แล้วก็มาถึงจุดที่ดาวิดต้องหลบหนีไปให้ พ้นหน้าซาอูล ท่านหนีไปหาอาหิเมเลค มหาปุโรหิตผู้ทูลถามพระเจ้าให้ท่าน (22:10, 15) และมอบขนมปังบริสุทธิ์ให้ไปเป็นเสบียง พร้อมทั้งมอบดาบโกลิอัทให้ไป (21:1-9) บทเรียนตอนนี้เป็นผลสืบเนื่องต่อจากเหตุการณ์ในครั้งนั้น

เมื่อเข้าสู่บทที่ 22 เรามองเห็นกษัตริย์ที่ควบคุมตนเองไม่ได้ ถ้าพูดตามหลักจิตเวช ซาอูลต้องเข้ารับการบำบัดด่วนที่โรงพยาบาลโรคประสาท ความโกรธ ความอิจฉา คุ้มคลั่งเริ่มรุนแรงและออกอาการมากขึ้นทุกที ท่านแทบควบคุมตัวเองไม่ได้อีกต่อไป ในบทเรียนตอนนี้ ซาอูลมาถึงขีดตกต่ำที่สุดในชีวิตของท่าน เพราะความที่ท่านกลัว ดาวิด ท่านได้ฆ่าคนที่บริสุทธิ์ไปเสียมากมาย ความอิจฉาอย่างรุนแรงที่ครอบงำท่าน อยู่ทำให้ท่านสั่งฆ่าบรรดาปุโรหิต เป็นการกระทำที่ขาดความยั้งคิดโดยสิ้นเชิง

ในบัญญัติเรื่องความรับผิดชอบและหน้าที่ีสำหรับอิสราเอลและผู้เป็นกษัตริย์นั้น เราพบ ว่ามีตอนที่พูดถึงปุโรหิตไว้ดังนี้ :

8 "ถ้าคดีใดเกิดขึ้นเป็นเรื่องยากที่จะตัดสินได้ว่าเป็นคดีฆ่าคนตาย โดยเจตนาหรือไม่ เป็นคดีเกี่ยวด้วยการเกี่ยงกรรมสิทธิ์ในทรัพย์ เป็นคดีทำร้ายร่างกาย เป็นคดีใดๆซึ่งโต้แย้งกันในเมืองของท่าน ท่านจงลุกขึ้นพากันไปยังสถานที่ซึ่งพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่าน ทรงเลือกไว้ 9 จงไปหาคนเลวีซึ่งเป็นปุโรหิต และไปหาผู้พิพากษา ประจำการในสมัยนั้น ท่านจงปรึกษาหารือกับเขา และเขาจะชี้แจง ให้ท่านทราบถึงคำตัดสิน 10 แล้วท่านจงกระทำตามซึ่งเขาชี้แจงแก่ ท่านจากสถานที่ซึ่งพระเจ้าทรงเลือกนั้น และท่านจงระวังกระทำ ตามทุกสิ่งซึ่งเขาแนะนำท่าน 11 ท่านจงกระทำตามคำแนะนำซึ่ง เขาให้แก่ท่าน และกระทำตามคำตัดสินซึ่งเขาได้สั่งท่าน ท่านทั้ง หลายอย่าหันเหไปจากคำตัดสินซึ่งเขาชี้แจงแก่ท่าน อย่าหันไป ทางขวามือหรือซ้ายมือ 12 ผู้ใดที่ขัดขืนมิได้กระทำตาม คือ ไม่ได้ เชื่อฟังปุโรหิตผู้ที่ยืนปรนนิบัติ พระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านที่นั่น หรือเชื่อฟังผู้พิพากษาผู้นั้นต้องตาย ทั้งนี้เพื่อท่านทั้งหลายจะกำ จัดความชั่วเสียจากอิสราเอล 13 และประชาชนทั้งหลายจะได้ยิน และยำเกรง และมิได้ขัดขืนต่อไปอีก
(เฉลยธรรมบัญญัติ 17:8-13)

กษัตริย์ซาอูลไม่ได้คิดจะฆ่าแค่ปุโรหิตท่านเดียว แต่ต้องการจะประหารปุโรหิตทั้งหมด และครอบครัวของพวกเขาด้วย -- ถึงแม้จะมีพระบัญญัติของพระเจ้าที่กำกับให้อิสราเอล และกษัตริย์มีความเคารพและเชื่อฟังปุโรหิตอยู่ก็ตาม ให้เรามาดูบทเรียนตอนนี้กันให้ รอบคอบ ดูว่าซาอูลมาถึงขีดที่ตกต่ำเช่นนี้ได้อย่างไร และพระเจ้าต้องการให้เราเรียน รู้สิ่งใดจากพระธรรมตอนนี้

คำแนะนำจากท่านผู้เผยพระวจนะ
(22:5)

5 แล้วผู้เผยพระวจนะกาดกล่าวแก่ดาวิดว่า "ท่านอย่าอยู่ ในที่กำบังเข้มแข็งนี้เลย จงไปเข้าในแผ่นดินยูดาห์เถิด" ดาวิดก็ไปและมาอยู่ในป่าเฮเรท

ดูเหมือนสาเหตุหนึ่งที่ดาวิดไปหามหาปุโรหติอาหิเมเลคคือต้องการขอคำแนะนำจาก พระเจ้า อย่างน้อยนี่คือสิ่งที่โดเอกรายงานให้ซาอูลทราบ และดูเหมือนอาหิเมเลคจะ ยืนยันในสิ่งเดียวกันด้วย (22:10, 15) เนื่องจากดาวิดปกปิดความจริงเรื่องท่านหลบหนี มาจากซาอูล จึงไม่มีผู้ใดรู้ว่าอาหิเมเลคให้คำแนะนำใดแก่ท่าน แต่เรารู้ว่า หลังจากนั้น ดาวิดรีบหนีออกนอกประเทศ ท่านไปที่เมืองกัท และถูกขับไล่ออกมาเพราะเป็นคนบ้า (21:10-15) ท่านหนีไปซ่อนตัวอยู่ที่ในถ้ำอดุลลัม (22:1-2) จากนั้นไปยังแผ่นดินโมอับ (22:3-4) เพื่อนำบิดามารดาไปฝากไว้ และอาจไปหาที่หลบซ่อนตัวอยู่ก็เป็นได้94

เช่นเดียวกับเมลคีเซเดคในปฐมกาลบท 14 ผู้เผยพระวจนะกาดปรากฎตัวออกมาจากที่ ใดไม่มีใครทราบ ท่านมาบอกกับดาวิดไม่ให้หลบซ่อนตัวอีกต่อไป แต่ให้กลับเข้าไปยัง ดินแดนยูดาห์เสีย ถ้าผมเข้าใจถูกต้อง ท่านกำลังบอกให้ดาวิดเลิกซ่อนตัวอยู่นอกประ เทศเสียที ดาวิดควรกลับเข้ามาหาที่พึ่งพิงในอิสราเอลแทน โดยเฉพาะกลับมายังดิน แดนที่เผ่าของท่านปักหลักอาศัยอยู่ คือแผ่นดินยูดาห์ และยูดาห์นี่แหละเป็นเมืองแรก ที่ยอมรับดาวิดในฐานะกษัตริย์ (2 ซามูเอล 2:4) ดาวิดเชื่อฟัง โดยมาหลบซ่อนตัวอยู่ ที่ป่าเฮเรทแทน ไม่มีใครรู้ตำแหน่งที่ตั้งแน่นอนของป่าเฮเรทนี้ แต่ถ้าไปอ่าน 2 ซามูเอล 18:8 ก็จะพบว่า เป็นสถานที่อันตรายน่ากลัว น่าจะเป็นที่ที่ซาอูลและลูกน้องคงไม่อยาก จะเข้าไปเท่าไร ป่าแห่งนี้น่าจะเหมือนกับป่าเชอร์วู้ดที่โรบินฮูดและพรรคพวกอาศัยอยู่

ซาอูลกำลังสิ้นท่า95 แต่ได้ข้อมูลจากโดเอกคนเอโดมมาช่วย
(22:6-10)

6 ฝ่ายซาอูลทรงทราบว่ามีผู้พบดาวิดและคนที่อยู่กับท่าน เวลานั้นซาอูลประทับที่เมืองกิเบอาห์ใต้ต้นสนหมอก ณ ที่ เนินสูง ทรงหอกอยู่และผู้รับใช้ของพระองค์ก็ยืนอยู่รอบพระ องค์ 7 และซาอูลตรัสกับผู้รับใช้ที่ยืนอยู่รอบพระองค์ว่า "เจ้า ทั้งหลายพวกคนเบนยามิน จงฟังเถิด บุตรของเจสซีจะให้นา และสวนองุ่นแก่เจ้าหรือ จะตั้งเจ้าให้เป็นผู้บังคับการกองพัน กองร้อยหรือ 8 เจ้าทั้งหลายจึงได้คิดกบฏต่อเรา ไม่มีใครแจ้ง แก่เราเลย เมื่อลูกของเราทำพันธไมตรีกับบุตรของเจสซีนั้น ไม่มีผู้ใดร่วมทุกข์กับเรา หรือแจ้งแก่เราว่า ลูกของเราปลุกปั่น ผู้รับใช้ของเราให้ต่อสู้เรา คอยซุ่มดักเราอยู่อย่างทุกวันนี้" 9 โดเอกคนเอโดมซึ่งยืนอยู่ใกล้ผู้รับใช้ของซาอูล จึงทูลตอบว่า "ข้าพระบาทเห็นบุตรเจสซีมาที่เมืองโนบมาหาอาหิเมเลคบุตร อาหิทูบ 10 แล้วเขาก็ทูลถามพระเจ้าให้ท่าน และให้เสบียงอา หาร และให้ดาบของโกลิอัทคนฟีลิสเตียแก่ท่านไป"

ผมยอมรับว่าบางทีก็ปล่อยให้จินตนาการลอยไปไกล พออ่านมาถึงตรงที่ว่าซาอูลนั่งอยู่ ใต้ต้นไม้มือถือหอก ผมอดคิดไม่ได้ว่าถ้าซาอูลอยู่ในสมัยนี้ เขาจะใช้อาวุธแบบใด น่า จะเป็นปืนออโตแมติก 357 เหน็บอยู่ที่สีข้าง มีปืนสั้นคู่ใจวางอยู่ใกล้ตัว หรือถือระเบิด อยู่ในมือ ? ชายคนนนี้เสียสติไปแล้ว ดูเหมือนต้องมีอาวุธอยู่ติดตัว ต้องมีบอดี้การ์ด ล้อมรอบอยู่ตลอดเวลา

ซาอูลคงคิดว่าทั้งโลกกำลังลุกขึ้นมาต่อต้านท่านเพื่อดาวิด มีคำว่าร่วมกันกบฎ อยู่สอง แห่งในพระธรรมตอนนี้ (ในข้อ 8 และ 13) ซาอูลตามที่เห็นในข้อ 8 ถึง 10 เป็นเหมือน พวกขี้โวยเรียกร้องหา "ความยุติธรรม" ท่านกล่าวโทษทุกคนว่าร่วมกันคบคิดแผนการ ต่อต้าน ทั้งๆที่ความจริงแล้วเป็นพระเจ้าต่างหากที่นำอาณาจักรไปเสีย เพราะความบาป ผิดของท่าน (ดู 13:8-14; 15:1-31) ซาอูลพยายามป้ายความรู้สึกผิดไปที่ลูกน้อง โดเอกจึงรายงานต่อท่านเรื่องที่เห็นดาวิดไปพบอาหิเมเลค และอาหิเมเลคทำตามที่ ดาวิดขอร้องโดยบริสุทธิ์ใจ

ไม่ใช่เรื่องแปลกที่ซาอูลกกล่าวหาว่าดาวิดก่อกบฎต่อท่าน แน่นอน เพราะสิ่งนี้อยู่ใน สมองท่านตลอดเวลา แต่ท่านผิดที่คิดว่าดาวิดกำลังคิดกบฎต่อท่าน ดาวิดไม่ได้ "ปลุกปั่น" ผู้ใดเพื่อหาโอกาสกำจัดซาอูลเสียตามที่ท่านกล่าวหา (22:8, 13) ดาวิด เพียงแต่หลบซ่อนตัวอยู่ ไม่ต้องการเผชิญหน้ากับซาอูล ไม่ต้องการตกเป็นเหยื่อการ ตามฆ่าของซาอูล

สิ่งที่มหัศจรรย์ในตอนนี้คือ ข้อกล่าวหาของซาอูลที่มีต่อบุตรของตนเองโยนาธาน จริง อยู่ที่ดาวิดทำพันธสัญญากับโยนาธาน เราคงไม่ประหลาดใจถ้าซาอูลกล่าวหาว่าบุตร ถูกดาวิดครอบงำให้เข้าร่วมก่อการกบฎด้วย แต่ซาอูลกลับกล่าวหาว่าโยนาธานเป็นผู้ ปลุกปั่นดาวิดให้มาต่อสู้ท่าน (22:8) นับเป็นข้อกล่าวหาที่น่าทึ่งที่สุด การ "ร่วมกันก่อ กบฎ" ต่อซาอูลนั้น ถ้านึกย้อนไปที่ต้นตอ มันเริ่มมาจากโยนาธาน ไม่ใช่ดาวิด ซาอูล ผิดเพี้ยนไปใหญ่แล้ว

แต่ทฤษฎีร่วมกันก่อกบฎนี้ยิ่งเพี้ยนมากขึ้น ซาอูลไม่เพียงแต่กล่าวหาว่าโยนาธาน และดาวิดร่วมมือกันก่อกบฎเท่านั้น ท่านยังกล่าวหาลูกน้องของท่านเองอีกด้วย – ว่าทุกคนร่วมมือกัน ! อย่าลืมว่าในขณะที่ท่านนั่งอยู่ใต้ต้นไม้แถวกิเบอาห์นั้น ท่านมีลูก น้องของท่านห้อมล้อมอยู่มากมาย (ข้อ 6) ท่านเริ่มด้วยการพูดทวงบุญคุณเรื่องทรัพย์ สินยศฐาบรรดาศักดิ์ สำหรับผู้ที่ซื่อสัตย์ต่อท่าน คนเบนยามินเป็นคนที่ได้รับผลประ โยชน์มากที่สุดเมื่อมีการแบ่งของที่ริบมาได้ พวกเขาคิดหรือว่าถ้าดาวิดเป็นกษัตริย์เขา จะมีโอกาสได้อย่างนี้ ? แน่นอนไม่มีทาง ท่านยังพูดทวงบุญคุณต่อไปอีกว่าพวกเขาเป็น หนี้ท่าน และถึงเวลาแล้วที่พวกเขาจะต้องทดแทน -- ด้วยการแจ้งเบาะแสของดาวิด ซาอูลกล่าวว่าผู้ใดก็ตามที่ปกปิดข้อมูลของดาวิดก็เท่ากับเป็นผู้คบคิดร่วมกันกบฎต่อ ท่าน โดเอกคนเอโดมจึงเห็นสมควรที่จะให้ข้อมูลเบาะแสของดาวิด ที่เขาเห็นที่โนบ ให้กับซาอูล

โดเอกเห็นดาวิดที่เมืองโนบ เขาเห็นว่าดาวิดมาหาและพูดคุยกับมหาปุโรหิตอาหิเมเลค ท่านปุโรหิตทูลถามพระเจ้าให้ถึงเรื่องของดาวิด และยังให้ขนมปังบริสุทธิ์ไปเป็นเสบียง พร้อมทั้งมอบดาบของโกลิอัทที่ท่านเก็บรักษาไว้ไปอีกด้วย ทุกสิ่งเป็นความจริง แต่โด เอกไม่ได้บอกกับซาอูล (อาจเป็นเพราะไม่รู้) ว่าดาวิดปกปิดมหาปุโรหิตไม่ให้รู้ว่ากำลัง หลบหนีมา ท่านไม่ได้เล่าถึงสิ่งใดให้มหาปุโรหิตฟังด้วยเกรงว่าจะเป็นอันตรายต่อตัว ของอาหิเมเลค แต่ซาอูลไม่ได้อยากรู้ความจริง ท่านกำลังมืดบอดตามัวเพราะความ โกรธ และพร้อมที่จะจัดการกับทุกคนที่หยิบยื่นความช่วยเหลือให้กับคนที่จะมาแย่งชิง บัลลังก์ท่านไป

สังหารหมู่ที่โนบ
(22:11-23)

11 แล้วพระราชาก็ใช้ให้ไปเรียกอาหิเมเลคปุโรหิต บุตรอาหิทูบ และ พงศ์พันธุ์บิดาของท่านทั้งสิ้น ผู้เป็นปุโรหิตเมืองโนบ ทุกคนก็มาหาพระ ราชา 12 และซาอูลตรัสว่า "บุตรอาหิทูบเอ๋ย จงฟังเถิด" เขาทูลตอบว่า "เจ้านายของข้าพระบาท ข้าพระบาทอยู่ที่นี่" 13 และซาอูลตรัสแก่เขาว่า "ทำไมเจ้าจึงร่วมกันกบฏต่อเราทั้งเจ้าและบุตรของเจสซี ในการที่เจ้าได้ ให้ขนมปังและดาบแก่เขา และได้ทูลถามพระเจ้าให้เขา เขาจึงลุกขึ้นต่อ สู้เรา และคอยซุ่มดักเราอยู่อย่างทุกวันนี้" 14 และอาหิเมเลคทูลตอบพระ ราชาว่า "ในบรรดาข้าราชการผู้รับใช้ของฝ่าพระบาท มีผู้ใดเล่าที่จะซื่อ สัตย์อย่างดาวิด พระราชบุตรเขยของพระราชาผู้บังคับบัญชา ทหารราช องครักษ์ และเป็นผู้มีเกียรติในพระราชสำนักของฝ่าพระบาท 15 ในวันนี้ ข้าพระบาทได้ทูลขอพระเจ้าเพื่อเขาจริงหรือ เปล่าเลย ขอพระราชาอย่า ทรงกล่าวโทษสิ่งใดต่อผู้รับใช้ของพระองค์ หรือพงศ์พันธุ์ของบิดาของ ข้าพระบาท เพราะผู้รับใช้ของฝ่าพระบาทไม่ทราบเรื่องนี้เลยไม่ว่า มาก หรือน้อย" 16 พระราชาตรัสว่า "อาหิเมเลค เจ้าจะต้องตายแน่ ทั้งเจ้า และพงศ์พันธุ์บิดาของเจ้าด้วย" 17 และพระราชาก็รับสั่งแก่ราชองครักษ์ ผู้ยืนเฝ้าอยู่ว่า "จงหันมาประหารปุโรหิตเหล่านี้ของพระเจ้าเสีย เพราะว่า มือของเขาอยู่กับดาวิดด้วย เขารู้แล้วว่ามันหนีไป แต่ไม่แจ้งให้เรารู้" แต่ ข้าราชการผู้รับใช้ของพระราชาไม่ยอมลงมือทำกับปุโรหิตของพระเจ้า 18 แล้วพระราชาจึงตรัสกับโดเอกว่า "เจ้าจงไปฟันปุโรหิตเหล่านั้น" โดเอก คนเอโดมก็หันไปฟันบรรดาปุโรหิต ในวันนั้น เขาฆ่าบุคคลที่สวมเอโฟด ผ้าป่านเสียแปดสิบห้าคน 19 และเขาประหารชาวเมืองโนบ ซึ่งเป็นเมือง ของปุโรหิตเสียด้วยคมดาบ ฆ่าเสียด้วยคมดาบ ทั้งผู้ชาย ผู้หญิง เด็ก และเด็กกินนม โค ลาและแกะ 20 แต่บุตรชายคนหนึ่งของอาหิเมเลค บุตรอาหิทูบ ชื่ออาบียาธาร์ได้รอดพ้นและหนีตามดาวิดไป 21 อาบียาธาร์ ก็บอกดาวิดว่าซาอูลได้ประหารปุโรหิต ของพระเจ้าเสีย 22 ดาวิดจึงพูด กับอาบียาธาร์ว่า "ในวันนั้นเมื่อโดเอกอยู่ที่นั่น เรารู้แล้วว่า เขาจะต้องทูล ซาอูลแน่ เราเป็นต้นเหตุแห่งความตายของบุคคลในครอบครัวบิดาของท่าน 23 จงอยู่เสียกับเราเถิด อย่ากลัวเลย เพราะถ้าเขาแสวงชีวิตของท่านก็แสวง ชีวิตของเราด้วย ท่านอยู่กับเราก็จะพ้นภัย"

หลังจากที่ซาอูลพูดขู่ลูกน้องของท่าน โดเอกจึงรายงานเรื่องที่เห็นดาวิดไปพบอาหิเม เลคมหาปุโรหิต แล้วท่านทูลถามพระเจ้าให้ และยังมอบทั้งขนมปังบริสุทธฺ์และดาบของ โกลิอัทให้ไปอีกด้วย ซาอูลคิดว่าแค่นี้ก็เพียงพอแล้ว ในใจท่านคงคิดว่าไม่ใช่อาหิเม เลคผู้เดียวหรอก แต่ต้องเป็นพวกปุโรหิตทั้งหมดที่กำลัง "คบคิดการกบฎ" ต่อต้านท่าน ดังนั้นอาหิเมเลคและปุโรหิตทั้งหมดจึงถูกสั่งให้มาเข้าเฝ้าซาอูลเป็นการด่วน ผมว่าทั้ง คุณและผมคงเดาบรรยากาศอันน่าสะพรึงกลัวนี้ได้ไม่ยาก เราอยู่ในโลกที่ผู้นำถูกสอบ สวน ถูกคัดค้าน หรือแม้ถูกปลดจากตำแหน่งได้ เมื่อมีการพูดแก้ตัวก็อาจถูกโห่ฮาป่า โดยไม่ต้องกลัวว่าจะถูกประหาร แต่ว่าในศาลของกษัตริย์ซาอูล ไม่เป็นเช่นนั้น

เมื่อไม่นานมานี้ผมได้อ่านบทความที่อธิบายถึงความกลัวที่ โยเซฟ สตาลิน สามารถ สร้า้งให้เกิดขึ้นในใจของคณะรัฐบาลของท่านได้ :

งานเลี้ยงอาหารค่ำของสตาลินที่เครมลินมีตลอดทั้ง คืน ท่านจะนั่งอยู่ที่โต๊ะยาวแลคอยคะยั้นคะยอให้ทั้ง เพื่อนและคณะรัฐบาลดื่ม ชั่วโมงแล้ว ชั่วโมงเล่า ใน ขณะที่ท่านสร้างเรื่องต่างๆขึ้นมาเพื่อทั้งขู่ทั้งปลอบ สลับกันไป พอเช้า สมองของคนเหล่านี้ก็จะมึนไปด้วย ความหวาดกลัว ความสับสนและอาการเมาค้าง หลัง จากนั้นก็จะถูก เอาไปยิงทิ้งที่ละคนสองคนโดยไม่มีคำ อธิบายใดๆ นี่คือ อาการทางจิตตามผลพิสูจน์ในห้อง ทดลอง : ทุกๆการกระทำ จะมีปฏิกิริยาจากฝ่ายตรง ข้าม (ในเครมลินโดยเฉพาะอย่างยิ่ง) โรตจิตจะ แสดงอาการทางจิตออกมา สตาลินสะท้อนความ กลัวของตนเองโดยพึ่งฤทธิ์แอลกอฮอลล์ ทำให้มี ความกล้า ทำในสิ่งที่เหมือนกับเล่นเกมส์ที่ตอนจบ คือความตาย96

การมีคนบ้าในที่ทำงานเป็นเรื่องหนึ่งที่คุณอาจอดทนเอา หรือย้ายไปให้พ้นหน้าได้ แต่ การมีคนบ้าเป็นผู้นำแบบเผด็จการเช่นสตาลิน หรือเนโร หรือฮิตเลอร์ ที่กุมอำนาจไว้ทั้ง หมด พวกเขาสามารถทำสิ่งใดก็ได้ ถึงแม้จะดูไร้เหตุผลและบ้าดีเดือดก็ตาม ไม่มีใคร กล้ายับยั้ง ซาอูลก็เหมือนกัน ซาอูลเป็นคนบ้าที่ไม่มีใครหยุดยั้งได้ ซาอูลคลั่งเรื่อง ดาวิดและโยนาธาน หรือแม้แต้ลูกน้องท่านว่ากำลังคบคิดการกบฎหรือ ? ใครจะไปแก้ ใขท่านได้ ? คนบ้าคนนี้กำลังข่มขู่ปุโรหิตทั้งเมือง ในกรณีนี้ ไม่ใช่พวกปุโรหิตที่กำลัง ตัดสินความซาอูล แต่กลับกัน กลายเป็นซาอูลกำลังพิพากษาพวกปุโรหิตแทน คงไม่มี ใครอยากเป็นผู้ที่ต้องไปยืนต่อหน้าซาอูลในเหตุการณ์อันน่าหวาดหวั่นสะพรึงกลัวนี้แน่ นอน

ซาอูลแสดงอาการรังเกียจดาวิดและอาหิเมเลคด้วยการไม่ยอมเรียกชื่อ แต่กลับไปเรียก ชื่อบิดาแทน : "บุตรของเจสซี" (ข้อ 8) และ "บุตรอาหิทูบ" (ข้อ 12) เมื่อท่านทำ บาปด้วยการไปถวายเครื่องบูชาในบทที่ 13 ซาอูลตีตนเสมอซามูเอล เมื่อท่านพูดกับ อาหิเมเลคและพวกปุโรหิตในครั้งนี้ ซาอูลทำตัวเหนือกว่า ท่านไม่ได้ไต่สวนหาข้อเท็จ จริง แต่รีบด่วนสรุปว่าพวกปุโรหิตเป็นพวกคิดคดทรยศต่อราชบัลลังก์ ท่านไม่ได้แม้แต่ จะถามว่า อาหิเมเลคได้ทรยศต่อท่านหรือไม่ ถ้าใช่ ทำไม (ข้อ 13)

อาหิเมเลคตอบอย่างมีสติทีเดียว ท่านไม่ได้ถือโอกาสเอาตัวรอดด้วยการบอกปัดความ ผิดไปว่าถูกดาวิดหลอก ซึ่งที่จริงก็น่าจะใช่ แต่ท่านกลับชี้แจงเหตุผลโดยพูดแทน ดาวิด ท่านเตือนซาอูลด้วยว่าดาวิดนั้นนอกจากจะเป็นผู้รับใช้ที่ซื่อสัตย์ที่สุดแล้ว ยังเป็น ผู้ได้รับการยกย่อง และเป็นผู้ที่ซาอูลแต่งตั้งให้อยู่ในตำแหน่งที่มีอำนาจมากด้วย ซาอูล อาจมองข้ามสิ่งเหล่านี้ไปได้ แต่อย่าลืมว่าดาวิดนั้นยังเป็นราชบุตรเขยอยู่ (ข้อ 14)

ข้อ 14 อาหิเมเลคพูดแก้ต่างให้ตนเอง และพูดแทนปุโรหิตทั้งปวงที่ถูกซาอูลเรียกมา

จริงอยู่อาหิเมเลคช่วยเหลือดาวิดด้วยการทูลถามพระเจ้า ด้วยการให้ขนมปังบริสุทธิ์ และด้วยการมอบดาบโกลิอัทให้ไป แต่ท่านไม่ได้มีส่วนรู้เห็นเรื่องการก่อกบฎใดๆ และ การที่ท่านช่วยเหลือดาวิดก็ไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่ แม้อาจดูไม่เหมาะสม แน่นอน ครั้งนี้ ไม่ใช่ครั้งแรกที่ดาวิดมาหาท่าน เพื่อให้ท่านทูลถามจากพระเจ้า เราคงลงความเห็นได้ ว่า ตั้งแต่ได้รับการเจิมตั้งให้เป็นกษัตริย์ ดาวิดแสวงหาน้ำพระทัยพระเจ้าอยู่ตลอดเวลา ซาอูลจึงไม่ควรมองว่าเรื่องการที่ดาวิดไปพบ หรือการที่อาหิเมเลคให้คำปรึกษาเป็น เรื่องผิดปกติหรือเลยเถิดจนเกินไป97

อาหิเมเลคพูดถูก ซาอูลจึงโกรธมาก ถึงกับสั่งให้ฆ่าเสีย ไม่ใช่ฆ่าเฉพาะอาหิเมเลค เท่านั้น แต่ปุโรหิตทุกคนที่มาด้วย ถ้านึกภาพของสถานที่ที่เกิดเหตุ ดูเหมือนว่า ซาอูลออกคำสั่งให้ราชองค์รักษ์ที่ยืนอยู่ มาจัดการฆ่าพวกปุโรหิต ถึงแม้องครักษ์ เหล่านี้จะเกรงกลัวซาอูล แต่พวกเขาไม่อยากเป็นผู้ลงมือฆ่าปุโรหิต น่าจะเป็นบรรยา กาศที่เงียบงัน เต็มไปด้วยความเศร้า ไม่มีใครสามารถทำตามคำสั่งซาอูลได้ลงคอ98

แต่ซาอูลไม่มีวันยอมให้้ใครมาขัดขวาง ท่านหันไปหาโดเอกคนเอโดมและสั่งให้เขาเป็น ผู้ฆ่าปุโรหิตแทน ซึ่งเขาก็ทำ ดังนั้นซาอูลมุ่งจะฆ่าดาวิด "กษัตริย์ของชาวยิว" และใคร ก็ตามที่ให้การสนับสนุน (เช่นพวกปุโรหิต) ซาอูลพร้อมที่จะเรียกพวกต่างชาติมาลงมือ ทำแทนถ้าจำเป็น โดเอกฆ่าปุโรหิตไป 85 คนในวันนั้น แต่ยังไม่หนำใจซาอูล ท่านไป ที่โนบ เมืองของปุโรหิต เพื่อไปสังหารครอบครัวของปุโรหิต พร้อมทั้งบรรดาสัตว์เลี้ยง สยดสยองไหมครับ ! ซาอูลคนที่ไม่ค่อยอยากจะฆ่าคนอามาเลคสักเท่าใด ถึงแม้เป็น คำสั่งของพระเจ้า กลับกระตือรือร้นที่อยากจะฆ่าปุโรหิตและบรรดาสัตว์เลี้ยงของพวก เขา ถึงแม้จะเป็นคำสั่งห้ามของพระเจ้าก็ตาม ซาอูลจะตกต่ำไปจนถึงไหนกัน ?

มีปุโรหิตท่านหนึ่ง อาบียาธาร์ รอดชีวิตไปได้ และหนีไปหาดาวิดเพื่อจะเล่าให้ท่าน ทราบถึงเรื่องการกระทำของซาอูล ดาวิดรับว่าเป็นความผิดของท่านเต็มประตู ท่านยอม รับว่าเห็นโดเอกที่โนบ และนึกอยู่แล้วว่าโดเอกต้องไปรายงานซาอูล ดาวิดไม่สามารถ ทำสิ่งใดชดเชยกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไปแล้ว ท่านจึงให้อาบียาธาร์มาอยู่กับท่านด้วย

ดาวิดช่วยเมืองเคอีลาห์
(23:1-14)

1 เขาบอกดาวิดว่า "ดูเถิด คนฟีลิสเตียกำลังรบเมืองเคอีลาห์อยู่ และปล้นเอาข้าวที่ลาน" 2 ดาวิดจึงทูลถามพระเจ้าว่า "ควรที่ข้า พระองค์จะไปต่อสู้กับคนฟีลิสเตียเหล่านี้หรือไม่" และพระเจ้าตรัส กับดาวิดว่า "จงไปต่อสู้คนฟีลิสเตียและช่วยเมืองเคอีลาห์ไว้" 3 แต่คนของดาวิดเรียนท่านว่า "ดูเถิด เราอยู่ในยูดาห์นี่ก็ยังกลัวอยู่ ถ้าเราขึ้นไปยังเคอีลาห์สู้รบกับกองทัพของฟีลิสเตียเราจะยิ่งกลัว มากขึ้นเท่าใด" 4 แล้วดาวิดก็ทูลถามพระเจ้าอีก และพระเจ้าตรัส ตอบท่านว่า "จงลุกขึ้นลงไปยังเคอีลาห์เถิด เพราะเราจะมอบคน ฟีลิสเตียไว้ในมือของเจ้า" 5 และดาวิดกับคนของท่านก็ไปยังเคอี ลาห์ ต่อสู้กับคนฟีลิสเตีย นำเอาสัตว์เลี้ยงของเขาไป และฆ่าฟันเขา ทั้งหลายเสียเป็นอันมาก ดังนั้นแหละดาวิดก็ได้ช่วยกู้ชาวเมืองเคอี ลาห์ไว้ 6 อยู่มาเมื่ออาบียาธาร์ บุตรของอาหิเมเลคหนีไปหาดาวิด ที่เมืองเคอีลาห์นั้น เขาถือเอโฟดลงมาด้วย 7 มีคนไปทูลซาอูลว่า ดาวิดมาที่เคอีลาห์แล้ว ซาอูลจึงตรัสว่า "พระเจ้าทรงมอบเขาไว้ใน มือเราแล้ว เพราะที่เขาเข้าไปในเมืองที่มีประตูและดาล เขาก็ขังตัว เองไว้" 8 และซาอูลทรงให้เรียกพลทั้งปวงเข้าสงคราม ให้ลงไป ยังเคอีลาห์เพื่อล้อมดาวิดกับคนของท่านไว้ 9 ดาวิดทราบว่าซาอูล ทรงคิดร้ายต่อท่าน ท่านจึงพูดกับอาบียาธาร์ปุโรหิตว่า "จงนำเอา เอโฟดมาที่นี่เถิด" 10 ดาวิดกราบทูลว่า "ข้าแต่พระเยโฮวาห์พระ เจ้าแห่งอิสราเอล ผู้รับใช้ของพระองค์ได้ยินแน่ว่าซาอูลหาช่องที่ จะมายังเคอีลาห์ เพื่อทำลายเมืองนี้เพราะข้าพระองค์เป็นเหตุ 11 ประชาชนชาวเคอีลาห์จะมอบข้าพระองค์ไว้ในมือท่านหรือ ซาอูล จะเสด็จมาดังที่ผู้รับใช้ของพระองค์ได้ยินนั้นหรือ ข้าแต่พระเยโฮ วาห์พระเจ้าแห่งอิสราเอล ขอพระองค์ทรงบอกผู้รับใช้ของพระองค์ เถิด" และพระเจ้าตรัสว่า "เขาจะลงมา" 12 แล้วดาวิดจึงกราบทูลว่า "ประชาชนชาวเคอีลาห์จะมอบข้าพระองค์และคนของข้าพระองค์ ไว้ในมือของซาอูลหรือ" และพระเจ้าตรัสว่า "เขาทั้งหลายจะมอบ เจ้าไว้" 13 แล้วดาวิดกับคนของท่านซึ่งมีประมาณหกร้อยคน ก็ลุก ขึ้นไปเสียจากเคอีลาห์และเขาทั้งหลายก็ไป ตามแต่ที่เขาจะไปได้ เมื่อมีคนไปทูลซาอูลว่า ดาวิดหนีไปจากเคอีลาห์แล้ว ซาอูลก็ทรง เลิกการติดตาม 14 และดาวิดก็อยู่ในถิ่นทุรกันดารตามที่กำบังเข้มแข็ง และอยู่ในแดนเทือกเขาแห่งถิ่นทุรกันดาร และซาอูลก็ทรงแสวงท่าน ทุกวัน แต่พระเจ้ามิได้มอบท่านไว้ในมือของซาอูล

คนของดาวิดมาเรียนท่านว่าเมืองเคอีลาห์กำลังถูกฟิลิสเตียโจมตี ซึ่งอันที่จริง เป็นหน้า ที่รับผิดชอบของซาอูลที่ต้องไปต่อสู้กับพวกฟิลิสเตีย (1 ซามูเอล 9:16) แต่ท่านกลับ สนใจอยากฆ่าคนอิสราเอลมากกว่าจะไปต่อสู้กับผู้บุกรุกอย่างฟิลิสเตีย ด้วยสำนึกใน หน้าที่ของกษัตริย์ ดาวิดรู้สึกว่าท่านต้องออกไปปกป้องพี่น้องร่วมชาติ ท่านแสวงหา น้ำพระทัยพระเจ้าสำหรับเรื่องนี้ และพระเจ้าสั่งให้ท่านไปโจมตีฟิลิสเตีย เพื่อช่วยกู้ เมืองเคอีลาห์99

คนของดาวิดรู้สึกไม่ชอบใจที่ต้องไปต่อสู้กับพวกฟิลิสเตีย พวกเขาจึงบอกให้ดาวิดรู้ ความรู้สึกนี้เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ไม่ยาก เพราะกำลังคนแค่ 600 (23:13) แถมไม่ได้รับ การฝึกฝนทางทหารด้วย พวกเขาเป็นเพียงกลุ่มคนหลากหลายที่ไม่พอใจและหลบหนี มาจากซาอูล (22:2) ส่วนมากเป็นพวกที่ติดตามดาวิดสมัยที่หลบซ่อนอยู่ในถ้ำอดุลลัม ซึ่งถ้ำนี้น่าจะอยู่ในดินแดนฟิลิสเตีย ถ้าไม่ ก็คงอยู่แถวๆแนวชายแดนอิสราเอล จากที่ ตรงนี้ ดาวิดและคนที่ติดตามท่านย้ายเข้าไปในโมอับ และไปหลบซ่อนตัวอยู่ใน "ที่กำ บังเข้มแข็ง" (22:4-5) ผู้เผยพระวจนะกาดสั่งให้ดาวิดเลิกหลบซ่อนตัวในแผ่นดินต่าง ชาติเสียทีิ ให้กับมายังบ้านเกิดในแผ่นดินยูดาห์ ท่านทำตาม และมาหลบซ่อนอยู่ที่ใน ป่าเฮเรทแทน (22:5) ภูมิประเทศของป่าที่รกทึบขนาดนี้ คนของดาวิดย่อมรู้สึกปลอด ภัยจากเงื้อมมือของซาอูล แต่เมื่อดาวิดสั่งให้ออกไปสู้รบกับพวกฟิลิสเตียที่เคอีลาห์นั้น เป็นอีกเรื่องทีเดียว เพราะเป็นการเสี่ยงภัยที่อันตรายที่สุด พวกเขาต้องออกจากที่ซ่อน มาสู่ที่โล่งแจ้ง เพื่อทำการสู้รบกับฟิลิสเตีย สิ่งนี้หมายความว่าพวกเขาจะตกเป็นเป้าชั้น ดีให้กับซาอูลทีเดียว เมืองเคอีลาห์อยู่ห่างจากเมืองกัทไปทางตะวันออกเฉียงใต้ประ มาณ 40 กม. ดาวิดและพรรคพวกจะต้องลงมาจากป่าบนภูเขา ไปยังแผ่นดินเบื้องล่าง ในที่โล่งแจ้ง ที่ซึ่งกองทัพของซาอูลมองเห็นถนัด และรถรบของฟิลิสเตียจู่โจมได้ง่าย คนของดาวิดไม่เห็นด้วยกับการตัดสินใจไปช่วยเมื่องเคอีลาห์ เพราะดูเสี่ยงมากจนเกิน ไป การหลบซ่อนอยู่ในป่า ให้พ้นจากมือของซาอูลน่าจะดีกว่าการออกไปสู้รบกับพวก ฟิลิสเตียในที่โล่งเช่นนั้น

ดาวิดฟังคำคัดค้านจากคนของท่าน แต่ท่านมีความตั้งใจจะเชื่อฟังพระเจ้ามากกว่า ฟังมนุษย์ ท่านจึง "ทูลถามพระเจ้า" เป็นครั้งที่สอง (23:4) และได้รับคำตอบเหมือน เดิม พร้อมกับคำสัญญาว่าจะประทานชัยชนะให้ ด้วยความมั่นใจนี้เอง ดาวิดและคน ของท่านจึงไปโจมตีฟิลิสเตียกอบกู้เคอีลาห์กลับคืนมา ท่านได้รับชัยชนะอย่างเด็ดขาด สามารถช่วยกู้คนอิสราเอลออกมาจากการยึดครองของฟิลิสเตีย และยึดเอาสัตว์เลี้ยง ของพวกเขามาได้ (23:5) พระเจ้าทรงมีวิธีการในแบบของพระองค์จริงๆ อาทิตย์ก่อน หน้านั้น ใครจะไปคิดว่าอยู่ดีๆก็ได้กินทีโบนสเต็กจากฝูงวัวของฟิลิสเตีย ?

หลังจากได้ช่วยกู้เคลีอาห์ออกจากเงื้อมมือฟิลิสเตียแล้ว ใครๆคงนึกว่าต่อไปนี้เมือง เคลีอาห์คงต้องจงรักภักดีและให้การสนับสนุนดาวิด และที่แน่ๆ พวกเขาคงยอมให้ดาวิด และคนของท่านลี้ภัยอยู่ที่นั่นได้ ซาอูลรู้เรื่องที่ดาวิดอยู่ในเคอีลาห์แล้ว ท่านจึงรวบรวม คนอิสราเอลให้มาล้อมเมืองเคอีลาห์ไว้ เพราะแน่ใจว่าต้องจับดาวิดคนของท่านได้แน่ที่ เมืองนี้ เพราะเคลีอาห์เป็นเมืองที่มีกำแพงล้อมรอบ ซาอูลคาดว่า "ประตูสองชั้นและ ลูกกรง" ที่ป้องกันเมือง จะกลายเป็นสิ่งที่จำกัดและขังดาวิดกับพรรคพวกไว้ให้อยู่ข้างใน

เมื่อดาวิดรู้ว่าซาอูลกำลังจะมาจัดการท่าน ท่านจึงคิดว่าเป็นการปลอดภัยหรือไม่ที่จะ อยู่ในเมืองนี้ต่อ ดาวิดไม่ต้องการถูกจับ แต่ขณะเดียวกันก็เป็นห่วงสวัสดิภาพของชาว เมืองเคอีลาห์ ท่านอุตส่าห์ช่วยเมืองนี้ออกมาจากเงื้อมมือของฟิลิสเตียเพียงเพื่อจะ ให้ซาอูลมาทำลายหรือ ? นับว่ายังดีอยู่ ที่อาบียาธาร์นำเอโฟดมาด้วยตอนที่ท่านหลบ หนีมาอยู่กับดาวิด ท่านยังสามารถแสวงหาน้ำพระทัยพระเจ้าได้ (23:6) ดาวิดประสงค์ คำแนะนำจากพระเจ้า ท่านจึงใช้เอโฟด ท่านมีคำถามถามพระองค์สองข้อ ข้อแรก ซาอูลกำลังมาที่เคอีลาห์ตามที่ท่านได้ยินมาหรือไม่ ? สายสืบของท่านให้ข้อมูลถูกต้อง หรือเปล่า ? ข้อสอง ถ้าซาอูลมาที่เคอีลาห์จริง ประชาชนชาวเมืองนี้จะหักหลังด้วยการ มอบท่านให้กับซาอูลหรือไม่ ?

คำตอบของทั้งสองคำถามคือ "ใช่" ลองสังเกตุดูว่าคำตอบของทั้งสองข้อนี้ตั้งอยู่บน เงื่อนใขที่เปลี่ยนแปลงได้ คือถ้าดาวิดยังอยู่ในเคอีลาห์ คนของซาอูลจะมาโจมตี เมืองนี้แน่ ถ้าดาวิดและคนของท่านยังอยู่ต่อในเมืองเคอีลาห์ คนของซาอูลก็จะมาโจม ตี และคนเคอีลาห์ก็ต้องมอบดาวิดให้ซาอูลไป เมื่อรู้เช่นนี้ จึงทำให้ดาวิดตัดสินใจออก ไปจากเมืองนี้ก่อนที่คนของซาอูลจะมาถึง ในที่สุดซาอูลก็ไม่ได้โจมตีเคอีลาห์ หรือ ชาวเมืองก็ไม่ได้มอบดาวิดไปให้กับซาอูล แต่พวกเขาทำแน่ถ้าดาวิดยังขืนอยู่ต่อ

สิ่งแรก เราควรนำคำถามของดาวิดและคำตอบของพระเจ้ามาคำนึงดู : พระเจ้าไม่เพียง แต่ทราบดีถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้น พระองค์ยังทรงทราบอีกว่าจะเกิดสิ่งใดขึ้น เมื่อสถานการณ์ เปลี่ยนไป ไม่ว่าในรูปใด การรู้เรื่องในอนาคตนั้นเป็นเรื่องหนึ่ง แต่การรู้ว่าในอนาคตจะ เกิดสิ่งใดขึ้นเมื่อสถานการณ์่ต่างออกไป นับว่าเป็นความยิ่งใหญ่จริงๆ พระเจ้าทรง สัพพัญญู (สัพพัญญู = รู้ทุกสิ่ง) คือพระองค์ทรงทราบถึงเรื่องที่จำต้องเกิดขึ้น และเรื่อง ที่อาจเกิดขึ้นในสถานการณ์อื่น นี่คือฤทธานุภาพในการควบคุมทุกสิ่งของพระองค์ (อำนาจอธิปไตย) พระองค์ไม่ต้องรับผิดชอบในความบาปของมนุษย์ ตัวอย่างเช่น พระองค์ทรงอนุญาติให้ยูดาสทรยศขายพระเยซูด้วยราคาเพียง 30 เหรียญเงิน การ ทรยศของยูดาสอยู่ในแผนการอันเป็นนิรันดร์ และแน่นอนมันจำเป็นต้องเกิดขึ้น ความ สัพพัญญูของพระเจ้าทำให้ทุกสิ่งเป็นไปได้ โดยที่พระองค์ไม่มีส่วนรับผิดชอบในความ บาปของมนุษย์ทั้งสิ้น เราจะเห็นจากคำพูดของ อ.เปโตรที่มีต่อชาวยิว (และต่างชาติ) ผู้มีส่วนทำให้พระเยซูสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนว่า :

22 "ท่านทั้งหลายผู้เป็นชนชาติอิสราเอล ขอฟังคำของข้าพเจ้า คือพระเยซูชาวนาซาเร็ธ เป็นผู้ที่พระเจ้าทรงโปรดชี้แจงให้ท่าน ทั้งหลายทราบโดยการอิทธิฤทธิ์ การอัศจรรย์และหมายสำคัญ ต่างๆ ซึ่งพระเจ้าได้ทรงกระทำโดยพระองค์นั้น ท่ามกลางท่าน ทั้งหลาย ดังที่ท่านทราบอยู่แล้ว 23 พระเยซูนี้ทรงถูกมอบไว้ตาม ที่พระเจ้าได้ทรงดำริแน่นอนล่วงหน้าไว้ก่อน ท่านทั้งหลายได้ให้ คนอธรรมจับพระองค์ไปตรึงที่กางเขนและประหารชีวิตเสีย"
(กิจการ 2:22-23 )

ดังนั้นเมื่อได้คำตอบจากพระเจ้าว่าผลใดจะเกิดขึ้นถ้ายังอยู่ต่อในเมืองเคอีลาห์ ดาวิด และคนของท่านประมาณ 600 คนจึงกลับเข้าไปหลบซ่อนตัวอยู่ในที่กำบังเข้มแข็งใน ป่าอีกครั้ง เมื่อรู้ว่าดาวิดออกจากเมืองไปแล้ว ซาอูลและคนของท่านจึงหันหลังกลับ เมืองเคอีลาห์จึงรอดตัวไป รอดจากทั้งพวกฟิลิสเตียและพวกของซาอูล ดังนั้นคนที่เป็น หนี้ชีวิตดาวิดจึงไม่ต้องลำบากใจที่จะต้องส่งมอบท่านให้ซาอูล ในการทั้งหมดนี้ ดาวิด เองก็ได้รับการช่วยกู้ออกจากเงื้อมมือซาอูลอีกครั้ง เพราะพระเจ้าจะไม่ทรงส่งกษัตริย์ ในอนาคตของพระองค์ไปสู่มือของซาอูลแน่

บทสรุป

มีบทเรียนมากมายสอดแทรกอยู่ในพระธรรมตอนนี้ บางเรื่องก็ดูโดดเด่นแตกต่างออกมา แต่ทั้งหมดสามารถรวบรวมได้เป็นคำพูดดังนี้ :

เมื่อโลกทั้งโลกขาดจิตสำนึกและหาจุดยืนไม่ได้ เมื่อคนบ้ามีอำนาจและใช้มันอย่างโหดร้าย คนบริ สุทธิ์ก็เป็นทุกข์ถึงตาย แต่ พระเจ้ายังควบคุมอยู่ ถึงแม้เดี๋ยวนี้จะสับสนและมองไม่เห็น แต่แผนการ และพระประสงค์ของพระองค์จะสำเร็จลง ไม่ว่าจะ โดยคนบ้าที่ต้องการทำลายหรือหยุดยั้งพระประสงค์ และพระสัญญาของพระองค์ก็ตาม

ตลอดประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา คริสเตียนหลายต่อหลายคนมีชีวิตอยู่ในช่วงเวลาที่เรา อยากจะเรียกว่า "บ้าคลั่ง" หรือ "วิกลจริต" เราจะอธิบายว่าทำไมพวกผู้ก่อการร้ายจึงขับ เครื่องบินชนตึก ทำให้ผู้คนที่เขาไม่รู้จักตายไปทีละหลายพันคนว่าอย่างไร ? คนที่บุก ปล้นคนขายของเพื่อเงินไม่กี่บาทแล้วฆ่าทิ้ง เป็นพวกที่มีจิตสำนึกประเภทใด ? ทำไม เด็กวัยรุ่นถึงนำปืนกลไปยิงกราดใส่เด็กนักเรียนอนุบาล ? หลายต่อหลายสิ่งที่เกิดขึ้น รอบตัว เราดูไร้เหตุผลสิ้นดี – มันบ้าคลั่ง เราทิ้งแขนเราลงอย่างหมดแรงหรือเปล่า โดยคิดว่า ท่ามกลางความบ้าคลั่งโหดเหี้ยมนี้ พระเจ้าควบคุมไม่อยู่ ?

พระธรรมตอนนี้สร้้างความมั่นใจให้เราว่า ท่ามกลางความบ้าคลั่งนี้ พระเจ้าทรงควบคุม อยู่ ซาอูลเสียสติไปแล้วเมื่อออกคำสั่งให้โดเอกคนเอโดมฆ่าปุโรหิตทั้งหมดและครอบ ครัว ดูเป็นการกระทำที่ขาดสติคุ้มคลั่ง เรารู้ดีว่าในวันนั้นมีผู้บริสุทธิ์มากมายถูกฆ่าตาย และเราไม่ต้องไปมองหาเหตุผล แต่ในเวลาเดียวกัน เราอย่าลืมความจริงว่าพระเจ้าทรง ใช้ซาอูล – ในช่วงเวลาที่ท่านขาดสติที่สุด – เพื่อพระประสงค์และพระสัญญาของ พระองค์จะสำเร็จลง ในบทที่ 2 และ 3 ของ 1 ซามูเอล เอลีได้รับการแจ้งถึงความชั่ว ร้ายของบุตร และท่านจะถูกถอดจากการเป็นปุโรหิต

27 ครั้งนั้นมีบุรุษของพระเจ้ามาหาเอลี กล่าวแก่ท่านว่า "พระเจ้า ตรัสดังนี้ว่า 'เราได้เผยเราเองให้แจ้งแก่พงศ์พันธุ์บิดาเจ้า เมื่อเขา ทั้งหลายอยู่ในอียิปต์ใต้บังคับพงศ์พันธุ์ของฟาโรห์ 28 และเราได้ เลือกเขาออกจากเผ่าอิสราเอลทั้งหมด ให้เป็นปุโรหิตของเราเพื่อ จะขึ้นไปที่แท่นบูชาของเรา เพื่อเผาเครื่องบูชาเพื่อใช้เอโฟดต่อ หน้าเรา และเราได้มอบของที่บูชาด้วยไฟ ซึ่งคนอิสราเอลนำมา ถวายนั้นแก่พงศ์พันธุ์บิดาของเจ้า 29 เหตุใดเจ้าจึงเหยียบย่ำเครื่อง สัตวบูชาของเรา และของที่เขาถวายตามบัญชาของเรา และให้เกียรติ แก่บุตรทั้งสองของเจ้าเหนือเรา และกระทำให้ตัวของเจ้าทั้งหลาย อ้วนพีด้วยส่วนที่ดีที่สุดจากของถวายทุกราย จากอิสราเอลชนชาติ ของเรา' 30 เพราะฉะนั้นพระเยโฮวาห์ พระเจ้าของอิสราเอลจึงตรัสว่า 'เราพูดจริงๆว่าพงศ์พันธุ์ของเจ้าและพงศ์พันธุ์บิดาของเจ้าจะเข้าออก ต่อหน้าเราอยู่เป็นนิตย์' แต่บัดนี้พระเจ้าทรงประกาศว่า 'ขอให้การนั้น ห่างไกลจากเรา เพราะว่าผู้ที่ให้เกียรติแก่เรา เราจะให้เกียรติและบรร ดาผู้ที่ดูหมิ่นเรา ผู้นั้นจะถูกดูหมิ่น 31 ดูเถิด วาระนั้นจะมาถึงอยู่แล้ว เมื่อเราจะตัดแขนของเจ้าออกและตัดแขนของพงศ์พันธุ์บิดาของเจ้า ออก เพื่อจะไม่มีคนชราในพงศ์พันธุ์ของเจ้า 32 แล้วด้วยสายตา ริษยาและด้วยความทุกข์ร้อน เจ้าจะมองดูความมั่งคั่งซึ่งเราจะพอก พูนให้อิสราเอล และจะไม่มีคนชราในพงศ์พันธุ์ของเจ้าเป็นนิตย์ 33 คนของเจ้าซึ่งเรามิได้ตัดขาดเสียจากแท่นบูชาของเรานั้น เราจะ ไว้ชีวิตเพื่อให้ร้องไห้จนตาถลน และให้เจ้ามีจิตใจเศร้าโศกและผลอัน เพิ่มพูนในพงศ์พันธุ์ของเจ้าจะตายเสียเมื่อวัยฉกรรจ์ 34 และสิ่งนี้จะเป็น หมายสำคัญแก่เจ้า ซึ่งจะบังเกิดแก่บุตรทั้งสองของเจ้า คือโฮฟนี และฟีเนหัส ทั้งสองจะสิ้นชีวิตในวันเดียว 35 และเราจะให้ปุโรหิต ผู้ซื่อสัตย์ของเราเกิดขึ้นมา ซึ่งจะกระทำตามสิ่งที่มีอยู่ในจิตในใจ ของเรา และเราจะสร้างพงศ์พันธุ์มั่นคงให้เขา
(
1 ซามูเอล 2:27-34)

11 แล้วพระเจ้าตรัสกับซามูเอลว่า "ดูเถิด เราจะทำสิ่งหนึ่งในอิสรา เอล หูของทุกคนผู้ที่ได้ยินจะแสบทั้งสองข้าง 12 ในวันนั้นเราจะ กระทำให้สิ่งที่เราลั่นวาจาไว้เกี่ยวด้วยเรื่องพงศ์พันธุ์ของเอลีให้สำเร็จ เสียต่อเอลี ตั้งแต่ต้นจนถึงที่สุด 13 ดังนั้นเราจึงบอกเขาว่าเราจะลงโทษ พงศ์พันธุ์ของเขาเป็นนิตย์ เพราะความบาปชั่วซึ่งเขารู้แล้ว เพราะบุตรทั้ง สองของเขาเหยียดหยามพระเจ้า และเขาก็มิได้ห้ามปราม 14 เพราะฉะนั้น เราจึงปฏิญาณต่อพงศ์พันธุ์ของเอลีว่า ความบาปชั่วของพงศ์พันธุ์เอลี นั้นจะลบล้างเสียด้วยเครื่องสัตวบูชา และของถวายไม่ได้เป็นนิตย์"
(1 ซามูเอล 3:11-14)

เพราะเหตุที่เอลีไม่จัดการกับความบาปของบุตร เอลีจึงถูกถอดออกจากการเป็นปุโรหิต หมายสำคัญว่าเหตุการณ์นี้จะเกิดขึ้นก็คือ บุตรทั้งสองของท่าน โฮฟนีและ ฟีเนหัสจะ ตายลงพร้อมกัน (2:34) แผนการในคำพยากรณ์ของพระเจ้ากำลังจะสำเร็จลงอีกขั้น ในพระธรรมตอนนี้ โดยฝีมือความบ้าของซาอูลเองที่สั่งให้โดเอกคนเอโดม ฆ่าปุโรหิต และครอบครัวทั้งหมด มีผู้รอดตายคนเดียวที่เหลืออยู่ตามที่พระเจ้าได้พยากรณ์ไว้ (2:33) ขั้นตอนต่อไปที่แผนการของพระองค์จะสำเร็จลงอยู่ในสมัยของ กษัตริย์โซโล มอน เมื่ออาบียาธาร์ผู้เป็นเชื้อสายของอาโรน และอิทามาผู้เป็นบุตร ถูกปลดจากตำ แหน่งปุโรหิต และมอบให้กับศาโดกแทน ซึ่งเป็นผู้สืบเชื้อสายมาจากเอลีอาซาร์บุตร อีกคนของอาโรน (1 พกษ. 2:27, 35) แผนการขั้นสุดท้ายสำเร็จลงอย่างบริบูรณ์โดย การเสด็จมาขององค์พระเยซูคริสต์ ผู้เป็นองค์ปุโรหิตผู้สัตย์ซื่อ (ดูสดุดี 110; ฮีบรู 5:6; วิวรณ์ 19:16).100

เราคงนึกไม่ถึงว่าคำพยากรณ์ในบทที่ 2 และ 3 จะสำเร็จลงในบทที่ 22 โดยน้ำมือของ คนบ้า ? ในขณะที่ขาดความเชื่อและขาดสติ ; ถึงแม้จะกบฎต่อพระเจ้าโดยการฆ่า บรรดาปุโรหิต พระเจ้าทรงใช้ประโยชน์ในความบาปของซาอูลเพื่อทำให้พระสัญญา ของพระองค์สำเร็จลง และด้วยวิธีที่ไม่ขัดแย้งกับพระลักษณะของพระองค์

ให้มาดูความคล้ายคลึงกันระหว่างคำพยากรณ์ที่พูดถึงการเป็นปุโรหิตของเอลีในบทที่ 2 และ 3 และคำพยากรณ์ที่พูดถึงการเป็นกษัตริย์ของซาอูลในบทที่ 13 และ 15 เพราะ ความบาปที่ไม่ยอมจัดการกับบุตรที่ดูถูกความเป็นปุโรหิต เอลีจึงถูกปลด ส่วนสำคัญที่ บันทึกอยู่ในบทที่ 22 คือเราเห็นคำพยากรณ์ที่พระเจ้าสัญญาไว้ในเรื่องของเอลีสำเร็จ ลง คุณว่าคำสัญญาของพระเจ้าในเรื่องของเอลีสำเร็จลงในตอนนี้เป็นสิ่งยืนยันว่าคำ พยากรณ์เรื่องการเป็นกษัตริย์ของซาอูลจะสำเร็จลงด้วยหรือไม่ ? เช่นเดียวกับการเป็น ปุโรหิตของเอลีจะต้องถูกถอดแน่นอนในสองสามปีและสองสามบทต่อมา การเป็น กษัตริย์ของซาอูลก็จะต้องถูกถอดแน่ในสองสามปีและสองสามบทให้หลังด้วย พระเจ้า ทรงรักษาพระสัญญาเสมอ และบางครั้งพระองค์ก็ใช้วิธีและเครื่ื่องมือที่เรานึกไม่ถึง ทีเดียว

ประการที่สอง เราจะเห็นจากพระธรรมตอนนี้ว่าความบาปที่ดูเหมือนเล็กน้อย สามารถ นำเราดิ่งลงอย่างรวดเร็วได้อย่างไร บาปของซาอูลในบทที่ 13 และ 15 เป็นบาปที่ร้าย แรง ดูเหมือนไม่ส่งผลร้ายแรงให้เห็นในทันที แต่จงระวังบาปเล็กน้อยให้ดี เพราะในไม่ ช้า มันจะโตจนเต็มขนาดของมัน ซาอูลผู้ซึ่งตอนแรก เป็นคนขี้กลัวและสงบ แต่เมื่อไม่ ทำตามคำสั่งของพระเจ้า บัดนี้กลับกลายเป็นคนบ้าคลั่งไป ท่านตกต่ำมากจนถึงขนาด สั่งฆ่าปุโรหิตและครอบครัวทั้งหมดได้ บาปมักจะดูเหมือนไม่มีภัยอันตรายใดๆเมื่อเริ่ม แต่ไม่นาน ลักษณะที่แท้จริงของมันจะปรากฎชัดออกมาให้เราได้เห็น

ประการที่สาม ผมขอสรุปข้อสังเกตุอย่างย่อๆ และถามคำถาม สำหรับผมดูเหมือนคริส เตียนบางกลุ่มเป็นพวกที่ให้การสนับสนุนทฤษฎีการก่อกบฎโดยไม่รู้ตัว เหตุใดหน่วยงาน FCC จึงได้รับจดหมายมากมายจากคริสเตียนที่ต่อต้านเรื่องที่แมดเดลีย เมอร์เรย์ โอแฮร์ ก่อขึ้น ในการห้ามรายการของคริสเตียนทั้งทางวิทยุและโทรทัศนออกอากาศ ? เรามัก มีใจเอนเอียงเชื่อเรื่องแนวนี้ ผมสงสัยว่าทำไม อย่าให้เราแตกตื่นไปนักเลย อย่าให้เรา ตกเป็นเครื่องมือโปรโมทหรือให้ความสำคัญกับแผนงานของซาตานจนได้

ประการที่สี่ จากพระธรรมตอนนี้ผมเห็นต้นแบบสี่แบบ ซาอูลเป็นต้นแบบของปฏิปักษ์ พระคริสต์ ผู้เคยมีมาก่อนแล้ว และจะกลับมาอีกเพื่อต่อต้านพระเจ้า และพระเมสซิยาห์ ของพระองค์ คือพระเยซูคริสต์ เฮโรดก็เป็นหนึ่งในปฏิปักษ์ของพระคริสต์ (ดูมัทธิว 2) พวกฟาริสีและธรรมาจารย์ก็เป็นตัวอย่างของปฏิปักษ์พระคริสต์ (ดูมัทธิว 27:18; มาระ โก 15:10; ยอห์น 11:47-48) เมื่อซาอูลเอาโดเอกคนต่างชาติมาเข้าพวก เพื่อต้อง การกำจัดดาวิดให้พ้นจากบัลลังก์ ผู้นำชาวยิวก็สมคบกับคนต่างชาติเพื่อประหารพระ เยซู ดาวิดเป็นต้นแบบของพระเยซู ผู้ถูกปฏิเสธและถูกต่อต้าน เพราะท่านมาในฐานะ กษัตริย์ของพระเจ้า อาหิเมเลคเป็นต้นแบบของบรรดาผู้ต้องทนทุกข์ถึงตายเพราะมี ส่วนเกี่ยวข้องกับพระเยซูคริสต์ ส่วนท่านเองตายเพราะมีส่วนเกี่ยวข้องกับดาวิด

สุดท้าย ผมเห็นบทเรียนสำคัญบางอย่างจากพระธรรมตอนนี้ รวบรวมได้ดังต่อไปนี้ :

ความปลอดภัยของคริสเตียนไม่ได้เกิดขึ้นเพราะเราหลบซ่อนจากภัยอันตรายของโลกนี้ แต่เกิดขึ้นเมื่อเราเข้ามาพึ่งพิงพระเจ้า ให้พระองค์เป็นผู้นำและดูแล มีใจแสวงหาน้ำพระ ทัยและปรารถนาจะทำตาม

ดาวิดและพวกที่ติดตามท่านในตอนแรกคิดว่า ยิ่งอยู่ห่างจากซาอูลเท่าไร ความปลอด ภัยยิ่งมีมากขึ้นเท่านั้น ดาวิดพบว่าการอยู่ที่เมืองกัทกับพวกฟิลิสเตียนั้นเป็นการเสี่ยง อย่างสูง ท่านคงรู้สึกว่าอยู่ในดินแดนโมอับน่าจะปลอดภัยกว่า แต่ผู้เผยพระวจนะกาด สั่งให้ท่านเดินทางกลับเข้ามาในแผ่นดินยูดาห์ และเมื่อพวกที่ติดตามดาวิดรู้สึกว่า ปลอดภัยดีแล้วในป่าเฮเรท พระเจ้ากลับสั่งให้ไปรบที่เคอีลาห์ เมืองที่ตกเป็นเป้าโจมตี ได้โดยง่ายทั้งจากฟิลิสเตียและจากซาอูล

ดาวิดเป็นคนของพระเจ้าที่พระองค์เลือกไว้ให้เป็นกษัตริย์ ท่านจะไม่เป็นอันตรายเพื่อว่า แผนการของพระเจ้าจะสำเร็จลง ท่านไม่จำเป็นต้องหลบซ่อนหรือพยายามทำตัวเองให้ ปลอดภัย เพราะจะเป็นการขัดขวางงานของพระเจ้าและหน้าที่รับผิดชอบของท่านเอง (เช่นการไปช่วยกู้ชาวเมืองเคอีลาห์) ดาวิดไม่จำเป็นต้องคิดคำนวนระยะทางให้ห่าง จากอันตราย ;ท่านควรคำนวนถึงความปลอดภัยในการอยู่ใกล้ชิดกับพระเจ้ามากกว่า การชอบหลบไปอยู่ในที่สงบมีอยู่ทั่วไปในแวดวงคริสเตียนทุกวันนี้ มันดูเหมือนว่ายิ่ง ออกห่างยิ่งปลอดภัย ผมขอท้าทายให้คุณเปลี่ยนความคิดเป็นดังนี้ พระเจ้าอาจนำบาง คนให้ไปอยู่ในที่ห่างไกล ขออย่าให้เราหลบหนีไปเมื่อพระองค์เรียก ขอให้เราออกไป เป็นเกลือ และแสงสว่างในโลกอันมืดมิดนี้ดีกว่า

ผมขอพูดอีกด้วยว่า การวางใจในพระเจ้าและทำในสิ่งที่ถูกต้อง ไม่ได้หมายความว่าเรา จะรอดจากอันตรายฝ่ายกาย ในพระธรรมตอนนี้ อาหิเมเลคเป็นคนมีชื่อเสียงดี เป็นคน ของพระเจ้า เป็นผู้ที่กล้ายืนหยัดต่อสู้กับซาอูลเพื่อดาวิด ถึงแม้ท่านรู้ว่าเป็นการเสี่ยง ชีวิต ท่านถูกประหารรวมกับเพื่อนๆปุโรหิตและครอบครัว ในความรู้สึกที่สุดแล้ว อาหิ เมเลคและเพื่อนผู้พลีชีพ ไม่มีวันปลอดภัยไปกว่านี้เมื่ออยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า พวก เขา "ปลอดภัย" พอๆกับดาวิด เพียงแต่ภาระกิจของพวกเขาจบสิ้นลงแล้ว แต่ของดาวิด ยังไม่ การดำเนินชีวิตติดตามพระเจ้าไม่ได้หมายความว่าจะปลอดจากภัยอันตราย จาก การทนทุกข์ หรือแม้กระทั่งความตาย แต่พระเจ้าไม่ปล่อยให้สิ่งเหล่านี้มาพรากเราไป จากพระประสงค์ของพระองค์ จนกว่าเราจะทำภารกิจของพระองค์เสร็จสิ้นลง ไม่ใครอีก แล้วที่จะปลอดภัยเท่ากับคริสเตียนที่เชื่อฟังและวางใจ ถึงแม้จะตกอยู่ในสถานการณ์ที่ เป็นอันตรายถึงตาย


94 บางคนคิดว่าที่หลบซ่อนตัว นี้น่าจะเป็นที่ มาซาดา แต่ผมไม่ค่อยจะแน่ใจเท่าใด เพราะดู เหมือนน่าจะมีมากกว่าหนึ่งแห่ง (ดู 22:4, 5; 23:14) และที่หลบซ่อนตัวใน 22:4 นั้นอยู่ใน โมอับ ไม่ใช่ในอิสราเอล

95 ขอโทษนะครับ ที่ผมหมายถึงคือซาอูลปราศจากไหวพริบในทางทหารจนแทบหมดท่า

96 Lance Morrow จากหนังสือ "The Power of Paranoia," ในนิตยสารTime Magazine ฉบับ วันที่ 15 เมษายน 1966 เล่มที่147 No. 16.

97 ผมอดคิดไม่ได้ว่าคำพูดของอาหิเมเลคมีความหมายลึกกว่าธรรมดา ถ้าจะให้แปลตรงตัวก็คง ประมาณว่า: "ซาอูล ดาวิดมาหาเราออกบ่อยครั้งไป เพราะท่านต้องการให้เราทูลขอต่อพระเจ้า ท่านเสียอีกที่เราแทบไม่เคยพบหน้ามาตั้งนานแล้ว … ."

98 ช่วยไม่ได้ที่ต้องนำตอนนี้ไปเปรียบเทียบกับเหตุการณ์ในบทที่ 14 ตอนที่ซาอูลตั้งใจฆ่า โยนาธาน บุตรของท่านเอง ตอนนั้นซาอูลถูกตำหนิโดยประชาชน และถูกคัดค้านไม่ให้ทำ (14:45) แต่ตอนนี้ถูกคัดค้านด้วยความเงียบ หรือเป็นเพราะว่าซาอูลยิ่งทียิ่งโหดเหี้ยมทารุณ และไร้เหตุผลมากขึ้นทุกที ?

99 วิธีการที่ดาวิด"แสวงหาน้ำพระทัยพระเจ้า" ในตอนนี้ไม่ได้มีกล่าวถึง แต่จากในข้อ 6 และ ข้ออื่นๆ ผมคิดว่าไม่น่าจะเป็นจากเอโฟดที่อาบียาธาร์นำมาด้วย น่าจะเป็นวิธีอื่น น้ำพระทัยพระ เจ้าเปิดเผยได้หลายวิธี และดูเหมือนผู้เขียนคงคิดว่าไม่จำเป็นต้องนำมาพูดถึงในตอนนี้

100 อ้างอิงจาก Walvoord, John F. and Zuck, Roy B., The Bible Knowledge Commentary, (Wheaton, Illinois: Scripture Press Publications, Inc.) 1983, 1985.

Related Topics: Introductions, Arguments, Outlines

Report Inappropriate Ad