MENU

Where the world comes to study the Bible

บทที่ 2 : สองหัวล้านชิงหวี (2 ซามูเอล 2:1 — 3:39)

คำนำ

หลายปีมาแล้ว ผมมีโอกาสได้ไปเข้าร่วมประชุมผู้นำคริสเตียนที่ดัลลัส งานนั้นมีนักประกาศและ อาจารย์สอนศาสนาชื่อดัง หลุยส์ พาลอว์เป็นนักพูด เป็นช่วงเวลาหลังสงครามฟอล์คแลนด์ระหว่าง อังกฤษและอาร์เยนติน่าเล็กน้อย อ.หลุยส์ผู้นี้เคยไปประกาศที่อาร์เยนติน่าและจักรภพอังกฤษก่อน สงครามนี้ได้ไม่นาน ดังนั้นก็เท่ากับท่านต้องทำงานพันธกิจให้กับทั้งสองฝ่าย อ.หลุยส์งงมากว่า สงครามครั้งนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร เมื่อท่านมีโอกาสได้พบสมาชิกรัฐสภาบางคน ท่านจึงถามถึงเหตุผล ในการปะทะกันครั้งนี้ คำตอบชัดเจนตรงไปตรงมาที่ท่านได้รับก็คือประโยคว่า : "สองหัวล้านชิงหวี"

เมื่อผมอ่านพระธรรม 2 ซามูเอลสองบทนี้ ดูเหมือนเหตุการณ์ในทำนองเดียวกันกำลังเกิดขึ้นในกอง ทัพของดาวิด อย่างน้อยส่วนหนึ่งก็เป็นฝีมือของโยอาบ และกองทัพของอิชโบเชทซึ่งนำโดยอับเนอร์ เริ่ิ่มจากความขัดแย้งเล็กๆน้อยๆ แต่ส่งผลรุนแรงเกินความคาดหมายซึ่งเราจะได้เห็นต่อไป เหตุการณ์ ในบทเรียนนี้ไม่ได้ "อยู่ในอดีตอันไกลโพ้น" อย่างที่เราคิด ; ที่จริงแล้วเกี่ยวข้องกับคริสเตียนและ คริสตจักรในปัจจุบันโดยตรง ซึ่งเรากำลังจะมีโอกาสได้เรียนรู้ต่อไป

คุณ (และผม) กำลังลุ้นที่จะเห็นดาวิดขึ้นปกครองเหนืออิสราเอล แต่เวลายังมาไม่ถึง กว่าจะถึงก็ต้อง รอจนถึงบทที่ 5 ก่อนถึงให้้เรามาเรียนรู้เนื้อหาในบทนี้กันก่อน พระธรรมตอนนี้เต็มไปด้วยเรื่องราว ของดาวิด เราจะมาพิจารณาดูทุกด้านของพระธรรมตอนนี้ในบทเรียนหน้า ให้เราจำไว้ว่าพระธรรม สองบทนี้มุ่งความสนใจไปที่สองบุคคล คือโยอาบและอับเนอร์ ชายชาติทหารสองคนนี้สร้างผลกระ ทบอันยิ่งใหญ่ให้กับชีวิตของดาวิด และการขึ้นปกครองเป็นกษัตริย์ของท่านรวมทั้งประวัติศาสตร์ของ ประเทศอิสราเอล ชีวิตของทั้งสองนี้มาบรรจบกันในบทที่ 2 และ 3 เป็นการจบชีวิตลงของอับเนอร์ และการขึ้นเป็นผู้นำของโยอาบภายใต้การปกครองของดาวิด

ในบทเรียนนี้ เราจะพยายามย้อนกลับไปดูเบื้องหลังชีวิตของทั้งสองคนนี้ เพื่อจะเห็นเหตุการณ์ในมุม มองที่กว้างขึ้น ทั้งคู่มีบางสิ่งที่จะสอนเรา มีเรื่องมากมายที่จะบอกเรา ไม่ว่าจะเป็นชีวิตของแต่ละคน สัมพันธภาพที่มีต่อกันและกัน และที่มีต่อกษัตริย์ของอิสราเอลด้วย ดังนั้นให้เราเริ่มต้นบทเรียนนี้ด้วย การไปดูภาพร่างชีวประวัติของทั้งสอง อับเนอร์และโยอาบ

ทุกอย่างที่เกี่ยวกับอับเนอร์ : ภาพร่างชีวประวัติอย่างย่อๆ

เมื่อครั้งที่ลาของบิดาของซาอูลหายไป ซาอูลถูกส่งให้ไปตามหาและนำกลับมาโดยมีคนใช้ติดตามไป ด้วยหนึ่งคน (9:3) ในระหว่างที่ตามหาลา ซาอูลและคนใช้ก็ได้ไปพบกับซามูเอล ผู้ซึ่งทำการเจิม ซาอูลขึ้นอย่างลับๆ ตั้งท่านขึ้นเป็นกษัตริย์องค์แรกของอิสราเอล เมื่อซาอูลและคนใช้เดินทางกลับมา บ้าน ลุงของซาอูลที่เราไม่ทราบชื่อ มาพบและพยายามสอบถามเรื่องราว :

14 ฝ่ายลุงของซาอูลจึงถามซาอูลกับคนใช้ว่า "เจ้าไปไหนมา" และเขาตอบ ว่า "ไปหาลา และเมื่อเราเห็นว่าเราไม่พบลานั้นแล้ว เราจึงไปหาซามูเอล" 15 ลุงของซาอูลกล่าวว่า "ซามูเอลบอกอะไรแก่เจ้าบ้างขอเล่าให้ฟัง" 16 และ าอูลตอบลุงของเขาว่า "เขาบอกเราแจ่มแจ้งว่าพบลาแล้ว" แต่เรื่องราวที่เกี่ยว กับราชอาณาจักร ซึ่งซามูเอลกล่าวถึงนั้นท่านไม่ได้บอกสิ่งใดเลย
(1 ซามูเอล 10:14-16)

มีความเป็นไปได้สูงที่ "คุณลุง" คนนี้คือเนอร์ พี่ชายของคีชบิดาของซาอูล เราพอมองออกว่าทำไมลุง เนอร์ผู้นี้ถึงสนใจการพบปะกันระหว่างซาอูลและซามูเอลมากนัก อิสราเอลกำลังเรียกร้องให้มีกษัตริย์ เหมือนกับประเทศอื่นๆ พระเจ้าได้อนุญาติให้ทำได้โดยผ่านทางซามูเอล (1 ซามูเอล 8) ซามูเอลมี หน้าที่แต่งตั้งกษัตริย์ แต่ดูเหมือนยังไม่มีอะไรคืบหน้า เนอร์คิดว่าการพบปะกันระหว่างหลานชาย ซาอูลและซามูเอลไม่ใช่เป็นเรื่องเล็กแน่นอน ความสำเร็จของซาอูล (ที่ได้ขึ้นเป็นกษัตริย์) ย่อมเป็น ความสำเร็จของ "วงศ์ตระกูล" ด้วย มีทางเป็นไปได้ที่อับเนอร์ ลูกพี่ลูกน้องของซาอูลจะได้เป็นแม่ทัพ ในกองทัพของซาอูล

เราไม่รู้จักอับเนอร์จนกระทั่งเมื่อดาวิดเผชิญหน้ากับโกลิอัทตามที่บันทึกอยู่ใน 1 ซามูเอล บทที่ 17 ถ้าเราคิดว่าซาอูลจะลุกขึ้นต่อสู้กับโกลิอัท ซึ่งท่านไม่ได้ทำ แน่นอนคนที่ต้องทำหน้าที่ต่อจากท่าน ต้องเป็นแม่ทัพของซาอูล แต่อับเนอร์กลับนั่งอยู่วงนอกกับซาอูล คงจะนั่งเฝ้ามองสงครามอยู่ในที่ ปลอดภัย ไกลออกไปจากสนามรบ :

55 เมื่อซาอูลทรงเห็นดาวิดออกไปต่อสู้กับคนฟีลิสเตีย จึงตรัสถามอับเนอร์ แม่ทัพของพระองค์ว่า "อับเนอร์ ชายหนุ่มคนนี้เป็นลูกของใคร" และอับเนอร์ ทูลว่า "ข้าแต่พระราชา ฝ่าพระบาททรงพระชนม์อยู่แน่ฉันใด ข้าพระบาทไม่ ทราบ" 56 พระราชาจึงรับสั่งว่า "ไปสืบถามดูว่าเจ้าหนุ่มคนนั้นเป็นลูกของใคร" 57 เมื่อดาวิดกลับมาจากการฆ่าคนฟีลิสเตีย อับเนอร์ก็มาพาตัวเขาเข้าไปเฝ้า ซาอูล
(1 ซามูเอล 17:55-57).

อาจจะฟังดูแรงไปนิด แต่ตามเนื้อหา ผมเข้าใจว่าอับเนอร์ผู้เป็นลูกพี่ลูกน้อง และเป็นแม่ทัพของ อิสราเอล ก็กลัวโกลิอัทพอๆกับซาอูลและคนอื่นๆ :

11 เมื่อซาอูลและคนอิสราเอลทั้งสิ้น ได้ยินถ้อยคำของคนฟีลิสเตียคนนั้น เขาทั้งหลายก็ท้อใจและกลัวมาก
(1 ซามูเอล 17:11)

24 เมื่อคนอิสราเอลเห็นชายคนนั้นก็วิ่งหนีเขาไป กลัวเขามาก
(1 ซามูเอล 17:24)

ความหวาดกลัวในระดับล่าง แสดงให้เห็นถึงอิทธิพลความหวาดกลัวที่แผ่มาจากระดับบน

ดาวิดและอับเนอร์คงจะรู้จักกันเป็นอย่างดี อับเนอร์เป็นแม่ทัพของอิสราเอล และดาวิดเป็นวีรบุรุษ สงคราม เป็นผู้บัญชาการกองพัน (1 ซามูเอล 18:13) จากชัยชนะในการรบ ดาวิดคงได้รับการยอมรับ จากนายทหารในระดับสูงด้วยกัน (18:30) อีกอย่างคือ อับเนอร์ (เช่นเดียวกับดาวิด) ต้องไปนั่งเป็น แขกที่โต๊ะเสวยเป็นประจำอยู่แล้ว (20:25)

แน่นอนอับเนอร์คงไม่ค่อยรู้จักดาวิดดีนักในตอนแรก แต่ทุกอย่างเปลี่ยนไปเมื่อดาวิดสามารถโค่น โกลิอัทลงได้ ดาวิดได้เลื่อนขั้นขึ้นเป็นผู้บังคับกองพัน (1 ซามูเอล 18:13) ซึ่งต้องอยู่ในสายตาของ อับเนอร์ เมื่อซาอูลลุกขึ้นมาต่อต้านดาวิด อัับเนอร์ให้การสนับสนุนกษัตริย์ผู้เป็นญาติ และเมื่อซาอูล ใช้กองทัพออกไปตามล่าเพื่อฆ่าดาวิด แน่นอนแม่ทัพต้องมีส่วนเกี่ยวข้องด้วย (ดู 1 ซามูเอล 26:3-5, 13-16) อับเนอร์อาจมีส่วนเกี่ยวข้องในชีวิตของดาวิดมากกว่าที่เรารู้ก็เป็นได้ :

3 และซาอูลทรงตั้งค่ายอยู่ที่เขาฮาคีลาห์ซึ่งอยู่ข้างถนนทางทิศตะวันออก ของเยชิโมน แต่ดาวิดยังคงอยู่ในถิ่นทุรกันดาร และเมื่อท่านเห็นว่าซาอูล สด็จมาหาท่านที่ในถิ่นทุรกันดาร 4 ดาวิดก็ส่งผู้สอดแนมออกไป จึงทราบ ว่าซาอูลทรงยกมาแน่แล้ว 5 แล้วดาวิดก็ลุกขึ้นมายังที่ซึ่งซาอูลทรงตั้งค่าย อยู่ และดาวิดก็เห็นที่ที่ซาอูลบรรทมพร้อมกับอับเนอร์บุตรเนอร์แม่ทัพ ซาอูลบรรทมอยู่กลางเขตค่าย ฝ่ายกองทัพก็ตั้งค่ายอยู่รอบพระองค์ … 13 และดาวิดก็ข้ามไปอีกฟากหนึ่ง ไปยืนอยู่บนยอดเขาไกลออกไป ีที่ว่างกว้างใหญ่ระหว่างทั้งสองฝ่าย 14 ดาวิดก็ตะโกนเรียกพวกพลและเรียก อับเนอร์บุตรเนอร์ว่า "อับเนอร์เอ๋ย ท่านไม่ตอบหรือ" แล้วอับเนอร์ตอบว่า ใครนั่นที่มาร้องเรียกพระราชา" 15 และดาวิดตอบอับเนอร์ว่า "ท่านไม่ใช่ผู้ ชายดอกหรือ ในอิสราเอลมีใครเหมือนท่านบ้าง ทำไมท่านไม่เฝ้าพระราชา เจ้านายของท่านไว้ให้ดี เพราะมีคนหนึ่งเข้าไปจะทำลายพระราชาเจ้านาย ของท่าน 16 ที่ท่านกระทำเช่นนี้ไม่ดีแน่ พระเจ้าทรงพระชนม์อยู่แน่ฉันใด ่านควรตายเพราะท่านมิได้เฝ้าเจ้านายของท่านไว้ให้ดี ผู้ที่พระเจ้าทรงเจิมไว้ บัดนี้ตรวจดูทีว่า หอกของพระราชาอยู่ที่ไหน และเหยือกน้ำที่ตรงพระเศียรนั้น อยู่ที่ไหน" 17 ซาอูลทรงจำสำเนียงดาวิดได้จึงตรัสว่า "ดาวิดบุตรของข้าเอ๋ย ี่เป็นเสียงของเจ้าหรือ" และดาวิดทูลว่า "ข้าแต่พระราชา เจ้านายของข้าพระ บาท เป็นเสียงข้าพระบาทพ่ะย่ะค่ะ" 18 และท่านทูลต่อไปว่า "ไฉนเจ้านาย องข้าพระบาทจึงไล่ตามผู้รับใช้ของพระองค์ ข้าพระบาทได้กระทำอะไรไป ือข้าพระบาทผิดอย่างไรเล่า 19 เพราะฉะนั้นบัดนี้ขอพระราชาเจ้านายของ ข้าพระบาท ทรงฟังเสียงผู้รับใช้ของฝ่าพระบาท ถ้าพระเจ้าทรงปลุกปั่นฝ่า ระบาทให้ต่อสู้ข้าพระบาท ขอพระเจ้าให้ได้รับเครื่องถวาย ถ้าเป็นคนยุก็ขอ ห้คนนั้นเป็นที่สาปแช่งต่อพระพักตร์พระเจ้า เพราะเขาได้ขับไล่ข้าพระบาท ออกไปในวันนี้มิให้ได้ส่วนมรดกของพระเจ้า โดยกล่าวว่า 'จงไปปรนนิบัติพระ อื่น' 20 เพราะฉะนั้นบัดนี้ ขออย่าให้โลหิตของข้าพระบาทตกถึงดินไกลจากพระ พักตร์พระเจ้า เพราะพระราชาแห่งอิสราเอลได้ออกมาหาชีวิตหมัดตัวเดียว ดังผู้หนึ่ง ไล่ตามนกกระทาอยู่บนภูเขา"
(1 ซามูเอล 26:3-5, 13-20)

อับเนอร์ไม่ใช่เป็นแค่เพียงแม่ทัพของซาอูลเท่านั้น แต่ยังเป็นผู้ดูแลเรื่องความปลอดภัยของซาอูลด้วย เมื่อมีการนำกองกำลังฝีมือดีที่สุดออกไปตามฆ่าดาวิด ซาอูลนอนอยู่ตรงกลางของกองกำลังนี้ โดยมี อับเนอร์นอนอยู่ข้างๆ ถ้ามีใครจะเข้ามาทำร้ายซาอูล คนๆนั้นต้องผ่านกองกำลังที่ล้อมรอบก่อน แล้ว ยังต้องไปเจอกับอับเนอร์อีก ในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เรารู้ว่าพระเจ้าเป็นผู้ทำให้พวกเขาหลับสนิท เหมือนตาย (26:12) ถึงกระนั้นก็ตาม เมื่อนำเอาหอกและเหยือกน้ำของซาอูลมา ดาวิดจงใจตะโกน บอกอับเนอร์ กล่าวหาว่าละเลยหน้าที่ สมควรโทษประหาร (26:14-16) แน่นอนคำพูดของดาวิดทำให้ อับเนอร์ขายหน้ามาก

เรื่องนี้เกินกว่ากำลังความสามารถของอับเนอร์ เพราะจะไปกล่าวหาว่าอับเนอร์หลับในหน้าที่ก็คงไม่ ถูกนัก เพราะถ้าพระเจ้าเป็นผู้กระทำ แน่นอนอับเนอร์ก็ต้องหลับไปด้วย ถ้าเช่นนั้นแล้ว ดาวิดมีอะไร เป็นพิเศษกับอับเนอร์ ? อับเนอร์มีเรื่องส่วนตัวกับดาวิดหรือ ? คำตอบสำหรับคำถามนี้อยู่ในข้อที่ 9 11 ที่ดาวิดถามซาอูลว่าออกมาไล่ฆ่าท่านทำไม พระเจ้าสั่งหรือ หรือว่ามีคนยุแยงอยู่เบื้องหลัง คนที่ สามารถพูดให้กษัตริย์ฟังได้ ดาวิดจึงสาปแช่งใครก็ตามที่ยุแยงกษัตริย์ให้เห็นผิดเป็นชอบ กล่าวหาว่า ดาวิดเป็นศัตรูต่อราชบัลลังก์ ซึ่งเป็นคำพูดเดียวกับที่ดาวิดเคยพูดไว้ในบทที่ 24 :

8 ภายหลังดาวิดก็ลุกขึ้นด้วย และออกไปจากถ้ำร้องทูลซาอูลว่า "ข้าแต่ พระราชาเจ้านายของข้าพระบาท" และเมื่อซาอูลทรงเหลียวดู ดาวิดก็ก้ม ลงถึงดินกราบไหว้ 9 และดาวิดทูลซาอูลว่า "ไฉนพระองค์ทรงฟังถ้อยคำ ของคนที่กล่าวว่า 'ดูเถิด ดาวิดแสวงที่จะทำร้ายพระองค์' 10 นี่แน่ะ ันนี้พระเนตรของฝ่าพระบาทประจักษ์แล้วว่า พระเจ้าทรงมอบฝ่าพระบาท ในวันนี้ไว้ในมือของข้าพระบาทที่ในถ้ำ และบางคนได้ขอให้ข้าพระบาท ประหารฝ่าพระบาทเสีย แต่ข้าพระบาทก็ได้ไว้พระชนม์ของฝ่าพระบาท ข้า พระบาทพูดว่า 'ข้าพเจ้าจะไม่ยื่นมือออกทำร้ายเจ้านายของข้าพเจ้า เพราะ ระองค์เป็นผู้ที่พระเจ้าทรงเจิมไว้ "
(1 ซามูเอล 24:8-10)

เมื่อเรานำเอาข้อมูลเหล่านี้มารวมกัน เราเห็นว่าอับเนอร์บกพร่องในหน้าที่รักษาความปลอดภัยให้กับ กษัตริย์ จึงสมควรตาย ความผิดครั้งนี้พระเจ้าเป็นผู้กระทำให้เกิดขึ้น (โดยทำให้ทุกคนหลับสนิท) ทำ ให้ซาอูลไม่มีทางสู้กับอาบีชัยผู้ต้องการฆ่าท่านแต่ถูกดาวิดกันไว้เสียก่อน ดาวิดดูจะเป็นผู้ปกป้อง ชีวิตของซาอูลต่างหาก มีประสิทธิภาพมากกว่าอับเนอร์ ดาวิดสาปแช่งคนที่ปลุกปั่นให้ซาอูลมาทำ ร้ายท่าน คุณว่าใครสมควรตกเป็นผู้ต้องหาในกรณีนี้ ? อับเนอร์หรือเปล่า ?

ดาวิดกล่าวว่ามีบางคนใส่ความคิดชั่วร้ายเรื่องท่านลงไปในสมองของซาอูล กล่าวหาว่าท่านทรยศ กบฎต่อราชบัลลังก์ กรณีนี้ใครเป็นฝ่ายเสียหายที่สุด ? ถ้าดาวิดเป็นนักรบที่กล้าหาญ เป็นผู้นำที่เก่ง กาจของอิสราเอล ใครสมควรจะได้ขึ้นเป็นใหญ่ในกองทัพของซาอูล ? ใครมีความสนิทสนมใกล้ชิด และเข้าถึงกษัตริย์ได้มากที่สุด ถ้าไม่ใช่อับเนอร์ ? อับเนอร์เป็นแม่ทัพ แถมยังเป็นญาติสนิทอีกด้วย ในเมื่ออับเนอร์มีแต่จะได้เมื่อซาอูลขึ้นเป็นกษัตริย์ แต่ถ้าซาอูลถูกถอดล่ะ ใครจะเป็นฝ่ายสูญเสีย ? อับเนอร์รู้ดีว่าซามูเอลเจิมตั้งดาวิดให้ขึ้นมาแทนที่ซาอูล ถ้าซาอูลตาย อับเนอร์น่าจะเป็นคนแรกที่ต่อ ต้านไม่ยอมให้ดาวิดขึ้นครองแทน จึงไม่น่าเป็นเรื่องประหลาดใจถ้าอับเนอร์จะเป่าหูซาอูลอยู่ทุกวัน เพื่อทำให้ดาวิดกลายเป็นคนชั่วในสายตาของซาอูล และสมควรต้องฆ่าให้ตาย ที่แน่ๆ อับเนอร์ไม่ใช่ เพื่อนของดาวิด และไม่ใช่เพื่อนที่ดีนักของญาติสนิทเช่นซาอูล

เราคงสงสัยกันว่าทำไมไม่มีการพูดถึงอับเนอร์ตั้งแต่ 1 ซามูเอล 26 ถึง 2 ซามูเอล 2 เพราะเขาเป็นถึง แม่ทัพของอิสราเอล อับเนอร์อยู่ที่ไหนตอนที่อิสราเอลรบกับพวกฟิลิสเตียในบทอื่นๆ ? อับเนอร์อยู่ที่ ไหน เมื่ออิสราเอลพ่ายแพ้ยับเยิน ต่างคนต่างหนีกระจัดกระจายไป (31:7)? อับเนอร์คนที่เคยเคียง บ่าเคียงไหล่กับซาอูลอยู่ที่ไหนเมื่อบุตรทั้งสิ้นของซาอูลถูกฆ่า และคนถือเครื่องอาวุธฆ่าตัวตาย ? หลายคนสงสัยว่าอับเนอร์หายไปไหนในยามหน้าสิ่วหน้าขวานเช่นนี้ ? (ดูเหมือนอับเนอร์จะถือคติประ จำใจที่ว่า : "รู้รักษาตัวรอด เป็นยอดดี") พอฝุ่นเริ่มจาง อับเนอร์ก็ยังสุขสบายดี รวมทั้งอิชโบเชท บุตรคนหนึ่งของซาอูลด้วย บทเรียนตอนนี้เริ่มหลังจากพิธีไว้อาลัยให้ซาอูลและโยนาธานจบลง เรา จะมาเริ่มกันที่โยอาบก่อน แล้วค่อยมาดูข้อพิพาทระหว่างโยอาบและอับเนอร์

โยอาบ

มีการกล่าวถึงโยอาบเป็นครั้งแรกใน 1 ซามูเอล 26:6 ซึ่งเป็นตอนที่เกี่ยวกับพี่ชายของโยอาบที่ชื่อ อาบีชัย เป็นอาบีชัยคนเดียวกับที่บุกเข้าไปในค่ายของซาอูลพร้อมกับดาวิด (ตอนที่อับเนอร์และทุก คนในค่ายนอนหลับสนิท) อาบีชัยอาสาไปเสี่ยงตายกับดาวิดในงานครั้งนี้ - ด้วยคนเพียงสองคนฝ่า เข้าไปในกองทหารฝีมือดีของซาอูลถึง 3,000 คน (26:2) อาบีชัยต้องการฆ่าซาอูลให้ตายด้วการแทง เพียงทีเดียว (26:8) ทุกอย่างบ่งว่าเขาฆ่าซาอูลแน่ถ้าดาวิดไม่ปรามไว้ และอาจรวมเอาอับเนอร์เข้าไป ด้วยถ้าทำได้ ! อาบีชัยผู้เป็นน้อง (ใน 1 พงศาวดาร 2:16 เรียงว่าเป็นพี่) และถูกกล่าวถึงในฐานะว่า เป็น "น้องชายของโยอาบ" (1 ซามูเอล 26:6) ประเด็นสำคัญก็คือไม่ว่าจะเป็นพี่หรือเป็นน้องก็ตาม โยอาบดูจะเป็นที่รู้จักมากกว่า 12

โยอาบยังไม่เป็นที่รู้จักมากนักจนกระทั่งเข้าสู่บทที่เรากำลังจะเรียนนี้ (2 ซามูเอล 2:13) ซึ่งไม่ได้พูด ถึงว่าดาวิดรู้จักโยอาบครั้งแรกเมื่อไร ดาวิดและโยอาบเกี่ยวดองกันอยู่ แม่ของโยอาบ นางเศรุยาห์ เป็นพี่สาวของดาวิด เช่นเดียวกับนางอาบีกายิลผู้เป็นแม่ของอามาสา (1 พงศาวดาร 2:12-17) อามาสาจะแจ้งเกิดในตอนท้ายๆของเรื่อง (2 ซามูเอล 19-20) เรารู้ว่าศพของอาสาเฮลถูกฝังไว้ที่ อุโมงค์เดียวกับของบิดาที่ในเบธเลเฮม (2 ซามูเอล 2:32) อาบีชัย โยอาบ และอาสาเฮลมาอยู่กับ ดาวิดตั้งแต่ที่หลบซ่อนตัวอยู่ในถ้ำอดุลลัม :

1 ดาวิดก็จากที่นั่นหนีไปอยู่ที่ถ้ำอดุลลัม เมื่อพี่ชายของท่านและพงศ์พันธุ์ บิดาของท่านทั้งสิ้นได้ยินเรื่องเขาก็ลงไปหาท่านที่นั่น 2 นอกนั้นทุกคนที่มี ความทุกข์ยาก และทุกคนที่มีหนี้สิน และทุกคนที่ไม่มีความพอใจก็พากันมา หาท่าน และท่านก็เป็นหัวหน้าของเขาทั้งหลาย มีคนมามั่วสุมอยู่กับท่าน
ประมาณสี่ร้อยคน
(1 ซามูเอล 22:1-2)

เป็นที่เข้าใจได้ทันทีถึงความรู้สึกที่ซาอูลมีต่อดาวิด (และใครก็ตามที่ให้การสนับสนุนดาวิดอยู่ – ดู 22:6-19) ใครๆก็รู้ว่าอาบีชัย โยอาบ และอาสาเฮลหนีไปจากเบธเลเฮมพร้อมด้วยครอบครัวทั้งสิ้น ของดาวิด เพราะรู้ดีว่า (หรืออย่างน้อยกลัวว่า) ซาอูลอาจพาลหาเรื่องเอาได้ นอกจากครอบครัวเหล่า นี้แล้ว ยังมีคนอื่นๆอีกที่ตามไปด้วยเพราะไม่ชอบหน้าซาอูล หลายคนในพวกนี้กลายเป็นส่วนหนึ่งใน ทีมนักรบของดาวิด อาบีชัย และโยอาบกลายเป็นกำลังสำคัญในฐานะผู้นำของทีมเพราะความกล้า และความสามารถเฉพาะตัว

ตอนเริ่มแรก ดาวิดเป็นผู้บัญชากองกำลังเล็กๆนี้ ซึ่งเป็นช่วงที่ท่านหนีมาจากซาอูลจนกระทั่งจาก ศิกลากไปอยู่ที่เฮโบรน (ดู 1 ซามูเอล 30:8, 10, 17-25) โยอาบเคยเป็นผู้บัญชาการให้ดาวิดก่อนที่ ท่านจะขึ้นเป็นกษัตริย์อิสราเอล แต่พอหลังจากที่ดาวิดขึ้นครองเป็นกษัตริย์ทั้งอิสราเอลและยูดาห์ แล้ว โยอาบจึงได้กลายเป็นแม่ทัพของอิสราเอล ที่โยอาบได้เลื่อนขึ้นขั้นสูงสุดนี้เป็นเพราะไปต่อสู้กับ ชาวเยบุส (เยรูซาเล็ม) และโจมตีมาได้ (1 พงศาวดาร 11:6)13

เราจะข้ามเหตุการณ์ใน 2 ซามูเอล 2 และ 3 ไปชั่วขณะ เพื่อจะมาดูเรื่องราวบางตอนในชีวิตของ โยอาบ โดยรวมแล้ว เราสามารถพูดได้ว่าโยอาบเป็นผู้นำทางทหารที่เก่งกล้าสามารถ เราจะเห็นได้ จากการสงครามที่ทำกับพวกอัมโมน ซีเรีย และอีกหลายๆประเทศตามที่บันทึกอยู่ใน 2 ซามูเอล 10 (โดยเฉพาะข้อ 9-14) นอกจากจะเป็นผู้นำทางทหารที่เยี่ยมยอดแล้ว โยอาบยังเป็นคนที่มีคุณสมบัติ เด่นมากมาย เมื่อตอนที่โยอาบไปยึดเมืองรับบาห์ ราชธานีของอัมโมนไว้ได้ แทนที่จะเอาความดี ความชอบใส่ตัว ท่านกลับไปเชิญดาวิดให้มารับเกียรตินี้แทน (2 ซามูเอล 12:26-31) เมื่อคราวที่ ดาวิดทำผิดด้วยการให้ท่านไปนับกำลังพลของอิสราเอล โยอาบคัดค้านอย่างเต็มที่ แต่ก็ไม่สำเร็จ (2 ซามูเอล 24:2-4)

โยอาบดูจะเป็นคนที่มีความคิดสุขุมรอบคอบ เห็นได้จากวิธีที่ท่านจัดการกับปัญหาระหว่างดาวิด และ อับซาโลม โยอาบเป็นคนกลางระหว่างดาวิดและอับซาโลมบุตรที่ถูกเนรเทศไป โยอาบตระหนักดีว่า ดาวิดอยากคืนดีกับลูก (13:39) จึงจัดให้นำหญิงฉลาดจากเทโคอามาทูลเรื่องร้องราวกับดาวิด (14:2) เมื่อดาวิดตัดสินคดีให้ หญิงคนนั้นจึงร้องขอให้ดาวิดทำอย่างเดียวกันกับอับซาโลมบุตรของ ตนเอง ดาวิดเข้าใจในทันทีและรู้ดีว่าโยอาบต้องเป็นผู้อยู่เบื้องหลังแน่นอน (14:19) แผนการของ โยอาบไม่ใช่ทำเพื่อตนเอง แต่ด้วยความตั้งใจให้ดาวิดและบุตรได้มาคืนดีกัน โยอาบต้องการให้ ดาวิดจัดการกับบุตรของตนเองเช่นเดียวกับที่จัดการกับคนอื่นๆ โยอาบรู้สึกพอใจและยินดีมากที่ดาวิด ยอมทำตาม (14:22) แต่หลังจากที่อับซาโลมกบฎต่อบิดาและพยายามแย่งชิงบัลลังก์ โยอาบกลับ จัดการกับอับซาโลมอย่างรุนแรง ดาวิดกลับเป็นฝ่ายที่ใจอ่อนและไม่เด็ดขาด ดาวิดสั่งทหารไม่ให้กระ ทำการใดๆรุนแรงกับอับซาโลม ซึ่งเป็นการตัดสินใจที่ไม่ฉลาดนัก เมื่อสบโอกาสโยอาบจึงเป็นผู้ฆ่า อับซาโลมด้วยตัวเองโดยมีลูกน้องให้การช่วยเหลือ (2 ซามุเอล 18:14-15) เมื่อดาวิดแสดงปฏิกิริยา ที่ไม่เหมาะสมต่อการตายของอับซาโลม โยอาบตำหนิท่านอย่างรุนแรง (19:5) และดาวิดก็ยอมทำ ตามคำแนะนำของโยอาบ (19:8)

นอกเหนือจากสิ่งดีที่โยอาบทำ เราอาจกล่าวได้ว่าท่านออกจะเป็นคนหัวรุนแรงและบางครั้งก็ทำในสิ่ง ที่โง่เขลาและสมควรถูกตำหนิ เมื่อดาวิดทำผิดศีลธรรมกับนางบัทเชบาและพยายามหาทางกำจัดสามี อุรียาห์ คนฮิตไทท์ของนาง โยอาบสมรู้ร่วมคิดอยู่ด้วย (ดู 2 ซามูเอล 11:6) ท่านไม่ได้คัดค้านความ ต้องการของดาวิด ยอมทำตามคำสั่ง 14 แต่เมื่ออับซาโลมเข้ามายึดอำนาจปกครองของดาวิดไปชั่ว คราว เขาตั้งอามาสา 15 ให้มาแทนที่โยอาบ ต่อมาเมื่ออับซาโลมถูกกำจัดออกไป และดาวิดกลับมา ปกครองต่อ ท่านกลับเลือกอามาสาให้เป็นแม่ทัพแทนที่โยอาบ (2 ซามูเอล 19:13) เละเมื่อเชบา คน เบนยามิน (เช่นเดียวกับ ซาอูล อิชโบเชท และอับเนอร์) ก่อกบฎต่อดาวิด อามาสาถูกสั่งให้ไประดม พลยูดาห์ และเมื่ออามาสากลับมาไม่ทันตามเวลา ดาวิดจึงสั่งให้อาบีชัย (พี่ชายของโยอาบ) ไปตาม ล่าเชบา (2 ซามูเอล 20:4-7) 16 อาบีชัยทำตามพร้อมด้วยโยอาบและลูกน้องไปช่วย เมื่อโยอาบเจอ กับอามาสาระหว่างทาง เขาก็ฆ่าอามาสาเสียเช่นเดียวกับที่ฆ่าอับเนอร์ (2 ซามูเอล 20:8-10) แล้วทั้ง โยอาบและอาบีชัยจึงไปติดตามเชบาต่อ (20:10) และเมื่อศีรษะของเชบาถูกโยนข้ามกำแพงมา โยอาบจึงเลิกการติดตาม ท่านกลับไป และได้รับตำแหน่งเดิม เป็นแม่ทัพของอิสราเอล (20:23)

เมื่อดาวิดเริ่มชราและไม่สามารถปกครองได้เหมือนเดิม ท่านยังไม่ยอมแต่งตั้งซาโลมอนให้ขึ้นมา แทนที่ อาโดนิยาห์ถือโอกาสในความชักช้าของดาวิด เล่นไม่ซื่อกับโซโลมอน ตั้งตัวเองขึ้นเป็น กษัตริย์แทน (1 พกษ. 1:5) อาโดนียาห์เป็นคนหน้าตาดี เกิดหลังจากที่อับซาโลมตายไปแล้ว (1:6) ดูท่าทางว่าดาวิดจะตามใจจน "เคยตัว" (1:6) โยอาบและอาบีอาธาร์ปุโรหิตเข้าร่วมเป็นพวกกับอาโด นียาห์ ในที่สุดนางบัทเชบาและนาธันผู้เผยพระวจนะชักจูงดาวิดเป็นผลสำเร็จให้แต่งตั้งโซโลมอนขึ้น มาสืบต่อราชบัลลังก์ เมื่อโซโลมอนขึ้นครองแล้ว ท่านปล่อยให้อาโดนียาห์มีชีวิตอยู่ (ชั่วขณะ) แต่ แล้วก็ถูกประหารเมื่อก่อการกบฎหมายจะแย่งชิงบัลลังก์อีกครั้งจากโซโลมอน (ด้วยการทูลขอนาง อาบีชาก สนมของดาวิดมาเป็นชายา) โยอาบเองก็ถูกประหารด้วย ไม่เพียงแต่ข้อหาสมรู้ร่วมคิดก่อ การกบฎต่อโซโลมอนเท่านั้น แต่เพราะเป็นผู้ฆ่าอับเนอร์และอามาสาด้วย (ดู 1 พกษ. 2:5-6, 28-35)

"สามหนุ่มสามมุม… และอับเนอร์"
(2-3)

บทเรียนตอนนี้เป็นการอรรถาธิบายเพิ่มเติมสำหรับพระธรรมสองบทแรก ผมยังมีคำเทศนาอีกตอนที่จะ รวบรวมเอารายละเอียดปลีกย่อยเหล่านี้เข้าด้วยกัน ความตั้งใจของผมก็คือจะมุ่งเป้าไปที่เหตุการณ์ การเผชิญหน้ากันระหว่างโยอาบและอับเนอร์ ผมพยายามจะจดจ่อกับเหตุการณ์ที่นำไปสู่สงคราม ระหว่างประชากรของเผ่ายูดาห์และประชากรของอิสราเอล และผลที่เกิดขึ้นจากความขัดแย้งกันใน ครั้งนี้

ดาวิดแสวงหาการทรงนำจากพระเจ้าในการที่พระองค์จะนำท่านไปที่เมืองเฮโบรน เมื่อดาวิด ภรรยา และผู้ติดตามทั้งหลายและครอบครัวไปถึงเฮโบรนแล้ว ประชาชนชาวยูดาห์เจิมตั้งท่านขึ้นเป็นกษัตริย์ กษัตริย์ของยูดาห์ (2:1-4ก) ดาวิดรู้สึกพอใจและขอบคุณชาวยาเบชกิเลอาดในเรื่องที่เขาจัดการกับ ศพของซาอูล (2:4ข-7) ทำให้ประชาชนชาวอิสราเอลเองก็อยากให้ดาวิดขึ้นปกครองเป็นกษัตริย์ของ อิสราเอลด้วย แต่จากคำพูดของอับเนอร์ใน 3:17-19 แสดงให้เห็นว่าคนอิสราเอลไม่เพียงแต่รู้ว่า ดาวิดได้รับการเจิมตั้งใ้ห้ขึ้นมาแทนซาอูลเท่านั้น พวกเขาต้องการให้เป็นจริงตามนั้นด้วย แต่ตัวปัญหา ก็คืออับเนอร์ ลูกพี่ลูกน้องของซาอูล อับเนอร์ต่อต้านไม่ยอมให้ดาวิดขึ้นครองแทนที่ซาอูล จึงสร้าง เหตุการณ์ต่างๆให้เกิดขึ้นเพื่อว่าอิชโบเชท บุตรที่รอดตายของซาอูลจะได้ขึ้นครองอยู่เหนืออิสราเอล เรื่องนี้ถึงกับทำให้การขึ้นครองราชย์เหนืออิสราเอลของดาวิดล่าช้าไปหลายปี (2:8-11)

แก๊งต่างๆที่ซ่องสุมกันมักเป็นตัวปัญหาปวดใจให้กับเมืองใหญ่หลายเมืองในทุกวันนี้ แก๊งพวกนี้สร้าง ความรู้สึกเป็นเอกลักษณ์และเป็นศูนย์รวมใจให้กับพวกสมาชิก เป็นสมาคมที่หลอกลวงและบิดเบือน ความจริง สร้างภาพลวงเพื่อแสวงหาผลประโยชน์บางประการ มีการออกไปตีรันฟันแทงเพื่อสร้าง ความเด่นและรักษาเกียรติภูมิของแก๊งเอาไว้ และเมื่อมันเกิดขึ้น ความคิดแรกของเราจะพุ่งเป้าไปว่า แก๊งพวกนี้ ต้องมีส่วนเกี่ยวข้องอยู่แน่นอน และเมื่อสมัครพรรคพวกคนใดคนหนึ่งของแก๊งบาดเจ็บ หรือถูกฆ่าตายโดยแก๊งอื่น จะมีการยกพวกไปตะลุมบอนกันให้เสียเลือดเสียเนื้อเพิ่มขึ้นไปอีก บางแก๊ง พยายามเพิ่มยอดการฆ่าคนของแก๊งอื่นเพื่อรักษา "สถานะ" ของแก๊งตัวเองเอาไว้ ("แก๊งเราเจ๋ง เรา จะไปฆ่าใคร ที่ใหน เมื่อไรก็ได้ทันทีที่ต้องการ!") สำหรับพวกเราแก๊งพวกนี้เป็นเรื่องไร้สาระสิ้นดี แต่สำหรับสมาชิกในแก๊งแล้ว ทุกอย่างสมเหตุผลดี ถึงแม้จะไม่ถูกต้องก็ตาม

เราชอบคิดว่าเรื่องแก๊งกวนเมืองพวกนี้เป็นผลผลิตชั้นเลวของยุคศตวรรษที่ยี่สิบ แต่เมื่อเราอ่านเรื่อง "การประลองฝีมือ" กันระหว่างพวกของอิชโบเชท 12 คน และข้าราชการของดาวิด 12 คน เรากลับไป คิดว่าเป็นเรื่องขัดแย้งกันของคนสมัยก่อน ไม่เห็นจะเกี่ยวกับเราตรงไหน ผมขอบอกว่ามีข้อแตกต่าง ระหว่างแก๊งในสมัยนี้กับ "การประลองฝีมือ" ในสมัย 2 ซามูเอล 2:12-17 อยู่เพียงนิดเดียว ข้อพิพาท ระหว่างเผ่าและข้อพิพาทระหว่างแก๊ง นับว่าเป็นเรื่องเดียวกันแน่นอน

ให้เราลองนำเอาเรื่องการประลองยุทธนี้มาปรับเป็นมุมมองสมัยใหม่กัน แก๊งทั้งสองคือ แก๊งของพวก เบนจี้ และแก๊งของพวกจูดส์ มีผู้นำฝ่ายหนึ่งคืออับเนอร์ (เผ่าเบนยามิน/คนอิสราเอล) และโยอาบ (เผ่ายูดาห์) มีข่าวกระเส็นกระสายไปทั่วว่าจะมีการปะทะกันระหว่างสองแก๊งคู่ปรับนี้ มีการนัดแนะ เวลาและสถานที่ไว้เรียบร้อย แก๊งเบนจี้นั่งอยู่ฝั่งหนึ่ง ส่วนแก๊งจูดส์นั่งฝั่งตรงข้ามหันหน้าเข้าหากัน อับเนอร์และโยอาบเริ่มเบ่งกล้ามยั่วให้ฝ่ายตรงข้ามคร้ามเกรง ในที่สุดทั้งสองฝ่ายตกลงให้มีการประ ลองกำลังเพื่อจะดูว่าฝ่ายใดแน่กว่ากัน มีการเลือกตัวแทน 12 คนจากทั้งสองฝ่าย ฝ่ายไหนชนะจะถือ ว่าเก่งที่สุด ปัญหาก็คือตัวแทนของทั้งสองฝ่ายมีความตั้งใจที่จะฆ่าคู่ต่อสู้ให้ตาย ดังนั้นเมื่อการประ ลองเริ่มขึ้น ต่างฝ่ายต่างดึงผมฝ่ายตรงข้ามไว้ แล้วเอามีดปักเข้าไปที่อก ทั้ง 24 คนตายหมด ซึ่งแน่ นอนทำให้เกิดการต่อสู้กันอย่างเอาเป็นเอาตายของทั้งสองฝ่ายตามมา มีคนตายลงอีกมากมาย

การประลองกำลังนี้ไม่ได้ก่อให้เกิดอะไรขึ้นมา นอกจากจะทำให้สถานการณ์ระหว่างชนเผ่ายูดาห์ และเผ่าอื่นๆในอิสราเอลซึ่งตึงเครียดอยู่แล้ว ทรุดหนักลงไปอีก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเผ่าเบนยามิน (เผ่าของอับเนอร์ ซาอูล และอิชโบเชท) โยอาบเป็นผู้ไม่รีรอที่จะรับคำท้า ในขณะที่อับเนอร์เป็นผู้ ริเริ่มก่อเหตุอันเลวร้ายในครั้งนี้ (เขามีจุดประสงค์ใดกันแน่?) ฝ่ายใดก็ตามเป็นผู้ชนะ มีแต่จะก่อให้ อีกฝ่ายหาทางแก้แค้นเอาคืน ผลการประลองกำลังครั้งนี้เป็นชัยชนะเพียงชั่วครู่ของฝ่ายข้าราชการ ของดาวิด และบทเริ่มต้นการสูญเสียของฝ่ายอิชโบเชท ฝ่ายหลังสามารถรวมตัวกันได้ จนกระทั่ง กลายเป็นสงครามระหว่างสองฝ่าย (ดู 2:25; 3:1, 6)

การประลองกำลังกันครั้งนี้สร้างผลกระทบต่อเนื่องเป็นส่วนตัวให้กับโยอาบ ในตอนแรก คนของ โยอาบดูเหมือนเป็นต่อพวกของอับเนอร์และอิชโบเชท อับเนอร์และพรรคพวกต้องถอยหนี และ อาสาเฮลก็ติดตามไปอย่างกระชั้นชิด อาสาเฮลเป็นน้องคนสุดท้องในจำนวนสามหนุ่มนี้ และตั้งใจ จะเอาชนะอับเนอร์ให้ได้ อาสาเฮลวิ่งตามอับเนอร์ไปติดๆ ซึ่งอับเนอร์ก็ทราบดี นี่เป็นโอกาสที่อาสา เฮลจะพิสูจน์ความเป็นชายของตนเองหรือเปล่า? เป็นนักรบผู้กล้าหาญเหมือนกับพี่ชายทั้งสองหรือ ไม่ ? อาจเป็นได้ แต่อับเนอร์รู้ดีว่าไม่เขาหรืออาสาเฮลต้องตายแน่ๆ เขาพยายามบอกให้อาสาเฮล กลับไปเสีย หรือไม่ก็ไปสู้กับทหารอิสราเอลคนอื่นแทน เขารู้ดีว่าหนทางเดียวที่จะหยุดอาสาเฮลได้ คือต้องฆ่าเสีย ซึ่งไม่ได้ยากเย็นอะไรนัก เขาไม่อยากจะทำเพราะกลัวว่าจะไม่อาจไปมองหน้าโยอาบ ผู้เป็นพี่ชายของอาสาเฮลได้อีก (ยังไม่นับอาบีชัย) เมื่ออาสาเฮลไม่ลดละการติดตาม อับเนอร์จึงใช้ โคนหอก ไม่ใช่ปลายหอก แทงอาสาเฮลจนตาย อับเนอร์คงต้องมีกำลังมหาศาลจึงทำเช่นนี้ได้ ดูเหมือนเขาหมดความอดทนกับอาสาเฮลต่อไป

โยอาบและอาบีชัยพี่ชายคงไม่ปล่อยให้น้องเล็กตายไปเปล่าๆ ต้องมีการตอบโต้อย่างสาสม — ฆ่า อับเนอร์คนที่ฆ่าอาสาเฮลเสีย ถ้าพวกเขาฆ่าอับเนอร์ในระหว่างสงคราม ไม่ถือว่าเป็นการฆาตรกรรม แต่เป็นการปกป้องประเทศชาติ (ดู 3:28-34; 1 พกษ. 2:30-33) ปัญหาคือขณะที่พวกยูดาห์ ข้าราช การของดาวิดมีชัยก่อน อับเนอร์และคนของเขามีโอกาสหนีไปหาที่ตั้งเพื่อป้องกันตนเองได้ที่บนยอด เขา (2 ซามูเอล 2:25) เมื่ออับเนอร์ร้องบอกให้พักรบ โยอาบตกลง เพราะคิดว่ายังไงๆวันนี้ก็คงตาม ไม่สำเร็จ (2:26-28)

สงครามระหว่างยูดาห์และอิสราเอลยังดำเนินต่อไป (3:1) ถ้าโยอาบและอาบีชัยมีโอกาสจัดการกับ อับเนอร์ได้อย่างถูกกฎหมาย พวกเขาไม่รีรอที่จะทำ สิ่งที่โยอาบไม่ตระหนักเลยคือ หนทางที่จะฆ่า อับเนอร์อย่างถูกกฎหมายนั้นใกล้จะหมดลง อับเนอร์สร้างความสำคัญให้กับตนเองโดยใช้ประโยชน์ จากการสงครามระหว่างอิสราเอลและยูดาห์ (3:6) ใครๆก็มองออกว่าท่านแม่ทัพของอิสราเอลกำลัง ทำอะไรอยู่ หลายครั้งในประวัติศาสตร์เราจะเห็นว่าสงครามจะยืดเยื้อหรือยุติได้ขึ้นอยู่กับว่าใครเป็นผู้ ได้ประโยชน์ มีสองสิ่งเกิดขึ้นในบทที่ 3 นี้ ที่ทำให้อับเนอร์นอกจากจะเปลี่ยนใจแล้วยังแปรพักตร์ด้วย

แรกๆ ขณะที่อิทธิพลของอับเนอร์ในอิสราเอลเพิ่มขึ้น พงศ์พันธุ์ของซาอูลกลับเสื่อมถอยลง และพงศ์ พันธ์ของดาวิดกลับจำเริญขึ้น อับเนอร์เป็นผู้ได้รับผลประโยชน์ส่วนใหญ่ในการนี้ แต่โอกาสทองนี้ กำลังจะหมดไป ประการที่สอง อับเนอร์เริ่มกล้าเกินเหตุ นำนางริสปาห์สนมคนหนึ่งของซาอูลมาเป็น ของตน ไม่ใช่เป็นเพราะความรักหรือหลงไหล หรือจริงใจจะแต่งงานด้วย แต่เป็นการแสดงออกให้รู้กัน ทั่วไปว่าอับเนอร์มีสิทธิจะขึ้นครองแทนซาอูล (ดู 2 ซามูเอล 16:20-23; 1 พกษ. 2:19-25) อับเนอร์ ทำการแต่งตั้งอิชโบเชทขึ้นเป็นกษัตริย์ด้วยตัวเอง แต่แล้วดูเหมือนตั้งใจจะเขี่ยให้พ้นไปจากทางและ ขึ้นแทนที่ อิชโบเชทเริ่มไม่พอใจการกระทำของอับเนอร์และขอคำอธิบาย อับเนอร์โกรธจัด อิชโบ เชท หัวโขนของอับเนอร์ กล้าดียังไงถึงมาถามเช่นนี้ อับเนอร์เตือนอิชโบเชทว่าเขาเองที่เป็นคนแต่ง ตั้งอิชโบเชทให้ขึ้นเป็นกษัตริย์ และปกป้องให้พ้นจากเงื้อมมือของดาวิด แล้วอิชโบเชทกล้าดียังไงถึง มาถามเรื่องการกระทำของเขา ? อิชโบเชทเงียบไป ไม่กล้าต่อปากต่อคำ เพราะรู้ดีว่าญาติผู้ใหญ่ คนนี้น่ากลัวเพียงใด ไม่ว่าจะมองในแง่ใดก็ตาม อับเนอร์กำลังควบคุมประเทศอิสราเอลอยู่

เรื่องจริงที่ดูเหมือนคลุมเครือไม่กล้าพูดกัน ตอนนี้ก็แจ่มแจ้งออกมาแล้ว : อับเนอร์ต่างหากที่ถือไพ่ เหนือกว่า หาใช่อิชโบเชทไม่ อับเนอร์เพียงแต่รอให้อิชโบทเชทยอมสละราชบัลลังก์เท่านั้น เขาจะได้ ไปเจรจาต่อรองกับดาวิด เพื่อที่จะได้เพิ่มผลประโยชน์มากขึ้น ตอนนี้อับเนอร์กำลังจะแปรพักตร์ เขา รู้ดีว่าถ้าพระเจ้ามีน้ำพระทัยให้ดาวิดปกครองอิสราเอล เป็นเรื่องที่หนีไม่พ้น แต่เขาต่างหากที่จะเป็นผู้ ทำหน้าที่เตรียมทางให้กับกษัตริย์ ; เขาทำได้แน่ ดังนั้นอับเนอร์จึงมีข้อเสนอไปยื่นให้ดาวิด เสนอให้ ดาวิดขึ้นเป็นกษัตริย์ของอิสราเอล แต่มีข้อแม้ ถ้าดาวิดยอมรับข้อเสนอ (3:13) อับเนอร์ก็จะได้ไป เจรจาต่อรองกับทั้งสองฝ่ายเพื่อทำพันธสัญญา ดูเหมือนว่า ดาวิดกำลังจะได้ขึ้นเป็นกษัตริย์ครอบ ครองทั้งอิสราเอลในที่สุด

พออ่านเรื่องข้อเสนอที่อับเนอร์มีให้ดาวิด ผมต้องแอบยิ้ม เพราะทำให้ผมนึกถึงเรื่องที่พึ่งเกิดขึ้นกับผม เมื่อสองสามเดือนก่อน ผมพยายามจะซ่อมที่เก็บเสียงให้กับรถของลูกสาว และตัดสินใจว่าวิธีที่ดีที่ สุดคือเชื่อมมันเข้ากับท่อไอเสีย ปัญหาก็คือผมไม่มีโลหะที่จะเชื่อมได้พอดี ผมรู้จักกับร้านแถวบ้าน ที่จะยอมขายโลหะในจำนวนน้อยให้กับผมได้ บังเอิญวันนั้นร้านปิด ตอนขากลับบ้าน ผมขับผ่านร้าน ขายเครื่องเก็บเสียงที่ยังเปิดอยู่ นอกจากรับซ่อมเครื่องเก็บเสียงแล้ว ร้านนี้ยังรับซ่อมช่วงล่างด้วย ผมไปยืนคอยในร้าน มีหลายคนรออยู่ก่อนหน้า แต่ไม่เห็นมีเจ้าหน้าที่ ผมจึงเดินเลยไปด้านหน้าร้าน เด็กหนุ่มคนหนึ่งบอกผมว่า "ตรงนี้เป็นที่รับซ่อมช่วงล่างครับ คุณต้องเดินอ้อมไปอีกฟาก เพื่อจะไป แผนกเครื่องเก็บเสียง" ผมก็เดินไป แต่ยังไม่เห็นใครอยู่ดี ในที่สุดก็มีผู้ชายคนหนึ่งเดินมาจากด้าน หลัง แต่งตัวเหมือนกับคนทำงานที่นั่น ผมเดินไปหาและบอกเขาว่าอยากจะได้โลหะสักหน่อยไป เชื่อมกับท่อไอเสียรถยนต์ที่บ้าน เขาก้มลงไปใต้ท้องรถ หยิบชิ้นโลหะชิ้นเล็กๆที่ตกอยูบน่พื้นส่งให้ "นี่หรือเปล่าที่คุณต้องการ?" เขาถาม "ใช่เลย" ผมตอบ "ราคาเท่าไหร่ครับ?" "ผมไม่รู้" เขาบอก "คุณ เอาไปเหอะ ; ผมไม่ได้ทำงานที่นี่หรอก"

ในที่สุดผมก็ต้องไปจบลงที่สำนักงานของร้าน ซึ่งผมต่อรองราคาได้เหลือแค่ 1 เหรียญ อย่างน้อยผม ก็เดินออกมาจากร้านได้โดยไม่รู้สึกผิด ประเด็นของเรื่องนี้ก็คือ ชายคนนี้เอาของที่ไม่ใช่ของตัวเองตั้ง แต่แรกมาให้ผม ในพระธรรมตอนนี้ อับเนอร์เอาอาณาจักรอิสราเอลมา "มอบ" ให้กับอิชโบเขท บุตร ผู้รอดตายของซาอูล อาณาจักรอิสราเอลไม่ได้เป็นของอับเนอร์ที่จะเที่ยวเอาไปมอบให้ใครต่อใครได้ ดาวิดต่างหากที่จะต้องเป็นกษัตริย์ ไม่ใช่อิชโบเชท ที่ร้ายไปกว่านั้น เมื่ออับเนอร์กับอิชโบเชทเริ่ม แตกคอ อับเนอร์นำอาณาจักรไปเสนอ "มอบ" ให้กับดาวิดแทน อีกครั้งแล้วที่เขาเอาของที่ไม่ใช่ของ ตัวเองไปเที่ยวมอบให้กับคนอื่น เขาทำให้ผมนึกถึงพวกมาร ที่เสนอจะ "มอบ" อาณาจักรให้กับพระ เจ้าของเรา (ดูมัทธิว 4:1-11; ลูกา 4:1-12)

ลองนึกดูว่าโยอาบจะโกรธและประหลาดใจขนาดไหนเมื่อกลับมาจากไปปล้นสดมภ์ 17 เพียงเพื่อจะ มารู้ว่าดาวิดได้ให้การต้อนรับอับเนอร์และคณะอย่างอบอุ่น และให้กลับไปโดยสวัสดิภาพ (3:22-23) ในขณะที่โยอาบออกไปรบพุ่งอยู่ ดาวิดอยู่บ้านทำสัญญาสงบศึก ผมว่าที่นำคำว่า "สวัสดิภาพ" มาใช้คงมีความหมายซ้อน เพื่อจะบ่งว่าสงครามสิ้นสุดลงแล้ว

เรื่องนี้ไม่ใช่ข่าวดีของทั้งโยอาบและพี่ชายอาบีชัย สำหรับพวกเขาสงครามยังไม่สิ้นสุดจนกว่าอับเนอร์ จะตายลง โยอาบกล่าวตำหนิที่ดาวิดปล่อยอับเนอร์ให้กลับไป เขาแน่ใจว่าจุดประสงค์ของอับเนอร์ไม่ น่าไว้ใจ (3:24-25) แต่ทว่าคำพูดของโยอาบไม่เข้าหูดาวิด เพราะไปค้านกับการตัดสินใจของท่าน โยอาบไม่มีทางเปลี่ยนใจดาวิดได้ ดังนั้นโยอาบจึงสั่งให้คนสนิทของท่านไปนำตัวอับเนอร์กลับมาที่ เฮโบรนอย่างลับๆ และเมื่อโยอาบได้ตัวอับเนอร์มา เขาจึงฆ่าทิ้งเสีย (3:27) เนื่องจากในขณะนั้น เป็นเวลาสงบศึก ไม่มีการสงคราม การฆ่าอับเนอร์จึงถือว่าเป็นการฆาตรกรรม ทันทีที่รู้เรื่อง ดาวิดรีบ ออกมาปฏิเสธว่าท่านไม่มีส่วนรู้เห็นใดๆทั้งสิ้น และท่านไม่เห็นด้วยกับการกระทำนี้ (3:28)

เราเรียนรู้อะไรจากอับเนอร์ และโยอาบ?

(1) เราเรียนรู้เรื่องเกี่ยวกับ"คน"จากบทเรียนตอนนี้ ผมเป็นคนประเภทที่เรียกว่า "เห็นขาวเป็น ขาว ดำเป็นดำ" ผมแน่ใจว่าติดนิสัยนี้มาตั้งแต่เด็กๆ เพราะชอบดูหนังคาวบอย (ตะวันตก) ในหนังคุณ จะดูออกได้ง่ายว่าใครเป็นพระเอก ใครเป็นผู้ร้าย — พระเอกมักจะสวมหมวกสีขาว ; ผู้ร้ายสวมหมวก สีดำ (อย่างน้อยก็ในสมัยผม เท่าที่จำได้ ) ผมจึงเป็นคนที่มองคนอื่นว่าสวมหมวกสีอะไร - ขาวหรือดำ ผมไม่ค่อยเห็นคนแบบนี้ในพระคัมภีร์มากนัก ดาวิดมักจะ "สวมหมวกขาว" เสียเป็นส่วนมาก แต่ก็มีหลาย ครั้งที่ท่าน "สวมหมวกดำ" ซึ่งวีรบุรุษในพระคัมภีร์หลายคนก็เป็นเช่นนั้น

แต่พอมาถึงโยอาบ ทฤษฎี "หมวกขาว หมวกดำ" ใช้ไม่ได้ครับ โยอาบเป็นคนโหด เขาฆ่าคนไปแล้ว สองคนอย่างเลือดเย็น และผมว่ามีเหตุผลสมควรที่จะพูดได้ว่าฆ่าไปอีกหลายในระหว่างสงคราม เรารู้ จากตัวอย่างเช่น อาบีชัยผู้เป็นพี่ฆ่าคนไป 300 คนด้วยมือข้างเดียวในสงคราม (2 ซามูเอล 23:18-19) และเขาเองเป็นผู้อยากฆ่าซาอูล (1 ซามูเอล 26:6-12) นอกจากฆาตรกรรมเลือดเย็นแล้ว ในพระ คัมภีร์พูดถึงคุณสมบัติที่ดีของโยอาบไว้หลายประการ บทสรุปก็คือว่า คนอย่างโยอาบไม่ได้สวมแต่ "หมวกขาว" หรือ "หมวกดำ"อย่างเดียว ; โยอาบสวมมันทั้งสองใบ แต่ทีละนิดทีละหน่อย

เมื่อมาทบทวนดู เรื่องนี้เกิดกับตัวเราเองด้วย แต่ความจริงคือ มีท่านผู้หนึ่งที่ "สวมแต่หมวกสีขาว" เป็นผู้ที่ปราศจากบาป — องค์พระเยซูคริสต์ พระองค์เป็นผู้เดียวที่ไม่มีบาป และเราต้องขอบพระคุณ พระเจ้าสำหรับเรื่องนี้ เพราะการตายของพระองค์บนไม้กางเขนที่เนินหัวกระโหลกนั้นให้ผลดีแก่เรา มหาศาล พระองค์ไม่ได้ตายเพราะบาปของพระองค์ แต่เพราะบาปของพวกเรา พระองค์ทรงแบกรับ การลงฑัณท์แทนเราที่บนกางเขน มอบความชอบธรรมของพระองค์ให้กับเรา แทนที่ความอธรรม สิ่ง ที่เราต้องทำเพื่อความรอดคือ ยอมรับในความผิดบาปของเรา และวางใจในสิ่งที่พระเยซูทรงกระทำ เพื่อเราบนไม้กางเขน

ถ้ามีเพียงบุคคลเดียวเท่านั้นที่เคยมีชีวิตอยู่บนโลกนี้ "สวมหมวกสีขาว" เราต้องยอมรับว่าพระเจ้ามัก ทำแผนการของพระองค์ให้สำเร็จลงโดยใช้คนที่ไม่สมบูรณ์แบบ พระเจ้าไม่มีข้อจำกัดในการใช้มนุษย์ เพื่องานของพระองค์ พระองค์สามารถใช้ความบาปและการทรยศของเรามาทำให้งานสำเร็จ อย่างที่ พระองค์ทรงกระทำกับพวกพี่ๆของโยเซฟ (ปฐมกาล 50:20) หรือแม้กระทั่งกับฟาโรห์เอง (โรม 9:17 -18) หรือใช้พวกที่ไม่เชื่อก็ได้ (โรม 9:19-24) เป็นความคิดที่น่าหนุนใจ ไม่มีสิ่งใดที่เราทำ จะ สามารถทำลายแผนการและพระประสงค์ของพระเจ้าได้ พระองค์สามารถใช้ความดื้อดึง การไม่เชื่อ ฟังของเรา มาทำให้พระประสงค์สำเร็จลงอย่างง่ายดายพอๆกับการเชื่อฟัง พระองค์ทรงใช้เราเพื่อพระ สิริของพระองค์ หรือแม้เพื่อประโยชน์ของตัวเราเอง ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง อำนายอธิปไตยของพระเจ้า หมายความว่า พระองค์สามารถและทรงกระทำแผนการ พระประสงค์และพระสัญญาของพระองค์ให้ สำเร็จลงได้ โดยใช้คนที่ไม่สมบูรณ์อย่างเราๆ ขอบพระคุณพระองค์

ขอให้เราระวังคำพูด ท่าทีและการกระทำของเราให้ดี อย่าไปคิดว่าว่าถ้าเราไม่อยู่ในมาตรฐาน หรือไม่ เติบโตเต็มที่ฝ่ายวิญญาณ พระเจ้าจะไม่หรือไม่สามารถใช้เราได้ พระองค์จะทรงใช้เรา ไม่ทางใดก็ ทางหนึ่ง อย่าใช้เป็นข้ออ้างเพื่อทำบาป หรือใช้ชีวิตแบบเรื่อยเปื่อย แต่ควรให้สิ่งนี้เป็นแรงบันดาลใจ ให้เราอยากปรนนิบัติรับใช้อย่างสุดกำลัง โดยรู้ดีว่าถึงแม้จะบกพร่องผิดพลาด แต่พระประสงค์และ พระสัญญาของพระเจ้านั้นไม่มีวันผิดพลาดแน่

ระวังอย่าไปหลงไหลได้ปลื้มกับบุคคล เหมือนกับว่าเขาไม่เคยทำบาป มีชีวิตน่ายกย่องนับถือ คน เหล่านี้อาจต้องการให้เรามองเขาเป็นแบบอย่าง เป็นคนเคร่งครัดศรัทธา มีจิตวิญญาณสูงส่ง และ ประสบความสำเร็จ ยิ่งผมอยู่มานานเท่าไร รู้จักผู้นำคริสเตียนมากมายเท่าไร ผมยิ่งตระหนักว่าพระ เจ้าทรงใช้ภาชนะที่แตกบิ่น เครื่องไม้เครื่องมือที่ไม่สมประกอบ มาทำให้พระประสงค์ของพระองค์ สำเร็จลง ผมต้องระวังไม่ไปยึดติดกับบุคคลมากนัก ให้ความไว้วางใจและมั่นใจมากเกินไป มนุษย์ ยังคงล้มเหลว พระเจ้าเท่านั้นที่ไม่ ขอให้เราจดจ่ออยู่ที่พระองค์ ไม่ใช่ที่มนุษย์ ถ้าทำเช่นนี้ มนุษย์ จะไม่ทำให้เราผิดหวังเมื่อเขาล้มลง เหมือนประหนึ่งว่าพระเจ้านั้นล้มลง มีพระเจ้าเท่านั้นที่อยู่เหนือ ความล้มเหลว

(2) เราเรีียนรู้เรื่องการฆาตรกรรมจากบทเรียนในตอนนี้ กฎหมายในพระคัมภีร์เดิมแยกแยะให้ เห็นชัดเจนระหว่างการฆ่ากันในสงคราม การฆ่าโดยไม่เจตนา หรือการฆาตรกรรม ในพระธรรมตอนนี้ อับเนอร์ไม่ถูกกล่าวหาว่าฆาตรกรรมอาสาเฮล หรืออาสาเฮลจะไม่ถูกกล่าวหา ถ้าฆ่าอับเนอร์ได้ โยอาบจะไม่ถูกกล่าวหาว่าเป็นฆาตรกรถ้าเขาฆ่าอับเนอร์ตายในสงคราม แต่ว่าการฆ่าอับเนอร์ในเวลา สันติ และต่อมาก็ฆ่าอามาสาอีก ชัดเจนว่าเป็นกรณีฆาตรกรรม การฆาตรกรรมมีการวางแผนล่วงหน้า และเห็นได้ชัดเจน เช่นที่ทั้งดาวิดและคนอิสราเอลเห็นเมื่อโยอาบฆ่าอับเนอร์

ถ้าการที่โยอาบฆ่าอับเนอร์เป็นการฆาตรกรรม ถึงแม้อับเนอร์เป็นผู้ฆ่าน้องชายก็ตาม แน่นอนการที่ ผู้เป็นแม่ฆ่าลูกในท้องที่ยังไม่ได้ถือกำเนิด (ยกเว้นในบางกรณี) ถ้าเด็กคนนั้นไม่ได้คุกคามชีวิตผู้ เป็นแม่ (ยกเว้นถ้าใช่ต้องดูเป็นกรณีๆไป) แต่มาขัดอิสรภาพ นับว่าเป็นความผิด ถ้าพระเจ้าถือเรื่อง การฆาตรกรรมอับเนอร์เป็นเรื่องร้ายแรง (ถึงแม้ฆ่าคนที่ร้ายและเห็นแก่ตัวก็ตาม) พระองค์จะจัดการ อย่างรุนแรงขนาดไหนกับคนที่ฆ่าเด็กที่ช่วยตัวเองไม่ได้ เด็กที่ต้องการการปกปักรักษาจากผู้เป็นแม่ แต่กลับถูกผู้เป็นแม่ฆ่าทิ้งเสีย ?

หลายปีมาแล้วในระหว่างปราศรัยก่อนการเลือกตั้งประธานาธิบดี มีคนถาม ยอร์ช บุช ว่าการทำแท้ง นับเป็นฆาตรกรรมหรือเปล่า ท่านตอบอย่างแบ่งรับแบ่งสู้ และไม่ได้ใจความ ผมคิดว่าคำตอบควรจะ เป็นดังนี้ : "การทำแท้งคือการพร่าชีวิตมนุษย์ การฆ่าคนไม่ถือว่าเป็นการฆาตรกรรมเสมอไป บางครั้ง เป็นอุบัติเหตุ บางครั้งเป็นการป้องกันตนเอง แต่ถ้าทำเพื่อสนองตัณหาตนเองด้วยชีวิตเด็กที่ไร้เดียง สา ถือว่าเป็นการฆาตรกรรม" ถ้าไม่ยอมรับว่าการฆ่าเด็กที่ยังไม่เกิดนับเป็นการฆาตรกรรม ก็ไม่ต้อง ปราศรัยต่อหรอกครับ เลิกได้เลย พระคัมภีร์พูดถึงสาเหตุในการฆ่าคน ว่าถูกจำกัดอยู่เพียงไม่กี่กรณี และประจานการฆ่าชีวิตผู้อื่นว่าเป็นฆาตรกรรม ให้เรามารับตามความจริงเถิดครับว่า : เด็กในครรภ์ที่ ยังไม่เป็นตัวนับว่ามีชีวิต ชีวิตของมนุษย์ การ "ทำลาย" ตัวอ่อนในครรภ์ก็เท่ากับทำลายชีวิตมนุษย์ และสมัยนี้ถือเรื่องการทำแท้งว่าเป็นเรื่องธรรมดา เป็นฆาตรกรรมนะครับ ดาวิดทำถูกที่ประนามเรื่อง การฆ่าอับเนอร์ เราควรจะถูกประนามขนาดไหนถ้าฆ่าเด็กบริสุทธิไร้เดียงสาในครรภ์ได้ลงคอ

(3) คนอิสราเอลยุคโบราณที่ได้อ่านพระธรรมซามูเอล และท่านผู้อ่านในสมัยนี้ ควรจะได้ บทเรียนเรื่องความแตกแยกจากพระธรรมตอนนี้ คุณว่าพระเจ้าต้องการให้ผู้อ่านพระธรรมเล่ม นี้รุ่นแรกๆ 18 เข้าใจในเรื่องใด ? มีคำสอนใดไปถึงพวกเขา ? เราไม่รู้แน่ว่าใครคือผู้ที่พระเจ้าดลใจให้ เขียนพระธรรมเล่มนี้ หรือรู้ว่าเขียนไว้ตั้งแต่เมื่อใด เป็นไปได้ว่าพระธรรม 1 และ 2 ซามูเอลเขียนขึ้น หลังจากที่อาณาจักร (อิสราเอล ภายใต้ปกครองของซาอูล ดาวิด และ โซโลมอน) สิ้นสุดลง และ ถูกแบ่งแยกไปโดยเรโหโบอัม และเยโรโบอัม (ดู 1 พกษ. 12)

คนอ่านรุ่นแรกๆคงถามตัวเองว่า "เป็นไปได้อย่างไรว่าอยู่ดีๆประเทศเดียว กลับกลายไปเป็นสอง ประเทศได้? " ถึงแม้ทุกคนจะรู้ดีเรื่องการแบ่งแยกอาณาจักรภายใต้ปกครองของเรโหโบอัม แ่ต่ปม ปัญหาของเรื่องนี้ย้อนหลังไปไกลกว่านั้น ที่จริงย้อนไปไกลถึงช่วงเวลาของดาวิด ไกลถึงเนื้อหาที่เรา กำลังศึกษาอยู่นี้ใน 2 ซามูเอลนี้ โดยไม่ตั้งใจ อับเนอร์เป็นผู้ปูทางของการแบ่งแยกนี้ โดยการตั้ง อิชโบเชทขึ้นเป็นกษัตริย์อิสราเอลแทนที่ซาอูล ทั้งอับเนอร์และโยอาบช่วยกันปูทางในการแตกแยก ในอนาคตด้วยการยกพวกมาประลองกำลังกัน และการประลองกำลังนี้กลับกลายเป็นสงครามอันยืด เยื้อต่อเนื่อง ความแตกแยกของทั้งสองฝ่ายขยายวงเพิ่มขึ้น เราอาจจะพูดได้ว่าเนื้อหาในตอนนี้ อธิบายถึง "รอยร้าว" ขั้นแรกของอาณาจักรอิสราเอล และรอยร้าวนี้ขยายมากขึ้นตามกาลเวลา จน กลายเป็นหุบเหวลึก ยากเกินกว่าที่จะเชื่อมต่อกันได้

การแบ่งแยกเกิดขึ้นได้อย่างง่ายดายและรวดเร็ว เพราะมีรอยร้าวมานานแล้ว ฐานของรอยร้าวเพียงแต่ รอคอยเวลา ดังนั้นการทำให้รอยร้าวกลายเป็นหุบเหวลึกจึงไม่ใช่เรื่องยาก แต่รอยร้าวนี้เกิดขึ้นได้ อย่างไรในตอนแรก? บทเรียนตอนนี้กำลังจะบอกเรา รอยร้าวเกิดขึ้นเพราะชายสองคนในตำแหน่ง ผู้นำกองทัพแต่ละฝ่าย อับเนอร์และโยอาบ ทั้งคู่ต่างก็มีสิ่งที่ตนเองมุ่งหวังอยู่ และสิ่งที่ทั้งคู่หวังเป็น สิ่งที่ไม่น่าชื่นชมนัก เป็นเหมือนผู้ชายสองคนพยายามจะพิสูจน์ให้เห็นถึงความเป็นชาย ทั้งคู่ต้องการ พิสูจน์ตัวเอง จึงเสนอให้มีการประลองกันในทันทีที่โอกาสอำนวย อันที่จริงมันไม่ได้พิสูจน์อะไรเลย เพียงแต่จุดชนวนสงคราม ทำให้มีการสูญเสียเลือดเนื้อ มีการฆาตรกรรม และทำให้การขึ้นครองเหนือ อิสราเอลของดาวิดต้องล่าช้าออกไป

ผมอยากจะพูดว่าการประลองกำลังนี้เป็นผลทำให้เกิดกรณีพิพาท ลามไปจนกลายเป็นการแบ่งแยก ดินแดน เป็นแบบเดียวกับการทะเลาะวิวาทแตกแยกกันในปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นระดับครอบครัว ระดับ โลก หรือระดับคริสตจักรก็ตาม ก่อนที่เราจะมาพิจารณาเรื่องนี้กัน ให้เรามาดูเรื่องราวของคริสตจักร ที่เมืองโครินธ์ในพระคัมภีร์ใหม่ก่อน เราเห็นเรื่องราวแบบเดียวกันกับพระธรรมตอนนี้เกิดขึ้นที่คริสต จักรในเมืองโครินธ์หรือเปล่า ? ชาวโครินธ์กำลังติดตามมนุษย์มากกว่าติดตามพระคริสต์ เช่นเดียว กับผู้คนในบทเรียนนี้กำลังติดตามอับเนอร์และโยอาบ ไม่ว่าคุณจะอยู่ฝ่ายใดก็ตาม คุณก็ต้องมีฝ่าย ตรงข้าม และมีกรณีพิพาทเข้ามาเกี่ยวข้อง และผู้นำของแต่ละฝ่ายก็ต้องการสร้างอาณาจักรของตน เองโดยใช้แรงงานผู้อื่น ผลก็คือผู้ที่พระเจ้าเลือกสรรให้เป็นผู้นำจะถูกผู้คนต่อต้านให้ตกไป ผมไม่ อยากจะพูดเรื่องเปรียบเทียบนี้ให้ลึกเกินไป แต่อยากจะบอกให้ทุกคนรู้ว่าความจริงว่า "ไม่มีสิ่งใด ใหม่ภายใต้ดวง อาทิตย์" (ดูปัญญาจารย์ 1:9)

ในสมัยเราก็เช่นกัน มีการแตกแยกในชีวิตสมรสเพราะภรรยาหรือสามีมัวแต่ห่วงศักดิ์ศรีของตนเอง มากกว่าจะถ่อมใจยอมให้กับคู่ครอง "การชิงดี ชิงเด่น" เอาชนะกันในชีวิตสมรส เป็นเพียงจุดเริ่มต้นที่ จะนำไปสู่สงครามอย่างเต็มรูปแบบ หญิงและชายมาที่คริสตจักร ด้วยความตั้งใจจะแสวงหา มาสร้าง อาณาจักรของตนเอง เพิ่มเติม(สร้างความประทับใจ) ให้กับผู้คนรอบตัว ทำให้เกิดมีการแบ่งพรรค แบ่งพวก มีการเลือกฝ่าย และเริ่มก่อสงครามแบบไม่ทันรู้เนื้อรู้ตัว

ส่วนมากการแตกแยกนี้เริ่มต้นทีละนิด เหมือนการแข่งขันกันในเชิงมิตรภาพ (มีการให้การสนับสนุน อย่างที่พวกเราทราบกันดี แม้กระทั่งในคริสตจักร) ผู้คนไม่ได้ตั้งใจจะให้เป็นเรื่องใหญ่ หรือทำให้ใคร เดือดร้อน เราบอกกับตัวเองว่า "เป็นเรื่องสนุกๆ ไม่มีพิษภัย" ดังนั้นวัยรุ่นสองคน ต่างฝ่ายต่างกำลัง คะนองเต็มที่ จอดติดไฟแดง มองกันไป มองกันมา เหยียบคันเร่งส่งเสียงดัง เพื่อให้อีกฝ่ายประทับใจ (โดยเฉพาะสาวๆที่นั่งมาด้วย) พอสัญญาณไฟเปลี่ยนเป็นสีเขียว ทั้งคู่ก็จะ "ลุยไปเลย" ไม่มีใครคิด ถึงอันตราย เพียงแต่อยากเล่นกันสนุกๆ แต่ไม่มีฝ่ายใดยอมอยู่ต่ำกว่าขีดจำกัดความเร็ว ไม่มีใครยอม แพ้ เพราะกลัวเสียหน้า ต่างฝ่ายต่างเร่งความเร็วขึ้นไปอีก จนถึงแยกไฟแดงหน้า ตอนนี้ไม่มีใครมา ห้ามได้ หรือไม่สามารถหยุดได้ทัน แล้วก็มีคุณแม่ลูกสามขับรถออกมาเมื่อเห็นสัญญาณไฟเขียว … ไม่มีใครอยากให้เรื่องนี้เกิดขึ้น ไม่มีใครคิดว่าจะเป็นโศกนาฏกรรม แต่เมื่อเราปล่อยให้ศักดิ์ศรีเข้ามา ครอบงำ มีการแข่งขัน ปัญหามันกำลังรออยู่ข้างหน้าครับ

เราสูญเสียมิตรภาพไปตั้งเท่าไรเพราะเรื่องศักดิ์ศรีและเอาชนะคะคานกัน ? ชีวิตสมรสกี่คู่ที่ต้องพัง ทลายลง ? คริสตจักรกี่แห่งที่ต้องแตกแยก ? เราอาจจะคิดว่าเป็นเรื่องสนุก มีเจตนาดี ไม่เห็นต้อง เป็นกังวล ความบาปส่วนใหญ่เริ่มจากสิ่งเล็กๆน้อยๆที่ดูไม่เป็นอันตราย ดูบริสุทธิใจ มีศักดิ์ศรีเล็กๆ น้อยๆ แข่งกันนิดๆหน่อยๆ อำกันเล่นๆ… . คำอุปมาในพระคัมภีร์พูดถึงเรื่องนี้ว่า :

"จงจับสุนัขจิ้งจอกมาให้เรา คือสุนัขจิ้งจอกตัวเล็ก ที่ทำลายสวนองุ่น เพราะสวนองุ่นของเรากำลังมีดอกแล้ว"
(เพลงซาโลมอน 2:15)

คนที่ล่อลวงเพื่อนบ้านของเขา และกล่าวว่า "ข้าล้อเล่นเท่านั้นเอง"
(สุภาษิต 26:19)

"น้ำผึ้งหยดเดียว" เป็นคำอุปมาที่เราชอบพูดกัน เรื่องใหญ่ไม่ได้ทำลายเรา แต่เรื่องเล็กๆน้อยๆ ที่ กลายเป็นเรื่องใหญ่ต่างหาก กินผลไม้ไปเพียงนิดเดียวไม่เห็นน่าจะเป็นเรื่องใหญ่ ; การจงใจขัดคำสั่ง พระเจ้าต่างหากที่เป็นเรื่อง "แข่งกันเล่นๆ" ไม่เห็นจะเสียหายตรงไหน? เรารู้ดีกว่านั้น ใช่ไม้ครับ ?

ผมสังเกตุว่าเราชอบพูดเล่นกันในบางเรื่องที่ไม่สมควร ผมรู้ว่าตลกบางเรื่องไม่ใช่เรื่องสกปรกเสมอไป บางทีตลกบางเรื่องก็มีคำพูดสองแง่สองง่ามที่ทำให้เรา — พอยอมรับได้ — ฟังได้ไม่คิดมาก ผมว่าคน ทำงานในสำนักงานชอบเล่าเรื่องตลกกัน พูดเรื่องต้องห้ามที่เรายอมรับได้ บางทีเราก็อำกันเพื่อจะดู ปฏิกิริยาโต้ตอบ ถ้าชักไม่ค่อยดี เราก็มักจะพูดว่า….."แหมแค่ล้อกันเล่นๆเท่านั้นเอง" แต่ถ้าดี เราก็จะ อำกันต่อจนกลายเป็นเรื่องใหญ่โต ขอให้เราระวังเรื่อง "เล็กๆน้อยๆ" ที่นำไปสู่ความบาปร้ายแรงนี้ให้ดี

ขอพูดเกี่ยวกับ "เรื่องเล็กๆน้อยๆ" อีกนิดนะครับ บ่อยครั้งที่เรื่องเล็กน้อยก่อให้เกิดการแตกแยกใน สัมพันธภาพกับพระเจ้าด้วย ความเป็นห่วงเป็นใยในผู้หลงหาย ต้องการเห็นผู้อื่นได้รับความรอดเริ่ม จืดจางลง ดูจะเป็นเรื่องเล็กน้อย ไม่สำคัญจนเราไม่รู้ตัวว่ามันกำลังเริ่มต้น การอธิษฐานเริ่มลดน้อยลง จนแทบจะไม่หลงเหลือ เวลาที่เรามีให้กับพระเจ้าหดสั้นลง แทบไม่ได้อ่านพระวจนะคำเลย เรื่องเล็ก น้อยเหล่านี้แหละคือรอยร้าว อาจไม่รู้ตัวเลยจนผ่านไปหลายเดือน หรือเป็นปี แต่เมื่อเผชิญปัญหา รอยร้าวจะขยายวงกว้างขึ้น กลายเป็นการแตกแยก ขอให้เราทั้งหลายระวังรอยร้าวให้ดี รอยร้าวที่เกิด ขึ้นเพราะความไม่ใส่ใจและปล่อยปะละเลยจนเกิดเรื่อง

ผมพูดเรื่องเหล่านี้ให้คริสเตียนฟัง คริสเตียนที่มีสัมพันธภาพกับพระเจ้าโดยความเชื่อในองค์พระเยซู คริสต์ รอยร้าวอาจเกิดขึ้นได้ ซึ่งทำให้สัมพันธภาพจืดจางลง ถึงจะไม่ทำให้การรอดพ้นจากบาปและ เป็นคนชอบธรรมในพระคริสต์จบลง แต่มันก็ทำให้สัมพันธภาพที่เคยติดสนิทในสามัคคีธรรมนั้นเหือด หายไป แต่หากว่าคุณไม่ใช่คริสเตียน คุณอาจยังไม่เคยยอมรับว่าเป็นคนบาป และต้องการได้รับการ อภัย คุณจะไม่มีทางแน่ใจได้เลยว่าคุณจะหลุดพ้นจากบาป และจะมีโอกาสมีชีวิตนิรันดร์กับพระเจ้า ถ้าเป็นเช่นนั้น ปัญหาของคุณไม่ใช่เรื่องรอยร้าวหรอกครับ แต่เป็นหุบเหวครับ — เป็นหุบเหวที่เกิดจาก ความบาปและตัดคุณออกจากพระเจ้า พระเยซูคริสต์ทรงเสด็จมาบนโลกนี้โดยปราศจากบาป เป็น พระบุตรของพระเจ้า — เป็นทั้งมนุษย์และเป็นพระเจ้า — ทรงสำแดงให้มนุษย์มองเห็นพระเจ้า และ ทรงสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนที่เนินหัวกระโหลก แบกรับบาปแทนเรา พระองค์ทรงขจัดหุบเหวที่กั้น กลางระหว่างพระเจ้าและมนุษย์ออกไปเสีย สิ่งเดียวที่คุณต้องทำคือยอมรับในความบาปของคุณ และ ต้องการได้รับการอภัย มาวางใจในการสละพระชนม์ของพระเยซูคริสต์ที่บนไม้กางเขนเพื่อเรา เป็น เพราะชีวิตของพระเยซู การสิ้นพระชนม์ และการคืนพระชนม์ ที่พระเจ้าจัดเตรียมไว้ให้คุณ เพียงแค่ คุณมาวางใจในพระเยซูเพื่อความรอด คุณก็จะได้รับ ถ้าคุณยังไม่เคยทำ ผมขออธิษฐานให้คุณทำ เสียแต่บัดนี้


11 ผมต้องขอบอกผู้อ่านก่อนว่า ผมกำลังอธิบายโดยใช้ความคิดเห็นส่วนตัว บางคนอาจไม่ยอมรับ เขาอาจคิดถูกก็เป็นได้

12 ใน 1 พงศาวดาร 2:16 เรียงตามลำดับให้อาบีชัยเป็นพี่คนโต ตามด้วยโยอาบและอาสาเฮลน้อง สุดท้อง ผมอยากจะขอเรียกว่า "สามหนุ่มสามมุม" จะดีกว่า (สำหรับคนที่เคยดูละคอนยอดฮิตเรื่องนี้ คงพอจำได้)

13 เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นหลังจากที่โยอาบฆ่าอับเนอร์ตาย ผมสงสัยว่าทำไมดาวิดไม่ตั้งท่านขึ้นเป็น แม่ทัพตั้งแต่ตอนนั้น กลับไปสัญญาว่าใครก็ตามที่ยกทัพไปต่อสู้กับชาวเยบุสก่อน จะได้เป็นแม่ทัพ และโยอาบก็เป็นคนแรกที่คว้าโอกาสนี้เอาไว้ได้ (1 พงศาวดาร 11:6)

14 การตายของอุรียาห์นั้นน่าสนใจ เพราะถ้าลองคิดดูจะเห็นถึงความหลอกลวงในแทบทุกเรื่อง โยอาบทำบาปโดยการฆ่าอับเนอร์ทั้งๆที่ไม่ได้อยู่ในสนามรบ อับเนอร์ไม่ได้ทำบาปเพราะเขาฆ่า อาสาเฮลในสนามรบ แต่พอดาวิดต้องการให้อุรียาห์ตาย กลับกลายเป็นเรื่องถูกกฎหมาย เพราะการ ตายของอุรียาห์ดูไม่ออก (ในตอนแรก) ว่าเป็นการฆาตกรรม แต่เป็นผลของสงคราม

15 เราเคยเกริ่นไปแล้วว่าอามาสาเกี่ยวดองเป็นญาติกับโยอาบและดาวิด มารดาของอามาสาและ มารดาของโยอาบเป็นพี่สาวของดาวิดทั้งคู่ – ดู 2 ซามูเอล 17:25; 19:13; 1 พงศาวดาร 2:16-17.

16 ไม่มีการตั้งข้อสงสัยใดๆ ในการที่อามาสาทำหน้าที่ได้อย่างเฉื่อยชา เพียงแต่คิดกันว่าเขาคงจะมา สาย

17 เป็นการปล้นสดมภ์พวกอิสราเอลหรือเปล่า ? น่าจะเป็นไปได้ แต่ไม่ได้มีการบอกไว้

18 จำได้ไม้ครับว่าต้นฉบับเดิม (ภาษาฮีบรู) ไม่มี 1 กัับ 2 ซามูเอล มีเพียงเล่มเดียว

Related Topics: Bibliology (The Written Word)

Report Inappropriate Ad