MENU

Where the world comes to study the Bible

บทที่ 4: มือของพระดาโกนและพระหัตถ์ของพระเจ้า (1 ซามูเอล 5:1—7:17)

"การค้นพบทางโบราณคดี"

คำนำ

เมื่อสามปีที่แล้ว มีคนถามเพื่อนผมที่เป็นนักโปรแกรมคอมพิวเตอร์ว่ารู้สึกอย่างไรกับ งานที่ทำ เพื่อนผมตอบอย่างเบิกบานว่าเป็นงานที่ทำแล้วสนุกที่สุด ส่วนดีที่สุดคือ มีการจ่ายค่าจ้างให้กับสิ่งที่เราทำแล้วมีความสุข ผมรู้สึกแบบเดียวกันเมื่อเตรียมการ สอนสำหรับบทนี้ ผมต้องยอมรับว่างานบางอย่างที่ทำอยู่ก็ไม่ค่อยน่าสนุกสักเท่าไร แต่การสอนพระวจนะคำเป็นงานที่ทำแล้วมีความสุข โดยเฉพาะอย่างยิ่งบทนี้สนุกทั้ง ตอนเทศนาและตอนเตรียมสอน

ทบทวนตอนเดิมและมองไปยังตอนใหม่

ดูเหมือนทั้งชาวอิสราเอลและชาวฟิลิสเตียคิดตรงกันว่าพระเจ้านั้นถูกศัตรูของอิสราเอล จับไปเป็นตัวประกันแล้ว เริ่มแรกอิสราเอลพ่ายแพ้ต่อชาวฟิลิสเตีย สูญเสียชีวิตไปถึง 4,000 คน (1 ซามูเอล 4:1-2) คนอิสราเอลเริ่มสงสัยว่าเหตุใดพระเจ้าจึงปล่อยให้พวก เขาพ่ายแพ้เช่นนี้ จึงสรุปกันว่า น่าจะเป็นเพราะไม่ได้นำหีบแห่งพันธสัญญาออกไปที่ สนามรบด้วย เช่นเดียวกับตัวนำโชค พวกเขาเชื่อว่าหีบพันธสัญญาจะทำให้สถาณ การณ์เปลี่ยนไป ดังนั้นคนอิสราเอลจึงเริ่มลุกขึ้นมาสู้ด้วยความมั่นใจ ส่วนชาวฟิลิสเตีย ด้วยความกลัวจึงสู้สุดฤทธิชนิดไม่รอดก็ยอมตาย ทำให้อิสราเอลพ่ายแพ้หนักขึ้นไปอีก พระคัมภีร์บอกเราว่าทหารราบตายเสีย 30,000 คน รวมทั้งปุโรหิตสองคนคือ โฮฟนี และฟีเนหัส เมื่อเอลีได้ยินข่าวเรื่องบุตรและหีบพันธสัญญาถูกยึดไป ก็ตกจากที่นั่งลง ไปคอหักตาย และตามต่อมาด้วยการตายของลูกสะใภ้ในขณะที่คลอดบุตรชายที่นาง ให้ชื่อว่า อิคาโบด (พระสิริพรากไป) ให้มาเริ่มต่อหลังจากเมื่อหีบพันธสัญญาถูกยึดไป

ให้เรามาเริ่มจากตรงนี้ด้วยการปลอมตัวเป็น "แมลงวันเกาะผนัง" ที่ในวิหารของพระ ดาโกนกัน พระดาโกนเป็นพระที่ชาวฟิลิสเตียนับถืออยู่17 ในบทที่ 5 พระเจ้าทรงทำ ให้พระดาโกนเสื่อมไป (ข้อ 1-5) และทำให้ชาวฟิลิสเตียที่นมัสการพระดาโกนเดือดร้อน (ข้อ 6-12) ในบทที่ 6 ชาวฟิลิสเตียพยายามส่งคืนหีบแห่งพันธสัญญาให้กับชาวอิสรา เอล โดยใช้กรรมวิธีเสี่ยงทายว่าเหตุที่เกิดขึ้นนั้นเป็นเรื่องบังเอิญหรือเป็นมาจากพระเจ้า สำหรับชาวอิสราเอล เมื่อปฏิบัติต่อหีบแห่งพระเจ้าอย่างขาดความเคารพและขาดการ เชื่อฟัง มีผลนำมาซึ่งการพิพากษา และการพิพากษาเบื้องแรกก็คล้ายกันกับชาวฟิลิส เตีย พอบทที่ 7 หีบแห่งพระเจ้าถูกนำมาเก็บไว้ เพื่อทุกคนจะได้รู้ว่าการฟื้นฟูด้านจิต วิญญาณและชัยชนะในการรบนั้น ไม่ได้เป็นเพราะอัศจรรย์ของหีบ แต่เป็นเพราะการ กลับใจและความวางใจในองค์พระผู้เป็นเจ้าเท่านั้น

ถ้าดูตามเนื้อหา พระธรรม 1 ซามูเอลบทที่ 5 ถึง 7 นั้นสนุกสนานน่าติดตาม แต่ที่เหนือ ไปกว่านั้นคือข้อเท็จจริงตามหลักศาสนาศาสตร์ และหลักคำสอนที่เราต้องนำมาศึกษา ใคร่ครวญให้ดี ขอให้เราพึ่งการทรงนำของพระวิญญาณเพื่อพระสิริของพระองค์ และ เพื่อให้เป็นประโยชน์แก่เราทั้งหลาย

ชาวฟิลิสเตียและเทพเจ้าในพระหัตถ์ของพระเจ้า
(5:1-12)

1 เมื่อคนฟีลิสเตียยึดหีบแห่งพระเจ้าไปนั้น เขานำไปจากเอเบนเอเซอร์ถึงเมืองอัชโดด 2 และคนฟีลิสเตียก็นำเอาหีบแห่งพระเจ้า เข้าไปไว้ในโบสถ์ของพระดาโกน และวางไว้ ข้างพระดาโกน 3 และเมื่อประชาชนชาวอัช โดดตื่นเช้าในวันรุ่งขึ้น ดูเถิดพระดาโกนได้ล้ม หน้าคว่ำลงมายังพื้นดินตรงหน้าหีบแห่งพระเจ้า เขาทั้งหลายจึงยกพระดาโกนขึ้นตั้งไว้ในที่เดิม 4 แต่เมื่อเขาทั้งหลายตื่นเช้าในวันรุ่งขึ้น ดูเถิด พระดาโกนก็ล้มหน้าคว่ำลงมายังพื้นดินตรงหน้า หีบแห่งพระเจ้า เศียรของพระดาโกนและมือทั้ง สองก็หักออกอยู่ที่ธรณีประตู เหลืออยู่แต่ลำตัว พระดาโกน 5 เพราะเหตุนี้เอง ปุโรหิตของพระ ดาโกน และผู้ที่เข้าไปในโบสถ์ของพระดาโกน จึงไม่เหยียบธรณีประตูโบสถ์พระดาโกนที่เมือง อัชโดดจนถึงทุกวันนี้

6 พระหัตถ์ของพระเจ้าอยู่ เหนือประชาชนอัชโดดอย่างหนัก พระองค์ทรง กระทำให้เขาคร้ามกลัวและทรงเฆี่ยนเขาด้วยฝี ทั้งชาวอัชโดดและเขตแดนของชาวเมืองนั้น 7 และเมื่อชาวเมืองอัชโดดเห็นอย่างนั้น เขาทั้ง หลายกล่าวว่า "อย่าให้หีบแห่งพระเจ้าของอิสรา เอลอยู่กับเราเลย เพราะว่าพระหัตถ์ของพระอยู่ เหนือเราและเหนือพระดาโกนพระของเราอย่างหนัก" 8 เขาจึงใช้คนไปเรียกประชุมเจ้านายทั้งสิ้นของ ฟีลิสเตีย และกล่าวว่า "เราจะกระทำอะไรกับหีบ แห่งพระเจ้าของอิสราเอลดี" เขาทั้งหลายตอบว่า "ให้เรานำหีบแห่งพระเจ้าของอิสราเอลอ้อมไปยัง เมืองกัท" เพราะฉะนั้นเขาจึงนำหีบแห่งพระเจ้า ของอิสราเอลไปที่นั่น 9 แต่เมื่อเขาทั้งหลายนำ หีบอ้อมไปเมืองนั้นแล้ว พระหัตถ์ของพระเจ้าก็ ต่อสู้เมืองนั้นกระทำให้ เกิดความวุ่นวายอย่างหนัก และทรงเฆี่ยนชาวเมืองนั้นทั้งเด็กและผู้ใหญ่ คือให้เกิดฝีขึ้นที่ตัวเขาทั้งหลาย 10 เขาจึงส่ง หีบแห่งพระเจ้าไปยังเมืองเอโครน และอยู่มา เมื่อหีบแห่งพระเจ้ามาถึงเมืองเอโครนชาวเมือง เอโครนร้องว่า "เขาได้นำหีบแห่งพระเจ้าของ อิสราเอลมาให้เรา เพื่อจะฆ่าเราและประชาชน ของเราเสีย" 11 เพราะฉะนั้นเขาจึงส่งคนไปให้เรียก ประชุมเจ้านายทั้งหมดของคนฟีลิสเตียและกล่าวว่า "จงส่งหีบแห่งพระเจ้าของอิสราเอลไปเสียให้หีบนั้น กลับไปยังที่เดิมเพื่อหีบนั้นจะไม่ได้ฆ่าเราหรือประชา ชนของเราเสีย" เพราะว่ามีความวุ่นวายอย่างน่ากลัว ตายแพร่ไปทั่วประเทศนั้น พระหัตถ์ของพระเจ้าก็อยู่ ที่นั่นอย่างหนัก 12 คนที่ไม่ตายก็เป็นฝี และเสียงร้อง ของชาวเมืองนั้นก็ขึ้นไปยังฟ้าสวรรค์

พระดาโกนหกล้ม
(5:1-5)

ถ้ามองจากมุมมองของมนุษย์ ดูเหมือนพระเจ้าถูกชาวฟิลิสเตียจับไปเป็นตัวประกัน สำหรับมุมมองของชาวอิสราเอล โศกนาฏกรรมของเอลี การตายของลูกสะใภ้ และ การที่เห็นหีบพระสัญญาถูกยึดไปต่อหน้าต่อตา นับเป็นเรื่องที่น่าเห็นใจ แต่พระเจ้าของ อิสราเอลไม่ใช่รูปเคารพ พระองค์ไม่จำเป็นที่จะต้องให้มนุษย์อุ้มแบกไปมา ตรงกันข้าม เป็นพระองค์เองที่อุ้มชาวอิสราเอลอยู่ :

18 ท่านจะเปรียบพระเจ้าเหมือนผู้ใด หรือ เปรียบพระองค์คล้ายกับอะไร 19 รูปเคารพ น่ะหรือ ช่างเขาหล่อมันไว้ ช่างทองเอาทอง คำปิดไว้ และหล่อสร้อยเงินให้ 20 เขาผู้ที่ ยากจนก็เลือกสิ่งที่เป็นเครื่องบูชา เป็นไม้ที่ ไม่ผุ เขาเสาะหาช่างที่มีฝีมือ มาตกแต่งให้ เป็นรูปเคารพที่ไม่หวั่นไหว 21 ท่านทั้งหลาย ไม่เคยรู้หรือ ท่านไม่เคยได้ยินหรือ ไม่มีผู้ใด บอกท่านตั้งแต่แรกแล้วหรือ ท่านไม่เข้าใจ รากฐานของแผ่นดินโลกหรือ 22 คือพระองค์ ผู้ประทับเหนือปริมณฑลของแผ่นดินโลก และ ชาวแผ่นดินโลกก็เหมือนอย่างตั๊กแตนโม ผู้ทรงขึงฟ้าสวรรค์เหมือนขึงม่าน และกางออก เหมือนเต็นท์ที่อาศัย 23 ผู้ทรงกระทำเจ้านาย ให้เป็นเหมือนเปล่า และทรงกระทำให้ผู้ครอบ ครองแผ่นดินโลกเป็นเหมือนศูนยภาพ 24 พอ ปลูกเขาเหล่านั้นเสร็จ พอหว่านเสร็จ พอที่ราก หยั่งลง พระองค์ก็เป่ามาบนเขา เขาก็เหี่ยวแห้งไป และพายุก็พัดพาเขาไปเหมือนตอข้าว 25 องค์ บริสุทธิ์ตรัสว่า เจ้าจะเปรียบเรากับผู้ใดเล่า ซึ่งเรา จะเหมือนเขา 26 จงแหงนหน้าขึ้นดูว่า ผู้ใดสร้าง สิ่งเหล่านี้ พระองค์ผู้ทรงนำบริวารออกมาตามจำนวน เรียกชื่อมันทั้งหมด โดยอานุภาพอันยิ่งใหญ่ของพระ องค์ และเพราะพระองค์ทรงฤทธิ์เข้มแข็ง จึงไม่ขาด ไปสักดวงเดียว
(อิสยาห์ 40:18-26)

1พระเบลก็เลื่อนลง พระเนโบก็ทรุดลง ปฏิมากรของ พระนี้อยู่บนสัตว์และวัว สิ่งเหล่านี้ที่เจ้าหามอยู่ ก็มา บรรทุกเป็นภาระบนหลังสัตว์ที่เหน็ดเหนื่อย 2 มันทรุด ลงและมันเลื่อนลงด้วยกัน มันช่วยป้องกันภาระนั้นไม่ได้ มันเองก็ตกไปเป็นเชลย 3 "โอ วงศ์ของยาโคบเอ๋ย จงฟัง เรา คือคนที่เหลืออยู่ในวงศ์ของอิสราเอล ผู้ซึ่งเราอุ้มมาตั้ง แต่กำเนิด ชูมาตั้งแต่ในครรภ์ 4 จนกระทั่งเจ้าแก่ เราก็คือ พระองค์นั้น เราจะอุ้มเจ้าจนเจ้าถึงผมหงอก เราได้สร้าง เราจะชูไว้ เราจะอุ้มและเราจะช่วยให้รอด 5 "เจ้าจะเทียบ เราและทำเราให้เท่ากับผู้ใด และเปรียบเราว่าเราเหมือนกัน
(อิสยาห์ 46:1-5).

ผมพอจะนึกถึงภาพความปลาบปลื้มปิติยินดีเฉลิมฉลองในชัยชนะของชาวฟิลิสเตียออก รวมถึงการแห่หีบพันธสัญญาจากเมืองเอเบนเอเซอร์ไปยังเมืองอัชโดดซึ่งเป็นหนึ่งใน เมืองสำคัญทางเหนือสุดของประเทศได้ ในความคิดของพวกเขา การเอาชนะอิสราเอล และยึดหีบพันธสัญญาได้ก็เท่ากับเอาชนะพระเจ้าได้ การนำหีบของพระเจ้าไปตั้งไว้ใน วิหารของหนึ่งในบรรดาเทพเจ้า พระดาโกน น่าจะเป็นส่วนหนึ่งของงานเฉลิมฉลองใน ครั้งนี้ การนำหีบพันธสัญญามาวางไว้ต่อหน้าพระดาโกนแสดงว่าอยู่ในฐานะที่ต่ำกว่า พระดาโกนนั้นเหนือกว่าพระเจ้า เพราะฟิลิสเตียมีชัยชนะเหนืออิสราเอล — นี่เป็นความ คิดของชาวฟิลิสเตีย นับเป็นความคิดที่อันตรายอย่างใหญ่หลวง

เช้าวันรุ่งขึ้นเมื่อประชาชนมานมัสการพระดาโกนเพื่อขอบคุณในชัยชนะเหนืออิสราเอล คงจะอกสั่นขวัญแขวนไปตามๆกัน เพราะภายในวิหารนั้นเอง รูปเคารพของพวกเขา นอนกลิ้งหน้าคว่ำคลุกดินอยู่ต่อหน้าหีบแห่งพระเจ้า ลองคิดดูสิครับว่าเขาจะสรรหาข้อ แก้ตัวและคำอธิบายเพื่อปกป้อง "พระ" ของพวกเขาว่าอย่างไรดี "สงสัยท่านเขยื้อน ออกมาจากจุดเดิม" "หรือว่าเมื่อคืนมีแผ่นดินไหว?" ไม่ว่าจะเป็นด้วยสาเหตุใดก็ตาม ตอนนี้ได้มีการนำกลับไปตั้งใน "ที่เดิม" พวกเจ้าหน้าที่ทำการยึดไว้อย่างแน่นหนา คง ไม่มีทางล้มคว่ำลงมาได้ง่ายๆอีก

คุณว่าวันรุ่งขึ้นจะมีผู้คนมาที่วิหารมากกว่าเดิมไหม? คุณว่าคนฟิลิสเตียอยากให้แน่ใจ ว่าเหตุการที่เกิดคืนก่อนเป็นเรื่องบังเอิญหรือเปล่า ? หรือว่าเป็นเรื่องเหนือธรรมชาติ "พระเจ้าบันดาลให้เกิด" (อย่างที่พวกนายหน้าประกันชอบพูด)? เช้าวันต่อมาเมื่อผู้คน มาถึงจึงเห็นว่าเหตุการณ์หนักไปกว่าเดิม คราวนี้ไม่ใช่พระดาโกนแค่ล้มหน้าคว่ำอย่าง เดียว แต่มือและหัวหักกระเด็นเพราะฟาดไปกับธรณีประตูวิหาร คุณว่าคนฟิลิสเตียคิด ว่าพระเจ้าของอิสราเอลยังอยู่ในเงื้อมมือของเขาหรือเปล่า ? ในขณะที่มือและหัวพระ ของพวกเขากลิ้งคลุกดินอยู่ ถึงแม้หีบพระสัญญาจะอยู่ในมือของชาวฟิลิสเตีย แต่พระ ของชาวฟิลิสเตียกลับอยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้าองค์เที่ยงแท้ คือพระเจ้าของอิสราเอล

พระดาโกนตกอยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้าที่ทรงพระพิโรธหรือไม่ ? ผมว่าใช่ สิ่งที่น่า อัศจรรย์ใจในข้อ 1 – 5 ไม่ใช่ที่พระดาโกนล้มคว่ำอยู่ต่อหน้าหีบพระสัญญา แต่กลับเป็น การตอบสนองของพวกปุโรหิตชาวฟิลิสเตียมีต่อเหตุการณ์นี้ หีบพระสัญญาไม่ใช่รูป เคารพ ; หีบพระสัญญาไม่ใช่เป็นพระเจ้าของอิสราเอล หีบพระสัญญาเป็นเพียง สัญญลักษณ์ในการสถิตอยู่ท่ามกลางประชากรของพระองค์ และเป็นส่วนสำคัญในการ นมัสการของชาวอิสราเอล แต่ไม่ใช่เป็นรูปเคารพ พระดาโกนเป็นรูปเคารพที่มนุษย์ตก แต่งและยกขึ้นมาให้เป็นพระสำหรับกราบไหว้บูชา พระของชาวฟิลิสเตียล้มและหักลง ต่อหน้าหีบพระสัญญาถึงสองครั้ง ต้องมีการนำไปซ่อมแซม คิดดูสิว่า "พระ" ของชาว ฟิลิสเตียล้มลงต่อหน้าหีบแห่งพระเจ้า แล้วยังต้องส่งไปทึ่ศูนย์ซ่อมอีก เหตุการณ์นี้ บอกอะไรกับชาวฟิลิสเตียบ้าง ?

คุณว่าพระเจ้าเที่ยงแท้ต้องคอยให้มีคนมายกตั้งขึ้นหรือไม่ ? คุณว่าพระเจ้าเที่ยงแท้หัก ออกเป็นเสี่ยงได้หรือเปล่า ? ต้องใช้กาวตราช้างมาต่อกันให้เหมือนเดิมหรือ ? ถ้าปุโร หิตต่างชาตินี้คิดดูให้ดี พวกเขาจะเห็นว่ารูปปั้นพระดาโกนนี้สมควรจะเอาไปโยนทิ้งแถว กองขยะได้ "พระ" ประเภทใหนกันที่ต้องคอยจับตั้งให้อยู่กับที่ หรือต้องยกเอาไป ซ่อมตรงส่วนที่หัก ? แต่ปุโรหิตพวกนี้หยิ่งยโสเกินกว่าจะยอมรับว่า พระเจ้าของอิสรา เอลเท่านั้นที่เป็นพระเจ้าเที่ยงแท้ พวกเขายังไม่ยอมละทิ้งการกราบไหว้บูชา ท่อนไม้ หิน หรือเศษโลหะ แต่กลับไปประกาศให้ธรณีประตูที่พระดาโกนล้มกระแทกโดน เป็น บริเวณที่ศักดิ์สิทธิแทน จากนี้เป็นต้นไป ธรณีวิหารได้กลายไปเป็นวัตถุศักดิ์สิทธิไปเสีย แล้ว การที่รูปปั้นล้มใส่ธรณีประตูน่าจะเป็นบทเรียนอย่างดีสำหรับชาวฟิลิสเตีย แต่ กลับกลายเป็นบทเรียนที่พวกเขาไม่สนใจจะเรียน จึงไม่น่าประหลาดใจที่จะมีบทเรียน ราคาแพงไปกว่านี้คอยอยู่

ปัญหาเรื่องฝีๆ
(5:6-12)

จากข้อ 6-12 ในบทที่ 5 ผู้เขียนได้เตรียมปูทางอย่างดีให้เราไว้ก่อนแล้ว :

6 และเมื่อคนฟีลิสเตียได้ยินเสียงโห่ร้องดังเช่นนั้น เขาก็กล่าวว่า "เสียงโห่ร้องอึกทึกครึกโครมในค่าย ของคนฮีบรูนั้นหมายความว่าอะไรกัน" และเขาทราบ ว่าหีบแห่งพระเจ้าเข้ามาในค่ายแล้ว 7 คนฟีลิสเตีย ก็กลัวเพราะเขากล่าวว่า "พระเจ้าได้เสด็จมาในค่ายแล้ว" และเขากล่าวว่า "วิบัติแก่เราทั้งหลายเพราะแต่ก่อนไม่ เคยเกิดเรื่องอย่างนี้เลย 8 วิบัติแก่เราทั้งหลาย ใครจะ ช่วยกู้เราจากบรรดาพระอันทรงฤทธานุภาพนี้ได้ พระเหล่า นี้เป็นผู้ที่ฆ่าฟันชาวอียิปต์ด้วยภัยพิบัตินานาชนิดในถิ่นทุร กันดาร 9 โอ คนฟีลิสเตียเอ๋ยจงกล้าหาญเถิด จงกระทำตัว เป็นลูกผู้ชาย เพื่อว่าเจ้าจะไม่เป็นทาสของคนฮีบรูดังที่เขา เคยเป็นทาสเจ้า จงกระทำตัวให้เป็นลูกผู้ชายและเข้ารบ"
(1ซามูเอล 4:6-9)

ในบทที่ 4 ชาวฟิลิสเตียพร้อมจะทำสงครามกับชาวอิสราเอลอีกครั้ง แต่เมื่อได้ยินว่า ชาวอิสราเอลนำหีบแห่งพระเข้ามาที่สนามรบด้วย พวกเขาตกใจกลัวเป็นอันมาก เพราะยังจำได้ถึงเหตุการณ์ในอดีต เมื่อพระเจ้าทรงช่วยกู้ชาวอิสราเอลออกมาจาก การเป็นทาสในอียิปต์ การที่ฟาโรห์และกองทัพต้องพ่ายแพ้เป็นเรืี่องหนึ่งเพราะต้อง มีการรบกันเกิดขึ้น แต่ชาวฟิลิสเตียกลับพูดกันถึงการที่พระเจ้าจัดการกับอียิปต์โดยการ ส่งภัยพิบัติต่างๆลงมา ภัยพิบัตินี้เกี่ยวข้องกับการทำสงครามกับอิสราเอลได้หรือ? ได้ เพราะชาวฟิลิสเตียเห็นว่ามันเกี่ยวข้องกัน ผู้เขียนเองก็ต้องการให้เราเห็นด้วย เพราะ ท้ายที่สุด สิ่งที่ชาวพิลิสเตียกลัวในบททีี่ 4 ก็เกิดขึ้นในบทที่ 5

ในวิหารของพระดาโกน พระเจ้าสำแดงให้ชาวฟิลิสเตียเห็นว่ารูปเคารพไม่มีอำนาจใดๆ ภายใต้พระหัตถ์พระองค์ ต่อไปพระเจ้าจะทำการกับคนฟิลิสเตียโดยตรง พวกเขายัง คิดว่ามีชัยเหนือพระเจ้าอยู่หรือ ? มือของพระดาโกนก็หักไปแล้ว โดย "พระหัตถ์ของ พระเจ้า" ต่อไป "พระหัตถ์ของพระเจ้า" ก็จะลงมือกับชาวฟิลิสเตียในสถานที่ที่เก็บ หีบพันธสัญญาไว้ คือเมืองอัชโดดและบริเวณใกล้เคียง เป็นเรื่องลำบากใจที่จะเจาะจง ไปว่าภัยพิบัติที่ตกสู่ชาวฟิลิสเตียนี้คือสิ่งใด บางคนตีความว่าโรคที่พระเจ้าให้เกิดขึ้น กับชาวอัชโดดนั้น (รวมถึงสถานที่ต่างๆที่นำหีบพระสัญญาผ่านไปด้วย) คือโรคริดสีดวง บางคนก็ว่าเป็นฝีชนิดหนึ่งที่พระเจ้าใช้มาทำลายชาวฟิลิสเตีย เราคงไม่มีทางรู้แน่ ไว้รอ จนกว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าเสด็จกลับมาค่อยถามก็แล้วกัน ในขณะที่เรารู้สึก "สาสมใจ" ที่ชาวฟิลิสเตีย ต้องทรมานกับอาการริดสีดวง ดูเหมือนภัยพิบัติจะร้ายแรงกว่านั้น ประชาชนไม่ได้แค่ เจ็บปวดและหงุดหงิด แต่พวกเขาล้มตายลงเหมือนฝูงแมลงเม่า บางคนสรุปว่าอาการ ระบาดของฝีจนถึงขั้นเสียชีวิต น่าจะมีสาเหตุมาจาก "หนู" น่าจะ เป็นอาการของโรค "ฉี่หนู" ซึ่งอาจจะเป็นจริงก็ได้

ไม่ว่าจะเป็นภัยพิบัติแบบใด ชาวฟิลิสเตียคงไม่ชอบใจแน่ๆ และคงอยากกำจัดออกไป ให้เร็วที่สุด ผู้นำของชาวฟิลิสเตียรู้ดีว่าภัยพิบัติที่ชาวอัชโดดกำลังเผชิญอยู่น่าจะมา จากการที่มีหีบพันธสัญญาอยู่ด้วย พวกเขารู้ว่ากำลังถูกพระหัตถ์ของพระเจ้าเล่นงาน อย่างหนัก พระองค์กำลังพิพากษาทั้งพวกเขาและ "พระดาโกน" ในที่สุดทางแก้ดู เหมือนมีอยู่ทางเดียว คือต้องกำจัดหีบพันธสัญญาไปให้พ้น การตัดสินใจของเจ้านาย ก็เหมือนที่พวกผู้นำทั้งหลายชอบทำคือ : ส่งหีบพันธสัญญา (ตัวปัญหา)ไปที่เมืองกัท ซึ่งเป็นเมืองใหญ่อันดับรองลงมาของฟิลิสเตีย ด้วยหวังผลว่าภัยพิบัติที่อัชโดดจะยุติลง แต่เรารู้ดีว่าเมื่อส่งหีบพันธสัญญาไปที่เมืองกัทมีผลทำให้เกิดภัยพิบัติิขึ้นและแพร่กระ จายออกไปทั้งในเมืองกัทและบริเวณใกล้เคียง ภัยพิบัตินี้ติดตามหีบแห่งพระเจ้าไป

มีการตัดสินใจใหม่ คราวนี้ให้ส่งหีบพันธสัญญาไปยังเมืองเอโครนแทน ประชาชนชาว เอโครนไม่ใช่หมูๆ ไม่มีทางที่จะหลงเชื่อ "ยอดนักขายมือทอง" ชาวเมืองหลวงเรื่อง ออกปากยกหีบแห่งพระเจ้าของอิสราเอลให้พร้อมแถมภัยพิบัติถึงตายให้อย่างฟรีๆ พอชาวเอโครน รู้ว่าหีบกำลังเดินทางมา พวกเขาปฏิเสธไม่ยอมรับ ทำให้ผมนึกถึง "เพื่อนตัวน้อย" คนหนึ่งของผมที่ชอบเล่นไพ่ "อีแก่กินน้ำ" เป็นที่สุด ผมอธิบายสีหน้า เธอไม่ถูก เวลาที่เธอ ได้ "อีแก่" มาอยู่ในมือ สีหน้าเธอจะตื่นเต้นจนปิดไม่มิด ประชา ชนชาวเอโครนคงมีความรู้สึกแบบเดียวกัน พวกเขาต่อต้านไม่พอใจที่ถูกเลือกให้เป็น ผู้รับหีบพันธสัญญา จึงน่าจะชัดเจนแล้วว่า หีบนี้ต้องถูกส่งกลับคืนไปยังเจ้าของเดิม ไม่ต้องมีการเผชิญหน้าทางทหาร ไม่มีการประชุมหารือสรุปหาข้อตกลงระดับนานาชาติ ชาวอิสราเอลกำลังจะได้รับหีบแห่งพันธสัญญาที่ถูกยึดไปเมื่อเจ็ดเดือนก่อนคืน

อีกครั้งหนึ่งที่ชาวฟิลิสเตียเห็นชัดเจนว่าภัยพิบัติที่เกิดขึ้นในหลายๆแห่งของประเทศนั้น เป็นเพราะการไปถึงของหีบแห่งพันธสัญญา พวกเขารู้ดีว่าหีบพันธสัญญาคือตัวปัญหา และปัญหานี้เกิดจากการพิพากษาของพระเจ้ามายัง "พระดาโกน" ของพวกเขา สิ่งที่ พวกเขาไม่ยอมทำคือ ละทิ้งพระรูปเคารพที่ปราศจากฤทธิอำนาจเสีย และหันมาวางใจ ในพระเจ้าองค์เที่ยงแท้ของอิสราเอลแทน พวกเขากลับส่งพระองค์ "ออกไปให้พ้น หน้า" แทน

ทำให้ผมนึกถึงปฏิกิริยาของผู้คนที่อาศัยอยู่ที่เมืองเกราซาในมาระโกบทที่ 5 ตอนที่พระ เยซูเสด็จข้ามทะเลกาลิลี และทำการขับผีออกจากชายที่ถูกผีที่ชื่อ "กอง" สิง ผู้คนที่ นั่นเกิดความเกรงกลัว จึงขอร้องให้พระเยซูออกไปให้พ้นเสียจากเมืองโดยเร็ว พวกเขา ไม่ต้องการผู้ที่ประเสริฐและมีฤทธิอำนาจอยู่ด้วย พระองค์ดูน่ากลัวเกินไป เช่นกัน หีบ แห่งพระเจ้าดูศักดิ์สิทธิ และร้อนเกินกว่าจะรับมือไหว พวกเขาจึงต้องกำจัดไปให้พ้น

หีบแห่งพันธสัญญากลับบ้าน
(6:1—7:2)

1 หีบแห่งพระเจ้าอยู่ในถิ่นคนฟีลิสเตียเจ็ดเดือน 2 คนฟีลิสเตียก็เชิญพวกปุโรหิตและพวกโหรมา กล่าวว่า "เราจะกระทำอย่างไรกับหีบแห่งพระเจ้า ดี ขอบอกเราว่าจะส่งหีบไปยังที่เดิมด้วยอะไรดี" 3 เขาทั้งหลายตอบว่า "ถ้าท่านทั้งหลายจะส่งหีบ แห่งพระเจ้าของอิสราเอลไป ก็อย่าส่งไปเปล่า ถึงอย่างไรก็ขอส่งเครื่องบูชาไถ่ความผิดไปด้วย แล้วท่านทั้งหลายจะหายโรคและท่านทั้งหลายจะ ทราบด้วยว่าเหตุใดพระหัตถ์นี้จึงไม่หันไปเสียจาก ท่าน" 4 และเขากล่าวว่า "จัดอะไรเป็นเครื่องบูชา ไถ่ความผิดเล่า ที่เราจะต้องถวายให้พระองค์" เขาทั้งหลายตอบว่า "ลูกฝีทองคำห้าลูกกับหนูทอง คำห้าตัวตามจำนวนเจ้านายแห่งคนฟีลิสเตีย เพราะ ว่าโรคอย่างเดียวกันนั้นติดต่อท่านทั้งหลาย และเจ้า นายด้วย 5 เพราะฉะนั้นท่านต้องทำรูปฝีของท่าน และรูปหนูของท่าน ซึ่งทำลายแผ่นดิน และท่าน ทั้งหลายจงถวายพระสิริแด่พระเจ้าของอิสราเอล ชะรอยพระองค์จะทรงเบาพระหัตถ์ของพระองค์ จากท่านทั้งหลาย ทั้งจากพระของท่านและแผ่น ดินของท่าน 6 ทำไมท่านจึงกระทำให้จิตใจของ ท่านแข็งกระด้างไป อย่างที่ชาวอียิปต์และฟาโรห์ ได้กระทำจิตใจของ เขาให้แข็งกระด้างนั้น เมื่อ พระองค์ทรงกระทำเหตุการณ์สู้เขาทั้งหลายแล้ว เขาทั้งหลายก็ต้องปล่อยให้ประชาชนไปมิใช่หรือ แล้วเขาทั้งหลายก็จากไป 7 บัดนี้จงเตรียมเกวียน ใหม่เล่มหนึ่งมาเทียม เข้ากับแม่โคคู่หนึ่งซึ่งยังไม่ เคยเข้าเทียมแอกเลย จงเอาแม่โคมาเทียมเกวียน แล้วพรากลูกๆของมันกลับไปบ้านเสียให้พ้นจากมัน 8 จงนำหีบแห่งพระเจ้ามาวางไว้บนเกวียน และวาง เครื่องทองคำซึ่งท่านทั้งหลาย ถวายให้พระองค์เป็น เครื่องบูชาไถ่ความผิดไว้ในหีบข้างๆ แล้วก็ปล่อยให้ มันไป 9 และคอยดู ถ้าไปตามทางถึงแผ่นดินของมัน เอง คือทางไปเมืองเบธเชเมช พระองค์ก็เป็นผู้ทรง ให้เกิดอันตรายอย่างใหญ่หลวงนี้แก่เรา ถ้าไม่เช่นนั้น เราจะได้ทราบว่าไม่ใช่พระหัตถ์ของพระองค์ที่กระทำ ต่อเราเป็นเคราะห์กรรมที่บังเอิญเกิดขึ้นแก่เราเอง" 10 คนเหล่านั้นก็กระทำตาม นำเอาแม่โคคู่หนึ่งเทียม เข้ากับเกวียน แล้วขังลูกๆของมันไว้ที่บ้าน 11 และเขา ก็วางหีบแห่งพระเจ้าไว้บนเกวียนพร้อมกับหีบหนูทอง คำและรูปฝีของเขา 12 แม่โคก็เดินตรงไปตามทาง ที่ไปเมืองเบธเชเมช ไปตามทางหลวง เดินพลาง ร้องพลางไม่เลี้ยวขวาหรือเลี้ยวซ้าย และบรรดา เจ้านายแห่งคนฟีลิสเตียก็ตาม มันไปจนถึงพรม แดนเมืองเบธเชเมช 13 ฝ่ายชาวเมืองเบธเชเมช กำลังเกี่ยวข้าวสาลีอยู่ที่หุบเขา และเมื่อเขาเงย หน้าขึ้นและเห็นหีบ เขาก็ชื่นชมยินดีที่ได้เห็น 14 เกวียนนั้นได้เข้ามาในนาของโยชูวาชาวเบธเช เมช และหยุดอยู่ที่นั่น มีหินใหญ่ก้อนหนึ่งอยู่ที่นั่น เขาจึงผ่าไม้เกวียนเป็นฟืน และเอาแม่โคเป็นเครื่อง เผาบูชาถวายแด่พระเจ้า 15 และคนเลวีก็เชิญหีบ แห่งพระเจ้าลง และหีบที่อยู่ข้างๆซึ่งมีเครื่องทอง คำวางไว้บนก้อนหินใหญ่นั้น และชาวเบธเชเมชก็ ถวายเครื่องเผาบูชา และถวายเครื่องสัตวบูชาแด่ พระเจ้าในวันนั้น 16 และเมื่อเจ้านายทั้งห้าของ คนฟีลิสเตียได้เห็นแล้ว เขาก็กลับไปยังเมืองเอ โครนในวันนั้น 17 ต่อไปนี้ เป็นรูปฝีทองคำซึ่งคน ฟีลิสเตียถวายเป็นเครื่องบูชาไถ่ความผิดถวายแด่ พระเจ้า รูปหนึ่งสำหรับเมืองอัชโดด เมืองกาซารูป หนึ่ง เมืองอัชเคโลนรูปหนึ่ง เมืองกัทรูปหนึ่ง เมือง เอโครนรูปหนึ่ง 18 รูปหนูทองคำก็เช่นเดียวกัน ตามจำนวนเมืองของฟีลิสเตียที่เป็นเมืองของเจ้า นายทั้งห้าทั้งเมืองที่มีป้อมปราการและชนบทที่ไม่ มีกำแพงเมือง หินก้อนใหญ่ซึ่งเขาวางหีบของพระ เจ้าลงไว้นั้นก็ยังเป็นพยานอยู่จนทุกวันนี้ที่ในทุ่งนา ของโยชูวา ชาวเบธเชเมช 19 พระองค์จึงทรง ประหารชาวเบธเชเมช เพราะว่าเขาทั้งหลายได้ มองหีบแห่งพระเจ้า พระองค์ได้ทรงประหารเสีย เจ็ดสิบคนและห้าหมื่นคน และประชาชนก็ไว้ทุกข์ เพราะว่าพระเจ้าทรงประหารประชาชนเสียเป็นอัน มาก 20 แล้วชาวเบธเชเมชจึงกล่าวว่า "ผู้ใด สามารถยืนอยู่ต่อ พระเยโฮวาห์พระเจ้าบริสุทธิ์ องค์นี้ได้พระองค์จะเสด็จไปจากเราไปหาผู้ใดดี" 21 ดังนั้นเขาจึงส่งสารไปยังชาวเมือง คีริยาท เยอาริมกล่าวว่า "คนฟีลิสเตียได้คืนหีบแห่ง พระเจ้ามาแล้ว ขอลงมาเชิญหีบขึ้นไปอยู่กับ ท่านเถิด" 1 ชาวคีริยาทเยอาริมได้มาเชิญ หีบแห่งพระเจ้าขึ้นไปถึงเรือนของอาบีนาดับ ซึ่งอยู่บนเนินเขา และเขาทั้งหลายก็ชำระ เอเลอาซาร์บุตรของเขาให้บริสุทธิ์ เพื่อให้ ดูแลหีบแห่งพระเจ้า ซามูเอลวินิจฉัยคนอิส ราเอล 2 นับแต่วันที่หีบแห่งพระเจ้าอยู่ที่คีริ ยาทเยอาริมก็ เป็นเวลาช้านานตั้งยี่สิบปี และ บรรดาพงศ์พันธุ์อิสราเอลทั้งสิ้นก็คร่ำครวญถึง พระเจ้า
(1ซามูเอล 6:1 - 7:2)

นับเป็นเวลาเจ็ดเดือนที่ดูเหมือนหีบแห่งพระเจ้าถูกจับไปเป็น "เชลย" และเป็นเจ็ด เดือนที่ชาวฟิลิสเตียประสพภัยพิบัติอย่างหนักจากพระหัตถ์ของพระเจ้า18 มีหนทาง เลือกเหลืออยู่เพียงทางเดียว : ต้องส่งคืนหีบพันธสัญญาให้กับอิสราเอล แต่ติดอยู่ ที่ปัญหาว่า "วิธีใด ?" ในบทที่ 5 หีบพันธสัญญาดูเป็นปัญหาทางการเมือง พวกเจ้า นายต้องมาปรึกษากัน และตัดสินใจส่งหีบต่อไปยังเมืองอื่นๆ จนไม่มีที่ใดอยากได้อีก ต่อไป แต่ตอนนี้กลายเป็นปัญหาทางศาสนาแล้ว มีการปรึกษากัับปุโรหิตของฟิลิสเตีย ว่าควรทำอย่างไร เพื่อการส่งคืนจะไม่ทำให้พระเจ้าของอิสราเอลพิโรธเพิ่มขึ้น

ปุโรหิตของฟิลิสตินออกคำสั่งอย่างเจาะจงเกี่ยวกับการส่งคืนหีบพันธสัญญา คำสั่งนี้ ปราศจากความเข้าใจในเรื่องพระเจ้าหรือพระบัญญัติของพระองค์โดยสิ้นเชิง แต่ไปยึด ถือตามพิธีของพระต่างชาติที่พวกเขากราบไหว้อยู่ มีคำแนะนำว่าไม่ควรส่งหีบพันธ สัญญากลับไปเปล่าๆ ต้องมีเครื่องบูชาไถ่ความผิดติดไปด้วย19 เป็นเรื่องน่าสนใจที่มี การยกเรื่องความผิดขึ้นมาพูด แต่ไม่ใช่เรื่องความผิดในแง่ส่วนตัว หรือความบาปของ ประเทศชาติ แต่กลับเหมาเอาเองว่า การที่ภัยพิบัติเกิดขึ้นนั้น เพราะประเทศอิสราเอล เสียชื่อ เนื่องด้วยหีบพันธสัญญาถูกยึดไป พระเจ้าเลยทรงพระพิโรธยิ่งนัก ต้องมีการ เอาใจพระเจ้าของอิสราเอล แต่จะใช้วิธีใดดี ? ปุโรหิตฟิลิสเตียนึกออกเพียงวิธีเดียว : ทำรูปเทียมเลียนแบบปัญหาที่เกิดขึ้น พวกเขาแนะนำให้เจ้านายฟิลิสเตียเอาใจพระเจ้า ด้วยการทำเครื่องบูชาไถ่โทษด้วยทองคำ และไม่ได้ให้แต่ทองคำที่ทำทีคล้ายติดสิน บนเพียงอย่างเดียว แต่ทำทองคำห้าชิ้นเป็นรูปเลียนแบบริดสีดวง (หรือฝี) และเป็นรูป หนูห้าตัว พวกเขาแนะนำอย่างมั่นใจว่าจะทำให้พระเจ้าพอพระทัย และจะทำการรักษา โรคที่เกิดจากภัยพิบัติในฟิลิสเตียได้ ถ้าทำแล้วเกิดผล ชาวฟิลิสเตียเองก็จะมีคำตอบ ถึงสาเหตุที่พระเจ้าทรงพระพิโรธ

อันที่จริง ชาวฟิลิสเตียมีความรู้เรื่องประวัติศาสตร์และพระเจ้าของอิสราเอลอย่างน่าทึ่ง พวกเขารู้เรื่องการอพยพ รู้ว่าฟาโรห์และชาวอียิปต์มีใจที่แข็งกระด้างต่อพระเจ้า ถึงแม้ พระองค์จะส่งภัยพิบัตินานาประการมาให้ ชาวฟิลิสเตียไม่ต้องการทำผิดในแบบเดียว กัน ดังนั้นจึงมีการเสนอแนะให้ส่งหีบแห่งพระเจ้าคืนไปยังอิสราเอลพร้อมด้วยเครื่อง บูชาไถ่ความผิด ชาวอียิปต์ทำผิดโดยไม่ยอมปล่อยชาวอิสราเอล ชาวฟิลิสเตียจะไม่ ยอมทำผิดด้วยการเก็บหีบพันธสัญญาไว้

ถึงแม้ชาวฟิลิสเตียอยากรีบส่งหีบแห่งพระเจ้าไปให้พ้น แต่พวกเขาก็ต้องทำด้วยความ รอบคอบ พวกเขายอมรับอย่างไม่มีข้อสงสัยว่า หีบแห่งพระเจ้าของอิสราเอลนั้นเป็น ต้นเหตุของภัยพิบัติที่เกิดขึ้น พวกเขาจะ "ปล่อยหีบของพระเจ้าไป" เฉยๆ เช่นเดียว กับที่ชาวอียิปต์เคยปล่อยชาวอิสราเอลไป แต่พวกเขาจะไม่ปล่อยไปให้เปล่าๆ จึงคิด วางแผนการ ถ้าหีบแห่งพระเจ้าเป็นตัวปัญหาจริงๆ เพราะมีเพียงพระเจ้าเท่านั้นที่มี อำนาจเหนือธรรมชาติ ปุโรหิตพวกนี้จึงแนะนำบรรดาเจ้านายให้นำหีบพันธสัญญานี้ ส่งคืนไปพร้อมกับเครื่องบูชาไถ่โทษ โดยเทียมไปบนเกวียนเล่มใหม่ด้วยแม่โคสองตัว และต้องเป็นโคแม่ลูกอ่อนด้วย ลูกวัวต้องถูกแยกออกไป แม่โคจะถูกนำมาเทียมเกวียน และปล่อยให้เดินไปตามอิสระ ถ้าแม่โคทำตามสัณชาติญาณ มันจะกลับไปหาลูก แต่ถ้า ภัยพิบัติเกิดมาจากพระเจ้าผู้มีพระประสงค์จะได้หีบพันธสัญญาคืน แม่โคจะทิ้งลูกและ ลากเกวียนมุ่งตรงไปยังอิสราเอลแทน เราคงจะเข้าใจได้ว่าปัญหาที่เกิดขึ้นในฟิลิสเตีย นั้นมาจากพระเจ้าองค์นี้ และพวกเขาตัดสินใจถูกที่คืนหีบพันธสัญญาไป ถ้าไม่เช่นนั้น พวกเขาคงจะเก็บหีบไว้ แล้วคิดว่าภัยพิบัติที่เกิดขึ้นนั้นเป็นเรื่องบังเอิญ

แม่โคถูกเทียมเข้ากับเกวียน และลูกวัวถูกกันออกไป พวกเขานำหีบแ่ห่งพระเจ้าและ "เครื่องบูชาไถ่โทษ" ขึ้นบันทุกบนเกวียนและปล่อยแม่โคออกไป พวกมันเดินมุ่งหน้า บนถนนตรงไปยังเมืองเบธเชเมชประเทศอิสราเอล เดินพลางร้องพลางไปตลอดทาง 20 โดยไม่หันไปทางไหน พวกเจ้านายฟิลิสเตียเดินตามไปดูห่างๆ จนกระทั่งเห็นว่าทั้ง เกวียนและสินค้าที่บันทุกหยุดลงที่ในเขตแดนของอิสราเอล

ก่อนที่จะไปเรียนเรื่องปฏิกิริยาของชาวอิสราเอลที่มีต่อการกลับคืนของหีบพันธสัญญา ให้เรามาหยุดพิจารณาเรื่อง "เครื่องบูชาไถ่โทษ" ที่ชาวฟิลิสเตียมอบให้พระเจ้ากันก่อน ตามที่เกริ่นเอาไว้แล้ว "เครื่องบูชาไถ่โทษ" นี้เป็นผลจากการค้นคิดของปุโรหิตของชาว ต่างชาติ ต่างศาสนา ไม่ใช่เป็นวิธีการปฏิบัติตามความเชื่อของยิวที่อธิบายอยู่ในธรรม บัญญัติของโมเสส ตามธรรมบัญญัติของโมเสส การถวายเครื่องบูชาไถ่บาป ต้องเป็น เครื่องบูชาด้วยโลหิต แต่ไม่มีโลหิตมาเกี่ยวข้องกับเครื่องบูชาไถ่โทษของชาวฟิลิสเตีย และเหตุผลในการถวายบูชาไถ่บาปคือการต้องการให้พระเจ้ายกโทษบาปให้กับผู้ที่มา ถวายบูชา ไม่มีการยอมรับในความบาปของชาวฟิลิสเตีย แต่กลับเป็นการถวายสัญญ ลักษณ์ของสิ่งที่พระเจ้าส่งลงมาพิพากษาแทน : หนู และริดสีดวง (หรือฝี) ชาวฟิลิส เตียไม่ได้ตระหนักเลยว่าของถวายบูชานั้นเป็นการดูหมิ่นต่อพระเจ้าของอิสราเอล ไม่ได้ เป็นการทำให้พระองค์พอพระทัยแม้แต่น้อย อันที่จริงแนวคิดของพวกเขาก็ไม่เลว ในเมื่อหนูเป็นส่วนหนึ่งของภัยพิบัติ และฝีเป็นเครื่องมือที่พระเจ้าใช้ลงโทษมิใช่หรือ ? ในเมื่อมีเจ้านายห้าคนจากเมืองใหญ่ห้าเมือง แล้วทำไมไม่ทำรูปฝีทองคำห้าอัน และรูป หนูทองคำห้าตัวเล่า? ดูสมเหตุสมผลดีนะครับ ถึงแม้จะไม่ใช่ตามแนวในพระคัมภีร์ก็ ตาม ภัยพิบัติที่ยุติลงและชาวฟิลิสเตียหายโรคนั้นมิใช่เป็นมาจาก "เครื่องบูชาไถ่โทษ" แต่เป็น ของประทานโดยพระคุณจากพระเจ้าเท่านั้น

ชาวอิสราเอลที่เมืองเบธเชเมชเมื่อเห็นหีบพันธสัญญากลับคืนมาสู่อิสราเอล ก็รู้สึก ปลาบปลื้มเป็นที่สุด ชาวนาที่เกี่ยวข้าวอยู่เป็นพวกแรกที่ได้เห็น จึงจัดแจงทำพิธีถวาย บูชาพระเจ้าด้วยความชื่นชมยินดี พวกเขาใช้ไม้จากตัวเกวียนมาทำเป็นเชื้อฟืน และ ใช้แม่โคที่ลากเกวียนมาเป็นเครื่องถวายบูชา นับเป็นโอกาสที่ดีในการเฉลิมฉลอง แต่หลังจากชื่นชมยินดีได้ไม่นาน ภัยพิบัติก็เกิดขึ้นกับชาวเมืองเบธเชเมช ประชาชน บางคนอยากรู้อยากเห็น ไม่เชื่อฟัง มอง21 ไปที่หีบแห่งพระเจ้า จึงถูกประหารไปเสีย เป็นจำนวนมาก 22

ผู้ที่รอดจากการประหารตกใจเกรงกลัวจนทำอะไรไม่ถูก เหตุใดพระเจ้าจึงประหาร ผู้มานมัสการเป็นจำนวนมากถึงขนาดนี้ ? ถ้าผู้คนต้องตายเพราะสาเหตุนี้ เราจะเก็บ หีบแห่งพระเจ้าไว้ท่ามกลางเราได้อย่างไร ? ใครจะสามารถยืนอยู่ต่อเบื้องพระพักตร์ พระเจ้าผู้ทรงบริสุทธิ์ได้ ? แล้วจะส่งหีบพันธสัญญาไปให้ผู้ใดดี ? สถาณการณ์คับขัน เหมือนในหนังจารกรรม ชาวอิสราเอลตกอยู่ในภาวะเดียวกันกับที่ชาวฟิลิสเตียเคยเป็น ยกเว้นแต่ว่าหีบแห่งพระเจ้าเป็นของอิสราเอล ไม่ได้เป็นของชาวฟิลิสเตีย

ชาวฟิลิสเตียทนทุกข์เพราะภัยพิบัติจากพระหัตถ์ของพระเจ้า เนื่องจากนำหีบแห่งพระ องค์มาไว้ท่ามกลางพวกเขา จึงมีการส่งหีบจากเมืองหนึ่งไปยังอีกเมืองหนึ่ง แต่ที่ใน อิสราเอล ชาวอิสราเอลทนทุกข์ด้วยภัยพิบัติอย่างหนักจากพระหัตถ์ของพระเจ้า เช่น เดียวกับฟิลิสเตีย ชาวเบธเชเมชกำลังหาทางส่งหีบนี้ออกไปที่เมืองอื่น เพื่อพระหัตถ์ ของพระเจ้าจะหันไปเสียจากเขา เมืองที่อยู่ไม่ไกลนักคือเมืองคีริยาทเยอาริม ประชา ชนจากเมืองนั้นจึงมาเชิญหีบแห่งพระเจ้าไป และนำไปไว้ที่เรือนของอาบีนาดับ อยู่ใน ความดูแลของเอเลอาซาร์ผู้เป็นบุตร ผู้ได้รับการชำระให้ทำหน้าที่นี้ หีบแห่งพระเจ้าจึง อยู่ที่นั่นเป็นเวลาถึง 20 ปี จวบจนกระทั่งกษัตริย์ดาวิดมาเชิญกลับไป ดังนั้นชาว อิสราเอลจะไม่มีการวางใจหรือใช้ "เครื่องลางของขลัง" ต่อไปอีก 20ปี พวกเขาต้อง เรียนรู้ที่จะ วางใจในพระเจ้าแทน โดยมีผู้ช่วยคือซามูเอล ผู้เป็นทั้งผู้เผยพระวจนะ ปุโรหิต และผู้วินิจฉัยของอิสราเอล

ช่วงเวลาเหล่านั้น มีการเขียนไว้ว่าชาวอิสราเอลคร่ำครวญถึงพระเจ้า หมายความว่า อย่างไร ? นี่เป็นอาการ "โศกเศร้า" อย่างที่พระเยซูตรัสว่า "จะได้รับการปลอบประ โลม" ในคำเทศนาบนภูเขาหรือเปล่า ? การคร่ำครวญคือการแสดงความเสียใจอย่าง สุดซึ้งต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ดูเหมือนคนอิสราเอลคร่ำครวญด้วยสาเหตุที่ว่า ถึงแม้จะ ได้หีบแห่งพระเจ้าคืนกลับมา แต่ก็ใช้การอะไรไม่ได้ หรือจะเรียกว่าถูกปลดประจำการ ก็ได้ เหมือนกลไกบางตัวเสียไม่สามารถนำกลับมาใช้งานได้ ซึ่งชาวอิสราเอลรู้สึกว่า เป็นโศกนาฎกรรมครั้งใหญ่ แต่จากบทที่ 7 ดูเหมือนจะไม่เป็นเช่นนั้นต่อไป ถึงแม้หีบ พันธสัญญาถูกปลดประจำการ ออกสู่สนามรบไม่ได้อีกต่อไป แต่ประชาชนอิสราเอลก็ กลับใจจากความบาป หันเสียจากรูปเคารพ มาวางใจในพระเจ้า และสามารถมีชัยใน สงครามได้

วันชื่นคืนสุขหวนมาอีกครั้ง มีซามูเอลแต่ไม่มีหีบพันธสัญญา

1ซามูเอล 7:3-17

3 แล้วซามูเอลพูดกับพงศ์พันธุ์อิสราเอลทั้งสิ้นว่า "ถ้าท่านทั้งหลายจะกลับมาหาพระเจ้าด้วยสิ้นสุด ใจของท่าน จงทิ้งพระต่างด้าวและพระอัชทาโรท เสียจากท่ามกลางท่านทั้งหลาย และปักใจของท่าน ตรงต่อพระเจ้าและปรนนิบัติแต่พระองค์เท่านั้น พระองค์จะทรงช่วยกู้ท่านให้พ้นจากมือของคน ฟีลิสเตีย" 4 คนอิสราเอลจึงทิ้งพระบาอัลและ พระอัชทาโรท และเขาทั้งหลายปรนนิบัติแต่พระ เจ้าเท่านั้น 5 แล้วซามูเอลกล่าวว่า "จงประชุมคน อิสราเอลทั้งสิ้นที่เมืองมิสปาห์และข้าพเจ้าจะ อธิษฐานต่อพระเจ้าเพื่อท่าน" 6 เขาทั้งหลาย จึงประชุมกันที่มิสปาห์ และตักน้ำมาเทออกถวาย แด่พระเจ้า และอดอาหารในวันนั้น และกล่าวที่นั่น ว่า "เราทั้งหลายได้กระทำบาปต่อพระเจ้า" และ ซามูเอลก็วินิจฉัยคนอิสราเอลที่เมืองมิสปาห์ 7 เมื่อคนฟีลิสเตียได้ยินว่าคนอิสราเอล ได้ประชุม กันที่เมืองมิสปาห์ เจ้านายแห่งฟีลิสเตียก็ยกขึ้นไป ต่อสู้กับอิสราเอล และเมื่อคนอิสราเอลได้ยินเช่นนั้น เขาก็กลัวคนฟีลิสเตีย 8 และคนอิสราเอลร้องต่อ ซามูเอลว่า "อย่าหยุดร้องทูลพระเยโฮวาห์พระเจ้า ของเราเพื่อเราทั้งหลาย เพื่อขอพระองค์ทรงช่วย เราให้พ้นจากมือของคนฟีลิสเตีย" 9 ซามูเอลก็เอา ลูกแกะอ่อนที่ยังกินนมอยู่ตัวหนึ่งมา ถวายเป็นเครื่อง เผาบูชาทั้งตัวแด่พระเจ้า และซามูเอลร้องทูลต่อ พระเจ้าเพื่อคนอิสราเอล และพระเจ้าทรงตอบท่าน 10 ขณะที่ซามูเอลถวายเครื่องเผาบูชาอยู่นั้น คน ฟีลิสเตียก็เข้ามาใกล้จะสู้รบกับอิสราเอล แต่พระเจ้า ทรงให้ฟ้าร้องเสียงดังยิ่งนักในวันนั้นสู้กับคนฟีลิสเตีย กระทำให้คนฟีลิสเตียสับสนอลหม่าน จึงพ่ายแพ้แก่ อิสราเอล 11 คนอิสราเอลก็ออกจากมิสปาห์ติดตาม คนฟีลิสเตียและฆ่าฟันเขา จนไปถึงเมืองเบธคาร์ 12 แล้วซามูเอลก็เอาศิลาก้อนหนึ่งตั้งไว้ระหว่าง เมืองมิสปาห์และเมืองเชน เรียกชื่อศิลานั้นว่า เอเบนเอเซอร์ เพราะท่านกล่าวว่า "พระเจ้าทรงช่วย พวกเราจนบัดนี้" 13 ดังนั้นคนฟีลิสเตียจึงพ่ายแพ้ ไม่เข้ามาในดินแดนอิสราเอลอีก และพระหัตถ์แห่ง พระเจ้าก็ต่อสู้คนฟีลิสเตียตลอดชีวิตของซามูเอล 14 หัวเมืองที่คนฟีลิสเตียได้ยึดไปจากอิสราเอลนั้น ก็ได้กลับคืนมายังอิสราเอล ตั้งแต่เมืองเอโครนถึง เมืองกัท และอิสราเอลก็ได้ตีดินแดนของหัวเมือง เหล่านี้คืนมา จากมือของคนฟีลิสเตีย ครั้งนั้นมี สันติภาพระหว่างอิสราเอลและคนอาโมไรต์ด้วย 15 ซามูเอลได้วินิจฉัยคนอิสราเอลอยู่ตลอดชีวิต ของท่าน 16 และท่านก็เที่ยวไปโดยรอบทุกปี เป็นประจำไปถึงเมืองเบธเอล กิลกาลและมิสปาห์ และท่านก็วินิจฉัยคนอิสราเอล ในบรรดาเมืองเหล่า นั้น 17 แล้วท่านจะกลับมายังเมืองรามาห์ เพราะว่า บ้าน ของท่านอยู่ที่นั่น ท่านก็วินิจฉัยคนอิสราเอล ที่นั่นด้วย ท่านได้สร้างแท่นบูชาถวายแด่พระเจ้าที่นั่น

น่าแปลกที่ซามูเอลหายไปจากบทที่ 4-6 ไม่มีการกล่าวชื่อของท่านตั้งแต่บทที่ 4 ข้อ 2 ไปจนถึงบทที่ 7 ข้อ 2 ซามูเอลดูเหมือนไม่มีส่วนเกี่ยวข้องด้วยเมื่อมีการนำหีบพันธ สัญญาออกสู่สนามรบสู้กับคนฟิลิสเตียอย่างโง่เขลาในบทที่ 4 ท่านไม่มีส่วนในความ อับอายของชาวฟิลิสเตียในบทที่ 5 และ 6 แต่ซามูเอลมีส่วนเป็นอย่างมากกับการฟื้นฟู ของชาวอิสราเอลในบทที่ 7 สิ่งที่ไม่ได้เกิดขึ้นกับอิสราเอลในขณะที่หีบพันธสัญญาอยู่ ที่ชิโลห์ คือสิ่งเดียวกับที่เกิดขึ้นโดยที่หีบพันธสัญญาไม่มีส่วนเกี่ยวข้องด้วยในบทที่ 7 พระเจ้าไม่ได้ใช้หีบพันธสัญญาเป็นเครื่องมือในการทำงานของพระองค์ (เช่นเดียว กับที่ชาวอิสราเอลเคยเหมาเอาอย่างผิดๆ); พระองค์ทรงทำผ่านพระวจนะคำและคำ อธิษฐานโดยผู้เผยพระวจนะซามูเอล

พระเจ้าทรงเอาผ้าห่มแห่งความมั่นใจออกไปจากอิสราเอล (ผ้าห่มที่เด็กบางคนติด) คือหีบพันธสัญญา ตอนนี้พวกเขาต้องมองหาสิ่งอื่นมาทดแทน ซามูเอลเป็นผู้บอก ว่าเขาควรหาจากที่ใด ท่านเรียกร้องให้ทั้งประเทศหันกลับมาหาพระเจ้าด้วยสิ้นสุดใจ ด้วยการละทิ้งรูปเคารพของพระต่างด้าว (และที่เราเห็น หีบพันธสัญญาก็เป็นรูปเคารพ แบบหนึ่งของ อิสราเอล – อาจเป็นรูปเคารพที่สำคัญมาก แต่ก็เป็นรูปเคารพ) ประชา ชนได้ทำตามนั้น ด้วยการปรนนิบัติพระเจ้าแต่เพียงผู้เดียว และมุ่งไปที่พระองค์ผู้เดียว เพื่อชัยชนะในการรบกับชาวฟิลิสเตีย ซามูเอลจึงรวบรวมประชาชนจากทุกแห่งไป ที่มิสปาห์ ซึ่งไม่ไกลจากบ้านของท่านที่รามาห์ ท่านสัญญาว่าจะเป็นตัวแทนอธิษฐาน ต่อองค์พระผู้เป็นเจ้าที่นั่น ประชาชนตักน้ำเทออกถวายต่อพระเจ้า และมีการอดอาหาร ในวันนั้นด้วย ซึ่งดูเหมือนทั้งชาติจะหยุดกินหยุดดื่มเพื่อแสดงออกถึงการสำนึกบาป และแสวงหาพระเจ้าอย่างจริงใจ เมื่อพวกเขาสารภาพบาป ซามูเอลก็อธิษฐานเพื่อ ชาวอิสราเอลทุกคน

มิสปาห์น่าจะอยู่บนที่ราบสูง ซึ่งมองเห็นอาณาบริเวณรอบๆได้เป็นอย่างดี ท่าจะพูดถึง น่าจะเป็นจุดยุทธศาสตร์ที่ได้เปรียบในสงคราม ชาวฟิลิสเตียยังไม่ได้รับบทเรียนที่ สาสมพอจากพระหัตถ์ของพระเจ้า พวกเขาคิดว่าชาวอิสราเอลมาชุมนุมกัยที่มิสปาห์ เพื่อจะทำสงคราม ชาวฟิลิสเตียเคยเอาชนะอิสราเอลด้วยกำลังมาแล้ว พวกเขามั่นใจ ว่าน่าจะเอาชนะได้อีก คนอิสราเอลตกใจกลัวเมื่อได้ยินว่าชาวฟิลิสเตียกำลังยกทัพมา คราวนี้พวกเขาไม่มีหีบพันธสัญญามาช่วย (ถึงมี คราวที่แล้วก็ไม่สามารถช่วยได้) ดังนั้น ที่พวกเขาทำได้ก็คือ มอบชีวิตให้กับพระเจ้า และวางใจในพระองค์ พวกเขาต้องวิงวอน โดยพึ่งพระคุณ ไม่ใช่พึ่งการอัศจรรย์ พวกเขาร้องต่อซามูเอล วิงวอนท่านให้ช่วย อธิษฐานเพื่อพวกเขา เพื่อจะการช่วยกู้ให้พ้นจากเงื้อมมือของชาวฟิลิสเตีย

ซามูเอลถวายเครื่องเผาบูชาต่อพระเจ้าแทนคนอิสราเอล ท่านร้องทูลต่อพระเจ้า เพื่อ ให้พระองค์มาช่วยกู้อิสราเอล พระเจ้าทรงตอบคำอธิษฐานของท่าน เมื่อกองทัพฟิลิส เตียมาถึง ซามูเอลยังคงถวายเครื่องเผาบูชาอยู่ ชาวอิสราเอลไม่ได้เตรียมพร้อมสำ หรับการโจมตีครั้งนี้ แต่พระเจ้าได้ทรงให้มีพายุใหญ่เกิดขึ้น (หรือมีเสียงเหมือนฟ้าร้อง เสียงดัง) เป็นเหตุให้เกิดความสับสนอลหม่านในท่ามกลางทหารของฟิลิสเตีย คน อิสราเอลจึงสามารถเอาชนะได้ ทหารอิสราเอลไล่ตามทหารฟิลิสเตียจากมิสปาห์ไป จนถึงเมืองเบธคาร์ เมืองซึ่งเดี๋ยวนี้ไม่มีใครรู้จัก แล้วซามูเอลก็เอาศิลามาตั้งไว้ระหว่่าง มิสปาห์และเชน และตั้งชื่อศิลาว่า "เอเบนเอเซอร์" ซึ่งแปลว่า "พระเจ้าทรงช่วยเรา จนบัดนี้" เป็นอนุสรณ์ว่าสงครามครั้งนี้มีชัยโดยองค์พระผู้เป็นเจ้า

ผลของการรบทำให้การครอบครองของฟิลิสเตียเหนืออิสราเอลจบสิ้นลง จากวันนั้นมา จนสิ้นชีวิตของซามูเอลชาวฟิลิสเตียไม่เคยมาโจมตีอิสราเอลอีก เพราะพระหัตถ์ของ พระเจ้าอยู่เหนือท่านและต่อสู้กับพวกเขา เมืองต่างๆที่ถูกยึดไป ได้กลับคืนสู่อิสราเอล อีกครั้ง และมีสันติภาพเกิดขึ้นระหว่างอิสราเอลและคนอาโมไรต์ด้วย ทุกสิ่งที่เกิดขึ้น ผู้เขียนโยงเข้ากับการปกครองของซามูเอล ท่านเป็นปุโรหิต เป็นผู้เผยพระวจนะ และ เป็นผู้วินิจฉัยให้กับทั้งประเทศอิสราเอล ท่านเป็นผู้พิพากษาแบบ "เดินสาย" ที่ต้อง เดินทางจากเบธเอลไปยังกิลกาล ไปยังมิสปาห์ เพื่อทำการวินิจฉัยให้กับคนอิสราเอล ในทุกๆพื้นที่ หลังจากเสร็จเดินสาย ท่านจะกลับไปอยู่บ้านที่เมืองรามาห์เสมอ และ วินิจฉัยที่เมืองนั้นด้วย และที่นั่นท่านได้สร้างแท่นบูชาถวายแด่พระเจ้า 23

บทสรุป

สิ่งแรกที่ผมประทับใจในตอนนี้คือการกลับใจที่เห็นได้ชัดเจน ชาวอิสราเอลไม่ได้ปรนนิ บัติพระเจ้าองค์เดียวด้วยสุดใจ มีการทำชั่วต่างๆในสถานที่เก็บหีบพันธสัญญา ปุโรหิต ทุจริต ผิดศีลธรรมและไม่ยอมกลับใจ ชาวอิสราเอลต้องออกไปรบกับชาวฟิลิสเตีย มีการนำหีบพันธสัญญาไปด้วยความคาดหวังว่าจะมีชัย แต่กลับพ่ายแพ้อย่างหมดรูป และหีบพันธสัญญาถูกยึดเอาไปไว้ที่เมืองอัชโดดในเขตฟิลิสเตีย แต่ตอนท้ายเรื่อง หีบได้คืนกลับมา คนอิสราเอลสำนึกในความบาป หันเสียจากรูปเคารพ และมาวาง ใจในพระเจ้าแต่เพียงผู้เดียว เมื่อชาวฟิลิสเตียมาโจมตีในขณะที่ชาวอิสราเอลกำลัง นมัสการพระเจ้า พระเจ้าทรงต่อสู้กับพวกเขา และทำให้อิสราเอลหลุดพ้นจากภาย ใต้การปกครองของฟิลิสเตีย เป็นสิ่งสำคัญที่เราต้องเห็นให้ชัดว่า สถาณการณ์พลิกผัน เช่นนี้เกิดขึ้นได้ อย่างไร การได้หีบพันธสัญญาคืน การกลับใจและฟื้นฟูในอิสราเอล และการมีชัย เหนือฟิลิสเตีย มาจากพระราชอำนาจและพระคุณของพระเจ้าเท่านั้น ไม่ใช่เป็นเพราะอิสราเอลเริ่มทำดี หรือเป็นการอัศจรรย์ของหีบพันธสัญญา

การกลับใจประการที่สองออกจะซับซ้อน แต่ถ้าพิจารณาดูให้ดีจะเห็นได้ค่อนข้างชัดเจน มีการเปลี่ยนแปลงทั้งอารมณ์และความคิดตลอด นับจากบทที่ 1 ถึง 5 ยาวไปจนถึงบท ที่ 6 และ 7 กว่าจะรู้ตัวว่าอารมณ์ของผมเปลี่ยนไปตามเนื้อหาก็ใช้เวลาพอควร ตอนเริ่ม แรกของบทเรียนในบทที่ 5 ผมรู้สึกปลอดโปร่งใจเมื่ออ่านถ้อยคำที่พระเจ้าดลใจผู้ เขียน ในเรื่องพระดาโกนและชาวฟิลิสเตียที่กราบไหว้รูปเคารพนี้ นับเป็นเวลาหลาย ศตวรรษ ที่ชาวยิวได้อ่านเรื่องราวการรอนแรมเจ็ดเดือนของหีบพันธสัญญาในฟิลิสเตีย พวกเขาอาจจะหัวเราะเยาะว่า "พวกฟิลิสเตียนี่โง่จริงๆ" แต่ถ้าเป็นชาวยิวที่เคร่งหน่อย อาจจะคิดว่า ทำไมพวกนี้จึงช้าเหลือเกิน กว่าจะเชื่อว่า เกิดจากพระหัตถ์อันหนักหน่วง ของพระเจ้า" ? "ทำไมพวกเขาจึงโง่ถึงกับกล้าเจรจาสงบศึกกับพระพิโรธของพระเจ้า ด้วย "เครื่องบูชาไถ่ความผิด" ที่เป็นรูปริดสีดวงและหนูทองคำ ? และดูสิถึง ความโง่ที่ แสดงออกมาด้วยการส่งหีบพันธสัญญาคืนมาบนโคเทียมเกวียน !"

ถ้าคนฟิลิสเตียโง่จริง เรื่องนี้ก็นับเป็นเรื่องน่าชวนหัวของชาวยิว แต่ผมสงสัยว่าสีหน้า ของพวกเขาจะเปลี่ยนไปไหม เมื่อเห็นคนอิสราเอลต้องล้มตายลงจำนวนมหาศาล ด้วยสาเหตุแบบเดียวกัน : ขาดความเคารพในสิ่งของที่บริสุทธิของพระเจ้า และไม่ เชื่อฟังต่อธรรมบัญญัติ ทำในสิ่งที่ต้องห้าม (เช่นมองเข้าไปในหีบพันธสัญญา) ถ้าการที่ ชาวฟิลิสเตียส่งหีบแห่งพระเจ้าไปๆมาๆเป็นเรื่องน่าขำของชาวยิว พวกเขาจะมีปฏิกิริยา อย่างไรต่อคนอิสราเอลที่เมืองเบธเชเมช ที่พยายามจะส่งหีบต่อไปยังเมืองคีริยาท เยอาริม?

ความจริงก็คือ คนอิสราเอลในสมัยซามูเอลทำผิดพอๆกับคนฟิลิสเตีย ทั้งคู่ อิสราเอล และฟิลิสเตีย ดูจะให้ความสำคัญต่อหีบแห่งพระเจ้าในทางที่ผิด พวกเขามองไม่เห็น ความบริสุทธิของพระเจ้าและความศักดิ์สิทธิของหีบพันธสัญญา ทั้งคู่กลับมองหีบเป็น รูปเคารพ ทั้งคู่ต้องการควบคุมพระเจ้า มากกว่าจะวางใจในพระองค์ และทำตามพระ บัญชา

ดูเหมือนความผิดของอิสราเอลและฟิลิสเตียเกิดขึ้นห่างไกลโพ้นและนานมาแล้ว เรา ทั้งหลาย ที่อยู่ดำเนินในความสว่าง จะพลั้งไปทำผิดในแบบเดียวกันได้หรือไม่ ? ตอบ อย่างสั้นๆได้เลยว่า "ง่ายมาก" ให้เรามาดูความผิดบาปในแบบของทางอิสราเอลก่อน โดยยึดตามกรอบประเพณีดั้งเดิมในอดีตทีละข้อ และนำแนวความคิด หรือความผิด เหล่านั้นมาปรับปรุงเพื่อแนวทางความคิดในปัจจุบัน

(1) "การที่จะเอาชนะคนต่างชาติต่างศาสนา (อย่างคนฟิลิสเตีย) ให้หันมามีความเชื่อ แบบเรา (หรือแบบอิสราเอลสมัยนั้น) เราต้องเชิญพวกเขามานมัสการด้วยกันกับเรา ต้องลดความสำคัญเรื่องสิ่งที่ขัดแย้งไม่ลงรอยกัน เรื่องการมองกันและกันในแง่ลบ ลงเสีย (สิ่งสำคัญคือต้องยืนหยัดในความเชื่อของเรา) และพุ่งเน้นความสนใจไปใน การที่จะไม่ทำให้พวกเขารู้สึกอึดอัด หรือรู้สึกว่าไม่ได้รับการต้อนรับเท่าที่ควรเมื่อมา นมัสการกับเรา"

(2) "ตราบใดที่เรานมัสการด้วยใจจริง พระเจ้าไม่สนใจในรูปแบบของการนมัสการ ถ้าการนมัสการของเราจะแตกต่างไปจากที่อิสราเอลเคยทำ ก็เป็นเพราะพระเจ้าทรง เปลี่ยนแปลงวิธีนมัสการพระองค์ ให้มีความใหม่ และน่าตื่นเต้นยิ่งขึ้น"

(3) "ผมทราบดีว่าพระเจ้าทรงตั้งกฎเกณฑ์ ในการดูแลปรนนิบัติที่ในพระนิเวศน์ ในแบบ และด้วยผู้คนที่พระองค์กำหนดไว้ แต่เดี๋ยวนี้ไม่ตรงตามหลักการนัก ทุกคนควรมีส่วน ในงานรับใช้ ไม่มีการเลือกเพียงบางคนและละบางคน ดังนั้นจึงลืมเรื่องที่เฉพาะปุโรหิต เท่านั้นจึงมีสิทธิปรนนิบัติในพระนิเวศน์ได้ แต่ควรให้พระวิญญาณทรงนำผู้ที่มีใจ ปรารถนา ได้มีโอกาสทำหน้าที่นำนมัสการหรือปรนนิบัติเช่นเดียวกับปุโรหิตในสมัย ก่อน"

(4) "มีวิธีการบางอย่าง ที่เราคิดว่าเราสามารถมีอิทธิพลต่อพระเจ้าได้ ให้พระองค์มา อยู่ภายใต้ความควบคุมของเรา เพื่อเราจะได้ทำตามตัณหาและปล่อยตัวไปตามความ บาป ด้วยการนำสัญญลักษณ์ของพระเจ้าติดตัวไปทุกหนแห่ง คาดหวังว่าสัญญลักษณ์นี้ จะดลบันดาลให้ประสพความสำเร็จในชีวิต … ." อีกวิธีหนึ่งคือสิ่งที่เราเห็นจาก ประวัติศาสตร์ตลอดมาของอิสราเอล คือคิดว่าพระบัญชาและพระสัญญาของพระเจ้า เป็นสูตรสำเร็จมหัศจรรย์ : "ถ้าเราทำแบบนี้ เดี๋ยวพระเจ้าจะต้องทำแบบนั้น… ." เรา เรียกว่าจับ "พระเจ้าไว้ในหีบ" พระเจ้าไม่ได้สถิตอยู่ในหีบ สิ่งที่พระองค์อาจทำก็คือ จับคนที่คิดเช่นนี้ไปใว้ในหีบแทน

ชาวฟิลิสเตียทำผิดหลายประการ เราควรนำความผิดเหล่านี้มาพิจารณาดู สิ่งที่ทำให้ ผมอัศจรรย์ใจในเรื่องนี้คือ พวกฟิลิสเตียนำวิธีการเชิงวิทยาศาสตร์มาใช้อย่างผิดๆ มีการบันทึกเรื่องราวความพยายามของชาวฟิลิสเตียมากมาย พวกเขา "ทดสอบ" หา ผล เพื่อให้แน่ใจว่า สาเหตุแห่งภัยพิบัติที่เผชิญอยู่นี้มาจาก "พระหัตถ์อันหนักหน่วง ของพระเจ้า" พวกเขาพยายามทำใจเปิดกว้าง ตอนที่พระดาโกนล้มคว่ำจนคอหัก ครั้งที่สอง พวกเขาต้องการให้แน่ใจจริงๆว่า ภัยพิบัตินี้มาจากพระเจ้าแน่ จึงคิดแผน ในการที่จะส่งหีบพันธสัญญา "คืน" กลับสู่อิสราเอลอย่างรอบคอบ การกระทำแบบนี้ เป็นการกระทำในยุคโบราณที่เราเรียกว่า "วิธีการทดสอบเชิงวิทยาศาสตร์"

ที่น่าเศร้าคือ ชาวฟิลิสเตียดูมีหลักการทางวิทยาศาสตร์ แต่กลับไม่ทำในสิ่งที่หลักฐาน บ่งชี้ เมื่อหลักฐานทั้งหมดชี้ไปว่าพระเจ้าของอิสราเอลนั้นทรงพระชนม์อยู่ มีฤทธิอำ นาจ และกำลังกระทำการเพื่อประชากรของพระองค์ ชาวฟิลิสเตียกลับเลือกที่ "จะส่ง พระองค์ไปให้พ้นๆ" และยังอยากจะปรนนิบัติพระดาโกนที่มือ-คอหัก และปราศจาก ชีวิตแทน พวกเขาจับมันตั้งขึ้นใหม่ ติดกาวไว้อย่างดี แล้วยังประกาศให้ธรณีประตูเป็น สิ่งศักดิ์สิทธิไปเสียอีก พวกเขาไม่มีทางละทิ้งมัน แล้วหันมานมัสการ ปรนนิบัติพระเจ้า องค์เที่ยงแท้แทน

ผมเคยได้ยินคริสเตียนถูกวิพากวิจารณ์ว่าเป็นพวก "ไม่คิดในเชิงวิทยาศาสตร์" แล้วยัง เคยได้ยินคริสเตียนเองวิจารณ์ "หลักการของวิทยาศาสตร์" ด้วย อันที่จริงถ้าเอาแนว ทางของวิทยาศาสตร์มาใช้ หลักฐานจะบ่งชี้ชัดไปถึงความจริงที่คริสเตียนทั้งหลาย เชื่ออยู่ ชาวฟิลิสเตียนำหลักการทางวิทยาศาสตร์มาใช้ทดสอบเชิงวิทยาศาสตร์ แต่ แล้วก็กลับไปกราบไหว้บูชารูปเคารพที่ปราศจากชีวิตแทน ถ้าจะให้ตรงตามหลัก วิทยาศาสตร์จริงๆ พวกเขาต้องละจากรูปเคารพ และมาวางในในพระเจ้าของอิสราเอล แทน คริสเตียนที่ชอบวิจารณ์เรื่องวิทยาศาสตร์มีความคิดแนววิทยาศาสตร์หรือเปล่า? การไม่เชื่อนั้นอยู่กันคนละขั้วกับการไม่เป็นเหตุเป็นผลทางวิทยาศาสตร์

ที่พูดไปทั้งหมดนั้น ผมต้องการจะชี้ให้เห็นว่า พระเจ้าทรงทำงานในชีวิตของประชากร ของพระองค์อย่างไร ในการนำพวกเขาออกจากความผิดบาป และหันเสียจากรูปเคารพ เพื่อการกลับใจและรับการฟื้นฟูขึ้นใหม่ บทเรียนที่เราเรียนแสดงให้เห็นชัดถึง การ เปลี่ยนแปลงของเหตุการณ์ไปที่ละขั้น และในที่สุดนำไปสู่การฟื้นฟูจิตวิญญาณของ คนทั้งประเทศอิสราเอล แรกสุด พระเจ้าสร้างสำนึกของความบริสุทธิของพระเจ้า เข้าไปในใจของชาวอิสราเอล และทำให้เกิดความยำเกรง (หรือความอ่อนน้อม) ต่อ พระองค์ การเสื่อมศีลธรรม และความรุนแรงที่เกิดขึ้นเพราะการถวายบูชาอย่างขาด ความเคารพต่อพระองค์และพระบัญชาของพระองค์ (เช่นการนำหีบพันธสัญญาออก มาใช้) หีบพันธสัญญาถูกนำมาสู่สงคราม เหมือนเป็นเครื่องลางนำโชค หลังจากมี ผู้คนล้มตายมากมายจากการมองไป (ข้างใน) ที่หีบพันธสัญญา ชาวอิสราเอลเริ่มกลับ มาคิดได้ว่า ผู้ใดสามารถยืนต่อพระเจ้าผู้บริสุทธิได้ (6:20) แล้วประชากรของพระเจ้า เริ่มเห็นถึงความแตกต่างที่ยิ่งใหญ่ และหนือกว่าของพระเจ้าองค์เที่ยงแท้องค์นี้ นี่จึง เป็นจุดเริ่มต้นของการฟื้นฟูของชาวอิสราเอล ผมคิดว่านี่คือการฟื้นฟูที่แท้จริง ด้วย การสำนึกในความบริสุทธิของพระเจ้า และสำนึกในความบาปที่ทำให้ไม่สมควร แม้แต่จะยืนอยู่ต่อพระ พักตร์ของพระองค์ ชาวอิสราเอลมองเห็นความบาปในการกราบ ไหว้รูปเคารพของตน และกลับใจโดยการละทิ้งรูปเคารพเหล่านั้น และหันมาหาองค์ พระผู้เป็นเจ้าผู้เดียว นี่คือสิ่งที่มนุษย์ต้องกระทำในปัจจุบัน พระเจ้าได้จัดเตรียมวิธีการ เดียวเพื่อคนบาปทั้งหลายจะได้รับการอภัย และได้เป็นผู้ชอบธรรม คือหนทางความ เชื่อในองค์พระเยซูคริสต์ เมื่ออิสราเอลแสวงหาพระเจ้าก่อนสิ่งอื่นใด พระเจ้าประทาน ชัยชนะเหนือศัตรูให้ ดังนั้นในวันนี้ การสำนึกในความบริสุทธิของพระเจ้า ตามด้วยการ สำนึกและสารภาพบาป และการละทิ้งวัตถุหรือสิ่งที่ทำไห้เราไปวางใจมากกว่าวางใจใน การจัดเตรียมของพระเจ้า – จึงเป็นหนทางที่พระเจ้านำคนบาปออกมาจากความบาป จากการขาดความยำเกรง และจากการถูกพิพากษา ให้กลายมาเป็นผู้ชอบธรรม ได้รับ การอภัย มีสันติสุข และมีสิทธิที่จะได้อยู้ต่อหน้าพระเจ้าองค์บริสุทธิได้


17 นักเขียนยุคแรกๆคิดว่าพระดาโกนเป็นเทพเจ้า "แห่งท้องทะเล" เพราะคำว่า"ดาก" (dag) แปลว่า "ปลา" ผู้เขียนยุคต่อมาเชื่อว่าเป็นเทพเจ้าแห่งการเพาะปลูก เพราะคำว่า "ดาโกน" แปลว่าเมล็ดข้าว จะแปลว่าอย่างไรก็ตาม พระดาโกนกำลังจะสิ้นชื่อ โดยฝีพระหัตถ์ของพระ เจ้าแห่งอิสราเอล

18 มีผู้บันทึกคำว่า "อย่างหนัก" นั้นเชื่อมโยงกับคำที่แสดงถึง "พระสิริ" เพราะคำว่า "พระ หัตถ์อันหนักของพระเจ้า" มีผลดีทำให้ปุโรหิตของฟิลิสตินออกคำสั่งให้กับบรรดาเจ้านายชาว ฟิลิสเตียว่า้ "และท่านทั้งหลายจงถวายพระสิริแด่พระเจ้าของอิสราเอล ; ชะรอยพระองค์ จะทรงเบาพระหัตถ์ของพระองค์จากท่าน…" (1 ซามูเอล 6:5).

19 คำว่า "เครื่องบูชาไถ่ความผิด" ที่นำมาใช้นี้ เป็นเหมือนในธรรมบัญญัติของโมเสสที่เกี่ยว กับเครื่องบูชาลบมลทิน แต่แนวความคิดหรือหลักการในเรื่องนี้แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง

20 ผมเคยโตมาในฟาร์ม พออ่านมาถึงตรงนี้ก็พอจะเดาได้ว่า เสียงร้องนี่ไม่น่าเป็นเสียงที่มีความ สุขนัก น่าจะเป็นเสียงร้องของแม่โคที่ไม่พอใจเพราะถูกพรากจากลูกไป แม่โคเดินมุ่งไปข้างหน้า ถึงแม้ว่ามันอยากจะกลับไปหาลูกอ่อนก็ตาม ถ้าผมเดาผิด แม่โคไม่เพียงแต่เดินมุ่งตรงไปข้าง หน้าเท่านั้น แต่ยังส่งเสียงร้องด้วยความพอใจ จะแบบใดก็ตาม เราเห็นชัดเจนว่าเป็นเรื่องที่ค้าน กับธรรมชาติ ดังนั้น "พระหัตถ์ของพระเจ้า" ทรงทำการอัศจรรย์อีกครั้ง

21 มีความคิดหลากหลายถึงสาเหตุของการตายในครั้งนี้ บางคนว่าคนที่ตายมองไปที่หีบพันธ สัญญา บางคนว่าแอบมองด้านในของหีบ ไม่ว่าจะแบบใด พวกเขาได้ทำในสิ่งที่ต้องห้าม ดังนั้น ชาวอิสราเอลจึงถูกประหารออกไปมากมายภายในวันเดียว

22 มีคนสงสัยว่าคนจำนวนมากถูกประหารอย่างไรจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น นักประวัติศาสตร์ โจเซฟัส เขียนไว้ว่า 70 คนถูกประหาร ผมว่าเราควรเชื่อตามถ้อยคำที่พระคัมภีร์บอก เพราะมี การกล่าวถึง "ประชาชนเป็นอันมาก" (ข้อ 19).

23 มีหลายคนสงสัยว่าทำไมไม่นำหีบพันธสัญญากลับคืนไปที่ชิโลห์ และทำใมไม่มีการนมัสการ ที่นั่นอีก ดูเหมือนชิโลห์จะถูกทำลายไปตอนที่หีบพันธสัญญาถูกยึด หรือหลังจากนั้นเล็กน้อย ไม่น่าจะเป็นสถานที่ที่เหมาะสำหรับนำหีบแห่งพระเจ้ากลับไป จะอย่างไรก็ตาม พระเจ้าไม่ต้อง การให้มีการนำหีบพันธสัญญาออกมาใช้ เพราะถ้าคนอิสราเอลให้ความความสำคัญกับหีบว่า เป็นเหมือนเครื่องมือวิเศษ พระเจ้าจึงต้องนำไปเก็บไว้ชั่วคราว

Related Topics: Introductions, Arguments, Outlines

Report Inappropriate Ad