MENU

Where the world comes to study the Bible

บทที่ 1: บุตรชาย และ บทเพลงของนางฮันนาห์ (1 ซามูเอล 1:1—2:10)

ในการแข่งขันกีฬาโอลิปิกที่เมืองแอตแลนต้า มลรัฐจอร์เจีย สาวน้อย เคอร์รี่ สตรัค มีชื่อเสียงโด่งดัง ไปทั่วโลก เธอเป็นผู้นำชัยชนะได้เหรียญทองมาสู่ทีมยิมนาสติคหญิงของอเมริกา เพียงแต่เธอใช้ความ พยายามเขย่งตัวให้สูงขึ้น ทั้งทีมจะได้ครองเหรียญทอง หรือไม่ก็หมดหวังไปเลย รอบแรกเธอทำได้ไม่ ดีนัก มีผลทำให้ข้อเท้าแพลง เหลือเพียงรอบสองที่เธอต้องทำให้ดีที่สุดเพื่อคว้าเหรียญทองให้ได้ ในขณะที่เคอร์รี่เดินกะเผลกไปที่จุดเริ่มต้นอีกครั้ง ทั่วโลกกำลังสงสัยว่าเธอจะยอมเสี่ยงหรือเปล่า ถ้า ยอม จะคุ้มค่ากับข้อเท้าที่บาดเจ็บหรือไม่ ? เรารู้ดีว่าเธอสู้ และทำได้อย่างดียอดเยี่ยมทั้งๆที่ข้อเท้ายัง เจ็บอยู่ ผลก็คือทั้งทีมได้ครองเหรียญทอง และผลที่ตามมามากไปกว่านั้นคือรูปของเธอปรากฎอยู่บนหน้า หนึ่งของหนังสือพิมพ์ทุกฉบับทั่วโลก เธอกลายเป็นวีรสตรีในพริบตา ไม่ใช่เป็นเพราะการเขย่งตัวเท่านั้น ที่นำเหรียญทองมาให้ แต่เป็นเพราะเธอต้องแสดงในสถาณะการณ์ที่ยากลำบากยิ่ง ถ้าไม่ใช่เป็นเพราะ ข้อเท้าแพลงในรอบแรก การแสดงในรอบต่อไปก็คงไม่น่าจดจำ เพราะเหตุความกล้าหาญุและความ ความสามารถของเคอร์รี่ สตรัค ในสถาณการณ์อันยากลำบากนี้เองจึงทำให้ผู้คนจดจำเธอไปได้อีกนาน

เรื่องราวของนางฮันนาห์ก็ใกล้เคียงกับเรื่องของ เคอร์รี่ สตรัค นางฮันนาห์เป็นสตรีที่น่ายกย่อง เธอเป็น มารดาของซามูเอล ผู้เผยพระวจนะที่โดดเด่นของอิสราเอลท่านหนึ่ง ถ้าไม่ใช่เป็นเพราะความทุกข์ยาก เจ็บปวดในชีวิตของนาง การให้กำเนิดลูกชายของนางก็จะถูกลืมเลือนไป แต่เป็นเพราะปีแล้วปีเล่าจาก การทนทุกข์์อาบไปด้วยน้ำตา เหตุการณ์การกำเนิดของซามูเอลจึงถูกจดจำได้ และยังเป็นที่มาของบท เพลงแห่งการสรรเสริญของนาง ที่ถูกนำมาใช้ปลอบประโลมให้กำลังใจบรรดาธรรมิกชนรุ่นหลังๆมาอีก หลายศตวรรษ นางมารีย์ มารดาของพระเยซูเองยังคำนึงถึงบทเพลงนี้ในคำสรรเสริญของนางในพระ กิตติคุณ ลูกา 1:46-55 ให้เรามาดูการกำเนิดของบุตรชายและบทเพลงของนางฮันนาห์กัน เพราะมี หลายแบบอย่างที่เราสามารถนำมาใช้กับชีวิตของเราในปัจจุบันนี้ได้

เบื้องหลัง

ในพระคัมภีร์ฉบับที่เราใช้กันอยู่ พระธรรม1ซามูเอลจะอยู่ต่อจากนางรูธ แต่ในต้นฉบับภาษาฮีบรู 1ซามูเอล จะอยู่ต่อจากผู้วินิจฉัย และประโยคสุดท้ายในต้นฉบับของภาษาฮีบรู ก่อนเข้าเรื่องใน 1ซามูเอลกล่าวว่า

25ในสมัยนั้นไม่มีกษัตริย์ในอิสราเอล ต่างก็กระทำตามที่ตนเองเห็นชอบ (ผู้วินิจฉัย 21:25)

"ในสมัยนั้น" การรวมตัวเพื่อความเป็นหนึ่งเดียวกันของชาวอิสราเอลยังอยู่ห่างไกล หนังสือผู้วินิจฉัย พูดถึงคืนวันที่ชาวอิสราเอลสับสนและขาดสันติสุขเพราะถูกรุกรานจากบรรดาศัตรูรอบด้าน และพระเจ้าก็ จะทรงส่งผู้วินิจฉัยมาช่วยกอบกู้ แต่อิสรภาพของพวกเขามีอายุยืนยาวเท่ากับชีวิตของผู้วินิจฉัยเท่านั้น และผู้วินิจฉัยเองก็ไม่ได้เป็นแบบอย่างที่ดีเด่นอะไรนักหนา อย่างเช่น แซมสัน เป็นชายที่เกือบทั้งชีวิต ตกอยู่ภายใต้กิเลศของเนื้อหนังมากกว่าจะเป็นผู้ที่มีพระวิญญาณนำ ผู้เขียนหนังสือผู้วินิจฉัยพยายาม เชื่อมโยงความตกต่ำในจิตวิญญาณ และความยุ่งเหยิงภายในประเทศอิสราเอลให้เข้ากับการที่ขาด กษัตริย์เป็นผู้นำ ส่วน 1 ซามูเอลพูดถึงขั้นตอนที่พระเจ้าจัดเตรียมกษัตริย์ไว้ให้ประชากรของพระองค์ เช่นเดียวกับนางเอลีซาเบธในพระคัมภีร์ใหม่ นางฮันนาห์เป็นมารดาของผู้เผยพระวจนะผู้ซึ่งจะมาทำ หน้าที่จัดตั้งกษัตริย์ตามที่พระเจ้าได้เลือกไว้ ซาอูลได้รับการเจิมตั้งขึ้นเป็นกษัตริย์องค์แรกของชาว อิสราเอล และหลังจากที่ท่านถูกพระเจ้าตัดขาดออกไป ดาวิดจึงได้รับการเจิมตั้งให้เป็นผู้นำของ อาณาจักรอันเป็นนิรันดร์ของพระองค์แทน ในท่ามกลางจิตวิญญาณที่เปราะบาง นางฮันนาห์และสามี เอลคานาห์ ยืนเคียงบ่าเคียงไหล่ไปด้วยกัน ให้เรามาฟังเรื่องราวและบทเพลงสรรเสริญซึ่งเป็นจุดเด่น ของพระธรรมตอนนี้ด้วยกัน

เรื่องเก่าเล่าใหม่

เอลคานาห์เกิดในตระกูลเลวีผู้รับใช้ของพระเจ้า ตั้งหลักแหล่งอยู่ที่บริเวณเทือกเขาเอฟราอิม เหตุนี้ท่าน จึงถูกเรียกว่าเป็นชาวเอฟราอิมถึงแม้จะอยู่ในตระกูลเลวีก็ตาม (ดู 1 พงศาวดาร 6:33-38) เอลคานาห์ มีภรรยาสองคน นางฮันนาห์และนางเปนินนาห์ เปนินนาห์มีบุตรให้เอลคานาห์หลายคน แต่ฮันนาห์หามี ไม่ (1:2) เพราะพระเจ้าทรงปิดครรภ์ของนางเสีย (1:6)

ทุกปี เอลคานาห์ เปนินนาห์์ ลูกๆของนาง และฮันนาห์ผู้เป็นหมันจะเดินทางไปยังเมืองชิโลห์ ซึ่งอยู่ห่าง ไปทางเหนือของกรุงเยรูซาเล็มประมาณ 20 ไมลส์ เป็นที่ตั้งพลับพลาที่ประทับของพระเจ้า พวกเขาไป เพื่อร่วมฉลองหนึ่งในเทศกาลประจำปีทั้งสามของชาวยิว (1:3; ดูอพยพ 23:14-17; ฉธบ. 16:16) เวลาเช่นนี้ควรเป็นเวลาแห่งความชื่นชมยินดีและสนุกสนาน ห้ามไม่ให้มีความทุกข์โศกใดๆทั้งสิ้น

"ส่วนทศางค์ของพืชหรือเหล้าองุ่นหรือน้ำมัน หรือลูกคอกรุ่นแรกจาก ฝูงวัวหรือฝูงแพะแกะ หรือของถวายแก้บนตามที่ท่านบนไว้ หรือของ ถวายตามใจสมัคร หรือของที่ท่านนำมายื่นถวาย ท่านทั้งหลายอย่า รับประทานในเมืองของท่าน 18 แต่ว่าท่านจงรับประทานของเหล่านี้ ต่อพระพักตร์พระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่าน ในสถานที่ซึ่งพระเยโฮวาห์ พระเจ้าของท่านทรงเลือกไว้ ทั้งตัวท่านและบุตรชายหญิงของท่าน ทาส ชายหญิงของท่านและคนเลวีผู้อยู่ในเมืองของท่าน และท่านจงปิติร่าเริง ต่อพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่าน ในบรรดากิจการซึ่งท่านได้กระทำนั้น "
(เฉลยธรรมบัญญัติ 12:17-18,).

สำหรับฮันนาห์และอาจสำหรับเอลคานาห์ด้วย การทำตัวให้ชื่นชมยินดีต่อเบื้องพระพักตร์นับเป็นเรื่องที่ ยากยิ่ง แรกเลย เป็นเพราะบุตรทั้งสองของเอลี โฮฟนีและฟีเนหัสผู้ทำหน้าที่เป็นปุโรหิต (1:3) สำหรับ ผู้ชอบธรรมแล้ว ปุโรหิตทั้งสองนี้เหมือนสร้างหมอกดำทะมึนขึ้นมาปกคลุมอยู่เหนือการนมัสการ (ดู 2:12-17, 22-25) แต่เรื่องทุกข์สุดของนางฮันนาห์เมื่อต้องเดินเท้าไปยังเมืองชิโลห์ก็คือ ถูกนางเปนินนาห์ถือ โอกาสเยาะเย้ยถากถางปีแล้วปีเล่าโดยไม่ยอมวางมือ (ดู 1:4-7) ทำให้นางฮันนาห์ต้องฝืนทนน้ำตาตก ใน จนแทบหมดกำลังมากินเลี้ยงร่วมฉลองได้ (1:7).

ไม่ได้เป็นเพราะเอลคานาห์สามีของนางไม่เอาใจใส่หรือรับรู้ทุกข์สุขของนาง เอลคานาห์แสดงออกถึง ความรักที่มีต่อนางด้วยการแบ่งส่วนเนื้อจากการถวายบูชาให้นางถึงสองส่วน (1:5) ท่านแสดงออกอย่าง จริงใจที่จะพยายามชดเชยความรู้สึกของนางที่ไม่มีบุตร และเพื่อย้ำว่าท่านจะอยู่เคียงข้าง เพราะนางนั้น มีความหมายต่อท่านเป็นอย่างมาก (1:8) ถึงกระนั้น ฮันนาห์ก็ยังหวั่นใจทุกครั้งที่ต้องเดินทางไปชิโลห์ เพื่อร่วมในงานฉลอง เพราะเป็นเวลาที่นางต้องทนเดินทางร่วมไปกับเปนินนาห์ผู้ประสงค์ร้ายต่อนาง

เราคงนึกภาพเหตุการณ์นี้ได้ไม่ยาก ในระหว่างปี ฮันนาห์และเปนินนาห์คงอาศัยอยู่กันคนละเต้นท์ ห่างไกลกันพอสมควร และไม่ได้กินอาหารด้วยกัน แต่พอถึงเวลาต้องไปชิโลห์ ทั้งครอบครัวคงต้อง เดินทางและกินดื่มอยู่ด้วยกันตลอด เมื่อถึงเวลากินเนื้อจากการถวายบูชา บรรดาภรรยาก็จะได้ส่วน แบ่งกันคนละส่วน ถึงแม้ฮันนาห์จะได้สองส่วน แต่ส่วนที่เปนินนาห์ได้รับก็เพียงพอสำหรับนางและลูกๆ ผมพอนึกออกว่า นางเปนินนาห์คงต้องพูดจาถากถางฮันนาห์ว่าอย่างไร "โอ เอลคานาห์สามีที่รัก เนื้อที่ ท่านให้ดิฉันและลูกๆนี่ชิ้นใหญ่จริงๆ! แต่น่าสงสารจังที่ฮันนาห์ได้แต่เพียงเศษเล็กเศษน้อย"

การเดินทางไปชิโลห์ครั้งนี้ก็เช่นกัน นางฮันนาห์แทบกินอะไรไม่ลง แต่เธอก็ฝืนทนต่อคำพูด และการ กระทำที่ร้ายๆของเปนินนาห์ เมื่อการรับประทานเสร็จสิ้นลง นางรีบออกไปจากที่นั่นทันที และตรงไปยัง พลับพลาขององค์พระผู้เป็นเจ้า นางไปเพื่อเทใจและวิญญาณของนางออกให้กับพระเจ้า ภายนอกดู เหมือนนางจะอธิษฐานอยู่เงียบๆ เพราะเอลีปุโรหิตนั่งเฝ้าดูอยู่ที่ตรงประตูอย่างสนใจ เอลีคงเห็นว่า ไหล่ของนางสั่นเทาไปด้วยแรงสะอื้นเมื่อนางคร่ำครวญอย่างขมขื่นกับพระองค์ (1:10) ถึงแม้ไม่ได้ยิน เป็นคำพูด เอลีก็ด่วนสรุปเองอย่างผิดๆว่านางคงกินดื่มมากจนเมามายขาดสติ ปุโรหิตท่านนี้จึงออกปาก ตำหนินาง และสั่งสอนไม่ให้นางกินเหล้าอีก (1:13-14).

ฮันนาห์ต้องรีบชี้แจงกับเอลีว่านางไม่ได้เมา แต่กำลังระบายความทุกข์ใจต่อองค์พระผู้เป็นเจ้า (1:15) นางขอร้องไม่ให้เอลีอต่อว่านางว่าเป็นหญิงเลว (1:16) ที่จริงคำว่า "เลว" ที่นางฮันนาห์ใช้นั้นมีความ หมายเดียวกับคำที่ผู้เขียนใช้พูดถึงบุตรทั้งสองของเอลีในบทที่ 2 (ข้อ 12) นางกล่าวต่อไปว่าที่พูดตลอด มานั้นพูดด้วยจิตวิญญาณที่ทุรนทุราย

พวกเรา หรือเอลีด้วย รู้ดีว่าในคำค่ำครวญของฮันนาห์ต่อพระเจ้านั้นมีคำสัญญาอยู่ด้วย นางสัญญา ว่าถ้าพระเจ้าประทานบุตรชายให้นาง นางจะมอบเขากลับคืนให้พระองค์เพื่อเป็นนาศีร์ (1:11; ดูกันดาร วิถี 6:1-21; ผู้วินิจฉัย 13:2-7) เอลีให้ความมั่นใจว่าพระเจ้าจะทรงอวยพระพร และ โปรดให้ตามที่นาง ทูลขอ (1:17) จากนั้นเป็นต้นมานางจึงสามารถเข้าร่วมฉลองนมัสการ และ กินได้ด้วยใบหน้าและ จิต ใจที่ชื่นชมยินดี

เช้าวันรุ่งขึ้น ทุกคนนมัสการพระเจ้าก่อนเดินทางกลับไปยังรามาห์ หลังจากนั้นไม่นาน ฮันนาห์ ก็ตั้งครรภ์และมีบุตรตามที่ได้ทรงสัญญาไว้ ฮันนาห์ตั้งชื่อลูกชายว่า ซามูเอล นักวิชาการบางคน พยายามตีความหรือที่มาของชื่อนี้ ในพระคัมภีร์พูดถึงความหมายไว้อย่างชัดเจน เพราะฮันนาห์ ทราบดีว่าเด็กคนนี้เธอทูลขอมาจากพระเจ้า และพระองค์ทรงโปรดประทานให้ (1:20). ชื่อซามูเอล จึงเป็นสิ่งที่คอยย้ำเตือนของที่มาและอนาคตของเด็กคนนี้

ขณะที่เด็กน้อยยังไม่หย่านม ก็ถึงเวลาประจำปีที่ต้องเดินทางไปชิโลห์อีกครั้ง เอลคานาห์และครอบครัว เดินทางไปด้วยกัน แต่ฮันนาห์ไม่ได้ไปด้วย ไม่ใช่ว่านางจะหลีกเลี่ยงไม่ทำตามสัญญา (ดู 1:21-23) แต่ตรงกันข้าม ! จากที่นางตอบสามี ผมอาจสรุปได้ว่าเป็นเพราะนางไม่ต้องการ นำบุตรที่ยังไม่หย่านม ดีไปด้วย และต้องนำกลับมาอีก เพราะเด็กยังเล็กเกินกว่าที่จะทิ้งไว้่ที่ชิโลห์ นางตั้งใจจะอยู่บ้านเพื่อ ให้เด็กน้อยโตขึ้นและหย่านมทันในปีนั้น และนางจะสามารถพาลูกเดิน ทางไปและให้อยู่ที่ชิโลห์ได้เลย ในปีหน้า ฮันนาห์ไม่อยากที่จะไปชีโลห์และนำลูกกลับมาอีก เพราะกลัวว่านางอาจใจอ่อนและไม่สามารถ รักษาสัญญาได้

เมื่อลูกหย่านม ถึงเวลาที่ฮันนาห์ต้องนำซามูเอลไปชิโลห์ด้วยและทิ้งให้อยู่กับเอลี เด็กยังเล็ก นักแต่ก็ โตพอที่คนอื่นจะเลี้ยงดูได้ (ดู 1:24) นางนำวัวผู้สามตัวไปมอบให้กับเอลี และเตือนให้ ท่านระลึกถึง หญิงที่เคยยืนอธิษฐานอย่างทุรนทุรายเพื่อขอบุตรจากพระเจ้า และเอลีเองที่เป็นผู้ กล่าวว่าพระเจ้าจะ ประทานให้ตามที่ขอ นางบอกกับเอลีว่าต้องการรักษาสัญญาโดยการมอบคืน เด็กนี้ให้กับองค์พระผู้เป็น เจ้า และเด็กนี้ต้องอยู่ในความดูแลของเอลีเมื่อนางเดินทางกลับไป ก่อนกลับ นางได้ร้องบทเพลงสรร เสริญพระเจ้า เป็นบทเพลงที่นางต้องจดจำไปอีกนานแสนนาน .

บทเพลงของนางฮันนาห์
(2:1-10)

1 นางฮันนาห์ได้อธิษฐานและกล่าวว่า "จิตใจของ ข้าพเจ้าชื่นชมในพระเจ้า ในพระเจ้ากำลังของข้าพ เจ้าก็เข้มแข็ง ปากของข้าพเจ้าก็อ้ากว้างเข้าใส่ศัตรู ของข้าพเจ้า เพราะข้าพเจ้าเปรมปรีด์ในความรอด ของพระองค์ 2 "ไม่มีผู้ใดบริสุทธิ์ดังพระเจ้า ไม่มีผู้ใด นอกเหนือพระเจ้า ไม่มีศิลาใดเหมือนพระเจ้าของข้าพ เจ้าทั้งหลาย 3 "อย่าพูดโอหังอีกต่อไปเลย อย่าให้ ความจองหองออกมาจากปากของเจ้าเลย เพราะพระ เจ้าทรงเป็นพระเจ้าของความรู้ การกระทำทั้งหลาย พระองค์ทรงเป็นผู้ชั่งตรวจ 4 "คันธนูของผู้มีกำลังก็ หัก แต่ผู้ที่ซวนเซก็ได้กำลังมาคาดเอว 5 "บรรดาคน ที่เคยกินอิ่มก็ต้องออกรับจ้างหากิน แต่คนที่เคยหิวก็ หยุดหิว คนที่เป็นหมันมีบุตรเจ็ดคน แต่นางที่มีบุตร มากก็เหี่ยวแห้งไป 6 "พระเจ้าทรงประหารและทรง ให้มีชีวิต พระองค์ทรงนำลงไปถึงแดนคนตายและก็ นำขึ้นมา 7 "พระเจ้าทรงกระทำให้ยากจนและทรง กระทำให้มั่งคั่ง พระองค์ทรงกระทำให้ต่ำลงและพระ องค์ทรงยกขึ้น 8 "พระองค์ทรงยกคนยากจนขึ้นจาก ผงคลี พระองค์ทรงยกคนขัดสนขึ้นจากกองขยะ กระ ทำให้เขานั่งร่วมกับเจ้านาย และได้ที่นั่งอันมีเกียรติ เป็นมรดก เพราะว่าเสาแห่งพิภพเป็นของพระเจ้า พระ องค์ทรงวางพิภพไว้บนนั้น 9 "พระองค์จะทรงดูแล ย่างเท้าของธรรมิกชนของพระองค์ แต่คนอธรรมจะ ต้องนิ่งอยู่ในความมืด เพราะว่ามนุษย์จะชนะด้วยกำ ลังของตนก็หาไม่ 10 "ศัตรูของพระเจ้าจะแตกเป็น ชิ้นๆ พระองค์จะทรงเอาฟ้าร้องในสวรรค์ต่อสู้เขา พระเจ้าจะทรงพิพากษาที่สุดปลายพิภพ พระองค์จะ ทรงประทานกำลังแก่พระราชาของพระองค์ และจะ ทรงเสริมอำนาจของผู้ที่พระองค์ทรงเจิมไว้ "

บทเพลงสรรเสริญของนางฮันนาห์ มีลักษณะเด่นอยู่หลายประการ เมื่อได้อ่านคำสรรเสริญเหล่านี้ บางทีอาจเป็นตัวกระตุ้นให้เราอยากลองศึกษาบทเรียนนี้ด้วยตนเอง

แรกสุด คำอธิษฐานของฮันนาห์เป็นเหมือนบทสดุดี เพราะมีการจัดวางรูปแบบที่ต่างออกไป ดูคล้าย กับบทสดุดีในพระธรรมสดุดี คำอธิษฐานของฮันนาห์มีการเรียบเรียงและมีวิธีในการใช้คำแบบเดียวกับ พระธรรมสดุดี

ประการที่สอง บทเพลงของนางฮันนาห์เป็นคำอธิษฐาน คำอธิษฐานที่นางคงเตรียมไว้ล่วง หน้าแล้ว สำหรับการมานมัสการ ถ้อยคำที่สละสลวยเช่นนี้ อย่าลืมว่าเป็นคำสรรเสริญของนางฮันนาห์ เป็นการสดุดี และเช่นเดียวกับบทสดุดีทั่วไป เป็นคำกราบทูลต่อพระเจ้า เป็นการอธิษฐานสรรเสริญและ โมทนาพระคุณ บางคนคิดว่านางคงไปคัดลอกจากพระธรรมสดุดีมา บทสดุดีในพระคัมภีร์มีคำพูดที่ สามารถนำมาใช้อธิษฐานได้อย่างเหมาะและตรงกับความรู้สึกของเรา แต่ไม่มีข้อใดชี้ชัดได้ นอกจากว่า นางเป็นผู้แต่งขึ้นเอง หรือเราคิดว่านางไม่น่าจะเก่งขนาดนั้น ? หรือคิดว่าพระเจ้าไม่สามารถใส่ถ้อยคำ เหล่านี้ลงไปในใจนาง ? มาดูกันต่อไป

ประการที่สาม บทเพลงของนางฮันนาห์กลายเป็นส่วนหนึ่งของพระวจนะคำ บทเพลง ของฮันนาห์ไม่ได้เป็นคำอธิษฐานส่วนตัวอีกต่อไป แต่เป็นพระวจนะคำอันศักดิ์สิทธิสำหรับเราทั้ง หลาย ผมขอย้ำ (ถ้าเราต้องการ) เพื่อใช้สอนเตือนใจเรา

ประการที่สี่ บทเพลงของฮันนาห์จึงเป็นคำสดุดีที่ได้รับการดลใจ "พระคัมภีร์ทุกตอนได้รับการ ดลใจจากพระเจ้า และเป็นประโยชน์ใน การสอน การตักเตือนว่ากล่าว การปรับปรุงแก้ใขคนให้ดี และการ อบรมในทางธรรม …" (2 ทิโมธี 3:16) เมื่อบทสดุดีเป็นส่วนหนึ่งของพระวจนะคำ เรารู้แน่ว่าต้องได้รับ การดลใจจากพระเจ้าโดยทางพระวิญญาณ (ดู 1โครินธ์ 2:10-13; 2เปโตร 1:21) คำสดุดีที่นางฮัันนาห์ เปล่งออกมาเกินความสามารถนางหรือเปล่า ? หรือเป็นเช่นเีดียวกับผู้เขียนพระธรรมเล่มอื่นๆคือ "ได้รับ การดลใจ" เมื่อเป็นเช่นนี้เราจึงเชื่อได้ว่า บทสดุดีนี้เป็นผลงานการดลใจจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ผ่านทาง นางฮันนาห์

ประการที่ห้า บทสดุดีของนางฮันนาห์มาจากประสพการณ์ส่วนตัว พระเจ้าไม่ได้ถ่ายทอด พระวจนะผ่านมนุษย์เหมือนใช้เครื่องจักรกล แต่ด้วยวิธีที่เกินความเข้าใจเรา (เช่นเดียวกับที่พระองค์ทรง เป็นทั้งพระเจ้าและมนุษย์ในเวลาเดียวกัน) ทรงเปิดเผยพระองค์โดยการทำงานผ่านมนุษย์ โดยใช้ภูมิ หลังหรือประสพการณ์ชีวิต โดยใช้บุคคลิกภาพที่ต่างกัน แต่ก็คงไว้ซึ่งความถูกต้องและสอดคล้องกัน อย่างน่าอัศจรรย์

ประการที่หก บทเพลงของนางฮันนาห์ยังเป็นภาพสะท้อนของประสพการณ์ที่ชนชาติอิสราเอล มีกับพระเจ้าในอดีต น่าพิศวงที่พระคัมภีร์ทุกเล่มสอดคล้องและเชื่อมโยงกันทั้งหมด ถ้อยคำที่นาง ฮันนาห์พรั่งพรูออกมา บางตอนเหมือนเหตุการณ์ในอดีต โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสมัยอพยพ หลายครั้ง เราเห็นการนำคำพูดบางคำจากพระธรรมเล่มอื่นมาใช้ บางครั้งมาจากส่วนลึกสุดในจิตวิญญาณของ ผู้เขียน ฮันนาห์กล่าวถึงองค์พระผู้เป็นเจ้าว่าเป็นดัง "ศิลา"ของนาง (ข้อ 2) ในเฉลยธรรมบัญญัติ 32:30-31 กล่าวว่าพระเจ้าทรงเป็น "พระศิลา" ฮันนาห์ยกย่องว่าพระเจ้าเป็น "กำลัง" อันเข้มแข็ง ในข้อ 1 ส่วนโมเสสใช้สัญญลักษณ์ "เขา" แทนในเฉลยธรรมบัญญัติ 33:17 ฮันนาห์พูดถึงคนยากจน อ่อนแอได้รับการยกขึ้นให้มีเกียรติ เรื่องนี้เป็นจริงกับคนอิสราเอลหรือไม่ในพระธรรมอพยพ ? เมื่อ อิสราเอลพูดถึงการเลี้ยงดูที่มาจากพระเจ้า เรื่องนี้เกิดขึ้นในสมัยอพยพด้วยหรือไม่ ? เมื่อนางกล่าวว่าคน อธรรมต้องนิ่ง เรื่องนี้เกิดขึ้นกับคนอียิปตหรือไม่ ? ผมเชื่อว่าฮันนาห์มองสิ่งที่พระเจ้าทำในชีวิตของนาง เป็นภาพสะท้อนของสิ่งที่พระองค์ทรงทำให้กับชีวิตของชาวอิสราเอลในสมัยพระธรรมอพยพ

ประการที่เจ็ด คำอธิษฐานของฮันนาห์ลึกซึ้งกว่าประสพการณ์ส่วนตัวของนาง นางเพ่งไปที่ พระเจ้าเที่ยงแท้พระองค์เดียวที่นางนมัสการและยกย่องสรรญเสริญ ซึ่งต่างจาก "คำสดุดี" ของ โยนาห์ (โยนาห์ 2) แต่เหมือนกับคำสดุดีในพระธรรมสดุดี บทเพลงของฮันนาห์ไม่ได้เจาะจงอยู่ที่ความ ทุกข์ ความเศร้าโศกของตัวเอง หรือมัวแต่ยินดีในพระพรที่ได้รับ นางกลับเพ่งไปที่พระเจ้าแทน จาก ความทุกข์และการได้รับการช่วยกู้ นางเห็นองค์พระผู้เป็นเจ้าชัดเจนขึ้น ทำให้นางสามารถสรรเสริญ สดุดีในสิ่งที่พระองค์ทรงเป็น และสิ่งที่พระองค์กระทำ บทเพลงของนางกล่าวถึงความบริสุทธิ์ของพระเจ้า (ข้อ 2) ความสัตย์ซื่อมั่นคง ("พระศิลา" ข้อ 2) ทรงสัพพัญญู (รู้ทุกสิ่ง ข้อ 3) ทรงพระคุณ (ข้อ 8) มี ฤทธิ์อำนาจ (ข้อ 6) มีความเป็นอธิปไตย เป็นผู้สามารถพลิกได้ทุกสถาณการณ์ (ข้อ 6-10) มีเรื่องราว ของพระเจ้ามากเพียงใดในไม่กี่ข้อนี้ !

ประการที่แปด คำอธิษฐานของนางฮันนาห์เกินกว่าประสพการณ์ที่นางมีกับพระเจ้า เกินกว่า อดีต ปัจจุบัน แต่มองไกลไปในอนาคต คำอธิษฐานของนางเป็นคำพยากรณ์ ทำนายถึงอนาคตเมื่อ ชนชาติอิสราเอลจะมีกษัตริย์ปกครอง (ข้อ 10) ผมคิดว่ามองไปไกลจนถึงการเสด็จมาของ "จอม กษัตริย์" คือองค์พระเยซูคริสต์ ผู้จะมาทำให้คำพยากรณ์ทั้งหลายสำเร็จลง ดังนั้นเพลงสรรเสริญ ของนางมารีย์หวนให้เราระลึกถึงคำอธิษฐานนี้ (ดูลูกา 1:46-55) แน่นอน มารีย์เห็นถึงพระพรที่นางได้ รับเหมือนเช่นนางฮันนาห์ แต่อย่ามองข้ามคำพยากรณ์เรื่องพระเมสซิยาห์ซึ่งมีอยู่ในบทเพลงของทั้งคู่ ด้วย

ประการที่เก้า อย่าลืมว่าคำสดุดีของนางฮันนาห์เต็มไปด้วยความชื่นชมยินดี และคำสรรเสริญ แต่ในเวลาเดียวกัน นางต้องทิ้งบุตรชายคนเดียวไว้ และเขาจะไม่มีวันได้กลับไปที่บ้านอีกเลย เวลานั้นนางฮันนาห์แสดงความยินดีและโมทนาพระคุณต่อพระเจ้าสำหรับซามูเอล ผู้เป็นคำตอบต่อคำ อธิษฐาน เป็นเวลาที่นางแสดงความเชื่อและความรักในพระองค์ แต่ก็เป็นเวลาที่นางต้องจากลูกน้อยไป ด้วย นางต้องทิ้งซามูเอลให้อยู่ที่ชิโลห์ขณะเดินทางกลับไปบ้านที่รามาห์ ความสัตย์ซื่อที่พระเจ้าทรง สำแดงในอดีตเป็นสิ่งที่สร้างความมั่นใจให้กับฮันนาห์ว่าพระองค์จะทรงสัตย์ซื่อตลอดไป และนางสามารถ มอบบุตรน้อยไว้กับพระองค์ด้วยความวางใจเต็มเปี่ยม

บทสรุป

เนื้อหาของเรื่องแสดงให้เห็นถึงธรรมิกชนของพระเจ้า ฮันนาห์และเอลคานาห์ ซึ่งเป็นภาพที่ค้านกันกับ เอลี บิดาผู้ไม่ทำหน้าที่ และบุตรอธรรมอย่างโฮฟนี และฟีเนหัส เอลคานาห์เป็นสามีตัวอย่างที่เข้าใจและ เห็นใจในความทุกข์ของภรรยา ท่านพยายามหนุนน้ำใจนาง (ด้วยการให้เนื้อจากการถวายบูชามากเป็น สองเท่า ด้วยการพูดจาอย่่างอ่อนโยน ด้วยการให้นางมั่นใจในความรักที่ท่านมีต่อนาง ไม่ว่านางจะมีบุตร หรือไม่มีก็ตาม) ท่านตักเตือนนางอย่างสุภาพถึงจิตใจโศกเศร้าที่ไม่สมควรต่อการมานมัสการในงาน ฉลอง ท่านอณุญาติให้นางไปนมัสการได้อย่างอิสระและเป็นส่วนตัว ทำให้นางสามารถเทใจต่อพระเจ้า บนขอต่อพระองค์ โดยที่เอลคานาห์ไม่เคยคิดจะห้ามปราม หลังจากนั้นท่านยังให้นางตัดสินใจด้วย ตนเองว่าจะไป ชิโลห์ หรือจะอยู่บ้านกับลูก .

เอลคานาห์เป็นคนของพระเจ้าและเป็นผู้้ที่มีสัมพันธภาพที่ดีกับพระองค์ ท่านเป็นห่วงถึงสัมพันธภาพ ของภรรยา นางฮันนาห์มีต่อพระเจ้า ท่านสัตย์ซื่อในการเดินทางไปปรนนิบัติพระเจ้าที่ชิโลห์เป็นประจำ ทุกปี ท่านไม่เคยหาเหตุผลมาอ้างที่จะไม่เดินทางไป ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความไม่สะดวก ไม่พร้อม หรือ เรื่องค่าใช้จ่ายใดๆ ยิ่งไปกว่านั้น ท่านอาจจะอ้างเรื่องความไม่สัตย์ซื่อของปุโรหิต อย่างฟีเนหัส หรือ โฮฟนี หรือท่านไม่ต้องการให้คนในครอบครัวเห็นความไม่ซื่อ หลอกลวง คดโกง และความชั่วต่างๆ และท่านคงต้องทราบดีว่านางเปนินนาห์มักถือโอกาสนี้สร้างความทุกข์ใจให้กับฮันนาห์ และแม้กับตัว ท่านเอง ถึงกระนั้นก็ตามท่านไม่เคยใช้สาเหตุเหล่านี้มาใช้อ้างที่จะไม่เดินทางไปนมัสการพระเจ้า ที่ชิโลห์ ดังนั้น ปีแล้ว ปีเล่าพวกเขาก็จะเห็นท่านที่ชิโลห์เสมอ

นางฮันนาห์เป็นแบบอย่างที่ดีของภรรยาและสตรีที่ยำเกรงพระเจ้า นางอดทนอย่างสงบปีแล้วปีเล่าต่อ ความทุกข์ที่ไม่สามารถมีบุตร ซ้ำยังถูกนางเปนนินาห์เยาะเย้ยถากถางอย่างไร้ความปราณี นางร่วมเดิน ทางไปชิโลห์กับสามีและครอบครัว (ซึ่งรวมถึงนางเปนนินาห์ด้วย) อย่างสม่ำเสมอ ถึงแม้จะต้องทนต่อ คำพูดร้ายๆของเปนนินาห์ก็ตาม นางอยู่อย่างสงบโดยไม่คิดที่จะต่อสู้หรือแก้แค้นต่อศัตรู นางนมัสการ พระเจ้าอย่างสัตย์ซื่อ นางเทใจวิงวอนด้วยน้ำตา และเมื่อพระเจ้าทรงเมตตาตอบคำอธิษฐาน นางไม่ เพียงทำตามที่บนไว้ แต่นางยังสรรญเสริญสดุดีด้วยบทเพลงซึ่งต่อมากลายเป็นบทเพลงที่หนุนใจ บรรดาผู้รับใช้ ต่อมาอีกหลายยุคหลายสมัย ถึงแม้เอลีเป็นแบบอย่างของบิดาที่ล้มเหลวในการเลี้ยงดู บุตรให้เป็นปุโรหิตที่ดี แต่การที่นางฮันนาห์และสามีเป็นแบบอย่างและมีอิทธิพลที่ดีต่อซามูเอล นับเป็น สิ่งที่หนุนใจและเป็นแบบอย่างที่ดีในการดำเนินชีวิตติดตามพระเจ้าอย่างสัตย์ซื่อของพวกเราในทุกวันนี้

เนื่อหาของพระธรรมตอนนี้กำลังปูพื้นไปสู่เหตุการณ์ใน 1 และ 2 ซามูเอลที่กำลังตามมา พระคำข้อสุดท้ายในพระธรรมผู้วินิจฉัยพูดถึงการที่อิสราเอลขาดกษัตริย์ปกครองอีกครั้งในเวลานั้น บทเพลงสดุดีของนางฮันนาห์เป็นคำพยากรณ์ถึงการเสด็จมาของกษัตริย์ นางฮันนาห์และเอลคานาห์ เป็นดังคู่แฝดของเศคาริยาห์และนางเอลีซาเบธในพระคัมภีร์ใหม่ (ดูลูกา 1) คือทั้งคู่เป็นหมัน และหญิง ทั้งสองได้เป็นมารดาของผู้เผยพระวจนะผู้มาทำหน้าที่จัดเตรียมกษัตริย์ ซามูเอลเป็นผู้เตรียมทั้งกษัตริย์ ซาอูลและดาวิด ส่วนยอห์นผู้ให้บัพติสมาเป็นผู้จัดเตรียมทางให้กับเยซูชาวนาซาเร็ธผู้เป็นทั้งพระ เมสซิยาห์และจอมกษัตริย์ขององค์พระผู้เป็นเจ้า

การนมัสการของนางฮันนาห์ทำให้เรามองเห็นถึงการนมัสการของสตรีในสมัยพระคัมภีร์เดิม นางไม่ใช่ คนสำคัญหรือมีตำแหน่งใดๆ แต่นางกลับเป็นผู้ที่มีอิทธิพลและเป็นแบบอย่างที่ดีต่อบรรดาธรรมิกชน ในยุคหลัง ในทางกลับกัน เอลีเป็นผู้ที่มีตำแหน่งและอยู่ในสายตาประชาชน กลับไม่ได้เป็นแบบอย่าง ที่ดีด้านจิตวิญญาณต่อบุตร หรือต่อผู้อื่นเลย นางฮันนาห์ทนทุกข์อย่างสงบ รับใช้พระเจ้าในการเลี้ยงดู ซามูเอลอย่างเงียบๆโดยไม่มีผู้ใดรู้ ชีวิตของนางจึงมีอิทธิพลต่อผู้คนในยุคนั้น และต่อเราทั้งหลายใน ยุคนี้ คำอธิษฐานวิงวอน และการสาบานตนต่อพระเจ้าของนางเป็นไปอย่างเงียบๆ แต่ผลของคำ อธิษฐานกลับกลายเป็นสิ่งสำคัญยิ่ง คำอธิษฐานสดุดีของนางกลายเป็นส่วนหนึ่งของพระวจนะคำ เป็นคำ สอน เป็นคำปลอบประโลม และเป็นคำหนุนใจ ในขณะที่นางไม่ได้เป็นผู้นำ หรือมีหน้าที่ต้องรับผิดชอบ ในตำแหน่งหน้าที่ใด การงานของนางที่ดูเป็นเรื่องส่วนตัวกับกลายเป็นมีอิทธิพลยิ่งทางด้านจิตวิญญาณ อยากให้บรรดาหญิงชายทั้งหลายที่อยากได้ตำแหน่งสำคัญๆ อยากเป็นที่รู้จัก จะมีโอกาสเรียนจากการที่ พระเจ้าทรงใช้ ฮันนาห์และการรับใช้ของนางเป็นแบบอย่าง

การทนทุกข์และบทเพลงสรรญเสริญของนางฮันนาห์ เป็นวิถีทางที่พระเจ้าทรงเปิดเผยพระองค์ ผ่านทางพระวจนะคำ บทเพลงของนางฮันนาห์ เช่นเดียวกับพระวจนะคำทั้งหมด เกิดจากความมานะของ มนุษย์ กำกับควบคุมโดยพระเจ้าผ่านทางพระวิญญาณ เป็นความมานะพยายามของนางฮันนาห์ที่แสดงออก มาทางบุคคลิกภาพ ก่อร่างขึ้นมาจากประสพการณ์ของนางเอง นางคงไม่สามารถเขียนบทเพลงนี้ได้ถ้าไม่ได้ ผ่านความทุกข์ของการไม่มีบุตร ซ้ำยังถูกนางเปนนินาห์เยาะเย้ยอีก และนางฮันนาห์เองก็คงจะไม่สามารถ พูดถึงเรื่องราวในอนาคตได้ ถ้าไม่ได้รับการดลใจจากพระเจ้า ดังนั้นคำพูดทุกคำในบทเพลงสรรเสริญของนาง ตามที่บันทึกไว้จึงเป็นพระคำของพระเจ้า

บทเพลงของนางฮันนาห์ เช่นเดียวกับพระคำตอนอื่นๆ เป็นภาพสะท้อนบุคลิกภาพ ประสพการณ์ และ ภูมิหลังของคนๆนั้น รวมทั้งเป็นงานของพระวิญญาณบริสุทธิ์ด เป็นการถ่ายทอด "จิตใจพระเจ้า" มาสู่เราทั้งหลาย เช่นเดียวกับที่องค์พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงเป็นทั้งพระเจ้าผู้ไม่เปลี่ยนแปลง และทรงเป็น มนุษย์ที่สมบูรณ์ พระวจนะคำจึงเป็นผลงานหนึ่งเดียวกันโดยพระเจ้าและมนุษย์

บทเพลงของนางฮันนาห์คงจะเกิดขึ้นไม่ได้ถ้านางไม่ได้ผ่านความทุกข์มา พระเจ้าทรงเป็นผู้ที่ปิดครรภ์ ของนาง พระองค์ทรงทำให้นางต้องทนทุกข์จากความไร้น้ำใจของนางเปนนินาห์ และพระองค์เองเป็น ผู้มอบให้นางทั้งความทุกข์และความชื่นชมยินดีในชีวิต เพื่อบทเพลงของนางจะเป็นผลงานชิ้นสุดยอด ที่ออกมาจากใจ นี่เป็นวิธีการที่พระเจ้าเขียนพระวจนะคำทั้งหมดของพระองค์ผ่านทางชีวิตมนุษย์ เราทั้ง หลายในทุกวันนี้ไม่ได้เป็นผู้เขียนพระวจนะคำก็จริง แต่ผมเชื่อว่าพระเจ้าทรงมอบประสพการณ์ต่างๆใน ชีวิตให้เรา เพื่อสร้างและเตรียมเราให้พร้อมสำหรับงานพันธกิจของพระองค์ อย่าให้ความทุกข์ยากใน อดีตเป็นอุปสรรคต่อชีวิตในวันนี้และในอนาคต และเมื่อนึกย้อนไปถึงความเจ็บปวดในอดีต ขอให้สิ่งเหล่า นั้นเป็นเหมือนฐานอันแข็งแกร่งที่ทำให้เราสามารถยืนหยัดได้เพื่องานพันธกิจในวันนี้และในอนาคต ให้ เรามีความชื่นชมยินดีในการทดลองและในความลำบากเหล่านั้น เพื่อพระประสงค์อันดีและพระเกียรติ ขององค์พระผู้เป็นเจ้าจะสำเร็จในชีวิตเรา

เนื้อหาตอนนี้เป็นภาพของการที่พระเจ้าอวยพระพร และสำแดงพระคุณของพระองค์ท่ามกลาง ความทุกข์ยาก ความเจ็บปวด และความอ่อนแอของมนุษย์ ผมได้อ่านพระธรรม 1 และ 2 โครินธ์ จบไป คงช่วยไม่ได้ที่ผมเห็นถึงความเหมือนของบทเพลงของนางฮันนาห์ และจดหมายจากคุกของ อ.เปาโล ลองนึกถึงคำจากปลายปากกาของ อ.เปาโลในภาพแห่งความทุกข์ของนางฮันนาห์ ซึ่งออก มาเป็นดังนี้ :

7ก็ทรงให้มีหนามใหญ่ในเนื้อของข้าพเจ้า หนามนั้น เป็นทูตของซาตานคอยทุบตีข้าพเจ้าเพื่อไม่ให้ข้าพ เจ้ายกตัวเกินไป 8 เรื่องหนามใหญ่นั้น ข้าพเจ้าวิง วอนองค์พระผู้เป็นเจ้าถึงสามครั้ง เพื่อขอให้มันหลุด ไปจากข้าพเจ้า 9 แต่พระองค์ตรัสกับข้าพเจ้าว่า "การ ที่มีคุณของเราก็พอแก่เจ้าแล้ว เพราะความอ่อนแอมี ที่ไหน เดชของเราก็มีฤทธิ์ขึ้นเต็มขนาดที่นั่น" เหตุ ฉะนั้น ข้าพเจ้าจึงภูมิใจในบรรดาความอ่อนแอของ ข้าพเจ้า เพื่อฤทธิ์เดชของพระคริสต์จะได้อยู่ในข้าพ เจ้า 10 เหตุฉะนั้นเพราะเห็นแก่พระคริสต์ ข้าพเจ้า จึงชื่นใจในบรรดาความอ่อนแอของข้าพเจ้า ในการ ประทุษร้ายต่างๆในความยากลำบาก ในการถูกข่ม เหง ในความอับจน เพราะว่าข้าพเจ้าอ่อนแอเมื่อใด ข้าพเจ้าก็จะแข็งแรงมากเมื่อนั้น
(2โครินธ์ 12:7ข-10)

อ.เปาโลกล่าวไว้อย่างชัดเจนในจดหมายฝากว่า ฤทธิ์เดชของพระเจ้าจะเต็มขนาดขึ้นในความอ่อนแอ ของเรา นี่เป็นพระคุณ พระคุณพระเจ้าไม่ได้เพื่อเสาะหาหรือเสริมความแข็งแกร่งให้เรา แต่พระองค์ทรง แสวงหาความอ่อนแอในเรา เพื่อเราจะเห็นความยิ่งใหญ่ของพระองค์สำเร็จลงได้ในความอ่อนแอนั้น เหตุการณ์ต่างๆที่สร้างความทุกข์ ความเจ็บปวดมากมายให้กับฮันนาห์ ก็คือสิ่งเดียวกับที่นำมาซึ่งความ ปิติยินดียิ่งจากองค์พระผู้เป็นเจ้าต่อผู้ที่วางใจในพระองค์ และจะเป็นเช่นนี้ตลอดไป :

28 เรารู้ว่า พระเจ้าทรงช่วยคนที่รักพระองค์ให้เกิด ผลอันดีในทุกสิ่ง คือคนทั้งปวงที่พระองค์ได้ทรง เรียกตามพระประสงค์ของพระองค์ 29 เพราะว่า ผู้หนึ่งผู้ใดที่พระองค์ได้ทรงทราบอยู่แล้ว ผู้นั้น พระองค์ได้ทรงตั้งไว้ให้เป็นตามลักษณะพระฉาย แห่งพระบุตรของพระองค์ เพื่อพระบุตรนั้นจะได้เป็น บุตรหัวปีท่ามกลางพวกพี่น้องเป็นอันมาก 30 และ บรรดาผู้ที่พระองค์ได้ทรงตั้งไว้นั้น พระองค์ได้ทรง เรียกมาด้วย และผู้ที่พระองค์ได้ทรงเรียกมานั้น พระองค์ทรงโปรดให้เป็นผู้ชอบธรรม และผู้ที่พระ องค์ทรงโปรดให้เป็นผู้ชอบธรรม พระองค์ก็ทรง โปรดให้มีศักดิ์ศรีด้วย
(โรม 8 :28-30).

คุณรักพระเจ้าหรือเปล่า ? คุณเป็นบุตรพระองค์โดยความเชื่อในการสิ้นพระชนม์ การฝังพระศพ และการ คืนพระชนม์ขององค์พระเยซูคริสต์หรือไม่ ? นี่เป็นข่าวประเสริฐแห่งพระกิตติคุณ พระกิตติคุณจะไม่เป็น ข่าวประเสริฐสำหรับผู้ที่นึกว่าตนเองชอบธรรมดีแล้ว แต่กลับกลายเป็นการดูถูก เพราะคนเหล่านี้คิดว่า พระเจ้ามีหน้าที่ต้องให้ชีวิตนิรันดร์อยู่แล้ว และพวกเขาดูถูกพระคุณว่าเป็นเหมือนของ "บริจาคทาน" ใช่แล้ว เป็นทานสำหรับบรรดาผู้ยื่นแขนออกไปรับด้วยความปิติยินดี เพราะพวกเขารู้ดีว่าตนเองอ่อนแอ หมดหนทาง และจมปลักอยู่ในความบาป และเป็นผู้สมควรยิ่งสำหรับการถูกลงพระอาชญา พวกเขาชื่นชม ในการช่วยกู้ของพระเจ้า องค์พระคริสต์ได้ทรงชดใช้ให้ด้วยการสิ้นพระชนม์ อยู่ในแดนมรณา และทรง คืนพระชนม์ พวกเขารับการอภัยโทษบาปและรับเอาของประทานแห่งความชอบธรรมด้วยใจโมทนา ใน ทานของพระองค์ พวกเขาก็เรียนรู้ถึงพระคุณอันยิ่งใหญ่ขององค์พระผู้เป็นเจ้า ซึ่งทำให้พวก เขาหลุดพ้น จากความพินาศในบึงไฟ และยอมให้พระเจ้ากระทำการของพระองค์โดยผ่านทางชีวิตของพวกเขา ผม ขออธิษฐานภาวนาให้เราทั้งหลายได้รับพระคุณของพระเจ้าโดยทางความเชื่อในองค์พระเยซูคริสต์ ถ้าไม่ ผมขออธิษฐานให้คุณสามารถเปิดใจ และยอมรับได้ในทันที

Related Topics: Introductions, Arguments, Outlines

Report Inappropriate Ad