MENU

Where the world comes to study the Bible

บทที่ 1 : คนอามาเลขคนนี้อยากบอกอะไรกับดาวิดนักหนา (2 ซามูเอล 1:1-27)

เนื้อหาในบทแรกของพระธรรม 2 ซามูเอลทำให้ผมนึกถึงเรื่องราวของหนุ่มนักบินอเมริกันคนหนึ่งที่มัก ประสพอุบัติเหตุอยู่ตลอดเวลา ทุกเรื่องที่หนุ่มคนนี้ทำดูจะผิดพลาดไปหมด ในระหว่างสงครามโลกครั้ง ที่สอง เขาถูกส่งไปประจำการอยู่บนเรือรบบันทุกเครื่องบิน ทุกคนกังวลมากว่าเขาจะได้รับอนุญาตให้ขึ้น บินหรือเปล่า เพราะอะไรๆก็เกิดขึ้นได้ทั้งนั้น วันหนึ่งเขาได้รับมอบหมายให้ปฏิบัติงานพิเศษ ทุกอย่างดูจะ ไปได้สวย เขายิงเรือรบญี่ปุ่นจมลงไปหนึ่งลำ ; ยิงถูกเป้าหมายหลายแห่ง กระสุนหมดและน้ำมันก็ใกล้จะ หมด เขาพยายามบินกลับไปที่ฐาน แต่หลงทางหาไม่เจอ ทันใดนั้นท้องฟ้าเปิดออก มองลงไปเห็นฐานบน เรือรบเบื้องล่าง การร่อนลงจอดสมบูรณ์ไม่มีที่ติ เมื่อนำเครื่องบินเข้าที่แล้ว เขากระโดดลงมา วิ่งอย่างเร็ว ด่วนไปที่ผู้บังคับบัญชาเพื่อรายงานความสำเร็จ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องจมเรือรบญี่ปุ่น หรือยิงใส่เป้าหมายสำคัญ ได้หลาย แห่ง — ผู้บังคับบัญชาเพียงแต่ตอบว่า "อา-โซ่!" การปฏิบัติงานที่สำเร็จทั้งหมดรวมทั้งลงจอด อย่างเรียบร้อยนั้น — จบลงที่เรือบันทุกเครื่องบินญี่ปุ่น !

นักบินหนุ่มคนนี้ทำให้ผมนึกถึงชาวอามาเลขที่มาส่งข่าวในพระธรรม 2 ซามูเอลบทที่ 1 เขาไปพบดาวิด ด้วยหวังว่าจะได้รับคำชมเชย หรือเงินรางวัลตอบแทน เขานำข่าวโศกนาฏกรรมความพ่ายแพ้ของอิสราเอล ด้วยหวังว่าความตายของซาอูลและโยนาธานจะเป็นข่าวดีอันยิ่งยวด และเป็นพระพรต่อดาวิด เพราะศัตรู (ซาอูล) และคู่แข่ง (โยนาธาน) ถูกกำจัดไปแล้ว เปิดทางสะดวกให้ท่านขึ้นเป็นกษัตริย์ของอิสราเอล เขา ไม่คาดคิดมาก่อนว่าจะได้รับการตอบสนองเช่นนี้จากดาวิด ดาวิดรู้สึกเศร้าโศกเสียใจอย่างสุดซึ้งต่อการ ตายของทั้งสอง ท่านไม่ได้ตอบสนองด้วยท่าทีโล่งใจ หรือดีใจที่ซาอูลผู้เป็นศัตรูตายเสียได้ ท่านไม่ได้ยิน ดีที่จะได้ขึ้นครองแทนซาอูล ดาวิดคร่ำครวญอย่างมาก ยิ่งเมื่อได้รู้ว่าคนอามาเลขคนนี้เป็นผู้ฆ่าซาอูล ท่าน จึงสั่งฆ่าชายคนนี้เสีย

ผู้เขียนพระธรรมเล่มนี้มีวิธีการที่ชำนาญมากในการนำเสนอความแตกต่าง ทำให้เรากระหายอยากติดตาม และขณะเดียวกัน ก็สอดแทรกสาระสำคัญเอาไว้ด้วย ครึ่งแรกของบทเล่าเกี่ยวกับสิ่งที่คนอามาเลขกระทำ ต่อซาอูล ครึ่งหลังแสดงให้เห็นถึงสิ่งที่ดาวิดปฏิบัติต่อซาอูล ในความแตกต่างเหล่านี้ ผู้เขียนอธิบายเหตุผล ที่ดาวิดจัดการกับคนอามาเลข เมื่อเริ่มบทเรียน เราถูกดึงความสนใจไปที่คนอามาเลข ผู้มาถึงในสภาพ เสื้อผ้าขาดวิ่น แสดงถึงความความทุกข์ใจที่ต้องนำข่าวร้ายเรื่องซาอูล พร้อมทั้งนำสัญลักษณ์ที่เป็นสิทธิ อำนาจของกษัตริย์มาด้วย (มงกุฎและ กำไล) เขาเป็นคนนำข่าวความพ่ายแพ้ของอิสราเอล ข่าวที่ คนอิสราเอลล้มตายลงมากมาย โดยเฉพาะความตายของซาอูลและโยนาธาน ข่าวของเขาทำให้ดาวิด และคนของท่านทุกข์โศกเป็นอย่างยิ่ง ท่านสั่งประหารชาวอามาเลขผู้ส่งข่าวที่ฆ่าซาอูลคนนี้เสีย ส่วนเนื้อหาที่เหลือในบท เป็นเพลงคร่ำครวญของดาวิดที่ได้รับการบันทึกไว้เพื่อสอนลูกหลานของยูดาห์ จุดสำคัญของบทนี้คือความแตกต่างระหว่างคนอามาเลขและดาวิด รวมทั้งใขข้อข้องใจให้กับผู้อ่าน ด้วย เราจะมาดูข้อแตกต่างนี้กันอย่างละเอียด เพื่อมองหาความหมายและสาระสำคัญที่มีให้กับเรา

เมื่อเริ่มต้นบทนี้ เราจะไม่รู้สึกเลยว่าเรากำลังเดินออกจากพระธรรม 1 ซามูเอลมายัง 2 ซามูเอลแล้ว ดูเหมือนไม่มีเส้นแบ่ง ซึ่งที่จริงตรงกับต้นฉบับในภาษาเดิม ซึ่งไม่ได้แบ่งเป็นสองเล่ม คือ1 และ 2 ซามูเอล มีเพียงเล่มเดียวเท่านั้นที่รวมเรื่องทั้งหมดไว้ด้วยกัน แต่ต้นฉบับเล่มเดียวในภาษาฮีบรูนี้ ต่อมาถูกแบ่งโดยผู้แปลฉบับเซ็ปตัวจินท์ และเป็นเพราะการแบ่งแบบเซ็ปตัวจินท์นี้เองทำให้หนัง สือพระธรรมเล่มอื่นที่ตามมาในพระคัมภีร์จึงใช้วิธีเดียวกัน เมื่อมาเป็นพระธรรม 1 และ 2 ซามูเอล การออกจาก 1 มายัง 2 ซามูเอลจึงไม่ทำให้เรารู้สึกสะดุด แต่ต่อเนื่องกันไปโดยไม่รู้ตัว

ข่าวร้าย
(1:1-10)

11 อยู่มาหลังจากที่ซาอูลสิ้นพระชนม์แล้ว เมื่อดาวิดกลับจากการฆ่าฟัน คนอามาเลข ดาวิดพักอยู่ที่ศิกลากได้สองวัน 2 พอถึงวันที่สาม ดูเถิด มี ชายคนหนึ่งมาจากค่ายของซาอูล สวมเสื้อผ้าขาด และมีผงคลีดิน อยู่บน ศีรษะ เมื่อเขามาถึงดาวิดก็ซบหน้าลงถึงดิน กระทำความเคารพ 3 ดาวิด ถามเขาว่า "เจ้ามาจากไหน" เขาตอบท่านว่า "ข้าพเจ้ารอดมาจากค่าย อิสราเอล" 4 ดาวิดถามเขาว่า "ขอบอกฉันหน่อยว่า เหตุการณ์เป็นไปอย่าง ไรบ้าง" และเขาตอบว่า "ประชาชนหนีจากการรบไปแล้ว มีคนล้มและถึงความ ตายมากมาย ซาอูลและโยนาธานราชโอรสก็สิ้นพระชนม์ด้วย" 5 ดาวิดจึง ถามชายที่มาบอกนั้นว่า "เจ้าทราบได้อย่างไรว่า ซาอูลและโยนาธานราช อรสของท่านสิ้นพระชนม์" 6 ชายหนุ่มผู้ที่บอกท่านนั้นจึงตอบว่า "บังเอิญ ้าพเจ้ามาที่ภูเขากิลโบอา เห็นซาอูลทรงยืนพิงหอกของ พระองค์อยู่และนี่ น่ะรถรบและทหารม้าก็ใกล้พระองค์เข้ามา 7 เมื่อพระองค์ทรงเหลียวมา แล ห็นข้าพเจ้าพระองค์ตรัสเรียกข้าพเจ้า และข้าพเจ้าทูลตอบว่า 'ข้าพระบาท อยู่ที่นี่พ่ะย่ะค่ะ' 8 พระองค์ตรัสถามข้าพเจ้าว่า 'เจ้าคือใคร' ข้าพเจ้าทูลตอบ พระองค์ว่า 'ข้าพระบาทเป็นคนอามาเลข' 9 พระองค์ตรัสสั่งข้าพเจ้าว่า 'จงมา ืนข้างเราและฆ่าเราเสีย เราระเหี่ยใจมาก แต่ชีวิตของเรายังอยู่' 10 ข้าพเจ้า ึงเข้าไปยืนข้างพระองค์และประหารพระองค์เสีย เพราะข้าพเจ้าแน่ใจว่าเมื่อ พระองค์ ทรงล้มแล้วก็จะไม่ดำรงพระชนม์ได้อีก และข้าพเจ้าก็ถอดมงกุฎซึ่ง ยู่บนพระเศียรและกำไลซึ่งอยู่ที่พระกร และข้าพเจ้าก็นำมาที่นี่ เพื่อมอบแด่ เจ้านายของข้าพเจ้า"

ดาวิดและคนของท่านต่างยินดีที่ได้ครอบครัวและทรัพย์สินกลับคืนมาจากพวกอามาเลข แต่ชัย ชนะดูเหมือนมีหมอกของความกังวลต่อเหตุการณ์ในอิสราเอลปกคลุมอยู่ เมื่อดาวิดจากอาคีชกลับ มาศิกลากนั้น พวกฟิลิสเตียกำลังรวมพลครั้งยิ่งใหญ่เพื่อไปต่อสู้อิสราเอล ดาวิดรู้ดีว่ากองทัพนี้น่า เกรงขามเพียงใด เพราะท่านและคนของท่านเดินอยูท้ายขบวนตรวจพลด้วย เมื่อจากพวกฟิลิส เตียมา ดาวิดยังกังวลถึงซาอูลและโยนาธานเพื่อนรักเป็นอันมาก ยังไม่นับพี่นอ้งร่วมชาติ อิสราเอล อีก แต่เมื่อท่านต้องติดตามพวกปล้นอามาเลขไป ท่านไม่มีเวลาคิดถึงเรื่องนี้มากนัก แต่หลังจากที่ ท่านและคนของท่านมาถึงศิกลากได้สามวัน ท่านคงเริ่มนึกถึงและเป็นห่วงเหตุการณ์ที่กำลังคุกรุ่น อยู่ในอิสราเอล

หลังจากที่ถึงศิกลากได้สามวัน ชายหนุ่มผู้หนึ่งรีบเร่งมาหาดาวิดที่ค่าย ด้วยอาการหมดแรงเหนื่อย อ่อน เพราะวิ่งมาเป็นเวลาหลายวัน เขาคงวิ่งมาเป็นระยะทางเกือบ 200 กม.เพื่อมาพบดาวิดที่ ศิกลาก สภาพของเขาบอกได้เป็นอย่างดี เสื้อผ้าขาดวิ่นและมีผงคลีดินอยู่บนศีรษะ ซึ่งเป็นเครื่อง หมายของการไว้ทุกข์ คงไม่ใช่ข่าวดีแน่ เมื่อมาถึงดาวิด เขาล้มลงซบหน้าถึงดิน เหมือนจะแสดง ความภักดี เหมือนกำลังเข้าเฝ้าพระมหากษัตริย์

ดาวิดสอบถามในทันที แรกเลยว่าชายผู้นี้มาจากไหน ดาวิดคงทำใจแล้ว แต่ท่านถามเพื่อจะได้รู้ว่า ชายคนนี้มีข่าวเรื่องซาอูลหรือไม่ เขาตอบทันทีว่ามาจากค่ายของซาอูล 1 อันที่จริงคำพูดของเขา ก็มีลางบอกเหตุ เขาบอกว่าเขารอด 2 มาจากค่ายของซาอูล ฟังดูไม่ค่อยดี ดาวิดจึงถามต่อถึงเรื่อง สงคราม หนุ่มคนนี้เปิดเผยต่อไป ตรงตามกับที่ดาวิดคาดไว้ อิสราเอลพ่ายแพ้ — ยับเยิน ทหาร อิสราเอลตายลงมากมาย ที่เหลือหนีแตกกระจายไป ในท่ามกลางคนที่ตายลง รวมซาอูลและ โยนาธานบุตรชายด้วย 3

ดาวิดไม่อยากจะเชื่อจนกว่าจะเห็นหลักฐาน ชายคนนี้รู้ได้อย่างไรว่าซาอูลและโยนาธานตายแล้ว ? เขาจึงเล่าต่อ ผมคิดว่าตอนแรกเขาคงไม่ตั้งใจจะเปิดเผยให้ดาวิดรู้มากนัก แต่จากรายละเอียดที่ เล่ามาผมเชื่อว่าเขาได้พบซาอูลจริง และเป็นผู้ลงมือจบชีวิตของซาอูลด้วยตัวเอง เมื่อเอาข้อเท็จ จริงจากบทที่แล้วมารวมกัน (1ซามูเอล 31) เราคงพอมองเห็นภาพชัดเจนขึ้น

หนุ่มคนนี้คงเผอิญไปอยู่บนภูเขากิลโบอาห์ตอนที่พบซาอูล ไม่มีการเล่าว่าเขาขึ้นไปทำไม แต่ถ้า จะให้ผมเดา ผมคิดว่าคงไม่ได้ไปช่วยปกป้องซาอูลจากพวกฟิลิสเตียหรอกครับ แต่คงกะไปปล้น เอาของในที่กำบังของซาอูลก่อนที่พวกฟิลิสเตียจะมาถึง ที่แน่ๆ คงไม่ได้คิดจะไปช่วยชีวิตซาอูล แต่กลับไปพบว่าซาอูลยังมีชีวิตอยู่ 4 ซาอูลคงล้มกองอยู่บนพื้น เพราะในพระคัมภีร์กล่าวว่า "ทรง ล้มแล้ว" (1:10) ร่างของซาอูลพรุนไปด้วยลูกธนูของฟิลิสเตีย แถมยังมีดาบของตัวเองปักอยู่ แต่ว่ายังไม่สิ้นชีวิต ดูเหมือนท่านล้มพิงหอกของตนเองไว้ เพื่อบรรเทาความเจ็บปวดจากบาดแผล ของธนูและดาบ

เมื่อมองไปรอบๆ ซาอูลเห็นชายคนนี้ขึ้นมา จึงพยายามกู้สถานการณ์ ท่านเรียก และเขาตอบว่า "ข้าพระบาทอยู่ที่นี่พ่ะย่ะค่ะ" ท่านถามว่าเขาคือใคร เพราะเกรงว่าจะเป็นพวกฟิลิสเตีย เพราะ พวกนั้นกำลังรุกเข้ามา จวนเจียนเต็มทน (ข้อ 6) ชายคนนั้นเรียนซาอูลว่าเป็นคนอามาเลข ซาอูล จึงร้องขอให้ช่วยท่านพ้นทุกข์ไปเสียที

ผมเป็นหนี้บุญคุณในมุมมองของเพื่อนรุ่นพี่คนหนึ่ง ฮิวจ์ เบลวินส์ เมื่อมาถึงตรงนี้ฮิวจ์ชี้ให้เห็นว่า ผู้เขียนพยายามเน้นให้เห็นข้อเท็จจริงว่าชายคนนี้เป็นคนอามาเลข ซาอูลดูจะกล้าและมั่นใจให้ชาย คนนี้เป็นผู้ลงดาบ เพราะเป็นคนอามาเลข ถึงแม้คนถือเครื่องอาวุธปฏิเสธ คนอามาเลขคงจะไม่ กล้าเอาไปพูดต่อว่าเป็นผู้ฆ่ากษัตริย์ เพราะคงไม่มีใครเชื่อ ที่จริงเมื่อนึกถึงตอนที่ซาอูลสั่งมหาด เล็กให้ฆ่าอาหิเมเลขและพวกปุโรหิต พวกมหาดเล็กปฏิเสธ ซาอูลจึง หันไปใช้โดเอกคนเอโดม ผู้เต็มใจทำให้แทน (ดู 1 ซามูเอล 22:16-19) ดังนั้นถึงแม้คนอิสราเอลจะไม่ยอมฆ่าซาอูล ท่าน มั่นใจว่าคนอามาเลขจะทำแน่

ซาอูลบอกให้ชายคนนี้ให้ "มายืนข้างเรา" และฆ่าเราเสีย ฉบับ NASB ใช้คำพูดธรรมดาๆว่า : "โปรดมายืนข้างเราและฆ่าเราเสีย" (ข้อ 9) ฉบับ KJ V ใช้คำพูดตรงๆว่า "เราขอร้องให้ท่าน มายืนเหนือเรา และฆ่าเรา......" ชายคนนั้นจึงตอบว่า "ข้าพเจ้าจึงเข้าไปยืนข้างพระองค์ และ ประหารพระองค์เสีย" (ข้อ 10 KJV) ประเด็นที่ผมอยากจะเน้นก็คือชายคนนี้ "คงต้องอยู่ที่นั่น และเป็นผู้ลงมือ" เพราะคำพูดของเขาเกี่ยวกับการตายของซาอูลนั้นชัดเจน ซาอูลล้มลงทีพื้น มี หอกค้ำอยู่ (ไม่ใช่ดาบ) ซาอูลร้องขอให้ชายคนนี้มายืนข้างๆ เพราะท่านอยู่บนพื้น และสิ่งที่ชาย คนนี้ต้องทำคือลงมือฆ่า ชายอามาเลขผู้นี้ยอมทำตาม ฆ่าท่านเสีย เราไม่รู้ว่าเขาใช้อาวุธใดหรือ วิธีใด ที่แปลกคือซาอูลนั้นไกล้ตายเต็มทนแล้ว "การฆาตกรรม" นี้ (ถึงแม้จะเรียกว่าทำด้วยความ สงสารก็ตาม) พรากชีวิตที่เหลืออยู่ของซาอูลไปเพียงสองสามนาที ถึงอย่างไรก็ตาม ต้องเรียกว่า เป็นการฆาตกรรม

คนอามาเลขสารภาพว่าเป็นผู้ฆ่าซาอูล พร้อมทั้งให้เหตุผลการกระทำในข้อ 10 เขายืนอยู่ข้างท่าน และฆ่าท่าน เป็นเพราะเขาทราบดีว่าซาอูลจะไม่มีวันลุกยืนได้อีก ถึงอย่างไรก็ตาม ท่านคงต้องตาย ที่ตรงนั้นอยู่ดี เขาก็ได้ทำในสิ่งที่ซาอูลร้องขอ ซาอูลต้องการหลุดพ้นจากความทรมาณนี้ และชาย คนนี้ช่วยให้เกิดขึ้น เรื่องนี้เรียกว่าเป็นความเมตตาสงสารหรือเปล่า? เขาคิดว่าเขาน่าจะได้รางวัล ตอบแทน แต่เขากลับได้มากเกินกว่าจะนึกถึง เขาทำตามความต้องการของซาอูล และทำในสิ่งที่ คิดว่าดาวิดพอใจ เขาเชื่อว่าเขาไม่มี ความผิด เพราะทำในสิ่งที่ทั้งซาอูลและดาวิดต้องการ เขา หยิบเอามงกุฎและกำไลมาจากร่างของซาอูล รีบนำมาให้ดาวิด "เจ้านายของข้าพเจ้า" (ข้อ 10) และนี่เป็นเวลาเหมาะที่ดาวิดจะได้ขึ้นปกครองแทนในฐานะกษัตริย์ มิใช่หรือ?

ก่อนที่เราจะไปดูคำตอบสนองของดาวิดที่มีต่อคนอามาเลข ให้เรามาสรุปเหตุการณ์สำคัญบางประ การ ที่น่าจะเป็นประโยชน์สำหรับพวกเรา :

(1) ผู้สื่อสารคนนี้กระหายที่จะเดินทางมาพบดาวิดเพื่อแจ้งข่าวการตายของซาอูลและโยนาธาน เหมือนกับอาหิมาอัสใน 2 ซามูเอล 18:19-23 ผู้รีบเร่งไปแจ้งข่าวแก่ดาวิด ด้วยหวังว่าดาวิดจะพอ ใจ (ดู 2 ซามูเอล 4:9-10) และเหมือนกับอาหิมาอัส ผู้ไม่อาจเข้าใจว่าข่าวเช่นนี้นำมาซึ่งความ ทุกข์แสนสาหัสมาสู่ดาวิด

(2) ดูเหมือนเขาคาดหวังว่าจะได้รับรางวัลตอบแทนจากดาวิด

(3) เขารู้เป็นอย่างดีว่าจะพบดาวิดได้ที่ไหน

(4) ดาวิดสอบถามคนอามาเลขอย่างละเอียด และดูจะได้ข้อมูลมากกว่าที่คนๆนี้ตั้งใจจะบอก นอก จากจะรู้เรื่องการตายของซาอูลและเขามีส่วนเกี่ยวข้องอย่างไรแล้ว ชายคนนี้บอกทุกสิ่งกับดาวิด

(5) ด้วยเหตุผลบางประการ ชายคนนี้พูดถึงการตายของโยนาธาน แต่ไม่ได้บอกว่าบุตรที่เหลือของ ซาอูลก็ตายในสนามรบด้วย

(6) ผู้สื่อสารคนนี้คิดเอาเองว่าซาอูลและโยนาธานคือศัตรูของดาวิด เป็นตัวการขัดขวางการขึ้น ครองราชย์ ดูเหมือนเขาคิดว่าการฆ่าซาอูลก็เท่ากับกำจัดอุปสรรคให้ดาวิด และเชื่อว่าตนเองกำลัง ทำในสิ่งที่ดาวิดพอใจ (ดู 2 ซามูเอล 4:9-10 อีกครั้ง)

(7) เนื้อหาพระธรรมตอนนี้ดูจะย้ำว่าคนๆนี้เป็นคนอามาเลข ซึ่งไม่ใช่เรื่องบังเอิญ ซาอูลเคยฆ่าพวก อามาเลขมาก่อน (ดู 1 ซามูเอล 15) และพวกที่มาปล้นศิกลาก ลักพาครอบครัวดาวิดและคนของ ท่านไป ก็เป็นคนอามาเลข เวลาผ่านแค่ไปสามวัน ที่ดาวิดกลับจากการไปตามล่าและฆ่าชาวอามา เลขมา (2 ซามูเอล 1:1)

(8) ผู้สื่อสารคนนี้รู้ว่าดาวิดได้รับการเลือกให้เป็น (หรือหวังว่าจะได้เป็น) กษัตริย์องค์ต่อไปของ อิสราเอล เขานำมงกุฎและกำไลจากร่างของซาอูลมามอบให้ดาวิดในฐานะเป็นกษัตริย์

(9) ชายคนนี้ยอมรับอย่างภาคภูมิใจว่าเป็นคนฆ่าซาอูล ผู้ที่พระเจ้าเจิมไว้

คำตอบของดาวิด
(1:11-16)

11แล้วดาวิดฉีกเสื้อของท่าน และคนที่อยู่กับท่านก็กระทำเช่น เดียวกัน 12 และเขาทั้งหลายไว้ทุกข์และร้องไห้ และอดอาหาร อยู่จนเวลาเย็น ให้ซาอูลและโยนาธานราชโอรส และประชากร ของพระเจ้าและพงศ์พันธุ์อิสราเอล เพราะเขา ทั้งหลายต้องล้ม ตายด้วยดาบ 13 และดาวิดถามคนหนุ่มที่บอกท่านว่า "เจ้ามา จากไหน" เขาตอบว่า "ข้าพเจ้าเป็นบุตรของคนต่างด้าว ผู้เป็นคน อามาเลข" 14 ดาวิดถามเขาว่า "ทำไมเจ้ามิได้เกรงกลัวในการที่ ยื่นมือออกทำลายผู้ที่พระเจ้าทรงเจิมไว้" 15 แล้วดาวิดก็เรียกคน หนึ่งในหมู่ชายหนุ่มเข้ามา บอกว่า "ไปซิฆ่าเขาเสีย" และเขาก็ฆ่า ชายคนนั้นตาย 16 ดาวิดกล่าวแก่ชายนั้นว่า "ที่เจ้าต้องตายนั้นเจ้า เองก็รับผิดชอบ เพราะปากของเจ้าเป็นพยานปรักปรำตัวเจ้าเองว่า ข้าพเจ้าได้ฆ่าผู้ที่พระเจ้าทรงเจิมไว้'"

เมื่อผมอ่านพระธรรม 2 ซามูเอล ผมอดนึกถึงคำถามที่เราชอบพูดกันเล่นๆว่า "อยากฟังข่าวดีหรือ ข่าวร้ายก่อน" ผมว่าผู้ส่งข่าวคนนี้กำลังคิดในเชิงรายงาน "ข่าวดี ข่าวร้าย" เมื่อมาหาดาวิด ผมเชื่อ ว่าเขาคงอยากจะมาพบดาวิดด้วยคำพูดทำนองนี้ :

"ดาวิดครับ ผมมีข่าวร้ายและมีข่าวดีจะบอก ข่าวร้ายก็คืออิสราเอลพ่ายแพ้แก่ชาว ฟิลิสเตีย ผู้คนถูกฆ่าตายมากมาย และที่เหลือได้หนีกระจัดกระจายไปจากประเทศ ชาติบ้านเมือง ข่าวดีก็คือศัตรูของคุณ ซาอูลตายไปแล้ว บุตรชายโยนาธานก็ตาย ด้วย ซึ่งก็แปลว่าตอนนี้คุณเอามงกุฎไปสวม แล้วขึ้นครองเป็นกษัตริย์องค์ต่อไป ของอิสราเอลได้เลย"

สำหรับดาวิด ทั้งหมดเป็นข่าวร้าย ท่านเป็นทุกข์โศกเศร้าสาหัสที่อิสราเอลพ่ายแพ้ และซาอูล สิ้นชีวิตลง ใจของท่านแทบสลายเมื่อเพื่อนรักที่สุดโยนาธานตายลงด้วย ผลดีใดๆที่ท่านจะได้ รับจากเหตุการนี้แทบไม่มีความหมายใดๆ

มีคำกล่าวในพระธรรมปัญญาจารย์ว่า "มีวาระไว้ทุกข์" (ปัญญาจารย์ 3:4ข) ดาวิดก็มีวาระแห่ง ความทุกข์เมื่อได้ฟังคำบอกเล่าของคนอามาเลข คนของท่านก็เช่นกัน เราคงพอจำได้ว่ามีบางคน ในพวกนี้ต้องการฆ่าซาอูล แต่ทำไม่ได้ แต่บัดนี้เมื่อมีคนลงมือทำให้ ก็น่าจะเป็นวาระแห่งความยินดี แต่ไม่ใช่ เมื่อมีดาวิดอยู่ด้วย! ดาวิดฉีกเสื้อผ้าตนเอง และคนอื่นๆเริ่มทำตาม พวกเขาไว้ทุกข์และ ร้องไห้ อดอาหารจนถึงเวลาเย็น พวกเขาร้องไห้ให้กับชนชาติอิสราเอล ให้กษัตริย์ซาอูล และให้่ โยนาธาน

ตอนนี้มีเรื่องอื่นอีกที่ต้องจัดการ เป็นเรื่องที่รอให้ดาวิดและคนของท่านไว้ทุกข์ให้แก่ชนชาติ อิสราเอล แก่ซาอูลและแก่โยนาธานจบสิ้นก่อน ชายคนนี้สารภาพว่าเป็นคนฆ่าซาอูล ซึ่งสำหรับ เขาไม่น่าเป็นความผิด แต่กลับเป็นเรื่องร้ายแรงที่สุดสำหรับดาวิด มีกี่ครั้งที่ท่านปฏิเสธไม่ยอมฆ่า ซาอูล ถึงแม้ท่านอาจอ้างว่าเป็นการป้องกันตัวก็ตาม? แต่แล้วเหตุใดคนอามาเลขคนนี้บังอาจ กระทำ ?

ชายชาวอามาเลขคนนี้หารู้ไม่ว่าตนเองกำลังตกอยู่ในสถานการณ์แบบใด ทำให้ผมนึกถึงเรื่องที่ ลูกสาวคนโตของผมชอบเล่าตอนสมัยเด็กๆ เรื่องกบปากกว้าง นางกบชอบไปซักถามแม่ของสัตว์ ชนิดอื่นๆว่าเลี้ยงลูกด้วยอะไร เธอจะถามจากตัวหนึ่งแล้วต่อไปที่ตัวอื่นๆ ในที่สุด เธอก็มาเจองู เธอถามว่า "คุณแม่งูคะ คุณเลี้ยงลูกด้วยอะไร?" (ตรงนี้ เป็นตอนที่ลูกสาวผมชอบที่สุด เพราะเธอ จะอ้าปากกว้างและทำเสียงล้อเลียน) แม่งูตอบ ว่า "ชั้นเลี้ยงลูกด้วยกบปากกว้าง" แล้วก็มีเสียง ลอดผ่านปากแม่กบที่หุบลงมาจนเท่ารูเข็มว่า "ยังงั้นเหรอ คะ?"

นางกบหารู้ไม่ว่ากำลังหาเรื่องเดือดร้อนใส่ตัว เช่นเดียวกับผู้ส่งข่าวอามาเลขผู้นี้ เขาเปิดเผยตัว ชัดเจนว่าเป็นคนอามาเลข ไม่รู้ตัวว่าพูดอะไรออกไป ดูจะโม้ด้วยซ้ำไปว่าเป็นคนฆ่าซาอูล ไม่มี ลางสักนิดว่ามีอันตรายใหญ่หลวงรออยู่ แถมยังพูดเรื่องการตายของโยนาธานผู้เป็นเพื่อนรักที่สุด ของดาวิดด้วย ชายคนนี้กำลังแขวนคอตัวเองตาย เขาไม่รู้ตัวสักนิดว่ามันสายเกินแก้แล้ว

คนอามาเลขคนนี้พูดทุกสิ่งที่ดาวิดอยากรู้ เขาเหมือนตายไปแล้ว แต่ดาวิดก็ยังถามว่าเขามาจาก ไหนอีกเป็นครั้งที่สอง ผมต้องยอมรับว่าตอนแรกก็งงเหมือนกันว่าทำไมดาวิด ถามซ้ำถึงสองหน แล้วผมก็มองเห็นประเด็น เราเองหลายๆครั้งก็ชอบถามซ้ำ ไม่ใช่เป็นเพราะไม่ได้ยินคำตอบ แต่เป็น เพราะคำตอบทำให้เราตกใจจนลืม ครั้งแรกที่ดาวิดถามชายคนนี้ เขาตอบว่าเขาหนีรอดมาจากค่าย ของซาอูล (ข้อ 3) และเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบนภูเขากิลโบอาห์ เล่าด้วยว่าบอกซาอูลไปว่าเป็น คนอามาเลข (ข้อ 8) ในขณะ่ไว้ทุกข์ ดาวิดคงพูดกับตัวเองว่า "แล้วคนอามาเลขไปทำอะไรใน ค่ายของกษัตริย์อิสราเอล ก็ในเมื่ออามาเลขเป็นศัตรูของอิสราเอล 5 ผู้ส่งข่าวคนนี้เริ่มไหวตัวเมื่อ ดาวิดซักถาม เขาจึงอธิบายเสริมว่า เขาเป็นบุตรของคนต่างด้าว ซึ่งเป็นชาวอามาเลข

แต่คำตอบของเขาสายเกินแก้ ไม่ว่าจะอธิบายอย่างไร เขาก็ยังตกเป็นผู้ "ที่่ยื่นมือออกทำลายผู้ที่ พระเจ้าๆทรงเจิมไว้" อยู่ดี แถมยังเอามาคุยอวดอีก เขาไม่มีข้อแก้ตัวใด คำพูดมันฟ้องอยู่ ดาวิด สั่งให้นำเขาไปฆ่า หนังสือคู่มือศึกษาพระคัมภีร์มีข้อคิดที่น่าสนใจสำหรับตอนนี้ว่า :

เป็นเรื่องแปลกที่ซาอูลสูญเสียราชอาณาจักรไปเพราะไม่ยอมกำจัดคนอามาเลข ให้หมดสิ้น แต่ตอนนี้คนอามาเลขต้องตายลงเพราะอ้างว่าตนเองเป็นผู้ฆ่าซาอูล 6

เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ชัดเจนและเข้าใจได้ง่ายสำหรับดาวิด แต่เป็นคนละแบบกับที่ชายคนนี้เข้าใจ ชายคนนี้ เข้าใจว่าซาอูลเป็นศัตรูของดาวิด เป็นอุปสรรคในการขึ้นครองบัลลังก์ เขาเข้าใจว่า ความตายของซาอูลเป็นข่าวดีสำหรับดาวิด เขาเห็นว่าการฆ่าซาอูลก็เท่ากับ"ช่วยให้ท่านพ้นทุกข์" เหมือนกับยิงม้าขาหักทิ้ง ดาวิดมองลึกไปกว่านั้น : เขาฆ่าผู้ที่พระเจ้าเจิมไว้ ถึงแม้ว่ายังไงซาอูล ต้องตายอยู่ดี —ไม่ว่าท่านจะเป็นผู้ที่ทำให้ดาวิดตกระกำลำบาก ไม่ว่าเพราะซาอูลกำลังทนทุกข์ ทรมาณอยู่ ไม่ว่าเป็นเพราะซาอูลต้องการตาย หรือซาอูลมีเวลาเหลืออยู่เพียงเล็กน้อย ไม่ว่าพวก ฟิลิสเตียจะมาถึงในไม่ช้า ชายคนนี้ก็ฆ่าผู้ที่พระเจ้าเจิมไว้อยู่ดี และถึงเวลาแล้วที่ดาวิดต้องฆ่าเขา

เมื่อผู้ยิ่งใหญ่สิ้นชื่อ
(1:17-27)

17 ดาวิดก็ครวญคร่ำตามคำคร่ำครวญต่อไปนี้ เพื่อซาอูลและโยนาธานราชโอรส 18 และท่านกล่าวว่า ควรจะสอนคำคร่ำครวญนี้แก่คนยูดาห์ ดูเถิด คำคร่ำครวญ นั้นบันทึกไว้ในหนังสือยาชารว่า

19 "โอ อิสราเอลเอ๋ย ศักดิ์ศรีของท่านถูกประหารเสียแล้วบนที่สูงของท่าน วีรบุรุษ ก็ล้มตายเสียแล้วหนอ 20 อย่าบอกเรื่องนี้ในเมืองกัท อย่าประกาศเรื่องนี้ในถนนเมือง เอชเคโลน เกรง ว่าบุตรีคนฟีลิสเตียจะร่าเริง เกรงว่าบุตรีของผู้ที่มิได้เข้าสุหนัตจะลิง โลด 21 "เทือกเขากิลโบอาเอ๋ย ขออย่ามีน้ำค้างหรือฝนบนเจ้า หรือทุ่งนาที่ให้ของ ถวาย เพราะว่าที่นั่นโล่ของวีรบุรุษมลทินแล้ว โล่ของซาอูลซึ่งมิได้เจิมไว้ด้วยน้ำมัน 22 "คันธนู ของโยนาธานมิได้หันกลับมาจากโลหิตของผู้ที่ถูกฆ่าจากไขมันของผู้ที่มี กำลัง และดาบของซาอูลก็มิได้กลับมาเปล่า 23 "ซาอูลและโยนาธานเอ๋ย ผู้เป็นที่รัก และน่ารัก จะอยู่หรือมรณาทั้งสองไม่แยกจากกัน ทั้งสองก็เร็วกว่านกอินทรี ทั้งสอง แข็งแรงกว่าสิงห์ 24 "บุตรีของอิสราเอลเอ๋ย จงร้องไห้เพื่อซาอูล ผู้ทรงประดับเจ้า ย่างโอ่อ่าด้วยผ้าสีแดงเข้ม และผู้ทรงประดับอาภรณ์ทองคำเหนือเครื่องแต่งกายของ เจ้า 25 วีรบุรุษก็ล้มลงเสียแล้วหนอ ท่ามกลางศึกสงคราม "โยนาธานก็ถูกสังหารอยู่บน ที่สูงของอิสราเอล 26 โอ พี่โยนาธาน ข้าพเจ้าเป็นทุกข์เพื่อท่าน ท่านเป็นที่ชื่นใจของ ข้าพเจ้ามาก ความรักของท่านที่มีต่อข้าพเจ้านั้นประหลาดเหลือ ยิ่งกว่าความรักของสตรี 27 วีรบุรุษก็ล้มลงเสียแล้วหนอและเครื่องยุทโธปกรณ์ก็พินาศไป"

ยอมรับเถอะครับว่าเป็นเรื่องยากที่จะรู้ว่าควรพูดหรือไม่ควรพูดเรื่่องใดในงานศพ โดยเฉพาะเมื่อคุณ เป็นคนที่จะต้องเทศนาและประกอบพิธี ผมเคยได้ยินเรื่ืองโกหกมากมายในงานศพ บางครั้งก็มา จากตัวนักเทศน์เอง เคยได้ยินเรื่องผิดๆที่เกี่ยวกับพระเจ้า (เช่น "นี่ไม่ใช่ความผิดของพระเจ้า สิ่งที่ เกิดขึ้นเกินกำลังหรืออยู่เหนือความควบคุมของพระองค์") และเรื่องโกหกเกี่ยวกับตัวผู้ตาย โดย เฉพาะเรื่องที่พูดถึงผู้ตายว่าเป็นคนดีไม่มีที่ติ ผมเคยได้ยินนักเทศน์คนหนึ่งพูดอย่างตรงไปตรงมา ในงานศพของผู้ตายที่เป็นคนร้ายกาจคนหนึ่ง ในระหว่างประกอบพิธี ท่านมองตรงไปที่ภรรยาม่าย ของผู้ตายกล่าวว่า "มิลลี่ เธอก็รู้ว่าราล์ฟเป็นคนแย่ขนาดไหน ต่อ ไปถ้าจะหาสามีก็ขอให้หาที่มันดี กว่านี้" ผมเรียกว่านี่คือการพูดอย่างตรงไปตรงมา

ถึงแม้ผมเคยประกอบพิธีศพมาหลายต่อหลายครั้ง (บางครั้งก็ไม่ใช่เรื่องง่าย) ผมคิดว่าที่ยากที่สุด น่าจะเป็นพิธีศพของซาอูล ตัวอย่างเช่น ถ้าคุณทำตามคำพูดที่ว่า "ถ้าไม่มีเรื่องดีจะพูดเกี่ยวกับ บางคน ก็ไม่พูดเสียจะดีกว่า" แล้วคุณจะทำอย่างไร? ยืนไว้อาลัย 45 นาทีให้กับซาอูลหรือ? ในพระ ธรรมตอนนี้ ดาวิดเป็นผู้ประกอบพิธีศพให้กับซาอูล หรืออย่างน้อยก็เป็นเจ้าภาพร่วม และแน่นอน คงจะไม่ได้เป็นแบบที่เราคาดไว้ ผมคิดว่าน่า จะพูดได้ด้วยซ้ำไปว่าชายชาวอามาเลขก็นึกไม่ถึง เหมือนกัน เนื่องจะไม่มีเวลาหรือเนื้อที่พอที่จะศึกษารายละเอียดของบทเพลงค่ำครวญของดาวิด (หรือเพลงสวดศพ) ให้เรามาดูภาพรวมกันก่อน

เพลงคร่ำครวญหรือเพลงศพนี้คือบทเพลงของดาวิด เป็นการสำแดงถึงความรักของท่าน พ่อของผมเป็นครูที่ปลดเกษียรแล้ว ท่านใช้เวลาหลายปีมานี้เขียนบทกลอน ท่านเขียนกลอน สำหรับเพื่อนๆหลังเกษียรของท่าน เขียนให้ลูกๆแต่ละคนในวันเกิด เขียนจนกระทั่งมีหลานเกิด ตามมามากมาย ท่านก็ยังเขียนให้หลานๆเหล่านี้ในวันเกิดด้วย ผมรู้ดีว่าบริษัทฮอลมาร์คพูดถึงบัตร อวยพรของเขาว่าอย่างไร แต่บทกลอนของคุณพ่อมีความหมายมากกว่าบัตรอวยพรของฮอลมาร์ค หลายเท่าตัว เพราะเป็นผลิตผลของความรัก ผมรู้ว่าท่านใช้เวลาพอควรคิดถึงแต่ละคนที่ท่าน เขียนกลอนให้ ผมรู้ดีว่านี่เป็นวิธีที่ท่านบอกว่าท่านรักเรามากเพียงใด และบทเพลงคร่ำครวญของ ดาวิดก็เช่นเดียวกัน ดาวิดกำลังสำแดงความรักของท่านที่มีต่อซาอูลและโยนาธาน ด้วยท่าทีที่ดี ที่สุด

บทเพลงคร่ำครวญของดาวิดเป็นบทเพลงที่อาลัยถึงการจากไปของซาอูลและโยนาธาน ดาวิดคร่ำครวญถึงความพ่ายแพ้ของอิสราเอล การตายของพี่น้องร่วมชาติ แต่ก็ยังไม่ใช่จุดสำคัญ ของบทเพลงนี้ บทเพลงของดาวิดสำแดงถึงความอาลัยอย่างสุดซึ้ง ต่อการตายของซาอูลและ โยนาธาน ชายชาวอามาเลขคิดว่าข่าวการตายของซาอูลและโยนาธานจะเป็นข่าวดีสำหรับดาวิด เขาคิดผิด บทเพลงนี้บอกเราว่าดาวิดรู้สึกสูญเสียและโศกเศร้าเป็นอันมาก ดาวิดเสียใจอย่างแท้ จริงต่อข่าวที่ท่านได้รับ

บทเพลงคร่ำครวญของดาวิดไม่มีการกล่าวถึงซาอูลในแง่ร้าย เมื่อดาวิดคร่ำครวญถึงการตาย ของซาอูล ไม่มีการพูดถึงเรื่องร้ายๆที่ซาอูลเคยทำต่อท่านและต่อคนอื่นสักนิดเดียว ถ้าท่านคิดจะ ทำ คงทำได้ง่ายเพราะมีรายละเอียดมากมาย หรือท่านอาจอ้างว่าพระเจ้าได้แก้แค้นแทนท่านแล้ว แต่ดาวิดไม่ทำ

บทเพลงคร่ำครวญของดาวิดให้เกียรติทั้งซาอูลและโยนาธานว่าเป็นวีรบุรุษที่ล้มลง ดาวิด นอกจากจะไม่พูดถึงผู้ตายในแง่ร้ายแล้ว ท่านให้เกียรติซาอูลและโยนาธานว่าเป็นวีรบุรุษในสงคราม สมควรได้รับการยกย่อง

บทเพลงคร่ำครวญของดาวิดเจาะจงไปที่ซาอูลก่อน และจบลงด้วยโยนาธาน ในขณะที่ ดาวิดมีเรื่องดีมากมายที่จะพูดถึงกษัตริย์ซาอูล แต่ในบทเพลงของท่านบ่งชัดเจนว่าท่านมีความ รักและผูกพันอยู่กับ ยนาธาน 7 สิ่งที่ทั้งคู่เคยกระทำด้วยกันเป็นส่วนตัวในอดีต เมื่อครั้งโยนาธาน ยังมีชีวิตอยู่ ดาวิดนำมาเปิดเผยให้รู้ สิ่งนี้คือสิ่งที่ชาวอามาเลขพลาดไป เขาคิดว่าโยนาธานคือ ศัตรูของดาวิด ไม่ใช่เพื่อนรัก

บทเพลงคร่ำครวญของดาวิดเป็นการเปิดเผยและสำแดงข้อผูกมัดจากพันธสัญญาที่ดาวิดและโยนาธานเคยทำร่วมกัน เรารู้เรื่องพันธสัญญาที่ทั้งสองมีต่อกันมาก่อนแล้ว (1 ซามูเอล 18) มีการเริ่มต้น (บทที่ 19:1-7) มีการเพิ่มเติมและยืนยันความตั้งใจ (บทที่ 20 และ 23) บทเพลงคร่ำ ครวญนี้ เป็นดังบทเพลงให้พรให้แก่โยนาธานและลูกหลานของท่าน โดยยกย่องท่านให้เป็นวีรบุรุษ ที่สมควรแก่การจดจำ

บทเพลงคร่ำครวญของดาวิดเขียนให้ผู้คนมากมายได้รับรู้ มากกว่าตัวท่านและคน 600 ที่อยู่กับท่าน บทเพลงนี้ได้ถูกบันทึกไว้ใน "หนังสือแห่งยาชาร์" เราเห็นมีการพูดถึง "หนังสือ" เล่มนี้ในพระธรรม โยชูวา :

12 แล้วโยชูวาก็กราบทูลพระเจ้าในวันที่พระเจ้าทรงมอบคนอาโมไรต์ แก่คนอิสราเอลนั้น และท่านได้กล่าวต่อหน้าคนอิสราเอลว่า "ดวงอาทิตย์ เอ๋ย จงหยุดนิ่งตรงเมืองกิเบโอน และดวงจันทร์เอ๋ย จงหยุดอยู่ตรงหุบเขา อัยยาโลน" 13 ดวงอาทิตย์ก็หยุดนิ่ง และดวงจันทร์ก็ตั้งเฉยอยู่ จนประชา ชาติได้แก้แค้นศัตรูของเขาเสร็จ เรื่องนี้มิได้จารึกไว้ในหนังสือยาชาร์ดอก หรือ ดวงอาทิตย์หยุดนิ่งอยู่กลางท้องฟ้า หาได้รีบตกไปตามเวลาประมาณ วันหนึ่งไม่ 14 วันที่พระเจ้าทรงสดับฟังเสียงของมนุษย์อย่างกับวันนั้น ทั้ง ในสมัยก่อนหรือในสมัยต่อมา ไม่มีอีกแล้ว เพราะว่าพระเจ้าทรงต่อสู้เพื่อ อิสราเอล
(โยชูวา 10:12-14)

เนื้อหาในพระธรรมโยชูวาตอนนี้ เราอ่านถึงชัยชนะที่พระเจ้าประทานให้แก่คนอิสราเอล โดยให้ดวง อาทิตย์หยุดอยู่กับที่ เหตุการณ์นี้ยิ่งใหญ่และถูกจดจำไปหลายชั่วอายุคน ดาวิดไม่เพียงแต่ต้องการ ยกย่องซาอูลและโยนาธานเท่านั้น ท่านต้องการให้ "บุตรทั้งสิ้นของยูดาห์มีส่วนร่วมด้วย" (2 ซามูเอล 1:18) และให้สั่งสอนบุตรหลานรุ่นต่อๆไปด้วย ผมเข้าใจว่าคงไม่ได้สำหรับคนในยุคนั้น เท่านั้น แต่ลูกหลานอีกหลายชั่วอายุคนที่เกิดตามมา จะยกย่องซาอูลและโยนาธานด้วย

ผมไม่แน่ใจว่าจะเข้าถึงความสำคัญในสิ่งที่ดาวิดกำลังทำอยู่หรือเปล่า คนที่มีอำนาจอยู่ในตำแหน่ง สูงสุดของประเทศมักป้องกันตนเองทุกวิถีทาง ไม่ให้ฝ่ายตรงข้ามมาล้มล้างหรือยึดอำนาจไปได้ ซึ่งหมายถึงต้องกำจัดสมาชิกราชวงศ์เดิมที่พ้นอำนาจไปให้หมด หรืออาจหมายถึงเขียนประวัติ ศาสตร์ขึ้นมาใหม่ เพื่อให้ราชวงศ์ก่อนหน้านี้เสื่อมเสียและถูกชิงชัง ดาวิดทำในสิ่งตรงข้าม ท่าน ยกย่องซาอูลและโยนาธาน และสั่งให้คนในยุคหลังยกย่องทั้งคู่ว่าเป็นวีรบุรุษของชาติ ท่านยกย่อง ซาอูลและโยนาธานในท่ามกลาง "บุตรแห่งยูดาห์" "บุตรแห่งยูดาห์" เหล่านี้ไม่ได้เป็นวงศา คณาญาติของซาอูล 8 พวกเขาเป็นคนเผ่าเดียวกับดาวิด เป็นกลุ่มคนที่จะสนับสนุนดาวิดให้ขึ้นมา เป็นกษัตริย์ ที่จริงสิ่งที่ดาวิดทำเป็นเรื่องน่ายกย่องที่สุด การที่ท่านเขียนและเก็บบันทึกบทเพลง คร่ำครวญนี้ไว้

บทสรุป

การตอบสนองที่ดาวิดมีต่อการตายของซาอูลเป็นเรื่องน่ายกย่องมาก แต่ทว่าจริงใจหรือเปล่า? หรือว่าฉาบหน้าเอาไว้ด้วยทอง? ท่านกวาดความร้ายกาจของซาอูลไปซุกไว้ใต้พรมหรือเปล่า ? เป็นการกระทำหน้าไหว้หลังหลอกของดาวิดหรือเปล่า? ผมว่าเราต้องสรุปว่าดาวิดจริงใจแน่นอน ไม่มีสิ่งใดหลอกลวงในคำพูดและการกระทำของท่าน ผมเชื่อว่าทุกคำพูดของท่านเป็นความจริง

เรื่องนี้นำให้เราคิดถึงหลักการที่เราทั้งหลายชอบฝ่าฝืน :

การเป็นคนจริงใจและสัตย์ซื่อไม่จำเป็นต้องบอกทั้งหมด หรือทุกเรื่องที่เป็นความจริง ดาวิดนั้นสัตย์ซื่อจริงใจและยึดมั่นในพระเจ้า ท่านไม่ได้พูดเรื่องความจริงทั้งหมดของ ซาอูล หลักจิตวิทยาสมัยใหม่บอกว่าเราควร "ปลดปล่อยออกไปให้หมด" ไม่ควรกัก เก็บความโกรธเอาไว้ ควรมีอิสระเต็มที่ในการแสดงออกทั้งทางอารมณ์และความคิด พระคัมภีร์ไม่เคยสอนเช่นนี้ เฉพาะอย่างยิ่งในพระธรรมสุภาษิต สอนว่าผู้มีปัญญาเลือก พูดแต่ในสิ่งที่ควรพูด ควรพูดอย่างไรและเมื่อใด บางสิ่งไม่จำเป็นต้องพูดเลยก็ได้ ในพระคัมภีร์ใหม่มีข้อแนะนำที่สำคัญยิ่งสำหรับเรา แนะนำให้เรารู้ว่าควร หรือไม่ควรพูด สิ่งใด : "เราควรพูดในสิ่งที่เสริมสร้าง (ทำให้จำเริญขึ้น) สำหรับผู้อื่น" (ดู 1โครินธ์ 14:4-5, 17, 26) พระธรรม 1 โครินธ์บทที่ 14 สอนว่าคริสตจักรควรจำเริญขึ้นทั้งด้วยความเงียบ และด้วยคำพูดของเรา ไม่เป็น บาปหรอกครับที่จะยับยั้งไม่พูดในสิ่งที่ไม่ก่อให้เกิดประ โยชน์แก่ผู้ใด ถึงแม้จะเป็นความจริงก็ตาม ดาวิดไม่ได้พูดจาหลอกลวงเรื่องซาอูล ท่านพูด แต่ความจริงเท่านั้น และนี่คือท่าทีที่ถูกต้อง

ผมอยากจะบอกต่อไปว่าในกรณีที่ซาอูลทำบาป ดาวิดต้องเผชิญหน้าพูดกับท่าน ท่านพูดเรื่อง ความบาปกับซาอูลตรงๆ (ดู 1 ซามูเอล 24 และ 26) บางเวลาเราต้องเจรจากับคนบาปถึงเรื่อง ความบาปของเขา แต่ในเมื่อซาอูลตายไปแล้ว ดาวิดไม่อาจแก้ใขซาอูลด้วยการนำบาปของท่าน มาพูดถึงอีก ในการพูด "เรื่องไม่ดีเกี่ยวกับผู้ตาย" ดาวิดมีแต่จะนำความอับอายและเจ็บปวดมาสู่ผู้ เป็นลูกหลาน ผู้ที่ท่านสัญญาจะปกป้องดูแล

เราเห็นว่าดาวิดนั้นทำถูกและมีความชอบธรรมในการไม่นำบาปของซาอูลมาพูดถึงในเวลาเช่นนี้ ผู้คนรู้เรื่องความบาปของซาอูลอยู่แก่ใจดีแล้ว แต่ ดาวิดต้องการให้จดจำและยกย่องท่านไว้ใน ฐานะที่ท่านเคยเสียสละให้กับคนอิสราเอลภายใต้ปกครอง แต่ทำให้เรามีคำถามสำคัญเกิดขึ้น : "ดาวิดทำได้อย่างไร? ดาวิดพูดถึงซาอูลแต่ในแง่ดีได้อย่างไร หลังจากที่ท่านต้องทนทุกข์ทรมาณ มานานเพราะการกระทำของซาอูล?"

มีหลายคำตอบด้วยกันสำหรับคำถามนี้ ประการแรก ดาวิดมีความวางใจในพระเจ้าที่ท่าน ปรนนิบัติอยู่ ท่านรู้ดีว่าพระเจ้าของท่านนั้นยิ่งใหญ่ พระเจ้าของท่านนั้นควบคุมอยู่เหนือทุกสิ่ง ดังนั้นพระเจ้าจึงอนุญาติให้ซาอูลออกมาไล่ล่าแสวงชีวิตท่าน ดาวิดวางใจว่าพระเจ้าให้ท่านทน ทุกข์ด้วยน้ำมือของซาอูล เพื่อจะสั่งสอนท่านในหนทางแห่งความชอบธรรม ซาอูลถูกพระเจ้าใช้ สำหรับเตรียมดาวิดขึ้นมารับหน้าที่เป็นผู้นำในอนาคตอันใกล้ การทนทุกของท่านไม่ได้สูญเปล่า ท่านจึงไม่รู้สึกร้ายต่อซาอูล เช่นเดียวกับที่โยเซฟสำนึกในพระคุณที่ทำให้ท่านต้องผ่านการทน ทุกข์ทรมาณ (ดูปฐมกาล 50:20) ดาวิดสามารถทำในสิ่งเดียวกันได้

ประการที่สอง ดูเหมือนว่าดาวิดจะจัดการกับความบาปของซาอูลไปแล้วโดยการให้อภัย สิ่งนี้ทำให้โยเซฟรู้สึกมีอิสระในการที่จะตกลงกับพี่ๆได้ ถึงแม้พวกเขาเคยร้ายกับท่านมาก่อนก็ตาม ผมเชื่อว่าดาวิดให้อภัยกับซาอูล ท่านจึงไม่รู้สึกเก็บกดความขมขื่นไว้ เป็นเรื่องเศร้าที่จะกักเก็บ ความขมขื่นเอาไว้ เพราะเมื่อคนๆนั้นตายไปแล้ว มันสายเกินไปที่จะให้อภัย 9 ดาวิดไม่จำเป็นต้อง กวนอดีตให้ขุ่นขึ้นมาอีก เพราะท่านไม่ต้องการจดจำ

ประการที่สาม จากที่ได้อ่าน ผมต้องบังคับตัวเองให้สรุปว่าดาวิดมองซาอูลในแง่ดีกว่า ผมมาก ผมต้องขอสารภาพว่าไม่ค่อยชอบซาอูลนัก อยากจะคิดถึงท่านแต่ในแง่ร้าย ทำให้มอง เห็นแต่ความร้ายที่สุด มากกว่าความดีที่สุด ผมคิดว่าผู้เขียนคงอยู่ฝ่ายเดียวกับดาวิดมากกว่าอยู่ ฝ่ายผม เห็นได้ชัดเจนที่สุดจากบทที่ 14 ที่สรุปเรื่องการปกครองของซาอูลเอาไว้ :

47 เมื่อซาอูลได้รับตำแหน่งพระราชาเหนืออิสราเอลนั้น พระองค์ได้ทรงต่อสู้ศัตรู ทุกด้าน ต่อสู้กับโมอับ กับชนอัมโมน กับเอโดม กับบรรดาพระราชาแห่งโศบาห์ และกับคนฟิลิสเตีย ไม่ว่าพระองค์จะหันไปทางไหน พระองค์ก็ทรงกระทำให้เขา พ่ายแพ้ไป 48 พระองค์ทรงสู้รบอย่างเข้มเข็ง และทรงโจมตีพวกอามาเลขและ ทรงช่วยกู้คนอิสราเอลให้พ้นจากมือของบรรดาผู้ที่เข้าปล้นเขา
(1 ซามูเอล14:47-48)

พระคำสองข้อนี้ดูจะอยู่ผิดที่ น่าจะอยู่ในตอนพิธีไว้อาลัยหรือบทให้พรก่อนจบพิธี แทนที่จะมาอยู่ ก่อนบทที่ 15 เป็นตอนที่ซาอูลเริ่มต้นทำบาป หรืออยู่ก่อนที่ท่านมรณภาพในบทที่ 31 ผมคิดว่า ผู้เขียนต้องการชี้ให้เราเห็นว่ามันจบลงแล้วสำหรับซาอูล นานก่อนที่ท่านจะจบชีวิตลง แต่ไม่ว่า สรุปผลงานของท่านจะอยู่ในตำแหน่งใดก็ตาม ผม ต้องยอมรับว่าซาอูลถูกเขียนถึงในแง่ดีกว่าที่ผม คิด ผมเชื่อว่าผู้เขียนพระธรรม 1 ซามูเอลต้องการให้เราอ่านผลงานในแง่ดีและจดจำไว้มากกว่า เรื่องร้ายๆของท่านที่ตามมา ผู้เขียนเลือกที่จะมุ่งความสนใจไปที่ความล้มเหลวของซาอูลเพื่อสอน เราถึงบทเรียนสำคัญบางประการ ผมเชื่อว่าซาอูลล้มเหลวแบบเดียวกับที่อิสราเอลล้มเหลว ถ้าจะ พูดให้เกินออกไปอีกนิด วิธีที่ซาอูลล้มเหลวก็เป็นวิธีเดียวกับที่พวกเราล้มเหลว ส่วนสำคัญในความ ล้มเหลวของซาอูลใน 1 ซามูเอล คือสิ่งที่ทำให้ท่านสูญเสียอาณาจักรไป นอกเหนือจากความผิดพลาดล้มเหลวนี้ ซาอูลเคยทำสิ่งดีไว้มากมาย ในบทเพลงคร่ำครวญของ ดาวิดจึงมีแต่เรื่องดีๆเช่นนี้

ประการที่ห้า ดาวิดแสดงถึงความเชื่อฟังทีท่านมีต่อคำสั่งสำคัญ ซึ่งอ.เปาโลพูดถึงอย่าง ชัดเจนในจดหมายฝากของท่านถึงชาวฟิลิปปี :

8 ดูก่อนพี้น้องทั้งหลาย ในที่สุดนี้ขอจงใคร่ครวญถึงสิ่งที่จริง สิ่งที่น่านับถือ สิ่งที่ยุติธรรม สิ่งที่บริสุทธิ์ สิ่งที่น่ารัก สิ่งที่ทรงคุณ คือถ้ามีสิ่งใดที่ล้ำเลิศ สิ่งใดที่ควรแก่การสรรเสริญ ก็ขอจงใคร่ครวญดู
(ฟิลิปปี 4:8)

ความจริงคือสิ่งแรกที่เราควรให้ครอบครองความนึกคิดจิตใจของเรา ก่อนที่จะกลั่นกรองออกมา มาเป็นคำพูด สิ่งนี้เป็นบทพิสูจน์ขั้นแรก ยังมีมาตรฐานในขั้นอื่นๆอีกซึ่งเราจะเห็นได้ต่อไป ดาวิด เขียนบทเพลงคร่ำครวญนี้เพื่อช่วยคนอิสราเอลในสมัยของท่านและยุคต่อๆมา เพื่อจะจดจำและ ยกย่องซาอูลและโยนาธาน ถ้าพวกเขาสามารถจดจำซาอูลตามที่ดาวิดเขียนไว้ในบทเพลงได้ แน่นอนในใจพวกเขาจะ"จดจำแต่สิ่งที่น่ายกย่อง สิ่งที่ถูกต้อง สิ่งที่บริสุทธิ์ สิ่งที่น่ารัก และควรค่า แก่การสรรเสริญ" ดาวิดไม่ต้องการให้เราติดอยู่ที่ความบาปของซาอูล แต่ก็ไม่ควรมองข้าม ผู้เขียน 1 ซามูเอล บันทึกไว้เพื่อให้เราได้เรียนรู้จากความผิดพลาดนี้

ปัจจุบันนี้มีการนำเรื่องความผิดของผู้อื่นมาขุดคุ้ยกัน โดยเฉพาะความผิดที่พ่อแม่ทำกับเรา เราคิด ว่าเราต้องตีแผ่มันออกมาให้หมด ต้องทำความเข้าใจให้ถ่องแท้ และจดจำเอาไว้ ผมคิดว่าดาวิดทำ ในสิ่งตรงข้าม ถ้าเรายังไม่ยอมให้อภัยในความผิดที่พ่อแม่ทำกับเรา เราควรจะทำได้แล้ว และลืม มันไปให้หมด ถ้าเรายังไม่ได้เผชิญหน้ากับท่านในเรื่องความบาปที่ท่านยังทำอยู่ เราควรต้องทำ ด้วยท่าทีตามแบบพระคัมภีร์ แต่การขุดคุ้ยและหมกมุ่นอยู่แต่ความผิดในอดีตของท่าน มันไม่ทำให้ ใครหรืออะไรดีขึ้นมาหรอกครับ อย่าให้สิ่งเหล่านี้เข้ามาครอบครองในจิตใจของเราได้

ประการที่ห้า ดาวิดคิดถึงซาอูลในฐานะตำแหน่งของท่านและเกียรติทีท่านสมควรจะได้รับ เราอ่านเรื่องการถวายเกียรติในพระธรรมฟิลิปปี 4:8: "… สิ่งใดที่ควรแก่การสรรเสริญ …" มีการสอนหลักการ เดียวกันนี้ในที่อื่นอีกหลายแห่งด้วย เช่น :

"จงให้เกียรติแก่บิดามารดาของเจ้า เพื่ออายุของเจ้าจะได้ยืนนานบนแผ่นดิน ซึ่งพระเจ้า ของเจ้าประทานให้แก่เจ้า "
(อพยพ 20:12; ดูมัทธิว 15:4, ฯลฯ)

ท่านจงให้แก่ทุกคนตามที่เขาควรจะได้รับ จงเสียส่วยสาอากรตามที่ควรเสียภาษี ตามที่ควร ความยำเกรงควรแก่ผู้ใด จงยำเกรงผู้นั้น จงให้เกียรติยศแก่ผู้ที่ควรจะ ได้รับ
(โรม 13:7)

จงให้เกียรติแก่ทุกคน จงรักบรรดาพี่น้อง จงยำเกรงพระเจ้า และจงถวายเกียรติ แด่มหาจักรพรรดิ
(1 เปโตร 2:17)

ข้อพระคำเหล่านี้พระเจ้าเรียกเราให้ "ให้เกียรติ" แก่ผู้อื่นตามตำแหน่งที่เขาสมควรจะได้รับ ในแทบทุกกรณี การให้เกียรตินี้หมายถึงให้เกียรติแก่ผู้ที่มีอำนาจเหนือเรา (พ่อแม่หรือพระ มหากษัตริย์) ในฐานะคริสเตียนเราต้องให้เกียรติแก่ทุกคน ไม่ใช่เพราะเขาเป็นการทรงสร้าง ของพระเจ้า แต่เป็นเพราะเราต้องมีน้ำใจต่อกัน เห็นแก่ผลประโยชน์ของผู้อื่น (ฟีลิปปี 2:1-8) ดาวิดเป็นแบบอย่างชั้นเลิศให้กับเราในเรื่องการยกย่องให้เกียรติผู้อื่น

เราต้องตระหนักว่าการให้เกียรติกษัตริย์ของอิสราเอลนั้นมีความหมายพิเศษ กษัตริย์อยู่ในตำแหน่ง ที่ได้รับเกียรติสูง เขาถูกเรียกว่าเป็นถึง "บุตร" ของพระเจ้า (ดู 2 ซามูเอล 7:14; สดุดี 2:7-9) ในกรณีนี้ องค์พระเยซูคริสต์ทรงเป็น "พระบุตร" ของพระเจ้า ส่วนหนึ่งเพราะพระองค์เป็นจอม กษัตริย์ที่พระเจ้าเลือกสรร 10 คำพูดว่ากษัตริย์เป็นผู้ที่ "ได้รับการเจิมตั้งจากพระเจ้า" ถูกใช้ ครั้งแรกใน 1 ซามูเอลเมื่อพูดถึงซาอูล และต่อมาเมื่อพูดถึงดาวิด และยังหมายถึงกษัตริย์ที่ตามมา ภายหลัง โดยเฉพาะอย่างยิ่งองค์พระเมสซิยาห์ คำในภาษาฮีบรูคำว่า "การเจิมตั้ง" เขียนตามตัว อักษรในภาษาอังกฤษจะอ่านได้ว่า "พระเมสซิยาห์" ดาวิดให้เกียรติซาอูลในฐานะเป็นผู้ที่ "พระ เจ้าเจิมตั้ง" และด้วยเหตุนี้ท่านจึงได้ให้เกียรติต่อ "องค์ผู้ที่ได้ รับการเจิม" ที่จะมาในภายหลัง และเมื่อมีการทรงเปิดเผยในพระคัมภีร์เดิมมากขึ้น ทุกสิ่งก็เริ่มกระจ่างชัดขึ้นทุกที

ในบทเพลงคร่ำครวญนี้ ดาวิดพูดถึงซาอูลว่าเป็นความงามประดับอิสราเอล คำว่า "ความงาม" คำเดียวกันที่ใช้ในตอนนี้ ถูกใช้เช่นเดียวกันในพระธรรมอิสยาห์ เมื่อหมายถึงพระเมสซิยาห์ผู้จะ เสด็จมา ผู้เป็นความงามและศักดิ์ศรีของอิสราเอล :

ในวันนั้นบรรดาสิ่งที่งอกเพราะพระเจ้าจะงดงามและรุ่งโรจน์ และพืชผลของแผ่น ดินนั้นจะเป็นความภูมิใจและเป็นเกียรติของอิสราเอลผู้รอดตายมา
(อิสยาห์ 4:2)

ในวันนั้นพระเจ้าจอมโยธาจะเป็นมงกุฎศักดิ์ศรี และเป็นมกุฎแห่งความงามแก่คน ที่เหลืออยู่แห่งชนชาติของพระองค์
(อิสยาห์ 28:5).

ขณะที่ดาวิดให้เกียรติซาอูลว่าเป็นความงามประดับอิสราเอล ท่านทำเช่นนี้ด้วยความหวังและ รอคอยการเสด็จมาของกษัตริย์ที่สมบูรณ์แบบของอิสราเอล พระเมสซิยาห์

ก่อนที่จะจบบทเรียนนี้ ยังมีบางสิ่งที่ผมไม่อาจมองข้ามที่จะบอกคุณได้ เป็นคำเตือนสำหรับคน ที่วางใจในความดีของตัวเองว่าจะได้รับความรอด คนที่คาดหวังว่าพระเจ้าจะอ้าแขนกว้างต้อนรับ ทั้งๆที่เขาปฏิเสธการจัดเตรียมของพระองค์ผ่านทางพระเยซูคริสต์

หนุ่มชาวอามาเลขที่ฆ่าซาอูลโดยคิดว่ากำลังทำความดีให้กับทั้งซาอูลและดาวิด เขาคิดว่าได้ช่วย ซาอูลให้พ้นทุกข์ และในขณะเดียวกันกำจัดไปให้พ้นจากทางของดาวิดด้วย เขากำลังทำให้ดาวิด พอใจและได้ความดีความชอบ บางทีอาจจะได้รับรางวัลตอบแทน แทนที่จะได้รับรางวัล เขากลับ จุดดาวิดให้ลุกเป็นไฟด้วยความโกรธและถูกประหาร เราอาจตกใจที่ดาวิดสั่งประหารชายคนที่ฆ่า ซาอูล ดาวิดทำถูกที่สั่งฆ่าชายคนนี้ด้วยสาเหตุหลายประการ ประการแรก ท่านอาจฆ่าชายคนนี้ด้วย สาเหตุธรรมดาๆเพราะเขาเป็นคนอามาเลข (ดู 1 ซามูเอล 15, 31) ประการที่สอง เขาถูกสั่งฆ่า เพราะฆ่าผู้ที่พระเจ้าเจิมไว้ ดาวิดไม่ผิดที่โกรธเพราะการกระทำของชาวอามาเลขที่ทำต่อซาอูล ท่านทำถูกแล้วที่สั่งประหารชายคนนี้

หลายคนรู้ว่าพระเยซูเป็นพระเจ้าลงมาบังเกิด เป็นองค์พระบุตร ทรงสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนที่ เนินหัวกระโหลก ทรงคืนพระชนม์จากความตาย พวกเขารู้ว่าพระองค์ทรงตายแทนความผิดบาป ของพวกเขา และพระองค์ผู้เดียวเท่านั้นที่เป็นหนทางไปสู่ชีวิตนิรันดร์ ถึงกระนั้นก็ดี พวกเขาก็ยัง ปฏิเสธพระองค์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด พวกเขาคิดว่ายังมีหนทางอื่นอีกที่จะได้รับความรอดนอก เหนือจากพระโลหิตขององค์พระเยซูคริสต์ พวกเขาคิดว่าเมื่อยืนอยู่ต่อหน้าพระเจ้า พระองค์จะรับ พวกเขาเพราะพวกความดีที่พวกเขากระทำ และความเชื่อในหนทางอื่นสำหรับความรอด พวกเขา คาดว่าจะได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นในแผ่นดินสวรรค์ของพระเจ้า และได้รับบำเหน็จแห่งชีวิต นิรันดร์ พวกเขากำลังหลอกตัวเองอย่างมหันต์

ถ้าดาวิดทำถูกที่โกรธเคืองคนที่ฆ่าซาอูล ผู้ที่พระเจ้าเจิมไว้ คุณคิดว่าพระเจ้าจะจัดการอย่างไรกับ คนที่ปฏิเสธองค์พระเยซูคริสต์ ผู้ที่พระองค์เจิมไว้ ? ถ้าพระเจ้ามีหนทางอื่นช่วยมนุษย์ให้หลุดพ้น จากความบาป คุณคิดว่าพระองค์จะส่งพระเยซูคริสต์ให้มาตายอย่างทนทุกข์ทรมาณบนไม้กางเขน แทนเราเป็นหนทางหนึ่งให้เลือกหรือ? คนที่วางใจในหนทางอื่นสำหรับความรอดโดยการปฏิเสธ พระเยซูผู้ที่พระเจ้าเจิมไว้ คนที่ปฏิเสธผู้ที่พระเจ้าเจิมไว้ก็ผิดพอๆกับพวกที่ร้องขอให้ฆ่าพระองค์ ต่อหน้าปิลาตเมื่อสองพันปีก่อน โดยร้องว่า "เอาไป ตรึงกางเขน ๆ" เป็นความเขลามากที่คิดว่า จะได้รับการยอมรับจากพระเจ้าเมื่อปฏิเสธหนทางที่พระองค์จัดเตรียมไว้สำหรับความรอด ดาวิด จัดการกับคนอามาเลขที่ฆ่าซาอูลรุนแรงอย่างไร เช่นกัน พระเจ้าจะจัดการกับคนที่ปฏิเสธพระบุตร คือองค์พระเยซูคริสต์ของพระองค์ฉันนั้น หนทางที่จะได้รับการอภัยบาปและรับชีวิตนิรันดร์คือการ เข้ามาวางใจในผู้ที่ได้รับการเจิมตั้งจากพระเจ้า พระเยซูคริสต์ จอมกษัตริย์ของพระเจ้า ผู้จะปก ครองตลอดนิรันดร์ พระองค์เป็นพระเมษโปดก ผู้ตายแทนความผิดบาปของมนุษย์ ทุกคนที่วางใจ ในพระองค์จะได้รับความรอด คนที่ไม่ยอมรับก็เตรียมตัวรอพระอาชญา ถ้าคุณยังไม่เคยยอมรับใน ความผิดบาปของคุณ และมาวางใจในการ สิ้นพระชนม์ การฝังพระศพ และการคืนพระชนมฺ์ของ องค์พระเยซูคริสต์ที่กระทำแทนเรา วันนี้คุณพร้อมหรือยัง?


1 นักวิชาการหลายคนรู้สึกว่าชายคนนี้กำลังเล่าเรื่องโม้ให้ดาวิดฟัง สำหรับผมยากที่จะทำใจ สรุปตามนั้น เพราะผู้เขียนเล่าอย่างเจาะจงว่าชายคนนี้ "มาจากค่ายของซาอูล" (ข้อ 2) มีคำอธิบายสภาพของซาอูล มีการเล่าว่าพวกฟิลิสเตียกำลังใกล้เข้ามา และเรื่องขอให้ฆ่าท่านให้ตาย (ยังไม่รวมเรื่องมงกุฎและกำไลของ ซาอูลอีก) ทำให้เราสรุปได้ว่าเขาต้องไปอยู่ที่นั่นจริง อย่าลืมว่าดาวิดเองก็เชื่อตามนั้น ดาวิดไม่ได้สั่งประหาร ผู้ชายคนนี้เพราะเขาอ้างว่าฆ่าซาอูล แต่เพราะแน่ใจว่าเขาทำจริง ถ้าดาวิดเชื่อตามที่ชายคนนี้เล่า เราก็ควรเชื่อด้วย

2 ฉบับ NASB ใช้คำชัดเจนว่า "หนีรอด" มาได้ ก็น่าจะเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง

3 น่าสนใจที่หนุ่มคนนี้ไม่ได้เอ่ยชื่อบุตรคนอื่นของซาอูลที่ถูกฆ่าตายด้วยกันเลย (ดู 1 ซามูเอล 31:2, 6) หรือเป็นเพราะทุกคนรู้ว่าโยนาธานมีความสำคัญเพราะเป็นผู้สืบราชบัลลังก์

4 บางคนคิดว่าเรื่องนี้ค้านกับที่เขียนอธิบายไว้ใน 1 ซามูเอล 31 แต่ผมว่าไม่ ผมเชื่อว่าเมื่อคนถือเครื่อง อาวุธรีรอ (ปฏิเสธ) ไม่ยอมฆ่าผู้เป็นนายด้วยดาบของตนเอง คนถือเครื่องอาวุธก็ไม่ได้หยุด หรือรอจน แน่ใจว่าซาอูลตายจริง เขารู้แต่เพียงว่าซาอูลตายแล้วหรือคงต้องตายแน่ เขาจึงรีบล้มลงทับดาบตนเอง ตายในทันที ทิ้งให้ซาอูลยังมีชีวิตอยู่ และน่าจะเป็นเวลาเดียวกับที่คนอามาเลขคนนี้มาถึงพอดี

5 คำถามนี้น่าจะเป็นคำถามที่ย้อนกลับมาหาดาวิดเอง ว่าคนอิสราเอลไปทำอะไรอยู่ในค่ายของฟิลิสเตีย เป็นคำถามเดียวกับที่พวกผู้นำฟิลิสเตียถาม

6 อ้างอิงจาก Walvoord, John F., and Zuck, Roy B., The Bible Knowledge Commentary, (Wheaton, Illinois: Scripture Press Publications, Inc.) 1983, 1985, en loc.

7 ถึงแม้ไม่จำเป็นต้องพูดถึงก็ได้ ผมอยากจะบอกอีกครั้งว่า "ความรัก" ที่ผูกพันระหว่างดาวิดและโยนาธาน ไม่มีเรื่องเพศมาเกี่ยวข้องในทุกกรณี อันที่จริงดาวิดเองพูดชัดเจนว่าความสัมพันธ์ของท่านกับโยนาธานนั้น สูงส่งและยิ่งใหญ่กว่านั้น (ดูข้อ 26)

8 ซาอูลและโยนาธานมาจากเผ่าเบนยามินเหมือนกัน ไม่ใช่เผ่ายูดาห์ ด้วยเหตุนี้พระเมสซิยาห์จึงไม่สามารถ สืบทอดมาทางตระกูลของซาอูลได้

9 ผมไม่ได้บอกว่าเราไม่ควรให้อภัยกับคนที่ทำร้ายเรา ถึงแม้เขาจะตายไปแล้วก็ตาม ผมกำลังจะบอกว่าควร จะทำให้เร็วกว่านั้น — มาสายดีกว่าไม่มานะครับ

10 นี่ไม่ใช่เป็นการมองข้ามความจริงว่าพระองค์เป็นพระเจ้าเองที่ลงมาบังเกิด เป็นพระบุตรเพียงองค์เดียว ของพระผู้เป็นเจ้า

Related Topics: Bibliology (The Written Word)

Report Inappropriate Ad