MENU

Where the world comes to study the Bible

บทที่ 15: เพื่อนแท้ หรือ รอยน้ำตา (2 ซามูเอล 15:13 —16:23)

คำนำ

ตอนที่ผมกำลังเป็นวัยรุ่น ครอบครัวผมไปซื้อบ้านพักตากอากาศอยู่ในถิ่นที่สำหรับตกปลา เป็นบ้านพักอาศัย จริงของเจ้าของเดิม พ่อผมตั้งชื่อบ้านหลังนี้ว่า "อุทยานนักบุกเบิก" ปกติพ่อผมมีเพื่อนมาก แต่พอเรามีบ้าน ตากอากาศริมน้ำหลังนี้ จำนวนเพื่อนของท่าน "เพิ่มขึ้น" อีกหลายเท่าตัว ส่วนใหญ่เราจะคิดค่าใช้จ่ายเล็ก น้อย สำหรับครอบครัวที่ต้องการมาว่ายน้ำ มาปิกนิก หรือมาขอใช้ห้องน้ำ (นอกบ้าน) เรามีเตาปิ้งย่างนอกบ้าน (ผมมีหน้าที่ จัดหา ตัดลากกิ่งไม้มา) บ่อยครั้งจะมีรถมาจอดหน้าบ้าน แต่แทนที่จะยอมจ่ายค่าผ่านประตู แค่ 50 เซ็นต์เอง เขากลับบอกว่า : "แค่อยากแวะมาทำความรู้จัก… ." เด็กๆที่นั่งมาในรถ ใส่ชุดว่ายน้ำมาเรียบ ร้อย ท้ายรถมีตะกร้าปิกนิกใหญ่ขนอาหารมาเต็มเพียบ แถมบางคันมีรถพ่วงบันทุกเรือมาด้วย (กะว่าจะไม่ยอม เสียค่าจอดเรือที่ท่าน้ำบ้านเราเลย)

เราทุกคนมี "เพื่อน" รวมทั้งเพื่อนแท้ด้วย สิ่งที่แยกอย่างแรกออกจากอย่างหลังคือ ความทุกข์ยาก เมื่อ เผชิญความทุกข์ "เพื่อน" จะเป็นตัวพิสูจน์ พระธรรมตอนนี้ เราจะเห็น "เพื่อน" ของดาวิดบางคน และเพื่อน แท้ของท่าน ความทุกข์ที่ท่านต้องเผชิญ ทำให้เห็นชัดว่าใครเป็นเพื่อนแบบใด

คงจำกันได้ถึงบาปล่วงประเวณี ที่ดาวิดทำต่อนางบัทเชบา ภรรยาของอุรียาห์ และนำไปจนถึงบาปฆาตรกรรม อุรียาห์ด้วย หลังจากที่พระเจ้าเตรียมใจดาวิดไว้ สำหรับการสำนึกผิด (ดูสดุดี 32:3-4) นาธันมาพบดาวิด ด้วย เรื่องที่กระทบใจอย่างแรง ท่านรู้สึกโกรธและต้องการลงโทษผู้กระทำผิด นาธันจึงชี้ให้ท่านเห็นถึงบาปที่ท่าน ทำไว้กับบัทเชบาและอุรียาห์ แต่ให้ความมั่นใจว่า ท่านไม่ถึงตาย เพราะบาปของท่านถูกนำไปเสีย แต่ท่าน จะต้องได้รับผลบาปที่เกิดตามมา ด้วยใจที่เจ็บปวดอย่างแสนสาหัส :

10 เพราะฉะนั้นดาบนั้นจะไม่คลาดไปจากราชวงศ์ของ เจ้าเพราะเจ้าได้ดูหมิ่นเรา เอาภรรยาของอุรีอาห์คนฮิตไทต์มาเป็นภรรยาของเจ้า' 11 พระเจ้าตรัสดังนี้ว่า 'ดู

เถิด เราจะให้เหตุร้ายบังเกิดขึ้นกับเจ้า จากครัวเรือนของเจ้าเอง และเราจะเอา ภรรยาของเจ้าไปต่อหน้าต่อตาเจ้า ยกไปให้แก่เพื่อนบ้านของเจ้า ผู้นั้นจะนอน ร่วมกับภรรยาของเจ้าอย่างเปิดเผย 12 เพราะเจ้าทำการนั้นอย่างลับๆ แต่เราจะ

กระทำการนี้ต่อหน้า อิสราเอลทั้งสิ้นและอย่างเปิดเผย'" 13 ดาวิดจึงรับสั่งกับนาธัน

ว่า "เรากระทำบาปต่อพระเจ้าแล้ว" และนาธันกราบทูลดาวิดว่า "พระเจ้าทรงให้อภัย บาปของฝ่าพระบาทแล้ว ฝ่าพระบาทจะไม่ถึงแก่มรณา 14 อย่างไรก็ตาม เพราะฝ่า

พระบาทได้เหยียดหยามพระเจ้าอย่าง ที่สุดด้วยการกระทำครั้งนี้ ราชบุตรที่จะประสูติ มานั้นจะต้องสิ้นชีวิต" (2 ซามูเอล 12:10-14)

บุตรนั้นได้สิ้นชีวิตไปแล้ว บุตรสาวถูกพี่ชายต่างมารดาข่มขืน อัมโนนถูกอับซาโลมฆ่าตาย อับซาโลมลี้ภัย ไป อยู่กับปู่ กษัตริย์เมืองเกชูร์ และอยู่ที่นั่นเป็นเวลาสองปี จนกระทั่งโยอาบ ใช้กลอุบายล่อลวง บังคับดาวิดให้ ต้องจำยอม นำตัวกลับมาเยรูซาเล็ม ดาวิดกักบริเวณอับซาโลมให้อยู่แต่ในราชวัง จนทำให้เขาทนต่อไปอีก ไม่ไหว ดิ้นรนจนได้รับอิสรภาพ ในที่สุดสามารถไปไหนมาไหนได้ตามใจชอบ หลังจากได้อิสรภาพแล้ว อับซาโลมกลับใช้มันไปในทางที่ผิด หันเหจิตใจของคนอิสราเอลไปจากดาวิด ให้มาที่ตนแทน เมื่อเห็น สมควรแล้ว เขาขอนุญาติดาวิดไปที่เมืองเฮโบรน ด้วยเหตุผลว่าจะไปแก้บน แต่ความจริงแล้ว ไปก่อการกบฎ ต่อต้านดาวิดที่นั่น ตั้งตนขึ้นเป็นกษัตริย์แทน

เมื่อมาถึงบทเรียนตอนนี้ ข่าวมาถึงดาวิดว่าประชาชนไปเข้าพวกกับอับซาโลมจนหมดสิ้น และกำลังจะมาล้ม ล้างราชบัลลังก์ ดาวิดตัดสินใจหนีออกจากเยรูซาเล็ม พร้อมผู้ติดตาม มีหลายคนตามไปเป็นเพื่อน (และมี บางคนสมัครใจอยู่ที่เยรูซาเล็ม) สิ่งนี้แหละ คือการพิสูจน์ ว่าใครคือเพื่อนแท้ของดาวิด

การเข้าสู่บทเรียน

ผมคิดว่าผู้เขียนกำลังชี้โครงร่างของพระธรรมตอนนี้ให้เราเห็น โดยเรียงทั้งตามประวัติศาสตร์ และภูมิศาสตร์ เมื่อดาวิดหนีออกจากเยรูซาเล็ม ท่านมุ่งขึ้นเหนือและไปทางตะวันตก จนถึงถิ่นทุรกันดาร ซึ่งอยู่ทางตะวันตก ของแม่น้ำจอร์แดน ท่านคอยอยู่ที่นั่นจนกว่าจะรู้แผนการของอับซาโลม เมื่อท่านรู้ว่า อับซาโลมจะตามมาโจมตี ท่านข้ามแม่น้ำจอร์แดนและมุ่งขึ้นเหนือ โครงร่างของพระธรรมจะจัดเรียงไปตามที่ๆดาวิดหยุดพัก จากเยรูซา เล็ม ไปจนถึงถิ่นทุรกันดาร ฉากแรกอยู่ที่กรุงเยรูซาเล็ม ดาวิดได้ยินเรื่องที่เกิดขึ้นในเฮโบรน และตัดสินใจหนี ฉากสุดท้ายจบลงที่เยรูซาเล็ม เมื่ออับซาโลมมาถึง และเข้ายึดครองนางสนมทั้งสิบ ที่ดาวิดทิ้งไว้ที่พระราชวัง ฉากที่สองจะเป็นที่ "บ้านหลังสุดท้าย" ในระหว่างที่ดาวิดหนีออกจากเยรูซาเล็ม ฉากที่สามคือที่ลำธาร ขิดโรน และที่สี่คือทางขึ้นบนภูเขามะกอกเทศ ฉากที่ห้าอยู่บนยอดเขาเขามะกอกเทศ และที่หกอยู่ีที่บาฮูริม ในที่แต่ละแห่ง จะมี "เพื่อน" คือบรรดาเพื่อนแท้ของท่านทั้งหลายมาขอพบ

ฉาก 1: ที่พระราชวังในเยรูซาเล็ม
(15:13-16)

13 ผู้สื่อสารคนหนึ่งมาเฝ้าดาวิดกราบทูลว่า "ใจของคนอิสราเอล ได้คล้อยตาม

อับซาโลมไปแล้ว" 14 แล้วดาวิดรับสั่งแก่บรรดาข้าราชการที่อยู่กับพระองค์ ณ

เยรูซาเล็มว่า "จงลุกขึ้นให้เราหนีไปเถิด มิฉะนั้นเราจะหนีไม่พ้นจากอับซาโลม

สักคนเดียว จงรีบไป เกรงว่าเขาจะตามเราทันโดยเร็วและนำเหตุร้ายมาถึงเรา และทำลายกรุงนี้เสียด้วยคมดาบ" 15 ข้าราชการของพระราชาจึงกราบทูลพระรา

ชาว่า "ดูเถิด ข้าพระบาทพร้อมที่จะกระทำตามสิ่งซึ่งพระราชาเจ้านาย ของข้า พระบาทตัดสินพระทัยทุกประการ" 16 พระราชาก็เสด็จออกไปพร้อมกับคนในราช

สำนัก ของพระองค์ด้วย เว้นแต่นางสนมสิบคนได้ทรงละไว้ให้เฝ้าพระราชวัง

มีผู้สื่อสารมาหาดาวิด พร้อมกับข่าวที่ไม่น่าอภิรมย์นัก : "ประชาชนเอาใจไปเข้ากับอับซาโลมแล้ว" ผมเดาว่า ดาวิดคงพอจะรู้อยู่ในใจ ว่าไม่ช้าก็เร็ว เรื่องแบบนี้ต้องเกิดขึ้น ท่านคงไม่ถึงกับหูหนาตาบอด จนไม่รู้ว่าอับซา โลมกำลังทำอะไร และหวังสิ่งใดอยู่ หวังขึ้นแทนที่ท่าน ดาวิดไม่สงสัยในเรื่องที่ได้ยินสักนิด ที่จริงท่านกลับ บอกว่า ถ้าไม่รีบหนี ไม่เพียงแต่เยรูซาเล็มจะถูกอับซาโลมโจมตีเท่านั้น แต่กษัตริย์และข้าราชการในราชสำนัก จะเดือดร้อนแน่นอน

ให้ดูข่าวที่ผู้สื่อสารรายงาน ไม่ได้พูดเรื่องอับซาโลม "เป่าเขาสัตว์" และประกาศตนขึ้นเป็นกษัตริย์เลยสักนิด (ดู 15:10) และไม่มีการพูดถึงอับซาโลมยกพลเข้ามาโจมตีเยรูซาเล็มด้วย น่าจะเป็นที่เข้าใจกันได้ เพราะถ้า ยังไม่เกิดขึ้นตอนนั้น อีกไม่นานเกิดแน่ ต้องรีบดำเนินการบางอย่างทันที

ดูเหมือนดาวิดจะรีรอ จนกระทั่งพวกข้าราชสำนักต้องบอกว่าพร้อมแล้วที่จะทำตามทุกอย่าง ขอแต่เพียงสั่ง การมา ผมขอคิดว่า น่าจะรวมถึงการป้องกันดาวิดและกรุงเยรูซาเล็มจากการโจมตีของอับซาโลมด้วย แต่ แทนที่จะสั่งให้เตรียมการตั้งรับ ดาวิดกลับสั่งให้เตรียมหนีออกจากเยรูซาเล็ม คนนี้ใช่คนเดียวกับที่เคยลุกขึ้น สู้กับโกลิอัทหรือเปล่า ในขณะที่ไม่มีใครกล้าสักคน? แม้กระทั่งกษัตริย์ซาอูล คนๆนี้หรือเปล่า เมื่อถูกนาบาล พูดจาหยาบหยาม (1 ซามูเอล 25) โกรธถึงขนาดจะไปฆ่านาบาล และผู้ชายทุกคนในครัวเรือนให้หมดสิ้น เหตุใดดาวิดจึงอยากหนี มากกว่าอยู่ต่อสู้?

สิ่งแรกเราต้องเข้าใจก่อน ในการหนีออกจากเยรูซาเล็ม ดาวิดไม่ได้พูดว่าท่านจะสละราชบัลลังก์ เหตุนี้ท่าน จึงทิ้งนางสนมทั้งสิบไว้ เพื่อให้ "เฝ้าพระราชวัง" (15:16) ท่านเพียงแต่ละจากเมืองมา แต่ไม่ได้ละจากราช บัลลังก์ อับซาโลมออาจเข้ามายึดไว้ แต่ไม่มีผล เพราะดาวิดไม่ได้กล่าวว่าจะสละราชสมบัติ นางสนมทั้งสิบ เป็นสัญลักษณ์ว่าดาวิดยังปกครองอยู่เหนืออิสราเอล

มีเหตุผลหลายประการ ที่ดาวิดตัดสินใจหนีออกจากเยรูซาเล็ม ถึงแม้ไม่ได้ประกาศสละราชบัลลังก์ ประการ แรกดาวิดรู้อยู่แล้ว ว่าพระเจ้าจะให้เกิดเหตุร้ายขึ้นในแผ่นดิน ในครัวเรือนของท่านเอง ถ้าการกบฎของอับซา โลมเป็นส่วนหนึ่งของการตีสอนที่มาจากพระเจ้า ดาวิดไม่แน่ใจว่าท่านควรต่อต้านหรือไม่ ถ้าเป็นแผนการของ พระเจ้า ถ้าท่านต่อสู้ศึกครั้งนี้ จะเป็นการต่อสู้กับพระเจ้าหรือเปล่า? ดาวิดต้องการจะคอย จนกว่าจะรู้ว่าท่าน ต้องทำอย่างไร :

25 แล้วพระราชาตรัสสั่งศาโดกว่า "จงหามหีบของพระเจ้ากลับเข้าไปใน

เมืองเถิด หากว่าพระเจ้าทรงพอพระทัยเรา พระองค์จะทรงโปรดนำเรากลับ

มา ให้เห็นทั้งหีบนั้นกับที่ประทับของพระองค์ด้วย 26 แต่ถ้าพระองค์ตรัสว่า

'เราไม่พอใจเจ้า' ดูเถิด เราอยู่ที่นี่ ขอพระองค์ทรงกระทำกับเราตามที่พระ

องค์ ทรงโปรดเห็นชอบเถิด" 27 พระองค์ตรัสกับศาโดกปุโรหิตด้วยว่า "ท่าน

เป็นผู้พยากรณ์หรือ จงกลับเข้าไปในเมืองโดยสวัสดิภาพ พร้อมกับบุตรชายทั้ง สองของท่านคืออาหิมาอัสบุตรของท่าน และโยนาธานบุตรของอาบียาธาร์

28 ดูก่อนท่าน เราจะคอยอยู่ที่ท่าข้ามไปถิ่นทุรกันดาร จนจะมีข่าวมาจากท่าน

ให้เราทราบ" (2 ซามูเอล 15:25-28)

นอกจากนั้น ดาวิดอาจเป็นห่วงความปลอดภัยของคนที่อาศัยอยู่ในเยรูซาเล็ม ท่านกำลังทำให้พวกเขาตกอยู่ ในอันตราย โดยต้องลุกขึ้นมาต่อสู้ปกป้องเมืองไว้หรือเปล่า? จากสดุดี 51:18 เราคงเข้าใจว่ากำแพงเมือง เยรูซาเล็มอาจยังไม่เสร็จสมบูรณ์ ทำให้ยากแก่การป้องกันตนเอง และที่แน่ที่สุด ดาวิดรักอับซาโลม ท่าน ไม่ต้องการให้มีการต่อสู้ เสียเลือดเสียเนื้อเกิดขึ้น (ดู 2 ซามูเอล 18) จะต่อสู้ไปทำไม ในเมื่อไม่ต้องการชัย ชนะ? อับซาโลมพร้อมและต้องการฆ่าดาวิด และคนอื่นๆด้วยถ้าจำเป็น ; ดาวิดไม่ต้องการฆ่าอับซาโลม ท่าน จึงเลือกหนี แทนการต่อสู้

ฉากสอง: ที่ "บ้านหลังสุดท้าย""
(15:17-22)

17 พระราชาก็เสด็จออกไป พลทั้งสิ้นก็ตามพระองค์ไปและเสด็จประทับที่บ้านสุดท้าย78

18 บรรดาข้าราชการทั้งสิ้นเดินผ่านพระองค์ไป บรรดาคนเคเรธีและคนเปเลท กับคนกัท หกร้อยคนที่ติดตามพระองค์มาจากเมืองกัท ได้เดินผ่านพระราชาไป 19 พระราชาจึงตรัส

สั่ง อิททัยคนกัทว่า "ทำไมเจ้าจึงไปกับเราด้วย กลับเถิดไปอยู่กับพระราชา เจ้าเป็นแต่

คนต่างด้าว และถูกเนรเทศมาด้วย จงกลับไปบ้านเมืองของเจ้าเถิด 20 เจ้าเพิ่งมาถึงเมื่อ

วานนี้ และวันนี้ควรที่เราจะให้เจ้าไปมากับเราหรือ ด้วยเราไม่ทราบว่าจะไปที่ไหน จงกลับ

ไปเถิด พาพี่น้องของเจ้าไปด้วย ขอความรักมั่นคงและความสัตย์จริงจงมีกับเจ้าเถิด" 21 แต่อิททัยทูลตอบพระราชาว่า "พระเจ้าทรงพระชนม์อยู่แน่ฉันใด และพระราชาเจ้านาย ของข้าพระบาททรงพระชนม์ อยู่แน่ฉันใด พระราชาเจ้านายของข้าพระบาทเสด็จประทับ

ที่ไหน จะสิ้นพระชนม์หรือทรงพระชนม์ ข้าพระบาทขอไปอยู่ที่นั้นด้วย" 22 ดาวิดก็รับสั่ง

กับอิททัยว่า "จงผ่านไปเถิด" อิททัยชาวเมืองกัทจึงผ่านไปพร้อมกับ บรรดาพรรคพวก

ของเขา ทั้งผู้ใหญ่และเด็ก

ดูเหมือนดาวิดและคนที่ต้องการหนีไปกับท่าน กำลังดำเนินการเรื่องการหนีออกจากเมือง ณ ที่ "บ้านหลัง สุดท้าย" ดาวิดหยุดพัก และอนุญาติให้บรรดาผู้ที่มาด้วย เดินล่วงหน้าไปก่อน น่าจะเป็นบ้านหลังสุดท้าย ที่ ภรรยาและบุตรของท่านอาศัยอยู่ที่ในเยรูซาเล็ม ดูเหมือนจะเป็นบ้านหลังสุดท้าย "ก่อนออกนอกเขตเมือง" ดาวิดหยุดพักที่รอบนอกของตัวเมือง เพื่อให้คนที่ติดตามมา ล่วงหน้าไปก่อน ซึ่งเป็นโอกาสที่ดาวิดต้องการ ให้คนที่ต้องการจะเปลี่ยนใจ กลับไปได้

ที่นี่เอง ที่ "เพื่อนเก่าผู้สัตย์ซื่อ" ของท่านมาหา ซึ่งก็มีชาวเคเรธี ชาวเปเลท และคนกัท มีการพูดถึงคนเคเรธี และคนเปเลทไปแล้วในตอนต้น (8:18) และต่อมา (23:22-23) ใน 2 ซามูเอล พวกเขาเป็นคนต่างชาติ ไม่ ใช่คนอิสราเอล โดยการนำของเบนานียาห์ คนพวกนี้น่าจะเป็นเหมือนกองทหารเกียรติยศของดาวิด หรือเป็น องครักษ์ส่วนตัว มีหน้าที่ปกป้องความปลอดภัยให้กับกษัตริย์ 79 "คนกัท" เป็นชาวฟิลิสเตียที่มาจากเมืองกัท โกลิอัทเป็นชาวเมืองกัทที่เรารู้จักกันดี (ดู 2 ซามูเอล 21:19) คนกลุ่มนี้เป็นกลุ่มแรกที่จงรักภักดีต่อดาวิด เป็น พวกที่ติดตามท่าน ขณะหนีออกจากเยรูซาเล็ม เป็นคนต่างชาติ -- ต่างศาสนา และไม่ใช่พึ่งมาติดตามนะครับ เป็นพวกที่อยู่กับดาวิดมาตลอดตั้งแต่เมื่อครั้งหลบหนีซาอูล อยู่ในแผ่นดินฟิลิสเตีย คนพวกนี้ "ตามท่านมา จากเมืองกัท" (15:18)

นอกจากผู้ติดตามที่ซื่อสัตย์ต่างชาติกลุ่มใหญ่นี้แล้ว ยังมีชายอีกคนหนึ่ง เป็นคนต่างศาสนาเหมือนกัน แต่เป็น คนเพิ่งมาถึง่80 เป็นชาวกัทชื่ออิททัย ผู้เขียนให้ความสำคัญโดยกล่าวถึงอิททัยอยู่หลายข้อ (19-22) คนๆนี้ คงจะต้องทั้งจงรักภักดี และมีความสามารถพอที่ดาวิดจะให้คุมกองกำลังได้ในบทที่ 18 81 มีเหตุผลอยู่หลาย ประการ ที่อิททัยรู้สึกว่าตนเองมีหน้าที่ ต้องติดตามดาวิดไป เขาเป็นคนต่างชาติ -- คงไม่ใช่เรื่องการสู้รบ เพราะดูเหมือนเขาเพิ่งมาถึง เนื่องด้วยเขามีผู้ติดตาม หรือญาติพี่น้อง "อายุน้อย" อยู่ด้วยหลายคน จะเป็น ภาระ และเสี่ยงอันตรายเกินไป ถ้าดาวิดจะถูกอับซาโลมไล่ตาม

ดาวิดเรียกอิททัยมาพบส่วนตัว ขอให้เขากลับไปอยู่ในเยรูซาเล็ม หรือไม่ก็กลับบ้านเกิด เขาไม่สมควรมาสู้รบ ไม่สมควรเอาชีวิตคนอื่นมาเสี่ยง ดาวิดขอให้เขาเลิกติดตาม แต่อิททัยไม่ยอมล้มเลิกความตั้งใจ ไม่ยอมทิ้ง ดาวิด คำตอบที่เขาตอบดาวิด คล้ายคลึงกับที่นางรูธตอบนาโอมี :

16 แต่รูธตอบว่า "ขอแม่อย่าวิงวอนให้ฉันจากแม่หรือเลิกติดตามแม่ไปเลย เพราะแม่จะไปไหนฉันจะไปด้วย และแม่จะอาศัยอยู่ที่ไหนฉันก็จะอยู่ที่นั่นด้วย ญาติของแม่จะเป็นญาติของฉัน และพระเจ้าของแม่ก็จะเป็นพระเจ้าของฉัน 17 แม่ตายที่ไหนฉันจะตายที่นั่น และจะขอให้ฝังฉันไว้ที่นั่นด้วย ถ้ามีอะไรมาพราก ฉันจากแม่นอกจากความตาย ก็ขอพระเจ้าทรงลงโทษฉัน และให้หนักยิ่ง"

(นางรูธ 1:16-17)

21 แต่อิททัยทูลตอบพระราชาว่า "พระเจ้าทรงพระชนม์อยู่แน่ฉันใด และ พระราชา เจ้านายของข้าพระบาททรงพระชนม์ อยู่แน่ฉันใด พระราชา เจ้านายของข้าพระบาทเสด็จประทับที่ไหน จะสิ้นพระชนม์หรือทรงพระชนม์ ข้าพระบาทขอไปอยู่ที่นั้นด้วย" (2 ซามูเอล 15:21)

ความปรารถนาที่อิททัยต้องการติดตามดาวิด น่าจะมากกว่าความชอบพอเป็นส่วนตัว ; ดูเป็นส่วนหนึ่งของ ความเชื่อ เพราะเขาเริ่มต้นด้วยคำพูดว่า "พระเจ้าทรงพระชนม์อยู่แน่ฉันใด … ." ผมเชื่อว่าอิททัยมีส่วน คล้ายนางรูธ เป็นผู้ที่มีความเชื่อในพระเจ้าของอิสราเอลอย่างแท้จริง ไม่เคยคิดที่จะกลับไปบ้านเกิด ไปกราบ ไหว้พระเดิมที่เคยปรนนิบัติมาก่อน

ฉากสาม: ณ ลำธารขิดโรน
(15:23-29)

23 เมื่อพลเดินผ่านไปเสีย ชาวเมือง นั้นทั้งสิ้นก็ร้องไห้เสียงดัง พระราชาก็เสด็จข้าม

ลำธารขิดโรน และพลทั้งหมดก็ผ่านเข้าทางไปถิ่นทุรกันดาร 24 และนี่แน่ะศาโดกก็มา ด้วยพร้อมกับคนเลวีทั้งสิ้น หามหีบพันธสัญญาของพระเจ้ามา และเขาวางหีบของพระ

เจ้าลง ฝ่ายอาบียาธาร์ก็ขึ้นมาจนประชาชนออกจากเมืองไปหมด 25 แล้วพระราชา ตรัส

สั่งศาโดกว่า "จงหามหีบของพระเจ้ากลับเข้าไปในเมืองเถิด หากว่าพระเจ้าทรงพอพระ

ทัยเรา พระองค์จะทรงโปรดนำเรากลับมาให้เห็นทั้งหีบนั้นกับที่ประทับของพระองค์ด้วย

26 แต่ถ้าพระองค์ตรัสว่า 'เราไม่พอใจเจ้า' ดูเถิด เราอยู่ที่นี่ ขอพระองค์ทรงกระทำ กับเราตามที่พระองค์ ทรงโปรดเห็นชอบเถิด" 27 พระองค์ตรัสกับศาโดกปุโรหิตด้วยว่า "ท่านเป็นผู้พยากรณ์หรือ จงกลับเข้าไปในเมืองโดยสวัสดิภาพ พร้อมกับบุตรชายทั้งสอง ของท่านคืออาหิมาอัสบุตรของท่าน และโยนาธานบุตรของอาบียาธาร์ 28 ดูก่อนท่าน เราจะคอยอยู่ที่ท่าข้ามไปถิ่นทุรกันดาร จนจะมีข่าวมาจากท่านให้เราทราบ" 29 ฝ่าย ศาโดกกับอาบียาธาร์จึง หามหีบของพระเจ้ากลับไปยังกรุงเยรูซาเล็มและพักอยู่ที่นั่น

เมื่ออกจากเยรูซาเล็ม ดาวิดและผู้ติดตาม ต้องเดินลงไปยังหุบเขาขิดโรน และขึ้นไปบนภูเขามะกอกเทศ ที่อยู่อีกฝั่ง ฉากที่สามเกิดขึ้นที่หุบเขาขิดโรนนี้ หลังจากข้ามลำธารขิดโรนมาแล้ว ศาโดกปุโรหิตมาถึงพร้อม กับพวกเลวี หามหีบพระบัญญัติมา เขาวางหีบพระบัญญัติลง และรอให้บรรดาผู้ที่ตามมาจากเยรูซาเล็ม ข้ามไปก่อน ดาวิดกล่าวแก่ศาโดก สั่งให้ท่านนำหีบแห่งพระเจ้ากลับไปกรุงเยรูซาเล็ม ถ้าพระเจ้าทรงสถิตย์ กับดาวิด พระองค์จะให้ดาวิดได้กลับคืนสู่เยรูซาเล็ม ไปสู่สถานที่พระองค์เลือกให้ดาวิดอาศัย ถ้าพระเจ้า ไม่ได้สถิตย์กับท่าน ดาวิดรู้ดีว่าหีบพระบัญญัติไม่สามารถช่วยอะไรท่านได้

ทำให้หวนระลึกถึง 1 ซามูเอล 4 ที่อิสราเอลกำลังพ่ายแพ้ต่อชาวฟิลิสเตีย ประชาชนไปหามหีบแห่งพระเจ้า มา โดยคิดว่าจะมีการอัศจรรย์ทำให้พวกเขาชนะ แต่อิสราเอลกลับพ่ายแพ้ บุตรทั้งสองของเอลีถูกฆ่า และ พวกฟิลิสเตียยึดหีบแห่งพระเจ้าไป จบลงที่เอลีล้มลงสิ้นใจ เมื่อได้ยินว่าบุตรทั้งสองตาย และหีบแห่งพระเจ้า ถูกศัตรูยึดไป ดาวิดไม่ได้เห็นว่าหีบแห่งพระเจ้าเป็นเครื่องลางของขลัง ว่าพระเจ้าจะช่วยกู้ให้พ้นภัยผ่านหีบ ดาวิดเห็นว่าหีบแห่งพระเจ้าสมควรอยู่ในเยรูซาเล็ม ท่านจึงไม่คิดจะนำติดตัวไป

นอกจากนี้ ดาวิดรู้ดีว่าศาโดกไม่เป็นแต่เพียงปุโรหิต แต่เป็นผู้เผยพระวจนะด้วย (ในสมัยนั้นเรียกผู้เผยพระ วจนะว่าผู้พยากรณ์ -- ดู 1 ซามูเอล 9:6-9) หมายความว่าข้อมูลที่ศาโดกบอกดาวิดนั้นไว้ใจได้ เพราะใครๆ ย่อมต้องการข้อมูลจากผู้เผยพระวจนะ มากกว่าแหล่งอื่นใด ศาโดกต้องอยู่กับหีบแห่งพระเจ้าที่เยรูซาเล็ม และต้องอยู่เก็บข้อมูลภายใน เพื่อรายงานความเป็นไปให้ดาวิดทราบ ศาโดกสามารถใช้บุตรทั้งสองของท่าน อาหิมาอัสและโยนาธาน รายงานแผนการของอับซาโลมให้ดาวิดที่รอฟังข่าวอยู่ ก่อนเข้าสู่ถิ่นทุรกันดาร เป็น วิธีเดียวที่ดาวิดจะสามารถตัดสินใจได้ ว่าควรหนีเข้าไปในถิ่นทุรกันดาร รออยู่ที่เดิม หรือ กลับคืนสู่เยรูซาเล็ม

ฉากสี่: ขึ้นสู่ยอดเขามะกอกเทศ
(15:30-37)

30 ฝ่ายดาวิดเสด็จขึ้นไปตามทางขึ้นภูเขามะกอกเทศ เสด็จพลางกันแสงพลาง มีผ้าคลุมพระเศียรเสด็จโดยพระบาทเปล่า และประชาชนทั้งสิ้นที่อยู่กับพระองค์ ก็เอาผ้าคลุมศีรษะเดินไปพลางร้องไห้พลาง 31 มีคนมากราบทูลดาวิดว่า "อาหิ โธเฟลอยู่ในพวกคิดกบฏของอับซาโลมด้วย" ดาวิดกราบทูลว่า "ข้าแต่พระเจ้า ขอทรงโปรดให้คำปรึกษาของอาหิโธเฟลฟั่นเฝือไป" 32 อยู่มาเมื่อดาวิดมาถึง ยอดซึ่งเป็นที่นมัสการพระเจ้า ดูเถิด หุชัยตระกูลอารคีได้เข้ามาเฝ้า มีเสื้อผ้า ฉีกขาดและดินอยู่บนศีรษะ 33 ดาวิดตรัสกับเขาว่า "ถ้าเจ้าไปกับเราเจ้าจะเป็น

ภาระแก่เรา 34 แต่ถ้าเจ้ากลับเข้าไปในเมืองและกล่าวกับอับซาโลมว่า 'ข้าแต่

พระราชา ข้าพระบาทขอถวายตัวเป็นข้าของฝ่าพระบาท ดังที่ข้าพระบาทเป็น ข้าของพระราชบิดาของ ฝ่าพระบาทมาแต่กาลก่อนฉันใด ข้าพระบาทขอเป็น ข้าของฝ่าพระบาทฉันนั้น' แล้วเจ้าจะกระทำให้คำปรึกษาของอาหิโธเฟลพ่าย

แพ้ไป เพื่อเห็นแก่เรา 35 ศาโดกกับอาบียาธาร์ปุโรหิต ก็อยู่กับเจ้าที่นั่นมิใช่

หรือ สิ่งใดที่เจ้าได้ยินในพระราชวัง จงบอกให้ศาโดกกับอาบียาธาร์ทราบ 36

ดูเถิด บุตรสองคนของเขาก็อยู่ด้วย คืออาหิมาอัสบุตรศาโดก และโยนาธานบุตร

อาบียาธาร์ ดังนั้นเมื่อท่านได้ยินเรื่องอะไรจงใช้เขามา บอกเราทุกเรื่องเถิด"

37 หุชัยสหายของ ดาวิดจึงกลับเข้าไปในเมือง พอดีกับอับซาโลมกำลังเสด็จ

เข้ากรุงเยรูซาเล็ม

เป็นฉากที่น่าเศร้าอย่างแท้จริง ดาวิดเดินขึ้นภูเขามะกอกเทศ ร้องไห้ไปตลอดทางจนถึงยอดเขา มีผ้าคลุม หน้าและเดินเท้าเปล่า บรรดาคนที่ติดตามก็ทำเช่นเดียวกัน มีคนมารายงานดาวิดว่า อาหิโธเฟลไปเข้าพวก กับอับซาโลมแล้ว นับเป็นข่าวร้่ายที่สุด เพราะคำปรึกษาของอาหิโธเฟล ป็นที่เชื่อถือได้ :

23 ในสมัยนั้น คำปรึกษาของอาหิโธเฟลที่ทูลถวาย เหมือนกับเป็นพระบัญชาของ

พระเจ้า ทั้งดาวิดและอับซาโลมจึงทรงนับถือ คำปรึกษาของอาหิโธเฟลมาก

(2 ซามูเอล 16:23)

ขณะที่เรื่องของอาหิโธเฟลเป็นการสูญเสียที่สำคัญยิ่งของดาวิด แต่ไม่เป็นที่น่าประหลาดใจ ดูได้จากพระ ธรรมสองข้อนี้ :

3 ดาวิดทรงใช้คนไปไต่ถามเรื่องผู้หญิงคนนั้น คนหนึ่งมากราบทูลว่า "หญิงคนนี้ชื่อ

บัทเชบา บุตรีของเอลีอัม ภรรยาของอุรีอาห์คนฮิตไทต์มิใช่หรือพ่ะย่ะค่ะ" ?"

(2 ซามูเอล 11:3)

34 เอลีเฟเลทบุตรอาหัสบัยชาวมาอาคาห์ เอลีอัม บุตรอาหิโธเฟล ชาวกิโลห์

(2 ซามูเอล 23:34)

จากพระคำสองข้อนี้ ทำให้เรารู็้ว่าเอลีอัมเป็นบุตรของอาหิโธเฟล ชาวกิโลห์ และบัทเชบาเป็นบุตรสาวของ เอลีอัม พูดง่ายๆก็คือ บัทเชบาเป็นหลานปู่ของอาหิโธเฟล ทำให้เราไม่ต้องคิดนาน ว่าทำไมอาหิโธเฟลจึงทิ้ง ดาวิดไปเข้าพวกกับอับซาโลมผู้เป็นบุตร ที่หวังจะแย่งชิงราชบัลลังก์ แม้จะต้องฆ่าผู้เป็นบิดาก็ยอม? อาหิโธเฟล คงรู้สึกกับดาวิด แบบเดียวกับที่อับซาโลมรู้สึกกับอัมโนน82

ดาวิดตอบสนองต่อข่าวนี้ด้วยการหันหาพระเจ้า อธิษฐานทูลขอให้พระองค์บิดเบือนคำปรึกษาของอาหิโธเฟล เสีย พระเจ้าทรงตอบคำอธิษฐานของท่านในเวลาไม่นานนัก ดาวิดยังไม่ทันจบคำอธิษฐานดี เพื่อนที่ซื่อสัตย์ ของท่าน หุชัยชาวอารคีก็มาถึง เสื้อผ้าขาดวิ่น มีผงคลีดินอยู่บนศีรษะ เป็นเครื่องหมายแสดงถึงการคร่ำครวญ อย่างทุกข์ใจ เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องร้ายแรงที่สุด หุชัยพร้อมที่จะไปทุกหนแห่งกับดาวิด แต่ดาวิดเปลี่ยนความ ตั้งใจของเขา พระราชาบอกกับหุชัยว่า ถ้าเขาตามไป จะเป็นการเพิ่มภาระ หุชัยสามารถช่วยได้มากกว่านี้ ด้วย การกลับไปเยรูซาเล็ม ไปทำทีเข้าพวกช่วยเหลืออาหิโธเฟล ด้วยวิธีนี้ หุชัยจะอยู่ในฐานะร่วมให้คำปรึกษา คู่กันกับกับอาหิโธเฟล ดาวิดบอกหุชัยด้วยว่า ศาโดกและอาบียาธาร์ ปุโรหิตเป็นฝ่ายเดียวกัน เมื่อศาโดกและ อาบียาธาร์ได้ยินเรื่องใดจากพระราชวัง ทั้งสองจะส่งข่าวไปถึงดาวิด โดยผ่านทางบุตรทั้งสอง อาหิมาอัสบุตร ของศาโดก หรือโยนาธาน บุตรของอาบียาธาร์ หุชัยจึงกลับเข้าเยรูซาเล็ม ไปถึงพอดีกับที่อับซาโลมมาถึง

ฉากห้า: บนยอดเขามะกอกเทศ
(16:1-4)

    ศิบา เมฟีโบเชท และดาวิด

1 เมื่อดาวิดเสด็จเลยยอดเขาไปหน่อยหนึ่ง ศิบามหาดเล็กของเมฟีโบเชทก็เข้ามา

เฝ้าพระองค์ มีลาคู่หนึ่งผูกอานพร้อม บรรทุกขนมปังสองร้อยก้อน องุ่นแห้งร้อยพวง และผลไม้ฤดูร้อนอีกหนึ่งร้อย กับเหล้าองุ่นหนึ่งถุงหนัง 2 พระราชาตรัสกับศิบาว่า "เจ้านำสิ่งเหล่านี้มาทำไม" ศิบาทูลตอบว่า "ลาคู่นั้นเพื่อราชวงศ์จะได้ทรงขนมปัง และผลไม้ฤดูร้อนสำหรับชายฉกรรจ์รับประทาน และเหล้าองุ่นเพื่อผู้ที่อ่อนเปลี้ยอยู่

กลาง ถิ่นทุรกันดารจะได้ดื่ม" 3 พระราชาตรัสว่า "บุตรเจ้านายของเจ้าอยู่ที่ไหนเล่า" ศิบากราบทูลพระราชาว่า "ดูเถิด ท่านพักอยู่ในเยรูซาเล็ม เพราะท่านว่า 'วันนี้พงศ์พันธุ์ อิสราเอลจะคืนราชอาณาจักร บิดาของเราให้แก่เรา'" 4 แล้วพระราชาตรัสกับศิบาว่า

"ดูเถิด บัดนี้ทรัพย์สมบัติของเมฟีโบเชทก็ตกเป็นของเจ้า" และศิบากราบทูลว่า "ข้าพระบาทขอกราบถวายบังคมข้าแต่ พระราชาเจ้านายของข้าพระบาท ขอข้า พระบาทเป็นที่โปรดปรานของฝ่าพระบาท"

ดาวิดและบรรดาผู้ติดตามได้ขึ้นไปถึงยอดเขามะกอกเทศ ที่นั่นท่านได้พบศิบา ผู้รับใช้ของเมฟีโบเชท เรารู้ จักศิบาครั้งแรกใน 2 ซามูเอล 9 ศิบาเป็นข้าราชการของกษัตริย์ซาอูล และเมื่อดาวิดต้องการรักษาสัญญา ที่ท่านมีต่อโยนาธาน ท่านต้องหาเชื้อสายของซาอูลให้พบ เพื่อจะได้ทำตามคำขอร้องของโยนาธาน มีคน เอ่ยชื่อศิบา ผู้เคยเป็นคนรับใช้ของซาอูล ศิบาถูกเรียกให้มาเข้าเฝ้า เขาเล่าเรื่องเมฟีโบเชทให้ดาวิดฟัง ดาวิดจึงนำเมฟีโบเชทมาเลี้ยงดู ให้ร่วมโต๊ะเสวย และจัดให้อยู่สมกับตำแหน่งบุตรหลานเชื้อสายของซาอูล ดาวิดเลือกให้ศิบาและครอบครัว มีหน้าที่ดูแลเมฟีโบเชท อย่างที่เคยทำมา ก่อนซาอูลสิ้นชีวิต

เราได้พบศิบาอีกครั้ง ครั้งนี้ศิบานำเสบียงสำหรับการเดินทางมาให้ดาวิด ดาวิดถามศิบาว่าทำเช่นนี้ทำไม ศิบา ตอบว่าเพื่อใช้เป็นอาหารสำหรับพระราชาและผู้ติดตาม เพราะหนทางข้างหน้าลำบากยากเย็น 83 ดาวิดถาม ถึงเจ้านายของศิบา เมฟีโบเชท ศิบาตอบว่าเมฟีโบเชทเข้าไปที่เยรูซาเล็ม ด้วยความหวังว่าจะได้ราชบัลลังก์ ของซาอูลบิดาคืนมา ฟังจากที่ศิบาเล่า ดาวิดนำสิ่งที่ท่านมอบให้เมฟีโบเชท มามอบให้กับศิบาและครอบครัว แทน

ฉากหก: ที่บาฮูริม -- ถูกชิเมอีเอาหินขว้าง
(16:5-14)

5 เมื่อกษัตริย์ดาวิดเสด็จมายังตำบลบาฮูริม มีชายคนหนึ่งอยู่ในตระกูลวงศ์วานซาอูล ชื่อชิเมอีบุตรเก-รา เขาออกมาเดินพลางด่าพลาง 6 และเอาหินขว้างดาวิด และขว้าง บรรดาข้าราชการ ของกษัตริย์ดาวิด พวกพลและชายฉกรรจ์ทั้งสิ้นก็อยู่ข้างขวาและ ข้างซ้ายของพระองค์ 7 ชิเมอีร้องด่ามาว่า "เจ้าคนกระหายโลหิต เจ้าคนถ่อย จงไปเสีย

ให้พ้น 8 พระเจ้าได้ทรงสนองเจ้า ในเรื่องโลหิตแห่งพงศ์พันธุ์ของซาอูล ผู้ซึ่งเจ้าเข้าครอง

แทนอยู่นั้น และพระเจ้าทรงมอบราชอาณาจักร ไว้ในมืออับซาโลมบุตรของเจ้า ดูซิ ความพินาศตกอยู่บนเจ้าแล้ว เพราะเจ้าเป็นคนกระหายโลหิต" 9 อาบีชัยบุตรนางเศรุยาห์ จึงกราบทูลพระราชาว่า "ทำไมปล่อยให้สุนัขตายตัวนี้มาด่าพระราชาเจ้านาย ของข้าพระ

บาท ขออนุญาตให้ข้าพระบาทข้ามไปตัดหัวมันออกเสีย" 10 แต่พระราชาตรัสว่า "บุตร

ทั้งสอง ของนางเศรุยาห์เอ๋ย เรามีธุระอะไรกับเจ้า ถ้าเขาด่าเพราะพระเจ้าตรัสสั่งเขาว่า

'จงด่าดาวิด' แล้วใครจะพูดว่า 'ทำไมเจ้าจึงกระทำเช่นนี้'" 11 ดาวิดตรัสกับอาบีชัย และ ข้าราชการทั้งสิ้นของ พระองค์ว่า "ดูเถิด ลูกของเราเองยังแสวงหาชีวิตของเรา ยิ่งกว่านั้น ทำไมกับคนเบนยามินคนนี้ จะไม่กระทำเล่า ช่างเขาเถิดให้เขาด่าไป เพราะพระเจ้าทรง

บอกเขาแล้ว 12 บางทีพระเจ้าจะทอด พระเนตรความทุกข์ใจของเรา และพระองค์จะทรง สนองเราด้วยความดีเพราะเขาด่า เราในวันนี้" 13 ดาวิดจึงทรงดำเนินไปตามทาง พร้อม กับพลของพระองค์ ฝ่ายชิเมอีก็เดินไปตามเนินเขาตรงข้าม เขาเดินพลางด่าพลาง เอา ก้อนหินปาและเอาฝุ่นซัดใส่ 14 พระราชากับพลทั้งปวงที่อยู่กับพระองค์ก็มา ถึงแม่น้ำ จอร์แดนด้วยความเหนื่อยอ่อน จึงทรงพักผ่อนเอาแรง ณ ที่นั่น

บาฮูริมเป็นเมืองเล็กๆ อยู่ต่ำกว่าและไม่ไกลจากเยรูซาเล็ม พาลทิเอล สามี (คนที่สอง) ของมีคาลตามมาส่ง นางไกลถึงเมืองนี้ แล้วต้องกลับไป (2 ซามูเอล 3:14-16) เป็นที่เดียวกับที่สายสืบสองคน คืออาหิมาอัส และ โยนาธานหลบซ่อนตัวอยู่ในบ่อน้ำ จนกระทั่งคนของอับซาโลมเลิกตามหา (2 ซามูเอล 17:17-20) ที่เมืองนี้ มีชายชื่อชีเมอี ผู้ไม่ได้โศกเศร้าไปกับดาวิด หรือช่วยหาเสบียงให้ท่าน แต่กลับมาเยาะเย้ยด่าทอ ปาหินและ เศษดินใส่ท่านและใส่ผู้ติดตาม

พออ่านมาถึงตรงนี้ ผมงงครับว่าหมอนี้ทำตัวโง่ได้ยังไง เขาเป็นแค่คนๆเดียว ใช้วาจาหยาบคายกับดาวิด และทำร้ายท่าน (ผมสงสัยว่าทำไมผู้คุ้มกันดาวิดถึงปล่อยให้ชายคนนี้เข้าจนใกล้จนทำร้ายท่านได้) เขาไม่รู้ หรือว่าอาจถูกตัดหัวได้ ถ้าดาวิดอนุญาติ? ผมคิดว่าผมเคยเห็นในข่าว ที่ผู้ประท้วงมีเพียงท่อนไม้หรือก้อนหิน ในมือ ด่าทอประท้วงผู้ที่เขาคิดว่าเป็นศัตรู ส่วนผู้คุ้มกันมีทั้งรถถัง ปืนผาหน้าไม้ครบครัน แต่คนพวกนี้ก็ไม่กลัว ไม่ยอมหยุดครับ จนต้องมีการเสียเลือดเสียเนื้อกันเกิดขึ้น

คำกล่าวหาของชิเมอีน่าสนใจครับ ให้ลองมาฟังดู เขากล่าวหาว่าดาวิดเป็น "ผู้กระหายเลือด" ทำให้เรานึก ถึงการตายของอุรียาห์ ที่ดาวิดเป็นผู้บงการอยู่เบื้องหลัง แต่ชิเมอีไม่ได้เจาะจงเรื่องนั้น เขาหมายถึงกระหาย เลือดในกรณีของซาอูลและราชวงศ์ (ข้อ 8) ผมคิดว่าชิเมอีพูดเกินไป เมื่อเขากล่าวหาดาวิด (กษัตริย์ที่พระ เจ้าเจิมตั้ง) ว่าเป็น "คนถ่อย" และกล่าวหาว่า ทำให้ซาอูลและพงศ์พันธ์โลหิตตก ทั้งๆที่ท่านไม่ได้เป็นผู้ กระทำ อาบีชัยต้องการปิดปากชายคนนี้ในทันที ด้วยการตัดหัว ดาวิดไม่อนุญาติ ท่านมีความวางใจในพระเจ้า ผู้ครอบครองอยู่ ท่านรู้ว่าชิเมอีทำสิ่งไม่ถูกต้อง และข้อกล่าวหาก็เป็นเท็จ ถึงกระนั้นดาวิดเชื่อว่า อาจเป็นได้ ที่พระเจ้ากำลังตรัสกับท่านผ่านชายคนนี้ ท่านจึงไม่ควรปิดปากคนที่พระเจ้าทรงใช้ ท่านจึงดำเนินต่อ มอบให้ พระเจ้าเป็นผู้จัดการ ท่านรู้สึกเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทาง รู้สึกอ่อนล้าใจ ในที่สุด ทั้งหมดก็มาถึงที่หมาย ที่ซึ่งพวกเขาจะหยุดรอฟังข่าวจากเยรูซาเล็ม

ฉากเจ็ด: กลับมาที่เยรูซาเล็ม
("ระหว่างรอ อยู่ที่บ้านไร่")
(16:15-23)

15 ฝ่ายอับซาโลมกับประชาชนทั้งสิ้น คือคนอิสราเอลก็มาถึงกรุงเยรูซาเล็ม และ อาหิโธเฟลก็มาด้วย 16 และอยู่มาเมื่อหุชัยชาวอารคี สหายของดาวิดเข้าเฝ้าอับ

ซาโลม หุชัยกราบทูลอับซาโลมว่า "ขอทรงพระเจริญ ขอพระราชาทรงพระเจริญ"

17 และอับซาโลมตรัสกับหุชัยว่า "นี่หรือความจงรักภักดีต่อสหายของท่าน ทำไม ท่านไม่ไปกับสหายของท่านเล่า" 18 หุชัยกราบทูลอับซาโลมว่า "มิใช่พ่ะย่ะค่ะ พระเจ้ากับประชาชนเหล่านี้ กับคนอิสราเอลทั้งสิ้นเลือกตั้งผู้ใดไว้ ข้าพระบาทขอ

เป็นฝ่ายผู้นั้น ข้าพระบาทจะขออยู่กับผู้นั้น 19 อีกประการหนึ่ง ข้าพระบาทควรจะ

ปรนนิบัติผู้ใด มิใช่โอรสของท่านผู้นั้นดอกหรือ ข้าพระบาทได้ปรนนิบัติเสด็จพ่อ ของฝ่าพระบาทมาแล้วฉันใด ก็ขอปรนนิบัติฝ่าพระบาทฉันนั้น" 20 อับซาโลมตรัส

ถามอาหิโธเฟลว่า "เราจะทำอย่างไรดี จงให้คำปรึกษาของท่าน" 21 อาหิโธเฟล กราบทูลอับซาโลมว่า "จงเข้าหานางสนมของเสด็จพ่อของฝ่าพระบาท ซึ่งเสด็จพ่อ ทิ้งไว้ให้เฝ้าพระราชวัง เมื่อคนอิสราเอลทั้งสิ้นได้ยินว่าฝ่าพระบาทได้กระทำ ให้ตน เป็นที่เกลียดชังของเสด็จพ่อแล้ว บรรดามือเหล่านั้นที่อยู่ฝ่ายฝ่าพระบาทก็จะเข้ม

แข็งขึ้น" 22 เขาจึงกางเต็นท์ให้อับซาโลมไว้ที่บนดาดฟ้าหลังคา และอับซาโลม ก็ทรงเข้าหานางสนมของพระราชบิดา ของพระองค์ต่อหน้าอิสราเอลทั้งสิ้น 23 ใน

สมัยนั้น คำปรึกษาของอาหิโธเฟลที่ทูลถวาย เหมือนกับเป็นพระบัญชาของพระเจ้า ทั้งดาวิดและอับซาโลมจึงทรงนับถือ คำปรึกษาของอาหิโธเฟลมาก

ผมขอพูดถึงพระธรรมตอนนี้อย่างสั้นๆ เพราะเป็นกุญแจใขเข้าสู่บทที่ 17 คำแปลของข้อ 1 ในบทที่ 17 มักเริ่ม ต้นด้วย "นอกจากนี้" หรือ "ยิ่งไปกว่านั้น" ที่จริงคำธรรมดาในภาษาฮีบรูที่ใช้เชื่อมประโยค ที่ใช้บ่อยที่สุดคือ คำว่า "และ" ที่ผมพูดเช่นนี้เพราะคิดว่าการแบ่งบทตรงนี้ดูไม่เหมาะสม เพราะไปแบ่งเรื่องที่น่าจะอยู่ด้วยกัน ออกเป็นสอง บทที่ 16:25-33 และ 17:1-4 เป็นเรื่องที่อาหิโธเฟลให้คำแนะนำแก่อับซาโลมสองเรื่อง คือ: (1) ให้เข้าหานางสนมของดาวิด เพื่อเป็นการประกาศตนว่าเป็น "กษัตริย์" และ (2) "ขอกำลัง 12,000 คน เพื่อไปตามล่าหาดาวิดให้ได้ในคืนนั้น"

สำหรับบทเรียนตอนนี้ ผมขอมุ่งไปที่ 16:20-23 เพียงเรื่องเดียว เป็นเรื่องคำปรึกษาแรกที่อาหิโธเฟลให้ แก่ อับซาโลม ในบทเรียนหน้า เราจะกลับมาดูข้อพระคำนี้กันอีกครั้ง ดูถึงความเกี่ยวเนื่องกับบทต่อไป

ผู้เขียนไม่เคยกล่าวถึงเรื่องที่อับซาโลม "เป่าเขาสัตว์" เพื่อเป็นเครื่องหมายแก่ประชาชน ให้เข้าเป็นพันธมิตร กับกษัตริย์องค์ใหม่ของอิสราเอล (15:10) การที่ดาวิดหนีไปจากเยรูซาเล็ม ทำให้อับซาโลมได้ใจ กล้าที่จะ เข้ามายึดและครอบครองเมืองหลวง เมื่อเข้ามาถึง อับซาโลมขอคำปรึกษาจากอาหิโธเฟล ว่าควรทำสิ่งใดต่อ อาหิโธเฟลให้คำแนะนำ ให้อับซาโลมสร้างสัญลักษณ์ที่แสดงถึงความเป็นกษัตริย์องค์ใหม่ ด้วยการกระทำ เป็นที่ประกาศแ่ก่ดาวิดและอิสราเอลทั้งปวง อาหิโธเฟลแนะนำให้อับซาโลมเข้าหาภรรยาทั้งสิบของดาิวิด (หรือนางสนม -- เป็นคำที่ใช้สลับกันไปมา) และหลับนอนกับนางเหล่านี้อย่างเปิดเผย เพื่อเป็นสัญลักษณ์ แห่งการครอบครองบัลลังก์ (และฮาเร็ม) การเข้าครอบครองฮาเร็มของใครก็ตาม เท่ากับเป็นการประกาศว่า เข้าแทนที่แล้ว รูเบนทำเช่นเดียวกันโดยเข้าหานางสนมของยาโคบ (ปฐก. 35:22; 49:4) อาโดนียาห์ พยายามทำในแบบเดียวกันกับอาบีชาค นางสนมของดาวิด (1 พกษ. 2:13-25)

ผมอยากจะย้ำตรงนี้ว่า สิ่งที่อับซาโลมกระทำกับนางสนมของดาวิด ไม่เพียงแต่เป็นการแสดงสัญลักษณ์ของ การเข้าครอบครองราชบัลลังก์เท่านั้น แต่เป็นการทำให้คำพยากรณ์ที่นาธันกล่าวไว้ในบทที่ 12 เป็นจริง :

9 ทำไมเจ้าดูหมิ่นพระวจนะของพระเจ้า กระทำสิ่งที่ชั่วในสายพระเนตรของพระองค์ เจ้าได้ฆ่าอุรีอาห์คนฮิตไทต์เสียด้วยดาบ เอาภรรยาของเขามาเป็นภรรยาของตน และได้ฆ่าเขาเสียด้วยดาบของคนอัมโมน 10 เพราะฉะนั้นดาบนั้นจะไม่คลาดไปจาก

ราชวงศ์ของ เจ้าเพราะเจ้าได้ดูหมิ่นเรา เอาภรรยาของอุรีอาห์คนฮิตไทต์มาเป็น

ภรรยาของเจ้า' 11 พระเจ้าตรัสดังนี้ว่า 'ดูเถิด เราจะให้เหตุร้ายบังเกิดขึ้นกับเจ้า จากครัวเรือนของเจ้าเอง และเราจะเอาภรรยาของเจ้าไปต่อหน้าต่อตาเจ้า ยก ไปให้แก่เพื่อนบ้านของเจ้า ผู้นั้นจะนอนร่วมกับภรรยาของเจ้าอย่างเปิดเผย

12 เพราะเจ้าทำการนั้นอย่างลับๆ แต่เราจะกระทำการนี้ต่อหน้า อิสราเอลทั้งสิ้น

และอย่างเปิดเผย'" "' (2 ซามูเอล 12:9-12 และผม)

เราคงไม่ต้องสงสัยว่า พระเจ้าทรงกระทำในสิ่งที่พระองค์ตรัสผ่านนาธันไว้ทุกประการ ผู้เขียนไม่ต้องการให้เรา พลาดความจริงของเหตุการณ์นี้ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในคำพยากรณ์ของนาธัน ดาวิดทำบาปกับหญิงคนหนึ่ง แย่ง นางมาทั้งๆที่รู้ว่านางเป็นภรรยาของคนอื่น บัดนี้อับซาโลมเข้าหานางสนมทั้งสิบของดาวิด และหลับนอนกับ พวกนาง ดาวิดทำบาปในที่ลับ ; อับซาโลมจงใจประจานความบาปของตนเองต่อหน้าสาธารณชน เพื่อต้องการ ให้อิสราเอลทั้งปวงเห็นและรับรู้ ดาวิดรู้สึกอับอายในเรื่องนี้เป็นที่สุด ฉะนั้นขออย่าให้เราคิดสั้นๆว่า ทำบาปนั้นคุ้ม นะครับ ถ้าเพียงแต่ดาวิดจะรู้ว่าบาปของท่านนำไปสู่เรื่องใดบ้าง ท่านคงไม่เลือกเดินในหนทางบาปเด็ดขาด ขอให้เราเรียนรู้จากความผิดพลาดของดาวิด (ความบาป) อย่าเลือกเลียนแบบท่าน เพราะบาปไม่เคยทำให้ใคร ได้ดีหรอกครับ

บทสรุป

ขณะที่เราสรุปบทเรียนเรื่องนี้ ผมอยากให้เราหยุดคิดชั่วครู่ ถึงสิ่งที่เราเรียนรู้ และสามารถนำมาใช้ได้กับชีวิตของเรา

บทเรียนตอนนี้สอนเรามากมายถึงมิตรแท้ พระธรรมสุภาษิตพูดถึงเรื่องมิตรนี้ไว้หลายข้อ และพูดถึงเรื่อง "เพื่อน" ประเภทอื่นอีก:

6 คนเป็นอันมากเอาอกเอาใจคนใจกว้าง และทุกคนก็เป็นมิตรกับคนที่ให้ ของกำนัล (สุภาษิต 19:6)

7 พวกพี่น้องของคนยากจนก็ยังเกลียดเขา มิตรของเขาจะยิ่งไกลจากเขา สักเท่าใด เขาพยายามพูด แต่ไม่มีใครยอมฟัง (สุภาษิต 19:7)

10 อย่าทอดทิ้งมิตรของเจ้า และมิตรของบิดาเจ้า และอย่าไปที่เรือนพี่น้อง ของเจ้า ในวันลำบากยากเย็นของเจ้า เพื่อนบ้านที่อยู่ใกล้ ดีกว่าพี่น้องที่อยู่ ห่างไกล (สุภาษิต 27:10)

ในพระธรรมตอนนี้ เราเห็นว่าใครเป็นมิตรแท้ของดาวิด ที่น่าทึ่งคือ หลายคนไม่ใช่คนยิว เป็นเพียงคนต่างชาติ ท่านได้มิตรแท้หลายคนมา ในขณะที่ท่านเผชิญกับความทุกข์ยาก หลบหนีเพื่อเอาชีวิตรอด

ผมหวังว่าที่คริสตจักรของเราและที่อื่นๆ สมาชิกทุกคนจะมีเพื่อนแท้ในท่ามกลางพี่น้องในพระคริสต์ ที่เราจะ นมัสการและร่วมรับใช้ด้วยกัน แต่มันไม่ง่ายนัก แม้แต่ อ.เปาโลเองยังถูกเพื่อนๆปฏิเสธ (ดู 2 ทิโมธี 4:9-11, 16) มีคริสตจักรเพียงไม่กี่แห่ง เช่นที่มาสิโดเนีย และฟีลิปปี ที่ยังคงให้การสนับสนุนท่านอย่างต่อเนื่อง (ฟีลิปปี 4:10-16) มีพี่น้องอยู่ไม่กี่คน เช่นทิโมธีและเอพาโฟรดิทัส ที่ อ.เปาโลวางใจ เมื่อท่านต้องเผชิญ ปัญหา (ฟีลิปปี 2:19-30) แต่สิ่งหนึ่งที่ อ.เปาโลรู้แน่แก่ใจ คือท่านมี "เพื่อนแท้" ที่จะไม่มีวันละทิ้งท่าน :

24 มีเพื่อนที่แสร้งทำเป็นเพื่อน แต่มีมิตรบางคนที่ใกล้ชิดยิ่งกว่าพี่น้อง (สุภาษิต 18:24)

16 ในการแก้คดีครั้งแรกของข้าพเจ้านั้น ไม่มีใครเข้าข้างข้าพเจ้าสักคนเดียว เขาได้ละทิ้งข้าพเจ้าไปหมด ขอโปรดอย่าให้พวกเขาต้องได้รับโทษเลย 17 แต่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงประทับอยู่ใกล้ข้าพเจ้า และได้ทรงประทานกำลังให้

ข้าพเจ้า ประกาศพระวจนะได้อย่างเต็มที่ เพื่อให้คนต่างชาติทั้งปวงได้ยิน ดังนั้นข้าพเจ้าจึงรอดพ้นจากปากสิงห์ 18 องค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงโปรดช่วย ข้าพเจ้าให้พ้นจากการร้ายทุกอย่าง และจะทรงช่วยข้าพเจ้าให้รอดเข้าสู่แผ่น

ดินสวรรค์ของพระองค์ พระสิริจงมีแด่พระองค์สืบๆไปชั่วนิตย์นิรันดร์ อาเมน

(2 ทิโมธี 4:16-18)

5 ท่านจงอย่าเป็นคนเห็นแก่เงิน จงพอใจในสิ่งที่ท่านมีอยู่ เพราะว่าพระองค์

ได้ตรัสว่า เราจะไม่ละท่าน หรือทอดทิ้งท่านเลย (ฮีบรู 13:5) 84

"เพื่อน" ผู้จะไม่มีวันทอดทิ้งโมเสส หรือโยชูวา หรือเปาโล หรือดาวิด ก็คือองค์พระเยซูคริสต์ พระองค์ไม่ได้ อยู่ภายใต้อิทธิพลของใคร ไม่ได้ย่อท้อกับความทุกข์ยากลำบาก พระองค์ทนต่อการถูกปฏิเสธ ทนทรมาณเพื่อ ให้เราได้รับความรอด พระองค์ทรงเป็นแบบอย่าง เป็นสัญลักษณ์ของมิตรแท้

พระธรรมตอนนี้เตือนเราว่าพระเจ้าทรงรักษาพระคำเสมอ และความบาปไม่เคยคุ้มกับราคา พระเจ้า ทรงตรัสผ่านนาธัน ว่าบาปที่ดาวิดทำกับนางบัทเชบา จะมีผลทำให้ท่านต้องเผชิญความทุกข์ในแบบเดียวกับ บาปที่ท่านทำไว้ แต่จะเต็มขนาดกว่า ดาวิดไปแย่งภรรยาผู้อื่นมาอย่างลับๆ ; ท่านจะต้องทุกข์หนัก เมื่อชาย คนอื่นมาแย่งภรรยาทั้งสิบของท่านไป อย่างเปิดเผย ความบาปไม่เคยคุ้ม ไม่เคยคุ้มกับความสูญเสีย พระคำ ตอนนี้ทำให้เราเห็นดาวิดและทุกคนที่เกี่ยวข้อง ต้องเดินอยู่ใน "เส้นทางแห่งน้ำตา" เต็มด้วยความทุกข์สาหัส เต็มด้วยน้ำตา ก็เพราะบาปตัวเดียว บาปของดาวิด

พระธรรมตอนนี้เรียกให้เราตระหนักถึงความอุ่นใจ ที่รู้ว่าพระเจ้าทรงอำนาจอธิปไตย อำนาจอธิปไตย คืออำนาจที่มีสิทธิเด็ดขาด และควบคุมอยู่เหนือทุกสิ่ง พระเจ้าทรงครอบครองเหนือสรรพสิ่งทีพระองค์ทรง สร้าง เหนือมนุษย์ ไม่มีิสิ่งใดที่ทำให้แผนการของพระเจ้า พระประสงค์และพระสัญญาบิดเบือนไปได้ พระเจ้า บอกกับดาวิดว่าท่านจะได้รับผลอย่างไรในบาปครั้งนี้ และเราเห็นว่ามันเกิดขึ้นจริง ซึ่งไม่เป็นเรื่องที่น่าประ หลาดใจ พระเจ้าสัญญากับดาวิดว่าท่านจะไม่ตาย และอาณาจักรของท่านจะไม่สูญสิ้น เราจึงเห็นว่าพระเจ้า ทรงปกป้องชีวิตของดาวิด แม้ในท่ามกลางความทุกข์ของท่าน พระเจ้าทรงเตรียมหนทางหลายวิธี ที่ดาวิด คาดไม่ถึง โดยเฉพาะทางเพื่อนของท่านเอง ซึ่งไม่ใช่เป็นคนอิสราเอลด้วยซ้ำไป

ด้วยอำนาจอธิปไตยของพระองค์ พระเจ้าใช้ศัตรูของดาวิด คนชั่วร้าย มาทำให้พระประสงค์ และพระสัญญา เกิดขึ้น พระองค์ใช้หุชัยให้ไปบิดเบือนคำปรึกษาของอาหิโธเฟล ทรงใช้นักรบต่างชาติมาต่อสู้เพื่อท่าน ใช้แม้ กระทั่งคนปากสามหาวอย่างชิเมอี มาทำให้ดาวิดต้องถ่อมใจ ถึงแม้สิ่งที่เขาพูดกล่าวหาจะเป็นเท็จก็ตาม พระเจ้าทรงใช้สิ่งเหล่านี้มาตีสอนดาวิด เพื่อให้ท่านได้รับการเยียวยา

ด้วยอำนาจอธิปไตย พระเจ้าทรงใช้เวลาอันยากลำบากนี้ มาทำให้ดาวิดเติบโตขึ้นในความเชื่อ และ ในการปฏิบัติตน พระเจ้าทรงใช้ "ความชั่ว" มาทำให้ดาิวิดเป็น "คนดี" พระธรรมโรม 8:28 เกิดขึ้นเป็นจริง ในชีวิตของดาวิด โดยเฉพาะในช่วงเวลาเช่นนี้ "ในทุกสิ่ง" ที่พระเจ้ากระทำในผู้ที่รักพระองค์ ล้วนแล้วก็ เพื่อให้เกิด "ผลดี" แก่เราทั้งสิ้น การทนทุกข์และรอยน้ำตาในชีิวิต จะเป็นที่ถวายแด่พระสิริของพระองค์ พระเจ้าไม่ได้อนุญาติให้สิ่งที่เกิดขึ้น เพื่อมาทำลายดาวิด แต่เพื่อมาดึงท่านเข้าไกล้พระองค์ ด้วยความถ่อมใจ และวางใจในพระองค์

การต้องหนีออกจากเยรูซาเล็มด้วยน้ำตานองหน้า เป็นความเศร้าเหลือที่จะกล่าว แต่ในท่ามกลางความเศร้า มีบางสิ่งดีแอบแฝงอยู่ เราได้เห็นการตอบสนองของดาวิดต่อวันอันมืดมนในชีวิตของท่าน เราเห็นบางอย่างที่ไม่ ค่อยจะได้เห็นนัก เราเห็นว่าในท่ามกลางความอับอาย และจิตใจที่แตกสลาย เราเห็นในสิ่งที่เราไม่เคยเห็น ขณะที่ท่านประสพความสำเร็จ "ดาวิด" คนเดียวกันนี้ เคยกระหายอยากฆ่านาบาล และครัวเรือนทั้งสิ้นของเขา เพราะถูกด่าว่า อย่างหยาบคาย แต่บัดนี้ท่านกลับยอมทนวาจาสามหาวของชิเมอี เพราะท่านรู้สึกว่า บางสิ่งที่เขา พูดเป็นความจริง ดาวิดยอมที่จะเรียนรู้จากศัตรู และอดทนต่อการถูกกดขี่ข่มเหง

ในหลายทาง การยอมทนของดาวิด เตือนเราให้เห็นถึงภาพการทนทุกข์ของพระคริสต์ เมื่อเราอ่านพระธรรม ตอนนี้ เราิอดไมได้ที่จะนึกถึงเมื่อพระเยซูถูกปฏิเสธ โดยคนของพระองค์เอง ประชากรอิสราเอล แต่คนต่าง ชาติ ต่างศาสนากลับยอมรับพระองค์ เราเห็นอับซาโลมทรยศต่อบิดาของตน ผู้เป็นกษัตริย์ ซึ่งเหมือนกับ ยูดาส สาวกของพระเยซูเองทรยศต่อพระองค์ ขณะที่ดาวิดและบรรดาผู้ติดตาม กำลังหนีออกจากเยรูซาเล็ม ไปยังภูเขามะกอกเทศ เราเห็นภาพที่พระเยซูแบกกางเขนออกจากเยรูซาเล็ม มุ่งสู่เนินหัวกระโหลก ในท่าม กลางความโศกเศร้านี้ เราเห็นภาพเงาแห่งความหวังในพระราชกิจ ที่พระเยซูกระทำบนไม้กางเขน เช่นเดียว กับที่ดาวิดถูกปฏิเสธ ในฐานะกษัตริย์ของอิสราเอล ท่านจะมีชัย ได้กลับคืนสู่อิสราเอลอีกครั้ง ในฐานะกษัตริย์ พระเจ้าของเรา ก็เช่นกัน พระองค์จะปราบศัตรูลงอย่างราบคาบ และจะจัดตั้งราชบัลลังก์ถาวรบนโลกนี้ ขอให้ เรามีความหวัง และวางใจในบุตรดาวิด ผู้เสด็จมาเพื่อช่วยคนบาป และจัดตั้งอาณาจักรอันชอบธรรมของพระ องค์บนแผ่นดินโลกนี้


78 ฉบับ NIV ใช้คำว่า "สถานที่อยู่ห่างไกลออกไป"

79 เพื่อนผมชี้ให้เห็นว่า อาคีช กษัตริย์เมืองกัท แต่งตั้งดาวิดให้เป็นผู้คุ้มกันตลอดชีพ (1 ซามูเอล 28:1-2) เป็นเพราะว่า ผู้คุ้มกันที่เป็นคนต่างชาติ น่าจะจงรักภักดี และยากที่จะไปมีส่วนสมรู้ร่วมคิดในการโค่นราช บัลลังก์หรือเปล่า? อย่างไรก็ตาม คงไม่ใช่เรื่องผิดปกติ ที่ดาวิดจะมีทหารองครักษ์เป็นชาวเคเรธี และชาว เปเลท

80 ในพระคัมภีร์ ดาิวิดพูดถึงอิททัยว่า "เพิ่งมาถึงเมื่อวานนี้" (15:20) จึงเป็นที่ชัดเจนว่า อิททัยคงต้องอยู่ กับดาวิดมานานกว่านั้น เพราะเขาจะได้รับเลือกให้คุมกองกำลังหนึ่งในสาม ไปสู้รบกับอับซาโลมในบทที่ 18 ข้อ 2 "เพิ่งมาถึงเมื่อวานนี้" คงต้องเป็นเหมือนคำพูด ที่พูดกับคนคุ้นเคย แปลว่า"เพิ่งกลับเข้ามา"

81 เราคงอดสงสัยไม่ได้ว่า ทำไมอิททัย ไม่ถูกเลือกให้คุมกำลังชาวกัทที่ติดตามดาวิดไป ในขณะที่ท่าน อพยพหนีออกจากเยรูซาเล็ม

82 "มีความเป็นไปได้ ที่ตั้งแต่อุรียาห์ถูกฆ่าตายอย่างโหดเหี้ยม อาหิโธเฟลคอยจ้องหาทางแก้แค้น พอบุตร ของดาวิดเอง อับซาโลมก่อกบฎ โอกาสก็มาถึง "ยอห์น เจ ดาวิส และยอห์น ซี วิทโคมบ์ เขียนไว้ในหนังสือ Israel: From Conquest to Exile (สำนักพิมพ์ Winona Lake, Indiana, BMH Books, 1969, 1970, 1971) หน้า 313

83 ผมงงครับ เพราะมีหลายคนกล่าวหาว่าศิบาทำสิ่งนี้เพราะมีบางอย่างแอบแฝง ผมคิดว่าเราต้องนำบางเรื่อง มาพิจารณาดูเกี่ยวกับเมฟีโบเชทในบทที่ 19 เขาไปพบดาวิดขณะเดินทางกลับเยรูซาเล็ม คืนสู่ราชบัลลังก์ เขาโทษว่าถูกศิบาใส่ร้าย ผลก็คือดาวิดแบ่งสมบัติของเมฟีโบเชทให้ศิบาครึ่งหนึ่งในบทที่ 19 ดูเหมือนข้อ เท็จจริงเป็นอย่างไรไม่มีใครทราบ แต่ดาวิดคงทราบดี ท่านจึงแบ่งที่ดินของซาอูลออกให้ศิบาครึ่งหนึ่ง ผมทำ ใจไม่ได้ืัที่จะกล่าวหาศิบาทั้งหมด และเชื่อเมฟีโบเชท ในเมื่อดาวิดเองยังไม่เชื่อเลยครับ

84 ไม่ว่าพระธรรมฮีบรู อ.เปาโลจะเป็นผู้เขียนหรือไม่ก็ตาม ท่านอัครสาวกก็ทราบความจริงข้อนี้ ซึ่งถ่ายทอด มาจากพระคัมภีร์เดิม (เฉลยธรรมบัญญัติ 31:6; โยชูวา 1:5)

Related Topics: Bibliology (The Written Word)

Report Inappropriate Ad