MENU

Where the world comes to study the Bible

บทที่ 3: ซามูเอลจำเริญขึ้น และบุตรของเอลีตกต่ำลง (1 ซามูเอล 3:1—4:22)

คุณอาจเคยได้ยินเรื่องที่นักโทษคนหนึ่งถูกส่งตัวเข้าคุกเป็นครั้งแรก ตอนเย็นพวกนัก โทษจะมารวมตัวกันที่สนาม พวกนักโทษจะผลัดกันตะโกนขานเบอร์ พอขานเสร็จ คนที่เหลือก็จะหัวเราะกันอย่างสนุกสนาน แล้วก็มีการขานเบอร์ต่อไปเรื่อยๆ ทุกครั้งที่ ขานเสร็จพวกนักโทษก็จะหัวเราะเป็นการใหญ่ เป็นอย่างนี้จนเลิก เมื่อกลับไปที่ห้อง นักโทษใหม่จึงถามเพื่อนร่วมห้องว่าเกิดอะไรขึ้น "อ๋อ" เพื่อนร่วมห้องตอบ "นี่เป็นการ เล่าเรื่องตลกของที่นี่ คือว่าทุกคนเคยได้ยินเรื่องตลกพวกนี้มาหลายร้อยหนแล้ว ดังนั้น แทนที่จะเสียเวลาเล่าซ้ำ เราก็ใส่เบอร์ให้กับแต่ละเรื่อง พอขานเบอร์ไหนทุกคนจำ เรื่องนั้นได้ ก็จะขำกัน !"

เย็นวันต่อมา พวกเขาก็ทำแบบเดิมอีก หลังจากขานเบอร์และหัวเราะกันไปพักหนึ่ง นัก โทษน้องใหม่คิดจะลองบ้าง พอเสียงหัวเราะเงียบลง เขาจึงตะโกนขานเบอร์ ไม่มีใคร หัวเราะสักคนเดียว น้องใหม่เริ่มงง แต่ก็ใจเย็นรอจนกลับไปที่ห้องจึงถามเพื่อนร่วมห้อง ว่า "เกิดอะไรขึ้น ?" "ทำไมไม่มีใครหัวเราะกับตลกของผมเลย? " "คือว่า" เพื่อนร่วม ห้องตอบ "คุณก็น่าจะรู้ … บางคนเล่าเก่ง และบางคนก็เล่าไม่เอาไหน"

เมื่อผมมาถึงเรื่องการทรงเรียกซามูเอลใน 1 ซามูเอล 3 ผมว่าผมพอจะขานเบอร์ประจำ เรื่องเหล่านี้ได้ :

  • หนึ่ง - เรื่องเรือโนอาห์
  • สอง - เรื่องโมเสสถูกจับใส่ตะกร้าลอยไปตามแม่น้ำไนล์
  • สาม - เรื่องดาวิดผู้ฆ่ายักษ์
  • สี่ - เรื่องโยนาห์กับปลามหึมา
  • ห้า - เรื่องชาวอิสราเอลเดินข้ามทะเลแดง
  • หก - เรื่องดาเนียลในถ้ำสิงห์

เจ็ด - เรื่องพระเจ้าทรงเรียกซามูเอล

เราอาจคิดว่าเรารู้เรื่องการทรงเรียกซามูเอลเป็นอย่างดี เราได้ยินและเคยอ่านหลาย ครั้ง แค่ขานเบอร์ก็จบไม่ต้องฟังซ้ำ ผมว่าเราอย่ารีบเร่งข้ามไปเพราะคิดว่าเรารู้เรื่องนี้ ดีแล้ว บทเรียนของเราต้องการให้เราหัดมีมุมมองที่แตกต่างออกไป เพื่อนำไปสู่ความ เข้าใจและความหมายที่พระคำต้องการจะสื่อให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น

เรารู้เรื่องใน 1 ซามูเอล 3 การที่ซามูเอลขึ้นมาเป็นผู้เผยพระวจนะ เป็นข้อเท็จจริงที่ชาว อิสราเอลรู้และยอมรับ พอถึงบทที่ 4 เป็นเรื่องที่อิสราเอลพ่ายแพ้สงคราม และการสิ้น ชีวิตลงของเอลี บุตรทั้งสอง รวมถึงลูกสะใภ้ ในบทที่ 2 และ 3 พระเจ้าได้พยากรณ์ถึง การพิพากษาที่จะมีมาสู่เอลีและพงศ์พันธ์ของท่าน การพิพากษาเกิดขึ้นจริงในบทที่ 4 ในบท ที่ 3 เราเห็นพระเจ้าทรงสร้างและเตรียมซามูเอล ให้ขึ้นมาเป็นผู้นำที่โดดเด่น คนหนึ่งของอิสราเอล และในบทที่ 4 เราเห็นพระจ้าทรงกำจัดเอลีและบุตรออกไป เพื่อให้ซามูเอลขึ้นมารับตำแหน่งผู้นำตามที่พระองค์ได้จัดเตรียมไว้

พระเจ้าทรงเีรียกซามูเอล
(3:1-14)

1 ฝ่ายกุมารซามูเอลปรนนิบัติพระเจ้าอยู่ต่อหน้าเอลี ในสมัยนั้นพระดำรัสของพระเจ้ามีมาแต่น้อย ไม่มีนิมิต บ่อยนัก 2 อยู่มาครั้งนั้นเอลีนอนอยู่ในที่นอนของตน (ตาของท่านเริ่มมืดมัวมองอะไรไม่เห็น) 3 ตะเกียงของ พระเจ้ายังไม่ดับ ซามูเอลนอนอยู่ในพระนิเวศของพระเจ้า ที่ที่หีบของพระเจ้าอยู่ที่นั่น 4 พระเจ้าทรงเรียกซามูเอล และซามูเอลทูลตอบว่า "ข้าพเจ้าอยู่นี่" 5 เขาจึงวิ่งไปหา เอลีและว่า "ข้าพเจ้าอยู่นี่ ด้วยท่านร้องเรียกข้าพเจ้า" แต่เอลีตอบว่า "เราไม่ได้เรียกเจ้า จงกลับไปนอนอีก" เขาก็ไปนอน 6 และพระเจ้าทรงเรียกขึ้นอีกว่า "ซามูเอล เอ๋ย" และซามูเอลก็ลุกขึ้นไปหาเอลีกล่าวว่า "ข้าพเจ้า อยู่นี่ด้วยท่านร้องเรียกข้าพเจ้า" แต่เอลีตอบว่า "ลูกเอ๋ย เรามิได้เรียกเจ้า จงนอนอีก" 7 ฝ่ายซามูเอลไม่เคยรู้จัก พระเจ้า และยังไม่เคยทรงสำแดงพระดำรัสของพระเจ้า แก่เขา 8 และพระเจ้าทรงเรียกซามูเอลครั้งที่สาม ซามูเอล ก็ลุกขึ้นไปหาเอลี กล่าวว่า "ข้าพเจ้าอยู่นี่ ด้วยท่านร้อง เรียกข้าพเจ้า" แล้วเอลีจึงหยั่งรู้ได้ว่าพระเจ้าทรงเรียกเด็กนั้น 9 เพราะฉะนั้นเอลีจึงพูดกับซามูเอลว่า "จงไปนอนเสียเถิด ถ้าพระองค์ทรงเรียกเจ้า เจ้าจงทูลว่า 'พระเจ้าเจ้าข้า ขอ พระองค์ตรัสเถิด เพราะผู้รับใช้ของพระองค์คอยฟังอยู่'" ซามูเอลจึงกลับไปนอนในที่ของตน 10 และพระเจ้าเสด็จมา ประทับยืนอยู่ ทรงเรียกอย่างครั้งก่อนๆว่า "ซามูเอล ซามูเอลเอ๋ย" และซามูเอลทูลตอบว่า "ขอตรัสเถิด เพราะผู้รับใช้ของพระองค์คอยฟังอยู่" 11 แล้วพระเจ้าตรัส กับซามูเอลว่า "ดูเถิด เราจะทำสิ่งหนึ่งในอิสราเอล หูของ ทุกคนผู้ที่ได้ยินจะแสบทั้งสองข้าง 12 ในวันนั้นเราจะกระทำ ให้สิ่งที่เราลั่นวาจาไว้เกี่ยวด้วย เรื่องพงศ์พันธุ์ของเอลีให้ สำเร็จเสียต่อเอลี ตั้งแต่ต้นจนถึงที่สุด 13 ดังนั้นเราจึงบอก เขาว่า เราจะลงโทษพงศ์พันธุ์ของเขาเป็นนิตย์ เพราะความ บาปชั่วซึ่งเขารู้แล้ว เพราะบุตรทั้งสองของเขาเหยียดหยาม พระเจ้า และเขาก็มิได้ห้ามปราม 14 เพราะฉะนั้นเราจึง ปฏิญาณต่อพงศ์พันธุ์ของเอลีว่า ความบาปชั่วของพงศ์พันธุ์เอลี นั้นจะลบล้างเสียด้วย เครื่องสัตวบูชา และของถวายไม่ได้ เป็นนิตย์"

ในข้อ 1 พูดถึง "กุมาร" ซามูเอล ซึ่งครอบคลุมไปได้ตั้งแต่เด็กแรกเกิดไปจนถึงวัยหนุ่ม น้อย .10 http://www.bible.org/docs/ot/books/1sa/deffin/ ผมเข้าใจว่าเนื้อหาตอนนี้น่าจะพูดถึงซามูเอลในฐานะหนุ่มน้อย คงอายุประ มาณ 12 ปี เพราะดูเหมือนจากบทที่ 2 มาถึงบทที่ 3 น่าจะกินเวลาจนซามูเอลเข้าสู่ วัยรุ่น

    ผู้เขียนบอกเราว่า "ในสมัยนั้นพระดำรัสของพระเจ้ามีมาแต่น้อย ไม่มีนิมิตบ่อยนัก"

(ข้อ 1) ในสมัยนั้นไม่มีใครสนใจฟังพระเจ้า และพระองค์ก็ไม่ทรงดำรัสบ่อยนัก "ความเงียบ" นี้มักจะเป็นหมายบอกเหตุถึงการพิพากษา ถ้าไม่รีบแก้ใข อิสราเอลกำลังจะเข้าสู่ความหายนะ (ดู 1 ซามูเอล 28; สดุดี 74:9; อิสยาห์ 29:9-14; มีคาห์ 3:6-7; และ สุภาษิต 29:18) เรารู้ว่าคำ พยากรณ์มีมาแต่น้อย เราเห็นว่าการทรงเรียกซามูเอลจึงเป็นการทำลายความเงียบของพระเจ้า (ดู 1 ซามูเอล 3:19-21).

รายละเอียดในข้อ 2, 3 และ 7 ช่วยเราให้เข้าใจเหตุการณ์ในบทที่ 3ได้ ซามูเอลนอน อยู่ในที่ที่เอลีจัดให้ภายในพระนิเวศน์ ซึ่งคงไม่ใกลจากหีบพันธสัญญาในอภิสุทธิสถาน นัก เอลีคงจะนอนห่างออกมา แต่คงไม่ใกลเกินกว่าที่ซามูเอลจะได้ยินเสียงเรียกของ ท่าน ตามที่ผู้เขียนเล่า สายตาของเอลีนั้นเสื่อมถอยลง การมองเห็นของท่านจึงค่อนข้าง ลำบาก (ดู 4:15 ด้วย) อายุของท่านประกอบกับน้ำหนัก และความจำกัดในการมองเห็น ท่านจึงต้องอาศัยความช่วยเหลือจากเด็กอย่างซามูเอล ซามูเอลคงต้องคอยดูแลหาน้ำ ท่ามาให้ท่านดื่ม หรือวิ่งเป็นธุระจัดการเรื่องราวต่างๆให้ ดังนั้นจึงเป็นเรื่องปกติที่ ซามูเอลคิดว่าเสียงเรียกที่ได้ยินตอนกลางคืนนั้นเป็นเสียงเรียกของท่านปุโรหิตเอลี

ตามที่ผู้เขียนเขียนไว้ในข้อ 3 เรารู้ว่าการทรงเรียกซามูเอลนั้นต้องเป็นเวลาย่ำรุ่ง เพราะ พูดถึง "ตะเกียงของพระเจ้ายังไม่ดับ" ตะเกียงนี้ หรือคันประทีปทองคำพร้อมด้วย ตะเกียงเจ็ดดวงต้อง "ส่องสว่างอยู่เสมอ" (อพยพ 27:20-21; เลวีนิติ 24:2) ซึ่งไม่ ได้หมายความว่าต้องมีการจุดตะเกียงตลอด 24 ชั่วโมง แต่หมายถึงต้องจุดเฉพาะตอน กลางคืน มีคำอธิบายชัดเจนใน 2 พงศาวดาร 13:11:

11 "เขาถวายเครื่องเผาบูชาแด่พระเจ้าทุกเช้าทุกเย็น

ทั้งเครื่องหอม ตั้งขนมปังหน้าพระพักตร์บนโต๊ะบริสุทธิ์ และดูแลคันประทีปทองคำพร้อมทั้งตะเกียง เพื่อให้

ประทีปลุกอยู่ทุกเย็น เพราะเราได้รักษาพระบัญชา กำชับของพระเยโฮวาห์พระเจ้าของเรา แต่ท่านได้

ทอดทิ้งพระองค์เสีย"

ไม่มีความจำเป็นต้องจุดตะเกียงในตอนกลางวัน แต่จะมีการจัดเตรียมน้ำมันตะเกียงให้ พร้อมที่จะจุดก่อนถึงเวลาเย็น ตะเกียงจะลุกอยู่ทั้งคืนจนถึงเวลาเช้า ดังนั้นเมื่อตะเกียง ของพระเจ้ายังไม่ดับ เราจึงรู้ว่าน่าจะยังมืดอยู่ซึ่งอาจจะเป็นเวลาใกล้รุ่งที่พระเจ้าทรง เรียกซามูเอล

เช่นเดียวกับบุตรของเอลี ซามูเอลไม่รู้จักพระเจ้า (เปรียบเทียบ 1 ซามูเอล 2:12 กับ 3:7) ข้อแตกต่างระหว่างซามูเอลและบุตรแห่งความชั่วคือ ซามูเอลยังไม่รู้จักพระเจ้า แต่เห็นได้ชัดว่าบุตรของเอลีไม่รู้จักพระเจ้าเลย และคงจะไม่ได้รู้จักด้วย เป็นเรื่องสำ คัญที่จะเข้าใจว่าเมื่อทรงเรียกนั้นซามูเอลยังไม่ได้รับความรอด เช่นเดียวกับเซาโล (เปาโล) ในพระคัมภีร์ใหม่ (ดูกิจการ 9) ได้รับความรอดและการทรงเรียกในระหว่างที่ เผชิญหน้ากับพระเจ้า 11

สองครั้งแรกที่พระเจ้าเรียกซามูเอล หนุ่มน้อยผู้นี้นึกว่าเป็นเสียงเรียกของเอลี ผู้ปก ครอง ซึ่งเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ เพราะเอลีเองคงเคยเรียกให้ซามูเอลช่วยในตอนกลาง คืน จนกระทั่ง "ทรงเรียก" ครั้งที่สาม เอลีจึงเริ่มรู้และตระหนักว่าพระเจ้ากำลังเรียก ซามูเอลเพื่อเผยพระคำของพระองค์ ตามที่เอลีสอนไว้ ซามูเอลจึงตอบเมื่อพระเจ้า ตรัสเรียกอีกครั้ง นับเป็นการเริ่มต้นเปิดเผยพระวจนะ (ถึงแม้จะไม่ทั้งหมด) ตาม ที่บันทึกไว้ในข้อ 11-14

พระเจ้าทรงตรัสกับซามูเอลว่าสิ่งที่พระองค์กำลังจะทำนั้น จะทำให้หูของผู้ที่ได้ยินแสบ ทั้งสองข้าง !12 http://www.bible.org/docs/ot/books/1sa/deffin/ เรื่องนี้ไม่ได้พูดเกินเลย เพราะตอนเอลีได้ยิน ท่านถึงกับตกเก้าอี้หงาย หลังลงไปตาย (ดู 4:18) ดูเหมือนเป็นข้อความที่เจาะจงถึงเอลีเป็นการส่วนตัว เช่นเดียว กับคำพยากรณ์ของพระเจ้าใน 2:27-36 เว้นแต่ครั้งนี้เรารู้จักตัวตนของผู้เผยพระวจนะ และที่จริงเป็นผู้เผยพระวจนะที่จะมาแทนที่เอลี ทำหน้าที่ในฐานะ ผู้เผยพระวจนะ ปุโรหิต และผู้พิพากษา คำพยากรณ์ในบทที่ 2 นั้นดูเหมือนยังห่างไกล เพราะพยากรณ์ ไว้หลายปีก่อนที่อิสราเอลจะพ่ายแพ้แก่ชาวฟิลิสเตียตามที่บันทึกไว้ในบทที่ 4 แต่คำ พยากรณ์ เรื่องการพ่ายแพ้ของอิสราเอล และการตายของบุตรเอลีที่ตรัสผ่านทาง ซามูเอลนั้น เป็นเหตุการณ์ที่กำลังจะมาถึงในไม่ช้า

พระคำที่ถ่ายทอดให้ซามูเอลนั้น เจาะจงที่ความบาปของเอลีมากกว่าความบาปของบุตร โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พระองค์กำหนดว่าจะนำการพิพากษามายังเอลีและพงศ์พันธ์ของ ท่าน เพราะเอลีทราบดีถึงความบาปของบุตร แต่ไม่คิดที่จะยับยั้งห้ามปราม ถ้าเป็นสมัย นี้เราคงเรียกเอลีว่า "พวกไร้น้ำยา" ท่านอำนวยความสะดวกให้บุตรทำบาปมากกว่าจะ ยับยั้ง หรือห้ามปราม

ผมค่อนข้างผิดหวังกับการแปลข้อ 13 ในฉบับแปลของ NASB:

13 "ดังนั้นเราจึงบอกเขาว่า เราจะลงโทษ พงศ์พันธุ์ของเขาเป็นนิตย์ เพราะความบาป ชั่วซึ่งเขารู้แล้ว เพราะบุตรทั้งสองของเขา เหยียดหยามพระเจ้า และเขาก็มิได้ว่ากล่าว" (Rebuke) (พระคัมภีร์ไทยใช้คำว่าห้ามปราม)

อันที่จริงเราเห็นว่า เอลีว่ากล่าวบุตรด้วยวาจาตาม 2:22-25 แต่คำว่า "ว่ากล่าว" นั้นไม่ ตรงตามความหมายในการแปลของ NASB นีเป็นเรื่องของการเลือกใช้คำ เพราะผมไม่ เชื่อว่าพระเจ้าพิพากษาเอลีเพราะท่านไม่ได้ "ว่ากล่าว"บุตร แต่เพราะท่านไม่ได้ทำมาก ไปกว่า แค่ว่ากล่าวตักเตือนด้วยวาจาเมื่อพวกเขาปฏิเสธไม่ยอมฟัง

จึงมีคำถามเกิดขึ้นกับคำว่า "ว่ากล่าว" ตามเนื้อหาของ 3:13 ต้องขอชมเชยคู่มือ ศึกษาพระคัมภีร์ที่พูดถึงเรื่องนี้ไว้อย่างดีและน่าสนใจ ไม่มีการแปลคำว่า "ว่ากล่าว" นี้ที่อื่นๆในพระคัมภีร์เดิม (ตามฉบับแปลของ NASB) จึงไม่ควรจะนำมาใช้ในตอนนี้ ที่น่าสนใจคือมีการใช้คำเดียวกันนี้ในข้อ 2 ของบทเดียวกัน (3) แต่กลับแปลไปเป็น เรื่องที่ใช้กับสายตาที่มืดมัวของเอลี มีการใช้พูดถึงสายตาโมเสสในทางที่ดี (เฉลยธรรม บัญญัติ 34:7) และพูดถึงสายตามัวของอิสอัค (ปฐมกาล 27:1) และโยบ (17:7) ทำให้รู้สึกถึงการอ่อนล้ากำลัง ความมืดมัว หรือ เริ่มจืดจาง เป็นคำที่ใช้ในอิสยาห์ 42:3 และ 4 ด้วย ที่พูดถึงใส้ตะเกียงที่ริบหรี่ ซึ่งองค์พระผู้เป็นเจ้าจะไม่ปล่อยให้ดับไป เช่นเดีียวกับจิตวิญญาณของพระเมสซิยาห์ ซึ่งจะไม่ถูกกระทำให้ อ่อนล้าสิ้นเรี่ยว แรงไป

แล้วผู้แปลนำคำว่า "ว่ากล่าว" มาใช้ได้อย่างไรในตอนนี้ ? ผมเกรงว่าเป็นมาจากอิทธิพล ของต้นฉบับ LXX (แปลจากต้นฉบับพระคัมภีร์เดิมภาษาฮีบรูมาเป็นภาษากรีก) ผู้้แปล Septuagint (LXX) เลือกใช้คำแปลจากภาษาฮีบรูมาเป็นภาษากรีกด้วยคำว่า noutheo เป็นคำเดียวกับที่ Jay Adams นำมาใช้อธิบายถึงวิธีการให้คำปรึกษา ซึ่งเขาเรียกว่า nouthetic counseling. Noutheo หมายถึง การว่ากล่าวตักเตือน หรือดุว่า ซึ่งไม่่ตรง กับความหมายเดิมในภาษาฮีบรูที่ใช้ในตอนนี้เลย

ผมเชื่อว่าการใช้คำในฉบับ King James Version, the New King James Version, the NIV (โดยเฉพาะอย่างยิ่ง), the American Standard Version, the Revised Standard Version, the New Revised Standard Version และอื่นๆ ซึ่งใช้คำว่า "ห้ามปราม" ทั้งสิ้น ในเนื้อหาของเราดูเหมือนผู้เขียนจะใช้วิธีเล่นคำ สายตาของ เอลีมืดมัว ; จนแทบจะมองไม่เห็น เอลีจึงแทบมองไม่เห็นการกระทำของบุตร ถ้า เปรียบเทียบกับแสง ความบาปของบุตรเอลีก็จ้าที่สุด ท่านอาจจะแยกแยะความจ้าของ "แสง" แห่งความบาปไม่ออก แต่อย่างน้อยท่านต้องรู้ว่ามีแสง ท่านอาจทำการห้าม ปราม เช่น ปลดออกจากการเป็นปุโรหิต หรือขัดขวางการกระทำบาป ตรงข้าม ท่าน กลับเอื้ออำนวยความสะดวกให้ และนี่จึงเป็นสาเหตุที่พระเจ้าต้องจัดการอย่างจริงจัง กับเอลีและพงศ์พันธ์ทั้งสิ้นของท่าน

ข้อ 14 บ่งชัดว่าความบาปของพงศ์พันธ์เอลีเกินการแก้ใข พระเจ้าจะทรงพิพากษาแน่ จะลบล้างด้วยเครื่องสัตวบูชาและของถวายไม่ได้ มีเพียงการพิพากษาเท่านั้น ถ้าจะ พูดอย่างง่ายๆคือ เอลีและบุตรไปไกลจน "หวนคืนไม่ได้แล้ว" พวกเขาไม่ยอมกลับใจ และการพิพากษากำลังจะมาถึง เป็นเพราะเอลีและบุตรทำบาปอย่าง "เหิมเกริม"13 และเป็นบาปที่ท้าทายและไม่เกรงกลัวต่อผู้ใด

ซามูเอลเก็บเงียบ เอลีคะยั้นคะยอ : คำพยากรณ์เปิดเผย
1 ซามูเอล 3:15-18

15 ซามูเอลนอนอยู่จนรุ่งเช้า เขาเปิดประตูพระนิเวศ ของพระเจ้า และซามูเอลก็กลัวไม่กล้าบอกนิมิตนั้น แก่เอลี 16 เอลีก็เรียกซามูเอลมากล่าวว่า "ซามูเอล บุตรของข้าเอ๋ย" และซามูเอลตอบว่า "ข้าพเจ้าอยู่นี่" 17 และเอลีถามว่า "เรื่องอะไรนะที่พระองค์ทรงบอกเจ้า ขออย่าปิดบังไว้จากเราเลย ถ้าเจ้าปิดบังสิ่งใดไว้จากเรา ในเรื่องทั้งสิ้นที่พระองค์ทรงบอกแก่เจ้าก็ขอพระเจ้าทรง ลงโทษเจ้า และยิ่งหนักกว่า" 18 ดังนั้นซามูเอลจึงบอก ทุกอย่างแก่เอลี ไม่ได้ปิดบังอะไรไว้จากท่านเลย และ เอลีว่า "คือพระเจ้าเอง ขอพระองค์ทรงกระทำตามสิ่งที่ พระองค์ทรงเห็นชอบเถิด"

พอถึงตอนเช้า ซามูเอลพยายามหลีกเลี่ยงเอลี และปฏิบัติหน้าที่ไปตามปกติเหมือนไม่มี อะไรเกิดขึ้น แต่เอลีรู้ดีกว่านั้น ท่านรู้ดีว่าพระเจ้าทรงเรียกซามูเอลถึงสามครั้งในตอน กลางคืน ท่านรู้ดีว่าพระเจ้าคงจะเปิดเผยบางสิ่งบางอย่างกับซามูเอล เพียงแต่ท่านไม่รู้ ว่าเรื่องใด ท่านอาจรู้สึกหวั่นใจและมีลางสังหรณ์ไปถึงข่าวสุดท้ายที่ได้รับจากผู้เผยพระ วจนะ เอลีจึงพูดเชิงบังคับให้ซามูเอลเล่าถึงสิ่งที่พระเจ้าตรัส ท่านไม่ยอมให้ซามูเอล เก็บเงียบ ดังนั้น อย่างไม่สู้เต็มใจซามูเอลจึงต้องเล่าเรื่องทั้งหมดให้เอลีฟัง

ผมรู้สึกรำคาญเป็นอย่างยิ่งต่อปฏิกิริยาที่เอลีตอบสนองต่อคำพยากรณ์ มีการพูดถึงการ พิพากษาที่จะเกิดกับท่าน และครั้งนี้อาจไม่มีทางยับยั้งได้ 14 http://www.bible.org/docs/ot/books/1sa/deffin/ ถึงแม้จะหลีกหนีการ พิพากษาไปไม่พ้น อย่างน้อยเอลีก็น่าจะกลับใจจากความบาปแห่งการละเลย แต่เอลี กับใช้คำพูดที่ฟังดูเหมือนคนเคร่งศาสนา ทำนองว่ายอมจำนนกับพระประสงค์ของพระ เจ้า แต่ที่จริงท่านกำลังแสดงว่าต้องการดำเนินอยู่ในทางบาปต่อ จากที่เราอ่านนั้น ไม่ใช่เป็นการแสดงความเชื่อในพระราชอำนาจของพระเจ้า แต่กลับกลายเป็นการแสดง ถึงความเชื่อในเรื่องโชคชะตาที่อ้างอิงแอบแฝงอยู่ในหลักคำสอนของศาสนา

ซามูเอลได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้เผยพระวจนะของพระเจ้า
( 3:19-21)

19 และซามูเอลก็เติบโตขึ้น และพระเจ้าทรงสถิต กับท่าน มิให้วาจาของท่านตกไปเปล่าแต่สักคำเดียว 20 และชนอิสราเอลทั้งปวง ตั้งแต่ดานถึงเบเออร์เชบา ก็ทราบว่าซามูเอลได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้เผยพระ วจนะของพระเจ้า 21 และพระเจ้าทรงปรากฏอีกที่ชิโลห์ เพราะพระเจ้าทรงสำแดงพระองค์แก่ซามูเอลที่ชิโลห์ โดยพระดำรัสของพระเจ้า และถ้อยคำของซามูเอลมา ถึงคนอิสราเอลทั้งปวง

ผมคิดว่าการเผชิญหน้ากับพระเจ้าเป็นครั้งแรก เป็นประสพการณ์ในการเปลี่ยนแปลง ของซามูเอล เป็นการทรงเรียกให้เป็นผู้เผยพระวจนะ อย่างที่ผมเคยพูดไว้ว่าเป็นประสพ การณ์ที่คล้ายกันกับเซาโลในระหว่างเดินทางไปดามัสกัส (ดูกิจการ 9) ผู้เขียนกำลังจะ บอกเราว่าการเผชิญหน้ากับพระเจ้า และการยอมรับในสิ่งที่พระองค์ตรัสครั้งนี้ เป็นการ เริ่มต้นของการมาปรากฎอีกหลายครั้งของพระเจ้า ข้อ 21 เจาะจงบอกถึงการปรากฎมา เป็นครั้งที่สองต่อซามูเอลที่ชิโลห์ ซึ่งแสดงว่ายังมีครั้งอื่นๆตามมาอีก และการเสด็จ มาในครั้งแรกนี้เอง ที่ไม่เพียงแต่ทำให้ซามูเอลเป็นผู้เชื่อ (ตามที่ผู้เขียนพูดว่าพระเจ้า ทรงสถิตกับท่าน) i15 http://www.bible.org/docs/ot/books/1sa/deffin/ แต่ได้มาเป็นผู้เผยพระวจนะด้วย และในมาช้าจะมาเป็นปุโรหิต และ เป็นผู้วินิจฉัยของอิสราเอล

วิธีการแต่งตั้งปุโรหิตที่ถูกต้องนั้นอยู่ในเฉลยธรรมบัญญัติ 13:1-5 และ 18:14-22 ปุโรหิตที่แท้จริงจะกล่าวเรียกร้องให้ประชาชนติดตามพระเจ้า เชื่อฟังพระองค์ และ ยิ่งไปกว่านั้น ถ้อยคำจากปุโรหิตของพระเจ้าจะเกิดขึ้นเป็นจริง ผู้เขียนของเรากล่าวว่า พระเจ้าจะไม่ปล่อยให้ วาจาของซามูเอล "ตกไปเปล่า" (ข้อ 19) ทุกสิ่งที่ซามูเอล พูดว่าจะเกิดก็เกิดขึ้น ชาวอิสราเอลทุกคนจึงตระหนักว่าพระเจ้าสถิตอยู่กับซามูเอล และท่านจะเป็นผู้ถ่ายทอดพระคำของพระองค์ ตั้งแต่ดานเหนือสุดของแผ่นดิน ไปถึง เบเออร์เชบาใต้สุด ชาวอิสราเอลทั้งปวงตระหนักดีว่าซามูเอลเป็นผู้เผยพระวจนะของ พระเจ้า ความเงียบได้ถูกทำลายลงแล้ว

ความพ่ายแพ้ของอิสราเอล และการสิ้นชีวิตของบุตรของเอลี
( 4:1-11)

11 ฝ่ายคนอิสราเอลได้ยกกองทัพออกไปสู้รบกับคน ฟีลิสเตีย ได้ตั้งค่ายอยู่ข้างเอเบนเอเซอร์ และคนฟีลิส เตียตั้งค่ายอยู่ในเอเฟก 2 คนฟีลิสเตียได้จัดพลเป็น แนวเข้าต่อสู้กับอิสราเอล และเมื่อสงครามได้ขยายวง ออกไป อิสราเอลก็พ่ายแพ้แก่คนฟีลิสเตียผู้ได้ฆ่าคน เสียประมาณ สี่พันคนในสนามรบ 3 และเมื่อกองทัพ กลับมาสู่ค่าย พวกผู้ใหญ่ของอิสราเอลก็ กล่าวว่า "ทำไมพระเจ้าจึงทรงให้เราพ่ายแพ้ต่อคนฟีลิสเตีย ในวันนี้ ขอเราไปนำหีบพันธสัญญาแห่งพระเจ้ามาให้ เราจากเมืองชิโลห์เถิด เพื่อว่าพระองค์จะเสด็จมาท่าม กลางเรา และทรงช่วยเราให้พ้นจากมือศัตรูของเรา" 4 เขาจึงใช้คนไปที่เมืองชิโลห์ และเขานำหีบพันธสัญญา แห่งพระเจ้าจอมโยธา ผู้ประทับที่บัลลังก์พวกเครูบ บุตร ทั้งสองของเอลี คือโฮฟนีและฟีเนหัส ก็อยู่กับหีบพันธ สัญญาแห่งพระเจ้าที่นั่น 5 เมื่อหีบพันธสัญญาแห่งพระเจ้า เข้ามาในค่าย แล้วคนอิสราเอลทั้งสิ้นก็โห่ร้องเสียงดัง จนแผ่นดินก้องไปด้วยเสียงนั้น 6 และเมื่อคนฟีลิสเตีย ได้ยินเสียงโห่ร้องดังเช่นนั้น เขาก็กล่าวว่า "เสียงโห่ร้อง อึกทึก ครึกโครมในค่ายของคนฮีบรูนั้นหมายความว่า อะไรกัน" และเขาทราบว่าหีบแห่งพระเจ้าเข้ามาในค่ายแล้ว 7 คนฟีลิสเตียก็กลัวเพราะเขากล่าวว่า "พระเจ้าได้เสด็จมา ในค่ายแล้ว" และเขากล่าวว่า "วิบัติแก่เราทั้งหลายเพราะ แต่ก่อนไม่เคยเกิดเรื่องอย่างนี้เลย 8 วิบัติแก่เราทั้งหลาย ใครจะช่วยกู้เราจากบรรดาพระอันทรงฤทธานุภาพนี้ได้ พระ เหล่านี้เป็นผู้ที่ฆ่าฟันชาวอียิปต์ด้วยภัยพิบัตินานาชนิดในถิ่น ทุรกันดาร 9 โอ คนฟีลิสเตียเอ๋ยจงกล้าหาญเถิด จงกระทำตัว เป็นลูกผู้ชาย เพื่อว่าเจ้าจะไม่เป็นทาสของคนฮีบรูดังที่เขาเคย เป็นทาสเจ้า จงกระทำตัวให้เป็นลูกผู้ชายและเข้ารบ" 10 เพราะ ฉะนั้นคนฟีลิสเตียจึงสู้รบและอิสราเอลก็พ่ายแพ้ ต่างก็หนีไปยัง เต็นท์ของตน ครั้งนั้นมีการฆ่าฟันกันมาก เพราะทหารราบของ อิสราเอลตายเสียสามหมื่นคน 11 และหีบแห่งพระเจ้าก็ถูกยึดไป และบุตรทั้งสองของเอลี คือโฮฟนีและฟีเนหัสก็ถูกฆ่าตาย

คนอิสราเอลเคยตกอยู่ภายใต้การปกครองของฟิลิสเตียอยู่พักหนึ่ง คนฟิลิสเตียจึงดูถูก ว่าเป็นพวกทาส (4:9) ด้วยเหตุผลบางประการ มีสงครามเกิดขึ้นระหว่างคนฟิลิสเตีย กับอิสราเอล และทางอิสราเอลกำลังจะพ่ายแพ้ พอฝุ่นจาง คนอิสราเอลจึงรู้ว่าพี่น้อง ร่วมชาติตายเสีย 4,000 คน (ข้อ 2) เมื่อกลับมาที่ค่าย พวกเขาไม่เข้าใจว่าเหตุใด พระเจ้าจึงปล่อยให้พวกเขาต้องพ่ายแพ้และสูญเสียมากเช่นนี้

โดยปราศจากการอดอาหารอธิษฐาน ปราศจากการทูลขอการทรงนำจากพระเจ้า ชาว อิสราเอลตัดสินใจเลือกใช้ยุทธวิธีที่ Dale Ralph Davis เรียกว่า "เครื่องลางของขลัง" 16 http://www.bible.org/docs/ot/books/1sa/deffin/ ไม่มีการมองว่าหีบพันธสัญญาเป็นสัญลักษณ์การสถิตอยู่ด้วยของพระเจ้า แต่กลับ กลายเป็นตะเกียงวิเศษซึ่งต้องถูมือไปบนตะเกียงเพื่อเรียกพระเจ้าให้ออกมาช่วย หีบพันธสัญญาเป็นเครื่องลาง ซึ่งเมื่อไรนำมาใช้ก็จะได้รับพร "แน่นอน" พวกเขาให้ เหตุผล "เป็นเพราะเราไม่ได้นำหีบพันธสัญญามาด้วย ! พรุ่งนี้เราจะนำหีบพันธสัญญา ออกไปสนามรบพร้อมกับเราด้วย และแน่นอนเราต้องชนะ พระเจ้าจะสถิตอยู่กับเรา เพราะหีบพันธสัญญาอยู่กับพวกเรา"

แผนการล้มเหลวอย่างไม่เป็นท่า ตอนแรกดูเหมือนจะดี แต่กลับกลายเป็นความหายนะ อย่างใหญ่หลวงสำหรับผู้ที่คิดว่าหีบพันธสัญญาจะนำชัยชนะมาให้ ตอนที่นำหีบ พันธสัญญาออกมาจากพลับพลาเพื่อไปไว้ต่อหน้าทหารอิสราเอล มีเสียงตะโกนโห่ร้อง อึกทึกไปก้องค่าย เป็นเหมือนเสียงเชียร์ก่อนการแข่งขันฟุตบอลนัดสำคัญ ทหารของ อิสราเอลมีกำลังใจขึ้นอีกโข พวกเขาจะไม่มีวันแพ้ เพราะพระเจ้าสถิตอยู่ด้วย

ทหารฟิลิสเตียได้ยินเสียงโห่ร้องมาจากค่ายของอิสราเอลจึงสงสัยว่า อะไรเป็นเหตุ ให้ชาวอิสราเอลโห่ร้องอย่างเหิมเกริมเช่นนั้น และเมื่อรู้ว่ามีการนำหีบพันธสัญญามา ที่ค่ายของอิสราเอล พวกเขาก็เช่นเดียวกับชาวอิสราเอล คิดว่าหีบพันธสัญญาเป็นหีบ แห่งอัศจรรย์ พวกเขานึกไปถึงตอนที่พระเจ้าทรงนำคนอิสราเอลออกจากอียิปต์ และ เรื่องราวที่พระเจ้านำชัยชนะเหนือศัตรูมาสู่คนอิสราเอลอย่างมหัศจรรย์ และเมื่อใด ที่อิสราเอลออกรบ จะนำหีบพันธสัญญาไปด้วย พวกเขาจึงกลัวว่าสิ่งนี้จะทำให้อิสราเอล รบชนะในครั้งนี้ สรุปว่าพวกเขาต้องตายแน่ๆ แต่ถ้าจะตายก็ขอตายอย่างชายชาติทหาร ดังนั้น แทนที่จะท้อถอย ทหารฟิลิสเตียกลับต่อสู้จนสุดฤทธิ์เพื่อจะตายอย่างวีรบุรุษ ผลก็คือ ทำให้ชาวฟิลิสเตียมีแรงจูงใจในการรบ และในที่สุดก็เอาชนะอิสราเอลได้ — และครั้งนี้ชาวอิสราเอลตายถึง 30,000 คน มีโฮฟนีและฟีเนหัสบุตรของเอลีอยู่ใน จำนวนนี้ด้วย และหีบพันธสัญญาถูกยึดไปเป็นรางวัลแห่งชัยชนะ

ชาวอิสราเอลโง่เขลาที่สรุปเอาเองว่าถ้านำหีบพันธสัญญาไปสู่สนามรบด้วย พวกเขา ต้องมีชัย แต่ในแผนการของพระเจ้า การทีชาวอิสราเอลนำหีบพันธสัญญาไปสนามรบ หมายถึงพระเจ้ากำลังทำให้คำพยากรณ์ของพระองค์สำเร็จลงตามที่ตรัสแก่ผู้เผยพระ วจนะนิรนาม โฮฟนีและฟีเนหัสนำหีบพันธสัญญาไปสู่สนามรบ ชาวอิสราเอลต้องแพ้ สงคราม หีบพันธสัญญาถูกยึดไปเป็นเชลย และบุตรทั้งสองของเอลีก็เสียชีวิตลงไป ภายในวันเดียวกัน (ดู 2:34).

การตายของเอลีและลูกสะใภ้
( 4:12-22)

คำพยากรณ์ของพระเจ้าสำเร็จไปเพียงบางส่วน ยังมีการพิพากษามาถึงอีกในวันอันน่า อดสูนี้ เอลีนั่งคอยเฝ้าอยู่ที่ข้างถนน จิตใจคงหวั่นไหวรอคอยคนมาส่งข่าว ท่านคงรู้สึก ลึกๆว่าวันนี้น่าจะเป็นวันแห่งการพิพากษา หีบพระบัญญัติไม่ได้อยู่ที่ชิโลห์ ลูกของท่าน ก็เช่นกัน เอลีคงรู้สึกย่ำแย่ ผู้ชายเผ่าเบนยามินคนหนึ่ง หนีรอดจากสนามรบกลับมาที่ ชิโลห์ เสื้อผ้าขาดวิ่นและมีดินอยู่บนศีรษะ เป็นเครื่องหมายแสดงถึงความโศกเศร้าและ พ่ายแพ้ แต่เอลีสายตามืดมัวมองไม่เห็น คนทั้งเมืองคงจะร้องให้คร่ำครวญทันทีที่ข่าว นี้แพร่กระจายออกไป

ถึงแม้จะมองไม่เห็นแต่เอลีได้ยิน และสิ่งที่ท่านได้ยินทำให้ท่านตกใจ หูของท่านที่ ได้ยินคงจะแสบไปหมด (ดู 3:11) เอลีร้องถามถึงเหตุโกลาหล ชายคนนี้จึงรีบเข้า มาหาเอลี และเล่าเรื่องทั้งสิ้นให้ฟัง ไม่มีให้เลือกว่าจะฟัง "ข่าวดี" หรือ "ข่าวร้าย"ก่อน เพราะมีแต่เพียง "ข่าวร้าย" — อิสราเอลพ่ายแพ้แก่ชาวฟิลิสเตีย บุตรทั้งสองของเอลี ถูกฆ่า และหีบของพระเจ้าถูกยึดไป ข่าวนี้ร้ายแรงเกินกว่าชายชราอายุ 98ปีอย่างเอลี จะรับไหว ท่านหงายหลังล้มลงและคอหักตาย เอลีตายลง พร้อมด้วยบุตรทั้งสองภาย ในวันเดียวกัน งานรับใช้เป็นเวลาสี่สิบปีของท่านในฐานะผู้วินิจฉัยอิสราเอลก็จบลงด้วย

เรื่องการตายที่บ้านของเอลียังไม่จบสิ้น ภรรยาของฟีเนหัสบุตรเอลีตั้งครรภ์อยู่ และ ข่าวโศกนาฏกรรมในการพ่ายแพ้ การสูญเสียหีบพันธสัญญา การตายของพ่อสามี และ ตัวสามีทำให้นางกระทบกระเทือนจนเจ็บท้องคลอด การคลอดเป็นไปอย่างลำบาก มี หลายคนช่วยปลอบนาง แต่นางไม่ต้องการฟัง และเมื่อคลอดบุตรเป็นชาย นางจึงตั้ง ชื่อว่า อีคาโบด ซึ่งแปลว่า "พระสิริพรากไป" เพราะหีบแห่งพระเจ้าถูกยึดไป สามีและ บิดาสิ้นชีวิตลง ลูกสะใภ้ของเอลีคนนี้ ดูจะมีความเข้าใจมากกว่าสามี นางตระหนักดีว่า การสูญเสียหีบแห่งพระเจ้านั้นคือหายนะที่สุด ในความคิดของนาง การเสียหีบของพระ เจ้าไปเท่ากับสูญเสียพระสิริไปด้วย

ที่จริง ผมว่าไม่ถูกต้อง ตามที่ผมเข้าใจในพระคัมภีร์เดิม พระสิริของพระเจ้าได้พรากไป จากพลับพลานานแล้ว ให้ลองมาดูพระวจนะคำในอพยพ ซึ่งพูดถึงการสถิตอยู่ของพระ เจ้าที่ในพลับพลาของพระองค์ :

34 ในขณะนั้นมีเมฆมาปกคลุมเต็นท์นัดพบไว้ และ พระสิริของพระเจ้าก็ปรากฏอยู่เต็มพลับพลานั้น 35 โมเสสเข้าไปในเต็นท์นัดพบไม่ได้เพราะเมฆปกคลุม อยู่ และพระสิริของพระเจ้าก็อยู่เต็มพลับพลานั้น 36 ตลอดการเดินทางของเขา เมฆนั้นถูกยกขึ้นจาก พลับพลาเมื่อใด ชนชาติอิสราเอลก็ยกเดินต่อไปทุก ครั้ง 37 แต่หากว่าเมฆนั้นมิได้ถูกยกขึ้นไป เขาก็ไม่ ออกเดินทางเลย จนกว่าจะถึงวันที่เมฆนั้นจะถูกยกขึ้นไป 38 เพราะตลอดทางที่เขายกเดินไปนั้น ในกลางวัน เมฆของพระเจ้าทรงสถิตอยู่เหนือพลับพลา และใน ตอนกลางคืนมีไฟในเมฆนั้นประจักษ์แก่ตา ของวงศ์วาน อิสราเอลทั้งปวง
(อพยพ 40:34-38)

พระเจ้าทรงสัญญาจะพบกับปุโรหิตที่ประตูทางเข้าพลับพลานั้น :

42 นี่จะเป็นเครื่องเผาบูชาเนืองนิตย์ ตลอดชั่วชาติ พันธุ์ของเจ้าที่ประตูเต็นท์นัดพบ เฉพาะพระพักตร์ พระเจ้า ที่ที่เราจะพบเจ้าทั้งหลายและสนทนากับเจ้า ที่นั่น 43 ที่นั่นเราจะพบกับชนชาติอิสราเอล และพลับ พลานั้นจะรับการชำระให้บริสุทธิ์ด้วยพระสิริของเรา 44 เราจะชำระเต็นท์นัดพบและแท่นบูชาไว้เป็นที่บริสุทธิ์ และเราจะชำระอาโรน และบุตรเขาให้บริสุทธิ์ด้วยเพื่อให้ เป็นปุโรหิตปรนนิบัติเรา 45 เราจะสถิตอยู่ท่ามกลางชนชาติ อิสราเอล และจะเป็นพระเจ้าของเขา 46 เขาจะรู้ว่า เราคือ พระเจ้าของเขา ผู้ได้นำเขาออกจากแผ่นดินอียิปต์ เพื่อเรา จะสถิตอยู่ท่ามกลางเขาทั้งหลาย เราคือพระเจ้าของเขา"
(อพยพ 29:42-46)

จากเวลานั้นมา ดูเหมือนพระสิริของพระเจ้าไม่ได้อยู่ที่พลับพลาอีกต่อไป การจากไป ของพระเจ้า ไม่ชัดเจนเหมือนกับเวลาที่พระสิริของพระองค์ลงมาตามที่บันทึกไว้ด้านบน ซามูเอลเติบโตขึ้นในพระนเวศน์ นอนไม่ไกลไปจากหีบแห่งพันธสัญญา (3:3) แต่ไม่รู้ จักพระเจ้า และไม่ได้รู้สึกพิเศษถึงการสถิตอยู่ของพระองค์ ดังนั้นเมื่อพระเจ้ามา ปารกฎแก่ซามูเอลที่พระนิเวศน์จึงเป็นเรื่องไม่ธรรมดา พระเจ้าเสด็จมาและประทับยืน เรียกชื่อซามูเอล (3:10) ซึ่งไม่ใช่เป็นเรื่องที่เคยเกิดขึ้น ซามูเอลไม่ทราบว่านี่คือพระเจ้า ต้องให้เอลีบอกจึงทราบ ถึงแม้เอลีเองก็ไม่ได้ไวต่อการมาปรากฎของพระองค์

หีบพันธสัญญาไม่ใช่เป็นการประกาศว่าพระเจ้าของอิสราเอลกำลังสถิตอยู่ในพระนิเวศน์ ไม่ใช่เป็นรูปเคารพ เป็นเพียงเครื่องหมายว่าพระเจ้าสถิตอยู่ท่ามกลางประชากรของ พระองค์ ในขณะที่เครื่องหมายนี้อยู่ในความครอบครองของปุโรหิตที่ในชิโลห์ พระสิริ ของพระองค์ได้จากไปนานแล้ว การที่หีบพันธสัญญาถูกยึดไปจึงเป็นการย้ำถึงความ จริงในสิ่งนี้ ความจริงที่ว่าพระสิริของพระเจ้าได้จากชิโลห์ไปแล้ว เพราะพระสิริของ พระองค์จะไม่มีวันถูกบรรดาคนบาปมาบดบังได้ดังเช่นที่เราจะได้เรียนในบทต่อๆไป

บทสรุป

ในขณะที่เรามาถึงตอนจบของยุคโศกนาฏกรรมของอิสราเอลที่นานนมมาแล้ว (40ปี แห่งการรับใช้ของเอลีในหน้าที่ผู้วินิจฉัย และปุโรหิต) ให้เราหยุดเพื่อมาดูว่าเหตุการณ์ ในบทเรียนนี้สอนคริสเตียนอย่างเราๆในปัจจุบันได้อย่างไร

ข้อแรก ให้มาพิจารณาดูว่าบทเรียนนี้สอนเราเรื่องพระเจ้าว่าอย่างไร พระเจ้า ทรงมีพระคุณต่อประชากรอิสราเอลอย่างไร โดยเฉพาะเมื่อพวกเขาเต็มไปด้วยบาป และไม่สมควรต่อพระคุณ โดยพระคุณ พระเจ้าตักเตือนเอลีครั้งแล้วครั้งเล่า ว่าการ พิพากษากำลังจะมาถึงพงศ์พันธ์ของท่าน ช่วงเวลาระหว่างการเตือนครั้งแรก และ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงนั้นมีเวลาเหลือเฟือที่เอลีจะกลับใจและแก้ใขจัดการกับความ บาปของบุตร พระเจ้าทรงพระเมตตาที่ได้ทำลายความเงียบก่อน และเปิดเผยพระองค์ เองและพระวจนะคำให้กับประชาชนโดยผ่านทางผู้เผยพระวจนะซามูเอล

พระเจ้าอุดมด้วยพระคุณ และพระองค์ทรงอำนาจอธิปไตย (พระคุณที่เราไม่สมควรได้รับ หรือแสวงหาได้เอง นอกจากพระองค์เป็นผู้ประทานให้) ซามูเอลไม่รู้จักพระเจ้า ไม่เคย ได้ยินพระสุรเสียง ซามูเอลไม่ได้แสวงหาพระองค์ แต่พระองค์มาปรากฎแก่เขา ทำให้ เขารู้จัก และเรียกให้มาเป็นผู้เผยพระวจนะ พระเจ้าแต่งตั้งซามูเอลต่อหน้าชนชาติอิสรา เอล เพื่อให้ทุกคนทราบว่าบัดนี้พระเจ้าทรงแต่งตั้งผู้เผยพระวจนะคนใหม่ที่แท้จริงของ พระองค์ขึ้น และพระเจ้าผู้ครอบครองอยู่ทรงจัดเตรียมหนทางโดยการกำจัดเอลีและ บุตรออกไป และสร้างซามูเอลขึ้น เรียกท่านและประทานตำแหน่งผู้เผยพระวจนะให้ แก่ท่าน

พระเจ้าเกลียดชังความบาป พระองค์ทรงพิพากษาคนบาปที่ไม่ยอมกลับใจ วันคืนเหล่า นั้น นับเป็นเวลาอันมืดมนของอิสราเอล ปุโรหิตทุจริต คนมีหน้าที่รับใช้พระเจ้ากลับทำ ร้ายทั้งพระนิเวศน์และประชาชน ปุโรหิตทำตัวเป็นโจรผู้ร้าย ทั้งทุจริตและทำผิดศีลธรรม พระคำของพระเจ้ากำหนดไว้ชัดเจนถึงความบริสุทธิ์ในสถานนมัสการ และในหน้าที่ปรน นิบัติรับใช้ พระเจ้าทรงต้องการให้ปุโรหิตเป็นดังภาพสะท้อนของความบริสุทธิ์ของพระ องค์ บุตรทั้งสองของเอลีชูกำปั้นใส่พระพักตร์ และในที่สุดวันแห่งการพิพากษาก็มาถึง ตรงตามที่พระองค์ตรัสไว้ทุกประการ พระเจ้าตรัสว่า วันแห่งการพิพากษาของพระเจ้า อาจจะมาช้ากว่าที่เราคาดไว้ แต่จะมาถึงอย่างแน่นอน

พระเจ้าไม่ค่อยจะทำตามที่เราคิดหรืออยากให้เป็น เราอาจจะรู้สึกอัศจรรย์ใจในพระสติ ปัญญาและฤทธิ์เดชในการทำพระประสงค์ของพระองค์ให้สำเร็จ ใครจะไปคิดว่าการ พิพากษานี้จะสำเร็จลงด้วยฝีมือประชากรของพระองค์และพวกศัตรูอย่างชาวฟิลิสเตีย โดยคิดเหมาเอาเองว่าถ้านำหีบแห่งพระเจ้าไปสนามรบด้วย ชาวอิสราเอลเองได้แสดง ให้เห็นว่าไม่มีความยำเกรงต่อความบริสุทธิ์ของพระเจ้า การนำหีบแห่งพระเจ้าไปในสง คราม ทำให้คำพยากรณ์เรื่องการตายของบุตรทั้งสองของเอลีสำเร็จลงภายในวันเดียว พระเจ้าทรงมีวิธีของพระองค์เองที่มหัศจรรย์และลึกล้ำเกินกว่าที่เรานึกถึง

ข้อสอง ให้เรามาพิจารณาดูว่าพระคำตอนนี้สอนเราถึงเรื่องมนุษย์ว่าอย่างไร พระเจ้าไม่ทรงเปลี่ยนแปลง พระองค์ทรงเหมือนเดิม "วานนี้ วันนี้ และสืบๆไปเป็น นิตย์" ที่จริงมนุษย์ก็ไม่เปลี่ยนแปลงเหมือนกัน เราถูกเรียกให้มาเป็นผู้เผยพระวจนะ เช่นซามูเอลเมื่อครั้งอดีต และการทรงเรียกของเราก็ไม่ต่างไปจากท่าน ซามูเอลไม่ ได้แสวงหาพระเจ้า พระเจ้าทรงตามหาท่าน ดังนั้นคนที่หลงหายในทุกวันนี้ก็ไม่ได้ แสวงหาพระเจ้า (ดู โรม 3:10-11) มนุษย์ได้รับความรอด ไม่ใช่เพราะพวกเขาแสวง หาพระเจ้า แต่พระเจ้าตามหาและช่วยคนบาปให้กลับใจ พระองค์ทรงตามหาเรา ไม่ใช่เราตามหาพระองค์ โดยพระคุณ พระองค์ทรงเรียกให้เราเข้ามาหา มารับความ รอด สาธุการแด่พระเจ้า องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา และพระองค์ผู้เดียวเท่านั้น ที่สมควร กับการสรรเสริญนมัสการ

ที่ผมต้องการพูดคือ พระเจ้าทรงเรียกมนุษย์ในทุกวันนี้เช่นเดียวกับที่ทรงเรียกซามูเอล ในอดีต — ด้วยเหตุผลและความจำเป็นในแบบเดียวกัน พระองค์ทรงเผยพระองค์เองกับ เรา ไม่ใช่ด้วยการมาปรากฎพระองค์เองหรือมาในนิมิต แต่โดยพระวจนะคำ โดยพระ คัมภีร์ หน้าที่ของเรา เช่นเดียวกับซามูเอล คือประกาศพระวจนะคำออกไปสู่ประชาชาติ คริสเตียนทุกคนถูกเรียกให้มา "เชื่อ" ในองค์พระเยซูคริสต์ และ "ถูกเรียก" ให้ไป ประกาศพระวจนะคำของพระองค์ออกไปสู่บรรดาประชาชาติ

พวกเราต่างจากชาวอิสราเอลในสมัยของซามูเอล ที่มีกล่าวว่า "พระดำรัสของพระ เจ้ามีมาแต่น้อย " ความจริงก็คือพระเจ้าตรัสกับเราอย่างเต็มสมบูรณ์ในองค์พระบุตร และในพระวจนะคำที่เราถืออยู่ในมือ (ดู ฮีบรู 1:1-4; 2:1-4) ปัญหาในทุกวันนี้ไม่ใช่ ไม่มีพระดำรัส แต่มนุษย์ต่างหากที่ไม่ต้องการฟัง จึงไม่น่าประหลาดใจที่เราเห็นถ้อย คำเช่นนี้ปรากฎอยู่ในพระคัมภีร์ใหม่ "ใครมีหูจงฟังเถิด" (ดูมัทธิว 11:15; 13:9, 43; วิวรณ์ 2:7, 11, 17, 29; 3:6, 13, 22) เราทุกคนสามารถกล่าวอย่างจริงใจได้ไหมว่า "ขอทรงตรัสเถิด ผู้รับใช้ของพระองค์กำลังฟังอยู่" นี่คือหัวใจของผู้ที่จะ "ได้ยิน" พระสุรเสียงของพระเจ้าอย่างชัดเจน

ในขณะที่เตรียมการสอน ผมเห็นการตอบสนองต่อพระเจ้าในสามแบบ ที่ไม่ต่างไปจาก การตอบสนองของผู้คนในยุคนี้ แบบแรก คือการตอบสนองของชาวอิสราเอล ชาว อิสราเอลต้องการพระเจ้าในท่ามกลางความมืดมน "ให้สถิตอยู่ท่ามกลางพวกเขา" ใน ยามจำเป็น เพื่อบันดาลตามสิ่งที่พวกเขาต้องการ พวกเขานำหีบแห่งพระเจ้าไปสู่สนาม รบด้วยความคาดหวังว่า พระเจ้าจะประทานชัยชนะให้ แทนที่จะเห็นตนเองเป็นเพียง ผู้รับใช้ของพระเจ้า กลับเห็นพระเจ้าเป็นผู้รับใช้แทน "พระเจ้า" สำหรับพวกเขามีไว้ใช้ ไม่ได้มีไว้ถวายพระเกียรติและพระสิริด้วยการนมัสการสรรเสริญและเชื่อฟัง นีคือทฤษฎี ที่เราเรียกว่า "เครื่องลางของขลัง" ตามที่ Davis พูดว่า ยังเป็นที่นิยมตลอดกาล ถ้าเรา ทำในสิ่งที่ถูกต้อง ตามขั้นตอนที่ถูกต้องแล้ว พระเจ้าต้องตามคำสั่งของเรา มันไม่ใช่ เช่นนั้น พระเจ้าไม่ได้มีไว้เพื่อหลงไปตามแผนการของเรา และถ้าใครยังโง่พอที่คิด เช่นนี้ ดูเหมือนคนนั้นกำลังตกอยู่ในปัญหาน่าเป็นห่วง

การตอบสนองต่อพระเจ้าในแบบที่สอง คือแบบเอลี การตอบสนองของท่านเป็นแบบ ปล่อยไปตามดวง ยอมแพ้ต่อโชคชะตา พระเจ้าตรัสกับเอลีอย่างน้อยสองครั้งโดยทาง ผู้เผยพระวจนะ เพื่อเตือนถึงการพิพากษาที่จะเกิดขึ้นกับท่านและพงศ์พันธ์ เพราะท่าน ไม่่ยอมจัดการกับความบาปของบุตร เอลีไม่่ได้ทำสิ่งใดนอกเหนือไปจากแค่พูดว่ากล่าว ตักเตือน ถึงแม้เมื่อความตายของบุตรดูเหมือนจะใกล้เข้ามา เอลีก็ไม่คิดจะทำสิ่งใดทั้ง สิ้น การตอบสนองของท่านดูคล้ายเป็นพวกเคร่งศาสนา "คือพระเจ้า เอง ขอพระ องค์ทรงกระทำตามสิ่งที่พระองค์ทรงเห็นชอบเถิด" (3:18) ฟังคล้ายคำพูดที่เรา ชอบพูดกันว่า "อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด" ตอนที่ดาวิดถูกตำหนิเรื่องความบาปของ ท่านกับนางบัทเชบา ท่านทราบล่วงหน้าว่าบุตรที่เกิดมาจะต้องตาย (2 ซามูเอล 12:14) แต่สิ่งนี้ไม่สามารถยับยั้งดาวิดได้ ท่านวิงวอนต่อพระเจ้า นอนหมอบราบ ลงกับพื้นทั้งคืน ทูลขอชีวิตบุตร (2 ซามูเอล 12:16-17) แต่กับเอลีดูเหมือนท่านเพียง ยักไหล่ และพูดว่า "นี่เป็นพระประสงค์ของพระเจ้า"

ที่น่าเศร้าคือ เรายังพบลัทธิปล่อยไปตามดวงในคริสเตียนทุกวันนี้ แทนที่จะเห็นความ ยิ่งใหญ่ของพระเจ้าเป็นแรงผลักดันให้ทำตามน้ำพระทัย กลับใช้เรื่องนี้มาอ้างเพื่อ จะได้ไม่ต้องทำอะไร ตอนที่ผมเทศนาบทนี้ ผมเรียกพวกปล่อยไปตามดวงนี้ว่า "คาลวินิสต์หมดแรง" ตอนหลังผมเปลี่ยนใจเรียกใหม่ว่าเป็นพวก "คาลวินิสต์หลัง เกษียร" (คาลวินิสต์คือกลุ่มคนที่เชืี่่อถือตามแนวคิดของ ยอห์น คาลวิน คือเชื่อว่า พระเจ้าเป็นผู้ควบคุม และกำหนดทุกสิ่งไว้ล่วงหน้าแล้ว-ผู้แปล) เพื่อนสูงวัยของผม Don Grimm จึงชี้ให้เห็นถึงข้อแตกต่างที่ชัดเจนของคาลวินิสต์ตัวจริง (เชื่อว่าพระเจ้า เป็นผู้ควบคุมทุกสิ่ง จึงเป็นเหตุให้มีแรงบันดาลใจอยากทำตามน้ำพระทัย) คนเคลเดีย ในสมัยโน้นคือพวกปล่อยไปตามดวง พวกเขาศึกษาเรื่องสวรรค์ และเชื่อว่าทุกสิ่งที่เกิด ขึ้นบนโลกนี้ถูกสววรค์กำหนดไว้ล่วงหน้าแล้ว พวกปล่อยไปตามดวงมองไม่เห็นความยิ่ง ใหญ่ของพระเจ้าผู้ครอบครองว่าเป็นพระเจ้าที่ปรารถนาจะผูกพัน และมีส่วนในชีวิตของ ผู้ที่วางใจในพระองค์ การมีสัมพันธภาพส่วนตัวโดยความเชื่อทางองค์พระเยซูคริสต์นั้น เป็นเหตุให้มีแรงบันดาลใจปรารถนาจะทำเพื่อพระองค์ มากกว่าจะนั่งปล่อยเวลาให้ผ่าน ไป ความเชื่อของเอลีนั้นแย่ยิ่งกว่าแนวคิดของพวกปล่อยไปตามดวงเสียอีก

ท้ายที่สุด คือการตอบสนองของซามูเอล ซามูเอลไม่ได้ทำสิ่งใดเพื่อเรียกร้องให้พระ เจ้ามาปรากฏเพื่อเผยพระวจนะ ซามูเอลเพียงแต่ทำงานประจำวันไปตามปกติ การปัด กวาดเช็ดถูพระนิเวศน์และข้าวของเครื่องใช้ไม่ได้เป็นเรื่องน่าซาบซึ้ง หรือเป็นเรื่องฝ่าย "วิญญาณ" แต่ประการใด รวมถึงการวิ่งรับใช้ชายชราตามืดมัว (อย่างเอลี) ด้วย แต่ใน การปฏิบัติหน้าที่ตามที่ได้รับมอบหมายนั้น พระเจ้ากลับมาปรากฎและเปิดเผยพระองค์ ให้แก่ซามูเอล มีหลายคนชอบเห็นเรื่องตื่นเต้น (เช่นนำหีบพระสัญญาออกไปสนาม รบ) เพื่อหวังจะได้รับพระพรและเห็นพระองค์สำแดงฤทธิอำนาจ แต่ซามูเอลสอนเรา ว่าไม่ใช่เรื่องจำเป็น ขอให้เราดำเนินชีวิตในแต่ละวันอย่างสัตย์ซื่อ ทำงานตามที่พระ เจ้ามอบหมายให้ ปล่อยเรื่องตื่นเต้น เรื่องความสำเร็จให้เป็นไปตามน้ำพระทัย เพราะ เมื่อเวลามาถึง พระองค์จะทรงทำการเอง ไม่ใช่เ็กิดขึ้นเพราะความพยายามของเรา แต่ เป็นเพราะพระเจ้าทรงรักษาพระสัญญาของพระองค์เสมอ


10 ในภาษาฮีบรูใช้คำว่าเด็กเล็ก เป็นคำเดียวกับที่ใช้เมื่อยังเป็นทารก (1 ซามูเอล 1:24) หรือ เด็กแรกคลอดอย่างอีคาโบด (4:21) หรือสามารถใช้พูดถึงคนรับใช้ที่อายุน้อย (ปฐมกาล 14:24; 18:7) ยังใช้สำหรับเชเคมผู้ข่มขืนบุตรสาวของยาโคบ ดีนาห์(ปฐมกาล 34) และกับโยเซฟเื่มื่อ อายุ 17ปี (ปฐมกาล 37:2) และต่อมา (ปฐมกาล 41:12) และใช้กับผู้ที่ไปสอดแนมที่คานาอัน (โยชูวา 6:23) ใช้กับบุตรทั้งสองของเอลี (1 ซามูเอล 2:17) และกับดาวิดเองเมื่อไปฆ่าโกลีอัท (1 ซามูเอล 17:33)

11 เพื่อนผมบอกให้ลองดูว่า ในขณะที่เอลีสอนให้ซามูเอลตอบการทรงเรียกว่า "พระเจ้าข้า ขอพระองค์ตรัสเถิด เพราะผู้รับใช้ของพระองค์คอยฟังอยู่ " (ข้อ 9 ผมเห็นด้วย) แต่ซามู เอลตอบว่า "ขอตรัสเถิด เพราะผู้รับใช้ของพระองค์คอยฟังอยู่" (ข้อ 10) ในระหว่างการ สนทนาครั้งนี้ ดูเหมือนซามูเอลได้กลายเป็นผู้เชื่อไปแล้ว

12 ดูตัวอย่างเพิ่มเติมเรื่องนี้ได้จาก 2 พงษ์กษัตริย์ 21:12 และ เยเรมีห์ 19:3.

13 "เห็นได้ชัดว่าความบาปในครอบครัวของเอลีนั้น เป็น "ความบาปที่เหิมเกริมยิ่งนัก" (ดู กันดารวิถี 15:30-31) ความบาปที่ท้าทายเช่นนี้ ไม่มีการลบล้าง มีแต่ต้องโทษถึงตายทันที (2:33; 3:14) บางทีเหตุการณ์นี้เป็นตัวอย่างของความบาปที่ในพระคัมภีร์เดิมพูดถึง 'นำไปสู่ ความตาย' (1 ยอห์น 5:16-17)." จาก J. Carl Laney, First and Second Samuel (Chicago: Moody Press, 1982), pp. 23-24.

14 ความเข้าใจเรื่องคำพยากรณ์สำหรับผม คือเมื่อพูดถึงการพิพากษาที่กำลังจะเกิดขึ้น พระเจ้า มักจะให้โอกาสสุดท้ายในการกลับใจ มีการกล่าวไว้อย่างชัดเจนในเยเรมีห์ 18:7-8 และยังจะ เรื่องความหวังของกษัตริย์ชาวนีนะเวห์ในบทที่สามของโยนาห์อีก ตามเนื้อหาของเราดูเหมือน ยังพอมีเวลาที่พระเจ้าจะหันเสียจากพระพิโรธ (ดู อิสยาห์ 6:6-13 ด้วย)

15 ผมคงไม่พูดไปไกลถึงเรื่องว่าพระเจ้าไม่สามารถที่จะเปิดเผยคำพยากรณ์ผ่านผู้ที่ไม่เชื่อได้ เพราะบาลาอัมเองอาจจะไม่ใช่ผู้เชื่อ และแน่นอน ลาของบาลาอัมยิ่งไม่น่าจะเป็นผู้ชอบธรรมไป ได้ (ถึงแม้ดูเหมือนจะมีความชอบธรรมมากกว่าบาลาอัมเสียอีก – (ดู กันดารวิถี 22-24)

16 จากหนังสือของDale Ralph Davis, Looking on the Heart (Grand Rapids: Baker Books, 1994), pp. 49-55 (chapter 4).

Related Topics: Introductions, Arguments, Outlines

บทที่ 5: เราต้องการกษัตริย์ ! (1 ซามูเอล 8:1-22)

คำนำ

ขณะที่ผมอ่านพระธรรม 1 ซามูเอลบทที่ 8 ผมนึกย้อนไปถึงเรื่องราวที่สนุกสนาน ต่อ เนื่องในชีวิตของยาโคบในปฐมกาลบทที่ 30 และ 31 เมื่อยาโคบหนีไปยังเมืองปัดดาน อารัม ส่วนหนึ่งเพื่อไปมองหาภรรยาในท่ามกลางหมู่ญาติ และอีกส่วนหนึ่งคือหนีไปให้ พ้นจากความโกรธของเอซาวพี่ชาย ยาโคบไม่มีเงินจ่ายค่าสินสอดสำหรับภรรยา ท่าน จึงต้องทำงานให้กับลาบัน พ่อตา เป็นเวลาถึง 14 ปีเพื่อเป็นค่าสินสอดให้กับภรรยาสอง คนคือ เลอาห์และราเชล หลังจาก 14 ปีแห่งการทำงานหนักชดใช้ให้กับลาบันผ่านไป ยาโคบกับลาบันจึงตกลงทำ "สัญญา" กันขึ้นใหม่ มีค่าจ้างให้กับยาโคบสำหรับงานใน อนาคต มีการตกลงกันว่า ค่าจ้างสำหรับงานของยาโคบคือ แกะที่มีจุดมีด่างและแกะดำ โดยการแยกแกะเหล่านี้ออกไปเป็นส่วนของยาโคบ

ยาโคบไม่ค่อยพอใจต่อสัญญานี้นัก เพราะโอกาสที่แกะจะคลอดออกมาเป็นแบบนี้มีน้อย ท่านจึงมองหาวิธีแก้ใขสถานการณ์เพื่อตนเองจะเป็นฝ่ายได้เปรียบ ท่านมุ่งความสนใจ ทั้งหมดไปที่สีของลูกแกะที่จะเกิดใหม่ โดยเปลี่ยนสภาพแวดล้อมในบริเวณที่สัตว์ตั้ง ท้องและตกลูก ท่านใช้เวลาเกือบทั้งหมดไปในการปอกเปลือกกิ่งไม้ เพื่อให้มีรอยสี ขาวๆ แล้วนำมาวางไว้ในรางตรงที่ฝูงสัตว์กินและดื่มน้ำ

แผนการนี้เกิดผล ฝูงสัตว์ของยาโคบเพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อยๆ ในขณะที่ของลาบันมีจำนวน เกือบเท่าเดิม ยาโคบทุ่มเทมากกับโครงการนี้ และเริ่มทวีความมั่งคั่งขึ้นเรื่อยๆ ท่านคิด ว่าพระเจ้าทรงอวยพระพรกับการ "ปอกเปลือกไม้" ของท่าน ลาบันและลูกๆเริ่มเห็นสิ่ง ผิดปกติและไม่ชอบใจเป็นอย่างยิ่ง ยาโคบเห็นและรับรู้ถึงความไม่พอใจของลาบันและ ลูก พระเจ้าทรงสั่งให้ยาโคบออกจากปัดดานอารัม เพื่อกลับคืนสู่ดินแดนของบรรพบุรุษ ยาโคบจึงไปชักชวนภรรยาให้ออกจากบ้านบิดา ท่านเล่าเรื่องความฝันให้พวกเธอฟังว่า ในฝันองค์พระผู้เป็นเจ้ากระทำให้ท่านเห็นว่า เฉพาะแกะผู้ที่มีจุด ด่างและดำเท่านั้นที่ ผสมพันธุ์ และทูตสวรรค์แจ้งแก่ท่านว่าความมั่งคั่งทั้งหลายที่ยาโคบมีอยู่นี้เป็นมาจาก พระเจ้าทั้งสิ้น

ผมสงสัยจริงๆว่ายาโคบใช้เวลานานมากเพียงใดกว่าจะสำเหนียกในเรื่องนี้ ความมั่งคั่งที่ ยาโคบมี ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องเปลือกไม้ที่ท่านอุตส่าห์ปอกและนำไปวางในที่ต่างๆ เพื่อให้สัตว์ผสมพันธุ์ทั้งสิ้น เหตุที่ทำให้ลูกแกะเกิดใหม่ออกมามีจุดด่างดำนั้นเป็นเพราะ พระเจ้าทรงบันดาลให้เฉพาะสัตว์เหล่านี้เท่านั้นผสมพันธุ์ ความมั่งคั่งนี้จึงไมใช่เป็น เพราะฝีมือของตนเอง ; ที่จริงการนั่งปอกเปลือกไม้นั้นเป็นการเสียเวลาไปเปล่าๆ ที่ท่าน มั่งคั่งขึ้นมานั้นเป็นเพราะพระเจ้าเป็นผู้กระทำให้เฉพาะสัตว์ที่มีจุดด่างดำเท่านั้นที่ผสม พันธุ์

จึงไม่น่าแปลกที่พระเจ้าทรงเปลี่ยนชื่อท่านจากยาโคบเป็นอิสราเอล เพราะยาโคบ ชาย ผู้นี้จะมาเป็นต้นตระกูลของประเทศอิสราเอล ยิ่งไปกว่านั้น ชาวอิสราเอล ชื่อใหม่ของ ยาโคบ จะเป็นเหมือนดังบรรพบุรุษ พวกเขาจะลองพยายามใช้กรรมวิธี "ปอกเปลือกไม้" ในหลายรูปแบบเพื่อพยายามควบคุมพระพรของพระเจ้า เพื่อนำความมั่งคั่งมาสู่ตนเอง

ในตอนต้นของพระธรรม 1 ซามูเอล พวกเขาคิดว่าสามารถนำวิธี "ปอกเปลือกไม้" มาใช้ กับหีบพันธสัญญาได้ หลังจากเริ่มพ่ายแพ้ต่อชาวฟิลิสเตีย ชาวอิสราเอลกลับไปนำเอา หีบพันธสัญญาออกสู่สนามรบ เพราะมั่นใจว่าจะต้องชนะแน่ อย่างที่เรารู้ เหตุการณ์ไม่ เป็นเช่นนั้น ต่อไปในบทที่ 8 คราวนี้ไม่ใช่หีบพันธสัญญา แต่เป็นกษัตริย์ที่คนอิสราเอล ต้องการฝากความหวังและมอบความไว้วางใจให้แทน การที่คนอิสราเอลปรารถนาจะมี กษัตริย์ เป็นเพียงการย้อนยุคประวัติศาสตร์ของวิธี "ปอกเปลือกไม้" อีกครั้งหนึ่ง ให้ เรามาตั้งใจเรียนถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในประวัติศาสตร์ของอิสราเอล และเรียน รู้ในสิ่งที่คนอิสราเอลใช้เวลานานมากกว่าจะเรียนรู้

ข้อสังเกตุที่สำคัญ

ก่อนจะอธิบายพระธรรม 1 ซามูเอล 8 มีข้อสังเกตุสำคัญมากบางประการที่เราต้องทำ ความเข้าใจให้ดีเพื่อการเรียน และการนำมาปฏิบัติ จะได้ไม่ยากเกินความเข้าใจ

ประการแรก พระเจ้าทรงเป็นกษัตริย์ของชาวอิสราเอลเมื่อครั้งอพยพ เมื่อพระ เจ้าทรงช่วยกู้คนอิสราเอลออกมาจากการเป็นทาสในประเทศอียิปต์ พระองค์ทรงเป็น กษัตริย์ของพวกเขา เจรจาต่อสู้กับฟาโรห์ในฐานะกษัตริย์ต่อกษัตริย์ จนกระทั่งข้าม ทะเลแดงมาได้ พวกเขาจึงสำนึกในความจริงข้อนี้ และแสดงออกถึงความเชื่อด้วยบท เพลงสรรญเสริญบทนี้ :

16ความรู้สึกเสียวสยองและความตกใจกลัวอุบัติขึ้น ในใจของเขา เนื่องด้วยฤทธานุภาพแห่งพระกรของ พระองค์ เขาหยุดนิ่งอยู่เหมือนก้อนหิน ข้าแต่พระเจ้า จนประชากรของพระองค์ผ่านพ้นไป จนชนชาติซึ่ง พระองค์ทรงไถ่ไว้แล้วผ่านไป 17 พระองค์ทรงนำ เขาเข้ามา และให้เขาตั้งหลักแหล่งอยู่บนภูเขาของ พระองค์ ข้าแต่พระเจ้า เป็นสถานที่ซึ่งพระองค์ทรง สร้างไว้เพื่อเป็นที่สถิตของพระองค์ ข้าแต่พระเจ้า สถานนมัสการซึ่งพระหัตถ์ของพระองค์สถาปนาไว้ 18 พระเจ้าจะทรงครอบครอง24 http://www.bible.org/docs/ot/books/1sa/deffin/ อยู่เป็นนิตย์นิรันดร์"
(อพยพ 15:16-18)

พระเจ้าเองทรงสัญญาว่าจะ "นำหน้า" (และระวังหลัง) ให้กับประชากรของพระองค์ อย่างที่กษัตริย์ทำ (ดูอพยพ 23:23; อิสยาห์ 45:2; 52:12) นักวิชาการพระคัมภีร์เดิม ตั้งข้อสังเกตุว่า การทำพันธสัญญาระหว่างพระเจ้าและอิสราเอลในพระธรรมเฉลยธรรม บัญญัติช่วงระหว่างการอพยพนั้น เป็นธรรมเนียมโบราณในการปฏิบัติระหว่างกษัตริย์ และประชาชน ดังนั้นคนในสมัยโบราณจึงมีความเข้าใจในเรื่องนี้เป็นอย่างดี – ว่าพระ เจ้าเป็นผู้จัดตั้งพันธสัญญานี้ในฐานะกษัตริย์ที่ปกครองอิสราเอล มีการพูดถึงเรื่องนี้อย่าง ชัดเจนในที่อื่นๆในพระคัมภีร์ด้วย

1 ต่อไปนี้เป็นพรซึ่งโมเสสบุรุษของพระเจ้า ได้อวยพรแก่ พงศ์พันธุ์ของอิสราเอลก่อนที่ ท่านสิ้นชีวิต 2 ท่านกล่าวว่า พระเจ้าเสด็จ จากซีนาย และทรงรุ่งแจ้งจากเสอีร์มายังเขา ทั้งหลาย พระองค์ทรงฉายรังสีจากภูเขาปาราน พระองค์เสด็จจากผู้บริสุทธิ์นับหมื่นๆ ที่พระหัตถ์ เบื้องขวามีไฟเป็นพระธรรมแก่เขา 3 แท้จริง พระองค์ทรงรักประชากรของพระองค์ บรรดา วิสุทธิชนของพระองค์ก็อยู่ในพระหัตถ์ของพระองค์ และเขาทั้งหลายกราบลงที่พระบาทของพระองค์ รับพระดำรัสของพระองค์ 4 โมเสสบัญชาธรรม บัญญัติไว้แก่เรา เป็นกรรมสิทธิ์ของชุมนุมชน ยาโคบ 5 ดังนี้แหละ พระองค์ทรงเป็นพระราชา ในเยชูรูน เมื่อหัวหน้าชนชาติชุมนุมกัน เมื่อคน อิสราเอลทุกเผ่ารวมกันอยู่
(เฉลยธรรมบัญญัติ 33:1-5, ดูอพยพ 19:3-6 ด้วย; เลวีนิติ 20:26; 25:23)

ในสดุดีบทที่ 74 อาสาฟมองดูและยกย่องการกระทำของพระเจ้าในฐานะกษัตริย์ของ อิสราเอล :

12 ถึงกระนั้น พระเจ้ากษัตริย์ของข้าพระองค์ ทรงอยู่แต่ดึกดำบรรพ์ ทรงประกอบกิจความ รอดท่ามกลางแผ่นดินโลก 13 พระองค์ทรง แยกทะเลด้วยฤทธานุภาพของพระองค์ พระ องค์ทรงหักหัวมังกรบนน้ำ 14 พระองค์ทรงขยี้ หัวทั้งหลายของเลวีอาธาน พระองค์ประทานมัน ให้เป็นอาหารของ สรรพสัตว์แห่งถิ่นทุรกันดาร 15 พระองค์ทรงแยกเปิดน้ำพุและลำธาร พระองค์ ทรงให้แม่น้ำที่ไหลอยู่เสมอแห้งไป
(สดุดี 74:12-15; ดูสดุดี 47:2-3 ด้วย)

ประการที่สอง หลังจากพระเจ้าทรงปลดปล่อยชาวอิสราเอลออกจากการเป็น ทาสในประเทศอียิปต์แล้ว พระองค์ทรงจัดเตรียมให้พวกเขาได้มีกษัตริย์ ในปฐมกาล 49:8-12 เราเห็นชัดเจนว่าลูกหลานเผ่ายูดาห์จะได้ปกครองอิสราเอล คำ พยากรณ์ของบาลาอัมในกันดารวิถี 24:15-19 มีการพยากรณ์ไว้ว่า ผู้สืบเชื้อสายคนหนึ่ง ของยาโคบ จะมาปกครองและทำลายศัตรูให้กับประชากรของพระเจ้า ในเฉลยธรรม บัญญัติ 17:14-20 พระเจ้าตรัสไว้ว่า วันหนึ่งข้างหน้าชาวอิสราเอลจะเรียกร้องขอมี กษัตริย์ เราจะกลับมาพูดถึงเรื่องนี้อีกทีหลัง ที่ต้องการแสดงให้เห็นคือ พระธรรม 1ซามูเอล 8 เป็นการทำให้คำพยากรณ์ในเฉลยธรรมบัญญัติ 17:14 สำเร็จลุล่วงไป

ประการที่สาม นับเป็นครั้งแรกในสามครั้ง ในพระธรรม 1 ซามูเอล ที่พระเจ้าตรัส กับอิสราเอลโดยทางผู้เผยพระวจนะซามูเอลถึงความชั่วร้ายในการเรียกร้องขอ มีกษัตริย์ (ดู 10:17-19; 12:6-18 ด้วย) บทที่ 8 เป็นครั้งแรกที่คนอิสราเอลเรียกร้อง ให้มีกษัตริย์ มีคำตอบของซามูเอลและของพระเจ้า และคำตักเตือนของซามูเอลเองที่มี ต่อประชาชน อย่าลืมว่าจะมีการนำเรื่องนี้มาพูดถึงอีกในบทที่ 10 และ 12 ดังนั้นเพื่อจะ ให้เข้าใจในบทที่ 8 ให้ดียิ่งขึ้น เราต้องเรียนปูทางไปสู่ยังบทที่ 10 และ 12

ประการที่สี่ ความสำคัญของบทที่ 8 ไม่ใช่เพียงเพราะความชั่วที่อิสราเอล ปฏิเสธพระเจ้า และหันไปนับถือรูปเคารพ (ถึงแม้เรื่องนี้จะเป็นเรื่องหลัก) ; แต่ เพราะต้องการชี้ให้เห็นถึงราคาสูงที่ต้องจ่ายสำหรับการมีกษัตริย์ (ข้อ10-18) "หลักการแบ่งสันปันส่วน"25 เป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้เราเข้าใจเนื้อหาตอนนี้ เรารู้ว่า การที่อิสราเอลเรียกร้องขอกษัตริย์เป็นการนับถือรูปเคารพแบบหนึ่ง และเป็นการนับ ถือรูปเคารพที่อิสราเอลทำมาตลอดตั้งแต่ครั้งอพยพ (8:7-9) เรารู้ว่าเมื่อซามูเอลกล่าว กับประชาชน ท่านพูดในสิ่งที่ "เป็นพระดำรัสทั้งสิ้นของพระเจ้า" (ข้อ 10) และสิ่งที่ พระคัมภีร์บันทึกไว้ในข้อ 8-10 คือรายละเอียดราคาค่าจ้างของการมีกษัตริย์ ราคาของ การมีกษัตริย์เป็นสิ่งที่ซามูเอลต้องการตอกย้ำให้ประชาชนเข้าใจ

ประการที่ห้า การเรียกร้องขอกษัตริย์ไม่ได้มาจากบรรดาผู้นำของอิสราเอล เพียงพวกเดียว (ข้อ 4) แต่มาจากประชาชนทุกคนด้วย (ดูข้อ 7, 10, 19, 21-22) ในตอนแรกดูเหมือนมีแต่เพียงผู้นำ26 http://www.bible.org/docs/ot/books/1sa/deffin/ ของอิสราเอลเท่านั้นที่เรียกร้องขอกษัตริย์ แต่พอ อ่านไป เราเห็นชัดเจนว่าประชาชนอิสราเอลทุกคนอยู่เบื้องหลังการเรียกร้องในครั้งนี้ สิ่งนี้ทำให้ผมมองเห็นถึงระบอบประชาธิปไตย ที่ผู้นำไม่ได้กำลังทำหน้าที่ผู้นำ แต่กับ ทำเพียงแค่เป็นตัวแทนของประชาชน

ประการที่หก เมื่อเราเรียนจากบทที่ 7 ไปยังบทที่ 8 นั้น จะเห็นว่าซามูเอลเริ่ม ทำหน้าที่ "ปกครอง" ในฐานะผู้วินิจฉัยในบทที่ 7 แต่พออ่านไปถึงบทที่ 8 กลับ ดูเหมือนว่าหน้าที่นี้กำลังจะ "จบสิ้นลง" ดูเหมือนเนื้อหางานในรับใช้ของซามูเอล ส่วนใหญ่จะถูกถ่ายทอดอยู่ในพระธรรม 1 ซามูเอล อาจเป็นเพราะผู้เขียนต้องการให้เรา เห็นข้อแตกต่างชัดเจนระหว่างวิธีที่ ซามูเอลเริ่มการ "ปกครอง" และวิธีที่ประชาชนต้อง การให้จบสิ้นลง ซามูเอลนั้น ที่จริงแล้ว เหมือนดังของหายากที่กำลังจะสูญพันธุ์ – เช่น ผู้วินิจฉัย ดังนั้นให้เรามาดูพระธรรมผู้วินิจฉัย และสังเกตุว่าผู้เขียนเริ่มต้นไว้อย่างไร :

16 พระเจ้าทรงให้เกิดผู้วินิจฉัย ผู้ช่วยเขาทั้งหลาย ให้พ้นมือของผู้ที่ปล้นเขา 17 แต่เขาทั้งหลายก็ยัง ไม่เชื่อฟังผู้วินิจฉัยทั้งหลายของเขา เพราะเขาทั้ง หลายเล่นชู้กับพระอื่น และกราบไหว้พระอื่น ไม่ช้า เขาก็หันไปเสียจากทางซึ่งบรรพบุรุษของเขาได้ดำ เนิน ผู้ได้เชื่อฟังพระธรรมบัญญัติของพระเจ้า แต่เขา ทั้งหลายมิได้กระทำตาม 18 พระเจ้าทรงตั้งผู้วินิจฉัย ขึ้นเมื่อไร พระเจ้าก็ทรงสถิตกับผู้วินิจฉัยนั้นเมื่อนั้น และพระองค์ทรงช่วยเขาทั้งหลายให้พ้นจากเงื้อมมือ ของศัตรูตลอดชีวิตของผู้วินิจฉัย เพราะพระเจ้าทรง กลับพระทัยสงสารเขาทั้งหลาย เมื่อทรงฟังเสียงคร่ำ ครวญของเขาเนื่องด้วยผู้ข่มเหงและบีบบังคับ 19 แต่ อยู่มาเมื่อผู้วินิจฉัยนั้นสิ้นชีวิต เขาทั้งหลายก็หันกลับ ประพฤติชั่วร้ายเสียยิ่งกว่าบิดาของเขาหลงไปติดตาม ปรนนิบัติและกราบไหว้พระอื่น เขามิได้เคยงดเว้นความ ชั่วที่เคยกระทำหรือหายจากทางดื้อดึงของเขา
(ผู้วินิจฉัย 2:16-19)

ที่ผมประหลาดใจคือ "วันเวลา" ในสมัยของผู้วินิจฉัย ประชากรติดตามพระเจ้าไป จนสิ้นชีวิตของผู้วินิจฉัย เมื่อผู้วินิจฉัยตายลง คนอิสราเอลก็จะหันไปเสียจากพระเจ้า และทำความชั่ว แต่ในกรณีของซามูเอล ท่านยังไม่ตายเลย เพียงแต่แก่ลงและใกล้ จะเกษียร พวกเขาก็กระหายจะกำจัดท่านไปให้พ้นเสีย ค่อนข้างน่าทึ่งนะครับ

ประการที่เจ็ด ในเนื้อหาไม่มีการพาดพิงเลยว่าซามูเอลนั้นเหมือนเอลี ผู้นำซึ่ง อ่อนแอและไม่น่านับถือ ไม่มีผู้วินิจฉัยคนใดในประวัติศาสตร์ของอิสราเอลที่ยิ่งใหญ่ ไปกว่าซามูเอล ซามูเอลเป็นผู้พูดกับชาวอิสราเอลแทนพระเจ้าหลายต่อหลายครั้ง สำ หรับเอลีไม่มีการบันทึกเรื่องคำพยากรณ์จากท่าน ที่จริงเอลีได้รับการเผยพระวจนะมา แบบมือที่สอง (ดู 2:27-36; 3:1-18) ซามูเอลเป็นนักอธิษฐานตัวยง (ดู 7:5; 8:6, 21; 15:11) เราไม่เคยเห็นเอลีอธิษฐานเลย ซามูเอลเป็นผู้นำที่ดีในการตัดสินใจ ทำในสิ่งที่ ซาอูลไม่กล้าทำ (1 ซามูเอล 15:32-33) เอลีไม่กล้าตัดสินใจ หรือไม่อาจเรียกได้ว่า เป็นผู้นำ ซามูเอลเป็นเป็นเครื่องมือที่ทำให้มีชัยเหนือฟิลิสเตีย (7:13) แต่เอลีมีส่วน ในความพ่ายแพ้ (เปรียบเทียบ 4:9 และ 7:13-14) ซามูเอลเป็นบุรุษที่สัตย์ซื่อมั่นคง (ดู 12:1-5) แต่กับเอลีเราไม่อาจเรียกเช่นนี้ได้ ท่านมีน้ำหนักมากเพราะกินเนื้อที่บุตร ชายได้มาโดยมิชอบ (ดู 2:29) เมื่อซามูเอลตาย คนทั้งประเทศโศกเศร้าคร่ำครวญ (25:1; 28:3) แต่ไม่เป็นเช่นนั้นสำหรับเอลี (4:12-22) ให้เรามาดูสิ่งที่พระคัมภีร์พูดไว้ เกี่ยวกับชีวิตของซามูเอล :

18 ตั้งแต่สมัยของซามูเอลผู้เผยพระวจนะ ไม่มี เทศกาลปัสกาเหมือนอย่างนี้ ได้ถือกันมาในอิส ราเอล ไม่มีพระราชาแห่งอิสราเอลสักองค์หนึ่ง ที่ถือเทศกาลปัสกาอย่างที่โยสิยาห์ได้ทรงถือนี้ และบรรดาปุโรหิตกับคนเลวี และยูดาห์กับอิสรา เอลทั้งปวงซึ่งอยู่พร้อมกัน ทั้งชาวเยรูซาเล็ม
(2 พงศาวดาร 35:18)

6 โมเสสและอาโรนอยู่ในพวกปุโรหิตของพระองค์ ซามูเอลอยู่ในพวกที่ทูลออกพระนามของพระองค์ ด้วย ท่านร้องทูลพระเจ้า และพระองค์ทรงตอบท่าน เหล่านั้น
(สดุดี 99:6)

1 ฝ่ายพระเจ้าตรัสแก่ข้าพเจ้าว่า "แม้ว่าโมเสส และ ซามูเอล จะมายืนอยู่ต่อหน้าเรา จิตใจของเราจะไม่ หันไปหาชนชาตินี้ ไล่เขาทั้งหลายออกไปให้พ้นสาย ตาของเรา แล้วให้เขาไป
(เยเรมีย์ 15:1)

32 และข้าพเจ้าจะกล่าวอะไรต่อไปอีกเล่า เพราะไม่มี เวลาพอที่จะกล่าวถึง กิเดโอน บาราค แซมสัน เยฟธาห์ ดาวิด และซามูเอล และผู้เผยพระวจนะทั้งหลาย
(ฮีบรู 11:32)

ความจริงคือซามูเอลเป็นผู้วินิจฉัยที่ยิ่งใหญ่ตลอดมา ในช่วงเวลารับใช้ของท่าน นับ เป็น "ขีดสูงสุด" ด้านจิตวิญญาณของชาวอิสราเอล ไม่มีคำว่ากล่าวตำหนิท่านในพระ ธรรม 1 ซามูเอล ไม่ว่าในฐานะผู้เผยพระวจนะ หรือฐานะบิดา

ประการที่แปด ในข้อ 1-4 ไม่ได้พูดถึงเหตุผลทั้งหมดที่อิสราเอลต้องการมี กษัตริย์ แต่มีการเปิดเผยเพิ่มเติมในเหตุการณ์สองสามบทที่ตามมา ไม่ใช่แค่เพียงอายุที่มากขึ้นของซามูเอล และการทุจริตในหน้าที่ของบุตรเท่านั้น ที่ทำ ให้คนอิสราเอลเรียกร้องขอกษัตริย์ จากบทที่ 12 เป็นต้นไป เมื่อนาหาชคนอัมโมนมาขู่ ทำสงคราม อาจเป็นสาเหตุแรกที่ทำให้คนอิสราเอลร้องขอกษัตริย์ หีบพันธสัญญาถูก ปลดประจำการไปแล้ว และในไม่ช้าซามูเอลด้วย ดังนั้นคนอิสราเอลจึงต้องการกษัตริย์ ให้มาเป็นที่พึ่งพิง

เรียกร้องขอกษัตริย์
(8:1-5)

11 อยู่มาเมื่อซามูเอลแก่แล้ว ท่านได้ตั้งพวกบุตรชาย ของท่านให้วินิจฉัยอิสราเอล 2 บุตรชายหัวปีของท่าน ชื่อโยเอล และคนที่สองชื่ออาบียาห์ ทั้งสองเป็นผู้วินิจ ฉัยในเมืองเบเออร์เชบา 3 แต่บุตรชายของท่าน มิได้ ดำเนินในทางของท่าน ได้เลี่ยงไปหากำไร เขารับสินบน และบิดเบือนความยุติธรรม27 เสีย 4 และบรรดาพวกผู้ใหญ่ ของอิสราเอลก็พากันมาหาซามูเอลที่เมืองรามาห์ 5 และเรียนท่านว่า "ดูเถิด ท่านชราแล้วและบุตรของ ท่านมิได้ดำเนินในทางของท่าน บัดนี้ขอท่านได้กำหนด ตั้งพระราชาให้วินิจฉัยพวกเรา อย่างประชาชาติทั้งหลาย เถิด"

เรื่องราวการทำงานรับใช้ของซามูเอลต่อเนื่องมาจนถึงบทที่ 8 ที่เราพบว่าท่านเริ่มชรา ลง ใกล้เกษียรอายุ มีการเลือกบุตรชายทั้งสองของท่านมาทำหน้าที่ผู้เผยพระวจนะ "ให้กับอิสราเอล"28 ประจำการอยู่ที่ชายแดน เมืองเบเออร์เชบา ผมไม่คิดว่าซามูเอล จะตั้งให้ลูกเข้ามารับตำแหน่งแทนท่าน หรือท่านเองมีสิทธิจะทำเช่นนั้นได้ เพราะ ซามูเอล ไม่ใช่เป็นเพียงปุโรหิตและผู้วินิจฉัยเท่านั้น ท่านเป็นผู้เผยพระวจนะด้วย เราไม่พบว่าพระเจ้าได้ ประทานสิ่งนี้ให้กับบุตรของซามูเอล ดังนั้นบุตรทั้งสองหรือ คนใดคนหนึ่งจะมาแทนที่บิดาได้หรือ ? เช่นเดียวกับผู้นำและผู้ใหญ่ที่บริหารประเทศ พวกเขาทำหน้าที่ผู้วินิจฉัยได้ แต่อยู่ในขอบเขตและอำนาจที่จำกัด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ทั้งสองทุจริตในหน้าที่ ดังนั้นจึงเป็นเรื่องที่ซามูเอลต้องจัดการกับปัญหานี้ด้วยตนเอง ไม่มีการกล่าวถึงเรื่องการทุจริตหรืองานรับใช้ของบุตรอีกเลย พอมาบทที่ 12 ซามูเอล พูดว่าบุตรของท่านอยู่กับประชากรทั้งหลาย (ข้อ 2) ซามูเอลกล่าวว่าท่านไม่เคย อยุติธรรมหรือคดโกงประชากรเลย ซึ่งเป็นความจริงที่ทุกคนยอมรับ ท่านคงไม่ สามารถกล่าวเช่นนี้ได้ ถ้าท่านยังไม่ได้ไปจัดการกับความผิดของบุตร ? บุตรทั้งสอง ของซามูเอลไม่ใช่คนที่ดำเนินกับพระเจ้า พวกเขาไม่ได้ "ดำเนินตามท่าน"

คำพูดที่พวกผู้นำอ้างดูจะไม่ค่อยเป็นจริง พวกเขาพยายามพูดแนะว่าซามูเอลนั้น เริ่มจะ "หมดค่า" แล้ว และสมควรจะลงจากตำแหน่งผู้นำได้ แต่ในพระคัมภีร์ไม่มีการพูดถึงแต่ อย่างใด ท่านน่าจะมีเวลารับใช้ได้อีกหลายปี ผมเชื่อว่าจำนวนปีที่ซามูเอลเป็นผู้นำ ประเทศหลังจากบทที่ 8 นั้น เป็นตัวบ่งชัดเจนว่าเป็นเวลานานกว่าที่ท่านเคยทำก่อน หน้า (จำนวนปีผู้เขียนไม่ได้บันทึกไว้) ยิ่งกว่านั้น สิ่งที่พวกเขาพูดถึงบุตรของท่านนั้น เกินจริงไป บุตรของท่านยังไม่มีทีท่าจะขึ้นมาแทนได้ พวกเขาไม่มีตำแหน่งสำคัญใดๆ ในประเทศ ผมคิดว่าพวกผู้นำหรือประชาชนเหล่านี้ไม่สนใจในตัวผู้นำที่มีอยู่ แต่กลับไป ให้ความสำคัญกับผู้นำที่ยังไม่มีตัวตน ใครจะขึ้นมาเป็นผู้นำต่อจากซามูเอล ? พวกเขา ต้องการคนมานั่งแทนที่ จึงร้องออกคำสั่ง — ไม่ใช่ขอร้อง — อยากมีกษัตริย์ เช่นเดียว กับที่ชาติอื่นๆมี

ถ้าการเสนอวิธีแก้ปัญหาของพวกผู้นำนั้นฟังดูโง่เขลา ลองมาคิดดูว่าวิธีการนี้ไม่สมเหตุ สมผลเพียงใด :

"ท่านซามูเอล ท่านเองก็ชรามากแล้ว และลูกๆของ ท่าน (ที่กำลังจะขึ้นมาแทนท่าน) ก็ทุจริตในหน้าที่ แล้วประเทศของเราจะมีอนาคตที่สดใสได้อย่างไร ถ้าผู้นำทุจริตเสียเอง ให้เรามาจัดตั้งระบบขึ้นใหม่ ให้มีกษัตริย์ขึ้นมาปกครองแทน เช่นเดียวกับชาติอื่นๆ ให้กษัตริย์เป็นผู้วินิจฉัยพวกเรา และให้มีราชวงศ์เพื่อ จะได้มีผู้สืบราชบัลลังก์ต่อไปเมื่อท่านสิ้นพระชนม์"

ซามูเอลทำหน้าที่ผู้วินิจฉัยโดยไม่ได้สืบทอดมาจากราชวงศ์ พระเจ้าเป็นผู้ประทาน ผู้วินิจฉัย พระองค์ไม่ได้ให้บุตรเป็นผู้สืบทอดอำนาจต่ิิอ ถ้าบุตรของซามูเอลทุจริต พวกเขาก็ต้องพ้นจากหน้าที่ไป ซึ่งดูเหมือนจะเป็นเช่นนั้น แต่การเรียกร้องให้มีราชวงศ์ หมายถึงต้องการให้มีระบบที่บุตรของกษัตริย์ขึ้นมาปกครองแทน ไม่ว่าบุตรนั้นจะเป็น คนชั่วร้ายหรือคนชอบธรรมก็ตาม วิธีแก้ปัญหา ดูเหมือนจะหนักไปกว่าตัวปัญหาเอง เสียอีก !

ดูเหมือนพวกผู้นำไม่ได้ต้องการใ้ห้เปลี่ยนแปลงอย่างถอนราก แต่ต้องการเพียงตบแต่ง ระบบเดิมให้ดูดีขึ้น หรือที่นักบริหารชอบเรียกว่า "ปรับกลยุทธ" พวกเขาต้องการความ ยุติธรรม ต้องการให้ผู้พิพากษามาจัดการกับปัญหาด้านกฎหมาย พวกเขาต้องการให้ กษัตริย์มาเป็นผู้พิพากษา มากกว่าจะให้ซามูเอลทำหน้าที่นี้ ฟังดูดี แต่ไม่น่าเป็นการ เปลี่ยนแปลงตามธรรมดาแน่ พวกเขาต้องการยกเครื่องทั้งระบบความยุติธรรมของ อิสราเอล พวกเขาต้องการยกเลิกระบบผู้วินิจฉัย ต้องการการปกครองและพิพากษาเช่น เดียวกับที่ชาติอื่นรอบข้างทำ พวกเขาไม่ต้องการเป็นชนชาติที่แตกต่าง แยกเฉพาะ ออกไปจากชาติอื่น พวกเขาไม่ได้ต้องการปลดซามูเอลออกจากตำแหน่งผู้วินิจฉัย แต่ที่จริงต้องการปลดพระเจ้าออกจากการเป็นกษัตริย์ของพวกเขา พระเจ้าทรงตรัส ถึงเรื่องนี้อย่างชัดเจนในข้อต่อไปนี้

คำตอบของซามูเอลและพระเจ้า
(8:6-9)

6 แต่เมื่อเขาพูดว่า "ขอตั้งพระราชาให้วินิจฉัยเรา ทั้งหลาย" ก็กระทำให้ซามูเอลไม่พอใจ และซามู เอลได้ทูลอธิษฐานต่อพระเจ้า 7 และพระเจ้าทรง ตอบซามูเอลว่า "จงฟังเสียงประชาชนในเรื่องที่ เขาทั้งหลายขอต่อเจ้า เพราะว่าเขามิได้ละทิ้งเจ้า แต่เขาทั้งหลายได้ละทิ้งเราไม่ให้เราเป็นกษัตริย์ เหนือเขา 8 ตามการกระทำทั้งสิ้นซึ่งเขาได้กระทำ แก่เรา ตั้งแต่วันที่เรานำเขาออกมาจากอียิปต์จนถึง วันนี้ คือเขาได้ละทิ้งเราและปรนนิบัติพระอื่น เขาจึง กระทำเช่นเดียวกันต่อเจ้าด้วย 9 เหตุฉะนั้น จงฟัง เสียงของเขา ขอแต่จงคอยทักท้วงเขา และสำแดง ให้ทราบถึงวิธีการของกษัตริย์ผู้ที่จะครอบครองเขา ทั้งหลาย"

ซามูเอลรู้สึกไม่พอใจกับข้อเสนอของพวกผู้นำ เป็นความจริงที่เขากำลังหาคนมาแทน ท่าน ผมไม่คิดว่าซามูเอลไม่พอใจเพราะความรู้สึกส่วนตัว และพยายามปกป้องตนเอง แต่เพราะตามที่พระคัมภีร์บอกว่า "เป็นสิ่งชั่วร้ายในสายตาของซามูเอล" เพราะ ซามูเอลทราบดีว่าเป็นสิ่งที่ผิดและเป็นความบาป

คำตอบที่ตามมาของซามูเอลทำให้เห็็นว่าท่านเป็นผู้ที่ดำเนินกับพระเจ้าจริงๆ ท่านไม่ได้ แสดงอาการโมโหโกรธเคืองพวกผู้นำเพราะไม่เห็นด้วย ท่านกลับไปอธิษฐานกับพระ เจ้า อย่างที่ท่านปฏิบัติเป็นประจำ คำตอบที่มาจากพระเจ้าย้ำในสิ่งที่ท่านกำลังรู้สึกอยู่ ถ้าจะต่อเติมอีกนิด ซามูเอลถูกประชาชนขับไล่ ; อย่างไม่ต้องสงสัยว่าเป็นความจริง ในฐานะคนของพระเจ้า ซามูเอลอาจรู้สึกเจ็บปวดว่าท่านคงทำหน้าที่ได้ไม่ดีพอ แต่ พระเจ้ากลับบอกกับซามูเอลว่า ตรงกันข้าม เป็นพระองค์เองต่างหากที่ถูกขับไล่ ไม่ใช่ ซามูเอล การที่อิสราเอลปฏิเสธไม่ยอมรับพระเจ้าไม่ใช่เป็นเพราะพระองค์ผิดแน่นอน แล้วซามูเอลรู้สึกเจ็บปวดไปทำไม ? ถ้าซามูเอลถูกปฏิเสธด้วยเหตุผลเดียวกับที่พระ เจ้าโดน ซามูเอลก็น่าจะนับว่าเป็นเรื่องน่าชมเชย

อย่างที่พูดไปแล้ว พระเจ้าทรงเป็นกษัตริย์ของอิสราเอลตั้งแต่ครั้งอพยพ ตอนนี้พระเจ้า กำลังบอกกับซามูเอลว่า สิ่งที่คนอิสราเอลทำนั้นไม่ใช่เรื่องใหม่ เพียงเป็นเรื่องเดิมที่ทำ มาตลอด และกำลังลุกขึ้นมาทำอีกครั้ง เริ่มตั้งแต่สมัยอพยพ (ข้อ 8) การปฏิเสธไม่รับ พระเจ้าเป็นกษัตริย์ แต่กลับไปเลือกกษัตริย์ "เช่นเดียวกับชาติอื่นๆ" ก็คือการนับถือ รูปเคารพ กษัตริย์ในแบบที่พวกเขาต้องการก็คือ "พระ" หรือเทพองค์ใหม่ ซึ่งเราจะมา เรียนเพิ่มเติมในบทต่อๆไป หลังจากได้แสดงให้เห็นมูลเหตุพื้นฐานของสถานการณ์ แล้ว พระเจ้าทรงสั่งให้ซามูเอลฟังประชาชน และให้ตามที่เขาต้องการ (ข้อ 9ก) ถึงแม้ซามูเอลจะ ทำตามที่ขอ ท่านต้องแจ้งกับพวกเขาถึง "ข้อปฏิบัติ"29 http://www.bible.org/docs/ot/books/1sa/deffin/ ของ กษัตริย์ผู้ที่จะมา "ปกครองพวกเขาจะทำ" (ข้อ 9ข).

ค่าธรรมเนียม (ราคา) ของกษัตริย์
(8:10-18)

10 ซามูเอลจึงเอาพระดำรัสทั้งสิ้นของพระเจ้า มาบอกกล่าวแก่ประชาชน ผู้ร้องขอให้ท่านตั้ง พระราชา 11 ท่านกล่าวว่า "นี่เป็นวิธีการของ พระราชา ผู้ที่จะครอบครองเหนือเจ้า พระราชา จะเกณฑ์บุตรชายทั้งหลายของเจ้า และกำหนด ให้ประจำรถรบ และให้เป็นพลม้า และให้วิ่งหน้า รถรบของพระองค์ 12 แล้วพระองค์จะตั้งเขา ให้เป็นนายพัน นายห้าสิบของพระองค์ ให้บาง คนไถที่ดินของพระองค์และเกี่ยวข้าว และทำ ศัสตราวุธและเครื่องใช้ของรถรบ 13 พระองค์ จะนำบุตรสาวของเจ้าไปเป็นผู้ปรุงเครื่องหอม ทำครัวและปิ้งขนม 14 พระองค์จะเอานา สวน องุ่นและสวนมะกอกเทศที่ดีที่สุดของเจ้าให้แก่ ข้าราชการของพระองค์ 15 พระองค์จะชักหนึ่ง ในสิบของข้าวและผลองุ่นของท่าน ให้แก่ มหาดเล็กและข้าราชการของพระองค์ 16 พระ องค์จะเอาคนใช้ผู้ชายและคนใช้ผู้หญิง และคน หนุ่มๆที่ดีที่สุดของท่าน และลาของท่านให้ไป ทำงานของพระองค์ 17 พระองค์จะชักหนึ่งใน สิบของฝูงสัตว์ของท่าน และท่านทั้งหลายจะ เป็นทาสของพระองค์

คำพูดที่บันทึกไว้ในข้อ 10-18 ไม่ใช่คำพูดทั้งหมดของซามูเอล แต่เป็นสิ่งที่ผู้เขียนต้อง การย้ำให้เราเห็นในฐานะผู้อ่าน ข้อ 10 บ่งชัดเจนว่าซามูเอล "เอาพระดำรัสทั้งสิ้น ของพระเจ้า มาบอกกล่าวแก่ประชาชนผู้ต้องการให้มีกษัตริย์" ซามูเอลจึงได้ บอกกับประชาชนในสิ่งที่พระเจ้าตรัสกับท่านในข้อ 7-9 และอาจจะมีคำพูดมากกว่า นี้ที่ไม่ได้บันทึกไว้ แต่ผู้เขียนต้องการให้เราดูเป็นพิเศษถ้อยคำทั้งหมดในข้อ 10-18 สิ่งนี้ดูเหมือนเป็นหัวใจของตอนนี้ — หรืออย่างน้อยเป็นส่วนสำคัญของคำตอบที่ท่าน มีให้กับชาวอิสราเอลผู้ต้องการกษัตริย์

พระเจ้าของเรามีบรรดา "อาสาสมัคร" ที่อยากติดตามพระองค์ สำหรับบุคคลเหล่านี้ พระองค์มีคำเตือนสำหรับพวกเขา พระเยซูคริสต์ทรงเตือนผู้ที่อยากติดตามพระองค์ ให้นึกถึง "ราคาที่ต้องจ่าย" (ดูลูกา 9:57-62; 14:25-35) ซามูเอลกำลังทำในสิ่ง เดียวกันคือ ผลักดันให้ประชาชนใช้ความคิดสำหรับ "ราคาที่ต้องจ่าย" ในการมีกษัตริย์ คำสำคัญคำเดียวที่ซามูเอลพูดมาทั้งหมดสรุปคือคำว่า : "เขาจะมาเอา… ."

อิสราเอลเรียกร้องให้มีระบอบปกครองในราคาที่แพงมาก ซามูเอลต้องแจกแจงรายละ เอียดราคาของกษัตริย์ให้ฟัง แล้วมันก็แพงอย่างน่าทึ่งทีเดียว ในการที่จะเข้าใจถึง ความแพงของกษัตริย์นี้ เราต้องกลับไปทบทวนความจำว่าในสมัยที่ผู้วินิจฉัยปกครอง เป็นเช่นไร ในพระธรรมผู้วินิจฉัย ไม่มีกษัตริย์ ไม่มีพระราชวัง ไม่มีกองกำลังทาง ทหาร เมื่ออิสราเอลถูกโจมตี มีการเรียกอาสาสมัครเข้ามาร่วมรบ โดยมีกำลังหนุน และสเบียงมาจากครอบครัวผู้ที่ออกไปรบ (ดู 1 ซามูเอล 17:17-22) ไม่ต้องมี "ที่ทำการ" ของคณะผู้ปรึกษา ผู้ให้คำแนะนำ ผู้รับใช้ และบรรดาพนักงานเพื่อสนับสนุน ให้ระบอบการปกครองของกษัตริย์ดำเนินไปได้ ที่จริงระบบเดิมนั้นไม่มี พิธีการอันใด มากันแต่เฉพาะกิจ และราคาถูกมาก มีพระเจ้าเป็นกษัตริย์ ทุกอย่างเป็นไปได้หมด ตามที่เห็นอย่างชัดเจนจากพระธรรมผู้วินิจฉัย และจาก 1 ซามูเอล 7

ถ้านำระบบการปกครองประเทศชนิด "งบประมาณต่ำ" มาเปรียบเทียบกับกษัตริย์ที่ อิสราเอลเรียกร้อง จะเห็นว่าราคาต่างกันลิบ การที่จะมีกษัตริย์นำหน้าออกรบ แปลว่า ต้องมีกองทัพ ทันทีที่อิสราเอลมีกษัตริย์ ชีวิตการทำไร่ ทำนาจะไม่มีวันเหมือนเดิม กษัตริย์จะเกณฑ์บุตรชายไปเป็นทหาร ไปเป็นพลขับ ไปขี่ม้า ไปเป็นทหารราบ หรือเป็น พนักงานทำหน้าที่ต่างๆ อีกอย่าง กองทัพต้องการสเบียง จะต้องมีการระดมคนทำไร่ ทำนาส่งเข้ากองทัพ ปลูกสร้างสถานที่ราชการ และดูแลซ่อมแซมเครื่องมือเครื่องใช้ใน การรบ (ยังไม่รวมถึงเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับด้านการทหาร) ไม่เพียงแต่บรรดาชายหนุ่มเท่า นั้นที่ถูกเกณฑ์ บรรดาบุตรสาวที่เคยปรนนิบัติรับใช้บิดาจะถูกเกณฑ์ให้ไปรับใช้ในวัง ด้วย ไม่ว่าจะทำเครื่องหอม ทำอาหาร หรือจัดงานเลี้ยงก็ตาม

ราคาแพงนี้ไม่รวมถึงการสูญเสียบุตรชายหญิง หรือกำลังสำคัญของบ้านไปให้รับใช้ กษัตริย์ แต่ยังมีมากกว่านี้ กษัตริย์ต้องกินดีอยู่ดีที่สุด จึงต้องเก็บภาษีจากทุกอย่าง ที่คนอิสราเอลทำมาหาได้ ผลผลิตที่ดีที่สุดจากไร่นาต้องถูกส่งเข้าวัง สวนองุ่นและ ที่ดินผืนสวยต้องตกเป็นของกษัตริย์ การกินอยู่อย่างอุดมสมบูรณ์ที่ทุกครอบครัวเคยมี ต้องแบ่งปันไปให้บรรดาข้าราขการและผู้รับใช้ เพราะข้าราชการและผู้รับใช้ต้องกิน ต้องใช้เหมือนกัน ประชาชนจึงต้องเป็นผู้จ่ายให้ หนึ่งในสิบของพันธ์พืชที่ดีที่สุด ต้องนำไปให้พวกข้าราชการปลูกลงในสวนของพวกเขา (หรือพื้นที่ที่กษัตริย์ยึดเอา ไปจากประชาชน)

กษัตริย์ต้องมีผู้รับใช้ จึงต้องนำบุตรชายหญิงที่ดีที่สุดของชาวอิสราเอลมารับใช้ท่าน และกษัตริย์ยังต้องมีสัตว์ทั้งใช้งานและใช้เป็นอาหารจำนวนมาก ต้องมีลาสำหรับไถ นาของกษัตริย์ ซึ่งคือที่นาเดิมของประชาชน เรื่องจริงก็คือ เมื่อประชาชนได้กษัตริย์ มาปกครอง พวกเขาจะถูกปกครอง เมื่อก่อนที่เคยมีอิสระเสรี ก็จะกลายเป็นทาสของ กษัตริย์ กว่าที่พวกเขาค้นพบว่าได้ทำอะไรลงไป มันก็สายเกินกว่าจะกลับไปแก้ประวัติ ศาสตร์แล้ว วันหนึ่งข้างหน้าคนอิสราเอลจะร้องทูลขอให้พระเจ้าช่วย เพราะถูกกดดัน จากกษัตริย์ที่ตนเองอยากได้นัก แต่พระเจ้าจะไม่ฟัง เพราะพวกเขาเองเต็มใจเดินเข้าสู่ ภาวะการเป็นทาสทั้งๆที่รู้อยู่เต็มอก

ชาวอิสราเอลได้ในสิ่งที่ต้องการ
(8:19-22)

19 แต่ประชาชนปฏิเสธไม่ฟังเสียงของซามูเอล เขาทั้งหลาย กล่าวว่า "เราไม่ยอม แต่เราจะต้องมีพระราชาปกครองเรา 20 เพื่อเราจะเป็นเหมือนประชาชาติทั้งหลายด้วย และเพื่อพระ ราชาของเราจะวินิจฉัยเราและนำหน้า เราไปและรบศึกให้เรา" 21 และเมื่อซามูเอลได้ยินถ้อยคำทั้งสิ้นของประชาชน ท่านก็ นำไปทูลพระเจ้าให้ทรงทราบ 22 และพระเจ้าตรัสกับซามูเอลว่า "จงฟังเสียงของเขาทั้งหลายเถิด และจงตั้งกษัตริย์องค์หนึ่งให้ เขา" แล้วซามูเอลจึงกล่าวแก่อิสราเอลว่า "ให้ทุกคนกลับไปยัง เมืองของตน"

ประเทศอิสราเอลต้องการกษัตริย์ แต่ซามูเอลเตือนพวกเขาว่า ระบอบการปกครอง ใหญ่ระดับนี้จะมาพร้อมกับราคาที่สูงมาก คำเตือนนี้ไม่มีความหมาย ในเมื่อประชาชน ตัดสินใจแล้วว่าต้องการกษัตริย์ ประชาชนทั้งหมด (ไม่ใช่เฉพาะผู้นำเท่านั้น) ไม่ยอม ฟังคำเตือนของซามูเอล พวกเขายืนยันต้องมีกษัตริย์ และพวกเขาก็พูดค่อนข้างชัดเจน ว่า ต้องการให้กษัตริย์ทำสิ่งใดบ้าง ต้องการให้กษัตริย์มาวินิจฉัยพวกเขา ต้องการให้ นำหน้าในการออกรบ ที่จริงคือ พวกเขาต้องการให้กษัตริย์มาวินิจฉัย และต่อสู้เพื่อพวก เขา

ซามูเอลฟังทุกสิ่งที่ประชาชนพูด และนำไปถ่ายทอดให้พระเจ้าฟัง (ข้อ 21) ประโยคนี้ น่าสนใจมาก ไม่ใช่เรื่องแปลกสำหรับเราที่ซามูเอลไปถ่ายทอดพระคำที่พระเจ้าตรัส ให้ ประชาชนฟัง (ข้อ 10) แต่ทำไมซามูเอลจึงรู้สึกว่าเป็นสิ่งจำเป็นที่ต้องไปทูลทุกถ้อยคำ ที่ประชาชนพูดให้พระเจ้าฟัง ?30 http://www.bible.org/docs/ot/books/1sa/deffin/ พระเจ้าจะไม่ได้ยินสิ่งที่ประชาชนพูดเชียวหรือ ? แน่ นอนครับ พระองค์ได้ยิน ทำไมพวกเราต้องอธิษฐานด้วยเล่า ก็ในเมื่อพระเจ้ารู้ถึงความ ต้องการทุกอย่างของเรา (ดูมัทธิว 6:32)? ไม่ใช่เป็นเพราะพระเจ้าต้องฟังทุกอย่างจาก เราจึงจะทราบเรื่อง ; แต่เป็นเพราะเราต้องการพระองค์ เราต้องการนำภาระของเรามา มอบให้กับพระองค์ ซามูเอลทูลทุกสิ่งที่ประชาชนพูด ไม่ใช่เพราะพระเจ้าต้องการทราบ แต่เป็นเพราะซามูเอลต้องการใกล้ชิดพูดคุยกับพระเจ้า

เมื่อพระเจ้าตอบคำอธิษฐานของซามูเอล พระองค์สั่งอีกครั้งให้ท่านทำตามที่ประชาชน ร้องขอ ดังนั้น แม้ยังไม่รู้ว่าผู้ใดจะมาเป็นกษัตริย์ ซามูเอลจึงบอกให้ทุกคนกลับไปที่ บ้านก่อน จนกว่าพระเจ้าจะกำหนดแต่งตั้งผู้ที่จะมาเป็นกษัตริย์ (ข้อ 22).

บทสรุป

ผมได้พูดย้ำหลายครั้งถึงความชั่วร้ายและโง่เขลาในการที่คนอิสราเอลเรียกร้องอยากมี กษัตริย์ บางคนอาจจะไม่เห็นด้วยโดยอ้างไปที่พระธรรมเฉลยธรรมมบัญญัติ 17 ว่าพระ เจ้าตรัสไว้ไม่ใช่หรือว่าคนอิสราเอลจะมีกษัตริย์ ? ในเมื่อมีการพยากรณ์แล้วว่าอิสราเอล จะเรียกร้องขอกษัตริย์ เหตุใดพระเจ้าจึงเห็นเป็นเรื่องใหญ่เมื่อพวกเขาเรียกร้องขึ้นมา ? ให้เรามาดูเนื้อหาในเฉลยธรรมบัญญัติกัน :

14 "เมื่อท่านมาถึงแผ่นดินที่พระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่าน ประทานแก่ท่าน และท่านถือกรรมสิทธิ์อาศัยอยู่ในแผ่นดิน นั้นแล้วท่านจะกล่าวว่า 'เราจะตั้งกษัตริย์ไว้เหนือเราเหมือน ประชาชาติอื่นซึ่งอยู่รอบเรา' 15 ก็จงตั้งผู้ซึ่งพระเยโฮวาห์ พระเจ้าของท่านทรงเลือกไว้ให้เป็นกษัตริย์เหนือท่าน คือตั้ง ผู้หนึ่งผู้ใดในพวกพี่น้องของท่านให้เป็นกษัตริย์เหนือท่าน ท่านอย่าตั้งคนต่างด้าวซึ่งมิใช่พี่น้องของท่านให้อยู่เหนือท่าน 16 แต่ว่าอย่าให้ผู้นั้นมีม้าของตนเองมากเกินไป หรือเป็นเหตุ ให้ประชาชนกลับไปอียิปต์เพื่อจะมีม้ามากๆ เพราะพระเจ้าได้ ตรัสกับท่านทั้งหลายแล้วว่า 'เจ้าทั้งหลายจะไม่ได้กลับไป ทางนั้นอีกเลย' 17 และอย่าให้ผู้นั้นมีภรรยามาก เกรงว่า จิตใจของเขาจะหันเหไปเสีย หรืออย่าให้มีเงินมีทองเป็น ของตนอย่างมากมาย 18 "เมื่อผู้นั้นนั่งบัลลังก์ในราชอาณา จักรก็ให้ผู้นั้นคัดลอก กฎหมายนี้ไว้ในหนังสือเพื่อประโยชน์ แก่ตนเองจากหนังสือ ที่ปุโรหิตคนเลวีรักษาอยู่นั้น 19 ให้ กฎหมายนั้นอยู่กับผู้นั้น และให้เขาอ่านอยู่เสมอตลอดชีวิต ของตน เพื่อเขาจะได้เรียนรู้ที่จะยำเกรงพระเยโฮวาห์ พระเจ้า ของเขา โดยรักษาถ้อยคำในกฎหมายนี้ และกฎเกณฑ์เหล่านี้ และ กระทำตาม 20 เพื่อว่าจิตใจของเขาจะมิได้พองขึ้นสูงกว่า พี่น้องของตน และเพื่อเขาเองจะมิได้หันเหจากพระบัญญัติไป ทางขวามือหรือทางซ้ายมือ เพื่อเขาจะได้ปกครองราชอาณา จักรของเขาอยู่ได้นาน ทั้งตนเองและลูกหลานของตนใน อิสราเอล "
(เฉลยธรรมบัญญัติ 17:14-20).

พระคำตอนนี้เป็นคำพยากรณ์ และเราเห็นว่าสำเร็จเป็นจริงเมื่ออิสราเอลเรียกร้องขอมี กษัตริย์ให้เหมือนกับประเทศเพื่อนบ้าน ความจริงก็คือเมื่อมีการพยากรณ์ไม่ได้หมาย ความว่าสิ่งที่พยากรณ์ไว้นั้นต้องเป็นเรื่องดีมีคุณธรรม มีการทำนายว่ายูดาสจะทรยศ และคำพยากรณ์ว่าชาวอิสราเอลจะปฏิเสธองค์พระเมสซิยาห์ สิ่งนี้ไม่ได้หมายความว่า ยูดาสหรือคนอิสราเอลที่ไม่มีความเชื่อทำในสิ่งที่ถูกต้อง แต่สิ่งนี้เป็นสิ่งที่พระเจ้าต้อง การให้เราเรียนรู้ว่านี่เป็นส่วนหนึ่งในแผนการอันเป็นนิรันดร์ของพระองค์

ผมอยากจะเรียนว่า เหตุการณ์ที่พระเจ้าแจ้งล่วงหน้าในเฉลยธรรมบัญญัติสำหรับ 1 ซามูเอล 8 นั้น เป็นมากกว่าแค่คำพยากรณ์ เฉลยธรรมบัญญัติ 17:14 เป็นคำพยากรณ์ ว่าอิสราเอลจะเรียกร้องขอกษัตริย์ แต่ที่ข้อพระคำที่เหลือในบทนั้น เป็นคำสั่งของพระ เจ้า สำหรับป้องกันไม่ให้กษัตริย์ของอิสราเอลเป็นเหมือนกษัตริย์ชาติอื่นๆ คำสั่งที่ พระเจ้าสั่งผ่านมาทางโมเสสจะทำให้กษัตริย์ของพวกเขาแตกต่างจากกษัตริย์อื่นๆ โดยสิ้นเชิง

กษัตริย์องค์นี้ต้องเป็นชาวอิสราเอล ไม่ได้มาจากชนะการเลือกตั้ง แต่ถูกกำหนดและ แต่งตั้งโดยพระเจ้า กษัตริย์ที่พระเจ้าตั้งนี้ ต้องไม่สะสมม้าหรือภรรยามากเกินควร กษัตริย์ต่างชาติทำเช่นนั้นเพราะต้องการสร้่างฐานอำนาจทางทหารและทางการเมือง แต่กษัตริย์ของพระเจ้าไม่มีความจำเป็นต้องพึ่งพิงแหล่งอำนาจ หรือกำลังของตนเอง แต่พึ่งพิงในพระเจ้า ผมเชื่อว่าสาเหตุที่ดาวิดทำผิดและต้องเผชิญกับการถูกลงโทษ อย่างหนัก เป็นเพราะท่านนับจำนวนกำลังพลของอิสราเอล (ดู 1 พงศาวดาร 21) ดู เหมือนอำนาจและกำลังพลในมือทำให้ท่านรู้สึกผยองขึ้น ท่านและประชาชนอิสราเอล จึงถูกพระเจ้าลงโทษอย่างหนักเพราะบาปครั้งนี้ กษัตริย์ของพระเจ้าต้องไม่ฝักใฝ่ใน ทรัพย์สมบัติ ความมั่งคั่งและอำนาจของตนเอง แต่ต้องวางใจและเชื่อฟังองค์พระผู้เป็น เจ้าเท่านั้น รวมทั้งต้องชักจูงให้ประชาชนทำเช่นกัน

เมื่อครั้งดาวิดสู้กับโกลิอัทดูเหมือนท่านจะเป็นกษัตริย์ในแบบที่พระเจ้าพอพระทัย แต่ เมื่อท่านมั่งคั่งและมีอำนาจมากขึ้น มีการทดลองมากมายตามมา เราจึงพูดได้ว่า แม้ กษัตริย์ที่ดีที่สุดของอิสราเอลยังไม่ได้ตามมาตรฐานที่พระเจ้าตั้งไว้ในพระธรรมเฉลย ธรรมบัญญัติ 17 เลย ทั้งดาวิดและโซโลมอนพลาดพลั้งทั้งคู่ ที่สุดแล้ว มีเพียงผู้เดียว เท่านั้นที่มีมาตรฐานสมบูรณ์เพียงพอ คือองค์พระเยซูคริสต์ พระผู้เป็นเจ้าของเรา พระองค์ ทรงมีทุกสิ่งทุกอย่าง แต่ยอมเป็นคนขัดสนเพื่อเรา พระองค์ไม่มีหรือแสวงหา อำนาจของโลกนี้เพื่อจัดตั้งอาณาจักรของพระองค์ และแน่นอนพระองค์ไม่ได้สะสม กำลังพลหรือภรรยา ดังนั้นองค์พระเยซูคริสต์เพียงผู้เดียว ที่เหมาะสมสำหรับเป็น กษัตริย์ขององค์พระผู้เป็นเจ้า เพื่อปกครองโลกนี้ชั่วนิจนิรันดร์

11 แล้วข้าพเจ้าก็มองดู และข้าพเจ้าได้ยินเสียง ทูตสวรรค์เป็นอันมากนับเป็นโกฏิๆ เป็นแสนๆ ซึ่ง อยู่ล้อมรอบพระที่นั่งรอบสัตว์และผู้อาวุโสทั้งหลาย นั้น 12 ร้องเสียงดังว่า "พระเมษโปดกผู้ทรงถูกปลง พระชนม์แล้วนั้น เป็นผู้ที่สมควรได้รับฤทธิ์เดช ทรัพย์ สมบัติ ปัญญา อานุภาพ เกียรติ พระสิริ และคำสดุดี" 13 และข้าพเจ้าได้ยินเสียงสิ่งมีชีวิตทั้งหมดทั้งในสวรรค์ ในแผ่นดินโลก ใต้แผ่นดิน ในมหาสมุทร บรรดาที่อยู่ใน ที่เหล่านั้น ร้องว่า "ขอให้คำสดุดีและเกียรติ และพระสิริ และฤทธิ์เดช จงมีแด่พระองค์ผู้ประทับบนพระที่นั่ง และ แด่พระเมษโปดกตลอดไปเป็นนิตย์" 14 และสัตว์ทั้งสี่นั้น ก็ร้องว่า "อาเมน" และผู้อาวุโสเหล่านั้นก็ทรุดตัวลงกรา นมัสการ
(วิวรณ์ 5:11-14).

หัวใจสำคัญที่บทเรียนนี้ให้ เราอาจเรียกว่า "เศรษฐศาสตร์ของความบาป" ถ้าผมประ เมิณสถาณการณ์ในตอนนี้อย่างถูกต้อง เรื่องหลักคือราคาของกษัตริย์ โดยเฉพาะเมื่อ นำมาเปรียบเทียบกับราคาของผู้วินิจฉัย เป็นความจริงที่คนอิสราเอลทำผิดในการเรียก ร้องขอกษัตริย์ พวกเขาต้องการมนุษย์ที่มีตัวตนมาแทนที่พระเจ้า โดยไม่ยอมนึกถึง ความชั่วร้ายและปัญหาที่จะตามมาเมื่อมีกษัตริย์ เราเห็นภาพในทางเศรษฐศาสตร์ที่ออก จะชัดเจน พูดง่ายๆคือ กษัตริย์ที่จะมาปกครองนั้นไม่มีทางสมกับราคาที่ต้องเสียไปเลย

เมื่อไม่นานมานี้ผมและเจนเน็ทภรรยาไปร่วมฉลองที่เมืองเดส์มอยน์ส รัฐไอโอวา เรามี เพื่อนชื่อเบรนดา สมิทธ์ไปด้วย เธอทำให้ผมนึกถึงสิ่งที่ผมเคยพูดไว้เมื่อหลายปีก่อนที่ สวนสนุกชื่อ ซิกส์แฟล็กใกล้ๆกับเมืองดัลลัส ตอนนั้นเรายืนเข้าคิวยาวรอซื้อตั๋ว พอนึก ถึงราคาตั๋วกับเวลาที่เสียไปในการคอย ผมบอกกับเพื่อนๆว่า "การขึ้นรถไฟเหาะนี่ก็ เหมือนกับความบาป ..... คือราคาแพงแล้วได้นั่งแค่แป๊บเดียว !" นี่เป็นสิ่งเดียวกับที่ ซามูเอลพยายามบอกคนอิสราเอลให้คิดให้ดี เพราะราคานั้นแพงมหาศาล

แต่คนอิสราเอลมองไม่เห็นภาพ เพราะพวกเขาอยากจ่ายราคาแสนเพงที่ซามูเอลพูดถึง ผมว่าผมพอเข้าใจเหตุผล เพราะราคาการตกเมืองขึ้นของเหล่าศัตรูรอบด้านนั้น ค่อน ข้างสูงเอาการ ให้เราลองมาดูที่พระธรรมผู้วินิจฉัย 6 :

1 และคนอิสราเอลก็ได้กระทำชั่วในสายพระเนตร ของพระเจ้า และพระเจ้าทรงมอบเขาไว้ในมือของ คนมีเดียนเจ็ดปี 2 และมือของคนมีเดียนก็ชนะ อิสราเอลเพราะคนมีเดียนเป็นเหตุ ประชาชนอิสราเอล จึงต้องทำที่ซ่อนอยู่ในภูเขาคือถ้ำ และป้อมที่เข้มแข็ง 3 เพราะว่าคนอิสราเอลหว่านพืชเมื่อไร คนมีเดียนและ คนอามาเลข และชาวตะวันออกก็ขึ้นมาสู้รบกับเขา 4 เขามาตั้งค่ายไว้แล้วทำลายพืชผลแห่งแผ่นดินเสีย ไกลไปถึงเมืองกาซาไม่ให้มีเครื่องบริโภคเหลือใน อิสราเอลเลย ไม่ว่าแกะหรือวัวหรือลา 5 เพราะว่า คนเหล่านั้นจะขึ้นมาพร้อมทั้งฝูงสัตว์และเต็นท์ เขามาเหมือนตั๊กแตนเป็นฝูงๆ ทั้งคนและอูฐก็นับไม่ ถ้วนเมื่อเขาเข้ามา เขาก็ทำลายแผ่นดินเสียอย่างนี้ แหละ 6 พวกอิสราเอลจึงตกต่ำลงมาก เพราะคนมี เดียน คนอิสราเอลก็ร้องทุกข์ถึงพระเจ้าขอให้ทรงช่วย เหลือ
(ผู้วินิจฉัย 6:1-6).

สำหรับคนอิสราเอล ราคาที่ต้องจ่ายในการมีกษัตริย์นั้นพวกเขาคิดว่ายังถูกกว่าการต้อง ตกเป็นเมืองขึ้น พวกเขาไม่เข้าใจว่าพระเจ้าทรงปกป้องพวกเขาโดยไม่มีราคา เพียงแต่ พวกเขาต้องกลับใจจากความบาป และร้องทูลขอการช่วยกู้ และปรนนิบัติพระเจ้าด้วย สุดใจ ผมว่าพวกเขาคิดว่าราคานี้แพงเกินไป พวกเขาไม่ต้องการละทิ้งพวกพระต่าง ชาติ พวกเขาไม่ต้องการปรนนิบัติพระเจ้าเพียงผู้เดียว พวกเขาไม่ต่องการให้พระเจ้า มาเป็นกษัตริย์ ดังนั้นพวกเขาจึงแสวงหาผู้ที่จะมาทำหน้าที่แทนทั้งพระเจ้าและซามูเอล นั่นคือกษัตริย์เพื่อให้เหมือนกับพวกต่างชาติ

เมื่อตอนที่เราคุยกันถึงเรื่องนี้ เพื่อนผมพูดเล่นกันว่า : "ถ้าเราไปหาซื้อพวกพระเทียม เท็จทั้งหลาย ได้ในราคาลด 10% ก็นับว่าไม่เลว " เขาพูดถูกครับ เพราะถ้าคุณได้้ "พระเจ้าองค์เที่ยงแท้" กลับมานับว่าต่อรองราคาได้เก่งทีเดียว ความจริงก็คือ เมื่ออิส ราเอลจ่ายราคาแพงสำหรับกษัตริย์ แต่ที่ได้รับคืนนั้นช่างไม่สมกับราคาเสียเลย ชาว อิสราเอลคิดเอาเองว่า กษัตริย์จะมาตัดสินใจ (วินิจฉัย) แทนพวกเขา บอกสิ่งต่างๆให้ เขาทำ และสู้ในสงครามเพื่อพวกเขา ถ้ากลับไปทบทวนในพระธรรมเฉลยธรรมบัญญัติ 28-32 เขาจะเห็นว่าไม่ใช่กษัตริย์ที่เป็นผู้นำความมั่งคั่งและสันติสุขมาให้ ; แต่เป็นพระ เจ้า ไม่ใช่กษัตริย์ที่สมควรแก่ความเชื่อและความวางใจ (ผู้เดียว); เป็นพระเจ้าเท่านั้น พวกเขาคาดหวังให้กษัตริย์ทำในสิ่งที่พระเจ้าเท่านั้นที่ทำได้ ไม่ว่าจะมีกษัตริย์หรือไม่ก็ ตามพวกเขายินดีจ่ายราคาแพงสำหรับบางสิ่งที่ไม่คุ้มกับราคาเลย

สิ่งที่ความบาปเป็นคือ มารซาตานพยายามหลอกขายความบาปให้กับเรา ชนิดที่ พวกเซลส์ขายรถยนตร์จอมโกงทั้งหลายต้องร้องให้ด้วยความอิจฉาที่เดียว ซาตาน พยายามสร้างภาพประโยชน์ที่จะได้จากบาปให้ใหญ่เกินจริง และพยายามทำให้เรา รู้สึกว่าราคาของความบาปนั้นน้อยมาก ในสวนเอเด็น ซาตานล่อลวงเอวาให้เชื่อว่านาง นั้นสามารถเป็นเหมือนพระเจ้าได้ และการกินผลไม้ต้องห้ามนั้นไม่ทำให้ถึงตายหรอก เมื่อเราเลือกที่จะทำบาป เราคิดว่าเราสามารถ "ใช้" และสามารถควบคุมมันได้ แต่ความ จริงคือ ความบาปต่างหากที่จะเข้ามาควบคุมเราไว้อย่างรวดเร็ว และในที่สุดเราก็ตกเ็ป็น ทาสของมัน เมื่อไรก็ตามที่เราถูกทดลอง และกำลังเลือกที่จะทำบาป ให้เราจำคำสอน จากในพระคัมภีร์เกี่ยวกับเศรษฐศาสตร์ของความบาป : ราคาแพงมาก แต่สนุกได้ประ เดี๋ยวเดียว ไม่คุ้มหรอกครับที่จะทำบาป

แล้วทำไม ถึงแม้ซามูเอลจะเตือนคนอิสราเอลแล้วก็ตาม พวกเขาจึงยังปฏิเสธที่จะรับ ฟังและยืนยันที่จะให้มีกษัตริย์อีก ? เหตุใดมนุษย์จึงยอมจ่ายราคาแพงเพื่อจะได้มาเพียง น้อยนิด ? ผมว่าผมรู้คำตอบ และผมเชื่อว่ามันเกี่ยวกับบทเรียนตอนนี้โดยตรง มนุษย์ เกลียดชังพระคุณ มันน่าชิงชังรังเกียจ เพราะมันเป็นของได้เปล่าหรือของบริจาค พระ คุณไม่ได้ทำให้เรารู้สึกภูมิใจ ; แต่ทำให้เราต้องถ่อมใจ ถ้าเราต้องจ่ายสำหรับบางสิ่ง (ไม่ว่าจะเป็นแรงงานหรือเงินทอง) เราคิดว่าเราได้ครอบครองเป็นเจ้าของสิ่งนั้น เราคิด ว่าเราสามารถควบคุมสิ่งนั้นให้อยู่ภายใต้เรา เมื่อเราได้รับพระคุณ เราไม่ใช่เป็นผู้ควบคุม พระเจ้าเป็นผู้ควบคุม พระเจ้าประทานให้ตามพระทัยของพระองค์ ดังนั้นเราไม่สามารถ ออกคำสั่งให้พระเจ้าประทานให้ตามเวลาหรืออย่างที่เราอยากได้ ; เราไม่สามารถควบ คุมผลประโยชน์ของมันได้ แต่เราชอบที่จะ (นึกไปเองว่า) พระเจ้าต้องอวยพระพรให้ เมื่อเราทำดีทำถูก พระเจ้าต้องทำดีตอบแทนเรา เราเป็นผู้ควบคุม พระเจ้าเป็นผู้รับใช้ ของเรา ดังนั้นมนุษย์จึงเต็มใจจ่าย – และจ่ายมากด้วย – เพื่อความภูมิใจของตนเองและ ความรู้สึกว่าได้เป็นผู้ควบคุม เหตุนี้มนุษย์จึงเลือกรูปเคารพและปฏิเสธพระเจ้า ถึงแม้ พวกเขายังต้องแบกหามมัน พวกเขาคิดว่าการปรนนิบัติรูปเคารพนั้นหมายความว่าพวก เขามีสิทธิที่จะควบคุม "พระ" เหล่านั้นได้ ช่างโง่เขลาเสียจริง

ผมว่าน่าสนใจที่เห็นคนอิสราเอลต้องการมนุษย์มาเป็นพระเจ้า มันไม่มีทางเป็นไปได้ และราคาของความพยายามนี้ก็มหาศาล หนทางของพระเจ้าคือส่งพระเจ้าที่เป็นมนุษย์ หรือมนุษย์ที่เป็นพระเจ้า เพื่อช่วยมนุษย์ให้รอดจากความผิดบาป และปกครองบนโลกนี้ ในฐานะกษัตริย์ในอาณาจักรของพระองค์ พระเมสซิยาห์ที่ทรงสัญญาไว้ กษัตริย์พระ องค์นี้ที่มีการพยากรณ์ไว้ล่วงหน้า ว่าจะเป็นทั้งพระเจ้าและเป็นทั้งมนุษย์ มิใช่ใครที่ใหน แต่คือองค์พระเยซูคริสต์ของเรานั่นเอง

บทเรียนสุดท้ายสำหรับตอนนี้คือ : บางครั้งพระเจ้าก็ประทานให้ตามที่เราขอหรือสั่ง ถึง แม้ผลลัพท์จะออกมาเจ็บปวด ทำให้ผมนึกถึงพระธรรมสดุดีตอนหนึ่งที่พูดถึงการบ่นว่า ของชาวอิสราเอลที่ไม่มีเนื้อสัตว์กิน เลยทำให้พระเจ้าประทานให้กินจนท้องแทบระเบิด ดังนี้ :

15 พระองค์ทรงประทานสิ่งที่ท่านขอ แต่ทรงใช้โรค ผอมแห้งมาท่ามกลางท่าน
(สดุดี 106:15, NASB).

การอธิษฐานทูลขอแบบไม่หยุดยั้ง ไม่ใช่เป็นการแสดงออกถึงความเชื่อ แต่เป็นการ แสดงถึงความโลภ การอธิษฐานด้วยความอดทนไม่ใช่เป็นเพราะเคร่งศาสนา อาจเป็น เพราะเรามัวแต่ไปทูลขอในสิ่งที่เกิดประโยชน์เพียงน้อยนิดกับเรา พระเจ้าอาจประทาน ให้ตามที่ขอ แต่เมื่อได้มาแล้วเราอาจต้องเจ็บปวดกับมัน แต่ในการที่พระเจ้ายอมให้ใน สิ่งที่เราอยากได้นักหนา พระองค์กำลังสอนเราให้หัดมอบความวางใจไว้ที่พระองค์ หรือตามที่พระคัมภีร์กล่าวไว้ "แต่ท่านทั้งหลายจงแสวงหาแผ่นดินของพระเจ้า และ ความชอบธรรมของพระองค์ก่อน แล้วพระองค์จะทรงเพิ่มเติมสิ่งทั้งปวงเหล่านี้ให้" (ดูมัทธิว 6:33) ให้เราระวังว่าคำอธิษฐานทูลขอของเรา ไม่ใช่เป็นการออกคำสั่ง ให้ เราเรียนรู้จากชาวอิสราเอลในสมัยโบราณ เพื่อเราจะไม่หลงไปเดินในทางทีผิดเช่น เดียวกับที่พวกเขาได้กระทำมาในอดีต


24 24 คำว่า "ครอบครองอยู่" เป็นคำที่ใช้สำหรับ "กษัตริย์" และมีการใช้อยู่หลายแห่งในพระ คัมภีร์เดิม

25 "หลักการแบ่งสันปันส่วน" ทำให้เราสังเกตุเห็นว่าผู้เขียนใช้เวลาและเนื้อที่ค่อนข้างมาก สำหรับเรื่องนี้เรื่องเดียว ในบทที่ 8 มีการพูดถึงการร้องขอกษัตริย์ว่าเป็นการนับถือรูปเคารพ อยู่เพียงสามข้อ ; แต่พูดถึงราคาแพงในการมีกษัตริย์ถึงเก้าข้อด้วยกัน

26 จากอพยพ 18 และกันดารวิถี 11 ดูเหมือนบรรดาผู้นำของอิสราเอลมีภาระหนักในการทำ หน้าที่วินิจฉัยประชาชน หรือว่าตอนนี้พวกเขาต้องการจะผลักภาระนี้ไปให้ผู้ที่จะมาเป็นกษัตริย์ ทำแทน ?

27 งานทุกงานมีทั้งความเสี่ยงและการทดลอง บุตรของเอลีเป็นปุโรหิต ถูกล่อลวงให้ทำผิด ศีลธรรม โลภมากเห็นแก่ได้ บุตรของซามูเอลทำหน้าที่วินิจฉัย แต่ถูกล่อลวงให้รับสินบนและ บิดเบือนความยุติธรรม ลองดูลูกา 3:12-14 เราอาจคิดเลยไปไกลจนถึงกับพูดว่า ของประทาน ทุกอย่างมาพร้อมกับการทดลองก็ได้ (ดูโรม 12:8)

28 แย่หน่อยที่บางฉบับ แปลโดยใช้คำว่า "ผู้วินิจฉัยทั่วทั้งอิสราเอล" ผมว่าฉบับ NIV ถูก ต้องที่สุด โยเอลและอาบียาห์ยังไม่ได้รับเลือกให้มาแทนซามูเอล (อย่างน้อยยังไม่ใช่ตอนนี้) เป็นเพียงฝึกหัด ทำหน้าที่เหมือนผู้วินิจฉัย "ให้กับ" อิสราเอล อยู่ทางตอนใต้สุดของประเทศ เมืองที่ ถ้ามีการผิดพลาดจะไม่มีผลกระทบใดร้ายแรงเกิดขึ้น

29 คำว่า "วิธีการ" หรือข้อปฏิบัติที่ใช้ตอนนี้เป็นพยัญชนะตัวเดียวกับที่ใช้ในคำกิริยาของ "การวินิจฉัย" และคำสรรพนาม "การพิพากษา" อย่างน้อยก็ดูคล้ายกับการเล่นคำ "คุณอยาก ให้กษัตริย์มาพิพากษาคุณหรือ ? ถ้าเช่นนั้น ผมจะบอกคุณถึงข้อปฏิบัต ิ(คำเดียวกัน) ที่กษัตริย์ ทั่วไปทำกันอยู่ให้คุณฟัง"

30 ให้ลองเปรียบเทียบกับอิสยาห์ 37:14.

Related Topics: Introductions, Arguments, Outlines

บทที่ 6: กษัตริย์องค์แรกของอิสราเอล (1 ซามูเอล 9:1 —11:13)

คำนำ

เมื่อ 40 ปีที่แล้ว พ่อแม่ของผมอาศัยอยู่ในเมืองบนภูเขาที่มีประชากรอยู่ค่อนข้างน้อย จากบ้านมองลงมาเห็นวิวของ พูเกตซาวนด์ในมลรัฐวอชิงตัน (พ่อผมอุตส่าห์ขึ้นไปปลูก บ้านบนภูเขาเพื่อที่จะเห็นทั้งวิวทะเลและถนน) บ่ายวันอาทิตย์หนึ่ง พ่อกับแม่ไปเอน หลังงีบ ผมกับน้องสาวออกไปวิ่งเล่นกันอยู่แถวถนน มีรถขึ้นมาจอดข้างหน้าเรา คนขับ ถามว่าเราเห็นหมูของเขาหรือเปล่า มันหลุดออกมาจากคอกแล้ววิ่งหนีมาแถวๆนี้ ผมกับ น้องคิดว่าการออกไปช่วยตามล่าหาหมูยามบ่ายคงเป็นเรื่องสนุกแน่ๆ เราเลยขึ้นรถของ เขาออกไปช่วยกันตามหาหมู

คนขับเตือนเราให้ระวังเลื่อยอันใหญ่ที่พึ่งลับใบมีดมา วางอยู่บนพื้นท้ายรถตรงที่เรานั่ง แต่รู้สึกว่าจะเตือนช้าไปหน่อย น้องสาวผมเอาขาเข้าไปลับคมพอดี ทำให้ถูกบาดเป็น แผลลึกหลายแห่ง คนขับรถตกใจจนทำอะไรไม่ถูก เอาผ้าขี้ริ้วพันขาเธอไว้กันไม่ให้ เลือดออกมาก โรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุดอยู่ห่างไปประมาณเกือบ 20 กิโลเมตร คนขับรีบ บึ่งรถไปให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ พอมาถึงโรงพยาบาลผมค่อยโทรบอกพ่อซึ่งยังคง งีบอยู่ และนึกว่าเรายังวิ่งเล่นอยู่แถวหน้าบ้าน พวกเขาถึงกับช็อคพอรู้ว่าเราอยู่กันที่โรง พยาบาล และรูธถูกเลื่อยบาดขาต้องเย็บหลายแผลทีเดียว

นับเป็นการล่าหมูที่กลายเป็นโศกนาฏกรรม สิ่งที่ดูเหมือนเป็นเรื่องตื่นเต้นท้าทายกลับ พลิกผันกลายเป็นล้มเหลว แถมยังนำมาซึ่งการเจ็บตัวเข้าโรงพยาบาล และอาการตกใจ ของพ่อแม่ แต่สำหรับบทเรียนตอนนี้ การตามล่าหาสัตว์กลับกลายเป็นเรื่องตรงข้าม เริ่มต้นด้วยการที่ลาหลายตัวหลุดรอดหนีออกไป ซาอูลกับคนงานจึงต้องออกไปตาม หา พวกเขาไม่เคยหามันพบ แต่การออกไปค้นหาครั้งนี้กลับกลายเป็นได้รับผลที่ คุ้มค่าที่สุด ดังที่เราจะมาเรียนต่อไป ภารกิจที่เริ่มต้นอย่างน่าเบื่อหน่ายนี้ กลับกลายเป็น การเปิดเผยของพระเจ้าซึ่งทำให้ซาอูลหัวหมุนด้วยความตื่นเต้นประหลาดใจเป็นล้นพ้น

อารมณ์คนอิสราเอลในช่วงนั้นเต็มไปด้วยความคาดหวังรอคอย พวกผู้นำประเทศที่ ประชาชนให้ความสนับสนุนไปพบกับซามูเอล เรียกร้องขอให้มีกษัตริย์ เพื่อจะได้ทำการ วินิจฉัยพวกเขาเหมือนประชาชาติอื่นๆรอบด้าน ซามูเอลไม่พอใจ ท่านรู้ดีว่าสิ่งนี้ไม่ใช่ มาจากความเชื่อหรือการเชื่อฟังพระเจ้า พระเจ้าทรงยืนยันในความคิดของซามูเอล พระองค์ทรงปลอบซามูเอลในสิ่งที่ผู้นำประเทศได้กระทำกับท่าน ซึ่งเป็นเหมือนเช่น เดียวกับในอดีต ชาวอิสราเอลกำลังออกห่างจากพระเจ้าหันไปหารูปเคารพแทน ประชา ชนไม่ได้ปฏิเสธซามูเอลในฐานะผู้วินิจฉัย ; พวกเขากำลังปฏิเสธไม่ยอมให้พระเจ้าเป็น กษัตริย์ นอกจากบาปที่ร้องขอกษัตริย์แล้ว พระเจ้าสั่งให้ซามูเอลเตือนประชาชนถึง ราคาแพงของการมีกษัตริย์ แต่พวกเขาจะได้กษัตริย์ตามที่ร้องขอ เมื่อได้รับการยืนยัน เช่นนี้ ซามูเอลจึงส่งประชาชนกลับไปบ้านเรือนของตนและให้คอยอยู่ (8:22).

โดยมองข้ามเสียงเตือนและความบาปที่ร้ายแรง ชาวอิสราเอลรู้สึกตื่นเต้นกับกษัตริย์ ที่จะมีในอนาคต พระเจ้าได้ตรัสสั่งไว้ในเฉลยธรรมบัญญัติ 17:15 ว่าพระองค์จะเป็นผู้ เลือกและแต่งตั้งผู้ที่จะมาเป็นกษัตริย์ และแน่นอนซามูเอลต้องเป็นผู้ทำหน้าที่นี้ตาม ที่พระองค์เลือก ทุกคนจึงเพ่งไปที่ซามูเอล ใครก็ตามที่มีซามูเอลผู้เผยพระวจนะท่านนี้ พบปะเจอะเจออยู่ในข่ายทั้งสิ้น จึงไม่น่าสงสัยเลยว่าทำไมลุงของซาอูลถึงอยาก จะรู้นักว่าซามูเอลพูดอะไรกับซาอูล (1 ซามูเอล 10:14-16).

ไม่มีใครคาดคิดถึงวิธีที่พระเจ้าทรงเลือกกษัตริย์ แต่ใน 1 ซามูเอล บทที่ 9-11 บันทึก เรื่องนี้ไว้ เหตุการณ์ในทั้งสามบทนี้มีจุดมุ่งหมายสำคัญที่แสดงให้เห็นว่าซาอูลเป็นผู้ที่ พระเจ้าทรงเลือกให้เป็นกษัตริย์องค์แรกของอิสราเอลจริงๆ และพระองค์ได้จัดเตรียม ท่านให้พร้อมสำหรับขึ้นมารับภาระหน้าที่นี้ เหตุการณ์ในบทที่ 9 พระเจ้าทรงสำแดงให้ ซามูเอลทราบว่าทรงเลือกซาอูล ส่วนบทที่ 9 และ 10 เป็นเหตุการณ์ที่พระเจ้าให้ความ มั่นใจกับซามูเอลว่าพระองค์ทรงเลือกซาอูลให้เป็นกษัตริย์จริง ในบทที่ 10 และ 11 มี การจับสลากเลือก และมีการแต่งตั้งซาอูลขึ้นเป็นกษัตริย์ เรื่องการมีชัยเหนือนาหาช และคนอัมโมน ซึ่งเพิ่มความมั่นใจให้กับประชาชนว่าซาอูลเป็นผู้ที่พระเจ้าทรงเลือกจริง เราอาจจะนำขั้นตอนที่ผสมผสานกันอยู่ในทั้งสามบทมาแบ่งให้เห็นดังนี้ :

9:1

9:17

เพื่อเป็นประโยชน์ต่อซามูเอล

————————————————->

9:1

9:18

10:9

เพื่อเป็นประโยชน์ต่อซาอูล

——————————————————————————————>

9:1

10:10

11:13

เพื่อเป็นประโยชน์ต่ออิสราเอล

————————————————————————————————————————>

ซามูเอลรับทราบ: ซาอูลคือผู้จะมาเป็นกษัตริย์ของอิสราเอล
(9:1-17)

1 มีชายคนหนึ่งเผ่าเบนยามินชื่อคีช บุตรของอาบีเอล ผู้เป็นบุตรของเศโรร์ บุตรของเบโครัท บุตรของอาหิยาห์ คนเผ่าเบนยามิน เป็นคนร่ำรวย 2 ท่านมีบุตรชายคนหนึ่ง ชื่อซาอูล เป็นผู้ใหญ่เต็มตัวรูปงาม ไม่มีชายคนใดในหมู่ คนอิสราเอลที่จะงามกว่าเขา เขาสูงกว่าประชาชนทั้งหลาย ตั้งแต่บ่าขึ้นไป 3 ฝ่ายฝูงแม่ลาของคีชบิดาของซาอูลหาย ไป คีชจึงกล่าวแก่ซาอูลบุตรของตนว่า "ลุกขึ้น เอาคนใช้ คนหนึ่งไปกับเจ้าเพื่อไปหาลา" 4 เขาทั้งสองก็ผ่านแดน เทือกเขาแห่งเอฟราอิม ผ่านเข้าแผ่นดินชาลิชา เขาหาลาไม่ พบ เขาก็ผ่านข้ามแผ่นดินชาอาลิมแต่ลาไม่อยู่ที่นั่น แล้วเขา ผ่านเข้าแผ่นดินของคนเบนยามิน แต่ก็หาลาไม่พบ 5 เมื่อเขา มาถึงแผ่นดินศูฟ ซาอูลจึงพูดกับคนใช้ผู้ซึ่งอยู่กับท่านว่า "มา เถิด ให้เรากลับไป เกรงว่าบิดาของข้าจะเลิกกังวลเรื่องลา และ มาร้อนใจด้วยเรื่องของเรา" 6 แต่คนใช้ตอบท่านว่า "ดูเถิด มีคนของพระเจ้าคนหนึ่งในเมืองนี้ เป็นคนที่เขานับถือกันมาก สิ่งที่ท่านกล่าวนั้นเป็นไปตามที่กล่าวนั้นทุกอย่าง ขอให้เราไป ที่นั่น ชะรอยท่านจะบอกเราถึงทางซึ่งเราควรดำเนิน" 7 แล้ว ซาอูลพูดกับคนใช้ของท่านว่า "แต่ดูเถิด ถ้าเราไปเราจะเอา อะไรไปให้ชายผู้นั้น เพราะขนมปังในย่ามของเราก็หมดแล้ว เราไม่มีของขวัญที่จะนำไปให้แก่คนของพระเจ้า เรามีอะไรบ้าง" 8 คนใช้ตอบซาอูลอีกว่า "ผมมีเงินอยู่หนึ่งเสี้ยวเชเขล และผมจะให้แก่คนของพระเจ้า เพื่อจะบอกหนทางให้ แก่เรา" 9 (ในอิสราเอลสมัยเดิม เมื่อคนใดจะไปทูล ถามพระเจ้า เขากล่าวว่า "มาเถิด ให้เราไปหาผู้ทำนาย กัน" เพราะผู้ที่ในสมัยนี้เราเรียกว่าผู้เผยพระวจนะนั้น ในสมัยเดิมเขาเรียกว่าผู้ทำนาย) 10 และซาอูลจึงพูดกับ คนใช้ของท่านว่า "พูดดีนี่ มาให้เราไปกันเถิด" เขาทั้งสอง จึงไปที่เมืองซึ่งคนของพระเจ้าอยู่ 11 ขณะเมื่อเขาขึ้นภูเขา ไปยังเมืองนั้น เขาพบพวกผู้หญิงสาวออกมาตักน้ำ จึงถามว่า "ผู้ทำนายอยู่ที่นี่หรือ" 12 เธอทั้งหลายตอบว่า "อยู่นี่ ดูเถิด ท่านเพิ่งขึ้นหน้าท่านไป จงรีบเข้าเถิดท่านเพิ่งมาในเมืองเมื่อ กี้นี้ เพราะว่าวันนี้ประชาชนทำการถวายสัตวบูชา ณ ปูชนีย สถานสูง 13 พอท่านทั้งสองเข้าไปถึงในเมือง ท่านทั้งสอง จะพบก่อนที่ผู้ทำนายขึ้นไปรับประทานอาหาร ณ ปูชนียสถาน สูง เพราะว่าประชาชนจะไม่รับประทานจนกว่าท่านจะมาถึง เพราะท่านจะต้องมาอวยพรแก่เครื่องสัตวบูชา ภายหลังผู้ที่ ได้รับเชิญจึงรับประทาน ขึ้นไปเถิด ท่านทั้งสองจะพบทันที" 14 เขาทั้งสองก็ขึ้นไปยังเมืองนั้น ขณะเมื่อเขาเข้าไปในเมือง ดูเถิด ซามูเอลกำลังเดินออกมาจะไปยังปูชนียสถานสูงนั้น 15 พระเจ้าทรงสำแดงแก่ซามูเอล แล้วในวันก่อนวันที่ซาอูล มาถึงว่า 16 "พรุ่งนี้เวลาประมาณเท่านี้เราจะส่งชายผู้หนึ่งซึ่ง มาจากดินแดนเบนยามิน เจ้าจงเจิมเขาให้เป็นเจ้าเหนือ อิสราเอล ประชากรของเรา เขาจะช่วยประชากรของเรา ให้พ้นจากมือคนฟีลิสเตีย เพราะเราได้มองดูความทุกข์ใจ แห่งประชากรของเราแล้ว ด้วยเสียงร้องทุกข์ของเขามาถึง เรา" 17 เมื่อซามูเอลเห็นซาอูลเข้าแล้ว พระเจ้าทรงบอก ท่านว่า "นี่เป็นชายคนที่เราได้พูดกับเจ้าแล้วนั้น เขาเป็น ผู้ที่จะปกครองเหนือประชากรของเรา"

เหตุการณ์ในตอนนี้เป็นประโยชน์ต่อซาอูลและต่ออิสราเอล แต่เป็นเรื่องดีเรื่องแรกต่อ ซามูเอล เพราะหลังจากที่พระเจ้าตรัสสั่ง ซามูเอลจึงสัญญาว่าจะมีกษัตริย์ให้กับชาว อิสราเอล และตอนนี้ท่านต้องทำหน้าที่เสาะหาว่าผู้ใดคือผู้ที่พระเจ้าเลือกสรร เหตุการณ์ ตอนนี้ทำให้ซาอูลต้องมาพบกับซามูเอลด้วยวิธีที่ผู้เผยพระวจนะท่านนี้แน่ใจว่าคือผู้ที่ พระเจ้าเลือกไว้ให้เป็นกษัตริย์ของอิสราเอล

บิดาของซาอูล คีช เป็นคนเผ่าเบนยามินและเป็นคนมีชื่อเสียง พระวจนะคำกล่าวว่า ท่านเป็น "คนร่ำรวย" (9:1) คำนี้น่าจะเป็นที่เข้าใจว่า อาจเป็นคนเก่ง คนที่ประสพ ความสำเร็จ หรือมีอำนาจบารมี ไม่ว่าจะเป็นด้านใดก็ตาม น่าจะเป็นผู้ที่น่านับถือ ซาอูล จึงมาจากตระกูลดี และในขณะที่ซาอูลยังไม่เป็นที่รู้จัก อย่างน้อยท่านก็มีรูปลักษณ์ที่ สง่างามโดดเด่นกว่าผู้ใด พูดสั้นๆอย่างที่ลูกสาววัยรุ่นเราชอบพูดคือ "โดนใจ" ท่านเป็น คนสูง (สูงกว่าคนอิสราเอลโดยทั่วไป) คล้ำ (ซึ่งเป็นปกติสำหรับคนที่เกิดในแถบนั้น – และยิ่งทำงานในไร่ด้วยแล้ว ผิวคงเป็นสีแทนสวยงาม) และรูปหล่อ คงจะอธิบายได้ มากกว่านี้ แต่ถึงอย่างไรก็ตาม ท่านเหมาะสมทุกประการที่จะมาเป็นกษัตริย์

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นคือสัตว์บางตัวของคีชหายไปจากไร่ เราไม่รู้ว่าลามันหลุดออกไปได้ อย่างไร แต่มันก็หายไปจากฟาร์มแล้ว คีชจึงส่งบุตรชาย ซาอูลออกตามหา โดยสั่งให้ นำคนใช้ไปด้วย ทั้งคู่ทำไม่สำเร็จในเรื่องตามหาลา แต่กลับไปเกิดผลในเรื่องอื่นแทน ชายทั้งสองเดินทางไปเกือบทุกแห่งในสามวัน แต่ก็ยังไม่พบลา ซาอูลกำลังจะยกธง ยอมแพ้ เพราะบิดาคงจะเริ่มเป็นห่วงลูกมากกว่าห่วงลาแล้ว

แต่คนใช้หนุ่มของซาอูลไม่ค่อยจะแน่ใจ เพราะเขารู้ว่ากำลังไปใกล้กับสถานที่ที่เป็นที่ พักของ "คนของพระเจ้า" ดูเหมือนทั้งซาอูลและคนใช้ไม่รู้จักชื่อ "คนของพระ เจ้า" ท่านนี้ แต่คนใช้ก็ยังรู้มากกว่าซาอูล "คนของพระเจ้า" คือ "ผู้ทำนาย" เป็นชื่อที่ใช้เรียกผู้เผยพระวจนะในสมัยก่อน31 คนใช้รู้จักชื่อเสียงของซามูเอล แม้จะ ไม่รู้จักชื่อ ท่านคงเป็นผู้ที่ได้รับการยกย่องนับถือมาก และสิ่งที่ท่านพูดนั้นเป็นจริงทุก ประการ – ผู้เผยพระวจนะที่แท้จริง บางทีท่านอาจให้คำปรึกษาถึงเรื่องการเดินทาง และเรื่องลาที่หายไปก็ได้

ซาอูลเห็นด้วยกับความคิดนี้ แต่ก็ติดขัดอยู่ที่ปัญหาสำคัญคือเรื่อง – ไม่มีของกำนัลไป มอบให้ผู้ทำนาย สเบียงที่มีอยู่ก็หมดไปแล้ว ไม่มีแม้กระทั่งขนมปังจะกิน แล้วพวกเขา จะไปกล้าขอความช่วยหลือจากท่านผู้นี้มือเปล่าได้อย่างไร ? คนใช้หาทางออกให้ได้ เขามีเหรียญเงินอยู่หนึ่งเหรียญซึ่งน่าจะเพียงพอสำหรับการบริการ ด้วยความกล้า ซาอูลตัดสินใจไปขอความช่วยเหลือจาก "คนของพระเจ้า" ผู้นี้ ทั้งๆที่ไม่รู้จักและไม่รู้ ว่าเหตุการณ์นี้จะนำไปสู่เรื่องใด

เมื่อซาอูลและคนใช้มาถึงบริเวณนอกเมือง ก็พบกับผู้หญิงที่กำลังเดินไปตักน้ำ จึงถาม นางถึงผู้ทำนาย นางบอกว่าท่านยังอยู่ และถ้ารีบๆหน่อยก็อาจจะมีโอกาสพบกับท่าน เพราะท่านกำลังจะไปทำการถวายสัตวบูชา และรับประทานอาหารกับผู้ที่ได้รับเชิญ เพราะถ้าเริ่มแล้ว ทั้งสองคงต้องรออีกนานกว่าพิธีจะเสร็จ โดยเฉพาะทั้งสองเป็นแขกที่ ไม่ได้รับเชิญ คงไม่สามารถเข้าไปขัดจังหวะพิธีและงานฉลองได้ ดังนั้นตอนนี้ น่าจะ เหมาะที่สุด ขอให้รีบไป32

ซาอูลกับคนใช้จึงรีบมุ่งตรงเข้าไปในเมือง ขณะที่เข้าเมืองมา ซามูเอลมองเห็นทั้งคู่ พระคำตอนนี้ในข้อ 15 และ 16 มีการอธิบายเสริมอีก ในมุมมองของมนุษย์ การมา ถึงของซามูเอลไม่น่าจะเป็นไปได้ (เพราะทั้งสองเดินทางไปทั่วเพื่อตามหาลาที่หาย เสบียงอาหารหมดลง และคงอยากกลับบ้าน) จากมุมมองของหญิงที่ไปตักน้ำ พวกเขา นั้นโชคดี จากมุมมองของพระเจ้าคือเป็นไปตามที่ทรงกำหนดไว้ ซึ่งเราจะมาดูกันต่อ วันก่อนหน้านี้ พระเจ้าตรัสกับซามูเอลว่าท่านจะได้พบผู้ที่จะมาเป็นกษัตริย์ในวันรุ่งขึ้น จะเป็นผู้ที่มาจากเผ่าเบนยามิน และซามูเอลต้องเป็นผู้ทำการเจิมตั้ง กษัตริย์องค์นี้เป็น ของประทานที่มีค่าจากพระเจ้า ผู้ทรงได้ยินถึงคำร้องทุกข์ของประชาชน และได้ส่งชาย ผู้นี้มาช่วยพวกเขาให้รอดจากเงื้อมมือของชาวฟิลิสเตีย เมื่อซามูเอลห็นซาอูลและคน ใช้กำลังเดินมาหาท่าน พระเจ้าตรัสกับท่านว่าเป็นชายผู้นี้แหละ ซามูเอลจึงทราบว่า คนที่กำลังเดินมาหาท่านนั้นคือผู้ที่พระเจ้าเลือกให้เป็นกษัตริย์ของอิสราเอล

ซาอูลรับการแจ้งและชีวิตท่านได้เปลี่ยนแปลง
(9:17—10:9)

17 เมื่อซามูเอลเห็นซาอูลเข้าแล้ว พระเจ้าทรงบอกท่านว่า "นี่เป็นชาย คนที่เราได้พูดกับเจ้าแล้วนั้น เขาเป็นผู้ที่จะปกครองเหนือประชากรของ เรา" 18 แล้วซาอูลก็เข้ามาใกล้ซามูเอลที่ประตูและกล่าวว่า "ขอบอก ข้าพเจ้าหน่อยว่า บ้านของผู้ทำนายอยู่ที่ไหน" 19 ซามูเอลตอบซาอูลว่า "ฉันเป็นผู้ทำนาย จงเดินขึ้นหน้าฉันไปยังปูชนียสถานสูงนั้น เพราะในวันนี้ ท่านจะรับประทานอาหารกับฉัน และพรุ่งนี้เช้าฉันจึงจะให้ท่านไปและฉัน จะบอกทุกอย่างที่ข้องอยู่ในใจของท่านแก่ท่าน 20 ส่วนเรื่องลาของท่าน ที่หายไปสามวันแล้วนั้นอย่าเอาใจใส่เลย เพราะเขาพบแล้ว ความปรารถนา ของคนอิสราเอลนั้นมุ่งหมายเอาใครเล่า ไม่ใช่ตัวท่านและพงศ์พันธุ์ของ บิดาท่านดอกหรือ" 21 ซาอูลตอบว่า "ข้าพเจ้าไม่ใช่คนเผ่าเบนยามินดอก หรือ เป็นเผ่าเล็กน้อยที่สุดในอิสราเอล และตระกูลของข้าพเจ้าไม่ใช่ตระกูล ที่ด้อยที่สุดในเผ่าเบนยามินดอกหรือ ทำไมท่านจึงพูดกับข้าพเจ้าอย่างนี้เล่า" 22 แล้วซามูเอลก็พาซาอูลกับคนใช้ของท่านเข้าไปในห้องโถง ให้นั่งในตอน ต้นที่นั่งสำหรับผู้ที่รับเชิญ ซึ่งมีประมาณสามสิบคน 23 และซามูเอลพูดกับคน ครัวว่า "จงนำส่วนที่ฉันได้มอบให้ ซึ่งฉันบอกว่า 'เก็บไว้ต่างหาก' นั้นมา" 24 คนครัวจึงนำเอา ส่วนขาและส่วนบนนั้นมาวางไว้ที่ข้างหน้าซาอูล และซามูเอลกล่าวว่า "ดูเถิด สิ่งที่ได้เก็บไว้ก็วางอยู่ต่อหน้าท่าน จงรับประทาน เถิด เพราะว่าเก็บไว้ให้แก่ท่านจนถึงชั่วโมงที่กำหนดไว้ ฉันได้เชิญประชาชน มาแล้ว" ซาอูลจึงรับประทานกับซามูเอลในวันนั้น 25 และเมื่อเขาทั้งหลาย ลงมาจากปูชนียสถานสูงเข้ามาในเมือง ท่านสนทนากับซาอูลบนดาดฟ้าหลัง คาบ้าน 26 และเขาทั้งสองตื่นแต่เช้าตรู่ และอยู่มาเมื่อสว่างแล้ว ซามูเอลก็เรียก ซาอูลผู้อยู่บนดาดฟ้าว่า "จงลุกขึ้นเถิด เพื่อฉันจะส่งท่านไปตามทางของท่าน" ซาอูลก็ลุกขึ้น ท่านทั้งสองก็เดินออกไปที่ถนน ทั้งท่านและซามูเอล 27 เมื่อเขา ทั้งหลายกำลังลงมาที่ชานเมือง ซามูเอลจึงพูดกับซาอูลว่า "จงบอกคนใช้ให้เดิน ล่วงหน้าเราไปก่อน และเมื่อเขาเดินพ้นไปแล้วท่านจงหยุดที่นี่ก่อน เพื่อฉันจะได้ แจ้งพระดำรัสของพระเจ้าให้ท่านทราบ" (1ซามูเอล 10) 1 แล้วซามูเอลก็หยิบ

ขวดน้ำมันเทลงบนศีรษะของซาอูล และจุบท่านแล้วกล่าวว่า "พระเจ้าทรงเจิม ท่านไว้ให้เป็นเจ้านายเหนืออิสราเอล ประชากรมรดกของพระองค์แล้วมิใช่หรือ 2 เมื่อท่านจากฉันไปในวันนี้ ท่านจะพบชายสองคนริมที่ฝังศพของนางราเชลใน เขตแดนเบนยามินที่เศลซาห์และเขาทั้งสองจะบอกท่านว่า 'ลาซึ่งท่านไปหานั้น พบแล้ว นี่แน่ะ บัดนี้บิดาของท่านเลิกกังวลเรื่องลาแล้ว และร้อนใจเรื่องของท่าน กล่าวว่า "เราจะทำอย่างไรเรื่องบุตรชายของเราดี'" 3 และท่านจะเดินเลยที่นั่นไป ถึงต้นก่อหลวงตำบลทาโบร์ ที่นั่นชายสามคนซึ่งกำลังขึ้นไปเฝ้าพระเจ้าที่เบธเอล จะพบท่าน คนหนึ่งอุ้มลูกแพะสามตัวอีกคนหนึ่งถือขนมปังสามก้อน และอีกคนหนึ่ง ถือถุงหนังเหล้าองุ่นถุงหนึ่ง 4 เขาทั้งหลายจะคำนับท่านและมอบขนมให้ท่านสอง ก้อน ซึ่งท่านจะรับจากมือของเขา 5 ต่อจากนั้นท่านจะมาถึงกิเบอัทเอโลฮิม ที่นั่น มีกองทหารรักษาการของคนฟีลิสเตีย เมื่อท่านมาถึงเมืองนั้น ท่านจะพบผู้เผยพระ วจนะ หมู่หนึ่งกำลังลงมาจาก ปูชนียสถานสูงถือพิณใหญ่ รำมะนา ปี่ พิณเขาคู่ นำหน้ามา กำลังเผยพระวจนะเรื่อยมา 6 แล้วพระวิญญาณของพระเจ้าจะ าสถิตกับ ท่านอย่างมาก และท่านจะเผยพระวจนะกับคนเหล่านั้น เปลี่ยนเป็นคนละคน 7 เมื่อ หมายสำคัญเหล่านี้เกิดแก่ท่านแล้วจงกระทำอะไรตามแต่มีโอกาสเถิด เพราะพระเจ้า ทรงสถิตกับท่าน 8 และท่านจงลงไปที่กิลกาลก่อนฉัน และดูเถิด ฉันจะลงมาหาท่าน เพื่อจะถวายเครื่องเผาบูชา และถวายสัตว์เป็นเครื่องศานติบูชา ท่านจงคอยอยู่ที่นั่น เจ็ดวันจนฉันมาหาท่านและสำแดงแก่ท่านว่า ท่านควรจะกระทำอะไร" 9 เมื่อซาอูลหัน หลังไปจะจากซามูเอล พระเจ้าทรงประทานจิตใจอีกอย่างหนึ่งแก่ท่าน และหมาย สำคัญเหล่านี้ทั้งหมดเกิดขึ้นในวันนั้น

ซามูเอลทราบว่าซาอูลคือคนที่พระเจ้าเลือกให้เป็นกษัตริย์ของอิสราเอล แต่ซาอูลไม่ ทราบเลย บทเรียนต่อไปนี้ส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องที่พระเจ้าดำเนินตามขั้นตอนของพระ องค์ ในการแจ้งให้ทราบและในการเปลี่ยนแปลงซาอูลให้พร้อมที่จะเป็นกษัตริย์เหนือ อิสราเอล จากตอนต้นของบทเรารู้ว่าซาอูลไม่เคยรู้จักซามูเอลมาก่อน ขณะที่ทั้งสอง เข้าเมืองมา ซาอูลสอบถามกับชายที่ท่านพบคนแรกถึงทางที่จะไปยังบ้านของท่าน "ผู้ทำนาย" ท่านผู้ที่ซาอูลถามคือซามูเอลเอง ซามูเอลจึงแจ้งกับซาอูลว่าท่านเองคือ ผู้ทำนาย แต่ก่อนที่ซาอูลมีโอกาสสอบท่านถึงเรื่องที่เตรียมมา ซามูเอลเอ่ยปากพูดใน สิ่งที่ซาอูลไม่เคยแม้แต่จะฝันถึง ซามูเอลสั่งให้ซาอูลเดินนำท่านขึ้นไปบนสถานสูง ที่ ซึ่งกำลังจะมีการถวายสัตวบูชา และรับประทานอาหารกัน ซาอูลต้องไปร่วมรับประทาน กับซามูเอลและอยู่ค้างคืนด้วย และในวันรุ่งขึ้น ซามูเอลจะแจ้งแก่ซาอูล "ทุกอย่าง ที่ข้องอยู่ในใจ" ก่อนส่งท่านกลับไป หลังจากนั้น ซามูเอลพูดต่อในสิ่งที่ทำให้ซาอูลถึง กับตกตะลึง : "ส่วนเรื่องลาของท่านที่หายไปสามวัน แล้วนั้นอย่าเอาใจใส่เลย เพราะเขาพบแล้ว ความปรารถนาของคนอิสราเอลนั้นมุ่งหมายเอาใครเล่าไม่ ใช่ตัวท่านและพงศ์พันธุ์ของบิดาท่านดอกหรือ ?" (9:20).

ซาอูลยังไม่มีโอกาสเอ่ยปากพูดเรื่องใด ซามูเอลก็รู้ทุกสิ่งที่ท่านอยากทราบโดยไม่ต้อง ถาม ซามูเอลพูดถึงลาที่หายไป หายไปนานกี่วัน และมีคนพบแล้ว ถ้าสิ่งนี้ทำให้ซาอูล ประหลาดใจ ยังมีเรื่องที่ทำให้ประหลาดใจมากไปกว่าอีก เมื่อซามูเอลบอกถึงสิ่งที่อยู่ใน ใจท่าน . . . วันรุ่งขึ้น (ดูข้อ 19) ถ้าไม่ใช่เรื่องลาที่หายไปแล้วควรจะเป็นเรื่องใดเล่า ? ผมว่าเรื่องที่ซามูเอลจะพูดต่อไปในข้อ 20 : "ความปรารถนาของคนอิสราเอลนั้น มุ่งหมายเอาใครเล่า ไม่ใช่ตัวท่านและพงศ์ พันธุ์ของบิดาท่านดอกหรือ ?" (9:20) คำพูดที่ซาอูลตอบซามูเอลในข้อ 21 นั้นเป็นเรื่องที่ทำให้ซาอูลต้องนำมาขบ คิด ในเมื่อเรื่องลาก็จบไปแล้ว ที่ซามูเอลพูดนั้นหมายถึงเรื่องใดกันแน่ ? แล้วทำไม ซามูเอลต้องพูดให้ซาอูลฟังด้วย ? มันจะเป็นไปได้อย่างไร ในเมื่อท่านไม่ได้มาจาก เผ่าใหญ่ หรือมาจากตระกูลดังของอิสราเอล ? ผมเชื่อว่าซามูเอลหว่านคำพูดเข้าไป ให้ซาอูลต้องคิดหนัก จนกว่าจะถึงวันรุ่งขึ้นที่ซามูเอลจะมาบอกเพิ่มเติม

ซามูเอล ซาอูลและคนรับใช้จึงขึ้นไปยังสถานสูง และได้รับเชิญให้ไปนั่งในที่มีเกียรติ ต่อหน้าบรรดาแขกที่เชิญมา33 http://www.bible.org/docs/ot/books/1sa/deffin/ซามูเอลเป็นบุรุษแห่งความเชื่อ เมื่อพระเจ้ากล่าวว่า ท่านจะพบกับผู้ที่เป็นกษัตริย์ในวันรุ่งขึ้น (9:16) ซามูเอลจึงสำรองที่นั่งพิเศษในฐานะ แขกเกียรติยศล่วงหน้า (9:23-24) มีการสั่งพ่อครัวให้เก็บชิ้นเนื้อเตรียมไว้ และให้นำมา เสิร์ฟเมื่อท่านสั่ง (หรือเมื่อกษัตริย์ที่สัญญาไว้มาถึง) เมื่อซาอูลกับคนใช้นั่งลงที่หัวโต๊ะ ซามูเอลจึงสั่งให้พ่อครัวนำชิ้นเนื้อนั้นมาให้ ผู้ที่ดูเหมือนเป็นแขกไม่ได้รับเชิญนั้น ที่จริง คือแขกเกียรติยศตัวจริง

ซามูเอลได้มีโอกาสพูดคุยกับซาอูลบนดาดฟ้าก่อนการนอนหลับพักผ่อน เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น ซามูเอลปลุกซาอูล และไปส่งท่านเงียบๆก่อนที่คนอื่นจะตื่นมาเห็นด้วยความสงสัย ใน ขณะที่เดินออกนอกเมือง ซามูเอลสั่งซาอูลให้บอกคนใช้เดินล่วงหน้าไปก่อน เพื่อท่าน จะมีโอกาสพูดเป็นการส่วนตัวกับซาอูล และเมื่อท่านพูด ท่านนำขวดน้ำมันเจิมที่ศีรษะ ของซาอูล จุบซาอูล และบอกกับท่านว่า พระเจ้าได้ทรงเลือกท่านให้เป็นผู้ที่จะมาปก ครองอยู่เหนืออิสราเอล

ไม่ต้องสงสัย ซาอูลคงรู้สึกเหมือนระเบิดตกใส่ ตั้งแต่เหตุการณ์เมื่อวานและคำพูดอัน คลุมเคลือของซามูเอล ถึงแม้ซามูเอลจะพูดเป็นทำนองว่าซาอูลจะเป็นกษัตริย์ แต่ตอน นี้ไม่ต้องสงสัยต่อไป เพราะเป็นเรื่องจริงร้อยเปอร์เซนต์ คำพูดของซามูเอลและสิ่งที่ ท่านทำ (เจิมน้ำมัน) ทำให้เห็นชัดเจนว่าซาอูลได้รับเลือกให้เป็นกษัตริย์ แต่ซาอูลเป็น ประเภทที่ต้องการความแน่ใจ (ดู 10:22) ซามูเอลจึงต้องทำนายถึงสิ่งที่ซาอูลจะพบ เห็นในไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า แรกสุด บนถนนไปยังที่ฝังศพของราเชล ท่านจะพบชาย สองคนผู้ที่จะบอกท่านในเรื่องเดียวกับที่ซามูเอลพูดไปแล้ว คือเรื่องลาที่หายไปนั้นพบ แล้ว และบิดาของซาอูลกำลังเป็นห่วงบุตรชาย

และหลังจากนั้นเมื่อเขาทั้งสองไปถึงที่ "ต้นก่อหลวง ตำบลทาโบร์ " จะพบกับชาย สามคนที่กำลังไปเฝ้าพระเจ้าที่เบธเอล ชายคนหนึ่งจะอุ้มลูกแพะสามตัว อีกคนหนึ่งมี ขนมปังสามก้อน และคนที่สามจะมีถุงหนังองุ่นไปด้วย ทั้งสามไม่เพียงแต่จะทักทาย ซาอูลและคนใช้เท่านั้น แต่จะมอบขนมปังให้สองก้อนด้วย ขนมปังนี้เพื่อเป็นเสบียง สำหรับเดินทางกลับบ้าน

ข้อ 14-16 ของบทที่ 10 เป็นการสำแดงส่วนตัวให้ซาอูลมั่นใจว่า ท่านเป็นผู้ที่พระเจ้า เลือกให้เป็นกษัตริย์ของอิสราเอล ผู้เขียนเรียงลำดับเหตุการณ์ตามที่เกิดขึ้นจริง ดังนั้น เมื่อซาอูลกลับไปถึงบ้าน ปฏิกิริยาของลุงมีขึ้น หลังจากที่ท่านเริ่มเผยพระวจนะ (ข้อ 10-13) และคำสนทนากับคุณลุงก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ท่านมั่นใจ

เมื่อซาอูลกลับมาถึงบ้าน ลุงของท่านออกมาทักทายและถามว่าท่านหายไปไหนมา ซาอูลเล่าให้ฟังเพียงคร่าวๆ เพื่อจะได้ไม่ต้องพูดถึงเรื่องการเจิมตั้ง แต่การที่ซาอูลไม่ พูดนั้นยิ่งทำให้ลุงสงสัยมากขึ้น ดูเหมือนท่านอยากรู้ว่ามีสิ่งใดเกิดขึ้นกันแน่ ตั้งแต่ที่ได้ ยินว่าซาอูลไปพบกับซามูเอลมา ซาอูลเพียงแต่เล่าเฉพาะเรื่องลาที่หายไป ดังนั้นจึง เป็นเรื่องที่ซามูเอลต้องประกาศอย่างเป็นทางการถึงการแต่งตั้งกษัตริย์ของอิสราเอล

ประกาศแต่งตั้งกษัตริย์อิสราเอล
(10:10—11:13)

10:10 เมื่อเขาทั้งสองมาถึงกิเบอาห์ ดูเถิด ผู้เผยพระวจนะหมู่หนึ่งพบ กับท่าน และพระวิญญาณของพระเจ้าสิงสถิตกับท่านอย่างมาก และ ท่านก็เผยพระวจนะอยู่ในหมู่พวกเขา 11 และเมื่อคนทั้งหลายที่รู้จัก ท่านมาก่อน เห็นท่านเผยพระวจนะอยู่กับพวกผู้เผยพระวจนะ ประชาชน เหล่านั้นก็พูดกันและกันว่า "อะไรหนอเกิดขึ้นแก่บุตรชายของคีช ซาอูล อยู่ในจำพวกผู้เผยพระวจนะด้วยหรือ" 12 ชายคนหนึ่งอยู่ที่นั่นตอบว่า "และบิดาของเขาทั้งหลายคือใคร" ดังนั้นจึงเป็นคำภาษิตว่า "ซาอูล อยู่ในจำพวกผู้เผยพระวจนะด้วยหรือ" 13 เมื่อท่านเผยพระวจนะสิ้นลง แล้วท่านก็มายังปูชนียสถานสูง 14 ฝ่ายลุงของซาอูลจึงถามซาอูลกับ คนใช้ว่า "เจ้าไปไหนมา" และเขาตอบว่า "ไปหาลา และเมื่อเราเห็นว่า เราไม่พบลานั้นแล้ว เราจึงไปหาซามูเอล" 15 ลุงของซาอูลกล่าวว่า "ซามูเอลบอกอะไรแก่เจ้าบ้างขอเล่าให้ฟัง" 16 และซาอูลตอบลุงของ เขาว่า "เขาบอกเราแจ่มแจ้งว่าพบลาแล้ว" แต่เรื่องราวที่เกี่ยวกับราช อาณาจักร ซึ่งซามูเอลกล่าวถึงนั้นท่านไม่ได้บอกสิ่งใดเลย 17 ฝ่าย ซามูเอลจึงเรียกประชาชน มาประชุมต่อพระเจ้าที่มิสปาห์ 18 และท่าน กล่าวแก่คนอิสราเอลว่า "พระเยโฮวาห์พระเจ้าแห่งอิสราเอลตรัสดังนี้ว่า 'เราได้นำอิสราเอลออกจากอียิปต์ และเราได้ช่วยกู้เจ้าทั้งหลายจากมือ ของชาวอียิปต์ และจากมือของราชอาณาจักรทั้งหลายที่บีบบังคับเจ้า' 19 แต่วันนี้ท่านละทิ้งพระเจ้าของท่าน ผู้ซึ่งช่วยท่านให้พ้นจากความ ยากลำบากและความทุกข์ร้อน และท่านทั้งหลายกล่าวว่า 'เราไม่ยอม แต่ขอตั้งกษัตริย์ไว้เหนือเรา' เพราะฉะนั้นบัดนี้ท่านทั้งหลายจงเข้าเฝ้า พระเจ้าตามเผ่าของท่านและตามตระกูลของท่าน" 20 แล้วซามูเอลก็ นำเผ่าอิสราเอลทุกเผ่าเข้ามาใกล้ และจับฉลากได้เผ่าเบนยามิน 21 ท่านก็นำเผ่าเบนยามินเข้ามาใกล้ตามตระกูล จับฉลากได้ตระกูลมัตรี และจับฉลากได้ซาอูลบุตรคีช แต่เมื่อเขาหาซาอูลก็หาไม่พบ 22 เขา จึงทูลถามพระเจ้าต่อไปว่า "ชายคนนั้นมาที่นี่หรือยัง" และพระเจ้าตรัส ว่า "ดูเถิด เขาซ่อนตัวอยู่ที่กองสัมภาระ" 23 เขาทั้งหลายจึงวิ่งไปพา เขามาจากที่นั่น และเมื่อเขายืนอยู่ท่ามกลางประชาชน เขาก็สูงกว่าประ ชาชนทุกคนจากบ่าขึ้นไป 24 ซามูเอลจึงกล่าวแก่ประชาชนทั้งปวงว่า "ท่านเห็น ผู้ที่พระเจ้าทรงเลือกไว้แล้วหรือ ในท่ามกลางประชาชนไม่มี ใครเหมือนท่าน" และประชาชนจึงร้องเสียงดังว่า "ขอพระราชาทรงพระ เจริญ" 25 แล้วซามูเอล จึงบอกกับประชาชนให้ทราบถึงสิทธิ และหน้าที่ ของตำแหน่งพระราชา และท่านบันทึกไว้ในหนังสือและวางถวายแด่พระเจ้า แล้วซามูเอลก็ให้ ประชาชนกลับไปยังบ้านของตนทุกคน 26 ซาอูลก็กลับ ไปยังบ้านของท่านที่กิเบอาห์ด้วย และมีนักรบซึ่งพระเจ้าทรงดลจิตใจไป กับท่านด้วย 27 แต่มีคนอันธพาลบางคนกล่าวว่า "ชายคนนี้จะช่วยเราได้ อย่างไร" และเขาทั้งหลายก็ดูหมิ่นท่าน ไม่นำเครื่องบรรณาการมาถวาย แต่ท่านก็นิ่งเสีย

1ซามูเอล 11

1 ฝ่ายนาหาชคนอัมโมนได้ยกขึ้นไปตั้ง ค่ายสู้เมืองยาเบชกิเลอาด บรรดาชาวเมืองยาเบชจึงพูดกับนาหาชว่า "ขอทำพันธสัญญากับพวก ข้าพเจ้าทั้งหลาย และข้าพเจ้าทั้งหลายจะยอมปรนนิบัติท่าน"2 แต่ นาหาชคนอัมโมนกล่าวแก่เขาทั้งหลายว่า "เราจะกระทำพันธสัญญา กับเจ้าทั้งหลายตามเงื่อนไขต่อไปนี้ คือเราจะทะลวงตาขวาของเจ้าเสีย ทุกคน ให้เป็นที่อัปยศแก่คนอิสราเอลทั้งปวง" 3 ฝ่ายพวกผู้ใหญ่แห่ง เมืองยาเบชกล่าวแก่ท่านว่า "ขอผ่อนผันให้ข้าพเจ้าสักเจ็ดวัน เพื่อข้าพ เจ้าจะได้ส่งผู้สื่อสารไปให้ทั่วขอบเขตอิสราเอล แล้วถ้าไม่มีคนใดช่วย ข้าพเจ้าทั้งหลายได้ ข้าพเจ้าทั้งหลายจะยอมมอบตัวไว้ให้แก่ท่าน" 4 เมื่อผู้สื่อสารมาถึงกิเบอาห์เมืองของซาอูล เขาทั้งหลายก็รายงาน เรื่องราวให้เข้าหูของประชาชนและประชาชนทั้งปวงก็ร้องไห้เสียงดัง 5 ดูเถิด ซาอูลต้อนฝูงโคกลับมาจากทุ่ง และซาอูลถามว่า "ประชาชน เป็นอะไรไป เขาจึงร้องไห้" ดังนั้นเขาจึงเรียนท่านให้ทราบถึงข่าวของ พวกยาเบช 6 เมื่อท่านได้ยินถ้อยคำเหล่านี้ พระวิญญาณของพระเจ้า ก็สถิตกับซาอูลอย่างมากและ ความโกรธของท่านเกิดขึ้นอย่างรุนแรง 7 ท่านจึงเอาโคมาคู่หนึ่งฟันออกเป็นท่อนๆ ส่งไปทั่วเขตแดนทั้งสิ้น ของอิสราเอลโดยมือของผู้สื่อสารกล่าวว่า "ผู้หนึ่งผู้ใดที่ไม่ออกมา ตามซาอูลและซามูเอล จะกระทำอย่างนี้แก่โคของเขา" และความ เกรงกลัวพระเจ้าก็มาเหนือประชาชน เขาทั้งหลายพากันออกมาเป็น ใจเดียวกัน 8 เมื่อซาอูลตรวจพลอยู่ที่เบเซก นับคนอิสราเอลได้สาม แสนคน และชายเผ่ายูดาห์ได้สามหมื่นคน 9 เขาจึงบอกแก่ผู้สื่อสาร ที่มานั้นว่า "ท่านทั้งหลายจงบอกแก่ชาวยาเบชกิเลอาดว่า 'พรุ่งนี้เวลา แดดร้อนท่านทั้งหลายจะได้รับการช่วยกู้'" เมื่อผู้สื่อสารกลับมาบอก พวกยาเบช เขาทั้งหลายก็มีความยินดี 10 ดังนั้นชาวยาเบชจึงว่า "พรุ่งนี้เราจะมอบตัวของเราไว้ให้แก่ท่าน ท่านจงกระทำแก่เราตามที่ ท่านเห็นควร" 11 พอวันรุ่งขึ้นซาอูลก็จัดพลออกเป็นสามกองทัพ ยกเข้า มากลางค่ายในยามสามและฆ่าฟันคนอัมโมนเสียจนเวลาแดด จัด ผู้ที่รอดชีวิตไปได้ก็กระจัดกระจายไปรวมกันไม่ได้สักคู่เดียวเลย 12 แล้วประชาชนจึงเรียนซามูเอลว่า "คนที่พูดว่า 'ซาอูลจะปกครอง เหนือพวกเราหรือ' นั้น มีใครบ้างจงนำคนเหล่านั้นออกมาเราจะได้ฆ่า เขาเสีย" 13 แต่ซาอูลกล่าวว่า "ในวันนี้อย่าให้ผู้ใดถูกประหารชีวิตเลย เพราะว่าวันนี้เป็นวันที่พระเจ้าทรงช่วยกู้คนอิสราเอล"

ในที่สุด ซาอูลและคนใช้ก็มาถึง "ภูเขาของพระเจ้า" ที่มีกองกำลังฟิลิสเตียประจำการอยู่34 http://www.bible.org/docs/ot/books/1sa/deffin/และเป็นสถานที่ที่หมายสำคัญครั้งที่สามเกิดขึ้น หมายสำคัญครั้งนี้แตกต่างจากสองครั้งแรกอย่าง น้อยสองประการ แรก หมายสำคัญครั้งที่สามนี้มีผู้คนเห็นกันทั่ว และเริ่มเห็นเป็นนัยๆ คำพยากรณ์ ที่ซามูเอลพูดไว้ถึงชายสองคนที่ซาอูลจะพบ และต่อมาจะพบกับชายอีกสามคนระหว่างทางไปเบธ

เอล ไม่มีการบันทึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น มีเพียงแต่ประโยคที่เขียนไว้ว่า "และหมายสำคัญ เหล่านี้ทั้งหมดเกิดขึ้นในวันนั้น" (10:9) แต่พอถึงคำพยากรณ์ที่สาม – ครั้งที่พูดถึงพระวิญญาณ พระเจ้าสถิตกับท่าน – มีการบันทึกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นซึ่งมีผลกระทบต่อชาติ หมายสำคัญสองครั้งแรก เป็นไปเพื่อซามูเอลเท่านั้น เพราะเป็นคำพยากรณ์ส่วนตัว ใครก็ตามถ้าเฝ้าดูอยู่ อาจแยกแยะไม่ออกว่า นั่นคือหมายสำคัญ เพราะไม่รู้ว่ารายละเอียดถูกแจ้งไว้ล่วงหน้าแล้ว แต่หมายสำคัญที่สามนั้นดึงดูด ความสนใจของประชาชนเป็นอย่างมาก มากจนกลายเป็นสุภาษิตขึ้นมา

สอง สิ่งที่เกิดขึ้นกับซาอูลบน "ภูเขาของพระเจ้า" นั้นเป็นเรื่องไม่ปกติ ; เป็นเรื่องเหนือธรรม ชาติ พระวิญญาณของพระเจ้ามาสถิตกับซาอูล และท่านเริ่มเผยพระวจนะพร้อมๆกับบรรดาผู้ เผยพระวจนะคนอื่นๆ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าคนที่เห็นเหตุการณ์นี้จะไม่ประหลาดใจ – ซาอูลอยู่ ท่ามกลางผู้เผยพระวจนะ เหตุใดจึงเป็นเรื่องสำคัญ ? ที่สำคัญเพราะเป็นการแสดงให้ประชาชน เห็นชัดเจนว่า พระเจ้าประทานให้ซาอูลมีอำนาจทำการวินิจฉัยคนอิสราเอลได้ ในอพยพ 18 เยโธร พ่อตาของโมเสส แนะนำให้มอบหมายภาระในการวินิจฉัยให้กับผู้แทน ในกันดารวิถี 11 มีการเลือก บรรดาผู้ใหญ่ถึง 70 คน ทั้ง 70 คนนี้ทำการเผยพระวจนะท่ามกลางประชาชนด้วย เพื่อแสดงให้เห็นว่าพระวิญญาณพระเจ้าสถิตอยู่เหนือพวกเขา เพื่อสามารถทำหน้าที่ผู้วินิจฉัยได้ สิ่งเดียวกันนี้กำลังเกิดขึ้นกับซาอูล พระวิญญาณกำลังสถิตกับท่าน ทำให้ท่านสามารถวินิจฉัย ประเทศนี้ได้ในฐานะกษัตริย์ เหตุการณ์นี้นับว่าเป็นเรื่องเหนือธรรมชาติ และเกิดขึ้นในท่ามกลาง ประชาชน และการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ได้กลายเป็นคำสุภาษิต เพื่อว่าผู้ที่ไม่ได้อยู่ที่นั่นจะมีโอกาส ได้ยินเรื่องราวนี้ด้วย ครั้งนี้นับเป็นครั้งแรกที่มีการสำแดงต่อหน้าประชาชนว่าซาอูลจะมาเป็น กษัตริย์ของอิสราเอล

หมายสำคัญต่อไปจะเกิดขึ้นท่ามกลางชุมชนใหญ่ ซามูเอลเรียกประชาชนมาชุมนุมกันที่มิสปาห์ (ที่เดียวกับที่พวกเขากลับใจและหันกลับมาหาพระเจ้าเมื่อครั้งซามูเอลเริ่มทำหน้าที่ – ดูบทที่ 7) ที่นั่นฝูงชนกระหายอยากรู้เรื่อง พวกเขาตื่นเต้นและกระหายว่าจะมีสิ่งใดเกิดขึ้นอย่างที่สุด แต่ ซามูเอลเตือนชาวอิสราเอลอีกครั้งว่า การเรียกร้องขอกษัตริย์นั้น เป็นการแสดงถึงการไม่เชื่อฟัง และขาดความเชื่อ ซามูเอลชี้ให้เห็นตั้งแต่ครั้งแรก (ในบทที่ 8) แม้กระทั่งในวันนี้ว่าสิ่งนี้คือการ ปฏิเสธไม่ยอมรับพระเจ้า พระเจ้าผู้ที่พวกเขาจะให้กษัตริย์ที่เป็นมนุษย์มาแทนที่ พระเจ้าที่ช่วย กู้ในยามทุกข์ร้อน ไม่ใช่กษัตริย์องค์ใหม่นี้ที่จะมาช่วยกู้ แต่เป็นพระเจ้าเท่านั้นที่กู้พวกเขาตลอด มาในอดีต และจะช่วยกู้ตลอดไปด้วย ถึงแม้สิ่งที่อิสราเอลทำจะเป็นความบาป พระเจ้ายังทรง พระกรูณาประทานกษัตริย์ให้ตามที่พวกเขาขอ

กษัตริย์ตามที่บัญญัติไว้ในเฉลยธรรมบัญญัติ 17:15 ต้องเป็นผู้ที่พระเจ้าเลือก และการเลือกนี้จะ กระทำโดยการจับฉลาก เลือกจนเหลือเผ่าเบนยามิน และในที่สุดมาลงที่ซาอูล ซึ่งเป็นคนเดียว กับที่พระเจ้าได้บอกซามูเอลไว้ล่วงหน้า และซามูเอลได้ทำการเจิมตั้งให้เป็นกษัตริย์แล้ว แต่ขั้น ตอนนี้ทำไปเพื่อเป็นประโยชน์แก่ประชาชนทั้งประเทศ เพื่อพวกเขาจะมั่นใจได้ว่าซามูเอลคือคน ที่พระเจ้าเลือกสรรไว้จริง

เมื่อการจับฉลากบ่งชี้มาลงที่ซาอูล ท่านหายตัวไป ไม่มีใครทราบว่าท่านอยู่ที่ใหนหรือทำอะไร อยู่ มีการอธิษฐานขอให้พระเจ้าช่วย พระองค์จึงแสดงให้เห็นว่าซาอูลหลบอยู่ที่กองสัมภาระ ประชาชนวิ่งไปดูที่กองสัมภาระ พบตัวท่านจึงพามาพบกับซามูเอล เมื่อประชาชนได้เห็น ซาอูลชัดๆ พวกเขารู้สึกประทับใจเป็นอย่างยิ่ง ชายคนที่เรารู้ว่ามีรูปลักษณ์่หล่อเหลา (9:2) และมีการพูดถึงความสูงของท่านอีกครั้ง ว่าสูงกว่าชาวอิสราเอลโดยทั่วไป ซาอูลน่าจะเป็นดัง "โกลิอัท" ของอิสราเอล ชายที่มีรูปร่างใหญ่โต และรูปหล่อมาก ถ้ามองจากรูปลักษณ์ภายนอก ซาอูลอยู่ในระดับแนวหน้าสุดทีเดียว

ซามูเอลชี้ให้ประชาชนเห็นถึงการทรงเลือกของพระเจ้า พระเจ้าเลือกและประทานสิ่งทีดีที่สุด ซาอูลเป็นดังมนุษย์ตัวอย่าง คงไม่มีใครเหมาะสมไปกว่านี้ ดังนั้นประชาชนจึงร้องเสียงดังว่า "ขอพระราชาทรงพระเจริญ!" (ข้อ 24) หลังจากนั้น ซามูเอลจึงแจ้งสิทธิและหน้าที่ของ กษัตริย์ให้ประชาชนทราบ ท่านบันทึกไว้ในหนังสือและวางถวายแด่พระเจ้า และบอกให้ประชา ชนกลับไปยังบ้านเรือนของตน

ซาอูลก็กลับบ้านเช่นกัน โดยมีนักรบที่พระเจ้าดลใจตามกลับไปด้วย บุคคลเหล่านี้เป็นดัง "ผู้คุ้ม กันส่วนตัว" ของซาอูล พวกเขาจะติดตามท่านไปทุกหนแห่ง ป้องกันท่านจากพวกประสงค์ร้าย บุคคลเหล่านี้เป็นหลักฐานยืนยันว่าซาอูลนั้นเป็นผู้ที่พระเจ้าเลือกสรรให้เป็นกษัตริย์องค์แรก อย่างแท้จริงของอิสราเอล

แต่ไม่ใช่ทุกคนเห็นพ้องตามนั้น ตามที่พระคัมภีร์บันทึกไว้ มีกลุ่มคน – คนอันธพาล – ผู้ที่ไม่ เชื่อว่าซาอูลจะมาช่วยได้ ชายเหล่านี้รู้จัก "ซาอูลตัวตนเดิม" หรือไม่ ? หรือว่าพวกเขาดูหมิ่น คนที่ไปแอบหลบอยู่ข้างกองสัมภาระ ? หรือว่าท่านไม่ใช่ผู้นำแบบที่พวกเขาชอบ ? เราไม่อาจ ทราบได้ว่าเหตุใดพวกเขาจึงดูหมิ่นซาอูล แต่ความบาปร้ายแรงที่เขาทำคือ สงสัยและไม่เชื่อถือ ในการทรงเลือกกษัตริย์ของพระเจ้า ในขณะที่คนอื่นๆนำเครื่องบรรณาการมาถวายให้ซาอูล อันธพาลพวกนี้เฉยเสีย เขาแสดงการดูหมิ่นท่านอย่างชัดเจน อย่างไรก็ตามซาอูลเลือกที่จะไม่ ตอบโต้ ท่านนิ่งเฉย แต่คนพวกนี้จะมามีบทบาทอีกในตอนต่อไป

สิ่งที่ชาวอิสราเอลต้องการจากกษัตริย์คือ มาช่วยพวกเขาให้พ้นจากเงื้อมมือของศัตรู พวกเขา ต้องการให้มีกษัตริย์นำหน้าออกรบ (8:19-20) โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พวกเขาต้องการให้กษัตริย์ ไปจัดการกับนาหาช กษัตริย์ของอัมโมน (12:12) ถ้าซาอูลสามารถนำพวกเขาสู่สงครามและ ประสพความสำเร็จ สิ่งนี้จะเป็นเครื่องพิสูจน์ว่าท่านเหมาะสมกับตำแหน่งหรือไม่ มีการพูดถึง เรื่องนี้ในบทที่ 11 ทั้งบท

นาหาช กษัตริย์ของชาวอัมโมน ยกทัพมาล้อมเมืองยาเบชกิเลอาดของอิสราเอลไว้ ประชาชน กำลังจะยอมแพ้ มีการต่อรองสอบถามนาหาชถึงเงื่อนใข ชาวเมืองยาเบชกิเลอาดกำลังยอม ตกเป็นเมืองขึ้น ; ดูเหมือนพวกเขาไม่มีทางเลือก แต่เงื่อนใขของนาหาชดูจะโหดเหี้ยมเกินเหตุ เขาไม่เพียงแต่จะให้ชาวอิสราเอลยอมแพ้และยึดเมืองเท่านั้น แต่ต้องการจะทะลวงตาขวาของ ชาวอิสราเอลทุกคนทิ้ง การทำเช่นนี้จะก่อให้เกิดสองสิ่งคือ : (1) จะทำให้ชาวอิสราเอลรู้สึก อัปยศ และ (2) จะทำให้พวกเขาอ่อนแอเกินกว่าจะต่อสู้ไหว (คุนเคยลองเล็งปืน หรือคันธนู โดยใช้แต่เพียงตาข้างซ้ายบ้างไหม ? )

ชาวยาเบชขอเวลาเจ็ดวัน เพื่อขอร้องให้พี่น้องอิสราเอลจากที่อื่นมาช่วย ถ้าไม่มีผู้ใดมาช่วย พวกเขาสัญญาจะยอมตกเป็นเมืองขึ้น มีการส่งผู้สื่อสารไปทั่วอิสราเอล ขอร้องให้มาช่วย แต่ดู เหมือนไม่มีใครสนใจ และไม่มีใครอยากเกี่ยวข้องด้วย แต่เมื่อผู้สื่อสารไปถึงยังเมืองกิเบอาห์ ของซาอูล และเมื่อได้ยิน ทุกคนก็ร้องให้เสียงดัง ซาอูลเดินกลับมาจากทุ่งนา เห็นผู้คนร้องให้ จึงสอบถามเรื่องราว เมื่อได้ยิน ท่านรู้สึกโกรธมาก35 ท่านจึงนำโคคู่หนึ่งมาฆ่า (เป็นโคของท่าน เอง หรือโคของคนแถวนั้น ?) ท่านฟันมันเป็นท่อนๆ และส่งชิ้นส่วนออกไปทั่วแดนอิสราเอล โดยกล่าวเตือนว่า ใครที่ไม่ออกมาร่วมรบ โคของพวกเขาจะถูกกระทำในแบบเดียวกัน ดูเหมือน บางคนมีข้ออ้างที่จะไม่มาช่วยร่วมรบกับพี่น้อง ว่าไม่สามารถทิ้งไร่ทิ้งนาไปได้ แต่การกระทำ ของซาอูลบอกชัดเจนว่า พวกเขาจะไม่เหลือโคสำหรับไถนาอีกต่อไป ถ้าไม่ออกมาช่วยพี่น้องรบ ท่านขู่จะทำลายสิ่งที่เป็นดัง "รถแทร็คเตอร์" ของพวกเขา

มีทหารอิสราเอลออกมาถึง 330,000 คน จำนวน 30,000 คนมาจากเผ่ายูดาห์ มีการแจ้งกับ ชาวยาเบชว่าความช่วยเหลือกำลังจะมาถึง ชาวยาเบชจึงแจ้งแก่นาหาชว่า วันรุ่งขึ้น พวกเขาจะ "ออกไป" นาหาชคิดว่าพวกเขาจะออกไปมอบตัวยอมแพ้ แต่ชาวยาเบชหมายความว่าจะ "ออกไป" สู้รบ ดังนั้นเมื่อทหารอิสราเอลออกไปโจมตีชาวอัมโมนในวันรุ่งขึ้น พวกนั้นไม่ได้ เตรียมพร้อมที่จะรบ ผลก็คือพ่ายแพ้แตกกระเจิงอย่างไม่เป็นท่า อย่างที่พระคัมภีร์บันทึกไว้ว่า "รวมกันไม่ได้สักคู่เดียวเลย" (ข้อ 11).

ซาอูลกลายเป็นวีรบุรุษในพริบตา การที่ซาอูลเอยู่ "ท่ามกลางผู้เผยพระวจนะ" นั้นเป็นคนละ เรื่องกับการที่ท่านถูกจับฉลากเลือกให้เป็นกษัตริย์ แต่เมื่อท่านสามารถรวบรวมคนทั้งประเทศ ให้มารบจนชนะชาวอัมโมนได้ นับเป็นข้อพิสูจน์ชัดเจนว่าท่านคือผู้ที่ประชาชนต้องการ และ ประชาชนจึงกล่าวว่า "คนที่พูดดูหมิ่นกษัตริย์ ตอนนี้อยู่ที่ไหนล่ะ ?" ให้นำคนเหล่านั้นมาจัดการ เสียให้หมด !

ช่วงเวลาที่ดีที่สุดของซาอูลไม่ใช่จากการที่ท่านสามารถรวบรวมคนทั้งชาติให้มาร่วมรบได้ และไม่ใช่จากการที่สามารถเอาชนะคนอัมโมนได้ ช่วงเวลาที่ดีที่สุดคือท่านมีวิธีจัดการกับ ประชาชนของท่าน กับคนที่เคยพูดจาดูหมิ่นท่าน ซาอูลสามารถแก้แค้นได้ และถ้าท่าน ทำประชาชนรวมทั้งท่านเองคงรู้สึกพอใจ แต่ซาอูลไม่ต้องการทำให้บรรยากาศในวันแห่ง ชัยชนะนั้นเสียไป และเหนืออื่นใด ซาอูลไม่คิดว่าท่านสมควรได้รับเกียรติจากชัยชนะ เหนือคนอัมโมนในครั้งนี้ แต่เป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าต่างหากที่ "ทรงช่วยกู้คนอิสราเอล" (ข้อ 13) ดังนั้นซาอูลจึงไม่ทำการร้ายต่อผู้ที่เคยดูหมิ่นท่าน อันที่จริงคนอิสราเอลก็ได้มี กษัตริย์แล้ว และเป็นผู้ที่มีจิตใจดีด้วย

บทสรุป

ข้อสังเกตุประการสุดท้ายนั้นค่อนจะข้างคาดไม่ถึง เราอาจพูดว่าซาอูลเป็นกษัตริย์ที่ดี แต่แย่ หน่อยตรงที่ผมมักมองไปถึงยังตอนจบ ผมไม่สามารถนึกถึงซาอูลโดยไม่นึกถึงดาวิดได้ และ เมื่อผมนำไปเปรียบเทียบกับดาวิด ซาอูลนั้นด้อยกว่า และด้วยเหตุผลบางประการ ผมยอมรับว่า มักจะมองไปยังเหตุการณ์ในบั้นปลายชีวิตที่น่าสมเพชของซาอูล ถึงแม้ท่านเริ่มต้นดีอย่างไร ก็ตาม

แต่ถ้าจะดูตามเนื้อหาในตอนนี้ เราต้องดูซาอูลตามข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น (1) ซาอูลคือของประ ทานล้ำค่าที่พระเจ้ามอบให้กับประชากรของพระองค์ ถึงแม้พวกเขาจะทำบาปในการเรียกร้อง ขอกษัตริย์ แต่พระเจ้าประทานซาอูลให้เป็นกษัตริย์เหนืออิสราเอลด้วยความรักและพระทัย เมตตาสงสาร เพราะพระองค์รับรู้ถึงความเดืิอดร้อนที่ประเทศกำลังเผชิญอยู่ จึงส่งซาอูลมาช่วยกู้ ประชากรของพระองค์ เช่นเดียวกับที่พระองค์เคยทำในสมัยอพยพ (9:16; 10:18) (2) พระเจ้า ไม่ได้ประทานซาอูลมาให้กับอิสราเอลเพื่อท่านจะประสพกับความล้มเหลว พระองค์ไม่ได้เลือก มนุษย์ในแบบธรรมดาๆให้กับประเทศ พระองค์ทรงเลือกผู้ที่มีรูปลักษณ์ยอดเยี่ยม มีท่าทีสง่างาม สมกับทำหน้าที่นี้ (3) พระเจ้าทรงบันดาลให้ท่านมีพลังอำนาจ โดยประทานพระวิญญาณให้สถิต กับท่าน เพื่อท่านจะทำหน้าที่ผู้วินิจฉัย และนำประเทศด้วยสติปัญญาและบารมี ไม่ว่าซาอูลจะมี จุดอ่อนใดในความเป็นมนุษย์ พระิองค์ทรงแก้ใขให้ เพื่อที่ท่านจะ "เปลี่ยนเป็นคนละคน" (ดู 10:6, 9) (4) และที่สุด พระเจ้าได้ทำให้ซาอูลเป็นที่ยอมรับอย่างทั่วถึง ถึงแม้จะมีอันธพาลบาง คนเคยดูหมิ่นไว้

พระเจ้าไม่ได้เป็นผู้ล้มล้างการปกครองของซาอูล ถึงแม้พระองค์ทราบดีว่าในที่สุดท่านจะล้มลง ความล้มเหลวของซาอูลไม่ได้เกิดจากการกระทำของพระเจ้า แต่เป็นเพราะซาอูลเองไม่สามารถ ที่จะดำเนินในทางพระเจ้าได้ ท่านล้มเหลวในการวางใจและเชื่อฟังพระองค์ ซาอูลไม่สามารถ นำของประทานต่างๆที่พระเจ้ามอบให้มาใช้ในการปกครองด้วยความยุติธรรมและชอบธรรมได้ ซาอูลไม่ใช่กษัตริย์ธรรมดา ท่านเป็นผู้ที่พระเจ้าประทานให้ ; ท่านเป็นกษัตริย์ชั้นหนึ่ง มีทุกอย่าง พร้อมสำหรับทำหน้าที่ ท่านจึงต้องรับผิดชอบอย่างเต็มตัวในความล้มเหลวของท่าน ถึงแม้ท่าน ไม่ใช่ดาวิด แต่ที่แน่ๆท่านไม่ใช่ระดับกระจอก สำหรับผม นี่ดูจะเป็นความคิดใหม่ แต่เป็นความ คิดที่ได้จากบทเรียนบทนี้

พระเจ้าทรงมีพระคุณมากเพียงใดต่อเรา ถึงแม้เราจะเป็นคนบาป พระองค์ได้ประทานกษัตริย์ให้ กับชาวอิสราเอล และเป็น "กษัตริย์ที่ไม่เหมือนกับประชาชาติอื่น" กษัตริย์องค์นี้เป็นมนุษย์ ที่ดีเท่าที่มนุษย์จะสามารถเป็นได้ มนุษย์ที่ได้รับการเปลี่ยนแปลงในจิตใจ และมีพลังอำนาจโดย พระวิญญาณของพระเจ้า เมื่อซาอูลดำเนินกับพระวิญญาณ ท่านจะเป็นผู้ช่วยกู้ประชากรของ พระเจ้า เมื่อท่านดำเนินกับพระวิญญาณ ท่านทราบดีว่าชัยชนะทั้งสิ้นเป็นชัยชนะของพระเจ้า ไม่ใช่เป็นของตัวท่านเอง ท่านเป็นผู้ที่ถ่อมใจและยอมรับในพระคุณ แต่สิ่งนี้จะเปลี่ยนไป และ เป็นไปอย่างรวดเร็วด้วย ถึงแม้เรารู้ว่าจะมีการเปลี่ยนแปลง แต่ให้เรายอมรับว่าท่านเป็นกษัตริย์ ที่ยิ่งใหญ่ ถึงแม้จะในเวลาอันสั้นมากก็ตาม

ชัยชนะของอิสราเอลภายใต้การนำของซาอูลนั้น (บทที่ 11) ไม่ใช่เป็นเพราะมีกษัตริย์ที่เก่งกาจ หรือเพราะความสามารถของอิสราเอลเอง แต่เป็นมาจากพระทัยเมตตาสงสารของพระเจ้าทั้งสิ้น พระองค์ได้ยินเสียงร้องเรียกให้ช่วยจากประชากรของพระองค์และพระองค์ทรงช่วยพวกเขาไว้อีก ครั้งหนึ่ง ชาวอิสราเอลยอมรับกษัตริย์องค์ใหม่นี้ด้วยความเต็มใจ ท่านเป็นกษัตริย์ในแบบที่พวก เขาแสวงหา เมื่อพระเยซูเสด็จมาในฐานะ "กษัตริย์ของอิสราเอล" พระองค์ไม่ใช่ซาอูล พระ องค์ไม่ได้มีรูปลักษณ์เป็นที่ชอบพอ เป็นที่ดึงดูดของผู้คน และพระองค์ไม่ได้รับการยอมรับสักนิด ว่าเป็นบุตรของพระเจ้า :

11 ใครเล่าจะเชื่อสิ่งที่เราทั้งหลายได้ยิน พระกรของ พระเจ้าได้ทรงสำแดงแก่ผู้ใด 2 เพราะท่านได้เจริญขึ้น ต่อพระพักตร์พระองค์อย่างต้นไม้อ่อน และเหมือนราก แตกหน่อมาจากพื้นดินแห้ง ท่านไม่มีรูปร่างหรือความสวย งามซึ่งเราทั้งหลายจะมองท่าน และไม่มีความงามที่เรา จะพึงปรารถนาท่าน 3 ท่านได้ถูกมนุษย์ดูหมิ่นและทอดทิ้ง เป็นคนที่รับความเจ็บปวด และคุ้นเคยกับความเจ็บไข้ และดังผู้หนึ่งซึ่งคนทนมองดูไม่ได้ ท่านถูกดูหมิ่น และ เราทั้งหลายไม่ได้นับถือท่าน (อิสยาห์ 53:1-3).

บรรดาผู้ที่ติดตามพระเยซู แม้กระทั่งสาวกที่พระองค์สนิทที่สุด ยังต้องการให้พระองค์เป็นกษัตริย์ เช่นเดียวกับซาอูล พระองค์ปฏิเสธ พระองค์ไม่ได้มาเพื่อโค่นล้มอำนาจของโรมัน แต่มามอบชีวิต ของพระองค์เองเป็นค่าไถ่ให้กับคนมากมาย พระองค์เสด็จลงมาในโลกที่เต็มไปด้วยความบาป และเป็นผู้ยอมรับโทษทัณฑ์แทนความชั่วร้ายของมนุษย์ เพื่อที่พวกเขาจะได้รับการอภัย และได้ เป็นบุตรของพระเจ้า นี่เป็นกษัตริย์ในแบบที่มนุษย์มากมายในทุกวันนี้ไม่ยอมรับ พวกเขาต้อง การกษัตริย์ในแบบเดียวกับซาอูล ซาอูลเป็นกษัตริย์องค์แรกของพระเจ้า และในตอนเริ่มท่านนับ ว่าเป็นกษัตริย์ที่ดีองค์หนึ่ง แต่ยังมีกษัตริย์ที่ยิ่งใหญ่กว่านั้น คือองค์พระเยซูคริสต์ กษัตริย์ของ ชาวยิว ผู้เสด็จมาในโลกนี้ในฐานะมนุษย์ (โดยไม่ได้สละความเป็นพระเจ้า) ดำเนินชีวิตโดยปราศ จากบาป แต่ถูกตรึงกางเขนแทนความบาปของมนุษย์ ท่านฟื้นคืนพระชนม์ในวันที่สาม และนี่ เป็น "กษัตริย์" องค์เดียวกับที่จะเสด็จกลับมาอีกครั้ง และครั้งนี้ ทุกคนจะจำพระองค์ได้ ทุกเข่า จะคุกเข่าลงน้อมรับพระองค์ พระองค์จะกำจัดบรรดาศัตรูทั้งสิ้น และจะปกครองโลกด้วยความ ชอบธรรมอันสมบูรณ์ กษัตริย์พระองค์นี้ต่างหากที่เรารอคอย

และท้ายที่สุด พระวจนะคำตอนนี้นั้นเป็นตอนที่น่าประทับใจ เพราะเกี่ยวข้องกับการเรียนรู้น้ำพระ ทัยพระเจ้า พระเจ้าทรงเปิดเผยกับผู้เผยพระวจนะซามูเอล ว่าพระองค์จะประทานกษัตริย์ให้กับ อิสราเอล (1 ซามูเอล 8) พระองค์ได้จัดเตรียม (สถานะการณ์) อย่างเหมาะสมในการนำซาอูล และคนรับใช้มายังสถานที่ที่ซามูเอลอยู่ และงานฉลองที่ซาอูลผู้ที่ยังไม่เป็นที่รู้จัก (โดยชื่อ) แต่ เป็นแขกเกียรติยศที่ทุกคนรอคอย พระเจ้าเปิดเผยกับซามูเอลโดยตรงว่ากษัตริย์ผู้นี้จะมาในวัน รุ่งขึ้น เมื่อซามูเอลเห็นซาอูลครั้งแรก พระเจ้าบอกกับซามูเอลว่าผู้นี้แหละที่ท่านรอคอยอยู่ และ จะมาเป็นกษัตริย์ของอิสราเอล โดยหมายสำคัญเหนือธรรมชาติ และโดยการจับฉลาก และโดย ชัยชนะต่อศัตรู พระองค์ได้แสดงว่าซาอูลคือกษัตริย์ที่แท้จริงของอิสราเอล

เราไม่เห็นว่าซาอูลแสวงหาอาณาจักรหรือแสวงหาพระเจ้าในคำอธิษฐาน แต่ซาอูลยอมไป ปรึกษาซามูเอลให้ตามหาลาหาย ก็ต่อเมื่อคนรับใช้เสนอความคิด พร้อมทั้งเสนอเงินเป็นค่า ของกำนัลด้วย ซาอูลได้รับแต่งตั้งให้เป็นกษัตริย์ในขณะที่ท่านดำเนินชีวิตประจำวันไปตามปกติ ใครจะไปคิดว่าคนที่เริ่มต้นด้วยการออกไปตามหาลาที่หายไป จะจบลงด้วยการได้รับเจิมตั้งให้ เป็นกษัตริย์ของอิสราเอล ?

ซามูเอลก็เช่นกัน ท่านได้รับการทรงเรียกในขณะที่ดำเนินชีวิตงานรับใช้ประจำวันไปตามปกติ ท่านยังคงรับใช้ต่อไปเหมือนอย่างที่ท่านเคยทำ และเมื่อพระเจ้าตรัสแก่ท่านว่าผู้ที่จะเป็น กษัตริย์จะมาถึงในวันรุ่งขึ้น ซามูเอลเรียนรู้ที่จะทำตามน้ำพระทัยพระเจ้าในการจัดเตรียมกษัตริย์ อย่างสัตย์ซื่อ ท่านยังคงทำหน้าที่ทั้งผู้เผยพระวจนะและผู้วินิจฉัยให้กับอิสราเอล พระเจ้าทรงมี หนทางที่จะทำให้เราเห็นน้ำพระทัยอย่างชัดเจนเมื่อเวลามาถึง พระองค์ไม่ได้ปิดบังน้ำพระทัย ของพระองค์จากเรา และเมื่อถึงเวลาที่พระองค์เปิดเผย เราจะไม่มีทางพลาดได้ น้ำพระทัยพระ เจ้าไม่ใช่เป็นเรื่องความลับ หรือต้องใช้วิธีการพิเศษในการแสวงหา

พรุ่งนี้เมื่อเราตื่นขึ้น ให้คิดว่าเรื่องนี้มีความหมายอย่างไรต่อเรา ภาระกิจอันน่าเบื่อหน่ายใดที่ เราต้องกระทำในแต่ละวัน ? ไม่ว่าจะเป็นการไปตามหาลา ? ซึ่งไม่น่าจะใช่ แต่จะเป็นภาระกิจ ทางโลกที่น่าเบื่อหน่าย และเอาเวลาค่อนข้างมากในชีวิตของคุณไปโดยไม่มีความสำคัญใดๆ ที่เราเห็นได้ แต่พระเจ้าทรงมีวิธีของพระองค์ ในการทำภาระอันน่าเบื่อหน่ายนี้ให้เกิดผลดีใน ตอนปลายทั้งสิ้น

อิสราเอลกระหายที่จะได้กษัตริย์องค์ใหม่ ไม่ว่าซามูเอลจะทำสิ่งใด พูดกับใคร เป็นที่จับตามอง อย่างสนใจทั้งสิ้น ถ้าชาวอิสราเอลในยุคโบราณรอคอยกษัตริย์องค์แรกด้วยใจจดจ่อขนาดนี้ แล้วเราผู้กำลังรอคอยการเสด็จกลับมาของจอมกษัตริย์ คือองค์พระเยซูคริสต์ด้วยความกระหาย มากเพียงใด ? เราเริ่มต้นในแต่ละวันด้วยความคิดว่าวันนี้จะใช่วันที่รอคอยหรือเปล่า ? เราทำงาน ประจำวันของเราอย่างสัตย์ซื่อเพื่อเป็นที่ชอบพอพระทัยกษัตริย์ของเราหรือไม่ ? ขอให้เราเริ่ม ต้นในแต่ละวันด้วยความกระหาย จดจ่อรอคอยว่าวันนี้จะเป็นวันที่พระองค์เสด็จมา


31 เราคงสงสัยว่าทำไมในพระคัมภีร์ต้องมีวงเล็บคำอธิบายในข้อ 9 ด้วย คงเป็นเพราะต้องการ อธิบายคำว่า "ผู้ทำนาย" ให้ชัดเจน เพราะมีการนำมาใช้อีกในข้อ 11 และยังเป็นตัวที่บอกอีก ว่าพระธรมเล่มนี้เขียนหลังจากเหตุการณ์ผ่านไปแล้วเป็นเวลานานพอควร เช่นเดียวกับพระธรรม เล่มอื่นอีกหลายเล่มในพระคัมภีร์

32 มีการให้ความสำคัญกับเรื่องเวลาในตอนนี้ จากมุมมองของหญิงคนนี้ ซาอูลน่าจะนับว่า "โชคดี" เพราะยังพอมีเวลาเหลือทันพอดีที่จะพบกับซามูเอล เพราะท่านพึ่งเข้าเมืองมา และ กำลังจะขึ้นไปที่ปูชนียะสถานสูงเพื่อถวายสัตวบูชาและรับประทานอาหารหลังจากนั้น แต่ถ้า ซาอูลและคนใช้รีบหน่อย คงจะพอมีเวลาปรึกษากับผู้ทำนายได้ ไม่มีใครคาดคิดว่าเหตุการณ์ เล็กน้อยเช่นนี้ จะเป็นการทรงนำอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้า สำหรับทั้งสองคิดแต่เพียงว่า "โชคดี" และ "รีบๆหน่อย" เท่านั้น แต่สำหรับพระเจ้า คือสิ่งที่เป็นไปตามการกำหนดของพระองค์

33 เราคงสงสัยเหมือนกันว่าแขกทั้ง 30 คนนี้ ทำไมไม่นึกว่าซามูเอลอาจจะเลือกคนใดคนหนึ่ง ขึ้นมาเป็นกษัตริย์ เพราะบรรยากาศในช่วงนั้นตื่นเต้นและเต็มไปด้วยความคาดหมาย และสิ่งใด ก็ตามที่ซามูเอลทำจะถูกจับตามองเป็นหมายสำคัญ (ดู 1 Samuel 10:14-16ด้วย)

34 สิ่งนี้เป็นตัวบ่งชี้ว่าอิสราเอลนั้นยังคงตกเป็นเมืองขึ้นของฟิลิสเตียอยู่ ซึ่งตรงกับที่พระเจ้า ตรัสไว้ใน 9:16.

35 ให้สังเกตุว่า ส่วนมากการโกรธมักไม่ใช่มาจากพระเจ้า แต่การโกรธของซาอูลครั้งนี้เป็นมา จากพระเจ้า ที่จริงเป็นผลมาจากการที่พระวิญญาณสถิตอยู่กับท่าน มีบางครั้งที่คริสเตียนสม ควรโกรธ และบางครั้งก็ไม่สมควร มีบางครั้ง (ถึงแม้น้อยมาก) ที่เป็นความบาปถ้าไม่โกรธ และ แน่นอน มีหลายครั้งที่ความโกรธของเราเป็นความบาปมากด้วย

Related Topics: Introductions, Arguments, Outlines

บทที่ 7: จัดตั้งอาณาจักร (1 ซามูเอล 11:14-12:25)

คำนำ

อาทิตย์ที่ผ่านมามีประสพการณ์ใหม่เกิดขึ้นกับผมและเจนเน็ทภรรยา – เราได้เป็นคุณ ตาคุณยายเป็นครั้งแรก หลังจากที่ลูกสาวของเราต้องทนเจ็บท้องอยู่ถึง 25 ชั่วโมง ใน ที่สุด เทย์เลอร์ นิโคล ก็ได้ลืมตามาดูโลก เวลามีเด็กเกิดใหม่มักนำมาซึ่งความชื่นชม ยินดี พอๆกับบรรยากาศในวันแต่งงาน แต่เราทั้งหลายรู้ดีว่าความชื่นชมยินดีนี้จะเปลี่ยน ไปตามกาลเวลา จากเด็กทารกน่ารักจะกลายเป็นหนูน้อยอายุสองขวบ แล้วกลายเป็น วัยรุ่น ! มีเวลาอันยากลำบากคอยอยู่ในอนาคตสำหรับพ่อแม่ของทารกน้อยนี้ เราทุกคน ที่เคยผ่านประสพการณ์นี้คงเข้าใจกันดี พอๆกับเวลายากลำบากที่คอยอยู่ในอนาคต ของบ่าวสาวในวันแต่งงาน

เมื่อผมคำนึงถึงเนื้อหาในพระธรรม 1 ซามูเอล ทำให้ผมนึกย้อนไปถึงรูปถ่ายสมัยผม ยังเป็นเด็กนักเรียน ครอบครัวเราออกไปตั้งแค็มป์กัน … นับเป็นการไปตั้งแค็มป์ครั้ง แรกและครั้งเดียวของเรา เราถ่ายรูปกันบนภูเขาในอุทยานแห่งชาติ มอนทาน่ากลาเซียร์ ท้องฟ้าแจ่มใส มีเมฆบางแต่งแต้มเล็กน้อย พ่อแม่ พี่สาวสองคน ผมและน้องชายยืน ถ่ายรูปกันที่หน้าเต็นท์ ทุกคนเปิดยิ้มกว้าง นับเป็นการไปตั้งแค็มป์ที่น่าประทับใจ ! เราพลาดเรื่องดีๆเช่นนี้ไปได้อย่างไร ? สองสามชั่วโมงต่อมา เหตุการณ์เปลี่ยนไปจาก ที่เห็นในรูป — ครั้งนี้เป็นรูปที่ติดตาใจผมอย่างไม่รู้ลืม มีเรื่องโกลาหลเกิดขึ้นในตอน กลางดึก มีพายุฝนฟ้าคะนองเกิดขึ้นในหุบเขาที่เราตั้งแค็มป์กัน เราตั้งเต็นท์ไว้ใน บริเวณค่อนข้างต่ำ น้ำขึ้นมาท่วมเต็นท์สูงถึงสองนิ้ว (ทำไมไม่มีใครบอกเราว่า เราควร ตั้งเต็นท์ใว้ในที่สูงกว่านี้ และหันประตูเต็นท์ไปให้พ้นจากทางลม ?)

หลายๆเหตุการณ์มักจะจบลงต่างไปจากตอนเริ่มต้น อย่างที่เราเห็นได้จากซาอูล กษัตริย์องค์ใหม่ของอิสราเอล ใน 1 ซามูเอล 8 ประชาชนต้องการให้มีกษัตริย์มาวินิจ ฉัยพวกเขา เช่นเดียวกับนานาประเทศ ซึ่งหมายความว่าซามูเอลกำลังจะถูกปลดออก จากตำแหน่งและมีผู้อื่นมาแทนที่ ซามูเอลรู้สึกไม่ชอบใจ และนับว่าท่านทำถูกต้อง ท่านตักเตือนประ ชาชนถึงราคาแพงในการมีกษัตริย์ แต่คนอิสราเอลก็ยังยืนยันที่จะมี กษัตริย์ให้ได้ในราคานั้น ซามูเอลจึงส่งประชาชนกลับบ้านไปพร้อมกับสัญญาว่าชาว อิสราเอลจะได้มีกษัตริย์ ในบทที่ 9 และ 10 พูดถึงเหตุการณ์ที่นำไปสู่การแต่งตั้ง ซาอูลขึ้นเป็นกษัตริย์องค์แรก ต่อหน้าประชาชน บทที่ 11 พูดถึงเรื่องนาหาชคนอัมโมน ยกทัพมาล้อมเมืองยาเบชกิเลอาด และร้องท้าให้ยอมจำนน โดยจะทะลวงลูกตาขวา ของคนอิสราเอลทุกคน ชาวเมืองนี้ขอเวลาเพื่อจะไปหาพี่น้องอิสราเอลจากที่อื่นมาช่วย ซึ่งนาหาชก็ยอม มีการส่งผู้สื่อสารไปยังเมืองต่างๆขอความช่วยเหลือ และข่าวร้อนนี้ก็ มาถึงเมืองกิเบอาห์ ที่ซาอูลอาศัยอยู่ พอซาอูลกลับจากไร่และรู้เรื่องพระวิญญาณ ดลใจให้ท่านโกรธมาก ท่านฟันวัวหนึ่งคู่ออกเป็นท่อนๆ และส่งชิ้นส่วนไปทั่วอิสราเอล พร้อมกับเตือนว่า ใครก็ตามที่ไม่ออกมาร่วมรบ โคของผู้นั้นจะถูกทำในวิธีเดียวกัน ชาวอิสราเอลรวมตัวกันได้ ถึง — 330,000 คน พระเจ้าทำให้อิสราเอลมีชัยชนะเหนือ คนอัมโมน และช่วยกู้ชาว เมืองยาเบชกิเลอาดให้พ้นจากการถูกกดขี่

สำหรับประชาชนแล้ว สิ่งนี้พิสูจน์ให้เห็นว่าซาอูลนั้นสมควรอย่างยิ่งต่อการเป็นกษัตริย์ ในแบบที่พวกเขาต้องการ คนนี้ใช่เลย ! ความปิติยินดีในชัยชนะที่ตามมานั้นพอๆกับทีม ที่ชนะในฟุตบอลโลก หรือเหมือนกับโฆษณาเบียร์ในโทรทัศน์ ที่คนอิสราเอลหันไปพูด กับคนข้างๆว่า "น้องเอ๋ย คงไม่มีอะไรดีไปกว่านี้แล้ว !" หรือเหมือนกับบรรยากาศของ ที่ทำการพรรคเมื่อผู้สมัครได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดี และถ้าอิสราเอลมีวงดนตรี ทุก วงคงจะเล่นเพลง "วันชื่นคืนสุขหวนกลับมาแล้ว… ."

และในตอนนี้เองที่ซามูเอลเรียกประชุมที่กิลกาล ที่ซึ่งจะมีการ "รื้อฟื้นอาณาจักร ขึ้นมาใหม่ " (11:14) ซาอูลได้รับการแต่งตั้งเป็นกษัตริย์ มีการถวายสัตวบูชาต่อ หน้าพระเจ้า และประชาชนอิสราเอล "ทั้งปวงก็ชื่นชมยินดี" (11:15) แต่เรื่องการ "รื้อฟื้นราชอาณาจักร" นั้นหมายความว่าอย่างไร ? ถ้าซาอูลเป็นกษัตริย์องค์แรกของ อิสราเอล ท่านก็ต้องเป็นกษัตริย์ "องค์ใหม่" จะเรียกว่าเป็นการ "รื้อฟื้นราชอาณาจักร" ได้อย่างไร ?

ผมขอสรุปว่า ซามูเอลไม่ได้หมายความถึงการ "จัดตั้ง" อาณาจักรใหม่ขึ้นมาใหม่ ซึ่งดู สอดคล้องกับการแต่งตั้งซาอูลเป็นกษัตริย์องค์ใหม่ แต่น่าจะหมายถึงการ "รื้อฟื้น" อาณาจักรของพระเจ้า มีพระเจ้าเป็นกษัตริย์ เช่นที่ได้มีการสถาปนาในสมัยอพยพ มีเหตุผล สำคัญสองประการในเรื่องนี้ แรก ข้อมูลทั้งหมดมีปรากฏอยู่ในบทที่ 12 ซึ่งเราจะเรียนกันต่อไป สอง การรื้อฟื้นนี้กระทำกันที่กิลกาล ไม่ใช่ที่มิสปาห์ (ดู 7:5ก) กิลกาลเป็นเมืองที่ตั้งอยู่ทางฝั่งตะวันตกของแม่น้ำจอร์แดน เป็นที่ที่ชาวอิสราเอลข้าม ฝั่งแม่น้ำจอร์แดน เพื่อเข้าสู่ดินแดนแห่งพันธสัญญาเป็นครั้งแรก เป็นที่ที่มีการนำก้อน หิน 12 ก้อนมาก่อไว้เป็นอนุสรณ์ เป็นที่ที่ชาวอิสราเอลทำพิธีเข้าสุหนัต (คนรุ่นใหม่ ที่เกิดในช่วงอพยพ) และเป็นที่ที่ชาวอิสราเอลรื้อฟื้นพันธสัญญาที่มีกับพระเจ้า (ดูโย ชูวา 4 และ 5) กิลกาลยังเป็นสถานที่ที่ "ทูตของพระเจ้า" มาเตือนชาวอิสราเอลถึง การช่วยกู้เมื่อคราวอพยพ และพันธสัญญาที่เคยทำไว้กับพระเจ้า และสาเหตุที่ชาว อิสราเอลต้องต่อ สู้กับศัตรูรอบด้าน (ผู้วินิจฉัย 2:1-5) ยังเป็นเมืองหนึ่งในจำนวน เมืองที่ซามูเอลออกเดินสายวินิจฉัย (1 ซามูเอล 7:16) และเป็นเมืองที่ซามูเอลสั่ง ให้ซาอูลไปคอยท่าอยู่ (1 ซามูเอล 10:8) กิลกาลจึงเป็นเมืองที่เกี่ยวข้องโดยตรง กับเรื่องพันธสัญญาที่พระเจ้ามีต่อประชากรของพระองค์อย่างแยกไม่ออก

คำปราศรัยของซามูเอล และ ความผิดของอิสราเอล
(12:1-5)

1 ซามูเอลจึงกล่าวแก่คนอิสราเอลทั้งปวงว่า "ดูเถิด ข้าพเจ้าได้ฟังเสียงของท่านทุกเรื่อง ซึ่งท่านได้บอก ข้าพเจ้าและได้แต่งตั้งพระราชาเหนือท่านทั้งหลายแล้ว 2 และดูเถิด พระราชาก็ดำเนินอยู่ต่อหน้าท่าน ส่วนข้าพ เจ้าก็ชราผมหงอกแล้ว และดูเถิด บุตรของข้าพเจ้าก็อยู่ กับท่านทั้งหลายและข้าพเจ้าดำเนินอยู่ต่อหน้าท่านตั้ง แต่หนุ่มๆมาจนทุกวันนี้ 3 ข้าพเจ้าอยู่ที่นี่ ขอท่านเป็น พยานปรักปรำข้าพเจ้าต่อพระเจ้า และต่อท่านที่พระ องค์ทรงเจิมไว้ ข้าพเจ้าได้ริบโคของผู้ใดบ้างหรือ หรือข้าพเจ้าเอาลาของผู้ใดไปบ้าง หรือข้าพเจ้าได้ฉ้อ ผู้ใด ข้าพเจ้าได้บีบบังคับใครบ้าง ข้าพเจ้าได้รับสินบน จากมือของผู้ใดซึ่งจะกระทำให้ตาของข้าพเจ้าบอดไป ขอกล่าวมาและข้าพเจ้าจะคืนให้แก่ท่าน" 4 เขาทั้ง หลายกล่าวว่า "ท่านมิได้ฉ้อเราหรือบีบบังคับเราหรือรับ สิ่งใดไปจากมือของผู้ใด" 5 ท่านก็กล่าวแก่เขาทั้งหลาย ว่า "พระเจ้าทรงเป็นพยานต่อท่าน และท่านที่พระองค์ ทรงเจิมไว้ก็เป็นพยานในวันนี้ ว่าท่านไม่พบสิ่งใดในมือ ของข้าพเจ้า" และเขาทั้งหลายกล่าวว่า "พระองค์ทรง เป็นพยานแล้ว"

พระธรรมตอนนี้ ซามูเอลพิสูจน์ตนเองต่อหน้าพระพักตร์พระเจ้า และต่อหน้าประชาชน ทั้งมวล ผมคิดว่า น่าจะเป็นเพราะสิ่งที่ชาวอิสราเอลกล่าวหาท่านในบทที่ 8 และพวก เขาคิดว่าน่าจะเป็นเหตุผลเพียงพอที่จะแทนที่ท่านด้วยกษัตริย์ แทนที่จะอ้อมค้อมไป มา ซามูเอลนำเรื่องนี้มาพูดอย่างเปิดเผยตรงไปตรงมา และท้าให้หาข้อผิดพลาดในงาน รับใช้ของท่าน

มีข้อกล่าวหาหลายประการในบทที่ 8 ซึ่งทุกข้อซามูเอลนำมาพูดในบทนี้ สิ่งแรก ที่ ท่านกล่าวกับประชาชนคือ ท่านรับฟังและทำตามที่พวกเขาขอร้อง ซึ่งอย่าหวังว่าพวก เขาจะได้สิ่งนี้จากกษัตริย์ ซามูเอลไม่ได้เมินเฉยต่อความต้องการของพวกเขา ท่านมิ ได้นิ่งดูดาย เรื่องที่สอง ท่านพูดถึงเรื่องอายุ โดยบอกกับพวกเขาว่าท่านนั้น "ชราและ ผมหงอกแล้ว" ในบทที่ 8 พวกเขาพูดว่าท่านแก่เกินกว่าจะทำที่หน้าวินิจฉัยได้ ชาว อิสราเอลได้แสดงออกถึงความโง่เขลา การที่มีอายุมากขึ้นหมายความว่าไม่มีสติปัญญา พอในการวินิจฉัยหรือ ? ลองดูศาลสูงของบ้านเราในทุกวันนี้สิ คุณว่าการที่ในศาลเต็ม ไปด้วยเด็กที่พึ่งจบใหม่ หรือคนทำงานที่เต็มไปด้วยวัยวุฒิฺ คุณวุฒิ และประสพการณ์ดี ? ซามูเอลไม่ได้ชราเกินกว่าจะทำหน้าที่ผู้วินิจฉัย ท่านสามารถรับใช้ประเทศชาติได้อีก หลายปี ท่านยังไม่ใช่เป็น "เต่าล้านปี"

ซามูเอลทำงานรับใช้ต่อหน้าประชาชน และบุตรของท่านก็อยู่กับพวกประชาชนด้วย ความสัตย์ซื่อเที่ยงตรง ความปราณี หรือแม้กระทั่งความล้มเหลวถ้ามี นั้นน่าจะปรากฎ เห็นกันอย่างชัดเจน ในบทที่ 8 ชาวอิสราเอลพยายามพาดพิงไปถึงความประพฤติ ของบุตรท่าน พวกเขากล่าวหาว่า บุตรทั้งสอง "ไม่ได้ดำเนินในทางของท่าน" (ดู 8:5) และข้อกล่าวหาที่เกี่ยวกับบุตรนั้นเป็นเรื่องจริง (ดู 8:1-3) ปัญหาก็คือไม่ว่าท่านจะจัด การกับบุตรอย่างที่ท่านควรหรือไม่ก็ตาม ทุกสิ่งดูเหมือนบ่งชี้ไปว่าท่านไม่มีความผิดใน เรื่ื่องนี้ ซึ่งต่างกับเอลี ผู้ทำหน้าที่ก่อนท่าน

ถ้าซามูเอลไม่มีความผิดในเรื่องปัญหาครอบครัว แล้วท่านจะถูกกล่าวหาว่าทำผิดใน หน้าที่ได้อย่างไร ? ซามูเอลเคยทำสิ่งใดผิดในหน้าที่หรือ จึงทำให้ชาวอิสราเอลอยาก ปลดท่านลงและแทนที่ด้วยกษัตริย์ ? คำตอบนั้นชัดเจน "ไม่มี !" ความสัตย์ซื่อเที่ยง ตรง ความบริสุทธิ์ในงานรับใช้ของท่านอาจกล่าวได้เป็นสามข้อดังนี้ ข้อแรก ซามูเอล ไม่ได้คดโกงผู้ใด ท่านไม่เคยโกงในการพิพากษา ประชาชนไม่สามารถกล่าวหาว่า ท่านบิดเบือนหรือโกงกระบวนการยุติธรรมได้ ข้อสอง ต่างกับบุตร ซามูเอลไม่เคยรับสิน บนจากใครเพื่อ บิดเบือนคำพิพากษา (ดู 8:3) ข้อสาม ซามูเอลกล่าวว่าท่านไม่เคย บีบบังคับผู้ใด ท่านไม่เคยใช้อำนาจในหน้าที่มาข่มขู่ใครในการพิพากษา ท่านเป็น "ผู้รับใช้" ไม่ใช่เป็น "เจ้านาย" ท้ายสุดนี้ ซามูเอล "ไม่เคยริบเอาลาหรือโค" ของผู้ ใดมาเป็นของตน ผมไม่ คิดว่าซามูเอลกำลังหมายถึงการขโมย ผมว่าท่านหมายถึง มายึดเอาโคหรือลาไปอย่างเช่นที่กษัตริย์จะทำ :

16 "พระองค์จะเอาคนใช้ผู้ชาย และคนใช้ผู้หญิง และคนหนุ่มๆที่ดีที่สุดของท่าน และลาของท่านให้ ไปทำงานของพระองค์ "
(1 ซามูเอล 8:16).

เช่นเดียวกับ อ.เปาโล ซามูเอลไม่เคยคิดค่าจ้างในงานรับใช้ ท่านรับประทานจากส่วน เนื้อที่นำมาถวายบูชา ท่านไม่เคยคิดราคาแพงจากงานในหน้าที่ และงานของท่านแน่ นอนจะไม่มีวันแพงเท่ากับงานที่กษัตริย์จะทำ

ถ้าซามูเอล "ไม่มีความผิด" ในทุกข้อที่ชาวอิสราเอลกล่าวหา ดังนั้น จึงลงความเห็นได้ ว่า ชาวอิสราเอลนั้นมีความผิดในการแจ้งข้อหาเท็จ พระคำห้าข้อแรกในบทที่ 12 แสดงให้เห็นว่า ซามูเอลนั้นมีคุณสมบัติครบถ้วนที่จะวินิจฉัยอิสราเอล ดังนั้นจึงมีสิทธิ เต็มที่ในการฟ้องกลับชาวอิสราเอลแทนพระเจ้า ในข้อกล่าวหาดังต่อไปนี้ ซามูเอลเป็น ผู้บริสุทธิ์ แต่ชาวอิสราเอลต้องการปลดท่านออกจากตำแหน่งโดยไม่ยุติธรรม ซามูเอล เป็นผู้บริสุทธิ์ และสามารถจัดการกับชนชาตินี้ได้ในความบาปที่พวกเขาปฏิเสธพระเจ้า และปฏิเสธท่าน

บทเรียนในประวัติศาสตร์ของอิสราเอล
(12:6-11)

65 ท่านก็กล่าวแก่เขาทั้งหลายว่า "พระเจ้าทรงเป็นพยานต่อท่าน และท่านที่พระองค์ทรงเจิมไว้ก็เป็นพยานในวันนี้ ว่าท่านไม่พบสิ่ง ใดในมือของข้าพเจ้า" และเขาทั้งหลายกล่าวว่า "พระองค์ทรงเป็น พยานแล้ว" 6 และซามูเอลก็กล่าวแก่ประชาชนว่า "พระเจ้าทรงเป็น ผู้แต่งตั้งโมเสสกับอาโรน และทรงนำบรรพบุรุษของท่านขึ้นมาจาก แผ่นดินอียิปต์ 7 ฉะนั้นขอท่านทั้งหลายจงยืนนิ่งอยู่ข้าพเจ้าจะขอ เสนอคดีของท่านต่อพระพักตร์พระเจ้า เกี่ยวด้วยพระราชกิจของ พระเจ้าที่ทรงช่วย ซึ่งพระองค์ทรงกระทำแก่ท่านทั้งหลายและ แก่บรรพบุรุษของท่านทั้งหลาย 8 เมื่อยาโคบเข้าไปในอียิปต์ และบรรพบุรุษของท่านร้องต่อพระเจ้า พระองค์ก็ทรงใช้โมเสสกับ อาโรน ผู้ได้นำบรรพบุรุษของท่านออกจากอียิปต์และทำให้เขามา อาศัยอยู่ในที่นี้ 9 แต่เขาทั้งหลายลืมพระเยโฮวาห์พระเจ้าของเขา เสีย พระองค์จึงทรงขายเขาไว้ในมือของสิเสรา แม่ทัพของยาบิน กษัตริย์แห่งเมืองฮาโซร์และมอบไว้ในมือของคนฟีลิสเตีย และไว้ใน มือของกษัตริย์แห่งเมืองโมอับ และเขาเหล่านั้นก็ต่อสู้บรรพบุรุษของ ท่าน 10 และเขาทั้งหลายร้องทูลต่อพระเจ้าว่า 'ข้าพระองค์ทั้งหลาย ได้กระทำบาปแล้ว เพราะว่าข้าพระองค์ทั้งหลายได้ละทิ้งพระเจ้าไป ปรนนิบัติบรรดาพระบาอัลและพระอัชทาโรททั้งหลาย แต่บัดนี้ขอ พระองค์ทรงช่วยกู้ข้าพระองค์ทั้งหลายให้พ้นมือศัตรูของข้าพระองค์ และข้าพระองค์ทั้งหลายจะปรนนิบัติพระองค์' 11 และพระเจ้าทรงใช้ เยรุบบาอัล และเบดาน และเยฟธาห์ และซามูเอล และช่วยกู้ท่าน ทั้งหลายออกจากมือศัตรูทุกด้านและท่าน ทั้งหลายอาศัยอยู่อย่าง ปลอดภัย

ตอนนี้เราก็ได้เห็น "ความคิดย้อนยุค" ในพระคัมภีร์อีกครั้ง ซามูเอลนำให้คนอิสราเอล กลับไปนึกถึงเมื่อแรกเริ่ม "อาณาจักร" ซึ่งพระเจ้าเป็นผู้ก่อตั้งขึ้นในช่วงอพยพ และนำ ให้เขาเทียบดูมาจนถึงปัจจุบัน จุดประสงค์คือท่านต้องการพิสูจน์ให้พวกเขาเห็นว่า การ เรียกร้องขอกษัตริย์ให้เหมือนกับนานาชาตินั้น ก็คือการกบฎต่อพระเจ้าอีกครั้ง เช่นเดียว กับที่บรรพบุรุษของพวกเขาได้เคยทำมาแล้วในอดีต

ประวัติศาสตร์การก่อตั้งอาณาจักรของอิสราเอลเริ่มในสมัยอพยพ สิ่งแรกที่ซามูเอลย้ำ กับชาวอิสราเอลในสมัยของท่านคือ ที่สุดแล้ว ไม่ใช่โมเสสและอาโรนที่ช่วยกู้ชาวอิส ราเอลออกจากการเป็นทาสในอียิปต์ — แต่เป็นพระเจ้า (ข้อ 7) เป็นพระเจ้าผู้ทรง "ใช้โมเสส" และเป็นพระเจ้าผู้ทรง "นำบรรพบุรุษของเขาออกจากอียิปต์ " ตั้งแต่ แรกเริ่ม ไม่เคยมีมนุษย์คนใด – แม้แต้ผู้ยิ่งใหญ่อย่างโมเสส – เป็นผู้มากอบกู้อิสรา เอล มีแต่เพียงพระเจ้า พระเจ้าผู้ทรงแต่งตั้งผู้นำ และพระเจ้าผู้ทรงกู้ประชากรของ พระองค์ เป็นความจริง ที่พระเจ้าทรงใช้มนุษย์ แต่ไม่ใช่มนุษย์ที่เป็นผู้กอบกู้ประชากร ของพระเจ้า

จากความจริงประการนี้ – พระเจ้าเป็นผู้กู้ ชาวอิสราเอล ไม่ใช่มนุษย์ – ซามูเอล เรียกให้ประชาชนมายืนต่อหน้าพระพักตร์พระเจ้า (ข้อ 8) ชาวอิสราเอลกำลังถูกไต่สวน และซามูเอลทำหน้าที่เป็นฝ่ายโจทย์ ประวัติศาสตร์เป็นพยานปากแรกที่ต่อสู้คดีกับอิส ราเอล ประวัติศาสตร์ของอิสราเอลไม่ใช่เป็นเรื่องของความชอบธรรมของประชากร แต่ กลับเป็นเรื่องของพระพร ; ประวัติศาสตร์อิสราเอลเป็นเรื่องการกระทำอันชอบธรรมของ พระเจ้าที่ทำแทนชาวอิสราเอล ท่ามกลางความบาปทุกครั้งของอิสราเอล นับเป็นความ ชอบธรรมของพระเจ้าที่ช่วยกู้บรรพบุรุษของชาวอิสราเอลทั้งหลายที่กำลังยืนอยู่ต่อหน้าซามูเอลที่กิลกาล

พูดสั้นๆคือ ซามูเอลกำลังพิจารณาประวัติศาสตร์ของอิสราเอล จากวันที่ประเทศก่อกำ เนิดขึ้นมาในสมัยอพยพ จนถึงในปัจจุบัน ที่อิสราเอลเรียกร้องจะมีกษัตริย์ ท่านทบทวน เหตุการณ์ต่างๆที่สำคัญ (การอพยพและการรอนแรมอยู่ในถิ่นทุรกันดาร การเข้าครอบ ครองดินแดนภายใต้การนำของโยชูวา และในเหตุการณ์ยุคของผู้วินิจฉัย จบลงด้วยเรื่อง ของซามูเอล) ซามูเอลต้องการแสดงให้เห็นถึงนิสัยอันดื้อดึงของชาวอิสราเอล และการ ที่พระเจ้าทรงอดทนกับประชากรของพระองค์36 http://www.bible.org/docs/ot/books/1sa/deffin/ถึงแม้โดยพระคุณ พระเจ้าทรงช่วยกู้ ชาวอิสราเอลออกมาจากบรรดาศัตรู ชาวอิสราเอลก็ยังลืมพระองค์ และหันไปกราบไหว้ พระอื่นแทน พระเจ้าจึงทรงให้ตกอยู่ในเงื้อมมือของประเทศรอบด้านที่เป็นศัตรู ถูกกดขี่ ข่มเหง และเมื่อชาวอิสราเอลสำนึกในบาป หันกลับมาวิงวอนให้พระเจ้าช่วย โดยพระ กรุณา พระองค์ทรงช่วย พวกเขาจึงละทิ้งจากบรรดารูปเคารพ และสาบานตนว่าจะปรน นิบัติพระองค์ เมื่อพระองค์ทรงช่วยกู้เขาอีกครั้ง37

บทเรียนประวัติศาสตร์ และการที่อิสราเอลเรียกร้องขอกษัตริย์
(12:12-18ก)

12 และเมื่อท่านทั้งหลายเห็นนาหาชกษัตริย์คนอัมโมนมา ต่อสู้ท่านทั้งหลาย ท่านทั้งหลายกล่าวแก่ข้าพเจ้าว่า 'ไม่ได้ แต่ต้องมีกษัตริย์ปกครองเหนือเรา' ถึงแม้ว่าพระเยโฮวาห์ พระเจ้าของท่านเป็นพระมหากษัตริย์ของท่าน 13 บัดนี้จงดู พระราชาที่ท่านทั้งหลายได้เลือก ผู้ซึ่งท่านทั้งหลายได้ร้อง ขอ ดูเถิด พระเจ้าทรงตั้งพระราชาไว้เหนือท่านแล้ว 14 ถ้า ท่านทั้งหลายจะยำเกรงพระเจ้าและปรนนิบัติพระองค์ และ ฟังพระสุรเสียงของพระองค์ และไม่กบฏต่อพระบัญชาของ พระเจ้า และถ้าท่านทั้งหลายและพระราชาผู้ปกครองเหนือ ท่าน จะเป็นผู้ติดตามพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านทั้งหลาย ก็ดีแล้ว 15 แต่ถ้าท่านทั้งหลายไม่ฟังพระสุรเสียงของพระเจ้า แต่กบฏต่อพระบัญชาของพระเจ้า แล้วพระหัตถ์ของพระเจ้า จะต่อสู้ท่านทั้งหลาย และบรรพบุรุษของท่าน 16 เพราะฉะนั้น บัดนี้ ท่านทั้งหลายจงยืนนิ่งอยู่ คอยดูเหตุการณ์ยิ่งใหญ่ต่อไป นี้ ซึ่งพระเจ้าจะทรงกระทำต่อหน้าต่อตาของท่านทั้งหลาย 17 วันนี้เป็นฤดูเกี่ยวข้าวสาลีไม่ใช่หรือ ข้าพเจ้าจะร้องทูล ต่อพระเจ้าขอพระองค์จัดส่งฟ้าร้องและฝน และท่านทั้งหลาย จะทราบและเห็นเองว่า ความอธรรมของท่านนั้นใหญ่โตเพียง ใด ซึ่งท่านได้กระทำในสายพระเนตรพระเจ้า ในการที่ได้ขอ ให้มีพระราชาสำหรับตน" 18 ซามูเอลจึงร้องทูลต่อพระเจ้า และพระเจ้าทรงส่งฟ้าร้องและฝนมาในวันนั้น ………"

ในข้อ 12 ซามูเอลเชื่อมโยงเรื่องราวในประวัติศาสตร์ที่ท่านพูดอยู่ให้เข้ากับสถานการณ์ ในปัจจุบัน เช่นเดียวกับชาวอิสราเอลในสมัยก่อน ประชากรของพระเจ้ากำลังถูกชาติ เพื่อนบ้านมารุกรานอีกครั้ง ครั้งนี้คือนาหาชคนอัมโมน การตอบสนองของชาวอิสราเอล ในสมัยของซามูเอลที่มีต่อชาวอัมโมนนั้น เป็นแบบเดียวกับที่ซามูเอลพูดมาก่อนหน้านี้ คือเมื่อใดที่ถูกรุกราน ประชากรในสมัยโน้นจะคำนึงถึงบัญญัติของโมเสส โดยเฉพาะใน เฉลยธรรมบัญญัติ 28-32 พวกเขาเข้าใจดีว่าสาเหตุของการถูกรุกรานนั้นเป็นเพราะ ความบาปที่ได้กระทำ ชาวอิสราเอลในยุคโบราณจึงสำนึกในบาป และทูลขอให้พระ เจ้าช่วย แต่สิ่งนี้ไม่ได้เกิดกับชาวอิสราเอลทั้งหลายที่กำลังยืนอยู่ต่อหน้าซามูเอลที่ กิลกาล คนเหล่านี้ไม่รับรู้ว่าความบาปของตนนั้นคือสาเหตุของความเดือดร้อน แต่กลับ ไปโยนปัญหาให้กับ "ผู้นำที่ไม่ดีพอ" โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับซามูเอลและบุตร "เป็นผู้ นำที่ไม่ดีพอ" แทนที่จะแก้ด้วยการสำนึกในบาป และทูลขอให้พระเจ้าช่วย ; กลับแก้ ด้วยการกำจัดซามูเอลออกไปซะ และหากษัตริย์มาแทนที่เพื่อให้เหมือนกับนานาชาติ

เมื่อซามูเอลพูดถึงนาหาชคนอัมโมนในข้อ 12 ท่านชี้ให้เห็นถึงสาเหตุแท้จริงที่ชาวอิส ราเอลต้องการกษัตริย์ พวกเขาไม่ยอมสำนึกบาปและวางในในการช่วยกู้ของพระเจ้า38 ที่จริงแล้วไม่ใชเป็นเพราะซามูเอลแก่เกินไป หรือแก่เกินกว่าจะมาทำหน้าที่วินิจฉัยได้ ไม่ใช่เป็นเพราะบุตรของท่านทุจริต แต่เป็นเพราะคนอิสราเอลกลัวศัตรูที่จะมารุกราน จน มองไม่เห็นปมปัญหาที่แท้จริง คือความบาป พวกเขาโยนไปให้การเป็นผู้นำที่ไม่ดี เพื่อ ที่จะรู้สึกว่าพวกเขาสมควรจะได้รับกษัตริย์ตามที่เรียกร้อง39

หลายปีมาแล้ว ผมได้เข้าไปสอนหนังสือในคุก เพื่อพวกนักโทษจะมีโอกาสได้ประกาศ นียบัตรจบชั้นมัธยม วันหนึ่งมีการถกกันเรื่อง ทฤษฎีวิวัฒนาการ ผมกล่าวว่าผมเชื่อใน ทฤษฎีการทรงสร้างมากกว่าทฤษฎีวิวัฒนาการ ผมจำได้ไม่่ลืมว่ามีนักเรียนคนหนึ่งแสดง การไม่เห็นด้วยโดยกล่าวว่า : "ผมจะบอกให้ว่าทำไมผมถึงเชื่อในทฤษฎีวิวัฒนาการ " เขาประกาศกร้าว "เพราะผมไม่เชื่อเรื่องพระเจ้า " ผมเกรงว่าชาวอิสราเอลในสมัยของ ซามูเอลจะเป็นเช่นเดียวกัน คำว่า "ไม่ได้" ที่ชาวอิสราเอลตอบซามูเอลตามที่อ้างอยู่ ในข้อ 12 คือพวกเขาไม่ต้องการการช่วยเหลือในแบบของพระเจ้า ; พวกเขาต้องการใน แบบของตนเอง พวกเขาต้องการการช่วยกู้ แต่ด้วยวิธีทีที่ไม่มีพระเจ้า จึงไม่น่าประ หลาดใจที่พระเจ้าบอกกับซามูเอลว่า ประชาชนไม่ได้ปฏิเสธท่าน แต่ปฏิเสธพระเจ้าของ เขาต่างหาก

ถึงแม้คนอิสราเอลจะทำบาปต่อพระเจ้าในการร้องขอกษัตริย์ พระเจ้ายังทรงพระกรุณา ต่อประชากรของพระองค์ โดยประทาน "ทางออกให้" ในข้อ 13-15 (ดู 1โครินธ์ 10:13) สิ่งแรกที่ซามูเอลบอกกับประชาชนเกี่ยวกับกษัตริย์คือ กษัตริย์องค์นี้เป็น กษัตริย์ ของพวกเขา และไม่ใช่กษัตริย์ ของพระเจ้า กษัตริย์องค์นี้พวกเขาเลือกเอง (ข้อ 13) พระเจ้าทรงแต่งตั้งบุคคลนี้ให้เป็นกษัตริย์ แต่เป็นกษัตริย์ ของพวกเขา ข้อ 14 และ 15 น่าจะทำให้คนอิสราเอลหยุดคิดได้บ้าง ว่าเขาเห็นกษัตริย์เป็นผู้จะมาช่วยกู้ หรือ ? เขายึดความหวังทั้งหมดไว้กับมนุษย์คนนี้ (คนใหนก็ตาม) หรือ? เพราะถ้าใช่สิ่งที่ ซามูเอลพูดคงเป็นเรื่องที่น่าตกใจสำหรับพวกเขา

ดูเหมือนมุมมองของคนอิสราเอลในสมัยซามูเอล คงเหมือนความนิยมที่คนในสมัยนี้มี ต่อผู้นำ :

"ผู้นำไปทางไหน พวกเราทั้งหลายยินดีตามไป"

มีความจริงอยู่บ้างในประโยคนี้ ผู้นำที่ทุจริตก็นำประเทศชาติไปสู่ความบาป ผู้นำที่ ชอบธรรมก็จะนำประเทศชาติไปสู่ความชอบธรรม แต่ซามูเอลกำลังพูดถึงบางสิ่งที่แตก ต่าง ชาวอิสราเอลกำลังจะมองเห็นกษัตริย์ของพวกเขาว่าเป็น "เทพเจ้า" เป็นผู้ที่จะมา กอบกู้พวกเขา ? หรือพวกเขาคิดว่า การมีคนที่เหมาะสมจะสร้างความมั่นใจว่าชนะศัตรู แน่ จะมีสันติภาพและความมั่งคั่งจริง ? แต่ซามูเอลกลับพูดว่า การที่คนทั้งประเทศเชื่อ ฟังองค์พระผู้เป็นเจ้า และทำตามพระบัญชาก็คือกุญแจไปสู่สันติสุขและความมั่งคั่ง — ไม่ใช่เป็นเพราะความกล้าหาญของผู้นำ แต่เพราะถ้า "ถ้าท่านทั้งหลายจะยำเกรง พระเจ้าและปรนนิบัติพระองค์ และฟังพระสุรเสียงของพระองค์ และไม่กบฏต่อ พระบัญชาของพระเจ้า และถ้าท่านทั้งหลาย (หมายถึงคุณๆทั้งหลาย) และพระ ราชาผู้ปกครองเหนือท่าน จะเป็นผู้ติดตามพระเยโฮวาห์พระเจ้า "ของท่าน" (ข้อ 14)

กษัตริย์ไม่ใช่เป็นกุญแจไปสู่ความสำเร็จของอิสราเอล แต่การวางใจและเชื่อฟังพระเจ้า ต่างหากเป็น ประเทศชาติที่ขาดความชอบธรรม ก็จะมีผู้ปกครองที่ขาดความชอบธรรม ประเทศชาติที่มีความชอบธรรมก็จะมีผู้นำที่มีคุณธรรม ไม่มีสิ่งใดเปลี่ยนแปลง ถึงแม้จะมี การแต่งตั้งกษัตริย์ขึ้นมาก็ตาม หลักการปกครองยังเป็นไปตามพันธ สัญญาที่มีต่อโม เสส ตามที่บัญญัติไว้ในเฉลยธรรมบัญญัติ 28-32 อิสราเอลจะได้รับ พระพรถ้าเธอวาง ใจในพระเจ้าและทำตามพระบัญชา ในทางกลับกัน เธอจะถูกแช่ง สาปถ้าหันไปเสียจาก ทางของพระเจ้าและบัญญัติของพระองค์ ดังนั้นถ้าชนชาติอิสราเอลวางใจและทำตาม พระบัญชา อิสราเอลก็จะมีกษัตริย์ผู้ชอบธรรมมาปกครอง และได้รับพระพร แต่ถ้าประ ชากรหันไปจากทางของพระเจ้า กษัตริย์ก็ไม่สามารถช่วยได้ เมื่อถูกพระเจ้าพิพากษา ลงโทษ เงื่อนใขพระพรของพระเจ้ายังคงเหมือนเดิม เหมือนกับที่เคยเป็นมา การมี กษัตริย์ก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงสิ่งนี้ พระเจ้ายังไม่ได้ลงจากพระบัลลังก์ในฐานะ กษัตริย์ของอิสราเอล พันธสัญญาของพระองค์ยังเป็นกฎบัญญัิติของแผ่นดินนี้

ในขณะที่อิสราเอลประสพผลสำเร็จในการมีกษัตริย์องค์ใหม่ พระเจ้าทรงชี้แจงอย่าง ตรงไปตรงมาว่า พันธสัญญาเดิมของโมเสส ยังคงมีผลใช้ในการปกครองประชากรของ พระองค์ ซามูเอลได้แจ้งถึงความบาปอันใหญ่หลวงที่พวกเขาทำในการร้องขอกษัตริย์ ถึงกระนั้นก็ยังไม่มีปฏิกริยาใดตอบสนองจากชาวอิสราเอล ท่านจึงเน้นให้ทราบถึงความ รุนแรงของบาปนี้ในสายพระเนตรของพระเจ้า ซึ่งจะถูกลงพระอาชญา ด้วยวิธีที่คล้ายกับ เอลียาห์ทำ ซามูเอลประกาศว่าพระเจ้าจะสำแดงพระอาชญาของพระองค์ เพื่อให้ชาว อิสราเอลเห็นว่าความบาปในการร้องขอกษัตริย์ของพวกเขานั้นใหญ่โตเพียงใด ท่าน ประกาศชัดเจนว่าการพิพากษาจะเกิดขึ้นในฤดูเก็บเกี่ยว ซึ่งกำลังจะมาถึง ซึ่งยังไม่ใช่ ฤดูฝนที่จะมีพายุฝนฟ้าคะนอง พระเจ้าทรงตอบคำอธิษฐานของซามูเอลโดยให้มีพายุ ฝนฟ้ารุนแรงเกิดขึ้น เรื่องการจัดตั้งกษัตริย์นั้นพระเจ้าถือว่าเป็นเรื่องใหญ่และจริงจัง และบัดนี้ ประชากรของพระองค์ก็เห็นแล้วว่าจริงจังเพียงใด

พายุฝนรุนแรงนี้เตือนใจให้ประชากรทราบว่าซามูเอลนั้นยังคงเป็นผู้เผยพระวจนะ และ การไม่ยอมรับท่านนั้นนับเป็นความคิดที่ผิด เหตุการณ์นี้ย้ำให้เห็นถึงความสำคัญในคำ เตือนของซามูเอล เรื่องความบาปที่ร้องขอกษัตริย์ บางทีที่สำคัญที่สุด เป็นสิ่งเตือน ชาวอิสราเอลถึงความจริงที่สำคัญที่สุดคือ : ทั้ง คำแช่งสาป และ พระพร มาจากพระ เจ้าทั้งสิ้น :

5 "เราเป็นพระเจ้า และไม่มีอื่นใดอีก นอกจากเรา ไม่มีพระเจ้า เราคาดเอวเจ้าแม้เจ้าไม่รู้จักเรา 6 เพื่อ คนจะได้รู้ตั้งแต่ที่ตะวันขึ้น และจากที่ตะวันตก ว่าไม่ มีใครนอกจากเรา เราเป็นพระเจ้า และไม่มีอื่นใดอีก 7 เราปั้นความสว่างและสร้างความมืด เราทำโชคและ สร้างวิบัติ เราคือพระเจ้า ผู้กระทำสิ่งเหล่านี้ทั้งสิ้น"
(อิสยาห์ 45:5-7)

ชาวอิสราเอลมองว่ากษัตริย์นั้นคือผู้ที่มาช่วยกู้ ในความคิดของพวกเขา กษัตริย์คือกุญ แจไปสู่ความสำเร็จ พวกเขาเชื่อว่ากษัตริย์จะช่วยพวกเขาให้พ้นจากการถูกกดขี่ข่มเหง และจะเป็นผู้นำความเจริญมั่งคั่งมาสู่เประเทศ พระเจ้าทรงเตือนอิสราเอลว่า ที่สุดแล้ว พระองค์เองทรงเป็นทั้งผู้ที่บันดาลความทุข์ยาก และเป็นผู้ที่ทรงอำนวยพระพรให้ได้ ภัยพิบัติที่เกิดขึ้นกับประเทศชาตินั้นเป็นมาจากความบาปทั้งสิ้น จะไม่มีพระพรอันใด มาสู่ประเทศที่ขาดความชอบธรรม แต่เป็นเพราะพระคุณและพระกรุณาของพระเจ้า ดังนั้น ความั่งคั่งไม่ได้เกิดขึ้นเพราะอิสราเอลทำความดี แต่เกิดขึ้นเพราะเมื่อชาวอิสรา เอลต้องทนทุกข์ พวกเขาจะร้องทูลขอให้พระเจ้ามาช่วย การที่อิสราเอลหันมาทุ่มเท ปรนนิบัติพระเจ้า นั้นคือผลแห่งพระคุณ ไม่ใช่เป็นแหล่งของพระพร ข้อเท็จจริงทั้งสิ้น นั้นก็ปรากฎอยู่ในพระวจนะคำ

ถ้อยคำแห่งชีวิตที่มหัศจรรย์
(12:18ข-25)

… ประชาชนก็เกรงกลัวพระเจ้าและซามูเอลยิ่งนัก 19 และประชาชน ทั้งหลายเรียนซามูเอลว่า "ขอท่านอธิษฐานต่อพระเยโฮวาห์พระเจ้า ของท่านเผื่อผู้รับใช้ทั้งหลายของท่าน เพื่อเราทั้งหลายจะไม่ถึงตาย เพราะเราได้เพิ่มความชั่วนี้เข้ากับบาปทั้งสิ้นของเรา คือขอให้มีพระราชา สำหรับเราทั้งหลาย" 20 และซามูเอลกล่าวแก่ประชาชนว่า "อย่ากลัวเลย ท่านทั้งหลายได้กระทำความชั่วนี้ทั้งสิ้นจริงๆแล้ว แต่ท่านทั้งหลายอย่า หันไปเสียจากการติดตามพระเจ้า แต่จงปรนนิบัติพระเจ้าด้วยสิ้นสุดใจ ของท่าน 21 และอย่าหันเหไปติดตามสิ่งอนิจจังซึ่งไม่เป็นประโยชน์ หรือไม่ช่วยให้พ้นเพราะเป็นสิ่งอนิจจัง 22 เพราะพระเจ้าจะไม่ละทิ้ง ประชากรของพระองค์ ด้วยเห็นแก่พระนามใหญ่ยิ่งของพระองค์ เพราะ พระเจ้าทรงพอพระทัยแล้วที่จะกระทำให้ท่านเป็นประชากรของพระองค์ 23 ยิ่งกว่านั้นส่วนข้าพเจ้าขออย่าให้มีวี่แววที่ ข้าพเจ้าจะกระทำบาปต่อ พระเจ้าด้วยการหยุดอธิษฐานเพื่อท่านทั้งหลาย แต่ข้าพเจ้าจะแนะนำทาง ที่ดีและที่ถูกให้ท่าน 24 จงยำเกรงพระเจ้าเท่านั้นปรนนิบัติพระองค์ด้วย ใจซื่อสัตย์สุจริต และด้วยสิ้นสุดใจของท่าน จงพิเคราะห์ถึงมหกิจซึ่งพระ องค์ได้ทรงกระทำแก่ท่านแล้วนั้น 25 แต่ถ้าท่านทั้งหลายขืนกระทำความ ชั่วอยู่ท่านจะต้องพินาศทั้งตัวท่านทั้งหลายเองและพระราชาของท่านด้วย"

ชาวอิสราเอลทุ่มลงไปมากสำหรับกษัตริย์องค์ใหม่นี้ คำพูดและการกระทำของซามูเอล ทำให้เห็นภาพชัดเจนยิ่งขึ้น ผลจากคำเตือนของซามูเอลก่อให้เกิด – พายุฝนฟ้าร้อง – และประชาชน "ประชาชนก็เกรงกลัวพระเจ้าและซามูเอลยิ่งนัก" (ข้อ 18ข) จาก เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ ถึงแม้ไม่ได้มีการบันทึกไว้ ผมคิดว่าทัศนคติของประชาชนในเรื่อง กษัตริย์คงลดลง แต่ไปเพิ่มขึ้นต่อพระเจ้าและซามูเอล บัดนี้ประชาชนเริ่มมองเห็นว่า ความบาปของตนนั้นใหญ่หลวง โดยเฉพาะเรื่องการร้องขอกษัตริย์ พวกเขากลัวว่าจะ ถูกลงโทษมากไปกว่านี้ จึงขอร้องให้ซามูเอลอธิษฐานต่อพระเจ้า คำที่ซามูเอลตอบ ประชาชนนั้น เป็น "ถ้อยคำแห่งชีวิตที่มหัศจรรย์" ให้เรามาดูพระวจนะคำตอนนี้ที่ละประ โยค

แรก สังเกตุดูว่าประชาชนไม่มองกษัตริย์เป็นผู้ช่วยกู้อีกต่อไป กลับหันไปขอความช่วย เหลือจากซามูเอลแทน ชาวอิสราเอลสำนึกแล้วว่า ปัญหาแรกที่สำคัญของพวกเขานั้น ไม่ใช่เรื่อง "ผู้นำ" ทางการเมือง แต่เป็นความบาป พวกเขาเข้าใจดีว่าตนเองนั้นสมควร ถูกพระเจ้าลงโทษ และเริ่มมองออกว่า การช่วยกู้ให้พ้นจากศัตรูยังไม่จำเป็นเท่าการช่วย กู้ให้พ้นจากพระอาชญาของพระเจ้าที่พวกเขาปฏิเสธ พวกเขารู้ดีว่าไม่สมควรได้รับการ ช่วยกู้ และรู้ด้วยว่าต้องมีคนกลางไปช่วยเจรจาแทน ดังนั้นจึงขอความกรุณาจาก ซามูเอลให้ช่วยวิงวอนอธิษฐานขอต่อพระเจ้าแทนพวกเขา (ข้อ 19)

สอง สังเกตุดูว่า ซามูเอลพยายามผลักดันให้ประชาชนมีความวางใจในพระเจ้ามาก กว่าในมนุษย์ คำพูดของซามูเอลเต็มไปด้วยความเมตตากรุณาและความหวัง คำตอบ ของท่านไม่ได้เจือปนด้วยความโมโหที่ถูกคนพวกนี้ปฏิเสธ ท่านกลับบอกประชาชนว่า ไม่ต้องกลัว ความกลัวที่ท่านพูดไม่ได้หมายความถึงขาดความยำเกรงในพระเจ้า แต่ เป็นความกลัวที่กำลังสูญเสียความหวัง เป็นความกลัวที่ทำให้เกิดการท้อถอย ชาวอิสรา เอลดูเหมือนตกอยู่ในอันตรายของความคิดที่ว่า พวกเขานั้นทำผิดใหญ่หลวงมาก จนไม่ มีทางแก้ใข ถึงแม้ไม่มีการพูดว่าบาปของพวกเขานั้นจะลดลง ซามูเอลให้เหตุผลดีที่จะ ทำให้พวกเขามีความเชื่อ ความหวัง และความอดทน พวกเขาต้องไม่ "หันไปจาก การติดตามพระเจ้า" (ข้อ 20) แต่พวกเขาจำเป็นต้องหันเสียจากการติดตาม "สิ่ง อนิจจังทีไม่เกิดประโยชน์ หรือไม่ช่วยให้พ้น" (ข้อ 21) การที่ชาวอิสราเอลจะได้ หลุดพ้นจากบาป และมีความหวังใจในอนาคตนั้นประชาชนต้องละทิ้งจากการกราบไหว้ ปรนนิบัติรูปเคารพ กลับมานมัสการและปรนนิบัติพระเจ้าแต่เพียงผู้เดียว โดยเฉพาะจาก "สิ่งอนิจจังที่ไม่เกิดประโยชน์ หรือไม่ช่วยให้พ้น" คือกษัตริย์ที่พวกเขาวางใจแทน ที่จะเป็นพระเจ้า อาจพูดได้ว่า ไม่ผิดที่คิดจะมีกษัตริย์ แต่ผิดที่ไปวางใจให้มนุษย์มาเป็น ผู้ช่วยกู้ให้พ้นจากความผิดบาป มีเพียงพระเจ้าองค์เท่านั้นที่ช่วยกู้ให้หลุดพ้นได้อย่าง ปลอดภัย

สาม ความรอดของอิสราเอลไม่ได้มาจากความสัตย์ซื่อและการกระทำดี แต่บนพระคุณ ของพระเจ้า ซามูเอลไม่เคยผลักดันให้ชาวอิสราเอล "พยายาม" ทำดีมากขึ้น เพื่อจะได้ รับพระพร แต่ซามูเอลผลักดันให้ประชาชน วางใจในพระจ้า ผู้ซึ่งความสัตย์ซื่อของพระ องค์เป็นรากฐานของความหวังและความรอด การเชื่อฟังและปรนนิบัติพระเจ้าของอิส ราเอลนั้น เป็นผลของพระคุณ ไม่ใช่เป็นผลของการกระทำ

24 "จงยำเกรงพระเจ้าเท่านั้น ปรนนิบัติพระองค์ด้วย ใจซื่อสัตย์สุจริต และด้วยสิ้นสุดใจของท่านจงพิ เคราะห์ถึง มหกิจซึ่งพระองค์ได้ทรงกระทำแก่ท่าน แล้วนั้น" (1 ซามูเอล 12:24).

เมื่อซามูเอลทบทวนประวัติศาสตร์ตั้งแต่ครั้งอพยพจนถึงสมัยของท่านให้ชาวอิสราเอล ฟัง ท่านย้ำแล้วย้ำอีกถึงความบาปของชนชาตินี้ และพระคุณความเมตตาของพระเจ้า ไม่มีสักครั้งที่ซามูเอลพูดว่าการช่วยกู้ของพระเจ้านั้นเป็นผลตอบสนองต่อการกระทำดี ของประชากรของพระองค์ พระเจ้าทรงช่วยเหลือประชากรที่ทำบาปของพระองค์นี้ เพราะ พวกเขา "ร้องหา" ให้พระองค์ช่วย (12:8, 10) ไม่ใช่เป็นเพราะเขาสมควรได้รับ ความช่วยเหลือ แต่เป็นเพราะพระคุณของพระองค์

ประเด็นนี้สำคัญยิ่งที่ควรนำมาพิจารณาดู ตามที่บัญญัติไว้ในพันธสัญญากับโมเสส ซามูเอลพูดชัดเจนในบทนี้ว่า ถึงจะมีกษัตริย์ก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงพันธสัญญาที่ พระเจ้ามีให้กับประชากรของพระองค์ พันธสัญญาของโมเสสพูดถึงเงื่อนใขของพระ พรและคำสาปแช่ง (ดู เลวีนิติ 26; เฉลยธรรมบัญญัติ 28-32) ในพันธสัญญานี้ มีการย้ำ ถึงกฏเกณฑ์ของพระพรในการเชื่อฟังพระเจ้า น้อยกว่าคำสัญญาว่าจะมีคำสาปแช่งเมื่อ ไม่เชื่อฟัง มีเหตุผลสำหรับเรื่องนี้ที่ อ.เปาโลนำมาพูดถึงในพระธรรมโรม 3 :

19 เรารู้แล้วว่า ธรรมบัญญัติทุกข้อที่ได้กล่าวนั้น ก็ได้กล่าวแก่คน เหล่านั้นที่อยู่ใต้ธรรมบัญญัติ เพื่อปิดปากทุกคน และเพื่อให้มนุษย์ ทุกคนในโลกอยู่ใต้การพิพากษาของพระเจ้า 20 เพราะว่าในสายพระ เนตรของพระเจ้าไม่มีผู้หนึ่งผู้ใดเป็นคนชอบธรรมโดยการประพฤติ ตามธรรมบัญญัติได้ เพราะว่าธรรมบัญญัตินั้นทำให้เรารู้จักบาปได้ 21 แต่บัดนี้ได้ปรากฏแล้วว่า ความชอบธรรมซึ่งมาจากพระเจ้านั้น ปรากฏนอกเหนือกฎบัญญัติธรรมบัญญัติกับพวกผู้เผยพระวจนะเป็น พยานอยู่ 22 คือความชอบธรรมของพระเจ้า ซึ่งทรงประทานโดย ความเชื่อในพระเยซูคริสต์ แก่ทุกคนที่เชื่อ เพราะว่าคนทั้งหลายไม่ ต่างกัน 23 เพราะว่าทุกคนทำบาป และเสื่อมจากพระสิริของพระเจ้า 24 แต่พระเจ้าทรงพระกรุณาให้เขาเป็นผู้ชอบธรรม โดยไม่คิดมูลค่า โดยที่พระเยซูคริสต์ทรงไถ่เขาให้พ้นบาปแล้ว 25 พระเจ้าได้ทรงตั้ง พระเยซูไว้ให้เป็นที่ลบล้างพระอาชญาโดยพระโลหิตของพระองค์ โดยความเชื่อจึงได้ผล ทั้งนี้เพื่อสำแดงให้เห็นความชอบธรรมของ พระเจ้า ในการที่พระองค์ได้ทรงอดกลั้นพระทัย และทรงยกบาปที่ ได้ทำไปแล้วนั้น 26 และเพื่อจะสำแดงในปัจจุบันนี้ว่าพระองค์ทรง เป็นผู้ชอบธรรม และทรงโปรดให้ผู้ที่เชื่อในพระเยซูเป็นผู้ชอบธรรม ด้วย
(โรม 3:19-26)

บัญญัติของโมเสส (หรือพันธสัญญาของโมเสส) ไม่ได้มีไว้เพื่อความรอดของมนุษย์ บัญญัติของโมเสสเป็นวิธีการที่พระเจ้าสำแดงให้เห็นถึงความบาปของมนุษย์ บัญญัติ นี้กล่าวว่ามนุษย์ทุกคนคือคนบาป และสมควรถูกลงพระอาชญาชั่วนิรันดร์ การทำตาม บัญญัติไม่สามารถช่วยมนุษย์คนใดได้ เพราะไม่มีผู้ใดสามารถรักษาบัญญัติไว้ได้โดย ครบถ้วน เมื่อซามูเอลชี้ให้คนอิสราเอลดูบัญญัติของโมเสส ท่านทำเพื่อแสดงให้เห็นว่า การพิพากษาของพระเจ้า (ด้วยวิธีปล่อยให้ตกไปเป็นเมืองขึ้นของบรรดาประเทศรอบ ข้าง) นั้นเป็นเพราะพวกเขาไม่สามารถถือรักษาบัญญัติได้ แต่เมื่อท่านพูดถึงความหวัง ของคนอิสราเอล ซามูเอลไม่ได้พยายามผลักดันให้ประชากรของพระเจ้าคาดหวังพระ พรโดยการถือรักษาตามธรรมบัญญัติ แต่ท่านกลับผลักดันให้พวกเขามีความไว้วางใจ ในพระคุณความเมตตาของพระเจ้าแทน พระเจ้าทรงเป็นผู้เลือกสรรชนชาตินี้ และพระ องค์จะนำความรอดมาให้พวกเขาเพื่อพระนามของพระองค์เอง

นีคือพื้นฐานของความหวัง และความมั่นใจ ในการปรนนิบัติพระเจ้า เพราะพระเจ้านั้น ทรงสัตย์ซื่อ :

22 เพราะพระเจ้าจะไม่ละทิ้งประชากรของพระองค์ ด้วยเห็นแก่พระนามใหญ่ยิ่งของพระองค์ เพราะพระ เจ้าทรงพอพระทัยแล้วที่จะกระทำให้ท่านเป็นประชา กรของพระองค์
(12:22).

ก่อนที่พระเจ้าจะส่งมอบพระบัญญัติของพระองค์ให้แก่คนอิสราเอล เขาก็ละทิ้งพระองค์ และโมเสสไปเสียแล้วตามที่บันทึกไว้ในอพยพ 32 เช่นเดียวกับซามูเอล โมเสสเป็นผู้ ทำหน้าที่เป็นตัวแทนให้กับชาวอิสราเอล ท่านไม่ได้ร้องทูลขอพระเจ้าว่าประชากรจะ พยายามปฏิบัติตัวใหม่ในการรักษาพระบัญญัติ ท่านร้องทูลขอพระเจ้าตามพระลักษณะ อันดีเลิศของพระองค์ พระเจ้าเป็นผู้เลือกสรรชนชาตินี้ และพระองค์ทรงเสนอและ สัญญาจะนำเขาเข้าสู่ดินแดนแห่งพันธสัญญา โดยมีพระนามและพระสิริของพระองค์ เป็นเดิมพันต่ออนาคตของอิสราเอล เราวางใจได้ว่าพระเจ้าจะทรงทำตามที่พระองค์เริ่ม ให้สำเร็จลุล่วงไป — ไม่ใช่เป็นเพราะเรา — แต่เป็นเพราะพระองค์เป็นพระองค์เอง ธรรมบัญญัติเป็น เพียงสิ่งที่แสดงให้เห็นถึงความบาปของมนุษย์ที่สมควรถูกลงพระ อาชญา แต่เป็นพระคุณที่ช่วยให้รอดและชำระให้บริสุทธิ์ แต่เป็นพระคุณที่มอบพลัง และดลใจให้มีความเชื่อและการเชื่อฟัง และพระคุณ พระคุณของพระเจ้านี้เอง ที่ ซามูเอลกำลังประกาศต่อหน้าชนชาติที่บาปหนาว่า พวกเขาสามารถแน่ใจในความรอด ของพระเจ้าได้ เพราะเรารู้ว่าพระองค์เป็นผู้ใด

ความรอดนี้โดยพระคุณ — และผู้ที่พึ่งในพระคุณ "ยำเกรงพระเจ้า ปรนนิบัติพระ องค์ด้วยใจซื่อสัตย์สุจริต และด้วยสิ้นสุดใจ" โดยยืนอยู่บนพื้นฐาน "มหกิจซึ่งพระ องค์ได้กระทำแก่ท่าน" (ข้อ 24) สำหรับผู้ที่ปฏิเสธพระคุณ การพิพากษาจะมาถึง อย่างแน่นอน เช่นเดียวกับความรอดที่จะมาถึงยังคนที่เชื่อฟัง :

24 "จงยำเกรงพระเจ้าเท่านั้น ปรนนิบัติ พระองค์ด้วยใจซื่อสัตย์สุจริต และด้วยสิ้น สุดใจของท่าน จงพิเคราะห์ถึงมหกิจซึ่ง พระองค์ได้ทรงกระทำแก่ท่านแล้วนั้น"
(ข้อ 24)

ถ้าชาวอิสราเอลปฏิเสธพระคุณพระเจ้า และไปตามทางที่เขาพอใจ พวกเขาจะถูกกวาด ต้อนไปเป็นเชลยตามที่มีบ่งไว้ในพันธสัญญาของโมเสส (ดูเลวีนิติ 26:33-39; เฉลย ธรรมบัญญัติ 28:63-68)

ถ้าพระจ้าทรงพระกรุณาและทรงสัตย์ซื่อต่อพันธสัญญาที่พระองค์ให้ไว้กับคนอิสราเอล ซามูเอลก็เช่นกัน บัดนี้ประชาชนได้ร้องขอให้ซามูเอลเป็นตัวแทนร้องทูลกับพระเจ้า ถึงแม้พวกเขาปฏิเสธการเป็นผู้นำของพระองค์ เช่นเดียวกับพระเจ้า ซามูเอลปฏิบัติ ด้วยใจกรุณาและความเมตตาของท่าน ท่านให้ความมั่นใจกับประชาชนว่าท่านจะไม่ ทำบาปต่อพระเจ้า โดยไม่ยอมอธิษฐานเพื่อพวกเขา และท่านจะสั่งสอนแนะนำพวกเขา ใน "ทางที่ดีและถูก" (ข้อ 23) เช่นเดียวกับที่กล่าวในพระคัมภีร์ใหม่ "ฝ่ายพวกเรา จะขะมักเขม้นอธิษฐาน และรับใช้พระเจ้าในพันธกิจแห่งพระวจนะเสมอไป" (ดู กิจการ 6:4) ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญประการแรกของบรรดาผู้นำด้านจิตวิญญาณ ซามูเอล ไม่เคยมีความคิดที่จะทำบาปโดยการหยุดจากงานรับใช้ของท่าน40 http://www.bible.org/docs/ot/books/1sa/deffin/

บทสรุป

บทเรียนตอนนี้เกี่ยวข้องกับมนุษย์ในทุกวันนี้ค่อนข้างมาก ถึงแม้จะมีการตักเตือนสั่ง สอนมาทุกยุคทุกสมัย แต่สิ่งหนึ่งที่สอนให้เราระวังเป็นพิเศษคือ ระวังอย่าไปปรับ เปลี่ยนภาพพจน์ของบาป ชาวอิสราเอลในสมัยซามูเอลไม่สามารถแยกแยะได้ว่า ปัญหาของพวกเขา (การถูกกดขี่ข่มเหงจากประเทศรอบข้าง) เป็นมาจากพระเจ้า และ เป็นผลของพระอาชญา (เพื่อการแก้ใข) ในความบาปของพวกเขา ชาวอิสราเอลใน สมัยของซามูเอลเห็นว่าการตกเป็นเมืองขึ้นของคนต่างชาตินั้น เป็นเพราะผู้นำไม่มี ประสิทธิภาพพอ แต่พระเจ้าสำแดงให้เห็นว่าสาเหตุที่แท้จริงคือความบาป ผมเกรงว่า พวกเราจะหลงไปในทางเดียวกัน เรามองปัญหาความบาปแบบที่ชาวโลกทั่วไปมอง และพยายามแก้ปัญหาด้วยวิธีการทางโลก

คริสตจักรของพระเยซูคริสต์กำลังจะกลายเป็นสถานที่ที่มองความบาปไปในทางโลก และหาทางแก้ใขปัญหาด้วยวิธีการของมนุษย์ เมื่อคริสตจักรต้องจัดการเรื่องเงินทอง ก็จะใช้วิธีการเดียวกับที่ชาวโลกระดมหาทุนทำธุรกิจ เมื่อคริสตจักรต้องจัดการกับเรื่อง องกรและโครงสร้าง ก็ใช้วิธีเดียวกับที่บริษัทใหญ่ๆบริหารงาน เมื่อคริสตจักรทำงานประ กาศ ก็ใช้วิธีการตลาดในแบบเดียวกับที่สินค้าชั้นนำทั่วไปทำ และเมื่อคริสตจักรต้อง เข้าไปแก้ใขปัญหาส่วนตัว หรือระหว่างสมาชิก ก็นำวิธีและทฤษฎีในทางจิตวิทยามาใช้ เมื่อเรากำหนด "ความบาป" ในแบบของชาวโลก และหาวิธีจัดการกับบาปด้วยวิธีทาง โลก เรากำลังมีปัญหา41 http://www.bible.org/docs/ot/books/1sa/deffin/

คำบรรยายในบทเรียนนี้ทำให้เราเห็นพระลักษณะของพระเจ้าและผู้รับใช้ของพระองค์ ซามูเอล ไม่ต้องสงสัยเลยว่า การปฏิเสธไม่ยอมรับซามูเอล ก็คือการปฏิเสธไม่ยอมรับ พระเจ้า และไม่่ต้องสงสัยเลยว่าความสัตย์ซื่อของพระเจ้าที่มีให้กับประชากรชาว อิสราเอลนั้น สอดคล้องกับความสัตย์ซื่อของซามูเอลในการทำงานรับใช้ดูแลประชากร ของพระองค์ ซามูเอลมีคุณลักษณะเช่นเดียวกับพระเจ้า เพราะพระเจ้าเป็นแหล่งที่มา ของท่าน เรามีพระเจ้าผู้ทรงพระคุณมากมาย ผู้ทรงตักเตือนสั่งสอนเมื่อเราทำบาป เพื่อ ที่เราจะไม่หลงหายไป แต่กลับมาหาพระองค์อีกครั้งด้วยความเชื่อ การเชื่อฟัง ความรัก และด้วยใจกตัญญู

การบรรยายในบทเรียนนี้เป็นเรื่องของการเป็นผู้นำ และการนับถือผู้นำในแบบรูปเคารพ การเป็นผู้นำเป็นเรื่องสำคัญมาก ไม่ว่าในระดับประเทศ ในครอบครัว หรือในคริสตจักร ผู้นำในแบบของพระเจ้านั้นเป็นผู้นำในระดับมาตรฐาน (ดู 1ทิโมที 3; ติตัส 1; เอเฟซัส 5:22-33) แต่การเป็นผู้นำก็ยังล่อแหลมต่อภัยอันตราย พระเจ้าทรงเป็นผู้นำที่ดีที่สุด และที่สุดแล้ว จะเป็นผู้นำเพียงพระองค์เดียว ; พระองค์ทรงครบบริบูรณ์ในทุกสิ่ง ซาตานเองไม่เคยพอใจในตำแหน่งผู้นำของมัน มันต้องการมากกว่านั้น มันต้องการที่ จะเป็น "เหมือนพระเจ้า" มีพระเจ้าเพียงผู้เดียวเท่านั้นที่เหมาะสมกับตำแหน่งนี้ที่สุด คริสเตียนบางคนมองผู้นำเกินภาพความเป็นจริง เราอาจกล่าวได้ว่า เขามองผู้นำในแบบ "รูปเคารพ" และมอบความวางใจให้มากกว่าพระเจ้า และนี้คือสิ่งเดียวกับที่ชาวอิสรา เอลปฏิบัติกับซาอูล และเป็นเหตุให้ความบาปของอิสราเอลถูกจัดการในทันที มีภัยอัน ตรายอยู่รอบตัวเรา เราอย่ายอมมอบสิ่งที่สมควรสำหรับพระเจ้าเท่านั้นไปให้กับมนุษย์ อย่าคิดเหมาเอาเองว่า "มนุษย์" จะช่วยให้รอดได้ และอย่างวางใจว่าอนาคตของเรา หรือของคริสตจักร หรือของประเทศชาติ ขึ้นอยู่กับเพียงมนุษย์บางคน โดยเฉพาะอย่าง ยิ่งเมื่อมีการเลือกตั้งผู้นำประเทศ อย่าให้มนุษย์กลายเป็นรูปเคารพ พระเจ้าเป็นแหล่ง กำลังในยามถูกทดลอง เป็นผู้ตีสอน และเป็นแหล่งเดียวของความรอดและพระพรของ เรา มนุษย์นั้นจะดีที่สุด เมื่อยอมเป็นเครื่องมือให้พระเจ้าใช้

บทเรียนนี้ยังเป็นคำเตือนให้กับผู้ที่ดูเหมือนประสพความสำเร็จ เราเห็น "ความสำเร็จ" ของซาอูลชัดเจน ประชาชนปลาบปลื้มปิติที่อิสราเอลรบชนะอัมโมน และพวกเขามอง ว่า "ชัยชนะ" ครั้งนี้ว่าเป็นฝีมือการปกครองของซาอูล อันที่จริง การช่วยกู้ในครั้งนี้ และ ครั้งอื่นๆก่อนหน้า เป็นมาจากพระคุณพระเจ้า ไม่ใช่เพราะความเก่งกล้าสามารถของผู้นำ ตามที่มนุษย์เห็น บรรดาผู้ที่ดูจะประสพความสำเร็จดี ต้องระมัดระวังเป็นพิเศษกับความ หมายของคำว่า "ความสำเร็จ" ในความคิดของพวกเขา ขอให้คำนึงตลอดเวลาว่า ความสำเร็จของมนุษย์นั้น เป็นผลมาจากพระคุณทั้งสิ้น ไม่ใช่เป็นเพราะความชำนาญ หรือสติปัญญาของมนุษย์เลย

บทเรียนตอนนี้พูดถึงความหวังและกำลังใจสำหรับผู้ที่จมลึกอยู่ในความบาป ไม่สามารถ ดำเนินชีวิตตามมาตรฐานของพระเจ้าได้ หลายคนที่ชอบนึกว่าตนเองล้มเหลวถลำลึก ไปจนหวนคืนไม่ได้ ไม่มีความหวังใดเหลืออีก จนอยากละทิ้งชีวิตคริสเตียน "ทุกคน ทำบาป และเสื่อมจากพระสิริของพระเจ้า" (โรม 3:23) ตามมาตรฐานของพระเจ้า ไม่มีใครประสพความสำเร็จได้ ทุกคนล้มเหลวทั้งนั้น และสมควรกับพระอาชญานิรันดร์ ความหวังในความรอด ไม่ใช่อยู่บนพื้นฐานของการกระทำของเรา แต่บนพระคุณของ พระเจ้า ไม่ใช่เป็นเพราะเราเลือกพระองค์ แต่เป็นพระองค์ผู้เลือกสรรเรา ไม่ใช่เพราะ ความสัตย์ซื่อของเรา แต่เป็นของพระองค์ พระเจ้าทรงสัตย์ซื่อ พระเจ้าทรงพระกรุณา ทรงมีพระคุณ ทรงเป็นความรอดของเรา พระเยซูคริสต์ไม่ได้เสด็จมาเพื่อคนชอบธรรม แต่เพื่อมาช่วยคนบาป ให้เราทั้งหลายที่คิดว่าตนเองล้มเหลวลองคำนึงถึงเรื่องนี้ดูให้ดีๆ

พระธรรมตอนนี้บรรยายเน้นไปในเรื่องของความรอด คนอิสราเอลในสมัยนั้น มองซาอูล (กษัตริย์ของพวกเขา) ว่ามาช่วยกู้ให้รอดได้ พวกเขามองภาพความรอดในทางทหาร และทางเศรษฐกิจ ไม่ใช่ทางจิตวิญญาณ ในเนื้อหาพูดชัดเจนว่าไม่มี "กษัตริย์" ที่เป็น เพียงมนุษย์คนใด จะสามารถช่วยมนุษย์ให้รอดพ้นจากความบาปได้ สิ่งใดที่ "กษัตริย์" อิสราเอลทำไม่ได้ พระเจ้า "จอมกษัตริย์" ของเราได้ทำสำเร็จลงแล้ว – คือความรอด ของคนบาปที่ร้องทูลขอพึ่งในพระคุณ "กษัตริย์" ทุกองค์ของอิสราเอล ประสพความ ล้มเหลว ถึงแม้จะเป็นกษัตริย์ที่ดีที่สุดเช่นดาวิด โซโลมอน และอีกบางองค์ ชาวอิสรา เอลถูกทดลองให้พึ่งพิงในมนุษย์ เลือกและแต่งตั้งเขาให้มาเป็นกษัตริย์ และ มอบความ วางใจให้เหมือนเป็นพระเจ้าของพวกเขา แต่กษัตริย์เหล่านี้ไม่สามารถช่วยให้รอดได้ แต่พระเจ้าส่งพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ พระเยซูคริสต์ ให้มาเป็น "กษัตริย์ของ ชาวยิว" สำหรับทุกคนที่เชื่อในพระองค์ พระเจ้า (ภาคที่สองของ พระตรีเอกานุภาพ) มาบังเกิดเป็นมนุษย์ มามีชีวิตที่ครบบริบูรณ์ ตายเพื่อความบาปผิด ของมนุษย์ ถูกชุบ ให้เป็นขึ้นมาจากความตาย เสด็จขึ้นสวรรค์ พระเยซูคริสต์องค์นี้ แหละ คือกษัตริย์ของ องค์พระผู้เป็นเจ้าแท้จริง พระองค์เสด็จมาเพื่อช่วยมนุษย์ให้รอด พ้นจากความบาป และพระองค์จะเสด็จกลับมาอีกในไม่ช้า เพื่อจัดตั้งพระราชอาณาจักร ของพระองค์ พระองค์ทรงเป็นความหวัง ! เป็นความรอดของพวกเรา ! สิ่งที่กษัตริย์ทางโลกไม่มี ทางทำได้ กษัตริย์ขององค์พระผู้เป็นเจ้าได้กระทำสำเร็จลงแล้ว

คุณไม่จำเป็นต้องพยายามทำดีมากๆเพื่อพระเจ้าจะประทานความรอดให้ แต่คุณนั้นแย่ เพียงพอสมควรที่จะรับพระคุณ ถ้าคุณไม่ยอมรับว่าความบาปเป็นปัญหาที่ร้ายแรงที่สุด ของคุณ และสมควรกับพระอาชญาชั่วนิรันดร์ ผมขอแนะนำให้คุณทำเสียแต่บัดนี้ และ เมื่อคุณยอมรับในความบาปของคุณ วางใจในองค์พระเยซูคริสต์ ผู้ทรงแบกรับความผิด บาปแทนคุณ พระองค์ผู้ทรงเป็นทั้งพระเจ้าและมนุษย์ ได้ถูกชุบให้เป็นขึ้นมาจากความ ตาย ประทับเบื้องขวาพระบิดาในสวรรค์ และพระองค์จะเสด็จกลับมาอีกในไม่ช้า เพื่อ อำนวยพระพรต่อบรรดาผู้ชอบธรรม และทำลายศัตรู คุณควรมองไปที่จอมกษัตริย์องค์ นี้เพียงพระองค์เดียวเพื่อความรอดจกาบาป และเพื่อความแน่ใจว่าจะได้สถิตอยู่กับพระ องค์ในสวรรค์สถานชั่วนิจนิรันดร์


36 36 พระธรรมผู้วินิจฉัยแสดงให้เห็นรูปแบบที่ชัดเจนของการกระทำเช่นนี้ เป็นรูปแบบที่ผู้เขียน พยายามสื่อให้เห็นภาพเมื่ออ้างอิงถึง

37 ขั้นตอนของการช่วยกู้และปรนนิบัติพระเจ้าใน 12:10 นั้นสำคัญมาก อิสราเอลไม่เคยเริ่มต้น ด้วยการกลับใจ หันมาเชื่อฟังและปรนนิบัติพระเจ้า แล้วพระเจ้าถึงทรงช่วยกู้พวกเขา แต่เป็นพระ เจ้าผู้เริ่มต้นกอบกู้ประชากรของพระองค์ก่อน แล้งพวกเขาจึงได้กลับมาปรนนิบัติพระองค์อีกครั้ง

38 หรือ พวกเขาไม่ยอมจ่ายราคาของการสำนึกในความบาป เพื่อจะรับการช่วยเหลือที่มาจาก พระเจ้า

39 กษัตริย์แบบที่ชาวอิสราเอลอยากได้คือแบบเดียวกับรูปเคารพ พระเจ้าจึงพูดเตือนค่อนข้าง แรงในการเรียกร้องขอมีกษัตริย์ สิ่งนี้ไม่ได้หมายความว่ากษัตริย์ทุกองค์เป็นรูปเคารพ หรือต้อง เป็น นีคือเหตุผลที่พระเจ้าอนุญาติให้พวกเขามีกษัตริย์ได้ กษัตริย์จะเป็นเหมือนรูปเคารพถ้า ประชาชนไปวางใจในท่านแทนที่จะวางใจในพระเจ้า กษัตริย์จะเป็นดังรูปเคารพเมื่อมีการกราบ ไหว้บูชา (ด้วยสิ่งของที่ท่านจะมายึดไปตามที่พูดถึงในบทที่ 8) และให้เกียรติท่านมากกว่าให้ เกียรติพระเจ้า

40 เรื่องที่ควรจำคือ บางครั้งพระเจ้าทรงกระทำตามที่พระองค์กล่าวไว้ในข้อ 25 และมีบางครั้ง ที่เยเรมีห์ถูกสั่งห้ามไม่ให้อธิษฐานเผื่อประชาชน เพราะพระเจ้าทรงมีพระประสงค์จะลงพระ อาชญา (ดูเยเรมีห์ 7:16-20; 11:14).

41 ผมเข้าใจถึงอันตรายในการที่จะพยายามแก้ใขปัญหาด้วยวิธีการแบบจิตวิญญาณ ทั้งๆที่ ปัญหาแท้จริงไม่ใช่เป็นเรื่องของจิตวิญญาณ เช่นพยายามขับผีออก แทนที่จะส่งคนๆนั้นไป รับการรักษาที่โรงพยาบาล ในยุคของเรานี้ฝ่ายตรงข้ามกำลังนำหน้าเราไปไกล นั่นคือการ พยายามทำให้เรามองปัญหาด้านจิตวิญญาณให้เป็นไปในทางโลก

Related Topics: Introductions, Arguments, Outlines

บทที่ 8: ซาอูลสละราชอาณาจักร (1 ซามูเอล 13:1-14)

คำนำ

เพื่อนสนิทผม สามีภรรยาคู่หนึ่งตัดสินใจว่าถึงเวลาที่จะต้องเปลี่ยนรถเป็นรถตู้คันเล็กๆ ถึงแม้รถคันเก่ายังคงใช้งานได้ แต่ก็มีเรื่องมาให้ซ่อมได้ไม่หยุด เคร็กและเกรซจึงมีการ ปรึกษากันถึงข้อดีข้อเสียในการซื้อรถใหม่ ในที่สุดซื้อรถใหม่นับเป็นสิ่งที่ดีที่สุด ถึงแม้ อาจต้องใช้เงินเกินงบ แต่พวกเขาตัดสินใจจะดูแลรถคันใหม่อย่างดีที่สุด เพื่อจะได้เก็บ ไว้ใช้นานๆให้สมราคา แต่พอขับคันใหม่ไปได้ไม่ถึง 20.000 กิโลดี สายพานเกิดขาด – เป็นสายพานที่ควบคุมการทำงานแทบทุกอย่าง ไม่ว่าเป็นพวงมาลัย ปั๊มป์น้ำ ระบบไฟ ฯลฯ ทำ ให้รถร้อนเกินขนาด ถึงแม้จะเปลี่ยนสายพานใหม่แล้วก็ตาม ทั้งคู่ก็ยังรู้สึกไม่ ค่อยจะวางใจเวลาขับไปอีกนาน วันหนึ่งขณะที่ขับกลับจากงานปิกนิกของโบสถ์ มีพายุ ใหญ่ระหว่างทาง มีก้อนกรวดทรายกระเด็นมาตกใส่รถมากมาย และที่แย่ไปกว่านั้น จน นึกไม่ถึง พอเข้าไปในเมืองก็ถูกชนท้ายอย่างแรง กว่าจะสะสางเรื่องจบ เคร็กถึงกับพูด ว่า "เดี๋ยวนี้ให้ล้าง ยังไม่อยากจะล้างเลย"

บางสิ่งเริ่มต้นอย่างสวยงาม — แล้วก็ถูกโศกนาฏกรรมจู่โจมอย่างแทบตั้งตัวไม่ติด และสิ่งนี้ก็เกิดกับเคร็ก เพื่อนของผม รถตู้กระทัดรัดคันใหม่ สีสวย เครื่องยนตร์เยี่ยม แต่เป็นไปเพียงระยะเวลาอันสั้น ก็เจอกับปัญหามากมาย เมื่อผมเริ่มบทเรียนในตอนนี้ อาณาจักรของซาอูล ทำให้ผมนึกถึงเรื่องรถคันนี้ขึ้นมา ซาอูลเริ่มต้นการปกครองอย่าง สวยงาม อย่างผู้มีชัย หลังจากมีการเลือกและแต่งตั้ง ซาอูลนำอิสราเอลไปจนได้รับ ชัยชนะเหนือคนอัมโมน (1 ซามูเอล 11) หลังจากความเบิกบานใจสูงสุดผ่านพ้นไป ประชาชนก็กลับลงมาสู่โลกแห่งความเป็นจริง โดยคำตำหนิของซามูเอลในบทที่ 12 และด้วยฤทธิอำนาจของพระเจ้า พระองค์ส่งพายุใหญ่ลงมาตามที่ซามูเอลกำหนดไว้ คือ ช่วงของการเก็บเกี่ยว และตอนนี้ พอย่างเข้าบทที่ 13 ของ 1 ซามูเอล มีเหตุการณ์ เกิดขึ้น ซึ่งมีผลทำให้บุตรของซาอูลหมดโอกาสที่จะขึ้นครองราชย์แทนบิดา

ถ้าเราเปิดใจกับบทเรียนนี้ เราต้องยอมรับว่าสิ่งที่ซาอูลทำ ก็ไม่ถึงกับเลวร้ายนักทีเดียว ดูจากภายนอก ซามูเอลนั้นมาช้า ทำให้ซาอูลหวั่นวิตกถึงภัยอันตรายที่ประเทศกำลัง เผชิญอยู่ ถึงขนาดต้องตัดสินใจทำบางอย่างในทันที และดูเหมือนซาอูลต้องเป็นผู้ ดำเนินการ การกระทำของซาอูลผิดมากเพียงใด ในเมื่อซามูเอลมาช้า และการข่มขู่ ของฟิลิสเตียก็ทวีความรุนแรงขึ้น? พระเจ้าทรงถือว่า ความคิดและการกระทำของซาอูล นั้นผิดอย่างร้ายแรง และเราต้องมีทัศนคติเช่นเดียวกันด้วย เมื่อเราศึกษาพระธรรมตอน นี้ เราต้องพยายามค้นหาว่า เหตุใดจึงเป็นสิ่งที่ชั่วร้ายยิ่งในสายพระเนตรพระเจ้า และมา พิจารณาถึงสิ่งที่เกิดขึ้นกับซาอูล ให้เราเรียนรู้และพยายามนำสิ่งที่บทเรียนนี้สอน มาใช้ ในการดำเนินชีวิตคริสเตียน เพราะความผิดบาปครั้งนี้ของซาอูลร้ายแรงจนทำให้ตัวท่าน และราขวงศ์ของท่านต้องสูญเสียตลอดไป

ปัญหาในการคำนวน

ผู้เชี่ยวชาญพระคัมภีร์ ชี้ให้เห็นถึงปัญหาบางแห่งในเรื่องตัวเลขของพระธรรมตอนนี้ สองแห่งแรกอยู่ในข้อ 1 ซึ่งอ่านได้ว่า :

1 เมื่อซาอูลขึ้นครองราชสมบัตินั้น มีอายุ....ปี และเมื่อพระองค์ทรงปกครองอิสราเอล....สองปี ถ้านำเครื่องหมายจุดประออกไป คำพูดจะเป็นตามที่ฉบับ NASB แปลไว้คือ ซาอูลมีอายุหลายปีเมื่อเริ่มปกครอง และทรงปกครองอยู่เหนืออิสราเอลสองปี เราเห็นปัญหาชัดเจนทีเดียว ผมเชื่อว่าทางออกที่ดีที่สุดคือพยายามยึดถือตามถ้อยคำที่ บันทึกอยู่ แทนที่จะไปหาว่าควรนำดัวเลขใดลงไปใส่แทนให้เหมาะสม พระคัมภีร์แปล ฉบับ The New King James Version ดูเหมือนจะทำได้ดีที่สุด: ซาอูลปกครองอยู่หนึ่งปี ; และเมื่อท่านปกครองไปได้ สองปีเหนืออิสราเอล ซาอูลทรงคัดเลือกชายอิสรา เอล ขึ้นมาสามพันคน … .
(13:1-2ก).

บางคนคิดว่าปัญหาตัวเลขนั้นอยู่ในข้อที่ 5 เมื่อมีการกล่าวถึง ฟิลิสเตียส่งรถม้า 30,000 คันมารบกับอิสราเอล พร้อมด้วยพลม้าอีก 6,000 คน และกองทหารมากมายเหมือน ทรายที่ชายฝั่งทะเล พวกเขาคิดว่าตัวเลข 30,000 นั้นเกินจริงไป โดยกล่าวว่าจำนวน 30,000 ที่นำมาใช้น่าจะเป็นเพียง 3,000 เท่านั้น จึงแนะนำว่าตัวเลข 3,000 ควรสม เหตุผลกว่า พวกเขาชี้ให้เห็นว่า จำนวนรถม้ามีมากมายเกินกว่าจำนวน "พลม้า" จึงไม่ น่าจะถูกต้องได้ ผมชอบวิธีที่ฉบับ the New American Standard พูดถึงเรื่องนี้ โดย กล่าวว่า จำนวน 6,000 นั้นไม่ใช่เป็น "พลม้า" แต่เป็น "คนขี่และดูแลม้า" ถึงแม้จำ นวน 30,000 จะดูมาก แต่ก็ไม่ถึงกับเป็นไปไม่ได้ เราควรจะยอมรับตามที่บันทึกไว้ ผู้เขียนคงพยายามให้เราเห็นภาพสถาณการณ์อันน่าหวาดหวั่นอย่างที่ชาวอิสราเอล กำลังวิตกอยู่ ตัวเลขที่บันทึกไว้จึงดูสมเหตุสมผลกับความสิ้นหวังของชาวอิสราเอล ตามที่ผู้เขียน อธิบายไว้

ปัญหาประการอื่น :
เมื่อฟิลิสเตียยกทัพมา

ผมต้องยอมรับว่า เมื่ออ่านพระธรรม 1 ซามูเอล ผมรู้สึกยากที่จะเข้าใจว่ามีอะไรเกิดขึ้น คงมีคนฟิลิสเตียอยู่มากมายในอิสราเอล เรารู้จาก 1 ซามูเอล 4:9 ว่าอิสราเอลนั้นเคย ตกเป็นทาสของชาวฟิลิสเตียมาก่อน ในบทที่ 4 ชาวฟิลิสเตียมีชัยในการรบกับอิสรา เอล ถึงแม้อิสราเอลจะนำหีบพันธสัญญาออกไปร่วมรบด้วย ในบทที่ 10 เมื่อซาอูล ได้รับแจ้งจากซามูเอลว่าพระเจ้าทรงเลือกท่านให้เป็นกษัตริย์ของอิสราเอล ท่านเอง ได้เผยพระวจนะอยู่ในดินแดนของอิสราเอล — ซึ่งมีกองกำลังของฟิลิสเตียอยู่ด้วย (10:5) แต่ พอบทที่ 11 พูดถึงชาวอัมโมนขู่จะเข้ามาบุกรุก และอิสราเอลสามารถเอา ชนะได้ แล้วพวกเขารวบรวมผู้คนให้ออกไปรบได้อย่างไรในเมื่อกองกำลังของฟิลิสเตีย ควบคุมอยู่ ? แล้วซาอูลสามารถคัดเลือกทหารถึง 3,000 คนได้อย่างไรโดยที่ทาง ฟิลิสเตียไม่คัดค้าน ?

ผมว่าผมเริ่มเข้าใจในสถานการณ์บ้างเล็กน้อย เราต้องคำนึงก่อนว่าประเทศอิสราเอล ล้อมรอบด้วยแผ่นดินทุกด้าน และดินแดนเหล่านี้ก็ยังแบ่งออกเป็นหลายอาณาจักร :

47เมื่อซาอูลได้รับตำแหน่งพระราชาเหนืออิสราเอลนั้น พระองค์ได้ทรงต่อสู้ศัตรูทุกด้าน ต่อสู้กับโมอับ กับชน อัมโมน กับเอโดม กับบรรดาพระราชาแห่งโศบาห์ และกับคนฟีลิสเตีย ไม่ว่าพระองค์จะหันไปทางไหน พระองค์ก็ทรงกระทำให้เขาพ่ายแพ้ไป 48 พระองค์ ทรงสู้รบอย่างเข้มแข็ง และทรงโจมตีพวกอามาเลข และทรงช่วยกู้คนอิสราเอลให้พ้นจากมือของบรรดา ผู้ที่เข้าปล้นเขา
(1 ซามูเอล 14:47-48).

ชาวฟิลิสเตียอาศัยอยู่ในดินแดนฟิลิสเตีย ซึ่งตั้งอยู่บนชายฝั่งทะเลเมดิเตอร์เนียน อยู่ ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของอิสราเอล สงครามที่พวกเขาสู้รบกันในบทที่ 4 นั้น อยู่ ที่บริเวณชายแดนทิศตะวันตก อย่างที่คาดไว้ หีบพันธสัญญาถูกนำเข้าไปในฟิลิสเตีย และคืนกลับมาทางเบธเชเมช ซึ่งอยู่ติดชายแดนระหว่างอิสราเอลและฟิลิสเตีย แต่พวก อัมโมนนั้นอยู่ข้ามผั่งแม่น้ำจอร์แดนไปทางทิศตะวันออกของอิสราเอล การเข้ารุกราน เมืองยาเบชกิเลอาด ซึ่งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงหนือของอิสราเอล ประมาณ 40 กิโล เมตรจากชายแดนอัมโมน ซึ่งไกลมากจากฟิลิสเตีย ซึ่งตั้งอยู่กันคนละด้านของอิสราเอล

ผมไม่คิดว่าพวกฟิลิสเตียตั้งใจหรือปรารถนาจะกวาดอิสราเอลให้ราบไป เพียงแต่อยาก ให้อิสราเอลเป็นเมืองขึ้นของตัว เพราะถึงอย่างไร อิสราเอลก็เป็นตลาดส่งออกที่ดีของ ฟิลิสเตียทางด้านเท็คโนโลยี โดยเฉพาะสินค้าที่ทำจากเหล็ก (ดู 13:19-23) แถมอิสรา เอลยังเป็นกันชนที่ดีระหว่างพวกเขาและชนชาติที่หัวรุนแรงจากอีกด้าน เมื่อิสราเอล รวบรวมผู้คนเพื่อไปทำสงครามกับพวกอัมโมน ดูเหมือนจะสร้างผลประโยชน์อย่างดีให้ กับฟิลิสเตีย ชาวอิสราเอลถ้าอ่อนแรงเพราะสงคราม จะได้ไม่เป็นปัญหาต่อการปกครอง ของพวกเขา แต่ถ้าอิสราเอลรบชนะอัมโมน ฟิลิสเตียยิ่งมีอำนาจมากขึ้นไปอีก เพราะ อิสราเอลนั้นเป็นเมืองขึ้นของพวกเขา ข้อเท็จจริงที่ว่าซามูเอลคัดเลือกชายอิสราเอลขึ้น มาเป็นกองกำลังนั้นเป็นเรื่องเล็กสำหรับฟิลิสเตีย แค่ทหาร 3,000 คนจะไปทำอะไรได้ กับจำนวนทรายที่ชายฝั่งทะเล ? ดังนั้นจึงเป็นไปได้ที่อิสราเอลออกไปรบกับอัมโมน และ ในขณะเดียวกันก็ยังเป็นเมืองขึ้นของฟิลิสเตียอยู่

ความกลัวในจิตใจของคนอิสราเอลและกษัตริย์ของพวกเขา
(13:1-7)

11 เมื่อซาอูลขึ้นครองราชสมบัตินั้น มีอายุ.(40)..ปี และเมื่อพระองค์ทรงปกครองอิสราเอล.(32)..สองปี 2 ซาอูลจึงทรงคัดเลือกชายอิสราเอลสามพันคน สองพันคนอยู่กับพระองค์ที่มิคมาช และที่แดนเทือก เขาเบธเอล อีกหนึ่งพันคนนั้นอยู่กับโยนาธานที่เมือง กิเบอาห์แห่งเผ่าเบนยามิน ประชาชนนอกนั้นท่านก็ ปล่อยให้กลับบ้านของตนทุกคน 3 โยนาธานได้ตี กองทหารรักษาการของคนฟีลิสเตีย ซึ่งอยู่ที่เกบา พ่ายแพ้ไปคนฟีลิสเตียทราบเรื่อง และซาอูลก็เป่าเขา สัตว์ทั่วแผ่นดินนั้นว่า "ขอให้คนฮีบรูทั้งหลายได้ยิน" 4 และคนอิสราเอลทั้งหลายได้ยินเขากล่าวว่า ซาอูล ได้รบชนะกองทหารรักษาการของคนฟีลิสเตีย และคน อิสราเอลได้เป็นที่เกลียดชังของคนฟีลิสเตียยิ่งนัก ประชาชนก็ถูกเรียกออกมาให้สมทบกับซาอูลที่กิลกาล 5 และคนฟีลิสเตียชุมนุมกันเพื่อจะต่อสู้คนอิสราเอล มีรถรบสามหมื่นและพลม้าหกพัน และกองทหารนั้นก็ มากมายเหมือนทรายที่ฝั่งทะเล เขาก็ยกขึ้นมาตั้งค่าย อยู่ที่มิคมาชทาง ตะวันออกของเบธาเวน 6 เมื่อคนอิส ราเอลเห็นว่าตกอยู่ในที่คับแค้น (เพราะประชาชนถูกบี คั้นอย่างหนัก) แล้วประชาชนก็ซ่อนตัวอยู่ในถ้ำและใน รูในซอกหิน ในอุโมงค์และในบ่อ 7 พวกฮีบรูบางคนได้ ข้ามแม่น้ำจอร์แดนไปยังดินแดนกาดและ กิเลอาด แต่ ฝ่ายซาอูลพระองค์ยังประทับอยู่ที่กิลกาลและประชาชน ทั้งหมดติดตามพระองค์ไปด้วยตัวสั่น

เมื่อซาอูลเริ่มปกครองในอิสราเอลนั้นเป็นเรื่องใหญ่ ภายใต้การนำของซาอูลพระเจ้า ทรงช่วยกู้คนอิสราเอลมากมายจากความอัปยศในการยอมแพ้ต่อนาหาช ผู้นำของ อัมโมน ซึ่งมาข่มขู่ชาวเมืองยาเบชกิเลอาด ในการรบครั้งนี้มีทหารอิสราเอลอาสามาถึง 330,000 คน (11:8) หลังจากชัยชนะ ชาวอิสราเอลก็กลับไปยังบ้านเรือนของตน ซาอูลคัดเพียง 3,000 คนไว้รักษาการ

เหตุใดซาอูลจึงมีกองกำลังเพียงน้อยนิด ? พระวจนะคำไม่ได้กล่าวไว้ แต่ดูเหมือนจำ นวนทหาร 3,000 คน คนฟิลิสเตียคงยอมรับได้ แต่ถ้ามากกว่านี้คงเป็นเรื่อง ซาอูลมี กองกำลังได้เพียงเท่านี้ เพราะถ้ามากเกินไปอาจมีปัญหากับทางฟิลิสเตีย ซาอูลไม่ ต้องการไป "กวนน้ำให้ขุ่น" โดยการมีกองกำลังมากเกินไป หรือไปทำให้กองรักษา การของฟิลิสเตีย (ที่มีอยู่ทั่วอิสราเอล ?) ไม่พอใจ

โยนาธานเป็นผู้มาเปลี่ยนแปลงเรื่องนี้โดยไม่มีการขออนุญาติและบิดาไม่ทราบเรื่อง ซาอูลแบ่งกองกำลังของท่านโดยให้ 2,000 คนอยู่กับท่าน รักษาการอยู่ที่เมืองมิคมาช และบริเวณเทือกเขาในยูเดีย ; อีก 1,000 คนที่เหลือให้อยู่ที่กิเบอาห์กับโยนาธาน ไม่มีใครทราบถึงเหตุผลที่โยนาธานโจมตีพวกฟิลิสเตีย ; มีการบันทึกไว้เพียงว่าท่าน ไปโจมตี จากที่เรารู้จักโยนาธาน ดูเหมือนการกระทำของท่านเกิดจากความเชื่อ เพราะ แผ่นดินที่ท่านอาศัยอยู่นี้พระเจ้าเป็นผู้ประทานให้แก่ชาวอิสราเอล และสั่งให้ขับไล่ชน ชาติที่อาศัยอยู่ก่อนออกไป การต้องตกเป็นเมืองขึ้นของต่างชาตินั้นมีการกล่าวถึงใน เลวีนิติ 26 และเฉลยธรรมบัญญัติ 28-32 ว่าเป็นการลงโทษที่พระเจ้าต้องการตีสอนชาว อิสราเอล เมื่อพวกเขาขาดความเชื่อและไม่ยอมเชื่อฟัง กษัตริย์ไม่ใช่เป็นผู้ที่จะมาช่วย ปลดปล่อยชาวอิสราเอลจากการเป็นเมืองขึ้น แต่เป็นเครื่องมือที่พระเจ้าใช้สำหรับมา ปลดพวกเขาออกจากเครื่องพันธนาการ (ดู 14:47-48) สิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นไม่ได้ นอก จากชาวอิสราเอลจะขับไล่บรรดาผู้ที่ครอบครองอยู่ในดินแดนออกไป ซาอูลดูเหมือนไม่ อยากจะไป "เขี่ยผึ้งให้แตกรัง" แต่โยนาธานไม่ยอมรับในสิ่งที่เป็นอยู่ ท่านจึงนำคน ของท่านเข้าไปโจมตีกองกำลังของฟิลิสเตียที่เกบา42 ซึ่งตั้งอยู่ห่างจากทางเหนือ ของกรุงเยรูซาเล็มไปประมาณ 11 กิโลเมตร ครึ่งทางระหว่างกิเบอาห์ตอนใต้ และมิค มาชตอนเหนือ ซึ่งน่าจะเป็นกองกำลังอันเดียวกับตอนที่ซาอูลไปเผยพระวจนะร่วมกับ ผู้เผยพระวจนะคนอื่นๆ (ดู 10:5, 10-13)

ปฏิกิริยาที่ฟิลิสเตียตอบสนองต่อการโจมตีครั้งนี้เป็นเรื่องเดาได้ไม่ยาก ทำให้เราสงสัย ว่าน่าจะเป็นสิ่งที่โยนาธานทั้งคาดเดาและต้องการให้เกิดขึ้น ผมอยากลองอธิบายปฏิกิ ริยาที่ชาวฟิลิสเตียแสดงออกในเชิงปัจจุบัน หลายปีทีผ่านมา ประเทศสหรัฐอเมริกา (พร้อมกับพวกพันธมิตร) บุกโจมตีและมีชัยเหนือประเทศอิรัคที่เข้าไปยึดครองอยู่ใน ดินแดนของประเทศคูเวต ให้เราสมมุติว่าหลังจากชัยชนะในครั้งนี้แล้ว ทางอเมริกาวาง กองกำลังไว้หลายแห่งในเขตแดนอิรัค เพื่อให้มั่นใจและตรวจสอบได้ว่าทางอิรัคจะไม่มี การตอบโต้อย่างรุนแรง ทีนี้ให้เรามาสมมุติว่า ซัดดัมฮุสเซนใช้อาวุธหัวรบเคมีโจมตีไป ยังกองกำลังหน่วยหนึ่งที่อยู่ในเขตแดนของอิรัคเอง มีการรายงานความสูญเสียมากมาย ไปที่อเมริกา ไม่ว่าจะเ็ป็นชีวิตนับหลายร้อยหรืออาจถึงพันที่ตาย และบาดเจ็บอีกนับไม่ ถ้วน ในฐานะคนอเมริกัน เรารู้สึกสมควรเป็นอย่างยิ่งที่ต้องจัดการกับอิรัคด้วยกำลังให้ สิ้นซาก

ความรู้สึกนี้นี้เป็นความรู้สึกเดียวกับที่ชาวฟิลิสเตียกำลังรู้สึกต่อการโจมตีที่เกบาของ โยนาธาน ชาวฟิลิสเตียมีชัยเหนืออิสราเอล และพวกเขาได้ให้อิสระเสรีพอสมควรกับ อิสราเอล (ถึงยอมให้ไปรบกับคนอัมโมนได้) แต่มีการวางกองกำลังไว้ในอิสราเอล เพื่อ ป้องกันและควบคุมการปลดแอก เมื่อโยนาธานบุกโจมตีกองกำลังจึงเป็นเหมือนกับ โจมตีและดูหมิ่นประเทศฟิลิสเตียทีเดียว พระคัมภีร์บันทึกไว้ว่า "และคนอิสราเอล ได้เป็นที่เกลียดชังของคนฟีลิสเตียยิ่งนัก" (ข้อ 4) ชาวฟิลิสเตียกำลังยกทัพมา ด้วยความโกรธเกรี้ยว ! พวกเขาต้องการให้คนอิสราเอลชดใช้ — พวกเขาตั้งใจจะ สร้างความเสียหายอย่างใหญ่หลวงให้กับอิสราเอล มีรถม้ามาถึง 30,000 คัน พลม้า 6,000 คน และทหารเดินเท้าอีกจำนวนมากเท่ากับทรายที่ชายฝั่งทะเล พวกเขามาเพื่อ ต่อสู้กับอิสราเอล ตั้งค่ายอยู่ที่มิคมาช ที่ซึ่งซาอูลมีกองกำลังรักษาการอยู่ (ข้อ 2, 5)

ดูเหมือนซาอูลไม่มีเวลาให้คิดมาก ท่านต้องรีบแก้ใขสถาณการณ์ที่โยนาธานไปโจมตี กองกำลัง จนทำให้ชาวฟิลิสเตียแห่มาแก้แค้นมากมาย พูดง่ายๆคือ ซาอูลไม่มีทาง เลือกอื่น นอกจากป้องกันตนเองจากการถูกฟิลิสเตียโจมตี ท่านพยายามทำทุกอย่างให้ ดีที่สุด ซาอูลเป่าแตรเรียกคนทั้งชาติให้ออกมาร่วมรบอีกครั้ง คำประกาศของท่านอาจ จะทำนองว่า : "ซาอูลโจมตีกองกำลังฟิลิสเตีย" ถ้ามองในแง่ของการบริหาร แน่นอน โยนาธานอยู่ภายใต้ความรับผิดชอบของซาอูล แต่ดูเหมือนซาอูลไม่ต้องการยอมรับว่า ท่านมัวนิ่งดูดายปล่อยให้โยนาธานลุกขึ้นมากระทำการ

สถานการณ์ในบทที่ 13 ดูจะแตกต่างจากบทที่ 11 อย่างสิ้นเชิง ในบทที่ 11 ซาอูลมี พระวิญญาณสถิตอยู่ เมื่อท่านโกรธ ท่านบังคับให้ชาวอิสราเอลออกมาสู้กับคนอัมโมน แต่ตอนนี้ไม่มีการกล่าวถึงว่าพระวิญญาณสถิตอยู่กับท่าน และแน่นอนการเรียกชุมนุมคน ให้มาร่วมรบดูออกจะขาดน้ำหนัก และดูจะห่างไกลจากยอด 330,000 ที่เคยมาร่วมรบ ในครั้งที่แล้ว43 http://www.bible.org/docs/ot/books/1sa/deffin/ คนที่ตั้งใจมาร่วมรบ พอทราบถึงจำนวนที่ฟิลิสเตียยกทัพมาก็รู้สึก หวาดกลัวเป็นอันมาก ประชาชนแตกกระจายหลบหนีไปซ่อนอยู่ตามถ้ำ ตามรูซอกหิน ในบ่อและในอุโมงค์44 เรื่องเช่นนี้เคยเกิดขึ้นมาก่อนแล้ว (ดูผู้วินิจฉัย 6:1-6) และ สถานการณ์เลวร้ายลงทุกที

เมื่อครั้งซาอูลรวบรวมกำลังทหาร ท่านเรียกชุมนุมที่กิลกาล ท่านทำตามที่ซามูเอลสั่ง หลังจากได้รับแจ้งว่าท่านจะได้เป็นกษัตริย์ของอิสราเอล :

8 และท่านจงลงไปที่กิลกาลก่อนฉัน และดูเถิด ฉันจะลงมาหาท่านเพื่อจะถวายเครื่องเผาบูชา และถวายสัตว์เป็นเครื่องศานติบูชา ท่านจงคอย อยู่ที่นั่นเจ็ดวันจน ฉันมาหาท่านและสำแดงแก่ ท่านว่า ท่านควรจะกระทำอะไร"
(1 ซามูเอล 10:8)

ซามูเอลนั้นออกคำสั่งอย่างเจาะจง : ซาอูลต้องไปรอท่านอยู่ที่กิลกาลจนกว่าท่านจะไป ถึง ซึ่งเป็นเวลาเจ็ดวัน ซามูเอลจะทำการถวายบูชาและศานติบูชาเอง และหลังจากนั้น ซามูเอลจะสั่งว่าซาอูลควรทำสิ่งใดต่อไป

ในระหว่างเจ็ดวันแห่งการรอคอย ซาอูลเป็นทุกข์อย่างยิ่งที่เห็นกองกำลังของท่านเริ่ม เหลือน้อยลง ทุกคนหลบหนีไปเพราะความกลัวตาย แต่ละวัน สถานการณ์เริ่มเลวร้าย ลงเรื่อยๆ ทหารกระจัดกระจายหลบหนีเอาตัวรอด บางคนถึงกับหนีข้ามแม่น้ำจอร์แดน ไป (ข้อ 7) บางคนก็ไปเข้าพวกกับฟิลิสเตียเพื่อเอาตัวรอด (ดู 14:21) คนที่ยังเหลืออยู่ กับซาอูลก็กลัวจนตัวสั่น

ความโง่เขลาของซาอูล และคำดุว่าจากซามูเอล
(13:8-15)

8 พระองค์ทรงคอยอยู่เจ็ดวันตามเวลาที่ซามูเอลกำหนดไว้ แต่ซามูเอลมิได้มาที่กิลกาล ประชาชนก็แตกกระจายไปจาก พระองค์ 9 ดังนั้นซาอูลจึงตรัสว่า "จงนำเครื่องเผาบูชามาให้ เราที่นี่และเครื่องศานติบูชาด้วย" และพระองค์ก็ได้ถวายเครื่อง เผาบูชา 10 พอพระองค์ถวายเครื่องเผาบูชาเสร็จ ดูเถิด ซามู เอลก็มาถึง ซาอูลก็เสด็จออกไปต้อนรับและทรงคำนับท่าน 11 ซามูเอลถามว่า "ท่านได้กระทำอะไรไปแล้วนี่" และซาอูล ตรัสตอบว่า "เมื่อข้าพเจ้าเห็นประชาชนแตกกระจายไปจาก ข้าพเจ้า และท่านก็มิได้มาภายในวันที่กำหนดไว้และคนฟีลิส เตียก็ได้ชุมนุมกันที่มิคมาช 12 ข้าพเจ้าจึงว่า 'บัดนี้ คนฟีลิส เตียจะยกมารบกับข้าพเจ้าที่กิลกาล และข้าพเจ้ายังมิได้ทูลขอ พระกรุณาแห่งพระเจ้า' ข้าพเจ้าจึงข่มตัวเองและได้ถวายเครื่อง เผาบูชา" 13 และซามูเอลกล่าวแก่ซาอูลว่า "ท่านได้กระทำ การที่โง่เขลาเสียแล้ว ท่านมิได้รักษาพระบัญชาแห่งพระเย โฮวาห์พระเจ้าของท่าน ซึ่งพระองค์ทรงบัญชาท่านไว้ เพราะ พระเจ้าจะได้ทรงสถาปนาราชอาณาจักรของท่านเหนืออิสรา เอลเป็นนิตย์แล้ว 14 แต่บัดนี้ราชอาณาจักรของท่านจะไม่ยั่งยืน พระเจ้าทรงหาชายอีกคนหนึ่งตามชอบพระทัยพระองค์แล้ว และพระเจ้าทรงแต่งตั้งชายผู้นั้นให้เป็นเจ้านายเหนือชนชาติ ของพระองค์ เพราะท่านมิได้รักษาสิ่งซึ่งพระเจ้าทรงบัญชา ท่านไว้" 15 และซามูเอลก็ลุกขึ้นไปจากกิลกาลถึงกิเบอาห์ แห่งเผ่าเบนยามิน และซาอูลทรงนับพลซึ่งอยู่กับพระองค์ ได้ประมาณหกร้อยคน

ซาอูลอดทนได้จนเกือบครบเจ็ดวัน แต่พอวันที่เจ็ดใกล้จะจบลง ซาอูลก็หมดความอด ทน ผมพอจะนึกออกว่าท่านคิดอะไร "นายคนนั้นอยู่ที่ใหนกัน ไปมัวทำอะไรอยู่ ? เขาไม่รู้เชียวหรือว่าเรากำลังตกอยู่ในอันตรายขนาดไหน ? ทำไมไม่เข้าใจในสถาน การณ์ แล้วรีบมาดำเนินการในทันที ? ให้เวลาอีกแค่ 30 นาทีพอ เราคงต้องทำ อะไรบางอย่างแล้ว"

ในขณะที่ประชาชนเริ่มกระจัดกระจายไปมากขึ้น ซาอูลเริ่มเข้ามาควบคุมสถานการณ์เอง ดูเหมือนท่านต้องเป็นผู้ทำการเผาและถวายเครื่องบูชาด้วยตนเอง ท่านสั่งให้นำเครื่อง เผาบูชาและเครื่องศานติบูชามา ไม่มีการพูดถึงปุโรหิตมาทำหน้าที่ ผมคิดว่าซาอูล ค่อนข้างจะให้ความสำคัญกับการถวายบูชานี้ และเหตุผลก็น่าจะเป็นเพราะ ใน1ซามู เอล 7 ชาวอิสราเอลมาชุมนุมกันที่มิสปาห์เพื่อสำนึกในบาป กลับใจและรื้อฟื้นพันธ สัญญาที่มีไว้กับพระเจ้า ชาวฟิลิสเตียเข้าใจแปลความหมายการชุมนุมในครั้งนั้นผิดไป พวกเขาคิดว่าเบื้องหลังคือการชุมนุมทางทหาร พวกฟิลิสเตียจึงเข้าล้อมอิสราเอลไว้ ที่มิสปาห์ และกำลังจะเข้าโจมตีในขณะที่ซามูเอลกำลังทำการเผาเครื่องบูชาถวาย :

9 ซามูเอลก็เอาลูกแกะอ่อนที่ยังกินนมอยู่ตัวหนึ่งมา ถวายเป็นเครื่องเผาบูชาทั้งตัวแด่พระเจ้า และซามูเอล ร้องทูลต่อพระเจ้าเพื่อคนอิสราเอล และพระเจ้าทรงตอบ ท่าน 10 ขณะที่ซามูเอลถวายเครื่องเผาบูชาอยู่นั้น คน ฟีลิสเตียก็เข้ามาใกล้จะสู้รบกับอิสราเอล แต่พระเจ้าทรง ให้ฟ้าร้องเสียงดังยิ่งนักในวันนั้นสู้กับคนฟีลิสเตีย กระทำ ให้คนฟีลิสเตียสับสนอลหม่าน จึงพ่ายแพ้แก่อิสราเอล
(1 ซามูเอล 7:9-10).

มันง่ายที่จะมองว่าการถวายบูชานั้นหมายถึงอิสราเอลจะได้รับการช่วยกู้ เช่นเดียวกับที่ พวกเขาเคยคิดว่าหีบพันธสัญญาเป็นเครื่องลางของขลังที่จะช่วยได้ ดังนั้นอาจเป็นได้ ที่ซาอูลมองว่าการถวายบูชาคือเพื่อให้แน่ใจว่าพระเจ้าจะทำการแทนคนอิสราเอล ถ้า เป็นเช่นนั้น จึงไม่เป็นเรื่องแปลกที่ซาอูลอยากให้มีการถวายบูชาเกิดขึ้นให้ได้ ไม่ว่าจะ มีซามูเอลอยู่ หรือไม่ก็ตาม

ทันทีที่ซาอูลถวายเครื่องเผาบูชาเสร็จ ซามูเอลก็มาถึง ดูเหมือนถ้าซาอูลใจเย็นคอย อีกนิด ซามูเอลก็คงมาถึงทันการพอที่จะทำการเผาเครื่องบูชาและถวายเครื่องศานติ บูชาได้ ซาอูลลงไปคำนับซามูเอล ที่ท่านทำดังนั้นยิ่งแสดงให้เห็นถึงความผิดของท่าน ไม่ใช่เป็นซาอูลที่ลงไปยืนท้าวสะเอวดุว่าทำไมซามูเอลมาช้าเสียจริง แต่เป็นซามูเอลที่ ถามว่าซาอูลได้ทำอะไรลงไป คำตอบของซาอูลนั้นออกจะกระด้าง45 http://www.bible.org/docs/ot/books/1sa/deffin/ท่านบอกกับซามู เอลว่า ประชาชนได้แตกกระจายหนีไป และท่านผู้เผยพระวจนะก็ไม่มาตามที่นัดไว้ ท่านยังชี้ให้เห็นอีกด้วยว่าพวกฟิลิสเตียยกทัพมาที่มิคมาชแล้ว จึงต้องรีบทำการถวาย บูชา มิฉะนั้นอาจถูกโจมตี ถ้ามัวมาคอยท่าอยู่ที่กิลกาล ท่านไม่ได้อยากทำในสิ่งที่ทำ ลงไป แต่ท่านจำเป็นต้องทำ จึงต้องข่มใจทำการถวายเครื่องเผาบูชา

ซามูเอลไม่ได้ประทับใจในคำพูดตรงๆและเป็นการเป็นงานของซาอูล การกระทำของ ซาอูลนั้นโง่เขลา — เพราะเป็นการขัดต่อคำสั่งที่ชัดเจนของซามูเอลอย่างจงใจ ที่ว่าเป็น สิ่งโง่เขลานั้น เพราะผลของการกระทำจะเป็นสิ่งตรงข้ามกับที่ซาอูลคิดไว้ในใจ ท่าน อาจคิดว่าการที่ต้องรอซามูเอล (และคำสั่งที่ท่านจะบอกให้) นั้นโง่เขลา แต่ท่านคิดผิด การขัดคำสั่งของท่านนั้นทำให้ท่านสูญเสียทั้งราชวงศ์ทีเดียว ถึงแม้ยังไม่มีการปลดท่าน ออกไปในทันที แต่บุตรของท่านจะไม่ได้ขึ้นครองราชย์ ถ้าซาอูลเพียงแต่ทำตามคำสั่ง ของพระเจ้า อาณาจักรของท่านจะดำรงอยู่ แต่บัดนี้อาณาจักรของท่านกำลังสลายไป พร้อมกับชีวิตของท่าน พระเจ้าได้ทำการเลือกสรรผู้ที่จะทำตามน้ำพระทัยของพระองค์ ไว้แล้ว เพื่อมาทำหน้าที่แทนซาอูล ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นนี้เป็นผลโดยตรงจากการไม่เชื่อฟัง ของซาอูลทั้งสิ้น

การจากไปของซามูเอลครั้งนี้ต่างจากครั้งที่บันทึกไว้ใน 1 ซามูเอล 15:24-31 ครั้งนี้ ซาอูลไม่ได้หวาดวิตกโดยคำพูดของซามูเอล และที่แน่ๆ ท่านไม่ได้รู้สึกสำนึกในบาป ถ้าซาอูลเป็นวัยรุ่นสมัยนี้ ท่านคงตอบซามูเอลไปว่า "ก็ตามใจ แล้วแต่จะคิด" ท่านจึงไป นับกำลังพลที่เหลืออยู่เพียงน้อยนิด ประมาณ 600 คน ส่วนซามูเอลก็กลับไปที่กิเบ อาห์

บทสรุป

เหตุการณ์ครั้งนี้ไม่ใช่เป็น "จุดเริ่มอวสานต์" ของกษัตริย์ซาอูล ; แต่เป็นจุดจบ อาณา จักรของท่านอาจจะมีต่อไปอีกระยะหนึ่ง แต่จะจบสิ้นลงเมื่อท่านตาย ปกครองได้เพียง สองปีเท่านั้น อนาคตในฐานะกษัตริย์ของซาอูลก็ถูกปิดประตูตาย เมื่อเราอ่านเรื่องราวนี้ เราอาจรู้สึกว่าการกระทำของซาอูลนั้นมีเหตุผลน่าเห็นใจ และการลงโทษของพระเจ้า ออกจะรุนแรงไป ทำไมจึงทำให้เป็นเรื่องใหญ่ ท่านทำเกินเหตุหรือ ? ให้เรามาพิจารณา ดูความร้ายแรงในการกระทำของซาอูล และดูความหมายต่างๆที่่พระคำตอนนี้บันทึกไว้

ก่อนอื่น ให้เรามาทำความเข้าใจในบัญญัติที่พระเจ้าตรัสสั่งไว้เกี่ยวกับเรื่องกษัตริย์ใน พระธรรมเฉลยธรรมบัญญัติ :

14 "เมื่อท่านมาถึงแผ่นดินที่พระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่าน ประทานแก่ท่าน และท่านถือกรรมสิทธิ์อาศัยอยู่ในแผ่นดิน นั้นแล้วท่านจะกล่าวว่า 'เราจะตั้งกษัตริย์ไว้เหนือเราเหมือน ประชาชาติอื่นซึ่งอยู่รอบเรา' 15 ก็จงตั้งผู้ซึ่งพระเยโฮวาห์ พระเจ้าของท่านทรงเลือกไว้ให้เป็นกษัตริย์เหนือท่าน คือตั้ง ผู้หนึ่งผู้ใดในพวกพี่น้องของท่านให้เป็นกษัตริย์เหนือท่าน ท่านอย่าตั้งคนต่างด้าวซึ่งมิใช่พี่น้องของท่านให้อยู่เหนือท่าน 16 แต่ว่าอย่าให้ผู้นั้นมีม้าของตนเองมากเกินไป หรือเป็นเหตุ ให้ประชาชนกลับไปอียิปต์ เพื่อจะมีม้ามากๆ เพราะพระเจ้าได้ ตรัสกับท่านทั้งหลายแล้วว่า 'เจ้าทั้งหลายจะไม่ได้กลับไปทาง นั้นอีกเลย' 17 และอย่าให้ผู้นั้นมีภรรยามาก เกรงว่าจิตใจของ เขาจะหันเหไปเสีย หรืออย่าให้มีเงินมีทองเป็นของตนอย่าง มากมาย 18 "เมื่อผู้นั้นนั่งบัลลังก์ในราชอาณาจักรก็ให้ผู้นั้นคัด ลอกกฎหมายนี้ไว้ในหนังสือเพื่อประโยชน์แก่ตนเองจากหนังสือ ที่ปุโรหิตคนเลวีรักษาอยู่นั้น 19 ให้กฎหมายนั้นอยู่กับผู้นั้น และให้ เขาอ่านอยู่เสมอตลอดชีวิตของตน เพื่อเขาจะได้เรียนรู้ที่จะยำเกรง พระเยโฮวาห์ พระเจ้าของเขา โดยรักษาถ้อยคำในกฎหมายนี้ และกฎเกณฑ์เหล่านี้และ กระทำตาม 20 เพื่อว่าจิตใจของเขาจะมิ ได้พองขึ้นสูงกว่าพี่น้องของตน และเพื่อเขาเองจะมิได้หันเหจาก พระบัญญัติไปทางขวามือหรือทางซ้ายมือ เพื่อเขาจะได้ปกครอง ราชอาณาจักรของเขาอยู่ได้นาน ทั้งตนเองและลูกหลานของตน ในอิสราเอล
(เฉลยธรรมบัญญัติ 17:14-20).

ให้มาดูข้อ 18-20 เป็นพิเศษ เมื่อกษัตริย์ขึ้นนั่งบนบัลลังก์แล้ว ท่านต้องทำการคัดลอก กฏหมายนี้ด้วยตนเอง — ท่านต้องทำการคัดลอกต่อหน้าปุโรหิตเลวี สิ่งนี้ทำให้เห็นชัด เจนถึง "การคานอำนาจ" กษัตริย์มีสิทธิอำนาจมาก แต่เมื่อเป็นเรื่องของกฏหมาย ท่าน ไม่เพียงแต่ต้องอยู่ภายใต้กฎหมายเท่านั้น แต่ต้องฟังคำปรึกษาและความหมายจาก ปุโรหิตเลวีด้วย ธรรมบัญญัติในพระคัมภีร์เดิมนั้นเป็นเหมือนหนังสือเรียนของกษัตริย์ โดยมีปุโรหิตเลวีเป็นครูผู้สอน เป็นผู้ให้คำปรึกษา ธรรมบัญญัติจะเป็นดังคู่มือแนะแนว ทางเสมอ เป็นหลักเกณฑ์ในการปกครอง กษัตริย์จะต้องอ่านแล้วอ่านอีกไปตลอดชีวิต สิ่งนี้ไม่เพียงแต่จะเพิ่มพูนสติปัญญาในการปกครองให้ ยังเป็นหลักเกณฑ์ในการก่อตั้ง สถาบันกษัตริย์ (ธรรมนูญของแผ่นดิน) แต่ยังจะป้องกันไม่ให้กษัตริย์มีจิตใจพองสูงขึ้น และยกตนเองให้สูงกว่าพี่น้องของตน (ข้อ 20) การอ่านบัญญัตินี้อย่างสม่ำเสมอ จะ ทำให้ไม่กล้าทำสิ่งที่ฝ่าฝืนกฏหมาย ถึงแม้จะเป็นในเรื่องเล็กน้อยก็ตาม การทุ่มเท ทำตามบัญญัติจะทำให้มีอายุยืนนาน ทั้งตัวท่านและลูกหลานด้วย (ข้อ 20).

นี่เป็นคำอธิบายถึงการที่พระเจ้าลงโทษต่อการขัดคำสั่งของซาอูลอย่างรุนแรงหรือไม่? ซาอูลไม่ได้ระวังในการทำตามคำสั่งที่มีไว้สำหรับกษัตริย์ในพระธรรมเฉลยธรรมบัญญัติ และตามที่ซามูเอลเคยอธิบายและเตือนย้ำไว้ :

24 ซามูเอลจึงกล่าวแก่ประชาชนทั้งปวงว่า "ท่านเห็นผู้ที่พระเจ้าทรงเลือกไว้แล้วหรือ ในท่ามกลางประชาชนไม่มีใครเหมือนท่าน" และประชาชนจึงร้องเสียงดังว่า "ขอพระรา ชาทรงพระเจริญ" 25 แล้วซามูเอลจึงบอกกับ ประชาชนให้ทราบถึงสิทธิและหน้าที่ของตำ แหน่งพระราชา และท่านบันทึกไว้ในหนังสือ และวางถวายแด่พระเจ้าแล้ว ซามูเอลก็ให้ ประชาชนกลับไปยังบ้านของตนทุกคน
(1 ซามูเอล 10:24-25)

นอกเนือจากคำสั่งทั่วไปในการแต่งตั้งซาอูลขึ้นเป็นกษัตริย์อิสราเอลแล้ว ยังมีคำสั่งที่ เฉพาะเจาะจง ("คำสั่ง") ใน 1 ซามูเอล 10:8 ซาอูลไม่มีข้อแก้ตัวใด ; การเผาเครื่อง ถวายบูชาเป็นการจงใจฝ่าฝืนคำสั่ง ซึ่งทำให้ท่านต้องสูญเสียราชอาณาจักรไป

ให้เรานำเรื่องการไม่เชื่อฟังคำสั่งของซาอูล มาเป็นบทเรียนสำหรับเราในวันนี้ เราจะ รวบรวมบทเรียนที่สำคัญในเนื้อหาตอนนี้ มาเป็นข้อปฏิบัติสำหรับเราต่อไปนี้

(1) เช่นเดียวกับซาอูล ถ้าเราไม่ตระหนักถึงความสำคัญในการทรงเรียก เรา กำลังมุ่งหน้าไปสู่ความเดือดร้อน ประชาชนต้องการให้มีกษัตริย์เพื่อมาวินิจฉัยพวก เขา ที่สุดคือ ต้องการให้กษัตริย์มาช่วยพวกเขาให้หลุดจากการเป็นเมืองขึ้นของขนชาติ รอบด้าน ซามูเอลพยายามเป็นอย่างยิ่งที่จะทำให้ซาอูลเข้าใจถึงการที่พระเจ้าทรงเลือก ท่าน และให้ท่านทำในสิ่งใด ดูเหมือนไม่นานนัก ความรู้สึกในการทรงเรียกของซาอูล เริ่มจืดจาง จากที่เราเรียนมา ซาอูลขาดสำนึกในสิ่งที่พระเจ้าต้องการให้ท่านกระทำ หรือ ขาดการทุ่มเทในการทำตาม — หรือขาดทั้งสองสิ่ง เมื่อผมกลับไปอ่านจดหมายฝากจาก อ.เปาโล ผมมองเห็นคนที่มีสำนึกลึกซึ้งต่อการทรงเรียก และทุ่มเทที่จะทำตามนั้น ให้สำเร็จ — จนถึงที่สุด (ดูโรม 1:1; 1 โครินธ์ 1:1; กาลาเทีย 1:15; 2 ทิโมธี 4:7-8) อ.เปาโลพูดไว้มากเรื่องการทรงเรียกและการท้าทายให้เราทำตามการทรงเรียกนั้น — ทั้ง การทรงเรียกธรรมดา (ที่ทรงเรียกธรรมิกชนทุกคน – ดู โรม 1:6-7; 8:28, 30; 1 โครินธ์ 1:2, 9; กาลาเทีย 5:13; เอเฟซัส 4:1; 1 เธสะโลนิกา 4:7; 2 เธสะโลนิกา 1:11) และ การทรงเรียกส่วนตัว (1 โครินธ์ 7:17) ดูเหมือนว่าซาอูลขาดสำนึกที่ลึก ซึ้งต่อการที่พระเจ้าเรียกท่านให้มาทำหน้าที่กษัตริย์ สิ่งที่ท่านดิ้นรนทำหลายครั้งใน พระธรรม 1 ซามูเอล ดูจะเป็นเพราะท่านขาดความเข้าใจในสิ่งที่ท่านถูกเลือกให้มาทำ

คริสเตียนทุกคนได้รับการ "ทรงเรียก" และเราแต่ละคน "ถูกเรียก" อย่างจำเพาะเจาะจง ผมไม่ได้หมายถึงการ "ทรงเรียกพิเศษ" ให้มาทำงาน "รับใช้เต็มเวลา" หรือออกไปเป็น "มิชชันนารี" ผมหมายถึงสำนึกในการทรงเรียกโดยเฉพาะ ซึ่งคริสเตียนควรสำนึกได้ สาเหตุที่พระเจ้าประทานความรอดให้เราอย่างเจาะจง และสำนึกในภาระรับผิดชอบที่ มีต่อการเสริมสร้างพระกายของพระคริสต์ คริสเตียนหลายคนสูญเสียสำนึกในการทรง เรียกนี้อย่างสิ้นเชิง และเช่นเดียวกับซาอูล เรามักจะไป "แอบอยู่หลังกองสัมภาระ" ของ งานรับใช้ที่โบสถ์ มากกว่าจะอาสาไปช่วยแบ่งเบาภาระ

(2) คำสั่งของพระเจ้าเป็นดังบทพิสูจน์ถึงความเชื่อและการเชื่อฟังของเรา ซาอูลได้รับคำสั่งอย่างเจาะจงให้ไปที่กิลกาลและรอซามูเอลอยู่ที่นั่น นีเป็นบทพิสูจน์ ถึงความเชื่อและการเชื่อฟังของซาอูล คำสั่งที่มีอยู่ในพระคัมภีร์ เป็นคำสั่งที่มีเหตุผลดี ทั้งสิ้น เหตุผลหนึ่งก็คือเป็นข้อพิสูจน์ถึงความเชื่อของเรา ผมได้ยินคริสเตียนหลายคน ในทุกวันนี้ มีปฏิกิริยาต่อคำสั่งย้ำเตือนของพระเจ้าที่ต้องการให้เชื่อฟัง ผมได้ยินบางคน พูดว่าเป็นการ "บังคับกันเกินไป" บางคนเชื่อฟังเพราะคิดว่าเป็นวินัย์ที่ต้องทำตาม นี่ก็ เป็นปัญหาอีกรูปแบบหนึ่ง แต่มีคริสเตียนหลายคนไม่สนใจในคำสั่งของพระเจ้าเลย พระเยซูทรงสั่งสาวกว่า "สอนเขาให้ถือรักษาสิ่งสารพัดซึ่งเราได้สั่งพวกเจ้าไว้" (มัทธิว 28:20) คุณถือรักษาคำสั่งของพระคริสต์อย่างเคร่งครัดเพียงใดในทุกวันนี้ ?

(3) ความมีเสรีภาพของคริสเตียนนั้นเป็นข้อทดสอบถึงความเชื่อและความรักที่ เรามีต่อพระเจ้าด้วย ในบทที่ 10 ข้อ 7 ซามูเอลสั่งซาอูลว่า

"7 เมื่อหมายสำคัญเหล่านี้ เกิดแก่ท่านแล้ว จง กระทำอะไรตามแต่มีโอกาสเถิด เพราะพระเจ้า ทรงสถิตกับท่าน" สิ่งใดยับยั้งไม่ให้ซาอูลจัดการกับคนฟิลิสเตียที่ครอบครองและกดขี่่่่อยู่ในดินแดน อิสราเอล ? เหตุใดซาอูลจึงไม่ทำในสิ่งที่เห็นชัดว่าท่านควรกระทำ ด้วยการวางใจ ว่าพระเจ้าจะสถิตกับท่าน ? พวกเราส่วนมากไม่เพียงแต่ล้มเหลวในการทำตามคำสั่ง ของพระเจ้า เรายังล้มเหลวในการใช้เสรีภาพของเราอย่างถูกต้องด้วย เสรีภาพก็เป็น เช่นเดียวกับกฎหมาย คือบททดสอบที่พวกเรามักสอบไม่ผ่าน

(4) เหตุฉุกเฉินไม่สามารถนำมาเป็นข้ออ้างในการขัดขืนคำสั่งของพระเจ้า แต่ เป็นตัวพิสูจน์ถึงความเชื่อและการเชื่อฟังของเรา พระเจ้าทรงทดสอบเราด้วยการ ให้เราไปถึงที่สุด เช่นเดียวกับการทดสอบสินค้าที่เราผลิตขึ้นมา บ.ฟอร์ดไม่ได้ทดสอบ คุณภาพรถด้วยการขับอย่างช้าๆไปรอบตึกสักสามสี่รอบก็พอ แต่นำไปทดสอบในสนาม สำหรับการทดสอบที่เต็มไปด้วยหลุมบ่อและเครื่องกีดขวางมากมาย มีการทดสอบว่า เครื่องยนตร์จะทนต่อสภาพความร้อนสูง หรือเย็นจัดได้ หรือวิ่งได้ในระยะทางไกลเพียง ใด พระเจ้าทรงทดสอบเราด้วยการนำเราไปจนถึงที่สุดเช่นกัน ทรงนำเราไปจนถึงจุดที่ เราต้องเหยียบเบรกหยุด

เมื่อเราถึง "ที่สุด" ของเรา ความเชื่อในพระจ้าจะปรากฏออกมาอย่างชัดเจน เมื่อเราหมด แหล่งที่พึ่ง เราต้องมาวางใจในพระเจ้า พระเจ้าทดสอบความอดทนของซาอูลจนถึง "ที่สุด" โดยการให้ซามูเอลมาจนเกือบนาทีสุดท้าย แต่ซาอูลอดทนคอยไม่ไหว ท่าน มั่นใจว่าสถานการณ์ "คับขัน" เป็นที่สุดแล้ว ดังนั้นต้องมองข้ามกฏเกณฑ์บางอย่างไป ในเวลาเช่นนี้เอง — ที่เราถูกบีบจนถึงที่สุด — เรากำลังถูกทดสอบความเชื่อและการเชื่อ ฟัง ว่าเราจะสามารถถือรักษาบัญญัติของพระเจ้าได้มากน้อยเพียงใด ว่าเรายังเชื่อฟัง พระองค์อยู่หรือเปล่า ?

พระธรรมสุภาษิตกล่าวถึงสองครั้งว่า "มีสิงห์อยู่ที่ถนน" (ดูสุภาษิต 22:13; 26:13) นี่เป็นข้ออ้างของคนขี้เกียจที่จะไม่ทำในสิ่งที่ตนเองต้องทำ เพราะว่า ใครจะอยากออก ไปตัดหญ้าถ้ามีสิงห์อยู่ที่สนามจริงๆ ? สถานการณ์ฉุกเฉิน ความเป็นความตายรออยู่ข้าง หน้า การฝ่าฝืนกฏระเบียบดูจะเป็นเรื่องจำเป็นต้องทำ หรืออาจเป็นเพียงมีสิงห์อยู่ที่ถนน ก็ได้ ดูเหมือนเราพร้อมที่จะหาเหตุมาอ้างที่จะไม่ทำตามคำสั่งพระเจ้า แต่พระเจ้าไม่ ทรงคิดเช่นนั้น ให้เราระวังอย่าให้สถานการณ์มาเป็นตัวกำหนดและเป็นข้ออ้างในการ ไม่เชื่อฟังของเรา

ผมสงสัยว่าการขัดคำสั่งของซาอูลในการถวายเครื่องเผาบูชานี้ เป็นเหตุการณ์ที่ดูจะ โดดเด่น หรือว่าเป็นเหตุการณ์ที่สำคัญเด่นชัดที่สุดในประวัติศาสตร์การไม่เชื่อฟังที่ ยาวนานของอิสราเอล อย่างที่ชี้ให้เห็นแล้ว ซาอูลทราบว่าหน้าที่ของท่านในฐานะ กษัตริย์ของอิสราเอล คือทำสงครามกับฟิลิสเตียและชนชาติที่มากดขี่ข่มเหงประชากร ของพระเจ้าอยู่รอบด้าน วันแล้ววันเล่า เดือนแล้วเดือนเล่า ที่ดูเหมือนซาอูลจะปิดหู ปิดตาต่อความทุกข์ของประชาชน และการที่ฟิลิสเตียมามีกองกำลังอยู่ในเขตแดนอิสรา เอล การขัดคำสั่งในเรื่องการถวายเครื่องเผาบูชาที่กิลกาลไม่ใช่บาปที่เกิดขึ้นโดยไม่ ทันรู้ตัว — เป็นบาปที่ทำให้ช็อคกันไปถ้วนหน้า เป็นผลที่เกิดขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ของชีวิตที่ขาดการเชื่อฟัง เหตุการณ์ครั้งนี้แสดงให้เห็นถึงเนื้อแท้ (หรือไม่แท้) ของ ซาอูล ซึ่งอาจเกิดขึ้นกับเราทั้งหลายได้เช่นเดียวกัน

ผมอดสังเกตุไม่ได้ว่า สำหรับซาอูลแล้วไม่เห็นมีหมายใดที่แสดงให้เห็นถึงจิตวิญญาณ ของท่านก่อนมาเป็นกษัตริย์ หรือหลังจากนั้น แต่สำหรับดาวิด ชายหนุ่มผู้เรียนรู้ที่จะไว้ วางใจในพระเจ้า ในขณะเมื่อยังเป็นเด็ก ถูกทิ้งให้เลี้ยงแกะอยู่ตามลำพัง ดาวิดเรียนรู้ที่ จะวางใจในพระเจ้าและนมัสการพระองค์ ท่านมีประวัติในการดำเนินกับพระเจ้ามาก่อน ที่จะเป็นกษัตริย์ และยังมีต่อไปหลังจากนั้น ซาอูลไม่มีวินัยของพระเจ้าในชีวิตของท่าน และมันก็แสดงออกมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่กิลกาลเมื่อมีการทดสอบความเชื่อเกิดขึ้น

(5) คำพิพากษาของพระเจ้าอาจมีก่อนที่ผลจะออกมาเห็นได้อย่างชัดเจน พระเจ้าอาจพิพากษาไปล่วงหน้าแล้วก่อนที่การลงโทษจะมาถึง พระเจ้าไม่ยอมรับ ซาอูลในฐานะกษัตริย์ ราชวงศ์ของท่านต้องจบสิ้นลง (ดู 13:14) เมื่อพูดถึงตรงนี้ ซาอูลเองก็ยังปกครองอยู่ได้หลายปีก่อนสิ้นชีวิตลง เราแน่ใจได้ว่า การพิพากษาของ พระจ้ามีมาแน่นอน ถึงแม้อาจต้องใช้เวลาบ้าง เช่นเดียวกับที่เกิดกับซาอูล และเช่น เดียวกับการลงโทษของพระเจ้า ความพินาศของซาตานได้มีประกาศไว้ล่วงหน้าแล้ว แต่เราก็ยังเห็นพวกมันต่อต้านพระเจ้าและคริสตจักรของพระองค์อยู่ ถึงกระนั้น การ พิพากษาต้องเกิดขึ้นแน่นอน แต่ยังไม่ใช่ในทันที

(6) พระเจ้าทรงทำงานผ่านคนที่ไม่สมบูรณ์แบบ คนที่ไม่ได้อยู่ในอุดมคติ เรา ไม่เคยหยุดสงสัยเลยว่าพระเจ้าเลือกใช้คนประเภทใด เพื่อทำให้วัตถุประสงค์และพระ สัญญาของพระองค์สำเร็จไป ซาอูลเป็นหนึ่งในนั้น ถึงแม้ท่านอ่อนแอและกระทำบาป แต่พระเจ้าก็ใช้ท่านให้ปลดปล่อยอิสราเอลออกจากการเป็นเมืองขึ้นของประชาชาติรอบ ด้าน (ดู 14:47-48) ตลอดมาในประวัติศาสตร์ พระเจ้าทรงเลือกที่จะใช้ "คนอ่อนแอ และโง่เขลา" ของโลกนี้ ทำให้ผู้ที่คิดว่าตนเองฉลาดหลักแหลมตะลึงไป เพื่อพระสิริ แห่งพระนามของพระองค์ ถ้าพระเจ้าสามารถใช้คนเช่นซาอูลได้ เราแน่ใจได้เลยว่า พระองค์ก็ทรงสามารถใช้เราได้เช่นกัน เราต้องโมทนาคุณพระองค์ที่ไม่ทรงใช้แต่คนที่ สมบูรณ์แบบเท่านั้น เราจึงไม่สามารถอ้างความอ่อนแอความบาปของเราได้ แต่ให้เรามี ความหวังว่าพระเจ้าสามารถใช้คนอ่อนแอและคนบาปอย่างเราเพื่อให้งานของพระองค์ บรรลุได้ตามพระประสงค์


42 เป็นเมืองของเผ่าเบนยามิน อยู่ห่างจากทางเหนือของกรุงเยรูซาเล็มไปประมาณ 11 กิโลเมตร และห่างจากกิเบอาห์ไปประมาณ 5 กิโลเมตร ซึ่งจะทำให้ดูโดเด่นจากเมือง อื่นๆ … John J. Bimson, consulting editor, Baker Encyclopedia of Bible Places (Grand Rapids: Baker Book House, 1995), p. 141.

43 ทำให้ผมนึกถึงภาพยนตร์อยู่เรื่องหนึ่ง ที่มีการเรียกให้มาเข้าร่วมสงคราม แต่ไม่มีใคร มา ดูเหมือนจะเป็นกรณีเดียวกัน

44 ค่อนข้างน่าสนใจ ที่พระคัมภีร์ฉบับ New Revised Standard Version ใช้คำว่า อุโมงค์ สถานการณ์ในอิสราเอลคงย่ำแย่ถึงขนาดที่คนต้องไปหลบซ่อนอยู่ในอุโมงค์

45 ให้สังเกตุดูว่าซาอูลกำลังใช้สรรพนามว่า "ข้าพเจ้า" ในข้อ 12 และท่านยังคงกล่าว ต่อไปโดยใช้ตัวท่านเป็นประธาน ("ข้าพเจ้า") ซึ่งดูเหมือนว่ากองทัพอิสราเอลนั้น จะมี ชัยหรือไม่ขึ้นอยู่กับตัวท่านเอง มากกว่าขึ้นอยู่กับพระเจ้า

Related Topics: Introductions, Arguments, Outlines

บทที่ 9: ซาอูล โยนาธาน และชาวฟิลิสเตีย (1 ซามูเอล 13:15 —14:15)

คำนำ

ผมและเพื่อนเคยถ่ายรูปเอาไว้ตอนไปเที่ยวตกปลากันเมื่อปีที่แล้ว ดูทีไรทำให้นึกถึง การเดินทางและความทรงจำที่สวยงาม รูปที่ถ่ายนั้นเป็นการถ่ายลงมาจากที่สูง มีเพื่อน ที่ชื่อบาร์ท จอห์นสัน ยืนอยู่บนยอดเขา สิ่งแรกที่เห็นคือปลายหัวรองเท้าบูทของบาร์ท — และมองดิ่งลงไปตามความสูงของหน้าผา — ไปยังทะเลสาบเบื้องล่าง ผมไม่ได้ปีน ลงไปกับบาร์ทและแรนดัลน้องชายของเขา แต่ปีนขึ้นไปบนยอดเขาด้วย — ตอนถ่ายรูป ผมยืนอยู่ใต้ต้นไม้ห่างจากหน้าผาไปพอสมควร — จากยอดเขาลงไปที่ทะเลสาบคงระยะ ประมาณ 20-25 ฟิต ผมลองหย่อนสายเบ็ดลงไป และมองเห็นปลาเทร้าท์ว่ายมาดูๆ บางตัวก็ตอดเบ็ดบ้าง — ผมลองพยายามเหวี่ยงเหยื่อไปล่อใกล้ๆปลา — โดยยืนจากจุด ใต้ต้นไม้นั้นแหละ

บาร์ทและแรนดัลเพื่อนผมเป็นพวกชอบทำในสิ่งที่ยากและเสี่ยง พวกเขาไปสอบถามเจ้า หน้าที่ประจำอุทยานถึงสถานที่ตกปลาพิเศษแห่งหนึ่ง เจ้าหน้าที่ตอบว่า "โอ ผมคงไม่ พยายามไปตกปลาที่ทะเลสาปนั้นแน่ๆ มันอยู่ไกลเกินไป แถมยังต้องปีนขึ้นเขาไปประ มาณ 2.000ฟิต แล้วยังต้องปีนลงไปอีกด้านอีก 2.000ฟิต เพื่อจะลงไปให้ถึงที่ทะเล สาบ" คำพูดแค่นี้ก็เพียงพอให้ทั้งบาร์ทและแรนดัลเก็บข้าวของแล้วรีบไปในทันที พวก เขาเล่าว่าที่นั่นปลาชุมมาก แทบจะตกได้ทุกครั้งที่หย่อนเบ็ดลงไป ผมว่าน่าจะเป็นจริง แต่ผมเห็นรูปที่พวกเขาถ่ายจากบนยอดเขา และหน้าผาที่ไต่ลงไปแล้ว แถมยังต้องไต่ กลับขึ้นมาอีก ผมไม่รู้สึกเสียดายหรอกครับที่ต้องนั่งตกอยู่ในที่เดิมๆที่ผมเคยมานั่งตก ทุกที มันอยู่เหนือระดับน้ำเพียงนิดเดียวเอง

พอได้อ่านเรื่องราวของโยนาธานและคำพูดหาเสียงชักชวนให้ไปสู้รบกับฟิลิสเตียแล้ว ทำให้ผมนึกถึงรูปของบาร์ทและแรนดัลที่อยู่เหนือหน้าผาขึ้นมาทันที เหมือนกับผมที่ ตัดสินใจนั่งตกปลาอยู่ในที่ปลอดภัยใต้ต้นไม้ ซาอูลเองก็ทำเช่นเดียวกัน คือเลือกที่จะ นั่งสงบๆอยู่ใต้ต้นไม้ดีกว่า ในขณะที่โยนาธานและคนถือเครื่องอาวุธพยายามไต่ลงไป ยังหน้าผาที่ลาดชัน เพื่อไปรบกับกองกำลังของฟิลิสเตีย ไม่ว่าการไต่จะยากลำบาก หรือการที่ฟิลิสเตียยังมีใจเอื้อเฟื้ออยู่บ้าง ไม่สามารถยับยั้งโยนาธานให้หยุดการโจมตี เหล่าศัตรูของอิสราเอลได้ ยังมีเรื่องอีกมากมายนอกหเนือจากการเสี่ยงภัยไต่หน้าผา เราจะมาพิจารณาดูเนื้อหาในตอนนี้อย่างละเอียด เราจะเรียนรู้จักทั้งซาอูลและโยนาธาน มากขึ้นไปอีก — และเรียนรู้ที่จะไว้วางใจในพระเจ้า

ทบทวน

อิสราเอลต้องการกษัตริย์และพระเจ้าก็อนุญาติให้ตามที่ขอ (1 ซามูเอล 8) เหตุการณ์ก็ ดำเนินต่อเนื่องมา จนพระเจ้าแต่งตั้งซาอูลให้ขึ้นมาเป็นกษัตริย์เหนืออิสราเอล (บทที่ 9 และ 10) เมื่อนาหาชคนอัมโมนมาข่มขู่ชาวเมืองยาเบชกิเลอาด ซาอูลที่มีพระวิญญาณ สถิตอยู่ ได้ฆ่าวัวและฟันออกเป็นท่อนๆส่งไปทั่วดินแดน บังคับแกมขู่ว่า ถ้าผู้ใดไม่ออก มาช่วยพี่น้อง วัวของเขาก็จะถูกกระทำในแบบเดียวกัน ผลจากการนี้มีคนอาสามาต่อสู้ กับคนอัมโมนถึง 330,000 คน ทำให้อิสราเอลมีชัยชนะเป็นอย่างมาก (บทที่ 11) ฝ่ายซามูเอลได้ตักเตือนชาวอิสราเอลอย่าให้มองกษัตริย์องค์ใหม่นี้ในแง่ดีจนเกินไป ท่านเตือนพวกเขาว่าพระเจ้าเท่านั้น ไม่ใช่มนุษย์ ที่เป็นผู้ช่วยกู้คนอิสราเอลตลอดเวลา ในประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา ถ้าอิสราเอลกบฎต่อพระเจ้า ไม่ยอมวางใจและเชื่อฟังพระองค์ พวกเขาทั้งหมดรวมทั้งกษัตริย์ด้วยจะถูกมอบไว้ในมือของศัตรูต่างชาติ แต่ถ้าอิสราเอล มีความยำเกรงในพระเจ้า พระองค์ก็จะทรงไว้ชีวิตทั้งกษัตริย์และประชากร (บทที่ 12)

ต่อมาในบทที่ 13 สถาณการณ์ของซาอูลและอิสราเอลดูจะตกต่ำลงอย่างรวดเร็ว การที่ โยนาธานบุกไปโจมตีกองกำลังของฟิลิสเตียนั้น สร้างความโกรธแค้นอย่างใหญ่หลวง ให้กับชาวฟิลิสเตีย พวกเขายกกองทัพมหึมา มาเพื่อหวังจะบดขยี้อิสราเอลให้ราบคาบ เหตุการณ์ดำเนินไปอย่างตกต่ำลงทุกที ซาอูลต้องเรียกให้ประชาชนกลับมาร่วมรบอีก ครั้ง ทั้งๆที่พวกเขาพึ่งกลับไปได้ไม่นาน มีคนอาสามาน้อยมาก เมื่อเทียบกับครั้งที่แล้ว และเมื่อพวกเขามาเห็นความมหึมาของกองทัพฟิลิสเตีย พวกเขาก็แตกหนีกระจัดกระ จายไป เมื่อซามูเอลมาถึง ก็เกือบหมดเวลานัดหมาย ซาอูลไม่มีความอดทนรอคอย ท่านเข้าไปจัดการเผาเครื่องถวายบูชาและถวายศานติบูชาแทนซามูเอลเอง ซามูเอล มาถึงเมื่อพิธีเสร็จสิ้นลงแล้ว ท่านไม่ยอมรับคำแก้ตัวที่ไร้น้ำหนักของซาอูล ท่านดุว่า ซาอูลว่าได้ทำการอันโง่เขลา และประกาศว่าเพราะการขัดคำสั่งของซาอูล ราชวงศ์ของ ท่านจะจบสิ้นลง พระเจ้าได้ทรงกำหนดเลือกผู้ที่จะมาแทนท่านแล้ว เป็นผู้ที่ยอมทำ ตามน้ำพระทัยของพระองค์เป็นที่สุด (13:1-14).

ปฏิบัติการเหนือชั้น
(13:15-23)

15 และซามูเอลก็ลุกขึ้นไปจากกิลกาลถึงกิเบอาห์แห่งเผ่า เบนยามิน และซาอูลทรงนับพลซึ่งอยู่กับพระองค์ได้ประ มาณหกร้อยคน 16 ซาอูลกับโยนาธานราชโอรสของพระองค์ และพลที่อยู่กับพระองค์ก็อยู่ในเกบาแห่งเผ่าเบนยามิน แต่ คนฟีลิสเตียตั้งค่ายอยู่ที่มิคมาช 17 มีกองปล้นออกมาจาก ค่ายคนฟีลิสเตียสามกอง กองหนึ่งหันตรงไปยังโอฟราห์ยัง แผ่นดินชูอัล 18 อีกกองหนึ่งหันตรงไปยังเบธโฮโรนและอีก กองหนึ่งหันตรงไปยังพรมแดนซึ่งอยู่เหนือหุบเขาเศโบอิม ตรงถิ่นทุรกันดาร 19 คราวนั้นจะหาช่างเหล็กทั่วแผ่นดิน อิสราเอลก็ไม่มี เพราะคนฟีลิสเตียกล่าวว่า "เกรงว่าพวก ฮีบรูจะทำดาบหรือหอกใช้เอง" 20 แต่คนอิสราเอลทุกคน ไปยังฟีลิสเตียเพื่อลับผาล ขวานและจอบของเขา 21 ค่าลับ นั้นพิมหนึ่งสำหรับลับจอบ ผาล สามง่าม ขวานและติดประตัก 22 เพราะฉะนั้นเมื่อถึงวันทำศึกจะหาดาบหรือหอกในมือของ พลที่อยู่กับซาอูลและโยนาธานก็ไม่ได้ แต่ซาอูลกับโยนาธาน ราชโอรสของพระองค์มี 23 และกองทหารรักษาการของคน ฟีลิสเตียยกไปถึงทางที่ข้ามไปเมืองมิคมาช

เรามาเริ่มจากตรงที่ซามูเอลละซาอูลไว้ที่กิลกาลและกลับไปยังกิเบอาห์ โดยไม่มีการ "สั่งว่าท่านควรจะกระทำอะไร" (10:8) ซามูเอลไม่ได้แนะสิ่งใดให้ซาอูลเลยว่าควรจัด การอย่างไรกับกองทัพมหึมาของฟิลิสเตียที่ยกมาเพราะความแค้นที่กองกำลังของพวก เขาถูกโยนาธานบุกไปโจมตีที่เกบา (13:3; ดู 10:5 ด้วย) ในการเตรียมรบ ซาอูลนับ กำลังพลได้เพียง 600 เท่านั้นที่ติดตามท่านอยู่ ด้วยกองกำลังนับหมื่นนับพันของ ฟิลิสเตีย ดูเหมือนอิสราเอลและกษัตริย์องค์ใหม่ตกเป็นรองอย่างชนิดไม่ต้องพนันเลย

เราอาจนึกถึงภาพกองทัพฟิลิสเตียยืนอยู่ฟากหนึ่งที่มิคมาช และกองกำลังของอิสราเอล ภายใต้การนำของซาอูลและโยนาธานอยู่อีกฟากหนึ่งที่เกบา (13:16) แต่รู้สึกจะไม่เป็น เช่นนั้น ในขณะที่กองกำลังส่วนใหญ่ของฟิลิสเตียยืนหยัดอยู่ที่มิคมาช มีการส่ง "กอง ปล้น" สามกองออกจากฟิลิสเตีย (13:17; 14:15) กองหนึ่งบ่ายหน้าไปทางเหนือไปยัง โอฟราห์ กองหนึ่งไปทางตะวันตกที่เบธโฮโรน และกองที่สามไปทางตะวันออกสู่ถิ่น ทุรกันดาร (พวกอิสราเอลอยู่ทางตอนใต้ ) กองปล้น หรือพวกเข้าทำลายนี้นับเป็น "กองกำลังพิเศษ" ที่มีหน้าที่ต้อง ฆ่า เผาทำลาย ซึ่งหมายถึงทำลายชีวิต สัตว์เลี้ยง บ้านเรือนไร่นา ถ้าปล่อยให้พวกนี้ยิ่งปล้นฆ่านานเท่าใด ยิ่งนำมาซึ่งสถานการณ์ที่เลว ร้ายยิ่งของอิสราเอล ถ้าอิสราเอลไม่สามารถเอาชนะฟิลิสเตียและขับไล่พวกเขาไปให้ พ้นได้ อิสราเอลกำลังมุ่งหน้าสู่ความพินาศ

ด้วยกองกำลังที่มากมายกว่าเช่นนี้ ชาวอิสราเอลหวาดกลัวหลบหนีกันอย่างลนลาน ซาอูลกระทำการโง่เขลาโดยการเผาเครื่องถวายบูชาด้วยตนเองและถูกซามูเอลดุว่า กองปล้นฟิลิสเตียกำลังเข้ามาฆ่าล้างทำลายในแผ่นดิน ทิ้งไว้แต่ความพินาศเมื่อจากไป เมื่อเปรียบเทียบกับฟิลิสเตียแล้ว กองกำลังของอิสราเอลดูจะกระจ้อยร่อยและขาด แคลนอาวุธทีจะใช้ในการรบ เพราะยุคเหล็กได้เข้ามาถึงฟิลิสเตีแแล้ว ด้วยเทคโนโลยี ต่างๆ ทำให้พวกฟิลิสเตีย มีดาบเหล็ก หอกเหล็ก และล้อรถม้าทำด้วยเหล็กใช้ พวกชาว นามีเครื่องมืออย่างดีใช้ทำนา แต่ชาวอิสราเอลไม่ได้รับการถ่ายทอดเทคโนโลยีเหล่านี้ จากฟิลิสเตีย ชาวฟิลิสเตียขายเครื่องมือทำไร่ให้กับชาวอิสราเอล แต่ไม่ขายอาวุธให้ ซ้ำยังไม่อนุญาติให้ทำ หรือมีอาวุธในครอบครอง46 http://www.bible.org/docs/ot/books/1sa/deffin/ อีกด้วย สิ่งนี้ทำให้อิสราเอลเหมือน หมาจนตรอก (ขอโทษที่ต้องใช้สำนวนนี้) ผู้เขียนบอกเราว่ามีเพียงซาอูลและโยนาธาน เท่านั้นที่มีอาวุธ (13:22) อิสราเอลกำลังตกที่นั่งลำบาก

ถ้าพูดกันในแง่เกษตรกรรม ชาวอิสราเอลต้องพึ่งพิงชาวฟิลิสเตียทุกประการ อิสราเอล ต้องซื้อเครื่องมือทำไร่จากฟิลิสเตีย แถมยังต้องไปจ่ายค่าลับเครื่องมือเหล่านั้นให้กับ ฟิลิสเตียอีก ดังนั้น ในการดำเนินชีวิตแต่ละวันของอิสราเอลยิ่งตอกย้ำถึงการเป็นเมือง ขึ้นตลอดเวลา ถ้าพูดกันในแง่การทหาร อิสราเอลแทบไม่มีหวังเลย ฟิลิสเตียมีกองทัพ ที่ใหญ่และเพียบพร้อมไปด้วยอาวุธ ยังมีกองปล้นที่ออกปฏิบัติการทำลายล้างไปทั่วดิน แดน อิสราเอลมีเพียงกองทหารเล็กๆที่ตื่นตระหนก มีหลายคนหนีกระจัดกระจายไป แถมมีบางคนไปเข้าพวกกับฟิลิสเตียด้วย (ดู 14:21) กษัตริย์อิสราเอลพยายามดิ้นรน จนถึงที่สุด ถึงจะมีเทคโลโนยีที่ต่ำกว่าชนิดเทียบกันไม่ติด อิสราเอลกำลังตกอยู่ใน ฐานะเดินหน้าก็ตาย ถอยไปก็ตาย

ผมกำลังนึกถึง "สงครามหกวัน" ระหว่างอิสราเอลและประเทศเพื่อนบ้านในเดือนมิถุนา ยน คศ. 1967 ที่ผมจำได้เพราะเป็นตอนที่ผมและภรรยากำลังจะเดินทางไปเมืองดัลลัส เท็กซัส เพื่อไปร่วมงานที่วิืทยาลัยพระคริสตธรรม เรากำลังนึกสงสัยว่าพระเจ้ากำลังจะ เสด็จกลับมาหรือเปล่า เราได้ฟังจากข่าวว่าอิสราเอลนั้นขาดกำลัง ขาดอาวุธ และค่อน ข้างจะอ่อนแอ เราไปคาดผิดว่าอิสราเอลไม่มีทางจะชนะได้ แต่พวกเขาก็ชนะได้ใน เวลาอันแสสนสั้น ผมเชื่อว่าเป็นการจัดเตรียมของพระเจ้าที่มีให้กับประชากรของพระ องค์

ความเขลาของซาอูล และความเชื่อของโยนาธาน
(14:1-15)

1 วันหนึ่งโยนาธานบุตรของซาอูลกล่าวกับคนหนุ่มที่ถือเครื่องอาวุธของ ท่านว่า "มาเถิดให้เราข้ามไปยังค่ายฟีลิสเตียข้างโน้น" แต่หาได้ทูลพระ บิดาของตนให้ทราบไม่ 2 ซาอูลทรงพักอยู่ที่ชานเมืองกิเบอาห์ใต้ต้นทับ ทิม ซึ่งอยู่ที่ตำบลมิโกรน พลซึ่งอยู่ด้วยมีประมาณหกร้อยคน 3 กับอาหิ ยาห์ บุตรอาหิทูบพี่ชายของอีคาโบด บุตรของฟีเนหัสผู้เป็นบุตรของเอลี ปุโรหิตแห่งพระเจ้าที่เมืองชิโลห์ เขาถือเอโฟดไป และพวกพลไม่ทราบ ว่าโยนาธานไปแล้ว 4 ตามทางข้ามเขาที่โยนาธานหาช่อง ที่จะข้ามไป ยังค่ายของฟีลิสเตียนั้น มียอดหินแหลมอยู่ฟากทางข้างนี้ และฟากทาง ข้างโน้นยอดหนึ่งมีชื่อว่าโบเซส อีกยอดหนึ่งชื่อเสเนห์ 5 หินแหลมยอด หนึ่งโผล่ขึ้นข้างเหนือหน้ามิคมา และอีกยอดหนึ่งโผล่ขึ้นข้างใต้หน้าเก บา 6 โยนาธานกล่าวกับคนหนุ่มที่ถือเครื่องอาวุธของท่านว่า "มาเถิด ให้เราข้ามไปยังกองทหารรักษาการของคนเหล่านั้นที่มิได้เข้าสุหนัต บางทีพระเจ้าจะทรงประกอบกิจเพื่อเรา เพราะว่าไม่มีสิ่งใดที่ขัดขวาง พระเจ้า ได้ในการที่พระองค์จะทรงช่วยกู้ ไม่ว่าโดยคนมากหรือน้อย" 7 ผู้ถือเครื่องอาวุธของท่านจึงตอบท่านว่า "จงกระทำทุกสิ่งที่จิตใจ ของท่านอยากกระทำ หันไปเถิด นี่แน่ะข้าพเจ้าอยู่กับท่าน ตามแต่ จิตใจของท่านจะว่าอย่างไร" 8 แล้วโยนาธานกล่าวว่า "ดูเถิดเราจะ ข้ามไปหาคนเหล่านั้น และจะสำแดงตัวของเราให้เขาเห็น 9 ถ้าเขา จะกล่าวแก่เราว่า 'จงคอยอยู่จนกว่าเราจะมาหาเจ้า' แล้วเราจะยืนนิ่ง อยู่ในที่ของเรา และเราจะไม่ไปหาเขา 10 แต่ถ้าเขาว่า 'จงขึ้นมาหา เราเถิด' แล้วเราจึงจะขึ้นไปเพราะพระเจ้าทรงมอบเขาไว้ในมือเรา แล้วจะให้เรื่องนี้เป็นสัญญาณแก่เรา" 11 ทั้งสองจึงสำแดงตัวให้กอง ทหารรักษาการคนฟีลิสเตียเห็น และคนฟีลิสเตียกล่าวว่า "ดูซิ พวก ฮีบรูออกมาจากรูที่ซ่อนตัวอยู่แล้ว" 12 และคนที่กองทหารรักษาการ จึงร้องบอกโยนาธานและผู้ถือเครื่องอาวุธของท่านว่า "จงขึ้นมาหา เราจะแจ้งให้เจ้าทราบสักเรื่องหนึ่ง" และโยนาธานบอกผู้ถือเครื่อง อาวุธของท่านว่า "จงตามข้ามา เพราะพระเจ้าได้ทรงมอบเขาไว้ในมือ อิสราเอลแล้ว" 13 แล้วโยนาธานก็คลานขึ้นไปและผู้ถือเครื่องอาวุธ ของท่านก็ตามไปด้วย คนเหล่านั้นก็ล้มตายหน้าโยนาธาน และผู้ถือ อาวุธก็ฆ่าเขาทั้งหลายตามท่านไป 14 การฆ่าฟันครั้งแรก ที่โยนาธาน และผู้ถืออาวุธของท่านได้กระทำนั้นมีประมาณยี่สิบคน อย่างในระยะ ทางครึ่งรอยไถในนาสักสองไร่ 15 และบังเกิดการสั่นสะท้านในค่าย ในทุ่งนา และในหมู่ประชาชน กองทหารนั้นและถึงกองปล้นก็ตกใจตัว สั่นแผ่นดินได้ไหว กระทำให้เกิดการสั่นสะท้านมากยิ่งนัก

ตอนที่ผมเรียนอยู่ในชั้นของ ดร.บรูซ วอลท์กี้ที่วิทยาลัยพระคริสตธรรม ท่านนำยาโคบ และอิสอัคมาเปรียบเทียบกัน ท่านอธิบายถึงยาโคบว่า "ถ้าอิสอัคเป็นรอยรั่วเล็กๆ ยา โคบก็เป็นรอยระเิบิด !" ผมต้องยอมรับว่ายิ่งอ่านเรื่องของซาอูลมากเท่าใด ผมยิ่งชอบ ท่านน้อยลงเท่านั้น ให้เรามาทบทวนสิ่งที่มีการบันทึไว้เกี่ยวกับท่าน ในบทที่ 8 ประ ชาชนเรียกร้องขอกษัตริย์ ในบทที่ 9 และ 10 ซาอูลได้รับการเจิมตั้งให้เป็นกษัตริย์ ของอิสราเอล ต่อมาซาอูลสามารถทำหน้าที่ได้เพราะพระวิญญาณสถิตกับท่าน ผมสน ใจเรื่องการสถิตอยู่ของพระวิญญาณเป็นพิเศษ พระเจ้าตรัสผ่านซามูเอลถึงเรื่องนี้ว่า :

5 "ต่อจากนั้นท่านจะมาถึงกิเบอัทเอโลฮิม ที่นั่นมีกอง ทหารรักษาการของคนฟีลิสเตีย เมื่อท่านมาถึงเมืองนั้น ท่านจะพบผู้เผยพระวจนะหมู่หนึ่งกำลังลงมาจาก ปูชนีย สถานสูงถือพิณใหญ่ รำมะนา ปี่ พิณเขาคู่ นำหน้ามา กำลังเผยพระวจนะเรื่อยมา 6 แล้วพระวิญญาณของพระเจ้า จะมาสถิตกับท่านอย่างมาก และท่านจะเผยพระวจนะกับ คนเหล่านั้น เปลี่ยนเป็นคนละคน 7 เมื่อหมายสำคัญเหล่านี้ เกิดแก่ท่านแล้วจงกระทำอะไรตามแต่มีโอกาสเถิด เพราะ พระเจ้าทรงสถิตกับท่าน 8 และท่านจงลงไปที่กิลกาลก่อน ฉัน และดูเถิด ฉันจะลงมาหาท่านเพื่อจะถวายเครื่องเผาบูชา และถวายสัตว์เป็นเครื่องศานติบูชา ท่านจงคอยอยู่ที่นั่นเจ็ด วันจน ฉันมาหาท่านและสำแดงแก่ท่านว่า ท่านควรจะกระทำ อะไร" 9 เมื่อซาอูลหันหลังไปจะจากซามูเอล พระเจ้าทรง ประทานจิตใจอีกอย่างหนึ่งแก่ท่าน และหมายสำคัญเหล่านี้ ทั้งหมดเกิดขึ้นในวันนั้น 10 เมื่อเขาทั้งสองมาถึงกิเบอาห์ ดู เถิดผู้เผยพระวจนะหมู่หนึ่งพบกับท่าน และพระวิญญาณของ พระเจ้าสิงสถิตกับท่านอย่างมาก และท่านก็เผยพระวจนะอยู่ ในหมู่พวกเขา
(1 ซามูเอล 10:5-10)

หมายสำคัญสองประการแรกเฉพาะสำหรับซาอูลเท่านั้น เพื่อให้มั่นใจว่าคำพูดของซามู เอลนั้นมาจากพระเจ้า การที่พระวิญญาณมาสถิตเหนือซาอูล เป็นหมายสำคัญให้กับ ซาอูลเองและกับประชาชนที่เห็นเหตุการณ์ด้วย (10:11-12) คำพูดของซามูเอล ตามที่บันทึกอยู่ในข้อ 7 เป็นการเจาะจงมาก เมื่อหมายสำคัญต่างๆได้เกิดขึ้นแล้ว ซามู เอลสั่งซาอูลให้ท่าน "จงกระทำอะไรตามแต่มีโอกาสเถิด" เพื่อให้มั่นใจว่าพระเจ้าจะ สถิตอยู่ด้วยในทุกสิ่งที่ท่านกระทำ ในข้อที่ 8 ซามูเอลสั่งอย่างเจาะจงให้ซาอูลไปที่ กิลกาลและคอยท่านอยู่ที่นั่นเจ็ดวัน หลังจากที่ท่านไปทำการเผาเครื่องบูชา และถวาย ศานติบูชาแล้ว ท่านจะ "สำแดงว่าควรทำอะไร" เหตุใดเวลาเพียงแค่สองปี พระ วิญญาณจึงพรากไปจากซาอูล และไปจากท่านที่กิลกาล ? เหตุใดจึงไม่มีข้อมูลใดๆ เกี่ยวกับการกระทำตามแต่จะเห็นชอบในระหว่างช่วงสองปีก่อนที่จะไปกิลกาลนั้นเลย ?

เรารู้ว่าซาอูลเรียกชุมนุมคนอิสราเอลให้มาทำสงครามกับพวกอัมโมน เพื่อป้องกันเมือง ยาเบชกิเลอาดให้กับพี่น้องร่วมชาติ (บทที่ 11) ขณะที่อ่านตอนนี้ ผมคิดว่าซาอูลไม่ได้ ตัดสินใจทำการเอง แต่เป็นการทำงานของพระวิญญาณ— ซาอูลไม่ได้กระทำมากเท่า กับที่พระวิญญาณทรงทำ และที่สุดแล้ว ซาอูลแทบจะไม่ได้เป็นผู้ริเริ่มในการออกไปต่อ สู้กับคนอัมโมน ; แต่เป็นพระวิญญาณของพระเจ้าต่างหากที่ทรงทำ

ในครั้งอดีต พระเจ้าทรงแต่งตั้งผู้วินิจฉัยให้มาช่วยกู้อิสราเอลออกจากเงื้อมมือของศัตรู :

10 " และเขาทั้งหลายร้องทูลต่อพระเจ้าว่า 'ข้าพระองค์ ทั้งหลายได้กระทำบาปแล้ว เพราะว่าข้าพระองค์ทั้งหลาย ได้ละทิ้งพระเจ้าไปปรนนิบัติ บรรดาพระบาอัลและพระอัช ทาโรททั้งหลาย แต่บัดนี้ขอพระองค์ทรงช่วยกู้ข้าพระองค์ ทั้งหลายให้พ้นมือศัตรูของข้าพระองค์ และข้าพระองค์ทั้ง หลายจะปรนนิบัติพระองค์' 11 และพระเจ้าทรงใช้เยรุบบาอัล และเบดาน และเยฟธาห์ และซามูเอล และช่วยกู้ท่านทั้งหลาย ออกจากมือศัตรูทุกด้านและท่านทั้งหลายอาศัยอยู่อย่างปลอด ภัย"
(1 ซามูเอล 12:10-11)

เราเห็นชัดว่าชาวอิสราเอลต้องการ (หรือสั่ง) ให้มีกษัตริย์เพื่อมานำในสงคราม (ดู 8: 19-20) ฉบับเซพทัวเจ็นท์ (Septuagint - การแปลพระคัมภีร์เดิมจากภาษาฮีบรูไปเป็น ภาษากรีก) ในบทที่ 10 ข้อ 1 พระคัมภีร์ฉบับ New King James มีการบอกไว้ในส่วนที่ เพิ่มเติมในข้อ 1 เป็นหมายเหตุว่า :

LXX, Vg. เพิ่ม - และท่านจะช่วยกู้ประชากรของ พระองค์จากเงื้อมมือของบรรดาศัตรูรอบด้าน และ นี่เป็นหมายสำคัญต่อท่านว่าพระเจ้าทรงเจิมตั้งท่าน ให้เป็นผู้ครอบครอง

ต่อมาในบทที่ 14 การปกครองของซาอูลสามารถสรุปได้ดังต่อไปนี้ :

47 เมื่อซาอูลได้รับตำแหน่งพระราชาเหนืออิสราเอลนั้น พระองค์ได้ทรงต่อสู้ศัตรูทุกด้าน ต่อสู้กับโมอับ กับชน อัมโมน กับเอโดม กับบรรดาพระราชาแห่งโศบาห์ และกับคนฟีลิสเตีย ไม่ว่าพระองค์จะหันไปทางไหน พระองค์ก็ทรงกระทำให้เขาพ่ายแพ้ไป 48 พระองค์ทรง สู้รบอย่างเข้มแข็ง และทรงโจมตีพวกอามาเลขและทรง ช่วยกู้คนอิสราเอลให้พ้นจากมือของบรรดาผู้ที่เข้าปล้นเขา
(1 ซามูเอล 14:47-48).

ถ้าผมเข้าใจถูกต้อง คนอิสราเอลอยากมีกษัตริย์เพื่อที่จะมาช่วยพวกเขาให้พ้นจากเงื้อม มือของบรรดาศัตรูรอบด้าน เช่นเดียวกับที่พวกผู้วินิจฉัยได้ทำมาในอดีต พระเจ้าทรง มอบซาอูลให้เป็นกษัตริย์ของพวกเขา เป็นผู้ที่มาช่วยกู้ให้พ้นจากบรรดาศัตรู ถ้าทั้ง ซาอูลและคนในชาติวางใจและเชื่อฟังพระบัญญัติของพระองค์ พระวิญญาณทรงสถิต อยู่ด้วย เช่นเดียวกับที่ได้สถิตกับแซมสันและผู้วินิจฉัยท่านอื่นๆ เพื่อให้ท่านเหล่านี้มี ความสามารถในการนำชัยมาสู่อิสราเอลได้ และเมื่อพระวิญญาณมาสถิตอยู่ด้วยแล้ว ซามูเอลสั่งให้ท่านทำตามที่เห็นสมควร โดยวางใจว่าพระเจ้าสถิตอยู่ด้วยในการช่วยกู้ อิสราเอลจากศัตรู

ดูเหมือนซาอูลไม่ได้เป็นคนฝ่ายวิญญาณ ถึงแม้ลุงของท่านจะรู้จักซามูเอล (10:14-16) และคนใช้ก็รู้จักด้วย (10:5-10) แต่ซาอูลไม่รู้จัก แถมอยู่ในช่วงเวลาที่พระวจนะ ของพระเจ้ามีมาแต่น้อย (3:1) การเดินสายของซามูเอล (8:16-17) ที่ๆอยู่ไกลที่สุด สำหรับท่านไม่น่าจะเกิน 30 กิโลเมตรจากบ้านเกิดของซาอูลที่กิเบอาห์ ส่วนบ้านเกิด ของซามูเอลที่รามาห์ อยู่ห่างจากบ้านเกิดของซาอูลที่กิเบอาห์ไปแค่เพียง 6 กิโลเมตร เท่านั้น เหตุใดคนที่ควรมีสำนึกฝ่ายจิตวิญญาณอย่างซาอูลจึงไม่รู้จักซามูเอล ?

สถาณการณ์มีแต่เลวลง เรารู้ว่าเมื่อเมืองยาเบชกิเลอาดตกอยู่ในอันตราย ซาอูลเหมือน ถูก "บังคับ" ให้กระทำการ ท่านเรียกชุมนุมกองทัพได้ถึง 330,000 คน และเมื่ออัมโมน พ่ายแพ้ไป เหตุใดซาอูลจึงไม่ดำเนินต่อด้วยการขับไล่พวกฟิลิสเตียด้วย ? เพราะนี่คือ หน้าที่ที่ท่านได้รับเลือกให้มาทำ แต่ซาอูลกลับส่งกำลังทหารเหล่านั้นกลับไปบ้าน เหลือไว้เพียงจำนวนน้อยนิด แค่ 3,000 คน และยังแบ่งกองกำลังนี้ออกเป็นสองส่วนอีก ดูเหมือนซาอูลไม่ต้องการไปยุ่งเกี่ยวกับฟิลิสเตีย ท่านยอมที่จะอยู่แบบเดิมๆ ซาอูลไม่ ได้คิดจะทำสิ่งใด แต่บุตรของท่าน โยนาธานเป็นผู้ออกไปเผชิญหน้ากับพวกฟิลิสเตีย และสามารถเอาชนะกองกำลังของพวกเขาได้

ไม่ต้องสงสัยเลยว่าซามูเอลพยายามอย่างที่สุดที่จะเตือนคนอิสราเอลให้ตระหนักว่า เป็นพระเจ้าเท่านั้นที่ช่วยกู้พวกเขาออกมาจากเงื้อมมือศัตรู และไม่ต้องสงสัยด้วยว่า ซามูเอลเรียกร้องให้ทั้งชาติกลับใจและอย่าวางใจในกษัตริย์มากเกินกว่าวางใจในพระ เจ้า บทที่ 13 พูดถึงการข่มขู่ของชาวฟิลิสเตียที่มีต่ออิสราเอล ไม่ใช่เพียงแค่เข้ามา ครอบครอง แต่จะมาทำลายให้สิ้นซาก บทที่ 14 พูดถึงซาอูลและโยนาธานบุตรของ ท่าน ซึ่งผู้เขียนชี้ให้เห็นถึงความแตกต่างของทั้งสองคนนี้ ซึ่งส่อเค้าตั้งแต่บทที่ 13

ชาวฟิลิสเตียนั้นเป็นต่อเพราะยึดพื้นที่ได้บนบริเวณบนภูเขาสูงในเขตยูดาห์และเบนยา มิน ตั้งมั่นฐานแรกอยู่ทีมิคมาช (13:16) ซึ่งอยู่บนยอดเขาตรงกลางระหว่างที่ราบใน หุบเขาจอร์แดน และที่ราบชายฝั่งทะเลของฟิลิสเตีย ซาอูลและโยนาธานมีทหารเหลือ อยู่เพียง 600 คน ทหารที่เหลือหนีแตกกระจายไปหลบซ่อนให้ไกลจากฟิลิสเตีย และ บางพวกก็ไปเข้ากับศัตรูเสียเลย (13:6-7; 14:20-22) ซาอูลและ "กองทัพ" น้อยๆคอย อยู่ที่เกบา (13:16) และต่อมาในบทที่ 14 ก็ไปยังกิเบอาห์ ซึ่งอยู่ทางใต้ลงไป ห่าง ออกไปจากพวกฟิลิสเตียซึ่งยังปักหลักอยู่ที่มิคมาชทางเหนือ

ผู้เขียนพยายามให้เราเห็นความแตกต่างเป็นอย่างมากระหว่างซาอูลและโยนาธานผู้เป็นบุตร ประเทศอิสราเอลกำลังตกอยู่ในภาวะสงคราม ขาดทั้งกำลังและอาวุธ แต่เรายัง พบว่าซาอูลนั้นนั่งอยู่ "ใต้ต้นทับทิม ที่ตำบลมิโกรน" (14:2) ขณะที่ซาอูลหลบแดด อยู่ใต้ต้นไม้ห่างไกลจากพวกฟิลิสเตีย โยนาธานบุตรของท่านกำลังวางแผนจะไป พร้อมกับคนถืออาวุธเพื่อจัดการกับพวกฟิลิสเตียต่อ การจู่โจมครั้งนี้เป็นความลับ โยนาธานไม่ได้ขออนุญาติหรือแม้แต่จะแจ้งซาอูล และไม่ยอมให้คนอื่นรู้ด้วย ผมว่า เขาคงรู้ว่าบิดาคิดอย่างไรเกี่ยวกับการทำร้ายฟิลิสเตีย ซาอูลไม่ต้องการสร้างปัญหา กับพวกฟิลิสเตีย แต่โยนาธานไม่ต้องการให้พวกฟิลิสเตียมาสร้างปัญหาให้อิสราเอล อีกต่อไป

(ดูเหมือนว่า) ซาอูลนั่งอยู่ใต้ร่มไม้ ท่านเป็นเพียงหนึ่งในสองคนในอิสราเอลที่มีดาบ ท่านมีอาหิทูบน้องชายของอีคาโบด บุตรของฟีเนหัส และเป็นหลานของเอลีนั่งอยู่ด้วย (14:3) อาหิทูบใส่ (หรือถือ) เอโฟดอยู่ด้วย เอโฟดเป็นวิธีในการแสวงหาน้ำพระทัย ของพระเจ้า (ดู 1 ซามูเอล 23:9-12; 30:6-8) ซาอูลไม่ได้รับคำสั่งใดจากซามูเอลที่ กิลกาล เพราะท่านขัดคำสั่ง (13:1-14) แต่ตอนนี้ท่านมีทั้งเอโฟดและปุโรหิตอยู่ด้วย แต่ท่านกลับยังไม่ยอมแสวงหาในสิ่งที่พระเจ้าต้องการให้ท่านกระทำ

แต่สำหรับโยนาธาน ท่านมีจิตสำนึกในน้ำพระทัยพระเจ้า ซึ่งทำให้ท่านไม่สามารถนิ่งดู ดายต่อไป แรกสุด โยนาธานเรียนรู้น้ำพระทัยพระเจ้าจากประวัติศาสตร์ของอิสราเอล และจากพระลักษณะอันประเสริฐของพระองค์ คำพูดที่โยนาธานพูดกับผู้ถือเครื่องอาวุธ นั้นเต็มด้วยความเชื่อและภาระหน้าที่ เป็นคำพูดที่แสดงให้เห็นถึงความมั่นใจในการกระ ทำ ซึ่งมีผู้ซื่อสัตย์อย่างผู้ถือเครื่องอาวุธอยู่ด้วย :

6 "โยนาธานกล่าวกับคนหนุ่มที่ถือเครื่องอาวุธของท่านว่า "มาเถิด ให้เราข้ามไปยังกองทหารรักษาการของคนเหล่า นั้นที่มิได้เข้าสุหนัต บางทีพระเจ้าจะทรงประกอบกิจเพื่อ เรา เพราะว่าไม่มีสิ่งใดที่ขัดขวางพระเจ้าได้ในการที่พระ องค์จะทรงช่วยกู้ไม่ว่าโดยคนมากหรือน้อย"
(14:6)

คนฟิลิสเตียเป็น "ผู้ไม่ได้เข้าสุหนัต" พวกเขาไม่มีพันธสัญญาหรือมีสัมพันธภาพ กับพระเจ้าเหมือนกับคนอิสราเอล พันธสัญญาที่พระเจ้าให้ไว้กับอิสราเอลก็เพื่อความ มั่นใจว่าพระองค์จะสถิตอยู่ด้วย และป้องกันพวกเขาจากบรรดาศัตรู พระเจ้าเป็นผู้นำ พวกเขาออกมาจากการเป็นทาสในประเทศอียิปต์ และสัญญาจะประทานแผ่นดินคานา อันที่มีอิสรภาพไม่ขึ้นกับบรรดาประเทศเพื่อนบ้านให้ แต่อิสราเอลไม่มีสิ่งนี้ กองกำลัง ฟิลิสเตียครอบครองดินแดนอยู่ คนอิสราเอลเองจะทำไร่ไถนาได้ก็ต้องซื้อเครื่องไม้ เครื่องมือมาจากฟิลิสเตีย โยนาธานเข้าใจดีว่า พระเจ้าไม่ได้มีพระประสงค์จะให้ประ ชากรของพระองค์ตกเป็นทาสของประเทศเพื่อนบ้าน ท่านเข้าใจว่าบัดนี้กษัตริย์มีหน้าที่ ที่จะนำประชากรออกมาร่วมรบกับศัตรูของประเทศ และศัตรูของพระเจ้า ท่านยังเข้าใจ อีกด้วยถึงพระลักษณะอันประเสริฐของพระเจ้าตามที่ปรากฏอยู่ในประวัติศาสตร์ของชาติ ว่าชัยชนะทั้งสิ้นของอิสราเอลนั้นไม่ใช่มาจาก "กองทัพฝ่ายกาย" ไม่ใช่มาจากจำ นวนทหาร หรือชนิดของอาวุธที่ใช้ พระเจ้าประทานชัยชนะเหนือพวกมีเดียนใ้ห้กับ อิสราเอลภายใต้การนำของกิเดโอน ซึ่งนำคนเพียง 300 คนเข้าต่อสู้ (ดูผู้วินิจฉัย 7) ถ้า พระเจ้ามีพระประสงค์จะให้อิสราเอลชนะศัตรู บางทีอาจไม่ต้องใช้ถึง 600 คน — เพียง คนสองคนก็เพียงพอ

ในความคิดของโยนาธาน ท่านไม่ได้คิดว่าพระเจ้าจะมอบคนฟิลิสเตียให้อยู่ในมือของ อิสราเอลหรือไม่ แต่คิดว่านี่เป็นพระประสงค์ของพระองค์หรือเปล่า ซาอูลมีทั้งปุโรหิต และเอโฟด แต่ท่านไม่สนใจที่จะแสวงหาน้ำพระทัย ท่านเลือกที่จะนั่งเล่นอยู่ใต้ต้นไม้ โยนาธานจึงต้องหาวิธีอื่นในการแสวงหาน้ำพระทัย ด้วยการวางแผนจะไปโจมตีกอง กำลังของฟิลิสเตีย

โยนาธานแสวงหาหมายสำคัญจากพระเจ้า เพื่อจะบ่งชี้ว่าท่านและผู้ถืออาวุธของท่าน สมควรเข้าโจมตีพวกฟิลิสเตียหรือไม่ มิคมาชและกิเบอาห์เป็นดินแดนอยู่บนที่สูงทั้งคู่ การจะไปมิคมาชได้ต้องไปทางช่องเขา เป็นทางเดินแคบๆ น่าจะเท่ากับลำธารสายเล็กๆ ฟิลิสเตียมีกองกำลังเล็กๆดูต้นทางอยู่บนยอดเขานี้ พวกเขาจะเห็นและห้ามทุกคนที่พยา ยามเดินขึ้นช่องเขานี้มา โยนาธานวางแผนโดยจะเดินขึ้นไปบนยอดหินแหลม เพื่อให้ พวกฟิลิสเตียบนยอดเขาอีกฝั่งจะเห็นท่านได้ และถ้าพวกฟิลิสเตียแสดงให้เห็น ว่าจะลง มาขับไล่ ท่านและผู้ถือเครื่องอาวุธก็จะไม่ขึ้นปีนไป แต่ถ้าพวกฟิลิสเตียท้าให้ท่านขึ้น ไป ก็จะเป็นหมายสำคัญว่าพระเจ้าต้องการให้ท่านฝ่าอันตรายปีนขึ้นไปหาพวกฟิลิส เตีย และพระองค์จะทำให้อิสราเอลมีชัยเหนือพวกเขา47

ด้วยการสนับสนุนอย่างเต็มที่จากผู้ถือเครื่องอาวุธ หนุุ่มผู้กล้าหาญทั้งสองจึงปีนขึ้นไป ให้พวกฟิลิสเตียเห็น เพื่อจะได้ไต่ลงไปยังช่องเขาเบื้องล่าง พวกฟิลิสเตียพอมองเห็น คนทั้งสอง ก็คิดว่าเป็นพวกที่หลบภัยอยู่ตามรูซอกหินออก จึงเรียกให้ขึ้นมาหาข้างบน โยนาธานและผู้ถือเครื่องอาวุธรับสิ่งนี้ว่าเป็นหมายสำคัญที่มาจากพระเจ้า ว่าพระองค์ กำลังประทานชัยชนะให้

ผมนึกไม่ออกว่าทำไมคนฟิลิสเตียจึงพูดเช่นนั้น ทำไม่พวกเขาไม่กลิ้งหินก้อนใหญ่สัก ก้อนลงมาที่โยนาธานและผู้ช่วย ? ทำไมถึงไม่ส่งทหารลงไปกำจัดให้ตายก่อนจะปีน ขึ้นไป ? แล้วในเมื่อชายสองคนนี้กำลังปีนขึ้นเขา อยู่ในภาวะอ่อนแอ ทำไมพวก ฟิลิสเตียจึงไม่ถือโอกาสฆ่าเสียเลยอย่างง่ายๆ ? ผมว่าคำตอบอยู่ในพระคัมภีร์ พวก ฟิลิสเตียเรียกสองคนนี้ขึ้นไปเพื่อ "จะแจ้งบางเรื่องให้ทราบ" ตอนแรกผมนึกว่าเป็นการ ท้าทาย ซึ่งน่าจะเป็นไปได้ บางทีอยู่บนนั้นอาจจะน่าเบื่อเกินไป ต้องหาอะไรทำบ้าง เลยเรียกทั้งสองขึ้นมาเผื่อจะได้มีอะไรสนุกๆทำ

อันที่จริงผมว่าน่าจะมีคำอธิบายอื่น ผมเชื่อว่าที่คนฟิลิสเตียปล่อยให้โยนาธานและผู้ถือ เครื่องอาวุธขึ้นไป เพราะคิดว่าจะมายอมแพ้และมาเข้าพวกกับฟิลิสเตียด่อสู้กับอิสราเอล พวกฟิลิสเตียย่อมรู้ดีว่าตนนั้นเป็นต่อ เพราะพวกเขามีทั้งอาวุธและจำนวนคนมากมาย มหาศาลกว่าเมื่อเทียบกับทหารจำนวน 600 คนของอิสราเอลที่ติดตามซาอูลอยู่ พวก เขารู้ด้วยว่ามีกองปล้นออกไปทำลายทั่วประเทศได้โดยที่คนอิสราเอลไม่มีทางสู้ และแถมยังมีคนอิสราเอลอีกจำนวนหนึ่งมาเข้าพวกด้วย (14:21) ดังนั้น เพียงแค่ อิสราเอลขี้ขลาดที่ออกมาจากรูซ่อนอีกสองคนจะขึ้นมายอมมอบตัวและเข้าพวกทำ ไมจึงทำไม่ได้ ? สำหรับพวกฟิลิสเตียสิ่งนี้เป็นเพียงการคาดเดาเท่านั้น แต่กลับเป็น หมายสำคัญที่ชัดเจนสำหรับโยนาธาน ท่านจึงปีนขึ้นไปตามรอยแยกของหินไปหา พวกฟิลิสเตียที่รออยู่

พวกฟิลิสเตียไม่ทันได้ตั้งตัว ดาบของโยนาธานฆ่าฟันไปตามทาง ผู้ที่รอดไปก็ถูก ผู้ถือเครื่องอาวุธจัดการเสียสิ้น เพียงแค่ไม่กี่ก้าว และในเลาอันแสนสั้น กองกำลังดู ต้นทางกองนี้ก็ตายเรียบ ทำให้คนอิสราเอลสามารถเดินข้ามช่องเขามิคมาชและไล่ ตามพวกฟิลิสเตียไปได้

แต่เดี๋ยวก่อน — อย่างที่โฆษณาในโทรทัศน์ชอบใช้ — ยังมีอีก ! ถ้าพระเจ้าทรงสถิต อยู่ด้วยกับโยนาห์ในการโจมตีฟิลิสเตียในครั้งนี้ พระองค์ทรงกำลังสำแดงฤทธานุภาพ อันยิ่งใหญ่โดยประทานชัยชนะให้กับอิสราเอลที่มิคมาช ผมชอบวิธีเล่นคำในบทที่ 13 และ 14 มาก :

7 พวกฮีบรูบางคนได้ข้ามแม่น้ำจอร์แดนไปยังดินแดน กาดและกิเลอาด แต่ฝ่ายซาอูล พระองค์ยังประทับอยู่ ที่กิลกาล และประชาชนทั้งหมดติดตามพระองค์ไป ด้วยตัวสั่น
(1 ซามูเอล 13:7).

15 และบังเกิดการสั่นสะท้านในค่าย ในทุ่งนาและใน หมู่ประชาชน กองทหารนั้นและถึงกองปล้นก็ตกใจตัว สั่น แผ่นดินได้ไหว กระทำให้เกิดการสั่นสะท้านมาก ยิ่งนัก
(1 ซามูเอล 14:15).

ผมชอบเพลงร็อคเก่าที่เอลวิส เพรสลี่เคยร้องไว้ "I'm all shook up, uh uh uh…"? (ผมสั่นไปหมดแล้ว) ใช่แล้ว พระเจ้ากำลัง "เขย่า" พวกฟิลิสเตีย ทุกอย่างเริ่มต้นจาก การสั่นของบรรดาผู้ที่ติดตามซาอูล พวกเขามองเห็นว่าตนนั้นอ่อนแอเกินกว่าที่จะออก ไปต้านพวกฟิลิสเตีย พวกเขาคงตระหนักถึงความอ่อนแอในการเป็นผู้นำของซาอูล พวกเขากำลังตกอยู่ในอันตรายอันใหญ่หลวง — เช่นเดียวกับที่ผู้เขียนบันทึกไว้ "ทั้งหมด … ตัวสั่น" (13:7) สิ่งนี้ยับยั้งไมให้พระเจ้าประทานชัยชนะให้อิสราเอลหรือ ? แน่นอน ไม่ใช่ ! พระเจ้าทรงเขย่าพวกฟิลิสเตียให้ "สั่น" ตามไปด้วย

คุณลองคิดดู พวกฟิลิสเตียคงรู้สึกสบายใจว่าตนเองปลอดภัยอยู่ในที่กำบังที่มิคมาช พวกอิสราเอลอ่อนแอ ถ้าจะขึ้นไปถึงได้ ก็ต้องปีนผ่านช่องเขามิคมาชขึ้นไป วางคนไว้ ดูต้นทางไว้แค่ 20 คนก็เกินพอ ความปลอดภัยของพวกฟิลิสเตียขึ้นอยู่กับช่องเขา แคบๆนี้ และการอยู่บนยอดภูเขาสูงมีแนวหินใหญ่ป้องกันล้อมรอบ ซึ่งก็ดูเหมือนดี จน กระทั่งเกิดแผ่นดินไหว ที่กำบังปลอดภัยนี้ก็กลับกลายเป็นที่ที่อันตรายที่สุดในโลกทัน ที ซาอูลและคนของท่านกำลังมองดู ในขณะที่ทหารฟิลิสเตียวิ่งหนีไปมากันจ้าละ หวั่น เดี๋ยวไปทางโน้น เดี๋ยวมาทางนี้ โคลงเคลงไปตามจังหวะแผ่นดินไหว คล้ายๆกับ คลื่นลูกยักษ์ในทะเล ทุกสิ่งที่เคยดูเหมือนมั่นคงปลอดภัยและเป็นต่ออิสราเอล กำลัง เป็นสิ่งที่กลับทำลายพวกเขา ในท่านกลางความสับสนอลหม่านและความกลัวเกินขีด พวกเขาเริ่มยกดาบฆ่าฟันกันเอง ไม่ใช่ฆ่าคนอิสราเอล บรรดาม้าและรถม้าที่ขนกันมาก็ ไม่สามารถใช้การได้ พวกสัตว์เมื่อตื่นตระหนกจะไม่ยอมฟังคำสั่งใดๆทั้งสิ้น พื้นดินแยก จากกัน หินใหญ่เล็กมากมายร่วงลงมาจากหน้าผา ความตกใจกลัวมีอยู่ทั่วไป ไม่ต้องคิด เรื่องจะไปโจมตีใครหรือแม้แต่จะถอยหนี พวกฟิลิสเตียเองกลับกลายเป็นศัตรูที่เลวร้าย ที่สุดของกันและกัน เกิดการฆ่าฟันกันอย่างคลุ้มคลั่งในครั้งนั้น

บทสรุป

นับเป็นเรื่องราวที่มหัศจรรย์ ทำให้เราเห็นข้อเตือนใจและบทเรียนสำคัญหลายอย่าง ซึ่งสามารถนำมาใช้ได้ในชีวิตคริสเตียนทุกวันนี้

ประการแรก ที่ได้จากพระธรรมตอนนี้คือ คำสั่งและข้อปฏิบัติในการเป็นผู้นำ แวดวง คริสเตียนทุกวันนี้ หัวข้อเรื่องการเป็นผู้นำเป็นเรื่องที่ต้องใช้ความคิดค่อนข้างมาก ทั้ง ในการเขียนและการปรึกษาหารือกัน น่าเศร้าที่แวดวงการสร้างผู้นำคริสเตียนนั้นค่อน ข้างจะยึดหลักตามทฤษฎีของผู้นำทางโลก ถึงแม้ยังไม่มีบทสรุปตายตัวในเรื่องนี้ เราควรต้องรื้อฟื้นสติปัญญาเรื่องการเป็นผู้นำมาทบทวนดูใหม่ ซาอูลและโยนาธาน เป็นแบบอย่างของผู้นำฝ่ายจิตวิญญาณในทางบวกและทางลบ คำว่า วางใจ และ เชื่อฟัง อาจจะครอบคลุมได้ไม่ทั้งหมดในการดำเนินชีวิตคริสเตียน แต่นับเป็นสิ่งที่ สำคัญยิ่ง ซาอูลเป็นคนที่มีความเชื่อน้อย คำว่า "กลัว" ดูจะเหมาะสมกับท่านมากกว่า ท่านกลัวที่จะเล่าเรื่องซามูเอลเจิมท่านเป็นกษัตริย์ของอิสราเอลให้ลุงของท่านฟัง ท่าน แอบซ่อนอยู่หลังกองสัมภาระเมื่อมีการประกาศเลือกท่านเป็นกษัตริย์ ท่านกลัวจะเสีย กองกำลังไปหมด จึงข่มใจทำการเผาเครื่องถวายบูชาด้วยตนเอง และดูเหมือนท่าน กลัวที่จะขับไล่พวกฟิลิสเตียไป จึงไม่พยายามทำการใดให้เป็นที่ไม่พอใจของศัตรู

"ซาอูล" ในบทที่ 11 เป็น "ซาอูลคนใหม่" ที่พระเจ้าเติมพระวิญญาณให้ท่านอย่าง เต็มที่ แต่ซาอูลนี้ก็อยู่ได้ไม่นาน ไม่เกินบทที่ 11 ด้วยซ้ำไป ก็กลับเป็น "ซาอูล คนเดิม" ที่เราพบได้ทั่วไป "ซาอูลคนเดิม" นี้ที่่เรากำลังพูดถึงในบทที่ 13 และ 14 เมื่อตอน "ซาอูลคนใหม่" เรียกชุมนุมคนอิสราเอลให้มาร่วมรบ มีคนมาร่วมด้วยมากมาย ถึง 330,000 คน แต่พอ "ซาอูลคนเดิม" เรียกชุมนุมคนที่กิลกาล มีคนมาร่วมด้วยจำ นวนน้อยนิด และคนเหล่านี้ไม่ช้าก็หนีแตกกระจายไปเพราะความกลัว ความกลัวของ ซาอูลเป็นเหมือนโรคระบาด เมื่อท่านไม่วางใจและไม่เชื่อฟังพระเจ้า บรรดาคนที่ติด ตามท่านก็ไม่เชื่อและวางใจในตัวท่านด้วย

แต่โยนาธานนั้นแตกต่าง — ท่านเป็นคนแห่งความเชื่อ ท่านวางใจว่าพระเจ้าจะนำชัยมา เหนือกองกำลังฟิลิสเตียในบทที่ 13 ท่านตั้งใจจะไปจัดการกับพวกฟิลิสเตียที่ช่องเขา มิคมาช ถึงแม้ต้องแบกอาวุธไต่ไปตามรอยแยกของหินบนหน้าผาก็ตาม ท่านมีเพียงผู้ ช่วยคนเดียวติดตามไปด้วย ท่านเป็นคนที่วางใจในพระเจ้าอย่างเต็มเปี่ยม ถึงแม้สถาน การณ์จะเป็นไปไม่ได้ก็ตาม และท่านเป็นคนที่ผู้ช่วยเต็มใจไปร่วมรบด้วย ถึงแม้ดูเป็น การฆ่าตัวตายก็ตาม ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น ? ผมว่าไม่ใช่เป็นเพราะโยนาธานเป็นผู้ที่มี ความเชื่อเท่านั้น แต่เป็นผู้ที่ หว่านความเชื่อไปสู่ผู้อื่นด้วย คนที่ติดตามซาอูลกลัวจน ตัวสั่น เพราะซาอูลนั้นแสดงอาการก่อน คนที่ติดตามโยนาธานวางใจในพระเจ้า เพราะเห็นว่าท่านวางในในพระเจ้า

นี่คือนิยามของคำว่าผู้นำฝ่ายจิตวิญญาณ :

การเป็นผู้นำฝ่ายจิตวิญญาณเริ่มจากความเชื่อในพระเจ้า ซึ่งจะกระทำให้เชื่อฟัง และลง มือกระทำ ถึงแม้ต้องเผชิญกับอุปสรรคปัญหาใดๆก็ตาม และยังหนุนกำลังให้ผู้อื่นเชื่อฟัง และยินดีทำตามด้วย

ที่สุดแล้ว การเป็นผู้นำฝ่ายวิญญาณนั้นไม่ใช่ดูจากรูปลักษณ์ภายนอก มีเสน่ห์ หรือมี ความชำนาญในวิธีการบริหารงานและจูงใจคน ผู้นำฝ่ายวิญญาณคือชายและหญิง ที่วางใจในพระเจ้า และทำตามพระวจนะคำของพระองค์ และเมื่อปฏิบัติเช่นนี้ จะดึงดูด ให้ผู้อื่นมาวางใจและเชื่อฟังพระองค์ด้วยเช่นกัน ซาอูลไม่ใช่เป็นผู้นำฝ่ายจิตวิญญาณ แต่โยนาธานนั้นเป็น

ประการที่สอง เราควรประเมิณความสำเร็จของผู้นำ ซึ่งผมสรุปได้เป็นหลักการ ดังต่อไปนี้ :

เมื่อผู้นำประสพความสำเร็จ ที่สุดแท้จริงแล้วคือ พระคุณของพระเจ้า และหลายครั้งเป็นมาจาก ผลของความเชื่อมั่นศรัทธาของผู้ที่ให้การสนับ สนุนอยู่เบื้องหลังงานพันธกิจที่เรามองไม่เห็น

ให้นำหลักเกณฑ์นี้มาประกอบการพิจารณาดูการเป็นผู้นำของซาอูล:

47 เมื่อซาอูลได้รับตำแหน่งพระราชาเหนืออิสราเอลนั้น พระองค์ได้ทรงต่อสู้ศัตรูทุกด้านต่อสู้กับโมอับ กับชนอัมโมน กับเอโดม กับบรรดาพระราชาแห่งโศบาห์ และกับคนฟีลิสเตีย ไม่ว่าพระองค์จะหันไปทางไหน พระองค์ก็ทรงกระทำให้เขา พ่ายแพ้ไป 48 พระองค์ทรงสู้รบอย่างเข้มแข็ง และทรงโจม ตีพวกอามาเลขและทรงช่วยกู้คนอิสราเอล ให้พ้นจากมือของ บรรดาผู้ที่เข้าปล้นเขา
(1 ซามูเอล 14:47-48)

ผมไม่อยากตัดความดีความชอบไปจากซาอูลเสียจนหมด แต่ผมเชื่อว่าพระคำบ่งชัด เจนว่าความสำเร็จของซาอูลเป็นมาจากพระคุณพระเจ้า ไม่ใช่เป็นเพราะผีมือ ความกล้า หาญ หรือความยิ่งใหญ่ของท่าน ชัยชนะที่อิสราเอลมีเหนือฟิลิสเตียนั้น ไม่ได้เกิดจาก การริเริ่มของซาอูล แต่เป็นการริเริ่มของบุตร มีกี่ครั้งกี่หนกันที่เราโห่ร้องชื่นชมยินดีให้ กับความสำเร็จของผู้นำบางคน ทั้งๆที่ความสำเร็จจริงๆแล้วมาจากผู้ที่อยู่เบื้องหลังทั้ง สิ้น ? หลายคนชอบเด่นอยู่ท่ามกลางแสงไฟ ขอให้เราชื่นชมกับบรรดาผู้อยู่นอกแสง ไฟ ผู้สนับสนุนและสร้างให้ผู้มีอำนาจเหล่านี้โดดเด่นขึ้นมา

ประการที่สาม คือความสัมพันธระหว่างความเชื่อและการกระทำ เราจะเห็นความแตก ต่างในความเชื่อของโยนาธานและซาอูลชัดเจน บางครั้งความเชื่อของเราจะปรากฎ ชัดจากการรอคอย มากกว่าจากการมุ่งปฏิบัติ ความเชื่อจะไม่เกิดขึ้นเมื่อเราขัดคำสั่ง อับราฮัมน่าจะรอคอยบุตรตามพระสัญญา มากกว่าไปมีบุตรกับนางฮาการ์ ซาอูลน่าจะ คอย มากกว่าที่จะไปเผาเครื่องบูชาถวายด้วยตนเอง เมื่อเราหมดสิ้นหนทาง เราขาด ความเชื่อและการเชื่อฟัง เราควรรอคอยให้พระเจ้าจัดเตรียมในสิ่งที่ดีและเหมาะสม ที่สุดสำหรับเรา

มีหลายครั้งเหมือนกันที่เราเลือกที่จะรอ ทั้งๆืั้เห็นชัดเจนว่าเรากระทำได้ตามความเชื่อ ซาอูลอดทนรอคอยซามูเอลไม่ไหว (ถึงแม้ได้รับคำสั่งให้คอยก็ตาม) แต่ท่านกลับรอได้ มาตั้งนาน ตั้งแต่ตกเป็นเมืองขึ้นของฟิลิสเตีย ผู้เข้ามาครอบครองดินแดนอิสราเอล มา ตั้งกองกำลังรักษาการ และยังมาบีบบังคับความเป็นอยู่ของผู้คนด้วยการผูกขาดการใช้ อุปกรณ์ต่างๆที่เป็นเหล็ก ชาวไร่ชาวนาต้องซื้อเครื่องมือที่แสนแพงจากพวกฟิลิสเตีย แถมยังต้องเสียค่าดูแลซ่อมแซม (ลับให้คม) ในราคาแพงอีกด้วย ซาอูลทำตัวเป็นทอง ไม่รู้ร้อนกับสิ่งที่พวกฟิลิสเตียกระทำ ท่านสามารถรอได้ (และท่านรอด้วย) ที่จะทำการ ขับไล่พวกฟิลิสเตียไปจากดินแดน ทั้งๆที่ท่านสามารถกระทำได้ด้วยความเชื่อ แต่ท่าน กลับเลือกที่จะรออย่างไม่มีจุดหมาย การไปโจมตีกองกำลังฟิลิสเตีย ทำให้เกิดการ เผชิญหน้าทางทหาร และผลที่สุด เกิิดความพ่ายแพ้ของชาวฟิลิสเตีย — และพระสิริ กลับคืนสู่พระนามของพระเจ้า มีกี่ครั้งที่เรามัวแต่รอแทนที่จะลงมือปฎิบัติ และเร่งลง มือปฎิบัติ แทนที่ควรจะรอ เราจะทราบได้อย่างไรว่าเมื่อไรควรลงมือ? เมื่อพระวจนะคำ สั่งให้เรากระทำ แล้วเมื่อไรที่เราควรคอย? เมื่อพระเจ้าตรัสสั่งในพระวจนะคำ และเมื่อ การกระทำของ ขัดกับความเชื่อและการเชื่อฟัง

ประการที่สี่ เหตุการณ์หลายครั้งในพระคัมภีร์ ทำให้เรามีมุมมองใหม่ในสถานการณ์ ที่ดูเหมือนหมดทางแก้ ครั้งนี้ก็เช่นกัน พระเจ้าทรงนำประชากรของพระองค์ให้ตกอยู่ ในสถานการณ์ที่เกินแก้ใข และอีกครั้ง เราก็ค้นพบหลักเกณฑ์ที่สำคัญยิ่งดังนี้ :

พระเจ้าทรงมีพระประสงค์จะนำมนุษย์ไปสู่สถานการณ์ที่ "เป็นไปไม่ได้" เพื่อให้เรารู้แน่ชัดว่าเราไม่สามารถ ช่วยตนเองได้ และพระองค์จะทรงกู้เราด้วยวิธีการที่ ทำให้พระสิริของพระองค์เป็นที่เชิดชู

บางตอนในพระคัมภีร์กล่าวว่า :

8 "เราคือเยโฮวาห์ นั่นเป็นนามของเรา พระสิริของ เรา เรามิได้ให้แก่ผู้อื่น หรือให้คำที่สรรเสริญเราแก่รูป แกะสลัก"
(อิสยาห์ 42:8)

หลายๆครั้งในพระคัมภีร์เราจะเห็นว่าพระเจ้าทรงให้มนุษย์ตกอยู่ในสถานการณ์ที่เกินกว่า จะแก้ใข และพระองค์จะทรงช่วยด้วยวิธีการที่นำมาซึ่งพระสิริของพระองค์ พระองค์ สัญญาจะประทานบุตรให้กับอับราฮัมและนางซาราห์ ผู้ซึ่ง ถ้าจะพูดในทางโลก หมด โอกาสแล้วที่จะมีลูก (ดูโรม 4:19) แต่แล้วทั้งสองก็มีบุตร พระเยซูทรงทราบดีว่า ลาซารัสป่วยหนัก แต่พระองค์จงใจคอยจนกระทั่งเขานำศพไปฝัง (ดูยอห์น 11) เพื่อ พระองค์จะสามารถสำแดงให้เห็นฤทธิอำนาจในการทำให้ลาซารัสฟื้นขึ้นมาจากความ ตายได้

พระเจ้าปรารถนาที่จะสำแดงกำลังของพระองค์ในความอ่อนแอของเรา ในบทที่ 13 ของพระธรรม 1 ซามูเอล แสดงให้เห็นถึงความอ่อนแอของทั้งซาอูลและอิสราเอล ทหารของอิสราเอลมีจำนวนกระจ้อยร่อยเมื่อเทียบกับกำลังทหารของฟิลิสเตีย แถม ยังขาดแคลนอาวุธ ถึงแม้สถานการณ์จะดูเกินแก้ใข แต่พระเจ้าก็ทำให้อิสราเอลมีชัย เหนือฟิลิสเตียด้วยวิธีการของพระองค์ สิ่งนี้เกิดขึ้นได้เพราะชายสองคน (คนหนึ่งไม่มี อาวุธด้วยซ้ำไป) วางใจในพระเจ้าว่าพระองค์จะทำให้มีชัย พระเจ้าทรงเปลี่ยนอาการ สั่นของคนอิสราเอลไปเป็นการสั่นเพราะเกิดแผ่นดินไหว ซึ่งรุนแรงมากขนาดทำให้ เกิดการสับสนอลหม่านในกองทัพฟิลิสเตีย และทหารล้มตายลงด้วยคมดาบของพวก เดียวกันเอง

คริสเตียนหลายคนมีความเชื่อก็ต่อเมื่อมองเห็นว่าฝีมือมนุษย์พอทำได้ แต่จะล้มลง เมื่อตกอยู่ในสถานการณ์สุดกำลังเกินแก้ เราควรเรียนรู้จากโยนาธานว่าชัยชนะของ พระเจ้าไม่ได่อยู่ตั้งบนความไม่แน่นอนในกำลังของเรา และจากที่ อ.เปาโลกล่าวไว้ว่า ฤทธิฺเดชของพระเจ้าจะมีเต็มขนาดในความอ่อนแอของเรา (ดู 1 ซามูเอล 14:6; 2 โครินธ์ 12:9-10).

สิ่งที่แวดวงชาวโลกมักเน้น (และบางทีแวดวงผู้เชื่อทั้งหลายด้วย) คือ "พลังของความ คิดเชิงบวก" บางทีก็เป็นความจริง แต่ก็ยังมีข้อผิดพลาดบางประการอยู่ พระเจ้าไม่ได้ ถูกจำกัดอยู่แค่ในความสามารถสูงสุดของเราเท่านั้น การช่วยกู้ซาอูล โยนาธาน และ อิสราเอลแสดงให้เราเห็นได้อย่างชัดเจนในเรื่องนี้ และพระเจ้าก็ไม่ได้ถูกจำกัดอยู่แค่ ในจินตนาการหรือความนึกคิดของเราเท่านั้น

9ดังที่มีเขียนไว้ในพระคัมภีร์ว่า "สิ่งที่ตาไม่เห็นหูไม่ได้ยิน และสิ่งที่มนุษย์คิดไม่ถึง คือสิ่งที่พระเจ้าได้ทรงจัดเตรียม ไว้สำหรับคนที่รักพระองค์"
(1 โครินธ์ 2:9)

20 ขอให้พระเกียรติจงมีแด่พระองค์ผู้ทรงฤทธิ์ กระทำสารพัด มากยิ่งกว่าที่เราจะทูลขอหรือคิดได้ ตามฤทธิ์เดชที่ประกอบกิจ อยู่ภายในตัวเรา 21 ขอให้พระเกียรติจงมีแด่พระองค์ในคริสตจักร และในพระเยซูคริสต์ตลอดทุกชั่วอายุคนเป็นนิตย์ อาเมน
(เอเฟซัส 3:20-21).

พระเจ้าทรงนำคนบาปไปจนถึงจุดที่หมดหนทางและสิ้นหวัง (ในสถานการณ์ที่พวกเขา คิดว่าตนเองนั้น "ชอบธรรม" แต่เป็นคนบาป) เพื่อที่พวกเขาจะเลิกวางใจในตนเอง และหันมาพึ่งพระองค์เพื่อความรอด สิ่งที่มนุษย์ไม่สามารถทำเพื่อช่วยเหลือตนเองได้ พระเยซูคริสต์ทรงกระทำให้แล้วบนไม้กางเขนที่เนินหัวกระโหลก พระองค์ดำเนินชีวิต อย่างชอบธรรม เชื่อฟังพระเจ้า ทรงสิ้นพระชนม์ไม่ใช่เพราะความผิดบาปของพระองค์ แต่เพราะความบาปของมนุษย์ พระเยซูทรงชดใช้ความผิดบาปแทนเรา และพระองค์ ปรารถนาจะมอบของประทานแห่งความชอบธรรมและชีวิตนิรันดร์ ให้กับมนุษย์ผู้ไม่สม ควรจะได้รับ พระเยซูทรงชดใช้ให้หมดสิ้นแล้ว สิ่งที่เราต้องทำเพียงแต่ยอมรับในความ เป็นคนบาป และไม่สมควรจะได้รับการยกเว้น และยอมรับว่าเราอ่อนแอเกินกว่าจะช่วย ตัวเองได้ สิ่งที่เป็นไปไม่ได้สำหรับมนุษย์นั้นเป็นไปได้สำหรับพระเจ้า :

27 แต่พระองค์ตรัสว่า "สิ่งที่มนุษย์ทำไม่ได้ พระเจ้าทรงกระทำได้"
(ลูกา 18:27)

คุณมาถึงความเป็นที่สุดของตัวคุณหรือยัง ? คุณเห็นหรือยังว่าการทำให้เป็นที่ชอบพอ พระทัย และไปถึงสวรรค์ด้วยตนเองนั้น เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ด้วยกำลังของมนุษย์ ? ถ้าคุณคิดได้ คุณกำลังจะได้รับพระพร คุณเพียงแต่เชื่อและวางใจในองค์พระเยซูคริสต์ ผู้ประทานความรอดให้คุณเท่านั้น

ให้เราจบบทเรียนนี้ด้วยการสรรเสริญพระเจ้า ด้วยสติปัญญาที่ทรงประทานให้ อ.เปาโล ในการทำสิ่งที่เราคิดว่าเป็นไปไม่ได้ ให้เป็นได้ด้วยวิธีการที่เกินกำลังความคิดของเรา :

33 โอ พระปัญญาและความรอบรู้ของพระเจ้านั้น ล้ำลึกเท่าใด ข้อตัดสินของพระองค์นั้นเหลือที่จะ หยั่งรู้ได้ และทางของพระองค์ก็เหลือที่จะสืบเสาะ ได้ 34 เพราะว่า ใครเล่ารู้พระทัยของพระเจ้า หรือ ใครเล่าเป็นที่ปรึกษาของพระองค์ 35 หรือใครเล่า ได้ถวายสิ่งหนึ่งสิ่งใดแก่พระองค์ ที่พระองค์จะต้อง ประทานตอบแทนให้แก่เขา 36 เพราะสิ่งสารพัดมา จากพระองค์ โดยพระองค์ และเพื่อพระองค์ ขอพระ สิริจงมีแด่พระองค์สืบๆไปเป็นนิตย์ อาเมน
(โรม 11:33-36)


46 มีหลายคนสันนิษฐานว่า ไม่ว่าดาบหรืออาวุธที่ทำด้วยเหล็ก คงถูกพวกฟิลิสเตียริบไปหมด เมื่อพวกเขาส่งกองกำลังเข้ามารักษาการ

47 ให้สังเกตุดูว่า โยนาธานไม่ได้คิดว่าชัยชนะเหนือฟิลิสเตียครั้งนี้เป็น ของท่าน แต่เป็นชัยชนะ ของอิสราเอล (เปรียบเทียบกับ 14:6, 10, 12).

Related Topics: Introductions, Arguments, Outlines

บทที่ 10: ซาอูลต่อสู้กับชาวฟิลิสเตีย (1 ซามูเอล 14:15 -52)

คำนำ

เมื่อครั้งมีแผ่นดินไหวในซานฟรานซิสโก ในปี 1865 มาร์ค ทเวนอยู่ในเหตุการณ์ด้วย ท่านเขียนอธิบายประสพการณ์แผ่นดินไหวครั้งแรกของท่านไว้ดังนี้ :

"ในเวลาบ่ายอ่อนๆ ของวันอันสดใสในเดือนตุลาคม ผมกำลังเดินมาตามถนนสายที่สาม สิ่งเดียวที่เคลื่อน ไหวในสายตาของผมในบริเวณนั้นคือ ชายร่างอ้วนที่ เดินตามหลังมา และรถม้าที่กำลังค่อยๆเลี้ยวตัดถนน ไปยังอีกฝั่ง ที่เหลือคือความนิ่งเงียบ สงบเหมือนวัน สะบาโต

พอเลี้ยวตรงหัวมุมที่มีบ้านอยู่ มีเสียงเหมือนเครื่องแก้ว หรือกระเบื้องแตกกระจายดังสนั่น และดูเหมือนมันจะ ปลิวออกมาข้างนอกด้วย ! -- ผมคิดทันทีเลยว่ามีคน กำลังทะเลาะกันในบ้าน แต่ก่อนที่ผมจะหันไปดูให้เห็น ชัดๆ ผมก็เกิดอาการช็อค เพราะพื้นที่ผมยืนอยู่เคลื่อน ไหวไปมาเหมือนคลื่นในทะเล มีการเขย่าขึ้นลงแทรก เป็นระยะๆ ผมได้ยินเสียงเหมือนอิฐหินที่ก่อสร้างกระ ทบกันไปมา ผมกระแทกเข้าไปกับบ้านหลังนั้น และ เจ็บที่หัวไหล่ ตอนนี้ผมรู้แล้วว่าอะไรเป็นอะไร … มีการไหวตามมาอีกเป็นระลอกที่สาม และในขณะที่ ผมพยายามทรงตัวยืนอยู่ให้ได้บนพื้นถนน ผมก็เห็น ภาพนี้ ! ตึกสูงสี่ชั้นข้างหน้าผมบนถนนสายที่สาม กระเด้งออกมาเหมือนเปิดประตูอย่างแรง และล้มคว่ำ พาดลงมาบนถนน ทำให้มีเหมือนฝุ่นฟุ้งกระจายไปทั่ว บริเวณ !

แล้วชายอ้วนที่เดินตามหลัง ก็หายวับไปในฝุ่น ก่อน ที่ผมจะทันนึกอะไรได้ รถพังกระจายเป็นเศษเป็นชิ้น กินระยะทางยาวประมาณ 300 หลา … . รถม้าหยุด นิ่ง ม้าพยายามดึงตัวเองให้หลุดออกมา ผู้โดยสาร กระเด็นออกไปกันคนละข้าง … . ประตูบ้านทุกหลัง ที่ผมมองเห็นได้เปิดพ่นเอาผู้คนออกมาเหมือนมดแตก รัง ; และก่อนที่ผมจะทันกระพริบตา ฝูงคนมากมาย จากออกมาจากทุกสารทิศ ความเงียบสงบก่อนหน้านี้ ดูเหมือนไม่เคยเกิดขึ้น 48

แผ่นดินไหวเป็นประสพการณ์ที่ร้ายแรงน่ากลัว ผมยังจำได้ถึงเหตุการณ์แผ่นดินไหว สมัยที่สอนเรียนอยู่ชั้นประถมหกที่มลรัฐวอชิงตัน ผมยังสงสัยอยู่ว่าพวกฟิลิสเตียที่รอด ตายจากแผ่นดินไหวที่พระเจ้าบันดาลให้เกิดขึ้นในสมัยของซาอูลนั้นจะลืมลงหรือไม่ เป็นเหตุการณ์ที่ทำให้ชาวฟิลิสเตียต้องพ่ายแพ้ต่อพระหัตถ์ของพระเจ้าและต่อชาวอิสราเอล ชัยชนะของอิสราเอลในครั้งนั้นนับว่าใหญ่ยิ่ง แต่เป็นเหตุการณ์ที่เราต้องมาดูกันให้ รอบคอบ พระคำตอนนี้เปรียบเทียบให้เห็นระหว่างความเชื่อและความกล้าของโยนา ธานกับความเขลาของผู้เป็นบิดา ซาอูล ให้เรามาดูว่าเหตุใดบิดาและบุตรคู่นี้จึงแตก ต่างกันโดยสิ้นเชิง

ปูมหลัง

ถึงแม้ว่าจะได้รับเลือกให้เป็นกษัตริย์เหนืออิสราเอล และรบชนะชาวอัมโมนก็ตาม ซาอูล ตัดสินใจไม่ "แกว่งเท้าหาเสี้ยน" โดยการไปจัดการกับพวกฟิลิสเตียที่ครอบครองอิสรา เอลอยู่ เราจะเห็นว่าฟิลิสเตียปกครองอยู่เหนือประชากรของพระเจ้าในหลายรูปแบบ มีกองกำลังรักษาการอยู่ในประเทศ (ดู 1 ซามูเอล 10:5; 13:3) และชาวอิสราเอลถูก ควบคุมอย่างเคร่งครัดในการจัดหาหรือมีอุปกรณ์ที่ทำด้วยเหล็กไว้ครอบครอง พวกเขา เป็นช่างเหล็กได้ แต่ไม่สามารถมีอาวุธที่ทำด้วยเหล็กไว้ใช้เลย (เช่นมีดาบ) และพวก เขาต้องจ่ายราคาแพงในการจัดหาเครื่องมือที่ใช้ทำไร่ไถนา (1 ซามูเอล 13:19-23) ถึง แม้ว่าฟิลิสเตียบีบคั้นชาวอิสราเอลอยู่ ถึงแม้ซาอูลได้รับเลือกให้มาเป็นกษัตริย์ และถึง แม้ซาอูลจะมีพระวิญญาณสถิตอยู่ (ดูบทที่ 9 และ 10) ซาอูลก็ยังเลือกที่จะส่งกำลัง ทหารถึง 330,000 คนที่มาร่วมรบที่เมืองยาเบชกิเลอาดกลับไปบ้าน ท่านเก็บไว้เพียง จำนวนเล็กน้อย 3,000 คนเท่านั้น ดูเหมือนท่านตั้งใจจะทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้กับพวกฟิลิส เตีย

โยนาธานไม่ต้้องการปล่อยให้สถานการณ์เป็นเช่นนี้ ท่านบุกไปโจมตีฟิลิสเตียทั้งๆที่มี กำลังพลเพียง 1,000 คน ท่านโจมตีกำลังพลที่เกบาก่อน (13:3) มีผลทำให้พวกฟิลิส เตียยกกำลังพลมหาศาลมาประจัน (13:5) ซาอูลไม่มีทางเลือก นอกจากต้องเรียกชุม นุมชาวอิสราเอลอีกครั้ง มีคนเพียงน้อยนิดมารายงานตัว และพอรู้ว่าสถานการณ์เป็น รองอย่างไม่มีทางรบชนะได้ ก็หนีแตกกระจายไป (มุมมองของมนุษย์) บางคนหลบหนี ไปซ่อนให้พ้นจากพวกฟิลิสเตีย บางคนเปลี่ยนสีไปเข้าพวกกับฟิลิสเตียแทน (13:6; 14:21-22) ซาอูลเรียกชุมนุมอยู่ที่กิลกาล ตามที่ซามูเอลสั่งไว้ (10:8) แต่เมื่อดูเหมือน ซามูเอลจะมาไม่ทันนัด ซาอูลจัดการเผาเครื่องถวายบูชาด้วยตนเอง ทันทีที่ถวายเสร็จ ซามูเอลก็มาถึง ท่านกล่าวตำหนิซาอูลที่ขาดการเชื่อฟัง และบอกด้วยว่าเพราะเหตุที่ ไม่เชื่อฟังนี้ ราชวงศ์ของซาอูลจะถูกตัดออกไป (13:11-14).

สงครามระหว่างฟิลิสเตียและอิสราเอลนี้ดูท่าจะไปไม่รอด เพราะฟิลิสเตียมีกำลังพล มากกว่าไม่รู้กี่เท่า และมีอาวุธพร้อมเพรียง ทหารอิสราเอลที่เหลืออยู่ก็กลัวจนตัวสั่น และซาอูลดูเหมือนจะเป็นอัมพาต ในขณะเดียวกัน พวกฟิลิสเตียมาตั้งค่ายอยู่ที่มิคมาช และส่งกองปล้นออกไปทำลายบ้านเรือนประชาชนทั่วอิสราเอล (ซึ่งดูเหมือนพวกเขา เหยียบย่ำไปแทบทุกแห่งในอิสราเอล – ดู 13:15-18)

ซาอูลไม่มีทีท่าว่าจะออกไปรบกับฟิลิสเตีย แต่โยนาธานมี ท่านและผู้ถือเครื่องอาวุธ ลอบออกไปจัดการกับพวกฟิลิสเตียแทน ทั้งสองปีนลงไปจากยอดเขาแหลมและไต่ ขึ้นไปตามรอยแยกของหินบนหน้าผา โดยยึดเอาหมายสำคัญว่า ถ้าคนฟิลิสเตียอนุญาติ ให้ขึ้นไปแสดงว่าพระเจ้าจะประทานชัยชนะให้กับอิสราเอล เมื่อหนุ่มผู้กล้าหาญทั้งสอง ขึ้นไปถึงยอดเขา พวกเขาได้ฆ่าฟันคนฟิลิสเตียไปได้ถึง 20 คนในระยะทางเพียงครึ่ง เอเคอร์ (14:1-14) ในขณะที่กำลังทำการฆ่าฟันนี้ พระเจ้าทรงบันดาลให้เกิดแผ่นดิน ไหวรุนแรงขึ้น แรงชนิดที่ทำให้จำนวนคนฟิลิสเตียละลายสูญหายเหลือเพียงนิดเดียว บทเรียนวันนี้จะมาเรียนต่อจากตอนที่เกิดแผ่นดินไหว

เขย่าขวัญศัตรู
(14:15-23)

15 และบังเกิดการสั่นสะท้านในค่ายในทุ่งนาและในหมู่ประชาชน กองทหารนั้นและถึงกองปล้นก็ตกใจตัวสั่นแผ่นดินได้ไหว กระทำ ให้เกิดการสั่นสะท้านมากยิ่งนัก 16 ยามของซาอูลที่อยู่ ณ กิเบอาห์ แห่งเผ่าเบนยามินก็มองดูอยู่ และดูเถิด มวลชนก็สลายไปวิ่งวุ่นไป มา 17 แล้วซาอูลจึงรับสั่งแก่พลที่อยู่กับท่านว่า "จงนับดูว่าผู้ใดได้ ไปจากเราบ้าง" และเมื่อเขานับดูแล้ว ดูเถิด โยนาธานและผู้ถือ เครื่องอาวุธของท่านไม่อยู่ที่นั่น 18 และซาอูลรับสั่งกับอาหิยาห์ว่า "จงนำหีบของพระเจ้ามาที่นี่" เพราะคราวนั้นหีบของพระเจ้าอยู่กับ คนอิสราเอลด้วย 19 อยู่มาเมื่อซาอูลตรัสกับปุโรหิตเสียงโกลาหลใน ค่ายฟีลิสเตียก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ซาอูลจึงตรัสกับปุโรหิตว่า "หดมือไว้ก่อน" 20 ซาอูลกับพลที่อยู่ด้วยก็รวมกันเข้าไปทำศึกและดูเถิด ดาบของทุก คนก็ต่อสู้เพื่อนของตนมีความสับสนอลหม่านอย่างยิ่ง 21 ฝ่ายคนฮีบรู ซึ่งเคยอยู่กับคนฟีลิสเตียก่อนเวลานั้น และผู้ที่ไปในค่ายกับเขาทั้งหลาย กลับมาเข้ากับคนอิสราเอล ผู้อยู่ฝ่ายซาอูลและโยนาธาน 22 ในทำนอง เดียวกัน คนอิสราเอลผู้ซ่อนตัวอยู่ที่แดนเทือกเขาเอฟราอิมเมื่อได้ยินว่า คนฟีลิสเตียกำลังหนี พวกเหล่านี้ก็ไล่ติดตามเขาไปทำศึกด้วย 23 พระเจ้า ทรงช่วยกู้อิสราเอลในวันนั้น และสงครามก็ผ่านตลอดเมืองเบธาเวนเลยไป

ผมยังจำได้ว่าเคยแสดงความเกเรในชั่วโมงพละตอนอยู่ ป.หก คุณครูจอห์นสตัน จับผม ไปเขย่ากับข้างกำแพง ผมเข็ดเลย คนฟิลิสเตียก็เข็ดขยาดด้วย เสียงดังสะท้านสนั่น หวั่นไหวยิ่งตอกย้ำความกลัวขึ้นไปอีก ถ้าเป็นเพียงแผ่นดินไหว "ธรรมดาๆ" (ผมสงสัย ว่ามีไหม?) พวกฟิลิสเตียคงกลัวแทบแย่แล้ว แต่ครั้งนี้ดูจะไม่ธรรมดา เวลาก็ดูจะเหมาะ เจาะ เพราะเกิดหลังจากที่โยนาธานและผู้ช่วยกำลังมีชัยชนะเล็กๆเหนือพวกฟิลิสเตีย ดูเหมือนว่าแผ่นดินไหวครั้งนี้จะเกิดอยู่เฉพาะบริเวณที่พวกฟิลิสเตียอยู่ ในพระคัมภีร์ไม่ ได้กล่าวถึงความรู้สึกของคนอิสราเอล ว่ากลัวแผ่นดินไหวด้วยหรือเปล่า อันที่จริง มี ความเป็นไปได้ว่าคนอิสราเอลไม่รู้ด้วยซ้ำไปว่ามีอะไรเกิดขึ้นกับพวกฟิลิสเตียที่ถึงกับทำ ให้คุ้มคลั่ง ไม่รู้ว่าเป็นแผ่นดินไหวที่พระเจ้าบันดาลให้เกิดขึ้น และผลกระทบที่เกิดขึ้น นั้นรุนแรงมหาศาล49

เนื่องจากพวกเราไม่เคยเจอเหตุการณ์แผ่นดินไหวมาก่อน ผมจึงนำข้อเขียนของบรรดาผู้ ที่เคยประสพกับเหตุการณ์นี้มาให้อ่าน เพื่อจะ้จินตนาการออกและสัมผัสได้

ในวันศุกร์ที่ 9 เดือนมกราคมที่ผ่านมา เมืองของเรา (ซานตา บาบาร่า) ได้รับการเยือนจากแผ่นดินไหว อย่าต่อเนื่อง เป็นเหตุการณ์ที่รุนแรงที่สุดเท่าที่เคย เกิดขึ้นในบริเวณชายฝั่งด้านนี้ ในช่วงหลายปีที่ผ่าน มา… .

ที่ในเมือง ในยามเช้าของวันอันสดใส แดดส่องสว่าง อยู่ทั่วไป ลมสงบนิ่ง ไม่มีสิ่งใดบ่งบอกว่ากำลังจะมี เหตุอาเพศเกิดขึ้น … . สักเวลาประมาณแปดโมง ครึ่งตามที่มีผู้บันทึกไว้ เกิดการสั่นไหวอย่างรุนแรง ขึ้น และต่อเนื่องไปอีกสัก 40 ถึง 60 วินาที ทุกคนใน เมืองสัมผัสได้ถึงแรงสั่นนี้ และแรงขึ้นจนทุกคนเผ่น หนีออกมาจากที่พัก หลายคนคุกเข่าลง หัวใจเต้นแรง ด้วยความกลัวเป็นที่สุด สวดอ้อนวอนให้ภัยพิบัตินี้ ผ่านพ้นไปโดยเร็ว50

ตำรวจทางหลวงคาลิฟอร์เนียพูดถึงประสพการณ์แผ่นดินไหวไว้ดังนี้ :

"รู้สึกเหมือนอยู่ในกระป๋องสีที่ถูกเขย่า โดยไม่มีการ เตือนล่วงหน้า บ้านทั้งหลังสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง เอียงไปเอียงมา ผมกำลังนอนอ่านหนังสือพิมพ์์อยู่ ในห้องนั่งเล่น ความคิดแรกที่แว่บเข้ามาคือ มีรถพุ่ง เข้ามาในบ้าน หรือเครื่องบินกำลังตกลงมา แต่มันก็ยัง ไม่หยุดสั่น ผมจึงรู้ทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น

เครื่องเสียงบนชั้นวางของตกลงมาที่พื้น ผมพยายาม ลุกขึ้นยืนเพื่อจะหนีออกไปข้างนอก ยังไงๆผมก็ต้อง ออกไปให้ได้ ผมพยายามจะลุกขึ้น แต่ทำไม่ได้ สอง สามนาทีผ่านไป แรงสั่นสะเทือนน้อยลง ผมลุกขึ้นยืน ได้ จึงพาภรรยาวิ่งออกมาข้างนอก … .51

นักกอล์ฟท่านหนึ่ง ขณะออกรอบในตอนเช้าตรู่ในปี 1925 ที่เมืองซานตาบาบาร่า ประสพเหตุแผ่นดินไหว เล่าให้ฟังว่า :

"ผมต้องหยุดกึกลงเพราะเสียงคำรามสนั่นที่ไม่เคยได้ ยินมาก่อน ไม่สามารถอธิบายได้ และไม่อยากจะได้ยิน อีกด้วย ผมสั่นอย่างรุนแรง เหมือนมีมือปีศาจมาจับที่ ไหล่และเขย่าเพื่อให้ศีรษะของผมหลุดออกมา ผม พยายามยืนทรงตัวให้ได้ ภูเขาดูเหมือนจะขึ้นๆลงๆได้ – ผมไม่ได้ล้อเล่นนะครับ และไม่ได้เห็นภาพหลอน ด้วย – แผ่นดินเป็นเหมือนคลื่นม้วนไปมาอยู่รอบๆตัว มันไม่ใช่แผ่นดินไหวธรรมดาๆที่เกิดขึ้นทั่วๆไป แต่มัน เกิดขึ้นนานพอควร ผมเชื่อว่าพวกนักโต้คลื่นเก่งๆทั้ง หลาย คงต้องชิดซ้ายไปเลย เสียงคำรามที่มาก่อนการสั่นสะเทือนสักสองสามวินาทีฟังดูเหมือนอยู่ห่างไกลมาก และใกล้เข้ามาในทันที เหมือนลูกปืนพุ่งเข้าใส่ "52

ความกลัวแผ่นดินไหวจนตัวแข็งนี้ มีเล่าอยู่ในหนังสือเรื่อง "แผ่นดินไหวในซานตา บาบาร่าในปี 1925 โดยช่างรับเหมาก่อสร้างผู้หนึ่ง :

"ผมบอกได้เลยว่า แทบไม่มีทางรอดจากการเจ็บตัว ในเหตุแผ่นดินไหวครั้งนี้ได้ ผมจะเล่าให้ฟังสักสอง เรื่อง ซึ่งมีผลกระทบกับชายสองคนนี้ค่อนข้างมาก คนหนึ่งเป็นช่างทำหม้อน้ำ กำลังทำงานอยู่ทางด้าน ตะวันออกของตัวบ้าน มีอิฐตกลงมาจากกำแพง ก้อน ใหญ่ๆทั้งนั้น กระเด็นไปไกลได้ถึง 12 ฟิต หลังคาด้าน ที่เขายืนอยู่ถล่มลงมา ตกลงไปกองอยู่บนเครื่องจักร ตามปกติผู้ชายคนนี้เป็นคนกล้า ไม่กลัวอันตรายใดๆ แต่คราวนี้เขาตกใจกลัวจนขยับขาไม่ออก หลังจาก หายวิงเวียนได้สักพัก เขาก็ค่อยๆคลานออก มาโดย ไม่ต้องมีใครไปช่วย และไม่เจ็บที่ตรงไหนด้วย….53

คุณลองจินตนาภาพของพวกทหารฟิลิสเตียดู ก่อนเกิดแผ่นดินไหวคงต้องมีเสียงดัง สนั่น ซึ่งบางคนเคยอธิบายไว้ว่าดังกว่าระเิดพันลูกลงพร้อมกันเสียอีก แผ่นดินโลกคง จะสั่นขึ้นสั่นลง มีการคำนวนไว้ว่า แผ่นดินไหวแต่ละครั้ง พื้นโลกจะม้วนขึ้นในแนวตั้ง ประมาณ 2 นิ้ว และเกิดถี่ประมาณ 240 ครั้งต่อนาที พื้นดินจึงม้วนไปมาเหมือนคลื่นใน มหาสมุทร ทำให้พวกทหารโคลงเคลงจนตกลงมา และที่เลวร้ายที่สุด บางที แผ่นดิน เคลื่อนไหวไปมาในแนวนอนด้วย ซึ่งอาจเป็นบริเวณกว้างแลไกลออกไป

ลองมาคิดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนั้น ขณะที่มีคนนำข่าวไปบอกว่าทหารดูต้นทาง ถูกโจมตี (โดยโยนาธานและผู้ถือเครื่องอาวุธ) แล้ว บรรดา "กองปล้น" ที่ถูกส่งออก ไปฆ่าล้างทำลาย เริ่มตกใจกลัว เพราะนี่เป็น "หน่วยรบพิเศษ" ในสมัยนั้น ที่ค่ายใหญ่ เตรียมพร้อม ทหารถูกเรียกให้เข้าประจำที่ตามแผนรบ ทุกคนชักดาบชูขึ้น และกองทัพ ก็เคลื่อนออกไปสู่สนามรบ ทันใดนั้น มีเสียงดังสนั่นกึกก้องเกิดขึ้น พวกทหารตกใจสุด ขีด ในขณะที่พวกเขากำลังออกเดิน พื้นดินใต้เท้าสั่นไปมา ทหารเริ่มล้มลง และตาม ด้วยแผ่นดินม้วนไปมาเป็นระลอก ดาบของคนข้างหลังก็แทงไปที่คนข้างหน้า คนข้าง หน้านึกว่าถูกศัตรูโจมตี ตกใจหันมาฟันคนข้างหลัง – มีการล้มตายเกิดขึ้นมากมาย ทุกอย่างเกิดจากน้ำมือ "คนกันเอง" ทั้งสิ้น

ผมอาจให้รายละเอีียดไม่ถูกต้องหมด แต่ผลลัพท์ออกมาเหมือนกัน ทหารฟิลิสเตียหมด แรงและตกใจกลัวแผ่นดินไหว ด้วยความกลัวสุดขีดอย่างเดียว พวกเขาหันมาฆ่าฟัน กันเอง การล้มตายครั้งนี้เกิดเพราะฝีมือฟิลิสเตียด้วยกันเอง ก่อนที่อิสราเอลจะออกมา สู้รบด้วยซ้ำ แท้จริงแล้วเป็น "ความกลัวที่พระเจ้าส่งลงมา" (1 ซามูเอล 14:15 ฉบับ NIV) เราควรยำเกรงในพระราชอำนาจอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้าแทนคนอิสราเอล คนดูต้น ทางของอิสราเอลคงมองดูสิ่งที่พระเจ้าบันดาลให้เกิดขึ้นกับพวกฟิลิสเตีย พวกเขาอาจ ไม่เข้าใจว่าเกิดแผ่นดินไหว ที่เขาเห็นคือพวกทหารโคลงไปเคลงมาเหมือนคลื่น สิ่งนี้ เกิดขึ้นเพราะพื้นดินเคลื่อนที่หรือ ? หรือว่าแผ่นดินแยกออกจากกัน ? เราเองก็ไม่อาจรู้ ได้ ผมยังสงสัยเลยว่าพวกอิสราเอลจะรู้หรือเปล่า แต่จากที่พวกเขาเห็นและได้ยินพวก เขารู้ว่าบางสิ่งมหัศจรรย์กำลังจะเกิดขึ้น

ผู้อ่านคงอยากรู้ปฏิกิริยาของซาอูลในเหตุการที่เกิดขึ้น สิ่งแรกที่ท่าทำคือนับกำลังพล ไม่ใช่เพื่อเตรียมออกรบ แต่เพื่อจะดูว่าใครขาดหายไป ผมค่อนข้างไม่เห็นด้วยกับพระ คัมภีร์ฉบับ New King James Version ที่แปลข้อ 17:

และซาอูลก็กล่าวกับประชาชนที่อยู่กับท่านว่า "ให้ นับจำนวนคน ดูทีว่าใครจากเราไปบ้าง" และเมื่อเขา นับเสร็จ ก็ประหลาดใจว่า โยนาธานและผู้ถือเครื่อง อาวุธไม่ได้อยู่ที่นั่น
(1 ซามูเอล 14:17, NKJV)

(17 แล้วซาอูลจึงรับสั่งแก่พลที่อยู่กับท่านว่า "จงนับดูว่าผู้ใดได้ไปจากเราบ้าง" และเมื่อ เขานับดูแล้ว ดูเถิด โยนาธานและผู้ถือเครื่อง อาวุธของท่านไม่อยู่ที่นั่น - พระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับภาษาไทย)

คำว่า "ดูเถิด" ที่แปลจาก the New American Standard Version นั้นแปลจากภาษา ฮีบรูได้เหมาะสมกว่า คำนี้อาจหมายถึงประหลาดใจก็ได้ตามที่ฉบับ NKJV แปล แต่ผม เห็นในทางตรงข้าม ผมรู้สึกไม่กล้าที่จะลองแปลเอง แต่ผมว่าบริบททั้งหมด และคำใน ภาษาฮีบรูเองน่าจะแปลได้ดังนี้ :

17 แล้วซาอูลจึงรับสั่งแก่พลที่อยู่กับท่านว่า "จงนับดู ว่าผู้ใดได้ไปจากเราบ้าง" และเมื่อเขานับดูแล้ว แน่ นอน โยนาธานและผู้ถือเครื่องอาวุธของท่านไม่อยู่ ที่นั่น
(คำแปลของผม/ถ่ายทอดจาก 1 ซามูเอล 14:17)

ซาอูลไม่ประหลาดใจ เพราะหลังจากนับเสร็จแล้ว ผลออกมาตามที่ท่านหวั่นเกรง ลอง คิดดู ทุกอย่างดูเป็นปกติดีกับพวกฟิลิสเตีย (ตามมาตรฐานของซาอูล) จนกระทั่ง โยนาธานก่อเรื่องขึ้น โดยไปโจมตีกองกำลังฟิลิสเตียที่เกบา (1 ซามูเอล 13:3) เรื่องวุ่นวายทั้งหมดนี้ (ตามที่ซาอูลคิด) นำเอากองทัพฟิลิสเตียแห่กันมาอยู่ที่มิคมาช เป็นความผิดโยนาธานทั้งสิ้น คงอยู่สงบไม่เป็น และเมื่อทั้งสองฝ่ายต้องมาเผชิญหน้ากันทางทหาร ซาอูลก็หลบเลี่ยง (ด้วยการไป นั่งอยู่ที่ใต้ต้นทับทิม -14:2) และในทันใดนั้น มีเหตุโกลาหลเกิดขึ้นกับพวกฟิลิสเตีย ต้องมีสาเหตุมาจากบางอย่าง ซาอูลไม่ได้คิดถึงพระเจ้าเป็นเรื่องแรก แต่กลับไปคิดถึง โยนาธาน ลูกชายที่ก่อเรื่องเอาไว้ เพราะเมื่อนับกำลังพลแล้ว ทั้งสองคนไม่ได้อยู่ที่นั่น ซึ่งน่าจะเดาได้ไม่ยากว่าเป็นผู้ไปก่อเรื่อง -- อีกแล้ว

แล้วในที่สุด ซาอูลก็ตัดสินใจปรึกษาพระเจ้า – ตอนนี้ท่านอยู่ในสถานการณ์ "คับขัน" ในสมัยนั้นมีวิธีแสวงหาน้ำพระทัยพระเจ้าได้หลายวิธี แน่นอน ผู้เผยพระวจนะรับฟังพระ ดำรัสโดยตรงจากพระเจ้า แต่ซามูเอลก็ทิ้งซาอูลไปจากกิลกาลแล้ว เหตุเพราะขัดคำสั่ง (ดู 13:8-14) แต่ยังมีเอโฟดที่พวกปุโรหิตใช้และสวมใส่อยู่ ซึ่งอยู่กับอาหิยาห์ ผู้เป็น ปุโรหิต (14:3) แต่ซาอูลไม่เลือกใช้ ท่านกลับให้ไปนำหีบแห่งพันธสัญญามาแทน ดู เหมือนการนี้ต้องพึ่งพามือของอาหิยาห์ปุโรหิต เพื่อจะได้ทราบถึงน้ำพระทัยพระเจ้า ท่าทางวิธีนี้ต้องจะใช้เวลาพอควร ถ้าเป็นเครื่องใช้ไฟฟ้า คงต้องมีการ "อุ่นเครื่อง" กัน ก่อน เรารู้ดีว่าซาอูลมีความอดทนน้อย (ดูบทที่ 13) ความโกลาหลในค่ายของพวกฟิ ลิสเตียดูจะหนักหน่วง หนักจนซาอูลคิดว่าถ้าจะออกไปสู้ตอนนี้อิสราเอลคงชนะแน่ ท่าน จึงสั่งให้ปุโรหิตหดมือไว้ก่อน หรือ "ปิดเครื่องมือแสดงน้ำพระทัยพระเจ้าก่อน" ซาอูล และคนของท่านจึงติดตามไปจัดการกับชาวฟิลิสเตียที่ตื่นตะหนกฆ่าฟันกันอยู่ พอ ทหารอิสราเอลไล่ไปจนกระชั้นชิด พวกเขายิ่งมองเห็นชัยชนะที่พระเจ้าประทานให้ อย่างชัดเจน

นักรบขี้ขลาดกำลังออกไปสู้กับพวกฟิลิสเตีย โดยมีโยนาธานและผู้ถือเครื่องอาวุธนำ หน้าไป ; ซาอูลติดตามไปอย่างไม่ค่อยเต็มใจนัก หลังจากเห็นชัยชนะอยู่แค่เอื้อม บรรดาผู้ที่หนีแตกกระจายไปก่อนหน้า บรรดาผู้ที่ไปเข้าพวกกับฟิลิสเตีย (14:21) และบรรดาผู้ที่ไปซ่อนอยู่ตามรูซอกหิน ก็ออกมาช่วยซาอูลและคนที่ติดตามท่าน 600 คนในทันที กำลังทหารของซาอูลจึงเพิ่มขึ้นอย่างไม่รู้ตัว

คำสาบานที่โง่เขลาของซาอูล
(14:24-28)

24 และคนอิสราเอลต้องทุกข์ยาก54 ในวันนั้น เพราะซาอูล ได้ทรงให้ประชาชนสาบานไว้ว่า "ถ้าผู้ใดรับประทานอาหาร ก่อนเวลาเย็นวันนี้ ก่อนเราแก้แค้นศัตรูแล้ว ให้ผู้นั้นถูกสาป แช่ง" เพราะฉะนั้นพวกพลจึงไม่รับประทานอาหารเลย 25 และชาวแผ่นดินก็เข้ามาในป่า มีน้ำผึ้งอยู่ตามพื้นทุ่ง 26 เมื่อประชาชนเข้าไปในป่านั้น ดูเถิด น้ำผึ้งก็กำลังย้อย อยู่ แต่ไม่มีคนใดเอามือใส่ปาก เพราะเขากลัวคำสาบาน 27 แต่โยนาธานไม่ได้ยินคำสาบานของพระราชบิดา ที่ทรง ให้ประชาชนสาบานจึงเอาปลายไม้ที่ถืออยู่ แหย่ที่รังผึ้ง แล้วก็เอามือของท่านใส่ปากตาก็แจ่มใสขึ้น 28 มีชายคน หนึ่งเรียนว่า "พระราชบิดาของท่านบังคับให้พวกพลสาบาน ว่า 'ผู้ใดที่รับประทานอาหารในวันนี้ให้ผู้นั้นถูกสาปแช่ง'" และพวกพลก็อ่อนเพลีย

เป็นความพ่ายแพ้ของฟิลิสเตีย และเป็นชัยชนะของพระเจ้า ถึงแม้เป็นชัยชนะที่ไม่สม ควรได้รับก็ตาม ; พวกเขาน่าจะตัดสินใจให้ดีก่อนหน้านี้ ในข้อ 24-30 ผู้เขียนอธิบาย ถึงเหตุผลว่าทำไมชัยชนะครั้งนี้จึงไม่เด็ดขาดนัก ย่อๆคือ เพราะทหารอิสราเอล "ทุกข์ ยากคับแค้นใจ" ในวันนั้นพวกเขาอ่อนแรงเกินกว่าจะไล่ตามฆ่าพวกฟิลิสเตียให้หมดสิ้น ผู้ที่ทำให้ คนอิสราเอลทุกข์ยากคับแค้นนั้น ไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นกษัตริย์ซาอูลของ พวกเขานั่นเอง เป็นเพราะคำสาบานโง่ๆของท่านที่เป็นตัวการขัดขวางทหารอิสราเอล

ดูเหมือนภาพพจน์ของซาอูลจะเสื่อมถอยลงไปมาก หลังจากที่ท่านรบชนะพวกอัมโมน ที่ยาเบชกิเลอาดในบบที่ 11 แล้ว ท่านถูกพวกฟิลิสเตียหยามน้ำหน้า ไม่เพียงเฉพาะที่ พวกเขาเข้ามาครอบครองดินแดนอิสราเอลเท่านั้น แต่การที่พวกเขาบีบบังคับคนอิสรา เอลด้วยการผูกขาดสิทธิในการทำ การซื้อขาย และรักษาทุกอย่างที่ทำจากเหล็ก (13:19-23) และที่ขายหน้าเป็นที่สุดคือการที่โยนาธานเป็นคนเริ่มต้นไปโจมตีพวก ฟิลิสเตีย และบัดนี้เมื่อท่านเห็นฟิลิสเตียพ่ายแพ้อยู่ต่อหน้า ซาอูลตัดสินใจจะให้พวก เขาชดเชยความอับอายของท่าน การต่อสู้กับพวกฟิลิสเตียสำหรับท่านแล้วเป็นการแก้ แค้นส่วนตัว ไม่ใช่เป็นการรบของพระเจ้า หรือแม้แต่เป็นของชนชาติอิสราเอลอีกต่อไป ซาอูลจึงบังคับให้ทหารของท่านสาบาน : ไม่มีใครกินอาหารจนกว่าจะค่ำ ทหารต้องสู้รบ ต่อโดยท้องว่าง ซาอูลอ้างเหตุผลว่าจะได้ไม่เสียเวลาอันมีค่า (และแสงในเวลากลาง วัน?) มัวแต่มานั่งหุงหาและกินอาหาร (ในเมื่อทั้งซาอูลและคนของท่านไม่ได้เตรียมจะ มารบครั้งนี้ จึงไม่มีใครเตรียมตัวมา) จึงไม่มีเหตุผลใดที่จะกินไปด้วยรบไปด้วย ดังนั้น สำหรับซาอูลแล้ว ท่านบังคับไม่ให้มีการกิน แต่ให้ออกไปรบโดยไม่หยุดพักตลอดวัน

ซาอูลทำผิดสองประการ แรก ท่านผิดด้วยการคิดว่าคำสั่งของท่านจะยิ่งทำให้ อิสราเอลมีชัยเด็ดขาดเหนือฟิลิสเตีย ท่านคิดว่าจะทำให้มีเวลามากพอที่จะติดตามฆ่า พวกฟิลิสเตียในขณะที่ยังสว่างอยู่ และเป็นเหตุให้คนฟิลิสเตียจะตายลงอีกเป็นจำนวน มาก วิธีนี้ไม่เป็นผล ขณะที่พวกฟิลิสเตียถอยหนีกลับไปยังดินแดนของตนนั้น สนาม รบยิ่งแผ่อาณาบริเวณกว้่างออกไปทางตะวันออก ไปถึงยังเมืองเบธาเวน (14:23) และ ไปถึงอัยยาโลน (14:31) อิสราเอลติดตามฟิลิสเตียไปยังแถบเทือกเขาไกลถึงเกือบ 40 กิโลเมตรโดยไม่มีการแวะกินอาหาร พวกเขาจึงหิวและเหนื่อยอ่อนจนไม่มีแรงจะตามได้ ต่อไป

ซาอูลยังทำผิดประการที่สอง ท่านคิดผิดว่าอาหารสำหรับนักรบนั้นต้องมีการลงมือหุง หา ซึ่งกินเวลานาน ถึงแม้ในสมัยนั้นไม่มี "ฟาสต์ฟูด หรืออาหารจานด่วน" แต่ท่านลืม คิดไปว่ายังมีสิ่งที่ทดแทนและเพิ่มพลังไ้ด้อย่างรวดเร็ว พระเจ้าทรงเตรียม "อาหารจาน ด่วน" ไว้ให้ พระองค์ได้เตรียมให้มีน้ำผึ้งไหลย้อยอยู่ในป่า และแทบไม่ต้องเสียเวลา ในการกินด้วย พวกทหาร เช่นโยนาธาน เพียงแต่ใช้ไม้แหย่เข้าไปในรังผึ้ง ก็จะได้น้ำผึ้ง ติดมาที่ปลายไม้ใช้กินได้ในทันที ไม่มีอาหารใดที่เร็วและดีไปกว่านี้อีกแล้ว นอกจากดี แล้วยังมาจากธรรมชาติที่หากินง่ายๆได้ในป่า อาหารนี้ทำให้ "เกเตอร์เรด" ต้องชิด ซ้ายไปเลย

โยนาธานไม่ได้ยินคำสั่งของซาอูลจนสายเกินแก้ ท่านออกไปสู้รบกับพวกฟิลิสเตีย ไม่ได้ มัวแต่มานั่งฟังคำสั่งของซาอูล ท่านเดินหน้าสู้ต่อไปเรื่อยๆ จนกองกำลังของซาอูลตามมาทัน หลังจากโยนาธานกินน้ำผึ้งแล้ว คนของซาอูลค่อยแจ้งท่านเรื่อง คำสั่งโง่เขลาของบิดา โยนาธานพูดในสิ่งที่ตรงกับใจพวกเราคิดอยู่ทีเดียว : "บิดา ของข้ากระทำให้แผ่นดินลำบาก ดูซิว่าตาของข้าแจ่มแจ้งเพียงไร เพราะข้าได้ รับประทานน้ำผึ้งนี้แต่เล็กน้อย" (14:29) บิดาของท่่านนั้น ทั้งโง่และเห็นแก่ตัวที่ห้ามไม่ให้ ทหารกินสิ่งใด ถ้าคนอิสราเอลได้กินเช่น เดียวกับโยนาธาน ชัยชนะ จะยิ่งเพิ่มพูนขึ้น ซาอูลไม่ใช่เป็นผู้ที่นำชัยชนะมาสู่อิสราเอล แต่กลับ เป็นตัวการขัดขวาง ถึงแม้ท่านมีอำนาจในฐานะกษัตริย์ แต่ท่านไม่ใช่ผู้นำที่ดี คนอิสราเอลคง คิดเช่นเดียวกัน มีแต่โยนาธานเท่านั้น ที่กล้าพูดออกมา

ซาอูล หินสะดุดของชาวอิสราเอล

(14:31-35)

31 ในวันนั้นเขาทั้งหลายฆ่าฟันคนฟีลิสเตียจาก มิคมาชถึงอัยยาโลนและพวกพลก็อ่อนเพลียนัก 32 และพวกพลก็วิ่งเข้าหาของที่ริบได้ เอาแกะ และวัวและลูกวัวมาฆ่าเสีย ณ ที่นั้นเองและพวก พลก็กินเนื้อพร้อมกับเลือด 33 แล้วเขาก็ไปทูล ซาอูลว่า "ดูเถิด พวกพลกำลังทำบาปต่อพระเจ้า โดยรับประทานพร้อมกับเลือด" และซาอูลจึงรับ สั่งว่า "เจ้าได้ประพฤติอย่างทรยศแล้ว จงกลิ้ง ก้อนหินใหญ่มาให้เราวันนี้" 34 และซาอูลตรัสว่า "ท่านจงกระจัดกระจายกันไปท่ามกลางพวกพล และบอกเขาว่า 'ให้ทุกคนนำวัวหรือแกะของตัว มาฆ่าเสียที่นี่แล้วรับประทาน อย่ากระทำบาปต่อ พระเจ้าด้วยรับประทานพร้อมกับเลือด'" คืนนั้นทุก คนก็นำวัวมาและฆ่าเสียที่นั่น 35 และซาอูลก็สร้าง แท่นบูชาถวายแด่พระเจ้า เป็นแท่นบูชาแท่นแรก ซึ่งท่านสร้างถวายแด่พระเจ้า

แค่คำสั่งโง่ๆของซาอูลที่ทำให้ไม่ชนะฟิลิสเตียอย่างเด็ดขาดก็แย่พอแล้ว แต่ที่แย่ไป กว่านั้นคือคำสั่งนี้เป็นต้นเหตุให้คนอิสราเอลทำบาป ชาวอิสราเอลทำตามคำสั่งอันไร้ สติของซาอูลที่ไม่ให้กินจนกว่าจะค่ำ และเป็นเพราะความเหนื่อยหมดแรง จึงไม่ สามารถฆ่าคนฟิลิสเตียได้มากนัก และเมื่อเวลาค่ำมาถึง ทหารอิสราเอลที่หิวโหย เมื่อ เจอกับแกะและวัวที่ศัตรูทิ้งไว้ จึงลงมือจัดการฆ่ากิน เป็นเรื่องน่าเศร้าที่คนอิสราเอล กลัวขัดคำสั่งซาอูลมากกว่ากลัวขัดคำสั่งพระเจ้า ทหารที่หิวโหยเหล่านี้กินเนื้อสัตว์ โดยไม่มีการนำไปปรุงให้ถูกต้องตามบัญญัติ พวกเขาจึงทำบาป (เลวีนิติ 17:10; 19:26).

มีคนมาแจ้งให้ซาอูลทราบว่ามีการทำบาปเกิดขึ้น (14:33) เราคงสงสัยว่าซาอูลจะรู้ตัว หรือไม่ว่าสิ่งที่เขากระทำนั้นร้ายแรงมาก นอกจากจะมีคนกล้าไปบอก แทนที่ท่านจะ ยอมรับผิดว่าเป็นตัวการทำให้คนอิสราเอล "สะดุด" ซาอูลกลับชี้นิ้วกล่าวหาไปที่ทหาร ที่หิวโหยแทน : "เจ้าได้ประพฤติอย่างทรยศแล้ว จงกลิ้งก้อนหินใหญ่มาให้เรา วันนี้" (14:33ข) มีการหยุดยั้งความบาป ถึงแม้เป็นความบาปที่เกิดจากการตัดสินใจ ผิดพลาดของท่าน อย่างน้อยท่านก็ยังยับยั้งไม่ให้คนของท่านทำบาปมากไปกว่านี้

มีข้อเท็จจริงสองประการที่ดูแปลก เมื่อซาอูลสร้างแท่นบูชาขึ้นในค่ำวันนั้น เพื่อให้ชาว อิสราเอลได้ทำการ "ถวายบูชา" ข้อแรก เราไม่อาจเรียกการถวายบูชานี้ได้ว่าเป็นการ นมัสการด้วยใจจริง ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายคนอิสราเอลหรือทางฝ่ายซาอูล เป็นเพียงทำให้ ถูกต้องตามพิธีการ เพื่อบรรดาทหารจะได้หลุดพ้นจากความผิดบาป และเมื่อรู้ว่าเป็น แท่นบูชาแท่นแรกที่ซาอูลสร้างขึ้น ยิ่งทำให้ไม่น่าประทับใจใหญ่ ซาอูลต้องรอให้เกิด เหตุร้ายแรงขนาดนี้เทียวหรือ ถึงค่อยนมัสการพระเจ้า ? ท่านคิดจะสร้างแท่นบูชาเฉพาะ ในเวลาวิกฤติเท่านั้นหรือ ? ผมไม่อาจเรียกว่าเป็นช่วง "เวลาแห่งความชอบธรรม" ใน ประวัติศาสตร์ของอิสราเอลได้ เป็นเพียงการแก้ใขสถานการณ์เพื่อลดความเสียหายที่ เกิดจากบาปลง ความบาปที่ซาอูลเป็นตัวการหยิบยื่นให้พวกทหารต้องกระทำตาม

ข้อสอง ผมว่าเป็นอาหารมื้อที่ค่อนข้าง "แปลก" ซาอูลสั่งห้ามไม่ให้ทหารกินก่อนค่ำ ถึงแม้ "อาหารจานด่วน" ที่พระเจ้าจัดเตรียมไว้ให้ใช้เวลากินไม่ถึงหนึ่งนาทีด้วยซ้ำไป (เห็นได้จากที่โยนาธานทำ) ซาอูลรู้สึกว่าการกินจะทำให้เสียเวลามาก และทำให้ อิสราเอลไม่สามารถรบให้ชนะขาดได้ คนอิสราเอลจึงติดตามคนฟิลิสเตียไปในคืนนั้น ด้วยความหิวโหย และเมื่อเห็นของที่ริบได้นั้นยั่วน้ำลาย จึงทำบาปด้วยการกินอย่างไม่ ถูกต้องตามพระบัญญัติ เพื่อแก้ใขสถานการณ์นี้ ซาอูลจึงสร้างแท่นบูชาขึ้น และทำให้ แน่ใจว่าของถวายบูชานั้นถูกฆ่าและจัดเตรียมอย่างถูกต้อง คุณว่าการจัดเตรียม "อา หาร" มื้อนี้ใช้เวลานานเท่าใด ? เราเรียกกันว่า "ไร้ประสิทธิภาพ!"

ซาอูลด่วนจะฆ่า - บุตรของท่านเอง
(14:36-45)

36 แล้วซาอูลรับสั่งว่า "ให้เราลงไปตามคนฟีลิสเตียทั้ง กลางคืน แล้วริบข้าวของของเขาเสียจนรุ่งเช้าอย่า ให้ เหลือสักคนเดียวเลย" และเขาทั้งหลายตอบว่า "จงกระทำ ตามที่พระองค์ทรงเห็นชอบทุกประการเถิด" แต่ปุโรหิต กล่าวว่า "ให้เราเข้ามาเฝ้าพระเจ้าที่นี่เถิด" 37 และซาอูล ก็ทูลถามพระเจ้าว่า "สมควรที่ข้าพระองค์จะติดตามคนฟีลิส เตียหรือไม่ พระองค์จะทรงมอบเขาทั้งหลายไว้ในมือของ อิสราเอลหรือ" แต่ในวันนั้นพระองค์มิได้ทรงตอบท่าน 38 และซาอูลจึงตรัสว่า "มาที่นี่เถิด ท่านทั้งหลายที่เป็น ประมุขของคนอิสราเอลพึงทราบและเห็นว่าบาปนี้ได้เกิดขึ้น อย่างไรในวันนี้ 39 เพราะว่าพระเจ้าผู้ทรงช่วยอิสราเอล ทรง พระชนม์อยู่แน่ฉันใด แม้ความผิดนั้นอยู่ที่โยนาธานบุตรของข้า เขาก็จะต้องตายเป็นแน่ฉันนั้น" แต่ไม่มีชายสักคนหนึ่งที่อยู่ใน หมู่ประชาชนนั้นตอบพระองค์ 40 แล้วพระองค์จึงตรัสกับอิสรา เอลทั้งปวงว่า "พวกท่านทั้งหลายอยู่ฝ่ายหนึ่ง เราและโยนาธาน บุตรของเราจะอยู่อีกฝ่ายหนึ่ง" และประชาชนทูลซาอูลว่า "ขอจง กระทำตามที่พระองค์ทรงเห็นชอบเถิด" 41 ดังนั้นซาอูลจึงทูล พระเยโฮวาห์พระเจ้าแห่งอิสราเอลว่า "ขอทรงสำแดงฝ่ายถูก" ข้างฝ่ายโยนาธานและซาอูลถูกฉลาก แต่ฝ่ายประชากรรอดไป

42 แล้วซาอูลรับสั่งว่า "จับฉลากระหว่างเรากับบุตรของเรา" และโยนาธานถูกฉลาก 43 แล้วซาอูลจึงตรัสกับโยนาธานว่า "เจ้าได้กระทำอะไรจงบอกเรามา" โยนาธานก็ทูลว่า "ข้าพระบาท ได้ชิมน้ำผึ้งที่ติดปลายไม้เท้าซึ่งอยู่ในมือของข้าพระบาทเล็กน้อย เท่านั้น ข้าพระบาทอยู่ที่นี่ ข้าพระบาทยอมตาย" 44 และซาอูลตรัส ว่า "ขอพระเจ้าทรงลงโทษและยิ่งหนักกว่า โยนาธานเจ้าจะต้องตาย แน่" 45 แล้วประชาชนจึงทูลซาอูลว่า "โยนาธานควรจะถึงตายหรือ เขาเป็นผู้ที่ได้นำให้มีชัยใหญ่ยิ่งนี้ในอิสราเอล อย่าให้มีวี่แววอย่างนั้น เลย พระเจ้าทรงพระชนม์อยู่แน่ฉันใด เส้นผมของท่านสักเส้นหนึ่ง จะไม่ตกถึงดิน เพราะในวันนี้ท่านได้กระทำศึกด้วยกันกับพระเจ้า" ประชาชนไถ่โยนาธานไว้ท่านจึงไม่ถึงตาย

ในที่สุด พิธีการเตรียมและกินอาหารจบสิ้นลง ซาอูลก็พร้อมจะรบต่อ – เป็นไปตามน้ำ พระทัยหรือเปล่า ? ซาอูลสั่งให้ไปโจมตีพวกฟิลิสเตียต่อ และริบเอาข้าวของคืนมา ทหารยอมทำตามคำสั่ง พวกเขาพร้อมที่จะออกรบต่อ แต่ปุโรหิตไม่ค่อยจะแน่ใจ ท่าน อยากให้มีการแสวงหาน้ำพระทัยพระเจ้าก่อน เมื่อซาอูลให้มีการถามจากพระเจ้า ท่าน คาดว่าพระเจ้าจะตอบว่า "ใช่" หรือ "ไม่ใช่" "สมควรที่ข้าพระองค์จะติดตามคน ฟีลิสเตียหรือไม่ พระองค์จะทรงมอบเขาทั้งหลายไว้ในมือของอิสราเอลหรือ ?"

ซาอูลรีบด่วนสรุปอย่างผิดๆ แรก ท่านสรุปเอาเองว่า เมื่อไม่มีคำตอบมาจากพระเจ้า หมาย ความว่ามีใครบางคนทำบาป ท่านไม่เคยคิดเลยว่าท่านเองอาจเป็นผู้ทำบาปก็ได้ หรือไม่ก็เกิด จากพวกทหารที่กินเนื้อสัตว์พร้อมเลือด ท่านสรุปเอาเองว่ามีการทำบาปเกิดขึ้น และคิดว่า ความบาปนี้เกิดจากการขัดคำสั่งอันโง่เขลาของท่าน (ไม่ใช่จากการทำผิดพระบัญญัติ) หนัก ไปกว่านั้น ท่านคิดเลยเถิดไปว่าโยนาธานน่าจะเป็นคนที่ทำบาปผิดนี้ และ ที่สุด ซาอูลตัดสินใจ ว่า "ความบาป" นี้มีโทษถึงตาย ผมว่าไม่ใช่เรื่องบังเอิญที่ซาอูล กล่าวว่า " เพราะว่าพระเจ้า ผู้ทรงช่วยอิสราเอล ทรงพระชนม์อยู่แน่ฉันใด แม้ความผิดนั้นอยู่ที่โยนาธานบุตรของ ข้า เขาก็ จะต้องตายเป็นแน่ฉันนั้น" (ข้อ 39) ทำไมจากผู้คนมากมายที่อยู่ด้วยกัน ซาอูล ถึงเพ่งเล็งไปที่โยนาธานผู้เป็นบุตร ? ผมเกรงว่าผมรู้คำตอบ แต่เป็นคำตอบที่ผมไม่ค่อยชอบนัก ผมคิดว่าบุตรของซาอูลนั้น มีอะไรหลายอย่างเหมือนดาวิด ในเวลาสงคราม ซาอูลคิดว่าโยนา ธานเป็นตัวซวย และสมควรถูกกำจัดออไป แน่นอน ผมว่าซาอูลหาเหตุอ้างเพื่อต้องการกำจัดลูก ชายเสีย และสถานการณ์แบบนี้เป็น ตัวเอื้ออำนวยอย่างดีเสียด้วย ก่อนที่จะมีการทอดสลาก ซาอูลพูดชัดเจนว่าถ้าจับสลากได้โยนาธาน โยนาธานนั้นต้องตายแน่ๆ ผมว่าเขาคงคิด ยังไงๆ โยนาธานต้องถูกจับได้

จากที่บันทึกในพระคัมภีร์ ซาอูลตัดตอนกรรมวิธีให้สั้นลงและข้ามกฎเกณฑ์ไป ท่าน และโยนาธาน แยกออกไปอยู่คนละฝ่ายกับพวกทหาร และไม่เป็นที่น่าประหลาดใจว่า สลากของท่านและบุตรถูกเลือก ซาอูลจึงจับสลากเลือกต่อระหว่างตัวท่านเองและ โยนาธาน คราวนี้จับได้โยนาธาน ประชาชนนิ่งเฉยอยู่ตอนที่จับสลาก (ดูข้อ 40) ใครจะ กล้าค้านความคิดของซาอูลเล่า ? และท้ายที่สุดจับได้โยนาธาน ซาอูลจึงถามบุตรว่าได้ ทำผิดประการใด (น่าสนใจนะครับว่าซาอูลประกาศตัดสินลงโทษไปก่อนที่จะรู้ว่าทำผิด ด้วยข้อหาใด) โยนาธาน "สารภาพ" ว่า ท่านได้กินน้ำผึ้งจากปลายไม้ของท่าน แค่แตะ ที่ปลายลิ้นเท่านั้น และกินโดยไม่รู้เรื่องคำสั่งห้ามของบิดา โดยไม่รั้งรอ ซาอูลกล่าวหา ว่านี่เป็นความผิดร้ายแรง มีผลทำให้อิสราเอลไม่สามารถรบชนะฟิลิสเตียที่โยนาธาน เป็นผู้ก่อให้เด็ดขาดลงไป ซาอูลรู้สึกดีที่จะได้ฆ่าบุตรมากกว่าจะยอมรับว่าทั้งสิ้น เป็น ความบาปและความเขลาของท่านเอง

มาถึงตอนนี้ โยนาธานก็ยังเป็นลูกตัวอย่าง ท่านไม่แก้ตัว หรือกล่าวฟ้องร้องบิดา ท่านมอบชีวิตให้กับบิดาผู้เป็นกษัตริย์ ท่านยอมตายถ้าเป็นความปรารถนาของบิดา และถ้าเป็นความปรารถนาของพระเจ้า อีกครั้งที่ซาอูลกล่าวย้ำว่าโยนาธานนั้นต้อง โทษถึงตาย ดูเหมือนซาอูลไม่สามารถทำสิ่งใดที่ยุติธรรมเกินไปกว่านี้แล้ว

ในที่สุด ประชาชนที่เฝ้าดูกษัตริย์เล่นละครตบตาอยู่นานหมดความอดทน พวกเขายอม ให้มีการจับสลากเลือกหาคนผิด (ข้อ 40) แต่ไม่ยอมให้ประหารบุตรของซาอูล พวกเขา เห็นว่าเป็นการกระทำที่โง่เขลา โยนาธานไม่ใช่ซาอูลที่เป็นผู้ช่วยปลดปล่อยอิสราเอล (ข้อ 45) ท่าสมควรถึงตายเทียวหรือ ? ท่านเป็นผู้ให้ความร่วมมือกับพระเจ้า ไม่ได้ต่อ ต้านพระองค์ และด้วยเหตุนี้ ท่านไม่สมควรถูกฆ่าเพราะถูกหาว่าทำผิด แต่เป็นตรงข้าม! ผมของท่านแม้แต่เส้นเดียวจะไม่ตกถึงดิน ดังนั้น โยนาธาน ผู้ทำการร่วมกับพระเจ้า ช่วยกู้อิสราเอล ชาวอิสราเอลจึงยืนขึ้นต่อต้านซาอูล และช่วยกู้โยนาธาน ซาอูลผู้ ไม่เคยช่วยกู้ใคร ไม่ได้รับอนุญาติให้ฆ่าบุตรของตนเอง เพราะเกิดเหตุการณ์นี้ สงคราม กับฟิลิสเตียจึงยุติลงเร็วกว่าที่คิดไว้ เป็นเพราะความเขลาของซาอูล ผู้อยู่ในฐานะที่ควร เป็นผู้ "กอบกู้" อิสราเอล

ส่งท้าย "ความสำเร็จ" ของซาอูลและผู้ที่จะมาแทน
(14:46-52)

46 แล้วซาอูลก็เลิกทัพไม่ติดตามคนฟีลิสเตีย และคนฟีลิสเตีย กลับไปยังที่อยู่ของตน 47 เมื่อซาอูลได้รับตำแหน่งพระราชาเหนือ อิสราเอลนั้น พระองค์ได้ทรงต่อสู้ศัตรูทุกด้าน ต่อสู้กับโมอับ กับชน อัมโมน กับเอโดม กับบรรดาพระราชาแห่งโศบาห์ และกับคนฟีลิสเตีย ไม่ว่าพระองค์จะหันไปทางไหน พระองค์ก็ทรงกระทำให้เขาพ่ายแพ้ไป 48 พระองค์ทรงสู้รบอย่างเข้มแข็งและทรงโจมตีพวกอามาเลขและทรง ช่วยกู้คนอิสราเอลให้พ้นจากมือของบรรดาผู้ที่เข้าปล้นเขา 49 ฝ่ายบุตร ของซาอูลมี โยนาธาน อิชวี มัลคีชูวา และชื่อธิดาทั้งสองของพระองค์ คือคนหัวปีชื่อเมราบ และชื่อผู้น้องคือมีคาล 50 ชื่อมเหสีของซาอูลคือ อาหิโนอัมบุตรีของอาหิมาอัส และชื่อแม่ทัพของพระองค์ คืออับเนอร์ บุตรเนอร์ ลุงของซาอูล 51 คีชเป็นบิดาของซาอูล และเนอร์ผู้เป็นบิดา ของอับเนอร์เป็นบุตรของอาบีเอล 52 ตลอดรัชกาลของซาอูลมีสงคราม อย่างรุนแรงกับคนฟีลิสเตียอยู่เสมอ เมื่อซาอูลทรงเห็นผู้ใดเป็นคน แข็งแรงหรือเป็นคนแกล้วกล้า ก็ทรงนำมาไว้ใช้ใกล้พระองค์

พระคำบทนี้ให้ความรู้สึกที่ดีก่อนการปกครองของซาอูลในตำแหน่งกษัตริย์อิสราเอล จะจบสิ้นลง มีการพูดถึงความสำเร็จในการรบหลายครั้ง และมีการชี้ให้เห็นถึงความ ล้มเหลวอย่างชัดเจน มีการกล่าวถึงนามของผู้สืบเชื้อสาย แต่พอเข้าบทที่ 15 พูดถึง ความบาปที่นำไปสู่การสิ้นสุดการปกครองในตำแหน่งกษัตริย์ (ความบาปก่อนหน้านี้ เพียงนำไปสู่การสิ้นสุดของราชวงศ์ – การขึ้นครองราชย์ของบุตร) บทต่อๆมาเริ่มพูดถึง ดาวิด ผู้จะมาแทนที่ซาอูล ทำให้ซาอูลอิจฉาและต่อต้านทุกวิถีทาง บทสุดท้ายของ พระธรรม 1ซามูเอลพูดถึงการตายของซาอูลและบุตร แต่บทนี้เป็นบทส่งท้ายให้กับ ซาอูลและตำแหน่งกษัตริย์ของพระองค์

การรบจบสิ้นลง แตาการสงครามยังไม่ ชาวฟิลิสเตียสูญเสียมากมาย แต่ก็ไม่แพ้โดย ราบคาบ กองทัพแต่ละฝ่าย – ทั้งอิสราเอลและฟิลิสเตีย – ต่างคนต่างกลับสู่รังของตน ตลอดชีวิตของซาอูล ทั้งสองชนชาตินี้ทำสงครามกันตลอด โดยมีการพูดถึงอยู่ในข้อที่ 52:

52 ตลอดรัชกาลของซาอูลมีสงคราม อย่างรุนแรงกับคนฟีลิสเตียอยู่เสมอ เมื่อซาอูลทรงเห็นผู้ใดเป็นคนแข็งแรง หรือเป็นคนแกล้วกล้า ก็ทรงนำมาไว้ ใช้ใกล้พระองค์

ตลอดชีวิตที่เหลือของซาอูลมีแต่ความขัดแย้งไม่ลงรอยกับพวกฟิลิสเตีย จะเห็นได้จาก การที่พระองค์รวบรวม "คนแกล้วกล้า" มาไว้ใกล้พระองค์ ผลความโง่เขลาของพระองค์ ติดตามไปจนจบสิ้นชีวิต ซึ่งเราจะมาดูกันอีกครั้งในบทที่ 31 ทั้งซาอูลและโยนาธาน จบชีวิตลงโดยน้ำมือของคนฟิลิสเตีย เป็นเรื่องน่าเศร้า การรบที่โยนาธานเป็นผู้เริ่มต้น ในครั้งนี้ ไม่ได้ปราบฟิลิสเตียลงให้ราบคาบไป

ผมพูดถึงความโง่และความล้มเหลวของซาอูลไว้มาก แล้วเราจะอธิบายคำพูดในข้อ 47 และ 48 ที่พูดถึงซาอูลในแง่ดีได้อย่างไร ? มีคำตอบซ่อนอยู่สองประการ แรก เราอาจ กล่าวได้ว่า คนที่ขาดคุณธรรมหรือล้มเหลวฝ่ายวิญญาณ อาจเป็นแม่ทัพที่ดีในด้านการ สงครามก็ได้ ลองมาดูบรรดาคนที่พระเจ้าใช้มาช่วยกู้ประชากรของพระองค์ในพระธรรม ผู้วินิจฉัย เช่นแซมสันชายร่างยักษ์ที่ไม่ค่อยมีคุณธรรมสักเท่าไร แต่พระเจ้าก็ทรงใช้ ท่านให้เป็นผู้มากอบกู้อิสราเอลออกจากเงื้อมมือศัตรู ในกรณีอื่นๆพระเจ้าทรงใช้คน เช่นเดียวกันนี้มาทำให้งานของพระองค์สำเร็จไป พระเจ้าไม่ได้จำกัดที่จะใช้เฉพาะคน ดีมีคุณธรรม เพื่อให้งานและพันธสัญญาของพระองค์สำเร็จลุล่วงไปเท่านั้น ดังนั้น ชัย ชนะในสงครามสามารถเป็นไปได้โดยฝีมืออย่างคนเช่นซาอูล ไม่ว่าท่านจะเป็นคนแบบ ใดก็ตาม มีกี่คนในพวกเราที่อ้างว่าพระคุณและพระเมตตาที่พระเจ้าประทานให้นั้นเป็น เพราะความดีหรือการกระทำของเราเอง ?

ประการที่สอง สิ่งที่พระคำสองข้อนี้บันทึกไว้เป็นความจริง เป็นการสรุปผลงานชัยชนะ ของซาอูลในแง่มุมของนักประวัติศาสตร์ ซาอูลในฐานะกษัตริย์ ต่อสู้กับชนชาติศัตรู รอบด้าน สิ่งที่ท่านทำจึงเป็นการช่วยลงโทษชาติเหล่านั้น โดยเฉพาะที่เกี่ยวกับพวก อามาเลข ท่านสู้รบอย่างกล้าหาญ และกอบกู้อิสราเอลไว้จากผู้ที่เข้ามาปล้นทำลาย

ดูเหมือนการรบระหว่างอิสราเอลและฟิลิสเตียในบทที่ 13 และ 14 นั้น เป็นเรื่องเด่น ที่สุดในชีวิตและการปกครองของซาอูลในฐานะกษัตริย์อิสราเอล ซาอูลต่อสู้กับ ฟิลิสเตียจริง และอิสราเอลชนะ ถึงแม้ซาอูลจะออกรบในฐานะผู้นำ แต่ชัยชนะไม่ได้ เด็ดขาดอย่างที่คิด เพราะความโง่เขลาของซาอูลเอง และสงครามครั้งนี้ซาอูลไม่ได้เป็น ผู้ริเริ่มหรือมีความเชื่อ แต่เป็นโยนาธานต่างหาก แต่เมื่อเราอ่าน 13:4 คนอิสราเอลได้ ยินคำกล่าว ว่า "ซาอูลได้รบชนะกองทหารรักษาการของคนฟีลิสเตีย" จากมุม มองของนักประวัติศาสตร์ ชัยชนะครั้งนั้นเป็นชัยชนะของซาอูล แต่เรารู้ดีว่าเป็นเพราะ พระคุณพระเจ้า ซึ่งผ่านการกระทำของคนอย่างโยนาธาน และบ่อยครั้งเป็นเพราะความ โง่และปล่อยปละละเลยของซาอูลเอง

ถึงแม้ซาอูลและอิสราเอลจะมี "ชัยชนะเหนือ" พวกฟิลิสเตีย แต่อิสราเอลไม่เคยทำลาย หรือปราบฟิลิสเตียลงให้ราบคาบ จึงมีการสู้รบอย่างต่อเนื่องในตลอดชีวิตของซาอูล ดูเหมือนท่านพึ่งพิงเแต่เพียง "กองทัพเนื้อหนัง" ท่านจึงมองหาแต่คนเก่งกล้าเพื่อจะ มาช่วยท่านรบ เหตุการณ์จึงเหมาะสำหรับดาวิดที่จะขึ้นมาทำการปราบฟิลิสเตีย โดย เฉพาะอย่างยิ่งปราบยักษ์โกลิอัทแชมเปี้ยนของฟิลิสเตียลง

บทสรุป

ข้อแรก เป็นเรื่องเข้าใจไม่ยากว่าทำไมโยนาธานและดาวิดจึงกลายมาเป็นเพื่อน รักกัน ทั้งคู่เป็นพี่น้องในวิญญาณ โยนาธานเป็นผู้ที่มีความเชื่อและมีสายตาฝ่าย วิญญาณ ท่านกระทำการอย่างกล้าหาญ ด้วยความวางใจในพระเจ้า ในขณะที่บิดาของ ท่านรอจนสถานการณ์เกินแก้ โยนาธานน่าจะเป็นกษัตริย์ที่ดีได้ แต่เป็นเพราะท่านสืบ เชื้อสายเผ่าเบนยามิน ไม่ใช่ตระกูลยูดาห์ ; ดังนั้นลูกหลานของท่านจึงไม่ใช่ตระกูลของ พระเมสซิยาห์ แต่เมื่อโยนาธานมองเห็นว่าพระหัตถ์ของพระเจ้าอยู่หนือดาวิด ท่านเป็น หนึ่งในบรรดาคนแรกที่ยอมรับดาวิดให้เป็นกษัตริย์องค์ต่อไปของอิสราเอลด้วยความ ยินดี ไม่มีความริษยาหรือแม้แต่รั้งรอไม่แน่ใจ

ข้อสอง เหตุการณ์นี้นำไปสู่การแจ้งเกิดอย่างเต็มตัวของดาวิดในบทที่ 16 และ 17 เราได้เห็นบุคคลิกของซาอูลชัดเจนแล้ว จึงไม่น่าประหลาดใจ ท่านมีทั้งความเขลา และความอิจฉามุ่งร้ายต่อดาวิด เพราะแม้แต่โยนาธานบุตรของท่านเองท่านยังไม่ปราณี ท่่านคิดจะฆ่าโยนาธานให้ตาย ; เราจึงไม่ประหลาดใจที่ท่านคิดจะฆ่าดาวิดและคนอื่นๆ ในเมื่อซาอูลรีรอที่จะจัดการกับพวกฟิลิสเตียให้เด็ดขาดในตอนต้น ดังนั้นเมื่อยักษ์ โกลิอัทของฟิลิสเตียมาท้าทาย ท่านจึงทำเมินเฉย ในบทต่อๆไปเราจะเห็นว่าเรื่องที่ ซาอูลทำนั้นไม่น่าประหลาดอีกต่อไป เพราะเราเริ่มรู้จักท่านดีจากบทเรียนในตอนต้น ของพระธรรม 1 ซามูเอล

ข้อสาม เราจะเห็นว่ามุมมองของมนุษย์ในแง่ประวัติศาสตร์นั้นแตกต่างจากพระ เจ้าเป็นอย่างมาก มนุษย์มักประเมินคุณค่าของคนอย่างผิดๆ การ "ประเมินคุณค่า ของมนุษย์" ที่พระเจ้าทำนั้น พระองค์ทรงตัดสินมนุษย์ด้วยการมองลึกเข้าไปในจิตใจ นักประวัติศาสตร์ชาวโลกอาจตัดสินว่าซาอูลประสพความสำเร็จ แต่ในทางพระคัมภีร์ และด้านจิตวิญญาณแล้ว ท่านเป็นผู้ที่ประสพความล้มเหลวอย่างน่าเศร้า ความสำเร็จ ในทางโลก ไม่ได้หมายความว่าพระเจ้าทรงพอพระทัยและอวยพระพร ผู้เขียนพระธรรม 1 ซามูเอล ต้องการให้เราเห็นว่าซาอูลเป็นผู้ที่ถูกพระเจ้าปฏิเสธ เป็นเรื่องน่าเศร้าเมื่อ ได้รับการยกย่องจากมนุษย์ แต่ถูกพระเจ้ารังเกียจ จะดีสักเพียงใหน ถ้าโลกนี้ชิงชังเรา แต่ได้รับการยอมรับจากพระเจ้า (ดู 1 เปโตร 4)

ข้อสี่ จากพระธรรมตอนนี้เราจะเห็นว่า คริสเตียนเองสามารถทำบางสิ่งที่เป็นการ ขัดขวางความสำเร็จในงานของพระเจ้าได้ แต่ที่สุดแล้ว มนุษย์ไม่สามารถทำลาย พระประสงค์หรือสิ่งที่พระเจ้าทรงสัญญาไว้ได้ พระองค์ทรงใช้ความเชื่อและการเชื่อฟัง ของมนุษย์มาทำให้แผนงานของพระองค์สำเร็จ แต่พระองค์ไม่ได้จำกัดอยู่เพียงเท่านี้ พระองค์ทรงมีฤทธิอำนาจที่จะใช้ ผู้ที่ไม่มีความเชื่อและไม่เชื่อฟัง มาทำพระประสงค์ ของพระองค์ให้สำเร็จลงไปได้ด้วย (ดูปฐมกาล 50:20; สดุดี 76:10) พระองค์ยังสา มารถใช้พวกมารทำการให้สำเร็จลงได้ (ดู 2 โครินธ์ 12:5-10) เมื่อรู้ว่าพระเจ้าทรง มีพระราชฺอำนาจเหนือทุกสิ่ง เราอาจกล่าวได้ว่าบางครั้งพระเจ้าอนุญาติให้เรากระทำ (หรือไม่กระทำ) เพื่อขัดขวางบางสิ่งบางอย่าง (ดู 2พงศ์กษัตริย์ 13:14-19) พระเจ้า ทรงมีอำนาจในประวัติศาสตร์ และทรงควบคุมทุกสิ่ง พระเจ้าทรงบัญญัติให้การกระทำ ทุกแบบมีผลต่อเนื่อง การไม่เชื่อฟังและปราศจากความเชื่อของมนุษย์อาจทำให้ผลออก มาไม่ดีเท่าที่ควรเป็น เราทำในแบบที่พระเจ้าต้องการหรือเปล่า ? ซาอูลแสดงให้เห็น ถึงความเขลาของท่านในบทที่ 14 จึงเป็นผลทำให้ไม่สามารถมีชัยเหนือฟิลิสเตียได้เด็ด ขาด

ข้อห้า การปกครองของซาอูลก่อความทุกข์ให้กับอิสราเอล และยังเป็นสิ่งที่ทำ ให้ท่านต้องสิ้นชีพด้วย ในบทที่ 14 เรารู้ว่าความเขลาของซาอูลทำให้อิสราเอล หมดโอกาสที่จะปราบฟิลิสเตียลงให้ราบคาบ ผลที่ตามมาก็คือ ช่วงชีวิตที่เหลือของ ซาอูล ทั้งตัวท่านและประเทศชาติถูกพวกฟิลิสเตียรุกรานจนขาดความสุข (ข้อ 52) เมื่อพวกฟิลิสเตียยกมาตีอีกในบทที่ 17 ปูทางให้ดาวิดขึ้นมาเป็นคนสำคัญของอิสราเอล และเวลาของซาอูลก็ไกล้จะหมดลง ส่วนในบทที่ 13 เมื่อฟิลิสเตียมาโจมตีอีกครั้ง มี ผลทำให้ซาอูลและโยนาธานตาย เมื่อเราอ่านบทเพลงโซโลมอน ประโยคที่ว่า "คือสุนัขจิ้งจอกตัวเล็ก ที่ทำลายสวนองุ่น " (2:15) ทำให้เราเห็นชัดว่าเพียง แค่ความเขลาเท่านั้น มีผลร้ายแรงเกิดขึ้นกับกษัตริย์และทั้งประเทศอิสราเอล

ข้อสุดท้าย เราเห็นแบบอย่างของผู้ปฏิบัติตามกฎอย่างเคร่งครัด การมีใจ ร้อนรนที่จะทำตามคำสั่งของพระเจ้า ไม่ใช่เป็นพวกเคร่งตามกฎ แต่เป็นการมีสามัคคี ธรรม หลายครั้งผมได้ยินว่าการเทศนาเรื่องธรรมบัญญัติของพระเจ้า (ทั้งพระคัมภีร์เก่า และใหม่) เป็นเรื่อง "เคร่ง" ศาสนาจนเกินไป อาจมีบางคนทำตามคำสั่งของพระเจ้า อย่างเคร่งครัด แต่การมีใจร้อนรนแสวงหาที่จะทำตามน้ำพระทัยไม่ใช่เป็นการทำเพราะ เคร่งศาสนา สดุดี 119 เป็นตัวอย่างที่ดีสำหรับผู้ที่มีใจร้อนรนแสวงหาอยากทำตามน้ำ พระทัย การมีใจรักในพระบัญญัติของพระเจ้าไมใช่เป็นการเคร่งศาสนาแต่อย่างใด

พวกเคร่งศาสนามักไม่พอใจนักกับพระบัญญัติของพระเจ้า พวกเคร่งเหล่านี้คิดว่าคำ สั่งต่างๆในพระบัญญัตินั้นยังไม่เพียงพอ พวกเขาต้องการแก้ "ปัญหา" ด้วยการเพิ่ม เติมกฏระเบียบเข้าไป และกฏที่เพิ่มเติมเข้าไปนั้นพวกเขาก็ยึดถือปฏิิบัติตามอย่าง เคร่งครัดเท่ากับพระบัญญัติของพระเจ้า (บางครั้งมากกว่าด้วยซ้ำไป) และถ้าผู้ใดไม่ สามารถทำตามกฏระเบียบเหล่านี้ได้ครบถ้วน ก็จะถูกพวกเคร่งเหล่านี้ลงโทษเอาอย่าง รุนแรง

ผมขอลองยกตัวอย่างเรื่องเคร่งจนเกินไปนี้จากในพระคัมภีร์ใหม่ ธรรมบัญญัติของ โมเสสสั่งให้มีการถือรักษาวันสะบาโต ความหมายก็คือวันสะบาโตมีไว้สำหรับให้ มนุษย์พักผ่อน แต่ไม่ไ้ด้หมายความว่าสาวกพระเยซูทำบาปเพราะไปดึงรวงข้าวสองสาม รวงมารับประทานในวันนั้น ไม่ได้หมายความว่าการที่พระเยซูรักษาคนป่วยในวันนั้น เป็นการทำบาป พวกธรรมาจารย์และฟาริสีไม่สามารถกล่าวโทษได้ว่าพระเยซูทำผิด พระบัญญัติของพระเจ้า ; พวกเขากล่าวหาได้แต่เพียงว่าพระองค์กำลังฝ่าฝืนธรรม บัญญัิติในพระคัมภีร์เดิม ตามที่พวกเขาตีความหมายและนำมาใช้เอาเอง พวกเขาแก้ใข พระบัญญัติให้สอดคล้องกับประเพณีของตนเอง การที่คิดจะ "ปรับปรุง" พระบัญญัติของ พระเจ้าโดยการเพิ่มเข้าไป ก็คือการยกตนเองให้เหนือกว่าบัญญัตินั้นในฐานะผู้พิพากษา

11 พี่น้องทั้งหลายอย่าใส่ร้ายซึ่งกันและกัน ผู้ใดที่พูดใส่ร้าย พี่น้องหรือตัดสินพี่น้องของตน ผู้นั้นก็กล่าวร้ายต่อธรรมบัญญัติ และตัดสินธรรมบัญญัติ แต่ถ้าท่านตัดสินธรรมบัญญัติ ท่านก็ไม่ ใช่ผู้ที่ประพฤติตามธรรมบัญญัติ แต่เป็นผู้ตัดสิน 12 มีผู้ทรงตั้ง ธรรมบัญญัติและผู้ทรงพิพากษาตัดสินแต่เพียงองค์เดียวคือพระ องค์ผู้ทรงสามารถช่วยเราให้รอดได้ และทรงสามารถทำลายเรา ได้ แต่ท่านเป็นผู้ใดเล่า ท่านจึงตัดสินเพื่อนบ้านของท่าน?
(ยากอบ 4:11-12)

ตามพระคำในยากอบที่ผมเข้าใจ ใครก็ตามที่ "ตัดสิน" พี่น้องอย่างผิดๆ มักยึดเอาตาม กฏเกณฑ์ที่เคร่งครัดของตนเองเป็นมาตรฐาน แต่ไม่ใช่ยึดตามพระวจนะคำ ยากอบ กล่าวว่า ผู้ใดที่ตัดสินผู้อื่นตามมาตรฐานของตนเอง ก็เท่ากับกล่าวหาว่าพระบัญญัติ ของพระเจ้านั้นยังไม่ดีพอ

กษัตริย์ซาอูลเป็นพวกเคร่งตามกฏ ในฐานะกษัตริย์ของอิสราเอล ท่านน่าจะคุ้นเคยกับ ธรรมบัญญัติเป็นอย่างดี ท่านต้องเป็นผู้ปฏิบัติด้วยความเชื่อฟัง เป็นแบบอย่างที่ดีและ เป็นผู้นำให้ประชาชนทำตาม (ดูเฉลยธรรมบัญญัติ 17:18-20) แต่ดูเหมือนซาอูลไม่รู้ ตัวว่ากำลังทำผิดธรรมบัญญัติ จนกระทั่งมีคนชี้ให้ท่านเห็น (ดู 1ซามูเอล 14:33) ซาอูล ละเลยคำสั่งของพระเจ้าอย่างง่ายดาย แต่ท่านพร้อมที่จะ – เรียกว่ากระหาย – ที่จะประ หารบุตรของตนเองเมื่อไม่ทำตามคำสั่งที่โง่เขลาของท่าน เช่นเดียวกับพวกเคร่งทั่วไป ซาอูลเห็นว่าง่ายที่จะกรองเอาลูกน้ำออก แต่กลับกลืนอูฐเข้าไปทั้งตัว (ดูมัทธิว 23:23 -24) ซาอูลแสดงความขุ่นเคืองเมื่อผู้อื่นทำผิดกฏของท่าน แต่ท่านกับมองข้ามความผิด ของตนเองที่ทำต่อพระเจ้าไปได้อย่างเฉยเมย

ตรงข้ามกับสิ่งที่พวกเคร่งยึดถือ การเคร่งตามกฏไม่ช่วยขัดขวางไม่ให้คนทำบาป ; แต่กลับเป็นตัวเร่งให้ทำบาป กฏข้อบังคับต่างๆที่พวกเคร่งสร้างให้เป็นภาระกับตนเอง และผู้อื่น ไม่ได้ช่วยยับยั้งการปล่อยตัวไปตามเนื้อหนัง (โคโลสี 2:20-23) บางพวกใน สมัยพระคัมภีร์ใหม่สั่งห้ามไม่ให้มีการสมรส หรือกินอาหารบางอย่าง (1 ทิโมธี 4:3) แต่ คนเหล่านี้คือจอมโกหกหลอกลวงที่พยายามชักจูงคนของพระเจ้าให้ห่างไปจากความ จริง อ.เปาโลเป็นโสด แต่ท่านสั่งให้สามีและภรรยาควรอยู่ร่วมกัน ยกเว้นถ้ามีความจำ เป็นบางประการ แต่อย่าเว้นระยะให้นานจนเกินควร พวกเคร่งเป็นตัวการให้มนุษย์ล้มลง ในความบาป ความเคร่งของซาอูลเป็นเหตุให้คนอิสราเอลทำบาปด้วยการกินเนื้อพร้อม เลือด ให้เราระวังการเคร่งจนเกินควร ซึ่งมักจะมาในรูปแบบเคร่งครัดในพระศาสนา

ขอแทรกอีกนิด เราไม่ควรมองข้ามข้อแตกต่างระหว่างซาอูลและโยนาธานในพระคำ ตอนนี้ โยนาธานเป็นในแบบที่ซาอูลเป็นไม่ได้ อย่าลืมว่าโยนาธานนั้นเป็นบุตรของ ซาอูล แต่โยนาธานไม่ได้ดีเพราะ "การอบรมสั่งสอน" ของบิดา โยนาธานดำเนินในทาง พระเจ้าไม่ใช่เพราะซาอูล ดังนั้นบรรดาผู้ปกครองทั้งหลาย อย่าคิดว่าบุตรได้ดีเพราะ การอบรมของตนเอง และให้จำไว้ว่ามีพ่อแม่หลายคู่ที่ดำเนินกับพระเจ้า แต่มีบุตรที่ไม่ ยอมทำตาม ผมว่า แซมสันและพ่อแม่น่าจะเป็นตัวอย่างที่ดีในเรื่องนี้ (ดูผู้วินิจฉัย 13:1-23 โดยเฉพาะข้อ 8)

มาถึงตอนนี้ ผมมองดูว่าซาอูลเป็นคนค่อนข้างแปลก เป็นกรณีพิเศษ ความบาปของ ท่านเห็นได้ชัด และรับรู้กันทั่ว และทำบาปที่ดูจะประหลาดกว่าพวกเรา แต่เมื่อนำมาพิ จารณาให้ดีจะเห็นว่า ที่สุดแล้ว การทดลองและความล้มเหลวของท่านก็เป็นสิ่งที่ "เกิดขึ้นได้กับมนุษย์ทุกคน" (ดู 1 โครินธ์ 10:13; ยากอบ 5:17) ความล้มเหลว ของท่านไม่ได้ถูกบันทึกไว้ให้เราเกลียดชังท่าน ผมคิดว่าบันทึกไว้เพื่อเป็นสิ่งเตือนใจ เรา เพื่อเราจะไม่หลงไปทำผิดในแบบเดียวกัน ผมคิดว่าชีวิตของผมสะท้อนภาพของ โยนาธานมากกว่าบิดา แต่นี่ไม่ใช่เรื่องสำคัญ ขอให้เรารับฟังและเรียนรู้จากสองพ่อลูกนี้ ซาอูลและโยนาธาน และให้เราพยายามเต็มกำลังที่จะปรนนิบัติพระเจ้าด้วยความสัตย์ ซื่อ และทำตามคำสั่งของพระองค์ เพื่อเราจะไม่เป็นตัวอย่างที่โง่เขลาสำหรับลูกหลาน ในยุคสมัยต่อๆไป


48 จากบทความเรื่องแผ่นดินไหวในซานฟรานซิสโกของ "Mark Twain and the October 8, 1865, San Francisco Earthquake" http://quake.crustal.ucsb.edu.

49 ในฉบับแปลของYoung's Literal Translation ตีความข้อ 15 ไว้ดังนี้ : "มีการสั่นสะเทือน เกิดขึ้นในค่าย ในท้องทุ่ง และในท่ามกลางผู้คน สั่นสะเทือนไปทั้งที่กองกำลังและกองปล้น โลกกำลังสั่นไหว และเป็นการเขย่าขององค์พระผู้เป็นพระเจ้า" ฉนับ The NASB แปลความ หมายแยกไว้ต่างหาก แต่ฉบับ NIV บันทึกเรื่องนี้ไว้ในการแปลด้วย : "มีความสับสนอลหม่าน เกิดขึ้นในกองทัพ – ทั้งที่ตั้งค่ายอยู่ และที่อยู่ในท้องทุ่ง รวมทั้งกองกำลังในที่อื่น และกองปล้น ด้วย – พื้นแผ่นดินสั่นสะเทือน พระเจ้าทรงส่งความพิบัติลงมา"

50 จากหนังสือ "The 1857 Fort Tejon Earthquake: Effects in Santa Barbara. From the Santa Barbara Gazette, ฉบับ 15 มกราคม 1857. และในอินเทอร์เนท: http://www.crustal.ucsb.edu.

51 คุณยีน ฮันท์ ตำรวจทางหลวงคาลิฟอร์เนีย พูดถึงประสพการณ์นี้ในหนังสือ Santa Barbara News-Press ฉบับ 14 สิงหาคม 1978 และหนังสือ The Santa Barbara Earthquake: Pollock or Pocasso? และในอินเทอร์เนท: http://quake.crustal.ucsb.edu.

52 จากคำบอกเล่าของนักกอล์ฟผู้ไม่ออกนามที่สนามกอล์ฟ La Cumbre Golf Course, ตีพิมพ์ ใน Santa Barbara News-Press, 30 มิถุนายน 1925. ในอินเทอร์เนท: http://www.crustal.ucsb.edu.

53 คุณ ดับบลิว เฮช เคิร์กไบรด์ ผู้รับเหมาก่อสร้างที่ทางรถไฟสาย Southern Pacific Railroad, เล่าอยู่ใน the Bulletin of the Seismological Society of America, v. 17, 1927: อินเทอร์เนท : http://www.crustal.ucsb.edu.

54 ผมรู้สึกเป็นหนี้บุญคุณ Dale Ralph Davis เป็นอย่างมากสำหรับข้อสังเกตุว่า : "ผู้เขียนรู้สึก จะประชดในการใช้คำ เพราะในข้อ 24 เขาใช้คำว่า ต้องทุกข์ยาก ซึ่งเป็นคำเดียวกับที่ใช้ใน 13:6 (ตกอยู่ในที่คับแค้น) ชาวอิสราเอลต้อง "ทุกข์ยากคับแค้น" เพราะถูกบีบบังคับโดยกำลัง พลอันมหาศาลของพวกฟิลิสเตีย ; ถึงแม้ตอนนี้ฟิลิสเตียพ่ายแพ้ไปแล้ว แต่คนอิสราเอลก็ยัง ทุกข์ยาก อยู่ เพราะซาอูล ! ซาอูลมีความสามารถพิเศษในการเปลี่ยนความรอดให้เป็นความทุกข์ ยากคับแค้นใจ" โดย Dale Ralph Davi ในหนังสือ Looking on the Heart: Expositions of the Book of 1 Samuel, (Grand Rapids: Baker Books, 1994), vol. 1, p. 140.

Related Topics: Introductions, Arguments, Outlines

บทที่ 11: ซาอูลและชาวอามาเลข (1 ซามูเอล 15:1-35)

คำนำ

ผมเป็นคนมีปัญหาเวลาจะทิ้งของ เมื่อตอนที่ผมกับเจนเน็ทแต่งงานกันใหม่ๆ เราอาศัย อยู่ในแถบชนบทของรัฐวอชิงตัน ที่นั่นไม่มีบริการเก็บขยะ เราต้องลากขยะเอาไปทิ้งที่ เขตทิ้งขยะนอกเมือง ผมจะมีรถลากอยู่คันหนึ่งที่ใช้สำหรับการนี้ และเกือบทุกครั้งที่ผม เอาขยะไปทิ้ง เจนเน็ทจะสั่งว่า "อย่าเอาอะไรกลับมานะ!" นี่เป็นเพราะว่าผมมักมีของ จากกองขยะติดมือกลับมา บางทีมากกว่าขาไปเสียอีก

เมื่อผมมาเข้าเรียนที่วิทยาลัยพระคริสตธรรมที่ดัลลัส ผมทำงานอยู่ที่แผนกรับประกัน สินค้า สินค้าที่ส่งกลับคืนมาและเสียหายเกินกว่าจะซ่อมได้ จะถูกโยนไปรวมกองไว้ที่ "กองของทิ้ง" คุณคงพอนึกภาพออกนะครับว่าผมลำบากใจเพียงไร ; ผมเกลียดการที่ เราเอาของที่ยังพอนำมาดัดแปลงใช้ได้ไปทิ้ง แม้กระทั่งทุกวันนี้ แถวบ้านผม ผมยังเป็น คนที่มีคนขับรถมาหาเพื่อจะบอกว่ามีบ้านใหนกำลังทิ้งขยะดีๆไว้ที่ตรงใหน มีอยู่วันหนึ่ง เพื่อนบ้านขับรถผ่านมาแล้วตะโกนเรียกผมว่า "บ๊อบ ผมเห็นมีคนทิ้งที่ตัดหญ้าสภาพดี ไว้หลังบ้านของพวกทินสลี่ที่ในซอยแน่ะ" ผมไปเอามา และกำลังตัดหญ้าที่อยู่ที่สนาม เจ้าของเดิมที่พึ่งกลับจากทำงานมาเห็นเข้า ผมต้องอธิบายให้เขาฟังว่ามันมาได้อย่างไร เขาตอบว่า "ผมดีใจนะที่คุณสามารถซ่อมมันจนใช้ได้อีก ; คุณจะเอากล่องใส่ไปด้วย ไหม ? ผมลืมโยนทิ้งไปพร้อมกับที่ตัดหญ้า"

ผมกับซาอูลต่างกันในเรื่องนำของที่คนอื่นคิดว่าเป็นขยะกลับมาใช้ใหม่ ซาอูลชอบทิ้ง ขยะ แต่สิ่งที่ท่านไม่ชอบคือการเห็นของดีถูกทำลาย ท่านไม่มีปัญหาในการฆ่าพวก อามาเลข ไมว่าจะเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย ลูกเล็กเด็กแดง แต่ท่านกลับพบว่าลำบากใจ ที่จะฆ่าอากักกษัตริย์ชาวอามาเลข ท่านไม่มีปัญหาที่จะฆ่าฝูงสัตว์ทิ้ง แต่ท่านกลับทน ไม่ได้ที่จะต้องฆ่าเนื้อสันในเกรดเอทิ้งไปเปล่าๆ

การที่ซาอูลไม่ยอมกำจัดอามาเลขให้สิ้นซากนั้น เป็นผลทำให้ท่านต้องสูญเสียอาณา จักรไป และนับเป็นความบาปที่ร้ายแรงยิ่ง พระคำตอนนี้ไม่เพียงแสดงให้เห็นถึงความ บาปของซาอูลเท่านั้น แต่อาจแสดงให้เห็นถึงความบาปของเราเองด้วย ซาอูลยินดีที่ จะทำในสิ่งที่พวกเราไม่เคยคิดฝันว่าจะทำได้ – เช่นฆ่าเด็ก เราจะกล้าฆ่าเด็กอามา เลขอย่างที่ซาอูลทำใหม ? ถ้าไม่กล้า ทำไมถึงไม่กล้า ? พระคำตอนนี้ให้ต้องการให้ เราเห็นถึงนิสัยอันไม่เชื่อฟังของซาอูล ซึ่งน่าจะใกล้เคียงกับการไม่เชื่อฟังที่แพร่หลาย อยู่ในแวดวงคริสเตียนทุกวันนี้ พระคำตอนนี้เป็นบทเรียนสำคัญสำหรับเราที่จะเรียนรู้ เรื่องการไม่เชื่อฟังของซาอูล และผลร้ายที่เกิดตามมา รวมทั้งการไม่เชื่อฟังคำสั่งของ พระเจ้าที่มีมาถึงเราทั้งหลายด้วย

คำสั่งฆ่าชาวอามาเลข

ชาวอามาเลข เป็นชื่อที่ฟังดูคุ้นหูสำหรับผู้ที่อ่านพระคัมภีร์ สำหรับพวกเราอาจฟังดู ออกจะเป็นต่างชาติ แต่ไม่ใช่คนแปลกหน้าสำหรับชาวอิสราเอลเลย ชาวอามาเลข เป็นพวกที่อาศัยอยู่ทางตอนใต้ของแผ่นดินคานาอัน สมัยที่อิสราเอลออกมาจากแผ่น ดินอียิปต์เพื่อมุ่งหน้าไปยังคานาอัน (ดูอพยพ 17:8) พวกนี้เป็นพวกแรกๆที่อิสราเอล ต้องเผชิญหน้าด้วย เป็นประเทศเพื่อนบ้านที่มีการกระทบกระทั่งกันอยู่เสมอ คนอามา เลขยกมาโจมตีอิสราเอล ผู้พยายามเข้ายึดแผ่นดินคานาอันโดยขาดความเชื่อที่เมือง คาเดชบาเนีย (ดูกันดารวิถี 14:25, 43, 45) พวกอามาเลขเข้าร่วมกับคนมีเดียนโจมตี และปล้นอิสราเอล และยังเป็นประเทศที่น่าเกรงขามสำหรับอิสราเอลถึงขนาดกิเดโอน ต้องการความมั่นใจว่าพระเจ้าจะสถิตกับท่านด้วยในระหว่างการรบ (ดูผู้วินิจฉัย 6:3, 33; 7:12) เป็นชาติที่ดาวิดยกทัพไปโจมตี เพราะท่านเคยถูกชนชาตินี้ปล้น ยึดเอาทั้งข้าว ของ ภรรยาบุตรและคนของท่านทั้งสิ้นไปเ็ป็นเชลยที่เมืองศิกลาก (ดู 1 ซามูเอล 27:8; 30:1, 18; 2 ซามูเอล 1:1).

คำสั่งให้ฆ่าทำลายทั้งชาติรวมถึงบรรดาสัตว์ด้วยไม่ใช่เป็นคำสั่งใหม่ พระเจ้าได้สั่ง ให้คนอิสราเอลทำเช่นเดียวกันนี้เมื่อครั้งพวกเขาไปรบเพื่อยึดเอาแผ่นดินคานาอัน:

28 "แต่สิ่งใดที่ถวายขาดแด่พระเจ้า เป็นสิ่งที่เขามีอยู่ ไม่ว่าเป็นคนหรือสัตว์ หรือที่นาอันเป็นมรดกตกแก่เขา จะขายหรือไถ่ไม่ได้เลย เพราะสิ่งที่ถวายขาดแล้ว เป็นสิ่งบริสุทธิ์ที่สุดแด่พระเจ้า 29 ผู้ใดที่ถูกถวายขาด แล้ว คือผู้ที่ต้องทำลายเสียจากมนุษย์อย่าให้ไถ่ถอนผู้นั้น ผู้นั้นต้องถูกโทษถึงตาย"
(เลวีนิติ 27:28-29)

16 "แต่ในหัวเมืองของชนชาติทั้งหลายนี้ซึ่งพระเยโฮวาห์ พระเจ้าของท่านประทานแก่ท่านเป็นมรดก ท่านอย่าไว้ชีวิต สิ่งใดๆที่หายใจได้เลย 17 แต่จงทำลายเขาเสียให้สิ้นเชิง คือคนฮิตไทต์ คนอาโมไรต์ คนคานาอัน คนเปริสซี คนฮีไวต์ และคนเยบุส ดังที่พระเยโฮวาห์พระเจ้าของ ท่านทรงบัญชาไว้ 18 เพื่อว่าเขาจะมิได้สอนท่านให้กระ ทำสิ่งพึงรังเกียจ ซึ่งเขาได้กระทำเป็นการปรนนิบัติต่อพระ ของเขา เพราะการกระทำเช่นนั้นเป็นการกระทำบาปต่อ พระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่าน
(เฉลยธรรมบัญญัติ 20:16-18)

15 ในวันที่เจ็ด เขาลุกขึ้นแต่เช้าตรู่ เดินกระบวนรอบเมือง อย่างเคยเจ็ดครั้ง เฉพาะวันเดียวนั้นเขาได้เดินกระบวนรอบ เมืองเจ็ดครั้ง 16ในครั้งที่เจ็ด เมื่อปุโรหิตเป่าเขาแกะ โยชูวา บอกแก่ประชาชนว่า "จงโห่ร้องขึ้นเถิด เพราะพระเจ้าทรง มอบเมืองให้แก่ท่านแล้ว 17 เมืองนั้นและสารพัดในเมือง นั้นเป็นของที่ต้องทำลายถวายแด่พระเจ้า เว้นแต่ราหับ หญิงโสเภณีกับคนทั้งหลายที่อยู่ในเรือนของนางจะรอดชีวิต เพราะว่านางได้ซ่อนผู้สื่อสารที่พวกเราใช้ไป 18 แต่ส่วนท่าน ทั้งหลายจงห่างไกลจากของที่ต้องทำลายถวายนั้น เกรงว่าเมื่อ ท่านทั้งหลายได้ถวายสิ่งเหล่านั้นแล้ว ท่านจะเก็บสิ่งที่ถวาย แล้วนั้นไว้บ้าง ก็จะทำให้ค่ายของคนอิสราเอลเป็นสิ่งที่ต้อง ทำลาย และนำความทุกข์ลำบากมาสู่ 19 แต่บรรดาเงินและทอง และเครื่องใช้ที่ทำด้วยทองสัมฤทธิ์ และเหล็กเป็นของถวาย แด่พระเจ้า ให้นำเข้าไปไว้ในคลังของพระเจ้า" 20 เหตุฉะนั้น ประชาชนก็โห่ร้อง และแตรก็เป่า พอประชาชนได้ยินเสียง เขาแกะ เขาก็โห่ร้องดัง และกำแพงก็พังลงราบ ประชาชนจึง ขึ้นไปในเมือง ทุกคนต่างตรงไปข้างหน้าตนและเข้ายึดเมืองนั้น 21 แล้วเขาก็ทำลายสารพัดที่อยู่ในเมืองนั้นเสียสิ้นด้วยคมดาบ ทั้งชายและหญิง หนุ่มและแก่ทั้งวัว แกะและลา
(โยชูวา 6:15-21).

เนื้อหาตอนนี้ในพระธรรม 1 ซามูเอล 15 และตอนที่คัดลอกจากเล่มอื่นด้านบน อาจ สร้างคำถามมากมายให้เกิดขึ้นกับคริสเตียนในปัจจุบัน (1) ทำไมพระเจ้าถึงต้องสั่งให้ฆ่า ทั้งชนชาติด้วย ? (2) ทำไมจึงต้องทำลายฝูงสัตว์ทั้งสิ้น รวมทั้งเด็กๆที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ ด้วย ? (3) เหตุใดจึงเจาะจงว่าชนชาติอามาเลขนี้ต้องหมดสิ้นไปจากแผ่นดิน ? (4) เหตุ ใดผู้สืบเชื้อสายอามาเลขต้องถูกลงโทษเพราะบาปที่บรรพบุรุษได้ก่อไว้ ? (5) เหตุใด การที่ซาอูลไว้ชีวิตชายหนึ่งคนและสัตว์บางตัวจึงเป็นบาปที่ผิดต่อพระเจ้า ? ผมขอลอง ตอบคำถามเหล่านี้ที่ละข้อ

ข้อแรก สาเหตุที่ต้องกำจัดชนชาติต่างๆในคานาอันไปให้หมดสิ้น เพราะชนชาติเหล่านี้ ครอบครองดินแดนที่พระเจ้าสัญญาจะประทานให้กับอิสราเอลอยู่ สาเหตุเบื้องต้นคือ ชนชาติเหล่านี้ชั่วร้ายมาก ถ้าไม่กำจัดให้หมดสิ้น พวกนี้จะมาล่อลวงให้คนอิสราเอลทำ บาปและมุ่งสู่ความพินาศ ฟังดูสมเหตุสมผลถ้าจะพูดว่าเราควรฆ่าทหารฝ่ายศัตรูให้ตาย ให้หมด แต่กับผู้หญิง เด็กและสัตว์เลี้ยงล่ะ ? ความบาปของผู้คนในคานาอันนั้นนำความ เสื่อมและสกปรกจากมนุษย์ไปถึงบรรดาพวกสัตว์ด้วย พระเจ้าจึงไม่ต้องการปล่อยเอาไว้

ข้อสอง บรรดาผู้ที่พระเจ้าสั่งให้ประหารนั้นคือผู้ที่ทำผิดบาปทั้งสิ้น เป็นพวกที่ถึงอย่าง ไรก็ต้องถูกพิพากษาลงโทษ ในขณะที่บรรพบุรุษของคนเหล่านี้ได้ทำบาปใหญ่หลวง บรรดาลูกหลานที่พระเจ้าสั่งให้ซาอูลประหารให้หมดก็ทำผิดบาปในแบบเดียวกันด้วย และทุกคนก็กำลังมุ่งไปสู่ความพินาศ :

18 และพระเจ้าทรงใช้ให้ท่านออกไปประกอบกิจ ตรัสว่า 'จงไปทำลายคนอามาเลขคนบาปหนาเสียให้สิ้นเชิง และ ต่อสู้กับเขาจนกว่าเขาจะถูกผลาญเสียหมด'(1 ซามูเอล15:18)

33 ฝ่ายซามูเอลกล่าวว่าดาบของท่านได้กระทำ ให้ผู้หญิง ไร้บุตรฉันใด มารดาของท่านจะไร้บุตร ในหมู่พวกผู้หญิงทั้งหลายฉันนั้น" และซามูเอลก็ ฟันอากักเสียเป็นท่อนๆ ต่อพระพักตร์พระเจ้าที่ใน กิลกาล
(1 ซามูเอล 15:33).

คนอามาเลขเป็น คนบาป สมควรแก่พระอาชญาโดยผ่านทางอิสราเอล คนบาป อามาเลขเหล่านี้ เป็นผู้ทำให้ ผู้หญิงไร้บุตร จึงสมควรได้รับความทุกข์และความโหด ร้ายเช่นเดียวกับที่พวหเขากระทำต่อผู้อื่น

ข้อสาม เราคงจำกันได้ว่าพระเจ้าไม่ทรงโปรดที่จะลงโทษผู้บริสุทธิ์ :

9 แต่พระเจ้าตรัสกับโยนาห์ว่า "ที่เจ้าโกรธเพราะต้นละหุ่ง นั้นดีอยู่แล้วหรือ" ท่านทูลว่า "ที่ข้าพระองค์โกรธถึงอยาก ตายนี้ดีแล้วพระเจ้าข้า" 10 และพระเจ้าตรัสว่า "เจ้าหวงต้น ไม้ ซึ่งเจ้ามิได้ลงแรงปลูก หรือมิได้กระทำให้มันเจริญ มัน งอกเจริญขึ้นในคืนเดียว แล้วก็ตายไปในคืนเดียวดุจกัน 11 ไม่สมควรหรือที่เราจะหวงเมืองนีนะเวห์นครใหญ่นั้น ซึ่งมีพลเมืองมากกว่าหนึ่งแสนสองหมื่นคน ผู้ไม่ทราบ ว่าข้างไหนมือขวาข้างไหนมือซ้าย และมีสัตว์เลี้ยงเป็นอัน มากด้วย ?"
(โยนาห์ 4:9-11).

ข้อสี่ การกำจัดชนชาติอามาเลขให้หมดสิ้นในสมัยของซาอูลนั้น เป็นการทำตามคำ สั่งที่ได้มอบไว้ก่อนหน้านี้หลายปี และมีการกล่าวย้ำเตือนอีกหลายต่อหลายหน

อพยพ 17:8-15

1 ชุมนุมชนชาติอิสราเอลทั้งหมดยกออกจากถิ่นทุรกันดาร สีนไปเป็นระยะๆตามพระบัญชาของพระเจ้า และมาตั้งค่าย ที่เรฟีดิม ที่นั่นไม่มีน้ำให้ประชาชนดื่ม 2 เหตุฉะนั้นประชาชน จึงกล่าวหาว่าเป็นความผิดของโมเสส และกล่าวกับโมเสสว่า "ให้น้ำพวกข้าดื่มซิ" โมเสสจึงบอกเขาว่า "พวกเจ้าหาเรื่องเรา ทำไม เหตุไฉนพวกเจ้าจึงบังอาจลองดีกับพระเจ้า" 3 ประชาชน กระหายน้ำที่ตำบลนั้นจึงบ่นต่อโมเสสว่า "ทำไมท่านจึงพาพวก ข้าทั้งบุตรและฝูงสัตว์ของข้าออกมาจากประเทศอียิปต์ให้อดน้ำ ตาย" 4 โมเสสจึงร้องทูลพระเจ้าว่า "ข้าพระองค์จะทำอย่างไร กับชนชาตินี้ดี เขาเกือบจะเอาหินขว้างข้าพระองค์ให้ตายอยู่แล้ว" 5 พระเจ้าจึงตรัสกับโมเสสว่า "จงเดินล่วงหน้าประชาชนไป และ นำพวกผู้ใหญ่บางคนของอิสราเอลไปด้วย ให้ถือไม้เท้าที่เจ้าใช้ ตีแม่น้ำไนล์นั้นไปด้วย 6 เราจะยืนอยู่ต่อหน้าเจ้าที่นั่นบนศิลาที่ภู เขาโฮเรบ จงตีศิลานั้น แล้วน้ำจะไหลออกมาให้ประชาชนดื่ม" โมเสสก็ทำดังนั้นต่อหน้าพวกผู้ใหญ่ของอิสราเอล 7 โมเสส เรียกชื่อตำบลนั้นว่า มัสสาห์ และเมรีบาห์ ด้วยเหตุว่าคน อิสราเอลกล่าวหาตนณที่นั้น และลองดีกับพระเจ้าว่า "พระเจ้า ทรงสถิตอยู่ท่ามกลางพวกข้าพเจ้าจริงหรือ" 8 ครั้งนั้นคนอามาเลข ยกมารบกับคนอิสราเอลที่ตำบลเรฟีดิม 9 โมเสสสั่งโยชูวาว่า "จงเลือกชายฉกรรจ์ฝ่ายเราออกไปสู้รบกับพวกอามาเลข พรุ่งนี้เรา จะยืนถือไม้เท้าของพระเจ้าอยู่บนยอดภูเขา" 10 โยชูวาก็ทำตามคำสั่ง ของโมเสส ออกสู้รบกับพวกอามาเลข ส่วนโมเสส อาโรน และเฮอร์ ก็ขึ้นไปบนยอดภูเขานั้น 11 โมเสสยกมือขึ้นเมื่อไร อิสราเอลก็ได้ เปรียบเมื่อนั้น ท่านลดมือลงเมื่อไร พวกอามาเลขก็เป็นต่อเมื่อนั้น 12 แต่มือของโมเสสเมื่อยล้า เขาทั้งสองก็นำก้อนหินมาวางไว้ให้ โมเสสท่านนั่ง อาโรนกับเฮอร์ก็ช่วยยกมือท่านขึ้นคนละข้าง มือของ ท่านก็ชูอยู่จนตะวันตกดิน 13 ฝ่ายโยชูวาปราบอามาเลขกับประชาชน ของเขาพ่ายแพ้ไปด้วยคมดาบ 14 พระเจ้าตรัสกับโมเสสว่า "จงเขียน ข้อความต่อไปนี้ลงไว้ในหนังสือเพื่อเป็นที่ระลึก ทั้งเล่าให้โยชูวาฟังคือ ว่าเราจะลบล้างชื่อชนชาติอามาเลข ไม่ให้ปรากฏในความทรงจำของ ประชาชนภายใต้ฟ้านี้เลย" 15 โมเสสจึงสร้างแท่นบูชาเรียกชื่อว่า เยโฮวาห์นิสสี 16 กล่าวว่า "มือบนพระบัลลังก์ของพระเจ้า พระองค์ จะทรงกระทำสงครามกับอามาเลขต่อไปทุกชั่วชาติพันธุ์"
(อพยพ 17:1-16)

กันดารวิถี 24:20-25

20 แล้วบาลาอัมมองดูอามาเลข และกล่าวกลอนภาษิต ของเขาว่า "อามาเลขเป็นประชาชาติที่หนึ่ง แต่ในที่สุด จะถึงซึ่งการทำลาย" 21 และเขามองดูคนเคไนต์ และ กล่าวกลอนภาษิตของเขาว่า "ที่อาศัยของท่านเข้มแข็ง มาก และรังของท่านก็วางอยู่ในศิลา 22 แต่อย่างไรก็ ตามคนเคไนต์ก็ต้องถูกกวาดล้าง อีกนานเท่าใดเล่าพวก อัสชูรจะมากวาดเจ้าไปเป็นเชลย" 23 และบาลาอัมกล่าว กลอนภาษิตของเขาว่า "อนิจจาเอ๋ย เมื่อพระเจ้าทรงกระ ทำเช่นนี้ใครจะอยู่ได้ 24 แต่กำปั่นจะมาจากเมืองคิทธิม ทำลายอัสชูรและเอเบอร์ และเขาจะถูกทำลายด้วย" 25 แล้วบาลาอัมก็ลุกขึ้นกลับไปที่อยู่ของเขา และ บาลาคก็ไปตามทางของตนด้วย

เฉลยธรรมบัญญัติ 25:17-19

17 "จงระลึกถึงการที่คนอามาเลขกระทำแก่ท่านทั้งหลาย ตามทางที่ท่านออกจากอียิปต์ 18 เขาได้ออกโจมตีท่านตาม ทางเมื่อท่านอ่อนเพลียเมื่อยล้า และตัดตอนพวกที่อยู่รั้งท้าย เขามิได้ยำเกรงพระเจ้า 19 เพราะฉะนั้นเมื่อพระเยโฮวาห์พระ เจ้าของท่านประทานให้ท่านหยุดพักจากศัตรูที่อยู่รอบข้างแล้ว ในแผ่นดินที่พระเจ้าของท่านประทานแก่ท่านเป็นมรดกให้เป็น กรรมสิทธิ์นั้น ท่านทั้งหลายจงทำลายล้างคนอามาเลขเสียจาก ความทรงจำภายใต้ฟ้า ท่านทั้งหลายอย่าลืมเสีย"

ตอนที่อิสราเอลออกจากอียิปต์มุ่งหน้าไปยังดินแดนพันธสัญญานั้น ก็ถูกพวกอามาเลข โจมตี ตามที่บันทึกอยู่ในอพยพ 17 เรารู้จากเฉลยธรรมบัญญัติ 25:18 ด้วยว่าการโจมตี ครั้งนั้นเป็นการกระทำของพวกขี้ขลาด เพราะลอบโจมตีด้านหลัง เล่นงานเฉพาะพวกที่ เดินล้าหลังเพราะ เหนื่อยอ่อน หมดแรง พระเจ้าทรงมอบความมีชัยให้อิสราเอลเหนือ กองทัพอามาเลข แต่ก็ยังกวาดล้างได้ไม่หมดสิ้น พระเจ้าตรัสสั่งอย่างเจาะจงว่าจะทรง ทำลายชนชาตินี้ออกไปจากความทรงจำของประชากรของพระองค์ และคำตรัสนี้ก็ประ จักษ์แจ้งอยู่ท่ามกลางคนอิสราเอล

ในเฉลยธรรมบัญญัติ 24 มีเรื่องน่าสนใจเกี่ยวกับ "คำสาป" ของพระเจ้าที่มีต่อคนอามา เลขอยู่ บาลาคกษัตริย์ชาวโมอับ เกรงกลัวอิสราเอลถึงกับต้องจ้างบาลาอัมมาสาปคน อิสราเอลให้ตายแทน บาลาคคงลืมพันธสัญญาที่พระเจ้าทำไว้กับอับราฮัม :

11 พระเจ้าตรัสแก่อับรามว่า "เจ้าจงออกจากเมือง จากญาติพี่น้อง จากบ้านบิดาของเจ้า ไปยังดินแดน ที่เราจะบอกให้เจ้ารู้ 2 เราจะให้เจ้าเป็นชนชาติใหญ่ เราจะอวยพรแก่เจ้า จะให้เจ้ามีชื่อเสียงใหญ่โตเลื่อง ลือไป แล้วเจ้าจะช่วยให้ผู้อื่นได้รับพร 3 เราจะอำนวย พรแก่คนที่อวยพรเจ้า เราจะสาปคนที่แช่งเจ้า บรรดา เผ่าพันธุ์ทั่วโลกจะได้พรเพราะเจ้า"
(ปฐมกาล 12:1-3)

คนอามาเลขไม่ได้อวยพรคนอิสราเอล พวกเขาสาปแช่งและลอบโจมตีระหว่างทาง เหตุนี้พระ เจ้าจึงสาปแช่งพวกเขาตามที่พระองค์สัญญาไว้กับอับราฮัมและลูกหลานของท่าน บาลาคหาหน ทางล่อลวงให้บาลาอัมไปทำการ "สาปแช่ง" อิสราเอล ชนชาติที่พระเจ้าทรงอำนวยพระพร บาลาอัมไม่เพียงแต่อวยพรอิสราเอลเท่านั้น เขากลับนำ คำสาปแช่ง ตามที่บันทึกไว้ในอพยพ 17 ย้อนกลับไปสาปคนอามาเลขแทน นอกจากสาปแช่งคนอามาเลขแล้ว เขายังอวยพรแก่คน เคไนต์ที่ช่วยเหลือชาวอิสราเอลด้วย (กันดารวิถี 24:21; ดู 1 ซามูเอล 15:6) สำหรับบาลาอัม ท่านต้องอวยพรคนที่พระเจ้าทรงอวยพร (รวมทั้งบรรดาคนอื่นๆที่อวยพรอิสราเอลด้วย) และท่าน ต้องสาปแช่งคนที่พระเจ้าทรงสาปแช่ง (บรรดาผู้ที่สาปแช่งอิสราเอล)

ในเฉลยธรรมบัญญัติบทที่ 24 มีการตักเตือนลูกหลานอิสราเอลรุ่นที่สองที่กำลังจะเข้า ไปยังดินแดนแห่งพันธสัญญา ถึงการกำจัดชนชาติอามาเลขให้หมดสิ้นในทันทีที่อิสรา เอลจัดตั้งประเทศขึ้น และมีชัยชนะเหนือบรรดาศัตรูรอบด้าน เป็นเรื่องน่าสนใจที่เราพบ ว่าคำสั่งที่ให้กำจัดชนชาติอามาเลขนั้นอยู่ภายใต้หัวข้อเรื่องความยุติธรรม (ดู 25:1-19) เราจึงสามารถลงความเห็นได้ว่า การทำลายชนชาติอามาเลขนั้นเป็นเรื่องของความยุติ ธรรมจริงๆ

อาจยังมีคำถามว่า "ทำไมจึงต้องทำลายคนรุ่นหลังนี้ ในเมื่อคนรุ่นก่อนหน้านี้ต่างหาก ที่กระทำการโหดร้ายกับอิสราเอล ?" เราเคยพูดไปแล้วว่าคนอามาเลขในยุคของซาอูล นั้นโหดร้ายและสมควรตาย เราจึงสามารถพูดได้ว่าคนรุ่นหลังนี้โหดร้ายยิ่งกว่ารุ่นที่เคย ข่มเหงอิสราเอลในถิ่นทุรกันดารตามที่บันทึกไว้ในอพยพบทที่ 17 เสียอีก ผมจึงเข้าใจ ได้ถึงพระประสงค์ของพระเจ้าที่เคยตรัสไว้กับอับราฮัมหลายร้อยปีก่อนหน้านั้น :

12 เมื่อเวลาอาทิตย์ใกล้จะตก อับรามก็นอนหลับสนิท เวลานั้นความกลัวและความมืดอย่างยิ่งก็มาทับถมอับราม 13 พระองค์จึงตรัสแก่อับรามว่า "เจ้าจงรู้แน่เถิดว่าพงศ์ พันธุ์ของเจ้าจะเป็นคนต่างด้าวในดินแดนซึ่งมิใช่ที่ของเขา และเขาจะต้องรับใช้ชาวเมืองนั้น ชาวเมืองนั้นจะบีบบังคับ เขาถึงสี่ร้อยปี 14 ส่วนประเทศที่เขารับใช้อยู่นั้น เราจะ พิพากษาลงโทษ ต่อมาพงศ์พันธุ์ของเจ้าจะออกมา มี ทรัพย์สมบัติมาก 15 ฝ่ายเจ้าจะไปตามปู่ย่าตายายของเจ้า โดยผาสุก เจ้าจะตายเวลาชรามากแล้วเขาจะฝังศพเจ้าไว้ 16 ในชั่วอายุที่สี่ พงศ์พันธุ์ของเจ้าจะกลับมาที่นี่อีก ด้วยว่าความชั่วลามกของคนอาโมไรต์ยังไม่ครบถ้วน"
(ปฐมกาล 15:12-16)

พระเจ้าทรงกล่าวแก่อับราฮัม (หรืออับราม) ว่าพระองค์จะประทานดินแดนคานาอันให้ แต่ก่อนนั้นลูกหลานของท่านจะตกไปเป็นทาสของดินแดนหนึ่งถึง 400 ปี เรารู้ว่านั่นคือ ประเทศอียิปต์ หลังจาก 400 ปีผ่านไปแล้ว พวกเขาจะได้รับการปลดปล่อย และพระ เจ้าจะประทานแผ่นดินคานาอันให้ สาเหตุที่ต้องรอก่อนเป็นเพราะ "ความชั่วลามก ของคนอาโมไรต์ยังไม่ครบถ้วน" (ปฐมกาล 15:16) พระเจ้าเลือกที่จะรอจนกว่า ความบาปของชนชาตินี้สุกงอมจนเต็มที่ แล้วจึงนำการพิพากษามาสู่ ในตอนที่พระองค์ ทรงสั่งซาอูลให้ทำลายคนอามาเลขให้หมดสิ้น เราคงพูดได้ว่าความบาปของพวกเขา สุกเต็มขนาดแล้ว สมควรแก่เวลาแห่งการพิพากษา

ขอเพิ่มอีกนิดว่า การที่พระเจ้าหน่วงเหนี่ยวเวลาแห่งการพิพากษาไว้นั้น เป็นเพราะ พระคุณพระองค์ พระองค์ยังให้เวลาแก่คนที่พระองค์ทรงเลือกไว้ให้รอดจากการลง พระอาชญา :

22 แล้วถ้าโดยทรงประสงค์จะสำแดงการลงพระอาชญา และทรงให้ฤทธิ์เดชของพระองค์ปรากฏ พระเจ้าได้ทรง อดกลั้นพระทัยไว้ช้านานต่อผู้เหล่านั้น ที่เป็นภาชนะอัน สมควรแก่พระอาชญา ซึ่งเตรียมไว้สำหรับความพินาศ 23 เพื่อจะได้ทรงสำแดงพระสิริอันอุดมของพระองค์ แก่บรรดาผู้ที่เป็นภาชนะแห่งพระเมตตา ซึ่งพระองค์ ได้ทรงจัดเตรียมไว้ก่อนให้สมกับศักดิ์ศรี
(โรม 9:22-23)

9 องค์พระผู้เป็นเจ้าไม่ได้ทรงเฉื่อยช้าในเรื่องพระสัญญา ของพระองค์ตามที่บางคนคิดนั้น แต่พระองค์ได้ทรงอด กลั้นพระทัยไว้ เพราะเห็นแก่ท่านทั้งหลายมาช้านาน พระองค์ไม่ทรงประสงค์ที่จะให้ผู้หนึ่งผู้ใดพินาศเลย แต่ทรงปรารถนาที่จะให้คนทั้งปวงกลับใจเสียใหม่
(2 เปโตร 3:9)

การไม่เชื่อฟังของซาอูล

บทเรียนฉบับนี้เกี่ยวกับการไม่เชื่อฟังของซาอูล และผลต่อเนื่องที่เกิดขึ้น ให้เรานำ อุปนิสัยในการไม่เชื่อฟังของซาอูลมาพิจารณาดู เพื่อจะให้เข้าใจถึงผลเสียรุนแรงที่เกิด ตามมา

การไม่เชื่อฟังของซาอูลไม่ไช่เกิดจากต้นตอแห่งความเมตตาสงสาร เราอาจ หลงคิดไปว่าที่ซาอูลขัดคำสั่งพระเจ้าเป็นเพราะท่านมีแรงจูงใจบางประการ บางทีเรา อาจมองซาอูลแตกต่างออกไป ถ้าท่านไว้ชีวิตเด็กๆชาวอามาเลข แต่ซาอูลไม่ไว้ชีวิต เด็กอามาเลขสักคนเลยยกเว้นอากัก กษัตริย์ของอามาเลข ที่ซาอูลขัดคำสั่งพระเจ้า ไม่ใช่เป็นเพราะท่านมีใจเมตตา มีใจห่วงใย หรือมีใจกรุณาปราณี ท่านได้สังหารผู้ชาย ผู้หญิง และเด็กอามาเลขทั้งหมดเว้นเสียแต่หนึ่งคน – กษัตริย์

ผมคิดว่าเราคงสรุปได้ ว่าการที่ซาอูลไว้ชีวิตอากัก และสัตว์อย่างดีบางชนิดที่คนอามา เลขเลี้ยงไว้ เป็นเพราะอยากสนองความต้องการของตนเอง แน่นอนซาอูลจะได้รับการ ยกย่องถ้าอนุญาติให้คนอิสราเอลมีโอกาสกินเนื้อสัตว์ดีๆเหล่านี้หลังจากการถวายบูชา หมายความว่านอกจากได้กินอาหารดีๆแล้ว คนอิสราเอลยังไม่ต้องเสียสัตว์ในฝูงของตน เพื่อไปใช้ถวายบูชาด้วย การไว้ชีวิตอากักเป็นเหมือนรางวัลแห่งชัยชนะของซาอูล เป็น สิ่งแสดงถึงความกล้าหาญและบารมี เมื่ออากักนั่งร่วมโต๊ะเสวยกับซาอูล เขาจะเป็น เหมือนหัวเก้งกวางสตัฟฟ์ที่พวกพรานชอบติดโชว์บนฝาผนัง ทำให้ผมนึกถึงคำพูดของ กษัตริย์ท่านหนึ่งซึ่งยู่ในตอนแรกของพระธรรมผู้วินิจฉัย :

66 อาโดนีเบเซกหนีไป แต่เขาตามจับได้ตัดนิ้วหัวแม่มือ และนิ้วหัวแม่เท้าของท่านออกเสีย 7 อาโดนีเบเซกกล่าวว่า "มีกษัตริย์เจ็ดสิบองค์ที่มีหัวแม่มือและหัวแม่เท้าด้วน เก็บ เศษอาหารอยู่ใต้โต๊ะของเรา เรากระทำแก่เขาอย่างไร พระ เจ้าจึงทรงกระทำแก่เราอย่างนั้น" เขาทั้งหลายก็คุมตัวท่าน มาที่กรุงเยรูซาเล็ม และท่านก็สิ้นชีวิตที่นั่น
(ผู้วินิจฉัย 1:6-7)

การมีกษัตริย์นั่งร่วมโต๊ะเสวยของซาอูล เป็นเชลย และความเป็นความตายขึ้นอยู่กับ ความเมตตาของซาอูลนั้น เหมือนกับชิงถ้วยรางวัลจากกษัตริย์องค์นั้นมาได้ ผมคิดว่านี่ เป็นสาเหตุที่ซาอูลไว้ชีวิตอากักและสังหารคนอามาเลขที่เหลือทั้งหมด

ซาอูลฝ่าฝืนคำสั่งโดยเชื่อฟังเพียงบางส่วน การขัดคำสั่งบางครั้งเกิดจากความ มุทะลุ เช่นการที่อาดัมและเอวาขัดคำสั่งเรื่องผลไม้ต้องห้ามในสวนเอเดน แต่สำ หรับซาอูล ท่านล้มเหลวที่จะทำตามคำสั่งพระเจ้าทุกตัวอักษร ซาอูลทำเกือบทุกสิ่งที่ พระเจ้าสั่งผ่านมาทางซามูเอล แต่ท่านไม่ได้เชื่อฟังทั้งหมด ซามูเอลเห็นว่าการกระทำ เช่นนี้คือการทำบาปโดยการขัดคำสั่งอย่างสิ้นเชิง

ซาอูลขัดคำสั่งโดยใช้การเคร่งศาสนามากลบเกลื่อน การขัดคำสั่งของซาอูลมอง ดูเผินๆเหมือนกับท่านกำลังทำตามคำสั่งอยู่ ผมไม่ทราบว่าอะไรทำให้ซาอูลคิดว่าการ ไว้ชีวิตอากักนั้นเป็นเรื่องถูกต้อง ผมดูยังไงๆก็ไม่ใช่เรื่องความศรัทธา แต่ซาอูลนั้นมี ความสามารถพิเศษที่จะพรางความบาปเรื่องสัตว์ของอามาเลขที่ตนเองเก็บเอาไว้ ท่าน กล่าวว่า ท่านและประชาชนของท่านเก็บสัตว์ดีๆเหล่านี้ไว้เพื่อต้องการนำมาใช้เป็น เครื่องถวายบูชา ที่จริงพวกเขาอาจตั้งใจทำเช่นนั้น แต่แรงจูงใจจริงๆแล้วมาจากความ ต้องการสนองตัณหาตนเอง การฆ่าสัตว์ทิ้งทั้งหมดตามที่พระเจ้าบัญชานั้นนับว่า เป็นการถวายบูชาเหมือนกัน เพียงแต่ประชากรไม่อาจนำเนื้อเหล่านั้นมารับประทานได้ แต่ถ้าไว้ชีวิตสัตว์บางตัวอย่างที่ทำ และนำมาเผาเป็นเครื่องถวายบูชาแด่พระเจ้า พวก เขาจะได้ผลถึงสองต่อคือ แรก ประชากรจะได้กินอาหารฟรีๆโดยมีพระเจ้าเป็นสปอน เซอร์ พวกเขาจะมีส่วนได้กินอาหารที่ถวายบูชานี้ (2:12-17; 9:11-25) สอง พวกเขา จะใช้สัตว์เหล่านี้ถวายบูชา แทนที่ต้องไปเอามาจากฝูงของตนเอง จึงนับเป็นการหลีก เลี่ยงนำส่วนที่เป็นของตนมาใช้ถวายบูชา ประเด็นก็คือ การไม่เชื่อฟังของซาอูลเป็น เหมือนการใช้ศาสนามาบังหน้า แต่แก่นแท้ก็คือบาปแห่งการสนองตัณหาของตนเอง ดังนั้นการกระทำของซาอูล จึงจอมปลอม มองดูเหมือนผู้เคร่งครัดศรัทธา แต่ที่จริง แล้วแอบแฝงเท่านั้น

การขัดคำสั่งของซาอูลนั้นได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดี ซาอูลไม่ได้ทำการนี้ตามลำพัง ตอนครั้งแรกที่ท่านพูดกับซามูเอล ท่านพูดโดยใช้ตัวท่านเองเป็นประธาน: " ข้าพเจ้าได้ปฏิบัติ ตามพระธรรมบัญญัติของพระเจ้าแล้ว" (ข้อ 13) แต่ในทันทีที่เห็นว่าการ "เชื่อฟัง" ของท่าน นั้นไม่เป็นที่พอพระทัยพระเจ้า ซาอูลรีบป้ายความผิดไปยังประชาชนอิสราเอลทันที

15 ซาอูลตอบว่า "เขาทั้งหลายได้นำมาจากคนอามาเลข เพราะพวกพลได้ไว้ชีวิตแกะและโคที่ดีที่สุด เพื่อเป็นเครื่อง สัตวบูชาแด่พระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่าน นอกจากนั้นเรา ทั้งหลายก็ได้ทำลายเสียสิ้น"
(ข้อ 15)

20 และซาอูลเรียนซามูเอลว่า "ข้าพเจ้าได้ฟังพระสุรเสียง ของพระเจ้าแล้ว ข้าพเจ้าได้ไปประกอบกิจตามที่พระเจ้า ทรงใช้ข้าพเจ้าไป ข้าพเจ้าได้คุมตัวอากักพระราชาแห่ง คนอามาเลขมา และข้าพเจ้าก็ได้ทำลายคนอามาเลขเสีย อย่างสิ้นเชิง " (ข้อ 20)

หลังจากซามูเอลปฏิเสธไม่ยอมรับฟังข้อแก้ตัวและชี้ให้เห็นถึงความบาปของท่าน ซาอูล จึง "สารภาพ" ความบาปของท่าน โดยรวมเอาประชาชนเข้าไปด้วย :

24 และซาอูลเรียนซามูเอลว่า "ข้าพเจ้าได้กระทำบาป แล้ว เพราะข้าพเจ้าได้ ฝ่าฝืนพระธรรมบัญญัติของพระ เจ้า และคำของท่าน เพราะข้าพเจ้าเกรงกลัวประชา ชน และยอมฟังเสียงของเขาทั้งหลาย "
(1 ซามูเอล 15:24)

บ่อยครั้งแค่ไหนที่ความบาปกลายเป็นเรื่องของคนหมู่มาก มีคนมากมายให้การ สนับสนุนและมีส่วนร่วมอยู่ด้วย

ซาอูลไม่ได้ถือว่าการขัดคำสั่งของท่านนั้นเป็นเรื่องใหญ่โต ซาอูลยอมรับช้ามาก ว่าท่านต้องรับผิดชอบต่อบาปที่ซามูเอลชี้ให้เห็น ถึงแม้ว่าท่านจะสารภาพบาป ท่านก็ ยังป้ายความผิดบางประการไปที่ประชาชน และพยายามที่จะ – ผมว่าอย่างรวดเร็ว – "เดินหน้า" ไปรับพระพรของพระเจ้า ด้วยความหวังว่าการลงโทษจะถูกปัดให้พ้นตัวไป เราเห็นได้อย่างชัดเจนในข้อที่ 24-33 ผมว่าซาอูลคงพูดทำนองว่า : "ก็ได้ ก็ได้ ไหนๆ ผมยอมรับว่าทำผิดไปแล้ว อย่าเสียเวลาเลย เรามีเรื่องอื่นที่ต้องสะสางอีก และผมอยาก ให้ท่านอยู่ด้วย เพื่อนมัสการพระเจ้าด้วยกัน เพื่อว่าผมจะได้ไม่ถูกประชานดูถูกเอาได้" ถึงบัดนี้แล้ว เช่นเดียวกับความบาปในการเชื่อฟังคำสั่งเพียงบางส่วน ซาอูลก็ยังเป็น ห่วงภาพพจน์ตนเองในสายตาของประชาชน มากกว่าการประเมิณของพระเจ้า ซาอูล ต้องการนำความบาปไปซ่อนไว้ โดยไม่มีการชิงชังรังเกียจ และไม่คิดจะกำจัดให้หมดไป

ความบาปของซาอูลนั้นเป็นแบบ "ปากว่าตาขยิบ" ถ้าเรายังจำกันได้ ซาอูลเป็น คนที่ไม่ยอมทนกับการถูกขัดใจ ถึงแม้คำสั่งของท่านจะโง่เขลาและเสี่ยงตาย ในบทที่ 14 โยนาธานผู้เป็นบุตร ละเมิดคำสั่งของท่าน ที่ห้ามไม่ให้กินสิ่งใดจนกว่าจะค่ำ โยนา ธานไม่ได้ยินคำสั่งนี้ เพราะท่านมัวแต่สู้รบกับพวกฟิลิสเตียอยู่ แต่ซาอูลก็ตั้งใจจะประ หารท่านเสียเพราะถือว่าขัดคำสั่ง และคงจะทำสำเร็จถ้าประชาชนไม่ออกมาห้ามเสีย ก่อน (14:36-46) บัดนี้เมื่อซาอูลเองฝ่าฝืนคำสั่งพระเจ้า ท่านกลับผ่อนปรนให้ตนเอง อย่างเหลือเชื่อ - ขัดคำสั่งพระเจ้าหรือ ? คงไม่เป็นไร แต่ถ้าเป็นคำสั่งของซาอูลล่ะ ? ไม่มีวัน!

การไม่เชื่อฟังของซาอูลเป็นการทำบาปซ้ำกับที่ท่านเคยทำมาก่อนหน้า ใน ตอนต้นของพระธรรม 1 ซามูเอล ครั้งนี้เป็นการขัดคำสั่งในเรื่องใหญ่ครั้งที่สอง ครั้งแรกอยู่ในบทที่ 13 ตอนที่ซาอูลไปทำการเผาเครื่องบูชาถวายด้วยตนเองแทนที่ จะรอซามูเอล ในการทำบาปครั้งนี้ซามูเอลกล่าวว่า

13ข"ท่านได้กระทำการที่โง่เขลาเสียแล้ว ท่านมิได้รักษา พระบัญชาแห่งพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่าน ซึ่งพระองค์ ทรงบัญชาท่านไว้ เพราะพระเจ้าจะได้ทรงสถาปนาราชอา ณาจักรของท่านเหนืออิสราเอลเป็นนิตย์แล้ว 14 แต่บัดนี้ ราชอาณาจักรของท่านจะไม่ยั่งยืน พระเจ้าทรงหาชายอีก คนหนึ่งตามชอบพระทัยพระองค์แล้ว และพระเจ้าทรงแต่ง ตั้งชายผู้นั้นให้เป็นเจ้านายเหนือชนชาติของพระองค์ เพราะ ท่านมิได้รักษาสิ่งซึ่งพระเจ้าทรงบัญชาท่านไว้"
(1 ซามูเอล 13:13ข-14)

ต่อมาในบทที่ 15 เราจะเห็นการฝ่าฝืนคำสั่งของพระเจ้าเป็นครั้งที่สอง :

22 และซามูเอลกล่าวว่า "พระเจ้าทรงพอพระทัยในเครื่อง เผาบูชาและเครื่องสัตวบูชามาก เท่ากับการที่จะเชื่อฟังพระ สุรเสียงของพระองค์หรือ ดูเถิด ที่จะเชื่อฟังก็ดีกว่าเครื่อง สัตวบูชา และซึ่งจะสดับฟังก็ดีกว่าไขมันของบรรดาแกะผู้ 23 เพราะการกบฏก็เป็นเหมือนบาป แห่งการถือฤกษ์ถือยาม และความดื้อดึงก็เป็นเหมือนบาปชั่วและการไหว้รูปเคารพ เพราะเหตุที่ท่านทอดทิ้งพระวจนะของพระเจ้า พระองค์ จึงทรงถอดท่านออกจากตำแหน่งกษัตริย์"
(1 ซามูเอล 15:22-23)

เหตุใดจึงมีการกล่าวฟ้องซ้ำกับบทที่ 13 ในบทที่ 15 อีก ? ทำไมซามูเอลจึงบอกกับ ซาอูลอีกว่าพระเจ้าถอดท่านจากการเป็นกษัตริย์ ในเมื่อท่านได้พูดไปแล้วในบทที่ 13 ? คำตอบก็คือ การกล่าวโทษครั้งแรกเป็นคำพยากรณ์ที่มีเงื่อนใข ซึ่งการลงโทษอาจไม่ เกิดขึ้นถ้าซาอูลกลับใจจากบาปอย่างจริงใจ เราเห็นหลักการเดียวกันนี้จากผู้เผยพระวจ นะเยเรมีห์ :

66 "ประชาอิสราเอลเอ๋ย เราจะกระทำแก่เจ้าอย่างที่ ช่างหม้อนี้กระทำไม่ได้หรือ พระเจ้าตรัสดังนี้แหละ ดูเถิด ประชาอิสราเอลเอ๋ย เจ้าอยู่ในมือของเรา อย่างดินเหนียวอยู่ในมือของช่างหม้อ 7 ถ้าเวลาใด ก็ตามเราประกาศเกี่ยวกับประชาชาติหนึ่งหรือราชอา ณาจักรหนึ่งว่า เราจะถอนและพังและทำลายมันเสีย 8 และถ้าประชาชาตินั้น ซึ่งเราได้ลั่นวาจาไว้เกี่ยวข้อง ด้วย หันเสียจากความชั่วของตน เราก็จักกลับใจจาก โทษซึ่งเราได้ตั้งใจจะกระทำแก่ชาตินั้นเสีย"
(เยเรมีห์ 18:6-8)

และแน่นอน สิ่งนี้เป็นสิ่งเดียวกับที่กษัตริย์แห่งนีนะเวห์หวังว่าพระเจ้าจะทรงพระกรุณา :

43 ดังนั้น โยนาห์จึงลุกขึ้นไปยังนีนะเวห์ตามพระวจนะของพระเจ้า ฝ่ายนีนะเวห์เป็นนครใหญ่โตมากทีเดียว ถ้าจะเดินข้ามเมืองก็กินเวลา สามวัน 4 โยนาห์ตั้งต้นเดินเข้าไปในเมืองได้ระยะทางเดินวันหนึ่ง และ ท่านก็ร้องประกาศว่า "อีกสี่สิบวัน นีนะเวห์จะถูกคว่ำ" 5 ฝ่ายประชาชน นครนีนะเวห์ได้เชื่อฟังพระเจ้า เขาประกาศให้อดอาหาร และสวมผ้ากระ สอบ ตั้งแต่ผู้ใหญ่ที่สุดถึงผู้น้อยที่สุด 6 กิตติศัพท์นี้ลือไปถึงกษัตริย์นคร นีนะเวห์ พระองค์ทรงลุกขึ้นจากพระที่นั่ง ทรงเปลื้องฉลองพระองค์ออก เสีย ทรงสวมผ้ากระสอบแทน และประทับบนกองขี้เถ้า 7 พระองค์ทรง ออกพระราชกฤษฎีกา ประกาศไปทั่วนครนีนะเวห์ว่า "โดยอำนาจ กษัตริย์และบรรดาขุนนางทั้งหลาย คนหรือสัตว ไม่ว่าฝูงสัตว์ใหญ่หรือ ฝูงสัตว์เล็ก ห้ามลิ้มรสสิ่งใดๆ อย่าให้กินอาหาร อย่าให้ดื่มน้ำ 8 ให้ทั้งคน และสัตว์นุ่งห่มผ้ากระสอบ ให้ตั้งจิตตั้งใจร้องทูลต่อพระเจ้า เออ ให้ทุกคน หันกลับเสียจากการประพฤติชั่ว และเลิกการทารุณซึ่งมือเขากระทำ 9 ใครจะรู้ได้ พระเจ้าอาจจะทรงกลับและเปลี่ยนพระทัย คลายจาก พระพิโรธอันรุนแรงเพื่อว่าเราจะมิได้พินาศ" 10 เมื่อพระเจ้าทอดพระเนตรการกระทำของเขาแล้วว่า เขากลับ ไม่ประพฤติชั่วต่อไป พระเจ้าก็ทรงกลับพระทัย ไม่ลงโทษ ตามที่ พระองค์ตรัสไว้ และพระองค์ก็มิได้ทรงลงโทษเขา
(โยนาห์ 3:4-10)

คำพยากรณ์บางเรื่องจะเกิดขึ้นอย่างแน่นอน เป็นคำพยากรณ์ที่ไม่มีการหันกลับหรือ เปลี่ยนแปลง และก็มีคำพยากรณ์ซึ่งเตือนถึงการพิพากษาที่กำลังจะมีมา นอกเสียจาก มนุษย์กลับใจและรับการอภัย เมื่อโยเซฟทำนายฝันให้ฟาโรห์ ท่านบอกกับฟาโรห์ว่า ความฝันทั้งสองเรื่องพูดในสิ่งเดียวกัน เพื่อเป็นการบ่งชี้ว่าสิ่งที่เห็นในฝันนั้นจะเกิดขึ้น จริง (ปฐมกาล 41:32) คำพูดของซามูเอล ผู้เผยพระวจนะ ในบทที่ 13 เป็นคำเตือน ถึงการพิพากษา และให้โอกาสซาอูลกลับใจ ในบทที่ 15 เราเห็นชัดเจนว่า ซาอูลไม่ กลับใจ แต่ยืนหยัดที่จะฝ่าฝืนคำสั่งต่อ ดังนั้นคำพูดของซามูเอลที่มีต่อซาอูลในบทที่ 15 คือคำทำนายว่าซาอูลจะถูกถอดจากตำแหน่งอย่างแน่นอน ถึงแม้จะเกิดขึ้นสองสาม ปีในอนาคต เป็นสิ่งที่ซามูเอลพูดให้ซาอูลเข้าอย่างชัดเจนในข้อที่ 29:

29 "และผู้ทรงเป็นกำลังของอิสราเอลจะไม่มุสาหรือ กลับใจ เพราะว่าพระองค์หาใช่มนุษย์ที่จะกลับใจไม่"

เราจะนำคำพูดในข้อ 29 มาเชื่อมโยงกับสิ่งที่เราอ่านไปในข้อ 11 ได้อย่างไร ?

11 "เราเสียใจแล้วที่เราได้ตั้งซาอูลเป็นกษัตริย์ เพราะเขาได้หันกลับเสียจากการตามเรา และไม่ได้ กระทำตามบัญญัติของเรา" และซามูเอลก็โกรธจึง ร้องทูลต่อพระเจ้าคืนยังรุ่ง

มีการใช้คำเดียวกันในภาษาฮีบรูทั้งข้อ 11 และ 29 ดังนั้นเราจึงไม่ควรแก้ปัญหา ด้วย การบอกว่าใช้คำศัพท์ต่างกันในภาษาดั้งเดิม เราคงกล่าวได้ว่า มีการนำคำเดียวกันนี้มา ใช้เกินกว่า 100 ครั้ง ในพระคัมภีร์เดิม คำที่เราพูดถึงคือคำว่า Niphal ซึ่งแปลว่าการ "กลับใจ" มี 38 ครั้งในฉบับแปล KJV และแทบทั้งหมดหมายถึง "การกลับใจ"55 ของพระเจ้า คำกิริยาที่ใช้ครั้งแรก (ข้อ 11 ที่เราเรียนอยู่) ผู้เขียนพูดถึงพระเจ้าเสียพระ ทัยที่ซาอูลต้องสูญเสียตำแหน่งกษัตริย์ ไม่ใช่เป็นเพราะพระเจ้าไม่รู้ หรือตั้งใจให้อยู่ ในแผนการของพระองค์ ความบาปของมนุษย์แตะต้องพระทัยพระองค์เสมอ และทำให้ ทรงเสียพระทัย ถึงแม้พระองคอนุญาติให้ซาตานมีส่วนในแผนการ แต่ไม่ได้แปลว่า พระองค์์พอใจ ตรงข้ามกลับทำให้พระองค์เสียพระทัย ตามที่ข้อ 11 กล่าวไว้

ในข้อ 29 ใช้คำเดียวกันนี้ในภาษาฮีบรู (คือคำว่า Niphal ) แต่ตามเนื้อหาครอบคลุม ความหมายกว้างกว่า เมื่อพระเจ้าตำหนิซาอูลที่ไม่เชื่อฟังในบทที่ 13 พระองค์เตือน ซาอูลว่าท่านจะสูญเสียราชวงศ์ สูญเสียอาณาจักรไป นี่เป็นคำพยากรณ์ที่มีเงื่อนใข สามารถหยุดยั้งไม่ให้เกิดขึ้นได้ ถ้าเพียงแต่ซามูเอลกลับใจจริง แต่ท่านไม่กลับใจ ! ดังนั้นในข้อ 29 เมื่อซาอูลวิงวอนซามูเอลว่าอย่าทิ้งไป วิงวอนขออย่าให้การพิพากษา ตกมาถึงท่าน ซามูเอลจึงเตือนว่า พระเจ้าไมใช่มนุษย์ที่ทำผิดแล้วต้อง "กลับใจ" หรือ เปลี่ยนแผน คำกล่าวโทษของซามูเอลบ่งบอกว่าซาอูลต้องถูกปลด ซาอูลวิงวอนขอให้ เป็นวิธีอื่น ซามูเอลกล่าวว่าพระเจ้าไม่ทรงผิดพลาดในการพิพากษา และพระองค์จะไม่ "หันกลับ" จากแผน ที่มีไว้สำหรับซาอูล ทุกอย่างสายเกินไป พระเจ้าจะไม่ทรงเปลี่ยน พระทัย เพราะโอกาสที่พระองค์ให้นั้นจบสิ้นลงแล้ว

หลักเกณฑ์ของการเชื่อฟัง
(15:22-23)

ซาอูลอ้างว่าที่ขัดคำสั่ง เพราะมีความตั้งใจอยากนำสัตว์ที่ไว้ชีวิตนั้นมาเป็นของถวาย บูชาแด่พระเจ้า ซามูเอลรับไม่ได้ ท่านจึงกำหนดข้อห้าม ซึ่งอยู่ในพระคำข้อ 22 และ 23 ซึ่งผู้เผยพระวจนะรุ่นหลังหลายคนนำมาใช้ องค์พระผู้เป็นเจ้าและอัครสาวกด้วย56 หลักเกณฑ์นี้ชี้ให้เห็นทั้งผลดีและผลเสีย ในข้อ 22 ซามูเอลพูดถึงผลดี ท่านกล่าวว่า การทำตามพิธีกรรมที่พระเจ้าบัญญัติไว้นับเป็นสิ่งดี (โดยเฉพาะทำด้วยใจซื่อ มือสะ อาด) และการเชื่อฟังคำสั่งของพระเจ้านั้นยิ่งดีขึ้นไปใหญ่

คำพูดของซาอูลเป็นไปในทางตรงข้าม - คำพูดและการกระทำของซาอูลกลับเป็นว่า การทำตามพิธีกรรมทางศาสนาอย่างครบถ้วนนั้นเป็นสิ่งสำคัญที่สุด การไม่เชื่อฟังคำ สั่งพระเจ้าไม่ใช่เรื่องใหญ่สำหรับซาอูล ตราบใดที่ท่านสามารถทำพิธีกรรมต่างๆนั้นได้ อย่างครบถ้วน สำหรับซาอูล การถวายบูชาพระเจ้าสำคัญกว่าการเชื่อฟังพระองค์ แต่ สำหรับซามูเอล การเชื่อฟังพระเจ้าเป็นการถวายบูชาในรูปแบบที่สูงที่สุด (ดูในโรม 12:1-2) การเชื่อฟังพระเจ้านั้นดีกว่าการถวายบูชาในรูปแบบใดทั้งสิ้น การไม่เชื่อฟัง พระเจ้าและไปถวายบูชาก็นับว่าไร้ค่า

ในข้อ 23 ซามูเอลเปรียบเทียบความบาปของอิสราเอลนั้นเป็นบาปเหมือนกับที่ชาวต่าง ชาติทำ ซึ่งผู้เป็นยิวทั้งหลายไม่มีแม้แต่อยู่ในความคิด ซาอูลไม่ได้ถือว่าความบาปแห่ง การไม่เชื่อฟังนี้เป็นเรื่องใหญ่โตอะไร ชาวต่างชาติอย่างอามาเลขนั้นสมควรแล้วที่ต้อง ตาย ซาอูลไม่สงสัยในเรื่องนี้ เพราะความบาปที่คนต่างชาติพวกนี้ทำเป็นสิ่งน่าสะอิด สะเอียนสำหรับคนอิสราเอล ซามูเอลตัดบทโดยกล่าวแก่ซาอูลว่า การไม่เชื่อฟังของ ท่านก็ไม่ดีไปกว่าความบาปแห่งการกบฎและการกราบไหว้รูปเคารพ ที่จริงคนต่างชาติ ทำบาปนี้ด้วยความไม่รู้ไม่ใส่ใจ พวกเขาไม่มีพระวจนะคำเหมือนกับประชากรของพระ เจ้า ความบาปของซาอูลนั้นอยู่ในระดับเดียวกับพวกคนต่างชาติที่ท่านเองเกลียดที่สุด! การเชื่อฟังนั้นดีกว่าการทำตามพิธีกรรม ; การไม่เชื่อฟังนั้นแย่กว่าการกราบไหว้รูปเคา รพหรือนับถือผีของคนต่างชาติ

"การกลับใจ" ของซาอูล
(15:24-31)

เป็นเรื่องเศร้าเมื่ออ่านเรื่องการไม่เชื่อฟังของซาอูล แต่ที่เศร้ากว่าคือการตอบสนอง ของซาอูลต่อการว่ากล่าวของซามูเอล ซาอูลเริ่มด้วยการอ้างว่าท่านทำตามคำสั่งของ พระเจ้า และเมื่อความบาปของท่านสำแดงออกมา ท่านกลับยอมรับว่าผิดพลาดที่ไม่ ได้ทำตามอย่างครบถ้วน แต่ท่านพยายามเบี่ยงเบนการไม่เชื่อฟังนี้ให้ดูเหมือนว่า การนมัสการพระเจ้าเป็นสิ่งน่าทำกว่า เมื่อซามูเอลไม่รับฟังข้อแก้ตัวที่อ่อนนี้ ในที่สุด ซาอูลจึงยอมสารภาพว่าทำบาป แต่ท่านป้ายความผิดบางประการไปที่ประชาชน ท่าน กล่าวว่าท่านกลัวเพราะประชาชนกดกันท่านมาก (ข้อ 24) ท่านไม่เป็นกังวลว่าท่านได้ ทำบาปต่อพระเจ้าผู้ชอบธรรม แต่กลัวว่าภาพพจน์ต่อสาธารณชนจะถูกทำลายถ้าซามู เอลทิ้งท่านไปต่อหน้าต่อตาเช่นนี้ ท่านไม่เกรงกลัวต่อการลงโทษในความบาปอันเลว ร้ายของท่าน ท่านกลัวแต่เพียงว่าท่านจะถูกมองไม่ดีถ้าไม่รีบแก้สถานการณ์นี้ ท่านจึง วิงวอนต่อซามูเอลให้กลับไปนมัสการพร้อมกับท่าน เพื่อให้ทุกคนเห็นว่าไม่มีสิ่งใดผิด ปกติ

ซามูเอลทำตามคำสั่งพระเจ้าทุกประการ
1 ซามูเอล 15:32-35

32 แล้วซามูเอลกล่าวว่า "ท่านทั้งหลายจงนำอากักกษัตริย์ ของคนอามาเลขมาให้ข้าพเจ้า" และอากักก็เข้ามาหาท่าน ด้วยหน้าตาเบิกบาน อากักกล่าวว่า "ความขมขื่นแห่งความ ตายก็ผ่านพ้นไปแน่แล้ว" 33 ฝ่ายซามูเอลกล่าวว่า "ดาบของ ท่านได้กระทำให้ผู้หญิงไร้บุตรฉันใด มารดาของท่านจะไร้บุตร ในหมู่พวกผู้หญิงทั้งหลายฉันนั้น" และซามูเอลก็ฟันอากักเสีย เป็นท่อนๆ ต่อพระพักตร์พระเจ้าที่ในกิลกาล 34 ฝ่ายซามูเอล ก็ไปรามาห์และซาอูลก็เสด็จขึ้นไปยังวังของพระองค์ที่กิเบอาห์ แห่งซาอูล 35 และซามูเอลไม่มาพบซาอูลอีกจนวันสิ้นชีพ แต่ซามูเอลได้โศกเศร้าเพราะซาอูล และพระเจ้าทรงกลับพระ ทัยที่ได้ทรงกระทำให้ซาอูลเป็นกษัตริย์เหนืออิสราเอล

ซาอูลทำบาปในข้อ 13 เมื่อท่านทำการถวายบูชาแทนซามูเอล แต่ในบทที่ 15 ซามู เอลต้องทำหน้าที่แทนซาอูล และการครั้งนี้ไม่ใช่เป็นบาป ซาอูลดูเหมือนไม่อยากจะ "กลับใจ" ไม่อยากกลับคำในการที่ไว้ชีวิตอากัก กรณีนี้ ซามูเอลจึงต้องทำตามคำสั่ง พระเจ้าด้วยตัวท่านเอง เพราะคนอามาเลขทุกคนต้องตาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งกษัตริย์ ผู้เป็นตัวนำให้ประชาชนทำชั่ว อากักถูกนำตัวมา กษัตริย์องค์นี้รู้สึกมั่นใจว่าท่านจะไม่ ถูกประหาร ท่านปลอดภัยดีแล้ว ท่านรู้สึกปลอดภัยในการควบคุมของซาอูล แต่ความมั่น ใจกลายเป็นเคราะห์ร้าย ตอนนี้ท่านต้องไปยืนต่อหน้าซามูเอล และซามูเอลกำลัง ปฏิบัติหน้าที่แทนพระเจ้า57 ในฐานะที่เป็นผู้นำของกองทัพอามาเลข เป็นผู้ทำให้ หญิงไร้บุตร ดังนั้นมารดาของท่านก็จะไร้บุตรด้วยเมื่อท่านตาย (ข้อ 33) ซามูเอลไม่ได้ ฆ่าอากักอย่างธรรมดา ท่านฟันออกเป็นท่อนๆ ซึ่งไม่ต้องสงสัยว่าเป็นวิธีการเดียวกับที่ อากักทำกับเชลยฝ่ายศัตรู ถึงแม้ในพระคัมภีร์ไม่ได้พูดถึง แต่ดูเหมือนว่าซามูเอลจะจัด การทำลายฝูงสัตว์ทั้งสิ้นของอามาเลขที่ชาวอิสราเอลเก็บไว้ด้วย

ไม่มีการบันทึกว่าซาอูลเคยเศร้าโศกอย่างจริงใจในความบาปของท่าน หรือการที่ท่าน แยกไปจากทางของซามูเอล แต่เป็นวันอันโศกเศร้าของซามูเอล ท่านถึงกับต้อง ร้องให้และเข้าเฝ้าพระเจ้าทั้งคืน ก่อนที่จะกล่าวตำหนิซาอูล (15:11) ท่านยังโศก เศร้าเมื่อต้องจากซาอูลอีกครั้ง (15:35) พระเจ้าเองก็ทรงเสียพระทัยต่อการกระทำ ของซาอูล และต่อการที่พระองค์ทรงตั้งซาอูลให้เป็นกษัตริย์เหนืออิสราเอล พระองค์ ไม่ทรงประหลาดพระทัยในเรื่องนี้ เพราะสิ่งนี้อยู่ในแผนการอันเป็นนิรันดร์ที่พระองค์ ทรงจัดเตรียมไว้ในอดีต ซาอูลไม่ได้เป็นต้นราชวงศ์ขององค์พระเมสซิยาห์ เพราะท่าน ไม่ได้มาจากเผ่ายูดาห์ แต่มาจากเผ่าเบนยามิน แต่พระองค์ก็ยังทรงเสียพระทัยที่ต้อง ปลดซาอูลออกไป เป็นเรื่องที่ต้องทำ ไม่ใช่เป็นเรื่องน่าชื่นชมยินดี เราคิดหรือเปล่าว่า พระเจ้าผู้ทรงฤทธานุภาพจะทำแต่สิ่งที่พระองค์ปิติหรือ ? พระองค์ทรงทำในสิ่งที่ พระ องค์ต้องเสียพระทัยด้วย เช่นการตั้งซาอูลเป็นกษัตริย์ และการส่งพระบุตรของพระองค์ ลงมาตายบนไม้กางเขน ใต้เงื้อมมือของบรรดาคนบาปชั่ว พระเจ้าทรงกระทำเช่นนี้ เพื่อพระสิริของพระองค์ เพื่อพระสิริอันสูงสุด และเพื่อสิ่งดีที่สุดที่เราจะได้รับ

บทสรุป

สิ่งแรกที่เราเห็นจากบทเรียนตอนนี้คือ พระเจ้าต้องทำพระประสงค์ของพระองค์ให้สำเร็จ เสมอ ไม่ใช่เฉพาะตอนอพยพ (อพยพ 17:8-16) แต่หลายๆครั้งหลังจากนั้น (กันดารวิถี 24:20-21;เฉลยธรรมบัญญัติ 25:17-19) พระเจ้าสั่งให้ทำลายชนชาติอามาเลขให้หมด สิ้น เพราะความบาปอันใหญ่หลวง ซึ่งเห็นได้ชัดเมื่อลอบมาโจมตีอิสราเอลหลังอพยพ พระเจ้าไม่เคยลืมสิ่งที่พระองค์ตรัส และใน 1 ซามูเอล 15 ถึงซาอูลจะขัดคำสั่ง สิ่งที่ พระองค์ตรัสเอาไว้ก็เป็นจริง พระเจ้าทรงรักษาพระสัญญาเสมอ ไม่ว่าจะเป็นสัญญาแห่ง พระพร (เช่นที่ชาวอิสราเอลปฏิบัติต่อคนเคไนต์ ) หรือสัญญาเรื่องการพิพากษา

เราเห็นมีการสงวนคนเคไนต์ ในขณะที่คนอามาเลขถูกทำลายล้าง ไม่ใช่เป็นแค่ทำตาม พระสํญญาเฉพาะในครั้งนี้เท่านั้น แต่เป็นการรักษาสํญญาที่ทำไว้กับอับราฮัม (ปฐมกาล 12:1-3) ในพันธสัญญากับอับราฮัม พระองค์สัญญาจะอวยพรผู้ที่อวยพรอับราฮัมและลูก หลานของท่าน (เช่นคนเคไนต์) และจะสาปแช่งผู้ที่สาปแช่งอับราฮัมและเชื้้อสายของ ท่าน (คนอามาเลข) พันธสัญญาของอับราฮัม เป็นเรื่องสำคัญยิ่งในประวัติศาสตร์ของ อิสราเอล เพราะอธิบายถึงการพิพากษาและการอำนวยพระพรของพระเจ้าในส่วนที่ เกี่ยวข้องกับประเทศอื่นๆที่มีสัมพันธกับอิสราเอล

ผมเกรงว่าทัศนคติที่ไม่แยแสต่อความบาปของซาอูลนั้น เป็นเหมือนกับที่หลายๆคน มองความบาปในปัจจุบัน ตัวอย่างเช่น ในศาสนจักรโรมันคาทอลิค บางคนไม่เกรงกลัว การทำบาป เพราะสามารถไปสารภาพกับพระสงฆ์ว่า "ขอคุณพ่อโปรดยกบาปที่ผมได้ กระทำ ……….." และมีคริสเตียนโปรเตสแตนท์หลายคน เห็นความบาปเป็นเรื่องเล็ก น้อย เราอาจจะกล่าวอย่างคล่องปากว่าพระคริสต์สิ้นพระชนม์เพื่อความบาปของเรา พระองค์ทรงรับเอาความผิดบาปทั้งสิ้นของเราไป : ทั้งในอดีต ปัจจุบัน และอนาคต แน่นอนเป็นความจริง แต่นี่ไม่ใช่เป็นใบเบิกทางให้เราทำบาป เราอย่าเอาพระคุณพระ เจ้ามาใช้อ้างเพื่อกระทำบาป (ดูโรม 5:18—6:11; ยูดา 1:4) การอ้างสิทธิในพระคุณ พระเจ้า และจงใจทำบาป โดยหวังจะได้รับการอภัยทีหลัง น่าจะเป็นความบาปที่เลวร้าย ที่สุด (ดูฮีบรู 10: 26-31)

บทเรียนตอนนี้เตือนเราถึงอันตรายในความซับซ้อนของบาป เรามองเห็นว่าคนอื่นๆทำ บาปที่ชั่วร้ายที่สุด แตมองไม่ค่อยเห็นบาปของเรา เช่นเราโกหก "เล็กน้อย" เพื่อช่วย ผู้อื่น ในคริสตจักรของเรา เราเป็นพวกไม่ดื่มเหล้า ไม่สูบบุหรี่ ไม่ไปเต้นรำ จึงเป็นฝ่าย ตรงข้ามกับพวกที่ทำ เป็นการง่ายสำหรับคริสเตียนที่จะประนามพวกเกย์ หรือพวกทำ ผิดศีลธรรม เพราะเป็นความบาปที่พวกเราๆไม่มีวันทำ ผมอยากเตือนว่าการไม่ทำตาม คำสั่งของพระเจ้านับเป็นความบาปที่ร้ายแรงมาก การรู้ในสิ่งที่พระเจ้าสั่งให้ทำ (หรือสั่ง ห้ามไม่ให้ทำ) และยังฝ่าฝืน ก็คือการจงใจกบฎต่อพระเจ้า ไม่ว่าจะนมัสการอย่างถูก ต้องแค่ไหน ไม่ว่าจะทำงานรับใช้มากมายน่ายกย่อง ก็ไม่สามารถลบล้างความชั่วร้าย ของบาปนี้ไปได้

เมื่อมองความบาปของซาอูลในบทเรียนนี้ มีบทเรียนมีค่ามากมายที่สอนเราถึงเรื่อง การเป็นผู้นำด้านจิตวิญญาณ การเป็นผู้นำด้านจิตวิญญาณไม่ได้หมายถึงการให้ในสิ่ง ที่ผู้อื่นต้องการมากเท่ากับการทำตามสิ่งที่พระเจ้าต้องการ ผู้นำด้านจิตวิญญาณต้อง เป็นผู้ดำเนินตามพระเจ้าก่อนสิ่งอื่นใด ซาอูลได้รับเลือกให้เป็นกษัตริย์ของอิสราเอล หน้าที่ของท่านคือต้องเรียนรู้พระบัญญัติของพระเจ้า ปฏิบัติตามและนำให้ทั้งประเทศทำ ตามด้วย คำพูดที่ซาอูลพูดว่าประชาชนกดดันท่านให้ทำผิดนั้นอาจมีส่วนจริง เพราะ ซาอูลล้มเหลวในการนำประชาชนให้ติดสนิทกับพระเจ้า หน้าที่ของท่านไม่ใช่เพื่อเอา ใจประชาชน แต่เพื่อทำตามน้ำพระทัย ในสมัยของเรา เมื่อมีการเลือกผู้นำ เรามักเลือก โดยดูว่าผู้นั้นสนองความต้องการเราได้มากน้อยเพียงใด สิ่งนี้ไม่ใช่บทพิสูจน์ของการ เป็นผู้นำฝ่ายจิตวิญญาณ แต่การพิสูจน์ต้องดูว่า บุคคลผู้นั้นทำตามน้ำพระทัยโดยการ เชื่อฟังพระคำ และการท้าทายให้ผู้อื่นทำตามในสิ่งที่เขาทำได้ด้วย ผมไม่ได้ต้องการ วิจารณ์ผู้มีอำนาจเป็นผู้นำท่านใดที่ชอบอ้างว่าพูดในพระนามพระเจ้า ผมพูดถึงผู้นำที่ ทำหน้าที่โดยยึดเอาพระคำเป็นพื้นฐานในการทำงาน และสามารถพิสูจน์ความเป็นผู้นำ ได้โดยใช้พระวจนะคำเป็นมาตรฐาน

บทเรียนนี้จำเป็นสำหรับเรามากกว่าที่เราคิด การไม่เชื่อฟังพระเจ้าไม่เพียงแต่เป็นบาป ที่ร้ายแรงที่สุดแล้ว การเชื่อฟังครึ่งๆกลางๆยังร้ายแรงที่สุดพอๆกันด้วย ซาอูลสอนเราว่า การเชื่อฟังพระเจ้าอย่างไม่ครบถ้วนนั้น ที่จริงแล้วก็คือการไม่เชื่อฟังนั่นเอง เราทั้ง หลายก็คล้ายกับซาอูล บางทีเราเอื้อประโยชน์ให้ตนเองโดยใช้ความสงสัย ถ้าเราพยา ยามเชื่อฟังคำสั่งพระเจ้าให้ได้ครบถ้วน พระองค์จะไม่ประเมินเราแบบที่เราคิด การ ปรนนิบัติพระเจ้าไม่ใช่เป็นการวัดรอยเกือกม้า โดยยิ่งใกล้เส้นชัยยิ่งทำคะแนน ความ บาปคือการไปไม่ถึงเส้นชัย ไม่ว่าคุณไปจนเกือบถึงแล้วก็ตาม

พระคัมภีร์กล่าวย้ำหลายหนว่า การเชื่อฟังครบถ้วนคือมาตรฐาน ไม่ใช่เชื่อฟังเพียงครึ่งๆ กลางๆ คำตรัสสุดท้ายขององค์พระผู้เป็นเจ้า หรือที่เรารู้จักกันดี "พระมหาบัญชา" มี ถ้อยคำนี้ :

20 "สอนเขาให้ถือรักษาสิ่งสารพัด ซึ่งเราได้สั่ง พวกเจ้าไว้ นี่แหละเราจะอยู่กับเจ้าทั้งหลายเสมอ ไปจนกว่าจะสิ้นยุค"
(มัทธิว 28:28)

เป็นเรื่องน่าทึ่งนะครับ ที่เราละเลยคำสั่งพระเจ้าหลายข้อเพราะคิดว่าไม่เหมาะสมสำหรับ นำมาใช้ในยุคสมัยนี้ นี่นับเป็นอีกรูปแบบหนึ่ง ของการเชื่อฟังแบบครึ่งๆกลางๆ ใช่หรือ ไม่ ? เราควรนำคำถามนี้มาพิจารณาดูให้ดีๆนะครับ

คริสเตียนบางคนเรียกการดิ้นรนพยายามทำตามคำสั่งของพระเจ้าอย่างครบถ้วนว่าเป็น การเคร่งศาสนา เคร่งศาสนาไม่ได้หมายถึงการทำตามมาตรฐานที่สูงของพระคัมภีร์ แต่หมายถึงการเห็นมาตรฐานของพระคัมภีร์ต่ำเกินไป จึงเพิ่มเติมสิ่งที่ตนเองต้องการ เข้าไปรวมกับพระคำพระเจ้า เคร่งศาสนาทำเกินกว่าคำสั่งของพระเจ้า คริสเตียนที่ ดำเนินชีวิตตามพระคัมภีร์ ไม่ควรประเมินมาตรฐานพระบัญญัติให้ผิดไปจากความเป็น จริง

เราไม่เคยทำตามคำสั่งในพระคัมภีร์ได้อย่างครบถ้วน พวกฟาริสีและพวกธรรมาจารย์ โง่ที่คิดว่าพวกเขาทำได้ พวกเขาคิดผิด ยังจำสิ่งที่พระเจ้าตรัสไว้ในเรื่องการเชื่อฟัง ได้หรือเปล่า :

20 "เพราะเราบอกท่านทั้งหลายว่า ถ้าความชอบ ธรรมของท่าน ไม่ยิ่งกว่าความชอบธรรมของพวก ธรรมาจารย์ และพวกฟาริสี ท่านจะไม่มีวันได้เข้า สู่แผ่นดินสวรรค์"
(มัทธิว 5:20)

ไม่มีใครสามารถทำตามคำสั่งพระเจ้าได้อย่างครบถ้วน ทั้งๆที่ดูเหมือนว่าเราทำได้ ทัศนคติและแรงจูงใจของเราในการทำนั้นไม่เคยเป็นได้อย่างที่ควร "ความชอบธรรม" ของเรานั้นบ่อยครั้งคือ "ความดีของเราเอง" และการงานของเราคือเพื่อ "สนองความ ต้องการ" ของเรา

ในความเป็นจริง มีเพียงผู้เดียวเท่านั้นที่เชื่อฟังได้อย่างครบถ้วน และเราสมควรขอบพระ คุณพระเจ้าสำหรับท่านผู้นั้น องค์พระเยซูคริสต์

18 "เมื่อผู้นั้นนั่งบัลลังก์ในราชอาณาจักรก็ให้ผู้นั้น คัดลอกกฎหมายนี้ไว้ในหนังสือเพื่อประโยชน์แก่ ตนเองจากหนังสือ ที่ปุโรหิตคนเลวีรักษาอยู่นั้น 19 ให้กฎหมายนั้นอยู่กับผู้นั้น และให้เขาอ่านอยู่ เสมอตลอดชีวิตของตน เพื่อเขาจะได้เรียนรู้ที่จะ ยำเกรงพระเยโฮวาห์ พระเจ้าของเขา โดยรักษา ถ้อยคำในกฎหมายนี้ และกฎเกณฑ์เหล่านี้และ กระทำตาม 20 เพื่อว่าจิตใจของเขาจะมิได้พอง ขึ้นสูงกว่าพี่น้องของตน และเพื่อเขาเองจะมิได้ หันเหจากพระบัญญัติไปทางขวามือหรือทางซ้าย มือ เพื่อเขาจะได้ปกครองราชอาณาจักรของเขา อยู่ได้นาน ทั้งตนเองและลูกหลานของตนในอิสรา เอล"
(เฉลยธรรมบัญญัติ 17:18-20)

8 "ข้าแต่พระเจ้าของข้าพระองค์ ข้าพระองค์ปิติยินดี ที่กระทำตามน้ำพระทัยพระองค์ พระธรรมของพระ องค์อยู่ในจิตใจของข้าพระองค์"
(สดุดี 40:8)

ในเมื่อกษัตริย์ของพระเจ้าต้องเชื่อฟังคำสั่งของพระองค์ ไม่มีกษัตริย์องค์ใดในพระคัม ภีร์เดิม รวมทั้งดาวิด เข้าไปถึงมาตรฐานแห่งการเชื่อฟังที่สมบูรณ์นี้ได้ มีเพียงพระเยซู คริสต์ องค์พระเมสซิยาห์ของพระผู้เป็นเจ้าเท่านั้น ที่สามารถอ้างสิทธิในการทำตาม พระประสงค์ของพระเจ้าได้อย่างสมบูรณ์ และการเชื่อฟังนี้ทำให้คนที่ไม่สมควรเช่นคุณ และผมได้รับความรอด :

5 ท่านจงมีน้ำใจต่อกันเหมือนอย่างที่มีในพระเยซู คริสต์ 6 ผู้ทรงสภาพของพระเจ้า แต่มิได้ทรงถือว่า การเท่าเทียมกับพระเจ้านั้นเป็นสิ่งที่จะต้องยึดถือ 7 แต่ได้กลับทรงสละ และทรงรับสภาพทาส ทรงถือ กำเนิดเป็นมนุษย์ 8 และเมื่อทรงปรากฎพระองค์ใน สภาพมนุษย์แล้ว พระองค์ก็ทรงถ่อมพระองค์ลงยอม เชื่อฟังจนถึงความมรณา กระทั่งความมรณาที่กางเขน
(ฟิลิปปี 2:5-8)

4 เพราะเลือดโคผู้และเลือดแพะไม่สามารถชำระ บาปให้หมดสิ้นไปได้ 5 ดังนั้น เมื่อพระคริสต์เสด็จ เข้ามาในโลกแล้ว พระองค์ได้ตรัสว่า "เครื่องสัตว บูชา และเครื่องบูชาอื่นๆ พระองค์ไม่ทรงประสงค์ แต่พระองค์ได้ทรงจัดเตรียมกายสำหรับข้าพระองค์ 6 เครื่องเผาบูชาและเครื่องบูชาลบบาปนั้น พระองค์ ไม่ทรงพอพระทัย 7 แล้วข้าพระองค์ทูลว่า 'ข้าแต่พระ เจ้า ข้าพระองค์มาแล้วพระเจ้าข้า จะกระทำตามน้ำ พระทัยพระองค์' ตามที่มีเรื่องข้าพระองค์เขียนไว้ใน หนังสือม้วน" 8 เมื่อพระองค์ตรัสดังนี้แล้วว่า "เครื่อง สัตวบูชาและเครื่องบูชาอื่นๆ และเครื่องเผาบูชา และเครื่องบูชาลบบาป (ที่เขาได้บูชาตามพระบัญญัติ นั้น) พระองค์ไม่ทรงประสงค์และไม่ทรงพอพระทัย" 9 แล้วพระองค์จึงตรัสว่า "ข้าพระองค์มาแล้วพระเจ้าข้า เพื่อจะกระทำตามน้ำพระทัยพระองค์" พระองค์ทรงยก เลิกระบบเดิมนั้นเสีย เพื่อจะทรงตั้งระบบใหม่
(ฮีบรู 10:4-9).

อ.เปาโลรวบรวมเรื่องนี้ไว้ด้วยคำพูดที่ว่า :

เพราะว่าคนเป็นอันมากเป็นคนบาป เพราะคน คนเดียวที่มิได้เชื่อฟังฉันใด คนเป็นอันมากก็เป็น คนชอบธรรม เพราะพระองค์ผู้เดียวที่ได้ทรงเชื่อ ฟังฉันนั้น
(โรม 5:19).

เป็นเพราะความบาป การไม่เชื่อฟังของอาดัม ที่ทำให้มวลมนุษยชาติจมดิ่งลงไปใน ความบาป เป็นเพราะการเชื่อฟังขององค์พระเยซูคริสต์ของเรา ทำให้เรามีหนทางแห่ง ความรอด เราต้องลบความคิดที่ว่าเรารอดได้เพราะตัวเราเอง แต่ให้มีความคิดว่าการ งานของเราเป็นเพียงเสื้อผ้าที่สกปรก (อิสยาห์ 64:6) เราต้องยึดเอาความชอบธรรม ขององค์พระเยซูคริสต์ ผู้ยอมตายบนไม้กางเขน รับเอาการลงโทษทันฑ์ทั้งสิ้นในความ บาปของเราไป และพระองค์ทรงฟื้นขึ้นมาจากความตาย ประกาศให้เราเป็นผู้ชอบธรรม ให้เรามีชัยเหนือความบาปและความตาย พระองค์ทรงเป็นความหวังและความรอด ของเรา


55 R. Laird Harris, Gleason L. Archer, Jr., Bruce K. Waltke, Theological Wordbook of the Old Testament (Chicago: Moody Press, 1980), p. 571 (หนังสือที่ใช้อ้างอิง)

56 ดูสดุดี 40:6-8; 51:16-17; อิสยาห์ 1:11-15; เยเรมีห์ 7:21-26; โฮเชยา 6:6; อาโมส 4:4-5; 5:21-24; มัทธิว 9:13; 12:7; ฮีบรู 10:4-10.

57 ให้ดูคำว่า "ต่อพระพักตร์พระเจ้า" ในข้อ 33.

Related Topics: Introductions, Arguments, Outlines

บทที่ 12: ดาวิดรับการเจิมเป็นกษัตริย์ (1 ซามูเอล 16:1-23)

คำนำ

ผมยังจำได้ถึงวันแรกที่เข้าทำงานในบริษัทขายส่งเนื้อได้ ที่จริงเป็นงานที่พี่เขยทำอยู่ ผมตกปากรับคำจะไปทำแทนให้ตอนที่เขาไปฝึกเป็นครูอยู่หนึ่งเทอม วันแรกที่ไปทำ น ผมตามเขาไปส่งเนื้อยังที่ต่างๆ บางแห่งเป็นภัตตาคารขายเสต็คชั้นหนึ่ง บางแห่งก็เป็น เหมือนเพิงข้างถนนที่ขายอาหารแปลกๆเช่น "หางหมูต้มถั่ว" ชามละไม่กี่บาท ผมยังจำ กลิ่นแปลกๆที่ติดจมูกมาจากร้านพวกนี้ได้

ตอนนั้นผมคิดว่าต้องแต่งตัวดีๆเพราะเป็นวันแรกที่เข้าทำงาน ผมใส่สูทไปครับ ผมจะไม่ มีวันทำผิดแบบนี้อีก เมื่อเราไปถึงร้านหนึ่งในแถบร้านอาหารเพิงพวกนี้ เราไม่ได้เข้าไป ด้านหน้าหรอกครับ ; เราต้องไปที่ครัวด้านหลัง ร้านแรกที่เข้าไป ผู้คนที่นั่นทักทายด้วย ความตกใจสุดขีด ทุกคนเผ่นหนีไปเหมือนพวกแมลงสาบทันทีที่เห็นแสงไฟ

ผมไม่เข้าใจ แต่พี่เขยผมพอรู้ เขาบอกว่า "เป็นเพราะสูทที่เธอใส่มา คนเลยคิดว่าเธอ มาจากกระทรวงสาธารณสุข" ผมดูดีเกินไป ผมดูเหมือนเจ้าหน้าที่ของกระทรวง มิน่า ผู้คนถึงตกใจแตกตื่นกันไปหมด นับเป็นครั้งสุดท้ายที่ผมใส่สูทไปทำงาน และนับแต่วัน นั้นทุกคนก็กลับเป็นปกติสุขเหมือนเดิม รวมทั้งผมด้วย

พวกผู้ใหญ่ที่หมู่บ้านเบธเลเฮมมีปฏิกิริยาเหมือนกันในทันทีที่ซามูเอลมาถึง (ข้อ 4) "ท่านมาอย่างสันติหรือ?" พวกเขาถาม คุณว่าพวกเขากลัวอะไร ? ทำไมถึงกับหน้า ซีด ปากคอสั่น เหงื่อตก ? พวกเขากลัวซามูเอลทำไม ? ทำไมท่านผู้เผยพระวจนะถึง กับต้องออกนอกเส้นทางมาหาชนเผ่านี้ และในสถานที่ที่แสนจะต่ำต้อยเช่นนี้ ? ต้องมี สาเหตุบางประการ และการมาของท่านผู้เผยพระวจนะนี้เปรียบเหมือนการเสด็จมาของ องค์พระผู้เป็นเจ้า บางทีอาจเป็นเพราะพวกเขายำเกรงพระเจ้าด้วยใจจริง หรือไม่ใช่ หรืออาจจะกลัวซาอูล เพราะซามูเอลประกาศให้ทราบทั่วว่าพระเจ้าไม่ทรงพอพระทัย ต่อการกระทำของซาอูล :

13 และซามูเอลกล่าวแก่ซาอูลว่า "ท่านได้กระทำการ ที่โง่เขลาเสียแล้ว ท่านมิได้รักษาพระบัญชาแห่งพระเย โฮวาห์พระเจ้าของท่าน ซึ่งพระองค์ทรงบัญชาท่านไว้ เพราะพระเจ้าจะได้ทรงสถาปนาราชอาณาจักรของท่าน เหนืออิสราเอลเป็นนิตย์แล้ว 14 แต่บัดนี้ราชอาณาจักร ของท่านจะไม่ยั่งยืน พระเจ้าทรงหาชายอีกคนหนึ่งตาม ชอบพระทัยพระองค์แล้ว และพระเจ้าทรงแต่งตั้งชายผู้ นั้นให้เป็นเจ้านายเหนือชนชาติของพระองค์ เพราะท่าน มิได้รักษาสิ่งซึ่งพระเจ้าทรงบัญชาท่านไว้"
(1 ซามูเอล 13:13-14).

22 และซามูเอลกล่าวว่า "พระเจ้าทรงพอพระทัยในเครื่อง เผาบูชาและเครื่องสัตวบูชามาก เท่ากับการที่จะเชื่อฟังพระ สุรเสียงของพระองค์หรือ ดูเถิด ที่จะเชื่อฟังก็ดีกว่าเครื่อง สัตวบูชา และซึ่งจะสดับฟังก็ดีกว่าไขมันของบรรดาแกะผู้ 23 เพราะการกบฏก็เป็นเหมือนบาป แห่งการถือฤกษ์ถือยาม และความดื้อดึงก็เป็นเหมือนบาปชั่วและการไหว้รูปเคารพ เพราะเหตุที่ท่านทอดทิ้งพระวจนะของพระเจ้า พระองค์ จึงทรงถอดท่านออกจากตำแหน่งกษัตริย์" 24 และซาอูล เรียนซามูเอลว่า "ข้าพเจ้าได้กระทำบาปแล้ว เพราะข้าพเจ้า ได้ฝ่าฝืนพระธรรมบัญญัติของพระเจ้าและคำของท่าน เพราะ ข้าพเจ้าเกรงกลัวประชาชน และยอมฟังเสียงของเขาทั้งหลาย 25 เพราะฉะนั้นขอท่านโปรดอภัยบาปของข้าพเจ้าและขอกลับ ไปกับข้าพเจ้าเพื่อข้าพเจ้าจะได้นมัสการพระเจ้า" 26 และ ซามูเอลเรียนซาอูลว่า "ข้าพเจ้าจะไม่กลับไปกับท่านเพราะ ท่านทอดทิ้งพระวจนะของพระเจ้า และพระเจ้าทรงถอดท่าน จากเป็นกษัตริย์เหนืออิสราเอล" 27 พอซามูเอลหันจะไป ซาอูลก็ได้ยึดชายเสื้อของท่านไว้และเสื้อนั้นก็ขาด 28 และ ซามูเอลเรียนท่านว่า "ในวันนี้พระเจ้าได้ทรงฉีกราช อาณาจักร อิสราเอลเสียจากท่านแล้ว และทรงมอบให้แก่ผู้อื่นที่ดีกว่าท่าน

29 และผู้ทรงเป็นกำลังของอิสราเอลจะ ไม่มุสาหรือกลับใจ เพราะว่าพระองค์หาใช่มนุษย์ที่จะกลับใจไม่"
(1 ซามูเอล 15:22-29)

ถ้าพระเจ้าปฏิเสธซาอูลในฐานะกษัตริย์อิสราเอล ก็แปลว่าพระองค์กำลังมองหาคนใหม่ มาแทนที่ และแน่นอนซามูเอลต้องทำหน้าที่นี้ ซามูเอลกลัวซาอูล กลัวว่าซาอูลจะมา ฆ่า (16:2) ถ้าซามูเอลกลัวถูกซาอูลฆ่า เป็นไปได้ไหมว่าประชาชนก็กลัวถูกฆ่าด้วยถ้า ไปเข้าข้างซามูเอล ? เพราะว่าซาอูลยังฆ่าอาหิเมเลคและบรรดาปุโรหิตที่เมืองโนบได้ เพียงเพราะปันอาหารให้ดาวิด (ดู 1 ซามูเอล 22) ชาวเบธเลเฮมมีเหตุผลพอที่จะกลัว ซาอูล -- และใครก็ตามที่อยู่ฝ่ายตรงข้ามกับซาอูล

พวกผู้ใหญ่ของเบธเลเฮมคงจะถอนใจอย่างโล่งอก เมื่อรู้ว่าซามูเอลมาแค่ทำการถวาย บูชา และพวกเขาได้รับเชิญให้มาร่วมรับประทานอาหารด้วย แน่นอนไม่มีใครทราบเรื่อง ทั้งหมด ซึ่งเป็นเรื่องที่เราจะเรียนต่อไปในบทนี้ มีเรื่องให้เราเรียนรู้มากมายในบทนี้ มี การพูดถึงการเจิมตั้งดาวิดขึ้นเป็นกษัตริย์ของอิสราเอล ผู้ที่จะมาแทนที่ซาอูล

คำสั่งสำหรับซามูเอล

(16:1-3)

1 พระเจ้าตรัสกับซามูเอลว่า "เจ้าจะเป็นทุกข์เรื่องซาอูล นานเท่าใดเล่า เมื่อเราถอดเขาจากเป็นกษัตริย์เหนืออิส ราเอลแล้ว จงเติมน้ำมันให้เต็มเขาสัตว์ของเจ้า แล้วก็ไป เถอะ เราจะใช้เจ้าไปหาเจสซีชาวเบธเลเฮม เพราะว่าใน หมู่พวกบุตรของเขาเราจัดเตรียมกษัตริย์องค์หนึ่งไว้แล้ว สำหรับเรา" 2 ซามูเอลก็กราบทูลว่า "ข้าพระองค์จะไป อย่างไรได้ ถ้าซาอูลได้ยินเขาคงฆ่าข้าพระองค์เสีย" และ พระเจ้าตรัสว่า "จงนำโคตัวเมียไปกับเจ้าตัวหนึ่งและกล่าว ว่า 'ข้าพเจ้ามาถวายสัตวบูชาแด่พระเจ้า' 3 จงเชิญเจสซีมา ที่การถวายสัตวบูชานั้น แล้วเราจะสำแดงให้เจ้ารู้ว่าเจ้าควร จะกระทำประการใด เจ้าจงเจิมให้เราผู้ซึ่งเราจะบอกชื่อแก่ เจ้า"

ซามูเอลนั้นน่ายกย่องที่ท่านยังสัตย์ซื่อต่อซาอูล เมื่อซาอูลฝ่าฝืนคำสั่งพระเจ้าในบทที่ 15 ซามูเอลโศกเศร้าเสียใจ คร่ำครวญกับพระเจ้าทั้งคืน (15:11) ท่านโศกเศร้าเพราะ พระเจ้าเสียพระทัยที่เลือกซาอูลให้เป็นกษัตริย์ ซามูเอลพยายามเข้าไปเฝ้าพระเจ้าและ แก้ใขแทนซาอูล ปฏิกิริยาที่ซาอูลตอบสนองต่อการดุว่าของซามูเอลคงเรียกไม่ได้ว่า เป็นการกลับใจ ยิ่งทำให้ซามูเอลโศกเศร้าหนักขึ้นไปอีก :

35 และซามูเอลไม่มาพบซาอูลอีกจนวันสิ้นชีพ แต่ซามูเอลได้โศกเศร้าเพราะซาอูล และพระเจ้า ทรงกลับพระทัยที่ได้ทรงกระทำให้ซาอูลเป็น กษัตริย์เหนืออิสราเอล
(1 ซามูเอล 15:35)

ดูเหมือนซามูเอลยังไม่หมดหวังในตัวซาอูล ท่านคงไม่อยากไปเลือกคนใหม่มาแทนที่ เพราะจะกลายเป็นว่าท่านเป็นคนตอกตะปูฝาโลงตัวสุดท้ายให้กับอาชีพการเมืองของ ซาอูล คำถามที่พระเจ้าถามซามูเอลจึงเหมือนดุอยู่กลายๆ ซามูเอลจะโศกเศร้ากับคน ที่พระเจ้าปฏิเสธไปอีกนานเท่าใด ? ซามูเอลจะคิดต่างพระเจ้าไปอีกนานไหม ? พระเจ้า ปฏิเสธซาอูลไปแล้ว และถึงเวลาที่ซามูเอลต้องทำตามเสียที ซามูเอลต้องเติมเขาสัตว์ ของท่านด้วยน้ำมัน และไปพบเจสซีชาวเบธเลเฮม ซึ่งบุตรคนหนึ่งของท่านเป็นคนที่ พระเจ้าจะเจิมตั้งให้เป็นกษัตริย์ของอิสราเอลแทนซาอูล

ในข้อ 2 ซามูเอลยังรีรอต่อไป ท่านรีรอเพราะกลัวอันตรายที่จะต้องไปเผชิญ ท่านตอบ พระเจ้าว่าถ้าซาอูลได้ยินเรื่องการเจิมตั้งกษัตริย์องค์ใหม่ ซาอูลต้องมาฆ่าท่านแน่ๆ ฟัง ดูออกจะน่ากลัวนะครับ เพราะอย่าลืมว่าซาอูลไม่รั้งรอที่จะฆ่าคนอามาเลขให้สิ้นซาก (บทที่ 15) ท่านไม่รั้งรอแม้กระทั่งจะฆ่าบุตรของท่านเอง (บทที่ 14) เช่นเดียวกับเฮโรด ที่เกิดหลายศตวรรษหลังจากนั้น เป็นผู้ที่ไม่รู้สึกสะดุ้งสะเทือนที่จะฆ่าใครก็ได้ที่มีแนว โน้มจะมาแย่งชิงบัลลังก์ หรือพร้อมจะฆ่าใครก็ได้ที่สนับสนุนกษัตริย์ฝ่ายศัตรู (ดูบทที่ 21 และ 22) สาเหตุความกลัวของซามูเอลก็เป็นที่น่าเห็นใจ

พระเจ้ามีทางออกให้กับซามูเอล ซามูเอลต้องนำโคตัวเมียไปด้วย และบอกกับผู้คนที่ เบธเลเฮมว่าจะมาทำการถวายบูชาแด่พระเจ้า ท่านต้องเชิญเจสซีให้มารับประทานอา หารที่ถวายบูชานี้ด้วยกัน และจะเป็นโอกาสให้ท่านได้ทำการเจิมตั้งบุตรคนหนึ่งของ เจสซีขึ้นเป็นกษัตริย์ ไม่มีการบอกว่าเป็นบุตรคนใหน เพียงแต่บอกว่าเป็นหนึ่งในบุตร ของเจสซี การรับประทานอาหารในครั้งนี้เกือบเหมือนกับมื้อที่ซาอูลและคนใช้ได้รับ เชิญมาร่วม (ดูบทที่ 9 และ 10)

บางคนมีปัญหากับคำสั่งที่พระเจ้าสั่งซามูเอลในครั้งนี้ พระเจ้ากำลังให้ซามูเอลหลอก ซาอูลและชาวเบธเลเฮมหรือ ? เป็นความจริงที่พระเจ้าไม่ได้ให้บอกทุกเรื่อง กับบรรดาผู้ ใหญ่ของเบธเลเฮมในสิ่งที่พระองค์ทรงใช้ซามูเอลให้กระทำ แต่สิ่งที่พระองค์สั่งให้ทำ นั้นเป็นความจริง ซามูเอลมาถวายบูชาแด่พระเจ้า พระเจ้าทรงมีแผนการมากมายที่จัด เตรียมไว้ให้เรา แต่ไม่ทรงเปิดเผยทั้งหมด นับเป็นสิ่งที่สมควร ความมหัศจรรย์คือพระ องค์ทรงเปิดเผยในสิ่งที่พระองค์กำลังจะทำให้เราได้รับรู้ (ดู ยอห์น 15:15).

เมื่อซามูเอลมาถึง
การรับประทานอาหาร และการเลือกดาวิด
(16:4-13)

4 ซามูเอลก็กระทำตามที่พระเจ้าทรงบัญชา และมาที่ เบธเลเฮมพวกผู้ใหญ่ของเมืองนั้นก็ตัวสั่นออกมาหาท่าน กล่าวว่า "ท่านมาอย่างสันติหรือ" 5 และซามูเอลตอบว่า "มาอย่างสันติ เรามาถวายสัตวบูชาแด่พระเจ้า จงชำระตัว ของท่านให้บริสุทธิ์และขอเชิญมาที่การถวายสัตวบูชากับเรา" และซามูเอลก็ชำระตัวเจสซีและบุตรทั้งหลายของท่านให้ บริสุทธิ์ และเชิญเขาเหล่านั้นให้ไปยังการถวายสัตวบูชา 6 อยู่มาเมื่อเขาทั้งหลายมาแล้ว ท่านก็มองเห็นเอลีอับจึงคิดว่า "ผู้ที่พระองค์ทรงให้เจิมไว้ก็อยู่ต่อพระพักตร์พระเจ้าแน่แล้ว" 7 แต่พระเจ้าตรัสกับซามูเอลว่า "อย่ามองดูที่รูปร่างภายนอก หรือที่ความสูงแห่งร่างกายของเขา ด้วยเราไม่ยอมรับเขา เพราะพระเจ้าทอดพระเนตรไม่เหมือนกับที่มนุษย์ดู มนุษย์ดู ที่รูปร่างภายนอกแต่พระเจ้าทอดพระเนตรจิตใจ" 8 แล้วเจสซี ก็เรียกอาบีนาดับให้เดินผ่านหน้าซามูเอล ท่านกล่าวว่า "พระเจ้า มิได้ทรงเลือกผู้นี้" 9 แล้วเจสซีให้ชัมมาห์เดินผ่านไป และท่าน ก็กล่าวว่า "พระเจ้ามิได้ทรงเลือกผู้นี้" 10 แล้วเจสซีให้บุตรทั้ง เจ็ดคนเดินผ่านหน้าซามูเอล และซามูเอลบอกกับเจสซีว่า "พระเจ้า มิได้ทรงเลือกคนเหล่านี้" 11 แล้วซามูเอลกล่าวแก่เจสซีว่า "บุตรชาย ของท่านอยู่ที่นี่หมดแล้วหรือ" เจสซีตอบว่า "ยังมีคนสุดท้องอีก คนหนึ่ง ดูเถิด เขากำลังเลี้ยงแกะอยู่" และซามูเอลกล่าวแก่เจสซีว่า "จงใช้คนไปตามเขามา เพราะเราจะไม่ยอมนั่งจนกว่าเขาจะมาที่นี่" 12 เจสซีก็ใช้คนไปนำเขามา ฝ่ายเขาเป็นคนผิวแดงๆ มีหน้าตาสวย และรูปร่างงามน่าดู และพระเจ้าตรัสว่า "จงลุกขึ้นเจิมตั้งเขาไว้เพราะ เป็นคนนี้แหละ" 13 ซามูเอลจึงนำขวดเขาน้ำมันและเจิมตั้งเขาไว้ท่าม กลางพี่ชายของเขา และพระวิญญาณของพระเจ้าก็สวมทับดาวิด อย่าง มากตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นไป และซามูเอลก็ลุกขึ้นกลับไปยังรามาห์ พวกผู้ใหญ่ของเบธเลเฮมตกใจหน้าซีดเมื่อซามูเอลมาถึง พวกเขากลัวว่าท่านไม่ได้มา อย่างสันติ แต่คำพูดของซามูเอลทำให้พวกเขาคลายความกลัว ท่านมาเพื่อถวายสัตว บูชา และเชิญพวกเขาให้มาร่วมด้วย พวกเขาต้องชำระตัวให้บริสุทธิ์และมาร่วมพิธีถวาย บูชานี้ด้วยกัน นอกจากนั้น ซามูเอลยังชำระตัวเจสซีและบุตรด้วยในฐานะแขกรับเชิญ58

ตอนเลือกซาอูลหลายปีก่อนหน้านี้ เป็นเรื่องไม่ยากสำหรับซามูเอล พระเจ้าแจ้งให้ท่าน ทราบล่วงหน้าว่าผู้ที่จะมาเป็นกษัตริย์จะมาถึงในวันรุ่งขึ้น พระเจ้าตรัสชัดเจนว่าผู้ใดคือผู้ ที่พระองค์ทรงเลือก (9:15-17) ในกรณีของผู้ที่จะมาแทนซาอูล ซามูเอลรู้ว่าเป็นบุตร ของใครและพักอยู่ที่ใด แต่ไม่ทราบว่าเป็นบุตรคนใดของเจสซี ซามูเอลต้องมีบันทัด ฐานในการเลือกกษัตริย์องค์ใหม่เอง บางอย่างน่าจะมาจากการที่เคยเลือกซาอูลมา ก่อน โดยตั้งอยู่บนพื้นฐานของกษัตริย์ในสมัยนั้น และในสมัยเราด้วยเช่นกัน

บันทัดฐานที่ว่านี้คือสิ่งใด ? แรก ใครๆก็คิดว่าบุตรหัวปีน่าจะเป็นผู้ได้รับเลือกให้เป็น กษัตริย์ เพราะบุตรหัวปีจะได้ส่วนแบ่งมรดกของบิดาเป็นสองเ่ท่า การเป็นหัวหน้า ครอบครัวจะถูกส่งให้กับบุตรหัวปี คนที่อายุมากที่สุดควรจะมีความเป็นผู้ใหญ่มากกว่า มีประสพการณ์มากกว่า และฉลาดที่สุดในครอบครัว ใครจะไปคาดคิดว่าพระเจ้าจะ ทรงเลือกบุตรคนสุดท้อง? นอกจากนั้น ถ้านับจากอายุแล้ว ซามูเอลคาดว่าคนที่จะ มาเป็นกษัตริย์ต้องมีลักษณะเด่นที่เห็นได้ชัด มีการวิจัยค้นคว้าว่าตำแหน่งใหญ่ตาม บริษัทต่างๆมักจะมีลักษณะ "สูง คล้ำ และรูปหล่อ" ซามูเอลก็คิดว่าน่าจะเป็นเช่นนั้น ซึ่งเป็นบุคคลิคเดียวกับซาอูล (ดู 9:2)

เจสซีและบุตรทั้งเจ็ดรู้ว่าซามูเอลมาเพื่อจะทำสิ่งใด ดูคล้ายๆกับมาตามหาซินเดอเรลล่า เจสซีและบุตรคงต้องรู้สึกประหม่าที่รู้ว่าคนใดคนหนึ่งในครอบครัวจะได้เป็นกษัตริย์ ดัง นั้นเจสซีและบุตรต้องมาเดินให้ซามูเอลดูทีละคน เริ่มจากคนโตสุด พระเจ้ารู้ดีว่าซามู เอลคิดอย่างไรเมื่อเห็นเอลีอับ บุตรคนโตของเจสซี เป็นชายที่สูงสง่า (ดูข้อ 7) แต่ พระองค์ตรัสกับซามูเอลว่า พระองค์ไม่ได้เลือกผู้นี้ให้มาเป็นกษัตริย์คนต่อไป พระองค์ บอกอีกด้วยว่า พระองค์ไม่ได้ยึดตามบันทัดฐานรูปกายภายนอกของมนุษย์ เจสซีจึง เรียกบุตรคนต่อไปมา อาบีนาดับ ซามูเอลก็ปฏิเสธอีก ต่อไปคือชัมมาและบุตรที่เหลือ อีกสี่คนของเจสซี แต่พระเจ้าไม้ได้ทรงเลือกผู้ใดในคนเหล่านี้ให้เป็นกษัตริย์เลย

แน่นอนซามูเอลต้องงงและสงสัยว่าทำไมมีปัญหา ดูเหมือนครอบครัวเจสซีไม่มีใครคิด ว่าดาวิดน่าจะเป็นกษัตริย์ ทุกคนลืมดาวิดไปสนิท จนกระทั่งซามูเอลถามเจสซีว่ายังมี บุตรหลงเหลืออยู่หรือไม่ ใช่ แน่นอนยังมีดาวิดอีกคน แต่เขาเป็นเพียงเด็กหนุ่ม -- หรือ อาจเรียกว่าเป็นเด็กอยู่ก็ได้ -- ยังไม่เป็นผู้ใหญ่ แล้วจะเป็นกษัตริย์องค์ใหม่ได้อย่างไร? เขาถูกส่งให้ไปทำงานของเด็ก – เฝ้าฝูงแกะ เวลาเดินทางไปต่างประเทศ ผมเองเคย เห็นบางประเทศให้ผู้หญิงหรือเด็กดูฝูงแกะฝูงเล็กๆ และนี่เป็นงานเดียวกับที่ดาวิดทำ แค่นี้ก็เพียงพอที่ไม่มีใครจะคิดถึงท่านในฐานะกษัตริย์องค์ใหม่ของอิสราเอล

สิ่งที่พระเจ้ามองดูคือจิตใจของดาวิด ซาอูลเป็นผู้ที่พระเจ้าต้องเปลี่ยนจิตใจท่าน :

9 เมื่อซาอูลหันหลังไปจะจากซามูเอล พระเจ้า ทรงประทานจิตใจอีกอย่างหนึ่งแก่ท่าน และหมาย สำคัญเหล่านี้ทั้งหมดเกิดขึ้นในวันนั้น
(1 ซามูเอล 10:9)

แต่จิตใจของซาอูลไม่ได้คงไว้ซึ่งความสัตย์ซื่อต่อพระเจ้า ท่านจึงถูกปลดออกไป และ แทนที่ด้วยคนแบบดาวิด ผู้ที่มีดวงใจเพื่อพระเจ้า พระเจ้าจึงตรัสกับซาอูลว่า

14 แต่บัดนี้ราชอาณาจักรของท่านจะไม่ยั่งยืน พระเจ้าทรงหาชายอีกคนหนึ่งตามชอบพระทัย พระองค์แล้ว และพระเจ้าทรงแต่งตั้งชายผู้นั้น ให้เป็นเจ้านายเหนือ ชนชาติของพระองค์ เพราะท่านมิได้รักษาสิ่งซึ่งพระเจ้าทรงบัญชา ท่านไว้"
(1 ซามูเอล 13:14)

ไม่มีใครตระหนักว่า พระเจ้าได้จัดเตรียมทุกสิ่งสำหรับให้ดาวิดขึ้นเป็นกษัตริย์ ดาวิด ได้รับการสวมทับโดยพระวิญญาณในทันทีเพื่อจะนำและเสริมสร้างท่าน ในการจัด เตรียมของพระเจ้า พระองค์วางแผนให้ดาวิดเข้าใกล้ซาอูลในฐานะผู้ถือเครื่องอาวุธ (16:21) เพื่อจะได้เรียนรู้ถึงกฎเกณฑ์ต่างๆในการปกครองของกษัตริย์ ดาวิดไม่ได้ถูก เลือกให้มาทำหน้าที่แทนซาอูลในทันที ก่อนอื่นท่านต้องมาอยู่ในฐานะผู้ฝึกงาน เพื่อ จะได้รับการปลูกฝังทั้งกายใจและจิตวิญญาณเพื่อปกครองดินแดนของท่านให้ยั่งยืนไป อีกหลายปี59

เจสซีให้คนไปตามดาวิดมา และถูกนำไปต่อหน้าซามูเอล ดาวิดเป็นคนหนุ่มหน้าตาดี ไม่ได้ขาดคุณสมบัติใดอย่างที่พวกพี่ๆมี ยกเว้นอายุและตำแหน่งบุตรหัวปี เราเห็นว่า พระเจ้าไม่ได้ให้ดาวิดดูด้อยในเรื่องหน้าตา แต่พระองค์ไม่ได้ทรงเลือกท่านเพราะเหตุนี้ ความหล่อเหลาของกษัตริย์ก็เหมือนความสวยของภรรยา – คือไม่ใช่เป็นพื้นฐานในการ เลื่อกคู่ แต่การเลือกสตรีที่สะท้อนพระลักษณะของพระเจ้า และถ้าเธอสวยด้วย ก็ไม่ได้ หมายความว่าเธอจะถูกมองข้ามไป (ดูสุภาษิต 31:30) คุณลักษณะของดาวิดเป็นที่ชอบ พอพระทัยพระเจ้า และเป็นพื้นฐานในการทรงเลือกมาทำงานให้พระองค์ รูปลักษณ์ภาย นอกของดาวิดก็เหมือนครีมหน้าขนมเค้ก ; สิ่งที่ดาวิดขาด พระวิญญาณจะทรงเติมให้ และทุกสิ่งพระเจ้าทรงเตรียมไว้ให้แล้วในแผนการของพระองค์

พระเจ้าบอกซามูเอลว่า ดาวิดเป็นผู้ที่พระองค์ทรงเลือกให้เป็นกษัตริย์อิสราเอล ซามูเอลจึงยืนขึ้นและทำการเจิมตั้งท่าน พระวิญญาณพระเจ้าสถิตอยู่กับดาวิด ครอบ ครองและเสริมสร้างท่านนับจากนั้นเป็นต้นมา60 ซามูเอลจึงเดินทางกลับไปบ้านท่าน ที่รามาห์

การเลือกดาวิดให้ไปรับใช้ซาอูล
(16:14-23)

14 ฝ่ายพระวิญญาณของพระเจ้าก็พรากจากซาอูล และวิญญาณชั่วจากพระเจ้าก็ทรมานซาอูล 15 และ พวกมหาดเล็กของซาอูลก็กราบทูลว่า "ดูเถิด วิญญาณชั่วจากพระเจ้ากำลังทรมานพระองค์อยู่ 16 ขอเจ้านายของข้าพระบาททั้งหลายจงบัญชา ผู้รับใช้ของฝ่าพระบาทผู้ที่อยู่ต่อพักตร์ฝ่าพระบาท ให้หาคนที่มีฝีมือในการดีดพิณ และเมื่อวิญญาณชั่ว จากพระเจ้าสิงฝ่าพระบาท ก็ให้เขาดีดพิณแล้วฝ่าพระ บาทจะหายดี" 17 ซาอูลก็รับสั่งผู้รับใช้ของพระองค์ว่า "จงไปหาชายคนหนึ่งที่ดีดพิณได้ดีมาให้เรา นำเขามา หาเรา" 18 คนหนึ่งในพวกชายหนุ่มทูลว่า "ดูเถิด ข้าพระบาทเห็นบุตรคนหนึ่งของเจสซีชาวเบธเลเฮม เป็นผู้มีฝีมือในการดีดพิณ เป็นคนกล้าหาญ เป็นนักรบ พูดเก่ง และเป็นคนมีหน้าตาดี และพระเจ้าทรงสถิตกับ เขา" 19 เพราะฉะนั้นซาอูลจึงส่งผู้สื่อสารไปยังเจสซี กล่าวว่า "จงให้ดาวิดบุตรของท่านผู้อยู่กับแกะนั้นมา หาเรา" 20 และเจสซีก็จัดลาตัวหนึ่งบรรทุกขนมปัง และถุงหนังใส่เหล้าองุ่นถุงหนึ่ง กับลูกแพะตัวหนึ่ง ฝากไปกับดาวิดบุตรของท่านให้ถวายซาอูล 21 ดาวิด ก็มาเฝ้าซาอูลและเข้ารับราชการ ซาอูลก็ทรงรักดาวิด มาก ดาวิดก็ได้เป็นคนถือเครื่องอาวุธของซาอูล 22 และซาอูลทรงส่งข่าวไปยังเจสซีว่า "จงอนุญาตให้ ดาวิดอยู่รับราชการกับเรา เพราะเขาเป็นที่พอตาพอใจ ของเรา" 23 อยู่มาเมื่อวิญญาณชั่วจากพระเจ้ามาสิง ซาอูลเมื่อไร ดาวิดก็หยิบพิณใช้มือดีดถวายซาอูลก็ ทรงชุ่มชื่นขึ้นและหายดี และวิญญาณชั่วก็พรากจาก พระองค์ไป

ในเรื่องเวลา นับเป็นเวลานานตั้งแต่การพยากรณ์เรื่องดาวิดได้รับเลือกเป็นกษัตริย์ จนถึงเวลาขึ้นครองราชย์จริง ถึงแม้ในแง่ความเป็นไปได้ เด็กหนุ่มอย่างดาวิดที่มาจาก ครอบครัวธรรมดาๆ จะขึ้นมาแทนที่กษัตริย์ขี้ระแวงที่กำลังครองราชย์อยูได้หรือ ? กษัตริย์ที่ไม่รีรอที่จะฆ่าคู่แข่งนี้หรือ ? คำตอบนี้ใช้ทั้งเวลาและเนื้อที่ในพระคัมภีร์พอสม ควร แต่ในข้อ 14-23 เราจะเห็นว่าพระเจ้าทรงจัดเตรียมในสิ่งที่พระองค์ตรัสผ่านผู้เผย พระวจนะอย่างไรให้เกิดขึ้นได้อย่างไร

จากพระคำข้อ 1-13 ดุเหมือนซาอูลไม่รู้เรื่องที่เกิดขึ้นแม้แต่น้อย ถ้าท่านเชื่อตามคำ ของซามูเอล (รู้สึกจะไม่ โดยเฉพาะเวลาผ่านไปและท่านก็ยังดำรงอยู่ในตำแหน่ง) ท่านถูกปลดไปแล้ว และพระเจ้าได้เลือกคนที่พระองค์พอพระทัยมาแทนที่ ซาอูลไม่ รู้ว่าซามูเอลได้เจิมตั้งดาวิดขึ้นมาแล้ว และพระวิญญาณที่เคยสถิตกับท่านก็ถูกพรากไป สถิตกับดาวิดแทน ที่ท่านพอรู้คือทุกสิ่งดูแตกต่างไปจากเดิม ท่านไม่ได้พบซามูเอลอีก (ดู 15:35) ท่านไม่รู้สึกถึงอำนาจและการสถิตอยู่ของพระวิญญาณอีกต่อไป ท่านกลับ ต้องเจอประสพการณ์ที่มีวิญญาณชั่วมาสิงแทน "วิญญาณชั่วจากพระเจ้า" ที่มา ทรมาณท่าน ทุกครั้งที่วิญญาณนี้มาสิงท่านรู้สึกเหมือนถูกสาปและผิดเพี้ยนไปจากเดิม

อย่างที่พวกเรานึกอยู่ มีการพูดถึงหลายๆทฤษฎีที่เกี่ยวกับ "วิญญาณชั่วของพระเจ้า" การมาสิงของ "วิญญาณ" นี้ ก็เช่นเดียวกับการจากไปของพระวิญญาณที่พระเจ้าให้ เกิดขึ้น นั่นคือพระเจ้าทรงพรากพระวิญญาณไปจากซาอูล มีความเป็นไปได้ที่ดาวิดวิง วอนขออย่าให้พระวิญญาณจากไป (สดุดี 51:11) อาจเป็นเพราะท่านเห็นด้วยตาตนเอง ว่ามีสิ่งใดเกิดขึ้นกับซาอูลในสมัยที่ท่านรับราชกาลอยู่ วิญญาณชั่วนี้ก็มาจากพระเจ้า สิ่งนี้ไม่ใช่เรื่องผิดปกติ เพราะพระเจ้าทรงอธิปไตย ปกครองอยู่เหนือทุกสิ่ง ซาตานไม่ สามารถทำสิ่งใดได้ถ้าพระเจ้าไม่อนุญาติ (ดูตัวอย่างจาก โยบ 1 และ 2) สำหรับข้าราช บริพารของซาอูล "วิญญาณชั่ว" นี้ ไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่ พวกเขาเคยประสพพบเห็น มาก่อน จึงรู้วิธีการที่จะช่วยรักษาได้ เรื่องนี้ทำให้ผมพอสรุปได้ว่าเป็นการสิงของ วิญญาณชั่วที่ต้องการทรมาณซาอูล เท่าที่ผมรู้จากในประวัติศาสตร์ ดูเหมือนบุรุษ อย่างฮิตเลอร์จะเคยมีประสพการณ์ในแบบเดียวกัน

ข้าราชบริพารของซาอูลเชื่อว่าเสียงเพลงสามารถกล่อมประสาทซาอูลให้สงบลงได้ จึง แนะนำท่านให้หาผู้มีความชำนาญในการเล่นพิณ เพื่อว่าเมื่อถูกวิญญาณชั่วสิง นักเล่น พิณจะเล่นเพลงเพื่อทำให้ใจท่านสงบลง ซาอูลเห็นได้วยกับความคิดนี้ เพราะตัวท่าน เองก็รูู้สึกกลัวที่ถูกวิญญาณนี้ทรมาณ

ข้าราชบริพารคนหนึ่งนึกถึงคนที่เหมาะสมสำหรับการนี้ได้ในทันที เขาเคยเห็นและเคย ได้ยินเกี่ยวกับดาวิดที่ในเบธเลเฮม ดาวิดไม่เพียงมีแต่ของประทานในการเล่นพิณ เท่านั้น ท่านยังเป็นนักรบผู้กล้าหาญด้วย (ดูได้จาก ที่ท่าน "จัดการ" กับหมีและสิงห์) เป็นผู้ที่มีลักษณะดีและมีสติปัญญาของพระเจ้า และที่สำคัญที่สุด เป็นผู้ที่พระเจ้าสถิต อยู่ด้วย สิ่งที่ทำให้ดาวิดเหมาะสมสำหรับตำแหน่งกษัตริย์ เป็นสิ่งเดียวกับที่ทำให้ท่าน มีโอกาสทำงานถวายกษัตริย์ แววแห่งการเป็นกษัตริย์ของดาวิดเริ่มฉายชัดขึ้นทุกขณะ ถึงแม้คนที่ทำงานอยู่ในพระราชวังยังเห็นได้

ซาอูลเรียกดาวิดให้มาเข้าเฝ้าด้วยวิธีการนุ่มนวล แต่ก็ทำให้ไม่มีผู้ใดกล้าขัดคำสั่ง มีการ ส่งผู้สื่อสารไปยังเจสซี เพราะดาวิดยังอยู่ภายใต้การปกครองของบิดา จากคำสั่งที่มีไป ถึงเจสซีทำให้รู้ว่าซาอูลรู้ดีว่าดาวิดยังเป็นเด็กเลี้ยงแกะ (ดูข้อ 19) เจสซีจึงส่งดาวิดไป พร้อมด้วยอาหารเป็นเครื่องบรรณาการ เพื่อให้ดาวิดทำหน้าที่รับใช้อยู่ในวัง ขณะที่ ความสามารถของดาวิดประจักษ์ชัดแก่ซาอูล ท่านจึงเลื่อนตำแหน่งให้ดาวิดเป็นผู้ถือ เครื่องอาวุธ ซึ่งน่าจะเป็นตำแหน่งที่ใกล้ชิดและเป็นส่วนตัวที่สุดในงานรับใช้ทั้งหมด ซาอูลไม่เพียงแต่ยอมรับในความสามารถของดาวิดเท่านั้น ท่านกลับรักดาวิดด้วย ดาวิด จึงเป็นเหมือนบุตรคนหนึ่งของซาอูล

ระยะทดลองงานของดาวิดใกล้จบสิ้นลง ท่านกำลังจะได้ตำแหน่งทำงานกับกษัตริย์ ซาอูลแจ้งแก่เจสซีว่าท่านประสงค์จะให้ดาวิดเข้ารับราชการประจำ เพื่อว่าเมื่อใดก็ตาม ที่วิญญาณชั่วเข้าสิง ดาวิดจะได้เล่นพิณเพื่อให้อารมณ์ท่านสงบลง พระวิญญาณในตัว ดาวิดสามารถขับไล่วิญญาณชั่วไปจากซาอูลได้ ซาอูลสะกดคำว่าโล่งใจอย่างไรครับ ? สะกดว่า ด า วิ ด

บทสรุป

ความบาปของซาอูลในบทที่ 15 คือจุดจบของซาอูล ; ยังไม่ใช่จุดจบในการปกครอง ของท่าน แต่จุดจบโอกาสที่จะหันคืนมากลับใจ แต่เหตุใดจึงต้องเจิมตั้งดาวิดไว้ล่วง หน้าเป็นเวลานานกว่าจะได้ขึ้นครองราชย์ ? แรก พระวิญญาณที่เคยสถิตอยู่เพื่อช่วย ซาอูลทำหน้าที่กษัตริย์ จะมาสถิตอยู่กับดาวิดแทน และด้วยพระวิญญาณนี้เองที่ทำ ให้ดาวิดสามารถเติบโตเป็นผู้ใหญ่ และทำพระราชกิจให้ซาอูลได้ตามที่พระเจ้าทรงจัด เตรียมไว้ ฟังดูแปลกและคาดไม่ถึงนะครับว่า ดาวิดทำหน้าที่รับใช้กษัตริย์เพื่อเตรียม ตนเองให้ขึ้นปกครองในฐานะกษัตริย์ วิธีการของพระเจ้าเกินกว่าความคิดและสติปัญญา ของเราจะเข้าใจจริงๆ

สอง การเจิมตั้งดาวิดเป็นบทพิสูจน์สำหรับชาวอิสราเอล การเจิมตั้งดาวิดครั้งนี้ ต่าง จากสมัยซาอูล เพราะทำแบบกึ่งสาธารณะ มีเพียงบิดา พี่ชาย และพวกผู้ใหญ่ของเมือง ที่ได้รับเชิญมารับประทานเลี้ยงเท่านั้นที่รู้ว่า มีการเลือกกษัตริย์องค์ใหม่ขึ้นมาแทนที่ ซาอูลแล้ว ผู้คนทั่วไปถ้ารู้ว่าดาวิดจะได้เป็นกษัตริย์องค์ต่อไปของอิสราเอล การปฎิบัติ ที่มีต่อท่านจะเปลี่ยนไป ดังนั้น จึงเป็นการดีที่จะได้พิสูจน์ว่าใครสมควรกับตำแหน่งใด ในอาณาจักรใหม่ของดาวิดนี้

ผมขอยกตัวอย่างของสามีภรรยาคู่หนึ่ง นาบาลและอาบีกายิล ซึ่งบันทึกอยู่ใน1 ซามูเอล 25 ดาวิดกำลังหลบหนีการตามล่าของซาอูล ท่านและคนของท่านซ่อนตัวอยู่แถวที่ เลี้ยงสัตว์ของนาบาล พวกเขาไม่เคยไปวุ่นวายหรือลอบขโมยสัตว์ของนาบาลเลย เพราะเป็นสมบัติมีค่าของนาบาล เมื่อเวลาตัดขนมาถึง พวกเขาจึงขอของตอบแทนบาง อย่างจากนาบาล นาบาลปฏิเสธโดยพูดว่า :

10ข"ดาวิดคือผู้ใด บุตรของเจสซีคือผู้ใด สมัยนี้มี คนใช้เป็นอันมากที่หนีไปจากนายของตน 11 ควร หรือที่ข้าจะนำขนมปังของข้า และน้ำของข้า และ เนื้อของข้า ซึ่งข้าได้ฆ่าเสียสำหรับคนตัดขน แกะ ของข้ามอบให้แก่คนซึ่งมาจากที่ไหนข้าก็ไม่รู้?"
(1 ซามูเอล 25:10ข -11)

ไม่ใช่ว่านาบาลไม่รู้จักดาวิด เขารู้ว่าท่านเป็นบุตรของเจสซี และรู้ด้วยว่าท่านกำลังหลบ หนีซาอูลผู้เป็นนายมา หรือจะกล่าวอีกได้ว่า เขารู้ว่าดาวิดจะมาเป็นกษัตริย์องค์ใหม่ แทนซาอูล ถ้าไม่แน่ใจ ลองอ่านคำพูดของนางอาบิกายิล ภรรยาของนาบาลที่พูดกับ ดาวิดว่า :

28 ได้โปรดอภัยความผิดของผู้รับใช้ของท่านเถิด เพราะพระเจ้าคงทรงกระทำให้เจ้านายของดิฉันเป็น พงศ์พันธุ์ที่มั่นคง ด้วยว่าเจ้านายของดิฉันทำสงคราม อยู่ฝ่ายพระเจ้า ตราบใดที่ท่านมีชีวิตอยู่จะหาความชั่ว ที่ตัวท่านไม่ได้เลย 29 แม้มีคนลุกขึ้นไล่ตามท่าน และแสวงชีวิตของท่าน ชีวิตของเจ้านายของดิฉันจะ ผูกมัดอยู่กับกลุ่มชีวิตซึ่งอยู่ในความพิทักษ์ของพระเย โฮวาห์พระเจ้าของท่าน แต่ชีวิตศัตรูของท่านจะถูกเหวี่ยง ออกไปดั่งออกไปจากรังสลิง 30 และเมื่อพระเจ้าจะทรง กระทำแก่เจ้านายของดิฉันแล้ว ตามบรรดาความดีซึ่ง พระองค์ทรงลั่นวาจาเกี่ยวกับท่าน และทรงตั้งท่านไว้ เป็นเจ้านายเหนืออิสราเอล 31 เจ้านายของดิฉันจะไม่มี เหตุที่ต้องเศร้าใจหรือระกำใจ เพราะได้กระทำให้โลหิต เขาตกด้วยไม่มีสาเหตุหรือ เพราะเจ้านายของดิฉันทำ การแก้แค้นเสียเอง และเมื่อพระเจ้าทรงกระทำความดี แก่เจ้านายของดิฉันแล้วก็ขอระลึกถึงผู้รับใช้ของท่านบ้าง"
(1 ซามูเอล 25:28-31)

นาบาลรู้แน่ๆว่าดาวิดคือใคร แต่ไม่อยากจะไปมีส่วนเกี่ยวข้องด้วย หรือเป็นเพราะกลัว อิทธิพลของซาอูล (ดูบทที่ 21 และ 22)? อาบิกายิลเป็นสตรีที่ฉลาดและดำเนินในทาง ของพระเจ้า เธอรู้ว่าดาวิดเป็นผู้ใด สิ่งที่เธอปฏิบัติต่อดาวิดนั้นเป็นเพราะเธอยอมรับท่าน ในฐานะกษัตริย์องค์ใหม่ของอิสราเอล ดังนั้นการเจิมตั้งดาวิดไว้ล่วงหน้าจึงเป็นบท พิสูจน์ถึงความเป็นกษัตริย์ในอนาคตของท่าน

เช่นเดียวกันในทุกวันนี้ เมื่อผู้เขียน1 ซามูเอลเปลี่ยนให้ดาวิดมาเป็นตัวหลักแทนซาอูล ท่านอยากให้เรามาพิจารณาดูบุรุษผู้เป็นต้นตระกูลขององค์พระเยซูคริสต์ แย่หน่อยที่ ซาอูลเป็นเหมือนซาตาน ซาอูลได้รับสิทธิอำนาจปกครองภายใต้พระเจ้า แต่การปก ครองของท่านกลับเป็นสิ่งที่สำคัญกว่ากฎเกณฑ์และการครอบครองของพระเจ้า ท่าน จึงถูกปลดออกไป ดาวิดเป็นผู้ได้รับเลือกมาแทนที่ เพื่อปกครองประชากรของพระเจ้า ด้วยความชอบธรรม ซาตานหรือซาอูลในยุคนั้น ถูกพระเจ้าปฏิเสธ บนไม้กางเขนที่เนิน หัวกระโหลก องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรามีชัยเหนือซาตาน แต่ซาตานก็ยังมีอิสระที่จะทำ การต่อต้านพระองค์ ถึงแม้ว่าจะมีการลงโทษอย่างแน่นอนคอยอยู่ในอนาคตก็ตาม ในระ หว่างการรอคอยนี้ พระเยซูคริสต์ได้ถูกเลือกให้เป็นกษัตริย์ของพระเจ้า พระองค์ไม่เพียง แต่ประกาศเรื่องแผ่นดินของพระเจ้าเท่านั้น พระองค์ได้ทรงจัดเตรียมโดยการสิ้นพระ ชนม์ ถูกฝังไว้ และทรงคืนพระชนม์จากความตาย ทุกคนที่ยอมรับพระองค์ในฐานะ กษัตริย์ จะเข้าสู้แผ่นดินและครอบครองร่วมกับพระองค์ชั่วนิรันดร์ คำถามสำหรับคุณ และผมในวันนี้คือ : "เราควรปรนนิบัติผู้ใด ?" ใครจะมาปกครองเรา ? เราจะยอมจำนน ให้กับอาณาจักรของผู้ใด ? โดยธรรมชาติ มนุษย์ทุกคนนั้นเกิดอยู่ภายใต้อาณาจักรของ มาร มีเพียงการเกิดใหม่เท่านั้น การวางใจในพระราชกิจขององค์พระเยซูคริสต์ที่ทำบน ไม้กางเขน ที่มนุษย์จะได้รับการย้ายออกไปจากอาณาจักรแห่งความมืด ไปสู่อาณาจักร แห่งความสว่าง จากอาณาจักรของซาตาน ไปสู่อาณาจักรของพระเจ้า ท่านเปลี่ยน กษัตริย์หรือยังครับ ?

ซามูเอลคาดการเรื่องกษัตริย์องค์ใหม่ของพระเจ้าผิดไป ท่านคิดว่ากษัตริย์องค์ใหม่จะ ต้อง "สูงสง่าดูดี" พระเจ้าบอกกับซามูเอลอย่างชัดเจนว่า พระองค์ไม่ได้เลือกกษัตริย์ จากรูปกายภายนอก (1 ซามุเอล 16:7) ดาวิดนั้นดูดี แต่พระเจ้าไม่ได้เลือกเพราะเหตุนี้ จากการทรงเลือกขององค์พระผู้เป็นเจ้า พระเยซูคริสต์ องค์กษัตริย์นิรันดร์ของพระเจ้า เป็นผู้ที่ไม่เคยมีใครจดจำพระลักษณะของพระองค์ได้ :

1 ใครเล่าจะเชื่อสิ่งที่เราทั้งหลายได้ยิน พระกรของ พระเจ้าได้ทรงสำแดงแก่ผู้ใด 2 เพราะท่านได้เจริญ ขึ้นต่อพระพักตร์พระองค์อย่างต้นไม้อ่อน และเหมือน รากแตกหน่อมาจากพื้นดินแห้ง ท่านไม่มีรูปร่างหรือ ความสวยงามซึ่งเราทั้งหลายจะมองท่าน และไม่มี ความงามที่เราจะพึงปรารถนาท่าน 3 ท่านได้ถูก มนุษย์ดูหมิ่นและทอดทิ้ง เป็นคนที่รับความเจ็บปวด และคุ้นเคยกับความเจ็บไข้ และดังผู้หนึ่งซึ่งคนทน มองดูไม่ได้ ท่านถูกดูหมิ่น และเราทั้งหลายไม่ได้นับ ถือท่าน
(อิสยาห์ 53:1-3)

5 ท่านจงมีน้ำใจต่อกันเหมือนอย่างที่มีในพระเยซูคริสต์ 6 ผู้ทรงสภาพของพระเจ้า แต่มิได้ทรงถือว่าการเท่าเทียม กับพระเจ้านั้นเป็นสิ่งที่จะต้องยึดถือ 7 แต่ได้กลับทรงสละ และทรงรับสภาพทาส ทรงถือกำเนิดเป็นมนุษย์ 8 และ เมื่อทรงปรากฏพระองค์ในสภาพมนุษย์แล้ว พระองค์ก็ทรง ถ่อมพระองค์ลงยอมเชื่อฟังจนถึงความมรณา กระทั่งความ มรณาที่กางเขน
(ฟีลิปปี 2:5-8)

เท่าที่ผมเข้าใจตามข้อพระคำเหล่านี้ องค์พระเยซูคริสต์ของเราคงไม่มีลักษณะเด่นเป็น ที่สะดุดตา ผู้คนคงไม่ได้ต้องการพบพระองค์เพราะความหล่อ หรือเสียงนุ่มทุ้มจับใจ แต่ ผู้คนต้องการพบพระองค์ เพราะรู้สึกได้ถึงพระทัยที่พระองค์มีต่อพระเจ้า และความเป็น พระเจ้าของพระองค์ เป็นเพราะทรงยอมจำนนและเชื่อฟังพระบิดาอย่างเต็มเปี่ยม จึงทำ ให้พระองค์แตกต่างโดยสิ้นเชิง รวมทั้งความจริงที่ว่าพระองค์คือพระเมสซิยาห์ผู้มาทำ ให้คำพยากรณ์สำเร็จลง ทรงเป็นผู้เดียวที่พระเจ้าเลือกให้มาปกครอง และเมื่อพระองค์ เสด็จกลับมา มนุษย์ทุกคนจะคุกเข่าลงยอมรับพระองค์เป็นจอมกษัตริย์ของพระเจ้า (ดู ฟีลิปปี 2:9-11) สิ่งที่พระวจนะคำกล่าวคือต้องการให้เรารับพระองค์ในฐานะกษัตริย์ และเป็นผู้หนึ่งในพระราชอาณาจักรของพระองค์ หรือจะรอคอยพระอาชญาในฐานะศัตรู ของพระองค์ (ดูสดุดี 2:10-12)

ตอนนี้นับเป็นเวลาเหมาะที่จะพูดเรื่องดนตรีและความเกี่ยวข้องในขอบเขตของจิตวิญ ญาณ คุณคงจำ 1 ซามูเอลบทที่ 10 กันได้ (ข้อ 5-6, 10-13) บรรดาผู้เผยพระวจนะที่ ซาอูลพบ และเข้าร่วมเผยพระวจนะด้วยในฐานะ "อยู่ในหมู่ผู้เผยพระวจนะ" (อย่าง น้อยชั่วขณะหนึ่ง) ขณะที่พระวิญญาณสถิตกับท่านอย่างมาก พวกเขาเดินลงมาพร้อม ด้วยเครื่องดนตรีและเครื่องสาย -- พิณใหญ่ รำมะนา ปี่ พิณเขาคู่ (ข้อ 5) พระวิญญาณ สถิตมาเหนือซาอูล (และผู้เผยพระวจนะคนอื่นๆ) ซึ่งเกี่ยวข้องกับดนตรี หรืออาจเริ่มด้วย ดนตรีก็เป็นได้ ในบทที่ 16 ซาอูลเมื่อถูกวิญญาณชั่วสิงสามารถสงบลงได้เพราะดาวิด เล่นพิณให้ฟัง อีกครั้งใน 2 พงศ์กษัตริย์ 2:14-15 เอลีชาเรียกหานักดนตรีเพื่อท่านจะ สามารถเผยพระวจนะด้วยพระวิญญาณ ผมคิดว่าดนตรีมีส่วนในการเชื่อม (หรือตัดออก) เข้าสู่จิตวิญญาณ ผมคิดว่าเราต้องมาดูว่าเราควรฟังดนตรีประเภทไหน ผมรู้ว่ามีการ พูดถึง "เพลงร็อค" ค่อนข้างมาก ผมคงไม่พูดพาดพิงไปถึงเรื่องนี้ แต่ผมอยากจะแนะ นำว่าดนตรีบางประเภทเอื้อประโยชน์ให้กับคุณ ในขณะที่บางประเภทอาจปลุกเร้า วิญญาณชั่วขึ้นมา เนื้อหาตอนนี้ทำให้เราหยุดคิดถึงเรื่องดนตรีที่เรากำลังฟังอยู่ และ อิทธิพลที่มีต่อเรา

พระคำตอนนี้พูดเกี่ยวกับการที่พระเจ้าเลือกดาวิดให้มาทำงานเพื่อพระองค์ -- ไม่ใช่ เพื่อความรอด บางคนอาจเข้าใจไปว่าพระเจ้าช่วยกู้ ดาวิดเพราะท่านมีหัวใจให้แก่พระ องค์ พระเจ้าเลือกดาวิดมารับใช้ พระองค์เพราะใจของท่าน มีความแตกต่างเป็นอย่าง มากระหว่าง การเลือกให้มารับใช้ และเลือกมาเพื่อ รับความรอด ถ้าพระเจ้าเลือกเฉพาะ ผู้มีใจบริสุทธิ์ให้ได้ความรอด พระองค์คงหาไม่่เจอ :

9ผู้ใดจะกล่าวได้ว่า ข้าพเจ้าได้กระทำใจของข้าพเจ้า ให้สะอาดแล้ว ข้าพเจ้าบริสุทธิ์พ้นบาปของข้าพเจ้า"?
(สุภาษิต 20:9 ดู โรม 3:9-18)

9 "จิตใจก็เป็นตัวล่อลวงเหนือกว่าสิ่งใดทั้งหมด มันเสื่อมทรามอย่างร้ายทีเดียว ผู้ใดจะรู้จักใจนั้น เล่า?"
(เยเรมีย์ 17:9 ดู โรม 3:9-18ด้วย)

พระเจ้าไม่ได้เลือกมนุษย์เพราะมองเข้าไปในจิตใจและชอบพระทัยในสิ่งที่เห็น พระเจ้า ทรงช่วยกู้คนที่บาปชั่วในจิตใจ พระองค์ทรงมีพระเมตตาต่อคนเหล่านั้น พระองค์นำ ความบาปทั้งสิ้นมาไว้ที่พระบุตร พระเยซูคริสต์ พระคริสต์ผู้เดียวเท่านั้นที่ปราศจากบาป และเหมาะสมที่จะตายเพื่อความบาปของผู้อื่น มีเพียงผู้เดียวเท่านั้นในประวัติศาสตร์ ของมนุษย์ ที่มีจิตใจอิสระจากความบาป และท่านผู้นั้นคือองค์พระเยซูคริสต์ พระเจ้า ทรงช่วยผู้ที่วางใจในพระองค์ เพื่อรับการอภัยจากบาป และมอบของประทานอันเป็น นิรันดร์ให้

มีการพูดกันถึงเรื่องผู้นำค่อนข้างมากในทุกวันนี้ และผมอยากจะกล่าวว่าคุณลักษณะ และคุณสมบัติที่เรามองหาในผู้นำสมัยนี้ ต่างจากตอนที่พระเจ้าทรงเลือกดาวิด คริส เตียนมีวิธีการเลือกผู้นำไม่ต่างไปจากผู้นำทางโลก เราดูคนที่มี "ศักยภาพ" (มีเงิน มีอิทธพลและบารมี) และเป็นผู้นำ "ในด้านธุรกิจ" พระเจ้าเลือกคนที่มีใจให้พระองค์ ผมเชื่อว่าบุคคลิกเป็นสิ่งแรกในการเป็นผู้นำ แต่ไม่ใช่สิ่งเดียว เป็นเพียงพื้นฐานในการ เลือก ให้เรามาพิจารณาดูผู้นำที่พระเจ้าเลือก และให้เราแสวงหาบุรุษหรือสตรีที่พระเจ้า เรียกให้มารับใช้พระองค์


58 ทำให้เรานึกไปว่าเจสซีนั้นคงไม่นับเป็นพวกผู้ใหญ่ของเบธเลเฮม ที่แน่ๆ บรรดาบุตรของ เจสซีไม่ใช่พวกผู้ใหญ่ จึงไม่น่าเป็นผู้ที่อยู่ในข่ายได้รับการคัดเลือก

59 ยากที่จะบอกได้ว่าเป็นเวลากี่ปี แต่จากฉบับแปลของ KJV มีการพูดถึงเวลาประมานเจ็ดปีนับ จากที่ดาวิดได้รับการเจิมไปจนถึงเมื่อซาอูลสิ้นชีพ และประมาน 10 ปี ที่ท่านได้เป็นกษัตริย์ของ อิสราเอล พระเจ้าให้เวลาดาวิดเติบโต และโตพอสำหรับรับตำแหน่งหน้าที่ในฐานะกษัตริย์ของ อิสราเอล โดยการทรงนำของพระวิญญาณ

60 ลองดูบทเรียนนี้จากสดุดี 51:11

Related Topics: Introductions, Arguments, Outlines

ดาวิดเข้าร่วมเป็นครอบครัวของซาอูล (1 ซามูเอล 18:1-30)

บิล เฮเด็น นักเขียนการ์ตูน

1 อยู่มาเมื่อดาวิดทูลซาอูลเสร็จแล้ว จิตใจของ โยนาธานก็ผูกสมัครรักใคร่กับจิตใจของดาวิด และโยนาธานก็รักเธออย่างรักชีวิตของท่านเอง 2 และวันนั้นซาอูลก็ทรงกักตัวเธอไว้ ไม่ยอม ให้เธอกลับไปบ้านบิดา70 ของเธอ 3 แล้วโยนาธาน ก็กระทำพันธสัญญากับดาวิด เพราะท่านรักเธอ อย่างกับรักชีวิตของท่านเอง 4 โยนาธานก็ถอด เสื้อคลุมออกมอบให้แก่ดาวิด พร้อมทั้งเครื่องใช้ แม้ดาบ คันธนู และเข็มขัดก็ประทานให้ด้วย 5 และดาวิดก็ออกไปกระทำความสำเร็จไม่ว่าซาอูล จะใช้เธอไป ณ ที่ใด ดังนั้นซาอูลจึงทรงตั้งเธอ ให้อยู่เหนือนักรบทั้งหลาย การกระทำดังนี้เป็นที่ ชอบในสายตาของประชาชน และในสายตาของ ข้าราชการของซาอูลด้วย

6 อยู่มาเมื่อดาวิดกลับมาจากการฆ่าคนฟีลิสเตียนั้น กำลังเดินทางกลับบ้าน พวกผู้หญิงก็ออกมาจากหัว เมืองอิสราเอล ร้องเพลงและเต้นรำต้อนรับพระราชา ซาอูลด้วยรำมะนา ด้วยเพลงร่าเริง และด้วยเครื่องดน ตรี 7 และเมื่อพวกผู้หญิงเต้นรำรื่นเริงกันอยู่นั้นก็ขับ ร้องรับกันว่า "ซาอูลฆ่าคนเป็นพันๆ และดาวิดฆ่าคน เป็นหมื่นๆ" 8 ซาอูลทรงกริ้วนัก คำที่ร้องกันนั้นไม่เป็น ที่พอพระทัยพระองค์เลย พระองค์ตรัสว่า "เขาสรรเสริญ ดาวิดว่าฆ่าคนเป็นหมื่นๆ ส่วนเราเขาว่าฆ่าแต่เพียงเป็น พันๆ นอกจากราชอาณาจักรแล้ว ดาวิดจะได้อะไรอีกเล่า" 9 ซาอูลก็ทรงใช้สายตาจับดาวิดตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นไป

10 อยู่มาในวันรุ่งขึ้นวิญญาณชั่วจากพระเจ้าก็เข้าสิง ซาอูล ซาอูลก็ทรงเพ้อ71 อยู่ในวังของพระองค์ ดาวิด ก็กำลังดีดพิณอย่างที่เธอเคยดีดถวายทุกวันมา ซาอูล ทรงถือหอกอยู่ 11 และซาอูลก็ทรงพุ่งหอก ด้วยนึกว่า "ข้าจะปักดาวิดให้ติดกับผนังเสีย" แต่ดาวิดก็หนีไปได้ ถึงสองครั้ง 12 ซาอูลก็ทรงกลัวดาวิด เพราะว่าพระเจ้า ทรงสถิตกับเธอ แต่ทรงพรากจากซาอูลแล้ว 13 ดังนั้น ซาอูลจึงรับสั่งให้ย้ายดาวิดไปให้พ้นพระพักตร์ ตั้งเป็น ผู้บังคับการกองพันและเธอได้เข้าออกอยู่ต่อหน้าประ ชาชน

14 ดาวิดกระทำอะไรก็สำเร็จทุกประการเพราะพระเจ้า ทรงสถิตกับเธอ 15 เมื่อซาอูลทรงเห็นว่าดาวิดได้กระทำ ความสำเร็จยิ่ง ก็ทรงเกรงกลัวดาวิด 16 แต่คนอิสราเอล และคนยูดาห์ทั้งสิ้นรักดาวิด เพราะเธอเข้าออกต่อหน้า เขาทั้งหลายอยู่เสมอ 17 ฝ่ายซาอูลจึงรับสั่งกับดาวิดว่า "ดูเถิด นี่คือบุตรสาวคนโตของเราชื่อเมราบ เราจะมอบ แม่นางให้เป็นภรรยาของเธอ ขอแต่เธอจงเป็นคนกล้า หาญและสู้ศึกของพระเจ้าเท่านั้น" เพราะซาอูลทรงดำริว่า "อย่าให้มือของเราแตะต้องเขาเลย ให้มือคนฟีลิสเตียแตะ ต้องเขาดีกว่า" 18 ดาวิดทูลซาอูลว่า "ในอิสราเอลข้าพระ บาทคือผู้ใด วงศ์ญาติของข้าพระบาทคือตระกูลบิดาของ ข้าพระบาทคือผู้ใด ที่ข้าพระบาทควรจะเป็นราชบุตรเขย ของพระราชา" 19 แต่อยู่มาเมื่อถึงเวลา72 ที่จะทรงยก เมราบราชธิดาของซาอูลให้เป็นภรรยาของดาวิด แม่นาง ก็ถูกยกให้เป็นภรรยาของอาดรีเอลชาวเมโหลาห์ 20 ฝ่าย มีคาลราชธิดาของซาอูลนั้นรักดาวิดมีคนเอาเรื่องไปทูล ซาอูล เรื่องนี้เป็นที่พอพระทัยพระองค์ 21 ซาอูลทรงดำริว่า "ให้เรา ยกแม่นางให้แก่เธอ แม่นางจะได้เป็นกับดักเธอและ มือของคนฟีลิสเตียจะได้ต่อสู้เธอ" ดังนั้นซาอูลจึงรับสั่งแก่ ดาวิดครั้งที่สองว่า "ครั้งนี้เธอจะเป็นบุตรเขยของเรา" 22 ซาอูลทรงบัญชามหาดเล็กว่า"จงพูดเป็นส่วนตัวกับดาวิด ว่า 'ดูเถิด พระราชาพอพระทัยในเธอ และบรรดามหาดเล็ก ของพระองค์ก็รักเธอ เพราะฉะนั้นจงเป็นบุตรเขยของพระ ราชาเถิด'" 23 และมหาดเล็กของซาอูลพูดเรื่องนี้ให้ดาวิด ฟัง ดาวิดก็ถามว่า "ท่านทั้งหลายเห็นว่าที่จะเป็นบุตรเขยของ พระราชานั้นเป็นเรื่องเล็กน้อยอยู่หรือ ด้วยข้าพเจ้าเป็นแต่คน จนและไม่มีชื่อเสียงอะไรเลย" 24 และมหาดเล็กของซาอูล จึงทูลว่า "ดาวิดพูดอย่างนั้นอย่างนี้" 25 ซาอูลจึงรับสั่งว่า "เจ้าจงพูดเช่นนี้แก่ดาวิด 'พระราชาไม่มีพระประสงค์จะเอา อะไรในการแต่งงานเลย นอกจาก หนังปลายองคชาตของ คนฟีลิสเตียสักหนึ่งร้อย เพื่อพระองค์จะทรงแก้แค้นศัตรู ของพระราชา'" ฝ่ายซาอูลทรงดำริว่าจะให้ดาวิดตายเสีย ด้วยมือของคนฟีลิสเตีย 26 และเมื่อมหาดเล็กกล่าวคำ เหล่านั้นให้ดาวิดฟัง ก็เป็นที่พอใจดาวิดที่จะเป็นบุตรเขย ของพระราชาก่อนเวลาที่กำหนดไว้จะหมดไป 27 ดาวิด ก็ลุกขึ้นไปพร้อมกับคนของเธอ ได้ฆ่าคนฟีลิสเตียเสีย สองร้อยคน และดาวิดก็นำหนัง ปลายองคชาตของคนเหล่า นั้นมาถวายแก่พระราชาครบจำนวน เพื่อเธอจะเป็นบุตรเขย ของพระราชา ซาอูลจึงยกมีคาลพระราชธิดาของพระองค์ให้ เป็นภรรยาของดาวิด 28 ซาอูลทรงเห็นและทราบว่าพระเจ้า ทรงสถิตกับดาวิดและมีคาลพระราชธิดาของซาอูลรักเธอ 29 ซาอูลทรงเกรงกลัวดาวิดมากยิ่งขึ้น ดังนั้นซาอูลจึงเป็น ศัตรูของดาวิดเรื่อยมา 30 บรรดาเจ้านายแห่งคนฟีลิสเตียก็ ออกมาทำสงคราม เขาทั้งหลายจะออกมาสักกี่ครั้งก็ตาม ดาวิดก็ได้กระทำความสำเร็จมากกว่าบรรดาข้าราชการขอ ซาอูล ชื่อเสียงของเธอจึงโด่งดังมาก

คำนำ

เมื่อ 25 ปีที่แล้วผมเป็นครูสอนหนังสือ ผมพบหนุ่มคนหนึ่งที่ใครๆก็รู้จักดีว่าเป็นพวก แก๊งมอเตอร์ไซค์ เขาประสพอุบัติเหตุ สมองถูกทำลายจึงต้องมาเข้าโรงเรียนที่ผม สอนอยู่ วันหนึ่งผมกำลังแบ่งปันเรื่องพระเยซูคริสต์กับนักเรียนคนอื่น หนุ่มพิการทาง สมองคนนี้ก็ตะโกนแซงขึ้นมาว่า "ปักมันไว้กับฝาผนัง แขวนคอมันไว้จนกว่าจะมีคนมา ช่วย" ไม่มีใครอยากจะเอาเรื่องเอาราวเพราะรู้ว่าสมองของเขาไม่ปกติ ไม่ใช่เป็นเพราะ ความบาปหรือปฏิเสธพระกิตติคุณ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าการกระทำของเขานั้น เลือดเย็น คิดเอาไว้ก่อน แล้วจึงออกมาเป็นคำพูด

เมื่อผมอ่านพระธรรม 1 ซามูเอลบทที่ 18 ผมนึกถึงคู่อริคนนี้ของผมได้ ไม่่ว่าจะมองใน แง่มุมใหนก็ตาม ความประพฤติของซาอูลก็เป็นเหมือนหนุ่มวิกลจริตเพ้อคลั่งคนหนึ่ง ที่ ไม่รับรู้กับการกระทำของตนเอง ถ้าจะจับซาอูลในข้อหาพยายามฆ่าคนตายโดยเจตนา เพราะพุ่งหอกใส่ดาวิดถึงสองครั้ง ผมว่าเขาคงต้องสู้คดีว่า "วิกลจริตชั่วคราว" แต่ผม เชื่อว่า พระคำตอนนี้เผยให้เราเห็นซาอูลในแง่มุมอื่น ไม่ใช่ในแบบน่ายกย่อง ทั้งเหตุ การณ์ในครั้งนี้และครั้งต่อๆไป ผมคิดว่าเราอาจเข้าใจผิดเรื่องดาวิดเข้าไปเ็ป็นสมาชิก คนหนึ่งในครอบครัวของซาอูล ให้เราตั้งใจเรียนให้ดีๆจากพระคำตอนนี้และจากการ ทรงนำของพระวิญญาณ บริสุทธิ์

ข้อควรสังเกตุุ

เมื่อเราอ่านและศึกษามากขึ้น เราจะเห็นบุคคลิกของคนต่างๆในเนื้อเรื่องชัดเจน ผม ขออนุญาติให้ข้อสังเกตุบางประการเพื่อเตรียมเราให้พร้อมสำหรับคำอธิบาย และการ ศึกษาบทเรียนนี้ด้วยตัวของคุณเอง

ข้อแรก มีการย้ำเรื่องสำคัญๆอยู่หลายครั้ง : 73

  • ความสำเร็จขอวดาวิด (ข้อ 5, 14, 15, 30)
  • ความจริงที่ว่าพระเจ้าทรงสถิตกับดาวิด (ข้อ 12, 14, 28)
  • ความรัก (ข้อ 1, 13, 16, 20, 22, 28)
  • ความกลัวของซาอูล (ข้อ 12, 15, 29)
  • อารมณ์ ความคิดส่วนลึก แรงจูงใจที่เผยออกมาของซาอูล (ข้อ 8-9, 11-12, 15, 17, 20-21, 29)

ข้อสอง ผู้เขียนพยายามให้เห็นข้อแตกต่างของทัศนคติที่ซาอูลมีต่อดาวิด และอาณาจักรของท่าน และทัศนคติของโยนาธานที่มีต่อดาวิด

ข้อสาม ดูเหมือนจะมีการเปลี่ยนแปลงและพัฒนาขึ้นในบทนี้ ด้านหนึ่งคือความ กระหายที่ซาอูลต้องการเห็นดาวิดประสพความสำเร็จ กลับกลายเสื่อมไปเป็นความสง สัย วิตกกังวลและหวาดกลัว ส่วนอีกด้านหนึ่ง ดาวิดได้รับความนิยมและมีชื่อเสียงมาก ขึ้นเรื่อยๆ ทุกขั้นที่ดาวิดไต่ขึ้นไปดูเหมือนเป็นขั้นที่ทำให้ซาอูลตกต่ำลง และทุกครั้งที่ ซาอูลพยายามจะทำให้ชื่อเสียงของดาวิดเสื่อมเสีย กลับกลายเป็นทำให้ท่านได้รับความ นิยมมากขึ้นไปอีก

ข้อสี่ ดูเหมือนมีบางสิ่งเชื่อมโยงอยู่ระหว่างการที่ซาอูลพยายามหาทางกำจัด ดาวิด และต่อมาเมื่อดาวิดพยายามหาทางกำจัดอุรียาห์ สามีของนางบัทเชบา ซาอูลพยายามผลักไสให้ดาวิดเข้าไปอยู่ในสถานการณ์เสี่ยงตายในสนามรบ เพื่อต้อง การให้ตาย ซึ่งจะทำให้ซาอูลไม่ตกเป็นผู้ต้องสงสัย (เทียบ 1 ซามูเอล 18:17 กับ 2 ซามูเอล 11:14-17) ดาวิดเรียนรู้เล่ห์เหลี่ยมนี้จากซาอูลหรือเปล่า ?

ข้อห้า ความตั้งใจที่ซาอูลอยากฆ่าดาวิดถูกปกปิดไว้อย่างดีในบทที่ 18 แต่แล้วก็ ถูกเปิดเผยออกมาในบทที่ 19 ในบทที่ 18 ซาอูลพยายามใช้เล่ห์เหลี่ยมกำจัดดาวิด ท่าน ทำโดยการเลื่อนตำแหน่งให้ดาวิดมีอำนาจอยู่ในกองทัพ แถมยกบุตรสาวให้เป็นรางวัล ภายใต้ ทั้งหมดนี้ก็คือแผนการชั่วที่เราจะเห็นได้ต่อไป แต่คนในสมัยนั้นไม่มีใครรู้ ซาอูลใช้คำพูดที่ดู มีความเชื่อ ("… ขอแต่เธอจงเป็นคนกล้าหาญและสู้ศึก ของพระเจ้าเท่านั้น…" – ข้อ 17) แต่จุดประสงค์แท้จริงนั้นชั่วร้าย ("อย่าให้มือของเราแตะต้องเขาเลย ให้มือคนฟีลิสเตียแตะ ต้องเขาดีกว่า" – ข้อ 17) เมื่อเล่ห์เหลี่ยมเหล่านี้ไม่เกิดผล ซาอูลเริ่มต่อต้านดาวิดอย่างเปิด เผยในบทที่ 19 โดยสั่งให้โยนาธานและผู้รับใช้ฆ่าดาวิดเสีย (19:1) ในบทที่ 18 มีแต่การหน้า ไหว้หลังหลอก แต่แล้วก็ถูกเปลี่ยนไปเป็นความเกลียดชังอย่างเปิดเผยในบทที่ 19 ดังนั้นเราต้อง ไม่เห็นไปตามบทที่ 18 – แบบที่ซาอูลต้องการให้เห็น – แต่ด้วยความเป็นจริงในหัวใจของซาอูล ซึ่งจะถูกเปิดเผยต่อไปโดยผู้เขียนพระธรรม 1 ซามูเอล

ข้อหก บทที่ 18 (เช่นเดียวกับบทที่ 16) ไม่ได้ให้ความสำคัญดาวิดมากเท่ากับซาอูล โยนาธาน และมีคาล เราอาจกล่าวว่าบทนี้ให้ความสำคัญกับ "ครอบครัว" ของซาอูล เริ่มจาก ความรักที่โยนาธานมีต่อดาวิด และจบลงด้วยความรักที่มีคาลมีต่อดาวิด หลังจากนั้นเราเริ่มสัมผัส ได้ถึงความหวาดกลัวของซาอูลและความเกลียดชังที่มีต่อดาวิดเพิ่มขึ้น แต่ดาวิดกำลังจะกลาย มาเป็นทั้งลูกเขยและเป็นผู้ที่มีบารมีเหนือกว่า

ข้อเจ็ด พระคัมภีร์ฉบับเซพตัวจินท์ (ฉบับแปลจากพระคัมภีร์เดิมในภาษาฮีบรู ไปเป็นภาษากรีกในช่วงศตวรรษที่สอง) ตัดข้อพระคำในต้นฉบับภาษาฮีบรูทิ้ง ไปหลายข้อ (ข้อ 1-5, 10-11, 17-19).

"วันอันรุ่งโรจน์" ของดาวิด
(18:1-5)

1 อยู่มาเมื่อดาวิดทูลซาอูลเสร็จแล้ว จิตใจของโยนาธาน ก็ผูกสมัครรักใคร่กับจิตใจของดาวิด และโยนาธานก็รักเธอ อย่างรักชีวิตของท่านเอง 2 และวันนั้นซาอูลก็ทรงกักตัวเธอ ไว้ไม่ยอมให้เธอกลับไปบ้านบิดาของเธอ 3 แล้วโยนาธานก็ กระทำพันธสัญญากับดาวิด เพราะท่านรักเธออย่างกับรักชีวิต ของท่านเอง 4 โยนาธานก็ถอดเสื้อคลุมออกมอบให้แก่ดาวิด พร้อมทั้งเครื่องใช้ แม้ดาบ คันธนูและเข็มขัดก็ประทานให้ด้วย 5 และดาวิดก็ออกไปกระทำความสำเร็จไม่ว่าซาอูลจะใช้เธอ ไป ณ ที่ใด ดังนั้นซาอูลจึงทรงตั้งเธอให้อยู่เหนือนักรบทั้งหลาย การกระทำดังนี้เป็นที่ชอบในสายตาของประชาชน และในสาย ตาของข้าราชการของซาอูลด้วย เป็นวันอันน่าชื่นชมยินดีของดาวิด และเป็นวันดีๆของซาอูลด้วย การปะทะกันระหว่าง อิสราเอลและฟิลิสเตียได้จบสิ้นลง โกลิอัท ทีทำให้ทหารอิสราเอลทุกคนกลัว และทำ ให้ซาอูลต้องขายหน้าก็สิ้นชีพไปแล้วด้วยฝีมือของดาวิด ฟิลิสเตียพ่ายแพ้ยับเยิน ศพ ทหารและทรัพย์สิ่งของกลาดเกลื่อนทั่วไปจากสนามรบจนถึงประตูเมือง เมื่อดาวิดกลับ มาจากการฆ่าโกลิอัท อับเนอร์แม่ทัพอิสราเอล พาท่านเข้าพบซาอูล ซาอูลสอบถาม ดาวิดอีกครั้งว่าเป็นบุตรของผู้ใด มาถึงตรงนี้ผมเริ่มไม่เชื่อแล้วว่าจะเกี่ยวกับเรื่องยกเว้น ภาษี เพราะว่าซาอูลเคยขอดาวิดให้มาทำงานในวังเป็นบางเวลา (16:19) แต่ตอนนี้คง อยากขอให้ดาวิดมาอยู่ด้วยเต็มเวลา

สิ่งที่ดาวิดกราบทูลซาอูล (18:1) คงทำให้โยนาธานประทับใจ โยนาธานประทับใจที่ ดาวิดชนะโกลิอัท แต่คำพูดที่ดาวิดพูดกับซาอูลคงประทับใจโยนาธานเป็นที่สุด เป็น เพราะดาวิดมีความเชื่อในพระเจ้าหรือ ? หรือเป็นเพราะดาวิดถวายเกียรติทั้งสิ้นให้แก่ พระเจ้า ? หรือเป็นเพราะความถ่อมตัวและถ่อมใจในจิตวิญญาณของดาวิด ? หรือเ็ป็น เพราะดาวิดเป็นห่วงคนอิสราเอล ? ไม่มีการบันทึกไว้่ว่าเรื่องใดเป็นเรื่องที่ทำให้โยนา ธานประทับใจที่สุดในการสนทนาครั้งนี้ เพียงแต่บันทึกไว้ว่าทั้งสองคนผูกสมัครรักใคร่ กันในจิตใจ

มีเพียงชนยุคหลังที่มีจิตวิปลาสชั่วร้ายตีความไปว่า สัมพันธภาพของดาวิดและโยนา ธานนั้นผิดปกติ ดาวิดและโยนาธานเป็น "เพื่อนตาย" โยนาธานรักดาวิดเท่ากับตัวของ ท่านเอง นี่คือสิ่งที่ผู้เชื่อทุกคนควรปฏิบัติต่อพี่น้องในพระคริสต์หรือไม่ ? แล้วในวันนั้น โยนาธานก็ทำพันธสัญญากับดาวิด ไม่มีการให้รายละเอียดมากไปกว่านี้ แต่คงไม่ยาก เกินกว่าเราจะเข้าใจ ในส่วนของโยนาธาน ท่านคงตระหนักดีว่าดาวิดคือผู้ที่พระเจ้าเลือก ไว้ให้เป็นกษัตริย์องค์ต่อไป โยนาธานคงล้มเลิกความตั้งใจที่จะขึ้นครองบัลลังก์แทน บิดา และยินดีเปิดทางให้กับคนของพระเจ้า - ดาวิด

ผมเชื่อว่าโยนาธานสำแดงสัญลักษณ์โดยมอบเสื้อคลุม และเครื่องอาวุธของท่านให้กับ ดาวิด ในพระคัมภีร์เดิมเรารู้ว่าเสื้อคลุมของโยเซฟเป็นสัญลักษณ์ของสิทธิอำนาจ (ปฐมกาล 37:3, 23) ก่อนที่อาโรนตาย มีการนำเสื้อปุโรหิตของท่านไปมอบให้กับเอ เลอาซาร์ผู้เป็นบุตร (กันดารวิถี 20:22-28) เอลียาห์ทิ้งเสื้อคลุมของท่านลงบนเอลีชา ผู้จะมารับตำแหน่งแทนท่าน (1 พงศ์กษัตริย์ 19:19-21)

ในหมายเหตุของหนังสือ Looking on the Heart ที่เขียนโดย Dale Ralph Davis อ้าง ถึงเอกสารชื่ออัคคาเดียน ที่ถูกค้นพบที่อูการิท บันทึกเรื่องราวในสมัยศตวรรษที่สิบสาม เกี่ยวกับกษัตริย์ที่หย่าร้างภรรยา บรรดาบุตรสามารถเลือกได้ว่าจะอยู่กับผู้ใด แต่ถ้าเป็น มกุฎราชกุมารและเลือกที่จะอยู่กับมารดา เขาต้องสละตำแหน่งผู้สืบต่อราชบัลลังก์ และ ต้องมีการแสดงสัญลักษณ์ของการสละตำแหน่ง์ด้วยการทิ้งเสื้อคลุมไว้ที่บัลลังก์ 74 http://www.bible.org/docs/ot/books/1sa/deffin/ จึง เป็นสิ่งเดียวกับที่โยนาธานกระทำกับดาวิด คือมอบเสื้อคลุมและเครื่องอาวุธให้กับดาวิด 75 ท่านเป็นบุรุษที่ดีเลิศ มีหัวใจเช่นเดียวกับยอห์นผู้ให้บัพติสมา (ยอห์น 3:30) และ บารนาบัส 76

โยนาธานยินดีสละราชบัลลังก์เพื่อปรนนิบัติดาวิดในฐานะเป็นผู้ที่พระเจ้าทรงเลือกให้ เป็นกษัตริย์องค์ต่อไป จิตใจเช่นนี้ไม่มีในซาอูล อย่างดีที่สุดคือซาอูลดีใจที่ดาวิดทำ บางสิ่งให้กับท่าน และเป็นธรรมดา (ดู 14:52) ซาอูลชอบที่จะมีคนเก่งกล้าสามารถ อยู่ใกล้ตัว ดังนั้นท่านจึงแต่งตั้งให้ดาวิดเข้ารับราชการเต็มเวลา จากที่บันทึกไว้ในพระ คัมภีร์ ไม่มีการให้รางวัลกับดาวิดที่ฆ่าโกลิอัทได้ ดาวิดปรนนิบัติซาอูลอย่างซื่อสัตย์ ไป ทุกแห่งที่ท่านใช้ให้ไป ไม่ว่าที่ใดท่่านเป็นที่ชื่นชอบยิ่งนักในสายตาของประชาชน ทุก คนประทับใจในตัวท่าน แม้แต่คนงานของซาอูล (ที่บางครั้งต้องเสี่ยงตาย เพราะรู้ว่า ซาอูลเป็นคนขี้อิจฉา – ดู 16:2) ดาวิดนั้นมี "สัมผัสพิเศษ" ถ้าท่านได้ยื่นมือเข้าไปมีส่วน ในเรื่องใดก็ตาม เรื่องนั้นจะสำเร็จลงด้วยดี ที่เป็นดังนี้เพราะพระหัตถ์ของพระเจ้าอยู่ เหนือท่าน (ข้อ 12)

นักดนตรีเล่นเพลงก็ไม่รื่นหู และนักเต้น ก็พลาดไปเหยียบเอานิ้วหัวแม่โป้งของซาอูล
(18:6-9)

6 อยู่มาเมื่อดาวิดกลับมาจากการฆ่าคนฟีลิสเตียนั้น กำลังเดินทางกลับบ้าน พวกผู้หญิงก็ออกมาจากหัว เมืองอิสราเอล ร้องเพลงและเต้นรำต้อนรับพระราชา ซาอูลด้วยรำมะนา ด้วยเพลงร่าเริง และด้วยเครื่องดน ตรี 7 และเมื่อพวกผู้หญิงเต้นรำรื่นเริงกันอยู่นั้นก็ขับ ร้องรับกันว่า "ซาอูลฆ่าคนเป็นพันๆ และดาวิดฆ่าคน เป็นหมื่นๆ" 8 ซาอูลทรงกริ้วนัก คำที่ร้องกันนั้นไม่เป็น ที่พอพระทัยพระองค์เลย พระองค์ตรัสว่า "เขาสรรเสริญ ดาวิดว่าฆ่าคนเป็นหมื่นๆ ส่วนเราเขาว่าฆ่าแต่เพียงเป็น พันๆ นอกจากราชอาณาจักรแล้ว ดาวิดจะได้อะไรอีกเล่า" 9 ซาอูลก็ทรงใช้สายตาจับดาวิดตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นไป

คุณเคยได้ยินเพลงเก่าในภาษาอังกฤษชื่อเพลง "What a difference a day makes… ." (วันนี้ช่างเป็นวันที่แตกต่างเสียจริง) เนื้อเพลงนี้จริงแท้แน่นอนเหมือนพระคำตอนนี้ มันยากที่จะเชื่อว่าซาอูลเสื่อมความนิยมในตัวดาวิดลงอย่างรวดเร็วจนน่าใจหาย ภายใน วันเดียวดาวิดเดินหน้าไปปราบโกลิอัทด้วยความเชื่อ ทำให้อิสราเอลมีชัยเหนือฟิลิส เตีย (บทที่ 17) ในท่ามกลางบรรยากาศแห่งความชื่นชมยินดี 77 ผู้หญิงอิสราเอลร้อง เพลงเฉลิมฉลอง เนื้อเพลงทำให้ซาอูลไม่พอใจ นำไปสู่ความต้องการที่จะฆ่าดาวิด พระคำ ข้อ 6-9 อธิบายการหักมุมของเหตุการณ์นี้ ซึ่งแปรทิศทางประวัติศาสตร์ไป อย่างสิ้นเชิง 78 สำหรับบุคคลทั้งคู่ ดาวิดและซาอูล

ดาวิดเข้าร่วมในกองทัพอิสราเอลติดตามไล่ฆ่าพวกฟิลิสเตีย และกำลังเดินทางกลับ ส่วนซาอูลคงไม่ได้นำทัพไปไหน ดูได้จากข้อสุดท้ายของบทที่ 17 ถ้าเป็นดังนั้น เมื่อ พวกผู้หญิงอิสราเอลจากหลายๆแห่งออกมา "ร้องเพลงและเต้นรำต้อนรับพระราชา ซาอูล " ท่านอยู่ที่ไหนกัน เมื่อออกมาต้อนรับดาวิดและทหารอิสราเอลที่กลับจากไป ไล่ฆ่าพวกฟิลิสเตีย

ไม่มีใครคาดคิดถึงผลเสียจากการฉลองครั้งนี้ การที่พวกผู้หญิงออกมาร้องรำทำเพลงใน อิสราเอลไม่ใช่เรื่องผิดปกติ เราเห็นได้จากตอนที่พระเจ้าช่วยกู้อิสราเอลออกจากอียิปต์ และจมกองทัพอียิปต์ไว้ในทะเลแดง (ดูอพยพ 15:1-21) ดังนั้นเนื้อเพลงที่แต่งขึ้นสดๆ สำหรับฉลองชัยชนะให้อิสราเอลจึงเป็นดังนี้ :

"ซาอูลฆ่าคนเป็นพันๆ และดาวิดฆ่าคนเป็นหมื่นๆ" คำถามแรกที่เราควรถามคือ "เป็นความจริงหรือ? ซาอูลฆ่าคนแค่หลักพัน และดาวิดฆ่า เป็นหลักหมื่นหรือ ?" หรือเป็นเรื่องคล้องจองของบทกลอน ผมคิดว่านื้อเพลงน่าจะเป็น ความจริง เรารู้ว่าในบทที่ 14 คนอิสราเอลไม่สามารถมีชัยอย่างเด็ดขาดเพราะคำสั่งโง่ เขลาของซาอูลที่ห้ามทหารกินสิ่งใดจนกว่าจะค่ำ แต่ชัยชนะของดาวิด (ที่อิสราเอล ชนะเพราะดาวิดฆ่าโกลิอัท) ดูเด็ดขาดกว่า เหมือนกับว่าสิ่งใดที่ซาอูลทำ ดาวิดทำได้ดี กว่า

พวกผู้หญิงหมายความอย่างไรจึงร้องเพลงแบบนี้ ? ผมคิดว่าพวกเขาเพียงแต่ปลื้มปิติ ยินดีในชัยชนะที่พระเจ้าประทานให้อิสราเอล ซาอูลเคยทำมามากให้อิสราเอลก่อน หน้านี้ ; ดาวิดเพียงแต่เพิ่มเติมให้มากขึ้น ซาอูลผู้ที่ครั้งหนึ่งเคยรีรอที่จะเป็นหนึ่งใน แผ่นดิน บัดนี้กำลังเครียดอย่างหนักที่ถูกลดให้มาอยู่ในตำแหน่งรองจากดาวิด ซาอูล ได้ฟังคำพยากรณ์ว่าอาณาจักรของท่านต้องจบสิ้นลง ท่านคงมีลางสังหรณ์อย่าง รุนแรง (ถ้าท่านยังไม่รู้เรื่องการเจิมตั้งดาวิด) ว่าดาวิดคือผู้ที่จะมาแทนท่าน พวกผู้หญิง กำลังร้องรำทำเพลง แต่ซาอูลไม่ได้ขยับเท้าตาม จะขยับได้อย่างไรในเมื่อถูกเหยียบ นิ้วหัวแม่เท้าเสียแล้ว และเนื้อเพลงก็ทำให้ท่านไม่สามารถ "ร้องคลอไปได้" ทุกคน กำลังเฉลิมฉลองยินดีที่พระเจ้าประทานชัยชนะผ่านทางดาวิดให้ -- ยกเว้นซาอูลผู้ซึ่ง คงมีใบหน้าไม่น่าชวนมองนัก นับจากนี้ท่านคงมองดูดาวิดด้วยสายตาที่ไม่ใว้ใจ

กำลังถูกคนบ้าลอบฆ่า
หรือ
ทำไมดาวิดถึงมองไม่ออก!
(18:10-12)

10 อยู่มาในวันรุ่งขึ้นวิญญาณชั่วจากพระเจ้าก็เข้าสิงซาอูล ซาอูลก็ทรงเพ้ออยู่ในวังของพระองค์ ดาวิดก็กำลังดีดพิณ อย่างที่เธอเคยดีดถวายทุกวันมา ซาอูลทรงถือหอกอยู่ 11 และซาอูลก็ทรงพุ่งหอก ด้วยนึกว่า "ข้าจะปักดาวิดให้ติดกับ ผนังเสีย" แต่ดาวิดก็หนีไปได้ถึงสองครั้ง 12 ซาอูลก็ทรง กลัวดาวิด เพราะว่าพระเจ้าทรงสถิตกับเธอ แต่ทรงพราก จากซาอูลแล้ว

เรารู้ว่าบางวันซาอูลอาการไม่ดีเพราะ "ถูกวิญญาณชั่วจากพระเจ้าเข้าสิง" ซึ่งเกิด ขึ้นเป็นบางครั้ง ดาวิดจึงถูกจ้างให้มาเล่นพิณขับกล่อมท่านชั่วคราว เพื่อท่านจะสงบลง ได้ (16:14-23) เดี๋ยวนี้ดาวิดทำงานในวังให้กับซาอูลเต็มเวลาแล้ว และก็ยังมีหน้าที่ เล่นพิณถวายเมื่อซาอูลคลุ้มคลั่ง ที่ซาอูลคลุ้มคลั่งเพราะท่านเริ่มมองเห็นว่าดาวิดเป็น ตัวปัญหาใหญ่ (อย่างน้อยในความคิด) จากแค่ความอิจฉาริษยา เดี่ยวนี้กลายเป็นอยาก ให้ตายในข้อ 10-12.

ก่อนที่เราจะมาดูข้อพระคำนี้อย่างละเอียด ให้เราลองมาพิจารณาการเชื่อมโยงระหว่าง ข้อ 6-9 และข้อ 10-12 ในข้อ 6-9 ซาอูลเริ่มมีความอิจฉา และในข้อ 10-12 กล่าวว่า ท่านถูกวิญญาณชั่วเข้าสิง บางคนคิด หรือออกจะมั่นใจว่า วิญญาณชั่วเป็นตัวต้นเหตุ ผมเคยได้ยินเรื่อง "มารแห่งความอิจฉา" หรือ "มารพิษสุรา" หรือ "มารหลงตนเอง" ฯลฯ ผมไม่ได้กล่าวว่าการกระทำของมารไม่ทำให้เกิดอาการเหล่านี้ แต่ในพระคัมภีร์บอกเรา ว่าสิ่งนี้ไม่ได้มาจากมาร แต่มาจากธรรมชาติเนื้อหนังของตนเอง (ดูกาลาเทีย 5:16-21) พระคำตอนนี้ซาอูลมีความอิจฉา (ข้อ 6-9) ก่อนที่จะถูกวิญญาณชั่วสิง (ข้อ 10) ผมว่า สาเหตุหนึ่งที่วิญญาณชั่วมาสิงซาอูลเพราะความอิจฉาในตัวท่าน ผมว่ามารเป็นพวก นักฉวยโอกาส โดยใช้ความอ่อนแอและความบาปเป็นสะพานเชื่อม (ดูตัวอย่างได้ใน 2 โครินธ์ 2:10-11) การติดยาเสพติด (ไม่ว่าจะถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่ก็ตาม) ก็เข่น เดียวกับการพ่ายแพ้ต่อบาปทางเพศ หรือบาปแห่งความโกรธ คือเป็นการเปิดประต เชิญ ชวนให้มารและกิจการของมันเข้ามาครอบครอง ให้เราระวังอย่าไปคิดว่ามารคือสาเหตุ ของความชั่ว มากกว่าเป็นนักฉวยโอกาสที่เข้าไปเป็นตัวเสริมให้ธรรมชาติบาปของเรา เข้มข้นรุนแรงขึ้น

ผมรู้สึกเป็นหนี้ Dale Ralph Davis ที่อธิบายอาการคลุ้มคลั่งจนอยากฆ่าคนของซาอูล ในข้อ 10-12 (และที่เหลือแทบทั้งบท) แต่ก็ยังไม่ทำให้ดาวิดและคนอื่นๆสงสัยได้ 79 http://www.bible.org/docs/ot/books/1sa/deffin/ มีเหตุผลสองสามประการที่ผมเห็นด้วย แรก ไม่มีใครรู้ว่าในใจ ซาอูลอยากฆ่าดาวิด แม้กระทั่งโยนาธานผู้เป็นบุตร จนกระทั่งมาถึงข้อแรกบทที่ 19 ผู้เขียนย้ำกับเราหลาย ครั้งถึงความรู้สึกที่แท้จริงของซาอูล เช่นในข้อ 11 แต่ก็ยังเห็นไม่ชัดเจนเท่าใด ซาอูล มีอาการคุ้มดีคุ้มร้ายเมื่อ "ถูกวิญญาณชั่วสิง" ตอนนี้ดูเหมือนซาอูลถูกรบกวนมากขึ้น (16:14) และในทันใด "อาการ" คุ้มดีคุ้มร้ายก็เปลี่ยนเป็นอยากฆ่าคน – ท่านพุ่งหอก ไปที่ดาวิดถึงสองครั้ง ผมว่าผมได้ยินเสียงผู้รับใช้ของซาอูลกล่าวออกรับว่า "หวังว่า ทุกคนคงไม่ถือโทษท่าน หมู่นี้ท่านไม่ค่อยเป็นตัวของตัวเองนัก" แต่ผมมั่นใจว่าท่าน เป็นตัวของตัวเอง

ในความเห็นของผม ปมปัญหาส่วนหนึ่งคือจากการแปล คำว่า "เพ้อ" ในข้อ 10 มีการนำคำนี้ในภาษาฮีบรูมาใช้มากกว่า 100 ครั้งในพระคัมภีร์เดิม พระคัมภีร์ฉบับ NASB ใช้คำว่า "เพ้อ" เพียงสองครั้ง (ตอนนี้และใน 1 พงศ์กษัตริย์ 18:29) ในฉบับ KJV ไม่ได้ใช้คำนี้ แต่ใช้คำที่ใช้สำหรับการ "เผยพระวจนะ" แทน คำนี้อาจหมาย ถึงการเผยพระวจนะแท้จริง (เช่นใน กันดารวิถี11:25-26; 1 พงศาวดาร 25:2) หรือเป็น คำพยากรณ์จากผู้เผยพระวจนะเทียมเท็จก็ได้ (เช่น 1 พงศ์กษัตริย์ 22:10) แต่เมื่อผู้ เผยพระวจนะแท้จริงพยากรณ์ ท่านจะทำด้วยวิธีการที่แตกต่างออกไป (ดู 1 ซามู เอล 19:18-24) ซึ่งประชาชนบางคนอาจคิดว่าเป็นอาการ "เพ้อครวญ" ก็เป็นได้

ปัญหาเรื่องการแปลคำว่า "เพ้อ" ในตอนนี้ ทำให้เราหลงเข้าใจไปว่าเป็นอาการเพี้ยน เพียงชั่วครู่ ซึ่งน่าจะเป็นอาการที่ซาอูลแสดงออกมา หรือซาอูลแกล้งทำเพื่อให้คนหลง เข้าใจผิด อย่างไรก็ตาม การที่ซาอูล "แกล้งบ้า" และพุ่งหอกไปเพื่อฆ่าดาวิดนั้น ดู เหมือนเป็นอาการของคนขาดสติควบคุมตนเองไม่ได้ สาเหตุเพราะถูกวิญญาณชั่วสิง ซาอูลจึงรอดตัวไป ปัญหาขัดแย้งในการมองความเพี้ยนเพียงชั่วครู่นี้ คือความคิดของ ซาอูลในขณะพุ่งหอกใส่ดาวิด : "ข้าจะปักดาวิดให้ติดกับผนังเสีย" (ข้อ 11) ซาอูล รู้ตัวดีว่ากำลังทำอะไร และทำในสิ่งที่ตั้งใจ ผมสงสัยว่าที่จริงซาอูลคงกำลังเผยพระ วจนะหรือพยากรณ์อยู่ บางทีเป็นแบบเดียวกับที่พวกมารในพระคัมภีร์ใหม่ชอบทำ :

3 มีคนหนึ่งในธรรมศาลาที่มีผีโสโครกเข้าสิง เขาร้อง เสียงดังว่า 34 "ไฮ้ พระเยซูชาวนาซาเร็ธ ท่านมายุ่ง กับเราทำไม ท่านมาทำลายพวกเราหรือ เรารู้ว่าท่าน เป็นผู้ใด ท่านคือองค์บริสุทธิ์ของพระเจ้า" (ลูกา 4:33-34)

ถ้าซาอูลกำลังพยากรณ์จริง และรู้ว่าดาวิดคือกษัตริย์องค์ใหม่ ซึ่งน่าจะเป็นสาเหตุให้ แกล้งทำบ้า และฆ่าดาวิดเสียด้วยวิธีที่ดูเหมือนถูกวิญญาณชั่วสิง ควบคุมตนเองไม่ได้ ถึงแม้ซาอูลพยายามถึงสองหน ก็ยังทำไม่สำเร็จ และอีกครั้งหนึ่งที่ซาอูลตกต่ำลง และ ดาวิดประสพความสำเร็จ :

  • ดาวิด: ฆ่าโกลิอัทด้วยหินเพียงก้อนเดียว
  • ซาอูล: พุ่งหอกใส่ดาวิดพลาดถึงสองหน

เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าสถิตกับดาวิด ท่านจะถูกฆ่าไม่ได้ ; และเพราะองค์พระผู้เป็น เจ้าพรากไปจากซาอูล ท่านจึงไม่สามารถทำในสิ่งที่ถูกต้องได้

ฆ่าด้วยความกรุณา
หรือ
ตายในระหว่างปฏิบัติหน้าที่
1 ซามูเอล 18:13-30

13ดังนั้นซาอูลจึงรับสั่งให้ย้ายดาวิดไปให้พ้นพระพักตร์ ตั้งเป็น ผู้บังคับการกองพันและเธอได้เข้าออกอยู่ต่อหน้าประชาชน 14 ดาวิดกระทำอะไรก็สำเร็จทุกประการ เพราะพระเจ้าทรงสถิตกับ เธอ 15 เมื่อซาอูลทรงเห็นว่าดาวิดได้กระทำความสำเร็จยิ่ง ก็ ทรงเกรงกลัวดาวิด 16 แต่คนอิสราเอลและคนยูดาห์ทั้งสิ้นรัก ดาวิด เพราะเธอเข้าออกต่อหน้าเขาทั้งหลายอยู่เสมอ 17 ฝ่าย ซาอูลจึงรับสั่งกับดาวิดว่า "ดูเถิด นี่คือบุตรสาวคนโตของเราชื่อ เมราบ เราจะมอบแม่นางให้เป็นภรรยาของเธอ ขอแต่เธอจงเป็น คนกล้าหาญและสู้ศึกของพระเจ้าเท่านั้น" เพราะซาอูลทรงดำริว่า "อย่าให้มือของเราแตะต้องเขาเลย ให้มือคนฟีลิสเตียแตะต้อง เขาดีกว่า" 18 ดาวิดทูลซาอูลว่า "ในอิสราเอลข้าพระบาทคือผู้ใด วงศ์ญาติของข้าพระบาทคือตระกูลบิดาของข้าพระบาทคือผู้ใด ที่ข้าพระบาทควรจะเป็นราชบุตรเขยของพระราชา" 19 แต่อยู่มา เมื่อถึงเวลาที่จะทรงยกเมราบราชธิดาของซาอูลให้เป็นภรรยา ของดาวิด แม่นางก็ถูกยกให้เป็นภรรยาของอาดรีเอลชาวเมโหลาห์ 20 ฝ่ายมีคาลราชธิดาของซาอูลนั้นรักดาวิด มีคนเอาเรื่องไปทูล ซาอูลเรื่องนี้เป็นที่พอพระทัยพระองค์ 21 ซาอูลทรงดำริว่า "ให้เรา ยกแม่นางให้แก่เธอ แม่นางจะได้เป็นกับดักเธอและมือของคนฟีลิส เตียจะได้ต่อสู้เธอ" ดังนั้นซาอูลจึงรับสั่งแก่ดาวิดครั้งที่สองว่า "ครั้ง นี้เธอจะเป็นบุตรเขยของเรา" 22 ซาอูลทรงบัญชามหาดเล็กว่า "จงพูดเป็นส่วนตัวกับดาวิดว่า 'ดูเถิด พระราชาพอพระทัยในเธอ และบรรดามหาดเล็กของพระองค์ก็รักเธอ เพราะฉะนั้นจงเป็นบุตร เขยของพระราชาเถิด'" 23 และมหาดเล็กของซาอูลพูดเรื่องนี้ให้ ดาวิดฟัง ดาวิดก็ถามว่า "ท่านทั้งหลายเห็นว่าที่จะเป็นบุตรเขย ของพระราชานั้นเป็นเรื่องเล็กน้อยอยู่หรือ ด้วยข้าพเจ้าเป็นแต่คน จนและไม่มีชื่อเสียงอะไรเลย" 24 และมหาดเล็กของซาอูลจึงทูลว่า "ดาวิดพูดอย่างนั้นอย่างนี้" 25 ซาอูลจึงรับสั่งว่า "เจ้าจงพูดเช่นนี้ แก่ดาวิด 'พระราชาไม่มีพระประสงค์จะเอาอะไรในการแต่งงานเลย นอกจากหนังปลายองคชาตของคนฟีลิสเตียสักหนึ่งร้อย เพื่อพระ องค์จะทรงแก้แค้นศัตรูของพระราชา'" ฝ่ายซาอูลทรงดำริว่าจะให้ ดาวิดตายเสียด้วยมือของคนฟีลิสเตีย 26 และเมื่อมหาดเล็กกล่าวคำ เหล่านั้นให้ดาวิดฟัง ก็เป็นที่พอใจดาวิดที่จะเป็นบุตรเขยของพระราชา ก่อนเวลาที่กำหนดไว้จะหมดไป 27 ดาวิดก็ลุกขึ้นไปพร้อมกับคนของ เธอ ได้ฆ่าคนฟีลิสเตียเสียสองร้อยคน และดาวิดก็นำหนังปลายองคชาต ของคนเหล่านั้นมาถวายแก่พระราชาครบจำนวน เพื่อเธอจะเป็นบุตรเขย ของพระราชา ซาอูลจึงยกมีคาลพระราชธิดาของพระองค์ให้เป็นภรรยา ของดาวิด 28 ซาอูลทรงเห็นและทราบว่า พระเจ้าทรงสถิตกับดาวิด และมีคาลพระราชธิดาของซาอูลรักเธอ 29 ซาอูลทรงเกรงกลัวดาวิด มากยิ่งขึ้น ดังนั้นซาอูลจึงเป็นศัตรูของดาวิดเรื่อยมา 30 บรรดาเจ้านาย แห่งคนฟีลิสเตียก็ออกมาทำสงคราม เขาทั้งหลายจะออกมาสักกี่ครั้งก็ตาม ดาวิดก็ได้กระทำความสำเร็จมากกว่าบรรดา ข้าราชการของซาอูล ชื่อเสียงของเธอจึงโด่งดังมาก

แค่เห็นหน้าดาวิดเข้าออกอยู่ในวังก็ทำให้ซาอูลอารมณ์เสีย แต่อยู่ดีๆจะฆ่าเสียก็เป็นไป ไม่ได้ ท่านจึงส่งดาวิดไปให้พ้นหน้าด้วยการตั้งให้เป็นผู้บังคับการกองพัน ถึงแม้จะเป็น ไปได้ แต่ก็ดูแทบไม่ออกว่านี่คือการลดยศ เพราะถ้าดูตามเนื้อเรื่องในตอนนี้ผมเองยัง มองว่าเป็นการเลื่อนยศด้วยซ้ำไป จึงดูเหมือนว่าซาอูลมีใจปราณีต่อดาวิดมาก ทั้งที่ใน ความเป็นจริงต้องการกำจัดเสีย ถึงแม้จะไม่ถูกพวกฟิลิสเตียหรือศัตรูอื่นฆ่าตาย อย่าง น้อยก็พ้นหน้า และหวังว่าจะไปให้พ้นจากความคิดของคนอิสราเอลเสียได้ อีกครั้งที่ มันไม่ได้เป็นตามที่หวัง ไม่ว่าดาวิดจะถูกส่งไปที่ใด พระเจ้าทรงทำให้ท่านประสพ ความสำเร็จทุกครั้งไป และได้รับความนิยมจากประชาชนมากขึ้นเรื่อยๆ ทุกอย่างที่ เกิดขึ้นอยู่ในสายตาของซาอูลทั้งสิ้น และทำให้ท่านกลัวมากขึ้นไปอีก

ซาอูลคิดว่าตนฉลาดที่ปล่อยให้ดาวิดไปถูกพวกศัตรูของอิสราเอลฆ่าตายดีกว่า ท่าน พยายามลองส่งดาวิดไปทำงานที่เสี่ยงยิ่งๆขึ้น เพื่ออาจพลาดพลั้งถึงตายได้ ท่านล่อ ดาวิดโดยเสนอให้เมราบผู้เป็นบุตรสาวเป็นภรรยา (ข้อ 17) นี่ไม่ใช่เป็นการตอบแทนที่ ฆ่าโกลิอัทได้ ทั้งๆที่ควรใช่ (17:25) ดูเหมือนซาอูลจะลืมสัญญาข้อนั้นไปแล้ว ท่านทำ เหมือนว่านี่เป็นข้อเสนอใหม่ ที่ดาวิดต้อง "แลก" กับบางอย่างเพื่อเมราบ โดยคำสั่งว่า "ขอแต่เธอจงเป็นคนกล้าหาญและสู้ศึกของพระเจ้าเท่านั้น" (ข้อ 17)

เป็นคำพูดที่ดูน่าเชื่อถือดีนะครับ แต่ขอบคุณที่พระคำตอนนี้ไม่ได้มีแต่ "เปลือกนอก" เพราะถ้าเจาะลงไปจะได้กลิ่นไม่สู้ดีนัก ทำให้ผมนึกถึงเพลงลูกทุ่งฝรั่งเพลงหนึ่งที่ชื่อ ว่า "Workin' like the devil, Servin' the Lord" (ทำงานหนักเหมือนมาร เพื่อปรนนิบัติ พระเจ้า) แต่ถ้าเราจะแต่งเพลงซักเพลงให้ซาอูล คงจะต้องใช้ชื่อเพลงว่า "Talkin' like the Lord, Servin' the devil" (พูดจาเหมือนพระเจ้า เพื่อปรนนิบัติซาตาน) คำพูดของ ท่านดูน่าเชื่อถือ แต่จุดประสงค์แท้จริงนั้นชั่วร้าย ซาอูลเสนอให้บุตรสาวกับดาวิด ด้วย หวังว่าจะเป็นเหตุให้ดาวิดยอมรบจนตายเพื่อนาง

ซาอูลไม่ทันตั้งตัวเมื่อดาวิดตอบปฏิเสธข้อเสนอ ไม่ใช่เป็นเพราะดาวิดกลัวตายไม่กล้า ออกรบ แน่นอนดาวิดเต็มใจไปรบโดยไม่หวังสิ่งตอบแทนใดๆ เช่นบุตรสาวของซาอูล มาเป็นภรรยา ดาวิดเป็นบุคคลที่ถ่อมตัว ท่านคิดว่าฐานะคนธรรมดาอย่างท่านไม่สมควร กับข้อเสนอนี้ ท่านจึงปฏิเสธ เมื่อดาวิดปฏิเสธข้อเสนอของซาอูล ซาอูลจึงยกเมราบบุตร สาวให้เป็นภรรยาผู้อื่น นี่ไม่ใช่สาเหตุที่ทำให้ซาอูลเปลี่ยนใจหรือยกเลิกสัญญา (ไม่ใช่ เพราะท่านทำไม่ได้) เพียงแต่ยังไม่มีบทสรุปสำหรับเรื่องนี้ มีการตั้งเวลา มีการขีดเส้น ตาย ซึ่งดาวิดต้องทำให้ได้ (ดูข้อ 19, 26) แต่ดาวิดปฏิเสธ ท่านจึงไม่สมควรกับข้อ เสนอของซาอูล เมราบจึงถูกยกให้กับอาดรีเอล (ข้อ 19) สิ่งนี้ไม่ทำให้ซาอูลเสียหน้า แต่กับสร้างภาพพจน์ที่ดีให้กับดาวิด

ถึงจะผิดหวัง แต่ซาอูลมั่นใจว่าท่านต้องทำให้ดาวิดหลงรักบุตรสาวคนใดคนหนึ่งให้ได้ เพื่อดาวิดจะได้ทำสิ่งในที่โง่เขลาและไปตายในสนามรบเสีย ดังนั้นเมื่อซาอูลได้ยินว่า บุตรสาวคนรองมีคาลแอบหลงรักดาวิด ท่านรู้สึกดีใจมาก โอกาสครั้งที่สองมาถึงแล้ว ในเมื่อมีคาลเต็มใจจะแต่งงานกับดาวิด ถ้าสนับสนุนเสียหน่อย ดาวิดอาจยอมรับข้อ เสนอก็ได้ ยังพอมีหวังที่จะกำจัดดาวิดอยู่

คราวนี้ซาอูลคิดอย่างรอบคอบ ท่านเสนอมีคาลให้กับดาวิด และสั่งมหาดเล็กให้ไปพูด จาหว่านล้อมเพื่อดาวิดจะยินดีรับข้อเสนอ มหาดเล็กไปพูดคุยกับดาวิดว่าท่านเป็นที่ โปรดปรานของซาอูลเป็นอย่างยิ่ง และทุกคนอยากให้ท่านเป็นราชบุตรเขย คำตอบ ของดาวิดเป็นดังที่เราคาดไว้ ท่านชี้ให้เห็นถึงฐานะอันต่ำต้อย และไม่มีเงินพอ จะเป็น ค่าสินสอดสำหรับหญิงผู้สูงศักดิ์ได้ ทรัพย์สมบัติที่ท่านมีสำหรับเป็นสินสอดจะเป็น การดูถูกกษัตริย์ซาอูลและบุตรสาวจนเกินไป แต่ซาอูลกล่าวกับดาวิดว่า : ท่านไม่ต้อง การทรัพย์สินเงินทองของดาวิดแต่ประการใด -- ดาวิดสามารถจ่ายค่าสินสอดด้วยวิธีอื่น -- ปลายหนังองคชาตของชาวฟิลิสเตีย ! นี่ทำให้ดาวิดสนใจ ท่านต้องการมีคาลมาเป็น ภรรยา และต้องการสู้รบเพื่อองค์พระผู้เป็นเจ้า ท่านจึงรับข้อเสนอ แทนที่จะถูกฆ่าตาย ดาวิดกลับสู้รบจนชนะพวกฟิลิสเตีย และสามารถนำปลายหนังองคชาติมามอบให้มากถึง สองเท่าตัว

ด้วยความกลัดกลุ้มใจ ซาอูลมอบบุตรสาวให้แต่งงานกับดาวิด การนี้นอกจากจะพิสูจน์ ว่าแผนการของท่านล้มเหลวแล้ว -- แย่ไปกว่านั้นคือ ดาวิดประสพความสำเร็จอีกครั้ง บัดนี้ซาอูลนอกจากกลัวและต้องการกำจัดดาวิดแล้ว ยังพบว่าสมาชิกในครอบครัวถึง สองคนผูกสมัครรักใคร่กับดาวิด เริ่มจากโยนาธานที่ผูกพันธ์และทำสัญญากันในตอน ต้นบท และตอนจบบท มีคาลบุตรสาวก็หลงรักและได้แต่งงานกับดาวิด ในที่สุดดาวิด ก็ชนะใจสมาชิกสำคัญถึงสองคนในครอบครัวของซาอูลได้ และดันเป็นสองคนที่ซาอูล หวังพึ่งจะให้มาฆ่าดาวิดเสียอีก แผนการและอาณาจักรของท่านกำลังจะล่มสลาย

การแต่งงานที่ซาอูลเสนอให้ดาวิดก็เพื่อเป็นสินน้ำใจในการรบเพื่อประเทศชาติอย่าง กล้าหาญ ซึ่งดาวิดกระทำได้เป็นอย่างดี ปัญหาก็คือหน้าที่เสี่ยงตายนี้แทนที่จะกำจัด ดาวิดลงได้ กลับทำให้ท่านมีชื่อเสียงเหนือผู้บังคับการคนอื่นๆ ดาวิดกระทำการได้ชาญ ฉลาดกว่าผู้อื่น เป็นเพราะเหตุนี้ ท่านจึงได้รับการยกย่องเป็นอย่างมาก

บทสรุป

ให้เราย้อนกลับไปดูบทที่ 18 ในมุมกว้างอีกครั้ง แรก พระเจ้าได้ทรงทำให้แผนการที่ พระองค์สัญญาไว้สำเร็จลงด้วยวิธีการที่มหัศจรรย์จนคาดไม่ถึง ในบทที่ 13 และ 15 พระเจ้าแจ้งแก่ซาอูลว่าอาณาจักรของท่านจะสิ้นสุดลง ตามเนื้อหาเราเห็นว่าการปก ครองของท่านยุ่งเหยิงขึ้นเรื่อยๆ ซาอูลกำลังจะปล่อยให้ทั้งอาณาจักรและชีวิตของท่าน หลุดลอยไป ในบทที่ 16 มีการเจิมตั้งดาวิดขึ้นมาเป็นกษัตริย์องค์ใหม่ของอิสราเอล เรา เห็นถึงวิธีที่พระเจ้าจัดเตรียมทางให้ดาวิดขึ้นครองราชย์ ดาวิดมีโอกาสใกล้ชิดกับซาอูล สามารถเข้านอกออกในได้โดยสะดวก และเดี่ยวนี้ท่านยังมีสัมพันธ์ที่ติดสนิทกับสมาชิก ในครอบครัวของซาอูลถึงสองคน บุตรชาย (ในฐานะเป็นเพื่อนตาย) และบุตรสาว (ใน ฐานะเป็นภรรยา) ดาวิดมีอำนาจในกองทัพของซาอูล และเป็นผู้นำที่พิสูจน์ตนเองว่า กล้าหาญสมกับตำแหน่ง ดาวิดกำลังไต่ขึ้น และซาอูลกำลังร่วงลง เราไม่คาดคิดว่าเหตุ การณ์จะออกมาในรูปนี้ แต่แผนการของพระเจ้ามักไม่เป็นไปตามที่มนุษย์คิด (ดูอิสยาห์ 55:8-11; โรม 11:33-36; 1 โครินธ์ 2:6-16)

ข้อสังเกตุประการที่ สอง คือพระคำของพระเจ้านั้นแน่นอนและเกิดขึ้นจริง พระเจ้าเตือน ซาอูลแล้วว่าจะถูกลงโทษถ้าไม่กลับใจ และซาอูลไม่ยอมกลับใจ พระเจ้ากำลังกำจัดอา ณาจักรของซาอูลลง ถึงแม้ท่านพยายามจะปกป้องเป็นที่สุด ในขณะเดียวกัน พระเจ้า สัญญาจะประทานอาณาจักรให้แก่ดาวิด และพระคำตอนนี้ยิ่งทำให้เรามั่นใจว่าสัญญา ของพระองค์กำลังจะเป็นจริงอีกครั้ง พระเจ้าทรงรักษาพระสัญญาของพระองค์ ไม่ว่า จะเป็นเรื่องความมั่งคั่ง พระพร หรือการพิพากษา

สาม ในตัวโยนาธานเราเห็นแบบอย่างอันเลิศของความรักที่พระเจ้าปรารถนาจากเรา เรา ถูกย้ำอยู่เสมอว่า "จงรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง" (เลวีนิติ 19:18; มัทธิว 19:19; 22:39, มาระโก 12:31; โรม 13:9; กาลาเทีย 5:14; ยากอบ 2:8) สิ่งนี้คือสิ่งเดียวกับที่ โยนาธานปฏิบัติต่อดาวิด (ดูข้อ 1) ดังนั้น โยนาธานจึงเป็นแบบอย่างสำหรับให้เรารัก เพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง ผมยังไม่เห็นมีตอนไหนที่โยนาธานรักตนเองมากกว่า เพื่อจะ ได้รู้ว่าจะรักเพื่อนบ้านอย่างไร ผมเห็นการเสียสละครั้งใหญ่ เมื่อโยนาธานยอมมอบราช บัลลังก์ให้ดาวิดอย่างเต็มใจ (ยังไม่นับเสื้อคลุมและเครื่องอาวุธอีก) โยนาธานเป็น เพื่อนผู้ซื่อสัตย์ และท่านพร้อมที่จะเสี่ยงชีวิตเพื่อปกป้องดาวิด นับว่าท่านเป็นผู้เสียสละ ที่ยิ่งใหญ่ ตามที่บันทึกไว้ในพระคัมภีร์ การกระทำของท่านไม่ได้ "มากหรือน้อยไปกว่า หน้าที่ที่ต้องปฏิบัติ;" ท่านทำได้เป็นอย่างดี สมควรที่เรายึดเอาเป็นแบบอย่างด้วย

สี่ สิ่งที่เราเห็นในซาอูลนั้นเหมือนกับบรรดาสาวกของพระเยซูเมื่อพระองค์ทำพันธกิจ อยู่บนโลก และเหมือนที่เกิดกับคริสตจักรในทุกวันนี้ – การแก่งแย่งชิงดี อิจฉาริษยา รักษาผลประโยชน์ตนเอง ฯลฯ ดาวิดเป็นผู้รับใช้ที่สัตย์ซื่อที่สุดที่ซาอูลมี แต่ซาอูลกลับ มองเห็นชัยชนะและความสำเร็จของดาวิดเป็นคู่แข่ง บรรดาสาวกก็เช่นกัน แย่งชิงที่จะ เป็นใหญ่ ถกเถียงกันว่าใครใหญ่กว่าใคร และโกรธเมื่อมีใครทำดีเกินหน้า คริสตจักรใน ทุกวันนี้ พระเจ้ามอบของประทานด้านจิตวิญญาณบางอย่างให้คริสเตียนแต่ละคน เพื่อ เสริมสร้างและทำให้ผู้นั้นสามารถทำพันธกิจบางประการให้กับพระองค์ได้ เราควรชื่น ชมเมื่อพระเจ้ากำลังเสริมสร้างผู้อื่น และพยายามเรียนรู้จากพวกเขา หรือว่าเราควรแข่ง ขันและต่อต้านพวกเขาดี ? เราเคยสงสัยบ้างไหมว่า การวิพากวิจารณ์งานรับใช้และ ความเชื่อของผู้อื่นอาจมาจากรากแห่งความอิจฉาริษยา มากกว่ามาจากการรับใช้อย่าง สัตย์ซื่อและเชื่อฟังพระคำ ให้เราระมัดระวังเรื่องความอิจฉาริษยาให้ดี อย่าใช้คำพูด และการแสดงที่ดูน่านับถือมาบทบัง

ทั้งโยนาธานและซาอูล เป็นแบบแสดงให้เห็นถึงการตอบสนองที่ผููู้้คนมีต่อจอมกษัตริย์ คือองค์พระเยซูคริสต์ ดาวิดเป็นกษัตริย์อิสราเอลที่พระเจ้าเลือก ดูเหมือนซาอูลรู้ความ จริงข้อนี้ และพยายามขัดขวางจนถึงที่สุด ถึงขนาดตามฆ่าดาวิดให้ตาย โยนาธานรู้เช่น กัน ถึงแม้จะหมายถึงดาวิดขึ้นมาปกครองแทน โยนาธานกลับทำสัญญากับดาวิดยอม สละสิทธิในการขึ้นครองบัลลังก์ให้

พระเจ้าเลือกพระบุตรของพระองค์ พระเยซูคริสต์มาจัดตั้งอาณาจักรของพระองค์ เพื่อ ปกครองทุกสรรพสิ่งที่พระองค์ทรงสร้าง ทั้งในโลกนี้และที่บนสวรรค์ด้วย เช่นเดียวกับ ซาอูล เราอาจรั้งบัลลังก์ของเราไว้ ต่อต้านและหลบเลี่ยงการปกครองของกษัตริย์ที่พระ เจ้าเลือก ถ้าเราทำ เราก็กำลังเดินไปสู่ความพินาศ หรือเราจะยอมสละ เลิกคิดที่จะนั่ง บนบัลลังก์ของตนเอง ยอมจำนนกับการครอบครองของกษัตริย์ขององค์พระผู้เป็นเจ้า เหมือนกับที่โยนาธานยอมจำนนกับดาวิด ทางเลือกเดียวที่ถูกต้องคือยอมสละความคิด ที่จะควบคุมครอบครองชีวิตตนเอง และยอมจำนนกับพระองค์ผู้เดียวผู้ทรงสมควรจะขึ้น ครอง พระเจ้าให้ทางเลือกเพียงสองทางเท่านั้น การไม่ยอมรับพระคริสต์ก็คือต่อต้าน การครอบครองของพระองค์ การต่อต้่านพระคริสต์ก็คือการนำการพิพากษามาสู่ตนเอง การยอมจำนนต่อพระองค์คือการเข้าสู่ชีวิตนิรันดร์ ท่านจะเลือกทางใดดี ? ท่านจะอยาก เป็นเหมือนใคร -- ซาอูลหรือโยนาธาน ? ไม่มีการเลือกใดจะสำคัญมากไปกว่าการ เลือกในครั้งนี้แล้ว


70 ดู 14:52.

71 ฉบับ NIV, KJV and NKJV (ตามความเห็นของผมว่าถูกต้อง) ใช้คำภาษาฮีบรูซึ่งแปลว่า "เพ้อ" เป็นคำเดียวกับคำว่า "พยากรณ์" ซึ่งเป็นคำเดิมที่ใช้สำหรับ "การเผยพระวจนะ" ถูก หรือผิด ก็มีการใช้ในที่อื่นๆด้วยเช่น ใน 1 ซามูเอล 10:5-6, 10-11, 13; 19:20-21, 23-24; 1 พงศ์กษัตริย์ 18:29; 22:8.

72 พระคำตอนนี้ไปกันได้กับเนื้อเรื่อง ซึ่งตรงข้ามกับฉบับแปลของ KJV, NKJV, NRSV ที่ใช้คำ ว่า "แต่… ." ให้ไปดูที่ข้องสังเกตุที่ผมรวบรวมไว้

73 เกือบทั้งหมดมีกล่าวถึงอยู่ในหนังสือของ Dale Ralph Davis Looking on the Heart: Expositions of the Book of 1 Samuel (Grand Rapids: Baker Books, 1994), vol. 2, p. 53.

74 จากหนังสือของ Dale Ralph Davis ชื่อเรื่อง Looking on the Heart vol. 2, p. 52, fn. 2.

75 อย่าลืมว่าในบทที่ 13:22 มีเพียงสองคนเท่านั้นที่มีดาบในอิสราเอล คือซาอูลและโยนาธาน

76 น่าเสียดายที่เราไม่มีเวลาพูดถึงวิธีที่บารนาบัสเสริมสร้างเซาโล (หรือ อ.เปาโลในเวลาต่อมา) ตามที่บันทึกอยู่ในพระธรรมกิจการ เพราะเป็นเหมือนภาพเงาของบารนาบัสผู้ที่ถูกเรียกว่า "ลูก แห่งการหนุนน้ำใจ " เป็นภาพงดงามที่เกิดขึ้นไม่บ่อยนัก

77 ผมเกือบจะบอกว่า "วันหนึ่งดาวิดอยู่ในความกรุณาของซาอูล ; วันต่อไปถูกเพ่งเล็งด้วย ความสงสัย" บางทีอาจจะไม่เร็วขนาดนั้น ดาวิดคงต้องกลับจากการไล่ล่าชาวฟิลิสเตียและริบ ข้าวของมา พวกผู้หญิงอิสราเอลคงจะมาจากหลายแห่ง "ทั่วประเทศ" คงกินเวลาหลายวันอยู่ ประเด็นก็คือซาอูลเปลี่ยนใจเรื่องดาวิดเร็วเกินคาด น่าจะเป็นเพราะเพลงที่พวกผู้หญิงนำมาร้อง ในการเฉลิมฉลองชัยชนะ

78 แน่นอน ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นมาจากพระประสงค์ทั้งสิ้นของพระเจ้า

79 จากหนังสือของ Dale Ralph Davis ชื่อเรื่อง Looking on the Heart, vol. 2, pp. 53, 54.

Related Topics: Introductions, Arguments, Outlines

Pages