MENU

Where the world comes to study the Bible

บทที่ 10: ซาอูลต่อสู้กับชาวฟิลิสเตีย (1 ซามูเอล 14:15 -52)

คำนำ

เมื่อครั้งมีแผ่นดินไหวในซานฟรานซิสโก ในปี 1865 มาร์ค ทเวนอยู่ในเหตุการณ์ด้วย ท่านเขียนอธิบายประสพการณ์แผ่นดินไหวครั้งแรกของท่านไว้ดังนี้ :

"ในเวลาบ่ายอ่อนๆ ของวันอันสดใสในเดือนตุลาคม ผมกำลังเดินมาตามถนนสายที่สาม สิ่งเดียวที่เคลื่อน ไหวในสายตาของผมในบริเวณนั้นคือ ชายร่างอ้วนที่ เดินตามหลังมา และรถม้าที่กำลังค่อยๆเลี้ยวตัดถนน ไปยังอีกฝั่ง ที่เหลือคือความนิ่งเงียบ สงบเหมือนวัน สะบาโต

พอเลี้ยวตรงหัวมุมที่มีบ้านอยู่ มีเสียงเหมือนเครื่องแก้ว หรือกระเบื้องแตกกระจายดังสนั่น และดูเหมือนมันจะ ปลิวออกมาข้างนอกด้วย ! -- ผมคิดทันทีเลยว่ามีคน กำลังทะเลาะกันในบ้าน แต่ก่อนที่ผมจะหันไปดูให้เห็น ชัดๆ ผมก็เกิดอาการช็อค เพราะพื้นที่ผมยืนอยู่เคลื่อน ไหวไปมาเหมือนคลื่นในทะเล มีการเขย่าขึ้นลงแทรก เป็นระยะๆ ผมได้ยินเสียงเหมือนอิฐหินที่ก่อสร้างกระ ทบกันไปมา ผมกระแทกเข้าไปกับบ้านหลังนั้น และ เจ็บที่หัวไหล่ ตอนนี้ผมรู้แล้วว่าอะไรเป็นอะไร … มีการไหวตามมาอีกเป็นระลอกที่สาม และในขณะที่ ผมพยายามทรงตัวยืนอยู่ให้ได้บนพื้นถนน ผมก็เห็น ภาพนี้ ! ตึกสูงสี่ชั้นข้างหน้าผมบนถนนสายที่สาม กระเด้งออกมาเหมือนเปิดประตูอย่างแรง และล้มคว่ำ พาดลงมาบนถนน ทำให้มีเหมือนฝุ่นฟุ้งกระจายไปทั่ว บริเวณ !

แล้วชายอ้วนที่เดินตามหลัง ก็หายวับไปในฝุ่น ก่อน ที่ผมจะทันนึกอะไรได้ รถพังกระจายเป็นเศษเป็นชิ้น กินระยะทางยาวประมาณ 300 หลา … . รถม้าหยุด นิ่ง ม้าพยายามดึงตัวเองให้หลุดออกมา ผู้โดยสาร กระเด็นออกไปกันคนละข้าง … . ประตูบ้านทุกหลัง ที่ผมมองเห็นได้เปิดพ่นเอาผู้คนออกมาเหมือนมดแตก รัง ; และก่อนที่ผมจะทันกระพริบตา ฝูงคนมากมาย จากออกมาจากทุกสารทิศ ความเงียบสงบก่อนหน้านี้ ดูเหมือนไม่เคยเกิดขึ้น 48

แผ่นดินไหวเป็นประสพการณ์ที่ร้ายแรงน่ากลัว ผมยังจำได้ถึงเหตุการณ์แผ่นดินไหว สมัยที่สอนเรียนอยู่ชั้นประถมหกที่มลรัฐวอชิงตัน ผมยังสงสัยอยู่ว่าพวกฟิลิสเตียที่รอด ตายจากแผ่นดินไหวที่พระเจ้าบันดาลให้เกิดขึ้นในสมัยของซาอูลนั้นจะลืมลงหรือไม่ เป็นเหตุการณ์ที่ทำให้ชาวฟิลิสเตียต้องพ่ายแพ้ต่อพระหัตถ์ของพระเจ้าและต่อชาวอิสราเอล ชัยชนะของอิสราเอลในครั้งนั้นนับว่าใหญ่ยิ่ง แต่เป็นเหตุการณ์ที่เราต้องมาดูกันให้ รอบคอบ พระคำตอนนี้เปรียบเทียบให้เห็นระหว่างความเชื่อและความกล้าของโยนา ธานกับความเขลาของผู้เป็นบิดา ซาอูล ให้เรามาดูว่าเหตุใดบิดาและบุตรคู่นี้จึงแตก ต่างกันโดยสิ้นเชิง

ปูมหลัง

ถึงแม้ว่าจะได้รับเลือกให้เป็นกษัตริย์เหนืออิสราเอล และรบชนะชาวอัมโมนก็ตาม ซาอูล ตัดสินใจไม่ "แกว่งเท้าหาเสี้ยน" โดยการไปจัดการกับพวกฟิลิสเตียที่ครอบครองอิสรา เอลอยู่ เราจะเห็นว่าฟิลิสเตียปกครองอยู่เหนือประชากรของพระเจ้าในหลายรูปแบบ มีกองกำลังรักษาการอยู่ในประเทศ (ดู 1 ซามูเอล 10:5; 13:3) และชาวอิสราเอลถูก ควบคุมอย่างเคร่งครัดในการจัดหาหรือมีอุปกรณ์ที่ทำด้วยเหล็กไว้ครอบครอง พวกเขา เป็นช่างเหล็กได้ แต่ไม่สามารถมีอาวุธที่ทำด้วยเหล็กไว้ใช้เลย (เช่นมีดาบ) และพวก เขาต้องจ่ายราคาแพงในการจัดหาเครื่องมือที่ใช้ทำไร่ไถนา (1 ซามูเอล 13:19-23) ถึง แม้ว่าฟิลิสเตียบีบคั้นชาวอิสราเอลอยู่ ถึงแม้ซาอูลได้รับเลือกให้มาเป็นกษัตริย์ และถึง แม้ซาอูลจะมีพระวิญญาณสถิตอยู่ (ดูบทที่ 9 และ 10) ซาอูลก็ยังเลือกที่จะส่งกำลัง ทหารถึง 330,000 คนที่มาร่วมรบที่เมืองยาเบชกิเลอาดกลับไปบ้าน ท่านเก็บไว้เพียง จำนวนเล็กน้อย 3,000 คนเท่านั้น ดูเหมือนท่านตั้งใจจะทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้กับพวกฟิลิส เตีย

โยนาธานไม่ต้้องการปล่อยให้สถานการณ์เป็นเช่นนี้ ท่านบุกไปโจมตีฟิลิสเตียทั้งๆที่มี กำลังพลเพียง 1,000 คน ท่านโจมตีกำลังพลที่เกบาก่อน (13:3) มีผลทำให้พวกฟิลิส เตียยกกำลังพลมหาศาลมาประจัน (13:5) ซาอูลไม่มีทางเลือก นอกจากต้องเรียกชุม นุมชาวอิสราเอลอีกครั้ง มีคนเพียงน้อยนิดมารายงานตัว และพอรู้ว่าสถานการณ์เป็น รองอย่างไม่มีทางรบชนะได้ ก็หนีแตกกระจายไป (มุมมองของมนุษย์) บางคนหลบหนี ไปซ่อนให้พ้นจากพวกฟิลิสเตีย บางคนเปลี่ยนสีไปเข้าพวกกับฟิลิสเตียแทน (13:6; 14:21-22) ซาอูลเรียกชุมนุมอยู่ที่กิลกาล ตามที่ซามูเอลสั่งไว้ (10:8) แต่เมื่อดูเหมือน ซามูเอลจะมาไม่ทันนัด ซาอูลจัดการเผาเครื่องถวายบูชาด้วยตนเอง ทันทีที่ถวายเสร็จ ซามูเอลก็มาถึง ท่านกล่าวตำหนิซาอูลที่ขาดการเชื่อฟัง และบอกด้วยว่าเพราะเหตุที่ ไม่เชื่อฟังนี้ ราชวงศ์ของซาอูลจะถูกตัดออกไป (13:11-14).

สงครามระหว่างฟิลิสเตียและอิสราเอลนี้ดูท่าจะไปไม่รอด เพราะฟิลิสเตียมีกำลังพล มากกว่าไม่รู้กี่เท่า และมีอาวุธพร้อมเพรียง ทหารอิสราเอลที่เหลืออยู่ก็กลัวจนตัวสั่น และซาอูลดูเหมือนจะเป็นอัมพาต ในขณะเดียวกัน พวกฟิลิสเตียมาตั้งค่ายอยู่ที่มิคมาช และส่งกองปล้นออกไปทำลายบ้านเรือนประชาชนทั่วอิสราเอล (ซึ่งดูเหมือนพวกเขา เหยียบย่ำไปแทบทุกแห่งในอิสราเอล – ดู 13:15-18)

ซาอูลไม่มีทีท่าว่าจะออกไปรบกับฟิลิสเตีย แต่โยนาธานมี ท่านและผู้ถือเครื่องอาวุธ ลอบออกไปจัดการกับพวกฟิลิสเตียแทน ทั้งสองปีนลงไปจากยอดเขาแหลมและไต่ ขึ้นไปตามรอยแยกของหินบนหน้าผา โดยยึดเอาหมายสำคัญว่า ถ้าคนฟิลิสเตียอนุญาติ ให้ขึ้นไปแสดงว่าพระเจ้าจะประทานชัยชนะให้กับอิสราเอล เมื่อหนุ่มผู้กล้าหาญทั้งสอง ขึ้นไปถึงยอดเขา พวกเขาได้ฆ่าฟันคนฟิลิสเตียไปได้ถึง 20 คนในระยะทางเพียงครึ่ง เอเคอร์ (14:1-14) ในขณะที่กำลังทำการฆ่าฟันนี้ พระเจ้าทรงบันดาลให้เกิดแผ่นดิน ไหวรุนแรงขึ้น แรงชนิดที่ทำให้จำนวนคนฟิลิสเตียละลายสูญหายเหลือเพียงนิดเดียว บทเรียนวันนี้จะมาเรียนต่อจากตอนที่เกิดแผ่นดินไหว

เขย่าขวัญศัตรู
(14:15-23)

15 และบังเกิดการสั่นสะท้านในค่ายในทุ่งนาและในหมู่ประชาชน กองทหารนั้นและถึงกองปล้นก็ตกใจตัวสั่นแผ่นดินได้ไหว กระทำ ให้เกิดการสั่นสะท้านมากยิ่งนัก 16 ยามของซาอูลที่อยู่ ณ กิเบอาห์ แห่งเผ่าเบนยามินก็มองดูอยู่ และดูเถิด มวลชนก็สลายไปวิ่งวุ่นไป มา 17 แล้วซาอูลจึงรับสั่งแก่พลที่อยู่กับท่านว่า "จงนับดูว่าผู้ใดได้ ไปจากเราบ้าง" และเมื่อเขานับดูแล้ว ดูเถิด โยนาธานและผู้ถือ เครื่องอาวุธของท่านไม่อยู่ที่นั่น 18 และซาอูลรับสั่งกับอาหิยาห์ว่า "จงนำหีบของพระเจ้ามาที่นี่" เพราะคราวนั้นหีบของพระเจ้าอยู่กับ คนอิสราเอลด้วย 19 อยู่มาเมื่อซาอูลตรัสกับปุโรหิตเสียงโกลาหลใน ค่ายฟีลิสเตียก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ซาอูลจึงตรัสกับปุโรหิตว่า "หดมือไว้ก่อน" 20 ซาอูลกับพลที่อยู่ด้วยก็รวมกันเข้าไปทำศึกและดูเถิด ดาบของทุก คนก็ต่อสู้เพื่อนของตนมีความสับสนอลหม่านอย่างยิ่ง 21 ฝ่ายคนฮีบรู ซึ่งเคยอยู่กับคนฟีลิสเตียก่อนเวลานั้น และผู้ที่ไปในค่ายกับเขาทั้งหลาย กลับมาเข้ากับคนอิสราเอล ผู้อยู่ฝ่ายซาอูลและโยนาธาน 22 ในทำนอง เดียวกัน คนอิสราเอลผู้ซ่อนตัวอยู่ที่แดนเทือกเขาเอฟราอิมเมื่อได้ยินว่า คนฟีลิสเตียกำลังหนี พวกเหล่านี้ก็ไล่ติดตามเขาไปทำศึกด้วย 23 พระเจ้า ทรงช่วยกู้อิสราเอลในวันนั้น และสงครามก็ผ่านตลอดเมืองเบธาเวนเลยไป

ผมยังจำได้ว่าเคยแสดงความเกเรในชั่วโมงพละตอนอยู่ ป.หก คุณครูจอห์นสตัน จับผม ไปเขย่ากับข้างกำแพง ผมเข็ดเลย คนฟิลิสเตียก็เข็ดขยาดด้วย เสียงดังสะท้านสนั่น หวั่นไหวยิ่งตอกย้ำความกลัวขึ้นไปอีก ถ้าเป็นเพียงแผ่นดินไหว "ธรรมดาๆ" (ผมสงสัย ว่ามีไหม?) พวกฟิลิสเตียคงกลัวแทบแย่แล้ว แต่ครั้งนี้ดูจะไม่ธรรมดา เวลาก็ดูจะเหมาะ เจาะ เพราะเกิดหลังจากที่โยนาธานและผู้ช่วยกำลังมีชัยชนะเล็กๆเหนือพวกฟิลิสเตีย ดูเหมือนว่าแผ่นดินไหวครั้งนี้จะเกิดอยู่เฉพาะบริเวณที่พวกฟิลิสเตียอยู่ ในพระคัมภีร์ไม่ ได้กล่าวถึงความรู้สึกของคนอิสราเอล ว่ากลัวแผ่นดินไหวด้วยหรือเปล่า อันที่จริง มี ความเป็นไปได้ว่าคนอิสราเอลไม่รู้ด้วยซ้ำไปว่ามีอะไรเกิดขึ้นกับพวกฟิลิสเตียที่ถึงกับทำ ให้คุ้มคลั่ง ไม่รู้ว่าเป็นแผ่นดินไหวที่พระเจ้าบันดาลให้เกิดขึ้น และผลกระทบที่เกิดขึ้น นั้นรุนแรงมหาศาล49

เนื่องจากพวกเราไม่เคยเจอเหตุการณ์แผ่นดินไหวมาก่อน ผมจึงนำข้อเขียนของบรรดาผู้ ที่เคยประสพกับเหตุการณ์นี้มาให้อ่าน เพื่อจะ้จินตนาการออกและสัมผัสได้

ในวันศุกร์ที่ 9 เดือนมกราคมที่ผ่านมา เมืองของเรา (ซานตา บาบาร่า) ได้รับการเยือนจากแผ่นดินไหว อย่าต่อเนื่อง เป็นเหตุการณ์ที่รุนแรงที่สุดเท่าที่เคย เกิดขึ้นในบริเวณชายฝั่งด้านนี้ ในช่วงหลายปีที่ผ่าน มา… .

ที่ในเมือง ในยามเช้าของวันอันสดใส แดดส่องสว่าง อยู่ทั่วไป ลมสงบนิ่ง ไม่มีสิ่งใดบ่งบอกว่ากำลังจะมี เหตุอาเพศเกิดขึ้น … . สักเวลาประมาณแปดโมง ครึ่งตามที่มีผู้บันทึกไว้ เกิดการสั่นไหวอย่างรุนแรง ขึ้น และต่อเนื่องไปอีกสัก 40 ถึง 60 วินาที ทุกคนใน เมืองสัมผัสได้ถึงแรงสั่นนี้ และแรงขึ้นจนทุกคนเผ่น หนีออกมาจากที่พัก หลายคนคุกเข่าลง หัวใจเต้นแรง ด้วยความกลัวเป็นที่สุด สวดอ้อนวอนให้ภัยพิบัตินี้ ผ่านพ้นไปโดยเร็ว50

ตำรวจทางหลวงคาลิฟอร์เนียพูดถึงประสพการณ์แผ่นดินไหวไว้ดังนี้ :

"รู้สึกเหมือนอยู่ในกระป๋องสีที่ถูกเขย่า โดยไม่มีการ เตือนล่วงหน้า บ้านทั้งหลังสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง เอียงไปเอียงมา ผมกำลังนอนอ่านหนังสือพิมพ์์อยู่ ในห้องนั่งเล่น ความคิดแรกที่แว่บเข้ามาคือ มีรถพุ่ง เข้ามาในบ้าน หรือเครื่องบินกำลังตกลงมา แต่มันก็ยัง ไม่หยุดสั่น ผมจึงรู้ทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น

เครื่องเสียงบนชั้นวางของตกลงมาที่พื้น ผมพยายาม ลุกขึ้นยืนเพื่อจะหนีออกไปข้างนอก ยังไงๆผมก็ต้อง ออกไปให้ได้ ผมพยายามจะลุกขึ้น แต่ทำไม่ได้ สอง สามนาทีผ่านไป แรงสั่นสะเทือนน้อยลง ผมลุกขึ้นยืน ได้ จึงพาภรรยาวิ่งออกมาข้างนอก … .51

นักกอล์ฟท่านหนึ่ง ขณะออกรอบในตอนเช้าตรู่ในปี 1925 ที่เมืองซานตาบาบาร่า ประสพเหตุแผ่นดินไหว เล่าให้ฟังว่า :

"ผมต้องหยุดกึกลงเพราะเสียงคำรามสนั่นที่ไม่เคยได้ ยินมาก่อน ไม่สามารถอธิบายได้ และไม่อยากจะได้ยิน อีกด้วย ผมสั่นอย่างรุนแรง เหมือนมีมือปีศาจมาจับที่ ไหล่และเขย่าเพื่อให้ศีรษะของผมหลุดออกมา ผม พยายามยืนทรงตัวให้ได้ ภูเขาดูเหมือนจะขึ้นๆลงๆได้ – ผมไม่ได้ล้อเล่นนะครับ และไม่ได้เห็นภาพหลอน ด้วย – แผ่นดินเป็นเหมือนคลื่นม้วนไปมาอยู่รอบๆตัว มันไม่ใช่แผ่นดินไหวธรรมดาๆที่เกิดขึ้นทั่วๆไป แต่มัน เกิดขึ้นนานพอควร ผมเชื่อว่าพวกนักโต้คลื่นเก่งๆทั้ง หลาย คงต้องชิดซ้ายไปเลย เสียงคำรามที่มาก่อนการสั่นสะเทือนสักสองสามวินาทีฟังดูเหมือนอยู่ห่างไกลมาก และใกล้เข้ามาในทันที เหมือนลูกปืนพุ่งเข้าใส่ "52

ความกลัวแผ่นดินไหวจนตัวแข็งนี้ มีเล่าอยู่ในหนังสือเรื่อง "แผ่นดินไหวในซานตา บาบาร่าในปี 1925 โดยช่างรับเหมาก่อสร้างผู้หนึ่ง :

"ผมบอกได้เลยว่า แทบไม่มีทางรอดจากการเจ็บตัว ในเหตุแผ่นดินไหวครั้งนี้ได้ ผมจะเล่าให้ฟังสักสอง เรื่อง ซึ่งมีผลกระทบกับชายสองคนนี้ค่อนข้างมาก คนหนึ่งเป็นช่างทำหม้อน้ำ กำลังทำงานอยู่ทางด้าน ตะวันออกของตัวบ้าน มีอิฐตกลงมาจากกำแพง ก้อน ใหญ่ๆทั้งนั้น กระเด็นไปไกลได้ถึง 12 ฟิต หลังคาด้าน ที่เขายืนอยู่ถล่มลงมา ตกลงไปกองอยู่บนเครื่องจักร ตามปกติผู้ชายคนนี้เป็นคนกล้า ไม่กลัวอันตรายใดๆ แต่คราวนี้เขาตกใจกลัวจนขยับขาไม่ออก หลังจาก หายวิงเวียนได้สักพัก เขาก็ค่อยๆคลานออก มาโดย ไม่ต้องมีใครไปช่วย และไม่เจ็บที่ตรงไหนด้วย….53

คุณลองจินตนาภาพของพวกทหารฟิลิสเตียดู ก่อนเกิดแผ่นดินไหวคงต้องมีเสียงดัง สนั่น ซึ่งบางคนเคยอธิบายไว้ว่าดังกว่าระเิดพันลูกลงพร้อมกันเสียอีก แผ่นดินโลกคง จะสั่นขึ้นสั่นลง มีการคำนวนไว้ว่า แผ่นดินไหวแต่ละครั้ง พื้นโลกจะม้วนขึ้นในแนวตั้ง ประมาณ 2 นิ้ว และเกิดถี่ประมาณ 240 ครั้งต่อนาที พื้นดินจึงม้วนไปมาเหมือนคลื่นใน มหาสมุทร ทำให้พวกทหารโคลงเคลงจนตกลงมา และที่เลวร้ายที่สุด บางที แผ่นดิน เคลื่อนไหวไปมาในแนวนอนด้วย ซึ่งอาจเป็นบริเวณกว้างแลไกลออกไป

ลองมาคิดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนั้น ขณะที่มีคนนำข่าวไปบอกว่าทหารดูต้นทาง ถูกโจมตี (โดยโยนาธานและผู้ถือเครื่องอาวุธ) แล้ว บรรดา "กองปล้น" ที่ถูกส่งออก ไปฆ่าล้างทำลาย เริ่มตกใจกลัว เพราะนี่เป็น "หน่วยรบพิเศษ" ในสมัยนั้น ที่ค่ายใหญ่ เตรียมพร้อม ทหารถูกเรียกให้เข้าประจำที่ตามแผนรบ ทุกคนชักดาบชูขึ้น และกองทัพ ก็เคลื่อนออกไปสู่สนามรบ ทันใดนั้น มีเสียงดังสนั่นกึกก้องเกิดขึ้น พวกทหารตกใจสุด ขีด ในขณะที่พวกเขากำลังออกเดิน พื้นดินใต้เท้าสั่นไปมา ทหารเริ่มล้มลง และตาม ด้วยแผ่นดินม้วนไปมาเป็นระลอก ดาบของคนข้างหลังก็แทงไปที่คนข้างหน้า คนข้าง หน้านึกว่าถูกศัตรูโจมตี ตกใจหันมาฟันคนข้างหลัง – มีการล้มตายเกิดขึ้นมากมาย ทุกอย่างเกิดจากน้ำมือ "คนกันเอง" ทั้งสิ้น

ผมอาจให้รายละเอีียดไม่ถูกต้องหมด แต่ผลลัพท์ออกมาเหมือนกัน ทหารฟิลิสเตียหมด แรงและตกใจกลัวแผ่นดินไหว ด้วยความกลัวสุดขีดอย่างเดียว พวกเขาหันมาฆ่าฟัน กันเอง การล้มตายครั้งนี้เกิดเพราะฝีมือฟิลิสเตียด้วยกันเอง ก่อนที่อิสราเอลจะออกมา สู้รบด้วยซ้ำ แท้จริงแล้วเป็น "ความกลัวที่พระเจ้าส่งลงมา" (1 ซามูเอล 14:15 ฉบับ NIV) เราควรยำเกรงในพระราชอำนาจอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้าแทนคนอิสราเอล คนดูต้น ทางของอิสราเอลคงมองดูสิ่งที่พระเจ้าบันดาลให้เกิดขึ้นกับพวกฟิลิสเตีย พวกเขาอาจ ไม่เข้าใจว่าเกิดแผ่นดินไหว ที่เขาเห็นคือพวกทหารโคลงไปเคลงมาเหมือนคลื่น สิ่งนี้ เกิดขึ้นเพราะพื้นดินเคลื่อนที่หรือ ? หรือว่าแผ่นดินแยกออกจากกัน ? เราเองก็ไม่อาจรู้ ได้ ผมยังสงสัยเลยว่าพวกอิสราเอลจะรู้หรือเปล่า แต่จากที่พวกเขาเห็นและได้ยินพวก เขารู้ว่าบางสิ่งมหัศจรรย์กำลังจะเกิดขึ้น

ผู้อ่านคงอยากรู้ปฏิกิริยาของซาอูลในเหตุการที่เกิดขึ้น สิ่งแรกที่ท่าทำคือนับกำลังพล ไม่ใช่เพื่อเตรียมออกรบ แต่เพื่อจะดูว่าใครขาดหายไป ผมค่อนข้างไม่เห็นด้วยกับพระ คัมภีร์ฉบับ New King James Version ที่แปลข้อ 17:

และซาอูลก็กล่าวกับประชาชนที่อยู่กับท่านว่า "ให้ นับจำนวนคน ดูทีว่าใครจากเราไปบ้าง" และเมื่อเขา นับเสร็จ ก็ประหลาดใจว่า โยนาธานและผู้ถือเครื่อง อาวุธไม่ได้อยู่ที่นั่น
(1 ซามูเอล 14:17, NKJV)

(17 แล้วซาอูลจึงรับสั่งแก่พลที่อยู่กับท่านว่า "จงนับดูว่าผู้ใดได้ไปจากเราบ้าง" และเมื่อ เขานับดูแล้ว ดูเถิด โยนาธานและผู้ถือเครื่อง อาวุธของท่านไม่อยู่ที่นั่น - พระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับภาษาไทย)

คำว่า "ดูเถิด" ที่แปลจาก the New American Standard Version นั้นแปลจากภาษา ฮีบรูได้เหมาะสมกว่า คำนี้อาจหมายถึงประหลาดใจก็ได้ตามที่ฉบับ NKJV แปล แต่ผม เห็นในทางตรงข้าม ผมรู้สึกไม่กล้าที่จะลองแปลเอง แต่ผมว่าบริบททั้งหมด และคำใน ภาษาฮีบรูเองน่าจะแปลได้ดังนี้ :

17 แล้วซาอูลจึงรับสั่งแก่พลที่อยู่กับท่านว่า "จงนับดู ว่าผู้ใดได้ไปจากเราบ้าง" และเมื่อเขานับดูแล้ว แน่ นอน โยนาธานและผู้ถือเครื่องอาวุธของท่านไม่อยู่ ที่นั่น
(คำแปลของผม/ถ่ายทอดจาก 1 ซามูเอล 14:17)

ซาอูลไม่ประหลาดใจ เพราะหลังจากนับเสร็จแล้ว ผลออกมาตามที่ท่านหวั่นเกรง ลอง คิดดู ทุกอย่างดูเป็นปกติดีกับพวกฟิลิสเตีย (ตามมาตรฐานของซาอูล) จนกระทั่ง โยนาธานก่อเรื่องขึ้น โดยไปโจมตีกองกำลังฟิลิสเตียที่เกบา (1 ซามูเอล 13:3) เรื่องวุ่นวายทั้งหมดนี้ (ตามที่ซาอูลคิด) นำเอากองทัพฟิลิสเตียแห่กันมาอยู่ที่มิคมาช เป็นความผิดโยนาธานทั้งสิ้น คงอยู่สงบไม่เป็น และเมื่อทั้งสองฝ่ายต้องมาเผชิญหน้ากันทางทหาร ซาอูลก็หลบเลี่ยง (ด้วยการไป นั่งอยู่ที่ใต้ต้นทับทิม -14:2) และในทันใดนั้น มีเหตุโกลาหลเกิดขึ้นกับพวกฟิลิสเตีย ต้องมีสาเหตุมาจากบางอย่าง ซาอูลไม่ได้คิดถึงพระเจ้าเป็นเรื่องแรก แต่กลับไปคิดถึง โยนาธาน ลูกชายที่ก่อเรื่องเอาไว้ เพราะเมื่อนับกำลังพลแล้ว ทั้งสองคนไม่ได้อยู่ที่นั่น ซึ่งน่าจะเดาได้ไม่ยากว่าเป็นผู้ไปก่อเรื่อง -- อีกแล้ว

แล้วในที่สุด ซาอูลก็ตัดสินใจปรึกษาพระเจ้า – ตอนนี้ท่านอยู่ในสถานการณ์ "คับขัน" ในสมัยนั้นมีวิธีแสวงหาน้ำพระทัยพระเจ้าได้หลายวิธี แน่นอน ผู้เผยพระวจนะรับฟังพระ ดำรัสโดยตรงจากพระเจ้า แต่ซามูเอลก็ทิ้งซาอูลไปจากกิลกาลแล้ว เหตุเพราะขัดคำสั่ง (ดู 13:8-14) แต่ยังมีเอโฟดที่พวกปุโรหิตใช้และสวมใส่อยู่ ซึ่งอยู่กับอาหิยาห์ ผู้เป็น ปุโรหิต (14:3) แต่ซาอูลไม่เลือกใช้ ท่านกลับให้ไปนำหีบแห่งพันธสัญญามาแทน ดู เหมือนการนี้ต้องพึ่งพามือของอาหิยาห์ปุโรหิต เพื่อจะได้ทราบถึงน้ำพระทัยพระเจ้า ท่าทางวิธีนี้ต้องจะใช้เวลาพอควร ถ้าเป็นเครื่องใช้ไฟฟ้า คงต้องมีการ "อุ่นเครื่อง" กัน ก่อน เรารู้ดีว่าซาอูลมีความอดทนน้อย (ดูบทที่ 13) ความโกลาหลในค่ายของพวกฟิ ลิสเตียดูจะหนักหน่วง หนักจนซาอูลคิดว่าถ้าจะออกไปสู้ตอนนี้อิสราเอลคงชนะแน่ ท่าน จึงสั่งให้ปุโรหิตหดมือไว้ก่อน หรือ "ปิดเครื่องมือแสดงน้ำพระทัยพระเจ้าก่อน" ซาอูล และคนของท่านจึงติดตามไปจัดการกับชาวฟิลิสเตียที่ตื่นตะหนกฆ่าฟันกันอยู่ พอ ทหารอิสราเอลไล่ไปจนกระชั้นชิด พวกเขายิ่งมองเห็นชัยชนะที่พระเจ้าประทานให้ อย่างชัดเจน

นักรบขี้ขลาดกำลังออกไปสู้กับพวกฟิลิสเตีย โดยมีโยนาธานและผู้ถือเครื่องอาวุธนำ หน้าไป ; ซาอูลติดตามไปอย่างไม่ค่อยเต็มใจนัก หลังจากเห็นชัยชนะอยู่แค่เอื้อม บรรดาผู้ที่หนีแตกกระจายไปก่อนหน้า บรรดาผู้ที่ไปเข้าพวกกับฟิลิสเตีย (14:21) และบรรดาผู้ที่ไปซ่อนอยู่ตามรูซอกหิน ก็ออกมาช่วยซาอูลและคนที่ติดตามท่าน 600 คนในทันที กำลังทหารของซาอูลจึงเพิ่มขึ้นอย่างไม่รู้ตัว

คำสาบานที่โง่เขลาของซาอูล
(14:24-28)

24 และคนอิสราเอลต้องทุกข์ยาก54 ในวันนั้น เพราะซาอูล ได้ทรงให้ประชาชนสาบานไว้ว่า "ถ้าผู้ใดรับประทานอาหาร ก่อนเวลาเย็นวันนี้ ก่อนเราแก้แค้นศัตรูแล้ว ให้ผู้นั้นถูกสาป แช่ง" เพราะฉะนั้นพวกพลจึงไม่รับประทานอาหารเลย 25 และชาวแผ่นดินก็เข้ามาในป่า มีน้ำผึ้งอยู่ตามพื้นทุ่ง 26 เมื่อประชาชนเข้าไปในป่านั้น ดูเถิด น้ำผึ้งก็กำลังย้อย อยู่ แต่ไม่มีคนใดเอามือใส่ปาก เพราะเขากลัวคำสาบาน 27 แต่โยนาธานไม่ได้ยินคำสาบานของพระราชบิดา ที่ทรง ให้ประชาชนสาบานจึงเอาปลายไม้ที่ถืออยู่ แหย่ที่รังผึ้ง แล้วก็เอามือของท่านใส่ปากตาก็แจ่มใสขึ้น 28 มีชายคน หนึ่งเรียนว่า "พระราชบิดาของท่านบังคับให้พวกพลสาบาน ว่า 'ผู้ใดที่รับประทานอาหารในวันนี้ให้ผู้นั้นถูกสาปแช่ง'" และพวกพลก็อ่อนเพลีย

เป็นความพ่ายแพ้ของฟิลิสเตีย และเป็นชัยชนะของพระเจ้า ถึงแม้เป็นชัยชนะที่ไม่สม ควรได้รับก็ตาม ; พวกเขาน่าจะตัดสินใจให้ดีก่อนหน้านี้ ในข้อ 24-30 ผู้เขียนอธิบาย ถึงเหตุผลว่าทำไมชัยชนะครั้งนี้จึงไม่เด็ดขาดนัก ย่อๆคือ เพราะทหารอิสราเอล "ทุกข์ ยากคับแค้นใจ" ในวันนั้นพวกเขาอ่อนแรงเกินกว่าจะไล่ตามฆ่าพวกฟิลิสเตียให้หมดสิ้น ผู้ที่ทำให้ คนอิสราเอลทุกข์ยากคับแค้นนั้น ไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นกษัตริย์ซาอูลของ พวกเขานั่นเอง เป็นเพราะคำสาบานโง่ๆของท่านที่เป็นตัวการขัดขวางทหารอิสราเอล

ดูเหมือนภาพพจน์ของซาอูลจะเสื่อมถอยลงไปมาก หลังจากที่ท่านรบชนะพวกอัมโมน ที่ยาเบชกิเลอาดในบบที่ 11 แล้ว ท่านถูกพวกฟิลิสเตียหยามน้ำหน้า ไม่เพียงเฉพาะที่ พวกเขาเข้ามาครอบครองดินแดนอิสราเอลเท่านั้น แต่การที่พวกเขาบีบบังคับคนอิสรา เอลด้วยการผูกขาดสิทธิในการทำ การซื้อขาย และรักษาทุกอย่างที่ทำจากเหล็ก (13:19-23) และที่ขายหน้าเป็นที่สุดคือการที่โยนาธานเป็นคนเริ่มต้นไปโจมตีพวก ฟิลิสเตีย และบัดนี้เมื่อท่านเห็นฟิลิสเตียพ่ายแพ้อยู่ต่อหน้า ซาอูลตัดสินใจจะให้พวก เขาชดเชยความอับอายของท่าน การต่อสู้กับพวกฟิลิสเตียสำหรับท่านแล้วเป็นการแก้ แค้นส่วนตัว ไม่ใช่เป็นการรบของพระเจ้า หรือแม้แต่เป็นของชนชาติอิสราเอลอีกต่อไป ซาอูลจึงบังคับให้ทหารของท่านสาบาน : ไม่มีใครกินอาหารจนกว่าจะค่ำ ทหารต้องสู้รบ ต่อโดยท้องว่าง ซาอูลอ้างเหตุผลว่าจะได้ไม่เสียเวลาอันมีค่า (และแสงในเวลากลาง วัน?) มัวแต่มานั่งหุงหาและกินอาหาร (ในเมื่อทั้งซาอูลและคนของท่านไม่ได้เตรียมจะ มารบครั้งนี้ จึงไม่มีใครเตรียมตัวมา) จึงไม่มีเหตุผลใดที่จะกินไปด้วยรบไปด้วย ดังนั้น สำหรับซาอูลแล้ว ท่านบังคับไม่ให้มีการกิน แต่ให้ออกไปรบโดยไม่หยุดพักตลอดวัน

ซาอูลทำผิดสองประการ แรก ท่านผิดด้วยการคิดว่าคำสั่งของท่านจะยิ่งทำให้ อิสราเอลมีชัยเด็ดขาดเหนือฟิลิสเตีย ท่านคิดว่าจะทำให้มีเวลามากพอที่จะติดตามฆ่า พวกฟิลิสเตียในขณะที่ยังสว่างอยู่ และเป็นเหตุให้คนฟิลิสเตียจะตายลงอีกเป็นจำนวน มาก วิธีนี้ไม่เป็นผล ขณะที่พวกฟิลิสเตียถอยหนีกลับไปยังดินแดนของตนนั้น สนาม รบยิ่งแผ่อาณาบริเวณกว้่างออกไปทางตะวันออก ไปถึงยังเมืองเบธาเวน (14:23) และ ไปถึงอัยยาโลน (14:31) อิสราเอลติดตามฟิลิสเตียไปยังแถบเทือกเขาไกลถึงเกือบ 40 กิโลเมตรโดยไม่มีการแวะกินอาหาร พวกเขาจึงหิวและเหนื่อยอ่อนจนไม่มีแรงจะตามได้ ต่อไป

ซาอูลยังทำผิดประการที่สอง ท่านคิดผิดว่าอาหารสำหรับนักรบนั้นต้องมีการลงมือหุง หา ซึ่งกินเวลานาน ถึงแม้ในสมัยนั้นไม่มี "ฟาสต์ฟูด หรืออาหารจานด่วน" แต่ท่านลืม คิดไปว่ายังมีสิ่งที่ทดแทนและเพิ่มพลังไ้ด้อย่างรวดเร็ว พระเจ้าทรงเตรียม "อาหารจาน ด่วน" ไว้ให้ พระองค์ได้เตรียมให้มีน้ำผึ้งไหลย้อยอยู่ในป่า และแทบไม่ต้องเสียเวลา ในการกินด้วย พวกทหาร เช่นโยนาธาน เพียงแต่ใช้ไม้แหย่เข้าไปในรังผึ้ง ก็จะได้น้ำผึ้ง ติดมาที่ปลายไม้ใช้กินได้ในทันที ไม่มีอาหารใดที่เร็วและดีไปกว่านี้อีกแล้ว นอกจากดี แล้วยังมาจากธรรมชาติที่หากินง่ายๆได้ในป่า อาหารนี้ทำให้ "เกเตอร์เรด" ต้องชิด ซ้ายไปเลย

โยนาธานไม่ได้ยินคำสั่งของซาอูลจนสายเกินแก้ ท่านออกไปสู้รบกับพวกฟิลิสเตีย ไม่ได้ มัวแต่มานั่งฟังคำสั่งของซาอูล ท่านเดินหน้าสู้ต่อไปเรื่อยๆ จนกองกำลังของซาอูลตามมาทัน หลังจากโยนาธานกินน้ำผึ้งแล้ว คนของซาอูลค่อยแจ้งท่านเรื่อง คำสั่งโง่เขลาของบิดา โยนาธานพูดในสิ่งที่ตรงกับใจพวกเราคิดอยู่ทีเดียว : "บิดา ของข้ากระทำให้แผ่นดินลำบาก ดูซิว่าตาของข้าแจ่มแจ้งเพียงไร เพราะข้าได้ รับประทานน้ำผึ้งนี้แต่เล็กน้อย" (14:29) บิดาของท่่านนั้น ทั้งโง่และเห็นแก่ตัวที่ห้ามไม่ให้ ทหารกินสิ่งใด ถ้าคนอิสราเอลได้กินเช่น เดียวกับโยนาธาน ชัยชนะ จะยิ่งเพิ่มพูนขึ้น ซาอูลไม่ใช่เป็นผู้ที่นำชัยชนะมาสู่อิสราเอล แต่กลับ เป็นตัวการขัดขวาง ถึงแม้ท่านมีอำนาจในฐานะกษัตริย์ แต่ท่านไม่ใช่ผู้นำที่ดี คนอิสราเอลคง คิดเช่นเดียวกัน มีแต่โยนาธานเท่านั้น ที่กล้าพูดออกมา

ซาอูล หินสะดุดของชาวอิสราเอล

(14:31-35)

31 ในวันนั้นเขาทั้งหลายฆ่าฟันคนฟีลิสเตียจาก มิคมาชถึงอัยยาโลนและพวกพลก็อ่อนเพลียนัก 32 และพวกพลก็วิ่งเข้าหาของที่ริบได้ เอาแกะ และวัวและลูกวัวมาฆ่าเสีย ณ ที่นั้นเองและพวก พลก็กินเนื้อพร้อมกับเลือด 33 แล้วเขาก็ไปทูล ซาอูลว่า "ดูเถิด พวกพลกำลังทำบาปต่อพระเจ้า โดยรับประทานพร้อมกับเลือด" และซาอูลจึงรับ สั่งว่า "เจ้าได้ประพฤติอย่างทรยศแล้ว จงกลิ้ง ก้อนหินใหญ่มาให้เราวันนี้" 34 และซาอูลตรัสว่า "ท่านจงกระจัดกระจายกันไปท่ามกลางพวกพล และบอกเขาว่า 'ให้ทุกคนนำวัวหรือแกะของตัว มาฆ่าเสียที่นี่แล้วรับประทาน อย่ากระทำบาปต่อ พระเจ้าด้วยรับประทานพร้อมกับเลือด'" คืนนั้นทุก คนก็นำวัวมาและฆ่าเสียที่นั่น 35 และซาอูลก็สร้าง แท่นบูชาถวายแด่พระเจ้า เป็นแท่นบูชาแท่นแรก ซึ่งท่านสร้างถวายแด่พระเจ้า

แค่คำสั่งโง่ๆของซาอูลที่ทำให้ไม่ชนะฟิลิสเตียอย่างเด็ดขาดก็แย่พอแล้ว แต่ที่แย่ไป กว่านั้นคือคำสั่งนี้เป็นต้นเหตุให้คนอิสราเอลทำบาป ชาวอิสราเอลทำตามคำสั่งอันไร้ สติของซาอูลที่ไม่ให้กินจนกว่าจะค่ำ และเป็นเพราะความเหนื่อยหมดแรง จึงไม่ สามารถฆ่าคนฟิลิสเตียได้มากนัก และเมื่อเวลาค่ำมาถึง ทหารอิสราเอลที่หิวโหย เมื่อ เจอกับแกะและวัวที่ศัตรูทิ้งไว้ จึงลงมือจัดการฆ่ากิน เป็นเรื่องน่าเศร้าที่คนอิสราเอล กลัวขัดคำสั่งซาอูลมากกว่ากลัวขัดคำสั่งพระเจ้า ทหารที่หิวโหยเหล่านี้กินเนื้อสัตว์ โดยไม่มีการนำไปปรุงให้ถูกต้องตามบัญญัติ พวกเขาจึงทำบาป (เลวีนิติ 17:10; 19:26).

มีคนมาแจ้งให้ซาอูลทราบว่ามีการทำบาปเกิดขึ้น (14:33) เราคงสงสัยว่าซาอูลจะรู้ตัว หรือไม่ว่าสิ่งที่เขากระทำนั้นร้ายแรงมาก นอกจากจะมีคนกล้าไปบอก แทนที่ท่านจะ ยอมรับผิดว่าเป็นตัวการทำให้คนอิสราเอล "สะดุด" ซาอูลกลับชี้นิ้วกล่าวหาไปที่ทหาร ที่หิวโหยแทน : "เจ้าได้ประพฤติอย่างทรยศแล้ว จงกลิ้งก้อนหินใหญ่มาให้เรา วันนี้" (14:33ข) มีการหยุดยั้งความบาป ถึงแม้เป็นความบาปที่เกิดจากการตัดสินใจ ผิดพลาดของท่าน อย่างน้อยท่านก็ยังยับยั้งไม่ให้คนของท่านทำบาปมากไปกว่านี้

มีข้อเท็จจริงสองประการที่ดูแปลก เมื่อซาอูลสร้างแท่นบูชาขึ้นในค่ำวันนั้น เพื่อให้ชาว อิสราเอลได้ทำการ "ถวายบูชา" ข้อแรก เราไม่อาจเรียกการถวายบูชานี้ได้ว่าเป็นการ นมัสการด้วยใจจริง ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายคนอิสราเอลหรือทางฝ่ายซาอูล เป็นเพียงทำให้ ถูกต้องตามพิธีการ เพื่อบรรดาทหารจะได้หลุดพ้นจากความผิดบาป และเมื่อรู้ว่าเป็น แท่นบูชาแท่นแรกที่ซาอูลสร้างขึ้น ยิ่งทำให้ไม่น่าประทับใจใหญ่ ซาอูลต้องรอให้เกิด เหตุร้ายแรงขนาดนี้เทียวหรือ ถึงค่อยนมัสการพระเจ้า ? ท่านคิดจะสร้างแท่นบูชาเฉพาะ ในเวลาวิกฤติเท่านั้นหรือ ? ผมไม่อาจเรียกว่าเป็นช่วง "เวลาแห่งความชอบธรรม" ใน ประวัติศาสตร์ของอิสราเอลได้ เป็นเพียงการแก้ใขสถานการณ์เพื่อลดความเสียหายที่ เกิดจากบาปลง ความบาปที่ซาอูลเป็นตัวการหยิบยื่นให้พวกทหารต้องกระทำตาม

ข้อสอง ผมว่าเป็นอาหารมื้อที่ค่อนข้าง "แปลก" ซาอูลสั่งห้ามไม่ให้ทหารกินก่อนค่ำ ถึงแม้ "อาหารจานด่วน" ที่พระเจ้าจัดเตรียมไว้ให้ใช้เวลากินไม่ถึงหนึ่งนาทีด้วยซ้ำไป (เห็นได้จากที่โยนาธานทำ) ซาอูลรู้สึกว่าการกินจะทำให้เสียเวลามาก และทำให้ อิสราเอลไม่สามารถรบให้ชนะขาดได้ คนอิสราเอลจึงติดตามคนฟิลิสเตียไปในคืนนั้น ด้วยความหิวโหย และเมื่อเห็นของที่ริบได้นั้นยั่วน้ำลาย จึงทำบาปด้วยการกินอย่างไม่ ถูกต้องตามพระบัญญัติ เพื่อแก้ใขสถานการณ์นี้ ซาอูลจึงสร้างแท่นบูชาขึ้น และทำให้ แน่ใจว่าของถวายบูชานั้นถูกฆ่าและจัดเตรียมอย่างถูกต้อง คุณว่าการจัดเตรียม "อา หาร" มื้อนี้ใช้เวลานานเท่าใด ? เราเรียกกันว่า "ไร้ประสิทธิภาพ!"

ซาอูลด่วนจะฆ่า - บุตรของท่านเอง
(14:36-45)

36 แล้วซาอูลรับสั่งว่า "ให้เราลงไปตามคนฟีลิสเตียทั้ง กลางคืน แล้วริบข้าวของของเขาเสียจนรุ่งเช้าอย่า ให้ เหลือสักคนเดียวเลย" และเขาทั้งหลายตอบว่า "จงกระทำ ตามที่พระองค์ทรงเห็นชอบทุกประการเถิด" แต่ปุโรหิต กล่าวว่า "ให้เราเข้ามาเฝ้าพระเจ้าที่นี่เถิด" 37 และซาอูล ก็ทูลถามพระเจ้าว่า "สมควรที่ข้าพระองค์จะติดตามคนฟีลิส เตียหรือไม่ พระองค์จะทรงมอบเขาทั้งหลายไว้ในมือของ อิสราเอลหรือ" แต่ในวันนั้นพระองค์มิได้ทรงตอบท่าน 38 และซาอูลจึงตรัสว่า "มาที่นี่เถิด ท่านทั้งหลายที่เป็น ประมุขของคนอิสราเอลพึงทราบและเห็นว่าบาปนี้ได้เกิดขึ้น อย่างไรในวันนี้ 39 เพราะว่าพระเจ้าผู้ทรงช่วยอิสราเอล ทรง พระชนม์อยู่แน่ฉันใด แม้ความผิดนั้นอยู่ที่โยนาธานบุตรของข้า เขาก็จะต้องตายเป็นแน่ฉันนั้น" แต่ไม่มีชายสักคนหนึ่งที่อยู่ใน หมู่ประชาชนนั้นตอบพระองค์ 40 แล้วพระองค์จึงตรัสกับอิสรา เอลทั้งปวงว่า "พวกท่านทั้งหลายอยู่ฝ่ายหนึ่ง เราและโยนาธาน บุตรของเราจะอยู่อีกฝ่ายหนึ่ง" และประชาชนทูลซาอูลว่า "ขอจง กระทำตามที่พระองค์ทรงเห็นชอบเถิด" 41 ดังนั้นซาอูลจึงทูล พระเยโฮวาห์พระเจ้าแห่งอิสราเอลว่า "ขอทรงสำแดงฝ่ายถูก" ข้างฝ่ายโยนาธานและซาอูลถูกฉลาก แต่ฝ่ายประชากรรอดไป

42 แล้วซาอูลรับสั่งว่า "จับฉลากระหว่างเรากับบุตรของเรา" และโยนาธานถูกฉลาก 43 แล้วซาอูลจึงตรัสกับโยนาธานว่า "เจ้าได้กระทำอะไรจงบอกเรามา" โยนาธานก็ทูลว่า "ข้าพระบาท ได้ชิมน้ำผึ้งที่ติดปลายไม้เท้าซึ่งอยู่ในมือของข้าพระบาทเล็กน้อย เท่านั้น ข้าพระบาทอยู่ที่นี่ ข้าพระบาทยอมตาย" 44 และซาอูลตรัส ว่า "ขอพระเจ้าทรงลงโทษและยิ่งหนักกว่า โยนาธานเจ้าจะต้องตาย แน่" 45 แล้วประชาชนจึงทูลซาอูลว่า "โยนาธานควรจะถึงตายหรือ เขาเป็นผู้ที่ได้นำให้มีชัยใหญ่ยิ่งนี้ในอิสราเอล อย่าให้มีวี่แววอย่างนั้น เลย พระเจ้าทรงพระชนม์อยู่แน่ฉันใด เส้นผมของท่านสักเส้นหนึ่ง จะไม่ตกถึงดิน เพราะในวันนี้ท่านได้กระทำศึกด้วยกันกับพระเจ้า" ประชาชนไถ่โยนาธานไว้ท่านจึงไม่ถึงตาย

ในที่สุด พิธีการเตรียมและกินอาหารจบสิ้นลง ซาอูลก็พร้อมจะรบต่อ – เป็นไปตามน้ำ พระทัยหรือเปล่า ? ซาอูลสั่งให้ไปโจมตีพวกฟิลิสเตียต่อ และริบเอาข้าวของคืนมา ทหารยอมทำตามคำสั่ง พวกเขาพร้อมที่จะออกรบต่อ แต่ปุโรหิตไม่ค่อยจะแน่ใจ ท่าน อยากให้มีการแสวงหาน้ำพระทัยพระเจ้าก่อน เมื่อซาอูลให้มีการถามจากพระเจ้า ท่าน คาดว่าพระเจ้าจะตอบว่า "ใช่" หรือ "ไม่ใช่" "สมควรที่ข้าพระองค์จะติดตามคน ฟีลิสเตียหรือไม่ พระองค์จะทรงมอบเขาทั้งหลายไว้ในมือของอิสราเอลหรือ ?"

ซาอูลรีบด่วนสรุปอย่างผิดๆ แรก ท่านสรุปเอาเองว่า เมื่อไม่มีคำตอบมาจากพระเจ้า หมาย ความว่ามีใครบางคนทำบาป ท่านไม่เคยคิดเลยว่าท่านเองอาจเป็นผู้ทำบาปก็ได้ หรือไม่ก็เกิด จากพวกทหารที่กินเนื้อสัตว์พร้อมเลือด ท่านสรุปเอาเองว่ามีการทำบาปเกิดขึ้น และคิดว่า ความบาปนี้เกิดจากการขัดคำสั่งอันโง่เขลาของท่าน (ไม่ใช่จากการทำผิดพระบัญญัติ) หนัก ไปกว่านั้น ท่านคิดเลยเถิดไปว่าโยนาธานน่าจะเป็นคนที่ทำบาปผิดนี้ และ ที่สุด ซาอูลตัดสินใจ ว่า "ความบาป" นี้มีโทษถึงตาย ผมว่าไม่ใช่เรื่องบังเอิญที่ซาอูล กล่าวว่า " เพราะว่าพระเจ้า ผู้ทรงช่วยอิสราเอล ทรงพระชนม์อยู่แน่ฉันใด แม้ความผิดนั้นอยู่ที่โยนาธานบุตรของ ข้า เขาก็ จะต้องตายเป็นแน่ฉันนั้น" (ข้อ 39) ทำไมจากผู้คนมากมายที่อยู่ด้วยกัน ซาอูล ถึงเพ่งเล็งไปที่โยนาธานผู้เป็นบุตร ? ผมเกรงว่าผมรู้คำตอบ แต่เป็นคำตอบที่ผมไม่ค่อยชอบนัก ผมคิดว่าบุตรของซาอูลนั้น มีอะไรหลายอย่างเหมือนดาวิด ในเวลาสงคราม ซาอูลคิดว่าโยนา ธานเป็นตัวซวย และสมควรถูกกำจัดออไป แน่นอน ผมว่าซาอูลหาเหตุอ้างเพื่อต้องการกำจัดลูก ชายเสีย และสถานการณ์แบบนี้เป็น ตัวเอื้ออำนวยอย่างดีเสียด้วย ก่อนที่จะมีการทอดสลาก ซาอูลพูดชัดเจนว่าถ้าจับสลากได้โยนาธาน โยนาธานนั้นต้องตายแน่ๆ ผมว่าเขาคงคิด ยังไงๆ โยนาธานต้องถูกจับได้

จากที่บันทึกในพระคัมภีร์ ซาอูลตัดตอนกรรมวิธีให้สั้นลงและข้ามกฎเกณฑ์ไป ท่าน และโยนาธาน แยกออกไปอยู่คนละฝ่ายกับพวกทหาร และไม่เป็นที่น่าประหลาดใจว่า สลากของท่านและบุตรถูกเลือก ซาอูลจึงจับสลากเลือกต่อระหว่างตัวท่านเองและ โยนาธาน คราวนี้จับได้โยนาธาน ประชาชนนิ่งเฉยอยู่ตอนที่จับสลาก (ดูข้อ 40) ใครจะ กล้าค้านความคิดของซาอูลเล่า ? และท้ายที่สุดจับได้โยนาธาน ซาอูลจึงถามบุตรว่าได้ ทำผิดประการใด (น่าสนใจนะครับว่าซาอูลประกาศตัดสินลงโทษไปก่อนที่จะรู้ว่าทำผิด ด้วยข้อหาใด) โยนาธาน "สารภาพ" ว่า ท่านได้กินน้ำผึ้งจากปลายไม้ของท่าน แค่แตะ ที่ปลายลิ้นเท่านั้น และกินโดยไม่รู้เรื่องคำสั่งห้ามของบิดา โดยไม่รั้งรอ ซาอูลกล่าวหา ว่านี่เป็นความผิดร้ายแรง มีผลทำให้อิสราเอลไม่สามารถรบชนะฟิลิสเตียที่โยนาธาน เป็นผู้ก่อให้เด็ดขาดลงไป ซาอูลรู้สึกดีที่จะได้ฆ่าบุตรมากกว่าจะยอมรับว่าทั้งสิ้น เป็น ความบาปและความเขลาของท่านเอง

มาถึงตอนนี้ โยนาธานก็ยังเป็นลูกตัวอย่าง ท่านไม่แก้ตัว หรือกล่าวฟ้องร้องบิดา ท่านมอบชีวิตให้กับบิดาผู้เป็นกษัตริย์ ท่านยอมตายถ้าเป็นความปรารถนาของบิดา และถ้าเป็นความปรารถนาของพระเจ้า อีกครั้งที่ซาอูลกล่าวย้ำว่าโยนาธานนั้นต้อง โทษถึงตาย ดูเหมือนซาอูลไม่สามารถทำสิ่งใดที่ยุติธรรมเกินไปกว่านี้แล้ว

ในที่สุด ประชาชนที่เฝ้าดูกษัตริย์เล่นละครตบตาอยู่นานหมดความอดทน พวกเขายอม ให้มีการจับสลากเลือกหาคนผิด (ข้อ 40) แต่ไม่ยอมให้ประหารบุตรของซาอูล พวกเขา เห็นว่าเป็นการกระทำที่โง่เขลา โยนาธานไม่ใช่ซาอูลที่เป็นผู้ช่วยปลดปล่อยอิสราเอล (ข้อ 45) ท่าสมควรถึงตายเทียวหรือ ? ท่านเป็นผู้ให้ความร่วมมือกับพระเจ้า ไม่ได้ต่อ ต้านพระองค์ และด้วยเหตุนี้ ท่านไม่สมควรถูกฆ่าเพราะถูกหาว่าทำผิด แต่เป็นตรงข้าม! ผมของท่านแม้แต่เส้นเดียวจะไม่ตกถึงดิน ดังนั้น โยนาธาน ผู้ทำการร่วมกับพระเจ้า ช่วยกู้อิสราเอล ชาวอิสราเอลจึงยืนขึ้นต่อต้านซาอูล และช่วยกู้โยนาธาน ซาอูลผู้ ไม่เคยช่วยกู้ใคร ไม่ได้รับอนุญาติให้ฆ่าบุตรของตนเอง เพราะเกิดเหตุการณ์นี้ สงคราม กับฟิลิสเตียจึงยุติลงเร็วกว่าที่คิดไว้ เป็นเพราะความเขลาของซาอูล ผู้อยู่ในฐานะที่ควร เป็นผู้ "กอบกู้" อิสราเอล

ส่งท้าย "ความสำเร็จ" ของซาอูลและผู้ที่จะมาแทน
(14:46-52)

46 แล้วซาอูลก็เลิกทัพไม่ติดตามคนฟีลิสเตีย และคนฟีลิสเตีย กลับไปยังที่อยู่ของตน 47 เมื่อซาอูลได้รับตำแหน่งพระราชาเหนือ อิสราเอลนั้น พระองค์ได้ทรงต่อสู้ศัตรูทุกด้าน ต่อสู้กับโมอับ กับชน อัมโมน กับเอโดม กับบรรดาพระราชาแห่งโศบาห์ และกับคนฟีลิสเตีย ไม่ว่าพระองค์จะหันไปทางไหน พระองค์ก็ทรงกระทำให้เขาพ่ายแพ้ไป 48 พระองค์ทรงสู้รบอย่างเข้มแข็งและทรงโจมตีพวกอามาเลขและทรง ช่วยกู้คนอิสราเอลให้พ้นจากมือของบรรดาผู้ที่เข้าปล้นเขา 49 ฝ่ายบุตร ของซาอูลมี โยนาธาน อิชวี มัลคีชูวา และชื่อธิดาทั้งสองของพระองค์ คือคนหัวปีชื่อเมราบ และชื่อผู้น้องคือมีคาล 50 ชื่อมเหสีของซาอูลคือ อาหิโนอัมบุตรีของอาหิมาอัส และชื่อแม่ทัพของพระองค์ คืออับเนอร์ บุตรเนอร์ ลุงของซาอูล 51 คีชเป็นบิดาของซาอูล และเนอร์ผู้เป็นบิดา ของอับเนอร์เป็นบุตรของอาบีเอล 52 ตลอดรัชกาลของซาอูลมีสงคราม อย่างรุนแรงกับคนฟีลิสเตียอยู่เสมอ เมื่อซาอูลทรงเห็นผู้ใดเป็นคน แข็งแรงหรือเป็นคนแกล้วกล้า ก็ทรงนำมาไว้ใช้ใกล้พระองค์

พระคำบทนี้ให้ความรู้สึกที่ดีก่อนการปกครองของซาอูลในตำแหน่งกษัตริย์อิสราเอล จะจบสิ้นลง มีการพูดถึงความสำเร็จในการรบหลายครั้ง และมีการชี้ให้เห็นถึงความ ล้มเหลวอย่างชัดเจน มีการกล่าวถึงนามของผู้สืบเชื้อสาย แต่พอเข้าบทที่ 15 พูดถึง ความบาปที่นำไปสู่การสิ้นสุดการปกครองในตำแหน่งกษัตริย์ (ความบาปก่อนหน้านี้ เพียงนำไปสู่การสิ้นสุดของราชวงศ์ – การขึ้นครองราชย์ของบุตร) บทต่อๆมาเริ่มพูดถึง ดาวิด ผู้จะมาแทนที่ซาอูล ทำให้ซาอูลอิจฉาและต่อต้านทุกวิถีทาง บทสุดท้ายของ พระธรรม 1ซามูเอลพูดถึงการตายของซาอูลและบุตร แต่บทนี้เป็นบทส่งท้ายให้กับ ซาอูลและตำแหน่งกษัตริย์ของพระองค์

การรบจบสิ้นลง แตาการสงครามยังไม่ ชาวฟิลิสเตียสูญเสียมากมาย แต่ก็ไม่แพ้โดย ราบคาบ กองทัพแต่ละฝ่าย – ทั้งอิสราเอลและฟิลิสเตีย – ต่างคนต่างกลับสู่รังของตน ตลอดชีวิตของซาอูล ทั้งสองชนชาตินี้ทำสงครามกันตลอด โดยมีการพูดถึงอยู่ในข้อที่ 52:

52 ตลอดรัชกาลของซาอูลมีสงคราม อย่างรุนแรงกับคนฟีลิสเตียอยู่เสมอ เมื่อซาอูลทรงเห็นผู้ใดเป็นคนแข็งแรง หรือเป็นคนแกล้วกล้า ก็ทรงนำมาไว้ ใช้ใกล้พระองค์

ตลอดชีวิตที่เหลือของซาอูลมีแต่ความขัดแย้งไม่ลงรอยกับพวกฟิลิสเตีย จะเห็นได้จาก การที่พระองค์รวบรวม "คนแกล้วกล้า" มาไว้ใกล้พระองค์ ผลความโง่เขลาของพระองค์ ติดตามไปจนจบสิ้นชีวิต ซึ่งเราจะมาดูกันอีกครั้งในบทที่ 31 ทั้งซาอูลและโยนาธาน จบชีวิตลงโดยน้ำมือของคนฟิลิสเตีย เป็นเรื่องน่าเศร้า การรบที่โยนาธานเป็นผู้เริ่มต้น ในครั้งนี้ ไม่ได้ปราบฟิลิสเตียลงให้ราบคาบไป

ผมพูดถึงความโง่และความล้มเหลวของซาอูลไว้มาก แล้วเราจะอธิบายคำพูดในข้อ 47 และ 48 ที่พูดถึงซาอูลในแง่ดีได้อย่างไร ? มีคำตอบซ่อนอยู่สองประการ แรก เราอาจ กล่าวได้ว่า คนที่ขาดคุณธรรมหรือล้มเหลวฝ่ายวิญญาณ อาจเป็นแม่ทัพที่ดีในด้านการ สงครามก็ได้ ลองมาดูบรรดาคนที่พระเจ้าใช้มาช่วยกู้ประชากรของพระองค์ในพระธรรม ผู้วินิจฉัย เช่นแซมสันชายร่างยักษ์ที่ไม่ค่อยมีคุณธรรมสักเท่าไร แต่พระเจ้าก็ทรงใช้ ท่านให้เป็นผู้มากอบกู้อิสราเอลออกจากเงื้อมมือศัตรู ในกรณีอื่นๆพระเจ้าทรงใช้คน เช่นเดียวกันนี้มาทำให้งานของพระองค์สำเร็จไป พระเจ้าไม่ได้จำกัดที่จะใช้เฉพาะคน ดีมีคุณธรรม เพื่อให้งานและพันธสัญญาของพระองค์สำเร็จลุล่วงไปเท่านั้น ดังนั้น ชัย ชนะในสงครามสามารถเป็นไปได้โดยฝีมืออย่างคนเช่นซาอูล ไม่ว่าท่านจะเป็นคนแบบ ใดก็ตาม มีกี่คนในพวกเราที่อ้างว่าพระคุณและพระเมตตาที่พระเจ้าประทานให้นั้นเป็น เพราะความดีหรือการกระทำของเราเอง ?

ประการที่สอง สิ่งที่พระคำสองข้อนี้บันทึกไว้เป็นความจริง เป็นการสรุปผลงานชัยชนะ ของซาอูลในแง่มุมของนักประวัติศาสตร์ ซาอูลในฐานะกษัตริย์ ต่อสู้กับชนชาติศัตรู รอบด้าน สิ่งที่ท่านทำจึงเป็นการช่วยลงโทษชาติเหล่านั้น โดยเฉพาะที่เกี่ยวกับพวก อามาเลข ท่านสู้รบอย่างกล้าหาญ และกอบกู้อิสราเอลไว้จากผู้ที่เข้ามาปล้นทำลาย

ดูเหมือนการรบระหว่างอิสราเอลและฟิลิสเตียในบทที่ 13 และ 14 นั้น เป็นเรื่องเด่น ที่สุดในชีวิตและการปกครองของซาอูลในฐานะกษัตริย์อิสราเอล ซาอูลต่อสู้กับ ฟิลิสเตียจริง และอิสราเอลชนะ ถึงแม้ซาอูลจะออกรบในฐานะผู้นำ แต่ชัยชนะไม่ได้ เด็ดขาดอย่างที่คิด เพราะความโง่เขลาของซาอูลเอง และสงครามครั้งนี้ซาอูลไม่ได้เป็น ผู้ริเริ่มหรือมีความเชื่อ แต่เป็นโยนาธานต่างหาก แต่เมื่อเราอ่าน 13:4 คนอิสราเอลได้ ยินคำกล่าว ว่า "ซาอูลได้รบชนะกองทหารรักษาการของคนฟีลิสเตีย" จากมุม มองของนักประวัติศาสตร์ ชัยชนะครั้งนั้นเป็นชัยชนะของซาอูล แต่เรารู้ดีว่าเป็นเพราะ พระคุณพระเจ้า ซึ่งผ่านการกระทำของคนอย่างโยนาธาน และบ่อยครั้งเป็นเพราะความ โง่และปล่อยปละละเลยของซาอูลเอง

ถึงแม้ซาอูลและอิสราเอลจะมี "ชัยชนะเหนือ" พวกฟิลิสเตีย แต่อิสราเอลไม่เคยทำลาย หรือปราบฟิลิสเตียลงให้ราบคาบ จึงมีการสู้รบอย่างต่อเนื่องในตลอดชีวิตของซาอูล ดูเหมือนท่านพึ่งพิงเแต่เพียง "กองทัพเนื้อหนัง" ท่านจึงมองหาแต่คนเก่งกล้าเพื่อจะ มาช่วยท่านรบ เหตุการณ์จึงเหมาะสำหรับดาวิดที่จะขึ้นมาทำการปราบฟิลิสเตีย โดย เฉพาะอย่างยิ่งปราบยักษ์โกลิอัทแชมเปี้ยนของฟิลิสเตียลง

บทสรุป

ข้อแรก เป็นเรื่องเข้าใจไม่ยากว่าทำไมโยนาธานและดาวิดจึงกลายมาเป็นเพื่อน รักกัน ทั้งคู่เป็นพี่น้องในวิญญาณ โยนาธานเป็นผู้ที่มีความเชื่อและมีสายตาฝ่าย วิญญาณ ท่านกระทำการอย่างกล้าหาญ ด้วยความวางใจในพระเจ้า ในขณะที่บิดาของ ท่านรอจนสถานการณ์เกินแก้ โยนาธานน่าจะเป็นกษัตริย์ที่ดีได้ แต่เป็นเพราะท่านสืบ เชื้อสายเผ่าเบนยามิน ไม่ใช่ตระกูลยูดาห์ ; ดังนั้นลูกหลานของท่านจึงไม่ใช่ตระกูลของ พระเมสซิยาห์ แต่เมื่อโยนาธานมองเห็นว่าพระหัตถ์ของพระเจ้าอยู่หนือดาวิด ท่านเป็น หนึ่งในบรรดาคนแรกที่ยอมรับดาวิดให้เป็นกษัตริย์องค์ต่อไปของอิสราเอลด้วยความ ยินดี ไม่มีความริษยาหรือแม้แต่รั้งรอไม่แน่ใจ

ข้อสอง เหตุการณ์นี้นำไปสู่การแจ้งเกิดอย่างเต็มตัวของดาวิดในบทที่ 16 และ 17 เราได้เห็นบุคคลิกของซาอูลชัดเจนแล้ว จึงไม่น่าประหลาดใจ ท่านมีทั้งความเขลา และความอิจฉามุ่งร้ายต่อดาวิด เพราะแม้แต่โยนาธานบุตรของท่านเองท่านยังไม่ปราณี ท่่านคิดจะฆ่าโยนาธานให้ตาย ; เราจึงไม่ประหลาดใจที่ท่านคิดจะฆ่าดาวิดและคนอื่นๆ ในเมื่อซาอูลรีรอที่จะจัดการกับพวกฟิลิสเตียให้เด็ดขาดในตอนต้น ดังนั้นเมื่อยักษ์ โกลิอัทของฟิลิสเตียมาท้าทาย ท่านจึงทำเมินเฉย ในบทต่อๆไปเราจะเห็นว่าเรื่องที่ ซาอูลทำนั้นไม่น่าประหลาดอีกต่อไป เพราะเราเริ่มรู้จักท่านดีจากบทเรียนในตอนต้น ของพระธรรม 1 ซามูเอล

ข้อสาม เราจะเห็นว่ามุมมองของมนุษย์ในแง่ประวัติศาสตร์นั้นแตกต่างจากพระ เจ้าเป็นอย่างมาก มนุษย์มักประเมินคุณค่าของคนอย่างผิดๆ การ "ประเมินคุณค่า ของมนุษย์" ที่พระเจ้าทำนั้น พระองค์ทรงตัดสินมนุษย์ด้วยการมองลึกเข้าไปในจิตใจ นักประวัติศาสตร์ชาวโลกอาจตัดสินว่าซาอูลประสพความสำเร็จ แต่ในทางพระคัมภีร์ และด้านจิตวิญญาณแล้ว ท่านเป็นผู้ที่ประสพความล้มเหลวอย่างน่าเศร้า ความสำเร็จ ในทางโลก ไม่ได้หมายความว่าพระเจ้าทรงพอพระทัยและอวยพระพร ผู้เขียนพระธรรม 1 ซามูเอล ต้องการให้เราเห็นว่าซาอูลเป็นผู้ที่ถูกพระเจ้าปฏิเสธ เป็นเรื่องน่าเศร้าเมื่อ ได้รับการยกย่องจากมนุษย์ แต่ถูกพระเจ้ารังเกียจ จะดีสักเพียงใหน ถ้าโลกนี้ชิงชังเรา แต่ได้รับการยอมรับจากพระเจ้า (ดู 1 เปโตร 4)

ข้อสี่ จากพระธรรมตอนนี้เราจะเห็นว่า คริสเตียนเองสามารถทำบางสิ่งที่เป็นการ ขัดขวางความสำเร็จในงานของพระเจ้าได้ แต่ที่สุดแล้ว มนุษย์ไม่สามารถทำลาย พระประสงค์หรือสิ่งที่พระเจ้าทรงสัญญาไว้ได้ พระองค์ทรงใช้ความเชื่อและการเชื่อฟัง ของมนุษย์มาทำให้แผนงานของพระองค์สำเร็จ แต่พระองค์ไม่ได้จำกัดอยู่เพียงเท่านี้ พระองค์ทรงมีฤทธิอำนาจที่จะใช้ ผู้ที่ไม่มีความเชื่อและไม่เชื่อฟัง มาทำพระประสงค์ ของพระองค์ให้สำเร็จลงไปได้ด้วย (ดูปฐมกาล 50:20; สดุดี 76:10) พระองค์ยังสา มารถใช้พวกมารทำการให้สำเร็จลงได้ (ดู 2 โครินธ์ 12:5-10) เมื่อรู้ว่าพระเจ้าทรง มีพระราชฺอำนาจเหนือทุกสิ่ง เราอาจกล่าวได้ว่าบางครั้งพระเจ้าอนุญาติให้เรากระทำ (หรือไม่กระทำ) เพื่อขัดขวางบางสิ่งบางอย่าง (ดู 2พงศ์กษัตริย์ 13:14-19) พระเจ้า ทรงมีอำนาจในประวัติศาสตร์ และทรงควบคุมทุกสิ่ง พระเจ้าทรงบัญญัติให้การกระทำ ทุกแบบมีผลต่อเนื่อง การไม่เชื่อฟังและปราศจากความเชื่อของมนุษย์อาจทำให้ผลออก มาไม่ดีเท่าที่ควรเป็น เราทำในแบบที่พระเจ้าต้องการหรือเปล่า ? ซาอูลแสดงให้เห็น ถึงความเขลาของท่านในบทที่ 14 จึงเป็นผลทำให้ไม่สามารถมีชัยเหนือฟิลิสเตียได้เด็ด ขาด

ข้อห้า การปกครองของซาอูลก่อความทุกข์ให้กับอิสราเอล และยังเป็นสิ่งที่ทำ ให้ท่านต้องสิ้นชีพด้วย ในบทที่ 14 เรารู้ว่าความเขลาของซาอูลทำให้อิสราเอล หมดโอกาสที่จะปราบฟิลิสเตียลงให้ราบคาบ ผลที่ตามมาก็คือ ช่วงชีวิตที่เหลือของ ซาอูล ทั้งตัวท่านและประเทศชาติถูกพวกฟิลิสเตียรุกรานจนขาดความสุข (ข้อ 52) เมื่อพวกฟิลิสเตียยกมาตีอีกในบทที่ 17 ปูทางให้ดาวิดขึ้นมาเป็นคนสำคัญของอิสราเอล และเวลาของซาอูลก็ไกล้จะหมดลง ส่วนในบทที่ 13 เมื่อฟิลิสเตียมาโจมตีอีกครั้ง มี ผลทำให้ซาอูลและโยนาธานตาย เมื่อเราอ่านบทเพลงโซโลมอน ประโยคที่ว่า "คือสุนัขจิ้งจอกตัวเล็ก ที่ทำลายสวนองุ่น " (2:15) ทำให้เราเห็นชัดว่าเพียง แค่ความเขลาเท่านั้น มีผลร้ายแรงเกิดขึ้นกับกษัตริย์และทั้งประเทศอิสราเอล

ข้อสุดท้าย เราเห็นแบบอย่างของผู้ปฏิบัติตามกฎอย่างเคร่งครัด การมีใจ ร้อนรนที่จะทำตามคำสั่งของพระเจ้า ไม่ใช่เป็นพวกเคร่งตามกฎ แต่เป็นการมีสามัคคี ธรรม หลายครั้งผมได้ยินว่าการเทศนาเรื่องธรรมบัญญัติของพระเจ้า (ทั้งพระคัมภีร์เก่า และใหม่) เป็นเรื่อง "เคร่ง" ศาสนาจนเกินไป อาจมีบางคนทำตามคำสั่งของพระเจ้า อย่างเคร่งครัด แต่การมีใจร้อนรนแสวงหาที่จะทำตามน้ำพระทัยไม่ใช่เป็นการทำเพราะ เคร่งศาสนา สดุดี 119 เป็นตัวอย่างที่ดีสำหรับผู้ที่มีใจร้อนรนแสวงหาอยากทำตามน้ำ พระทัย การมีใจรักในพระบัญญัติของพระเจ้าไมใช่เป็นการเคร่งศาสนาแต่อย่างใด

พวกเคร่งศาสนามักไม่พอใจนักกับพระบัญญัติของพระเจ้า พวกเคร่งเหล่านี้คิดว่าคำ สั่งต่างๆในพระบัญญัตินั้นยังไม่เพียงพอ พวกเขาต้องการแก้ "ปัญหา" ด้วยการเพิ่ม เติมกฏระเบียบเข้าไป และกฏที่เพิ่มเติมเข้าไปนั้นพวกเขาก็ยึดถือปฏิิบัติตามอย่าง เคร่งครัดเท่ากับพระบัญญัติของพระเจ้า (บางครั้งมากกว่าด้วยซ้ำไป) และถ้าผู้ใดไม่ สามารถทำตามกฏระเบียบเหล่านี้ได้ครบถ้วน ก็จะถูกพวกเคร่งเหล่านี้ลงโทษเอาอย่าง รุนแรง

ผมขอลองยกตัวอย่างเรื่องเคร่งจนเกินไปนี้จากในพระคัมภีร์ใหม่ ธรรมบัญญัติของ โมเสสสั่งให้มีการถือรักษาวันสะบาโต ความหมายก็คือวันสะบาโตมีไว้สำหรับให้ มนุษย์พักผ่อน แต่ไม่ไ้ด้หมายความว่าสาวกพระเยซูทำบาปเพราะไปดึงรวงข้าวสองสาม รวงมารับประทานในวันนั้น ไม่ได้หมายความว่าการที่พระเยซูรักษาคนป่วยในวันนั้น เป็นการทำบาป พวกธรรมาจารย์และฟาริสีไม่สามารถกล่าวโทษได้ว่าพระเยซูทำผิด พระบัญญัติของพระเจ้า ; พวกเขากล่าวหาได้แต่เพียงว่าพระองค์กำลังฝ่าฝืนธรรม บัญญัิติในพระคัมภีร์เดิม ตามที่พวกเขาตีความหมายและนำมาใช้เอาเอง พวกเขาแก้ใข พระบัญญัติให้สอดคล้องกับประเพณีของตนเอง การที่คิดจะ "ปรับปรุง" พระบัญญัติของ พระเจ้าโดยการเพิ่มเข้าไป ก็คือการยกตนเองให้เหนือกว่าบัญญัตินั้นในฐานะผู้พิพากษา

11 พี่น้องทั้งหลายอย่าใส่ร้ายซึ่งกันและกัน ผู้ใดที่พูดใส่ร้าย พี่น้องหรือตัดสินพี่น้องของตน ผู้นั้นก็กล่าวร้ายต่อธรรมบัญญัติ และตัดสินธรรมบัญญัติ แต่ถ้าท่านตัดสินธรรมบัญญัติ ท่านก็ไม่ ใช่ผู้ที่ประพฤติตามธรรมบัญญัติ แต่เป็นผู้ตัดสิน 12 มีผู้ทรงตั้ง ธรรมบัญญัติและผู้ทรงพิพากษาตัดสินแต่เพียงองค์เดียวคือพระ องค์ผู้ทรงสามารถช่วยเราให้รอดได้ และทรงสามารถทำลายเรา ได้ แต่ท่านเป็นผู้ใดเล่า ท่านจึงตัดสินเพื่อนบ้านของท่าน?
(ยากอบ 4:11-12)

ตามพระคำในยากอบที่ผมเข้าใจ ใครก็ตามที่ "ตัดสิน" พี่น้องอย่างผิดๆ มักยึดเอาตาม กฏเกณฑ์ที่เคร่งครัดของตนเองเป็นมาตรฐาน แต่ไม่ใช่ยึดตามพระวจนะคำ ยากอบ กล่าวว่า ผู้ใดที่ตัดสินผู้อื่นตามมาตรฐานของตนเอง ก็เท่ากับกล่าวหาว่าพระบัญญัติ ของพระเจ้านั้นยังไม่ดีพอ

กษัตริย์ซาอูลเป็นพวกเคร่งตามกฏ ในฐานะกษัตริย์ของอิสราเอล ท่านน่าจะคุ้นเคยกับ ธรรมบัญญัติเป็นอย่างดี ท่านต้องเป็นผู้ปฏิบัติด้วยความเชื่อฟัง เป็นแบบอย่างที่ดีและ เป็นผู้นำให้ประชาชนทำตาม (ดูเฉลยธรรมบัญญัติ 17:18-20) แต่ดูเหมือนซาอูลไม่รู้ ตัวว่ากำลังทำผิดธรรมบัญญัติ จนกระทั่งมีคนชี้ให้ท่านเห็น (ดู 1ซามูเอล 14:33) ซาอูล ละเลยคำสั่งของพระเจ้าอย่างง่ายดาย แต่ท่านพร้อมที่จะ – เรียกว่ากระหาย – ที่จะประ หารบุตรของตนเองเมื่อไม่ทำตามคำสั่งที่โง่เขลาของท่าน เช่นเดียวกับพวกเคร่งทั่วไป ซาอูลเห็นว่าง่ายที่จะกรองเอาลูกน้ำออก แต่กลับกลืนอูฐเข้าไปทั้งตัว (ดูมัทธิว 23:23 -24) ซาอูลแสดงความขุ่นเคืองเมื่อผู้อื่นทำผิดกฏของท่าน แต่ท่านกับมองข้ามความผิด ของตนเองที่ทำต่อพระเจ้าไปได้อย่างเฉยเมย

ตรงข้ามกับสิ่งที่พวกเคร่งยึดถือ การเคร่งตามกฏไม่ช่วยขัดขวางไม่ให้คนทำบาป ; แต่กลับเป็นตัวเร่งให้ทำบาป กฏข้อบังคับต่างๆที่พวกเคร่งสร้างให้เป็นภาระกับตนเอง และผู้อื่น ไม่ได้ช่วยยับยั้งการปล่อยตัวไปตามเนื้อหนัง (โคโลสี 2:20-23) บางพวกใน สมัยพระคัมภีร์ใหม่สั่งห้ามไม่ให้มีการสมรส หรือกินอาหารบางอย่าง (1 ทิโมธี 4:3) แต่ คนเหล่านี้คือจอมโกหกหลอกลวงที่พยายามชักจูงคนของพระเจ้าให้ห่างไปจากความ จริง อ.เปาโลเป็นโสด แต่ท่านสั่งให้สามีและภรรยาควรอยู่ร่วมกัน ยกเว้นถ้ามีความจำ เป็นบางประการ แต่อย่าเว้นระยะให้นานจนเกินควร พวกเคร่งเป็นตัวการให้มนุษย์ล้มลง ในความบาป ความเคร่งของซาอูลเป็นเหตุให้คนอิสราเอลทำบาปด้วยการกินเนื้อพร้อม เลือด ให้เราระวังการเคร่งจนเกินควร ซึ่งมักจะมาในรูปแบบเคร่งครัดในพระศาสนา

ขอแทรกอีกนิด เราไม่ควรมองข้ามข้อแตกต่างระหว่างซาอูลและโยนาธานในพระคำ ตอนนี้ โยนาธานเป็นในแบบที่ซาอูลเป็นไม่ได้ อย่าลืมว่าโยนาธานนั้นเป็นบุตรของ ซาอูล แต่โยนาธานไม่ได้ดีเพราะ "การอบรมสั่งสอน" ของบิดา โยนาธานดำเนินในทาง พระเจ้าไม่ใช่เพราะซาอูล ดังนั้นบรรดาผู้ปกครองทั้งหลาย อย่าคิดว่าบุตรได้ดีเพราะ การอบรมของตนเอง และให้จำไว้ว่ามีพ่อแม่หลายคู่ที่ดำเนินกับพระเจ้า แต่มีบุตรที่ไม่ ยอมทำตาม ผมว่า แซมสันและพ่อแม่น่าจะเป็นตัวอย่างที่ดีในเรื่องนี้ (ดูผู้วินิจฉัย 13:1-23 โดยเฉพาะข้อ 8)

มาถึงตอนนี้ ผมมองดูว่าซาอูลเป็นคนค่อนข้างแปลก เป็นกรณีพิเศษ ความบาปของ ท่านเห็นได้ชัด และรับรู้กันทั่ว และทำบาปที่ดูจะประหลาดกว่าพวกเรา แต่เมื่อนำมาพิ จารณาให้ดีจะเห็นว่า ที่สุดแล้ว การทดลองและความล้มเหลวของท่านก็เป็นสิ่งที่ "เกิดขึ้นได้กับมนุษย์ทุกคน" (ดู 1 โครินธ์ 10:13; ยากอบ 5:17) ความล้มเหลว ของท่านไม่ได้ถูกบันทึกไว้ให้เราเกลียดชังท่าน ผมคิดว่าบันทึกไว้เพื่อเป็นสิ่งเตือนใจ เรา เพื่อเราจะไม่หลงไปทำผิดในแบบเดียวกัน ผมคิดว่าชีวิตของผมสะท้อนภาพของ โยนาธานมากกว่าบิดา แต่นี่ไม่ใช่เรื่องสำคัญ ขอให้เรารับฟังและเรียนรู้จากสองพ่อลูกนี้ ซาอูลและโยนาธาน และให้เราพยายามเต็มกำลังที่จะปรนนิบัติพระเจ้าด้วยความสัตย์ ซื่อ และทำตามคำสั่งของพระองค์ เพื่อเราจะไม่เป็นตัวอย่างที่โง่เขลาสำหรับลูกหลาน ในยุคสมัยต่อๆไป


48 จากบทความเรื่องแผ่นดินไหวในซานฟรานซิสโกของ "Mark Twain and the October 8, 1865, San Francisco Earthquake" http://quake.crustal.ucsb.edu.

49 ในฉบับแปลของYoung's Literal Translation ตีความข้อ 15 ไว้ดังนี้ : "มีการสั่นสะเทือน เกิดขึ้นในค่าย ในท้องทุ่ง และในท่ามกลางผู้คน สั่นสะเทือนไปทั้งที่กองกำลังและกองปล้น โลกกำลังสั่นไหว และเป็นการเขย่าขององค์พระผู้เป็นพระเจ้า" ฉนับ The NASB แปลความ หมายแยกไว้ต่างหาก แต่ฉบับ NIV บันทึกเรื่องนี้ไว้ในการแปลด้วย : "มีความสับสนอลหม่าน เกิดขึ้นในกองทัพ – ทั้งที่ตั้งค่ายอยู่ และที่อยู่ในท้องทุ่ง รวมทั้งกองกำลังในที่อื่น และกองปล้น ด้วย – พื้นแผ่นดินสั่นสะเทือน พระเจ้าทรงส่งความพิบัติลงมา"

50 จากหนังสือ "The 1857 Fort Tejon Earthquake: Effects in Santa Barbara. From the Santa Barbara Gazette, ฉบับ 15 มกราคม 1857. และในอินเทอร์เนท: http://www.crustal.ucsb.edu.

51 คุณยีน ฮันท์ ตำรวจทางหลวงคาลิฟอร์เนีย พูดถึงประสพการณ์นี้ในหนังสือ Santa Barbara News-Press ฉบับ 14 สิงหาคม 1978 และหนังสือ The Santa Barbara Earthquake: Pollock or Pocasso? และในอินเทอร์เนท: http://quake.crustal.ucsb.edu.

52 จากคำบอกเล่าของนักกอล์ฟผู้ไม่ออกนามที่สนามกอล์ฟ La Cumbre Golf Course, ตีพิมพ์ ใน Santa Barbara News-Press, 30 มิถุนายน 1925. ในอินเทอร์เนท: http://www.crustal.ucsb.edu.

53 คุณ ดับบลิว เฮช เคิร์กไบรด์ ผู้รับเหมาก่อสร้างที่ทางรถไฟสาย Southern Pacific Railroad, เล่าอยู่ใน the Bulletin of the Seismological Society of America, v. 17, 1927: อินเทอร์เนท : http://www.crustal.ucsb.edu.

54 ผมรู้สึกเป็นหนี้บุญคุณ Dale Ralph Davis เป็นอย่างมากสำหรับข้อสังเกตุว่า : "ผู้เขียนรู้สึก จะประชดในการใช้คำ เพราะในข้อ 24 เขาใช้คำว่า ต้องทุกข์ยาก ซึ่งเป็นคำเดียวกับที่ใช้ใน 13:6 (ตกอยู่ในที่คับแค้น) ชาวอิสราเอลต้อง "ทุกข์ยากคับแค้น" เพราะถูกบีบบังคับโดยกำลัง พลอันมหาศาลของพวกฟิลิสเตีย ; ถึงแม้ตอนนี้ฟิลิสเตียพ่ายแพ้ไปแล้ว แต่คนอิสราเอลก็ยัง ทุกข์ยาก อยู่ เพราะซาอูล ! ซาอูลมีความสามารถพิเศษในการเปลี่ยนความรอดให้เป็นความทุกข์ ยากคับแค้นใจ" โดย Dale Ralph Davi ในหนังสือ Looking on the Heart: Expositions of the Book of 1 Samuel, (Grand Rapids: Baker Books, 1994), vol. 1, p. 140.

Related Topics: Introductions, Arguments, Outlines

Report Inappropriate Ad