MENU

Where the world comes to study the Bible

บทที่ 16: วันอันมืดมนของดาวิด (2 ซามูเอล 16:20 -- 19:8)

คำนำ

ชื่อเรื่องของพระธรรมตอนนี้ คล้ายกับหนังโทรทัศน์สมัยเก่าอยู่เรื่องหนึ่ง "เรื่องปฏิบัตการเหนือชั้น" (Mission Impossible) ในหนังเรื่องนี้ มร.เฟลพส์มักได้รับมอบภาระกิจสำคัญให้ทำ -- และเป็นงานที่ไม่มีทางสำเร็จได้ บทเรียนตอนนี้ก็เช่นกัน อัับซาโลมกำลังจะประกาศตั้งตนเป็นกษัตริย์ของอิสราเอล แทนบิดา เมื่อดาวิดได้ยิน เรื่องการกบฎนี้ ท่านเลือกที่จะหนีออกจากเยรูซาเล็ม มีผู้จงรักภักดีต่อท่าน ติดตามไปด้วยหลายคน บทเรียน ก่อนหน้านี้เต็มไปด้วยน้ำตา ขณะที่ดาวิดต้องอพยพ ทิ้งเยรูซาเล็มไว้เบื้องหลัง มุ่งสู่ถิ่นทุรกันดาร ท่านทิ้ง หุชัย เพื่อนที่ซื่อสัตย์ ทิ้งศาโดกและอาบียาธาร์ ผู้เป็นปุโรหิต (และหีบแห่งพระเจ้า) ไว้ให้อยู่ในเยรูซาเล็ม ที่ พวกเขาจะเป็นหูเป็นตาให้ท่านได้ ศาโดกเป็นผู้เผยพระวจนะ ท่านสามารถให้ข้อมูลที่ดาวิดเชื่อใจได้ (ได้รับ การดลใจ) ในเรื่องที่อับซาโลมคิดจะทำ บุตรของศาโดกและอาบียาธาร์ อาหิมาอัสและโยนาธาน เป็นคนคอย ส่งข่าว ดาวิดยังคอยข่าวจากศาโดก "อยู่ที่ทางเข้าถิ่นทุรกันดาร" ทางทิศตะวันตกของแม่น้ำจอร์แดน จน กว่าจะรู้ว่าอับซาโลมคิดทำสิ่งใด

เมื่ออับซาโลมมาถึง และเข้าครอบครองเมืองหลวงแล้ว เขาเรียกหาอาหิโธเฟล เพื่อขอคำปรึกษา ว่าต้องทำ ประการใด เพื่อตั้งตนขึ้นเป็นกษัตริย์ อาหิโธเฟลให้คำปรึกษาสองประการ ซึ่งถูกแบ่งออกเป็นสองบท (คือ ปลายบทที่ 16 และ ต้นบทที่ 17) คำแนะนำประการแรกของอาหิโธเฟล คือต้องประกาศตนเป็นกษัตริย์โดย แสดงสัญลักษณ์ให้เห็นกันทั่ว ด้วยการหลับนอนอย่างเปิดเผยกับนางสนมทั้งสิบของดาวิด ที่ท่านทิ้งไว้ให้เฝ้า พระราชวังในเยรูซาเล็ม สิ่งนี้จะเป็นการประกาศให้อิสราเอลทั้งปวง ทราบอย่างชัดเจน ถึงสัมพันธภาพ ระหว่างตัวเขา บิดา และราชบัลลังก์

คำปรึกษาตอนสองของอาหิโธเฟล อยู่ในข้อ 1-3 ของบทที่ 17 เขาแนะนำให้รีบติดตามดาวิดไป แยกท่าน ออกมา และฆ่าเสีย เพื่อทำให้ผู้ติดตามดาวิดบังเกิดความกลัว และเปลี่ยนใจมาสามิภักดิ์อับซาโลม กษัตริย์ องค์ใหม่แทน อับซาโลมและพวกผู้ใหญ่ของอิสราเอลชอบความคิดนี้ แต่อับซาโลมต้องการความเห็นอื่นมา สนับสนุน จึงเรียกหาหุชัย เมื่อหุชัยมาถึง ก็รับรู้เรื่องคำแนะนำที่อาหิโธเฟลได้ให้ไว้

คุณอยากเป็นหุชัยในตอนนั้นมั้ยครับ? เขารู้ดีว่าอับซาโลมคลางแคลงใจในตัวเขา เพราะเคยเป็นเพื่อนดาวิด มาก่อน (16:16-19) เขาต้องรู้แล้วด้วยว่า อับซาโลมและพวกผู้ใหญ่เห็นชอบกับคำแนะนำของอาหิโธเฟล ยิ่งไปกว่านั้น เขารู้ว่าอับซาโลมเชื่อใจอาหิโธเฟลขนาดไหน เพราะคำปรึกษาของอาหิโธเฟลเป็นเหมือนกับ "พระบัญชาของพระเจ้า" (16:23) หุชัยเป็นเพื่อนของดาวิด และเขารู้ว่า คำปรึกษาของเขาจะมีผลอย่าง ใหญ่หลวงต่อชีวิตของดาวิด คุณเห็นด้วยหรือเปล่าครับว่าเรื่องนี้มัน "mission impossible" จริงๆ?

มีเรื่องอันตรายแอบแฝงอยู่เล็กน้อยตรงนี้ ทั้งคุณและผมรู้เบื้องหน้าเบื้องหลังดี ดาวิดอธิษฐานขอให้พระเจ้า บิดเบือนคำปรึกษาของอาหิโธเฟลเสีย (15:31) และเรารู้ล่วงหน้าด้วยว่า "พระเจ้าทรงสถาปนา ที่จะให้ คำปรึกษา อันดีของอาหิโธเฟลพ่ายแพ้ เพื่อพระเจ้าจะทรงนำ เหตุร้ายมายังอับซาโลม" (17:14) เมื่อรู้แล้วทำให้เรามองไม่เห็นถึงความสำคัญในภาระกิจของหุชัย เรารู้สึกว่า ยังไงๆอับซาโลมและพวกผู้ใหญ่ ของอิสราเอลต้องรีบทำตามคำปรึกษาของหุชัยทันที ไม่ว่าจะโง่เง่าขนาดไหนก็ตาม เรามองไม่เห็นค่าของ คำปรึกษา และคิดว่า ไม่ว่าคำปรึกษาจะออกมาอย่างไร อับซาโลมต้องทำตาม เพราะเขาถูกพระเจ้าปิดหูปิด ตาจากความจริงเสียแล้ว

ผมขอพูดว่า หุชัยได้รับสติปัญญาอันล้ำลึกมาจากพระเจ้า ทำให้แผนที่เขาเสนอนั้นดูดีมีเหตุผล ทำให้ อับซาโลมต้องมาคิดทบทวนดูใหม่ เราต้องระวังอย่าไปคิดว่า คำปรึกษาของอาหิโธเฟลนั้น "ดี" ในแง่ศีล ธรรม ดูเป็นแผนการที่ดี แต่ถ้าทำสำเร็จ ดาวิดต้องจบชีวิตลง ทำให้อับซาโลมเข้มแข็งขึ้น พอที่จะปกครอง อิสราเอลต่อไปได้ ในแง่ศีลธรรมแล้ว แผนการนี้ไม่ "ดี" เพราะอนุญาติให้ -- ไม่เชิง เป็นการเห็นชอบให้ -- ฆ่ากษัตริย์ที่พระเจ้าเจิมตั้ง ไม่ "ดี" เพราะสนับสนุนอับซาโลมให้ทำบาปล่วงประเวณี โดยการเข้าหาภรรยา ของบิดา แถมด้วยบาปแห่งความทะเยอทะยานของอาหิโธเฟลเอง และแผนการแก้เอาคืน ผ่านคำปรึกษาที่ ตนเองให้กับอับซาโลม

พระธรรมตอนนี้เต็มไปด้วยเล่ห์กระเท่ กลอุบายซับซ้อนเหมือนละคอนโทรทัศน์ และเป็นตอนที่พูดถึงยามเมื่อ ดาวิดต้องเผชิญกับความมืดมนที่สุดในชีวิต ผมไม่คิดว่าดาวิดจะทุกข์โศกมากมายครั้งใดเกินไปกว่าครั้งนี้ ให้ เรามาดูว่า พระเจ้าทรงทำสิ่งใดกับดาวิดในเวลาเช่นนี้ พวกเราเองคงสัมผัสได้ถึงความทุกข์ใจของท่าน ถ้า ดาวิดมีความหวัง มีหนทางรอด ในช่วงเวลาอันมืดมิดเช่นนี้ เราเองก็มีเช่นกัน เมื่อยามต้อง "เดินผ่านหุบ เขาเงามัจจุราช"

คำปรึกษาของอาหิโธเฟล
(16:20--17:4)

20 อับซาโลมตรัสถามอาหิโธเฟลว่า "เราจะทำอย่างไรดี จงให้คำปรึกษาของท่าน"
21 อาหิโธเฟลกราบทูลอับซาโลมว่า "จงเข้าหานางสนมของเสด็จพ่อของฝ่าพระบาท ซึ่งเสด็จพ่อทิ้งไว้ให้เฝ้าพระราชวัง เมื่อคนอิสราเอลทั้งสิ้นได้ยินว่าฝ่าพระบาทได้กระทำ ให้ตนเป็นที่เกลียดชังของเสด็จพ่อแล้ว บรรดามือเหล่านั้นที่อยู่ฝ่ายฝ่าพระบาทก็จะเข้ม
แข็งขึ้น" 22 เขาจึงกางเต็นท์ให้อับซาโลมไว้ที่บนดาดฟ้าหลังคา และอับซาโลมก็ทรง เข้าหานางสนมของพระราชบิดา ของพระองค์ต่อหน้าอิสราเอลทั้งสิ้น 23 ในสมัยนั้น คำปรึกษาของอาหิโธเฟลที่ทูลถวาย เหมือนกับเป็นพระบัญชาของพระเจ้า ทั้งดาวิด และอับซาโลมจึงทรงนับถือ คำปรึกษาของอาหิโธเฟลมาก

1 และอาหิโธเฟลกราบทูลอับซาโลมว่า "ขอโปรดอนุญาตให้ข้าพระบาทเลือกทหาร หนึ่งหมื่นสองพันคน ข้าพระบาทจะยกออกไปติดตามดาวิดคืนวันนี้ 2 ข้าพระบาทจะไป ทันท่านเมื่อท่านยังเหนื่อยอ่อน อยู่และท้อถอย กระทำให้ท่านกลัวตัวสั่น พลทั้งปวง ที่อยู่กับท่านก็จะหนีไป ข้าพระบาทจะฆ่าฟันแต่กษัตริย์ 3 แล้วจะนำประชาชนทั้งสิ้น กลับมาเข้าฝ่ายฝ่าพระบาท เมื่อได้คนที่ฝ่าพระบาทมุ่งหาคนเดียว ก็เหมือนได้ประชา ชนกลับมาทั้งหมดแล้ว ประชาชนทั้งปวงก็จะอยู่เป็นผาสุก" 4 คำทูลนี้เป็นที่พอพระทัย
อับซาโลม และบรรดาผู้ใหญ่แห่งอิสราเอลก็พอใจด้วย

ผมใช้เวลานานพอควร กว่าจะเข้าถึงเนื้อหาตอนนี้ได้ ตอนแรกผมก็คิดว่าคำปรึกษาของอาหิโธเฟลแบ่งเป็น สองตอนตามบทในพระคัมภีร์ ผมไปคิดว่าอับซาโลมขอคำปรึกษาจากอาหิโธเฟล เมื่อได้รับแล้ว เกี่ยวกับเรื่อง การเข้ายึดครอง "สมบัติของบิดา" คือภรรยาทั้งสิบที่ถูกทิ้งไว้ในเยรูซาเล็ม ผมใช้เวลาไปสองสามวันด้วยความ คิดที่ว่าอับซาโลม เข้าหาและ "ครอบครอง" ภรรยาของดาวิดแล้ว จึงค่อยกลับไปหาอาหิโธเฟลอีกครั้ง เพื่อ ขอคำปรึกษา แล้วจึงไปขอความเห็นเพิ่มเติมจากหุชัย แต่ที่จริงไม่เป็นเช่นนั้น

ก่อนอื่นให้เราคิดถึงเหตุการณ์ของบทนี้ในเรื่องของเวลา ดาวิดเมื่อรู้ว่าอับซาโลมจะมายึดครองราชบัลลังก์ รีบหนีออกจาเยรูซาเล็ม นำภรรยาและลูกๆไปด้วย บางคนก็ค่อนข้างมีอายุ ทำให้การหลบหนีค่อนข้างล่าช้า เรื่องราวที่บันทึกไว้ ทำให้เรามองข้ามความเร่งด่วน และเรื่องความยุ่งยากในการอพยพผู้คนจำนวนมากไป อับซาโลมอาจอยู่ไม่ไกลจากพวกเขานัก ถ้าไม่มีการส่งข่าวให้ดาวิดรู้ตัวในทันที และถ้าท่านไม่รีบหลบหนี อับซาโลมอาจไล่มาทัน ทำให้ดาวิดและทุกคนที่อยู่กับท่านต้องตกอยู่ในอันตราย

ดาวิดหนีออกจากเยรูซาเล็ม ขณะที่อับซาโลมเดินทางกระชั้นชิดเข้ามา พร้อมที่จะเข้ามาครอบครองเยรูซา เล็มและราชบัลลังก์แทน อับซาโลมขอคำปรึกษาจากอาหิโธเฟล ทันทีที่ถึงเยรูซาเล็ม และอับซาโลมได้ให้ คำปรึกษา -- เป็นสองตอน ตอนแรกเป็นคำแนะนำว่าอับซาโลมเองควรทำอย่างไร -- ครอบครองภรรยา ของดาวิด ตอนที่สอง อาหิโธเฟลเสนอตัวจะเป็นผู้ลงมือทำการแทนอับซาโลมเอง -- นำกองกำลัง 12,000 คนตามดาวิดไปในคืนนั้นทันที ไปทำให้ดาวิดและผู้ติดตามตกใจกลัวจนตัวสั่น อาหิโธเฟลเสนอว่าจะเป็นผู้ฆ่า ดาวิดด้วยตนเอง เพื่อหลีกเลี่ยงการนองเลือด และทำให้บัลลังก์เข้มแข็งขึ้นในเวลาอันสั้น

ถ้าเราดูตามสรรพนามที่ใช้ในพระธรรมด้านบนนี้ เราเห็นว่าอาหิโธเฟล มีข้อแนะนำสำหรับให้อับซาโลมทำ และข้อแนะนำว่าตนเองจะทำอย่างไร ผมเชื่อว่าอาหิโธเฟลต้องการให้ดำิเนินการไปพร้อมๆกัน ไม่ใช่ทำที ละหน ดังนั้นแผนการของอาหิโธเฟลจึงออกมาเช่นนี้ : (1) อับซาโลมจะใช้เวลาไปในการเข้าครอบครอง ภรรยาของดาวิด ต่อหน้าต่อตาชาวอิสราเอล (2) ขณะที่อับซาโลมดำเนินการอยู่ อาหิโธเฟลจะนำกองกำลัง 12,000 คนออกไปตามล่าดาวิด เมื่อไปถึง เขาจะเป็นผู้ลงมือฆ่าดาวิดด้วยตนเอง ทำให้การครอบครอง อาณาจักรใหม่นี้เสร็จสิ้นสมบูรณ์ ในเวลาอันรวดเร็ว

คำปรึกษาของอาหิโธเฟลเต็มไปด้วย "เล่ห์กล" หลายประการ ประการแรก มันเกิดขึ้นได้ตามนั้น ถ้าพระเจ้า ไม่เข้ามาแทรกแซงเสียก่อน ประการที่สอง เป็นคำปรึกษาที่อับซาโลมอยากทำตาม เขาจะประพฤติตนคล้าย กับบิดา คือไม่ไปสงคราม เลือกอยู่บ้านเพื่อจะ "นอนกับสาวๆ" ในขณะที่อาหิโธเฟล และกองกำลังออกไปทำ สงครามกับดาวิด หลังจากนั้นอับซาโลมสามารถเข้าครอบครองราชบัลลังก์ได้เลย โดยไม่ต้องเสียแรงออกไป สู้รบ นอกจากนั้น เขายังได้ปล่อยเนื้อปล่อยตัวไปกับภรรยาของดาวิด ด้วยวิธีที่ทำให้ผู้เป็นพ่อเจ็บแสบและ อับอายเป็นที่สุด ถ้าดาวิดตายจริง ใครจะเป็นศัตรูตัวจริงของอับซาโลม?

เมื่อเราเรียนรู้ว่าอับซาโลมทำตามคำแนะนำของอาหิโธเฟล เรื่องภรรยาของดาวิด ผมเชื่อว่าเขาทำการนี้ ใน ขณะที่คนอิสราเอลส่วนมากถูกเรียกตัวไปทำสงคราม ที่อาหิโธเฟลนำคน 12,000 คนออกไปตามล่าดาวิด ถ้าเป็นเช่นนั้น -- ซึ่งน่าจะเป็นได้ -- ทำให้เรามองเห็นมุมมองอื่นในเรื่องการครอบครองภรรยาของดาวิดทันที การนี้เป็นไปตามคำพยากรณ์ของนาธันผู้เผยพระวจนะ มันเป็นการประกาศตัวของอับซาโลม ด้วยการใช้ สัญลักษณ์ ซึ่งสร้างความเจ็บปวดมากให้กับดาวิด แต่ขณะเดียวกัน เป็นส่วนหนึ่งในแผนการอันยิ่งใหญ่ของ พระเจ้า เพื่อให้ดาวิดมีเวลาพอที่จะหนีไปได้ ตั้งตัวทัน เอาชนะอับซาโลมได้ และกลับคืนสู่เยรูซาเล็มในฐานะ กษัตริย์ของอิสราเอล เรื่องเจ็บปวดที่สุดบางเรื่องในชีวิตของเรา อาจเป็นแผนการที่ให้เราเกิดผล เพื่อจะทำ การดีที่พระเจ้าปรารถนาจากเรา อาหิโธเฟลและอับซาโลม ตั้งใจจะทำการชั่ว (และเพื่อสนองตัณหาตนเอง) แต่พระเจ้าต้องการให้ออกมาดี (ดูปฐก. 50:20)

อาหิโธเฟลเสนอแผนปฏิการชนิดสั้นง่าย รวดเร็ว และมีชัยให้แก่อับซาโลม เขาจะเป็นผู้ลงมือทำเอง ในขณะที่ "ว่าที่กษัตริย์" จะรออยู่ที่เยรูซาเล็ม ดูเป็นแผนการที่ดีจนเหลือเชื่อ ความจริงก็คือ มันคงเป็นได้ ถ้าพระเจ้า ไม่ได้ มีแผนการอื่นสำหรับดาวิด และอับซาโลม แผนการเหล่านี้จะสำเร็จลงผ่านทางเพื่อนๆของดาวิด : หุชัย ศาโดก และอาบียาธาร์ปุโรหิต พรอ้มด้วยบุตรทั้งสองของเขา อาหิมาอัสและโยนาธาน ยังมีภรรยาของชาวไร่ ที่บาฮูริม และเพื่อนๆที่หนุนหลังอยู่อีกหลายคน เป็นเรื่องราวการช่วยกู้ของดาวิด ที่เราจะมาเรียนกันต่อไป

คำปรึกษาของหุชัย
(17:5-14)

5 อับซาโลมตรัสว่า "จงเรียกหุชัยคนอารคีเข้ามา เพื่อเราจะฟังเขาจะว่าอย่าง
ไรด้วย" 6 เมื่อหุชัยเข้ามาเฝ้าอับซาโลมแล้ว อับซาโลมจึงตรัสถามเขาว่า
"อาหิโธเฟลว่าอย่างนี้แล้ว เราควรจะทำตามคำแนะนำของเขาหรือไม่ ถ้าไม่
ท่านจงพูดมา" 7 หุชัยจึงกราบทูลอับซาโลมว่า "คำปรึกษาซึ่งอาหิโธเฟลให้
ในครั้งนี้ไม่ดี" 8 หุชัยกราบทูลต่อไปว่า "ฝ่าพระบาททรงทราบแล้วว่าเสด็จพ่อ
และคนที่อยู่ด้วย เป็นทหารแข็งกล้าและเขาทั้งหลายกำลังโกรธเหมือนหมี
ที่ลูกถูกลักเอาไปในป่า นอกจากนั้นเสด็จพ่อของพระองค์ทรงชำนาญศึก พระองค์คงไม่ทรงพักอยู่กับพวกพล 9 ดูเถิด ถึงขณะนี้พระองค์ก็ทรงซ่อนอยู่ใน
บ่อแห่งหนึ่ง หรือในที่หนึ่งที่ใดแล้วเมื่อมีคนล้ม ตายในการสู้รบครั้งแรกใครที่
ทราบเรื่องก็จะกล่าวว่า 'ทหารที่ติดตามอับซาโลมถูกฆ่าฟัน' 10 แม้คนที่กล้าหาญ ที่จิตใจเหมือนอย่างสิงห์ก็จะกลัวลาน เพราะอิสราเอลทั้งสิ้นทราบว่าเสด็จพ่อของ
ฝ่าพระบาท เป็นวีรบุรุษ และคนที่อยู่ก็เป็นทหารที่แข็งกล้า 11 แต่คำปรึกษาของ
ข้าพระบาทมีว่า ขอฝ่าพระบาทรวบรวมอิสราเอลทั้งสิ้น ตั้งแต่ดานถึงเบเออร์เชบา ให้มากมายดั่งทรายที่ทะเล แล้วฝ่าพระบาทก็เสด็จคุมทัพไปเอง 12 เราทั้งหลาย
จะเข้ารบกับเขา ณ ที่หนึ่งที่ใดที่พบกัน และเราจะเข้าโจมตีเหมือนน้ำค้างตกใส่พื้น
ดิน ตัวเขาและคนที่อยู่กับเขาก็จะไม่มีเหลือสักคนหนึ่ง 13 ถ้าเขาจะถอยร่นเข้าไป
ในเมือง คนอิสราเอลทั้งสิ้นก็จะเอาเชือกมาลากเมืองนั้นลง ไปที่ลุ่มแม่น้ำ จนกระ ทั่งก้อนกรวดสักก้อนหนึ่งก็ไม่มีให้เห็นที่นั่น" 14 อับซาโลมและคนอิสราเอลทั้งปวงว่า "คำปรึกษาของหุชัยคนอารคีดีกว่าคำปรึกษา ของอาหิโธเฟล" เพราะพระเจ้าทรง

เราไม่รู้ว่าทำไมอับซาโลมถึงไปขอความเห็นสนับสนุนจากหุชัยอีก หรือว่าเป็นการพิสูจน์ถึงความจงรักภักดี ของเขา? เราคงจำได้ว่า เขาไม่มีเวลาได้ไตร่ตรองว่าควรพูดสิ่งใดเลย เขาถูกนำตัวมาพบอับซาโลม บอกคำ ปรึกษาที่อาหิโธเฟลให้ไว้ และขอคำตอบในทันที คำตอบของหุชัยนั้นล้ำลึกมาก เขาเริ่มด้วยการยอมรับว่า อาหิโธเฟลนั้นเป็นผู้มีสติปัญญาในการให้คำปรึกษามาก แต่เขาบอกต่อไปด้วยว่า คำปรึกษาครั้งนี้ไม่ดีเท่าที่ ควร แน่นอนไม่มีใครสมบูรณ์แบบ ไม่มีใครถูกต้องเสมอทุกทีไป อาหิโธเฟลส่วนมากจะถูก แต่สำหรับครั้งนี้ ไม่ใช่

หุชัยมีแต้มต่อดีอยู่อย่างหนึ่ง : อับซาโลมและทุกคนในอิสราเอลทราบดีว่า เขาเป็นเพื่อนกับดาวิดมานาน แล้ว อับซาโลมจะเชื่อใจคนอย่างนี้ได้อย่างไร? คำปรึกษาของเขาน่าจะมีบางสิ่งแอบแฝง แทนที่จะหลบเลี่ยงเรื่อง นี้ หุชัยกลับใช้เรื่องความเป็นเพื่อนนี่แหละ มาพูดกับอับซาโลม

"ผมเป็นเพื่อนกับดาวิดหรือ? ใช่ เป็นความจริง เราเคยเป็นเพื่อนกันมานาน ก็เพราะ ความเป็นเพื่อนนี่แหละ ที่ทำให้ผมรู้จักตัวตนของดาวิดดี ผมรู้จักเขามากกว่าพวก คุณเสียอีก ดังนั้นผมจึงรู้ดีว่าเขาต้องตอบโต้การกบฎของอับซาโลมแน่ๆ ผมขอ แนะนำแผนการ โดยใช้จากประสบการณ์ที่ผมรู้จักดาวิดดี และจากที่พวกคุณทั้ง หลายรู้เรื่องของท่านดีมาในอดีต"

แผนการของอาหิโธเฟลน่าสนใจ เพราะสามารถเอาชนะดาวิดได้อย่างรวดเร็วและง่ายดาย ไม่ต้องเสียเลือดเสีย เนื้อมาก อับซาโลมไม่ต้องไปด้วยตนเอง เขาควรอยู่ในเยรูซาเล็มกับบรรดาสนมของดาวิด ส่วนอาหิโธเฟลจะ รวบรวบคน 12,000 คน ออกไปตามล่าดาวิดในทันที เมื่อพบแล้ว จะฆ่าเฉพาะดาวิดคนเดียว และนำคนที่เหลือ กลับมามอบให้อับซาโลม แผนการนี้ตั้งอยู่บนการคาดคะเนเสียเป็นส่วนใหญ่ คือคาดว่าดาวิดคงจะเหน็ดเหนื่อย และท้อใจเป็นที่สุด ไม่มีกำลังเหลือที่จะต้านทาน และจะยอมพ่ายแพ้แต่โดยดี แต่ถ้าเป็นการคาดคะเนที่ผิด พลาด แผนทั้งหมดของอาหิโธเฟลจะพังพินาศย่อยยับในทันที

หุชัยท้าทายอาหิโธเฟลที่คิดแผนการจากการคาดเดา เขาเสนอให้มองดาวิดในมุมมองที่ต่างออกไป และแผน ที่นำมาใช้ต่างไปด้วย หุชัยย้ำว่า อาหิโธเฟลประเมินดาวิดต่ำเกินไปจนน่ากลัว ว่าจะไม่มีทางสู้ และไม่มีทาง ปกป้องอาณาจักรเอาไว้ได้ หุชัยย้ำเตือนพวกผู้ใหญ่ของอิสราเอลให้คิดดีๆ ว่าดาวิดเป็นคนอย่างไร เป็นผู้มี ปัญญาเฉียบเแหลม ; เป็นนักรบที่แข็งแกร่งและชำนาญการศึก การกบฎของอับซาโลม ไม่ได้ทำให้ดาวิดสะดุ้ง สะเทือนแต่ประการใด ; แต่กลับทำให้ท่านรู้สึกอยากเอาชนะ ท่านจะเป็นเหมือนแม่หมี ที่ถูกแย่งลูกไป ดาวิด จะสู้อย่างชนิดหัวชนฝา และถ้าอาหิโธเฟลคิดจะเข้าไปในถิ่นทุรกันดาร เพื่อไปจัดการกับดาวิดลำพัง ก็คิดผิด เพราะที่นั่นเป็นถิ่นที่ดาวิดคุ้นเคยดี ท่านใช้เวลาหลบหนีซาอูลอยู่ที่นั่นนานหลายปี อาหิโธเฟลคิดหรือว่า จะพบ ดาวิดนั่งคอยอยู่ท่ามกลางพวกพ้อง? ท่านคงไม่อยู่ให้เห็น และเมื่ออาหิโธเฟลและกองกำลังเล็กๆนี้ไปถึง จะถูก ดาวิดบดขยี้เป็นจุลในพริบตา พ้ายแพ้ยับเยิน พวกทหารของอับซาโลมต่างหาก ที่จะหมดกำลังใจ ไม่ใช่ดาวิด หรือคนของท่านแน่

ถ้าการคาดเดานี้ถูกต้อง (คะเนตามประสบการณ์การศึกที่ดาวิดมีมาในอดีต ) แผนการต้องเปลี่ยนใหม่หมด มัน คงไม่ใช่เรื่องง่ายและรวดเร็วอย่างที่คิดแน่ มันไม่ใช่แค่เรื่องดาวิดตายคนเดียวอีกต่อไป จำต้องใช้กองกำลังที่ ใหญ่กว่านี้ เพื่อจะปราบดาวิดและคนของท่านลงได้ การจะรวบรวมคนจำนวนมาก คงต้องใช้เวลา สมควรจะรอ ไว้ก่อน (ในขณะที่รออยู่ในเยรูซาเล็ม อับซาโลมจะได้มีเวลาอยู่กับสนมของดาวิด) และการนำกองทัพใหญ่ เช่นนี้ คงต้องใช้แม่ทัพที่มีความสามารถมากกว่าอาหิโธเฟล อับซาโลมเองน่าจะเป็นคนเหมาะที่สุด เพราะ สงครามที่ใหญ่เช่นนี้ ต้องมีผู้นำการรบที่ยิ่งใหญ่ด้วย และจะนำมาซึ่งชัยชนะที่ยิ่ิงใหญ่ แผนการแบบนี้ท้าทาย คนที่ชอบขี่รถม้าไปมา แถมมีคนวิ่งนำหน้าถึง 50 คน อับซาโลมเป็นคนขี้โอ่ และแผนของหุชัยเข้าทางพอดี ทำให้แผนของอาหิโธเฟลล้มไป เป็นแผนการที่ละเอียดรอบคอบ รู้เขารู้เรา และดูท้าทายดี เป็นแผนที่พระเจ้า ทรงนำมาใช้ และเป็นแผนการที่ท้าทายอับซาโลมอย่างดีเยี่ยม

แผนของหุชัยทำให้เกิดการรบครั้งใหญ่ ไม่เพียงแต่พวกพ้องของอับซาโลมต้องตายลงมากมาย อับซาโลม เองถูกฆ่าตายด้วย เพื่อการกบฎจะได้จบลง85 แผนของหุชัย เอื้อให้ดาวิดมีเวลาเตรียมตัว -- เพื่อการรบแบบ กองโจร เป็นการรบในถิ่นของท่านเอง ใช้ป่าเป็นทั้งที่ป้องกันและฆ่าผู้ไม่ชำนาญทาง (18:8) แผนของหุชัย ทำให้แผนของอาหิโธเฟลโง่เง่าหมดความหมาย ซึ่งตรงกับที่ดาวิดอธิษฐานทูลขอ (15:31) ทำให้ดาวิดได้ รับการช่วยกู้ และมีชัยเหนือศัตรู

ดาวิดหนีไปยังมาหะนาอิม
(17:15-29)

15 แล้วหุชัยจึงบอกศาโดกและอาบียาธาร์ปุโรหิตว่า "อาหิโธเฟลได้ให้คำปรึกษา อย่างนั้นอย่างนี้แก่อับซาโลม และพวกผู้ใหญ่ของอิสราเอลและข้าพเจ้าได้ให้คำ

ปรึกษา อย่างนั้นอย่างนี้ 16 จงรีบส่งคนไปกราบทูลดาวิดว่า 'คืนวันนี้อย่าพักอยู่ที่ ท่าข้ามไปถิ่นทุรกันดาร อย่างไรก็จงให้เสด็จข้ามไปเสียเกรงว่า พระราชาและ ประชาชนทั้งสิ้นที่อยู่กับพระองค์ จะถูกกลืนไปหมด'" 17 ฝ่ายโยนาธาน และ อาหิมาอัสกำลังคอยอยู่ที่เอนโรเกลแล้ว มีสาวใช้คนหนึ่งเคยไปบอกเรื่องแก่เขา แล้วเขาก็ไปกราบทูลกษัตริย์ดาวิด เพราะเขาไม่กล้าเข้ากรุงให้ใครเห็น 18 แต่มี เด็กหนุ่มคนหนึ่งเห็นเขาทั้งสอง จึงไปทูลอับซาโลม เขาทั้งสองก็รีบไปโดยเร็ว จนถึงบ้านชายคนหนึ่งที่บาฮูริม เขามีบ่อน้ำอยู่ที่ลานบ้าน เขาทั้งสองจึงลงไปอยู่
ในบ่อนั้น 19 หญิงแม่บ้านก็เอาผ้ามาปูปิดปากบ่อ แล้วก็เกลี่ยปลายข้าวตากอยู่บน
นั้น ไม่มีใครทราบเรื่องเลย 20 เมื่อข้าราชการของอับซาโลมมาถึงที่บ้านหญิงคนนี้
เขาก็ถามว่า "อาหิมาอัสกับโยนาธานอยู่ที่ไหน" หญิงนั้นก็ตอบเขาว่า "เขาข้าม
ลำธารน้ำไปแล้ว" เมื่อเขาเที่ยวหาไม่พบแล้วก็กลับไปยังกรุงเยรูซาเล็ม 21 เมื่อคน
เหล่านั้นไปแล้ว ชายทั้งสองก็ขึ้นมาจากบ่อ ไปกราบทูลกษัตริย์ดาวิด เขาทูลดาวิดว่า
"ขอทรงลุกขึ้น และรีบข้ามแม่น้ำไปเพราะอาหิโธเฟลได้ให้คำปรึกษา ต่อสู้อย่างนั้น
อย่างนี้" 22 ดาวิดก็ทรงลุกขึ้น พร้อมกับพวกพลที่อยู่กับพระองค์และข้ามแม่น้ำจอร์
แดน พอรุ่งเช้าก็ไม่มีเหลือสักคนหนึ่ง ที่ยังไม่ได้ข้ามแม่น้ำจอร์แดน 23 เมื่ออาหิโธ เฟลเห็นว่าเขาไม่กระทำตามคำปรึกษา ของท่าน ก็ผูกอานลาขึ้นขี่กลับไปเรือนของ ตนที่อยู่ในเมืองของตน เมื่อสั่งเสียเสร็จแล้วก็ผูกคอตาย เขาจึงเอาศพฝังไว้ที่อุโมงค์
บิดาของท่าน 24 ฝ่ายดาวิดก็เสด็จมายังเมืองมาหะนาอิม และอับซาโลมก็ข้ามแม่น้ำ จอร์แดนพร้อมกับคนอิสราเอล 25 อับซาโลมทรงตั้งอามาสาเป็นแม่ทัพแทนโยอาบ อามาสาเป็นบุตรของชายคนหนึ่งชื่ออิธราคนอิสราเอล ได้แต่งงานกับอาบีกัล บุตรี ของนาหาชน้องสาวของนาง เศรุยาห์มารดาของโยอาบ 26 ฝ่ายคนอิสราเอลและ
อับซาโลม ตั้งค่ายอยู่ในแผ่นดินกิเลอาด 27 เมื่อดาวิดเสด็จมาถึงมาหะนาอิม โชบี บุตรนาหาชชาวเมืองรับบาห์แห่งคนอัมโมน และมาคีร์บุตรอัมมีเอลชาวโลเดบาร์ และบารซิลลัยชาวกิเลอาดจากเมืองโรเกลิม 28 ได้ขนที่นอน อ่างน้ำและเครื่อง
ภาชนะดิน ข้าวสาลี ข้าวบารลี และแป้ง ข้าวคั่ว ถั่ว ถั่วยาง และถั่วแดง 29 น้ำ
ผึ้ง เนย แกะ และเนยแข็งที่ได้มาจากฝูงสัตว์ถวายแด่ดาวิด และให้พวกพลที่อยู่ กับพระองค์รับประทาน เพราะเขาทั้งหลายกล่าวว่า "พวกพลหิวและอ่อนเพลีย และ กระหายอยู่ที่ในถิ่นทุรกันดาร"

ในที่สุด อับซาโลมก็เลือกที่จะทำตามคำแนะนำของหุชัยแทนอาหิโธเฟล แผนของหุชัยเอื้อให้ดาวิดมีเวลา เพิ่ม แต่ก็ทำให้กองทัพที่มาโจมตีนั้นใหญ่ขึ้น นำโดยอับซาโลม จึงจำเป็นที่จะต้องแจ้งให้ดาวิดรู้ตัวโดยด่วน ท่านต้องรีบข้ามแม่น้ำจอร์แดนไป ไปเตรียมการ หาทำเลเหมาะคอยตั้งรับ และหลบซ่อนตัว เมื่ออับซาโลม และกองทัพไปถึง

หุชัยส่งข่าวไปหาศาโดกและอาบียาธาร์ปุโรหิต เพื่อแจ้งให้รู้ถึงคำปรึกษาที่ให้ไว้กับอับซาโลม รวมทั้งคำ ปรึกษาของอาหิโธเฟลด้วย เขาสั่งให้ส่งข่าวผ่านไปทางโยนาธานและอาหิมาอัส ที่รอฟังข่าวอยู่ที่เอนโรเกล ซึ่งเป็นหมู่บ้านเล็กๆ อยู่ต่ำกว่าเยรูซาเล็มลงไป น่าจะเป็นแหล่งน้ำนอกตัวเมือง เพราะจะมีพวกผู้หญิงไปตักน้ำ เป็นประจำ หญิงรับใช้ผู้หนึ่งเป็นคนไปบอกข่าวกับทั้งสอง

คนของอับซาโลมไปเห็นโยนาธานและอาหิมาอัสเข้าพอดี ดูเหมือนเขาจะรู้ว่าทั้งคู่เป็นพวกดาวิด มีการค้นหา คนทั้งสอง เพราะเกรงว่าอาจนำข่าวไปถึงดาวิด ทั้งสองรีบหลบไปยังบ้านของชายคนหนึ่ง ซึ่งเป็นพวกเดียว กัน อยู่ที่บาฮูริม 86 ภรรยาของชายคนนี้ ซ่อนทั้งสองไว้ในบ่อน้ำ และปิดบากบ่อด้วยปลายข้าวตาก ทำให้ไม่มี ทางหาเจอ คนของอับซาโลมมาถึงและออกค้นหา เขาถามผู้หญิงคนนี้ว่าเห็นชายทั้งสองหรือไม่ นางบอกว่า เห็นข้ามลำธารหนีไปแล้ว หนีไป "ตั้งนาน" แล้ว เมื่อคนของอับซาโลมหาจนทั่วไม่พบแล้ว จึงเดินทางกลับ เยรูซา เล็ม บุตรของปุโรหิตทั้งสองรีบไปพบดาวิด แจ้งเรื่องราวต่างๆให้ทราบ ขอร้องให้ท่านข้ามแม่น้ำไปเสีย และไปหาที่ปลอดภัยหลบซ่อนตัว ดาวิดและคนของท่านจึงข้ามแม่น้ำไปตั้งแต่ย่ำรุ่ง (ถ้าเพียงแต่อาหิโธเฟล ออกตามหาดาวิดเย็นก่อนหน้านั้น เรื่องคงจะออกมาอีกแบบ)

อาหิโธเฟลอยู่ในเยรูซาเล็ม นานพอที่จะแน่ใจแล้วว่า คำปรึกษาของเขา อับซาโลมไม่สนใจ เมื่อเขารู้แน่ชัด ว่าคำปรึกษาของหุชัยเป็นที่ยอมรับ ก็รู้ว่าเขานั้นจบลงแล้ว เขาเอาทุกอย่างมาเสี่ยง ด้วยหวังว่าอับซาโลมจะ มีชัยเหนือดาวิด แต่บัดนี้เขารู้แจ้งแก่ใจแล้วว่า อับซาโลมถูกกำหนดให้แพ้ เขาจึงกลับไปบ้าน สั่งเสียทุกสิ่ง และฆ่าตัวตาย เป็นโศกนาฏกรรมของคนทีน่าจะเป็นกำลังสำคัญของบ้านเมืองได้

เมื่ออับซาโลมข้ามแม่น้ำจอร์แดน ออกไล่ล่าดาวิดอย่งกระชั้นชิดนั้น ดาวิดหลบเข้าไปยังเขตมาหะนาอิม เมือง นี้เป็นเมืองที่มีประวัติยาวไกล ยาโคบเป็นผู้ตั้งชื่อเมืองนี้ ในขณะเดินทางกลับสู่ดินแดนแห่งพันธสัญญา ด้วย ความกลัวที่จะต้องเผชิญกับพี่ชาย เอซาว มีทูตสวรรค์มาพบยาโคบ ทำให้ท่านกล่าวว่า "นี่แหละกองทัพของ พระเจ้า" ท่านจึงตั้งชื่อสถานที่แห่งนั้นว่ามาหะนาอิม (แปลว่า "สองหมู่" -- ดูตามหมายเหตุในฉบับแปลของ NASB) คุณว่าดาวิดกลัวที่จะต้องเผชิญหน้ากับอับซาโลมบุตรชายหรือไม่? ท่านคงจำได้ว่า พระเจ้าจะคอยปก ป้องประชากรของพระองค์เสมอ ทรงรักษาพระสัญญา พระประสงค์ ทรงใช้ทูตสวรรค์ด้วย ถ้าพระองค์ต้องการ มาหะนาอิมเคยเป็นที่อาศัยระยะสั้นๆของอิชโบเชท ในช่วงที่อับเนอร์ตั้งเขาขึ้นครองราชย์แทนซาอูลผู้พ่อ (2 ซามูเอล 2:8, 12, 29)

พระเจ้าจัดเตรียมสำหรับดาวิดที่มาหะนาอิม ทั้งสิ่งของที่เป็นรูปธรรมและนามธรรม เมื่อพวกเขาไปถึง มีคน คอยให้ความช่วยเหลืออยู่อย่างเต็มใจ คนแรกคือโชบี บุตรของนาหาช กษัตริย์ของอัมโนน เรื่องนี้เป็นเรื่อง ประหลาดที่สุด ดาวิดและนาหาชเป็นเพื่อนกัน แต่เมื่อนาหาชตายลง และลูกชายขึ้นครอง เขาทำเรื่องขาย หน้า ด้วยการดูหมิ่นเยาะเย้ย คณะบุคคลที่ดาวิดส่งไปเพื่อไว้อาลัยให้กับนาหาช (2 ซามูเอล 10:1) เรื่องนี้ เลยเถิดจนเกิดศึกสงครามระหว่างอิสราเอลและอัมโมนขึ้น ที่จริงสงครามกับอัมโนนครั้งนี้ (โดยเฉพาะการล้อม เมืองรับบาห์ไว้) ทำให้ดาวิดหลีกเลี่ยง ปล่อยให้โยอาบออกไปทำการรบแทน (2 ซามูเอล 11:1) ในที่สุดพวก อัมโมนก็พ่ายแพ้ต่อดาวิด (2 ซามูเอล 12:26-31) ตอนนี้โชบีเป็นผู้ครองบัลลังก์ของอัมโมน และมีใจอยาก ช่วยดาวิดต่อสู้กับอับซาโลม น่าประหลาดนะครับ!

ผู้ที่มาให้ความช่วยเหลือดาวิดที่มาหะนาอิมคนต่อไปคือ มาคีร์บุตรของอัมมีเอล ชาวโลเดบาร์ (17:27) เป็น คนที่รับเมฟีโบเชทมาดูแล หลังจากกษัตรยิ์ซาอูลและโยนาธานสิ้นชีพลง (2 ซามูเอล 9:4-5) สุดท้ายคือ บารซิลลัยคนกิเลอาด เป็นผู้ใหญ่ที่มั่งคั่งและน่านับถือ นำเสบียงมากมายมาให้ดาิวิดและคนของท่าน เราจะ รู้เรื่องของคนๆนี้อีกในบทที่ 19 ข้อ 31-40 ที่เขาให้ทั้งกำลังใจและความช่วยเหลือเช่นไรแก่ดาวิด

ชัยชนะและการสิ้นชีวิตของอับซาโลม
(18:1-18)

1 ดาวิดจึงตรวจพลที่อยู่กับพระองค์ และทรงจัดตั้งนายพันนายร้อยให้ควบคุม
2 และดาวิดทรงจัดทัพออกไป ให้อยู่ในบังคับบัญชาของโยอาบหนึ่งในสาม และในบังคับของอาบีชัยน้องชายของโยอาบ บุตรนางเศรุยาห์หนึ่งในสาม และ อีกหนึ่งในสามอยู่ในบังคับบัญชาของอิททัยคนกัท และพระราชาตรัสกับพวกพล
ว่า "เราจะไปกับท่านทั้งหลายด้วย" 3 แต่พวกพลเหล่านั้นทูลว่า "ขอฝ่าพระบาท
อย่าเสด็จเลย ถ้าข้าพระบาททั้งหลายจะหนีไป เขาทั้งหลายก็ไม่ไยดีอะไรหนัก
หนา ถ้าข้าพระบาททั้งหลายตายเสียสักครึ่งหนึ่ง เขาทั้งหลายก็ไม่ไยดีอะไรแต่
ฝ่าพระบาท มีค่าเท่ากับพวกข้าพระบาทหนึ่งหมื่นคน เพราะฉะนั้นขอฝ่าพระบาท
พร้อมที่จะส่ง กองหนุนจากในเมืองจะดีกว่า" 4 พระราชาตรัสกับเขาทั้งหลายว่า
"ท่านทั้งหลายเห็นชอบอย่างไร เราจะกระทำตาม" พระราชาจึงทรงประทับที่ข้าง
ประตูเมือง และบรรดาพลทั้งหลายเดินออกไปเป็นกองร้อยกองพัน 5 พระราชารับสั่ง
โยอาบ อาบีชัย และอิททัยว่า "เบาๆมือกับชายหนุ่มนั้น ด้วยเห็นแก่เราเถิด คือ
กับอับซาโลม" พวกพลก็ได้ยินคำรับสั่งซึ่งพระราชาประทานแก่ ผู้บังคับบัญชาด้วย
เรื่องอับซาโลม 6 พวกพลจึงเคลื่อนออกไปเพื่อสู้รบกับคนอิสราเอล การสงคราม นั้นทำกันในป่าเอฟราอิม 7 คนอิสราเอลก็พ่ายแพ้แก่ข้าราชการของดาวิด มีการฆ่า ฟันกันอย่างหนักที่นั่น ทหารตายเสียสองหมื่นคนในวันนั้น 8 การสงครามกระจายไป
ทั่วแผ่นดิน ในวันนั้นป่ากินคนเสียมากกว่าดาบกิน 9 เผอิญอับซาโลมไปพบข้าราช
การของดาวิดเข้า อับซาโลมทรงล่ออยู่และล่อนั้นได้วิ่งเข้าไปใต้กิ่ง ต้นก่อหลวงใหญ่ ศีรษะของท่านก็ติดกิ่งต้นก่อแน่น เมื่อล่อนั้นวิ่งเลยไปแล้วท่านก็แขวนอยู่ระหว่างฟ้า
และดิน 10 มีชายคนหนึ่งมาเห็นเข้า จึงไปเรียนโยอาบว่า "ดูเถิด ข้าพเจ้าเห็นอับ
ซาโลม แขวนอยู่ที่ต้นก่อหลวง" 11 โยอาบก็พูดกับชายที่บอกท่านว่า "อะไรนะ
เจ้าเห็นเขาแล้ว ทำไมเจ้าไม่ฟันให้ตกดินเสียทีเดียวเล่า เราก็จะยินดีที่จะรางวัล เงินสิบเหรียญกับสายรัดเอว เส้นหนึ่งให้เจ้า" 12 แต่ชายคนนั้นเรียนโยอาบว่า "ถึงมือของข้าพเจ้าอุ้มเงินพันเหรียญอยู่ ข้าพเจ้าจะไม่ยื่นมือออกทำแก่ราชบุตร เพราะว่าหูของพวกเราได้ยินพระบัญชาของพระราชา ที่ตรัสสั่งท่านและอาบีชัยกับ
อิททัยว่า 'เพื่อเห็นแก่เราขอจงป้องกันอับซาโลมชายหนุ่มนั้น' 13 แต่ถ้าข้าพเจ้า ประทุษร้ายต่อชีวิตของเขา (และไม่มีอะไรจะปิดบังให้พ้นพระราชาได้) แล้วตัวท่าน เองก็คงใส่โทษข้าพเจ้าด้วย" 14 โยอาบจึงว่า "เราไม่ควรเสียเวลากับเจ้าเช่นนี้" ท่านก็หยิบหลาวสามอันแทงเข้าไปที่หัวใจของอับซาโลม ขณะที่ท่านยังมีชีวิตอยู่
ที่ในต้นก่อหลวง 15 ทหารหนุ่มสิบคนที่ถือเครื่องรบของโยอาบ ก็ล้อมอับซาโลมไว้ แล้วประหารชีวิตท่านเสีย 16 โยอาบก็เป่าเขาสัตว์ และกองทัพก็กลับจากการไล่ตาม อิสราเอลเพราะโยอาบยับยั้งเขาทั้งหลายไว้ 17 เขาก็ยกศพอับซาโลมโยนลงไปใน บ่อใหญ่ซึ่งอยู่ในป่า เอาหินกองทับไว้เป็นกองใหญ่มหึมา คนอิสราเอลทั้งสิ้น ต่างก็หนีกลับไปบ้านเรือนของตน 18 เมื่ออับซาโลมยังมีชีวิตอยู่ ได้ตั้งเสาไว้เป็น อนุสรณ์ที่หุบเขาหลวง เพราะท่านกล่าวว่า "เราไม่มีบุตรชายที่จะสืบชื่อของเรา" ท่านเรียกเสานั้นตามชื่อของตน เขาเรียกกันว่าอนุสรณ์อับซาโลมจนทุกวันนี้

เป็นเรื่องที่เลี่ยงไม่ได้จริงๆ ดาวิดอาจไม่ยอมรับความจริง พยายามบ่ายเบี่ยงมานาน แต่ครั้งนี้ท่านหนีไปไม่ได้ อีกแล้ว ; ท่านคงต้องสู้กับกองทัพของบุตรชาย ดาวิดแบ่งกองกำลังของท่านออกเป็นสามส่วน เราไม่ทราบแน่ นอนว่าท่านมีกำลังในมือเท่าใด รู้แต่เพียงว่าเป็นพันๆคน เพราะมีการแบ่งกองกำลังออกเป็นกองพัน และกอง ร้อย โยอาบและอาบีชัยคุมกันคนละกอง ส่วยอิททัยคนกัท คุมกองที่สาม ดาวิดบอกกับทหารว่าท่านจะไปร่วม รบด้วย แต่ประชาชนกลับขอให้ท่านอยู่ที่มาหะนาอิม เพราะถ้าพวกเขาต้องหนี คงไม่สำคัญสำหรับอับซาโลม แต่ถ้ามีดาวิดอยู่ด้วย พวกนั้นจะไม่หยุด จนกว่าจะจับท่านได้และฆ่าเสีย ฉะนั้นท่านอยู่ไกลออกไป ท่าจะดีกว่า

ในขณะที่คนกำลังเดินหน้าจะไปรบเพื่อพระราชา ดาวิดมีคำสั่งสุดท้าย คงไม่ใช่คำสั่งที่ธรรมดา ในขณะที่ทุก คนใจจดจ่ออยู่กับชัยชนะ คงเป็นคนละคำพูดกับที่โยอาบเคยพูด ก่อนออกไปโจมตีซีเรียและอัมโมน:

11 ท่านกล่าวว่า "ถ้ากำลังคนซีเรียแข็งเหลือกำลังของเรา เจ้าจงยกไปช่วยเรา แต่ถ้ากำลังคนอัมโมนแข็งเกินกำลังของเจ้า เราจะยกมาช่วยเจ้า 12 จงมีความ
กล้าหาญเถิด ให้เราเป็นลูกผู้ชายเพื่อชนชาติของเรา และเพื่อหัวเมืองแห่งพระเจ้า ของเราและขอพระเจ้าทรง กระทำตามที่พระองค์ทรงเห็นชอบเถิด" (2 ซามูเอล 10:11-12)

คำสั่ง "ปะทะ" ของดาวิดต่างออกไป : " เบาๆมือกับชายหนุ่มนั้น ด้วยเห็นแก่เราเถิด คืออับซาโลม" (18:5) ทุกคนได้ยินคำสั่งนี้ ซึ่งต่างจากคำแนะนำของอาหิโธเฟลโดยสิ้นเชิง ที่มุ่งหวังแต่จะฆ่าดาวิดคนเดียว และปล่อยทุกคนที่เหลือให้รอด ดาวิดกลับอนุญาติให้ฆ่าประชาชนอิสราเอลได้ แต่ไม่ใช่ลูกชายของท่าน ผู้นำ การกบฎ ท่านสั่งแก่คนที่ยอมสละชีวิตไปสู้รบ แต่ไม่รบให้ได้ชัยชนะ นับเป็นเรื่องน่าสลดใจ

ถึงกระนั้นก็ตาม ทั้งกองทัพก็ต่อสู้อย่างกล้าหาญเพื่อดาวิด กองทัพของอับซาโลมพ่ายแพ้อย่างยับเยิน ไม่ใช่ เพราะฝีมือทหารของดาวิดเพียงอย่างเดียว แต่เป็นป่าด้วย คนของอับซาโลมไม่ชำนาญพื้นที่และยุทธวิธีการ รบเช่นนี้ ทั้งหมด 20,000 คนถูกฆ่าตาย เกลื่อนไปทั่วผืนแผ่นดิน ทหารของอับซาโลมหนีเอาตัวรอด ฝ่ายของ ดาวิดได้ชัยชนะอย่างเด็ดขาด ส่วนฝ่ายของอับซาโลมพ่ายแพ้ยับเยิน

เราไม่รู้แน่ชัดว่าอับซาโลมหนีเอาชีวิตรอดหรือไม่ ดูเหมือนเขาอยู่ตามลำพัง เมื่อล่อที่เขาขี่อยู่ วิ่งลอดไปใต้ กิ่งต้นก่อหลวงใหญ่ และศีรษะของเขาติดอยู่ที่กิ่งไม้นั้น87 คนของอับซาโลมอาจอยากช่วยเหลือ (แต่จำต้อง หนีเอาชีวิตรอด) คนของโยอาบมาเห็นเข้า ไปบอกผู้บังคับบัญชา โยอาบโกรธที่ทหารคนนั้น ไม่ฆ่าอับซาโลม ในทันที ไม่อยากได้เงินรางวัลหรือไง? ทหารคนนั้นไม่กลัวคำตำหนิของโยอาบ เขากลับเตือนโยอาบว่า ดาวิด ท่านแม่ทัพ ได้สั่งห้ามไม่ให้ผู้ใดทำอันตรายอับซาโลมบุตรของท่าน ไม่ว่าโยอาบสัญญาจะตกรางวัล อย่างไร ทหารคนนี้รู้ดีว่า ถ้าดาวิดทราบว่าเขาเป็นผู้ฆ่าบุตรของท่าน คงไม่มีใครยื่นมือไปช่วยแน่ โยอาบทำ เป็นพูดดีไป ทั้งๆที่ดาวิดกำชับสั่งโดยตรง ไม่ให้ฆ่าบุตรของท่าน ถ้่าชายคนนี้ยอมทำตาม รับรอง โยอาบจะ ยืนเฉยทำเป็นทองไม่รู้ร้อน เขาคงต้องรับเคราะห์เพียงผู้เดียวแน่ๆ ไม่มีทางที่ชายคนนี้ จะยอมทำตามคำสั่ง ของโยอาบ โดยฝ่าฝืนคำสั่งของพระราชาโดยเด็ดขาด

โยอาบรู้สึกรำคาญทหารคนนี้เต็มทน มัวแต่ยอมเชื่อฟังคำสั่งพระราชา เห็นทีเขาคงต้องลงมือเอง เขาออก ไปตามหาอับซาโลม ตามทางที่ทหารบอกไว้ เขาใช้หลาวสามอัน แทงไปที่หัวใจของอับซาโลม และทหาร ที่เหลืออยู่ ก็รุมฆ่าอับซาโลมเสีย ศัตรูของดาวิดตายแล้ว

เรื่องนี้ดูแปลกมั้ยครับ ที่โยอาบเป็นคนฆ่าอับซาโลม? โยอาบอุตส่าห์ลงทุนแต่งเรื่อง เพื่อให้อับซาโลมได้กลับ มาบ้าน โยอาบวิ่งเต้นจนอับซาโลมได้รับอิสรภาพ เข้าเฝ้าพระราชาได้ โยอาบทำให้อับซาโลมขนาดนี้ ยังไม่ วายถูกอับซาโลมหักหลัง แย่งชิงบัลลังก์บิดา แต่งตั้งคนอื่นขึ้นมาคุมกองทัพอิสราเอลแทน เช่นกันกับที่ โยอาบได้รับคำสั่งจากดาวิด ให้ไปฆ่าอุรียาห์ในสนามรบ โดยไม่มีการคัดค้าน ผู้คุมกองทัพผู้นี้ ที่ลงมือฆ่าคน ไร้ผิดตามคำสั่งของดาวิด บัดนี้ฝ่าฝืนคำสั่ง ลงมือฆ่าบุตรชายแทน มีคำกล่าวที่เหมาะสมสำหรับตอนนี้ว่า: "ดาบนั้นคืนสนอง" ดาวิดใช้อำนาจในทางที่ผิด ไปแย่งภรรยาของอุรียาห์มา และฆ่าสามีทิ้ง แต่อำนาจที่ท่าน มีอยู่ในมือ ไม่สามารถปกป้องชีวิตบุตรชายของท่านเองจากเงื้อมมือของโยอาบได้ (หรือคนอื่นๆ)

พระคัมภีร์ตอนนี้เป็นเหมือนคำจารึกสำหรับการตายของอับซาโลม ผู้เขียนเคยบันทึกไว้ว่า อับซาโลมไม่มีบุตร ชาย และกลัวว่าตนเองจะถูกลืมเลือน จึงไปสร้างอนุเสาวรีย์ให้กับตนเองที่หุบเขาแห่งกษัตริย์ ด้วยคิดว่า จะ เป็นวิธีที่ชื่อของเขาจะคงอยู่ แต่กลับเป็นว่า อับซาโลมมีบุตรชาย แต่มีใจปรารถนาอยากขึ้นครองราชย์แทน ที่บิดา และก็ได้สมใจ เพียงแค่สองสามวัน แต่คนกลับจำเขาได้ ในฐานะผู้ทรยศ ถูกแขวนให้ตายคากิ่งไม้ เป็น การตายที่สยดสยอง อนุเสาวรีย์ที่เขาสร้างไว้ในหุบเขาแห่งกษัตริย์ ไม่สามารถลบเลือนความเขลา และเรื่อง ความตายอันน่าอัปยศนี้ไปได้

ประกาศข่าวดี
(18:19-33)

19 อาหิมาอัสบุตรศาโดกกล่าวว่า "ขอให้ข้าพเจ้าวิ่งนำข่าวไปทูลพระราชาว่า พระเจ้าทรงช่วยกู้พระองค์ให้พ้นจากมือศัตรูของพระองค์แล้ว" 20 โยอาบก็ตอบ
เขาว่า "ท่านอย่านำข่าวไปในวันนี้เลย ท่านจงนำข่าวในวันอื่นเถิด แต่วันนี้ท่าน
อย่านำข่าวเลย เพราะว่าโอรสสิ้นชีพแล้ว" 21 โยอาบก็สั่งชาวคูชคนหนึ่งว่า "จง นำข่าวไปกราบทูลพระราชา ตามสิ่งที่ท่านได้เห็น" ชาวคูชคนนั้นก็กราบลงคำนับ
โยอาบ แล้วก็วิ่งไป 22 อาหิมาอัสบุตรศาโดกจึงเรียนโยอาบอีกว่า "จะอย่างไร
ก็ช่างเถิด ขอให้ข้าพเจ้าวิ่งตามชาวคูชคนนั้นไปด้วย" โยอาบตอบว่า "ลูกเอ๋ย
เจ้าจะวิ่งไปทำไม ด้วยว่าการส่งข่าวนี้จะไม่มีรางวัลให้แก่เจ้า" 23 เขาตอบว่า
"จะอย่างไรก็ช่างเถิด ข้าพเจ้าจะขอวิ่งไป" โยอาบจึงบอกเขาว่า "วิ่งไปเถอะ" และอาหิมาอัสก็วิ่งไปตามทางที่ราบขึ้นหน้าชาวคูชนั้นไป 24 ฝ่ายดาวิดประทับ อยู่ระหว่างประตูเมืองทั้งสอง มีทหารยามขึ้นไปอยู่บนหลังคาซุ้มประตูที่กำแพง
เมือง เมื่อเงยหน้าขึ้นมองดู เห็นชายคนหนึ่งวิ่งมาลำพัง 25 ทหารยามคนนั้น
ก็ร้องกราบทูลพระราชา พระราชาตรัสว่า "ถ้าเขามาลำพังก็คงคาบข่าวมา" ชายคนนั้นก็วิ่งเข้ามาใกล้ 26 ทหารยามเห็นชายอีกคนหนึ่งวิ่งมา ทหารยามก็ร้อง
บอก ไปที่นายประตูเมืองว่า "ดูซี มีชายอีกคนหนึ่งวิ่งมาแต่ลำพัง" พระราชาตรัสว่า "เขาคงนำข่าวมาด้วย" 27 ทหารยามนั้นกราบทูลว่า "ข้าพระบาทคิดว่าคนที่วิ่งมา ก่อนวิ่งเหมือนอาหิมาอัสบุตรศาโดก" และพระราชาตรัสว่า "เขาเป็นคนดี เขามา
ด้วยข่าวดี" 28 แล้วอาหิมาอัสร้องทูลพระราชาว่า "สวัสดี พ่ะย่ะค่ะ" เขาก็กราบ พระราชาซบหน้าลงถึงพื้นดินกราบทูลว่า "สาธุการแด่พระเยโฮวาห์พระเจ้าของฝ่า
พระบาท พระองค์ได้ทรงมอบบรรดาผู้ที่ยกมือของเขา ต่อสู้กับพระราชาเจ้านาย
ของข้าพระบาทแล้ว" 29 พระราชาตรัสถามว่า "อับซาโลม ชายหนุ่มนั้นสวัสดีอยู่
หรือ" อาหิมาอัสทูลตอบว่า "เมื่อโยอาบใช้ให้ข้าพระบาทมานั้น ข้าพระบาทเห็น
ผู้คนสับสนกันใหญ่ แต่ไม่ทราบเหตุ" 30 พระราชาตรัสว่า "จงหลีกมายืนตรงนี้" เขาจึงหลีกไปยืนนิ่งอยู่ 31 ดูเถิด ชาวคูชนั้นก็มาถึง ชาวคูชนั้นกราบทูลว่า "มีข่าว ดีถวายแด่พระราชาเจ้านายของข้าพระบาท เพราะในวันนี้พระเจ้าทรงช่วยกู้ฝ่าพระ
บาทให้พ้น จากมือของบรรดาผู้ที่ลุกขึ้นต่อสู้ฝ่าพระบาท" 32 พระราชาตรัสถามชาว
คูช นั้นว่า "อับซาโลมชายหนุ่มนั้นเป็นสุขอยู่หรือ" ชาวคูชนั้นทูลตอบว่า "ขอให้ ศัตรูของพระราชาเจ้านายของข้าพระบาท และผู้ที่ลุกขึ้นกระทำอันตรายต่อฝ่าพระ
บาทเป็นเหมือนชายหนุ่มผู้นั้นเถิด" 33 พระราชาทรงโทมนัสนัก เสด็จขึ้นไปบนห้อง
ที่อยู่เหนือประตู และกันแสง เมื่อเสด็จไปพระองค์ตรัสว่า "โอ อับซาโลมบุตรของ
เรา บุตรของเรา อับซาโลมบุตรของเราเอ๋ย เราอยากจะตายแทนเจ้า โอ อับซาโลม
บุตรของเรา บุตรของเราเอ๋ย"

เรื่องก็จบลง อาหิโธเฟลรู้ดีว่า ถ้าดาวิดถูกฆ่า คนที่อยู่ฝ่ายตรงข้ามกับอับซาโลมจะถูกบดขยี้ตามไปด้วย ในทางกลับกัน คนของอับซาโลมล้มตายไปมากมาย กองทัพของเขาพ่ายแพ้ และเมื่อตัวอับซาโลมตาย การกบฎครั้งนี้ ก็ตายตามไปด้วย อย่างที่เราเห็น ทหารของอับซาโลมหนีเอาชีวิตรอดไปคนละทิศละทาง เรื่องจึงจบสิ้นลง! ดาวิดเป็นผู้ชนะ! เป็นวันแห่งชัยชนะอันยิ่งใหญ่

ภาพแห่งการนำทัพกลับมามาหะนาอิมอย่างมีชัย คงเป็นภาพที่ยิ่งใหญ่ คงเป็นเหมือนเมื่อนักกีฬาได้ถ้วย แช็มป์โลกกลับมาบ้าน มีเสียงร้องตะโกนและเฉลิมฉลอง เป็นวันแห่งชัยชนะของคนทั้งประเทศ แต่กษัตริย์ ดาิวิดไม่ได้อยู่ในกองทัพ ท่านกลับเข้าเมือง เพื่อรอฟังผลของสงคราม ทหารที่กลับมาด้วยความยินดีใน ชัยชนะ ไม่ได้คาดคิดเลยว่า กษัตริย์จะไม่รอต้อนรับอยู่ที่ประตูเมือง เพราะท่านทราบเรื่องการสิ้นชีวิตของ บุตรชายแล้ว

มันเริ่มจากที่ทหารของอับซาโลมเริ่มพ่ายแพ้ ตามด้วยการตายของอับซาโลม อาหิมาอัสขอร้องโยอาบให้ตน เองเป็นผู้นำ "ข่าวดี" ไปบอกกับดาวิด โยอาบรู้ว่านี่ไม่ใช่ "ข่าวดี" ของกษัตริย์แน่ ถึงแม้จะเป็นข่าวดีสำหรับ คนอื่นๆก็ตาม โยอาบจึงไม่อยากให้อาหิมาอัสไปมาหะนาอิม เขาส่งคนคูชไปแทน อาหิมาอัสไม่ยอมล้มเลิก ความตั้งใจ ในที่สุดโยอาบจำยอม ให้ไปพร้อมกับคนคูชนั้น ด้วยความกระตือรือร้น (อาจเป็นนักวิ่ง หรืออาจ เลือกเส้นทางที่ลัดกว่า) อาหิมาอัสมาสามารถมาถึงมาหะนาอิมก่อนชาวคูช จากทั้งสองนี้ ดาวิดจึงทราบข่าว การตายอของอับซาโลมบุตรชาย ท่านเป็นทุกข์โศกเศร้ายิ่งนัก

ก่อนที่เราจะเรียนต่อ ผมอยากจะชี้ให้เห็นว่าเรื่องการรายงานข่าวของผู้ส่งสารทั้งสองนี้ กินเนื้อที่มากกว่าเรื่อง สงครามเสียอีก รวมทั้งเรื่องการตายของอับซาโลมด้วย ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น? ทำไมผู้เขียนถึงให้ความสำคัญ กับเรื่องที่อาหิมาอัสอยากไปรายงานข่าวให้ดาวิดมาก? คำตอบนั้นสำคัญ เพราะเป็นเหมือนกุญแจที่ทำให้เรา เข้าใจพระธรรมตอนนี้ได้ดีขึ้น อย่างที่ผู้เขียนต้องการ

ผมตั้งข้อสังเกตุเห็นความยาว (ในเรื่องเนื้อที่) ที่ใช้ไปกับเรื่องผู้ส่งข่าวของพระธรรมตอนนี้ ผมขอชี้ให้เห็น อีกด้วย ในเรื่องความสำคัญของ "ข่าวดี" นี้ ในฉบับของ NASB มีเอ่ยถึงอยู่สี่ครั้งในข้อ 25-31 และยังมีคำ อื่นๆ อีกที่หมายถึง "ข่าว" ซึ่งฟังดูน่าจะเป็นเรื่องข่าวดี คำว่า "ข่าวดี" ในภาษาฮีบรู หมายถึง "ข่าวดี" (ตาม ที่คาดไว้) ผู้แปลฉบับเซปตัวจิ้นท์ใช้คำในภาษากรีก ซึ่งเราพบบ่อยมากในพระคัมภีร์ใหม่ เกี่ยวกับการประกาศ ข่าวประเสริฐขององค์พระเยซูคริสต์ "ข่าวดี" ที่อาหิมาอัสอยากประกาศกับดาวิดคือ พระเจ้าได้ประทานชัย ชนะให้แก่ท่าน ทำให้ท่านมีชัยเหนือศัตรู คืออับซาโลม ด้วยการสิ้นชีวิตของอับซาโลม

ปัญหาก็คือ ดาวิดไม่ต้องการยอมรับว่าข่าวนี้เป็นข่าวดี ลองสังเกตุดูเมื่อผู้ส่งข่าวแต่ละคนมาพบดาวิด ทั้งสอง บอกกับดาวิดว่าเป็นข่าวดีสำหรับท่าน ดาวิดไม่ได้ถามถึงผลของสงคราม ถามแต่เรื่องสวัสดิภาพของบุตรชาย ข่าวดีสำหรับดาวิดคือ อับซาโลมยังไม่ตาย ข่าวดีสำหรับผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องในสงครามคือ อับซาโลมและ พวกพ้องของเขาพ่ายแพ้ และตัวเจ้าปัญหาถูกกำจัดออกไป

โยอาบรู้จักพระราชาดี รู้ดีว่าดาวิดไม่มีทางยอมรับข่าวที่บุตรชายต้องตาย นี่คือเหตุผลที่เขาไม่อยากส่ง อาหิมาอัสให้ไปส่งข่าว นี่คือสาเหตุที่อาหิมาอัสไม่ยอมพูดตรงๆเมื่อดาวิดถามถึงบุตรชาย ดังนั้นเมื่อกองทัพ กลับมาที่มาหะนาอิม พวกเขาจึงไม่พบกษัตริย์คอยอยู่ เพื่อแสดงความยินดีที่รบชนะ แต่พวกเขากลับรับรู้ว่า ดาวิดกำลังคร่ำครวญถึงการตายของอับซาโลม แทนที่พวกเขาจะรู้สึกภาคภูมิใจที่รบชนะ พวกเขากลับรู้สึก อับอายขายหน้า

โยอาบตำหนิพระราชา
(19:1-8)

1 เขาไปเรียนโยอาบว่า "ดูเถิด พระราชากันแสงและไว้ทุกข์เพื่ออับซาโลม"
2 เพราะฉะนั้นชัยชนะในวันนั้นก็กลาย เป็นการไว้ทุกข์ของประชาชนทั้งหลาย เพราะในวันนั้นประชาชนได้ยินว่า "พระราชาทรงโทมนัสเพราะพระราชบุตร
ของพระองค์" 3 ในวันนั้นประชาชนได้แอบเข้ามาในเมืองอย่าง กับคนหนีศึก
แล้วอายแอบเข้ามา 4 พระราชาทรงคลุมพระพักตร์กันแสงเสียงดังว่า "โอ
อับซาโลมบุตรของเราเอ๋ย โอ อับซาโลมบุตรของเรา บุตรของเรา" 5 โย
อาบ ก็เข้ามาในพระราชวังทูลว่า "วันนี้ฝ่าพระบาทได้ทรงกระทำให้ข้าราชการ
ทั้งสิ้นของฝ่าพระบาท ผู้ซึ่งวันนี้ได้อารักขาพระชนม์ของฝ่าพระบาท ทั้งราช บุตรและราชธิดาและชีวิตของบรรดามเหสี และสนมทั้งหลายของฝ่าพระบาท ให้เขาได้รับความละอาย 6 เพราะว่าฝ่าพระบาททรงรักผู้ที่เกลียดชังฝ่าพระบาท และทรงเกลียดชังผู้ที่รักฝ่าพระบาท เพราะในวันนี้ ฝ่าพระบาทได้กระทำให้
ประจักษ์แล้วว่า ฝ่าพระบาทไม่ไยดีต่อนายทหารและบรรดาข้าราชการทั้งหลาย ในวันนี้ข้าพระบาททราบว่า ถ้าในวันนี้อับซาโลมยังมีชีวิตอยู่ และข้าพระบาท
ทั้งหลายก็ตายสิ้น ฝ่าพระบาทก็จะพอพระทัย 7 ขอฝ่าพระบาททรงลุกขึ้น ณ
บัดนี้ขอเสด็จออกไป ตรัสให้ถึงใจข้าราชการทั้งหลาย เพราะข้าพระบาท ได้ ปฏิญาณในพระนามพระเจ้าว่า ถ้าฝ่าพระบาทไม่เสด็จจะไม่มีชายสักคนหนึ่งอยู่ กับฝ่าพระบาทในคืนนี้ เรื่องนี้จะร้ายแรงยิ่งกว่าเหตุร้ายอื่นๆทั้งสิ้น ซึ่งบังเกิด แก่ฝ่าพระบาทตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์จนบัดนี้" 8 พระราชาก็ทรงลุกขึ้น ประทับ
ที่ประตูเมือง เขาไปบอกประชาชนว่า "ดูเถิด พระราชาประทับอยู่ที่ประตูเมือง" ประชาชนทั้งหลายก็มาเฝ้าพระราชา ฝ่ายอิสราเอลนั้นต่างคนต่างก็หนีไปยัง บ้านเรือนของตนหมดแล้ว

นักรบของดาวิด เสี่ยงชีวิตปกป้องกษัตริย์ กลับเดินคอตกด้วยความอาย วันแห่งชัยชนะกลับกลายเป็นวันแห่ง การคร่ำครวญ พวกทหารต้องค่อยๆแอบกลับเข้าเมือง เหมือนกับว่าไปทำผิดมา เหมือนได้เตะลูกโทษหน้า ประตู ห่างไปไม่กี่หลา แต่กลับเตะพลาด ทั้งๆที่ไม่น่าจะพลาด ทำให้ทั้งทีมตกรอบ พวกเขาคงรู้สึกอับอาย เมื่อต้องเดินออกจากสนาม กลับไปหาโค้ช น่าจะเป็นความรู้สึกเดียวกับที่ทหารของดาวิดรู้สึกในตอนนั้น

พระราชาร้องให้คร่ำครวญต่อการตายของอับซาโลม ท่านร้องซ้ำไปซ้ำมาว่า "โอ อับซาโลม บุตรของเรา โอ้ อับซาโลม บุตรของเรา บุตรของเรา!" โยอาบไม่ได้คิดจะไปร่วมร้องให้คร่ำครวญด้วย ที่จริงเขาทน แทบไม่ได้ด้วยซ้ำไป อยากให้หยุดๆเสีย เขาเข้าไปที่บ้าน ไม่ได้แสดงว่าเห็นอกเห็นใจดาวิด ในความคิดของ โยอาบ ดาวิดกำลังทำผิดใหญ่หลวงที่สุดในชีวิต เขายังต้องประสพเคราะห์ที่ยิ่งใหญ่กว่านี้ ที่ไม่เคยต้องเผชิญ มาก่อน

โยอาบตำหนิดาวิด ที่ทำให้ทุกคนที่หนีตามท่านออกจากเยรูซาเล็ม ต้องอับอาย ไม่ใช่แค่พวกทหารเท่านั้น ภรรยาและลูกๆ และนางสนมของท่านด้วย เพราะการตอบสนองของท่าน บ่งบอกว่าท่านกำลังต้องการให้ทุก คนรู้ว่า ท่านรักศัตรูมากกว่าเพื่อนหรือครอบครัว ท่านรักคนที่เกลียดชังท่าน มากกว่าคนที่รักท่าน ท่านไม่ใย ดีกับคนที่ยอมเสี่ยงตายเพื่อปกป้องท่าน โยอาบพูดอย่างตรงไปตรงมาที่สุด : สงสัยดาวิดคงอยากได้ยินว่า ทั้งกองทัพถูกฆ่าตายหมด แต่บุตรชายของท่านยังมีชีวิตอยู่ มากกว่าได้ยินว่าทั้งกองทัพมีชัย แต่บุตรชาย ของท่านสิ้นชีวิต

อันที่จริงโยอาบกำลังสั่งให้ดาวิดทำตาม ควรลุกขึ้น หยุดคร่ำครวญ และออกไปต้อนรับกองทัพที่ประตูเมือง รับนักรบที่เสี่ยงชีวิตเพื่อท่าน ถ้าท่านไม่รีบทำ โยอาบบอกว่าก่อนรุ่งสาง จะไม่มีทหารหลงเหลือเป็นพวกท่าน สักคนเดียว พระราชาทำตามที่โยอาบบอก ท่านไปที่ประตูเมือง และเมื่อทุกคนทราบ ก็รีบมาเข้าเฝ้าท่านใน ทันที ส่วนทหารที่ไปเข้าพวกกับอับซาโลม ต่างหนีตายกลับไปยังบ้านของตน สงครามยุติแล้ว ดาวิดได้ กลับมาเป็นกษัตริย์อิสราเอลอีกครั้งหนึ่ง

บทสรุป

พระธรรมตอนนี้มีเรื่องให้เราเรียนรู้มากมาย ผมเชื่อว่ามีบางสิ่งที่เราสามารถเรียนได้จากแต่ละคนในเรื่อง ผมขอ พูดถึงสักสองสามเรื่อง

เรื่องแรก เราเรียนรู้ได้จากสองตัวร้ายในเรื่อง อับซาโลม และอาหิโธเฟล ทั้งคู่เคยเป็นที่สนิทสนม กับดาวิดมาก่อน ทั้งคู่เลือกจะกบฎต่อดาวิด หมายโค่นล้มราชบัลลังก์ ทั้งคู่คงไม่ใช่คนดีนัก ไม่ใช่คนที่เชื่อ ฟังและทำตามพระบัญญัติ ทั้งคู่ไม่รู้สึกอะไรเลย ที่ยื่นมือไปแตะต้องกษัตริย์ที่พระเจ้าเจิมไว้ ทั้งคู่จบชีวิตลง อย่างน่าสังเวชใจ ทั้งคู่คงต้องเคยเห็นพระหัตถ์ของพระเจ้าที่ทำการผ่านดาวิด ในฐานะกษัตริย์ของพระองค์ ทั้งคู่ยินดีที่จะได้กำจัดท่านออกไป เพื่อจัดตั้ง "อาณาจักร" ของตนเองขึ้น ทั้งคู่เป็นเหมือนมาร และเหมือน อาดัมกับเอวา คือเลือกที่จะไม่ยอมเล่นบทรอง พวกเขาคิดว่าตราบใดที่ดาวิดปกครองอยู่ ชีวิตของพวกเขา ไม่มีทางได้ดี ดังนั้นควรฉกชิงมาให้ได้ตามใจปรารถนา

ทั้งสองคนนี้ อับซาโลมและอาหิโธเฟล ล้มเหลวในการตอบคำถามที่สำคัญที่สุดในชีวิต : "เราจะปรนนิบัติ กษัตริย์องค์ใด?" อับซาโลมและอสหิโธเฟลไม่อยากได้ดาวิดมาเป็นกษัตริย์ ทั้งคู่ต้องการเป็นกษัตริย์ทีปก ครองเหนือชีวิตตนเอง แต่เมื่อปฏิเสธดาวิดในฐานะกษัตริย์ พวกเขาก็ปฏิเสธกษัตริย์ของพระเจ้า จึงเท่ากับ ก่อการกบฎต่อพระเจ้า คนทั้งคู่มีความรู้ความสามารถ แต่ที่สุดแล้ว ความสามารถนั้นไม่เกิดผลเพื่อชีวิตนิรันดร์

คำถามนี้ไม่เคยเปลี่ยนครับ เป็นคำถามก่อนที่จะมีการจัดตั้งกษัตริย์ของอิสราเอล และยังเป็นอยู่จนทุกวันนี้ อาดัมและเอวา ปฏิเสธไม่ให้พระเจ้าเข้ามาสิทธิครอบครองสูงสุดในชีวิตของพวกเขา แต่กลับแสวงหาวิธี ที่ จะอยู่เหนือพระองค์ คนอิสราเอลปฏิเสธไม่ให้พระเจ้ามาเป็นกษัตริย์ปกครอง พวกเขาเรียกร้อง ขอมีกษัตริย์ ที่เป็นมนุษย์เหมือนชาติอื่นๆ (ดู 1 ซามูเอล 8:7) อับซาโลม อาหิโธเฟล และอีกหลายๆคน ที่ก่อกบฎ ต่อ ดาวิด ปฏิเสธไม่ยอมรับกษัตริย์ของพระเจ้า เมื่อพระเยซูคริสต์เสด็จมาบนโลก พระองค์มาในฐานะผู้ครอบ ครองบัลลังก์ของบรรพบุรุษ คือกษัตริย์ดาวิด พระองค์มาในฐานะกษัตริย์ที่พระเจ้าเจิมไว้ แต่กมนุษย์กลับ ปฏิเสธว่าพวกเขาไม่มีกษัตริย์อื่นใด เว้นแต่ซีซาร์ พระเยซูถูกปฏิเสธเมื่อเสด็จมาครั้งแรก ว่าไม่ใช่เป็นกษัตริย์ อิสราเอล เพื่อพระองค์จะทรงแบกรับโทษความบาปของพวกเรา และเตรียมหนทาง ให้เราเข้าสู่อาณาจักร ของพระองค์ได้ ทุกคนที่รับของประทานแห่งการอภัยบาป และชีวิตนิรันดร์ จะได้ครอบครองร่วมกับพระองค์ ตลอดนิรันดร์ พระองค์จะเสด็จกลับมาอีก มาปราบศัตรูลงให้หมดสิ้น และจัดตั้งพระราชบัลลังก์ของพระองค์ บนโลกนี้ ทุกคนที่ต้อนรับพระองค์ ว่าเป็นหนทางความรอดที่องค์พระผู้เป็นเจ้าจัดเตรียมไว้ ว่าเป็นกษัตริย์ ผู้ครอบครอง คนที่ปฏิเสธของประทานสำหรับความรอดนี้ ก็เท่ากับปฏิเสธว่าพระเยซูไม่ได้เป็นกษัตริย์ และ เมื่อพระองค์เสด็จกลับมาอีกครั้ง มนุษย์ทุกคนจะก้มลงกราบพระองค์ ในฐานะกษัตริย์ของพระเจ้า แต่เฉพาะ ผู้ที่ต้อนรับพระองค์เป็นพระผู้เช่วยเท่านั้น จะมีส่วนเข้าในแผ่นดินของพระองค์ ใครเป็นกษัตริย์ของคุณครับ? เป็นคำถามที่สำคัญที่สุดในชีวิตทีเดียวคุณนะครับ

เรื่องที่สอง เราเรียนรู้ได้จากโยอาบ เราอาจเถียงกันว่า โยอาบเป็นผู้ลงมือฆ่าอับซาโลมหรือไม่ โดยขัด คำสั่งดาิวิด หรือว่าอับซาโลมตายเอง ผมคิดว่าที่โยอาบตำหนิกษัตริย์ เรื่องการตอบสนองต่อการตายของ อับซาโลมนั้น ค่อนข้างถูกต้อง โยอาบเป็นผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาของดาวิด แต่เขาทำถูกที่ตำหนิดาวิด บางครั้ง ต้องมีการตักเตือนกันในแบบของพระคัมภีร์ เมื่อมีบาปเกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นผู้ที่มีอาวุโสกว่าหรือไม่ก็ตาม แต่ เราต้องทำด้วยการอธิษฐานอย่างรอบคอบและระมัดระวัง เพื่อการตักเตือนจะเป็นไปอย่างเกิดผล

นอกจากนั้น พระธรรมตอนนี้สอนเราให้ยอมรับคำตักเตือนจากคนที่ด้อยหรืออ่อนอาวุโสกว่า เราสามารถพูด วิพากษ์วิจารณ์การกระทำของโยอาบ แต่ความจริงก็คือ เขาทำถูก ที่กล่าวตักเตือนดาวิด ทุกวันนี้ เรามีเรื่อง พูดคุยกันมากมาย เรือง "การเลี้ยงดูผู้อื่น" และ "การเป็นผู้ให้คำปรึกษา" เราชอบคิดเอาเองว่า เรามีพี่เลี้ยง ของเรา เรามีคนคอยให้คำปรึกษา ซึ่งก็มีความจริงอยู่บ้าง แต่ก็มีสิ่งที่ต้องแก้ใขอีกมาก ประเด็นของผมคือ เราไม่ควรจำกัดคำปรึกษาอยู่เฉพาะในรายชื่อที่เราต้องการเท่านั้น ศัตรูของเรา บางครั้งก็เป็น นักวิจารณ์ที่ดี ที่สุด เพราะเขาไม่เกรงใจเรา ไม่กลัวว่าเราจะโกรธ ไม่สนใจด้วยว่าเราจะคบเขาหรือไม่ พวกเขาอาจพูดในสิ่ง ที่ "เพื่อนสนิท" ของคุณไม่กล้าพูด โยอาบตำหนิดาวิด ดาวิดยอมฟัง และเรียนรู้ ขอให้เราเรียนจากคนที่เรา ไม่ชอบหน้า หรือจากคนที่ไม่ชอบหน้าเราด้วย

เรื่องที่สอง ให้เราเรียนจากมุมมองในการสูญเสียของดาวิด โยอาบทำถูก ที่กล่าวตักเตือนดาวิด เพราะ ดาวิดกำลังสับสนไปหมด คำพูดของโยอาบ ที่บอกว่าดาวิดรักศัตรู และเกลียดชังเพื่อน มัวแต่ไปห่วงใยสวัสดิ ภาพของศัตรู มากกว่าความมั่นคงของประเทศชาติ ที่เขาปกครองอยู่ตามที่พระเจ้ากำหนด ดาวิดห่วงใยคน เพียงคนเดียว หลงลืมละเลยคนอื่นไปหมดสิ้น งานนี้ดาวิดผิดและโยอาบถูก

ดาวิดทำไม่ถูกที่ออกคำสั่งให้เพลาๆมือกับอับซาโลม อับซาโลมน่าจะตายไปตั้งหลายหนแล้ว น่าจะตาย ตั้งแต่คิดวางแผนฆ่าอัมโนน เพราะฝ่าฝืนกฎหมาย น่าจะตายเมื่อคิดกบฎต่อราชบัลลังก์ของบิดา (ตั้งแต่ก่อน พระธรรมตอนนี้) และน่าจะตายตั้งแต่คิดมักใหญ่ใฝ่สูง แสวงฆ่าผู้ที่พระเจ้าเจิมไว้ เพื่อตั้งตนขึ้นเป็นแทน ดาวิด คิดได้อย่างไร ที่ส่งกองทัพออกไปสู้กับกองทัพของอับซาโลม โดยไม่ให้ต่อสู้กับอับซาโลม? ดาวิดเคยใช้ อำนาจในทางที่ผิด ทำให้ผู้ชอบธรรม (เช่นอุรียาห์) ต้องตายลง ตอนนี้ท่านกำลังใช้อำนาจ ในฐานะกษัตริย์ ไว้ชีวิต ผู้ก่อกบฎที่ต้องโทษถึงตาย สามัญสำนึกของดาวิดยุ่งเหยิงตีกันไปหมด ต้องใช้ความหลักแหลมของ โยอาบมาตักเตือน และนำท่านให้คืนสู่สภาพปกติให้ได้

ผมอยากจะบอกว่า สามัญสำนึกของดาวิดอาจสับสนยุ่งเหยิงในตอนนั้น ซึ่งอาจเกิดกับเราได้ในตอนนี้ เพียงแต่เราไม่รู้ตัว ตัวอย่างเช่น เรารู้ดีว่าโลกนี้ และทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัว จะพินาศสูญสิ้นไปได้ภายใน พริบตา แต่เราก็ยังเร่งสะสมมันไว้ให้เยอะๆ เราเร่งสะสมสมบัติในโลก มากกว่าสะสมสมบัติแห่งแผ่นดิน สวรรค์ เรารู้ดี (ด้วยปัญญา) ว่า คนที่หลงหายจะพินาศในบึงไฟนรก ตัดขาดจากพระเจ้า แต่เราก็ยังไม่ คิดจะบอกกับคนเหล่านั้น ไม่คิดจะไปแบ่งปันข่าวประเสริฐ (คือ "ข่าวดี") กับพวกเขา คุณว่าเรามีสามัญ สำนึกและทัศนคติพอๆกับดาวิดในตอนนั้นมั้ยครับ?

เรามองเห็นว่าดาวิดเห็นแก่สวัสดิภาพของบุตร มากกว่าสวัสดิภาพของคนอื่น ไม่ว่าจะเป็นคนในครอบครัว ของท่านเอง หรือประชาชนอิสราเอลทั้งชาติ ในกรณีนี้ ดาวิดกำลังให้ความสำคัญกับ "ครอบครัว" เหนือ สิ่งอื่นใดหรือเปล่า? ดาวิดไม่ยอมจัดการกับความบาปของบุตร อย่างที่เขาสมควรได้รับหรือเปล่า? ดาวิด พยายาม "ช่วยเหลือ" บุตรให้พ้้นผิด เหมือนกับที่เรา ไม่พยายามแก้ใข ลูกที่ดื้อดึงไม่เชื่อฟัง เพราะกลัวว่า เขาจะไม่รักเราเหรือเปล่า? เราปฏิเสธการลงวินัยสมาชิกที่ทำผิด ด้วยกลัวว่าเขาจะหลงหาย หรือไม่ได้ ความช่วยเหลือบางด้านจากเขาอีกหรือเปล่า? ขอให้เราเรียนรู้จากดาวิดว่า สามัญสำนึกเราบางทีก็หดหาย ไปได้อย่างรวดเร็ว โดยไม่ทันรู้ตัว หนทางเดียวที่จะระวังรักษาสามัญสำนึกและทัศนคติของเราให้ถูกต้อง คือให้พระคำเข้ามาคอยหล่อหลอมจิตใจ ให้เรามีกรอบความคิดในแบบของพระเจ้า เพราะเราศึกษาพระวจนะ ขอให้เราเป็นผู้ที่มีพระคำในใจ เพื่อจะมีมุมมองและทัศนติแบบเดียวกันกับพระเจ้า

ท้ายที่สุด เราเรียนรู้มากมายจากควมทุกข์ของดาวิด ช่วงเวลานั้นเป็นช่วงเวลาที่มืดมนที่สุดในชีวิตของ ดาวิด ผมคงไม่สามารถอธิบายถึงความทุกข์ใจที่ดาวิดแบกอยู่ ผมขอใช้คำว่ากดดันแทน ผมเชื่อว่ามีคริส เตียนอีกหลายคนที่อยู่ในภาวะกดดัน ผมขอพูดต่อไปว่า คริสเตียนอาจอยู่ในภาวะกดดันได้ โดย "ไม่ได้ ทำบาป" แต่การกดดันบางทีก็เป็นเพราะบาป (ซึ่งเป็นสาเหตุบางส่วนที่ดาวิดต้องเผชิญ) การกดดันบาง อย่างก็เกิดจากผลของบาปโดยตรง ซึ่งแปลว่าเราเลือกที่จะเข้าไปสู่ภาวะกดดันเอง ทั้งๆที่รู้ถึงรากปมของมัน ผมคงไม่ขอเจาะลึกมากนักเรื่องความกดดัน ที่เกิดจากความบาป ทั้งนอกและในตัวของมันเอง

หลายปีมาแล้ว มีผู้รับใช้อาวุโสท่านหนึ่ง ยืนขึ้นในระหว่างการนมัสการ อ่านพระธรรมตอนที่พระเยซูอธิษฐาน อยู่ในสวนเกทเสมนี เขากล่าว (ที่จริงเขาอ่านจากฉบับแปลใหม่ล่าสุด) ว่าพระเยซูทรงอยู่ในสภาวะกดดัน ผมทำเรื่องขายหน้าครับ ด้วยการยืนขึ้นและโต้เถียงกับผู้รับใช้ท่านนั้น ผมบอกเขาว่าความกดดันเป็นบาป เพราะฉะนั้นไม่มีทางเป็นได้ ที่พระเยซูจะอยู่ภายใต้ความกดดัน เราอยู่ในภาวะกดดันได้โดยไม่ทำบาป ผมเชื่อ ว่าดาวิดรู้สึกกดดัน และเพราะความกดดันนี้เอง ที่ทำให้ความคิดจิตใจของท่าน สับสนจนทำอะไรไม่ถูก

สิ่งที่ผมอยากให้คุณสังเกตุดู คือพระเจ้าทรงไว้ชีวิตดาวิด และประทานชัยชนะเหนืออับซาโลมให้ ถึงแม้ดาวิด จะรู้สึกกดดัน ถึงแม้ท่านจะออกคำสั่ง ไม่ให้ทหารทำร้ายอับซาโลม พระประสงค์และแผนการของพระเจ้า ไม่มี วันล้มไปเพราะความบาป และแน่นอนไม่ใช่เพราะความกดดัน มีบางเวลา บางโอกาสที่ความเชื่อของดาวิด ตก ต่ำลงจนถึงขีดสุด สิ่งนี้เป็นตัวการขัดขวางพระประสงค์ของพระเจ้าได้หรือ? ไม่มีทางครับ!

ผมพูดเรื่องนี้ขึ้นมาเพราะมีเหตุผลสำคัญมาก มีการสอนและเสนอแนวคิดกันอย่างแพร่หลายในคริสตจักร ว่าพระเจ้าไม่สามารถทำการของพระองค์ภายใต้ความกดดันได้ คำสอนในเรื่องความคิดเชิงบวกของทุกวันนี้ เป็นตัวการด้วย คือสอนว่าถ้าเรามองในแง่ดี สิ่งดีต่างๆก็จะตามมา ถ้าเรามีแนวโน้มคิดในเชิงร้าย เรากำลังมี ปัญหา นี่คือสิ่งที่สอนกันอยู่ในปัจจุบัน ฟังดูเป็นแนวคริสเตียนดี คล้ายกับว่าถ้าเรามีความเชื่อพอ พระเจ้าจะ กระทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่เพื่อเรา ถ้าเราขาดความเชื่อ เราจะได้รับผลแห่งความทุกข์และความโศกเศร้า

มีมุมมองที่ผิดอยู่มากมายในคำสอนนี้ เราให้ความสำคัญในเรื่องพระพรกับตัวเราเองมากไป เราเอาพระพร ของพระเจ้ามาบวกเข้ากับความเชื่อ กับการเชื่อฟัง และการมีทัศนคติที่ดี แต่พอต้องเผชิญความกดดัน (ซึ่ง ต้องมีมาแน่) เราไม่มีความหวังในคำสอนนั้นหลงเหลืออยู่เลย เราคิดว่าพระเจ้าไม่สามารถทำการใดๆได้ เมื่อเราอยู่ในภาวะกดดัน ดังนั้นเราจึงต้องมีความเชื่อเต็มเปี่ยม และมีสันติสุขอยู่ตลอดเวลา บ่อยครั้งที่ คริสเตียนหลอกตนเองและคนรอบข้าง ว่ามีสันติสุข มีความชื่นชมยินด ีและมีความเชื่ออยู่เต็มเปี่ยม เพราะ คนรอบข้างคาดหวังจากเรา ในขณะนั้น ดาวิดไม่มีสันติสุข ไม่มีความชื่นชมยินดี หรือมีความเชื่อเหลืออยู่เลย ท่านอยู่ในภาวะที่จิตใจตกต่ำที่สุด ถึงกระนั้นก็ตาม พระเจ้าทรงทำให้พระประสงค์ และพระสัญญาของพระ องค์สำเร็จไป ทั้งๆที่ดาวิดอยู่ในภาวะสับสนที่สุด พระเจ้าทรงจัดเตรียมเพื่อนในยามยากให้ดาวิดหลายคน พระองค์ทรงให้หุชัย ไปทำให้คำปรึกษาของอาหิโธเฟลฟั่นเฝือไป ทรงใช้โยอาบไปกำจัดอับซาโลมและเป็นผู้ ไปตักเตือนดาวิด พระเจ้าทรงทำงานภายในชีวิตของดาวิด ไม่ใช่เพราะท่านมีความเชื่ออยู่เต็มเปี่ยม มีความ ชื่นชมยินดี และมีความหวังอยู่ในตอนนั้น แต่เป็นเพราะพระองค์ทรงสัตย์ซื่อในพระสัญญาของพระองค์

ผมขอเจาะลึกเรื่องความกดดันนี้ออกไปอีกหน่อย หลายครั้งคนที่กำลังมีความกดดัน มุมมองของเขาจะผิด ปกติ -- พวกเขามองบางอย่างในชีวิตไม่ออก แต่ก็มีบางครั้ง ที่ความกดดันช่วยทำให้เราเข้าใจชีวิตได้ดีขึ้น เรามีความมั่นใจในตัวเองมากเกินหรือเปล่า มั่นใจว่าเรามีความสามารถ มีความชอบธรรม และมีความเชื่อใน แบบของตัว? คุณเชื่อมั้ยว่า ความกดดันจะกวาดทุกสิ่งที่คุณมั่นใจนี้ไปได้หมด? คนที่มีความเชื่อมั่นในตนเอง สูง มีความสุขมาก ประสพความสำเร็จในแทบทุกเรื่อง มักหลอกตนเองถึงแหล่งที่มาของสิ่งเหล่านี้ ดาวิดมอง เห็นชีวิตชัดเจนเมื่อท่านอยู่บนยอดหอคอยของความสำเร็จ มากกว่าเมื่อท่านดำดิ่งลงสู่ความอัปยศ ดาวิดไม่ อาจวางใจในตนเองได้ในสภาพที่สิ้นหวัง สิ่งเดียวที่ท่านทำได้คือมอบวางไว้ที่องค์พระผู้เ็ป็นเจ้า พักพิงและ มีความหวังในพระองค์

ผมได้กล่าวไปแล้วว่า พระเจ้าทรงทำงานในชีวิตของดาวิดมากในช่วงที่ท่านอยู่ภายใต้ความกดดัน ผมขอบอก ต่อไปอีกว่า พระเจ้าทรงทำงานผ่านชีวิตของท่านในภาวะกดดันมากเช่นกัน ผมไม่อาจหาข้อพิสูจน์มาสนับ สนุนสิ่งที่พูดนี้ได้ แต่ผมจินตนาว่าพระธรรมสดุดีของดาวิดหลายๆบท ถูกเขียนขึ้นจาก "ปลักแห่งความระทม" หลายบทเขียนขึ้นในยามสิ้นหวัง ขณะที่ดาวิดพูดถึงความกลัว ความสิ้นหวัง ความกดดันที่มีต่อพระเจ้า ท่าน กลับพบความหวัง รับการช่วยเหลือ เมื่อท่านระลึกถึงพระเจ้าที่ท่านกำลังทูลขออยู่ ในขณะที่เขียนพระธรรม สดุดีนี้ ดาวิดได้ช่วยเหลือผู้อื่นผ่านความสิ้นหวังของท่าน บ่อยครั้ง ขณะที่เราคร่ำครวญ เรามีทุกข์ เราจะมอง เห็นชีวิตชัดเจนขึ้น วางใจในพระเจ้ามากยิ่งขึ้น ถ้าเป็นเช่นนี้ การทนทุกข์ และความกดดันต่างๆ ก็น่าจะเป็น มิตรยิ่งกว่าเป็นศัตรู สิ่งใดก็ตาม ที่นำเราเข้าใกล้พระเจ้ามากยิ่งขึ้น คือมิตรแท้ของเรา

ผมแน่ใจว่าขณะที่ผมพูดเรื่องราวเหล่านี้ ผมกำลังพูดอยู่กับคนที่กำลังอยู่ภายใต้ความกดดันบางประการ บาง คนอาจไม่รู้ตัว และไม่อยากยอมรับ อาจเป็นเพราะบางคน ผมก็ด้วย ที่ไปคิดว่าความกดดันคือความบาปอย่าง หนึ่ง และคุณไม่อยากรู้สึกผิดเพราะความบาปนี้ แต่ก็มีหลายคนอยู่ท่ามกลางการกดดัน และยอมรัับได้ หลาย คนอายที่จะยอมรับ และไม่กล้าแบ่งปันให้คนอื่นฟัง ผมขอบอกอย่างง่ายๆว่า พระเจ้าทรงทำงานในชีวิตของ ดาวิด ไม่ว่าท่านจะอยู่ในสภาพใด ในสภาพกดดัน พระองค์ก็ทรงทำได้

ผมขอจบลงด้วยคำตรัสขององค์พระเยซูคริสต์:

1 ครั้นทอดพระเนตรเห็นคนมากดังนั้น พระองค์ก็เสด็จขึ้นไปบนภูเขาและ
เมื่อประทับแล้ว เหล่าสาวกของพระองค์มาเฝ้าพระองค์ 2 แล้วพระองค์
จึงตรัสสอนเขาว่า 3 "บุคคลผู้ใด รู้สึกบกพร่องฝ่ายวิญญาณ ผู้นั้นเป็นสุข เพราะแผ่นดินสวรรค์เป็นของเขา 4 "บุคคลผู้ใดโศกเศร้า ผู้นั้นเป็นสุข เพราะว่าเขาจะได้รับการทรงปลอบประโลม (มัทธิว 5:1-4)

28 บรรดาผู้ทำงานเหน็ดเหนื่อยและแบกภาระหนัก จงมาหาเรา และเรา
จะให้ท่านทั้งหลาย หายเหนื่อยเป็นสุข 29 จงเอาแอกของเราแบกไว้
แล้วเรียนจากเรา เพราะว่าเราสุภาพและใจอ่อนน้อม และจิตใจท่านทั้ง
หลายจะได้พัก 30 ด้วยว่าแอกของเราก็พอเหมาะ และภาระของเราก็เบา"
(มัทธิว 11:28-30)


85 ผมอดคิดไม่ได้ว่า แผนการที่ขยายกองกำลังของอับซาโลมให้ยิ่งใหญ่ กลับกลายเป็นอุปสรรคอย่างใหญ่ หลวงต่อการรบ คนของดาวิดล้วนแล้วแต่เป็นนักรบที่เก่งกล้าและชำนาญการศึก เคยร่วมรบกับท่านมาในอดีต สิ่งที่กองทัพของอับซาโลมต้องเผชิญคือ นักรบที่ชำนาญทั้งการรบ และพื้นที่ กองกำลัง "อาสาสมัคร" ที่จะ ไปกับอับซาโลมนี้ ไม่ชำนาญการรบ ขาดประสบการณ์ และขาดวินัย เมื่อมีผู้นำคนใหม่ อ่อนประสบการณ์ เหมือนกับน้องน้อยในวงการ ที่ด้อยคุณภาพทั้งตัวผู้นำและผู้ตาม แถมไม่เคยผ่านฝึกซ้อมมาก่อน

86 บาฮูริมอยู่ไม่ไกลจากเยรูซาเล็ม เป็นที่ซึ่งพัลทิเอล สามีคนที่สองของมีคาลได้รับอนุญาติให้มาส่งได้ (2 ซามูเอล 3:14-16) อีกทั้งยังเป็นบ้านของชิเมอี คนที่สาปแช่งเอาหินปาดาวิด ตอนกำลังอพยพออกจาก เยรูซาเล็ม

87 นอกจากที่เราคิดว่าผมของอับซาโลมเกี่ยวติดกับต้นไม้แล้ว ในพระคัมภีร์บอกว่าศีรษะของเขาติดกิ่งต้นก่อ แน่น ถ้าใครอยู่ในเหตุการณ์ จะเห็นว่าอับซาโลมติดแน่นจนดิ้นไม่หลุด ถ้าไม่มีใครไปเห็นเข้า เขาคงต้องตาย อยู่ดีเพราะถูกป่ากิน ไม่จำเป็นที่คนของดาวิดต้องลงไม้ลงมือ

Related Topics: Bibliology (The Written Word)

Report Inappropriate Ad