MENU

Where the world comes to study the Bible

บทที่ 8: ดาวิด และ นางบัทเชบา (2 ซามูเอล 11:1-4)

คำนำ

ตอนที่คุณยายปาล์์มเมอร์ของผมยังมีชีวิตอยู่ ท่านอาศัยอยู่ในฟาร์มนอกเมืองเชลตัน มลรัฐวอชิงตัน ตรงทาง เข้าฟาร์ม มีที่โล่งๆอยู่แปลงหนึ่ง มีคนเอารถพ่วงที่เป็นบ้านมาจอดไว้ ผมจำได้ว่ามีผู้หญิงคนหนึ่งอาศัยอยู่กับ สามีที่นานๆมาครั้ง สามีถูกจำคุกอยู่พักหนึ่ง เป็นพวกชอบใช้ความรุนแรง เวลาที่สามีกลับมาหาภรรยาที่รถพ่วงนี้ มักจะพบว่ามีผู้ชายคนอื่นอยู่ด้วยเสมอ มีการโต้เถียงกันเกิดขึ้น ตามมาด้วยแลกหมัด แล้วในที่สุดผู้ชายแปลก หน้าก็จะชักมีดออกมา แล้วสั่งให้สามีไปเสีย ไปครับ แต่มีเสียงรอดไรฟันออกมาทำนองว่า ฝากเอาไว้ก่อนเถอะ

สองสามชั่วโมงจากนั้น ลุงผมขับรถมาเยี่ยมคุณยาย ขับมาถึงตรงทางเข้า ใกล้ๆกับรถพ่วงที่มีกรณีคาใจคันนี้ แหละครับ แต่ลุงผมดันมีรถที่มีหน้าตาเหมือนกับที่ชายแปลกหน้าขับมาหาผู้หญิงรถพ่วงคนนี้ตั้งแต่ตอนเช้า เสียงปืนดังสนั่นขึ้น เหมือนกับที่สามีลั่นวาจาไว้ทุกประการ กระสุนปืนไรเฟิ้ลทะลุกระจกหน้ารถเข้ามา และฆ่า ลุงผมตายในทันที — ด้วยความเข้าใจผิด สามีขี้โมโหได้ฆ่าลุงผมตาย ด้วยความเข้าใจผิด คิดว่าเป็นคู่กรณี

โศกนาฏกรรมหลายครั้งเกิดขึ้นอย่างไม่คาดฝัน เพราะเป็นผลพวงมาจากเหตุการณ์อื่นๆ และเป็นกรณีเดียวกับ ที่เกิดขึ้นกับดาวิด พักรบพบรักครับ เมื่อดาวิดพักรบจากสงครามชั่วคราว ท่านนอนเล่นอยู่กับบ้าน แล้วยามเย็น ก็ไปเดินเล่นบนดาดฟ้าพระราชวังในกรุงเยรูซาเล็ม โดยบังเอิญ ดาวิดเห็นสตรีนางหนึ่งกำลังอาบน้ำอยู่ เป็น ภาพที่ดาวิดไม่อาจละสายตาไปได้ ต่อมามีการเสาะหาชื่อเสียงเรียงนามว่าสตรีผู้นี้เป็นใคร ไม่ช้านางก็ถูก เรียก ให้มาเข้าเฝ้าที่พระราชวัง และทีสุด เฝ้าที่่ห้องพระบรรทม ที่ดาวิดมีสัมพันธ์กับนาง ถึงแม้ท่านรู้อยู่เต็มอกว่า นางเป็นภรรยาของอุรียาห์ นักรบในกองทัพอิสราเอล ไม่ช้านางก็ตั้งครรภ์ ดาวิดจึงไปตามตัวสามีกลับมา ด้วย หวังว่าเขาเป็นเหมือนผู้ทำให้ภรรยาท้อง แต่ไม่สำเร็จ ดาวิดจึงสั่งโยอาบ แม่ทัพอิสราเอล ให้พยายามทำให้ อุรียาห์ต้องตายในสนามรบ ดูเป็นการฆาตรกรรมที่สมบูรณ์แบบ แต่ความบาปของดาวิดก็ถูกเปิดเผย และต้องถูก จัดการโดยนาธัน ผู้เผยพระวจนะของพระเจ้า

เหตุการณ์ที่เกิดต่อเนื่องกันมา และตามด้วยโศกนาฎกรรมเป็นหัวข้อบทเรียนในตอนนี้ คือบทที่ 11 และ 12 ของ 2 ซามูเอล ผมเลือกที่จะแบ่งอธิบายบทเรียนในเรื่องนี้ออกเป็นสามบท บทแรกจะเป็นเรื่องของ "ดาวิดและนาง บัทเชบา" ตามที่บันทึกอยู่ใน 11:1-4 ในบทต่อไป จะเป็นเรื่องของ "ดาวิด และอุรียาห์" ตามที่บันทึกอยู่ใน 11: 5-27 บทที่สามจะเป็นเรื่องของ "ดาวิด และนาธัน" ซึ่งจะอยู่ข้ามออกไปถึงบทที่ 12 บทเรียนตอนนี้เป็นเรื่องของ บาปแห่งการล่วงประเวณีและฆาตรกรรม ขอให้แน่ใจเถิดว่ายังมีเรื่องอื่นๆอีกนอกเหนือจากนี้ เป็นบทเรียนที่เรา ทั้งหลายต้องเรียนรู้และระมัดระวังตัวให้ดี เพราะขนาด "บุรุษที่ทำตามพระเจ้าจนสุดใจ" ยังล้มลงได้ อย่าง รวดเร็วและถลำลึกมากด้วย เราเองก็สามารถล้มลงในความผิดเดียวกันได้ ขอให้พระวิญญาณของพระเจ้า นำพระวจนะ ตอนนี้ให้ส่องสว่างภายในใจเราทุกคน ในขณะที่ศึกษาบทเรียนนี้ด้วยกัน

ข้อสังเกตุเบื้องต้น

ก่อนที่เราจะมาเรียนข้อ 1-4 ในบทที่ 11 ให้ละเอียด ผมขออนุญาติออกความเห็นสองสามข้อเกี่ยวกับเหตุ การณ์ต่างๆในพระธรรมสองบทนี้ของ 2 ซามูเอล แรกผมอยากให้คุณสังเกตุ "กฎเกณฑ์แห่งความเหมาะสม" มีเพียงสามข้อเท่านั้นที่พูดถึงบาปล่วงประเวณีที่ดาวิดทำกับนางบัทเชบา สองผู้เขียนไม่ได้หมกมุ่นในความชั่ว ร้ายของบาปนี้มาก แต่ประวัติศาสตร์ไม่ได้ถูกบันทึกเพื่อให้ดาวิดดูดีพร้อม สามบาปของดาวิดและนางบัทเชบา ถูกจัดการไปตามครรลองในประวัติศาสตร์ ไม่ใช่ในสไตล์ฮอลลีวู้ด คนทำภาพยนตร์ในฮอลลีวู้ดจะจงใจทำ เรื่องราวตอนนี้ให้ออกมาในแนวทางเพศ แต่ไม่มีส่วนใดในพระธรรมตอนนี้ที่ทำให้เราคิดหรือกระทำในทาง สกปรกได้ แต่กลับถูกเล่าในแบบที่ฟังแล้วขนหัวลุกด้วยความเกรงกลัว

ดาวิดประทับที่เยรูซาเล็ม
(11:1)

อิสราเอลกำลังทำสงครามกับไม่ใช่ใครอื่น คนอัมโมนนั่นเอง (ข้อ 1) ซึ่งเป็นเรื่องประหลาดใจของผมพอๆกับ ของคุณแหละครับ ผมคิดว่าพวกอัมโมนแพ้ไปแล้วตั้งแต่ในบทที่ 10 ผมคิดผิดครับ ผู้เขียนบันทึกไว้ชัดเจน มากในบทที่ 8 ผู้เขียนเล่าถึงการที่ดาวิดเริ่มออกไปสู้ศึกสงคราม ยุิติการต้องเป็นเมืองขึ้นของประเทศรอบ ด้าน ดาวิดได้ฟิลิสเตียเป็นเมืองขึ้น (8:1) ต่อมาโมอับ (8:2) และต่อมาไปจัดการกับกษัตริย์เมืองโศบาห์ (8: 3) ในระหว่างนั้น ประเทศอื่นๆพยายามเข้ามามีส่วน แต่กลับพบว่าอิสราเอลเข้มแข็งเกินกว่าจะต่อต้านได้

ในบทที่ 10 เราเห็นว่าดาวิดและคนอิสราเอลถูกกษัตริย์ฮานูนแห่งอัมโมนปฏิบัติต่ออย่างดูหมิ่น ดาวิดเคยเป็น มิตรกับนาหาช กษัตริย์องค์ก่อน เมื่อนาหาชตายลง ดาวิดส่งคณะผู้แทนไปแสดงความเคารพศพ และปลอบ ประโลมในความสูญเสีย ดูเหมือนคนอัมโมนไม่ต้องการจะญาติดีกับดาวิดและอิสราเอลอีกต่อไป พวกเขาจึง ทำการหยาบหยามต่อคณะผู้แทนที่ดาวิดส่งไป ทำให้เกิดสงครามระหว่างอิสราเอลและอัมโมน คนอัมโมนจ้าง ทหารซีเรียมาเป็นพันธมิตรช่วยร่วมรบต่อต้านดาวิด การปะทะกันครั้งแรก พวกซีเรียหนีแตกกระเจิง ทำให้พวก อัมโมนต้องล่าถอยกลับเข้า "เมือง" ไป (10:14; คงต้องเป็นเมืองรับบาห์ — ดู 12:26) พวกซีเรียไม่พอใจที่ พ่ายแพ้ ต้องการมาสู้กันใหม่ แต่พวกเขาก็แพ้อีก ทำให้พวกเขาล้มเลิกความคิดที่จะไปช่วยเสริมกำลังให้กับ คนอัมโมนในสงครามครั้งต่อๆไป

เห็นหรือยังครับ ว่าอัมโมนยังไม่ได้เป็นเมืองขึ้นของอิสราเอลในบทที่ 10 เพียงแต่ไม่ได้รับความช่วยเหลือ จากซีเรียอีกต่อไป ตอนนี้ต้องสู้เองตามลำพัง อิสราเอลจึงถือโอกาสนี้เข้าทำลายแผ่นดินอัมโมน และล้อม เมืองหลวงรับบาห์ไว้ (11:1; ดู 1 พงศาวดาร 20:1) เมืองรับบาห์นี้ปัจจุบันคือเมืองอัมมานประเทศจอร์แดน และเมืองนี้ยังไม่ตกเป็นเมืองขึ้นของอิสราเอลจนกระทั่งหลังจากที่ดาวิดถูกผู้เผยพระวนะนาธันตำหนิเรื่อง ความบาปที่ทำกับนางบัทเชบา (2 ซามูเอล 12:26-31)

ผู้เขียนบันทึกไว้ว่าเป็นฤดูแล้ง เป็นเวลาที่กษัตริย์ต้องออกไปรบ (11:1) สภาพอากาศมักเป็นอุปสรรคต่อการรบ สงครามจะชนะหรือแพ้บางทีก็ขึ้นอยู่กับสภาพอากาศ หน้าหนาวไม่เหมาะจะออกรบ เพราะทั้งหนาวทั้งเปียก แฉะ การไปตั้งค่ายอยู่ในที่โล่ง (เหมือนกับพวกที่ล้อมเมืองรับบาห์อยู่ต้องเผชิญ — ดู 11:11) ทำให้การรบยุ่ง ยากขึ้น ล้อรถรบติดหล่มอยู่ในโคลน และยังมีปัญหาอื่นๆอีก ดังนั้นพวกกษัตริย์จึงพักรบในฤดูหนาว จะเริ่มอีก ทีก็ในฤดูแล้ง ในฤดูแล้งนั้น อิสราเอลยังทำสงครามติดพันอยู่กับพวกอัมโมน และสมควรจะต้องให้ภาระกิจสิ้น สุดลงด้วยการให้มาเป็นเมืองขึ้น กองทัพชุมนุมกัน ภายใต้บัญชาการของโยอาบและเจ้าหน้าที่ และ "อิสราเอล ทั้งสิ้น " พวกเขาออกไปเพื่อนำชัยชนะเหนืออัมโมนมาให้ได้ ดูเหมือนคนพวกนี้ยังหลบอยู่ในเมืองหลวง และ ตามป้อมต่างๆในเมืองรับบาห์

ชายทุกคนที่รบได้ ต่างออกไปรบ ยกเว้นแต่เพียงคนเดียว — ดาวิด มีการบันทึกไว้ว่า ดาวิด "ประทับที่ กรุงเยรูซาเล็ม" (11:1) การตัดสินใจเลือกที่จะอยู่บ้านของดาวิดกลายเป็นเรื่องวินาศโดยแท้ ผู้เขียนพระ ธรรมซามูเอลไม่ได้บันทึกข้อเท็จจริงนี้ไว้ แต่ในพงศาวดารมีบันทึกอยู่ใน 1 พงศาวดาร 20 :

1 ครั้นถึงฤดูแล้งเมื่อบรรดากษัตริย์ยกกองทัพออกไปรบ โยอาบก็นำ กองทัพไปกวาดล้างแผ่นดินของคนอัมโมน และมาล้อมเมืองรับบาห์ไว้ แต่ดาวิดประทับที่เยรูซาเล็ม และโยอาบก็โจมตีเมืองรับบาห์ และคว่ำ เมืองนั้นเสีย (1 พงศาวดาร 20:1)

เรารู้จากรายละเอียดที่บันทึกไว้ในพระธรรมพงศาวดารว่าเป็นเวลาเดียวกัน และเป็นสงครามเดียวกัน การตัดสินใจของดาวิดในครั้งนี้ นำมาซึ่งความบาปอันร้ายแรงอีกแบบหนึ่งใน 1 พงศาวดาร 21 :

1 ซาตานได้ยืนขึ้นต่อสู้อิสราเอล และดลพระทัยให้ดาวิดนับจำนวนอิสราเอล
2 ดาวิดจึงตรัสกับโยอาบและผู้บังคับบัญชากองทัพว่า "จงไปนับอิสราเอล ตั้งแต่เมืองเบเออร์เชบาถึงเมืองดาน แล้วนำรายงานมาให้เรา เพื่อจะได้ทราบ จำนวนรวมของเขาทั้งหลาย" 3 แต่โยอาบทูลว่า "ขอพระเจ้าทรงเพิ่มประชากร
ของพระองค์อีกร้อยเท่าของที่มีอยู่แล้ว ข้าแต่พระราชาเจ้านายของข้าพระบาท แต่ประชาชนนี้ทั้งสิ้นเป็นผู้รับใช้ของ เจ้านายของข้าพระบาทมิใช่หรือ ไฉนเจ้า นายของข้าพระบาทจึงรับสั่งเช่นนี้ ไฉนพระองค์จึงทรงนำกรรมชั่วมาสู่อิสราเอล"
4 แต่โยอาบขัดรับสั่งมิได้จึงจากไป และไปตลอดคนอิสราเอลทั้งสิ้น และกลับ
มายังเยรูซาเล็ม 5 และโยอาบถวายจำนวนประชาชนที่นับได้แก่ดาวิดในอิสราเอล ทั้งสิ้นมีหนึ่งล้านหนึ่งแสนคนที่ชักดาบ และในยูดาห์มีสี่แสนเจ็ดหมื่นคนที่ชักดาบ
(1 พงศาวดาร 21:1-5)

โยอาบค้านไม่ให้ดาวิดนับกำลังพลอิสราเอล และโดยทางผู้เผยพระวจนะกาด พระเจ้าทรงตำหนิดาวิดใน เรื่องนี้ และให้ท่านมีทางเลือกบทลงโทษสามทาง เพราะเป็นบาปที่ร้ายแรง และส่งผลกระทบที่รุนแรงต่อ ประเทศอิสราเอล เพราะบาปนี้ เป็นเหตุให้พระเจ้านำพระพรมาสู่อิสราเอล เพราะบริเวณที่ดาวิดถวายเครื่อง บูชาแด่พระเจ้านั้น จะกลายเป็นสถานที่สำหรับสร้างพระวิหารในเวลาต่อมา

สิ่งที่ผมกำลังจะชี้ให้เห็นคือ การตัดสินใจของดาวิดในครั้งนี้ — ที่จะอยู่ในกรุงเยรูซาเล็ม — เป็นจุดเริ่มต้นของ ความทุกข์โศกของทั้งดาวิดและประเทศอิสราเอล ทำไมการที่ดาวิดตัดสินใจอยู่บ้านแทนที่จะออกไปสู้รบกับ คนอัมโมนจึงเป็นสิ่งที่ผิด? ประการแรก การเป็นผู้นำทัพออกสู่สนามรบนั้นเป็นภาระกิจหลักของกษัตริย์ :

19 แต่ประชาชนปฏิเสธไม่ฟังเสียงของซามูเอล เขาทั้งหลายกล่าว
ว่า "เราไม่ยอม แต่เราจะต้องมีพระราชาปกครองเรา 20 เพื่อเราจะ
เป็นเหมือนประชาชาติทั้งหลายด้วย และเพื่อพระราชาของเราจะ
วินิจฉัยเรา และนำหน้าเราไปและรบศึกให้เรา"
(1 ซามูเอล 8:19-20)

คนอิสราเอลทำผิดด้วยการเรียกร้องอยากมีกษัตริย์ ที่พวกเขาคาดหวังคือให้ "กษัตริย์" เป็นผู้นำทัพออกสู่ สงคราม บรรดาผู้วินิจฉัยที่พระเจ้าส่งมาให้ในสมัยก่อนคือคนแบบบาราค หรือกิเดโอน ที่เป็นผู้นำชาติไปต่อสู้ กับศัตรู เมื่อพระเจ้าเลือกซาอูลให้เป็นกษ้ตริย์องค์แรก มีการกำหนดหน้าที่ในทางทหารอย่างชัดเจน:

15 พระเจ้าทรงสำแดงแก่ซามูเอล แล้วในวันก่อนวันที่ซาอูลมาถึงว่า
16 "พรุ่งนี้เวลาประมาณเท่านี้ เราจะส่งชายผู้หนึ่งซึ่งมาจากดินแดน
เบนยามิน เจ้าจงเจิมเขาให้เป็นเจ้าเหนืออิสราเอลประชากรของเรา เขาจะช่วยประชากรของเราให้พ้นจากมือคนฟีลิสเตีย เพราะเราได้ มองดูความทุกข์ใจแห่งประชากรของเราแล้ว ด้วยเสียงร้องทุกข์ของ
เขามาถึงเรา"
(1 ซามูเอล 9:15-16)

บางครั้งซาอูลก็ถอยกลับ ไม่ยอมติดตามศัตรูของอิสราเอลไป และมีบางครั้งที่ดาวิดทำหน้าที่แทน ด้วยการ นำคนในประเทศออกสู่สงคราม เช่นในกรณีที่ดาวิดสู้กับโกลิอัท ซึ่งที่จริงเป็นหน้าที่ของซาอูล ยักษ์ใหญ่ฝ่าย อิสราเอล (ดู 1 ซามูเอล 9:2) ตั้งแต่นั้นมา ดาวิดจะเป็นผู้นำคนของท่านออกต่อสู้เสมอ จนกระทั่งมาถึงบทที่ 11 อยู่ๆดีๆท่านก็ถอยกลับ ส่งคนอื่นไปสู้แทน ใน 2 ซามูเอล 12:26-31 ผู้เขียนแสดงให้เห็นชัดเจนว่า ดาวิด ไม่ได้มีความตั้งใจจะไปอยู่ด้วยในขณะที่รับบาห์แพ้ยอมเป็นเมืองขึ้น โยอาบส่งคนมาทูลดาวิด ขอให้ท่านไป แสดงตัวในฐานะผู้นำกองทัพอิสราเอล โยอาบเตือนว่า ถ้าท่านไม่ไปท่านก็จะไม่ได้เกียรติในชัยชนะครั้งนี้ แต่ โยอาบจะได้แทน โยอาบรู้ว่าดาวิดรู้ดีว่าอะไรควรไม่ควร ดังนั้นดาวิดจึงไปปรากฎตัวในฐานะผู้นำ "อย่างเป็น ทางการ" ในการยึดรับบาห์ได้เป็นเมืองขึ้น

ดาวิดก็ยังทำผิดอยู่ดี แต่ในแบบอื่น แบบที่ท่านไม่ได้ตระหนักสักนิดว่าจะกลายเป็นปัญหาใหญ่โต ดาวิดเป็น ภาพพจน์ของพระเมสซิยาห์ ผู้จะมาในฐานะกษัตริย์ของพระเจ้า และเมื่อพระองค์เสด็จมา พระองค์จะเป็นผู้ ช่วยกู้ประชากรของพระองค์ พระองค์จะเป็นผู้ปราบศัตรูลงอย่างราบคาบ และจัดตั้งราชบัลลังก์ ดาวิดจะเป็น ตัวแทนพระเมสซิยาห์ได้อย่างไร ถ้าท่านมัวแต่อยู่บ้าน ปฏิเสธไม่ยอมออกไปต่อสู้กับศัตรูของพระเจ้า และ ศัตรูของอิสราเอล? พระเมสซิยาห์จะเสด็จกลับมา (เป็นครั้งที่สอง) ในฐานะนักรบผู้ยิ่งใหญ่ ถ้าดาวิดจะเป็น ดังภาพพจน์ของพระองค์ ท่านควรต้องเป็นนักรบที่เก่งกล้าด้วย

อะไรทำให้ดาวิดอยากอยู่บ้านที่ในเยรูซาเล็ม? ทำไมท่านถึงไม่อยากออกไปรบ? ผมเกรงว่ามีหลายสาเหตุครับ สาเหตุประการแรก ดาวิดเริ่มผยอง พระเจ้าทรงสถิตอยู่กับดาวิดทุกครั้งในการต่อสู้ และประทานชัยชนะเหนือ ศัตรูให้ พระเจ้าทำให้ดาวิดมีชื่อเสียงเลื่องลือ ท่านเริ่มหลงใหลในชื่อเสียง เริ่มรู้สึกว่าไม่มีใครมาต้านทานได้ ท่านมาถึงจุดที่เชื่อมั่นในตนเองว่าเก่งกล้าสามารถในการนำชัยชนะมาสู่อิสราเอลได้ โดยไม่จำเป็นต้องนำทัพ ไปต่อสู้เอง

เรื่องนี้จึงสอดคล้องกับบาปหนักอีกข้อที่ดาวิดกระทำ ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อท่านตัดสินใจอยู่บ้าน เมื่อดาวิดสั่งให้ โยอาบไปนับกำลังพลอิสราเอล โยอาบคัดค้าน เพราะเป็นสิ่งที่ดาวิดไม่สมควรทำ บางทีอาจเป็นเพราะท่าน มีความมั่นใจในกองกำลังของท่าน มากกว่าพระเจ้า เหมือนกับเรื่องกองกำลังของกิเดโอนที่ถูกลดลงมา เหลือเพียงน้อยนิดแค่ 300 คน

เหตุผลประการที่สอง อาจเป็นเพราะเบื่อหน่าย การต่อสู้ในสนามรบที่รู้แพ้รู้ชนะอย่างรวดเร็วเป็นคนละเรื่อง กับการต้องยกไปล้อมเมืองรับบาห์ไว้ สงครามครั้งนี้ไม่ได้ชนะในทันที ต้องใช้เวลา จนกว่าพวกอัมโมนจะอด อยากขาดแคลนต้องยอมแพ้ เป็นการรบที่ไม่น่าตื่นเต้น และในขณะที่คอย ทหารอิสราเอล (รวมทั้งดาวิดด้วย) ต้องตั้งเต็นท์อยู่นอกเมือง ในที่โล่ง นี่ไม่ใช่เป็นการไปเที่ยวปิกนิค ดาวิดรู้ดี ความคิดของท่านดูจะเหมือน กับโฆษณาของร้านแฮมเบอร์เกอร์ชื่อดัง "วันนี้คุณได้เอาใจตัวเองหรือยัง?"

เหตุผลประการที่สาม — ซึ่งผมไม่ค่อยอยากพูดถึงเท่าไร — ดาวิดอาจอ่อนลง ยอมรับเถิดครับ ว่าดาวิดต้อง เผชิญกับวันที่ยากลำบากมากมายขณะที่หลบหนีซาอูล ผมแน่ใจว่าเป็นวันที่ร้อนรุ่มและคืนที่เหน็บหนาว เป็น วันที่อยู่อย่างอดอยาก หรืออาหารที่กินแทบไม่ลง ไม่มีใครเรียกอาหารในกองทัพว่าเป็นอาหารเหลาหรอกครับ เดี๋ยวนี้ดาวิดอยู่สุขสบายขึ้น ห่างใกลจากถิ่นทุรกันดารที่พวกทหารของซาอูล ถ้าไม่จำเป็นไม่อยากไปเหยียบ มีพระราชวังอยู่ ไม่ได้อยู่ในเต็นท์อีกต่อไป (ซึ่งถ้าได้อยู่ก็นับว่าโชคดีในสมัยนั้น); เมื่ออยู่ในวัง นอนในเตียง ตัวเอง ใครเล่าครับอยากออกไปนอนในเต็นท์ ในทุ่งโล่ง นอกเมืองรับบาห์? 37 ดาวิดเริ่มจะเหมือนซาอูลเข้าไปทุกที ในแง่ที่ท่านปล่อยให้คนอื่นออกไปรบแทน คนที่ท่านส่งไปรบแทนคือ โยอาบและอาบีชัย โยอาบคนนี้ ถ้าจำกันได้ เป็นคนดุร้าย ดาวิดไม่ได้เลือกโยอาบให้เป็นแม่ทัพอิสราเอล ท่านพยายามไม่ไปเกี่ยวข้องกับโยอาบและอาบีชัย เพราะเรื่องที่อับเนอร์ถูกฆาตรกรรม (2 ซามูเอล 3:26-30) โยอาบได้เป็นผู้บัญชาการในกองทัพอิสราเอล เพราะเขาเป็นคนแรกที่อาสาไปโจมตีเมืองเยบุส (1 พงศาวดาร 11:4-6) แต่อยู่ดีๆดาวิดกลับอยากจะอยู่บ้าน ปล่อยให้กองกำลังทั้งสิ้นของอิสราเอลตกอยู่ในความควบคุม ของโยอาบ ผมไม่คิดว่าดาวิดวางใจในโยอาบมากไปกว่าการที่ท่านไม่อยากไปผจญกับความยากลำบาก ในทุ่งโล่งรอบเมืองรับบาห์

เหมือนกับคุณลุงที่ผมเล่าเมื่อตอนต้น ดาวิดเผอิญอยู่ผิดที่ผิดเวลา ท่านอยู่ในเยรูซาเล็มแทนที่จะไปอยู่แถว รับบาห์ ที่ต่างจากลุงของผมคือ ดาวิดอยู่ผิดที่ผิดเวลาเพราะท่านตัดสินใจผิด ดาวิดเป็นเหมือนคนโง่ใน สุภาษิตบทที่ 7 ที่จงใจอยู่ผิดที่ผิดเวลาเพราะความโง่ของตนเอง อะไรจะผิด มันก็ต้องผิดล่ะครับ!

ดาวิดนอนอยู่กับบ้าน
(11:2-4)

ขณะที่อ่าน 2 ซามูเอลสองข้อนี้ ทำให้ผมนึกถึงหนังสยองขวัญของอัลเฟรด ฮิทช์ค็อก เรื่อง "หน้าต่างหลัง บ้าน" ถ้าจำไม่ผิดนำแสดงโดย จิมมี่ สจวร์ต และเกรซ เคลลี่ เป็นเรื่องเกี่ยวกับช่างภาพที่พึ่งฟื้นใข้ และต้อง พักอยู่แต่ในอพาร์ตเม้นท์ จาก "หน้าต่างหลังบ้าน" สจวร์ตนั่งเฝ้าดูหน้าต่างของบ้านถัดไป ในที่สุดก็เจอเข้า กับเรื่องฆาตรกรรม และเกือบทำให้ทั้งตัวเองและแฟนสาวต้องตายไปด้วย

กษัตริย์ดาวิดคิดผิดที่อยู่ในกรุงเยรูซาเล็ม แทนที่จะไปสู้กับพวกอัมโมนพร้อมกับกองทัพ ท่านไม่ได้อยู่บ้าน เพื่อนั่งทบทวนธรรมบัญญัติของโมเสส หรือเขียนบทสดุดีสักสองสามบท ; แต่ท่านกลับใช้เวลาอยู่บนเตียง เรารู้ว่าอุรียาห์จะขึ้นนอนก็ต่อเมื่อเวลาค่ำ (เมื่อมืดแล้ว) และเป็นไปได้ที่เขาคงตื่นนอนแต่เช้า (ดู 11:13) แต่กับดาวิดเป็นคนละเรื่อง กว่าดาวิดจะตื่นก็เป็นเวลาเย็น ซึ่งเป็นเวลาที่พวกทหารเข้านอน (ตามที่เพื่อนผม บอก นิสัยนี้เป็นมานานแล้วไม่ใช่พึ่งเป็น) ดูเหมือนว่าดาวิดไม่ได้กำลังปฏิบัติ "ภาระกิจของกษัตริย์" ในยาม เย็นเช่นนี้ ท่านกำลังปล่อยตัวตามสบาย

ในที่สุด ดาวิดก็ลุกจากเตียง ขึ้นไปเดินเล่นบนดาดฟ้า แน่นอนพระราชวังของดาวิดต้องอยู่สูงกว่าบ้านโดย ทั่วไป เพื่อท่านจะมองเห็นทิวทัศน์ได้ชัดเจนทั้งจากในและนอกเมือง ซึ่งก็แปลว่า ตึกหรือบ้านคนอื่นๆจะอยู่ ต่ำกว่าห้องชั้นบนของพระราชวัง ท่านจึงมองเห็นได้มากกว่าประชาชนทั่วไป (มีคนบอกผมว่ารถบันทุก 18 ล้อ จะมองเห็นได้ใกลกว่ารถเก๋งโดยทั่วไป)

ผมไม่ได้จะบอกว่าดาวิดตั้งใจไปดูในสิ่งที่ไม่สมควร แต่เป็นได้ว่าท่านแค่อยากไปเดินเล่นเรื่อยเปื่อย จู่ๆท่าน ก็เห็นมีผู้หญิงอาบน้ำอยู่ ในพระคัมภีร์ไม่ได้บอกว่าผู้หญิงคนนี้อาบน้ำที่ไหน เพียงแต่บอกว่านางอยู่ในสายตา ที่ดาวิดมองเห็นจากดาดฟ้า (หลังคา) ดาวิดเห็นความงามของนาง ท่านไม่ทราบว่านางเป็นใคร แต่งงานแล้ว หรือยัง เราไม่ทราบว่าดาวิดเห็นมากน้อยแค่ไหน แล้วเราไม่ทราบว่าท่านได้ทำบาปหรือยัง ถ้าดาวิดเห็นมาก กว่าที่ท่านสมควร (ซึ่งยังเป็นคำถามอยู่) ท่านควรจำต้องเลิกมอง มันไม่ผิดหรอกครับที่จะไปสอบถามถึงนาง ว่านางเป็นโสดอยู่หรือแต่งงานแล้ว ท่านสามารถนำนางมาเป็นภรรยาได้ คำถามของท่านจะทำให้เรื่องนี้กระ จ่าง

แล้วท่านก็ได้ข้อมูลของนางมา :

3ข "หญิงคนนี้ชื่อบัทเชบา บุตรีของเอลีอัม ภรรยาของอุรีอาห์
คนฮิตไทต์มิใช่หรือพ่ะย่ะค่ะ?"
(2 ซามูเอล 11:3ข)

คำตอบที่มีต่อดาวิดมาในรูปของคำถาม ผมเข้าใจว่าคงไม่มีคนอื่นเห็นผู้หญิงคนนี้ นอกจากดาวิด ดาวิดคง ต้องอธิบายรูปร่างลักษณะ อายุ และตำแหน่งบ้านของผู้หญิงคนนี้ เพื่อให้แน่ใจว่าเป็นคนๆเดียวกัน แต่คนที่ จะบอกได้ว่าถูกต้องหรือไม่ก็มีแต่ — ดาวิดคนเดียวเท่านั้นที่จำนางได้

ข้อมูลที่ดาวิดได้รับน่าจะเพียงพอที่ท่านจะจบเรื่องได้ ถ้าผู้หญิงคนนี้แต่งงานแล้ว ไม่มีสาเหตุใดที่ท่านจะไป ต่อเนื่องอีก ไม่ว่าตำแหน่งท่านจะใหญ่หรือมีอำนาจแค่ใหนก็ตาม ท่านก็ไม่มีสิทธิที่จะไปแย่งภรรยาผู้อื่น การกระทำของดาิวิด เป็นสิ่งเดียวกับที่โยเซฟเคยพูดไว้ เมื่อครั้งถูกภรรยาเจ้านายยั่วยวน :

7 โยเซฟนั้นเป็นคนสวยหน้าตาคมคาย อยู่มาภายหลังภรรยาของนาย
มองดูโยเซฟด้วยความปฏิพัทธ์ และชวนว่า "มานอนกับฉันเถิด" 8
แต่โยเซฟไม่ยอม จึงตอบแก่ภรรยาของนายว่า "คิดดูเถิด เมื่อมีข้าพเจ้า นายก็มิได้ห่วงสิ่งใดซึ่งอยู่ในบ้านเรือน ได้มอบของทุกอย่างที่มีอยู่ไว้ในมือ
ข้าพเจ้า 9 ในบ้านนี้นายก็ไม่ใหญ่กว่าข้าพเจ้า นายมิได้หวงสิ่งใดจากข้าพเจ้า ยกเสียแต่ตัวท่านเพราะเป็นภรรยาของนาย ข้าพเจ้าจะทำความผิดใหญ่หลวง
นี้อันเป็น ?" (ปฐมกาล 39:7-9).

รายงานที่ดาวิดได้รับเกี่ยวกับนางบัทเชบาน่าจะเป็นข้อมูลที่เพียงพอแล้วสำหรับดาวิด ถ้าท่านปรารถนาจะทำ สิ่งที่ถูกต้อง ท่านรู้ว่าบัทเชบาแต่งงานแล้ว เรื่องก็น่าจะจบลง ท่านรู้ด้วซ้ำว่านางแต่งงานแล้วกับอุรียาห์ คน ฮิทไทต์ ซึ่งไม่ใช่ใครที่ไหน ดาวิดคงต้องรู้จักอุรียาห์มาก่อน ถึงแม้จะไม่รู้จักภรรยาก็ตาม ใน 2 ซามูเอล 23: 39 "อุรียาห์ คนฮิทไทต์" เป็นนักรบที่เก่งกล้าของดาวิด เป็นทหารที่ทั้งกล้าและมีความสามารถ ถึงแม้ดาวิด ไม่รู้จักเป็นการส่วนตัว มหาดเล็กของท่านคงต้องบอกให้ท่านทราบ

ผมเกรงว่าดาวิดเลือกที่จะไม่สนใจประวัติทางทหารของอุรียาห์ แต่มุ่งไปสนใจเรื่องเชื้อชาติแทน ข้อสังเกตุ ที่น่าสนใจคือ ดาวิดพูดถึงอุรียาห์ว่าเป็น "อุรียาห์ คนฮิทไทต์" ในขณะที่ผู้เขียนพระธรรมซามูเอลกลับเรียก แต่ชื่อ "อุรียาห์" เฉยๆ คำว่า "อุรียาห์ คนฮิทไทต์" ผมเชื่อว่าเป็นการเรียกโดยยึดเอาจากข้อเท็จจริงว่าคนๆ นี้เป็นคนฮิทไทต์ ถึงแม้ดาวิดเองก็มีสายเลือดโมอับอยู่ ให้เรามาทำความรู้จักคนฮิทไทต์ตามประวัติศาสตร์ใน พระคัมภีร์เดิมกันสักหน่อย

ตั้งแต่ในสมัยปฐมกาล 15:18-21 พระเจ้าทรงสัญญากับอับราม(อับราฮัม) ว่าลูกหลานของท่านจะได้ครอบ ครองดินแดนของคนฮิทไทต์ (และของชนชาติอื่นๆอีก; ดูอพยพ 3:8, 17; 13:5; 23:23, 28, 32; 33:21; 34:11; เฉลยธรรมบัญญัติ 7:1; โยชูวา 1:4; 3:10) เอโฟรน คนที่อับราฮัมขอซื้อผืนดินไว้ฝังศพของครอบ ครัว ก็เป็นคนฮิทไทต์ (ดูปฐมกาล 23:10; 25:9; ฯลฯ) เอซาว พี่ชายของยาโคบแต่งงานกับผู้หญิงฮิทไทต์ หลายคน (ปฐมกาล 26:34-35; 36:2) คนอิสราเอลได้รับคำสั่งให้ทำลายคนฮิทไทต์ให้สิ้นซาก (เฉลยธรรม บัญญัติ 20:17) คนฮิทไทต์ต่อต้านไม่ยอมให้คนอิสราเอลเดินผ่านเพื่อเข้าไปยังดินแดนพันธสัญญา (ดู กันดารวิถี 13:29; โยชูวา 9:1: 11;1-5) แต่แล้วอิสราเอลก็มีชัยเหนือพวกเขา (โยชูวา 24;11) อย่างไร ก็ตาม คนอิสราเอลไม่ได้กำจัดคนเหล่านี้ให้หมดไป แต่กลับกลายเป็นอาศัยอยู่ท่ามกลางพวกเขา (ผู้วินิจฉัย 3:5) ในระหว่างที่ดาวิดหลบหนีซาอูล ท่านได้ยินว่าซาอูลมาตั้งค่ายอยู่ใกล้ ท่านจึงชวนคนของท่านสองคน ให้แอบเข้าไปในค่ายของซาอูล หนึ่งในสองคนนั้นคืออาบีชัย ที่อาสาจะไปกับดาวิด อีกคนที่ไม่ยอมไปคือ อาหิเมเลข คนฮิทไทต์ (1 ซามูเอล 26:6)

น่าจะเป็นที่ชัดเจนว่าอุรียาห์ละทิ้งเชื้อสายและพระเดิมของเขา เพื่อมาอยู่ที่อิสราเอล แต่งงานกับผู้หญิง อิสราเอล และร่วมรบในกองทัพของดาวิด เขาไม่ใช่คนต่างด้าวที่สมควรถูกกำจัดอีกต่อไป แต่เข้ามานับถือ ศาสนายิว ถึงกระนั้นก็ตาม ผมคิดว่าดาวิดก็ยังดูถูกเขา ดาวิดเริ่มทำตัวคุ้นเคยกับสถานะใหม่ ทุกอย่างต้อง ดีเลิศ ไม่ว่าจะเป็นเครื่องใช้ไม้สอย อาหาร หรือบริการ ท่านมองไปจากดาดฟ้า เห็นสตรีที่ท่านคิดว่า "สวย งาม" ผู้หญิงที่ "งาม" ขนาดนี้จะเป็นภรรยาของคนฮิทไทต์ได้อย่างไร? เธอเหมาะจะเป็นของกษัตริย์มากกว่า และกษัตริย์ผู้นี้ต้องการได้เธอมา

ดาวิดจึงส่งคนไป เพื่อตามนางมาเข้าเฝ้า เมื่อมาถึง ดาวิดก็มีสัมพันธ์กับนาง และเมื่อนางชำระตัวให้สิ้นมลทิน 38 แล้ว นางก็กลับบ้านไป เรื่องคงจบแค่นั้นถ้านางไม่เผอิญตั้งครรภ์ ผมสงสัยว่านางได้กลับมาเฝ้าดาวิดที่วังอีกหรือ เปล่า ดาวิดไม่ได้ต้องการบัทเชบามาเป็นภรรยา ไม่ได้ต้องการสานต่อ ท่านเพียงแต่อยากมีสัมพันธ์ชั่วคืน และ ปล่อยให้กลับไปหาอุรียาห์สามีของนาง

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น โดยดาวิดมีส่วนเกี่ยวข้องอยู่ สามารถเรียงลำดับได้ตามนี้ : (1) ดาวิดประทับอยู่ในกรุง เยรูซาเล็ม ; (2) ดาวิดพักผ่อนอยู่บนเตียง ; (3) ดาวิดมองเห็นนางบัทเชบาอาบน้ำอยู่ขณะที่ท่านออกไปเดิน เล่นบนดาดฟ้า ; (4) ดาวิดส่งคนไปสอบถามถึงนาง ; (5) ดาวิดรู้ประวัติ และสถานะภาพของนาง ว่าแต่งงาน แล้วกับนักรบในกองทัพของท่าน ; (6) ดาวิดส่งคนไปรับนางมาเข้าเฝ้า ; (7) ดาวิดสมสู่กับนาง ; (8) นาง บัทเชบากลับบ้านไปหลังจากชำระตัวให้พ้นมลทินแล้ว เราสามารถเห็นเหตุการณ์ในทำนองเดียวกันนี้จาก พระธรรมเล่มอื่นๆอีก ซึ่งเป็นเรื่องไม่น่าชื่นชมนัก เชเคม "เห็น นำตัวมา และนอน" กับดีนาห์ บุตรีของยาโคบ ในปฐมกาล 34:2 ยูดาห์ "เห็น เข้าไปหา และไปแต่งงาน" กับหญิงชาวคานาอันในปฐมกาล 38:2-3 อาคาน "เห็น โลภ และหยิบ" ของริบที่ต้องห้ามของศัตรูมาในโยชูวา 7:21 แซมสันทำในสิ่งเดียวกันในผู้วินิจฉัย 14 อย่าลืมว่าเหตุการณ์ในทำนองเดียวกันเกิดขึ้นเมื่อมีการทำบาปครั้งแรก เมื่อเอวา "เห็น ปรารถนา และรับ" ผลไม้ต้องห้ามมารับประทานในปฐมกาลบทที่ 3

บัทเชบามีส่วนในความผิดของดาวิดด้วยหรือไม่?

เรารู้จากพระธรรมตอนนี้ว่าดาวิดทำบาปแน่ และการกระทำของท่านที่ตามมาก็เป็นบาปแน่ๆด้วย เรารู้จากพระคำ ที่พระเจ้าตรัสผ่านนาธันว่า ดาวิดทำบาปที่น่าสลดใจยิ่ง แต่ปัญหาก็คือ มีหลายคนพยายามทำให้พระธรรมตอนนี้ ดูเหมือนว่าบัทเชบามีส่วนผิดอยู่ด้วย นางยั่วยวนดาวิดหรือเปล่า? ผมขอต่อเรื่องนี้ออกไปหน่อยนะครับ เพราะ ผมเชื่อว่าไม่มีหลักฐานชัดเจนมาสนับสนุนข้อสรุปเช่นนี้

เรามักลงความเห็นกันว่า บัทเชบาไม่ควรไปอาบน้ำอย่างเปิดเผยในที่เช่นนั้น และเป็นเพราะนาง จึงทำให้เกิด เรื่องนี้ขึ้น (นางรู้ดีว่าดาวิดอยู่ที่นั่น และสามารถมองเห็นได้… .) ขณะที่บางคนมองในแง่ดี และคิดว่าไม่ควร ไปด่วนสรุปเช่นนั้น ผมขอชี้แจงบางประเด็นจากเนื้อหาในตอนนี้ ประเด็นแรก และสำคัญที่สุด เมื่อนาธัน ประกาศเรื่องการพิพากษาเพราะบาปของดาวิด บัทเชบาและอุรียาห์เป็นผู้ถูกกระทำ ไม่ใช่ผู้กระทำผิด ตอนที่ อาดัมและเอวาทำบาป พระเจ้าเจาะจงไปที่อาดัม เอวา และงู ทุกฝ่ายถูกลงโทษไปตามความผิดของตน แต่ เป็นคนละเรื่องกับนางบัทเชบา ไม่มีที่ใดในพระคัมภีร์ที่บ่งว่านางได้ทำบาปนี้ด้วย อาจเป็นเพราะผู้เขียนไม่ได้ เพ่งเล็งไปที่นางบัทเชบามากนัก ในกรณีนี้ ถ้าอ้างตามกฎหมาย เราต้องถือว่านางเป็นผู้บริสุทธิ์ จนกว่ามีการ พิสูจน์ว่านางได้ทำผิดจริง

ในพระธรรมซามูเอลตอนนี้ เราเห็นชัดเจนว่าเหตุวิบัติต่างๆที่เกิดขึ้นกับครอบครัวของดาวิด เป็นผลมาจากความ บาปทั้งสิ้นของท่าน ตามที่นาธันบ่งไว้ (12:10-12) ดังนั้นเมื่ออัมโนนข่มขืนทามาร์ น้องสาวของอับซาโลม จึงเป็นเรื่องของ "ประวัติศาสตร์ซ้ำรอย" สังเกตุดู ดาวิดเป็นคนบอกให้ทามาร์ไปที่วัง เพื่อไปหาอัมโนนถึงที่ เตียง เมื่อทามาร์ถูกข่มขืน ไม่มีสิ่งใดบ่งว่านางยินยอม เกิดจากการบังคับของอัมโนนทั้งสิ้น สิ่งนี้พอจะบอก ได้ไหมว่า เป็นกรณีใกล้เคียงกับนางบัทเชบา และที่เรื่องที่เกิดขึ้นตามมาเป็นดังเงาสะท้อนให้เห็น?

เมื่อเราอ่านเรื่องราวนี้ เรากำลังอ่านด้วยสายตาของคนสมัยใหม่ ในยุคที่ผู้หญิงมีสิทธิจะ "ปฎิเสธ" ไม่ต้องการ มีสัมพันธภาพที่ลึกซึ้งเกินไปกับชายคนใด ถ้าผู้ชายไม่ยอมหยุด ก็เท่ากับเป็นการฝ่าฝืนสิทธิส่วนบุคคล ; เป็น การข่มขืน แต่ในแถบกึ่งตะวันออกในยุคโบราณ โลทสามารถมอบบุตรสาวพรหมจารีย์ให้กับชายชั่วที่ในเมือง โซโดมได้ เพื่อช่วยปกป้องแขกแปลกหน้า และไม่มีการคัดค้านต่อต้านใดๆจากบุตรสาวด้วย (ปฐมกาล 19: 7-8) สาวพรหมจารีย์เหล่านี้ต้องเชื่อฟังบิดา เพราะบิดามีสิทธิขาดเหนือพวกเขา มีคาลถูกเสนอให้เป็นภรรยาดาวิด แต่แล้วซาอูลก็มานำกลับไป เอาไปมอบให้ชายคนอื่นแทน แล้วดาวิดก็ไปเอาตัวคืนมา (1 ซามูเอล 25:44; 2 ซามูเอล 3:13-16) เราเห็นชัดว่ามีคาลไม่มีสิทธิเปิดปากค้านเลยในเรื่องนี้

ลองมามองเรื่องเดียวกันนี้ในมุมมองตรงข้าม ให้นึกถึงเรื่องเอสเธอร์ เมื่อกษัตริย์มีคำสั่งให้เรียกภรรยา ราชินี วาสตีมาเข้าเฝ้า (อาจจะเป็นในลักษณะที่ไม่เหมาะสมเพราะต้องการโชว์ให้แขกดู) นางปฏิเสธ จึงถูกปลดออก จากตำแหน่ง (ดูเอสเธอร์ 1:1-22) นางไม่ได้ถูกประหาร แต่ถูกแทนที่ ต่อมาในเรื่องเดียวกัน เรารู้ว่าไม่มีใคร สามารถเข้าเฝ้ากษัตริย์ได้ถ้าไม่ได้ถูกเรียกตัว และถ้าใครบังอาจเข้าเฝ้า ถ้ากษัตริย์ไม่ยกคฑาขึ้นยอมรับ คนๆ นั้นก็ต้องถูกประหาร (เอสเธอร์ 4:10-11) สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงวิธีการของกษัตริย์ทางแถบตะวันออก ใช่หรือไม่? สิ่งนี้อธิบายได้ไหมว่าทำไมบัทเชบาจึงไปเข้าเฝ้าเมื่อถูกเรียกตัว? สิ่งนี้อธิบายได้ไหมว่าทำไมนางยอมสนอง ตัณหาของกษัตริย์? (เราไม่รู้ว่ามีการต่อต้านหรือเปล่า — เหมือนทามาร์ในบทที่ 13 — เธออาจพยายามต้าน แต่ เราต้องเข้าใจถึงสถานะของผู้หญิงในสมัยโน้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเป็นคำสั่งของกษัตริย์

เอาหละ เมื่อเราได้มองภาพกว้างๆของเหตุการณ์ไปแล้ว ให้เรามาลองดูในรายละเอียด ในพระธรรมกล่าวว่า ดาวิดเห็นผู้หญิงอาบน้ำ และเห็นด้วยว่านางสวยงามมาก มันชวนให้เราจินตนาการไปว่าบัทเชบาคงเปลือยกาย อาบน้ำอยู่ในที่โล่งแจ้ง และภาพที่เห็น (เปลือยกาย/บางส่วน) ทำให้ดาวิดทำในสิ่งที่ท่านได้ทำลงไป มีการใช้ คำพูดแบบเดียวกัน ("หญิงสาวนั้นงามมาก") ในปฐมกาล 24:16 เมื่อพูดถึงเรเบคาห์เมื่อเธอแบกใหน้ำเดินมา ที่บ่อ เธอไม่ได้เปลือยกายหรือแต่งกายเย้ายวน ในทำนองเดียวกัน (ถึงแม้ไม่ได้ใช้คำพูดเหมือนกัน) มีการ ใช้คำพูดอธิบายถึงสตรีบางคนโดยที่นางไม่ได้เปลื้องผ้าแม้แต่นิดเดียว (ดูปฐมกาล 12:11; 26:7; 29:17; เอสเธอร์ 1:1) ผมเชื่อว่าเหตุผลหนึ่งที่ดาวิดเรียกนางมาเข้าเฝ้าเพราะท่านยังไม่เห็นทั้งหมดที่ท่านต้องการ

ขอต่ออีกนิดนะครับ นางบัทเชบากำลังอาบน้ำ ทำให้เรานึกไปว่านางคงต้องเปลือยกาย ถึงแม้เปลือยบางส่วน ก็ตาม ผมเชื่อว่าบัทเชบากำลังอาบน้ำอยู่ในที่ๆนางอาบอยู่เป็นประจำ เป็นเพราะดาวิดผู้เดียวเท่านั้น ที่มีห้อง อยู้ชั้นบน สูงกว่าคนอื่น จึงมองเห็นนางได้ และมองเห็นคนเฒ่าคนแก่อื่นๆได้ด้วยถ้าท่านอยากมอง คนจนไม่ สามารถมีที่ทางเป็นสัดส่วนได้เหมือนคนรวย ผมเห็นคนยากจนตั้งเยอะแยะไปอาบน้ำอยู่ที่ข้างถนนในอินเดีย เพราะสำหรับพวกเขา นั่นคือบ้าน คำว่าอาบน้ำที่ใช้ในตอนนี้ บ่อยครั้งก็ใช้คำเดียวกันนี้สำหรับการล้างมือ ล้าง เท้า หรือการอาบน้ำชำระตัวให้พ้นมลทินของพวกปุโรหิต อาบิกายิลใช้คำเดียวกันเมื่อนางพูดถึงการล้างเท้า ให้แก่ผู้รับใช้ของดาวิด (1 ซามูเอล 25:41) การล้างเช่นนี้สามารถทำได้ด้วยความเหมาะสม ไม่จำเป็นต้องทำ ในที่ส่วนตัว เราคงไม่คิดเลยเถิดไปว่า นางอาบีกายิลเดินเปลือยกายไปมาในที่สาธารณะอยู่นะครับ

บังเอิญหรือไม่ก็ตาม บัทเชบากำลังอาบน้ำอยู่ในเยรูซาเล็ม ในขณะที่ชายวัยฉกรรจ์ทั้งหลายออกไปรบ ยังจำข้อ 1 ได้มั้ยครับ?:

1 ครั้นถึงฤดูแล้งเมื่อบรรดากษัตริย์ยกกองทัพออกไปรบ ดาวิดทรง ใช้โยอาบพร้อมกับพวกข้าราชการและ อิสราเอลทั้งหมด เขาไป กวาดล้างคนอัมโมนและล้อมเมืองรับบาห์ไว้ แต่ดาวิดประทับที่เยรูซาเล็ม

ไม่ใช่ว่าบัทเชบาจงใจทำเพราะรู้ว่ามีผู้ชายอยู่เต็มไปหมด เธอมีสิทธิเต็มที่ที่จะเข้าใจว่าพวกผู้ชายออกไปรบ ดาวิดอยู่ ถึงแม้ท่านไม่สมควรอยู่ก็ตาม นอกจากนั้น เธอไม่ได้อาบน้ำตอนเที่ยงวัน ; เธออาบน้ำในตอนเย็น ซึ่งตรงตามที่ธรรมบัญญัติกำหนดไว้ (ชำระตัวให้พ้นมลทิน) ซึ่งเป็นเวลาที่ดวงอาทิตย์ตก จะพูดว่าบัทเชบา อาบน้ำเมื่อใกล้มืดเต็มทีก็ว่าได้ ดาวิดคงต้องใช้ความพยายามสักหน่อยจึงจะเห็น ผมเชื่อว่าบัทเชบาคงคิด ว่ามิดชิดดีแล้ว แต่กษัตริย์ได้เปรียบตรงที่อยู่สูงกว่า และท่านก็พยายามเพ่งมองเสียด้วย ผมคิดว่าดาวิด จงใจแอบมองมากกว่าบัทเชบาจงใจอยากโชว์ ผมเชื่อว่าในพระคัมภีร์เองก็ยืนยันเช่นนั้น

บทสรุป

ถ้าสิ่งที่ผมพูดไปทั้งหมดถูกต้อง ความบาปของดาวิดนั้นร้ายแรงกว่าที่คิด ในบางกรณีผู้หญิงเองอาจมีส่วนทำ ให้ผู้ชายคิดเลยเถิด จงใจหรือไม่จงใจก็ตาม แต่ในกรณีนี้ไม่มีสิ่งใดบ่งว่าเป็นเช่นนั้น ที่จริงถ้าผมเข้าใจถูก ที่ดาวิด "มองเห็น" บัทเชบาได้ เพราะนางกำลังชำระตัวตามที่ธรรมบัญญัติกำหนด ในขณะที่ดาวิดเองกลับ ผิดพลาดไม่ได้ไปทำหน้าที่ในฐานะกษัตริย์

พระธรรมตอนนี้ ถึงแม้เราศึกษามาเพียงสี่ข้อแรก มีเรื่องสอนใจเรามากมาย ผมขอสรุปให้ฟังดังนี้:

แรก รากปัญหาของดาวิดไม่ได้เป็นเพราะความนับถือในตนของท่านต่ำลง ; แต่เป็นความผยอง ผมเบื่อที่จะ ได้ยินคนพูดกันว่ารากของความชั่วร้ายทั้งมวลเกิดเพราะความนับถือในตนเองต่ำลง ผมสงสัยว่าทำไมเราไม่เห็น เรื่องนี้ในพระคัมภีร์ ปัญหาของดาวิดนั้นตรงกันข้าม ท่านเริ่มหลงในยศฐาบรรดาศักดิ์ ในความสำเร็จต่างๆ และใน ฐานะกษัตริย์ของอิสราเอล ท่านเริ่มเห็นว่าตนเองนั้นดีกว่า เหนือกว่า และแตกต่างจากอิสราเอลคนอื่น คนอื่นๆ ต้องออกไปรบ ท่านไม่ต้อง คนอื่นๆต้องไปนอนกลางแจ้ง ท่านนอนในเตียงตนเอง ในพระราชวังของตนเอง คนอื่นๆมีภรรยาได้ ส่วนท่านต้องการผู้หญิงคนใด ท่านต้องได้

สอง ธรรมชาติบาปของดาวิดคือการใช้อำนาจในทางที่ผิด เสียเพราะอำนาจ มีคนพูดว่า ยิ่งมีอำนาจมาก ยิ่งเสียมาก ในบทที่แล้ว ดาวิดขึ้นมามีอำนาจ ท่านใช้อำนาจที่พระเจ้าประทานให้เอาชนะศัตรูของพระองค์ และศัตรูของอิสราเอล ท่านใช้อำนาจในฐานะกษัตริย์อิสราเอลทำให้พันธสัญญาสำเร็จลง ทำให้สัญญา ของท่านกับซาอูลเป็นจริง ด้วยการดูแลเมฟีโบเชทเหมือนสมาชิกในครอบครัว แต่มาบัดนี้ดาวิดดูจะดื่มด่ำกับ อำนาจบารมี ใช้มันตามใจปรารถนาโดยผู้อื่นเดือดร้อน ผมอยากให้คุณลองสังเกตุคำว่า "ทรงใช้" หรือ "ทรงใช้ไป" ที่มีอยู่หลายครั้งในบทนี้ ต้องเป็นกษัตริย์อย่างดาวิดที่สามารถใช้คนอื่นไปรบ ในขณะที่ตนเอง นอนอยู่กับบ้านได้ (ข้อ 1) ต้องเป็นกษัตริย์อย่างดาวิดที่สามารถใช้คนไปสอบถามถึงนางบัทเชบา และใช้คน ไป "รับ" นางมาที่วังได้ (ข้อ 3-4) ต้องเป็นกษัตริย์อย่างดาวิดที่สามารถใช้คน "ไปตาม" อุรียาห์มา และ "ออก คำสั่ง" ให้โยอาบทำให้เขาตายเสียในสนามรบ ดาวิดมีอำนาจในมือ และท่านรู้ว่าควรใช้อย่างไร แต่บัดนี้ ท่าน กำลังใช้อำนาจเพื่อผลประโยชน์ของตนเอง โดยมีผู้อื่นจ่ายแทนให้ นี่ไม่ใช่การเป็นผู้นำของผู้รับใช้

การข่มขู่หรือคุกคามทางเพศเป็นสองกรรมวิธีที่ใช้อำนาจในทางที่ผิด พ่อแม่ชอบนึกว่าตนเองเป็นเจ้าของลูก และใช้ลูกเพื่อสนองตัณหาตนเอง ข่มขู่คุกคามลูกด้วยวิธีการต่างๆนาๆ ส่วนมากในเรื่องเพศ เจ้านายคุ้นเคย กับการบังคับบัญชาและออกคำสั่งให้คนทำตาม จึงไม่น่าประหลาดใจที่บางครั้งก็ใช้อำนาจคุกคามทางเพศ กับลูกจ้าง หรือผู้ที่ด้อยกว่า เพื่อสนองตัณหาตัวเอง การทำเช่นนี้ไม่ต่างอะไรจากความบาปของดาวิด

ผมขอย้ำในเรื่องนี้อีกนิด แน่นอนดาวิดผิดที่ใช้อำนาจในมือไปมีเพศสัมพันธ์กับภรรยาผู้อื่น แต่ถึงแม้จะ สามารถมีเพศสัมพันธ์อย่างถูกต้องได้ ก็ยังผิดที่ใช้อำนาจ ดังนั้นสามีไม่ควรใช้อำนาจข่มขู่ภรรยาเพื่อการ มีเพศสัมพันธ์ และภรรยาไม่ควรใช้อำนาจในทางที่ผิด (เช่นโดยการ "ปฏิเสธ" ) เพื่อลงโทษหรือกลั่นแกล้ง สามี ในชีวิตสมรส เรื่องเพศเป็นเรื่องการปรนนิบัติต่อคู่สมรสของเรา ไม่ใช่เป็นการแสดงอำนาจเหนือ

สาม ความมั่งคั่งอาจเป็นอันตรายได้ — และบางทีอาจเป็นอันตราย — ยิ่งกว่าความจนและความทุกข์ยาก เราเองท้อถอยต่อความทุกข์ยากในชีวิต เรากระหายอยากมีเวลาปล่อยวางและพักผ่อนได้บ้าง เราเบื่อที่จะ เห็นใบแจ้งหนี้ที่ไม่รู้จะเอาเงินที่ไหนมาจ่าย แน่นอน ดาวิดเองก็กระหาย รอเวลาที่จะได้หยุดพักจากการหลบ หนีซาอูล และได้ขึ้นครองเป็นกษัตริย์ ผมขอชี้ให้เห็นในมุมมองของจิตวิญญาณ ดาวิดไม่ได้ทำดีไปกว่าเมื่อ ตอนที่ท่านทุกข์ยากและอ่อนล้าเลย ในทางกลับกัน ดาวิดไม่เคยทำเลวไปกว่า เมื่อท่านมีทั้งอำนาจและความ มั่งคั่งในมือ คุณว่าดาวิดเขียนบทสดุดีกี่บทในระหว่างที่นอนเล่นอยู่บนเตียง หรือเดินไปมาบนดาดฟ้าหลังคา? ท่านใคร่ครวญธรรมบัญญัติกี่บทในขณะที่อยู่ในเยรูซาเล็ม? มากกว่าที่ในสนามรบหรือเปล่า? เราคงไม่ใช่พวก ต่อต้านความสุขสบาย ต้องการแต่ความทุกข์ยาก แต่ในทางตรงข้าม เราควรตระหนักว่า บ่อยครั้งความสำเร็จ เป็นบทพิสูจน์ที่หนักหน่วงกว่าความทุกข์ยาก บ่อยครั้งที่ดูเหมือนว่า "ทุกอย่างเป็นได้อย่างใจ" รู้หรือเปล่าว่า เรากำลังตกอยู่ในอันตรายที่ร้ายแรงที่สุดทีเดียว

สี่ ความบาปมีลำดับของมัน ความบาป "เกิดขึ้น" แต่น้อยครั้งมากที่ "อยู่ดีๆก็เกิดขึ้น" บาปมีที่มาที่ไป เราเห็น ลำดับการเกิดนี้ได้ในพระธรรมยากอบ:

13 เมื่อผู้ใดถูกล่อให้หลง อย่าให้ผู้นั้นพูดว่า "พระเจ้าทรงล่อข้าพเจ้า
ให้หลง" เพราะว่าความชั่วจะมาล่อพระเจ้าให้หลงไม่ได้ และพระองค์
เอง ก็ไม่ทรงล่อผู้ใดให้หลงเลย 14 แต่ว่าทุกคนก็ถูกล่อให้หลง เมื่อกิ
เลส ของตัวเองล่อและชักนำให้กระทำตาม 15 ครั้นตัณหาเกิดขึ้นแล้ว
ก็ทำให้เกิดบาป และเมื่อบาปเจริญเต็มที่แล้วก็นำไปสู่ความตาย
(ยากอบ 1:13-15)

ความบาปของดาวิดไม่ได้อยู่ดีๆก็เกิดขึ้น ดาวิดเองเป็นตัวการที่ทำให้ตนเองล้มลง เรารู้ว่าท่านละทิ้งภาระใน สนามรบ เลือกที่จะอยู่อย่างสุขสบาย คุณและผมอาจตัดสินใจทำในสิ่งเดียวกัน อาจจะแตกต่างไปเล็กน้อย เราอาจเลือกความสะดวกสบายแทนที่จะไปติดตามองค์พระผู้เป็นเจ้า ดำรงชีวิตภายใต้วินัย สามารถควบคุม ตนเองได้ (ดู 1 โครินธ์ 9:24-27) เราอาจเหน็ดเหนื่อยท้อถอยในการแบกกางเขน และเริ่มมองหาสิ่งที่ดีที่สุด ให้แก่ตนเอง เราอาจขยาด กลัวถูกแบ่งแยก เบื่อหน่ายที่ถูกหัวเราะเยาะเพราะการดำเนินชีวิตคริสเตียน เรา อาจนิ่งเงียบ มากกว่าพูดเป็นพยานเรื่องความเชื่อของเรา และถูกปฏิเสธเพราะสถานะของเรา เราอาจไม่กล้า ไปพูดตักเตือนพี่น้องคริสเตียนที่กำลังทำบาป เพราะเมื่อครั้งที่แล้วที่เราทำ เราหน้าแตกยับเยิน เมื่อใดที่เรา ก้าวถอยมาจากสนามรบ เราก็พร้อมที่จะล้มลงทุกขณะ

บาปที่ลงมือกระทำมักเป็นผลมาจากบาปแห่งการละเลย ดาวิดทำบาปล่วงประเวณีกับนางบัทเชบา และต่อมา ก็ฆ่าสามีนางทิ้งเสีย ความบาปของดาวิดเกิดจากความละเลย เหตุเพราะท่านเลือกที่จะอยู่บ้าน แทนที่จะไป สงคราม บาปแห่งการละเลยนี้ยากที่เราเองหรือคนอื่นๆจะมองเห็นได้ แต่มันอยู่ที่นั่นครับ และอีกไม่นาน มันจะ ฟักตัวกลายเป็นบาปที่เห็นชัดเจน เช่นที่เราเห็นเกิดกับดาวิด

คุณๆที่กำลังอ่านบทเรียนนี้ ผมรู้ว่าคุณกำลังตกอยู่ในสภาพเดียวกับดาวิด คุณได้ทำบาปล่วงประเวณี ผมขอ บอกว่า : "หยุดทันทีเลยครับ!" จะดีเพียงใดถ้าดาวิดยอมสารภาพบาปที่ทำกับนางบัทเชบา ก่อนที่ท่านจะ เลยเถิดไปจนถึงการฆ่าอุรียาห์ บาปเป็นเหมือนมะเร็งร้าย : ยิ่งรีบตัดทิ้งยิ่งเป็นการดี ; ถ้าปล่อยทิ้งไว้ ยิ่ง เจริญเติบโต ถ้าคุณพลาดพลั้งไปเหมือนดาวิด (ด้วยบาปใดก็ตาม) ตัดให้ขาด สารภาพบาปเสีย ทูลขอการ อภัยจากพระเจ้า และเริ่มต้นใหม่กับพระองค์

คุณบางคนอาจยังไม่เคยทำบาปนี้เหมือนดาวิด แต่กำลังใกล้เข้าไป คุณกำลังทำตัวเหมือนดาวิด เลือกที่จะ อยู่ในเยรูซาเล็ม และเลือกที่จะนอนเล่นบนเตียง คุณยังไม่ได้ลงมือทำบาปหรอกครับ แต่คุณกำลังปูทางอยู่ เพียงแต่คอยเวลาและโอกาส ที่ผมต้องการถาม ไม่ใช่ว่าคุณได้ทำบาปหรือยัง แต่ว่าคุณได้ยอมจำนนกับองค์ พระเยซูคริสต์หรือยัง ปรนนิบัติพระองค์เช่นเดียวกับคนอื่นหรือเปล่า โดยการใช้ความสามารถ (ของประทาน) ที่พระเจ้ามอบให้ มาใช้ให้เกิดประโยชน์แก่ผู้อื่น? ขอให้เราเรียนรู้จากการละเลยของดาวิด แทนที่จะเลียน แบบ (ประสพการณ์) จากการกระทำของท่าน

อัครสาวกยอห์นกล่าวไว้ว่า:

7 แต่ถ้าเราดำเนินอยู่ในความสว่าง เหมือนอย่างพระองค์ทรงสถิตในความสว่าง เราก็ร่วมสามัคคีธรรมซึ่งกันและกัน และพระโลหิตของพระเยซูคริสต์พระบุตรของ
พระองค์ ก็ชำระเราทั้งหลายให้ปราศจากบาปทั้งสิ้น 8 ถ้าเราทั้งหลายจะว่าเรา
ไม่มีบาป เราก็ลวงตนเอง และสัจจะไม่ได้อยู่ในเราเลย 9 ถ้าเราสารภาพบาป
ของเรา พระองค์ทรงสัตย์ซื่อและเที่ยงธรรม ก็จะทรงโปรดยกบาปของเรา และ จะทรงชำระเราให้พ้นจากการอธรรมทั้งสิ้น
(1 ยอห์น 1:7-9)

1 ลูกของข้าพเจ้าเอ๋ย ข้าพเจ้าเขียนข้อความเหล่านี้ถึงท่านทั้งหลาย เพื่อท่าน
จะได้ไม่ทำบาป และถ้าผู้ใดทำบาป เราก็มีพระองค์ผู้ทูลขอพระบิดาเพื่อเรา คือ พระเยซูคริสต์ผู้ทรงเที่ยงธรรมนั้น 2 และพระองค์ทรงเป็นผู้ลบล้างพระอาชญาที่
ตกกับเราทั้งหลาย เพราะบาปของเรา และไม่ใช่แต่บาปของเราพวกเดียว แต่ ของมนุษย์ทั้งปวงในโลกด้วย
(1 ยอห์น 2:1-2)

4 ผู้ที่กระทำบาปก็ประพฤติผิดธรรมบัญญัติ บาปเป็นสิ่งที่ผิดธรรมบัญญัติ 5 ท่าน
ทั้งหลายรู้แล้วว่า พระองค์ได้ทรงปรากฏ เพื่อกำจัดบาปของเราให้หมดไป และ พระองค์ไม่ทรงมีบาปเลย 6 ผู้ใดที่อยู่ในพระองค์ ผู้นั้นไม่กระทำบาป ส่วนผู้ใดที่
กระทำบาป ผู้นั้นยังไม่เห็นพระองค์ และยังไม่รู้จักพระองค์ 7 ลูกทั้งหลายเอ๋ย อย่าให้ใครชักจูงท่านให้หลง ผู้ที่ประพฤติชอบก็ชอบธรรมเหมือนอย่างพระองค์
ชอบธรรม 8 ผู้ที่กระทำบาปก็มาจากมาร เพราะว่ามารได้กระทำบาปตั้งแต่เริ่มแรก พระบุตรของพระเจ้าได้เสด็จมาปรากฏก็เพราะเหตุนี้ คือเพื่อทรงทำลายกิจการของ
มาร 9 ผู้ใดบังเกิดจากพระเจ้า ผู้นั้นไม่กระทำบาป เพราะสภาพของพระเจ้าดำรง อยู่กับผู้นั้นและเขากระทำบาปไม่ได้ เพราะเขาเกิดจากพระเจ้า
(1 ยอห์น 3:4-9)


37 ผมคิดว่าคงไม่ได้พูดเกินจริงครับ เหตุการณ์ระหว่างดาวิดและอุรียาห์ดูจะเป็นตัวบ่งว่า ท่านประหลาดใจ ทำไมอุรียาห์ เมื่อมีโอกาส ไม่อยากกลับมาอยู่สุขสบายในกรุงเยรูซาเล็ม แต่อุรียาห์กลับเลือกที่จะอยู่เหมือน ยังอยู่ในสนามรบ

38 เรื่อง "การชำระตัว" ของนางบัทเชบานี้เป็นเรื่องน่าสนใจและออกจะงงเล็กน้อย ในฉบับ KJV อ่านว่า "และ พระองค์ได้สมสู่กับนาง ; เพราะนางได้ชำระตัวให้สิ้นมลทินแล้ว : และนางได้กลับบ้านไป " ข้อ 4 ฉบับ NKJV แตกต่างนิดหน่อย : "และพระองค์สมสู่กับนาง, เพราะนางได้รับการชำระให้สิ้นมลทิน ; และกลับ บ้านไป" (สังเกตุดูเครื่องหมาย ; แล้ว , และจาก : ไปเป็น ;) ฉบับ NIV อ่านว่า "แล้วพระองค์ทรงสมสู่กับ นาง. (พอดีนางได้ชำระตัวให้สิ้นมลทินของนางแล้ว)" ฉบับ NRSV อ่านว่า "แล้ว พระองค์ทรงสมสู่กันาง (เพราะนางได้ชำระตัวหลังมีมลทินแล้ว)." มีคำถามเกิดขึ้นสองข้อซึ่งในพระคัมภีร์ไม่ได้อธิบายไว้ : (1) นางบัทเชบาชำระตัวให้พ้นจากมลทินใด? — มลทินจากการมีประจำเดือน หรือมลทินจากการมีเพศสัมพันธ์? ทั้งสองกรณีนี้มีกำหนดอยู่ในพระธรรมเลวีนิติ 15 (2) การชำระตัวนี้เกิดขึ้นตอนไหน และเสร็จสิ้นตอนไหน? ตอนที่ดาวิดเห็นบัทเชบาอาบน้ำ เป็นเวลาเดียวกับที่นางกำลังชำระตัวให้พ้นจากมลทินหรือเปล่า? ถ้าใช่ตาม ที่ธรรมบัญญัติกำหนดไว้ นางก็ต้องคอยให้ครบกำหนด จึงจะมีเพศสัมพันธ์ได้ มิฉะ นั้นก็เท่ากับดาวิดทำให้นาง ต้องฝ่าฝืนกฎเกี่ยวกับการชำระตัว เพราะยังไม่ครบตามกำหนด ตามคำแปล ดูเหมือนว่าการชำระตัวเป็นอดีต (ดำเนินต่อ) และเสร็จสิ้นลงแล้ว นางจึงสามารถมีเพศสัมพันธ์ได้โดยไม่ฝ่าฝืนกฎ ถึงจะไม่ใช่กับดาวิดก็ตาม แต่ถ้านางยังอยู่ในช่วงต้องห้ามของการชำระตัว ก็เท่ากับดาวิดทำบาปเพิ่มอีกข้อเพราะผิดเวลา ในขณะที่นาง ยังเป็นมลทินอยู่ หรือจะอ่านเป็นอีกแบบก็ได้ (เหมือนในฉบับ NASB) ที่พูดว่า บัทเชบารออยู่ที่วังของดาวิด จนกระทั่งนางได้ชำระตัวจนพ้นมลทินหลังจากมีสัมพันธ์กับดาวิดแล้ว ที่ น่าสนใจคือไม่มีการกล่าวว่าดาวิดรอ จนกว่าท่านได้ชำระตัวให้พ้นมลทินแล้ว ตามความเห็นของผมเรื่อง "การชำระตัว" นี้ ดูเหมือนนางบัทเชบา ต้องการทำตามธรรมบัญญัติของโมเสส ถึงแม้ดาวิดไม่ทำก็ตาม

Related Topics: Bibliology (The Written Word)

Report Inappropriate Ad