MENU

Where the world comes to study the Bible

บทที่ 5: เราต้องการกษัตริย์ ! (1 ซามูเอล 8:1-22)

คำนำ

ขณะที่ผมอ่านพระธรรม 1 ซามูเอลบทที่ 8 ผมนึกย้อนไปถึงเรื่องราวที่สนุกสนาน ต่อ เนื่องในชีวิตของยาโคบในปฐมกาลบทที่ 30 และ 31 เมื่อยาโคบหนีไปยังเมืองปัดดาน อารัม ส่วนหนึ่งเพื่อไปมองหาภรรยาในท่ามกลางหมู่ญาติ และอีกส่วนหนึ่งคือหนีไปให้ พ้นจากความโกรธของเอซาวพี่ชาย ยาโคบไม่มีเงินจ่ายค่าสินสอดสำหรับภรรยา ท่าน จึงต้องทำงานให้กับลาบัน พ่อตา เป็นเวลาถึง 14 ปีเพื่อเป็นค่าสินสอดให้กับภรรยาสอง คนคือ เลอาห์และราเชล หลังจาก 14 ปีแห่งการทำงานหนักชดใช้ให้กับลาบันผ่านไป ยาโคบกับลาบันจึงตกลงทำ "สัญญา" กันขึ้นใหม่ มีค่าจ้างให้กับยาโคบสำหรับงานใน อนาคต มีการตกลงกันว่า ค่าจ้างสำหรับงานของยาโคบคือ แกะที่มีจุดมีด่างและแกะดำ โดยการแยกแกะเหล่านี้ออกไปเป็นส่วนของยาโคบ

ยาโคบไม่ค่อยพอใจต่อสัญญานี้นัก เพราะโอกาสที่แกะจะคลอดออกมาเป็นแบบนี้มีน้อย ท่านจึงมองหาวิธีแก้ใขสถานการณ์เพื่อตนเองจะเป็นฝ่ายได้เปรียบ ท่านมุ่งความสนใจ ทั้งหมดไปที่สีของลูกแกะที่จะเกิดใหม่ โดยเปลี่ยนสภาพแวดล้อมในบริเวณที่สัตว์ตั้ง ท้องและตกลูก ท่านใช้เวลาเกือบทั้งหมดไปในการปอกเปลือกกิ่งไม้ เพื่อให้มีรอยสี ขาวๆ แล้วนำมาวางไว้ในรางตรงที่ฝูงสัตว์กินและดื่มน้ำ

แผนการนี้เกิดผล ฝูงสัตว์ของยาโคบเพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อยๆ ในขณะที่ของลาบันมีจำนวน เกือบเท่าเดิม ยาโคบทุ่มเทมากกับโครงการนี้ และเริ่มทวีความมั่งคั่งขึ้นเรื่อยๆ ท่านคิด ว่าพระเจ้าทรงอวยพระพรกับการ "ปอกเปลือกไม้" ของท่าน ลาบันและลูกๆเริ่มเห็นสิ่ง ผิดปกติและไม่ชอบใจเป็นอย่างยิ่ง ยาโคบเห็นและรับรู้ถึงความไม่พอใจของลาบันและ ลูก พระเจ้าทรงสั่งให้ยาโคบออกจากปัดดานอารัม เพื่อกลับคืนสู่ดินแดนของบรรพบุรุษ ยาโคบจึงไปชักชวนภรรยาให้ออกจากบ้านบิดา ท่านเล่าเรื่องความฝันให้พวกเธอฟังว่า ในฝันองค์พระผู้เป็นเจ้ากระทำให้ท่านเห็นว่า เฉพาะแกะผู้ที่มีจุด ด่างและดำเท่านั้นที่ ผสมพันธุ์ และทูตสวรรค์แจ้งแก่ท่านว่าความมั่งคั่งทั้งหลายที่ยาโคบมีอยู่นี้เป็นมาจาก พระเจ้าทั้งสิ้น

ผมสงสัยจริงๆว่ายาโคบใช้เวลานานมากเพียงใดกว่าจะสำเหนียกในเรื่องนี้ ความมั่งคั่งที่ ยาโคบมี ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องเปลือกไม้ที่ท่านอุตส่าห์ปอกและนำไปวางในที่ต่างๆ เพื่อให้สัตว์ผสมพันธุ์ทั้งสิ้น เหตุที่ทำให้ลูกแกะเกิดใหม่ออกมามีจุดด่างดำนั้นเป็นเพราะ พระเจ้าทรงบันดาลให้เฉพาะสัตว์เหล่านี้เท่านั้นผสมพันธุ์ ความมั่งคั่งนี้จึงไมใช่เป็น เพราะฝีมือของตนเอง ; ที่จริงการนั่งปอกเปลือกไม้นั้นเป็นการเสียเวลาไปเปล่าๆ ที่ท่าน มั่งคั่งขึ้นมานั้นเป็นเพราะพระเจ้าเป็นผู้กระทำให้เฉพาะสัตว์ที่มีจุดด่างดำเท่านั้นที่ผสม พันธุ์

จึงไม่น่าแปลกที่พระเจ้าทรงเปลี่ยนชื่อท่านจากยาโคบเป็นอิสราเอล เพราะยาโคบ ชาย ผู้นี้จะมาเป็นต้นตระกูลของประเทศอิสราเอล ยิ่งไปกว่านั้น ชาวอิสราเอล ชื่อใหม่ของ ยาโคบ จะเป็นเหมือนดังบรรพบุรุษ พวกเขาจะลองพยายามใช้กรรมวิธี "ปอกเปลือกไม้" ในหลายรูปแบบเพื่อพยายามควบคุมพระพรของพระเจ้า เพื่อนำความมั่งคั่งมาสู่ตนเอง

ในตอนต้นของพระธรรม 1 ซามูเอล พวกเขาคิดว่าสามารถนำวิธี "ปอกเปลือกไม้" มาใช้ กับหีบพันธสัญญาได้ หลังจากเริ่มพ่ายแพ้ต่อชาวฟิลิสเตีย ชาวอิสราเอลกลับไปนำเอา หีบพันธสัญญาออกสู่สนามรบ เพราะมั่นใจว่าจะต้องชนะแน่ อย่างที่เรารู้ เหตุการณ์ไม่ เป็นเช่นนั้น ต่อไปในบทที่ 8 คราวนี้ไม่ใช่หีบพันธสัญญา แต่เป็นกษัตริย์ที่คนอิสราเอล ต้องการฝากความหวังและมอบความไว้วางใจให้แทน การที่คนอิสราเอลปรารถนาจะมี กษัตริย์ เป็นเพียงการย้อนยุคประวัติศาสตร์ของวิธี "ปอกเปลือกไม้" อีกครั้งหนึ่ง ให้ เรามาตั้งใจเรียนถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในประวัติศาสตร์ของอิสราเอล และเรียน รู้ในสิ่งที่คนอิสราเอลใช้เวลานานมากกว่าจะเรียนรู้

ข้อสังเกตุที่สำคัญ

ก่อนจะอธิบายพระธรรม 1 ซามูเอล 8 มีข้อสังเกตุสำคัญมากบางประการที่เราต้องทำ ความเข้าใจให้ดีเพื่อการเรียน และการนำมาปฏิบัติ จะได้ไม่ยากเกินความเข้าใจ

ประการแรก พระเจ้าทรงเป็นกษัตริย์ของชาวอิสราเอลเมื่อครั้งอพยพ เมื่อพระ เจ้าทรงช่วยกู้คนอิสราเอลออกมาจากการเป็นทาสในประเทศอียิปต์ พระองค์ทรงเป็น กษัตริย์ของพวกเขา เจรจาต่อสู้กับฟาโรห์ในฐานะกษัตริย์ต่อกษัตริย์ จนกระทั่งข้าม ทะเลแดงมาได้ พวกเขาจึงสำนึกในความจริงข้อนี้ และแสดงออกถึงความเชื่อด้วยบท เพลงสรรญเสริญบทนี้ :

16ความรู้สึกเสียวสยองและความตกใจกลัวอุบัติขึ้น ในใจของเขา เนื่องด้วยฤทธานุภาพแห่งพระกรของ พระองค์ เขาหยุดนิ่งอยู่เหมือนก้อนหิน ข้าแต่พระเจ้า จนประชากรของพระองค์ผ่านพ้นไป จนชนชาติซึ่ง พระองค์ทรงไถ่ไว้แล้วผ่านไป 17 พระองค์ทรงนำ เขาเข้ามา และให้เขาตั้งหลักแหล่งอยู่บนภูเขาของ พระองค์ ข้าแต่พระเจ้า เป็นสถานที่ซึ่งพระองค์ทรง สร้างไว้เพื่อเป็นที่สถิตของพระองค์ ข้าแต่พระเจ้า สถานนมัสการซึ่งพระหัตถ์ของพระองค์สถาปนาไว้ 18 พระเจ้าจะทรงครอบครอง24 http://www.bible.org/docs/ot/books/1sa/deffin/ อยู่เป็นนิตย์นิรันดร์"
(อพยพ 15:16-18)

พระเจ้าเองทรงสัญญาว่าจะ "นำหน้า" (และระวังหลัง) ให้กับประชากรของพระองค์ อย่างที่กษัตริย์ทำ (ดูอพยพ 23:23; อิสยาห์ 45:2; 52:12) นักวิชาการพระคัมภีร์เดิม ตั้งข้อสังเกตุว่า การทำพันธสัญญาระหว่างพระเจ้าและอิสราเอลในพระธรรมเฉลยธรรม บัญญัติช่วงระหว่างการอพยพนั้น เป็นธรรมเนียมโบราณในการปฏิบัติระหว่างกษัตริย์ และประชาชน ดังนั้นคนในสมัยโบราณจึงมีความเข้าใจในเรื่องนี้เป็นอย่างดี – ว่าพระ เจ้าเป็นผู้จัดตั้งพันธสัญญานี้ในฐานะกษัตริย์ที่ปกครองอิสราเอล มีการพูดถึงเรื่องนี้อย่าง ชัดเจนในที่อื่นๆในพระคัมภีร์ด้วย

1 ต่อไปนี้เป็นพรซึ่งโมเสสบุรุษของพระเจ้า ได้อวยพรแก่ พงศ์พันธุ์ของอิสราเอลก่อนที่ ท่านสิ้นชีวิต 2 ท่านกล่าวว่า พระเจ้าเสด็จ จากซีนาย และทรงรุ่งแจ้งจากเสอีร์มายังเขา ทั้งหลาย พระองค์ทรงฉายรังสีจากภูเขาปาราน พระองค์เสด็จจากผู้บริสุทธิ์นับหมื่นๆ ที่พระหัตถ์ เบื้องขวามีไฟเป็นพระธรรมแก่เขา 3 แท้จริง พระองค์ทรงรักประชากรของพระองค์ บรรดา วิสุทธิชนของพระองค์ก็อยู่ในพระหัตถ์ของพระองค์ และเขาทั้งหลายกราบลงที่พระบาทของพระองค์ รับพระดำรัสของพระองค์ 4 โมเสสบัญชาธรรม บัญญัติไว้แก่เรา เป็นกรรมสิทธิ์ของชุมนุมชน ยาโคบ 5 ดังนี้แหละ พระองค์ทรงเป็นพระราชา ในเยชูรูน เมื่อหัวหน้าชนชาติชุมนุมกัน เมื่อคน อิสราเอลทุกเผ่ารวมกันอยู่
(เฉลยธรรมบัญญัติ 33:1-5, ดูอพยพ 19:3-6 ด้วย; เลวีนิติ 20:26; 25:23)

ในสดุดีบทที่ 74 อาสาฟมองดูและยกย่องการกระทำของพระเจ้าในฐานะกษัตริย์ของ อิสราเอล :

12 ถึงกระนั้น พระเจ้ากษัตริย์ของข้าพระองค์ ทรงอยู่แต่ดึกดำบรรพ์ ทรงประกอบกิจความ รอดท่ามกลางแผ่นดินโลก 13 พระองค์ทรง แยกทะเลด้วยฤทธานุภาพของพระองค์ พระ องค์ทรงหักหัวมังกรบนน้ำ 14 พระองค์ทรงขยี้ หัวทั้งหลายของเลวีอาธาน พระองค์ประทานมัน ให้เป็นอาหารของ สรรพสัตว์แห่งถิ่นทุรกันดาร 15 พระองค์ทรงแยกเปิดน้ำพุและลำธาร พระองค์ ทรงให้แม่น้ำที่ไหลอยู่เสมอแห้งไป
(สดุดี 74:12-15; ดูสดุดี 47:2-3 ด้วย)

ประการที่สอง หลังจากพระเจ้าทรงปลดปล่อยชาวอิสราเอลออกจากการเป็น ทาสในประเทศอียิปต์แล้ว พระองค์ทรงจัดเตรียมให้พวกเขาได้มีกษัตริย์ ในปฐมกาล 49:8-12 เราเห็นชัดเจนว่าลูกหลานเผ่ายูดาห์จะได้ปกครองอิสราเอล คำ พยากรณ์ของบาลาอัมในกันดารวิถี 24:15-19 มีการพยากรณ์ไว้ว่า ผู้สืบเชื้อสายคนหนึ่ง ของยาโคบ จะมาปกครองและทำลายศัตรูให้กับประชากรของพระเจ้า ในเฉลยธรรม บัญญัติ 17:14-20 พระเจ้าตรัสไว้ว่า วันหนึ่งข้างหน้าชาวอิสราเอลจะเรียกร้องขอมี กษัตริย์ เราจะกลับมาพูดถึงเรื่องนี้อีกทีหลัง ที่ต้องการแสดงให้เห็นคือ พระธรรม 1ซามูเอล 8 เป็นการทำให้คำพยากรณ์ในเฉลยธรรมบัญญัติ 17:14 สำเร็จลุล่วงไป

ประการที่สาม นับเป็นครั้งแรกในสามครั้ง ในพระธรรม 1 ซามูเอล ที่พระเจ้าตรัส กับอิสราเอลโดยทางผู้เผยพระวจนะซามูเอลถึงความชั่วร้ายในการเรียกร้องขอ มีกษัตริย์ (ดู 10:17-19; 12:6-18 ด้วย) บทที่ 8 เป็นครั้งแรกที่คนอิสราเอลเรียกร้อง ให้มีกษัตริย์ มีคำตอบของซามูเอลและของพระเจ้า และคำตักเตือนของซามูเอลเองที่มี ต่อประชาชน อย่าลืมว่าจะมีการนำเรื่องนี้มาพูดถึงอีกในบทที่ 10 และ 12 ดังนั้นเพื่อจะ ให้เข้าใจในบทที่ 8 ให้ดียิ่งขึ้น เราต้องเรียนปูทางไปสู่ยังบทที่ 10 และ 12

ประการที่สี่ ความสำคัญของบทที่ 8 ไม่ใช่เพียงเพราะความชั่วที่อิสราเอล ปฏิเสธพระเจ้า และหันไปนับถือรูปเคารพ (ถึงแม้เรื่องนี้จะเป็นเรื่องหลัก) ; แต่ เพราะต้องการชี้ให้เห็นถึงราคาสูงที่ต้องจ่ายสำหรับการมีกษัตริย์ (ข้อ10-18) "หลักการแบ่งสันปันส่วน"25 เป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้เราเข้าใจเนื้อหาตอนนี้ เรารู้ว่า การที่อิสราเอลเรียกร้องขอกษัตริย์เป็นการนับถือรูปเคารพแบบหนึ่ง และเป็นการนับ ถือรูปเคารพที่อิสราเอลทำมาตลอดตั้งแต่ครั้งอพยพ (8:7-9) เรารู้ว่าเมื่อซามูเอลกล่าว กับประชาชน ท่านพูดในสิ่งที่ "เป็นพระดำรัสทั้งสิ้นของพระเจ้า" (ข้อ 10) และสิ่งที่ พระคัมภีร์บันทึกไว้ในข้อ 8-10 คือรายละเอียดราคาค่าจ้างของการมีกษัตริย์ ราคาของ การมีกษัตริย์เป็นสิ่งที่ซามูเอลต้องการตอกย้ำให้ประชาชนเข้าใจ

ประการที่ห้า การเรียกร้องขอกษัตริย์ไม่ได้มาจากบรรดาผู้นำของอิสราเอล เพียงพวกเดียว (ข้อ 4) แต่มาจากประชาชนทุกคนด้วย (ดูข้อ 7, 10, 19, 21-22) ในตอนแรกดูเหมือนมีแต่เพียงผู้นำ26 http://www.bible.org/docs/ot/books/1sa/deffin/ ของอิสราเอลเท่านั้นที่เรียกร้องขอกษัตริย์ แต่พอ อ่านไป เราเห็นชัดเจนว่าประชาชนอิสราเอลทุกคนอยู่เบื้องหลังการเรียกร้องในครั้งนี้ สิ่งนี้ทำให้ผมมองเห็นถึงระบอบประชาธิปไตย ที่ผู้นำไม่ได้กำลังทำหน้าที่ผู้นำ แต่กับ ทำเพียงแค่เป็นตัวแทนของประชาชน

ประการที่หก เมื่อเราเรียนจากบทที่ 7 ไปยังบทที่ 8 นั้น จะเห็นว่าซามูเอลเริ่ม ทำหน้าที่ "ปกครอง" ในฐานะผู้วินิจฉัยในบทที่ 7 แต่พออ่านไปถึงบทที่ 8 กลับ ดูเหมือนว่าหน้าที่นี้กำลังจะ "จบสิ้นลง" ดูเหมือนเนื้อหางานในรับใช้ของซามูเอล ส่วนใหญ่จะถูกถ่ายทอดอยู่ในพระธรรม 1 ซามูเอล อาจเป็นเพราะผู้เขียนต้องการให้เรา เห็นข้อแตกต่างชัดเจนระหว่างวิธีที่ ซามูเอลเริ่มการ "ปกครอง" และวิธีที่ประชาชนต้อง การให้จบสิ้นลง ซามูเอลนั้น ที่จริงแล้ว เหมือนดังของหายากที่กำลังจะสูญพันธุ์ – เช่น ผู้วินิจฉัย ดังนั้นให้เรามาดูพระธรรมผู้วินิจฉัย และสังเกตุว่าผู้เขียนเริ่มต้นไว้อย่างไร :

16 พระเจ้าทรงให้เกิดผู้วินิจฉัย ผู้ช่วยเขาทั้งหลาย ให้พ้นมือของผู้ที่ปล้นเขา 17 แต่เขาทั้งหลายก็ยัง ไม่เชื่อฟังผู้วินิจฉัยทั้งหลายของเขา เพราะเขาทั้ง หลายเล่นชู้กับพระอื่น และกราบไหว้พระอื่น ไม่ช้า เขาก็หันไปเสียจากทางซึ่งบรรพบุรุษของเขาได้ดำ เนิน ผู้ได้เชื่อฟังพระธรรมบัญญัติของพระเจ้า แต่เขา ทั้งหลายมิได้กระทำตาม 18 พระเจ้าทรงตั้งผู้วินิจฉัย ขึ้นเมื่อไร พระเจ้าก็ทรงสถิตกับผู้วินิจฉัยนั้นเมื่อนั้น และพระองค์ทรงช่วยเขาทั้งหลายให้พ้นจากเงื้อมมือ ของศัตรูตลอดชีวิตของผู้วินิจฉัย เพราะพระเจ้าทรง กลับพระทัยสงสารเขาทั้งหลาย เมื่อทรงฟังเสียงคร่ำ ครวญของเขาเนื่องด้วยผู้ข่มเหงและบีบบังคับ 19 แต่ อยู่มาเมื่อผู้วินิจฉัยนั้นสิ้นชีวิต เขาทั้งหลายก็หันกลับ ประพฤติชั่วร้ายเสียยิ่งกว่าบิดาของเขาหลงไปติดตาม ปรนนิบัติและกราบไหว้พระอื่น เขามิได้เคยงดเว้นความ ชั่วที่เคยกระทำหรือหายจากทางดื้อดึงของเขา
(ผู้วินิจฉัย 2:16-19)

ที่ผมประหลาดใจคือ "วันเวลา" ในสมัยของผู้วินิจฉัย ประชากรติดตามพระเจ้าไป จนสิ้นชีวิตของผู้วินิจฉัย เมื่อผู้วินิจฉัยตายลง คนอิสราเอลก็จะหันไปเสียจากพระเจ้า และทำความชั่ว แต่ในกรณีของซามูเอล ท่านยังไม่ตายเลย เพียงแต่แก่ลงและใกล้ จะเกษียร พวกเขาก็กระหายจะกำจัดท่านไปให้พ้นเสีย ค่อนข้างน่าทึ่งนะครับ

ประการที่เจ็ด ในเนื้อหาไม่มีการพาดพิงเลยว่าซามูเอลนั้นเหมือนเอลี ผู้นำซึ่ง อ่อนแอและไม่น่านับถือ ไม่มีผู้วินิจฉัยคนใดในประวัติศาสตร์ของอิสราเอลที่ยิ่งใหญ่ ไปกว่าซามูเอล ซามูเอลเป็นผู้พูดกับชาวอิสราเอลแทนพระเจ้าหลายต่อหลายครั้ง สำ หรับเอลีไม่มีการบันทึกเรื่องคำพยากรณ์จากท่าน ที่จริงเอลีได้รับการเผยพระวจนะมา แบบมือที่สอง (ดู 2:27-36; 3:1-18) ซามูเอลเป็นนักอธิษฐานตัวยง (ดู 7:5; 8:6, 21; 15:11) เราไม่เคยเห็นเอลีอธิษฐานเลย ซามูเอลเป็นผู้นำที่ดีในการตัดสินใจ ทำในสิ่งที่ ซาอูลไม่กล้าทำ (1 ซามูเอล 15:32-33) เอลีไม่กล้าตัดสินใจ หรือไม่อาจเรียกได้ว่า เป็นผู้นำ ซามูเอลเป็นเป็นเครื่องมือที่ทำให้มีชัยเหนือฟิลิสเตีย (7:13) แต่เอลีมีส่วน ในความพ่ายแพ้ (เปรียบเทียบ 4:9 และ 7:13-14) ซามูเอลเป็นบุรุษที่สัตย์ซื่อมั่นคง (ดู 12:1-5) แต่กับเอลีเราไม่อาจเรียกเช่นนี้ได้ ท่านมีน้ำหนักมากเพราะกินเนื้อที่บุตร ชายได้มาโดยมิชอบ (ดู 2:29) เมื่อซามูเอลตาย คนทั้งประเทศโศกเศร้าคร่ำครวญ (25:1; 28:3) แต่ไม่เป็นเช่นนั้นสำหรับเอลี (4:12-22) ให้เรามาดูสิ่งที่พระคัมภีร์พูดไว้ เกี่ยวกับชีวิตของซามูเอล :

18 ตั้งแต่สมัยของซามูเอลผู้เผยพระวจนะ ไม่มี เทศกาลปัสกาเหมือนอย่างนี้ ได้ถือกันมาในอิส ราเอล ไม่มีพระราชาแห่งอิสราเอลสักองค์หนึ่ง ที่ถือเทศกาลปัสกาอย่างที่โยสิยาห์ได้ทรงถือนี้ และบรรดาปุโรหิตกับคนเลวี และยูดาห์กับอิสรา เอลทั้งปวงซึ่งอยู่พร้อมกัน ทั้งชาวเยรูซาเล็ม
(2 พงศาวดาร 35:18)

6 โมเสสและอาโรนอยู่ในพวกปุโรหิตของพระองค์ ซามูเอลอยู่ในพวกที่ทูลออกพระนามของพระองค์ ด้วย ท่านร้องทูลพระเจ้า และพระองค์ทรงตอบท่าน เหล่านั้น
(สดุดี 99:6)

1 ฝ่ายพระเจ้าตรัสแก่ข้าพเจ้าว่า "แม้ว่าโมเสส และ ซามูเอล จะมายืนอยู่ต่อหน้าเรา จิตใจของเราจะไม่ หันไปหาชนชาตินี้ ไล่เขาทั้งหลายออกไปให้พ้นสาย ตาของเรา แล้วให้เขาไป
(เยเรมีย์ 15:1)

32 และข้าพเจ้าจะกล่าวอะไรต่อไปอีกเล่า เพราะไม่มี เวลาพอที่จะกล่าวถึง กิเดโอน บาราค แซมสัน เยฟธาห์ ดาวิด และซามูเอล และผู้เผยพระวจนะทั้งหลาย
(ฮีบรู 11:32)

ความจริงคือซามูเอลเป็นผู้วินิจฉัยที่ยิ่งใหญ่ตลอดมา ในช่วงเวลารับใช้ของท่าน นับ เป็น "ขีดสูงสุด" ด้านจิตวิญญาณของชาวอิสราเอล ไม่มีคำว่ากล่าวตำหนิท่านในพระ ธรรม 1 ซามูเอล ไม่ว่าในฐานะผู้เผยพระวจนะ หรือฐานะบิดา

ประการที่แปด ในข้อ 1-4 ไม่ได้พูดถึงเหตุผลทั้งหมดที่อิสราเอลต้องการมี กษัตริย์ แต่มีการเปิดเผยเพิ่มเติมในเหตุการณ์สองสามบทที่ตามมา ไม่ใช่แค่เพียงอายุที่มากขึ้นของซามูเอล และการทุจริตในหน้าที่ของบุตรเท่านั้น ที่ทำ ให้คนอิสราเอลเรียกร้องขอกษัตริย์ จากบทที่ 12 เป็นต้นไป เมื่อนาหาชคนอัมโมนมาขู่ ทำสงคราม อาจเป็นสาเหตุแรกที่ทำให้คนอิสราเอลร้องขอกษัตริย์ หีบพันธสัญญาถูก ปลดประจำการไปแล้ว และในไม่ช้าซามูเอลด้วย ดังนั้นคนอิสราเอลจึงต้องการกษัตริย์ ให้มาเป็นที่พึ่งพิง

เรียกร้องขอกษัตริย์
(8:1-5)

11 อยู่มาเมื่อซามูเอลแก่แล้ว ท่านได้ตั้งพวกบุตรชาย ของท่านให้วินิจฉัยอิสราเอล 2 บุตรชายหัวปีของท่าน ชื่อโยเอล และคนที่สองชื่ออาบียาห์ ทั้งสองเป็นผู้วินิจ ฉัยในเมืองเบเออร์เชบา 3 แต่บุตรชายของท่าน มิได้ ดำเนินในทางของท่าน ได้เลี่ยงไปหากำไร เขารับสินบน และบิดเบือนความยุติธรรม27 เสีย 4 และบรรดาพวกผู้ใหญ่ ของอิสราเอลก็พากันมาหาซามูเอลที่เมืองรามาห์ 5 และเรียนท่านว่า "ดูเถิด ท่านชราแล้วและบุตรของ ท่านมิได้ดำเนินในทางของท่าน บัดนี้ขอท่านได้กำหนด ตั้งพระราชาให้วินิจฉัยพวกเรา อย่างประชาชาติทั้งหลาย เถิด"

เรื่องราวการทำงานรับใช้ของซามูเอลต่อเนื่องมาจนถึงบทที่ 8 ที่เราพบว่าท่านเริ่มชรา ลง ใกล้เกษียรอายุ มีการเลือกบุตรชายทั้งสองของท่านมาทำหน้าที่ผู้เผยพระวจนะ "ให้กับอิสราเอล"28 ประจำการอยู่ที่ชายแดน เมืองเบเออร์เชบา ผมไม่คิดว่าซามูเอล จะตั้งให้ลูกเข้ามารับตำแหน่งแทนท่าน หรือท่านเองมีสิทธิจะทำเช่นนั้นได้ เพราะ ซามูเอล ไม่ใช่เป็นเพียงปุโรหิตและผู้วินิจฉัยเท่านั้น ท่านเป็นผู้เผยพระวจนะด้วย เราไม่พบว่าพระเจ้าได้ ประทานสิ่งนี้ให้กับบุตรของซามูเอล ดังนั้นบุตรทั้งสองหรือ คนใดคนหนึ่งจะมาแทนที่บิดาได้หรือ ? เช่นเดียวกับผู้นำและผู้ใหญ่ที่บริหารประเทศ พวกเขาทำหน้าที่ผู้วินิจฉัยได้ แต่อยู่ในขอบเขตและอำนาจที่จำกัด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ทั้งสองทุจริตในหน้าที่ ดังนั้นจึงเป็นเรื่องที่ซามูเอลต้องจัดการกับปัญหานี้ด้วยตนเอง ไม่มีการกล่าวถึงเรื่องการทุจริตหรืองานรับใช้ของบุตรอีกเลย พอมาบทที่ 12 ซามูเอล พูดว่าบุตรของท่านอยู่กับประชากรทั้งหลาย (ข้อ 2) ซามูเอลกล่าวว่าท่านไม่เคย อยุติธรรมหรือคดโกงประชากรเลย ซึ่งเป็นความจริงที่ทุกคนยอมรับ ท่านคงไม่ สามารถกล่าวเช่นนี้ได้ ถ้าท่านยังไม่ได้ไปจัดการกับความผิดของบุตร ? บุตรทั้งสอง ของซามูเอลไม่ใช่คนที่ดำเนินกับพระเจ้า พวกเขาไม่ได้ "ดำเนินตามท่าน"

คำพูดที่พวกผู้นำอ้างดูจะไม่ค่อยเป็นจริง พวกเขาพยายามพูดแนะว่าซามูเอลนั้น เริ่มจะ "หมดค่า" แล้ว และสมควรจะลงจากตำแหน่งผู้นำได้ แต่ในพระคัมภีร์ไม่มีการพูดถึงแต่ อย่างใด ท่านน่าจะมีเวลารับใช้ได้อีกหลายปี ผมเชื่อว่าจำนวนปีที่ซามูเอลเป็นผู้นำ ประเทศหลังจากบทที่ 8 นั้น เป็นตัวบ่งชัดเจนว่าเป็นเวลานานกว่าที่ท่านเคยทำก่อน หน้า (จำนวนปีผู้เขียนไม่ได้บันทึกไว้) ยิ่งกว่านั้น สิ่งที่พวกเขาพูดถึงบุตรของท่านนั้น เกินจริงไป บุตรของท่านยังไม่มีทีท่าจะขึ้นมาแทนได้ พวกเขาไม่มีตำแหน่งสำคัญใดๆ ในประเทศ ผมคิดว่าพวกผู้นำหรือประชาชนเหล่านี้ไม่สนใจในตัวผู้นำที่มีอยู่ แต่กลับไป ให้ความสำคัญกับผู้นำที่ยังไม่มีตัวตน ใครจะขึ้นมาเป็นผู้นำต่อจากซามูเอล ? พวกเขา ต้องการคนมานั่งแทนที่ จึงร้องออกคำสั่ง — ไม่ใช่ขอร้อง — อยากมีกษัตริย์ เช่นเดียว กับที่ชาติอื่นๆมี

ถ้าการเสนอวิธีแก้ปัญหาของพวกผู้นำนั้นฟังดูโง่เขลา ลองมาคิดดูว่าวิธีการนี้ไม่สมเหตุ สมผลเพียงใด :

"ท่านซามูเอล ท่านเองก็ชรามากแล้ว และลูกๆของ ท่าน (ที่กำลังจะขึ้นมาแทนท่าน) ก็ทุจริตในหน้าที่ แล้วประเทศของเราจะมีอนาคตที่สดใสได้อย่างไร ถ้าผู้นำทุจริตเสียเอง ให้เรามาจัดตั้งระบบขึ้นใหม่ ให้มีกษัตริย์ขึ้นมาปกครองแทน เช่นเดียวกับชาติอื่นๆ ให้กษัตริย์เป็นผู้วินิจฉัยพวกเรา และให้มีราชวงศ์เพื่อ จะได้มีผู้สืบราชบัลลังก์ต่อไปเมื่อท่านสิ้นพระชนม์"

ซามูเอลทำหน้าที่ผู้วินิจฉัยโดยไม่ได้สืบทอดมาจากราชวงศ์ พระเจ้าเป็นผู้ประทาน ผู้วินิจฉัย พระองค์ไม่ได้ให้บุตรเป็นผู้สืบทอดอำนาจต่ิิอ ถ้าบุตรของซามูเอลทุจริต พวกเขาก็ต้องพ้นจากหน้าที่ไป ซึ่งดูเหมือนจะเป็นเช่นนั้น แต่การเรียกร้องให้มีราชวงศ์ หมายถึงต้องการให้มีระบบที่บุตรของกษัตริย์ขึ้นมาปกครองแทน ไม่ว่าบุตรนั้นจะเป็น คนชั่วร้ายหรือคนชอบธรรมก็ตาม วิธีแก้ปัญหา ดูเหมือนจะหนักไปกว่าตัวปัญหาเอง เสียอีก !

ดูเหมือนพวกผู้นำไม่ได้ต้องการใ้ห้เปลี่ยนแปลงอย่างถอนราก แต่ต้องการเพียงตบแต่ง ระบบเดิมให้ดูดีขึ้น หรือที่นักบริหารชอบเรียกว่า "ปรับกลยุทธ" พวกเขาต้องการความ ยุติธรรม ต้องการให้ผู้พิพากษามาจัดการกับปัญหาด้านกฎหมาย พวกเขาต้องการให้ กษัตริย์มาเป็นผู้พิพากษา มากกว่าจะให้ซามูเอลทำหน้าที่นี้ ฟังดูดี แต่ไม่น่าเป็นการ เปลี่ยนแปลงตามธรรมดาแน่ พวกเขาต้องการยกเครื่องทั้งระบบความยุติธรรมของ อิสราเอล พวกเขาต้องการยกเลิกระบบผู้วินิจฉัย ต้องการการปกครองและพิพากษาเช่น เดียวกับที่ชาติอื่นรอบข้างทำ พวกเขาไม่ต้องการเป็นชนชาติที่แตกต่าง แยกเฉพาะ ออกไปจากชาติอื่น พวกเขาไม่ได้ต้องการปลดซามูเอลออกจากตำแหน่งผู้วินิจฉัย แต่ที่จริงต้องการปลดพระเจ้าออกจากการเป็นกษัตริย์ของพวกเขา พระเจ้าทรงตรัส ถึงเรื่องนี้อย่างชัดเจนในข้อต่อไปนี้

คำตอบของซามูเอลและพระเจ้า
(8:6-9)

6 แต่เมื่อเขาพูดว่า "ขอตั้งพระราชาให้วินิจฉัยเรา ทั้งหลาย" ก็กระทำให้ซามูเอลไม่พอใจ และซามู เอลได้ทูลอธิษฐานต่อพระเจ้า 7 และพระเจ้าทรง ตอบซามูเอลว่า "จงฟังเสียงประชาชนในเรื่องที่ เขาทั้งหลายขอต่อเจ้า เพราะว่าเขามิได้ละทิ้งเจ้า แต่เขาทั้งหลายได้ละทิ้งเราไม่ให้เราเป็นกษัตริย์ เหนือเขา 8 ตามการกระทำทั้งสิ้นซึ่งเขาได้กระทำ แก่เรา ตั้งแต่วันที่เรานำเขาออกมาจากอียิปต์จนถึง วันนี้ คือเขาได้ละทิ้งเราและปรนนิบัติพระอื่น เขาจึง กระทำเช่นเดียวกันต่อเจ้าด้วย 9 เหตุฉะนั้น จงฟัง เสียงของเขา ขอแต่จงคอยทักท้วงเขา และสำแดง ให้ทราบถึงวิธีการของกษัตริย์ผู้ที่จะครอบครองเขา ทั้งหลาย"

ซามูเอลรู้สึกไม่พอใจกับข้อเสนอของพวกผู้นำ เป็นความจริงที่เขากำลังหาคนมาแทน ท่าน ผมไม่คิดว่าซามูเอลไม่พอใจเพราะความรู้สึกส่วนตัว และพยายามปกป้องตนเอง แต่เพราะตามที่พระคัมภีร์บอกว่า "เป็นสิ่งชั่วร้ายในสายตาของซามูเอล" เพราะ ซามูเอลทราบดีว่าเป็นสิ่งที่ผิดและเป็นความบาป

คำตอบที่ตามมาของซามูเอลทำให้เห็็นว่าท่านเป็นผู้ที่ดำเนินกับพระเจ้าจริงๆ ท่านไม่ได้ แสดงอาการโมโหโกรธเคืองพวกผู้นำเพราะไม่เห็นด้วย ท่านกลับไปอธิษฐานกับพระ เจ้า อย่างที่ท่านปฏิบัติเป็นประจำ คำตอบที่มาจากพระเจ้าย้ำในสิ่งที่ท่านกำลังรู้สึกอยู่ ถ้าจะต่อเติมอีกนิด ซามูเอลถูกประชาชนขับไล่ ; อย่างไม่ต้องสงสัยว่าเป็นความจริง ในฐานะคนของพระเจ้า ซามูเอลอาจรู้สึกเจ็บปวดว่าท่านคงทำหน้าที่ได้ไม่ดีพอ แต่ พระเจ้ากลับบอกกับซามูเอลว่า ตรงกันข้าม เป็นพระองค์เองต่างหากที่ถูกขับไล่ ไม่ใช่ ซามูเอล การที่อิสราเอลปฏิเสธไม่ยอมรับพระเจ้าไม่ใช่เป็นเพราะพระองค์ผิดแน่นอน แล้วซามูเอลรู้สึกเจ็บปวดไปทำไม ? ถ้าซามูเอลถูกปฏิเสธด้วยเหตุผลเดียวกับที่พระ เจ้าโดน ซามูเอลก็น่าจะนับว่าเป็นเรื่องน่าชมเชย

อย่างที่พูดไปแล้ว พระเจ้าทรงเป็นกษัตริย์ของอิสราเอลตั้งแต่ครั้งอพยพ ตอนนี้พระเจ้า กำลังบอกกับซามูเอลว่า สิ่งที่คนอิสราเอลทำนั้นไม่ใช่เรื่องใหม่ เพียงเป็นเรื่องเดิมที่ทำ มาตลอด และกำลังลุกขึ้นมาทำอีกครั้ง เริ่มตั้งแต่สมัยอพยพ (ข้อ 8) การปฏิเสธไม่รับ พระเจ้าเป็นกษัตริย์ แต่กลับไปเลือกกษัตริย์ "เช่นเดียวกับชาติอื่นๆ" ก็คือการนับถือ รูปเคารพ กษัตริย์ในแบบที่พวกเขาต้องการก็คือ "พระ" หรือเทพองค์ใหม่ ซึ่งเราจะมา เรียนเพิ่มเติมในบทต่อๆไป หลังจากได้แสดงให้เห็นมูลเหตุพื้นฐานของสถานการณ์ แล้ว พระเจ้าทรงสั่งให้ซามูเอลฟังประชาชน และให้ตามที่เขาต้องการ (ข้อ 9ก) ถึงแม้ซามูเอลจะ ทำตามที่ขอ ท่านต้องแจ้งกับพวกเขาถึง "ข้อปฏิบัติ"29 http://www.bible.org/docs/ot/books/1sa/deffin/ ของ กษัตริย์ผู้ที่จะมา "ปกครองพวกเขาจะทำ" (ข้อ 9ข).

ค่าธรรมเนียม (ราคา) ของกษัตริย์
(8:10-18)

10 ซามูเอลจึงเอาพระดำรัสทั้งสิ้นของพระเจ้า มาบอกกล่าวแก่ประชาชน ผู้ร้องขอให้ท่านตั้ง พระราชา 11 ท่านกล่าวว่า "นี่เป็นวิธีการของ พระราชา ผู้ที่จะครอบครองเหนือเจ้า พระราชา จะเกณฑ์บุตรชายทั้งหลายของเจ้า และกำหนด ให้ประจำรถรบ และให้เป็นพลม้า และให้วิ่งหน้า รถรบของพระองค์ 12 แล้วพระองค์จะตั้งเขา ให้เป็นนายพัน นายห้าสิบของพระองค์ ให้บาง คนไถที่ดินของพระองค์และเกี่ยวข้าว และทำ ศัสตราวุธและเครื่องใช้ของรถรบ 13 พระองค์ จะนำบุตรสาวของเจ้าไปเป็นผู้ปรุงเครื่องหอม ทำครัวและปิ้งขนม 14 พระองค์จะเอานา สวน องุ่นและสวนมะกอกเทศที่ดีที่สุดของเจ้าให้แก่ ข้าราชการของพระองค์ 15 พระองค์จะชักหนึ่ง ในสิบของข้าวและผลองุ่นของท่าน ให้แก่ มหาดเล็กและข้าราชการของพระองค์ 16 พระ องค์จะเอาคนใช้ผู้ชายและคนใช้ผู้หญิง และคน หนุ่มๆที่ดีที่สุดของท่าน และลาของท่านให้ไป ทำงานของพระองค์ 17 พระองค์จะชักหนึ่งใน สิบของฝูงสัตว์ของท่าน และท่านทั้งหลายจะ เป็นทาสของพระองค์

คำพูดที่บันทึกไว้ในข้อ 10-18 ไม่ใช่คำพูดทั้งหมดของซามูเอล แต่เป็นสิ่งที่ผู้เขียนต้อง การย้ำให้เราเห็นในฐานะผู้อ่าน ข้อ 10 บ่งชัดเจนว่าซามูเอล "เอาพระดำรัสทั้งสิ้น ของพระเจ้า มาบอกกล่าวแก่ประชาชนผู้ต้องการให้มีกษัตริย์" ซามูเอลจึงได้ บอกกับประชาชนในสิ่งที่พระเจ้าตรัสกับท่านในข้อ 7-9 และอาจจะมีคำพูดมากกว่า นี้ที่ไม่ได้บันทึกไว้ แต่ผู้เขียนต้องการให้เราดูเป็นพิเศษถ้อยคำทั้งหมดในข้อ 10-18 สิ่งนี้ดูเหมือนเป็นหัวใจของตอนนี้ — หรืออย่างน้อยเป็นส่วนสำคัญของคำตอบที่ท่าน มีให้กับชาวอิสราเอลผู้ต้องการกษัตริย์

พระเจ้าของเรามีบรรดา "อาสาสมัคร" ที่อยากติดตามพระองค์ สำหรับบุคคลเหล่านี้ พระองค์มีคำเตือนสำหรับพวกเขา พระเยซูคริสต์ทรงเตือนผู้ที่อยากติดตามพระองค์ ให้นึกถึง "ราคาที่ต้องจ่าย" (ดูลูกา 9:57-62; 14:25-35) ซามูเอลกำลังทำในสิ่ง เดียวกันคือ ผลักดันให้ประชาชนใช้ความคิดสำหรับ "ราคาที่ต้องจ่าย" ในการมีกษัตริย์ คำสำคัญคำเดียวที่ซามูเอลพูดมาทั้งหมดสรุปคือคำว่า : "เขาจะมาเอา… ."

อิสราเอลเรียกร้องให้มีระบอบปกครองในราคาที่แพงมาก ซามูเอลต้องแจกแจงรายละ เอียดราคาของกษัตริย์ให้ฟัง แล้วมันก็แพงอย่างน่าทึ่งทีเดียว ในการที่จะเข้าใจถึง ความแพงของกษัตริย์นี้ เราต้องกลับไปทบทวนความจำว่าในสมัยที่ผู้วินิจฉัยปกครอง เป็นเช่นไร ในพระธรรมผู้วินิจฉัย ไม่มีกษัตริย์ ไม่มีพระราชวัง ไม่มีกองกำลังทาง ทหาร เมื่ออิสราเอลถูกโจมตี มีการเรียกอาสาสมัครเข้ามาร่วมรบ โดยมีกำลังหนุน และสเบียงมาจากครอบครัวผู้ที่ออกไปรบ (ดู 1 ซามูเอล 17:17-22) ไม่ต้องมี "ที่ทำการ" ของคณะผู้ปรึกษา ผู้ให้คำแนะนำ ผู้รับใช้ และบรรดาพนักงานเพื่อสนับสนุน ให้ระบอบการปกครองของกษัตริย์ดำเนินไปได้ ที่จริงระบบเดิมนั้นไม่มี พิธีการอันใด มากันแต่เฉพาะกิจ และราคาถูกมาก มีพระเจ้าเป็นกษัตริย์ ทุกอย่างเป็นไปได้หมด ตามที่เห็นอย่างชัดเจนจากพระธรรมผู้วินิจฉัย และจาก 1 ซามูเอล 7

ถ้านำระบบการปกครองประเทศชนิด "งบประมาณต่ำ" มาเปรียบเทียบกับกษัตริย์ที่ อิสราเอลเรียกร้อง จะเห็นว่าราคาต่างกันลิบ การที่จะมีกษัตริย์นำหน้าออกรบ แปลว่า ต้องมีกองทัพ ทันทีที่อิสราเอลมีกษัตริย์ ชีวิตการทำไร่ ทำนาจะไม่มีวันเหมือนเดิม กษัตริย์จะเกณฑ์บุตรชายไปเป็นทหาร ไปเป็นพลขับ ไปขี่ม้า ไปเป็นทหารราบ หรือเป็น พนักงานทำหน้าที่ต่างๆ อีกอย่าง กองทัพต้องการสเบียง จะต้องมีการระดมคนทำไร่ ทำนาส่งเข้ากองทัพ ปลูกสร้างสถานที่ราชการ และดูแลซ่อมแซมเครื่องมือเครื่องใช้ใน การรบ (ยังไม่รวมถึงเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับด้านการทหาร) ไม่เพียงแต่บรรดาชายหนุ่มเท่า นั้นที่ถูกเกณฑ์ บรรดาบุตรสาวที่เคยปรนนิบัติรับใช้บิดาจะถูกเกณฑ์ให้ไปรับใช้ในวัง ด้วย ไม่ว่าจะทำเครื่องหอม ทำอาหาร หรือจัดงานเลี้ยงก็ตาม

ราคาแพงนี้ไม่รวมถึงการสูญเสียบุตรชายหญิง หรือกำลังสำคัญของบ้านไปให้รับใช้ กษัตริย์ แต่ยังมีมากกว่านี้ กษัตริย์ต้องกินดีอยู่ดีที่สุด จึงต้องเก็บภาษีจากทุกอย่าง ที่คนอิสราเอลทำมาหาได้ ผลผลิตที่ดีที่สุดจากไร่นาต้องถูกส่งเข้าวัง สวนองุ่นและ ที่ดินผืนสวยต้องตกเป็นของกษัตริย์ การกินอยู่อย่างอุดมสมบูรณ์ที่ทุกครอบครัวเคยมี ต้องแบ่งปันไปให้บรรดาข้าราขการและผู้รับใช้ เพราะข้าราชการและผู้รับใช้ต้องกิน ต้องใช้เหมือนกัน ประชาชนจึงต้องเป็นผู้จ่ายให้ หนึ่งในสิบของพันธ์พืชที่ดีที่สุด ต้องนำไปให้พวกข้าราชการปลูกลงในสวนของพวกเขา (หรือพื้นที่ที่กษัตริย์ยึดเอา ไปจากประชาชน)

กษัตริย์ต้องมีผู้รับใช้ จึงต้องนำบุตรชายหญิงที่ดีที่สุดของชาวอิสราเอลมารับใช้ท่าน และกษัตริย์ยังต้องมีสัตว์ทั้งใช้งานและใช้เป็นอาหารจำนวนมาก ต้องมีลาสำหรับไถ นาของกษัตริย์ ซึ่งคือที่นาเดิมของประชาชน เรื่องจริงก็คือ เมื่อประชาชนได้กษัตริย์ มาปกครอง พวกเขาจะถูกปกครอง เมื่อก่อนที่เคยมีอิสระเสรี ก็จะกลายเป็นทาสของ กษัตริย์ กว่าที่พวกเขาค้นพบว่าได้ทำอะไรลงไป มันก็สายเกินกว่าจะกลับไปแก้ประวัติ ศาสตร์แล้ว วันหนึ่งข้างหน้าคนอิสราเอลจะร้องทูลขอให้พระเจ้าช่วย เพราะถูกกดดัน จากกษัตริย์ที่ตนเองอยากได้นัก แต่พระเจ้าจะไม่ฟัง เพราะพวกเขาเองเต็มใจเดินเข้าสู่ ภาวะการเป็นทาสทั้งๆที่รู้อยู่เต็มอก

ชาวอิสราเอลได้ในสิ่งที่ต้องการ
(8:19-22)

19 แต่ประชาชนปฏิเสธไม่ฟังเสียงของซามูเอล เขาทั้งหลาย กล่าวว่า "เราไม่ยอม แต่เราจะต้องมีพระราชาปกครองเรา 20 เพื่อเราจะเป็นเหมือนประชาชาติทั้งหลายด้วย และเพื่อพระ ราชาของเราจะวินิจฉัยเราและนำหน้า เราไปและรบศึกให้เรา" 21 และเมื่อซามูเอลได้ยินถ้อยคำทั้งสิ้นของประชาชน ท่านก็ นำไปทูลพระเจ้าให้ทรงทราบ 22 และพระเจ้าตรัสกับซามูเอลว่า "จงฟังเสียงของเขาทั้งหลายเถิด และจงตั้งกษัตริย์องค์หนึ่งให้ เขา" แล้วซามูเอลจึงกล่าวแก่อิสราเอลว่า "ให้ทุกคนกลับไปยัง เมืองของตน"

ประเทศอิสราเอลต้องการกษัตริย์ แต่ซามูเอลเตือนพวกเขาว่า ระบอบการปกครอง ใหญ่ระดับนี้จะมาพร้อมกับราคาที่สูงมาก คำเตือนนี้ไม่มีความหมาย ในเมื่อประชาชน ตัดสินใจแล้วว่าต้องการกษัตริย์ ประชาชนทั้งหมด (ไม่ใช่เฉพาะผู้นำเท่านั้น) ไม่ยอม ฟังคำเตือนของซามูเอล พวกเขายืนยันต้องมีกษัตริย์ และพวกเขาก็พูดค่อนข้างชัดเจน ว่า ต้องการให้กษัตริย์ทำสิ่งใดบ้าง ต้องการให้กษัตริย์มาวินิจฉัยพวกเขา ต้องการให้ นำหน้าในการออกรบ ที่จริงคือ พวกเขาต้องการให้กษัตริย์มาวินิจฉัย และต่อสู้เพื่อพวก เขา

ซามูเอลฟังทุกสิ่งที่ประชาชนพูด และนำไปถ่ายทอดให้พระเจ้าฟัง (ข้อ 21) ประโยคนี้ น่าสนใจมาก ไม่ใช่เรื่องแปลกสำหรับเราที่ซามูเอลไปถ่ายทอดพระคำที่พระเจ้าตรัส ให้ ประชาชนฟัง (ข้อ 10) แต่ทำไมซามูเอลจึงรู้สึกว่าเป็นสิ่งจำเป็นที่ต้องไปทูลทุกถ้อยคำ ที่ประชาชนพูดให้พระเจ้าฟัง ?30 http://www.bible.org/docs/ot/books/1sa/deffin/ พระเจ้าจะไม่ได้ยินสิ่งที่ประชาชนพูดเชียวหรือ ? แน่ นอนครับ พระองค์ได้ยิน ทำไมพวกเราต้องอธิษฐานด้วยเล่า ก็ในเมื่อพระเจ้ารู้ถึงความ ต้องการทุกอย่างของเรา (ดูมัทธิว 6:32)? ไม่ใช่เป็นเพราะพระเจ้าต้องฟังทุกอย่างจาก เราจึงจะทราบเรื่อง ; แต่เป็นเพราะเราต้องการพระองค์ เราต้องการนำภาระของเรามา มอบให้กับพระองค์ ซามูเอลทูลทุกสิ่งที่ประชาชนพูด ไม่ใช่เพราะพระเจ้าต้องการทราบ แต่เป็นเพราะซามูเอลต้องการใกล้ชิดพูดคุยกับพระเจ้า

เมื่อพระเจ้าตอบคำอธิษฐานของซามูเอล พระองค์สั่งอีกครั้งให้ท่านทำตามที่ประชาชน ร้องขอ ดังนั้น แม้ยังไม่รู้ว่าผู้ใดจะมาเป็นกษัตริย์ ซามูเอลจึงบอกให้ทุกคนกลับไปที่ บ้านก่อน จนกว่าพระเจ้าจะกำหนดแต่งตั้งผู้ที่จะมาเป็นกษัตริย์ (ข้อ 22).

บทสรุป

ผมได้พูดย้ำหลายครั้งถึงความชั่วร้ายและโง่เขลาในการที่คนอิสราเอลเรียกร้องอยากมี กษัตริย์ บางคนอาจจะไม่เห็นด้วยโดยอ้างไปที่พระธรรมเฉลยธรรมมบัญญัติ 17 ว่าพระ เจ้าตรัสไว้ไม่ใช่หรือว่าคนอิสราเอลจะมีกษัตริย์ ? ในเมื่อมีการพยากรณ์แล้วว่าอิสราเอล จะเรียกร้องขอกษัตริย์ เหตุใดพระเจ้าจึงเห็นเป็นเรื่องใหญ่เมื่อพวกเขาเรียกร้องขึ้นมา ? ให้เรามาดูเนื้อหาในเฉลยธรรมบัญญัติกัน :

14 "เมื่อท่านมาถึงแผ่นดินที่พระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่าน ประทานแก่ท่าน และท่านถือกรรมสิทธิ์อาศัยอยู่ในแผ่นดิน นั้นแล้วท่านจะกล่าวว่า 'เราจะตั้งกษัตริย์ไว้เหนือเราเหมือน ประชาชาติอื่นซึ่งอยู่รอบเรา' 15 ก็จงตั้งผู้ซึ่งพระเยโฮวาห์ พระเจ้าของท่านทรงเลือกไว้ให้เป็นกษัตริย์เหนือท่าน คือตั้ง ผู้หนึ่งผู้ใดในพวกพี่น้องของท่านให้เป็นกษัตริย์เหนือท่าน ท่านอย่าตั้งคนต่างด้าวซึ่งมิใช่พี่น้องของท่านให้อยู่เหนือท่าน 16 แต่ว่าอย่าให้ผู้นั้นมีม้าของตนเองมากเกินไป หรือเป็นเหตุ ให้ประชาชนกลับไปอียิปต์เพื่อจะมีม้ามากๆ เพราะพระเจ้าได้ ตรัสกับท่านทั้งหลายแล้วว่า 'เจ้าทั้งหลายจะไม่ได้กลับไป ทางนั้นอีกเลย' 17 และอย่าให้ผู้นั้นมีภรรยามาก เกรงว่า จิตใจของเขาจะหันเหไปเสีย หรืออย่าให้มีเงินมีทองเป็น ของตนอย่างมากมาย 18 "เมื่อผู้นั้นนั่งบัลลังก์ในราชอาณา จักรก็ให้ผู้นั้นคัดลอก กฎหมายนี้ไว้ในหนังสือเพื่อประโยชน์ แก่ตนเองจากหนังสือ ที่ปุโรหิตคนเลวีรักษาอยู่นั้น 19 ให้ กฎหมายนั้นอยู่กับผู้นั้น และให้เขาอ่านอยู่เสมอตลอดชีวิต ของตน เพื่อเขาจะได้เรียนรู้ที่จะยำเกรงพระเยโฮวาห์ พระเจ้า ของเขา โดยรักษาถ้อยคำในกฎหมายนี้ และกฎเกณฑ์เหล่านี้ และ กระทำตาม 20 เพื่อว่าจิตใจของเขาจะมิได้พองขึ้นสูงกว่า พี่น้องของตน และเพื่อเขาเองจะมิได้หันเหจากพระบัญญัติไป ทางขวามือหรือทางซ้ายมือ เพื่อเขาจะได้ปกครองราชอาณา จักรของเขาอยู่ได้นาน ทั้งตนเองและลูกหลานของตนใน อิสราเอล "
(เฉลยธรรมบัญญัติ 17:14-20).

พระคำตอนนี้เป็นคำพยากรณ์ และเราเห็นว่าสำเร็จเป็นจริงเมื่ออิสราเอลเรียกร้องขอมี กษัตริย์ให้เหมือนกับประเทศเพื่อนบ้าน ความจริงก็คือเมื่อมีการพยากรณ์ไม่ได้หมาย ความว่าสิ่งที่พยากรณ์ไว้นั้นต้องเป็นเรื่องดีมีคุณธรรม มีการทำนายว่ายูดาสจะทรยศ และคำพยากรณ์ว่าชาวอิสราเอลจะปฏิเสธองค์พระเมสซิยาห์ สิ่งนี้ไม่ได้หมายความว่า ยูดาสหรือคนอิสราเอลที่ไม่มีความเชื่อทำในสิ่งที่ถูกต้อง แต่สิ่งนี้เป็นสิ่งที่พระเจ้าต้อง การให้เราเรียนรู้ว่านี่เป็นส่วนหนึ่งในแผนการอันเป็นนิรันดร์ของพระองค์

ผมอยากจะเรียนว่า เหตุการณ์ที่พระเจ้าแจ้งล่วงหน้าในเฉลยธรรมบัญญัติสำหรับ 1 ซามูเอล 8 นั้น เป็นมากกว่าแค่คำพยากรณ์ เฉลยธรรมบัญญัติ 17:14 เป็นคำพยากรณ์ ว่าอิสราเอลจะเรียกร้องขอกษัตริย์ แต่ที่ข้อพระคำที่เหลือในบทนั้น เป็นคำสั่งของพระ เจ้า สำหรับป้องกันไม่ให้กษัตริย์ของอิสราเอลเป็นเหมือนกษัตริย์ชาติอื่นๆ คำสั่งที่ พระเจ้าสั่งผ่านมาทางโมเสสจะทำให้กษัตริย์ของพวกเขาแตกต่างจากกษัตริย์อื่นๆ โดยสิ้นเชิง

กษัตริย์องค์นี้ต้องเป็นชาวอิสราเอล ไม่ได้มาจากชนะการเลือกตั้ง แต่ถูกกำหนดและ แต่งตั้งโดยพระเจ้า กษัตริย์ที่พระเจ้าตั้งนี้ ต้องไม่สะสมม้าหรือภรรยามากเกินควร กษัตริย์ต่างชาติทำเช่นนั้นเพราะต้องการสร้่างฐานอำนาจทางทหารและทางการเมือง แต่กษัตริย์ของพระเจ้าไม่มีความจำเป็นต้องพึ่งพิงแหล่งอำนาจ หรือกำลังของตนเอง แต่พึ่งพิงในพระเจ้า ผมเชื่อว่าสาเหตุที่ดาวิดทำผิดและต้องเผชิญกับการถูกลงโทษ อย่างหนัก เป็นเพราะท่านนับจำนวนกำลังพลของอิสราเอล (ดู 1 พงศาวดาร 21) ดู เหมือนอำนาจและกำลังพลในมือทำให้ท่านรู้สึกผยองขึ้น ท่านและประชาชนอิสราเอล จึงถูกพระเจ้าลงโทษอย่างหนักเพราะบาปครั้งนี้ กษัตริย์ของพระเจ้าต้องไม่ฝักใฝ่ใน ทรัพย์สมบัติ ความมั่งคั่งและอำนาจของตนเอง แต่ต้องวางใจและเชื่อฟังองค์พระผู้เป็น เจ้าเท่านั้น รวมทั้งต้องชักจูงให้ประชาชนทำเช่นกัน

เมื่อครั้งดาวิดสู้กับโกลิอัทดูเหมือนท่านจะเป็นกษัตริย์ในแบบที่พระเจ้าพอพระทัย แต่ เมื่อท่านมั่งคั่งและมีอำนาจมากขึ้น มีการทดลองมากมายตามมา เราจึงพูดได้ว่า แม้ กษัตริย์ที่ดีที่สุดของอิสราเอลยังไม่ได้ตามมาตรฐานที่พระเจ้าตั้งไว้ในพระธรรมเฉลย ธรรมบัญญัติ 17 เลย ทั้งดาวิดและโซโลมอนพลาดพลั้งทั้งคู่ ที่สุดแล้ว มีเพียงผู้เดียว เท่านั้นที่มีมาตรฐานสมบูรณ์เพียงพอ คือองค์พระเยซูคริสต์ พระผู้เป็นเจ้าของเรา พระองค์ ทรงมีทุกสิ่งทุกอย่าง แต่ยอมเป็นคนขัดสนเพื่อเรา พระองค์ไม่มีหรือแสวงหา อำนาจของโลกนี้เพื่อจัดตั้งอาณาจักรของพระองค์ และแน่นอนพระองค์ไม่ได้สะสม กำลังพลหรือภรรยา ดังนั้นองค์พระเยซูคริสต์เพียงผู้เดียว ที่เหมาะสมสำหรับเป็น กษัตริย์ขององค์พระผู้เป็นเจ้า เพื่อปกครองโลกนี้ชั่วนิจนิรันดร์

11 แล้วข้าพเจ้าก็มองดู และข้าพเจ้าได้ยินเสียง ทูตสวรรค์เป็นอันมากนับเป็นโกฏิๆ เป็นแสนๆ ซึ่ง อยู่ล้อมรอบพระที่นั่งรอบสัตว์และผู้อาวุโสทั้งหลาย นั้น 12 ร้องเสียงดังว่า "พระเมษโปดกผู้ทรงถูกปลง พระชนม์แล้วนั้น เป็นผู้ที่สมควรได้รับฤทธิ์เดช ทรัพย์ สมบัติ ปัญญา อานุภาพ เกียรติ พระสิริ และคำสดุดี" 13 และข้าพเจ้าได้ยินเสียงสิ่งมีชีวิตทั้งหมดทั้งในสวรรค์ ในแผ่นดินโลก ใต้แผ่นดิน ในมหาสมุทร บรรดาที่อยู่ใน ที่เหล่านั้น ร้องว่า "ขอให้คำสดุดีและเกียรติ และพระสิริ และฤทธิ์เดช จงมีแด่พระองค์ผู้ประทับบนพระที่นั่ง และ แด่พระเมษโปดกตลอดไปเป็นนิตย์" 14 และสัตว์ทั้งสี่นั้น ก็ร้องว่า "อาเมน" และผู้อาวุโสเหล่านั้นก็ทรุดตัวลงกรา นมัสการ
(วิวรณ์ 5:11-14).

หัวใจสำคัญที่บทเรียนนี้ให้ เราอาจเรียกว่า "เศรษฐศาสตร์ของความบาป" ถ้าผมประ เมิณสถาณการณ์ในตอนนี้อย่างถูกต้อง เรื่องหลักคือราคาของกษัตริย์ โดยเฉพาะเมื่อ นำมาเปรียบเทียบกับราคาของผู้วินิจฉัย เป็นความจริงที่คนอิสราเอลทำผิดในการเรียก ร้องขอกษัตริย์ พวกเขาต้องการมนุษย์ที่มีตัวตนมาแทนที่พระเจ้า โดยไม่ยอมนึกถึง ความชั่วร้ายและปัญหาที่จะตามมาเมื่อมีกษัตริย์ เราเห็นภาพในทางเศรษฐศาสตร์ที่ออก จะชัดเจน พูดง่ายๆคือ กษัตริย์ที่จะมาปกครองนั้นไม่มีทางสมกับราคาที่ต้องเสียไปเลย

เมื่อไม่นานมานี้ผมและเจนเน็ทภรรยาไปร่วมฉลองที่เมืองเดส์มอยน์ส รัฐไอโอวา เรามี เพื่อนชื่อเบรนดา สมิทธ์ไปด้วย เธอทำให้ผมนึกถึงสิ่งที่ผมเคยพูดไว้เมื่อหลายปีก่อนที่ สวนสนุกชื่อ ซิกส์แฟล็กใกล้ๆกับเมืองดัลลัส ตอนนั้นเรายืนเข้าคิวยาวรอซื้อตั๋ว พอนึก ถึงราคาตั๋วกับเวลาที่เสียไปในการคอย ผมบอกกับเพื่อนๆว่า "การขึ้นรถไฟเหาะนี่ก็ เหมือนกับความบาป ..... คือราคาแพงแล้วได้นั่งแค่แป๊บเดียว !" นี่เป็นสิ่งเดียวกับที่ ซามูเอลพยายามบอกคนอิสราเอลให้คิดให้ดี เพราะราคานั้นแพงมหาศาล

แต่คนอิสราเอลมองไม่เห็นภาพ เพราะพวกเขาอยากจ่ายราคาแสนเพงที่ซามูเอลพูดถึง ผมว่าผมพอเข้าใจเหตุผล เพราะราคาการตกเมืองขึ้นของเหล่าศัตรูรอบด้านนั้น ค่อน ข้างสูงเอาการ ให้เราลองมาดูที่พระธรรมผู้วินิจฉัย 6 :

1 และคนอิสราเอลก็ได้กระทำชั่วในสายพระเนตร ของพระเจ้า และพระเจ้าทรงมอบเขาไว้ในมือของ คนมีเดียนเจ็ดปี 2 และมือของคนมีเดียนก็ชนะ อิสราเอลเพราะคนมีเดียนเป็นเหตุ ประชาชนอิสราเอล จึงต้องทำที่ซ่อนอยู่ในภูเขาคือถ้ำ และป้อมที่เข้มแข็ง 3 เพราะว่าคนอิสราเอลหว่านพืชเมื่อไร คนมีเดียนและ คนอามาเลข และชาวตะวันออกก็ขึ้นมาสู้รบกับเขา 4 เขามาตั้งค่ายไว้แล้วทำลายพืชผลแห่งแผ่นดินเสีย ไกลไปถึงเมืองกาซาไม่ให้มีเครื่องบริโภคเหลือใน อิสราเอลเลย ไม่ว่าแกะหรือวัวหรือลา 5 เพราะว่า คนเหล่านั้นจะขึ้นมาพร้อมทั้งฝูงสัตว์และเต็นท์ เขามาเหมือนตั๊กแตนเป็นฝูงๆ ทั้งคนและอูฐก็นับไม่ ถ้วนเมื่อเขาเข้ามา เขาก็ทำลายแผ่นดินเสียอย่างนี้ แหละ 6 พวกอิสราเอลจึงตกต่ำลงมาก เพราะคนมี เดียน คนอิสราเอลก็ร้องทุกข์ถึงพระเจ้าขอให้ทรงช่วย เหลือ
(ผู้วินิจฉัย 6:1-6).

สำหรับคนอิสราเอล ราคาที่ต้องจ่ายในการมีกษัตริย์นั้นพวกเขาคิดว่ายังถูกกว่าการต้อง ตกเป็นเมืองขึ้น พวกเขาไม่เข้าใจว่าพระเจ้าทรงปกป้องพวกเขาโดยไม่มีราคา เพียงแต่ พวกเขาต้องกลับใจจากความบาป และร้องทูลขอการช่วยกู้ และปรนนิบัติพระเจ้าด้วย สุดใจ ผมว่าพวกเขาคิดว่าราคานี้แพงเกินไป พวกเขาไม่ต้องการละทิ้งพวกพระต่าง ชาติ พวกเขาไม่ต้องการปรนนิบัติพระเจ้าเพียงผู้เดียว พวกเขาไม่ต่องการให้พระเจ้า มาเป็นกษัตริย์ ดังนั้นพวกเขาจึงแสวงหาผู้ที่จะมาทำหน้าที่แทนทั้งพระเจ้าและซามูเอล นั่นคือกษัตริย์เพื่อให้เหมือนกับพวกต่างชาติ

เมื่อตอนที่เราคุยกันถึงเรื่องนี้ เพื่อนผมพูดเล่นกันว่า : "ถ้าเราไปหาซื้อพวกพระเทียม เท็จทั้งหลาย ได้ในราคาลด 10% ก็นับว่าไม่เลว " เขาพูดถูกครับ เพราะถ้าคุณได้้ "พระเจ้าองค์เที่ยงแท้" กลับมานับว่าต่อรองราคาได้เก่งทีเดียว ความจริงก็คือ เมื่ออิส ราเอลจ่ายราคาแพงสำหรับกษัตริย์ แต่ที่ได้รับคืนนั้นช่างไม่สมกับราคาเสียเลย ชาว อิสราเอลคิดเอาเองว่า กษัตริย์จะมาตัดสินใจ (วินิจฉัย) แทนพวกเขา บอกสิ่งต่างๆให้ เขาทำ และสู้ในสงครามเพื่อพวกเขา ถ้ากลับไปทบทวนในพระธรรมเฉลยธรรมบัญญัติ 28-32 เขาจะเห็นว่าไม่ใช่กษัตริย์ที่เป็นผู้นำความมั่งคั่งและสันติสุขมาให้ ; แต่เป็นพระ เจ้า ไม่ใช่กษัตริย์ที่สมควรแก่ความเชื่อและความวางใจ (ผู้เดียว); เป็นพระเจ้าเท่านั้น พวกเขาคาดหวังให้กษัตริย์ทำในสิ่งที่พระเจ้าเท่านั้นที่ทำได้ ไม่ว่าจะมีกษัตริย์หรือไม่ก็ ตามพวกเขายินดีจ่ายราคาแพงสำหรับบางสิ่งที่ไม่คุ้มกับราคาเลย

สิ่งที่ความบาปเป็นคือ มารซาตานพยายามหลอกขายความบาปให้กับเรา ชนิดที่ พวกเซลส์ขายรถยนตร์จอมโกงทั้งหลายต้องร้องให้ด้วยความอิจฉาที่เดียว ซาตาน พยายามสร้างภาพประโยชน์ที่จะได้จากบาปให้ใหญ่เกินจริง และพยายามทำให้เรา รู้สึกว่าราคาของความบาปนั้นน้อยมาก ในสวนเอเด็น ซาตานล่อลวงเอวาให้เชื่อว่านาง นั้นสามารถเป็นเหมือนพระเจ้าได้ และการกินผลไม้ต้องห้ามนั้นไม่ทำให้ถึงตายหรอก เมื่อเราเลือกที่จะทำบาป เราคิดว่าเราสามารถ "ใช้" และสามารถควบคุมมันได้ แต่ความ จริงคือ ความบาปต่างหากที่จะเข้ามาควบคุมเราไว้อย่างรวดเร็ว และในที่สุดเราก็ตกเ็ป็น ทาสของมัน เมื่อไรก็ตามที่เราถูกทดลอง และกำลังเลือกที่จะทำบาป ให้เราจำคำสอน จากในพระคัมภีร์เกี่ยวกับเศรษฐศาสตร์ของความบาป : ราคาแพงมาก แต่สนุกได้ประ เดี๋ยวเดียว ไม่คุ้มหรอกครับที่จะทำบาป

แล้วทำไม ถึงแม้ซามูเอลจะเตือนคนอิสราเอลแล้วก็ตาม พวกเขาจึงยังปฏิเสธที่จะรับ ฟังและยืนยันที่จะให้มีกษัตริย์อีก ? เหตุใดมนุษย์จึงยอมจ่ายราคาแพงเพื่อจะได้มาเพียง น้อยนิด ? ผมว่าผมรู้คำตอบ และผมเชื่อว่ามันเกี่ยวกับบทเรียนตอนนี้โดยตรง มนุษย์ เกลียดชังพระคุณ มันน่าชิงชังรังเกียจ เพราะมันเป็นของได้เปล่าหรือของบริจาค พระ คุณไม่ได้ทำให้เรารู้สึกภูมิใจ ; แต่ทำให้เราต้องถ่อมใจ ถ้าเราต้องจ่ายสำหรับบางสิ่ง (ไม่ว่าจะเป็นแรงงานหรือเงินทอง) เราคิดว่าเราได้ครอบครองเป็นเจ้าของสิ่งนั้น เราคิด ว่าเราสามารถควบคุมสิ่งนั้นให้อยู่ภายใต้เรา เมื่อเราได้รับพระคุณ เราไม่ใช่เป็นผู้ควบคุม พระเจ้าเป็นผู้ควบคุม พระเจ้าประทานให้ตามพระทัยของพระองค์ ดังนั้นเราไม่สามารถ ออกคำสั่งให้พระเจ้าประทานให้ตามเวลาหรืออย่างที่เราอยากได้ ; เราไม่สามารถควบ คุมผลประโยชน์ของมันได้ แต่เราชอบที่จะ (นึกไปเองว่า) พระเจ้าต้องอวยพระพรให้ เมื่อเราทำดีทำถูก พระเจ้าต้องทำดีตอบแทนเรา เราเป็นผู้ควบคุม พระเจ้าเป็นผู้รับใช้ ของเรา ดังนั้นมนุษย์จึงเต็มใจจ่าย – และจ่ายมากด้วย – เพื่อความภูมิใจของตนเองและ ความรู้สึกว่าได้เป็นผู้ควบคุม เหตุนี้มนุษย์จึงเลือกรูปเคารพและปฏิเสธพระเจ้า ถึงแม้ พวกเขายังต้องแบกหามมัน พวกเขาคิดว่าการปรนนิบัติรูปเคารพนั้นหมายความว่าพวก เขามีสิทธิที่จะควบคุม "พระ" เหล่านั้นได้ ช่างโง่เขลาเสียจริง

ผมว่าน่าสนใจที่เห็นคนอิสราเอลต้องการมนุษย์มาเป็นพระเจ้า มันไม่มีทางเป็นไปได้ และราคาของความพยายามนี้ก็มหาศาล หนทางของพระเจ้าคือส่งพระเจ้าที่เป็นมนุษย์ หรือมนุษย์ที่เป็นพระเจ้า เพื่อช่วยมนุษย์ให้รอดจากความผิดบาป และปกครองบนโลกนี้ ในฐานะกษัตริย์ในอาณาจักรของพระองค์ พระเมสซิยาห์ที่ทรงสัญญาไว้ กษัตริย์พระ องค์นี้ที่มีการพยากรณ์ไว้ล่วงหน้า ว่าจะเป็นทั้งพระเจ้าและเป็นทั้งมนุษย์ มิใช่ใครที่ใหน แต่คือองค์พระเยซูคริสต์ของเรานั่นเอง

บทเรียนสุดท้ายสำหรับตอนนี้คือ : บางครั้งพระเจ้าก็ประทานให้ตามที่เราขอหรือสั่ง ถึง แม้ผลลัพท์จะออกมาเจ็บปวด ทำให้ผมนึกถึงพระธรรมสดุดีตอนหนึ่งที่พูดถึงการบ่นว่า ของชาวอิสราเอลที่ไม่มีเนื้อสัตว์กิน เลยทำให้พระเจ้าประทานให้กินจนท้องแทบระเบิด ดังนี้ :

15 พระองค์ทรงประทานสิ่งที่ท่านขอ แต่ทรงใช้โรค ผอมแห้งมาท่ามกลางท่าน
(สดุดี 106:15, NASB).

การอธิษฐานทูลขอแบบไม่หยุดยั้ง ไม่ใช่เป็นการแสดงออกถึงความเชื่อ แต่เป็นการ แสดงถึงความโลภ การอธิษฐานด้วยความอดทนไม่ใช่เป็นเพราะเคร่งศาสนา อาจเป็น เพราะเรามัวแต่ไปทูลขอในสิ่งที่เกิดประโยชน์เพียงน้อยนิดกับเรา พระเจ้าอาจประทาน ให้ตามที่ขอ แต่เมื่อได้มาแล้วเราอาจต้องเจ็บปวดกับมัน แต่ในการที่พระเจ้ายอมให้ใน สิ่งที่เราอยากได้นักหนา พระองค์กำลังสอนเราให้หัดมอบความวางใจไว้ที่พระองค์ หรือตามที่พระคัมภีร์กล่าวไว้ "แต่ท่านทั้งหลายจงแสวงหาแผ่นดินของพระเจ้า และ ความชอบธรรมของพระองค์ก่อน แล้วพระองค์จะทรงเพิ่มเติมสิ่งทั้งปวงเหล่านี้ให้" (ดูมัทธิว 6:33) ให้เราระวังว่าคำอธิษฐานทูลขอของเรา ไม่ใช่เป็นการออกคำสั่ง ให้ เราเรียนรู้จากชาวอิสราเอลในสมัยโบราณ เพื่อเราจะไม่หลงไปเดินในทางทีผิดเช่น เดียวกับที่พวกเขาได้กระทำมาในอดีต


24 24 คำว่า "ครอบครองอยู่" เป็นคำที่ใช้สำหรับ "กษัตริย์" และมีการใช้อยู่หลายแห่งในพระ คัมภีร์เดิม

25 "หลักการแบ่งสันปันส่วน" ทำให้เราสังเกตุเห็นว่าผู้เขียนใช้เวลาและเนื้อที่ค่อนข้างมาก สำหรับเรื่องนี้เรื่องเดียว ในบทที่ 8 มีการพูดถึงการร้องขอกษัตริย์ว่าเป็นการนับถือรูปเคารพ อยู่เพียงสามข้อ ; แต่พูดถึงราคาแพงในการมีกษัตริย์ถึงเก้าข้อด้วยกัน

26 จากอพยพ 18 และกันดารวิถี 11 ดูเหมือนบรรดาผู้นำของอิสราเอลมีภาระหนักในการทำ หน้าที่วินิจฉัยประชาชน หรือว่าตอนนี้พวกเขาต้องการจะผลักภาระนี้ไปให้ผู้ที่จะมาเป็นกษัตริย์ ทำแทน ?

27 งานทุกงานมีทั้งความเสี่ยงและการทดลอง บุตรของเอลีเป็นปุโรหิต ถูกล่อลวงให้ทำผิด ศีลธรรม โลภมากเห็นแก่ได้ บุตรของซามูเอลทำหน้าที่วินิจฉัย แต่ถูกล่อลวงให้รับสินบนและ บิดเบือนความยุติธรรม ลองดูลูกา 3:12-14 เราอาจคิดเลยไปไกลจนถึงกับพูดว่า ของประทาน ทุกอย่างมาพร้อมกับการทดลองก็ได้ (ดูโรม 12:8)

28 แย่หน่อยที่บางฉบับ แปลโดยใช้คำว่า "ผู้วินิจฉัยทั่วทั้งอิสราเอล" ผมว่าฉบับ NIV ถูก ต้องที่สุด โยเอลและอาบียาห์ยังไม่ได้รับเลือกให้มาแทนซามูเอล (อย่างน้อยยังไม่ใช่ตอนนี้) เป็นเพียงฝึกหัด ทำหน้าที่เหมือนผู้วินิจฉัย "ให้กับ" อิสราเอล อยู่ทางตอนใต้สุดของประเทศ เมืองที่ ถ้ามีการผิดพลาดจะไม่มีผลกระทบใดร้ายแรงเกิดขึ้น

29 คำว่า "วิธีการ" หรือข้อปฏิบัติที่ใช้ตอนนี้เป็นพยัญชนะตัวเดียวกับที่ใช้ในคำกิริยาของ "การวินิจฉัย" และคำสรรพนาม "การพิพากษา" อย่างน้อยก็ดูคล้ายกับการเล่นคำ "คุณอยาก ให้กษัตริย์มาพิพากษาคุณหรือ ? ถ้าเช่นนั้น ผมจะบอกคุณถึงข้อปฏิบัต ิ(คำเดียวกัน) ที่กษัตริย์ ทั่วไปทำกันอยู่ให้คุณฟัง"

30 ให้ลองเปรียบเทียบกับอิสยาห์ 37:14.

Related Topics: Introductions, Arguments, Outlines

Report Inappropriate Ad