MENU

Where the world comes to study the Bible

16. มัทธิว บทเรียนที่ 16 “ใช่ หรือไม่ใช่ก็พอ” (มัทธิว 5:33-37)

Related Media

คำนำ1

มัทธิว 5:33-37 บทเรียนพระวจนะตอนนี้เกี่ยวข้องกับคำปฏิญาณและคำสาบาน ความตื่นเต้นอาจลดลงบ้างหลังจากผ่านข้อ 21-32 ที่เกี่ยวกับการฆ่าคน การล่วงประเวณี การควักตา และตัดมือทิ้ง แต่ประเด็นที่พระเยซูตรัสในตอนนี้ จะเจาะเข้าไปถึงแก่นของอุปนิสัยมนุษย์ – แก่นของการดำเนินชีวิตในฐานะบุตรของพระเจ้า

เราอยู่ในสังคมที่ไม่เปิดเผยความจริงต่อกัน เรามีระบบที่มีการตีความและขยายความออกไปได้อย่างไม่น่าเชื่อ เช่นเรื่องกฎหมาย หนังสือสัญญา และต้องมีการรับรองด้วยตราประทับลายเซ็น เพื่อให้แน่ใจว่าเราจะทำในสิ่งที่ระบุไว้ อย่างน้อยในสิ่งที่ถูกมองว่ามีความสำคัญพอ แต่ไม่มีสักอย่างที่สามารถทำให้คนเราซื่อสัตย์มากขึ้นได้ ที่จริง คนส่วนใหญ่ไม่เชื่อด้วยซ้ำว่าความจริงคือปัจจัยที่เป็นจริง!

จากงานค้นคว้าของบริษัทบาร์นา2 พบว่ามีเพียง 22% ของผู้ใหญ่ในอเมริกา เชื่อว่ายังมีความจริงแท้ในเรื่องศีลธรรม แต่ที่น่าสนใจ การค้นคว้าพบว่าบางส่วนเกี่ยวข้องกับคนที่ได้ชื่อว่าคริสเตียน “บังเกิดใหม่” พวกเขานิยามคำว่าคริสเตียนบังเกิดใหม่คือคนที่ยอมรับในการอุทิศตนให้พระเยซู และยึดถือเป็นสิ่งสำคัญในการดำเนินชีวิตทุกวัน และบ่งด้วยว่าพวกเขาเชื่อว่าเมื่อตายจะได้ไปสวรรค์ เพราะสารภาพบาปแล้ว และรับเอาพระเยซูเป็นพระผู้ช่วยให้รอด ในท่ามกลางกลุ่มคนเหล่านี้ มีผู้ใหญ่ 32% และวัยรุ่นเพียง 9% ที่บอกว่าพวกเขาเชื่อในความจริงแท้เรื่องศีลธรรมว่าเป็นความจริงที่ไม่ เปลี่ยนแปลง

เราสงสัยว่าทำไมผู้คนถึงคิดว่ามันยากมากเมื่อต้องพูดความจริงต่อกัน ครับ ที่เห็นชัดคือคนส่วนใหญ่ไม่สามารถบ่งได้ว่าอะไรคือความจริงแท้ตั้งแต่แรก!

ถ้อยคำที่เราจะนำมาเรียนกันเป็นคำที่ตรัสโดยผู้ประกาศตนว่า “เป็นทางนั้น เป็นความจริง และเป็นชีวิต” (ยอห์น 14:6) ผู้ที่ถ้อยคำคือความจริง (สดุดี 119:160) และทรงแสดงให้เราเห็นมาตรฐานความจริงที่สูงส่งกว่ามาตรฐานของมนุษย์

33 “อีกประการหนึ่งท่านทั้งหลายได้ยินคำ ซึ่งกล่าวไว้แก่คนโบราณว่า อย่าเสียคำสัตย์สาบาน คำสัตย์สาบานที่ได้ถวายต่อองค์พระผู้เป็นเจ้านั้น ต้องรักษาไว้ให้มั่น 34 ฝ่ายเราบอกท่านทั้งหลายว่า อย่าสาบานเลย โดยอ้างถึงสวรรค์ก็อย่าสาบาน เพราะสวรรค์เป็นที่ประทับของพระเจ้า 35 หรือโดยอ้างถึงแผ่นดินโลกก็อย่าสาบาน เพราะแผ่นดินโลกเป็นที่รองพระบาทของพระเจ้า หรือโดยอ้างถึงกรุงเยรูซาเล็มก็อย่าสาบาน เพราะกรุงเยรูซาเล็มเป็นราชธานีของพระมหากษัตริย์ 36 อย่าสาบานโดยอ้างถึงศีรษะของตน เพราะท่านจะกระทำให้ผมขาว หรือดำไปสักเส้นหนึ่งก็ไม่ได้ 37 จริงก็จงว่าจริง ไม่ก็ว่าไม่ พูดแต่เพียงนี้ก็พอ คำพูดเกินนี้ไป มาจากความชั่ว” (มัทธิว 5:33-37)3

ยากอบเหมือนจะสะท้อนคำพูดของพระเยซูออกมาในจดหมายฝากของท่าน และเน้นคำสั่งนี้ โดยใช้คำว่า “ที่สำคัญยิ่งกว่าสิ่งอื่นใด”

12 ดูก่อนพี่น้องของข้าพเจ้า ที่สำคัญยิ่งกว่าสิ่งอื่นใดก็ คือ จงอย่าสบถสาบาน อย่าอ้างฟ้าสวรรค์หรือแผ่นดินโลก หรือสิ่งอื่นๆ แต่ที่ควรว่าใช่ก็จงว่าใช่ ที่ควรว่าไม่ก็จงว่าไม่ เพื่อท่านจะไม่ถูกลงโทษ (ยากอบ 5:12)

ขณะที่คำสั่งก่อนหน้าในคำเทศนาบนภูเขาเกี่ยวข้องกับการฆ่าคน การล่วงประเวณี และการหย่าร้าง ธรรมบัญญัติโมเสสพูดเรื่องเหล่านี้ไว้ แต่ธรรมาจารย์และฟาริสีได้บิดเบือนคำสอนของธรรมบัญญัติจนพลาดไปจากจิตวิญญาณ ของธรรมบัญญัติ ตลอดคำเทศนา พระเยซูทรงพุ่งเป้าไปที่จิตวิญญาณของธรรมบัญญัติในแง่รักษาไว้ โดยมีเป้าหมายเพื่อสะท้อนพระลักษณะที่บริสุทธิ์ของพระเจ้า

บ่อยครั้งพระเยซูไม่ได้นำเราเข้าสู่คำสอนแบบง่ายๆโดยไม่ต้องคิดอะไร พระองค์ทรงใช้ถ้อยคำที่มีพลัง – ถ้อยคำที่แทงทะลุเข้าไปในเรา ในสิ่งที่เราทำ และในวิธีคิดของเรา พระองค์ทำให้เราต้องคิดในสิ่งที่เราไม่มีวันคิด ถ้าไม่เป็นเพราะอิทธิพลจากพระคำของพระองค์ อย่างที่ผู้เขียนหนังสือฮีบรูกล่าว พระวจนะของพระองค์นั้น –

…สามารถวินิจฉัยความคิดและความมุ่งหมายใน ใจด้วย ไม่มีสิ่งหนึ่งสิ่งใดซ่อนไว้พ้นพระเนตรพระองค์ แต่ตรงข้ามทุกสิ่งปรากฏแจ้งต่อพระองค์ผู้ซึ่งเราต้องสัมพันธ์ด้วย (ฮีบรู 4:12-13)

คริสเตียนบางคนนำมัทธิว 5:33-37 มาสอนว่าเราต้องไม่… ต้องไม่เด็ดขาดในทุกสถานการณ์ เอ่ยคำปฏิญาณหรือสาบาน พวกเขาเลยไม่ยอมสาบานในศาล ในพิธีสมรส หรือในกรณีอื่นๆ นี่คือสิ่งที่พระเยซูบ่งไว้หรือ? – สร้างข้อห้ามใหม่ที่ไม่มีอยู่ในธรรมบัญญัติโมเสส เพื่อเปิดทางหลบเลี่ยงให้คนคิดไม่ซื่อหรือ?

ผมเองก็อยากให้มันง่ายๆแบบนั้น แต่คิดว่าไม่ใช่

การกล่าวคำสาบานและปฏิญาณมีบันทึกอยู่หลายครั้งในพระคัมภีร์ และในธรรมบัญญัติก็พูดไว้หลายครั้งด้วยที่โดดเด่นนอกเหนือจากพระวจนะในตอน นี้และในยากอบ 5:12 ที่เหลือในพระคัมภีร์ไม่มีห้ามเรื่องสาบาน ที่จริงธรรมบัญญัติเจาะจงคำสั่งต่อประชากรของพระเจ้าให้กล่าวคำสาบานในพระนามของพระองค์

เฉลยธรรมบัญญัติ 6:13-14 :

“13 พวกท่านจงยำเกรงพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่าน ท่านจงปรนนิบัติพระองค์ และสาบานโดยออกพระนามของพระองค์ 14 ท่านทั้งหลายอย่าติดตามพระอื่น ซึ่งเป็นพระของชนชาติทั้งหลายที่อยู่ล้อมรอบท่าน”

เฉลยธรรมบัญญัติ 10:20

“20 ท่านทั้งหลายจงยำเกรงพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่าน จงปรนนิบัติพระองค์และติดพันอยู่กับพระองค์ จงปฏิญาณด้วยออกพระนามของพระองค์”

สังเกตคำกิริยาที่ใช้ในสองข้อนี้ – ท่านจงยำเกรงพระเจ้าของท่าน ท่านจงปรนนิบัติพระองค์ ท่านจงติดพันอยู่กับพระองค์ และจงสาบานโดยออกพระนามของพระองค์

คำสั่งเหล่านี้เห็นได้จากข้อหนึ่งและข้อสองของพระบัญญัติสิบประการ

1 พระเจ้าตรัสพระวจนะทั้งสิ้นต่อไปนี้ว่า 2 “เราคือพระเจ้าของเจ้า ผู้ได้นำเจ้าออกจากแผ่นดินอียิปต์คือจากแดนทาส 3 “อย่ามีพระเจ้าอื่นใดนอกเหนือจากเรา 4 “อย่าทำรูปเคารพสำหรับตน เป็นรูปสิ่งใดซึ่งมีอยู่ในฟ้าเบื้องบน หรือบนแผ่นดินเบื้องล่าง หรือในน้ำใต้แผ่นดิน 5 อย่ากราบไหว้หรือปรนนิบัติรูปเหล่านั้น เพราะเราคือพระเจ้าของเจ้า เป็นพระเจ้าที่หวงแหน ให้โทษบิดาตกทอดไปถึงลูกหลานของผู้ที่ชัง เราจนถึงสามชั่วสี่ชั่วอายุคน” (อพยพ 20:1-5)

ประชากรของพระเจ้าต้องนมัสการและปรนนิบัติพระองค์ผู้เดียว และต้องสาบานโดยออกพระนามของพระองค์ผู้เดียว เพราะพระองค์ผู้เดียวคือพระเจ้าองค์เที่ยงแท้

ประชากรของพระเจ้าต้องไม่สร้าง ไม่ก้มกราบรูปเคารพในทุกรูปแบบเด็ดขาด เพราะพระเจ้าองค์เดียวทรงครอบครองอยู่เหนือทุกสรรพสิ่ง จะนมัสการหรือปรนนิบัติผู้ใดหรือสิ่งอื่นใดนอกเหนือจากพระยาห์เวห์พระเจ้า องค์เที่ยงแท้ ก็เท่ากับให้ผู้ใดหรือสิ่งอื่นใดมาแทนที่พระเจ้า และสาบานโดยออกชื่อผู้ใดหรือสิ่งที่สร้างขึ้นมาก็คือรูปเคารพ เลวีนิติ 19:12 กล่าวว่า “12 อย่าสาบานออกนามของเราเป็นความเท็จ กระทำให้พระนามพระเจ้าของเจ้าเป็นที่เหยียดหยาม เราคือพระเจ้า”

คำสั่งที่ห้ามไม่ให้สาบานในนามพระเจ้าเป็นความเท็จ ผูกติดอยู่กับพระบัญญัติประการที่สามของพระบัญญัติสิบประการ

7 “อย่าออกพระนามพระเจ้าของเจ้าอย่างไม่สมควร เพราะผู้ที่ออกพระนามพระองค์อย่างไม่สมควรนั้น พระเจ้าจะทรงถือว่าไม่มีโทษก็หามิได้” (อพยพ 20:7)

ออกพระนามอย่างไม่สมควรแปลว่าเอ่ยพระนามอย่างไร้ความหมาย ไม่มีสาระ พูดเล่น หรือล้อเลียน – นำมาใช้อย่างขาดความเคารพยำเกรงในพระลักษณะบริสุทธิ์ของพระเจ้า การเอ่ยพระนามในคำปฏิญาณหรือในคำสาบาน ถ้าสิ่งที่คุณสาบานเป็นความเท็จ หรือไม่ตั้งใจจะทำตาม ก็เท่ากับเป็นการละเมิดโดยตรงต่อพระบัญญัติประการที่สาม และเอ่ยพระนามพระเจ้าในเรื่องเล่นๆที่ไม่เป็นสาระก็เป็นการละเมิดพระบัญญัติ ประการที่สามด้วย เพราะการออกพระนามอย่างไม่สมควร รวมถึงพูดเล่นไร้สาระ – มีค่าเท่ากับเรื่องเล็กน้อยไม่สำคัญ

ดังนั้น ในพระคัมภีร์เดิม คำสาบานจึงต้องเอ่ยในนามพระเจ้าเท่านั้น และต้องใช้ในเหตุที่สำคัญด้วย ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ ไร้สาระ และต้องเป็นความจริง

คำสาบานอาจใช้เพื่อแก้ปัญหาความขัดแย้ง เพื่อทำข้อตกลง ทำพันธสัญญา หรือรับรองความจริงในเรื่องสำคัญที่ประกาศออกไป

ฮีบรู 6:16 พูดถึงจุดประสงค์แรกของคำสาบาน “ส่วนมนุษย์นั้นต้องสาบานต่อหน้าผู้ที่เป็นใหญ่กว่าตน แล้วเมื่อเกิดข้อทุ่มเถียงอะไรกันขึ้น ก็ต้องถือคำสาบานนั้นเป็นคำยืนยันขั้นเด็ดขาด”

คำปฏิญาณระหว่างอับราฮัมและอาบีเมเลคที่เบเออร์เชบาในปฐมกาล 21 เป็นไปเพื่อยุติความขัดแย้ง และตั้งพันธสัญญาใหม่ขึ้น เพื่อแก้ปัญหาความขัดแย้งเรื่องขุดบ่อน้ำ และเพื่อยืนยันพันธสัญญานั้นตลอดไป (ดูปฐมกาล 21:22-34) อาบีเมเลคจึงพูดกับอับราฮัมว่า

“…พระเจ้าทรงสถิตกับท่านในทุกสิ่งที่ท่านกระทำ 23 เพราะฉะนั้น บัดนี้จงปฏิญาณในพระนามพระเจ้า ให้แก่เราที่นี่ว่า เจ้าจะไม่หักหลังเรา ลูกหลานของเรา หรือชาติพันธุ์ในอนาคตของเรา แต่ดังที่เราภักดีต่อเจ้า เจ้าจงภักดีต่อเราและต่อแผ่นดินซึ่งเจ้าอาศัยอยู่นี้” 24 อับราฮัมก็ทูลว่า “ข้าพระบาทยอมปฏิญาณ” (ปฐมกาล 21:22ข-24)

ยังมีตัวอย่างอีกมากเรื่องคำสาบานในพระคัมภีร์เดิม

คำสาบานหรือการบนบานคืออีกรูปแบบของคำปฏิญาณที่ผู้สาบานตั้งใจว่าจะมอบ บางสิ่งคืนให้พระเจ้าเพราะได้รับความโปรดปราน หรือได้รับพระพรในบางเรื่อง ในธรรมบัญญัติโมเสส มีความเชื่อมโยงหนักแน่นระหว่างคำสาบานและเครื่องบูชาแก้บน เครื่องบูชาแก้บนเป็นการถวายศานติบูชาในแบบพิเศษ (เลวีนิติ 7:16) เป็นเครื่องถวายบูชาตามที่สาบานไว้

ใน 1ซามูเอล 1 นางฮันนาห์มารดาของซามูเอล บนบานว่าถ้าพระเจ้าจะประทานบุตรชายให้เธอ เพราะรู้ว่าเธอเป็นหมัน เธอจะถวายบุตรคืนให้เป็นนาศีร์ พระเจ้าประทานบุตรให้เธอ เธอจึงมาแก้บน นำซามูเอลไปที่วิหาร มอบให้กับเอลีมหาปุโรหิต

มีตัวอย่างเรื่องคำสาบานอีกหลายแห่งในพระคัมภีร์เดิม บางเรื่องไร้สาระ บางเรื่องโง่เขลา เช่นเรื่องคำสาบานที่หุนหันของเยฟธาห์ และบางคำสาบานก็น่ายกย่อง

ในมัทธิว 5:33 พระเยซูตรัสว่า

“อีกประการหนึ่งท่านทั้งหลายได้ยินคำ ซึ่งกล่าวไว้แก่คนโบราณว่า อย่าเสียคำสัตย์สาบาน คำสัตย์สาบานที่ได้ถวายต่อองค์พระผู้เป็นเจ้านั้น ต้องรักษาไว้ให้มั่น”

ประโยคนี้ไม่ได้เป็นการบิดเบือนธรรมบัญญัติ แต่เป็นการแตกหน่อมาจากธรรมบัญญัติเช่นเดียวกับสองข้อบน “ท่านทั้งหลายได้ยินคำซึ่งกล่าวไว้” ในคำเทศนาของพระเยซูว่า “อย่าฆ่าคน” และ “อย่าล่วงประเวณีผัวเมียเขา”

เฉลยธรรมบัญญัติ 23:21-23

21 “เมื่อท่านบนต่อพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่าน ท่านอย่าละเลยไม่แก้บน เพราะว่าพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านจะทรงเรียกเอาจากท่านเป็นแน่ และท่านจะมีบาป

22 ถ้าท่านงดไม่บน ท่านก็จะไม่มีบาป

23 ท่านจงระวังที่จะกระทำตามถ้อยคำที่ผ่านออกมา จากริมฝีปากของท่าน ตามที่ท่านได้สมัครใจบนต่อพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่าน ซึ่งท่านสัญญาด้วยปากของท่านแล้ว

ปัญญาจารย์ 5:4-5

4 เมื่อเจ้าปฏิญาณบนไว้ต่อพระเจ้า อย่าชักช้าที่จะแก้บนนั้นให้สำเร็จ เพราะพระองค์หาชอบพระทัยในคนเขลาไม่ จงแก้บนตามที่เจ้าบนไว้เถิด

5 ที่เจ้าจะไม่บนก็ยังดีกว่าที่เจ้าบนแล้วไม่แก้

พระเจ้าไม่ได้ถือว่านี่เป็นเรื่องเล็กน้อย

ผมไม่พบสิ่งใดในมัทธิว 5:33 ที่ไม่สอดคล้องกับคำสั่งที่ระบุชัดเจนในธรรมบัญญัติ ความผิดพลาดของพวกฟาริสีที่พระเยซูตรัสถึงในตอนนี้ไม่ใช่เป็นการให้ข้อมูล ที่ผิดพลาด แต่เป็นการจัดการอย่างไม่ถูกต้อง พวกเขาพลาดประเด็นของธรรมบัญญัติ ซึ่งเราจะกลับมาเรียนกันทีหลัง

“34 ฝ่ายเราบอกท่านทั้งหลายว่า อย่าสาบานเลย โดยอ้างถึงสวรรค์ก็อย่าสาบาน เพราะสวรรค์เป็นที่ประทับของพระเจ้า 35 หรือโดยอ้างถึงแผ่นดินโลกก็อย่าสาบาน เพราะแผ่นดินโลกเป็นที่รองพระบาทของพระเจ้า หรือโดยอ้างถึงกรุงเยรูซาเล็มก็อย่าสาบาน เพราะกรุงเยรูซาเล็มเป็นราชธานีของพระมหากษัตริย์ 36 อย่าสาบานโดยอ้างถึงศีรษะของตน เพราะท่านจะกระทำให้ผมขาว หรือดำไปสักเส้นหนึ่งก็ไม่ได้” (มัทธิว 5:34-36)

อะไรคือสาระสำคัญในการสาบาน “โดย” ออกชื่อบุคคลหรือสิ่งอื่น?

ในพระคัมภีร์เดิม เมื่อคุณสาบานโดยอ้างใครก็ตาม คุณกำลังร้องขอให้คนๆนั้นเป็น : (1) พยานยืนยัน สนับสนุน หรือรับรองคำพูดของคุณ และ (2) พิพากษาคุณ ถ้าพิสูจน์แล้วว่าคำพูดของคุณไม่เป็นจริง คุณกำลังร้องขอผู้ที่ถูกอ้างชื่อเป็นพยาน คนที่ไว้วางใจได้ ให้รับรองว่าสิ่งที่คุณพูดนั้นเป็นความจริง ขณะเดียวกัน คุณกำลังยอมรับให้คนๆนั้นพิพากษาคุณถ้าคุณพูดไม่จริง นี่คือเหตุที่ฮีบรู 6:16 กล่าวไว้ “ส่วนมนุษย์นั้นต้องสาบานต่อหน้าผู้ที่เป็นใหญ่กว่าตน” ตัวอย่างเช่น คนที่น่านับถือ และไว้วางใจได้

ที่จริง อย่างที่เราเห็น ธรรมบัญญัติกล่าวว่าประชากรของพระเจ้าต้องสาบานโดยพระนามของพระเจ้าเท่านั้น – ไม่ใช่โดยพระอื่น หรือสิ่งอื่นที่มือมนุษย์สร้าง

ปฐมกาล 31:43-55 บันทึกพันธสัญญาระหว่างยาโคบและลาบัน หลังจากรับใช้ลาบันมากว่า 14 ปี ยาโคบก็ออกจากอารัมพร้อมด้วยภรรยาและบรรดาผู้หญิงของท่าน ลูกๆและฝูงสัตว์ ลาบันไล่ตามยาโคบ และมาทันกันที่สถานที่ๆจะเรียกว่ามิสปาห์ (หอคอย) หลังจากโต้เถียง ยาโคบและลาบันตกลงทำพันธสัญญาระหว่างกัน เพื่อจะให้เกียรติกันและกัน รวมถึงข้อตกลงในทรัพย์สมบัติของแต่ละฝ่ายด้วย พวกเขานำก้อนหินมาตั้งขึ้น กล่าวว่านี่จะเป็น “พยาน” ระหว่างทั้งสอง แต่ในข้อ 50 และ 53 ทั้งคู่ประกาศชัดเจนว่าพระเจ้าผู้ทรงเป็นพยานและเป็นผู้พิพากษา กองหินนั้นใช้เป็นสัญลักษณ์เพื่อรำลึกถึงพันธสัญญาที่ทั้งสองทำ แต่พระเจ้าทรงเป็นผู้ที่ถูกเอ่ยนาม และเป็นผู้ที่พวกเขาไว้วางใจว่าจะให้เกียรติแก่ถ้อยคำของพวกเขา

ชาวยิวในสมัยของพระเยซูบิดเบือนเรื่องนี้ไว้อย่างน่าสนใจ พวกเขามีปัญหาเรื่องพูดความจริงมาตลอด เช่นเดียวกับพวกเรา ดังนั้นเพื่อป้องกันตนเองจากความรู้สึกผิด กลัวถูกจับได้ว่าสาบานเท็จโดยพระนามของพระเจ้า พวกเขาจึงสร้างอุปนิสัยให้สาบานโดยสิ่งใดก็ได้ “ยกเว้น” พระเจ้า ต้องการเพิ่มความหนักแน่นเข้าไปในคำพูดเพื่อให้น่าเชื่อถือ แต่ไม่ต้องการแตะเข้าไปที่การพิพากษาของพระเจ้า สาบานบางสิ่งโดยพระนามของพระองค์ ถ้าพวกเขาไม่ได้ตั้งใจจะทำตาม หรือเมื่อคำสาบานนั้นไม่เป็นจริงทั้งหมด จะได้มีช่องลอดออกไปได้ พวกเขาจึงจัดลำดับความสำคัญของคำสาบาน – สาบานโดยสิ่งต่างๆที่พระเจ้าสร้างมากกว่าโดยพระเจ้าเอง เจมส์ มอนต์โกเมอร์รี่ บอยส์ พูดถึงวิธีแบบนี้ว่าเป็นการ “สาบานแบบหลบเลี่ยง”4

คำตรัสของพระเยซูในมัทธิว 5:34-36 บ่งว่า แทนที่พวกเขาจะสาบานโดยพระนามพระเจ้า กลับสาบานโดยอ้าง “สวรรค์” หรืออ้าง “แผ่นดินโลก” หรือกรุงเยรูซาเล็ม แม้แต่อ้างศีรษะตนเอง เห็นชัดว่ามันโง่สิ้นดี คำสาบานกลายเป็นประกวดกันว่าใครสามารถเอาสิ่งน่าประทับใจที่สุดมาอ้างในคำ สาบานเพื่อให้ดูขลัง

คำตรัสของพระเยซูในมัทธิว 23 แสดงให้เห็นว่ามันกลายเป็นเรื่องบ้าบอ:

16 “วิบัติแก่เจ้า คนนำทางตาบอด เจ้าสอนว่า ‘ผู้ใดจะสาบานอ้างพระวิหาร คำสาบานนั้นไม่ผูกมัด แต่ผู้ใดจะสาบานอ้างทองคำของพระวิหาร ผู้นั้นจะต้องกระทำตามคำสาบาน’

17 โอ คนโฉดเขลาตาบอด สิ่งไหนจะสำคัญกว่า ทองคำหรือพระวิหารซึ่งกระทำให้ทองคำนั้นศักดิ์สิทธิ์

18 และว่า ‘ผู้ใดจะสาบานอ้างแท่นบูชา คำสาบานนั้นไม่ผูกมัด แต่ผู้ใดจะสาบานอ้างเครื่องตั้งถวายบนแท่นบูชานั้น ผู้นั้นต้องกระทำตามคำสาบาน’

19 ช่างตาบอดกันเสียจริงหนอ สิ่งใดจะสำคัญกว่า เครื่องตั้งถวาย หรือแท่นบูชาที่กระทำให้เครื่องตั้งถวายนั้นศักดิ์สิทธิ์

20 เหตุฉะนี้ผู้ใดจะสาบานอ้างแท่นบูชา ก็สาบานอ้างแท่นบูชา และสิ่งสารพัดซึ่งอยู่บนแท่นบูชานั้นด้วย

21 ผู้ใดจะสาบานอ้างพระวิหาร ก็สาบานอ้างพระวิหาร และอ้างพระองค์ผู้ทรงสถิตในพระวิหารนั้นด้วย

22 ผู้ใดจะสาบานอ้างสวรรค์ ก็สาบานอ้างพระที่นั่งของพระเจ้า และอ้างพระองค์ผู้ประทับบนพระที่นั่งนั้นด้วย

เห็นหรือไม่ พวกธรรมาจารย์และฟาริสีใช้วิธีไหน และวิธีที่พระเยซูเอาตรรกะที่โง่เขลาใส่กลับลงไปบนหัวพวกเขา? พวกเขาอ้างถึงทุกสิ่งโลดโผนเท่าที่คิดออก เพื่อหุ้มตัวเองไว้ไม่ต้องรับผิดชอบต่อพระเจ้า พระเยซูบอกว่าพวกเขาไม่อาจหลบเลี่ยงความรับผิดชอบต่อพระเจ้าโดยอ้างถึงสิ่ง ต่างๆ เพราะพระเจ้าทรงครอบครองอยู่เหนือทุกสรรพสิ่ง !

คุณคิดว่าสาบานโดยอ้างพระวิหาร จะได้ไม่ต้องรับผิดชอบต่อพระเจ้า เพื่อบอกว่าที่คุณพูดเป็นความจริงหรือ? พระเกียรติสิริขององค์พระผู้เป็นเจ้าที่อยู่ในพระวิหาร – ที่ประทับของพระเจ้า – คุณคิดว่าสาบานเท็จโดยอ้างสวรรค์ คุณมีเกราะป้องกันให้พ้นจากสายพระเนตรหรือ? สวรรค์นั้นเป็นพระที่นั่งของพระเจ้า

อ่านสดุดี 139 ถ้าคุณคิดว่าจะหลบพ้นจากสายพระเนตรพระเจ้า

เมื่ออับราฮัมส่งคนรับใช้ไปหาเจ้าสาวให้อิสอัค ท่านทำในสิ่งที่ถูกต้อง บอกกับคนรับใช้ในปฐมกาล 24:3

3 แล้วเราจะให้เจ้าสาบาน ในพระนามพระเยโฮวาห์พระเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์ และพระเจ้าแห่งพิภพโลก ว่าเจ้าจะไม่หาภรรยาให้บุตรชาย ของเราจากบุตรหญิงของคนคานาอัน ที่เราอาศัยอยู่ท่ามกลางเขานี้

คุณต้องไม่สาบานโดยอ้างฟ้าสวรรค์หรือแผ่นดินโลก! คุณสาบานโดยพระเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก

ที่น่าสนใจคือ ผู้ที่มีสิทธิเรียกสรรพสิ่งทรงสร้างมาเป็นพยานร่วมกับพระองค์ได้คือพระเจ้าเท่านั้น

25 เมื่อพวกท่านมีลูกและมีหลานและได้อยู่ใน แผ่นดินนั้นช้านาน และถ้าท่านหลงกระทำรูปเคารพเป็นสัณฐานสิ่งใด และกระทำชั่วในสายพระเนตรพระเยโฮวาห์พระเจ้า ของท่านทั้งหลาย เป็นที่ขัดเคืองพระทัยพระองค์ 26 ข้าพเจ้าขออัญเชิญฟ้าและดินมาเป็น พยานกล่าวโทษท่านในวันนี้ว่า ท่านทั้งหลายจะพินาศอย่างสิ้นเชิงจากแผ่นดิน ซึ่งท่านทั้งหลายกำลังจะข้ามแม่น้ำจอร์แดนไปยึดรองนั้น ท่านจะไม่ได้อยู่ในแผ่นดินนั้นนาน แต่ท่านจะถูกทำลายอย่างสิ้นเชิง (เฉลยธรรมบัญญัติ 4:25-26)

15 “จงดูเถิด ในวันนี้ข้าพเจ้าได้วางชีวิตและสิ่งดี ความตายและสิ่งร้ายไว้ต่อหน้าท่าน 16 คือในการที่ข้าพเจ้าได้บัญชาท่านในวันนี้ ให้รักพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่าน ให้ดำเนินในพระมรรคาทั้งหลายของพระองค์และให้รักษาพระบัญญัติ และกฎเกณฑ์และกฎหมายของพระองค์ แล้วท่านจะมีชีวิตอยู่และทวีมากขึ้น และพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่าน จะอำนวยพระพรแก่ท่านในแผ่นดินซึ่งท่านเข้าไปยึดครองนั้น 17 ถ้าใจของท่านหันเหไปและท่านมิได้เชื่อฟัง แต่ถูกลวงให้ไปนมัสการพระอื่นและปรนนิบัติพระนั้น 18 ข้าพเจ้าขอประกาศแก่ท่านทั้งหลายในวันนี้ว่า ท่านทั้งหลายจะพินาศเป็นแน่ ท่านจะไม่มีชีวิตอยู่นานในแผ่นดินซึ่งท่านกำลังจะยกข้ามแม่น้ำจอร์แดน เข้าไปยึดครองนั้น 19 ข้าพเจ้าขออัญเชิญสวรรค์และโลกให้เป็นพยานต่อท่านในวันนี้ว่า ข้าพเจ้าตั้งชีวิตและความตาย พระพรและคำสาปแช่งไว้ต่อหน้าท่าน เพราะฉะนั้นท่านจงเลือกเอาข้างชีวิต เพื่อท่านและลูกหลานของท่านจะได้มีชีวิตอยู่ 20 ด้วยมีความรักต่อพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่าน เชื่อฟังพระสุรเสียงของพระองค์ และติดพันอยู่กับพระองค์ กระทำเช่นนั้นจะได้ชีวิตและความยืนนาน เพื่อท่านจะได้อยู่ในแผ่นดินซึ่งพระเจ้าปฏิญาณ แก่บรรพบุรุษของท่าน คือแก่อับราฮัม แก่อิสอัค และแก่ยาโคบว่า จะประทานแก่ท่านเหล่านั้น” (เฉลยธรรมบัญญัติ 30:15-20)

พระเจ้าเท่านั้นที่สามารถเรียกสรรพสิ่งทรงสร้างมาเป็นพยานร่วมกับพระองค์ เพราะพระองค์ผู้เดียวครอบครองอยู่เหนือสรรพสิ่ง มนุษย์ไม่อาจทำเช่นนั้น เพราะมนุษย์ไม่สามารถควบคุมสิ่งใดได้เลย พระเยซูบอกเราว่าเราไม่อาจสาบานโดยอ้างศีรษะของเรา เพราะเราไม่อาจทำให้ผมบนศีรษะหงอกหรือไม่หงอกได้สักเส้น!

ในอิสยาห์ 66:1-2 พระเจ้าประกาศว่า :

“1 พระเจ้าตรัสดังนี้ว่า “สวรรค์เป็นบัลลังก์ของเรา และแผ่นดินโลกเป็นแท่นวางเท้าของเรา

นิเวศซึ่งเจ้าจะสร้างให้เรานั้นจะอยู่ที่ไหนเล่า และที่พำนักของเราจะอยู่ที่ไหน?

2 สิ่งเหล่านี้มือของเราได้กระทำทั้งสิ้น สิ่งเหล่านั้นจึงเป็นขึ้นมา พระเจ้าตรัสดังนี้

แต่นี่ต่างหากที่เราจะมอง คือเขาผู้ที่ถ่อมและสำนึกผิดในใจ และตัวสั่นเพราะคำของเรา

พระเยซูเองทรงชี้ไปที่ความเป็นจริงนี้ด้วยในมัทธิว 5:34-36

ลองมาดูตัวอย่างที่พระเยซูให้ไว้เรื่องพยาน มีหนึ่งพยานชัดเจนที่หายไป พยานไหน? พยานสำคัญที่สุด – พระเจ้า!

ทำให้ผมเข้ามาดูเรื่องคำสาบานในพระคัมภีร์ใหม่ โดยเฉพาะที่ อ เปาโลกล่าวไว้

ใน 2โครินธ์ 1:15-2:11 อ เปาโลอธิบายให้ชาวโครินธ์ว่าท่านมีความตั้งใจจริงที่จะไปหาพวกเขาถึงสอง ครั้ง ครั้งแรกตอนที่เดินทางจากเอเฟซัสไปมาซิโดเนีย และอีกครั้งตอนขากลับ (1โครินธ์ 16:5) แต่ต้องเปลี่ยนแผน และใน 1:23–2:2 ท่านเปลี่ยนแผนเพราะไม่ต้องการไปเพิ่มความทุกข์ใจในเรื่องที่พวกเขาต้องลง วินัยคนที่ผิดพลาดไปจากทางของพระเจ้า

นี่เป็นพระวจนะตอนที่ทำให้เราเห็นความกระจ่างในมัทธิว 5:33-37 เพราะสิ่งที่ อ เปาโลกล่าวยอมรับว่า “ใช่” ก็ต้องเป็น “ใช่” และ ”ไม่” ก็ต้องเป็น “ไม่” และท่านยังพูดคำปฏิญาณเพื่อรับรองความจริงใจในการเปลี่ยนแผนของท่าน จาก 2โครินธ์ 1:

17 เมื่อข้าพเจ้าหมายที่จะทำอย่างนั้นข้าพเจ้าโลเลหรือ และข้าพเจ้ากะโครงการอย่างคนที่ไม่รู้จักพระเจ้าหรือ ซึ่งพร้อมที่จะกล่าว มา ไม่มา ส่งๆไป

18 พระเจ้าทรงสัตย์จริงแน่ฉันใด คำของเราที่กล่าวกับท่านก็มิใช่เป็นคำรับ หรือปฏิเสธส่งๆไปแน่ฉันนั้น

23 ขอพระเจ้าเป็นพยานฝ่ายจิตใจของข้าพเจ้าว่า ที่ข้าพเจ้ายังไม่ได้ไปถึงเมืองโครินธ์นั้น ก็เพื่อจะงดโทษพวกท่านไว้ก่อน

ข้อ 23 เป็นไปตามรูปแบบการปฏิญาณในพระคัมภีร์เดิม

เรื่องที่ข้าพเจ้าเขียนมาถึงท่านนี้ พระเจ้าทรงเป็นพยานได้ว่า ข้าพเจ้าไม่มุสาเลย (กาลาเทีย 1:20)

เพราะว่าพระเจ้าทรงเป็นพยานของข้าพเจ้าว่า ข้าพเจ้าเป็นห่วงท่านทั้งหลายเพียงไร ตามพระทัยเมตตาของพระเยซูคริสต์ (ฟีลิปปี 1:8)

อ เปาโลวิงวอนพระเจ้าหลายครั้งให้เป็นพยานเพื่อเน้นหนักแน่นความจริงในสิ่งที่ ท่านกล่าวออกไป และท่านทำภายใต้การทรงนำของพระวิญญาณบริสุทธิ์

อ เปาโลละเมิดคำสอนของพระเยซูหรือ?

ผมไม่เชื่อว่าประเด็นของพระเยซูในมัทธิว 5 ว่าการสาบานเป็นสิ่งชั่วร้ายหรือไม่มีทางถูกต้องไปได้ ผม เชื่อว่าประเด็นของพระองค์คือการกล่าวคำสาบานอย่างที่พวกธรรมจารย์หรือฟาริ สีทำนั้นชั่วร้ายทั้งหมด – เพราะพวกเขากล้าสาบานโดยอ้างถึงทุกสิ่ง “ยกเว้น” พระเจ้า เพียงเพื่อจะได้ไม่ต้องรับผิดชอบต่อพระองค์!

พระเยซูทรงชี้ให้เห็นชัดเจนในมัทธิว 5 ว่าพระเจ้าองค์เดียวเท่านั้นที่ครอบครองเหนือทุกสิ่ง – สวรรค์ โลก เยรูซาเล็ม หรือแม้แต่เส้นผมบนศีรษะคุณ ส่วนคุณ – คุณไม่ได้ครอบครองอะไรเลย แม้แต่ผมบนศีรษะ ไม่ว่าคุณจะสาบานโดยอ้างสิ่งใด พระเจ้าเท่านั้นที่คุณ ผม และทุกสิ่งทรงสร้างต้องรายงานต่อพระองค์ และคุณต้องรายงานต่อพระองค์ไม่ว่าคุณจะกล่าวสาบานหรือกล่าวคำปฏิญาณใดๆ ทันทีที่คุณเอ่ยปากสาบาน คุณต้องรับผิดชอบต่อพระองค์

เป็นการดีกว่าที่จะไม่กล่าวคำสาบานถ้าคุณคิดว่าคุณสามารถออกอุบายหลีกเลี่ยง เพื่อไม่ต้องรับผิดชอบต่อพระเจ้าว่าคุณซื่อตรง

ย้อนกลับไปดูคำสอนของพระเยซูในตอนต้นของคำเทศนา – มีสิ่งใดที่ชั่วร้ายเกี่ยวกับตาและมือของมนุษย์? ทั้งสองสามารถถวายพระสิริแด่พระเจ้าได้ จริงหรือไม่? แน่นอนครับ ประเด็นของพระเยซูเรื่องการล่วงประเวณี สร้างข้อปฏิบัติใหม่เรื่องควักลูกตาขวาหรือตัดมือขวาทิ้งเพราะความบาปในใจ ของผู้ติดตามพระองค์หรือ? ทำแล้วจะรักษาใจพวกเขาให้บริสุทธิ์ได้หรือ? ไม่ได้ครับ แต่ถ้าการควักตาจะช่วยกำจัดการล่วงประเวณีในใจได้ มันก็คุ้มค่าความเจ็บปวดครับ

ฮีบรู 12:4 กล่าวว่า “ในการต่อสู้กับบาปนั้น ท่านทั้งหลายยังไม่ได้สู้จนถึงกับต้องเสียโลหิตเลย”

รักษาความบริสุทธิ์ไว้ไม่ว่าจะต้องเสียอะไรไป – คุณลักษณะของพระเจ้าภายใน จะนำเราให้กล้าเหนือทุกๆการต่อรอง

การกล่าวคำสาบานอย่างถูกต้องจะทำให้เราเป็นคนไม่ซื่อสัตย์ได้หรือ? ไม่หรอกครับ ไม่พอๆกับมีตาขวาที่ทำให้เราล่วงประเวณีได้

มีข้อเปรียบเทียบที่เห็นได้ชัดจากการถวายบูชา พระเจ้าทรงจัดตั้งระบบพิธีถวายบูชา และการถวายบูชาที่ในพลับพลา หนังสือ อพยพทำให้เราเข้าใจชัดเจนว่าสิ่งเหล่านี้มาจากพระทัยพระเจ้า ไม่ใช่มาจากจิตใจมนุษย์ วิธีที่เข้าเฝ้าตามที่พระองค์ทรงออกแบบไว้เป็นภาพความจริงของสวรรค์เมื่อ เข้าเฝ้าจำเพาะพระพักตร์พระองค์ – เป็นของประทานแห่งพระคุณที่มอบให้กับประชากรของพระองค์ เพื่อแยกพวกเขาออกจากชนชาติอื่นๆในโลก แต่เมื่ออิสราเอลทำให้การถวายบูชาผิดไป ใช้เป็นเครื่องมือหลอกล่อหรือบังคับพระเจ้าให้ทำตามใจตน และใช้เป็นทางหาความดีความชอบใส่ตัวให้พระเจ้าเห็น – หาความโปรดปราน โดยละเลยหัวใจของพระบัญญัติ (ความยุติธรรม ความเมตตา ความชอบธรรม) – การถวายบูชาแบบนี้จึงกลายเป็นที่น่ารังเกียจสำหรับพระเจ้า!

หัวใจของพระคำตอนนี้ไม่มีสิ่งใดเกี่ยวข้องกับการกล่าวคำปฏิญาณหรือคำ สาบานอย่างถูกต้อง หัวใจของเรื่องนี้คือเรื่องของหัวใจ รวมถึงคำตรัสของพระเยซูเรื่องคำสาบานในคำเทศนาบนภูเขา พระองค์ตรัสว่า

จริงก็จงว่าจริง ไม่ก็ว่าไม่ พูดแต่เพียงนี้ก็พอ คำพูดเกินนี้ไป มาจากความชั่ว (มัทธิว 5:37)

ถ้าเรารักษาความจริงไว้เพียงเพื่อประกาศให้เห็นในรูปของคำปฏิญาณหรือ สาบาน และละเลยความจริงในเรื่องอื่นๆตลอดเวลา นั่นคือระบอบฟาริสี เป็นสิ่งชั่วร้าย – ทำให้การสาบานเป็นเครื่องมือของการทำชั่ว

คำสาบานต้องไม่เป็นเครื่องมือลดระดับมาตรฐานของความสัตย์จริงที่เราต้องยึดถือตลอดเวลาในฐานะบุตรของพระเจ้า

ตลอดมัทธิว 23 พระเยซูทรงกล่าวถึงพวกเขาว่า “วิบัติแก่เจ้า พวกธรรมาจารย์และพวกฟาริสี คนหน้าซื่อใจคด…” คนหน้าซื่อใจคดคือคนที่แสดงให้คนอื่นเห็นภายนอกในสิ่งที่ตนเองไม่ได้เป็น

แล้วพวกเขาแสดงความหน้าซื่อใจคดในการกล่าวคำสาบานอย่างไร? พวกเขากล่าวคำสาบานเพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือให้ถ้อยคำของตน – แต่ถ้อยคำนั้นมาจากใจที่ไม่ซื่อตรง – ฟังดีๆครับ ผมไม่ได้บอกว่า “ถ้อยคำของพวกเขานั้นไม่จริง” (แม้บ่อยครั้งไม่เป็นตามนั้น) ผมบอกว่า “ถ้อยคำของพวกเขามาจากใจที่ไม่ซื่อตรง” คุณอาจคิดว่ามันแทบไม่แตกต่าง แต่สิ่งที่พระเยซูตรัสเข้าตรงถึง “จิตใจ” ของพวกเขา

พวกฟาริสีลดระดับความชอบธรรมอย่างมีระบบเพื่อให้เห็นแค่ประพฤติกรรมภาย นอก และประพฤติกรรมเหล่านี้เป็นแค่เศษผ้าขี้ริ้วสกปรกในสายพระเนตรพระเจ้า คำสาบานของพวกเขาไม่น่าไว้ใจพอๆกับเด็กที่บอกจะไม่ทำแต่แอบไขว้นิ้วไว้ข้าง หลัง เพราะในหัวใจพวกเขา สนใจในความน่าเชื่อถือของตนเองมากกว่าความจริงใจ ให้ตรงประเด็น พวกเขาสนใจในความน่าเชื่อถือของตัวเองมากกว่าเป็นคนน่าเชื่อถือของพระเจ้า – นี่เป็นเรื่องของคุณลักษณะ!

ทุกสิ่งที่พระเยซูตรัสในคำเทศนาบนภูเขานำสู่ความจริงที่พระเจ้ามองลึก เข้าไปในจิตใจภายใน พระองค์ทรงเห็นความมุ่งร้ายและใจคิดร้ายของเราเมื่อเรายังกักความโกรธต่อพี่ น้อง ทรงมองเห็นใจล่วงประเวณีเมื่อเราจ้องมองที่ผู้อื่นด้วยตัณหาราคะ พระองค์ทรงเป็นเครื่องจับเท็จที่เชื่อถือได้ 100%! ความชอบธรรมที่มาจากพระเจ้า ทำให้พระองค์ใส่พระทัยในสิ่งที่ทรงเห็น มากกว่าสิ่งที่มนุษย์เห็น!

คำว่า “ใช่” ของเราต้องเป็นใช่ คำว่า “ไม่” ของเราต้องเป็นไม่ ไม่มีคำสาบานใดจะเปลี่ยนสิ่งนี้ได้ การพยายามสร้างความน่าเชื่อถือให้ตนเองนั้นว่างเปล่า แต่การเป็นคนซื่อสัตย์จริงใจในสายพระเนตรพระบิดาบนสวรรค์คือทุกสิ่งครับ

พระเจ้าตรัสกับประชากรของพระองค์ในทุกวัยว่า “ทั้งหลายต้องบริสุทธิ์ เพราะเรา…เป็นผู้บริสุทธิ์” (เลวีนิติ 19:20) พระเยซูทรงร้องขอในสิ่งเดียวกันในคำเทศนาบนภูเขา “เหตุฉะนี้ท่านทั้งหลายจงเป็นคนดีรอบคอบ เหมือนอย่างพระบิดาของท่าน ผู้ทรงสถิตในสวรรค์เป็นผู้ดีรอบคอบ” (มัทธิว 5:48) เราสามารถเป็นคนดีรอบคอบในฟากฝั่งนี้ของสวรรค์ได้หรือ? – แน่นอนครับไม่ได้ – ท่านยอห์นบอกเราว่า “…ยังไม่ปรากฏว่าต่อไปเบื้องหน้านั้นเราจะเป็นอย่างไร แต่เรารู้ว่าเมื่อพระองค์จะเสด็จมาปรากฏนั้น เราทั้งหลายจะเป็นเหมือนพระองค์…” (1ยอห์น 3:2) แต่พระลักษณะอันบริสุทธิ์ของพระเจ้านั้นทรงเปิดเผยในองค์พระเยซูคริสต์ และเป็นมีไว้เพื่อควบคุมชีวิตของเรา – มีไว้สำหรับเดี๋ยวนี้ และที่นี่ครับ!

เราเป็นลูกของพระเจ้า กฎเกณฑ์ที่มี ไม่ใช่มีไว้พื่อปกครองชีวิตเรา – แต่พระองค์ทรงเป็นกฎเกณฑ์แห่งชีวิต – เราจะมีชีวิตแห่งพระพรขนาดไหนถ้ายึดสิ่งนี้ไว้ด้วยความมั่นคงจริงใจ!

ตอนอายุสิบหกและยังไม่ได้มาเชื่อพระเจ้า เพื่อนๆคริสเตียนที่ต่อมากลายมาเป็นพี่น้องชั่วนิรันดร์ ชอบบอกผมว่า “คริสเตียนไม่ใช่ศาสนา แต่เป็นเรื่องของความสัมพันธ์” ผมคิดว่าเดี๋ยวนี้ผมเริ่มแตะไปถึงถ้อยคำสำคัญที่ลึกซึ้งนี้แล้ว ความสัมพันธ์ ความผูกพันกับพระเจ้าคือพื้นฐานของความชอบธรรมที่แท้จริง

12 “ดูก่อน คนอิสราเอล พระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านทรงประสงค์ให้ท่านกระทำอย่างไร คือให้ยำเกรงพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่าน ให้ดำเนินตามทางทั้งปวงของพระองค์ ให้รักพระองค์ ให้ปรนนิบัติพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านด้วยสุดจิต สุดใจของท่านทั้งหลาย 13 และให้รักษาพระบัญญัติและกฎเกณฑ์ของพระเจ้า ซึ่งข้าพเจ้าบัญชาท่านในวันนี้ เพื่อประโยชน์ของท่านทั้งหลาย 14 ดูเถิด ฟ้าสวรรค์และฟ้าสวรรค์อันสูงสุด และโลกกับบรรดาสิ่งสารพัดที่อยู่ใน โลกเป็นของพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่าน 15 แต่พระเยโฮวาห์ทรงฝังพระทัยในบรรพบุรุษของท่าน และทรงรักเขา และทรงเลือกเผ่าพันธุ์ ของเขาคือท่านทั้งหลายจากชนชาติทั้งหลาย อย่างเป็นอยู่ทุกวันนี้ 16 เพราะฉะนั้นจงตัดใจ อย่าดื้อดึงอีกต่อไป 17 เพราะว่าพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านเป็นพระเจ้าของพระทั้งหลาย และเป็นจอมของเจ้าทั้งปวง เป็นพระเจ้าที่ยิ่งใหญ่ ทรงฤทธิ์และน่ากลัว ทรงปราศจากอคติ และมิได้ทรงเห็นแก่อามิษสินบน” (เฉลยธรรมบัญญัติ 10:12-17)

“43 “ท่านทั้งหลายได้ยินคำซึ่งกล่าวไว้ว่า จงรักคนสนิท และเกลียดชังศัตรู 44 ฝ่ายเราบอกท่านว่า จงรักศัตรูของท่าน และจงอธิษฐานเพื่อผู้ที่ข่มเหงท่าน 45 ทำดังนี้แล้วท่านทั้งหลายจะเป็นบุตรของพระบิดาของท่านผู้ทรงสถิตในสวรรค์” (มัทธิว 5:43-44 ก)

“48 เหตุฉะนี้ท่านทั้งหลายจงเป็นคนดีรอบคอบ เหมือนอย่างพระบิดาของท่าน ผู้ทรงสถิตในสวรรค์เป็นผู้ดีรอบคอบ” (มัทธิว 5:48)

ความสัมพันธ์คือพื้นฐานของความชอบธรรมเสมอ ความสัมพันธ์ระหว่างบิดา/บุตร ในพระวจนะไม่ใช่เป็นแค่คำอุปมาที่น่าเอ็นดู – แต่เป็นสาระสำคัญในความหมายการทรงไถ่ของพระเจ้า

มันง่ายสำหรับเราที่จะชี้นิ้วไปที่พวกฟาริสีในสมัยนั้น มองว่าเหตุผลของพวกเขานั้นน่าขำ แล้วถอยตัวเองออกมา บอกว่าเราไม่มีวันโง่อย่างนั้น นั่นคือความผิดพลาด เพราะเราเองก็มีสิทธิโง่พอๆกับพวกเขา

สดุดี 15:1 ถามว่า “ข้าแต่พระเจ้า ผู้ใดจะอาศัยอยู่ในพลับพลาของพระองค์ ผู้ใดจะอยู่บนภูเขาศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์?”

ข้อ 2 ตอบว่า “คือผู้ที่ดำเนินชีวิตอย่างหาที่ติมิได้และปฏิบัติให้ถูกต้องตามธรรม และพูดความจริงจากจิตใจของตน” ข้อ 4 ตอบต่อไปว่า “…ถึงสาบานแล้ว และต้องเสียประโยชน์เขาก็ไม่กลับคำ” เขาพูดความจริงจากใจ และต้องเสียประโยชน์เขาก็ไม่กลับคำ”

ผมไม่ทราบเกี่ยวกับคุณ แต่ผมต้องฝึกใจให้เป็นไปตามมาตรฐานของพระเจ้า และอยากหนุนใจให้คุณสำรวจจิตใจและลองฝึกทำ

ผมอาจมีตัวอย่างอีกมากสำหรับบทเรียนนี้ เรื่องพลาดไปจากมาตรฐานของพระเจ้าเรื่องความจริงใจ ความซื่อสัตย์ อาจจะแค่ขีดอยู่บนผิวด้านบน แต่ผมเชื่อว่าถ้าคุณนำไปลองคิดดู ลองยกอีกสักสองสามตัวอย่างในเรื่องนี้ ผมจะใช้คำว่า “คุณ” แต่โปรดเข้าใจว่าผมกำลังพูดกับตัวเองด้วย

ผมคิดว่าหนึ่งในความสัมพันธ์ที่เราทำได้แย่ที่สุด ที่อาจสร้างผลกระทบได้มากและกินวงกว้าง – นั่นคือความสัมพันธ์ระหว่างเรากับลูก ที่สร้างผลกระทบมากเพราะลูกจะเรียนรู้เรื่องพระเจ้าได้มากจากการเฝ้าดูเรา ที่เป็นพ่อแม่ – พวกเขาเฝ้าดูอยู่ – เมื่อคุณบอกว่า “ใช่” กับลูก พวกเขาไว้ใจว่าจะเป็นไปตามนั้น หรือลูกสัมผัสได้ว่ามันไม่น่าเชื่อถือเพราะคุณไม่ใส่ใจรักษาคำพูด? เมื่อคุณบอกว่า “ไม่” กับลูกสาว กี่ครั้งที่คุณต้องพูด ก่อนจะแสดงให้เห็นว่ามันแปลว่าอะไร หรือคุณปล่อยให้คำว่า “ไม่” ของคุณเป็นเหมือนไก่ที่จิกไปเรื่อยๆ จนในที่สุดก็เปลี่ยนไปเป็น “ก็ได้ๆ”?

หนึ่งในสิ่งสวยงามในประสบการณ์ของมนุษย์คือเมื่อลูกยอมรับคำว่า “ไม่” จากพ่อหรือแม่เป็นครั้งแรก และรีบกลับไปทำในสิ่งที่ทำก่อนหน้าเพราะรู้ว่าไม่ต้องต่อรองอีกต่อไป นี่คือเด็กที่มีความคิดดี เพราะเริ่มเข้าใจในพระลักษณะของพระเจ้า!

ถ้าเป็นจริงว่า 90% ของคริสเตียนวัยรุ่นมีปัญหาที่จะยอมรับความคิดเรื่องความจริงแท้ เป็นได้หรือไม่ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะพ่อแม่พวกเขาบ่อยครั้งไม่ได้หมายความตามที่พูด?

ขอเข้าเรื่องแต่งงานเล็กน้อย พันธสัญญาในชีวิตแต่งงานเป็นเรื่องศักดิ์สิทธิ เป็นหนึ่งในพันธสัญญาที่ได้รับการยอมรับในสังคม พระเจ้าทรงย้ำซ้ำแล้วซ้ำเล่า นี่เป็นพันธสัญญาที่ไม่เหมือนพันธสัญญาอื่น ทรงประกาศว่านี่เป็นภาพความสัมพันธ์ระหว่างพระคริสต์และคริสตจักรของพระองค์ (เอเฟซัส 5:22-23) เป็นพระองค์เองที่ประกาศว่าในสายพระเนตร นี่คือการผูกพันที่ศักดิ์สิทธิ ที่รวมทั้งสองให้เป็นเนื้ออันเดียวกัน (ปฐมกาล 2:18-25) พระเจ้าตรัสว่า “…ได้ทรงผูกพันกันแล้ว อย่าให้มนุษย์ทำให้พรากจากกันเลย” (มัท ธิว 19:6) ถ้าเรายำเกรงและให้เกียรติในสิ่งที่พระเจ้าบัญชาแม้ในเรื่องเล็กน้อย ความยำเกรงจะยิ่งทำให้เราให้เคารพและถวายเกียรติในคำปฏิญาณต่อเบื้องพระ พักตร์และคนของพระองค์ที่เป็นพยานว่าจะซื่อสัตย์ต่อคู่สมรสไปจนกว่าชีวิตจะ หาไม่ นี่เป็นพระลักษณะที่ทำให้เราทำในสิ่งที่ปฏิญาณไว้ แม้ต้องเสียสิ่งใดไปก็ตาม!

เป็นมาตรฐานที่หนักหนาหรือไม่? ครับใช่ แต่เป็นสิ่งที่พระเจ้าเรียกให้ทำ และไม่ได้หนักหนาถ้าเรายึดตามที่ทรงสัญญาว่าจะทรงประทานพระพรฝ่ายวิญญาณนานา ประการในสวรรคสถานโดยพระคริสต์ (เอเฟซัส 1:3) อำนาจเดียวกันนี้ซึ่งพระองค์ได้ทรงกระทำในพระคริสต์ เมื่อทรงชุบให้พระองค์เป็นขึ้นมาจากความตาย…และทรงอยู่กับเราในพระบุคคลของ พระวิญญาณบริสุทธิ์ (เอเฟซัส 1:18-23)

ท้ายที่สุดนี้ คำเตือนมาถึงเรา – พระวจนะตอนนี้กำลังบอกให้เราคอยตามดูและจับผิดพี่น้องที่เปลี่ยนคำพูดไปมา หรือ? หรือบอกให้เราสงสัยบางคนว่าผิดคำพูดในสิ่งที่เขาตั้งใจทำหรือ? ถ้าคุณนำบทเรียนตอนนี้เป็นเครื่องมือเพื่อจับผิดและหาเรื่องกับพี่น้อง คุณก็ตกลงไปในระดับเดียวกับพวกฟาริสี ไม่เห็นท่อนไม้ทั้งท่อนในตาตนเอง เพราะมัวแต่ไปจ้องเศษผงในตาของคนอื่น ทั้งหมดนี้นำไปสู่การดำเนินชีวิตคริสเตียนตามที่พระเยซูตรัสไว้ก่อนหน้าในคำ เทศนาบนภูเขา อย่างที่ อ บ็อบ เดฟฟินบาวจะชี้ให้เห็นในบทเรียนที่ 22 พระเยซูทรงกล่าวประณามในสิ่งที่ไม่มีใครสักคนพ้นผิดไปได้เลย

มาตรฐานความชอบธรรมในตอนนี้คือความชอบธรรมของพระเจ้า (มัทธิว 5:48) ถ้าคุณอ่านบทเรียนตอนนี้ และคุณไม่ได้ยืนต่อเบื้องพระพักตร์พระเจ้า ยอมรับว่าคุณได้รับความชอบธรรมเป็นของประทานที่พระเจ้ามอบให้โดยพระคุณทาง ความเชื่อในพระบุตร บทเรียนตอนนี้ก็กำลังกล่าวโทษคุณ เพราะคุณไม่มีทางทำได้ตามมาตรฐานความจริงของพระเจ้าด้วยตัวคุณเอง ถ้าเป็นเช่นนั้น ผมอธิษฐานขอให้คุณยอมถ่อมใจลงต่อพระพักตร์พระเจ้าผู้บริสุทธิ์ ทูลพระองค์ว่าคุณหลงหายในความบาป และยึดในพระวจนะของพระองค์ไว้ – เชื่อในพระบุตรองค์เดียวว่าเป็นผู้เดียวที่เป็นเครื่องถวายบูชาโดยสิ้นพระ ชนม์ที่บนกางเขน ชดใช้ความผิดบาปของคุณ เชื่อว่าพระองค์ทรงคืนพระชนม์ และประทับเบื้องขวาพระบิดา เชื่อในพระองค์เท่านั้น เพื่อรับการอภัยบาป และรับเอาชีวิตนิรันดร์

สำหรับเราที่เป็นลูกของพระเจ้า ถ้อยคำของพระบิดาแสดงให้เห็นว่าเราควรดำเนินชีวิตอย่างไร ขอเรามีหัวใจที่ปรารถนาความสว่างแห่งความจริง ให้เป็นสิ่งแรกและเป็นสิ่งสำคัญที่สุด

เมื่อพิจารณาคำสอนของพระเยซูในเรื่องคำปฏิญาณและคำสาบาน ผมขอให้คุณไม่มุ่งเน้นไปที่รายละเอียดว่าเราตกจากมาตรฐานความจริงของพระเจ้า อย่างไร แต่ขอให้คุณใช้เวลา พิจารณาดูว่าเราจะเป็นคนที่สัตย์ซื่อจริงใจได้อย่างไร – จริงใจจากหัวใจ ไม่ได้บอกว่าไม่เกี่ยวกับความประพฤติ ในฐานะลูกของพระเจ้า เราต้องเริ่มโดยเรียนรู้ว่าควรประพฤติอย่างไร จากนั้นเรียนรู้หลักการจากภายในตามที่ได้รับการสอน เพื่อให้ความประพฤติเกื้อหนุนจิตใจ และจิตใจเกื้อหนุนความประพฤติ ให้มุ่งเน้นไปที่เป้าหมายการดำเนินชีวิตในแบบของพระเจ้า จากจิตใจที่เป็นของพระเจ้า เราจะไม่พูดความจริงในจิตใจ ถ้าเราไม่ได้รักผู้ที่เป็นองค์ความจริง

พี่น้องครับ ขอให้เราเป็นคนที่สัตย์ซื่อและจริงใจ เพราะเรากระหายหาความชอบธรรม

ให้เราเป็นคนที่สัตย์ซื่อจริงใจ เพราะพระเจ้าทรงสร้างในเรา จิตใจใหม่ที่สะอาดและบริสุทธิ์

ให้เราเป็นคนที่สัตย์ซื่อจริงใจ เพราะเราปรารถนาจะเป็นเกลือและความสว่างในโลกที่ต้องการพระเจ้าและพระบุตรของพระองค์ พระเยซูคริสต์

ให้เราเป็นคนที่สัตย์ซื่อจริงใจเพราะเราปรารถนาจะดำเนินชีวิตในพระลักษณะ ของผู้ประทานชีวิตใหม่ให้เราด้วยชีวิตและพระโลหิตของพระองค์เอง

ขอให้เราเป็นคนที่สัตย์ซื่อและจริงใจเพราะเราเป็นลูกของพระเจ้า

น่าจะเป็นเหตุผลที่เพียงพอครับ


1 181 ลิขสิทธิ์ของ Copyright 2003 by Community Bible Chapel, 418 E. Main Street, Richardson, TX 75081 ปรับจากต้นฉบับเดิมบทเรียนที่ 23 ของบทเรียนต่อเนื่องพระกิตติคุณมัทธิว จัดทำโดย ทอม ไรท์ 27 ก.ค. 2003.

2 182 จากบทความในอินเทอร์เน็ท www.barna.org – “Americans Are Most Likely to Base Truth on Feelings,” published February 12, 2002.

3 183 พระวจนะภาษาอังกฤษส่วนใหญ่นำมาจากฉบับแปล the New American Standard Bible. Copyright 1960, 1962, 1963, 1968, 1971, 1972, 1973, 1975 by Lockman Foundation.

4 184 James Montgomery Boice, The Sermon on the Mount (Grand Rapids, Michigan: Baker Books, 2002), p. 131.

Related Topics: Spiritual Life

Report Inappropriate Ad