MENU

Where the world comes to study the Bible

บทที่ 21: จะขึ้นห้างหรู หรือจะไปตลาดนัดดี? (2 ซามูเอล 24)

ดาวิดนับกำลังพล 131

คำนำ

ในช่วงปีแรกๆที่โบสถ์ของเราตั้ง เรายังไม่มีสำนักงานโบสถ์ แปลว่าไม่มีตึกหรือสิ่งก่อสร้างใดๆทั้งสิ้น (เราใช้โรงเรียนประถมแห่ง หนึ่ง และต่อมาโรงแรมนอร์ทดัลลัสเป็นที่พบปะประชุม) ด้วยเหตุนี้และอื่นๆอีกหลายประการ ที่ทำงานของผมจึงอยู่ในห้องพักโรง แรม เป็นห้องเล็กๆ มีเลขาตั้งโต๊ะทำงานอยู่บริเวณล้อบบี้โรงแรม เธอรับจ้างทำงานพิมพ์ และงานธุรการทั่วไปให้กับบริษัทอื่นๆ ที่เช่าห้องโรงแรมใช้เป็นสำนักงานเช่นกัน มีอยู่วันหนึ่ง เลขาอายุน้อยผู้นี้เรียกผมให้หยุด เพื่อจะเล่าให้ฟังว่า ผู้เช่ารายอื่น มาพูดคุยกับเธอเรื่องค่าจ้าง โดยอ้างว่า ในเมื่อเธอทำงานให้กับ "่องค์กรคริสเตียน" ราคาค่าจ้างก็น่าจะลดลง เธอจึงคิดว่า เมื่อเธอลดราคาให้คนอื่นได้ โบสถ์ของเราก็สมควรได้รับการลดราคาด้วย

ผมรู้สึกไม่ค่อยสบายใจกับข้อเสนอนี้ และบอกเธอไปว่า ขอนำไปปรึกษาพูดคุยกับผู้ใหญ่ท่านอื่นก่อน หลังจากที่ได้พูดคุยกัน เราสรุปว่า่ เป็นการไม่สมควร ที่เธอต้องยอมลดราคาค่าจ้างเพื่อมาสนับสนุนโบสถ์เรา ผมบอกเธอว่าเราขอคงราคาเดิม ไม่ต้อง ลดหย่อนใดๆ เพราะเราคิดว่าไม่สมควรที่เธอต้องมาสละรายได้สนับสนุนโบสถ์เรา ซึ่งเธอเองก็ไม่ได้เป็นสมาชิกอยู่ด้วย

บทเรียนตอนนี้ ดาวิดได้โอกาสทองในสิ่งที่เราชอบเรียกว่า "ส้มหล่น" พระเจ้าทรงตรัสสั่งดาวิดผ่านทางผู้เผยพระวจนะกาด (หรือ "ผู้ทำนาย") ให้่ท่านตั้งแท่นบูชาขึ้นบนลาดนวดข้าวของอาราวนาห์ เพื่อจะทำตามพระประสงค์ ดาวิดต้องขอซื้อที่ดินผืนนั้นก่อน เมื่อดาวิดแจ้งความประสงค์กับอาราวนาห์ ว่าท่านต้องการขอซื้อที่ดิน เพื่อทำการตั้งแท่นถวายบูชาถวายแด่พระเจ้า อาราวนาห์ ตัดสินใจยกให้ฟรีๆ ไม่คิดเงิน แถมวัวสองตัวที่ใช้ในการนวดข้าวให้ด้วย พูดง่ายๆก็คือ ดาวิดไม่ต้องทำอะไรเลย อาราวนาห์จัด เตรียมให้เสร็จ ไม่คิดเงินด้วย ส้มหล่นมั้ยครับ? เราคิดว่าดาวิดน่าจะปลื้มที่สุด ท่านได้นมัสการพระเจ้าโดยไม่ต้องควักกระเป๋า มีอาราวนาห์เป็นสปอนเซอร์ใหญ่ จัดการให้เสร็จสรรพ แต่ดาวิดปฏิเสธครับ เราต้องมาค้นหากันว่าทำไม และเราเรียนรู้สิ่งใด จากเหตุการณ์นี้

เราเห็นชัดว่า 2 ซามูเอล 24 เป็นตอนจบของพระธรรมสองเล่มนี้ (คงจำกันได้ว่าเดิมในภาษาฮีบรูมีเพียงเล่มเดียว) และตอนนี้ ผู้เขียนกำลังนำเราเข้าสู่บทสุดท้าย ท่านพยายามชี้ให้เราเห็นประเด็นที่เป็นตอนสุดยอดของพระธรรมเล่มนี้ มีบทเรียนมากมาย สำหรับเรา ขอให้ตั้งใจฟังให้ดี ขอพระวิญญาณช่วยเราให้เข้าใจ และให้พระองค์ทำการภายในเรา และกระทำผ่านเรา ให้สำเร็จ ตามพระประสงค์ทุกประการ

ดาวิดได้ตามใจปรารถนา
(24:1-9)
132

1 พระพิโรธของพระเจ้าได้เกิดขึ้นต่ออิสราเอลอีก เพื่อทรงต่อสู้เขาทั้งหลายจึงทรงดลใจดาวิดตรัสว่า "จงไปนับคนอิสราเอล และคนยูดาห์"
2 พระราชาจึงรับสั่งโยอาบ แม่ทัพซึ่งอยู่กับพระองค์ว่า "จงไปทั่วอิสราเอลทุกเผ่า ตั้งแต่เมืองดานถึงเบเออร์เชบา และท่าน จงนับจำนวนประชาชน เพื่อเราจะได้ทราบจำนวนรวมของประชาชน"
3 แต่โยอาบกราบทูลพระราชาว่า "ขอพระเยโฮวาห์พระเจ้าของฝ่าพระบาท ทรงให้มีประชาชนเพิ่มขึ้นอีกร้อยเท่าของที่มีอยู่ ขอพระราชาเจ้านายของข้าพระบาททรงเห็นทันตา แต่ไฉนพระราชาเจ้านายของข้าพระบาทจึงพอพระทัย ในเรื่องนี้"
4 แต่โยอาบและผู้บังคับบัญชากองทัพก็ต้องยอม จำนนต่อพระดำรัสของพระราชา โยอาบกับบรรดาผู้บังคับบัญชาของกองทัพ จึงออกไป จากพระพักตร์พระราชา เพื่อจะนับประชาชนอิสราเอล
5 เขาทั้งหลายข้ามแม่น้ำจอร์แดนไปและตั้งค่าย ในเมืองอาโรเออร์ ด้านขวาของเมืองที่อยู่กลางหุบเขากาดถึงยาเซอร์
6 แล้วเขาทั้งหลายก็มายังกิเลอาดและมาถึงแผ่นดินตะทิมโหดฉิ และเขาทั้งหลายมาถึงเมืองดานยาอัน อ้อมไปยังเมืองไซดอน
7 และมาถึงป้อมเมืองไทระ และทั่วทุกหัวเมืองของคนฮีไวต์ และของคนคานาอัน และเขาออกไปยังเนเกบแห่งยูดาห์ ที่เมืองเบเออร์เชบา
8 เมื่อเขาไปทั่วแผ่นดินนั้นแล้ว เขาจึงมายังกรุงเยรูซาเล็มเมื่อสิ้นเก้าเดือนกับยี่สิบวัน
9 และโยอาบก็ถวายจำนวนประชาชนที่นับได้แก่ พระราชาในอิสราเอล มีทหารแข็งกล้าแปดแสนคน ผู้ซึ่งชักดาบ และ คนยูดาห์มีห้าแสนคน

ไม่มีการบันทึกว่าทำไมท่านทำเช่นนี้ แต่พระเจ้าทรงพระิพิโรธต่ออิสราเอล อ่านดูแล้ว รู้สึกว่าพระองค์คงกริ้วสุดๆ ต่อบาปของ อิสราเอลครั้งนี้ บ่อยครั้งในพระคัมภีร์เดิม มีการพูดถึงพระพิโรธของพระเจ้า133 ในแต่ละกรณี ต้องเป็นเรื่องความผิดร้ายแรง ร้ายแรง จนทำให้พระองค์แทบลุกเป็นไฟด้วยพระพิโรธอันชอบธรรมของพระองค์ นี่เป็นอีกครังที่พระเจ้าทรงกริ้วอิสราเอล และพระองค์ ต้องการตีสอนชนชาติที่หัวแข็งดื้อดึงนี้ พระองค์ทรงใช้บาปของดาวิดกระทำให้ทั้งดาวิดและประชาชนต้องสำนึกและรับการลงโทษ ขออย่าให้เรามัวมองแต่ความผิดบาปของดาวิดเท่านั้น โดยลืมไปว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นครั้งนี้เป็นเพราะบาปของคนอิสราเอลด้วย

พระเจ้าทรงดลใจดาวิด 134 ดาวิดตัดสินใจนับกำลังพลของทั้งอิสราเอลและยูดาห์ การนับกำลังพลไม่ใช่เป็นเรื่องความผิดเสมอไป โมเสสนับกำลังพลอิสราเอลเพื่อเตรียมการศึก (กดว. 1:1-4) โมเสสนับกำลังพลของพวกโคฮาท (กดว. 4:2) และพวกเกอร์โชน (กดว. 4:22) เพื่อจะทำงานในเต็นท์นัดพบ ซาอูลนับกำลังพลอิสราเอลเพื่อช่วยปกป้องชาวยาเบช-กิเลอาดจากพวกอัมโมน (1 ซมอ. 11:8) ดาวิดนับจำนวนคนที่อยู่ฝ่่ายท่าน เพื่อเตรียมป้องกันตนเองจากการกบฎของอับซาโลมบุตรชาย (2 ซมอ. 18:1).135 ในกรณีเช่นนี้ไม่ถือว่าเป็นการผิดบาปแต่ประการใด

เราต้องมองให้ออกว่า การนับกำลังพลของดาวิดครั้งนี้ ไม่ใช่เป็นการนับกำลังทางทหารอิสราเอลแบบธรรมดาๆ แต่เป็นการ อยากรู้ตัวเลข ต้องใช้เวลาถึงสิบเดือนกว่าจะเสร็จ และต้องใช้ฝีมือผู้นำทางทหารเลงมือ ตามความเข้าใจของผม เมื่อนับ กำลังทางทหาร ต้องมีการเรียงตามตำแหน่ง ซึ่งหมายความว่า การนับกำลังทหารตามตำแหน่งบังคับบัญชาเพื่อเตรียมพร้อมรบ

เราเห็นคำเตือนในเรื่องการนับกำลังทหารจากพระธรรมอพยพ :

12 "เมื่อเจ้าจะจดสำมะโนครัวชนชาติอิสราเอล จงให้เขาต่างนำทรัพย์สินมาถวายพระเจ้าเป็นค่าไถ่ ชีวิตเมื่อเจ้านับจำนวนเขา เพื่อจะ มิได้เกิดภัยพิบัติขึ้นในหมู่พวกเขาเมื่อเจ้านับเขา
13 ทุกคนที่ขึ้นทะเบียนสำมะโนครัว จะต้องถวายของอย่างนี้ คือเงินครึ่งเชเขล ตามเชเขลของสถานนมัสการ (เชเขลหนึ่ง มียี่สิบเก-ราห์) ครึ่งเชเขลเป็นเงินถวายแด่พระเจ้า
14 ทุกๆคนที่ขึ้นทะเบียนสำมะโนครัว อายุตั้งแต่ยี่สิบปีขึ้นไป ให้นำเงินมาถวายพระเจ้า
15 เมื่อเจ้าทั้งหลายนำเงินมาถวายพระเจ้า เพื่อจะได้ไถ่ชีวิตของเจ้าทั้งหลายนั้น สำหรับคนมั่งมีก็อย่าถวายเกิน และสำหรับ คนจน ก็อย่าให้น้อยกว่าครึ่งเชเขล
16 จงเก็บเงินค่าไถ่จากชนชาติอิสราเอล และจงกำหนดเงินไว้ใช้จ่ายในเต็นท์นัดพบ เพื่อพระเจ้าจะได้ทรงระลึกถึงชนชาติ อิสราเอล สำหรับการไถ่ชีวิตของเจ้าทั้งหลาย" ขัน (อพยพ 30:12-16)

จากพระธรรมตอนนี้ เราเห็นชัดว่าการนับกำลังพลนั้น เท่ากับขาดความยำเกรง เป็นความผิดร้ายแรงที่ต้องชดใช้ ถ้าไม่ชดใช้ ภัยพิบัติร้ายแรง จำต้องเกิดขึ้น

ผมค่อนข้างมีปัญหากับพระธรรมตอนนี้ โดยเฉพาะเรื่องการนับจำนวนคนอิสราเอล เรามองไม่เห็นเหตุผลชัดเจน แต่ผมเริ่มเห็น ความจริงบางอย่าง ถ้าพระเจ้าไม่ทรงพอพระทัยในการกระทำของดาวิดด้วยสาเหตุบางประการ เราเองก็ไม่เห็นสาเหตุใด ที่ดาวิดอยู่ดีๆ ลุกขึ้นมานับกำลังพล แต่ละครั้งในอดีต การนับกำลังพลมีเหตุผลเสมอ เมื่อนับกำลังทางทหาร แปลว่าเตรียม พร้อมออกศึก แต่ครั้งนี้ไม่ได้มีศึกสงครามใด ดูเหมือนดาวิดต้องการอยากรู้กำลังภายใต้อำนาจของตน เพื่อความภูมิใจส่วนตัว ดาวิดดูจะใส่ใจเรื่องอำนาจของตน ในเรื่องความแข็งแกร่ง ในการสู้ศึก จนเกินพอดี อาจเกินไปจนลืมพึ่งพาพระเจ้า เช่นเดียว กับกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ในพระธรรมดาเนียลบทที่ 4 หลงไหลในความเก่งกล้าของตนเอง อำนาจที่มีอยู่ในมือ และยศฐา บรรดาศักดิ์

มี "ความรู้สึก" บางอย่างซ่อนอยู่ในพระธรรมตอนนี้ ทำให้ผมนึกถึงเมื่ออาดัมและเอวาล้มลงในบาปในปฐมกาล 3 การนับกำลัง พลอิสราเอล เหมือนกับทำให้ดาวิด "รู้" ในเรื่องต้องห้าม ไม่สมควรรู้ เรื่องความยิ่งใหญ่ทางทหารของตนเอง (เทียบกับ ฉธบ. 17:14-20) ท่านต้องการ "เห็น" และรู้ถึงกำลังและอำนาจที่ตนเองมี ถึงแม้เป็นเรื่องต้องห้าม แต่ความปรารถนามันรุนแรงกว่าครับ

ขณะที่เราสงสัยเรื่อง "ความบาป" ในการกระทำเช่นนี้ แต่สำหรับคนของท่าน โยอาบ ผู้นำกองทัพ กลับไม่สงสัย (ข้อ 3; ดู 1 พกษ. 21:6) และท่านผู้นำกองทัพ (ข้อ 4) จึงไม่เห็นด้วยอย่างยิ่งกับความคิดนี้ แม้แต่ดาวิดเองก็ถูกจิตสำนึกโจมตี (ข้อ 10) ก่อนที่ ผู้เผยพระวจนะกาด จะมาเผชิญหน้าและตำหนิท่านเสียอีก (เช่นเดียวกับที่นาธันทำในกรณีของอุรียาห์และบัทเชบา – 2 ซามูเอล 12) การนับกำลังพลของ แผ่นดินเป็นสิ่งที่ผิด แต่ทว่าคนอื่นๆในแผ่นดินดูเหมือนจะพากันลืมสิ้น

โยอาบพยายามคัดค้านอย่างสุดความสามารถ เอาตำแหน่งและความปลอดภัยมาเสี่ยง ถึงกระนั้นก็ไม่อาจต้านทานดาวิด และคนอื่นๆได้ แม้จะไม่เห็นด้วย แต่ก็ต้องจำยอม ออกไปทำตามความประสงค์ของดาวิด (ดู 1 พกษ. 21:6) โยอาบต้องไป ทำหน้าที่ที่ตนเองเกลียด นับว่าเป็นภาระอันหนักอึ้ง ต้องข้ามแม่น้ำจอร์แดน มุ่งขึ้นเหนือ ไปทางตะวันตก แล้ววกลงใต้ เดินทาง ไปทั่วประเทศ เหมือนเข็มนาฬิกา และเมื่อภาระนี้จบลง ดาวิดจึงได้รับรายงาน มีนักรบกล้าถึง 800,000 คนในอิสราเอล และ นักสู้เฉพาะกิจอีก 500,000 คนในยูดาห์ (ข้อ 9)136

เมื่อดาวิดสำนึก
(24:10-14)

10 เมื่อได้นับจำนวนเสร็จแล้วพระทัยของดาวิดก็โทมนัส และดาวิดกราบทูลต่อพระเจ้าว่า "ข้าพระองค์ได้กระทำบาป ใหญ่ยิ่งในสิ่งซึ่ง ข้าพระองค์ได้กระทำนี้ ข้าแต่พระเจ้า แต่ขอพระองค์ทรงให้อภัยความบาปชั่วของข้าพระองค์ เพราะ ข้าพระองค์กระทำการอย่างโง่เขลามาก"
11 และเมื่อดาวิดทรงลุกขึ้นในตอนเช้า พระวจนะของพระเจ้าก็มายังกาดผู้เผย พระวจนะผู้ทำนายของดาวิดว่า
12 "จงไปบอกดาวิดว่า พระเจ้าตรัสดังนี้ว่า 'เราเสนอเจ้าสามประการ จงเลือกเอาประการหนึ่งเพื่อเราจะได้กระทำให้แก่เจ้า'"
13 กาดจึงเข้าเฝ้าดาวิดและกราบทูลพระองค์ว่า "จะให้เกิดกันดารอาหารในแผ่นดินของฝ่า พระบาทสิ้นเจ็ดปีหรือ ฝ่าพระบาท จะยอมหนีศัตรูสิ้น เวลาสามเดือนด้วยเขาไล่ติดตาม หรือจะให้โรคระบาดเกิดขึ้นใน แผ่นดินของฝ่าพระบาทสิ้นสามวัน บัดนี้ขอฝ่าพระบาททรงตรึกตรอง และตัดสินในพระทัยว่าจะให้คำตอบประการใด เพื่อข้าพระบาทจะนำกลับไปกราบทูล พระองค์ผู้ทรง ใช้ข้าพระบาทมา"
14 ดาวิดจึงตรัสกับกาดว่า "เรามีความกระวนกระวายมาก ขอให้เราทั้งหลายตกเข้าไปอยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า เพราะ พระกรุณาคุณของพระองค์ใหญ่ยิ่งนัก แต่ขออย่าให้เราตกเข้าไปในมือของมนุษย์เลย"

ก่อนจะถูกเตือน ดาวิดได้ตระหนักถึงความบาปของตนแล้ว ที่บังอาจไปนับกำลังพลของแผ่นดิน เมื่อใจของท่านเป็นทุกข์หนัก ท่านได้สำนึก ท่านสารภาพว่าบาปที่ทำลงไปนั้นใหญ่หลวงนัก และการกระทำของท่านนั้นโง่เขลาที่สุด (ข้อ 10) ความรู้สึกผิด และยอมสารภาพของท่าน เกิดขึ้นในตอนกลางคืน เพราะเมื่อท่านตื่นขึ้น ผู้เผยพระวจนะกาด137 มาพบ พร้อมด้วยพระวจนะจาก พระเจ้า ไม่มีคำโต้แย้ง ไม่มีการสอบสวนว่าดาวิดผิดจริงหรือไม่ มีอยู่อย่างเดียว คือต้องตัดสินใจเรื่องบทลงโทษ ท่านมีสาม ทางเลือก ทุกอย่างตรงตามที่บัญญัติอยู่ในพระธรรมเฉลยธรรมบัญญัติ 28 เป็นบทลงโทษ เมื่ออิสราเอลผิดสัญญาที่ทำไว้กับ พระเจ้า138

ทางเลือกของดาวิดมีเรื่องระยะเวลาของบทลงโทษรวมอยู่ด้วย : เจ็ดปีกันดารอาหาร139 สามเดือนถูกศัตรูไล่ล่า หรือสามวัน โรคระบาด ดาวิดเลือกทางเลือกที่สาม ไม่ใช่เพราะระยะสั้นที่สุด แต่ท่านเลือกที่จะถูกลงโทษโดยตรงจากพระหัตถ์ของพระเจ้า มากกว่าน้ำมือของมนุษย์

ทำไมเป็นเช่นนั้น? ทำไมดาวิดเลือกการลงโทษโดยตรง ที่มาจากพระเจ้าผู้ชอบธรรมและเี่ที่ยงธรรม มากกว่าจากฝีมือมนุษย์? ผมเชื่อว่า เป็นเพราะดาวิดรู้ดีว่า ท่านจะถูกลงโทษไม่ใช่ในฐานะผู้อื่น แต่ในฐานะบุตรของพระเจ้า ถึงกระนั้นภัยพิบัติ ก็ยังเป็น เรื่องน่าสะพรึงกลัว :

15 แล้วกษัตริย์ทั้งหลายในโลก พวกคนใหญ่คนโต นายทหารใหญ่ เศรษฐี ผู้มีอำนาจ และทุกคนทั้งที่เป็นทาสและเป็นอิสระ ก็ซ่อนตัว อยู่ในถ้ำและโขดหินตามภูเขา
16 พวกเขาร้องบอกกับภูเขาและโขดหินว่า "จงล้มทับเราเถิด จงซ่อนเราไว้ ให้พ้นจากพระพักตร์ของพระองค์ ผู้ประทับ อยู่บนพระที่นั่ง และให้พ้นจากพระพิโรธของพระเมษโปดกนั้น
17 เพราะว่าวันสำคัญแห่งพระพิโรธของพระองค์มาถึงแล้ว และผู้ใดจะทนอยู่ได้เล่า" (วิวรณ์ 6:15-17)

12 ข้าพเจ้าได้เห็นบรรดาผู้ที่ตายแล้ว ทั้งผู้ใหญ่และผู้น้อยยืนอยู่หน้าพระที่นั่งนั้น และหนังสือต่างๆก็เปิดออก หนังสืออีก เล่มหนึ่ง ก็เปิดออกด้วย คือหนังสือชีวิต และผู้ที่ตายไปแล้วทั้งหมด ก็ถูกพิพากษาตามข้อความที่จารึกไว้ในหนังสือเหล่านั้น และตามที่เขาได้กระทำ
13 ทะเลก็ส่งคืนคนทั้งหลายที่ตายในทะเล ความตายและแดนมรณาก็ส่งคืนคนทั้งหลายที่อยู่ในแดนนั้น และคนทั้งหลาย ก็ถูกพิพากษา ตามการกระทำของตนหมดทุกคน
14 แล้วความตาย และแดนมรณาก็ถูกผลักทิ้งลงไปในบึงไฟ บึงไฟนี่แหละเป็นความตายครั้งที่สอง
15 และถ้าผู้ใดที่ไม่มีชื่อจดไว้ในหนังสือชีวิต ผู้นั้นก็ถูกทิ้งลงไปในบึงไฟ (วิวรณ์ 20:12-15)

ดาวิดไม่จำเป็นต้องกลัวพระอาชญาของพระเจ้าที่ทรงมีต่อผู้ไม่เชื่อ ถึงแม้จะไม่ได้รับผ่อนผันการลงวินัย แต่การถูกลงวินัย โดยบิดาผู้เป็นที่รัก กลับจะทำให้ท่านได้ไกล้ชิดพระองค์มากยิ่งขึ้น :

7 ท่านทั้งหลายจงรับและทนเอาเถอะเพราะเป็นการตีสอน พระเจ้าทรงปฏิบัติต่อท่านในฐานะที่ท่านเป็นบุตรของพระองค์ ด้วยว่ามีบุตร คนใดเล่าที่บิดาไม่ได้ตีสอนเขาบ้าง
8 แต่ถ้าท่านทั้งหลายไม่ได้ถูกตีสอนเช่นเดียวกับคนอื่นๆ ท่านก็ไม่ได้เป็นบุตร แต่เป็นลูกที่ไม่มีพ่อ
9 อีกประการหนึ่ง เราทั้งหลายมีบิดาเป็นมนุษย์ที่ได้ตีสอนเรา และเราก็นับถือบิดานั้น ยิ่งกว่านั้นอีก เราควรจะอยู่ใต้บังคับของ พระบิดาแห่งวิญญาณจิต และมีชีวิตจำเริญมิใช่หรือ
10 เพราะบิดาที่เป็นมนุษย์ตีสอนเราเพียงชั่วเวลาเล็กน้อย ตามความเห็นดีเห็นชอบของเขาเท่านั้น แต่พระองค์ได้ทรงตีสอนเรา เพื่อประโยชน์ของเรา เพื่อให้เราได้เข้าส่วนในวิสุทธิภาพของพระองค์
11 เมื่อมีการตีสอนนั้นดูไม่เป็นที่ชื่นใจเลย เป็นเรื่องเศร้าใจ แต่ต่อมาภายหลังก็จะก่อให้เกิดความสุขสำราญแก่บรรดาคนที่ต้อง ทนอยู่นั้น คือความชอบธรรมนั้นเอง
12 เพราะเหตุนั้นจงยกมือที่อ่อนแรงขึ้น และจงให้หัวเข่าที่อ่อนล้ามีกำลังขึ้น
13 และจงทำทางให้ตรงเพื่อให้เท้าของท่านเดินไป เพื่อว่าขาที่เขยกนั้นจะได้ไม่เคล็ด แต่จะหายเป็นปกติ (ฮีบรู 12:7-13)
ฟังดูขัดแย้งกันนะครับ พระเจ้าผู้บริสุทธิ์ยุติธรรม และทรงเป็นพระเจ้าที่เปี่ยมไปด้วยพระกรุณา และพระทัยดี :
6 พระเจ้าเสด็จผ่านไปข้างหน้าท่าน ตรัสว่า "พระเยโฮวาห์ พระเยโฮวาห์ พระเจ้าผู้ทรงพระกรุณา ทรงกอปรด้วยพระคุณ ทรงกริ้วช้า และบริบูรณ์ด้วยความรักมั่นคง และความสัตย์จริง
7 ผู้ทรงสำแดงความรักมั่นคงต่อมนุษย์กระทั่งพันชั่วอายุ ผู้ทรงโปรดยกโทษการล่วงละเมิด การทรยศ และบาปของเขาเสีย แต่จะทรงถือว่า ไม่มีโทษก็หามิได้ และให้โทษบิดาตกทอดไปถึงลูกหลานสามชั่ว สี่ชั่วอายุคน" (อพยพ 34:6-7)
โดยพระเมตตานี้เอง ดาวิดจึงเข้ามาพึ่งในพระคุณ ท่านรู้ดีว่าท่านทำผิดต่อพระองค์ และสมควรถูกพระองค์ลงโทษ และท่านก็รู้ ด้วยว่าพระหัตถ์ของพระเจ้านั้นมีเมตตากว่าเงื้อมมือมนุษย์ ลองมาหยุดคิดดู ดาวิดไม่เพียงวางใจในพระเจ้าเป็นพระผู้ช่วยให้รอด และช่วยกู้ท่านออกจากศัตรูเท่านั้น แต่รับการตีสอนของพระองค์ด้วย ไม่มีตรงไหนในชีวิตของเรา ที่เราควรจะวางใจในมนุษย์ มากไปกว่าในองค์พระผู้เป็นเจ้า

ความหายนะและพระเมตตา
(24:15-17)

15 ดังนั้นพระเจ้าจึงทรงให้โรคระบาดเกิดขึ้นในอิสราเอล ตั้งแต่เวลาเช้าจนสิ้นเวลากำหนด และประชาชนที่ตาย ตั้งแต่เมืองดาน ถึงเบเออร์เชบา มีเจ็ดหมื่นคน
16 และเมื่อทูตสวรรค์ยื่นมือออกเหนือกรุงเยรูซาเล็ม จะทำลายเมืองนั้น พระเจ้าทรงกลับพระทัยในเหตุร้ายนั้น ตรัสสั่งทูตสวรรค์ ผู้กำลังทำลายประชาชนว่า "พอแล้ว ยับยั้งมือของเจ้าได้" ส่วนทูตของพระเจ้าก็อยู่ที่ลาน นวดข้าวของอาราวนาห์คนเยบุส
17 เมื่อดาวิดทอดพระเนตร ทูตสวรรค์ผู้กำลังสังหารประชาชนนั้น พระองค์กราบทูลพระเจ้าว่า "นี่แหละข้าพระองค์ได้ละเมิด กระทำบาปแล้ว แต่บรรดาแกะเหล่านี้ เขาได้กระทำอะไร ขอพระหัตถ์ของพระองค์อยู่เหนือข้าพระองค์ และพงศ์พันธุ์ของ ข้าพระองค์เถิด"

พระเจ้าทรงพิโรธต่ออิสราเอล และพวกเขาสมควรถูกการลงโทษด้วยโรคระบาด ไม่ใช่เป็นแค่ความบาปของดาวิดเท่านั้น แต่เป็นความบาปของอิสราเอลเองด้วย น่าขำนะครับ ทันทีที่ดาวิดรู้จำนวนตัวเลขนักรบในปกครอง ผลลัพท์ของมัน คือตัวเลข ลดลงไปทันที 70,000 คน ภัยพิบัติที่เกิดขึ้นนั้น กระจายไปทั่วทั้งแผ่นดินอิสราเอล และเมื่อทูตสวรรค์ของพระเจ้ากำลังจะ ลงดาบทำลายบรรดาผู้ที่มีส่วนในการนับกำลังพล กำลังอยู่ปากประตูเยรูซาเล็มพร้อมด้วยภัยพิบัติ ดาวิดเห็นทูตสวรรค์นั้นชูดาบขึ้น พร้อมที่จะทำลายเยรูซาเล็ม เรารู้ว่าในที่สุดแล้วพระเจ้าทรงยับยั้ง ความเชื่อที่ดาวิดมีเต็มเปี่ยมในพระเจ้า กำลังจะส่งผล เมื่อพระองค์เทพระพิโรธลงไปยังประชากรของพระองค์ แต่แล้ว ทรงมีพระทัยสงสาร ทูตสวรรค์ของพระองค์ยืนอยู่ที่ปากประตู ที่ลานนวดข้าวของอาราวนาห์คนเยบุส 140 ได้รับคำสั่งให้หยุดการลงพระอาชญาในทันที

ดาวิดคงไม่เข้าใจน้ำพระทัยนัก ทรงทูลขอให้พระองค์ยับยั้งภัยพิบัติต่อประชาชน แต่ให้นำมันเทลงมาที่ท่าน และพงศ์พันธ์ ของท่านแทน (ซึ่งต่างกับวงศ์วานของซาอูลในบทที่ 21) พระเจ้ามีแผนการที่ดีกว่านั้น พระองค์จะทรงสั่งดาวิดผ่านทาง ผู้เผยพระวจนะกาด ในตอนจบของพระธรรมเล่มยิ่งใหญ่นี้

สถานที่สร้างแท่นบูชาลบบาป
(24:18-25)

18 ในวันนั้นกาดก็เข้ามาเฝ้าดาวิด กราบทูลพระองค์ว่า "ขอเสด็จขึ้นไปสร้างแท่นบูชา ถวายแด่พระเจ้าบนลานนวดข้าวของอาราวนาห์ คนเยบุส"
19 ดาวิดก็เสด็จขึ้นไปตาม คำของกาดตามที่พระเจ้าทรงบัญชา
20 เมื่ออาราวนาห์มองลงมา เห็นพระราชาและข้าราชการขึ้นมาหาตน อาราวนาห์ก็ออกไปถวายบังคมพระราชาซบหน้าลงถึงดิน
21 และอาราวนาห์กราบทูลว่า "ไฉนพระราชาเจ้านายของข้าพระบาท จึงเสด็จมาหาข้าพระบาท" ดาวิดตรัสว่า "มาซื้อลานนวดข้าวจาก ท่าน เพื่อจะสร้างแท่นบูชาถวายแด่พระเจ้า เพื่อโรคร้ายจะได้ระงับเสียจากประชาชน"
22 อาราวนาห์จึงกราบทูลดาวิดว่า "ขอพระราชาเจ้านายของข้าพระบาท จงรับสิ่งที่พระองค์ทรงเห็นชอบขึ้นถวาย ที่นี่มีวัวสำหรับ ทำเครื่องเผาบูชา และเลื่อนนวดข้าวกับแอกสำหรับวัวเป็นฟืน
23 ของทั้งสิ้นนี้อาราวนาห์ขอถวายแด่พระราชา" และอาราวนาห์กราบทูลพระราชาอีกว่า "ขอพระเยโฮวาห์พระเจ้าของฝ่าพระบาท จงโปรดปรานฝ่าพระบาท"
24 แต่พระราชาตรัสกับอาราวนาห์ว่า "หามิได้ แต่เราจะขอเสียเงินซื้อจากท่าน เราจะถวายเครื่องเผาบูชาแด่พระเยโฮวาห์พระเจ้าของ เราโดยที่เราไม่เสียค่าอะไรเลยนั้นไม่ได้" ดาวิดจึงทรงซื้อลานนวดข้าวกับวัวเป็นเงินห้าสิบเชเขล 25 ดาวิดก็ทรงสร้างแท่นบูชาถวายแด่พระเจ้าที่นั่น และถวายเครื่องเผาบูชากับเครื่องศานติบูชา พระเจ้าทรงสดับฟังคำอธิษฐานเพื่อแผ่นดินนั้น และโรคร้ายก็ระงับเสียจากอิสราเอล (2ซามูเอล 24:18-24)

ผู้เผยพระวจนะกาดมาพบดาวิดพร้อมเสนอทางแก้ใข – ถวายบูชา ดาวิดต้องตั้งแท่นถวายบูชาแด่พระเจ้า บนลานนวดข้าว ของอาราวนาห์ ในทันที ดาวิดมุ่งตรงไปยังสถานที่ ที่ท่านเห็นทูตสวรรค์ของพระเจ้ายับยั้งการลงอาญา อาราวนาห์และ บุตรชายทั้งสี่กำลังทำงานอยู่ที่ลานนวดข้าว เมื่อเขามองขึ้นมา เห็นทูตสวรรค์ของพระเจ้า และเห็นดาวิดกับเหล่ามหาดเล็ก กำลังมุ่งตรงมา (1 พศด. 21:20-21) คงอกสั่นขวัญแขวนด้วยความสะพรึงกลัว (ใน 1 พศด. ใช้ชื่อออร์นาน)

ในจินตนาการของผม ผมนึกไปถึงเพื่อนร่วมห้องคนหนึ่ง ที่อยู่หอพักมหาวิทยาลัยเดียวกัน เขาขับรถฟอร์ดปี 1953 ซึ่งใกล้จะ หมดสภาพอยู่รอมร่อ ตอนนั้นเผอิญมีเพื่อนอีกคนเป็นเซลล์ขายรถใหม่ และค้ารถเก่าไปด้วยพร้อมๆกัน เจอร์รี่เพื่อนผมขับฟอร์ด ปี 1953 นี้ ไปเมืองออร์เบินที่รัฐวอชิงตัน เพื่อไปดูสภาพรถอีกคัน เป็นเชฟโรเร็ตปี 1959 ซึ่งเขาพอใจแต่ไม่กล้าแย้มให้เซลล์ขาย รถรู้ ทันทีที่เซลล์เสนอราคา "ดีที่สุด" ให้ (พร้อมทั้งยอมรับซื้อรถฟอร์ดคันเก่าเอาไว้ด้วย) เจอร์รี่กลับบอกว่าขอกลับไปคิดดูก่อน แล้วขึ้นนั่งรถฟอร์ด ใขกุญแจสตาร์ท ; เงียบสนิทครับ เขาตัดสินใจค่อยๆลุกออกจากรถ เดินไปหาเซลล์ขายรถ พร้อมกับพูดว่า "ตกลงซื้อครับ" ตอนนี้คงไม่ใช่เวลามาเกี่ยงราคาแล้วครับ เพราะเจอร์รี่กำลังจนมุม

อาราวนาห์ตกอยู่ในสถานะเดียวกัน ทูตสวรรค์ของพระเจ้าอยู่ที่นั่น ดาวิดและมหาดเล็กของท่านกำลังมุ่งตรงมา อาราวนาห์ เป็นคนต่างชาติ ที่ยังโชคดีมีชีวิตอยู่ แถมยังมีที่ดินไกล้กับดาวิดในกรุงเยรูซาเล็ม เป็นที่ดินผืนงามที่ดาวิดแจ้งความประสงค์ ว่าอยากได้ ดาวิดต้องการทราบราคา อาราวนาห์คิดว่าน่าจะเป็นโอกาสดีที่ี่ควรเสนอบางอย่างให้กับดาวิด เขาเสนอไม่เพียง แต่มอบที่ดินให้ฟรีๆเท่านั้น แต่ให้วัวและเครื่องไม้เครื่องมือในการนวดข้าวด้วย เพื่อดาวิดจะสามารถนำไปใช้ในการถวายบูชาได้

ผมว่าเป็นข้อเสนอที่น่าสนใจนะครับ สามารถถวาย "ของหรู" ให้กับพระเจ้าได้ – ในราคาที่ไม่น่าเชื่อ (คือฟรีครับ) อาราวนาห์ คงตกใจกับคำตอบของดาวิด ท่านไม่ยอมรับข้อเสนอสำหรับที่ดินผืนงามนี้ เพราะถ้าดาวิดรับ เท่ากับท่านถวายบูชาโดยไม่ต้อง จ่ายอะไรเลย แล้วการ "ถวายบูชา" โดยไม่สละสิ่งใด "ถวาย"เลย จะไปมีความหมายได้อย่างไร? ดาวิดซื้อที่ดินผืนนั้น (ผมไม่ แน่ใจเรื่องวัว และเครื่องมือนวดข้าว) ในราคาเต็ม และทำพิธีถวายบูชา เมื่อเสร็จแล้ว พระเจ้าทรงรับฟังคำร้องทูลของดาวิด และประชาชน พระองค์จึงทรงยับยั้งภัยพิบัติเสีย 141

บทสรุป

พระธรรมบทนี้เป็นการสรุป 1 และ 2 ซามูเอลของผู้เขียน เราอาจเรียกว่าเป็นการสรุปของบทสรุปก็ได้ อีกแง่หนึ่ง เรื่องราว จบลงตั้งแต่บทที่ 20 บทที่ 21-24 เป็นเหมือนบทส่งท้ายของพระธรรมทั้งเล่ม นำเราให้เข้าถึงประเด็นที่ผู้เขียนต้องการถ่ายทอด การจะเข้าใจบทส่งท้ายนี้ให้ดีที่สุด ต้องใช้ตารางหรือภาพประกอบเข้าช่วย ตามที่คุณเห็นด้านล่างนี้

แก่นของวาทะสุดท้ายคือบทเพลงทั้งสองของดาวิด เพลงแรกเป็นการย้อนกลับไปเมื่อท่านได้รับการช่วยกู้จากซาอูล และจากศัตรู ยาวไปจนถึงเมื่อท่านได้ขึ้นครองเป็นกษัตริย์ ส่วนเพลงหลังย้อนกลับไปในสมัยที่ท่านปกครอง และเมื่อวาระสุดท้ายไกล้เข้ามา (22:1-51; 23:1-7) หัวใจของทั้งสองบทเพลงคือ "พระเจ้าเป็นผู้ช่วยกู้" ถึงแม้ท่านหวุดหวิดตายหลายหน ต้องเผชิญกับเรื่อง ประหลาดมหัศจรรย์มากมาย พระเจ้ายังทรงช่วยท่านให้พ้นความตาย และทำตามพระสัญญาที่ให้ท่านขึ้นเป็นกษัตริย์อิสราเอล นอกจากนี้ ดาวิดยังมองพระองค์เป็นพระผู้ช่วยในอนาคต เมื่อพระองค์ส่งกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ของพระองค์ คือพระเมสซิยาห์ลงมา ทำให้น้ำพระทัย เรื่องแผนการความรอดสุดท้ายของพระองค์สำเร็จลง

ตอนที่สองและตอนที่ห้าของวาทะสุดท้ายนี้ เกี่ยวข้องกับทหารกล้า "วีรบุรุษ" ของดาวิด ใน 21:15-22 ดาวิดได้ผ่านจุดสูงสุด ของชีวิตมาแล้ว และพวกลูกหลานยักษ์ของโกลิอัทเกือบเอาชีวิตท่านไป ดีที่อาบีชัยมาช่วยไว้ทัน ฆ่ายักษ์อิชบีเบโนบเสีย พร้อม ทั้งยักษ์อื่นอีกสามตน ก็ถูกทหารกล้าของดาวิดฆ่าตาย (พวกนี้เป็นลูกหลานของโกลิอัท) ใน 23:8-39 มีการยกย่องกลุ่ม วีรบุรุษของดาวิดคือ "ทั้งสาม" และ "สามสิบ" คนเหล่านี้วางใจในพระเจ้า และเป็นเครื่องมือที่พระองค์ทรงใช้ ให้มีชัยชนะอย่าง อัศจรรย์ ต่อบรรดาศัตรูของอิสราเอล พระเจ้าทรงประทานชัยชนะให้แก่ดาวิดและอิสราเอลผ่านฝีืมือของทหารกล้าเหล่านี้

ตอนแรกและตอนท้ายของวาทะสุดท้ายนี้ เป็นเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับความบาปของกษัตริย์สององค์แรกของอิสราเอล ใน 21:1-14 มีการถวายบูชาไถ่ความผิดบาปของซาอูล ที่พยายามทำลายเผ่าพันธ์ของกิเบโอน ซึ่งชาวอิสราเอลในอดีตเคยทำสัญญาไว้ชีวิต บุตรชายจำนวน "เจ็ด" คนของซาอูล ถูกส่งไปให้คนกิเบโอนประหาร เพื่อเป็นการชดใช้บาป และการกันดารอาหารก็หมดไป เมื่อ พระเจ้าทรงกลับมาฟังคำทูลวิงวอนของชาวอิสราเอลอีกครั้ง ใน 24:1-25 (ของตอนนี้) เราเห็นความบาปของดาวิด ซึ่งทำให้ทั้ง ชาติต้องโทษ จนเมื่อมีการซื้อขายที่ดินบนลาดนวดข้าวของอาราวนาห์ จัดตั้งแท่นบูชา และการถวายบูชาแด่พระเจ้าเสร็จสิ้นลง พระองค์ทรงระงับภัยพิบัติเสีย จากประชาชนและแผ่นดินอิสราเอล

ทั้งสามย่อหน้านี้เป็นบทสรุปของพระธรรมทั้งเล่ม มีบทเรียนสำคัญบางเรื่องที่ผู้เขียนต้องการทิ้งท้ายให้เรา ผมขออนุญาตสรุป ดังนี้ครับ

ประการแรก เตือนเราอีกครั้ง ถึงความสัตย์ซื่อของพระเจ้าในการช่วยกู้ประชากรของพระองค์ พระธรรมซามูเอลฉบับ แรกเริ่มด้วยความทุกข์ของนางฮันนาห์ที่ไม่สามารถมีบุตร พระเจ้า "ทรงช่วย" นางจากการเป็นหมัน และไม่ได้มีบุตรชายเพียง ซามูเอลเท่านั้น แต่มีบุตรชายหญิงอีกหลายคน บทเพลงของนางจึงเป็น "บทเพลงการช่วยกู้" (1 ซามูเอล 2) ตั้งแต่โมเสส และอาโรน ตลอดจนยุคผู้วินิจฉัย พระเจ้าทรงช่วยประชากรของพระองค์เสมอเมื่อเขาร้องทูลขอ (1 ซามูเอล 12:6-11) และ พระเจ้าทรงช่วยอิสราเอลโดยทางซาอูลและดาวิด เมื่อทั้งสองออกสู้ศึก โดยเฉพาะสงครามกับพวกฟิลิสเตีย พระเจ้าทรงเป็น พระผู้ช่วยของดาวิด ครั้งแล้วครั้งเล่า ตลอดอายุใขของท่าน ดาวิดยังมองไปไกลถึง "บุตรดาวิด" ที่ี่จะมาเป็นผู้ช่วยในเบื้องปลาย ซามูเอลมีเรื่องมากมายที่ถ่ายทอดให้เรารู้ ถึงความสัตย์ซื่อของพระเจ้า ในฐานะผู้ช่วยกู้คนของพระองค์ ถึงแม้พวกเขาจะล้มเหลว จึงไม่น่าประหลาดใจ ที่ดาวิดกล่าวถึงชีวิตของท่าน ด้วยการสรรเสริญว่า พระองค์ทรงเป็นป้อมปราการ ที่ช่วยกอบกู้ท่าน

ประการที่สอง เมื่อเราเห็นว่า พระเจ้าทรงเป็นพระผู้ช่วยที่สัตย์ซื่อ บ่อยครั้งเราเห็นว่าพระองค์ทรงใช้คนที่มีใจกล้า และมีความเชื่อ ดาวิดถูกเตรียมให้ขึ้นเป็นกษัตริย์ปกครองอิสราเอล จากการเป็นเพียงเด็กดูแลฝูงแกะฝูงเล็กๆของบิดา ในช่วง เวลาเหล่านั้น ท่านเรียนรู้ที่จะวางใจพระเจ้า ทำสิ่งกล้าหาญ ช่วยลูกแกะออกจากปากหมีและปากสิงห์ ท่านเริ่มอาชีพทหารของ ท่านอย่างอัศจรรย์ ด้วยการไปเผชิญหน้ากับโกลิอัทที่แนวหน้าในสนามรบ ขณะที่ซาอูลเอง ไม่เคยหนุนคนของท่านให้มีใจกล้า ความกล้าของดาวิด ทำให้้คนอื่นเห็นเป็นแบบอย่าง และปรารถนาจะทำตามด้วยใจกล้าหาญ คนของท่านสามารถทำให้ดาวิดรา มือจากการสู้รบได้เมื่อท่านเริ่มชราลง ขณะที่พระเจ้าทรงเป็นพระผู้ช่วยที่สัตย์ซื่อ บ่อยครั้งที่พระองค์ช่วยกู้อิสราเอลผ่านทาง ความเชื่อและความกล้าของวีรบุรุษเหล่านี้ เพราะคนเหล่านี้ต่อสู้กับศัตรูของพระเจ้าด้วยความวางใจ การครอบครองอยู่ของพระ เจ้าในแผนการความรอด ไม่ได้เป็นอุปสรรคขัดขวางความเชื่อและความตั้งใจของมนุษย์ ; แต่กลับเป็นแรงบันดาลใจ

ประการที่สาม เราเห็นได้ว่า ถึงแม้มนุษย์เป็นคนบาป แต่ความบาปของเราไม่ได้เป็นอุปสรรคขัดขวาง พระราชกิจ เรื่องความรอดของพระเจ้า ถ้าดาวิดเป็นบุคคลยิ่งใหญ่ที่สุด ที่ประวัติศาสตร์เคยมีมา เราก็ยังมองออกว่าท่านไม่ใช่ผู้ช่วย มนุษยชาติให้รอด ความรอดที่พระเจ้าสัญญาจะประทานผ่านวงศ์วานดาวิด ต้องมาจากบุคคลที่ยิ่งใหญ่กว่านั้น อย่างที่เรารู้ๆกัน ดาวิดเองยังทำบาป ถึงแม้จะเป็นกรณียกเว้น แต่ที่แน่ๆ มันทำให้ท่านไม่เหมาะจะเป็นพระิเมสซิยาห์ของอิสราเอล เรื่องน่าทึ่งใน พระธรรม 1 และ 2 ซามูเอลคือ ขณะที่ดาวิดทำบาป และสร้างผลกระทบต่อคนมากมาย พระเจ้าผู้ทรงครอบครอง ยังคงเลือกที่จะ มอบพระพรอันยิ่งใหญ่ให้บังเกิดขึ้นผ่านความล้มเหลวของท่าน ผลของบาปหนักสองประการที่ดาวิดทำ นำมาซึ่งพระพรอัน ยิ่งใหญ่ถึงสองประการ บาปที่ท่านกับนางบัทเชบา ทำให้เกิดพงศ์พันธ์ของพระเมสซิยาห์ผ่านมาทางนางบัทเชบา และในที่สุด เมื่อท่านแต่งงานกับนาง บุตรที่เกิดขึ้นคือกษัตริย์องค์ต่อมาของอิสราเอล - กษัตริย์ซาโลมอน บาปที่ท่านนับกำลังพลของอิสราเอล ทำให้ท่านต้องไปขอซื้อที่ดินบนลานนวดข้าวของอาราวนาห์ ซึ่งต่อมากลายเป็นที่ตั้งของพระวิหารที่กษัตริย์ซาโลมอนเป็นผู้สร้าง การที่คนต่างชาติได้มามีส่วนในความรอด เป็นเพราะคนยิวเองปฏิเสธองค์พระเยซูคริสต์เป็นพระเมสซิยาห์ (ดูโรม 11) บาปของ เราทำให้พระเจ้าผู้ทรงธรรมเสียพระทัย แต่ไม่สามารถปิดกั้นพระราชกิจของพระองค์ได้ พระองค์ทรงใช้ความบาปนี้ ทำให้พระ ประสงค์และพระสัญญาสำเร็จลงได้ นอกจากนี้ พระองค์ยังสามารถใช้ประโยชน์จากมารซาตาน เพื่อให้พระประสงค์ของพระองค์ สำเร็จลงได้เช่นกัน (1 พศด. 21:1)

ประการที่สี่ จากบทส่งท้ายนี้ ทำให้เราเห็นว่ากษัตริย์ที่เป็นมนุษย์ ไม่สามารถทำพระสัญญาเรื่องความรอดขององค์พระ ผู้เป็นเจ้าให้สำเร็จได้ ต้องเป็นบุคคลที่ยิ่งใหญ่กว่าดาวิด อิสราเอลปฏิเสธไม่ยอมให้พระเจ้าเป็นกษัตริย์ของพวกเขาใน 1 ซามูเอลบทที่ 18 พวกเขาเรียกร้องอยากมีกษัตริย์ที่สามารถ "ช่วย" ให้พ้นจากเงื้อมมือของศัตรูได้ ถึงแม้พระเจ้าไม่เคยสละ ตำแหน่งของพระองค์ในฐานะกษัตริย์อิสราเอล พระผู้ช่วย โดยทางเชื้อสายของดาวิด พระองค์จะทรงประทานกษัตริย์ให้กับ ประชากรของพระองค์ เป็นผู้ช่วยพวกเขาให้รอดพ้นจากความผิดบาป พระองค์นั้น จะเป็นมากกว่าดาวิด เป็นยิ่งกว่ามนุษย์ และ ปราศจากบาป คือองค์พระเยซูคริสต์ ผู้จะเสด็จมาเป็น "พระเมษโปดกของพระเจ้า ผู้ทรงรับความผิดบาปของโลกไปเสีย"

(ยอห์น 1:29) พระองค์จะเสด็จมาดำเนินชีวิตโดยปราศจากบาป สละพระชนม์เป็นค่าไถ่แทนความบาปของมนุษย์ จะทรงถูกชุบ "ให้เป็นขึ้นมาจากความตาย" โดยพระบิดา และจะเสด็จกลับมาในฐานะกษัตริย์ของอิสราเอล มีชัยต่อบรรดาศัตรู ซามูเอลเพียงแต่ แง้มให้เราห็น "กษัตริย์" ที่จะเสด็จมานี้ มาเพื่อช่วยประชากรของพระองค์ให้พ้นจากความผิดบาป

ก่อนที่จะจบพระธรรมเล่มนี้ สายตาของเราจับจ้องอยู่ที่องค์พระเยซูคริสต์ ผู้จะเสด็จมาช่วยประชากรของพระองค์ เป็น "บุตรดาวิด" ที่จะนั่งบนบัลลังก์ของบรรพบุรุษ "ดาวิด" และเช่นกัน สายตาของเราจะมุ่งไปยังจุดที่อยู่บนยอดเขาไกล้เยรูซาเล็ม ที่ผมจินตนาเห็น ทูตสวรรค์ของพระเจ้า ยกมือขึ้นสูง พร้อมจะฟาดดาบลงมาทำลายเยรูซาเล็ม ทำให้ผมนึกย้อนไปไกลถึงอับราฮัม ที่ชูมือขึ้น พร้อม มีดในมือ เพื่อฆ่าบุตรสุดรักอิสอัค เหตุการณ์ทั้งสองเกิดในสถานที่เดียวกัน บนภูเขาโมรียาห์ ทั้งสองครั้งพระเจ้าทรงยั้งมือนั้น เพราะพระองค์มีเครื่องถวายบูชาที่ประเสริฐกว่า เป็นเครื่องบูชาไถ่บาปของโลกนี้

แล้วพระวิหารก็ถูกสร้างขึ้นตรงจุดนี้ บนภูเขาโมรียาห์ เป็นสถานที่เดียวกับที่มีการถวายบูชา และพระเจ้าทรงยั้งพระหัตถ์ แห่งการพิพากษาของพระองค์เสีย เหนือกว่าอื่นใด สถานที่นี้อยู่บนเขาที่ไม่ไกลไปจากเนินหัวกระโหลก ที่พระอาชญา ของพระเจ้าลงมาเหนือพระบุตรสุดที่รักของพระองค์ และด้วยการพลีพระชนม์เป็นเครื่องบูชานี้ มนุษย์จึงรอดพ้น จากพระอาชญานิรันดร์ของพระเจ้า ที่ลงโทษความบาปของมนุษย์ เพราะการพลีพระชนม์บนไม้กางเขน และกลับ คืนพระชนม์ – โดยพระบิดา – ความรอดนิรันดร์จึงมีมาถึงพวกเรา คุณเคยรับเอาของขวัญนี้หรือยัง? คุณได้มอบให้พระเจ้า เป็นพระผู้ช่วยให้รอด เป็นโล่ห์ เป็นที่กำบังเข้มแข็งของคุณแล้วยัง? ถ้ายัง ผมอยากให้คุณตัดสินใจรับในทันที

บทเรียนตอนนี้มีเรื่องราวสอนเรามากมาย ผมขอนำบางเรื่องมาให้ลองพิจารณาดู ขอให้เราระวังระไว ในสิ่งที่พระเจ้าทรงกระทำให้ สำเร็จ โดยผ่านเราและภายในเรา เราจะเห็นว่าปัญหาของดาวิดส่วนใหญ่มาจากความผยอง คิดว่าตัวเองทำสำเร็จ โดยลืมไปว่า พระเจ้าต่างหากที่เป็นผู้กระทำ อย่าวัดความสำเร็จออกมาเป็นตัวเลข ในสายพระเนตรพระเจ้า พระเจ้าไม่เคยวัดความสำเร็จจาก ปริมาณ ขอให้สิ่งนี้เตือนใจเรา ระวังจะถูกทดลองให้ติดกับ (เรื่องความผยอง) โดยคิดเอาเองว่า "ตัวข้านี้แน่"

อย่ายึดติดกับเกียรติยศ หลงวนเวียนอยู่กับความสำเร็จในอดีต ขอให้มุ่งอยู่ในสิ่งที่พระเจ้าปรารถนาจะทำผ่านเรา เพื่อพระเกียรติ พระสิริทั้งสิ้นจะมีแด่พระองค์ (ดูฟิลิปปี 3)

สุดท้ายนี้ ขอให้เรียนจากเรื่องราวของดาวิด ไม่มีการถวายบูชาที่ไหน ที่ปราศจากการเสียสละ และการถวายบูชาที่ยิ่งใหญ่ที่สุด คือพระชนม์ขององค์พระเยซูคริสต์ ดังนั้นขอให้การถวายบูชาของเราทั้งหลาย มาจากการเสียสละตัวตนของเราด้วย

1 พี่น้องทั้งหลาย ด้วยเหตุนี้โดยเห็นแก่ความเมตตากรุณาของพระเจ้า ข้าพเจ้าจึงวิงวอนท่านทั้งหลาย ให้ถวายตัวของท่าน แด่พระองค์ เพื่อเป็นเครื่องบูชาที่มีชีวิตอันบริสุทธิ์และเป็นที่พอพระทัยพระเจ้า ซึ่งเป็นการนมัสการ โดยวิญญาณจิตของ ท่านทั้งหลาย
2 อย่าประพฤติตามอย่างคนในยุคนี้ แต่จงรับการเปลี่ยนแปลงจิตใจ แล้วอุปนิสัยของท่านจึงจะเปลี่ยนใหม่ เพื่อท่านจะได้ ทราบน้ำพระทัยของพระเจ้า จะได้รู้ว่าอะไรดี อะไรเป็นที่ชอบพระทัยและอะไรดียอดเยี่ยม
3 ข้าพเจ้าขอกล่าวแก่ท่านทั้งหลายทุกคนโดยพระคุณ ซึ่งทรงประทานแก่ข้าพเจ้าแล้วว่า อย่าคิดถือตัวเกินที่ตนควรจะคิดนั้น แต่จงคิดให้ถ่อมสุขุมสมกับขนาดความเชื่อ ที่พระเจ้าได้ทรงโปรดประทานแก่ท่าน
4 เพราะว่า ในร่างกายอันเดียวนั้น เรามีอวัยวะหลายอย่าง และอวัยวะนั้นๆมิได้มีหน้าที่เหมือนกันฉันใด
5 พวกเราผู้เป็นหลายคนยังเป็นกายอันเดียวในพระคริสต์ และเป็นอวัยวะแก่กันและกันฉันนั้น
6 และเราทุกคนมีของประทานที่ต่างกัน ตามพระคุณที่ได้ประทานให้แก่เรา คือถ้าเป็นการเผยพระวจนะ ก็จงเผยตาม กำลังของความเชื่อ
7 ถ้าเป็นการปรนนิบัติก็จงปรนนิบัติ ถ้าเป็นการสั่งสอนก็จงสั่งสอน
8 ถ้าเป็นการเตือนสติก็จงเตือนสติ ถ้าเป็นการบริจาค ก็จงให้ด้วยใจกว้างขวาง ผู้ที่ครอบครอง ก็จงครอบครองด้วยเอาใจใส่ ผู้ที่แสดงความเมตตา ก็จงแสดงด้วยใจยินดี (โรม 12:1-8)

9 อย่าหลงไปตามคำสอนต่างๆที่แปลกๆ เพราะว่าเป็นการดีอยู่แล้วที่จะให้กำลังใจเข้มแข็งขึ้นด้วยพระคุณ ไม่ใช่ด้วยอาหาร การกิน ซึ่งไม่เคยเป็นประโยชน์แก่คนที่หลงติดอยู่เลย
10 เรามีแท่นบูชาแท่นหนึ่ง และคนที่ปรนนิบัติในเต็นท์นั้น ไม่มีสิทธิ์ที่จะรับประทานของจากแท่นนั้นได้
11 เพราะร่างของสัตว์เหล่านั้น ที่มหาปุโรหิตได้เอาเลือดเข้าไปในสถานศักดิ์สิทธิ์ เพื่อเป็นเครื่องบูชาลบบาปนั้น เขาเคยเอา ไปเผาเสียนอกค่าย
12 เหตุฉะนั้นพระเยซูก็ได้ทรงทนทุกข์ทรมานภายนอกประตูนครเช่นเดียวกัน เพื่อทรงชำระประชาชนให้บริสุทธิ์ ด้วยพระโลหิตของพระองค์เอง
13 เพราะฉะนั้นให้เราทั้งหลายออกไปหาพระองค์ภายนอกค่ายนั้น และยอมรับคำดูหมิ่นเหยียดหยามเพื่อพระองค์
14 เพราะว่าที่นี่เราไม่มีนครที่ถาวร แต่ว่าเราแสวงหานครที่จะมีในภายหน้า
15 เหตุฉะนั้น ให้เราถวายคำสรรเสริญเป็นเครื่องบูชาแด่พระเจ้าตลอดไป โดยทางพระองค์นั้น คือคำกล่าวยอม รับเชื่อพระนามของพระองค์
16 จงอย่าละเลยที่จะกระทำการดี และจงแบ่งปันข้าวของซึ่งกันและกัน เพราะเครื่องบูชาอย่างนั้นเป็นที่พอพระทัยพระเจ้า
17 ท่านทั้งหลายจงเชื่อฟังและยอมอยู่ในโอวาทของหัวหน้าของท่าน จงให้เขาทำงานนี้ด้วยความชื่นใจ ไม่ใช่ด้วยความ เศร้าใจ ซึ่งจะไม่เป็นประโยชน์อะไรแก่ท่านทั้งหลายเลย เพราะว่าท่านเหล่านั้นดูแลรักษาจิตวิญญาณของท่านอยู่ เสมือนหนึ่งผู้ที่จะต้องเสนอรายงาน (ฮีบรู 13:9-17)

ในทุกคริสตจักรแห่งการประกาศ (ยังไม่นับค.จ.ทั่วๆไป) ที่ผมรู้จัก มีน้อยคนเป็นผู้ให้อย่างสัตย์ซื่อ เสียสละและทุ่มเทรับใช้คน ส่วนใหญ่ของคริสตจักร ที่ไม่ค่อยอยากรับใช้หรือไม่เคยรับใช้เลย บางคนไม่เคยสอน ไม่เคยปรนนิบัติผู้อื่น ไม่เคยเป็นผู้ให้ คนเหล่านี้เปรียบเหมือนนักช็อปปิ้งตัวยง ที่สรรหาแต่ของดีราคาถูก ดังนั้นเครื่องถวายบูชาของพวกเขาจึงด้อยค่า เพราะการถวาย นั้นกระเหม็ดกระแหม่ไปด้วยเรื่องเวลา ภาระใจ และเงินถวาย

ผมไม่ได้พูดให้ใครๆรู้สึกผิดนะครับ ถึงแม้คุณควรรู้สึกผิดและกลับใจจากบาปแห่งการละเลย ละเลยเรื่องของประทาน และ งานรับใช้ ผมพูดเพื่อประโยชน์ของคุณเอง ถ้าคุณไม่เคยคิดจะสละเพื่อการถวาย เครื่องบูชาของคุณก็ดูด้อยค่า และไม่เหมาะสม ถ้าคุณต้องการการถวายบูชาที่สมกับถวายแด่องค์พระผู้เป็นเจ้า ไม่จำเป็นต้องมาโบสถ์พร้อมทีมนมัสการ ที่มีนักร้อง นักดนตรี ระดับมืออาชีพ แต่ด้วยการรับเอากางเขนที่พระเจ้ามอบให้ ถวายตัวของเราเอง เพื่อเป็นเครื่องถวายบูชา ผมไม่ได้โกรธอะไร นะครับที่พูดเช่นนี้ แต่ผมสมเพชคนที่เอาเครื่องบูชาถูกๆมาถวายพระเจ้า ดังนั้นขอปิดท้ายบทเรียนนี้ ด้วยพระคำที่พูดถึง มาตรฐานของการถวายบูชา :

"เพราะว่าบุตรมนุษย์มิได้มาเพื่อรับการปรนนิบัติ แต่ท่านมาเพื่อจะปรนนิบัติเขา และประทานชีวิตของท่าน ให้เป็นค่าไถ่ คนเป็นอันมาก" (มาระโก 10:45)

35 "ท่านทั้งหลายจงคาดเอวของท่านไว้ และให้ตะเกียงของท่านจุดอยู่
36 พวกท่านเองจงเหมือนคนที่คอยรับนายของตน เมื่อนายจะกลับมาจากงานสมรส เพื่อเมื่อนายมาเคาะประตู แล้วเขาจะเปิดให้นายทันทีได้
37 บ่าวซึ่งนายมาพบกำลังคอยเฝ้าอยู่ก็เป็นสุข เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า นายนั้นจะคาดเอวไว้ และให้บ่าวเหล่านั้นเอนกายลง และท่านจะมาเดินโต๊ะ
38 ถ้านายมาเวลาสองยามหรือสามยามและพบบ่าวอยู่อย่างนั้น บ่าวเหล่านั้นก็จะเป็นสุข
39 ให้ท่านทั้งหลายเข้าใจอย่างนี้เถอะว่า ถ้าเจ้าของบ้านล่วงรู้ได้ว่า ขโมยจะมาเวลาไหน เขาจะตื่นอยู่และระวัง ไม่ให้ทะลวงเรือนของเขาได้
40 ท่านทั้งหลายจงเตรียมตัวไว้ให้พร้อมด้วย เพราะในโมงที่ท่านไม่คิดไม่ฝันนั้น บุตรมนุษย์จะเสด็จมา"
41 ฝ่ายเปโตรทูลพระองค์ว่า "พระองค์เจ้าข้า พระองค์ได้ตรัสคำเปรียบนั้นแก่พวกข้าพเจ้าหรือ หรือตรัสแก่คนทั้งปวง"
42 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า "ใครเป็นคนต้นเรือนสัตย์ซื่อและฉลาด ที่นายได้ตั้งไว้เหนือพวกคนใช้สำหรับแจกอาหารตามเวลา
43 เมื่อนายมาพบเขากระทำอยู่อย่างนั้น บ่าวผู้นั้นก็จะเป็นสุข
44 เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า นายจะตั้งเขาไว้ให้ดูแลบรรดาข้าวของของท่าน
(ลูกา 12:35-44).


131 เราทั้งหลายคงรู้จัก "ตลาดนัด" กันดี เป็นแหล่งหาซื้อของราคาถูก ซึ่งอยู่คนละขั้วกับห้างหรูๆอย่างเอมโพเรี่ยม ฯลฯ ที่ขายแต่ของแบรนด์เนมยี่ห้อดังๆ สำหรับคนที่ต้องการใช้ของดีที่สุดโดยไม่เกี่ยงราคา

132 เราจะสังเกตุเห็นว่า เหตุการณ์ตอนเดียวกันนี้ที่บันทึกอยู่ใน 1 พงศาวดาร 21 มีข้อแตกต่างค่อนข้างเยอะ จนดูเหมือน ค้านกันด้วยซ้ำไป มีคำอธิบายในทั้งสองกรณีครับ แต่ผมจะไม่นำมาพูดถึงในบทเรียนนี้

133 มีการใช้คำเดียวกันนี้บ่อยครั้งในพระคัมภีร์ และทุกครั้งจะเป็นเรื่องราวความบาปที่ร้ายแรง ตัวอย่างเช่น อพยพ 4:14; กันดารวิถี 12:9; เฉลยธรรมบัญญัติ 29:27; โยชูวา 7:1; ผู้วินิจฉัย 2:14, 20; 10:7; 2 ซามูเอล 6:7; 2 พงศาวดาร 25:15

134 เราคงต้องคุยกันยาวในเรื่องนี้ ซึ่งไม่น่าเป็นเวลาเหมาะ ถ้าอ่านผ่านๆ เราคงสรุปว่า พระเจ้า เป็นผู้กระทำ ให้ดาวิดทำบาป โดยการนับกำลังพลอิสราเอล เรารู้ว่าพระเจ้าไม่มีทางล่อลวงให้มนุษย์ทำบาป (ยากอบ 1:13-17) แน่นอนพระองค์ทรงทดสอบเรา (ฉธบ. 8:2) จะอย่างไรก็ตาม ผู้เขียนต้องการให้เรารู้ว่า พระเจ้าทรงอยู่เบื้องหลังความบาปของดาวิดในครั้งนี้ เพราะพระองค์ ทรงรู้ว่ามันจะต้องเกิดขึ้น (เช่นเดียวกับที่ยูดาสทรยศพระเยซู) เช่นเดียวกับที่พระเจ้าแจ้งแก่โมเสส ว่าพระองค์จะทำให้ใจของ ฟาโรห์นั้นแข็งกระด้าง (ปฐก. 4:21) เพื่อพระเกียรติทั้งสิ้นจะเป็นของพระองค์ (ดูโรม 9:14-18) โมเสสเองก็บอกกับเราว่า ฟาโรห์นั้นมีใจแข็งกระด้าง (ปฐก. 8:32) พระเจ้ามีพระประสงค์ ให้ดาวิดทำการนับกำลังพลอิสราเอล พระองค์ทราบว่ายังไง มันต้องเกิดอยู่ดี พระองค์ไม่ได้บังคับให้ดาวิดทำบาป พระองค์ให้โอกาสดาวิดที่จะเลือก และเมื่อดาวิดเลือกที่จะทำบาป พระองค์จึงนำความบาปนี้ มาทำให้พระประสงค์ของพระองค์สำเร็จลง (เทียบกับปฐก. 50:20 )

135 ดู 1 พกษ. 20:15, 26-27; 2 พกษ. 3:6; 2 พงศาวดาร 25:5 ด้วย

136 ตามที่นักวิชาการกล่าว จำนวนเหล่านี้ไม่สอดคล้องกับที่บันทึกอยู่ใน 1 พกษ. 21 มีคำอธิบายหลายหลาก แต่ที่สุดแล้ว เราคงต้องวางไว้้ที่องค์พระผู้เป็นเจ้า และรอวันที่ทุกอย่างจะกระจ่างจนเราพอใจ สิ่งหนึ่งที่พระธรรมทั้งสองเล่มมีเหมือนกันคือ เมื่อการนับกำลังพลเสร็จสิ้นลง จำนวนนักรบกลับลดลง น่าจะเป็นการพิพากษาที่มาจากพระเจ้า

137 ผู้เผยพระวจนะกาด เป็นตำแหน่งเดียวกับ "ผู้พยากรณ์" ในยุคก่อนๆ (ดู 1 ซามูเอล 9:9).

138 การกันดารอาหารอยู่ใน ฉธบ. 28:48; 32:24; เรื่องถูกศัตรูไล่ล่าอยู่ในเลวีนิติ 26:17, 36. เรื่องภัยพิบัติอันเกิดจากทำผิด สัญญาที่ให้ไว้กับพระเจ้า (ฉธบ. 28:21; 1 พกษ. 8:31) เกี่ยวเนื่องกับการนับกำลังพล (อพยพ 30:12-16).

139 ต้นฉบับภาษาฮีบรู 2 ซามูเอล 24:13 เขียนไว้ว่า "เจ็ดปีกันดารอาหาร" แต่ฉบับแปลภาษากรีกตอนนี้ (ฉบับเซปทัวจิ้นท์) และตามที่ บันทึกอยู่ใน 1 พศด. 21:12 เขียนว่า "สามปีกันดารอาหาร" ใจผมเอนเอียงไปทาง "สามปี" มากกว่า โดยเฉพาะ ทางเลือกตัวอื่น ก็ย้ำเลขสามด้วย : สามปีกันดารอาหาร ; สามเดือน ถูกศัตรูไล่ล่า ; สามวัน โรคระบาด

140 เราคงบอกได้ว่าอาราวนาห์ไม่ได้เป็นยิว เป็นคนต่างชาติ มีบางคนคิดเลยไปด้วยว่าเขาเป็นอดีตกษัตริย์ของคนเยบุส ที่อิสราเอลใจดี ยอมไว้ชีวิต อาจเป็นด้วยเหตุผลว่าเขากลับใจ มามีความเชื่อในพระเจ้าของอิสราเอล และเนื่องจากเป็น คนต่างชาติจึงมีสิทธิขายที่ดิน เพราะไม่ใช่เป็นที่มรดกของเผ่า

141 คงยากที่จะประเมิณราคาที่ดินผืนนี้ เป็นที่ดินผืนงาม มองไปแลเห็นกรุงเยรูซาเล็ม เหมาะจะใช้เป็นที่สร้างแท่นถวายบูชา หรือแม้กระทั่ง พระวิหาร !

Related Topics: Bibliology (The Written Word)

Report Inappropriate Ad