เราทุกคนคุ้นเคยกับถ้อยคำที่แตะต้องใจจากปลายปากกาของ อ.เปาโลเป็นอย่างดี :
พระคัมภีร์ (ทุกตอนได้รับการดลใจจากพระเจ้า และ) เป็นประโยชน์ในการสอน การตักเตือนว่ากล่าว การปรับปรุงแก้ใข คนให้ดี และการอบรมในทางธรรม เพื่อคนของพระเจ้า จะพรักพร้อมที่จะกระทำการดีทุกอย่าง (2 ทิโมธี 3:16-17)2
แต่พอมาถึงพระกิตติคุณมัทธิว 1:1-17 เราเหมือนถูกทดสอบต่อคำพูดของ อ.เปาโลในทันที พวกเรากี่คนกันที่เห็นว่า ลำดับพงศ์พันธ์ ตามที่บันทึกในพระคัมภีร์ “มีประโยชน์” หรือ “มีสาระสำคัญ” สำหรับเรา? พูดตามตรงนะครับ พออ่านมาถึงเรื่องลำดับพงศ์พันธ์ มีความรู้สึกอยากข้ามไปทุกที แต่เมื่ออดทนอ่าน (เวลาอ่านทั้งเล่ม) ผมมักสงสัยว่าผมได้อะไรจากเรื่องลำดับพงศ์พันธ์นี้
ผมชอบเข้าข้างตัวเอง คิดเอาว่าเรื่องลำดับพงศ์พันธ์นั้น “น่าเบื่อ” และ “ไม่เกิดประโยชน์” สู้พระวจนะตอนอื่นๆไม่ได้ แต่พออ่านบทแรกของมัทธิว รู้สึกทึ่งครับ ลองคิดดู : พระกิตติคุณมัทธิวเป็นหนังสือเล่มแรกของพระคัมภีร์ใหม่ แต่เริ่มต้นด้วยลำดับพงศ์พันธ์ของพระเยซูคริสต์ แปลว่าหนังสือเล่มนี้มีบทนำ เริ่มด้วยการพูดถึงลำดับวงศ์ตระกูล แถมยังเป็นบทนำของหนังสือเล่มแรกของพระคัมภีร์ใหม่ทั้งหมดด้วย
ตามปกติ เวลาเทศนาผมมักมีปัญหาทุกครั้ง เพราะต้องหาเรื่องเล่า เพื่อนำร่องเข้าสู่คำเทศนา ผมพยายามหาเรื่องที่ดึงความสนใจผู้ฟัง เพื่อโยงเข้าสู่พระวจนะตอนที่จะใช้เทศนาให้ลื่นไหลไปอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่เป็น นักเทศน์มา ไม่เคยเลยสักครั้ง ที่จะเกริ่นนำการเทศนา ด้วยเรื่องลำดับพงศ์พันธ์
เนื่องจากผมและมัทธิว มีแนวคิดที่แตกต่างกัน จึงขอบอกว่าผมเองเป็นฝ่ายพลาด ไม่ใช่ผู้ที่ได้รับการดลใจจากพระเจ้าอย่างท่านมัทธิว ผู้เขียนหนังสือมหัศจรรย์เล่มนี้ ทำให้ต้องกลับมาทบทวนใหม่ ว่าทำไมมัทธิวถึงเห็นว่า การนำเรื่องลำดับพงศ์พันธ์ขึ้นมาเกริ่นนั้นน่าสนใจ ในขณะที่ผมกลับเห็นเป็นตรงข้าม บทเรียนตอนนี้ ผมจะพยายามหาข้อมูลมาสนับสนุนเรื่องบทนำของมัทธิว เราผู้เชื่อทั้งใหม่และเก่าจะได้รับ “ประโยชน์” ใด จากลำดับพงศ์พันธ์นี้
เวลาอ่าน “คำเทศนาบนภูเขา” หรือคำอุปมาเรื่องใดเรื่องหนึ่งในพระกิตติคุณมัทธิว แน่นอน เรารู้สึกว่าน่าสนใจกว่าเรื่องลำดับพงศ์พันธ์ในมัทธิว 1:1-17 แต่บางครั้งเรื่องที่เราว่าไม่น่าสนใจนี้ กลับกลายเป็นเรื่องที่มีประโยชน์มหาศาลในชีวิตจริง เรารู้อยู่ว่าเรื่องวงศ์ตระกูลเป็นเรื่องสำคัญ สมมุติว่าผมอยากหาซื้อหมาดีๆสักตัว เรื่องแรกที่ต้องคิด คือสายพันธ์ของมัน (เพ็ดดิกรี) ผมต้องอยากรู้ว่าในสายพันธ์ของมัน มีใครเป็นแชมเปี้ยนบ้าง หรือสมมุติว่าผมอ่านเจอในหนังสือพิมพ์ ว่ามีเศรษฐีชื่อนายเดฟฟินบาวว์ (ผู้เขียน) ตายโดยไม่มีทายาทรับมรดก แน่นอน ผมต้องอยากรู้ที่มาที่ไปของนายคนนี้ มีลูกหลานหลายคน ใช้เวลาทุ่มเทสืบเสาะ ค้นหาต้นตระกูลของตน มีเหตุผลหลายประการ ที่ทำไมคนเราถึงอยากรู้รากเหง้าของต้นตระกูลตัวเอง
เรื่องลำดับพงศ์พันธ์เป็นเรื่องสำคัญมากสำหรับคนยิว กษัตริย์อิสราเอลต้องเป็นยิว ไม่ใช่คนต่างชาติจากที่ไหนก็ได้ (ฉธบ. 17:15) ต่อมามีการเปิดเผยว่า ต้องเป็นยิวที่สืบเชื้อสายมาทางดาวิดเท่านั้น (2 ซามูเอล 7:14) เมื่อชาวยิว อพยพกลับจากการเป็นเชลยที่บาบิโลน เรื่องสำคัญที่ต้องรีบทำคือ แสดงตนว่าเป็นชาวยิวแท้ สามารถสืบประวัติย้อนกลับไปต้นตระกูลได้ คนจะรับตำแหน่งปุโรหิตได้ ต้องมีชื่อบันทึกอยู่ในลำดับพงศ์พันธ์ (เอสรา 2:62) นักเขียน ชื่อบรูเนอร์ เล่าให้ฟังว่า รับไบฮีเลล (Rabbi Hillel) มีความภูมิใจมากที่สามารถสืบเสาะ ย้อนกลับไปไกลถึงต้น ตระกูลของท่าน – กษัตริย์ดาวิด – บรูเนอร์ยังเล่าอีกว่าโจเซฟัส เริ่มเขียนชีวประวัติของตนเองด้วยเรื่องวงศ์ตระกูล ต่อมากษัตริย์เฮโรดผู้ยิ่งใหญ่ เป็นลูกครึ่งยิว-เอโดม แน่นอนชื่อและลำดับพงศ์พันธ์ของท่านคงไม่มีการบันทึกไว้เป็นทางการ แต่ก็ยังมีคำสั่งให้ทำลายบันทึกนั้น เพราะถ้าไม่มีชื่อของท่านปรากฏอยู่ ท่านคงรู้สึกเสียหน้า ไม่อยากให้ใครมารู้ปูมหลังได้ 3
เรารู้ว่าในหนังสือพระกิตติคุณ ลำดับพงศ์พันธ์ของพระเยซูคริสต์มีบันทึกไว้สองแบบ แบบแรกพบได้ใน มัทธิวบทที่ 1 แบบที่สองอยู่ในพระกิตติคุณลูกา 3:23-38 มัทธิวแบ่งเรื่องลำดับพงศ์พันธ์ออกเป็นสามช่วง เริ่มจากอับราฮัมก่อน แล้วต่อลงมาเรื่อยๆ จนจบลงที่องค์พระเยซูคริสต์ ส่วนลูกาเริ่มที่องค์พระเยซูคริสต์ก่อน แล้วย้อน กลับขึ้นไปจนถึงอาดัม ผู้เป็น “บุตรพระเจ้า”
ข้อแตกต่างโดยรวมอยู่ที่ตรงรูปแบบ แต่มีบางชื่อในลำดับพงศ์พันธ์ของทั้งสองแตกต่างกัน :
ความยากอยู่ที่ตอนแรกของลูกา ซึ่งใช้ชื่อต่างกับของมัทธิว คงไม่เป็นปัญหา ถ้าเรากำลัง ศึกษาเรื่องราวของบุคคลสองคน แต่ว่าลำดับพงศ์พันธ์ทั้งสองเป็นเรื่องของพระเยซูคริสต์ นอกจากนั้น ทั้งสองเล่มใช้ทางสายของโยเซฟ สามีนางมารีย์ ผู้ทำหน้าที่เป็นบิดา-มารดาของพระองค์ที่บนโลก มัทธิวกล่าวว่าโยเซฟเป็นบุตรของยาโคบ ที่สืบเชื้อสายมาจากดาวิด โดยทางบุตรของดาวิด ที่สืบต่อๆมาทางสายของซาโลมอน (มัทธิว 1:16) และลูกากล่าวว่า โยเซฟเป็นบุตรของเฮลี ที่สืบเชื้อสายมาจากดาวิด โดยทางนาธัน ผู้เป็นบุตรของดาวิดเหมือนกัน เป็นพี่น้องกับซาโลมอน (ลูกา 3:23)4
ขณะที่หลายคนสรุปว่าปัญหานี้ยังหาทางออกไม่ได้ อีกหลายต่อหลายคนคิดอีกแบบ เจมส์ มอนท์โกเมอรี่ บอยส์ เขียนถึงความเป็นไปได้ออกมาเป็นโครงร่างที่น่าสนใจ เจย์ เกรเชม มาเคน นำมาถ่ายทอดให้ฟังเมื่อหลายปีที่แล้ว :
มีหลายวิธีที่น่าจะนำมาใช้ประนีประนอมกันขณะที่ยังหาทางออกไม่ได้ แต่ทั้งหมดแล้ว เรามักคิดกันว่า กุญแจไขปัญหาที่แท้จริงของกรณีนี้ … น่าจะอยู่ตรงข้อเท็จจริงที่ว่า มัทธิว มีความตั้งใจดี แต่นำเสนอรายชื่อคนที่สืบทอดตำแหน่งแต่เพียงบางส่วนเท่านั้น (เป็นได้ หรือมีแนวโน้มว่าเป็นไปได้) จากสายราชบัลลังก์ของดาวิด ในขณะที่ลูกาใช้วิธีย้อนถอยกลับไปทางโยเซฟ ไปทางนาธัน และดาวิด ดังนั้นจึงไม่เหมาะที่จะนำข้อขัดแย้งระหว่างพระกิตติคุณทั้งสองเล่มมาใช้ เปรียบเทียบกันเมื่อพูดถึงต้นกำเนิดของพระเยซูคริสต์ พระเป็นเจ้าของเรา 5
ผมค่อนข้างเอนเอียงไปทางบอยส์ ที่เสนอทางออกแบบที่สอง – ลำดับพงศ์พันธ์ตามของมัทธิว มาทางสายครอบครัวของ โยเซฟ ขณะที่ลำดับพงศ์ตามแบบลูกา ออกไปทางบรรพบุรุษทางสายของนางมารีย์
ตามความเห็นของผม มีทางออกที่ดีกว่าถ้ามองในมุมมองของสองสาย คือสายของโยเซฟ และสายของนางมารีย์ ทั้งคู่มีบรรพบุรุษคนเดียวกัน คือกษัตริย์ดาวิด … . จากมุมมองนี้ ความต่างระหว่างทั้งสองสาย ไม่ใช่เป็นเรื่องทายาทตาม “กฎหมาย” หรือตามความสัมพันธ์ “บิดา-บุตร” เช่นที่มาเคนเสนอ แต่ตามการสืบทอดราชบัลลังก์ ของผู้ที่นั่งบนบัลลังก์จริงๆ หรือสืบทอดจากบิดาสู่บุตรหัวปี ถึงแม้บุตรนั้นจะไม่ได้ขึ้น ครองบัลลังก์ก็ตาม6
ผมไม่ได้พยายามเสนอทางออกแบบกำปั้นทุบดิน แต่อยากชี้ให้เห็นว่ายังมีข้อขัดแย้งในลำดับพงศ์ของทั้งคู่ ฟังดูคล้ายกับที่พวกนักวิชาการชอบเสนอทางออกแบบมีเหตุมีผล จุดประสงค์ของผมคือ ต้องการแสดงให้เห็นว่าการลำดับพงศ์ของมัทธิว กระทำอย่างรอบคอบ เพื่อสอนเราถึงความจริงสำคัญบางประการ ความจริงพื้นฐานของข่าวประเสริฐในพระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์ และสำหรับชีวิตของเรา
รูปแบบการสอนตอนนี้ขอเป็นแบบตั้งข้อสังเกตและเสนอข้อสรุป ผมขอเริ่มด้วยข้อสังเกตจากลำดับพงศ์ ตามที่บันทึก อยู่ในข้อ 1-17 ก่อน และพยายามหาข้อสรุปจากการตั้งข้อสังเกตนี้
ข้อสังเกตประการแรก : มัทธิวเริ่มด้วย “หนังสือลำดับพงศ์ของพระเยซูคริสต์ ผู้เป็นเชื้อสายของดาวิด ผู้สืบตระกูลเนื่องมาจากอับราฮัม” (มัทธิว 1:1) คำที่ว่า “หนังสือลำดับพงศ์” ในภาษากรีก แปลตรงตัวว่า “หนังสือต้นกำเนิดของพระเยซูคริสต์” ซึ่งเกือบเหมือนคำแปลภาษากรีกของปฐมกาล 2:4 และ 5:1:7
เรื่องฟ้าสวรรค์และแผ่นดินที่พระเจ้าทรงสร้างมีดังนี้ — ในวันที่พระเจ้าทรงสร้างแผ่นดินและฟ้าสวรรค์ (ปฐมกาล 2:4)
(คำแปลในภาษากรีก: “เรื่องปฐมกาลของฟ้าสวรรค์และแผ่นดิน ….”)
ต่อไปนี้เป็นหนังสือลำดับพงศ์พันธ์ของอาดัม เมื่อพระเจ้าทรงสร้างมนุษย์นั้น พระองค์ทรงสร้างตามพระฉายาของพระเจ้า (ปฐมกาล 5:1).
(คำแปลภาษากรีก: “เรื่องปฐมกาล/เผ่าพันธ์ของมนุษย์/อาดัม … .”)
ข้อสรุป: ผมว่าความคล้ายคลึงกันนี้ “บังเอิญ” เอามาก ซึ่งคล้ายกับคำนำของพระกิตติคุณยอห์นข้อแรก บทที่ 1: “ในปฐมกาล พระวาทะดำรงอยู่… .” แน่นอน ยอห์นโยงตอนต้นหนังสือของเขา (และที่สำคัญที่สุดองค์พระ ผู้เป็นเจ้า )เข้ากับปฐมกาลบทที่ 1 และการทรงสร้าง ในมัทธิวที่เรากำลังศึกษาอยู่ เหมือนจะชี้เราให้ย้อนกลับไปดูต้นกำเนิดพงศ์พันธ์แรกในพระคัมภีร์ อยู่ในปฐมกาลบทที่ 5 ในปฐมกาลบทที่ 5 หลังจากที่อาดัมล้มลงในความบาป พระเจ้าเคยเตือนอาดัมว่า ถ้าวันใดเขา (พวกเขา) กินจากต้นไม้แห่งความสำนึกในความดีและความชั่ว เขา(พวกเขา) จะต้องตาย (ปฐมกาล 2:17) จุดประสงค์หนึ่งในต้นกำเนิดพงศ์พันธ์ คือย้ำหนักแน่น ถึงความจริงของพระวจนะ ทุกคนที่สืบทอดพงศ์พันธ์ของอาดัมตายลงตามที่พระเจ้าตรัสไว้ทุกประการ ทำนองเดียวกับพระ กิตติคุณมัทธิว พระคัมภีร์ใหม่ เริ่มต้นด้วยลำดับพงศ์พันธ์ สิ่งนี้นอกจะย้ำเตือนเราว่า บรรดาชื่อในลำดับพงศ์พันธ์ที่เกริ่นนำนั้น ตายไปหมดแล้ว ; คำพูดของมัทธิวแฝงเป็นนัยให้รู้ว่า พระเยซูคริสต์ทรงเป็นจุดเริ่มของเผ่าพันธ์ใหม่ ที่จะไม่มีวันตาย โดยทั่วไปลำดับพงศ์พันธ์เป็นการบันทึกรายชื่อของคนที่สิ้นชีวิตไปแล้ว พงศ์พันธ์ของพระเยซูคือจุดเริ่มต้นของเชื้อสายใหม่ เป็นเชื้อสายของผู้ที่อยู่ “ในพระคริสต์” โดยทางความเชื่อ และได้รับชีวิตนิรันดร์ นับเป็นพงศ์พันธ์ที่น่าตื่นเต้นมหัศจรรย์ ! ใครบ้างเล่า จะไม่อยากมีชื่ออยู่ในผู้สืบเชื้อสายพงศ์พันธ์ของพระเยซูคริสต์ ?
ข้อสังเกตุประการที่สอง: หลายชื่อในลำดับพงศ์นี้เป็นชื่อที่เราคุ้นเคยกันดี เป็นชื่อของมนุษย์ที่มีตัวตนจริงๆ เคยมีชีวิต อยู่บนโลกนี้ แต่ก็เป็นเพียงมนุษย์
ข้อสรุป: พระเยซูทรงเป็นมนุษย์ (และเป็นพระเจ้าด้วย) มนุษย์จริงๆทีมีต้นตอ มีวงศ์ตระกูล ข้อเท็จจริงที่ว่าพระเยซูเป็นมนุษย์นั้นสำคัญยิ่ง เพราะสามารถแยกผู้ที่ยึดเอาความจริงออกจากพวกเทียมเท็จได้ :
ท่านที่รักทั้งหลาย อย่าเชื่อวิญญาณเสียทุกๆวิญญาณ แต่จงพิสูจน์วิญญาณนั้นๆ ว่ามาจากพระเจ้า หรือไม่ เพราะว่ามีผู้พยากรณ์เท็จเป็นอันมากจาริกไปในโลก โดยข้อนี้ท่านทั้งหลายก็จะรู้จัก พระวิญญาณของพระเจ้า : คือวิญญาณทั้งปวงที่ยอมรับว่าพระเยซูคริสต์ได้เสด็จมาเป็นมนุษย์ วิญญาณนั้นก็มาจากพระเจ้า (1 ยอห์น 4:1-2 ผมขอย้ำความจริงนี้ด้วย)
ข้อสังเกตูประการที่สาม: ทุกคนที่อยู่ในรายชื่อพระกิตติคุณของมัทธิวล้วนแล้วแต่เป็นคนบาป บางคนก็บาปแบบไม่ธรรมดา! นี่ เป็นปัญหาหนึ่งของลำดับวงศ์ตระกูล – เพราะบรรพบุรุษของเราบางคนก็แย่เอามากๆ เราๆท่านๆคงมีโครงกระดูกบรรพบุรุษซ่อนอยู่ในตู้เสื้อผ้าบ้างไม่มากก็น้อย ถึงแม้คนดีที่สุดของตระกูล ก็ยังเรียกไม่ได้ว่าสมบูรณ์แบบ เราคงต้องให้เรื่องราวของพวกเขาเป็นบทเรียนสอนใจ ดาวิดและซาโลมอนเป็นมหาบุรุษ แต่ก็เคยทำผิดร้ายแรง ไม่ว่าจงใจหรือไม่ก็ตาม แถมบางคนยังเป็นตัวการขัดขวางแผนการและพระสัญญาของพระเจ้าด้วยซ้ำ อับราฮัมแรกๆก็พยายามชักจูงพระเจ้าให้สนับสนุนบุตรชายคนโต ที่เกิดจากหญิงรับใช้มาเป็นทายาท (ปฐก. 15:1-3) ท่านและนางซาราห์พยายามผลิตทายาทสืบสกุลผ่านทางนางฮาการ์ ทาสสาวชาวอียิปต์ (ปฐก. 16) แม้พระเจ้าจะบอกแล้วก็ตาม (ในตอนนั้น) ว่าทายาทที่พระองค์สัญญาไว้ จะเกิดจากตัวท่านเองและนางซาราห์/ซาราย (ปฐก. 17:19) อับราฮัมยังปกปิดเรื่องภรรยา เที่ยวบอกใครต่อใครว่าเป็นน้องสาว ทำให้เธอเป็นที่หมายปองของชายอื่น ท่านไม่เพียงหลอกฟาโรห์เท่านั้น (ปฐก. 12:10-20) แต่หลอกอาบีเมเลคด้วย (ปฐก. 20) และเมื่อถูกอาบีเมเลคตำหนิ ท่านกลับบอกอาบีเมเลคว่าท่านและซาราห์ทำอย่างนี้ตลอด ไม่ว่าไปที่ไหน (ปฐก. 20:13) อิสอัคบุตรของอับราฮัม ทำอย่างเดียวกับภรรยา นางรีเบคคา (ปฐก. 26:7) ตระกูลนี้มีโครงกระดูกแอบซ่อน ไว้ในตู้ มากมาย!
ข้อสรุป: พระพรที่พระเจ้าประทานให้ประชากรของพระองค์ ไม่เกี่ยวข้องกับการทำความดี มีเพียงคำอธิบายเดียวว่ามาจาก พระเมตตาและพระคุณเท่านั้น พระ พรของพระเจ้าเทลงให้คนบาปทุกคน ไม่ว่าเขาจะทำดีแค่ไหน ขึ้นอยู่กับพระคุณที่ผ่าน มาทางพระเยซูคริสต์เท่านั้น ลำดับพงศ์ขององค์พระเยซูคริสต์ เน้นให้เห็นชัดเจนเรื่องความบาปของมนุษย์ ผมชอบในสิ่งที่ เฟรเดอริค บรูเนอร์สรุปเอาไว้ :
“เราจะเห็นว่ามัทธิวเจาะเรื่องลำดับพงศ์ของพระเยซูในพระคัมภีร์เดิม และนำมาเรียงให้เห็นชัดอย่างต่อเนื่อง จนสามารถเข้าใจได้ แถมยังเป็นการประกาศข่าวประเสริฐในอีกรูปแบบ – คือรูปแบบที่ว่า พระเจ้าทรงเอาชนะและให้อภัยบาปผิดได้ สามารถนำคนบาปที่กลับใจมาทำให้แผนการ และพระประสงค์ อันยิ่งใหญ่ของพระองคในประวัติศาสตร์สำเร็จลง (สำหรับการกลับใจของยูดาห์ ปฐก. 38:26; สำหรับ ดาวิด 2 ซมอ. 12:13)8
ข้อสังเกตุประการที่สี่ : มัทธิวใส่ชื่อสตรีถึงสี่ท่านลงในลำดับพงศ์ของท่าน นับ ว่าเป็นเรื่องพิเศษ โดยเฉพาะสำหรับประเพณียิว เรานึกว่าลูกาน่าจะเป็นคนที่ใส่ชื่อสตรีลงในลำดับพงศ์ เพราะท่านมักให้ความสำคัญกับสตรี แต่กลับกลายเป็นมัทธิวที่ออกจะยิวแท้ ใส่ชื่อสตรีทั้งสี่ท่านนี้ลงไป สตรีทั้งสี่ท่านนี้ไม่ใช่คนสำคัญยิ่งใหญ่ใดในพระคัมภีร์เดิม แถมสามท่านยังเป็นต่างชาติโดยกำเนิด ส่วนอีกคน – นางบัทเชบา เป็นต่างชาติโดยการแต่งงานกับอุรียาห์ ชาวฮิทไทต์ (มัทธิว 1:6; 2 ซมอ. 11:3) สตรีเหล่านี้ไม่ได้ใสบริสุทธิ์เหมือน “หิมะหน้าหนาว” อย่างพวกยิวจ๋าชอบกล่าวหา 9
ข้อสรุป: พระสัญญาเรื่องความรอดของพระเจ้าที่ผ่านทางพระเมสซิยาห์ มีสำหรับคนบาปที่ไม่สมควรได้รับ รวมทั้งคนต่าง ชาติด้วย .
สตรีสี่คนที่โดดเด่นที่สุดในประวัติ ศาสตร์ของยิวคือ – ซาราห์ เรเบคคา ราเชล และเลอาห์ คนแรกเป็น ภรรยาของอับราฮัม ต่อมาอิสอัค และยาโคบตามลำดับ ถึงไม่มีชื่อปรากฎอยู่ แต่ชื่อสามีของสตรีเหล่านี้มีบันทึกอยู่ในลำดับพงศ์ ซึ่งมัทธิวมีโอกาสที่จะเอ่ยชื่อสตรีเหล่านี้ขึ้นมา แต่มัทธิวกลับใส่ชื่อสตรีที่น่าสนใจอีกสี่ท่านแทน และเรื่องราวของสตรีทั้งสี่ก็ประกาศถึงพระคุณ ละพระเมตตาอันหาที่สุดมิได้ขององค์พระผู้เป็นเจ้า
เรื่องอื้อฉาวของสตรีทั้งสี่ประกาศ ถึงพระเมตตาคุณของพระเจ้า ซึ่งเป็นหัวใจของพระกิตติคุณมัทธิว มัทธิวจะค่อยๆสอนเราว่า พระเยซูไม่ได้เสด็จมาในโลกนี้เพื่อคนชอบธรรม แต่เพื่อคนบาป (มัทธิว 9:13); ในลำดับพงศ์ของมัทธิว ท่านสอนว่าพระเยซูไม่ได้มาเพื่อ แต่มาโดยทางคน บาป พระเจ้าไม่ได้เสด็จมาอย่างถ่อมพระองค์ในสภาพยากจนเฉพาะวันคริสต์มาสเท่านั้น ; แต่พระองค์ทรงทำสิ่งเหล่านี้ตั้งแต่ในสมัยพระคัมภีร์เดิม พระเมตตาคุณของพระเจ้า เป็นความจริงลึกซึ้งที่สุดที่มัทธิวค้นพบ ทั้งจากในฉบับพระคัมภีร์ฮีบรูดั้งเดิม และในองค์พระเยซูคริสต์ (9:13; 12:7) และผ่านทางสตรีทั้งสี่ท่านนี้ี่ ท่านทำให้ความจริงเรื่องพระเมตตาคุณเด่นชัดขึ้น ด้วยลำดับพงศ์ของพระเยซูตั้งแต่เริ่มแรกทีเดียว
เรื่องลำดับพงศ์แรกของพระคัมภีร์ใหม่ มีเรื่องสอนใจเราอย่างน่ามหัศจรรย์ เชื้อสายตั้งแต่อับราฮัมจนถึงพระเยซูคริสต์ ผู้สืบเชื้อสายมาทางดาวิด ถูกเลือดต่างชาติปะปนอยู่นับครั้งไม่ถ้วน ตัวกษัตริย์ดาวิดเอง มีย่าทวดของย่าทวดเป็นชาวคานาอัน มีแม่ของย่าทวดเป็นคนเยริโค มีทวดเป็นชาวโมอับ และมีภรรยาเป็นคนฮิทไทต์ มัทธิวต้องการให้คริสตจักรตระหนักตั้งแต่แรกว่า ไม่ใช่แค่คณะที่ปกครองในกรุงเยรูซาเล็ม (กิจการ 15) แต่พระราชกิจของพระเจ้าเป็นสากลโลก พระองค์ไม่ได้ทรงมีความคิดแคบๆ เหมือนพวกหัวรุนแรง หรือพวกชาตินิยมนะครับ10
ข้อสังเกตุประการที่ห้า : มัทธิวมีความรอบคอบในการแสดงให้เห็นว่า เชื้อสายของพระเจ้าเป็นเชื้อสายที่ทำให้พระองค์เป็นทั้ง “บุตรดาวิด” และ “บุตรของอับราฮัม”:
“หนังสือลำดับพงศ์ของพระเยซูคริสต์ ผู้เป็นเชื้อสายของดาวิด ผู้สืบตระกูลเนื่องมาจาก อับราฮัม” (มัทธิว 1:1)
อับราฮัมและดาวิดเป็นสองบุคคลใน พระคัมภีร์เดิมที่พระเจ้าทรงทำพระสัญญานิรันดร์และสำคัญมากด้วย ซึ่งเกี่ยวข้องกับการเสด็จมาของพระเมสซิยาห์
พระเจ้าตรัสแก่อับรามว่า “เจ้าจงออกจาก เมือง จากญาติพี่น้อง จากบ้านบิดาของเจ้า ไปยังดินแดน ที่เราจะบอกให้เจ้ารู้ เราจะให้เจ้าเป็นชนชาติใหญ่ เราจะอวยพรแก่เจ้า จะให้เจ้ามีชื่อเสียงใหญ่โต เลื่องลือไป แล้วเจ้าจะช่วยให้ผู้อื่นได้รับพร เราจะอำนวยพร แก่คนที่อวยพรเจ้า เราจะสาปคนที่แช่งเจ้า บรรดาเผ่าพันธุ์ทั่วโลกจะได้พรเพราะเจ้า” (ปฐมกาล 12:1-3)
พระเจ้าตรัสแก่เจ้าว่า พระเจ้าจะทรงให้เจ้ามีราชวงศ์ เมื่อวันของเจ้าครบแล้ว และเจ้านอนพักอยู่กับ บรรพบุรุษของเจ้า เราจะให้บุตรชายคนหนึ่งของเจ้าเกิด ขึ้นสืบต่อจากเจ้าผู้ซึ่งเกิดมาจากตัวเจ้าเองและ เราจะสถาปนาอาณาจักรของเขา เขาจะเป็นผู้สร้างนิเวศเพื่อ นามของเราและเราจะสถาปนาบัลลังก์ แห่งราชอาณาจักรของเขาให้อยู่เป็นนิตย์ เราจะเป็นบิดาของเขา และเขาจะเป็นบุตรของเรา ถ้าเขากระทำผิดเราจะตีสอนเขาด้วยไม้เรียวของมนุษย์ ด้วยการเฆี่ยนแห่งบุตรมนุษย์ทั้งหลาย แต่ความรัก มั่นคงของเราจะไม่พรากไปจากเขาเสีย ดังที่เราพรากไปจากซาอูล ซึ่งเราได้ถอดเสียให้พ้นหน้าเจ้า (2ซามูเอล 7:11ข-15)
พระสัญญาแรก พระสัญญาของอับราฮัม พระเจ้าสัญญาว่าอับราฮัมจะมีบุตรชาย และโดยทางเชื้อสายของอับราฮัม พระ เจ้าสัญญาว่าจะทรงทำให้เป็นชนชาติยิ่งใหญ่ และทาง “เชื้อสาย” นี้เอง พระองค์ไม่เพียงแต่อำนวยพระพรให้อับราฮัม เท่านั้น แต่ให้ทั้งมวลมนุษยชาติ “เชื้อสาย” ที่ทรงสัญญานี้ จะเป็นแหล่งแห่งพระพร ที่มีอยู่เต็มเปี่ยมในองค์พระเยซูคริสต์:
ดูก่อนพี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าขอยกตัวอย่างสักเรื่องหนึ่ง ถึงแม้เป็นคำสัญญาของมนุษย์ เมื่อได้ รับรองกันแล้ว ไม่มีผู้ใดจะล้มเลิกหรือเพิ่มเติมขึ้นอีกได้ บรรดาพระสัญญา ที่ได้ประทานไว้แก่อับราฮัม และพงศ์พันธุ์ของท่านนั้น มิได้ตรัสว่า และแก่พงศ์พันธุ์ทั้งหลาย เหมือนอย่างกับว่าแก่คนมากคน แต่ เหมือนกับว่าแก่คนผู้เดียวคือ แก่พงศ์พันธุ์ของท่าน ซึ่งเป็นพระคริสต์ (กาลาเทีย 3:15-16)
ในพระสัญญาที่สอง พระสัญญาของดาวิด พระเจ้าสัญญากับดาวิดว่าราชวงศ์ของท่าน จะยั่งยืนเป็นนิตย์ โดยทาง “เชื้อสาย” ของดาวิด การปกครองของพระเมสซิยาห์จะเป็นไปชั่วกาลปวสาน ดังนั้นพระเยซูจึงทรงถูกเรียกว่าเป็น “บุตรดาวิด” (มัทธิว 9:27; 12:23; 15:22; 20:30, 31; 21:9, 15;ดู 22:42-46 ด้วย)
ข้อสรุป: (1) พระเยซูทรงเป็นทั้ง “บุตรของอับราฮัม” และ “บุตรดาวิด” ทรงเป็นผู้กระทำให้ทั้งพระสัญญาอับราฮัม (ดูกาลาเทีย 3:15-16) และพระสัญญาดาวิด (ดูมัทธิว 22:42-46) สำเร็จเป็นจริง ทรงเป็นทายาทอันชอบธรรมของราชบัลลังก์ ดาวิด ; เป็นกษัตริย์ของอิสราเอล11 (2) เมื่อเราเห็นว่าพระสัญญาอับราฮัม และพระสัญญาดาวิดสำเร็จเป็นจริงในองค์พระเยซูคริสต์ ทำให้เรามั่นใจอีกครั้ง ว่าพระเจ้าทรงสัตย์ซื่อ และรักษาพระสัญญาของพระองค์เสมอ ไม่ว่าพระองค์ตรัสอย่างไร พระองค์จะทำ ที่กางเขนบนเนินหัวกระโหลก พระเจ้าของเราร้องว่า “สำเร็จแล้ว” (ยอห์น 19:30) พระเจ้าทรงทำสิ่งที่ พระองค์เริ่มต้น ให้สำเร็จลงทุกประการ (ฟีลิปปี 1:6)
ข้อสังเกตุประการที่หก:12
1. พระธรรมมาลาคี หนังสือเล่มสุดท้ายของพระคัมภีร์เดิม จบลงด้วยคำพยากรณ์ที่เล็งถึงการเสด็จมาของพระเยซูคริสต์ และยอห์นผู้ให้บัพติสมา ผู้มาเตรียมมรรคาของพระองค์ :
“ดูเถิด เราจะส่งเอลียาห์ผู้เผยพระวจนะ มายังเจ้าก่อนวันแห่งพระเจ้า คือวันที่ใหญ่ยิ่ง และน่าสะพรึงกลัวมาถึง และท่านผู้นั้นจะกระทำให้จิตใจของพ่อหันไปหาลูก และจิตใจของลูกหันไปหาพ่อ หาไม่เราจะมาโจมตีแผ่นดินนั้นด้วยคำสาปแช่ง” (มาลาคี 4:5-6)
2. มัทธิวหนังสือเล่มแรกของพระคัมภีร์ใหม่ เริ่มด้วยการย้อนประวัติศาสตร์กลับไปยังพระคัมภีร์เดิม โดยใช้เรื่องลำดับพงศ์พันธ์
3. ลำดับพงศ์ของหนังสือมัทธิวเริ่มที่อับราฮัม และจบลงที่พระเยซูคริสต์
4. ลำดับพงศ์ของหนังสือมัทธิวครอบคลุมประวัติศาสตร์อิสราเอลทั้งหมด จากอับราฮัมถึงพระเยซูคริสต์
5. หนังสือมัทธิว มากกว่าเล่มอื่นใด ย้ำเรื่องคำพยากรณ์ในพระคัมภีร์เดิมว่าสำเร็จเป็นจริง :
มัทธิวนำพระวจนะจากพระคัมภีร์เดิมมาใช้อ้างอิงไม่ต่ำกว่าสี่สิบครั้ง และใช้คำนำที่เกือบเหมือนสูตรตายตัวว่า ‘ทั้งนี้เกิดขึ้นเพื่อจะให้สำเร็จตามพระวจนะของพระเป็นเจ้า ซึ่งตรัสไว้โดยผู้เผยพระวจนะ…’ มีไม่ต่ำกว่าสิบหกครั้ง 13
ข้อสรุป : ลำดับพงศ์ของมัทธิว กล่าวชัดกว่าสิ่งที่ผู้เขียนพยายามนำเสนอในพระกิตติคุณทั้งเล่ม การมาบังเกิดของพระเยซูคริสต์ พระราชกิจที่ทรงกระทำสำเร็จตามคำพยากรณ์ในพระคัมภีร์เดิมทุกข้อ แม้กระทั่งพระสัญญาของอับราฮัม และพระสัญญาของดาวิด ลำดับพงศ์นี้บอกเราว่าพระเยซูทรงเป็นผู้กระทำให้พระคัมภีร์เดิมทั้งหมด สำเร็จลงอย่างครบถ้วน ไม่ว่าเล่มใดในพระคัมภีร์เดิมที่เราเปิดดู จะพบพระคริสต์อยู่ที่นั่น
ดูก่อนพี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าอยากให้ท่านทั้งหลายเข้าใจว่า บรรพบุรุษของเราทั้งสิ้นได้อยู่ใต้เมฆ และได้ผ่านทะเลไปทุกคน ได้รับบัพติศมาในเมฆและในทะเลเข้าสนิทกับโมเสสทุกคน และได้รับประทานอาหารทิพย์ทุกคน และได้ดื่มน้ำทิพย์ทุกคน เพราะว่าเขาได้ดื่มน้ำซึ่งไหลออกมาจากพระศิลา ที่ติดตามเขามา พระศิลานั้นคือพระคริสต์ (1 โครินธ์ 10:1-4 ผมขอย้ำด้วย)
เหตุฉะนั้นอย่าให้ผู้ใดพิพากษาปรักปรำ ท่านในเรื่องการกิน การดื่ม ในเรื่องเทศกาล วันต้นเดือน หรือวันสะบาโต สิ่งเหล่านี้เป็นเพียงเงาของเหตุการณ์ที่จะมีมาในภายหลัง แต่กายนั้นเป็นของพระคริสต์ (โคโลสี 2:16-17)
นับเป็นการเริ่มต้นพระกิตติคุณที่ น่าทึ่งมาก – ด้วยการนำรายชื่อยาวเหยียดมาเสนอ! แต่สำหรับชาวยิวแล้ว เรื่องนี้ เป็นเรื่องแสนธรรมดา ซึ่งเราจะได้เห็นต่อๆไป การนำพระเยซูชาวนาซาเร็ธมาเป็นท้องเรื่องของทุกสิ่งที่พระเจ้ากระทำให้กับ ประชากรของพระองค์ ตั้งแต่แรกเริ่มโบราณกาล จนกระทั่งพระสัญญาทั้งสิ้นสำเร็จลงในหนังสือพระกิตติคุณ เป็นพระราชกิจสูงสุดของพระเจ้าที่มีต่อมวลมนุษย์มานานหลาย ร้อยปี – ในองค์พระเยซูคริสต์ 14
… ถ้ามองข้ามคำวิจารณ์ต่างๆไป มันแจ่มแจ้งเหมือนเที่ยงวันหรือไม่ว่ามัทธิวเป็นผู้เริ่มต้นของหนังสือพระ กิตติคุณทั้งสี่เล่ม? ท่านเป็นผู้เดียวที่เชื่อมโยงพระคัมภีร์ใหม่เข้ากับพระคัมภีร์เดิม เพื่อแสดงให้เห็นพระราชกิจที่สำเร็จลงอย่างสมบูรณ์ตามที่กล่าวไว้ในพระ คัมภีร์ฮีบรูฉบับเดิมทุกประการ ท่านนำถ้อยคำในพระคัมภีร์เดิมมาใช้อ้างอิงมากกว่าพระกิตติคุณมาระโกและลูกา รวมกัน นอกจากนี้ มัทธิว (เพียงผู้เดียว) เขียนพระกิตติคุณเล่มนี้เพื่อชาวยิว เรียกว่าท่านน่าจะเป็นผู้เริ่มต้น หรือผู้นำของพระกิตติคุณทั้งสี่อย่างแท้จริง รวมทั้งเป็นผู้เชื่อมโยงสิ่งใหม่ให้เข้ากับสิ่งเก่าด้วย – แม้สิ่งใหม่จะเป็นการยกให้ “ยิวมาก่อน” เราควรว่าตามท่านดีกว่า ถึงจะดูล้าสมัยไปสักนิดก็ตาม!15
เป็นที่รู้กันดีว่า มัทธิวรักที่จะเล่าสิ่งที่พระเยซูทำสำเร็จตามคำพยากรณ์ในพระคัมภีร์เดิมตลอด เวลา ท่านจึงชอบเขียนว่า : “ทั้งนี้เกิดขึ้นเพื่อจะให้สำเร็จตามพระวจนะของพระเป็นเจ้า ซึ่งตรัสไว้โดยผู้ เผยพระวจนะ…” (โดยเฉพาะ ในบทที่ 1 และ 2) ในลำดับพงศ์ของมัทธิว ท่านไม่เพียงแสดงให้เห็นถึงความสำเร็จตอนหนึ่งตอนใดในพระคัมภีร์เดิม แต่เป็นพระคัมภีร์เดิมในภาพรวมทั้งหมด พระเยซูเป็นผู้ทำให้คำพยากรณ์ และเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นในพระคัมภีร์เดิมสำเร็จครบถ้วนทุกประการ16
ข้อสังเกตุประการที่เจ็ด: ลำดับพงศ์ของมัทธิวมีการจัดเตรียมเป็นอย่างดี เป็นหมวดหมู่และเรียงตามลำดับ :
ดังนั้นตั้งแต่อับราฮัมลงมาจนถึงดาวิดจึง เป็นสิบสี่ชั่วคน และนับตั้งแต่ดาวิดลงมา จนถึงต้องถูกกวาดไปเป็นเชลยที่กรุงบาบิโลน เป็นเวลาสิบสี่ชั่วคน และนับตั้งแต่ถูกกวาดต้อนไปเป็นเชลยที่กรุงบาบิโลน จนถึงพระคริสต์เป็นสิบสี่ชั่วคน (มัทธิว 1:17)
ลำดับพงศ์ของมัทธิวแบ่งออกเป็นสามช่วง แต่ละช่วงมีสิบสี่ชื่อ17 การจะทำเช่นนี้ได้ ท่านต้องละบางชื่อไป แต่ไม่เป็นปัญหา เพราะในภาษากรีก (คำว่า “เป็นบุตรของ”) หมายถึงเป็นลูกหลานของบรรพบุรุษ ซึ่งอาจเป็นลูก เป็นหลาน เป็นเหลนก็ได้ ที่ผมพยายามชี้ให้เห็นคือ มัทธิวต้องการให้เราเห็นลำดับพงศ์ที่ท่านจัดเรียงไว้เป็นลำดับ
ผมพบว่า ข้อสังเกตของบรูเนอร์ ในเรื่องโครงสร้างลำดับพงศ์นี้น่าสนใจทีเดียว :
“ถ้าจะให้เข้าใจเรื่องสิบสี่ชื่อ – สามช่วงนี้ให้ง่ายที่สุด เราต้องลองเรียงตัวอักษรของแต่ละช่วงใหม่ เช่นสิบสี่ชื่อ แรกจากอับราฮัมจนถึงดาวิดเป็นตัวเอนขวา (/) สิบสี่ชื่อของช่วงที่สอง จากกษัตริย์ซาโลมอนไปจนถูกต้อนไปเป็นเชลยที่บาบิโลน เอนซ้าย (\) และสิบสี่ชื่อสุดท้าย จากเป็นเชลยในบาบิโลนจนถึงพระเยซูคริสต์ เอนขวาใหม่” (/)18
บรูเนอร์แนะว่า ช่วงแรกจากอับราฮัมถึงดาวิด ทุกอย่างดูจะเป็นขาขึ้น คือดีขึ้นและดีขึ้นตามลำดับ ต่อมาบุตรของดาวิด กษัตริย์ซาโลมอน ดูจะพุ่งขึ้นสู่จุดสูงสุด ในหนังสือของบรูเนอร์ (หน้า 5) เชื่อว่าเป็นช่วงที่สำแดงเด่นถึงพระเมตตาคุณของพระเจ้า ที่เห็นเช่นนี้ได้ เพราะมีการนำชื่อสตรีต่างชาติเข้ามาบันทึกอยู่ในลำดับพงศ์
ช่วงที่สอง อาณาจักรที่เคยรุ่งเรืองสุดเริ่มดิ่งลง (หลังจากดาวิดและซาโลมอน) ลงไปจนถึงจุดตกต่ำที่สุด – เมื่ออิสราเอลตกไปเป็นเชลยของบาบิโลน หลังจากซาโลมอนสิ้นชีวิต อาณาจักรแตกออกเป็นสอง บรรดากษัตริย์ที่ปกครองฝ่ายเหนือมีแต่ดำเนินอยู่ในความชั่วและชั่ว ส่วนกษัตริย์ของฝ่ายยูดาห์มีทั้งดีและชั่วผสมกันไป การที่ต้องตกไปเป็นเชลยเป็นเพราะความดื้อดึง และกบฏไม่รู้จักจบสิ้นของยูดาห์ ถ้ามองด้วยสายตามนุษย์ ความหวังของอิสราเอลที่พระเจ้าจะทำตามพระสัญญาที่ให้ไว้ในพระคัมภีร์เดิมดู จะหดลงเหลือแค่หนวดแมว
ช่วงที่สาม เริ่มจะดีขึ้นอีกครั้ง พระเจ้าทรงช่วยกู้ประชากรของพระองค์ออกจากบาบิโลน และนำพวกที่เหลือกลับสู่มาตุภูมิ มีทั้งภัยอันตรายและความผิดหวัง แต่อิสราเอลเริ่มมีความหวัง
ข้อสรุป : พระเจ้าผู้ครอบครอง ทรงควบคุมอยู่เหนือประวัติศาสตร์อิสราเอล เพื่อพระประสงค์และพระสัญญาของพระองค์จะสำเร็จลงอย่างครบถ้วน เมื่อ ผม อ่านพระคัมภีร์เดิม ผมทึ่งเป็นที่สุดที่เห็นมนุษย์ก่อแต่เรื่องไม่รู้จบ ในขณะที่พระสัญญาของ พระเจ้ายังคงดำเนินต่อไป ดีที่สุดของมนุษย์ก็ยังเป็นคนบาป ต่ำกว่ามาตรฐานพระเจ้าชนิดสุดกู่ ดาวิดและซาโลมอน กษัตริย์ที่ยิ่งใหญ่ ชีวิตมีแต่เรื่องวุ่นวาย บาปของทั้งสองสร้างผลกระทบใหญ่หลวงให้กับอิสราเอล ถ้าพระสัญญาของพระเจ้าจะ สำเร็จลงโดยต้องพึ่งคนพวกนี้ เราทั้งหลายคงจะน่าสมเพชเป็นที่สุด
เมื่อผมอ่านพระคัมภีร์ทั้งเล่ม ผมมักนึกถึงพระคำตอนที่ว่า ทูตสวรรค์กำลังเฝ้าดูเหตุการณ์ต่างๆ (1 โครินธ์ 11:10; เอเฟซัส 3:10; 1 เปโตร 1:10-12) พวกทูตสวรรค์คงหายใจไม่ทั่วท้อง เมื่อเห็นอับราฮัมเที่ยวบอกใครๆว่าภรรยาเป็นน้องสาว และส่งนางไปให้ฟาโรห์ (ปฐก. 12:10-20) แล้วไปทำเช่นเดิมอีกกับอาบีเมเลค ทั้งๆที่พระเจ้าสัญญาจะประทานบุตรชายให้โดยนางซาราห์ (ปฐก. 17:15-21; 20:1-18) ยูดาห์เป็นต้นสายของวงศ์วานที่พระเมสซิยาห์จะมาบังเกิด (ปฐก. 49:8-12) แต่ยูดาห์เกือบจะอดมีบุตรเพราะความบาปของท่าน (ปฐก. 38) ครั้งแล้วครั้งเล่าที่พวกทูตสวรรค์ต้องกลั้นหายใจ กลัวว่าพระสัญญาจะไม่มีทางเกิดขึ้นเป็นจริง ถ้ามองด้วยสายตามนุษย์ วุ่นวายสิ้นดี
วิธีการที่มัทธิวเรียบเรียงลำดับพงศ์พันธ์เป็นระเบียบเรียบร้อย เป็นขั้นเป็นตอน และแบ่งเป็นสามช่วง แต่ละช่วงมีสิบสี่ชื่อ สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงการทำงานที่ละเอียดและเป็นระเบียบของท่าน ใช่หรือไม่? ถ้ามองตามมุมมองของมนุษย์ ดูจะมีแต่เรื่องสับสนวุ่นวาย แต่ผลลัพธ์กลับชัดเจนและเป็นเรื่องเดียว นั่นคือพระเจ้าทรงควบคุมอยู่ พระประสงค์และพระสัญญาจะเกิดขึ้นเป็นจริงเสมอ
สำหรับมัทธิว สามช่วงสิบสี่ชื่อนี้ เป็นการจัดเรียงอย่างมีระเบียบ สอดคล้องกันและมีความหมาย เมื่อมัทธิวมองย้อนกลับไปในประวัติศาสตร์ ไปที่ประชากรของพระเจ้า ท่านเห็นการสืบทอดต่อมาของสิบสี่ชั่วคน คั่นด้วยแต่ละยุคของประวัติศาสตร์ – ระหว่างอับราฮัม ดาวิด การเป็นเชลย และพระคริสต์ – ท่าน เกิดความประทับใจ ในการครอบครองอยู่ของพระ เจ้า ไม่ว่าจะเบื้องหลัง อยู่ภายใต้ อยู่เหนือ และตลอดความสับสนอลหม่าน ความบาป การกบฏดื้อดึง ตลอดประวัติศาสตร์ที่ขึ้นๆลงๆของอิสราเอล พระเจ้าค่อยๆทำ พระประสงค์ของพระองค์ให้สำเร็จลงแต่ละปีๆ บรรดาผู้คนที่โลดแล่นอยู่ในประวัติศาสตร์ยุคโน้น คงคิดว่าวุ่นวายจริงหนอ แต่เมื่อมองย้อนกลับไปที่พระคัมภีร์เดิม ผ่านมุมมองประวัติศาสตร์ที่พระเยซูคริสต์นำเสนอ เราเห็นพระหัตถ์อันมั่นคงและแน่นอนของพระเจ้า … สามช่วงสิบสี่ชื่อ หมายถึงการครอบครองอยู่โดยพระเจ้าของเรา 19
ข้อสังเกตุประการที่แปด : ลำดับพงศ์ของมัทธิวไม่ได้เป็นไปตามมาตรฐาน ตามรูปแบบที่เราคิด เช่น เรียงลำดับจากอิสอัคไปยาโคบ และต่อไปที่ยูดาห์ (มัทธิว 1:2) โดยทั่วๆไป การสืบทอดวงศ์ตระกูลมักจะผ่านทางบุตรหัวปี เรารู้ว่าเอซาวเป็นบุตรคนโตของ อิสอัค ไม่ใช่ยาโคบ แต่การลำดับพงศ์กลับผ่านไปทางยาโคบ สิ่งที่เกิดขึ้นไม่ใช่เป็นเพียงเรื่องเล่าธรรมดาๆ แต่เป็นแผนการของพระเจ้าที่สำเร็จลง :
อิสอัคอธิษฐานต่อพระเจ้าเพื่อภรรยาของ ท่าน เพราะนางเป็นหมัน พระเจ้าประทานตามคำอธิษฐานของท่าน เรเบคาห์ภรรยาของท่านก็ตั้งครรภ์ เด็กก็เบียดเสียดกันอยู่ในครรภ์ของนาง นางจึงพูดว่า “ถ้าเป็นเช่นนี้ ฉันจะมีชีวิตอยู่ทำไม” นางจึงไปทูลถามพระเจ้า พระเจ้าตรัสกับนางว่า “ชนสองชาติ อยู่ในครรภ์ของเจ้า และประชาชนสองพวกเกิดจากเจ้าจะต้องแยกกัน พวกหนึ่งจะแข็งแรงกว่าอีกพวกหนึ่ง พี่จะรับใช้น้อง” (ปฐมกาล 25:21-23)
ข้อสรุป : ลำดับพงศ์ของมัทธิวเป็นข้อพิสูจน์ถึงการทรงเลือกของพระเจ้า แม้ว่าโยเซฟเป็นลูกคนโปรดของยาโคบ (และท่านแบ่งส่วนมรดกบุตรหัวปีให้หลานถึงสองเท่าโดยรับเป็นบุตรของตนเอง – ปฐมกาล 48) แต่กลับเป็นทางสายของยูดาห์ ที่พระเมสซิยาห์ทรงมาบังเกิด ยูดาห์ไม่ได้เป็นบุตรหัวปี ; รูเบนเป็น ตามด้วยสิเมโอน รูเบนเสียตำแหน่งเพราะล่วงเกิน เอาภรรยาของบิดามาเป็นของตน (ปฐมกาล 49:3-4) สิเมโอนและเลวี สังหารชาวเมืองเชเคมอย่างโหดเหี้ยม (ปฐมกาล 34) ดังนั้นการสืบทอดพงศ์พันธ์จึงไม่สามารถทำได้โดยทางสิเมโอน (ปฐมกาล 49:5-7) ตามที่ อ.เปาโลชี้ให้เห็นในหนังสือโรมบทที่ 9 ลำดับพงศ์ตามพระสัญญานั้นเป็นการทรงเลือกที่ชัดเจนยิ่งนัก :
แต่มิใช่ว่าพระวจนะของพระเจ้าได้ล้มเหลวไป เพราะว่าเขาทั้งหลายที่เกิดมาจากอิสราเอลนั้น หาได้เป็น คนอิสราเอลแท้ทุกคนไม่ และมิใช่ว่าทุกคนที่เป็นเชื้อสายของอับราฮัมเป็นบุตรแท้ของท่าน แต่ว่า เขา จะ “เรียกเชื้อสายของท่านทางอิสอัค” หมายความว่าคนที่เป็นบุตรของพระเจ้านั้น มิใช่บุตรทางเนื้อ หนัง แต่บุตรตามพระสัญญา จึงจะถือว่าเป็นผู้สืบเชื้อสายได้ เพราะพระสัญญามีว่าดังนี้ :
“เราจะมา ตามฤดูกาล และนางซาราห์จะมีบุตรชาย” และมิใช่เท่านั้น แต่ว่า นางเรเบคคาก็ได้มีครรภ์กับชายคนหนึ่งด้วย คืออิสอัคบรรพบุรุษของเรา— แม้ก่อนบุตรนั้นบังเกิดมา และยังไม่ได้กระทำดีหรือชั่ว เพื่อพระดำริของพระเจ้าในการทรงเลือกนั้น จะตั้งมั่นคงอยู่ ไม่ใช่ตามการประพฤติ แต่ตามซึ่งพระองค์ทรง เลือก — พระองค์จึงตรัสแก่นางนั้นว่า “พี่จะปรนนิบัติน้อง” ตามที่มีคำเขียนไว้ในพระคัมภีร์ว่า “ยาโคบนั้นเรารัก แต่เอซาวเราได้ชัง” (โรม 9:6-13)
แม้ยาโคบจะต่อสู้ทั้งกับพระ เจ้าและมนุษย์ (ดูปฐมกาล 32:28) ในที่สุดท่านก็พบว่า พระเจ้าเองเป็นผู้ยกมนุษย์ขึ้นให้เหนือกว่ามนุษย์ผู้อื่น ท่านกล่าวทิ้งท้ายไว้ก่อนตายว่า :
โยเซฟเอาบุตรลงจากเข่าของท่าน แล้วกราบลงถึงดิน โยเซฟจูงบุตรทั้งสองเข้าไปใกล้บิดา มือขวาจับ เอฟราอิมให้อยู่ข้างซ้ายอิสราเอล และมือซ้ายจับมนัสเสห์ให้อยู่ข้างขวาอิสราเอล ฝ่ายอิสราเอลก็เหยียด มือขวาออกวางบนศีรษะเอฟราอิมผู้เป็นน้อง และมือซ้ายวางไว้บนศีรษะมนัสเสห์ เหยียดมือออกไขว้กันเช่นนั้น เพราะมนัสเสห์เป็นบุตรหัวปี แล้วอิสราเอลกล่าวคำอวยพรแก่โยเซฟว่า “ขอพระเจ้าที่อับราฮัมและอิสอัค บิดาข้าพเจ้า ดำเนินอยู่เฉพาะพระพักตร์นั้น ขอพระเจ้าผู้ทรงบำรุงเลี้ยงชีวิตข้าพเจ้า ตั้งแต่เกิดมาจนวันนี้ ขอทูตสวรรค์ที่ได้ช่วยข้าพเจ้าให้พ้นจากความชั่วร้ายทั้งสิ้น โปรดอวยพรแก่เด็กทั้งสองนี้ ให้เขาสืบชื่อ ของข้าพเจ้าและชื่อของอับราฮัม และชื่อของอิสอัคบิดาของข้าพเจ้าไว้ และขอให้เขาเจริญขึ้นเป็นมวลชน บนแผ่นดินเถิด” ฝ่ายโยเซฟเมื่อเห็นบิดาวางมือข้างขวาบนศีรษะของ เอฟราอิมก็ไม่พอใจ จึงจับมือบิดา จะยกจากศีรษะเอฟราอิมวางบนศีรษะมนัสเสห์ โยเซฟเตือนบิดาว่า “ไม่ถูก คุณพ่อ เพราะคนนี้เป็นหัวปี ขอพ่อวางมือขวาบนศีรษะคนนี้เถิด” บิดาก็ไม่ยอม ตอบว่า “พ่อรู้แล้ว ลูกเอ๋ย พ่อรู้แล้ว เขาจะเป็นคนเผ่าหนึ่งด้วย และเขาจะใหญ่โตด้วย อย่างไรก็ดีน้องชายจะใหญ่โตกว่าพี่ และพงศ์พันธุ์ของน้องนั้น จะเป็นคนหลายประชาชาติด้วยกัน” วันนั้นอิสราเอลก็ให้พรแก่ทั้งสองคนว่า “พวกอิสราเอลจะใช้ชื่อเจ้าให้พรว่า ‘ขอพระเจ้าทรงโปรดให้ท่านเป็นเหมือนเอฟราอิม และเหมือนมนัสเสห์ เถิด’” อิสราเอลจึงให้เอฟราอิมเป็นใหญ่กว่ามนัสเสห์ (ปฐมกาล 48:12-20)
โยเซฟรู้สึกหนักใจที่บิดาสับสน ไม่รู้ว่าหลานคนใดคือบุตรหัวปี สมควรได้รับมรดกตามสิทธิ ท่านพยายามนำมือบิดาไปวางไว้ที่บุตรหัวปี เพื่อจะได้รับพร แต่ยาโคบไม่สนใจทำตาม ท่านรู้ดีว่ากำลังทำสิ่งใด และในขณะที่ท่านสลับมือกลับ ผมเชื่อว่าการกระทำเช่นนี้เป็นพยานอย่างดีถึงการทรงเลือกของพระเจ้าผู้ควบ คุม ทุกสิ่งล้วนแล้วมาจากพระองค์ เพราะพระองค์เป็นผู้ครอบครอง ลำดับพงศ์ของมัทธิวจึงเป็นพยานถึงการทรงเลือกของพระเจ้า
ลำดับพงศ์ตามข้อ 1-17 แสดงให้เห็นถึงความเป็นมนุษย์ของพระเยซูคริสต์ มัทธิวแสดงให้เห็นว่าพระองค์ทรงเป็นลูกหลานของอับราฮัมและดาวิด และเป็นไปตามพระสัญญาที่ทรงกระทำไว้กับทั้งสอง เมื่อได้พิสูจน์ถึงความเป็นมนุษย์ของพระเยซูแล้ว (เป็นมนุษย์เที่ยงแท้แน่นอน) ท่านต้องเปิดเผยให้รู้ถึงต้นกำเนิดแท้จริงของพระเมสซิยาห์ พระเมสซิยาห์ไม่ได้เป็นเพียงมนุษย์เท่านั้น ; พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าด้วย – พระเจ้า ผู้สถิตกับเรา ข้อ 18-25 พูดถึงขั้นตอนที่นางมารีย์ตั้งครรภ์ มิใช่โดยโยเซฟ แต่โดยเดชพระวิญญาณบริสุทธิ์ :
เรื่องพระกำเนิดของพระเยซูคริสต์เป็นดัง นี้ คือมารีย์ผู้เป็นมารดาของพระเยซูนั้น เดิมโยเซฟ ได้สู่ขอหมั้นกันไว้แล้ว ก่อนที่จะได้อยู่กินด้วยกันก็ปรากฏว่า มารีย์มีครรภ์แล้วด้วยเดชพระวิญญาณบริสุทธิ์ แต่โยเซฟคู่หมั้นของเขาเป็นคนมีธัมมะ ไม่พอใจที่จะแพร่งพรายความเป็นไปของเธอ หมายจะถอนหมั้นเสียลับๆ แต่เมื่อโยเซฟยังคิดในเรื่องนี้อยู่ ก็มีทูตองค์หนึ่งของพระเป็นเจ้า มาปรากฏแก่โยเซฟในความฝันว่า “โยเซฟบุตรดาวิด อย่ากลัวที่จะรับมารีย์มาเป็นภรรยาของเจ้าเลย เพราะว่าผู้ซึ่งปฏิสนธิในครรภ์ของเธอเป็นโดยเดชพระวิญญาณบริสุทธิ์ เธอจะประสูติบุตรชาย แล้วเจ้าจงเรียกนามท่านว่า เยซู เพราะว่าท่านเป็นผู้ที่จะโปรดช่วยชนชาติของท่านให้รอดจากความผิดบาปของเขา” ทั้งนี้เกิดขึ้นเพื่อจะให้สำเร็จตามพระวจนะของพระเป็นเจ้า ซึ่งตรัสไว้โดยผู้เผยพระวจนะว่า ดูเถิด หญิงพรหมจารีคนหนึ่งจะตั้งครรภ์และคลอดบุตรชายคนหนึ่ง และเขาจะเรียกนามของท่านว่าอิมมานูเอล (แปล ว่าพระเจ้าทรงอยู่กับเรา) ครั้นโยเซฟตื่นขึ้นก็กระทำตามคำซึ่งทูตของพระเจ้าสั่งนั้น คือได้รับมารีย์มาเป็นภรรยา แต่มิได้สมสู่กับเธอจนประสูติบุตรชายแล้ว และโยเซฟเรียกนามของบุตรนั้นว่าเยซู
เราไม่มีเวลาพอจะอรรถาธิบายพระคำสุดแสนมหัศจรรย์ตอนนี้ แต่ผมขอให้ข้อสังเกตบางประการ
ข้อแรก มัทธิวมุ่งความสนใจของผู้อ่านไปที่โยเซฟ ขณะที่ลูกาให้ความสำคัญที่นางมารีย์ แต่ ที่สุดแล้วน้ำหนักไปลงที่การถือกำเนิดขององค์พระเยซูคริสต์เท่าเทียมกัน แต่ทำไมมัทธิวถึงให้เราเห็นว่าเรื่องของโยเซฟนั้นสำคัญ? เหตุผลหนึ่งคือ โดยทางโยเซฟนี้เอง ที่เป็นผู้ต่อลำดับพงศ์จากดาวิดมายังพระเยซู โยเซฟไม่ได้เป็นบิดาทางกายของพระเยซู เป็นเพียงบิดาทางกฎหมายเท่านั้น ดังนั้นพระเยซูจึงได้เป็น “บุตรดาวิด” โดยทางท่าน
มัทธิวเพียงต้องการให้เราเห็นข้อเท็จจริงว่าโยเซฟนั้นเป็นผู้ “มีธัมมะ” (1:19) แน่นอนท่านเป็นเช่นนั้น ผมกลัวว่าพวกเราจะมองไม่เห็นถึงบทบาทสำคัญที่โยเซฟมีต่อพระเยซูในวัยเยาว์ เราไม่ควรมองข้ามเรื่องนี้ ดูเหมือนเป็นที่เข้าใจว่านางมารีย์อายุยังน้อยเมื่อมีพระเยซู – อาจในวัยรุ่น และโยเซฟนั้นอายุมากกว่า (เข้าใจกันว่าท่านเสียชีวิตก่อนพระเยซูเสด็จออกทำพันธกิจ) ผมเชื่อว่าโยเซฟมีธัมมะในใจพอ ท่านเสนอขอถอนหมั้นนางมารีย์อย่างลับๆ แทนที่จะเอาเรื่องเอาราวกับเธอทางข้อกฎหมาย เมื่อเดือนที่แล้วท่านนายกเทศมนตรีอิลลินอยส์ จอร์จ ไรอัน ยกโทษให้นักโทษประหารถึงสี่คน และบางคนลดโทษให้เหลือแค่จำคุกตลอดชีวิต ที่ทำเช่นนั้นเพราะเมื่อมีการสอบสวนกันอย่างรอบคอบ พบว่านักโทษบางคนบริสุทธิ์ และคนที่ทำผิดจริงถูกนำตัวมาลงโทษ ไรอันกล่าวเมื่อถูกวิจารณ์ว่า “ท่านทำในสิ่งที่กล้าหาญมาก” แต่ท่านกลับพูดว่ามันเป็นเพียง “ทำในสิ่งที่ถูกต้อง”
โยเซฟคงรู้จักนางมารีย์เป็นอย่าง ดี ; รู้พื้นเพว่าเธอเป็นคนอย่างไร ดำเนินชีวิตอย่างบริสุทธิ์และซื่อตรง เธอคงบอกโยเซฟว่า เธอไม่เคยมีสัมพันธ์กับชายใด และแน่ๆเล่าเรื่องทูตสวรรค์ที่มาพบและการตอบสนองของเอลีซาเบธ เรื่องที่มารีย์เล่าฟังดูเหลือเชื่อ จนทำให้โยเซฟคิดสงสัย …….ในความมีธัมมะของท่าน ท่านไม่ยอมให้เรื่องนี้รู้ถึงมือกฎหมาย เพราะเป็น เรื่องคอขาดบาดตาย ท่านยอมให้นางมารีย์ดำเนินชีวิตต่อไปอย่างเงียบๆ คอยเวลาที่ความจริงเปิดเผย เพื่อยืนยันตามคำบอกเล่าของนาง ผมคาดเดาไปเองหรือเปล่า? น่าจะใช่ แต่อยากจะบอกว่า มัทธิวบอกเราตั้งแต่ต้นว่าโยเซฟเป็นคนมีธัมมะ เพราะเหตุนี้ผมจึงคิดว่าสิ่งที่โยเซฟทำเพื่อนางมารีย์นั้น เป็นเพราะความมีธัมมะของท่าน
ต้องเป็นคนมีธัมมะในใจ และมีความเชื่อมากพอ จึงจะเชื่อคำพูดของทูตสวรรค์ในความฝันได้ว่านางมารีย์ตั้งครรภ์โดยเดชของ พระวิญญาณบริสุทธิ์ ต้องเป็นคนมีธัมมะพอที่จะรับหญิงตั้งครรภ์นี้มาเป็นภรรยา โดยที่ทุกคนคิดว่าท่านเป็นบิดาของเด็ก แลดูเหมือนทั้งคู่ทำบาปก่อนแต่งงาน ต้องเป็นคนที่สงบและมีความมั่นคงในจิตใจ พอที่จะจัดการกับสถานการณ์อันเจ็บปวดนี้ ได้ และพร้อมรับเรื่องอื่นๆที่จะตามมา เมื่อพระเยซูถือกำเนิด (ไม่ว่าการเดินทางไปเบธเลเฮม ไม่มีที่พักอาศัย) โยเซฟยอม เสี่ยงภัย ทิ้งประเทศอิสราเอล นำครอบครัวไปหลบภัยในประเทศอียิปต์ ท่านใช้สติปัญญา และเชื่อฟังการทรงนำของพระเจ้า ผ่านทางนิมิตที่มีมาหลายครั้ง พระเจ้าทรงมีพระคุณอย่างเหลือล้นที่จัดเตรียมคนเช่นนี้ให้กับนางมารีย์ เพื่อให้นางมั่นใจและสบายใจ เพื่อให้นางมีที่ปรึกษา มีผู้คอยคุ้มครองดูแลนางและบุตรที่กำลังเกิดมา!
ประการที่สอง มัทธิวมีความรอบคอบเป็นอย่างยิ่ง ที่ประกาศถึงการกำเนิดอันบริสุทธิ์ของพระเยซู ใน ข้อ 1-17 มัทธิวแสดง ให้เห็นต้นกำเนิดเชื้อสายของพระเยซู ซึ่งผ่านมาทางอับราฮัมและดาวิด ตอนนี้มัทธิวกำลังแสดงให้เห็นชัดว่าพระเยซูไม่ได้เป็น เพียงมนุษย์ธรรมดาเท่านั้น พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าด้วย ความเป็นพระเจ้าของพระองค์ทำให้คำพยากรณ์ของอิสยาห์เกิดขึ้น เป็นจริง (อิสยาห์ 7:14, นำมาอ้างในมัทธิว 1:23) ทูตสวรรค์เองก็ประกาศถึงความเป็นพระเจ้าของพระองค์ ที่นางมารีย์ตั้งครรภ์ ทูตสวรรค์ประกาศว่าไม่ใช่เป็นเพราะมนุษย์คนใด แต่เป็นโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ (ข้อ 20-21) การประกาศว่าโยเซฟ มิใช่เป็นบิดาที่แท้จริงของพระเยซูนั้น กระทำด้วยความนุ่มนวลแต่ชัดเจน
ประการที่สาม ในพระคำตอนนี้ มัทธิวอธิบายถึงพระลักษณะและพระราชกิจขององค์พระผู้เป็นเจ้าด้วยชื่อสองชื่อ ในลำดับ พงศ์ข้อ 1-17 มัทธิวโยงพระเยซูเข้ากับบุคคลสำคัญสองท่านในพระคัมภีร์เดิม : อับราฮัมและดาวิด พระเยซูทรงเป็น “บุตร ดาวิด” และทรงเป็น “บุตรของอับราฮัม” ด้วย ดังนั้นพันธสัญญาของทั้งอับราฮัมและของดาวิด จึงสำเร็จลงอย่างสมบูรณ์ ต่อมาในข้อ 18-25 มัทธิวอธิบายถึงพระบุคคลของพระเยซูคริสต์และพระราชกิจของพระองค์ โดยชื่อสองชื่อของพระองค์ : (1) เยซู (โยชูวา = ยาเวห์ทรงกู้); และ (2) อิมมานูเอล (“พระเจ้าอยู่ด้วยกับเรา“)
ชื่อนี้มีความหมายมากเพียงใด? มากครับ! สำหรับชาวยิวแล้วชื่อแต่ละชื่อมีความหมายและสำคัญจนเรานึกไม่ถึง “อับราม” แปลว่า “บิดาผู้สูงส่ง” ส่วน “อับราฮัม” แปลว่า “บิดาของผู้คนมากมาย” พระเยซูทรงตั้งชื่อซีโมนว่า “เปโตร” หรือ “เปตรอส” แปลว่าศิลา ชื่อของพระเยซูบ่งถึงพระลักษณะและพระราชกิจของพระองค์ คำว่าเยซูมาจากภาษาฮีบรู โยชูวา แปลว่า “พระเยโฮวาห์เป็นความรอด” ตามที่ทูตสวรรค์แจ้งแก่โยเซฟ ว่าเด็กที่จะเกิดแก่นางมารีย์นั้น จะมีนามว่า “เยซู” “เพราะว่าท่านเป็นผู้ที่จะโปรดช่วยชนชาติของท่านให้รอดจากความผิดบาปของเขา” (มัทธิว 1:21) พระเยซูทรงเป็นหนทาง ความรอดของพระเจ้า เป็นผู้ที่พระเจ้าจะทำให้แผนการความรอดเพื่อคนบาปทั้งหลายสำเร็จลง พระองค์ทรงเป็นผู้เดียว ที่มีคุณสมบัติพอสำหรับพระราชกิจนี้ เพราะพระองค์ทรงเป็นทั้งพระเจ้าและมนุษย์ ทรงปราศจากบาป จึงทรงเป็น “ลูกแกะ ของพระเจ้า” ที่สมบูรณ์ ไร้ตำหนิ การสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน ไม่ใช่เป็นเพราะบาปของพระองค์ แต่เป็นบาปของเรา ทุกครั้งที่เราฉลองพิธีมหาสนิท เรากำลังนมัสการพระเยซูผู้เป็นพระผู้ช่วยให้รอด เป็นผู้ช่วยกอบกู้เราให้พ้นจากโทษความผิดบาป
พระเยซูทรงถูกเรียกอีกด้วยว่าเป็น องค์ “อิมมานูเอล” ตามคำพยากรณ์ของอิสยาห์ 7:14 เราไม่มีเวลาพอที่จะเจาะเรื่องนี้ เป็นไปได้ว่าอิสยาห์เองยังไม่เข้าใจในสิ่งที่ท่านพยากรณ์ ว่าหมายถึงพระเมสซิยาห์ที่จะเสด็จมาในอนาคต (ดู 1เปโตร 1:10-12) ตามข้อพระคำในพระคัมภีร์เดิมที่มัทธิวยกมา ยังเห็นไม่ชัดเจน เหมือนยังมีม่านบัง ถึงพระราชกิจของพระเมสซิยาห์ ซึ่งกินความหมายลึกซึ้งกว้างไกลกว่าจะบรรยายเป็นคำพูดได้ ส่วนมากสิ่งที่เป็นเหมือนม่านบัง จะไม่มีใครมองทะลุได้หมด จนพระราชกิจของพระคริสต์สำเร็จลง โดยเดชพระวิญญาณบริสุทธิ์ “อิมมานูเอล” แปลว่า “พระเจ้าอยู่ด้วยกับเรา” ในการลง มาบังเกิด พระเจ้าเสด็จเข้ามาในโลกนี้ มารับสภาพเนื้อหนัง อยู่ท่ามกลางมนุษย์ ท่านยอห์นพูดถึงเรื่องนี้ไว้อย่างสวยงามว่า :
พระวาทะได้ทรงบังเกิดเป็นมนุษย์และทรง อยู่ท่ามกลางเรา บริบูรณ์ด้วยพระคุณและความจริง เราทั้งหลายได้เห็นพระสิริของพระองค์ คือพระสิริอันสมกับพระบุตรองค์เดียวของพระบิดา ยอห์น ได้เป็นพยานให้แก่พระองค์ และร้องประกาศว่า “นี่แหละคือพระองค์ผู้ที่ข้าพเจ้าได้กล่าวถึงว่าพระองค์ผู้ เสด็จมาภายหลังข้าพเจ้าทรงเป็นใหญ่กว่าข้าพเจ้า เพราะว่าพระองค์ทรงดำรงอยู่ก่อนข้าพเจ้า” และ เราทั้งหลายได้รับจากความบริบูรณ์ของพระองค์ เป็นพระคุณซ้อนพระคุณ เพราะว่าพระเจ้าได้ทรง ประทานธรรมบัญญัตินั้นทางโมเสส ส่วนพระคุณและความจริงมาทางพระเยซูคริสต์ ไม่มีใครเคยเห็น พระเจ้าเลย พระบุตรองค์เดียวผู้ทรงสถิตอยู่ในพระทรวงของพระบิดา พระองค์ได้ทรงสำแดงพระเจ้าแล้ว (ยอห์น 1:14-18)
การสถิตอยู่ของพระเจ้าท่ามกลางเรา ไม่ใช่แป็นเวลาแค่สามสี่ปีที่พระเยซูทำพันธกิจบนที่โลก ถ้อยคำสุดท้ายของพระกิตติคุณ มัทธิว ทำให้ผู้อ่านมั่นใจว่าพระองค์จะสถิตกับเรา จนถึงสิ้นยุค :
พระเยซูจึงเสด็จเข้ามาใกล้แล้วตรัสกับเขา ว่า “ฤทธานุภาพทั้งสิ้นในสวรรค์ก็ดี ในแผ่นดินโลกก็ดี ทรงมอบไว้แก่เราแล้ว เหตุฉะนั้นเจ้าทั้งหลายจงออกไปสั่งสอนชนทุกชาติ ให้เป็นสาวกของเรา ให้รับบัพติศมาในพระนามแห่งพระบิดา พระบุตรและพระวิญญาณบริสุทธิ์ สอนเขาให้ถือรักษาสิ่งสารพัดซึ่งเราได้สั่งพวกเจ้าไว้ นี่แหละเราจะอยู่กับเจ้าทั้งหลายเสมอไป จนกว่าจะสิ้นยุค” (มัทธิว 28:18-20)
ด้วยเหตุที่พระองค์ทรงยัง “อยู่กับเรา” พระองค์ทรงส่งพระวิญญาณของพระองค์ มาอยู่ท่ามกลางเรา และภายในเรา :
เราจะทูลขอพระบิดา และพระองค์จะประทานผู้ช่วยอีกผู้หนึ่งให้แก่ท่าน เพื่อจะได้อยู่กับท่านตลอดไป คือพระวิญญาณแห่งความจริง ซึ่งโลกรับไว้ไม่ได้ เพราะแลไม่เห็นและไม่รู้จักพระองค์ ท่านทั้งหลาย รู้จักพระองค์ เพราะพระองค์ทรงสถิตอยู่กับท่าน และจะประทับอยู่ในท่าน (ยอห์น 14:16-17)
สำหรับพวกเรา บ่อยครั้งหลงลืมความสำคัญของ “อิมมานูเอล” ไป เมื่อไม่นานมานี้ผมกลับไปอ่านพระคัมภีร์เดิมห้าเล่มแรกอีกครั้ง ทึ่งครับ กับสิ่งที่ธรรมิกชนในยุคพระคัมภีร์ใหม่ได้รับ การมีประสบการณ์ความชื่นชมยินดี ความรู้สึกปลอดภัย ใน “การสถิตอยู่กับเรา” ของ พระองค์ ชนิดที่ธรรมิกชนในพระคัมภีร์เดิมไม่มีโอกาสได้รับ ลองคิดถึงความต่างของธรรมิกชนใน ยุคพระคัมภีร์เดิม เช่นเรื่อง “ระยะทาง” และความเป็นอยู่ของคนในยุคนั้น:
พระเจ้าเสด็จลงมาบนยอดภูเขาซีนาย พระเจ้าทรงเรียกโมเสสให้ขึ้นไปบนยอดเขา โมเสสก็ขึ้นไป พระเจ้าตรัสสั่งโมเสสว่า “เจ้าจงลงไปกำชับประชาชน เกรงว่าเขาจะล่วงล้ำเข้ามาถึงพระเจ้า เพราะอยาก เห็น แล้วเขาจะพินาศเสียเป็นจำนวนมาก อีกประการหนึ่ง พวกปุโรหิต ที่เข้ามาเฝ้าพระเจ้า นั้นให้เขาชำระตัวให้บริสุทธิ์ ด้วยเกรงว่าพระเจ้าจะทรงพระพิโรธลงโทษเขา” ฝ่ายโมเสสกราบทูล พระเจ้าว่า”ประชาชนขึ้นมาบนภูเขาซีนายไม่ได้ เพราะพระองค์ทรงสั่งข้าพระองค์ทั้งหลายว่า ‘จงกั้น เขตรอบภูเขานั้น ชำระให้เป็นที่บริสุทธิ์’” พระเจ้าจึงตรัสกับโมเสสว่า “ลงไปเถิด แล้วกลับขึ้นมาอีก พาอาโรนขึ้นมาด้วย แต่อย่าให้พวกปุโรหิตและประชาชนล่วงล้ำขึ้นมาถึงพระเจ้า เกรงว่าพระองค์จะลงโทษเขา” โมเสสก็ลงไปบอกประชาชนตามนั้น (อพยพ 19:20-25)
ในอพยพ 32 ชาวอิสราเอลทำบาปใหญ่หลวงเมื่อโมเสสไม่อยู่ พวกเขายุให้อาโรนทำวัวทองคำ และเริ่มนมัสการมัน พระเจ้า ประสงค์จะกำจัดคนอิสราเอลให้หมดสิ้น และสร้างพงศ์พันธ์ขึ้นมาใหม่โดยทางโมเสส เมื่อโมเสสเข้ามาช่วยกู้สถานการณ์ พระเจ้าทรงยอมให้ โดยส่งทูตสวรรค์มานำคนอิสราเอลไปยังดินแดนพันธสัญญา แต่พระองค์ตรัสว่าจะไม่ไปด้วยเพราะ เหตุว่า:
เราจะใช้ทูตผู้หนึ่งนำหน้าเจ้าไปและจะไล่ คนคานาอัน คนอาโมไรต์ คนฮิตไทต์ คนเปริสซี คนฮีไวต์ คนเยบุส ออกเสียจากที่นั่น จงนำไปถึงแผ่นดินซึ่งมีน้ำนมและน้ำผึ้งไหลบริบูรณ์ แต่เราจะไม่ขึ้นไปกับพวกเจ้า เกรงว่าเราจะทำลายล้างพวกเจ้าเสียกลางทาง เพราะว่าเจ้าเป็นชนชาติที่หัวแข็ง” (อพยพ 33:2-3)
แต่แล้วพระเจ้าก็ยอมไปด้วย พระองค์ทรงสถิตอยู่ท่ามกลางประชากรของพระองค์ ในอภิสุทธิสถานในพลับพลา ถึงกระนั้น ก็ยังมีสิ่งที่ขวางกั้นระหว่างมนุษย์และพระเจ้า ม่านในพลับพลา ที่ปุโรหิตใช้กั้น แยกประชากรอิสราเอล ออกจากพระเจ้า :
ให้คนอิสราเอลตั้งเต็นท์ตามที่ของตนแต่ละ พวก และแต่ละคนตามค่ายของตน และแต่ละคนตามธงเผ่าของตน แต่ให้คนเลวีตั้งเต็นท์รอบพลับพลาพระโอวาท เพื่อมิให้พระพิโรธเกิดเหนือชุมนุมชนอิสราเอล ให้เผ่าเลวีปฏิบัติ งานพลับพลาพระโอวาท” (กันดารวิถี 1:52-53)
มนุษย์ไม่อาจเข้าเฝ้าพระเจ้าได้ โดยไม่มีเครื่องถวายบูชา ถึงกระนั้นก็ยังมีขอบเขตในการเข้าเฝ้า ช่างแตกต่างโดยสิ้นเชิงกับเมื่อพระเยซูถือกำเนิดขึ้นมาในโลกนี้ :
ซึ่งมีตั้งแต่ปฐมกาล ซึ่งเราได้ยิน ซึ่งเราได้เห็นกับตา ซึ่งเราได้พินิจดู และจับต้องด้วยมือของเรานั้น เกี่ยวกับพระวาทะแห่งชีวิต (และชีวิตนั้นได้ปรากฏ และเราได้เห็น และเป็นพยาน และประกาศชีวิต นิรันดร์นั้นแก่ท่านทั้งหลาย ชีวิตนั้นได้ดำรงอยู่กับพระบิดาและได้ปรากฏแก่เราทั้งหลาย) (1ยอห์น 1:1-2)
เรามาโบสถ์ด้วยความแน่ใจว่าพระเจ้าสถิตอยู่ เราไม่ต้องนำเครื่องเผาบูชามาถวาย เราไม่ถูกกำจัดขอบเขตการเข้าเฝ้า และขณะที่พระเจ้าอยู่กับเราในโบสถ์ พระองค์สถิตอยู่ในเราเสมอโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ และจะอยู่ต่อไปจนสิ้นยุค ผู้ที่ช่วยกู้เรา คือผู้ที่อยู่ติดสนิทกับเรา และพระองค์สัญญาว่าจะไม่ทอดทิ้งเราเลย :
ท่านจงอย่าเป็นคนเห็นแก่เงิน จงพอใจในสิ่งที่ท่านมีอยู่ เพราะว่าพระองค์ได้ตรัสว่า เราจะไม่ละท่าน หรือทอดทิ้งท่านเลย เหตุฉะนั้นเราทั้งหลายอาจกล่าวด้วยใจเชื่อมั่นว่า องค์พระผู้เป็นเจ้า ทรงเป็นพระ ผู้ช่วยของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะไม่กลัว มนุษย์จะทำอะไรแก่ข้าพเจ้าได้เล่า? (ฮีบรู 13:5-6)
เราไม่เห็นจะต้องกลัวเมื่ออยู่ ใกล้องค์พระผู้เป็นเจ้าของเราอย่างที่ธรรมิกชนในพระคัมภีร์เดิมเคยเป็น ในพระคริสต์เรามีหน ทางเข้าเฝ้าพระเจ้า และเราสามารถเข้าไปด้วยใจกล้าหาญ :
เหตุฉะนั้นพี่น้องทั้งหลาย เมื่อเรามีใจกล้าที่จะเข้าไปสู่สถานศักดิ์สิทธิ์โดยพระโลหิตของพระเยซู ตามทางใหม่และเป็นทางที่มีชีวิต ซึ่งพระองค์ได้ทรงเปิดออกให้เราผ่านเข้าไปทางม่านนั้น คือทาง พระกายของพระองค์ และเมื่อเรามีปุโรหิตใหญ่เหนือหมู่คนของพระเจ้าแล้ว ก็ให้เราเข้าไปใกล้ ด้วยความบริสุทธิ์ใจ ด้วยไว้ใจเต็มที่ มีใจที่ได้รับการทรงชำระให้สะอาดแล้ว และมีกายที่ล้างชำระด้วยน้ำ บริสุทธิ์ ขอให้เรายึดมั่นในความหวังที่เราทั้งหลายเชื่อและรับไว้นั้น โดยไม่หวั่นไหว เพราะว่าพระองค์ผู้ทรงประทานพระสัญญานั้นทรงสัตย์ซื่อ และขอให้เราพิจารณาดูว่า จะทำอย่างไร จึงจะ ปลุกใจซึ่งกันและกันให้มีความรักและทำความดี อย่าขาดการประชุมเหมือนอย่างบางคนที่ขาดอยู่นั้น แต่จงพูดหนุนใจกันให้มากยิ่งขึ้น เพราะท่านทั้งหลายก็รู้อยู่ว่าวันนั้นใกล้เข้ามาแล้ว (ฮีบรู 10:19-25)
คิดดูดีๆ ผู้ที่ช่วยมนุษย์ให้พ้นจากความผิดบาป สัญญาว่าจะอยู่ท่ามกลางเรา และอยู่กับเรา เป็นได้อย่างไรกัน? เราจะสัมผัสถึงการช่วยกู้ และการทรงอยู่กับเราได้อย่างไร? โดยทางพระเยซูคริสต์เท่านั้น เราต้องสารภาพบาปผิดของเรา และวางใจในองค์พระเยซู ว่าพระองค์ทรงโปรดยกโทษให้ เราต้องรับพระองค์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด และเมื่อนั้นพระองค์จะทรงช่วยเรา และสถิตอยู่กับเรา คุณรับพระองค์เป็นพระผู้ช่วยแล้วหรือยัง? พระองค์สถิตอยู่กับคุณและภายในคุณหรือยัง? นี่เป็นพระ ราชกิจที่พระองค์เสด็จมากระทำบนโลกนี้ ผมภาวนาขอให้คุณมีโอกาสรู้จักพระองค์ ได้ต้อนรับพระองค์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด และเป็นผู้อยู่เคียงข้างคุณตลอดไป
โดย : Robert L (Bob) Deffinbaugh
ได้รับอนุญาตและเป็นลิขสิทธิของ https://bible.org/
แปล : อรอวล ระงับภัย (Church of Joy)
1 เป็นลิขสิทธิ์ของ (Copyright © 2003) Community Bible Chapel, 418 E. Main Street, Richardson, TX 75081. บทเรียนพระธรรมมัทธิวบทนี้ (Studies in the Gospel of Matthew ) จัด เตรียมโดย Robert L. Deffinbaugh เมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2003 สามารถนำไปใช้เพื่อการศึกษาเท่านั้น ทางคริสตจักรของเราเชื่อว่าบทเรียนเหล่านี้ ถูกต้องตรงตามพระ วจนะคำทุกประการ เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการศึกษาเพิ่มเติม ไม่มีการหวงห้ามถ้าต้องการใช้สำหรับการเรียนการสอนพระวจนะ เป็นงานของ Community Bible Chapel.
2 นอกจากที่กล่าวไปแล้ว พระวจนะที่นำมาอ้างอิงทั้งหมดมาจาก NET Bible (The NEW ENGLISH TRANSLATION) เป็นฉบับแปลใหม่ทั้งหมด ไม่ใช่นำฉบับเก่าในภาษาอังกฤษมาเรียบเรียงใหม่ ใช้ผู้เชี่ยวชาญและนักวิชาการพระคัมภีร์มากกว่า ยี่สิบคน รวบรวมข้อมูล ทั้งจากภาษาฮีบรูโดยตรง ภาษาอาราเมข และภาษากรีก โครงการแปลนี้เริ่มมาจากที่เราต้องการนำพระคัมภีร์ เผยแพร่ผ่านสื่ออีเลคโทรนิค เพื่อรองรับการใช้งานทางอินเตอร์เน็ท และซีดี (compact disk) ที่ใดก็ตามในโลก ที่ต่อเข้าอินเตอร์เน็ทได้ ก็สามารถเรียกดู และพริ้นทข้อมูลไว้เพื่อใช้ศึกษาเป็นการส่วนตัวได้โดยไม่คิดมูลค่า นอกจากนี้ ผู้ใดก็ตาม ที่ต้องการนำข้อมูลเกี่ยวกับพระคัมภีร์ไปเผยแพร่ต่อโดยไม่คิดเงิน สามารถทำได้จากเว็บไซด์ : www.netbible.org.
3 อ้างจากข้อเขียนของ Michael Green, Matthew For Today: Expository Study of Matthew (Dallas, Texas: Word Publishing, 1989), p. 37.
4 อ้างจากข้อเขียนของ James Montgomery Boice, The Gospel of Matthew (Grand Rapids, Michigan: Baker Books, 2001), vol. 1, p. 16.
5 จาก Boice, p. 16, citing J. Gresham Machen, The Virgin Birth of Christ (1930; reprint, London: James Clarke, 1958), p. 209.
6 จาก Boice, p. 17.
7 ทอม ไรท์ เพื่อนของผมชี้ข้อสังเกตุนี้ให้เห็น หลังจากที่ผมได้เทศนาพระธรรมตอนนี้ไปแล้ว
8 จาก Fredrick Dale Bruner, The Christbook: A Historical/Theological Commentary (Waco, Texas: Word Books, 1987), vol. 1, p. 6.
9 อย่าลืมว่ายูดาห์เองยังสารภาพว่าทามาร์นั้น “ชอบธรรมยิ่งกว่าเรา” (ปฐก. 38:26) บัทเชบาตกเป็นเหยื่อ มากกว่า จะเป็นผู้ล่อลวง (2 ซมอ. 12:1-4) และราหับมีชื่ออยู่ใน “ทำเนียบผู้เชื่อ” (ฮีบรู 11:31).
10 จาก Bruner, p. 6.
11 อย่างที่นาธานาเอลกล่าวไว้ (และต่อมามัทธิวก็แสดงให้เราเห็น) ว่าพระเยซูทรงเป็น “บุตรพระเจ้า” ดังนั้นพระองค์จึงเป็น “กษัตริย์ของอิสราเอล” (ยอห์น 1:49).
12 ผู้อ่านคงพอรู้สึกว่าผม “ยึดติด” กับข้อสังเกตูของนักวิชาการหลายต่อหลายคน จนทำให้เกิดเป็นข้อสรุปข้อที่หก
13 จาก James Montgomery Boice, vol. 1, p. 15.
14 จาก M ichael Green, p. 37.
15 J. จากผู้เขียนชื่อ Sidlow Baxter, Explore the Book (Grand Rapids, Michigan: Zondervan Publishing House, 1960), Six volumes in one, vol. 5, p. 148.
16 จาก Bruner p. 13.
17 ผมรู้สึกดีใจที่บรูเนอร์ตั้งข้อสังเกตุนี้ ท่านยังชี้ให้เป็นอีกว่ารายชื่อตอนที่สามนี้มีแค่ 13 ชื่อ ไม่ใช่ 14 ผมคงต้องขอคิดแตก ต่างจากบรูเนอร์ในเรื่องนี้ เพราะมัทธิวเองเป็นปุถุชน อาจมีข้อบกพร่องบ้างเช่นเดียวกับเราทั้งหลาย ตามมุมมองของผม เราไม่ควรด่วนสรุปเอาเองเรื่องการดลใจและข้อผิดพลาด ยอห์น มอร์เรอ เพื่อนสนิทของผมเคยกล่าวไว้ว่า : “มัทธิวนั้นเป็นคนเก็บภาษี เขาต้องนับเลขเป็น” ผมคิดว่ามีคำตอบสำหรับเรื่องนี้ ซึ่งไม่ใช่ข้อผิดพลาดของมัทธิว
18 จาก Bruner, p. 4.
19 จาก Bruner, p. 13.
พระเยซูได้ทรงบังเกิดที่บ้านเบธเลเฮ มแคว้นยูเดียในรัชกาลของกษัตริย์เฮโรด ภายหลังมีพวก โหราจารย์จากทิศตะวันออกมายังกรุงเยรูซาเล็มถามว่า “กุมารผู้ที่บังเกิดมาเป็นกษัตริย์ของ ชนชาติยิวนั้นอยู่ที่ไหน เราได้เห็นดาวของท่านปรากฏขึ้น เราจึงมาหวังจะ นมัสการท่าน” ครั้นกษัตริย์เฮโรด ได้ยินดังนั้นแล้ว ก็วุ่นวายพระทัย ทั้งชาวกรุงเยรูซาเล็ม ก็พลอยวุ่นวายใจไปด้วย แล้วท่านให้ประชุมบรรดามหาปุโรหิตกับพวกธรรมาจารย์ ของประชาชนตรัสถามเขาว่า “ผู้เป็นพระคริสต์นั้น จะบังเกิดแห่งใด” เขาทูลว่า “ที่บ้านเบธเลเฮมแคว้นยูเดีย เพราะว่าผู้เผยพระ วจนะได้เขียนไว้ดังนี้ว่า บ้านเบธเลเฮม ในแผ่นดินยูเดีย จะ เป็นบ้านเล็กน้อยที่สุด ในสายตาของบรรดาผู้ครองแผ่นดินยูเดีย ก็หามิได้ เพราะว่าเจ้านายคนหนึ่งจะออกมาจากท่านผู้ซึ่งจะครอบครองอิสราเอล ชนชาติของเรา” แล้วเฮโรดจึงเชิญพวกโหราจารย์เข้ามาเป็นการลับ ถามเขาได้ความถ้วนถี่ถึงเวลาที่ดาวนั้นได้ ปรากฏขึ้น แล้วท่าน ได้ให้ พวกโหราจารย์ ไปยังบ้านเบธเลเฮมสั่งว่า “จงไปค้นหากุมาร นั้นเถิด เมื่อพบแล้วจงกลับมาแจ้งแก่เรา เพื่อเรา จะได้ไปนมัสการท่านด้วย” โหราจารย์ เหล่านั้นจึงไปตามรับสั่ง และดาวซึ่งเขาได้เห็นเมื่อ ปรากฏขึ้นนั้นก็ได้นำหน้าเขาไป จนมาหยุดอยู่เหนือ สถานที่ที่กุมารอยู่นั้น เมื่อพวกโหราจารย์ ได้เห็นดาวนั้นแล้ว ก็มีความยินดี ยิ่งนัก ครั้นเข้าไป ในเรือนก็พบกุมารกับนางมารีย์มารดา จึงกราบถวายนมัสการกุมารนั้น แล้วเปิดหีบหยิบทรัพย์ของ เขาออกมาถวายแก่กุมาร เป็นเครื่อง บรรณาการ คือ ทองคำ กำยาน และมดยอบ แล้วพวก โหราจารย์ได้ยินคำเตือนใน ความฝัน มิให้กลับไปเฝ้าเฮโรด เขาจึงกลับไปยังเมืองของตนทางอื่น ครั้นเขาไปแล้วก็มีทูตองค์หนึ่งของพระเป็นเจ้า ได้มาปรากฏแก่โยเซฟในความฝันแล้วบอกว่า “จงลุกขึ้นพากุมารกับมารดาหนี ไปประเทศอียิปต์ และคอยอยู่ที่นั่นจนกว่าเราจะบอกเจ้าเพราะ ว่าเฮโรดจะแสวงหากุมาร เพื่อจะประหารชีวิตเสีย” ในเวลากลางคืนโยเซฟจึงลุกขึ้น พากุมาร กับมารดาไปยังประเทศอียิปต์ และได้อยู่ที่นั่นจนเฮโรดสิ้นพระชนม์ ทั้งนี้เกิดขึ้นเพื่อจะให้สำเร็จ ตามพระวจนะของพระเป็นเจ้า ซึ่ง ได้ตรัสไว้โดยผู้เผยพระวจนะว่า เราได้เรียกบุตรของเราให้ออก มาจากอียิปต์ ครั้นเฮโรดเห็นว่าพวกโหราจารย์หลอกท่าน ก็กริ้วโกรธยิ่งนัก จึงใช้คนไปฆ่าเด็กผู้ชายทั้งหลาย ใน บ้านเบธเลเฮม และที่ใกล้เคียงทั้งสิ้น ตั้งแต่อายุสองขวบลงมา ซึ่งพอดีกับเวลาที่ท่านได้ทราบ จากพวกโหราจารย์นั้น ครั้งนั้นก็สำเร็จตามพระวจนะที่ตรัสโดยเยเรมีย์ ผู้เผยพระวจนะว่า ได้ ยินเสียงในหมู่บ้านรามาห์ เป็นเสียงโอดครวญและร่ำไห้ คือนางราเชลร้อง ไห้คร่ำครวญเพราะบุตรทั้งหลายของตน นางไม่รับฟังคำปลอบเล้าโลม เพราะบุตรทั้งหลาย นั้นไม่มีแล้ว ครั้นเฮโรดสิ้นพระชนม์แล้ว ทูตองค์หนึ่ง ของพระเป็นเจ้ามาปรากฏในความฝันแก่โยเซฟที่ประเทศอียิปต์สั่งว่า “จงลุกขึ้น พากุมารกับมารดามายังแผ่นดินอิสราเอล เพราะผู้ที่เป็นภัยต่อชีวิตของกุมารนั้นตายแล้ว” โยเซฟจึงลุกขึ้น พากุมารกับมารดามายัง แผ่นดินอิสราเอล แต่เมื่อได้ยินว่า อารเคลาอัสครอบ ครองแคว้นยูเดียแทนเฮโรดผู้เป็นบิดา จะไปที่นั่นก็กลัว และเมื่อได้ทราบคำเตือนใน ความฝัน จึงเลยไปยังแคว้นกาลิลี ไปอาศัยในเมืองหนึ่งชื่อนาซาเร็ธ เพื่อจะสำเร็จตามพระวจนะ ซึ่งตรัส โดยผู้เผยพระวจนะ เขาจะเรียก ท่านว่าชาวนาซาเร็ธ2
หลายปีมาแล้วผมทำพิธีศพให้หญิงชราท่านหนึ่ง (ขอเรียกชื่อว่าซาร่าห์แล้วกัน) เธอเติบโตในโอคลาโฮมา สมัยยังสาวบิดามารดาของเธอมีส่วนในการเข้ายึดครองที่ดินของโอคลาโฮมาในยุค บุกเบิก ในสมัยนั้นคนอเมริกันกับคนพื้นเมืองดั้งเดิมเป็นปฏิปักษ์กัน แม้พิธีศพนี้นานมาแล้ว แต่ผมยังจำได้ ถึงเรื่องที่น้องสาวของซาราห์เล่าให้ฟัง
ในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 ผู้คนยังสัญจรไปมาด้วยรถม้า ซาราห์มีลุงคนหนึ่งเป็นนักผจญภัย และอยากไปเห็นภูเขาไพค์พีกในโคโรราโดเป็นที่สุด คุณลุงจึงขนครอบครัวรวมทั้งซาราห์ด้วย ขึ้นรถม้ามุ่งไปยัง โคโรราโด เท่าที่จำได้การเดินทางครั้งนั้นกินเวลาเกือบปี คุณนึกภาพออกมั้ย เดินทางไปโคโรราโดด้วยรถม้าที่ปิดแทบทุกด้าน มีปฎิปักษ์เป็นพวกอินเดียนแดง เป็นการเดินทางที่ยาวไกลและเสี่ยงภัยมาก ผมแทบไม่อยากนึกเลย โดยเฉพาะต้องปีนขึ้นเขาด้วยรถม้า และที่น่าหวาดเสียวกว่าคือ “ลง” จากภูขาด้วยรถม้า!!
สำหรับผม เรื่องย้อนยุคตั้งแต่ ค.ศ. 1800 น่าจะใกล้เคียงกับการเดินทาง “มหัศจรรย์” ของพวกโหราจารย์ที่สุด เหล่าโหราจารย์เดินทางจากตะวันออกไกลไปเบธเลเฮมและกลับ คงกินเวลาหลายเดือน นักผจญภัยเหล่านี้จากบ้านและครอบครัวมา ฝ่าฟันอันตรายสารพัดแบบ รวมทั้งพวกโจรด้วย พวกเขาเป็นคนมั่งคั่ง ขบวนคาราวานเป็นตัวบอกได้ดีถึงฐานะ แถมขนสัมภาระมีค่ามาด้วย : ทองคำ กำยาน และมดยอบ ติดตามดาวประหลาดมา จนถึงเขตปกครองของเฮโรด ผู้มีทั้งอำนาจและความโหดเหี้ยม
เรื่องนี้ไม่ใช่เป็นแค่การผจญภัยมหัศจรรย์เท่านั้น พระกิตติคุณมัทธิวบทที่ 2 พูดถึงการเดินทางของโยเซฟ มารีย์ และพระกุมาร จากเบธเลเฮมไปประเทศอียิปต์ ไม่มีเวลาเตรียมการใดๆ หยิบของได้ไม่กี่ชิ้น รีบหนีไปอย่างเร่งรีบ เพื่อให้พ้นจากเงื้อมมือของเฮโรดที่มุ่งสังหารทารกทุกคน และเมื่อเวลาเสี่ยงภัยผ่านพ้น ไป ยังต้องอพยพกลับสู่บ้านเกิด
เรื่องราวการเดินทางมหัศจรรย์นี้บันทึกอยู่ในมัทธิวบทที่ 2 ปัญหาของพวกเราคือ เรื่องเล่าพวกนี้ ได้ยินจนชินหู เลยไม่เคยกลับมาคิดย้อนดู ที่จริงแล้วมีคุณค่ามากมายที่เราต้องใส่ใจศึกษา ขอเริ่มด้วยการตั้งข้อสังเกตบางประการในคำบอกเล่าของมัทธิว หลังจากนั้นจะมุ่งไปที่บุคคลโดดเด่นสามคนในพระวจนะตอนนี้ : โหราจารย์ – เฮโรดกับชาวยิวในเยรูซาเล็ม – และพระกุมารเยซู
(1) มัทธิวใส่ใจที่จะหลีกเลี่ยงเรื่องตื่นเต้นต่างๆ ถ้าเป็นสมัยนี้ ท่านคงเป็นนักข่าวตกงาน เพราะทำเรื่องตื่นเต้นให้เป็นเรื่องธรรมดา ท่านไม่พยามเติมสีใส่ไข่ในเรืองที่เขียน แถมยังหลีกเลี่ยงรายละเอียดเล็กๆน้อยๆที่ทำให้ตื่นเต้นสมจริงด้วย ตัวอย่างเช่น การเดินทางเพื่อหนีไปที่อียิปต์ ต้องมีเรื่องอัศจรรย์เกิดขึ้นระหว่างทางมากมายแน่ :
หนังสือเรื่องพระเยซูฉบับอาโปรคริปปา เขียนขึ้นหลายปีหลังหนังสือพระกิตติคุณในพระคัมภีร์ เล่าเรื่องแปลกๆมากมายเกี่ยวกับการเดินทางหนีไปประเทศอียิปต์ของครอบครัวนี้ เช่นเล่าว่าเมื่อก้าวเท้าเข้าสู่แผ่นดินอียิปต์ มีดอกไม้ผุดขึ้นมารองรับ ; ต้นหมากรากไม้โน้มกิ่งลงแสดงความเคารพ สัตว์ป่าวิ่งมาต้อนรับอย่างเป็นมิตร3
(2) มัทธิวตัดทอนเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ที่เราๆท่านๆอยากรู้ออกไปเกือบหมด ทำให้มีคำถามเกิดขึ้น ที่จริงแล้วเราไม่รู้จำนวนแท้จริงของโหราจารย์ที่มานมัสการพระกุมารเยซู เราอยากให้มีรายละเอียดมากกว่านี้ในพระคัมภีร์ อยากรู้ว่าพวกเขามาจากไหน? เชื่อถือเรื่องอะไร? “ดาว” ประหลาดที่ว่านี้คือดาวอะไร? นำทางคนพวกนี้มาได้อย่างไร? ใช้เวลาเดินทางนานแค่ไหน? กลับจากนมัสการพระเยซูแล้วเป็นอย่างไร? เฮโรดฆ่าเด็กตายไปกี่คน? แล้วกรรมตามสนองอย่างไร? เราอยากรู้เรื่องราวระหว่างที่ครอบครัวพระเยซูอาศัยอยู่ในประเทศอียิปต์ มัทธิวก็เช่นเดียวกับผู้เขียนพระกิตติคุณเล่มอื่นๆ4 ระมัดระวังต่อทุกสิ่งที่บันทึกลงในพระคัมภีร์
(3) การเลือกนำพระวจนะจากพระคัมภีร์เดิมมาใช้ มัทธิวทำได้อย่างน่าสนใจ เรารู้ดีว่าท่านนำพระวจนะจากพระคัมภีร์เดิมมาใช้มากกว่าพระกิตติคุณเล่ม อื่นๆ เราต้องคำนึงว่าท่านไม่ได้นำพระวจนะจากพระ คัมภีร์เดิมมาใช้แบบหมดเปลือก ไม่ได้นำทุกตอนที่เกี่ยวข้องชัดเจนมาใช้ บางตอนเราออกจะงงๆด้วยซ้ำไป ในบทที่ 2 ท่านนำข้อพระคัมภีร์เดิมมาใช้ถึงสี่ครั้ง และหนึ่งในสี่นี้อาจเรียกได้ว่าเป็นการนำมาใช้อย่างตรงๆ เช่นจากมีคาห์ 5:2 ในข้อ 6 คำถามที่เฮโรดถามมหาปุโรหิตและพวกธรรมาจารย์ว่า “ผู้เป็นพระคริสต์นั้น จะบังเกิดแห่งใด?” พวกเขาตอบอย่างชัดเจนจากพระธรรมมีคาห์ 5:2 – พระเมสซิยาห์จะมาบังเกิดที่เบธเลเฮม
ข้อพระคำอื่นๆที่นำมาใช้ในบทที่ 2 ออกจะไม่ชัดเจน จนแทบไม่มีใครคิดว่าเป็นคำพยากรณ์ ไม่ว่าจะเป็นโฮเชยา 11:1 (ในข้อ 15) หรือเยเรมีย์ 31:15 (ในข้อ 18) ว่าเป็นคำพยากรณ์ที่เล็งถึงการเสด็จมาของพระเมสซิยาห์ คำพูดที่มัทธิวใช้ “ตรัสไว้โดยผู้เผยพระวจนะ” ได้สำเร็จเป็นจริง ยิ่งทำให้ดูคลุมเครือใหญ่ การที่ท่านนำคำพยากรณ์ที่ดู “คลุมเครือ” นี้มาใช้ ทำให้เราสงสัย ทำไมถึงไม่นำคำพยากรณ์ข้ออื่นที่ชัดเจนกว่านี้มาแทน เพื่อจะได้เห็นชัดว่าสำเร็จจริง ตัวอย่างเช่นคำพยากรณ์ต่อไปนี้ :
ดูเถิด บัดนี้ข้าพเจ้าจะกลับไปสู่ชนชาติของข้าพเจ้า มาเถิด ข้าพเจ้าจะสำแดง ให้ท่านทราบว่า ชนชาตินี้จะกระทำประการใด แก่ชนชาติของท่านในวันข้างหน้า” เขาก็กล่าวกลอนภาษิตของเขาว่า “คำพยากรณ์ของบาลาอัมบุตรเบโอร์ คำ พยากรณ์ของชายผู้ที่หูตาแจ้ง คำพยากรณ์ของผู้ที่ได้ยินพระวจนะของพระเจ้า และทราบถึงพระปัญญาของพระองค์ผู้สูงสุด ผู้เห็นนิมิตขององค์ผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ได้ล้มลง แต่ตาไม่มีสิ่งใดบัง ข้าพเจ้าเห็นเขา แต่ไม่ใช่อย่างเดี๋ยวนี้ ข้าพเจ้าดูเขา แต่ไม่ใช่อย่างใกล้ๆนี้ ดาวดวงหนึ่งจะเดินออกมาจากยาโคบ และธารพระกร อันหนึ่งจะขึ้นมาจากอิสราเอล จะทุบหน้าผากของโมอับ และทำลายเผ่าพันธุ์ของเชท ฝ่ายเอโดมจะตกเป็นของคนอื่น เสอีร์ศัตรูของเขาจะตกเป็นของคนอื่นด้วย ฝ่ายอิสราเอลได้แสดงวีรกรรมแล้ว ผู้หนึ่งที่ออกมาจากยาโคบ จะครอบครอง และชาวเมืองที่รอดตายผู้นั้นจะทำลายเสีย” (กันดารวิถี 24:14-19 ผมขอย้ำด้วย)
จงลุกขึ้น ฉายแสง เพราะว่าความสว่างของเจ้ามาแล้ว และพระสิริของพระเจ้า ขึ้นมาเหนือเจ้า เพราะว่าดูเถิด ความมืดจะคลุมแผ่นดินโลก และความมืดทึบคลุม ชนชาติทั้งหลาย แต่พระเจ้าจะทรงขึ้นมาเหนือเจ้า และเขาจะเห็นพระสิริของพระองค์ เหนือเจ้า และบรรดาประชาชาติจะมายังความสว่างของเจ้า และพระราชาทั้งหลาย ยังความสุกใสแห่งการขึ้นของเจ้า จงเงยตาของเจ้ามองให้รอบ และดู เขาทั้งปวงมาอยู่ด้วยกัน เขาทั้งหลายมาหาเจ้า บุตรชายทั้งหลายของเจ้าจะมาจากที่ไกล และเขาจะอุ้มบุตรหญิงของเจ้ามา แล้วเจ้าจะเห็นและปลาบปลื้ม ใจของเจ้าจะตื่นเต้น และเปรมปรีดิ์ เพราะความมั่งคั่งของทะเลจะหันมาหาเจ้า ทรัพย์สมบัติของบรรดาประชา ชาติจะมายังเจ้า มวลอูฐจะมาห้อมล้อมเจ้า อูฐหนุ่มจากมีเดียนและเอฟาห์ บรรดา เหล่านั้นจากเชบาจะมา เขาจะนำทองคำและกำยาน และจะบอกข่าวดีถึงกิจการ อันน่าสรรเสริญของพระเจ้า ฝูงแพะแกะทั้งสิ้นแห่งเคดาร์จะรวมมาหาเจ้า แกะผู้ของ เนบาโยทจะปรนนิบัติเจ้า มันจะขึ้นไปบนแท่นบูชาของเราอย่างเป็นที่โปรดปราน และเรา จะให้นิเวศอันเรืองรุ่งของเรา ได้รับความรุ่งเรือง เหล่านี้เป็นใครนะที่บินมาเหมือนเมฆ และเหมือนนกพิราบไปยังหน้าต่างของมัน เพราะว่าแผ่นดินชายทะเลจะรอคอยเรา กำปั่นแห่งทารชิชก่อน เพื่อนำบุตรชายของเจ้ามาแต่ไกล นำเงินและทองคำของเขามาด้วย เพื่อพระนามแห่งพระเยโฮวาห์พระเจ้าของเจ้า และเพื่อองค์บริสุทธิ์แห่งอิสราเอล เพราะ พระองค์ได้ทรงกระทำให้เจ้ารุ่งเรือง คนต่างด้าวจะสร้างกำแพงของเจ้าขึ้น และพระราชา ของเขาจะปรนนิบัติเจ้า เพราะด้วยความพิโรธของเรา เราเฆี่ยนเจ้า แต่ด้วยความโปรดปราน ของเรา เราได้กรุณาเจ้า ประตูเมืองของเจ้าจะเปิดอยู่เสมอ ทั้งกลางวันและกลางคืน มันจะไม่ปิด เพื่อคนจะนำความมั่งคั่งของบรรดา ประชาชาติมาให้เจ้า พร้อมด้วยพระราชา ทั้งหลาย เพราะว่าประชาชาติและราชอาณาจักร ที่ไม่ปรนนิบัติเจ้าจะพินาศ เออ บรรดาประชาชาติเหล่านั้นจะถูกทิ้งร้างอย่างสิ้นเชิง ศักดิ์ศรีแห่งเลบานอนจะมายังเจ้า คือต้นสนสามใบ ต้นสนเขาและต้นช้องรำพันด้วยกัน เพื่อจะกระทำให้ที่แห่งสถาน ศักดิ์สิทธิ์ของเรางดงาม และเราจะกระทำให้ที่แห่งเท้าของเรารุ่งโรจน์ ลูกชายของคน เหล่านั้นที่ได้บีบบังคับเจ้า จะมาโค้งลงต่อเจ้า และบรรดาผู้ที่ดูหมิ่นเจ้า จะกราบลงที่ฝ่า เท้าของเจ้า เขาทั้งหลายจะเรียกเจ้าว่าเป็นพระนครของพระเจ้า ศิโยนแห่งองค์บริสุทธิ์ ของอิสราเอล (อิสยาห์ 60:1-14 ผมขอย้ำด้วย)
ขอท่านครอบครองจากทะเลถึงทะเล และจากแม่น้ำนั้นถึงที่สุดปลายแผ่นดินโลก บรรดาผู้ที่อยู่ในถิ่นทุรกันดารจะกราบลงต่อเขา และให้บรรดาศัตรูของท่านเลียผงคลี ขอบรรดาพระราชาแห่งเมืองทารชิชและของเกาะทั้งปวง ถวายราชบรรณาการ ขอบรรดาพระราชาแห่งเชบา และเสบา นำของกำนัลมา 11 ขอพระราชาทั้งปวง กราบลงไหว้ท่าน บรรดาประชาชาติจงปรนนิบัติท่าน เพราะ ท่านช่วยกู้คนขัดสน เมื่อเราร้องทูล คนยากจน และคนที่ไร้ผู้อุปถัมภ์ ท่านสงสารคนอ่อนเปลี้ยและคนขัดสน และช่วยชีวิตบรรดาคนขัดสน ท่านไถ่ชีวิตของเขาจากการบีบบังคับและความทารุณ และ โลหิตของเขาก็ประเสริฐในสายตาของท่าน ขอท่านผู้นั้นมีชีวิตยืนนาน ให้คนถวาย ทองคำเมืองเชบาแก่ท่าน ให้ เขาอธิษฐานเผื่อท่านเรื่อยไป และอวยพรท่านวันยังค่ำ ขอให้มีข้าวอุดมในแผ่นดิน ให้มันแกว่งไกวรวงอยู่บนยอดเขาทั้งหลาย ขอให้ผลของ แผ่นดินเหมือนเลบานอน และให้คนบานออกมาจากนคร เหมือนหญ้าในทุ่งนา ขอนาม ของท่านดำรงอยู่เป็นนิตย์ ชื่อเสียงของท่านยั่งยืนอย่างดวงอาทิตย์ ให้คนอวยพรกันเอง โดยใช้ชื่อท่าน ประชาชาติทั้งปวงเรียกท่านว่าผู้ได้รับพระพร ! (สดุดี 72:8-17)
มัทธิวไม่ได้เลือก (หรือละ) ข้อพระคัมภีร์เดิมตามใจชอบ ; ท่านเลือกอย่างระมัดระวัง ด้วยจุดประสงค์สำคัญบางประการ เราจะมาเจาะลึกเรื่องนี้ในบทเรียนหน้าครับ ตอนนี้เราจะมาดูเรื่อง บุคคลสำคัญทั้งสามในมัทธิวบทที่ 2 ก่อน
(4) มัทธิวเล่าถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในกรุงเยรูซาเล็มอย่างต่อเนื่อง ผมคิดว่าเวลาพวกเราอ่านพระกิตติคุณมัทธิว เราชอบนึกตามไปด้วย ทำให้บางครั้งเดาเรื่องผิดไป วิธีที่พวกเราส่วนมากอ่านคือ เมื่อโหราจารย์มาถึงเยรูซาเล็ม ต้องมุ่งไปที่พระราชวังของเฮโรดทันที (ก็ถ้าจะไปหา “กษัตริย์ของชาวยิว” จะให้ไปที่ไหนกันเล่า?) พวกเขาถามเฮโรดถึงกษัตริย์ที่บังเกิดใหม่ “ กษัตริย์ของชาวยิว” เฮโรดเรื่มหวาดวิตก วุ่นวายใจเป็นอันมาก แต่ปกปิดความรู้สึกเอาไว้ จัดแจงเรียกบรรดามหาปุโรหิต และพวกธรรมาจารย์มา พวกเขาบอกเฮโรด (รวมทั้งโหราจารย์) ถึงคำพยากรณ์ของผู้เผยวจนะมีคาห์ เมื่อให้ทุกคนออกไป เฮโรดต้องการพูดกับพวกโหราจารย์ตามลำพัง เพื่อถามถึงเวลาที่ดาวประหลาดมาปรากฎ และเริ่มคำนวณเวลาเกิดของเด็ก และส่งพวกโหราจารย์ให้ไปยังเบธเลเฮมเพื่อตามหา และสั่งให้กลับมาบอกว่าพบเด็กนั้นได้ที่ใด ตามความคิดของผม เหตุการณ์นี้ไม่ได้สอดคล้องกับสิ่งที่มัทธิวเล่า
ถ้าถือเอาตามที่มัทธิวเล่า เราเข้าใจว่าเรื่องที่เกิดขึ้นในกรุงเยรูซาเล็ม ดำเนินไปตามขั้นตอนดังนี้
(a) พระเยซูมาบังเกิดที่เบธเลเฮม อาจจะประมาณหนึ่งปีก่อนหน้านี้5
(b) ดาวประหลาดนำพวกโหราจารย์มาจนถึงเยรูซาเล็ม และหายไป6
(c) เมื่อมาถึงเยรูซาเล็ม พวกโหราจารย์เริ่มสอบถามถึงพระกุมาร โดยถามจากผู้คนในเมือง
(d) เรื่องนี้ได้ยินถึงหูของเฮโรด ว่ามีเหล่าโหราจารย์เข้าเมืองเพื่อมาตามหาทารกเกิดใหม่ผู้เป็น “กษัตริย์ของชาวยิว” เพื่อจะไปนมัสการ
(e) เมื่อได้ยิน เฮโรดวุ่นวายเป็นทุกข์ใจมาก รวมทั้งผู้คนในกรุงเยรูซาเล็มด้วย
(f) เฮโรดเรียกบรรดามหาปุโรหิตและธรรมาจารย์มาเข้าเฝ้า สอบถามว่าพระเมสซิยาห์จะมาบังเกิดที่ใด ผมคิดว่าตอนที่สอบถาม พวกโหราจารย์คงไม่ได้อยู่ด้วย บรรดาผู้นำศาสนาทูลเฮโรดว่า พระเมสซิยาห์จะมาบังเกิดที่เมืองเบธเลเฮม ตามคำพยากรณ์ในมีคาห์ 5:2
(g) เฮโรดจึงเรียกพวกโหราจารย์มาเข้าเฝ้า (ตามลำพัง) ท่านถามว่าพวกเขา เห็น “ดาว” นี้ตั้งแต่เมื่อใด และเริ่มคำนวณเวลาเกิดและอายุของพระกุมาร
(h) เฮโรดจึงส่งพวกโหราจารย์ไปยังเบธเลเฮม เพื่อตามหาพระเมสซิยาห์ และสั่ง ให้กลับมาบอกถึงสถานที่ๆพบเด็กด้วย เพื่อจะได้ไปนมัสการบ้าง
(i) เมื่อโหราจารย์เดินทางไปที่เบธเลเฮม “ดาว” ก็ปรากฎขึ้นอีกครั้ง พวกเขายินดีเป็นอันมาก เพราะพระเจ้าทรงจัดเตรียมและนำพวกเขาอีกครั้ง
(j) “ดาว” นำพวกโหราจารย์ไปจนพบพระกุมาร และได้นมัสการพระองค์
เรื่องทั้งสองนี้ต่างกันหรือไม่? ถ้าจะไม่ แต่ว่าไม่น่าเสียหายถ้าจะนำมาเรียบเรียงใหม่ การตั้งข้อสังเกตจากเหตุการณ์ที่นำมาเรียบเรียงใหม่นี้ ทำให้ผมนึกถึงบางตอนของบทเรียนที่เตรียมไว้คราวหน้า ทำให้ต้องนำกลับมาทบทวนใหม่7
“โหราจารย์” หรือ “เหล่านักปราชย์จากตะวันออก” นั้นน่าทึ่งมากครับ มัทธิวไม่ได้บอกว่าพวกเขามาที่กรุงเยรูซาเล็มกันกี่คน แถมไม่ได้ให้คำอธิบายใดๆไว้ด้วย เฟรเดอริค บรูเนอร์ ได้ให้ข้อมูลพื้นฐาน บางประการที่น่าสนใจ ที่ไม่ได้บันทึกในพระกิตติคุณมัทธิว :
“พวกโหราจารย์ (magoi หรือพหูพจน์ในภาษากรีกใช้ว่า magos) ที่มัทธิวพูดถึง คือที่แน่ๆต้องเป็นผู้มีสติปัญญา (อาจ) เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านดาราศาสตร์จากเปอร์เซีย หรือดินแดนสองแม่น้ำ การศึกษาเรื่องดาราศาสตร์ในสมัยโบราณ ยึดความเชื่อที่ว่าโลกนี้และพิภพอื่นในจักรวาล ต่างมีพลังดึงดูดซึ่งกันและกัน ดาราศาสตร์ เป็นเรื่องราวของกฎ หรือการโคจรของดวงดาว ; โหราศาสตร์ เป็นการศึกษาเรื่องสื่อ หรือ ความหมายในการโคจรของดวงดาวที่สร้างผลกระทบต่อชีวิตบนโลก… . ศาสตร์ทั้งสอง ปัจจุบันแยกออกจากกัน แต่ในสมัยโบราณรวมอยู่ในคนๆเดียวกัน เพราะความสามารถในการแปลหรือถอดรหัสการโคจรของดวงดาวได้ พวกโหราจารย์จึงนับว่าเป็น “ผู้มีปัญญา”8
ถึงแม้ว่าคนส่วนมากคิดว่าโหราจารย์เหล่านี้เป็นผู้มี “สติปัญญา” แต่คนยิวคิดอีกแบบ แรกเลยคนเหล่านี้เป็นพวกต่างชาติต่างศาสนา แค่นี้ก็เป็นที่ดูถูกแล้ว ยังไม่พอ ในพระคัมภีร์พูดถึงพวก “โหราจารย์” ในแง่ไม่ดีนัก อย่างเช่นในหนังสือดาเนียล :
แล้วพระราชาจึงทรงบัญชาให้มีหมายเรียกพวกโหร พวกหมอดู พวกนักวิทยาคม และคนเคลเดีย เข้าทูลพระราชาให้รู้เรื่องพระสุบิน เขาทั้งหลายก็เข้ามาเฝ้าพระราชา (ดาเนียล 2:2)
“ผู้มีสติปัญญา” ของบาบิโลน พวกยิวไม่ค่อยชอบหน้า คนพวกนี้ไม่สามารถทำนายฝันให้เนบูคัดเนส ซาร์ได้ มาดูวิธีที่ผู้เผยพระวจนะในยุคพระคัมภีร์เดิมพูดถึงคนนอกศาสนาพวกนี้ ที่พยายามขอการทรงนำจากพระเจ้าด้วยวิธีการของคนต่างชาติ :
เพราะว่ากษัตริย์บาบิโลนยืนอยู่ที่ทางแพร่ง อยู่ที่หัวถนนสองถนน กำหนดหาคำทำนาย ท่านเขย่าลูกธนู และปรึกษาทราฟีม ท่านมองดูที่ตับ (เอเสเคียล 21:21)
เจ้าเหน็ดเหนื่อยกับที่ปรึกษาเป็นอันมาก ของเจ้า ให้เขาลุกขึ้นออกมา และช่วยเจ้าให้รอด คือบรรดาผู้ที่แบ่งฟ้าสวรรค์ และเพ่งดูดวงดาว ผู้ซึ่งทำนายให้เจ้าในวันขึ้นค่ำ ว่าจะเกิดอะไรขึ้นแก่เจ้า (อิสยาห์ 47:13)
ในยุคพระคัมภีร์ใหม่ก็ยังไม่มีอะไรเปลี่ยน ในหนังสือกิจการ 8:9-13 เราเห็นซีโมน คนทำวิทยาคม เหมือนกับเห็นบาลาอัม ผู้พยายามใช้เงินซื้อฤทธิเดชของพระเจ้า ในกิจการ 13:6-11 คนทำวิทยาคม ชื่ออาลีมาส (หรืออีกชื่อว่าบารเยซู) พยายามโน้มน้าวความเชื่อของผู้ว่าราชการเมือง เสอร์จีอัส เปาโล ดังนั้นหมอดูพวกนี้จึงเป็นที่ดูถูกและไม่เป็นที่ยอมรับนับถือ พวกเขาถูกเรียกว่าเป็นรูปเคารพของคนต่างชาติ9
เราคงสงสัยว่ามัทธิวเป็นอะไรไป ถึงนำเรื่อง “โหราจารย์ พวก นี้ที่ถูกเชิญมาร่วมฉลองการประสูติขององค์พระเมสซิยาห์มาเสนอ? อย่าลืมว่ามัทธิวเองเคยเป็นคนเก็บภาษี เป็นอาชีพที่ต่ำต้อยที่สุดในสายตาของชาวยิว
ครั้นพระเยซูเสด็จเลยตำบลนั้นไป ก็เห็นคนหนึ่งชื่อมัทธิวนั่งอยู่ที่ด่านภาษี จึงตรัสกับเขาว่า “จงตามเรามาเถิด” เขาก็ลุกขึ้นตามพระองค์ไป เมื่อพระองค์ประทับเสวยพระกระยาหาร อยู่ในเรือน มีคนเก็บภาษีและคนบาปอื่นๆหลายคน เข้ามาร่วมสำรับกับพระเยซู และกับพวก สาวกของพระองค์ เมื่อพวกฟาริสีเห็นแล้ว ก็กล่าวแก่สาวกของพระองค์ว่า “ทำไม อาจารย์ของท่านจึงรับประทานอาหารด้วยกันกับคนเก็บภาษีและคนนอกรีตเล่า” เมื่อพระ เยซูทรงทราบดังนั้นแล้วก็ตรัสว่า “คนเจ็บต้องการหมอ แต่คนสบายไม่ต้องการ ท่านทั้ง หลายจงไปเรียนคัมภีร์ข้อนี้ให้เข้าใจ ที่ว่าเราประสงค์ความเมตตา ไม่ประสงค์เครื่องสัตว บูชา ด้วยว่าเรามิได้มาเพื่อจะเรียกคนที่เห็นว่าตัวชอบธรรม แต่มาเรียกคนที่พวกท่านว่านอกรีต” (มัทธิว 9:9-13).
ผมเชื่อว่ามัทธิวรู้สึกยินดีมาก ที่แม้แต่คนต่างชาติพวกนี้ยังได้รับเชิญจากองค์พระผู้เป็นเจ้า ให้มาร่วมนมัสการพระกุมารเยซู แม้มัทธิวเองเป็นคนยิว เขียนพระกิตติคุณเล่มนี้เพื่อชาวยิว ท่านก็ไม่เคยคิดบิดเบือนข้อเท็จจริง ในเรื่องของพระเยซู จำได้หรือไม่ว่าพระกิตติคุณมัทธิวจบลงอย่างไร? :
พระเยซูจึงเสด็จเข้ามาใกล้แล้วตรัสกับเขาว่า “ฤทธานุภาพทั้งสิ้นในสวรรค์ก็ดี ในแผ่น ดินโลกก็ดีทรงมอบไว้แก่เราแล้ว เหตุฉะนั้นเจ้าทั้งหลายจงออกไปสั่งสอนชนทุกชาติ ให้ เป็นสาวกของเรา ให้ รับบัพติศมาในพระนามแห่งพระบิดา พระบุตรและพระวิญญาณ บริสุทธิ์ สอนเขาให้ถือรักษาสิ่งสารพัดซึ่งเราได้สั่งพวกเจ้าไว้ นี่แหละเราจะอยู่กับเจ้าทั้งหลายเสมอไป จนกว่าจะสิ้นยุค” (มัทธิว 28:18-20)
อาจมีคนเถียง “ใช่ฉันเห็นแล้ว พระเจ้าทรงมีแผนการความรอดโดยทางพระเยซูคริสต์ เพื่อทั้งคนยิวและคนต่างชาติ และเข้าใจด้วยว่าทำไมพระองค์ทรงอนุญาตให้คนต่างชาติ มีโอกาสมาร่วมฉลองการบังเกิดของพระเยซู แต่ทำไมพระเจ้าถึงเลือกใช้สื่อ ที่เปิดเผยถึงการเสด็จมาของพระบุตร ด้วยดวงดาว?”
อย่าลืมว่าพระเจ้าทรงเลือกที่จะสำแดงพระองค์เองแก่มนุษย์ โดยผ่านทางธรรมชาติ :
ฟ้าสวรรค์ประกาศพระสิริของพระเจ้า และภาคพื้นฟ้าสำแดงพระหัตถกิจของพระองค์ วันส่งถ้อยคำให้แก่วัน และคืนแจ้งความรู้ให้แก่คืน วาจาไม่มี ถ้อยคำก็ไม่มี และไม่มีใครได้ยินเสียงฟ้า ถึงกระนั้นเสียงฟ้าก็ออกไปทั่วแผ่นดินโลก และถ้อยคำก็แพร่ไปถึงสุดปลายพิภพ พระองค์ทรงตั้งเต็นท์ไว้ให้ดวงอาทิตย์ ณ ที่นั้น (สดุดี 19:1-4; เทียบกับโรม 11:18)
เพราะว่าพระเจ้าทรงสำแดงพระพิโรธของ พระองค์จากสวรรค์ ต่อความหมิ่นประมาทพระองค์ และความชั่วร้ายทั้งมวลของมนุษย์ที่เอาความชั่วร้ายนั้นบีบคั้นความจริง เหตุว่าเท่าที่จะรู้จักพระเจ้าได้ก็แจ้งอยู่กับใจเขาทั้งหลาย เพราะว่าพระเจ้าได้ทรงโปรดสำแดงแก่เขาแล้ว ตั้งแต่เริ่มสร้างโลกมาแล้ว สภาพที่ไม่ปรากฏของพระเจ้านั้น คือฤทธานุภาพอันถาวรและเทวสภาพของพระองค์ก็ได้ปรากฏชัดในสรรพสิ่งที่พระองค์ ได้ทรงสร้าง ฉะนั้นเขาทั้งหลายจึงไม่มีข้อแก้ตัวเลย (โรม 1:18-20)
เราคงจำได้ถึงการเสด็จเข้ากรุงเยรูซาเล็มของพระเยซูคริสต์ เมื่อฝูงชนโห่ร้องสรรเสริญพระองค์
ฝ่ายฟาริสีบางคนในหมู่ประชาชนนั้น ทูลพระองค์ว่า “อาจารย์เจ้าข้า จงห้ามเหล่าสาวกของท่าน” พระองค์ตรัสตอบเขาว่า “เราบอกท่านทั้งหลายว่า ถึงคนเหล่านี้จะนิ่งเสีย ศิลาทั้งหลายก็ยังจะส่งเสียงร้อง” (ลูกา 19:39-40)
ผมเข้าใจว่าดาวประหลาดดวงนั้น กำลังทำในสิ่งเดียวกัน อิสราเอลควรเป็น “ความสว่างแก่บรรดาประ ชาชาติ” (อิสยาห์ 42:6) แต่พวกเขาไม่ได้ทำหน้าที่ ไม่คิดจะนำข่าวประเสริฐเรื่องการกำเนิดมาของพระเมสซิยาห์ไปบอกแก่คนต่างชาติ ; ดังนั้นคนต่างชาติจึงทำหน้าที่นำข่าวประเสริฐนี้มาบอกแก่พวกเขาแทน เมื่อคนของพระเจ้า “นิ่งเฉย” “ดาว” (หรือดาวประหลาดดวงนั้น) จึงประกาศออกไป นำพวกโหราจารย์มาพบพระผู้ช่วยให้รอดแทน
ผมเห็นโหราจารย์พวกนี้เป็นเหมือนคนอย่างบาลาอัม เป็นต่างชาติทั้งคู่ แต่เป็นผู้ที่ได้รับการทรงสำแดง จากพระเจ้า เมื่อบาลาอัมปฏิเสธพระคำของพระองค์ เขาได้รับความพินาศ พวกโหราจารย์เชื่อการทรงนำของพระองค์ที่ให้มาที่เยรูซาเล็ม จนได้พบพระกุมารเยซูที่เบธเลเฮม
แล้วสำหรับพวกเรา “ดาวประหลาด” นี้มีความหมายอย่างไร? หลายคนพยายามหาคำอธิบายในเชิงมนุษย์10 บางคนบอกว่าเป็นดวงเดียวกับดาวหาง “ฮาเล่ย์” ; บางคนบอกเป็นบริวารของดาวจูปิเตอร์ หรือของดาวเสาร์ ผมต้องยอมรับว่าฟังดูไม่เข้าท่า แรกเลย ถ้านี่เป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติ ที่สามารถคำนวณได้ล่วงหน้า ทำไมพวกโหราจารย์ถึงเดินทางตามมา? มันคงไม่ใช่ปรากฏการณ์ปกติ แล้วเหตุใดดาวดวงนี้จึงพามาจนถึงบ้านที่พระเยซูและครอบครัวอาศัยอยู่?
ประการที่สอง ทำไมถึงต้องพยายามหาคำอธิบายในเชิงมนุษย์ในเรื่องของปาฏิหาริย์ นอกเสียจากอยากหลีกเลี่ยงไม่ยอมเชื่อเรื่องปาฏิหาริย์ อย่างเช่นนักวิชาการบางคน (ที่เก่งเอามากๆก็มี) เมื่อวิเคราะห์พระธรรมโยนาห์ คิดว่าน่าจะมีสาระ ถ้านำตัวอย่างอื่นที่มนุษย์ถูก “ปลามหึมา” กลืนเข้าไป และมีคนช่วยออกมาได้ ทำไมจึงทำเช่นนั้น? พระเจ้าอาจทรงใช้วิธีการทางธรรมชาติเพื่อทำให้พระประสงค์ของพระองค์ สำเร็จลง แต่ไม่ใช่เสมอไป บางครั้งพระองค์ใช้การอัศจรรย์ที่เหนือขอบเขตของธรรมชาติ เพื่อเราจะ ยอมรับได้ว่าเป็นพระหัตถ์ของพระองค์ที่ทรงกระทำ ดังนั้นผมจึงมองเรื่อง “ดาวประหลาด” นี้ว่าเป็นการทรงสำแดงของพระเจ้า สำแดงพระสิริของพระองค์ ซึ่งเราพบได้หลายครั้งในพระคัมภีร์เดิม11
เครื่องบรรณาการจากโหราจารย์ – ทองคำ กำยาน มดยอบ – แน่นอนเป็นของมีราคาแพงมาก ผม และคนอื่นๆอีกหลายคน มีความเห็นว่าพระเจ้าทรงจัดเตรียมสิ่งของเหล่านี้มาให้ เพื่อครอบครัวจะมีเงินพอสำหรับการเดินทางไปประเทศอียิปต์ บางคนหาความหมายของสิ่งเหล่านี้ทางฝ่ายวิญญาณ :
สิ่งนี้อาจอยู่ในความคิดคำนึงของมัทธิว ซึ่งผมไม่ได้คิดไปไกลขนาดนั้น มัทธิวบอกเราว่า พวกโหราจารย์ “กลับไปยังเมืองของตนทางอื่น” (2:12) บรูเนอร์แปลความตอนนี้ว่าเป็นเรื่องของจิตวิญญาณ ทุกคนที่มาหาพระเยซู มารับความรอด จะไม่มีวันกลับไปเดินทางเดิมอีก ผมไม่แน่ใจว่ามัทธิวต้องการสื่อเช่นนั้น หรือเพียงต้องการให้เรารู้ว่าพระเจ้านำให้โหราจารย์กลับไปทางอื่น เพื่อกันเฮโรดและให้มีเวลาพาพระเยซูหนีไปที่อียิปต์ได้ทัน ที่จริง สิ่งที่พวกโหราจารย์ทำดูออกจะเสี่ยง เพราะถ้าเฮโรดจับได้ ผมค่อนข้างแน่ใจว่าเขาคงไม่ปล่อยโหราจารย์พวกนี้ไว้แน่
พวกโหราจารย์ทำให้ผมนึกถึงอับราฮัม อาจเป็นได้ที่พวกโหราจารย์กับอับราฮัมมาจากถิ่นกำเนิดเดียวกัน ทั้งคู่เป็น “คนต่างชาติ” ในขณะที่พระเจ้าทรงเรียกให้มายังดินแดนพันธสัญญา ทั้งคู่ไม่รู้เลยว่าตนเองกำลังจะไปที่ใดเมื่อจากบ้านเกิดมา ทั้งคู่เชื่อฟังพระเจ้า และได้พบกับพระผู้ช่วยให้รอด (ดูยอห์น 8:56) ทั้งคู่ด้วยความบังเอิญ มีดาวเป็นสื่อนำ :
อยู่มาพระดำรัสของพระเจ้ามาถึงอับรามด้วย นิมิตว่า “อับรามเอ๋ย เจ้าอย่ากลัวเลย เราเป็นโล่ของเจ้า บำเหน็จของเจ้าจะยิ่งใหญ่” อับรามทูลว่า “ข้าแต่พระเจ้า พระ องค์จะทรงโปรดประทานอะไรแก่ข้าพระองค์ ด้วยว่าข้าพระองค์ยังไม่มีบุตรเลย และ เอลีเยเซอร์ชาวเมืองดามัสกัสคนนี้ จะเป็นผู้รับมรดกของข้าพระองค์” อับรามทูลอีกว่า “พระองค์มิได้ทรงประทานบุตรให้แก่ข้าพระองค์ แล้วคนที่เกิดในบ้านของข้าพระองค์ ก็จะเป็นผู้รับมรดกของข้าพระองค์” ครั้นแล้วพระดำรัสของพระเจ้ามาถึงอับรามว่า “คนนี้จะไม่ได้เป็นผู้รับมรดกของเจ้า แต่บุตรชายของเจ้าเองจะเป็นผู้รับมรดกของเจ้า” พระองค์จึงพาอับรามออกมากลางแจ้งแล้วตรัสว่า “มองดูฟ้า ถ้าเจ้านับดาวทั้งหลาย ได้ ก็นับไปเถิด” แล้วพระองค์ตรัสว่า “พงศ์พันธุ์ของเจ้าจะมากมายเช่นนั้น” อับรามก็เชื่อพระเจ้า ความเชื่อนั้นพระองค์ทรงนับว่าเป็นความชอบธรรมแก่ท่าน (ปฐมกาล 15:1-6)
ในตอนต้น ผมเรียงให้เห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเยรูซาเล็มตามลำดับ บอกว่ามัทธิวไม่ได้เล่าว่าพวกโหราจารย์ไปพบเฮโรดก่อน เพราะว่าถ้าพวกเขารู้จักเฮโรดดี คงไม่กล้าเสี่ยงเข้าไกล้ เฮโรดคงได้ยินเรื่องโหราจารย์โดยบังเอิญ เพราะพวกเขาไปสอบถามชาวบ้านในเมืองเยรูซาเล็มว่า “กษัตริย์ของชาวยิว” นั้นอยู่ที่ไหน เพื่อจะได้ไปนมัสการ
ผมรู้สึกขอบคุณบรูเนอร์ ที่ชี้ให้เห็นข้อเท็จจริงที่น่าสนใจ เมื่อมัทธิวพูดถึง “เฮโรด” บรูเนอร์กล่าวว่ามัทธิว “ถอดยศ” เฮโรดลงได้อย่างแนบเนียนมาก
บุคคลที่เด่นรองลงมาในตัวละครของมัทธิว คือคนที่มัทธิวเรียกตลอดเวลาว่า “กษัตริย์ เฮโรด จนกระทั่ง เมื่อ พวกโหราจารย์ได้นมัสการพระกุมารเยซูแล้ว หลังจากนั้นเป็นต้นไป เฮโรดก็ถูกถอดยศลงมา ไม่มีการเรียกว่ากษัตริย์อีกต่อไป การนมัสการพระกุมารของพวกโหราจารย์ คือการราชาภิเษกของพระเยซู ดังนั้น ในเพลงคริสตมาสบางเพลง จึงมีเนื้อร้องว่า “วันนี้มีกษัตริย์เกิดใหม่” ’12
เมื่อเรื่องที่พวกโหราจารย์ถามหากษัตริย์เกิดใหม่ได้ยินไปถึงหูของเฮโรด ในทันทีท่านเรียกบรรดาผู้ เชี่ยวชาญธรรมบัญญัติมาพบ เพราะพวกนี้ต้องรู้เรื่องคำพยากรณ์เกี่ยวกับสถานที่เกิดของพระเมสซิยาห์ พวกเขาก็รู้จริงๆ โดยอ้างไปที่หนังสือมีคาห์ 5:2 และบอกกับเฮโรดอย่างมั่นใจว่าที่ใดคือสถานที่เกิดของบุตรดาวิด ตามที่ทรงสัญญาไว้
เป็นเรื่องเข้าใจได้ว่าทำไมเฮโรดถึงวุ่นวายใจมากกับข่าวการมาประสูติของ “กษัตริย์ชาวยิว” เฮโรดไม่ต้องการให้บัลลังก์ตนเองสั่นคลอน แม้จะชราแล้วก็ตาม.13 เพราะเฮโรดไม่ได้สืบทอดบัลลังก์มาอย่างถูกต้อง ไม่ใด้เป็นแม้กระทั่งสายเลือด “ยิวแท้” ส่วนผู้คนในกรุงเยรูซาเล็มที่หวั่นวิตก ก็เป็นเรื่องเข้าใจได้ง่าย เพราะถ้าเฮโรดเริ่มหวาดระแวง บรรดาคนใกล้ตัวคงไม่ปลอดภัยแน่ รวมไปถึงครอบครัวด้วย:
ท่านได้สังหารวงศ์วานที่เหลือของราช บัลลังก์ฮัสโมเนียน สั่งฆ่าพวกสภาแซน เฮดรินไปว่าครึ่ง ฆ่าเจ้าหน้าที่ประจำศาลไปกว่าสามร้อย ฆ่าภรรยาตนเอง นางมาเรียม รวมถึงอเล็กซานดร้ามารดาของนางด้วย ฆ่าบุตรของตนเอง แอนติ พาเธอร์ อริสโตบูลูส และอเล็กซานเดอร์ จนเมื่อวาระสุดท้ายมาถึง ก่อนตาย ท่านได้เรียกผู้คนในระดับสูงของเยรูซาเล็ม มารวมกันที่สนามกีฬาใหญ่ และ สั่งให้ฆ่าคนเหล่านี้ในทันทีที่มีการประกาศถึงการตายของท่าน คนที่มีจิตใจ โหดเหี้ยมผิดมนุษย์ และกลัวการแก่งแย่งขนาดนี้ การสั่งฆ่าเด็กทารกผู้ชาย ทั่วเมืองเบธเลเฮมจึงเป็นไปได้14
แต่เหตุใดบรรดาผู้นำศาสนาแห่ง เยรูซาเล็ม – มหาปุโรหิตและพวกธรรมาจารย์ – จึงตื่นตระหนก? อาจเป็นเพราะในพระคัมภีร์เดิม มีคำพยากรณ์อื่นๆอีก ซึ่งพวกเขาคุ้นเคยดี – เป็นเรื่องเกี่ยวข้องกับการเสด็จมาของพระเมสซิยาห์ – ซึ่งฟังแล้ว น่าหวั่นใจ :
พระเจ้าตรัสว่า “วิบัติจงมีแก่ผู้เลี้ยงแกะ ผู้ทำลายและกระจายแกะของลานหญ้าของเรา” เพราะฉะนั้น พระเยโฮวาห์พระเจ้าแห่งอิสราเอล ตรัสกับผู้เลี้ยงแกะผู้ดูแลประชากรของเรา ดังนี้ว่า “เจ้าทั้งหลายได้กระจายฝูงแกะของเราและได้ ขับไล่มันไปเสีย และเจ้ามิได้เอาใจ ใส่มัน พระเจ้าตรัสว่า ดูเถิด เราจะเอาใจใส่เจ้า เพราะการกระทำที่ชั่วของเจ้า แล้วเราจะ รวบรวมฝูงแกะของเราที่เหลืออยู่ออกจากประเทศทั้งปวง ซึ่งเราได้ขับไล่ให้เขาไปอยู่นั้น และจะนำเขากลับมายังคอกของเขา เขาจะมีลูกดกและทวีมากขึ้น พระเจ้าตรัสว่า เราจะตั้ง ผู้เลี้ยงแกะไว้เหนือเขา ผู้จะเลี้ยงดูเขาและเขาทั้งหลายจะไม่กลัวอีกเลย หรือครั่นคร้าม จะไม่ขาดไปเลย “พระเจ้าตรัสว่า ดูเถิด วันเวลาจะมาถึง เมื่อเราจะเพาะอังกูรชอบธรรม ให้ดาวิด และท่านจะทรงครอบครองเป็นกษัตริย์และ กระทำกิจอย่างเฉลียวฉลาด และจะ ทรงประทานความยุติธรรมและ ความชอบธรรมในแผ่นดินนั้น ในสมัยของท่านยูดาห์จะรอดได้ และอิสราเอลจะอาศัยอยู่อย่างมั่นคง และนี่จะเป็นนามซึ่งเราจะเรียกท่าน คือ ‘พระเจ้าเป็น ความชอบธรรม ของเรา’ เพราะฉะนั้น พระเจ้าตรัสว่า ดูเถิด วันเวลาจะมาถึง เมื่อคนของ เขาไม่กล่าวอีกต่อไปว่า ‘พระเจ้าทรงพระชนม์อยู่ตราบใด ผู้ซึ่งได้นำประชาชนอิสราเอลออกมา จากแผ่นดินอียิปต์’ แต่จะว่า ‘พระเจ้าทรงพระชนม์อยู่ตราบใด ผู้ซึ่งได้นำและพาเชื้อสาย แห่งประชาอิสราเอลออก มาจากแดนเหนือ และออกมาจากประเทศที่พระองค์ทรงขับไล่ ให้ไปอยู่นั้น’ แล้วเขาทั้งหลายจะได้อาศัยอยู่ในแผ่นดินของเขาเอง” (เยเรมีย์ 23:1-8)
การเสด็จมาของกษัตริย์อิสราเอล “กษัตริย์ของชาวยิว” หมายถึงระบอบการปกครองใหม่ทั้งหมด การบริหารประเทศในรูปแบบใหม่ หลังจากได้ยินว่าพวกโหราจารย์กำลังตามหา “กษัตริย์องค์ใหม่ของชาวยิว” บรรยากาศในกรุงเยรูซาเล็มคงจะพอๆกับในวอชิงตันดีซี เมื่อพรรคใดพรรคหนึ่งมีชัยชนะอย่างถล่มทลายต่อคู่ต่อสู้ในการเลือกตั้ง ส่วนเรื่องทารกถูกสังหาร เราจะมาเรียนเจาะลึกในบทเรียนหน้า มาถึงตอนนี้ คงพอจะบอกได้ว่าเฮโรดนั้นเป็นฆาตรกรที่โหดเหี้ยมเพียงใด ทุกการฆาตกรรมวางแผนไว้ล่วงหน้า ต้องตายไม่มีพลาด เมื่อเฮโรดรู้เรื่องดาวประหลาด คงเตรียมการไว้ในใจ สั่งพวกโหราจารย์ ให้เดินทางกลับมาบอกถึงสถานที่ๆจะพบพระกุมาร เพื่อจะได้ไปนมัสการบ้าง บางทีเฮโรดอาจกลัวว่าแผนจะผิดพลาด ผมเกือบได้ยินเฮโรดพูดกับตัวเองว่า “ดาวดวงนี้มันปรากฏมาเกือบปีแล้ว แสดงว่า “กษัตริย์” องค์นี้น่าจะประมาณหนึ่งขวบ เพื่อกันพลาดคงต้องฆ่าเด็กทารกตั้งแต่สองขวบลงมา” เรา พบว่ามัทธิวไม่ได้พูดถึงการตายอันน่าสยดสยองของเฮโรดหลังจากนั้นไม่นาน ท่านรู้ดีว่า เมื่อเวลามาถึง คนชั่วร้ายจะต้องฟื้นขึ้น เพื่อมารับการลงโทษชั่วนิรันดร์ ซึ่งสาสมกันดีกับสิ่งที่ทำไว้
เราคงต้องปล่อยเรื่องของเฮโรดให้เป็นอดีต และจบบทเรียนตอนนี้โดยมุ่งไปที่พระเยซู ผู้ทรงเข้ามาครอบครองความนึกคิดของเรา ในระหว่างศึกษาบทเรียนของพระกิตติคุณเล่มนี้ สิ่งแรกที่มัทธิวบอกเราถึงพระกุมาร คือพระองค์ทรงเป็นมนุษย์ ตามที่บันทีกอยู่ในลำดับพงศ์ 1:1-17 และพระองค์ทรงเป็น พระเจ้า พระองค์ทรงเป็นตามความหมายของพระนาม คือพระเจ้าท่ามกลางเรา ทารกน้อยนี้เป็นทั้งมนุษย์และพระเจ้าได้อย่างไร? โดยถือกำเนิดมาอย่างบริสุทธิ์ เด็กที่อยู่ในครรภ์นางมารีย์ ไม่ได้เกิดขึ้นจากชายใด แต่โดยเดชพระวิญญาณบริสุทธิ์ (1:18-25) เพราะการถือกำเนิดอย่างพิเศษเช่นนี้ ทารกนี้จึง “เป็นผู้ที่จะโปรดช่วยชนชาติของท่านให้รอดจากความผิดบาปของเขา” (1:21) มัทธิวกล่าวว่า พระเยซูเป็นผู้ทำให้คำพยากรณ์ของผู้เผยพระวจนะ ในพระคัมภีร์เดิมเป็นจริงถึงสี่ครั้งในบทที่ 2 เราจะย้อนมาพูดเรื่องนี้อีกทีในบทเรียนหน้า ให้เรามาพิจารณาดูพระลักษณะขององค์พระผู้เป็นเจ้าในบทนี้ด้วยกัน
ประการแรก พระเยซูประสูติที่เบธเลเฮม ดูเหมือนไม่ใช่เรื่องสำคํญ แต่ไม่ควรมองข้าม ไม่ใช่ในมัทธิวเท่านั้น แต่ในพระกิตติคุณเล่มอื่นๆด้วย มัทธิวบอกเราว่าพระเยซูประสูติที่เบธเลเฮม (2:1) ตรงตามที่มีคาห์พยากรณ์ไว้ (2:6) ซึ่งเราเห็นได้ชัดเจน แต่หลังจากนั้น สถานการณ์ที่เกิดขึ้น ทำให้พระ องค์ต้องเติบโตขึ้นในนาซาเร็ธ ในแคว้นกาลิลีแทน ดังนั้นพระองค์จึงถูกเรียกว่า “พระเยซูชาวนาซาเร็ธ” (มัทธิว 2:23 ฯลฯ) แต่ในสมัยของพระองค์ผู้คนเข้าใจผิด คิดว่าพระองค์เป็นชาวนาซาเร็ธโดยกำเนิด:
ฟีลิปไปหานาธานาเอลบอกเขาว่า “เราได้พบพระองค์ผู้ที่โมเสสได้กล่าวถึง ในหนังสือธรรมบัญญัติ และที่พวกผู้เผยพระวจนะได้กล่าวถึง คือ พระเยซู ชาวนาซาเร็ธบุตรโยเซฟ” นาธานาเอลถามเขาว่า “สิ่งดีอันใดจะมาจากนาซาเร็ธได้หรือ” ฟีลิปตอบว่า “มาดูเถิด” (ยอห์น 1:45-46)
เมื่อประชาชนได้ฟังดังนั้น บางคนก็พูดว่า “ท่านผู้นี้เป็นผู้เผยพระวจนะนั้นแน่” คนอื่นๆก็พูดว่า “ท่านผู้นี้เป็นพระคริสต์” แต่บางคนพูดว่า “พระคริสต์จะมาจากกาลิลีหรือ พระคัมภีร์กล่าวไว้มิใช่หรือ ว่าพระคริสต์จะมาจากเชื้อพระวงศ์ของดาวิด และมาจากหมู่บ้านเบธเลเฮม ชนบทซึ่งดาวิดเคยอยู่นั้น” (ยอห์น 7:40-42)
นิโคเดมัสผู้ที่ได้มาหาพระองค์คราวก่อน นั้น และเป็นคนหนึ่งในพวกเขา ได้กล่าว แก่พวกเขาว่า “กฎหมายของเราตัดสินคนใดโดยที่ยังไม่ได้ฟังเขาก่อน และรู้ว่า เขาได้ทำอะไรบ้างหรือ” เขาทั้งหลายตอบนิโคเดมัสว่า “ท่านมาจากกาลิลีด้วยหรือ จงค้นหาดูเถิด แล้วท่านจะเห็นว่าไม่มีผู้เผยพระวจนะเกิดขึ้นมาจากกาลิลี” (ยอห์น 7:50-52)
ทั้งมัทธิวและลูกา พูดอย่างชัดเจนว่าพระเยซูเป็น “ชาวนาซาเร็ธ” แท้ และเป็น “คนกาลิลี” และประสูติที่เบธเลเฮม พระองค์จึงทำให้คำพยากรณ์ในเรื่องสถานที่สำเร็จเป็นจริง
ประการที่สอง พระเยซูทรงเปิดเผยถึง “ความอ่อนแอ” บางอย่างให้เราเห็น แต่เป็น “ความอ่อนแอ” ที่ แข็งแกร่งกว่ามนุษย์ในหนังสือที่อาโปรกริปปาบันทึกไว้ มีแต่เรื่องราว “มหัศจรรย์” เหลือเชื่อหลายอย่างที่เกิดขึ้นกับพระกุมารเยซู :
พระกุมารไม่ได้เป็นไปอย่างหนังสือที่ อาโปรกริปปาบันทึกไว้ หรือแม้แต่ในคัมภีร์ โกราน ที่พูดถึงพระสติปัญญาอันล้ำเลิศ หรือทรงทำอัศจรรย์ได้ตั้งแต่แบเบาะ พระองค์เป็นเพียงทารก ไม่มีรัศมีลอยอยู่เหนือศีรษะ ไม่มีแสงเปล่งออกมาจากพระ กาย และผู้คนยอมน้อมรับทารกน้อยนี้ (… ไม่ใช่นางมารีย์)15
ในมัทธิวบทที่ 2 ย้ำเตือนเราอีกครั้งถึงความเป็นมนุษย์ของพระเยซู ทรงบอบบางเหมือนทารกทั่วไป พระกุมารน้อยต้องการการดูแลเลี้ยงดูจากบิดามารดา ปกป้องให้พ้นภัยจากเงื้อมมือของเฮโรดผู้จ้องจะฆ่า ต้องมีคนพาหนีไปอียิปต์ และพากลับอิสราเอลเมื่อปลอดภัย โยเซฟเป็นผู้ที่พระเจ้าตรัสสั่งในความฝัน ให้เป็นผู้ปกป้องทารกน้อยนี้ให้พ้นภัย และถึงแม้ในท่ามกลางเหตุการณ์ต่างๆที่ แสดงว่าพระองค์เป็นมนุษย์ ยังมีเหตุการณ์บางอย่าง ที่สำแดงให้รู้ว่าพระองค์ทรงเป็นมากกว่า พระองค์ทรงถือกำเนิดมาในฐานะ “กษัตริย์ของชาวยิว” (2:2) และเมื่อพระองค์ประสูติ มีดาวประหลาดปรากฏขึ้น เพื่อป่าวประกาศไป นำคนต่างชาติผู้มั่งคั่งจากแดนไกล เดินทางมาเพื่อนมัสการพระองค์ นำของบรรณาการมาถวาย – ทองคำ กำยาน และมดยอบ (2:11)16 ทารกนี้ เป็นเด็กพิเศษ และน่าอกสั่นขวัญแขวนสำหรับเฮโรดอย่างยิ่ง เด็กคนนี้ ในความเป็นมนุษย์และบอบบาง ทรงเป็นพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์ ไม่มีสิ่งใดมายับยั้ง ไม่ให้พระองค์ทำพระประสงค์ของพระเจ้าสำเร็จ ใครจะไปนึกว่าพระเจ้าทรงส่งพระผู้ช่วยให้รอด ลงมาในโลกนี้ ในฐานะทารกน้อย อ่อนแอบอบบาง ช่วยตนเองไม่ได้
ประการที่สาม มนุษย์เป็นปฏิปักษ์และต่อต้านพระเยซู โดยเฉพาะชาวยิวพี่น้องร่วมชาติ คำพยากรณ์ใน มัทธิว 2:23 ทำให้หลายคนวุ่นวายใจ:
ไปอาศัยในเมืองหนึ่งชื่อนาซาเร็ธ เพื่อจะสำเร็จตามพระวจนะ ซึ่งตรัสโดยผู้เผยพระวจนะ เขาจะเรียกท่านว่า ชาวนาซาเร็ธ
ผู้เชี่ยวชาญพระคัมภีร์หลายคนตั้งข้อสังเกตว่า ไม่มีพระคำตอนไหนที่กล่าวว่า “พระเยซูจะถูกเรียกว่า เป็นชาวนาซาเร็ธ” เจมส์ มอนท์โกเมอรี่ บอยส์ ชี้ให้เห็นข้อสังเกตุสำคัญสองประการ :
ข้อแรก เราต้องดูว่ามัทธิวเขียนพระคำข้อนี้โดยอ้างถึงคำพยากรณ์ของผู้เผยพระวจนะ (เป็นพหูพจน์ – โดยบรรดาผู้เผยพระวจนะ) มากกว่าที่ท่านพูดถึงในตอนอื่นๆ ‘เพื่อจะสำเร็จตามพระวจนะ ซึ่งตรัสโดยผู้เผยพระวจนะ’ (มัทธิว 1:22) หรือ ‘เพราะว่าผู้เผยพระวจนะได้เขียนไว้’ (มัท ธิว 2:5) ซึ่งเป็นการกล่าวแบบกว้างๆ ไม่ได้เจาะจงไปที่ข้อพระคำข้อหนึ่งข้อใดในพระคัมภีร์เดิม17
นอกจากนี้ ท่านยังแทนคำกริยาที่ใช้ประจำเป็นต้นแบบ (ตรัส) ควบคู่ไปกับคำ hoti ซึ่ง คือคำว่า “โดย” เกิดขึ้นครั้งเดียวในพระกิตติคุณฉบับนี้ มัทธิวคงไม่ได้เจาะจงไปที่พระคัมภีร์เดิมตอนใด ตอนหนึ่ง แต่พูดตามคำสอนในพระวจนะทั่วๆไป ดังนั้นท่านจึงพูดว่า ‘เพื่อจะสำเร็จตามพระ วจนะ ซึ่งตรัสโดยผู้เผยพระวจนะ เขาจะเรียกท่านว่าชาวนาซาเร็ธ ’18
บอยส์ส์กล่าวว่า ไม่มีที่ใดในพระคัมภีร์เดิมที่บ่งว่า พระเยซูจะถูกเรียกว่าเป็นชาวนาซาเร็ธ แล้วเราจะตอบปัญหานี้อย่างไร? ผมคิดว่าบอยส์มีคำอธิบายที่ดีที่สุด :
คำอธิบายที่เหมาะสม อาจเป็นได้ว่านาซาเร็ธเป็นสถานที่ๆน่ารังเกียจ เป็นหมู่บ้านที่ไม่มีใครอยากไป “ข้องแวะ” ด้วย เป็นที่รู้จักกันดีในหมู่คนยิวว่าควรอยู่ห่างเอาไว้ สิ่งที่มัทธิวพยายามจะสื่อ คือสิ่งที่ผู้เผยพระวจนะทำนายว่า พระเมสซิยาห์จะเป็นที่ชิงชังรังเกียจ เป็นบุคคลที่ตกเป็นเหยื่อของความเกลียดชัง 19
บรูเนอร์ให้ความเห็นในทำนองเดียวกัน :
ตามเหตุผลทางทฤษฎี ผมอยากจะกล่าวถึง … ความเป็นไปได้ หรือน่าเป็นไปได้ว่าสำหรับมัทธิว ใครก็ตามถ้าได้ชื่อว่ามาจากนาซาเร็ธ หรือเป็นชาวนาซาเร็ธแล้ว เป็นเหมือนคนที่ถูกมองข้าม และเหตุนี้ ผู้เผยพระวจนะจึงพยากรณ์บ่อยครั้งว่าพระคริสต์จะอยู่ท่ามกลาง และเพื่อเราทั้งหลาย 20 ดังนั้นเมื่อ“ท่านถูกเรียกว่าเป็นชาวนาซาเร็ธ” ความหมายก็น่าจะแปลว่า “เป็นผู้ที่ถูกมองข้าม”21
ผมคิดว่าคำอธิบายของทั้งบอยส์และ บรูเนอร์นั้นดีมาก และสอดคล้องอย่างดีกับคำพยากรณ์ของบรรดาผู้เผยพระวจนะที่เล็งถึงพระเมสซิยา ห์ ดังนั้นหลายต่อหลายครั้ง เราพบคำพยากรณ์ที่กล่าวว่าทรงเป็นพระผู้ช่วยให้รอดที่ถูกเกลียดชัง :
ท่านได้ถูกมนุษย์ดูหมิ่นและทอด ทิ้ง เป็นคนที่รับความเจ็บปวด และคุ้นเคยกับ ความเจ็บไข้และดังผู้หนึ่งซึ่งคนทนมองดูไม่ได้ ท่านถูกดูหมิ่น ท่านได้ถูกมนุษย์ ดูหมิ่นและทอดทิ้ง เป็นคนที่รับความเจ็บปวด และคุ้นเคยกับความเจ็บไข้ และดัง ผู้หนึ่งซึ่งคนทนมองดูไม่ได้ ท่านถูกดูหมิ่น (อิสยาห์ 53:3).22
ประการที่สี่ พระเยซูทรงเป็นอิสราเอลใหม่ ในบทที่ 1 มัทธิวเชื่อมโยงพระเยซูเข้ากับอับราฮัมและดาวิด (1:1-17) ในบทที่ 2 มัทธิวขยายวงกว้างออกไปอีก แรกเราเห็นว่าพระเยซูถูกโยงเข้ากับโมเสส โมเสส “ผู้ช่วยกู้” ที่พระเจ้าเลือกให้มาช่วยประชากรของพระองค์ ดังนั้นกษัตริย์ (ฟาโรห์) จึงแสวงชีวิตของท่าน ตั้งแต่ยังเป็นทารก23 พระเจ้าช่วยกู้โมเสสเช่นเดียวกับที่ทรงช่วยพระเยซู มัทธิวยังโยงพระเยซูเข้ากับ ประเทศอิสราเอล เราจึงประหลาดใจที่ “คำพยากรณ์” ในพระธรรมโฮเซยาห์ 11:1 สำเร็จเป็นจริงในองค์พระเยซู :
ครั้นเขาไปแล้วก็มีทูตองค์หนึ่งของ พระเป็นเจ้า ได้มาปรากฏแก่โยเซฟใน ความฝันแล้วบอกว่า “จงลุกขึ้นพากุมารกับมารดาหนีไปประเทศอียิปต์ และคอยอยู่ที่นั่นจนกว่าเราจะบอกเจ้า เพราะว่าเฮโรดจะแสวงหากุมาร เพื่อจะประหารชีวิตเสียในเวลากลางคืนโยเซฟจึงลุกขึ้น พากุมารกับ มารดาไปยังประเทศอียิปต์ และได้อยู่ที่นั่นจนเฮโรดสิ้นพระชนม์ ทั้งนี้เกิด ขึ้นเพื่อจะให้สำเร็จตามพระวจนะของพระเป็นเจ้า ซึ่งได้ตรัสไว้โดยผู้เผยพระวจนะว่า เราได้เรียกบุตรของเราให้ออกมาจากอียิปต์ (มัทธิว 2:13-15)
คนยิวคนไหนในสมัยของพระเยซู จะไปคิดว่าพระธรรมโฮเซยา 11:1 เป็นคำพยากรณ์ คำพยากรณ์ที่ เกิดขึ้นเป็นจริงข้อนี้ ทำให้หลายคนงงเพราะนึกไม่ถึง ให้เรามาดูเหตุผลของมัทธิวกัน ชาวอิสราเอลละ ทิ้งแผ่นดินคานาอัน ไปชีวิตต่างแดนที่ในอียิปต์ถึง 400 ปี เมื่อถึงเวลา พระเจ้าส่งโมเสสมาช่วยประชากรของพระองค์กลับคืนสู่ดินแดนพันธสัญญา (ดูปฐมกาล 15:12-21) ตามบันทึกของมัทธิว พระเยซูย้อนรอยอดีตอิสราเอล ในวัยทารก พระองค์ถูกนำไปอียิปต์ (สถานที่ๆพระเจ้าเตรียมไว้เพื่อปก ป้องประชากรของพระองค์ เช่นเดียวกับที่พระองค์ทรงปกป้องพระเยซู) หลังพลัดพรากจากบ้านไปอยู่ที่อียิปต์ พระองค์ทรงเดินทางกลับสู่มาตุภูมิ ดินแดนแห่งพันธสัญญา เช่นเดียวบรรพบุรุษอิสราเอลเคยทำในอดีต
พระเจ้าสัญญากับอับราฮัมว่า จะทรงอำนวยพระพรประชาชาติผ่านทางเชื้อสายของท่าน (ปฐมกาล 12:1-3) แต่เป็นเพราะความบาป ไม่มีผู้ใดในอิสราเอลชอบธรรมพอที่จะเป็นพระพรไปสู่ประชาชาติ พระเยซูทรงเป็นอิสราเอลที่สมบูรณ์แบบ เป็นตัวแทนที่เหมาะสมยิ่งของประเทศ พระเยซูทรงเป็น “เชื้อสาย” ที่กล่าวถึงนี้ เป็นแหล่งที่พระพรจากพระสัญญาอับราฮัมจะเทออกไหลไปสู่ผู้อื่น :
ดูก่อนพี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าขอยกตัวอย่างสักเรื่องหนึ่ง ถึงแม้เป็นคำสัญญาของมนุษย์ เมื่อได้รับรองกันแล้ว ไม่มีผู้ใดจะล้มเลิกหรือเพิ่มเติมขึ้นอีกได้ บรรดาพระ สัญญา ที่ได้ประทานไว้แก่อับราฮัมและพงศ์พันธุ์ของท่านนั้น มิได้ตรัสว่า และแก่พงศ์พันธุ์ทั้งหลาย เหมือนอย่างกับว่าแก่คนมากคน แต่เหมือนกับว่าแก่คนผู้เดียวคือ แก่พงศ์พันธุ์ของท่าน ซึ่งเป็นพระคริสต์ (กาลาเทีย 3:15-16)
อิสราเอลเป็นชาติที่ดื้อดึงและชอบกบฏ แม้ผู้นำที่ยิ่งใหญ่อย่างโมเสส ดาวิด และซาโลมอน ก็ยังเป็นคนบาป มีเพียงพระเยซูเท่านั้น ผู้เป็น “บุตรของอับราฮัม” และเป็น “บุตรดาวิด” และเป็น “บุตรพระเจ้า” ด้วย พระองค์เท่านั้นเป็นผู้ทำให้อนาคตของอิสราเอลสำเร็จเป็นจริง เป็นแหล่งแห่งพระพรฝ่ายวิญญาณทุกอย่าง ดังนั้นมัทธิวจึงประกาศว่า พระเยซูทรงเป็นผู้ทำให้พระสัญญา เรื่องพระพรของพระเจ้า และความหวังของอิสราเอลสำเร็จเป็นจริงสมบูรณ์ :
ถ้าเจาะลึกลงไปอีก บรรดานักแปลความหมายพบว่า สิ่งที่พระเยซูทำในบทที่ 2 เหมือนกับสิ่งที่คนอิสราเอลในยุคโบราณเคยทำมาแล้ว พระองค์ทรงละจากแผ่นดินพันธสัญญาอิสราเอลไปยังประเทศเจ้าเก่าที่ใช้หลบภัย อียิปต์ เหมือนกับบุคคลสำคัญทั้งหลาย (จากอับราฮัมไปยังโยเซฟ) ได้ทำในครั้งโบราณ เหมือนกับโมเสสที่สองในอพยพ พระเยซูถูกเรียกให้ออกมาจากอียิปต์ กลับคืนสู่ดินแดนพันธสัญญาอีกครั้ง (‘เราได้เรียกบุตรของเราให้ออกมาจากอียิปต์’) ทั้งหมดนี้ มัทธิวบอกเราว่า “ดูสิ อิสราเอลใหม่!”24
มัทธิว 1 สอนเราเรื่องปฐมกาลใหม่ โดยย้อนประวัติศาสตร์การกำเนิดของบุตรอับราฮัมและบุตรดาวิดตามพระสัญญา มัทธิว 2 จึงสอนเราเรื่องการอพยพใหม่ การเข้าไปอาศัยและออกจากประเทศอียิปต์ของพระเยซู หรือโมเสสใหม่ พระเยซูทรงทำให้พระวจนะสำเร็จสมบูรณ์ ในฐานะของพระเมสซิยาห์ : มัทธิวบทที่ 1 แสดงให้เห็นโดยการสืบทอดลำดับพงศ์ของพระเยซู (อับราฮัม และดาวิด); มัทธิวบทที่ 2 แสดงให้เห็นถึงสถานที่ๆพระองค์เสด็จไป (เบธเลเฮม อียิปต์ อิสราเอล) … .25
… พระองค์เองคือภาพรวมของอิสราเอลทั้งหมด (เป็นตัวแทนของมนุษยชาติ) เป็นถ้วยที่ต้องดื่มจนหยดสุดท้าย เพื่อจะซึมซับเอาไว้ให้หมดสิ้น
“สิ่งที่อิสราเอลเคยเป็นมาทั้งหมด หลอมรวมอยู่ในพระบุคคลขององค์พระเยซู” (จากข้อเขียนของ Meier, Vis., 55, n. 19) พระเยซูคริสต์คืออิสราเอลใหม่ อิสราเอลทำในสิ่งที่พระคัมภีร์ทำนายไว้ทุกประการ ทุกสิ่งที่อิสยาห์เผยไว้สำเร็จเป็นจริงในองค์พระเยซูคริสต์ เกิดขึ้นเป็นจริงโดยคนอิสราเอลเพียงคนเดียว เป็นไปตามหลักการพระคัมภีร์ที่ออสการ์ คัลมานเรียกว่า “ปฏิรูปแบบถดถอย” เมื่อมนุษย์ล้มเหลว (ปฐก. 1-11) อิสราเอลถูกเลือกให้เป็นหนทางความรอดสำหรับมนุษย์ทั้งมวล (ปฐก. 12) เมื่ออิสราเอลล้มเหลว เยซูชาวนาซาเร็ธ คนอิสราเอลทำสำเร็จในนามและเพื่ออิสราเอลเอง (มัทธิว 1) และเมื่อ “การปฏิรูปเดินหน้า” พระเยซูทรงตั้งคริสตจักรของพระองค์เอง เพื่อประชากรใหม่ของพระเจ้า เป็นเกลือ เป็นแสงสว่าง และเป็นสาวกจากทุกชนชาติ (มัทธิว 5;13-16; 28:18-20) จนกว่าพระองค์เสด็จกลับมาเมื่อสิ้นยุค ในบุคคลของพระเยซูองค์เดียว ทรงขมวดของเดิมเสีย และเปิดฉากใหม่ด้วยคริสตจักรของพระองค์เป็นประวัติศาสตร์แห่งความรอดของ อิสราเอลเพื่อโลกมนุษย์ 26
ผมขอสรุปบทเรียนนี้ด้วยข้อคิดบางประการ
ข้อแรก พระเยซูทรงแบ่งแยกมนุษย์ได้อย่างอัศจรรย์ เรา เห็นข้อแตกต่างนี้ได้อย่างขัดเจนในมัทธิวบทที่ 2 ด้านหนึ่งคือพวกโหราจารย์ ที่เดินทางมาจากแดนไกล (อย่างยากลำบาก) มาเพื่อค้นหา และนมัสการกษัตริย์ของชาวยิว อีกด้านหนึ่งคือเฮโรดในฐานะผู้นำศาสนาและเป็นคนเยรูซาเล็ม เฮโรดได้ทำสิ่งโหดเหี้ยมที่สุด ตามสังหารพระกุมารเยซู ส่วนคนที่เหลือไม่ให้ความสนใจกับพระองค์ เมื่อมนุษย์เผชิญหน้าพระเยซู พวกเขาต้องตัดสินใจว่าจะน้อมรับพระองค์เป็นพระผู้ช่วยตามที่พระเจ้าทรงสัญญา ไว้ หรือจะปฏิเสธพระองค์ เมื่อคุณศึกษาบทเรียนนี้ คุณเองคืออีกคนที่ต้องเลือก : จะรับพระเยซูในฐานะพระผู้ช่วยให้รอดของพระเจ้า หรือคุณจะปฏิเสธพระองค์ดี? ไม่มีทางสายกลางครับ ไม่เคยมี คุณอยากอยู่ฝ่ายไหน เฮโรด หรือโหราจารย์?
ข้อสอง บทเรียนตอนนี้เตือนเราว่า มีความรู้เรื่องพระเยซูตามพระคัมภีร์เท่านั้นไม่พอ เรา ต้องลงมือทำตามความรู้นั้นเพื่อจะรับความรอดได้ พวกโหราจารย์ต่างชาติไม่ได้มีความรู้เรื่องพระเยซูเท่ากับพวกผู้นำศาสนาใน เยรูซาเล็ม ถึงกระนั้นพวกเขาทำตามเท่าที่รู้ ออกตามหาพระกุมารเยซู และนมัสการพระองค์ พวกเขาพบทางแห่งความรอด ; แต่ชาวเยรูซาเล็มเองกลับไม่พบ
นี่คือคำสอนทิ้งท้ายที่พระเยซูให้ไว้ในคำเทศนาบนภูเขาใช่หรือไม่?
“เหตุฉะนั้นผู้ใดที่ได้ยินคำเหล่านี้ของ เรา และประพฤติตาม เขาก็เปรียบเสมือนผู้ที่มีสติปัญญาสร้างเรือนของตนไว้บนศิลา ฝนก็ตกและน้ำก็ไหลเชี่ยว ลมก็พัดปะทะเรือนนั้น แต่เรือนมิได้พังลง เพราะว่ารากตั้งอยู่บนศิลา แต่ผู้ที่ได้ยินคำเหล่านี้ของเราและไม่ประพฤติตามเขาก็เปรียบเสมือนผู้ที่ โง่เขลา สร้างเรือนของตนไว้บนทราย ฝนก็ตกและน้ำก็ไหลเชี่ยว ลมก็พัดปะทะเรือนนั้น เรือนนั้นก็พังทลายลง และการซึ่งพังทลายนั้นก็ใหญ่ยิ่ง” (มัทธิว 7:24-27)
เมื่อคุณได้ยินเรื่องราวของพระเยซูแล้ว คุณได้ลงมือทำหรือยัง? อย่าลืมว่าแค่รู้อย่างเดียวไม่พอ
ข้อสาม บทเรียนตอนต้นของพระกิตติคุณมัทธิว จะช่วยเตรียมเราสำหรับเรื่องราวต่างๆที่จะตามมาของพระกิตติคุณเล่มนี้ เราเรียนรู้ว่าพระเยซูทรงเป็นทั้ง “บุตรพระเจ้า” และ “บุตรมนุษย์” เป็นมนุษย์และเป็นพระเจ้า ทุกสิ่งที่พระเยซูทรงกระทำและตรัสในพระกิตติคุณเล่มนี้ นำไปสู่บทสรุปเพียงบทเดียว เมื่อพระองค์ถือกำเนิด มีบางคนปฏิเสธพระองค์ แต่ก็มีบางคนเชื่อ แม้เวลาผ่านไป ทุกอย่างยังเหมือนเดิม พระเยซูถูกประชากรของพระองค์เองปฏิเสธ (ยอห์น 1:11-12) แต่พวกต่างชาติต่างศาสนากลับยอมรับพระองค์ พระเยซูทรงเป็นอิสราเอลแท้ เป็นผู้ทำให้พระสัญญาสำเร็จเป็นจริง และเป็นความหวังของอิสราเอล คำนำของมัทธิวสำหรับพระกิตติคุณที่แสนมหัศจรรย์เล่มนี้ เตรียมเราให้พร้อมรับเรื่องราวยิ่งใหญ่ที่รอเราอยู่เบื้องหน้า
ข้อสี่ มัทธิวเปลี่ยนมุมมองการอ่านพระคัมภีร์เดิมของเรา มัท ธิวมองเห็นพระเยซูในพระคัมภีร์เดิม ในที่ๆเราไม่คาดคิด เป็นเพราะในหลายๆด้าน พระเยซู อิสราเอลใหม่ ทรงเป็นคำตอบสุดท้ายในพระสัญญาของพระเจ้า เป็นความหวังของอิสราเอล ท่านเห็นพระเยซูในการอพยพออกจากอียิปต์ (โฮเชยา 11:1) ท่านเห็นพระเยซูในที่ๆเราไม่เห็น บางทีสิ่งนี้บอกว่าเราควรมองหาพระเยซูในพระคัมภีร์เก่าให้มากกว่าเดิม และบ่อยกว่าด้วย เราจึงไม่ประหลาดใจเมื่อได้อ่านจากปลายปากกาของ อ.เปาโล :
และได้รับประทานอาหารทิพย์ทุกคน และได้ดื่มน้ำทิพย์ทุกคน เพราะว่าเขาได้ดื่มน้ำซึ่งไหลออกมาจากพระศิลาที่ติดตามเขามา พระศิลานั้นคือพระคริสต์ (1 โครินธ์ 10:3-4)
ขอให้เรามองหาพระเยซูเมื่อเราอ่านพระคัมภีร์เดิม พระองค์ทรงอยู่ที่ั่นั่นมากกว่าที่เราคิด
ข้อห้า มัทธิวมี “วิสัยทัศน์” ในพระราชกิจ ไม่ใช่เฉพาะตอนจบของพระกิตติคุณเท่านั้น (28:18-20) มีตั้งแต่เริ่มแรกทีเดียว เหตุ ใดผู้เขียนชาวยิว เขียนพระกิตติคุณเพื่อคนยิว จึงเขียนเรื่องคนต่างชาติตั้งแต่สองบทแรก หรือเป็นเพราะส่วนสำคัญที่สุดในพระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์ คือข่าวประเสริฐเรื่องความรอดและพระพรที่พระเจ้าเตรียมไว้ให้แก่ชนทุกชาติ ไม่ใช่แค่อิสราเอล พระสัญญาอับราฮัมเป็นพระสัญญาแห่งพระพรที่มีให้ทั้งอิสราเอล และมนุษยชาติ นี่คือเหตุที่พระเยซูทรงสำแดงเรื่องชาวต่างชาติให้เห็นชัดเจนในพระกิตติคุณ ลูกา 4:16-30 และที่มัทธิวรวมเชื้อสายคนต่างชาติอยู่ในลำดับพงศ์ของท่าน และอีกครั้งในบทที่ 2 ด้วย พวกเราในฐานะคนต่างชาติ ควรมองเห็นว่าเรามีทางเลือกในเรื่องความบาป และการที่พระเยซูอภัยให้ โดยชดใช้ด้วยพระโลหิตของพระองค์เอง พวกยิวด้วยต้องรับผิดชอบต่อการกบฏและการปฏิเสธพระองค์ มัทธิวเป็นหนังสือแห่งพระกิตติคุณ ; เป็นการประกาศข่าวประเสริฐเรื่องของขวัญแห่งชีวิตนิรันดร์ และการอภัยโทษบาปที่พระเจ้าทรงมอบให้แก่มนุษย์ทุกคน
เป็นพระกิตติคุณที่จบลงด้วยคำสั่ง สั่งให้เรานำข่าวดีนี้ไปบอกกับทุกชนชาติ เป็นสิ่งที่เราพึงกระทำ แต่ อยากให้เราเรียนรู้ด้วยว่า ถึงแม้มนุษย์ล้มเหลวในการทำตามพระมหาบัญชา ที่ให้ไปเป็น “แสงสว่างแก่ประชาชาติ” แต่พระเจ้าจะทรงนำคนที่พระองค์เลือกสรรไว้ให้มาถึงพระองค์ได้ ถึงแม้อิสราเอลล้มเหลวในการเป็น “แสงสว่างแก่คนต่างชาติ” พระเจ้าทรงมุ่งไปยังโหราจารย์ นำพวกเขามานมัสการพระกุมารเยซู แต่นี่ไม่ใช่ข้ออ้างที่จะไม่ทำตามพระมหาบัญชา ; แต่เป็นการหนุนใจว่าพระเจ้าไม่มีวันปล่อยให้ผู้ที่พระองค์เลือกสรรไว้หลงหาย ไป ไม่ว่าจะบาปแคไหน ไม่ว่าเราจะอยู่ไกลสุดหล้าฟ้าเขียวแค่ไหนก็ตาม
เมื่อเราย้อนนึกถึงเรื่องพระเจ้า “ทรงเรียก” พวกโหราจารย์มา ทำให้เราอดคิดถึงคำพูดของ อ.เปาโลใน หนังสือเอเฟซัสที่กล่าวถึงความรักและพระคุณของพระเจ้า ที่ทรงเรียกให้คนต่างชาติมาพบพระองค์ :
เหตุฉะนั้นท่านจงระลึกว่า เมื่อก่อนท่านเคยเป็นคนต่างชาติตามเนื้อหนัง และพวกที่รับพิธีเข้าสุหนัตซึ่งกระทำแก่เนื้อหนังด้วยมือ เคยเรียกท่านว่า เป็นพวกที่มิได้เข้าสุหนัต จงระลึกว่า ครั้งนั้นท่านทั้งหลายเป็นคนอยู่นอกพระคริสต์ ขาดจากการเป็นพลเมืองอิสราเอล และไม่มีส่วนในบรรดาพันธสัญญาซึ่งทรงสัญญาไว้นั้น ไม่มีที่หวัง และอยู่ในโลกปราศจากพระเจ้า แต่บัดนี้ในพระเยซูคริสต์ ท่านทั้งหลายซึ่งเมื่อก่อนอยู่ไกล ได้เข้ามาใกล้โดยพระโลหิตของพระคริสต์ (เอเฟซัส 2:11-13)
โดย : Robert L (Bob) Deffinbaugh
ได้รับอนุญาตและเป็นลิขสิทธิของ https://bible.org/
แปล : อรอวล ระงับภัย (Church of Joy)
1 นอกเหนือจากที่กล่าวมา พระวจนะคำที่นำมาใช้ทั้งหมดมาจาก NET Bible (The NEW ENGLISH TRANSLATION) หรือ THE NET BIBLE เป็นการแปลพระคัมภีร์ใหม่ทั้งหมด ไม่ใช่นำฉบับแปลภาษาอังกฤษเดิมที่แปลไว้แล้วมาเรียบเรียงใหม่ แต่เป็นการแปลโดยใช้ผู้เชี่ยวชาญพระคัมภีร์มากกว่า 20 ท่าน แปลตรงจากฉบับภาษาฮีบรู อาราเมค และภาษากรีก วัตถุประสงค์ในการแปลคือต้องการเผยแผ่พระวจนะโดยสื่ออีเลคโทรนิค เพื่อใช้ในระบบอินเตอร์เน็ท หรือเก็บไว้เป็นซีดี (compact disk) ทุกคนในโลกที่เชื่อมต่ออินเตอร์เน็ท สามารถคัดลอกนำ NET Bible ไปใช้ส่วนตัวได้โดยไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ นอกจากนี้ ผู้ใดต้องการแบ่งปันพระวจนะกับผู้อื่น สามารถคัดลอกหรือพิมพ์แจกจ่ายเพื่อการศึกษาได้โดยไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆทั้ง สิ้น เว็บไซด์ที่ใช้คือ : www.netbible.org.
2 จากหนังสือของ J. W. Shepard, The Christ of the Gospels, p. 41. Everett Harrison in his book, Introduction to the New Testament (Grand Rapids: Eerdmans, 1964
3 ดูยอห์น 21:25
4 ดูข้อ 1: “หลังจากพระเยซูได้ทรงบังเกิด ในเยรูซาเล็ม… .” และจากอายุของเด็กๆที่ถูกฆ่า เราจึงรู้ว่าพระเยซูไม่ได้อยู่ในรางหญ้า แต่อาศัยอยู่ในบ้าน (2:11)
5 เหตุใดมัทธิวจึงบอกเราว่า “ดาว” ดวงนั้นปรากฎอีกครั้ง และเหล่าโหราจารย์ยินดียิ่งนักที่ได้เห็นดาว ดวงนั้นอีก (2:9-10)?
6 เฟรเดอริค บรูเนอร์ พยายามอธิบายว่าเหตุใดพระเจ้าจึงให้ดาวนำทางโหราจารย์มา มากกว่าเปิดเผยโดยทางพระวจนะ: “นักดาราศาสตร์ต่างชาติที่น่ารังเกียจเหล่านี้ ไม่มีสิ่งใดดีเลยได้แต่กราบไหว้รูปเคารพ แต่กลับถูกนำมาอิสราเอล แทนชนชาติที่รับการเปิดเผยมาก่อนทางพระวจนะ ชาวต่างชาติกลับเป็นพวกที่ติดตามแสวงหา ในขณะที่ประชากรของพระเจ้านั่งเฉยอยู่กับที่ พวกต่างชาติน่ารังเกียจกลับเชื่อพระวจนะ คนของพระเจ้าไม่ใส่ใจ” นี่คือสิ่งที่มัทธิวค้นพบตั้งแต่ศตวรรษแรก (จากหนังสือของ Bruner, The Christbook: A Historical/Theological Commentary, Waco, Texas: Word Books, 1987, vol. 1, pp. 47-48) ถ้าผมเรียงลำดับเหตุการณ์ถูกต้อง โหราจารย์อาจไม่เคยรู้เรื่องคำพยากรณ์ของมีคาห์ 5:2 มาก่อน แต่อาจได้รับการบอกเล่าว่าจะมี “กษัตริย์ชาวยิว” มาบังเกิดที่เบธเลเฮม
7 บรูเนอร์หน้า 45
8 “สำหรับคนอิสราเอล พวกโหราจารย์เป็นคนต่างชาติที่กราบไหว้รูปเคารพ และยังยึดถือเช่นนั้นจนถึง พระคัมภีร์ใหม่ และถูกพูดถึงในแง่ไม่ดีนัก (ตัวอย่างเช่น กิจการ 8:9-24 ซีโมนคนทำวิทยาคม และใน กิจการ 13:6-11 เอลีมาสหรือบารเยซู (ผู้ทำนายเท็จ ) พวกเขาเป็นพวกแสวงหาคำตอบหรือสอนผู้อื่น ให้แสวงหาจากสิ่งทรงสร้างไม่ใช่จากพระผู้สร้าง พวกเขาคิดคำนวณ และใช้สติปัญญาของตนเอง (เช่น เรื่องจักรราศี) แสวงหาความหมายจากสิ่งต่างๆ คนอิสราเอลจึงรังเกียจพวกหมอดูต่างชาติพวกนี้” บรูเนอร์ หน้า 45
9 เรื่องดาราศาสตร์ในสมัยนั้น อ่านได้จาก Michael Green, Matthew For Today: Expository Study of Matthew (Dallas, Texas: Word Publishing, 1989), pp. 49-50.
10 มุมมองนี้ดูได้จากหนังสือของ James Montgomery Boice, The Gospel of Matthew (Grand Rapids, Michigan: Baker Books, 2001), vol. 1, p. 30.
11 บรูเนอร์ หน้า 50. ตอนผมอ่านผมว่าบรูเนอร์ไม่ถูกต้องทีเดียวนัก ที่กล่าวว่าหลังจากโหราจารย์นมัสการพระเยซูแล้ว คำว่า”กษัตริย์” ถูกถอดไป น่าจะเป็นหลังจากอ้างข้อพระคำมีคาห์ 5:2 แล้วจึงเหลือแค่ “เฮโรด” เฉยๆใน 2:7 อย่างไรก็ตาม ข้อสังเกตุของบรูเนอร์นั้นน่าสนใจมาก
12 ถ้าข้อมูลของผมถูกต้อง เฮโรดน่าจะครอบครองมาแล้วประมาณ 33 ปี (กรีน หน้า48) คงอยู่ในราว 40 ปีก่อนคริสตกาล และปกครองจนถึงสมัยพระเยซู ดังนั้นเมื่อท่านตายน่าจะอายุราวๆ 70 ปี คนแก่ขนาดนี้กลัวเด็กทารกทำไม? หรือท่านเป็นเหมือนเราทั้งหลาย ชอบคิดว่าความตายยังอยู่ห่างไกล
13 กรีน หน้า 52
14 ดู 1 โครินธ์ 1:25
15 บรูเนอร์ หน้า 49
16 มีการเอ่ยถึงการ “นมัสการ” พระเยซูเพียงครั้งเดียวในพระกิตติคุณมาระโก แต่ในมัทธิวพูดถึงสิบครั้ง; … .” บรูเนอร์ หน้า 49
17 บอยส์ vol. 1, หน้า. 42
18 บรูเนอร์ vol. 1, หน้า 42
19 ไอบิด vol. 1, หน้า 42
20 ไอบิด หน้า 62
21 ไอบิด หน้า. 62
22 ให้ดูสดุดี 22:6-8, 13, 17; 69:9, 19-21; อิสยาห์ 49:7; 50:6; ดาเนียล 9:26
23 เรามองเห็นสิ่งที่เชื่อมโยงกันระหว่างพระเยซูและดาวิด ดาวิดได้รับการเจิมตั้งโดยซามูเอลให้เป็น กษัตริย์อิสราเอลองค์ใหม่ แต่ก็ต้องหลบหนีซาอูลกษัตริย์อิสราเอลในตอนนั้นซึ่งแสวงชีวิตของกษัตริย์ องค์ใหม่อยู่ตลอดเวลา
24 บรูเนอร์ หน้า 57
25 ไอบิด หน้า 59
26 บรูเนอร์ หน้า 60
มัทธิวทำให้นักศึกษาพระคัมภีร์ต้องเจอปัญหาหลายประการในการตีความพระ กิตติคุณของท่านในบทที่สอง อย่างที่ชี้ให้เห็นในบทเรียนที่แล้ว ท่านอ้างพระวจนะจากพระคัมภีร์เดิมถึงสี่ครั้งในบทที่สอง มีพระวจนะแค่ข้อเดียวที่คำพยากรณ์ตรงกับเหตุการณ์การประสูติของพระเยซู นั่นคือมีคาห์ 5:2 ในมัทธิว 2:6 มีคาห์พยากรณ์ว่าเบธเลเฮมจะเป็นที่ประสูติของพระเมสซิยาห์ ชัดเจนและตรงที่สุด แม้พวกนักศาสนาในเยรูซาเล็มที่ไม่เชื่อก็ยังเข้าใจ
อีก 3 ข้อจากพระคัมภีร์เดิมที่นำมาใช้ในมัทธิว 2 ไม่ได้เป็นคำพยากรณ์ตรงเป๊ะอย่างที่เราอยากเห็น เช่นจากโฮเชยา 11:1 ในมัทธิว 2:5 ไม่อาจพูดว่าเป็นคำพยากรณ์ที่ใช่ มัทธิวมองว่าที่พระเยซูเสด็จกลับจาก “ลี้ภัย” ที่อียิปต์ ทำให้คำของโฮเชยา “เราได้เรียกบุตรชายของเราออกมาจากอียิปต์” เกิดขึ้นเป็นจริง มัทธิว 2:23 เหมือนนำพระวจนะจากพระคัมภีร์เดิมมาใช้แต่ออกจะซับซ้อน เพราะไม่มีพระวจนะข้อใดในพระคัมภีร์เดิมพูดว่าพระเยซู “จะถูกเรียกว่าเป็นชาวนาซาเร็ธ” แต่ข้อที่จะเราเลือกเรียนกันคือ เยเรมีย์ 31:15 ที่พูดได้ว่าได้เกิดขึ้นจริงตามเหตุการณ์ในมัทธิว 2:16-18:2
ครั้นเขาไปแล้วก็มีทูตองค์หนึ่งของพระ เป็นเจ้า ได้มาปรากฏแก่โยเซฟในความฝันแล้วบอกว่า “จงลุกขึ้นพากุมารกับมารดาหนีไปประเทศอียิปต์ และคอยอยู่ที่นั่นจนกว่าเราจะบอกเจ้า เพราะว่าเฮโรดจะแสวงหากุมาร เพื่อจะประหารชีวิตเสีย” ในเวลากลางคืนโยเซฟจึงลุกขึ้น พากุมารกับมารดาไปยังประเทศอียิปต์ และได้อยู่ที่นั่นจนเฮโรดสิ้นพระชนม์ ทั้งนี้เกิดขึ้นเพื่อจะให้สำเร็จตามพระวจนะของพระเป็นเจ้า ซึ่งได้ตรัสไว้โดยผู้เผยพระวจนะว่า เราได้เรียกบุตรของเราให้ออกมาจากอียิปต์ ครั้นเฮโรดเห็นว่าพวกโหราจารย์หลอกท่าน ก็กริ้วโกรธยิ่งนัก จึงใช้คนไปฆ่าเด็กผู้ชายทั้งหลาย ในบ้านเบธเลเฮมและที่ใกล้เคียงทั้งสิ้น ตั้งแต่อายุสองขวบลงมา ซึ่งพอดีกับเวลาที่ท่านได้ทราบจากพวกโหราจารย์นั้น ครั้งนั้นก็สำเร็จตามพระวจนะที่ตรัสโดยเยเรมีย์ผู้เผยพระวจนะว่า ได้ยินเสียงในหมู่บ้านรามาห์ เป็นเสียงโอดครวญและร่ำไห้ คือนางราเชลร้องไห้คร่ำครวญ เพราะบุตรทั้งหลายของตน นางไม่รับฟังคำปลอบเล้าโลม เพราะบุตรทั้งหลายนั้นไม่มีแล้ว (มัทธิว 2:13-18)3
มีคำถามเกิดขึ้นหลายข้อเมื่อมัทธิวนำเยเรมีย์ 31:15 มาโยงเข้ากับเฮโรดสังหารทารกในเบธเลเฮม บางคนสนใจวิธีที่มัทธิวใช้พระคำจากพระคัมภีร์เดิม อื่นๆเกี่ยวข้องกับอำนาจอธิปไตยของพระเจ้า และการที่มนุษย์ต้องรับทุกข์ เราจะอธิบายความทุกข์ที่เกิดขึ้นในการประสูติของพระเยซู และการลี้ภัยไปที่อียิปต์ว่าทำไม? จำเป็นด้วยหรือ? ทำไมพระเจ้าถึงอนุญาต? พระองค์น่าจะป้องกันไม่ให้เกิดขึ้น
มัทธิวทำอย่างไรให้ผู้อ่านเข้าใจการเชื่อมโยงระหว่างเฮโรดสังหารทารกใน 2:16-18 และเยเรมีย์ 31:15? อย่างที่รู้กัน ทารกเหล่านี้ยังเป็นมนุษย์ที่เรียกว่า “ไร้เดียงสา” ทำไมมัทธิวอธิบายเหตุการณ์ที่โหดเหี้ยมนี้ว่าถูกกำหนดไว้แล้ว หรือพระเจ้ามีพระประสงค์ให้เกิดขึ้น?
บทเรียนนี้ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในมัทธิว 2:16-18 เราจะมาหาคำตอบในมุมมองที่กว้างกว่าของพระคัมภีร์ และตามมุมมองของศาสนศาสตร์ จุดมุ่งหมายของบทเรียนนี้เพื่อให้เห็นภาพที่ชัดเจนขึ้นเรื่องการทนทุกข์ โดยเฉพาะ “ทุกข์ที่ตัวเองไม่ได้ก่อ” เราจะมาเรียนว่าทำไม และอย่างไร “ผู้บริสุทธิ์ต้องมารับทุกข์” ตามที่พระเจ้ากำหนด จะเริ่มจากดูที่พระวจนะตอนอื่นก่อน แล้วกลับมาที่มัทธิวนำเยเรมีย์ 31:15 มาใช้ในมัทธิว 2:18
เพราะข้าพเจ้าเห็นว่าความทุกข์ลำบากแห่ง สมัยปัจจุบัน ไม่สมควรที่จะเอาไปเปรียบกับศักดิ์ศรี ซึ่งจะเผยให้แก่เราทั้งหลาย ด้วยว่าสรรพสิ่งที่ทรงสร้างแล้ว มีความเพียรคอยท่าปรารถนาให้บุตรทั้งหลายของพระเจ้าปรากฏ เพราะว่าสรรพสิ่งเหล่านั้นต้องเข้าอยู่ในอำนาจของอนิจจัง ไม่ใช่ตามใจชอบของตนเอง แต่เป็นไปตามที่พระเจ้าได้ทรงให้เข้าอยู่นั้น ด้วยมีความหวังใจว่า สรรพสิ่งเหล่านั้นจะได้รอดจากอำนาจแห่งความเสื่อมสลาย และจะเข้าในเสรีภาพและศักดิ์ศรีแห่งบุตรทั้งหลายของพระเจ้า เรารู้อยู่ว่าบรรดาสรรพสิ่งที่ทรงสร้างนั้นกำลังคร่ำครวญ และผจญความทุกข์ยากด้วยกันมาจนทุกวันนี้ และไม่ใช่เท่านั้น แต่เราทั้งหลายเองด้วย ผู้ได้รับพระวิญญาณเป็นผลแรก ตัวเราเองก็ยังคร่ำครวญคอยการที่พระเจ้าทรงให้เป็นบุตร คือที่จะทรงให้กายของเราทั้งหลายรอดตาย เหตุว่าเราทั้งหลายรอดแม้เป็นเพียงความหวังใจ แต่ความหวังใจในสิ่งที่เราเห็นได้ หาเป็นความหวังใจไม่ ด้วยว่าใครเล่าจะยังหวังในสิ่งที่เขาเห็นแต่ถ้าเราทั้งหลายคอยหวังใจในสิ่ง ที่เรายังไม่ได้เห็น เราจึงมีความเพียรคอยสิ่งนั้น (18-25)
ในทำนองเดียวกัน พระวิญญาณก็ทรงช่วยเราเมื่อเราอ่อนกำลังด้วย เพราะเราไม่รู้ว่าเราควรจะอธิษฐานขอสิ่งใดอย่างไร แต่พระวิญญาณทรงช่วยขอแทนเรา ในเมื่อเราคร่ำครวญอธิษฐานไม่เป็นคำและพระองค์ผู้ทรงชันสูตรใจมนุษย์ ก็ทรงทราบความหมายของพระวิญญาณ เพราะว่า พระวิญญาณทรงอธิษฐานขอเพื่อธรรมิกชนตามที่ชอบพระทัยพระเจ้า (26-27)
อ. เปาโลชี้ให้เห็นว่ามนุษย์เต็มไปด้วยความบาปและสมควรแก่พระอาชญานิรันดร์ ไม่ว่ามาตรฐานของมนุษย์จะล้มเหลวจนมองไม่เห็นพระเจ้าในธรรมชาติ (โรม 1) หรือการสำแดงของพระเจ้าในธรรมบัญญัติโมเสส (โรม 2) ธรรมบัญญัติไม่อาจช่วยมนุษย์ให้รอด มีแต่ชี้ให้เห็นความผิดพลาด เพราะไม่มีใครทำตามที่บัญญัติไว้ได้ครบถ้วน (โรม 3:1-20) เมื่อมนุษย์ไม่อาจรอดได้จากการกระทำของตนเอง พระเจ้าทรงเตรียมหนทางให้โดยไม่เกี่ยวกับการกระทำ โดยทางความเชื่อในพระเยซูคริสต์ การสิ้นพระชนม์อย่างทุกข์ทรมานของพระองค์ เพื่อคนที่วางใจในพระองค์จะรอดได้ (โรม 3:21-31) ความรอดโดยทางความเชื่อไม่ได้เป็นเรื่องใหม่ เป็นทางเดียวกับที่อับราฮัมและธรรมิกชนในพระคัมภีร์เดิมได้รับมาแล้ว (โรม 4)
ในโรม 5 อ.เปาโลพูดถึงสิทธิพิเศษในความรอดที่พระเจ้ามอบให้โดยการสิ้นพระชนม์อย่าง ทุกข์ทรมาน และการคืนพระชนม์ของพระเยซูคริสต์ ที่น่าสนใจคือสิทธิพิเศษแรกที่ อ.เปาโลพูดถึงเกี่ยวข้องกับการทนทุกข์ :
เหตุฉะนั้น เมื่อเราได้เป็นคนชอบธรรมเพราะความเชื่อแล้ว เราจึงมีสันติสุขในพระเจ้า ทางพระเยซู คริสตเจ้าของเรา โดยทางพระองค์เราจึงได้เข้าในร่มพระคุณที่เรายืนอยู่ และเราชื่นชมยินดีในความไว้วางใจ ว่าจะได้มีส่วนในพระสิริของพระเจ้า ยิ่งกว่านั้น เราชื่นชมยินดีในความทุกข์ยากของเราด้วย เพราะเรารู้ว่าความทุกข์ยากนั้น ทำให้เกิดความอดทน และความอดทนทำให้เห็นว่าเราเป็นคนที่พระเจ้าทรงใช้ได้ และการที่เราเห็นเช่นนั้นทำให้เกิดมีความหวังใจ และความหวังใจมิได้ทำให้เกิดความเสียใจเพราะผิดหวัง เพราะเหตุว่าความรักของพระเจ้าได้หลั่งเข้าสู่จิตใจของเรา โดยทางพระวิญญาณบริสุทธิ์ ซึ่งพระองค์ได้ประทานให้แก่เราแล้ว ขณะเมื่อเรายังขาดกำลัง พระคริสต์ก็ได้ทรงสิ้นพระชนม์เพื่อช่วยคนบาปในเวลาที่เหมาะสม ไม่ใคร่จะมีใครตายเพื่อคนตรง แต่บางทีจะมีคนอาจตายเพื่อคนดีก็ได้ แต่พระเจ้าทรงสำแดงความรักของพระองค์แก่เราทั้งหลาย คือขณะที่เรายังเป็นคนบาปอยู่นั้น พระคริสต์ได้ทรงสิ้นพระชนม์เพื่อเรา เพราะเหตุนั้นเมื่อเราเป็นคนชอบธรรมแล้วโดยพระโลหิตของพระองค์ ยิ่งกว่านั้นเราจะพ้นจากพระอาชญาของพระเจ้าโดยพระองค์ เพราะว่าถ้าขณะที่เรายังเป็นศัตรูต่อพระเจ้าเราได้กลับคืนดีกับพระองค์ โดยที่พระบุตรของพระองค์สิ้นพระชนม์ ยิ่งกว่านั้นอีกเมื่อเรากลับคืนดีแล้ว เราก็จะรอดโดยพระชนม์ชีพของพระองค์แน่ มิใช่เพียงเท่านั้น เราทั้งหลายยังชื่นชมยินดีในพระเจ้า โดยทางพระเยซูคริสตเจ้าของเรา ผู้ทรงเป็นเหตุให้เราได้กลับคืนดีกับพระเจ้า (โรม 5:1-11)
ความรอดของพระเจ้าในพระเยซูคริสต์หยัดยืน ได้ในความทุกข์ ที่จริงแล้วเรามีความชื่นชมยินดีในความทุกข์ ด้วยรู้ว่าจะทำให้ความเชื่อของเราหนักแน่นมั่นคง และมั่นใจในชีวิตนิรันดร์ ความรอดในองค์พระเยซูคริสต์นี้ ปลดปล่อยผู้เชื่อทุกคนจากการล้มลงของอาดัมและผลสาปแช่งของบาป สิ่งที่อาดัมทำ พระเจ้าทรงลบล้างแล้วในองค์พระเยซูคริสต์ และมากกว่านั้น (5:12-21)
ความรอดของพระเจ้าในพระเยซูคริสต์ไม่ใช่เป็นใบเบิกทางให้ทำบาป แต่เป็นแรงกระตุ้นให้ดำเนินชีวิตตามแบบของพระองค์ เพราะเราผู้ซึ่งนับว่าตายแล้วในพระคริสต์โดยทางความเชื่อ ก็ได้ตายจากบาป และไม่อาจดำเนินชีวิตอยู่ในความบาปต่อไป (โรม 6:1-14) ต้องเข้าใจว่าเราหลุดพ้นจากพันธนาการของบาปแล้ว และตระหนักว่าค่าจ้างของความบาปคือความตาย ซึ่งแน่นอนเราไม่อาจดำเนินในทางนั้นได้อีกต่อไป (6:15-23) ในพระคริสต์ เราไม่เพียงแต่ตายจากบาป เราตายจากธรรมบัญญัติด้วย ซึ่งปลดปล่อยเราให้เป็นอิสระโดยทางพระวิญญาณบริสุทธิ์ (7:1-7) ธรรมบัญญัติไม่ได้เป็นรากเหง้าของปัญหา ความบาปต่างหาก เนื้อหนังของเรา (เรี่ยวแรงตามธรรมชาติของมนุษย์) ไม่เพียงพอเอาชนะความบาปได้ ความบาปจึงเอาชนะได้เมื่อเราพยายามด้วยกำลังของเราเอง (7:8-25)
ทางออกจากอำนาจบาปคืออำนาจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ คนที่วางใจในพระเยซูคริสต์ไม่ได้ตกอยู่ภายใต้คำแช่งสาปอีกต่อไป พวกเขาไม่ตกอยู่ในอาณาจักรของบาปแล้ว และมีอำนาจที่จะเอาชนะอย่างที่กำลังของเนื้อหนังทำไม่ได้ (ความชอบธรรมตามธรรมบัญญิติครบถ้วนแล้วในเรา) แต่ทำได้โดยทางพระวิญญาณ พระวิญญาณเดียวกับที่ชุบพระเยซูคริสต์ขึ้นมาจากความตาย เดี๋ยวนี้สถิตอยู่ในเรา ประทานชีวิตให้กับกายที่เสื่อมสลายนี้ ทุกคนที่เป็นผู้เชื่อแท้ในพระเยซูคริสต์มีพระวิญญาณสถิตอยู่ และที่เหนือกว่าทรงให้เรามั่นใจได้ว่าเราเป็น “บุตรของพระเจ้า” (8:1-17)
เราอาจคิดว่าเมื่ออ่านโรม 8:18 อ.เปาโลกำลังบอกว่าต่อไปนี้ชีวิตเราจะ “โรยด้วยกลีบกุหลาบ” มีพระวิญญาณบริสุทธิ์ในเรารับประกันว่าความเจ็บปวด และความทุกข์จะหมดสิ้นไป แต่ในข้อ 18-30 อ.เปาโลกลับพูดตรงกันข้าม ท่านยืนยันว่าชีวิตมนุษย์ทุกคนต้องเผชิญกับประสบการณ์ “ความทุกข์ยาก และการคร่ำครวญ” เพราะการล้มลงของมนุษย์และผลที่ตามมา ตามที่ท่านเขียน “เรารู้อยู่ว่าบรรดาสรรพสิ่งที่ทรงสร้างนั้นกำลังคร่ำครวญ และผจญความทุกข์ยากด้วยกันมาจนทุกวันนี้” (8:22) ความวุ่นวายและคำแช่งสาปผลจากความบาปของอาดัมจะยังไม่หมดไปจนกว่าการเสด็จกลับมาอีกครั้งของพระเยซูคริสต์ และ “ให้บุตรทั้งหลายของพระเจ้าปรากฏ” (8:19) และในเวลานั้นพระเจ้าจะ “ทรงให้เป็นบุตร คือที่จะทรงให้กายของเราทั้งหลายรอดตาย” (8:23) และเมื่อเวลานั้นมาถึง เราและสรรพสิ่งทรงสร้างจะได้รับการปลดปล่อยจากพันธนาการของความเสื่อมสลาย (8:21)
ถ้าทั้งสิ้นในโลกนี้ยังทนทุกข์และคร่ำครวญ สำหรับคริสเตียนแล้วต้องเผชิญมากกว่า คริสเตียนเป็นพวกที่ได้ลิ้มรสชีวิตนิรันดร์ และได้รับ “พระวิญญาณเป็นผลแรกแล้ว” (8:22) เราไม่เพียงแต่รอคอยเวลาที่พระเจ้าจะทำให้ทุกสิ่งเป็นสิ่งใหม่ แต่เรายังคร่ำครวญต่อโลกนี้ที่ล่มสลายเพราะความบาป ถึงกระนั้นเราก็ยังรอคอยวันนั้นด้วยความเพียรและความหวังใจ (8:25)
ความรอดในพระคริสต์และของประทานจากพระวิญญาณไม่ได้กันเราออกจากความทุกข์ แต่ทำให้เราฝ่าความทุกข์นั้นไปได้ พระวิญญาณจะเสริมกำลังและพยุงเราไว้ ให้ความมั่นใจในความเป็นบุตร อธิษฐานแทนเมื่อเราคร่ำครวญเพราะความทุกข์ (8:26-27) พระเจ้าองค์เดียวกันนี้ที่นำเราให้รอดพ้นจากพระอาชญาและอำนาจของบาป จะปลดปล่อยเราออกจากความบาปของปัจจุบัน จนกว่าจะถึงวันนั้น พระวิญญาณบริสุทธิ์จะทรงช่วยเราในท่ามกลางความทุกข์ที่ต้องเผชิญ
สรุปคือ ความทุกข์ยากเป็นประสบการณ์ที่มนุษย์ต้องเผชิญ เพราะเราอยู่ในโลกที่ถูกคำแช่งสาปของบาป พระเจ้าประทานสิ่งที่จำเป็นในการเผชิญความทุกข์ในชีวิต และนำไปจนถึงเป้าหมายที่ทรงเตรียมไว้ให้ในชีวิตเรา เราทนต่อความทุกข์ได้เพราะพระเจ้าประทานพระวิญญาณบริสุทธิ์ให้ เพื่อปลอบประโลมและให้ความมั่นใจในฐานะบุตรของพระองค์ ทำหน้าที่แทนเมื่อเราอ่อนกำลัง คริสเตียนไม่ได้รับการยกเว้นในเรื่องความทุกข์ แต่เพราะชีวิตใหม่และความหวังใจนิรันดร์ ทำให้สามารถ “ทนทุกข์คร่ำครวญ” ได้พร้อมกับทุกสรรพสิ่งทรงสร้าง รอคอยการกลับมาของพระเยซูคริสต์ และถ้าการทนทุกข์เหล่านี้ทำสิ่งใดให้ได้บ้าง ทำให้เรากระหายหาแผ่นดินสวรรค์ของพระองค์ :
พระวิญญาณนั้นเป็นพยานร่วมกับวิญญาณจิต ของเราทั้งหลายว่า เราทั้งหลายเป็นบุตรของพระเจ้า และถ้าเราทั้งหลายเป็นบุตรแล้ว เราก็เป็นทายาท คือเป็นทายาทของพระเจ้า และเป็นทายาทร่วมกับพระคริสต์ เมื่อเราทั้งหลายทนทุกข์ทรมานด้วยกันกับพระองค์นั้น ก็เพื่อเราทั้งหลายจะได้ศักดิ์ศรีด้วยกันกับพระองค์ด้วย เพราะข้าพเจ้าเห็นว่าความทุกข์ลำบากแห่งสมัยปัจจุบัน ไม่สมควรที่จะเอาไปเปรียบกับศักดิ์ศรี ซึ่งจะเผยให้แก่เราทั้งหลาย (16-18)
เมื่อพระองค์เสด็จดำเนินไปนั้น ทรงเห็นชายคนหนึ่งตาบอดแต่กำเนิด และพวกสาวกของพระองค์ทูลถามพระองค์ว่า “พระอาจารย์เจ้าข้า ใครได้ทำผิดบาป ชายคนนี้หรือบิดามารดาของเขา เขาจึงเกิดมาตาบอด” พระเยซูตรัสตอบว่า “มิใช่ว่าชายคนนี้หรือบิดามารดาของเขาได้ทำบาป แต่เขาเกิดมาตาบอด เพื่อให้พระราชกิจของพระเจ้าปรากฏในตัวเขา เราต้องกระทำพระราชกิจของพระองค์ผู้ทรงใช้เรามาเมื่อยังวันอยู่ เมื่อถึงกลางคืนไม่มีผู้ใดทำงานได้ ตราบใดที่เรายังอยู่ในโลก เราเป็นความสว่างของโลก” เมื่อตรัสดังนั้นแล้ว พระองค์ก็ทรงบ้วนน้ำลายลงที่ดิน แล้วทรงเอาน้ำลายนั้นทำเป็นโคลนทาที่ตาของคนตาบอด แล้วตรัสสั่งเขาว่า “จงไปล้างโคลนออกเสียในสระสิโลอัมเถิด” (สิโลอัมแปลว่า ใช้ไป) เขาจึงไปล้างแล้วกลับมาก็เห็นได้
เราคงจำเรื่องโยบและเพื่อนๆที่มา “ทอนกำลังใจ” กันได้ พวกเขาให้คำปรึกษาโดยตั้งอยู่บนการคาดเดาที่ผิดพลาด – ความทุกข์มาจากผลโดยตรงของบาปที่ตัวเองก่อเสมอ – แม้แต่สาวกของพระเยซูยังคิดเช่นนั้น ขณะเดินทาง พระเยซูทอดพระเนตรเห็นชายตาบอดแต่กำเนิด ผมสงสัยว่าพวกสาวกจะเห็นมั้ยถ้าพระเยซูไม่เอ่ยถึง4 พวกสาวกทูลถามว่าใครเป็นคนทำบาป ชายตาบอดหรือพ่อแม่ของเขา5 พวกเขาไม่เคยคิดได้เลยว่าชายคนนี้อาจไม่ได้ทนทุกข์เพราะความบาปของตัวเองหรือของพ่อแม่
นี่เป็นคำอธิบายถึงความทุกข์ของมนุษย์ที่ล่อแหลม อาจทำให้บางคนยอมรับได้ ในอีกด้านทำให้มีคำตอบสำหรับความทุกข์ หรือทำให้ทนต่อไปได้ มันง่ายมากที่จะรับเอาคำอธิบายว่าคนที่เจอความทุกข์นั้นสมควรแล้วเพราะก่อ เรื่องเอง แต่คนที่ต้องรับทุกข์ในเรื่องที่ตนเองไม่ได้ก่อก็ยากเกินอธิบาย ในอีกด้าน เป็นคำอธิบายที่ง่ายและยอมรับได้เพราะทำให้ไม่ต้องรับผิดชอบช่วยเหลือคนที่ ทนทุกข์นั้น ถ้าคนที่เจอความทุกข์เพราะตัวเองก่อ ความทุกข์นั้นก็เป็นการพิพากษาของพระเจ้าต่อบาป ถ้าพระเจ้าจะลงโทษคนที่ทำผิด เราเป็นใครที่จะไปช่วยเหลือ? เพราะเราจะกลายเป็นตัวการขัดขวางพระประสงค์ของพระเจ้า
มันยากที่จะนึกว่าชายตาบอดคนนี้รู้สึกอย่างไรเมื่อตกเป็นหัวข้อสนทนา เขาจะไม่รู้เลยหรือว่าถูกผู้คนตราหน้าทำนองนี้มานักต่อนัก พระเยซูทรงตอบคำถามสาวกในแบบที่ทำให้พวกเขาตะลึง ตรัสว่าที่ชายคนนี้ตาบอดแต่กำเนิดไม่ใช่เพราะความบาป ไม่ใช่บาปของเขาเอง หรือบาปของพ่อแม่ พระองค์กลับประกาศว่าที่ชายคนนี้ตาบอดเพื่อให้พระราชกิจของพระเจ้าปรากฏในตัวเขา6 ถ้าผมเป็นชายตาบอดคนนั้น ผมคงหูผึ่งอยากรู้ว่าจะเกิดอะไรต่อไป หลังจากประกาศไปว่า “เราเป็นความสว่างของโลก” พระเยซูทรงบ้วนพระเขฬะ (น้ำลาย) ลงที่ดิน ทำเป็น “โคลน” ทาที่ตาของชายตาบอด สั่งให้ไปล้างออกที่ในสระสิโลอัม เมื่อเขาทำตาม ก็มองเห็น
ขอให้การอัศจรรย์นี้เป็นคำสั่งและเป็นคำเตือนถึงเราทุกคน ความทุกข์ไม่จำเป็นต้องเป็นผลโดยตรงจากความบาปของคนๆนั้น แน่นอนเราเคยเห็นหลายเหตุการณ์ที่ความบาปและความทุกข์จูงมือไปด้วยกัน นี่เป็นกรณีของชายอัมพาตที่ริมสระเบธซาธาในยอห์นบทที่ 5 พระเยซูทรงเข้าไปรักษาชายคนนี้ แล้วหลบไป ชายอัมพาตนี้ก็แบกแคร่เดินกลับบ้าน ทำให้ละเมิดกฎของวันสะบาโต เขาจึงถูก “ตำรวจศาสนา” จัดการเพราะทำผิดกฎวันสะบาโต เมื่อเขาเล่าให้ฟังเรื่องการรักษา พวกนั้นก็ตื๊ออยากรู้ให้ได้ว่าใครเป็นคนรักษา – ในความคิดพวกเขาคนที่รักษานี้ก็น่าจะ “ละเมิดกฎวันสะบาโต” ด้วย ชายอัมพาตไม่รู้ว่าคนนั้นเป็นใคร เลยบอกไม่ได้ พระเยซูไปพบชายคนนั้นอีกทีที่หลังพระวิหาร แล้วตรัสกับเขาว่า:
“นี่แน่ะ เจ้าหายโรคแล้ว อย่าทำบาปอีก มิฉะนั้นเหตุร้ายกว่านั้นจะเกิดกับเจ้า” ชายคนนั้นก็ได้ออกไปบอกพวกยิวว่า ท่านที่ได้รักษาเขาให้หายโรคนั้น คือพระเยซู (ยอห์น 5:14ข-15)
ชายที่หายจากอัมพาตนี้รีบไปรายงานพวก “เจ้าหน้าที่ยิว” ว่าพระเยซูเป็นผู้รักษาให้หาย ที่แน่ๆคือชายคนนี้ต้องทนทุกข์เพราะบาปของตน พระเจ้าจึงเตือนไม่ให้ทำบาปอีก แทนที่จะเชื่อฟังและละจากบาป เขากลับไปรายงานเรื่องพระเยซูให้เจ้าหน้าที่ฟัง
ความบาปที่เกี่ยวข้องกับความเจ็บป่วยมีบันทึกอยู่ในยากอบบทที่ 5 ยากอบสั่งให้ผู้ป่วยเชิญบรรดาผู้ปกครองของคริสตจักรมา และถ้าทำบาปก็ให้สารภาพเสีย (ยากอบ 5:14-16) บางครั้งบาปก็เป็นต้นเหตุแห่งความทุกข์ 7 แต่ไม่เสมอไป ในกรณีของชายตาบอดแต่กำเนิด การทนทุกข์ของเขาทำให้พระราชกิจของพระเจ้าได้ปรากฎ
ข้าพเจ้าจำจะต้องอวด ถึงแม้จะไม่มีประโยชน์อะไร แต่ข้าพเจ้าจะเล่าต่อไป ถึงนิมิตและการสำแดงซึ่งมาจากองค์พระผู้เป็นเจ้า ข้าพเจ้าได้รู้จักชายคนหนึ่งผู้เลื่อมใสในพระคริสต์สิบสี่ปีมาแล้ว เขาถูกรับขึ้นไปยังสวรรค์ชั้นที่สาม (แต่จะไปทั้งกายหรือไปโดยไม่มีกายข้าพเจ้าไม่รู้ พระเจ้าทรงทราบ) ข้าพเจ้าทราบ (แต่จะไปทั้งกายหรือไม่มีกายข้าพเจ้าไม่รู้ พระเจ้าทรงทราบ) ว่าคนนั้นถูกรับขึ้นไปยังเมืองบรมสุขเกษม และได้ยินวาจาซึ่งจะพูดเป็นคำไม่ได้ และมนุษย์จะออกเสียงก็ต้องห้าม สำหรับชายคนนั้นข้าพเจ้าอวดได้ แต่สำหรับตัวข้าพเจ้าเอง ข้าพเจ้าจะไม่อวดเลย นอกจากจะอวดถึงเรื่องการอ่อนแอของข้าพเจ้า เพราะถึงแม้ว่าข้าพเจ้าอยากจะอวดข้าพเจ้าก็ไม่ใช่คนเขลา เพราะข้าพเจ้าพูดตามความจริง แต่ข้าพเจ้าระงับไว้ ก็เพราะเกรงว่า บางคนจะยกข้าพเจ้าเกินกว่าที่เขาได้รู้จากการเห็นและฟังข้าพเจ้า และเพื่อไม่ให้ข้าพเจ้ายกตัวจนเกินไป เนื่องจากที่ได้เห็นการสำแดงมากมายนั้น ก็ทรงให้มีหนามใหญ่ในเนื้อของข้าพเจ้า หนามนั้นเป็นทูตของซาตานคอยทุบตีข้าพเจ้าเพื่อไม่ให้ข้าพเจ้ายกตัวเกินไป เรื่องหนามใหญ่นั้น ข้าพเจ้าวิงวอนองค์พระผู้เป็นเจ้าถึงสามครั้ง เพื่อขอให้มันหลุดไปจากข้าพเจ้า แต่พระองค์ตรัสกับข้าพเจ้าว่า “การที่มีคุณของเราก็พอแก่เจ้าแล้ว เพราะความอ่อนแอมีที่ไหน เดชของเราก็มีฤทธิ์ขึ้นเต็มขนาดที่นั่น” เหตุฉะนั้น ข้าพเจ้าจึงภูมิใจในบรรดาความอ่อนแอของข้าพเจ้า เพื่อฤทธิ์เดชของพระคริสต์จะได้อยู่ในข้าพเจ้า เหตุฉะนั้นเพราะเห็นแก่พระคริสต์ ข้าพเจ้าจึงชื่นใจในบรรดาความอ่อนแอของข้าพเจ้า ในการประทุษร้ายต่างๆในความยากลำบาก ในการถูกข่มเหง ในความอับจน เพราะว่าข้าพเจ้าอ่อนแอเมื่อใด ข้าพเจ้าก็จะแข็งแรงมากเมื่อนั้น (2โครินธ์ 12:1-10)
พระคัมภีร์บันทึกถึงตัวอย่างที่พระเจ้าทรงใช้ความทุกข์ในชีวิตมนุษย์ให้ เกิดผลดีกับตัวเขาเอง เราเห็นว่าพระเจ้าทรงใช้ความทุกข์ของคนตาบอดแต่กำเนิดเพื่อนำเขามาถึงความ เชื่อ (ดูยอห์น 9:35-38) หลายคนที่มารับการรักษาจากพระเยซูแล้วกลับไปในความเชื่อ พระเจ้าใช้ความทุกข์ในชีวิตผู้นั้นเพื่อให้เกิดผลดีกับตัวเขาเอง
ใน 2โครินธ์ อ.เปาโลยังเดินหน้าต่อสู้กับพวก “อัครทูตเทียม” (2โครินธ์ 11:13) โดยไม่ต้องการเอาตัวเข้าไปเปรียบเทียบ (ดู 2โครินธ์ 11:21-29) ในบทที่ 12 อ.เปาโลพูดถึง “การถูกรับขึ้นไปยังสวรรค์ชั้นที่สาม” (12:2) ไปยังเมืองบรมสุขเกษมที่ท่านได้ยิน “วาจาซึ่งจะพูดเป็นคำไม่ได้” (12:4) นี่เป็นสิ่งที่นำมาใช้อวดอ้างได้ พระเจ้าจึงอนุญาตให้มี “หนามใหญ่ในเนื้อของท่าน” ความทุกข์นี้เป็นมาจากพระเจ้าที่กระทำผ่าน “ทูตของซาตาน” (12:7) อ.เปาโลวิงวอนพระเจ้าถึงสามครั้งเพื่อให้มันหลุดออกไป แต่ละครั้ง พระเจ้าปฏิเสธคำขอของท่าน เตือนว่า “การที่มีคุณของเราก็พอแก่เจ้าแล้ว” เพราะ “ฤทธิเดชของพระองค์จะเต็มขนาดในความอ่อนแอของท่าน” (12:9)
หนามในเนื้อของ อ.เปาโลทำให้ท่านถ่อมลง ทำให้อ่อนแอในแบบของมนุษย์ เพื่อฤทธิอำนาจของพระเจ้าจะปรากฏชัดในชีวิตท่าน ความทุกข์กันให้ อ.เปาโลไม่ตกอยู่ในบาปความผยองฝ่ายวิญญาณ ไม่พึ่งฤทธิอำนาจของพระเจ้าโดยทางพระวิญญาณ สิ่งนี้ทำให้ท่านมีมุมมองเรื่องความทุกข์แตกต่างไป:
เหตุฉะนั้นเพราะเห็นแก่พระคริสต์ ข้าพเจ้าจึงชื่นใจในบรรดาความอ่อนแอของข้าพเจ้า ในการประทุษร้ายต่างๆในความยากลำบาก ในการถูกข่มเหง ในความอับจน เพราะว่าข้าพเจ้าอ่อนแอเมื่อใด ข้าพเจ้าก็จะแข็งแรงมากเมื่อนั้น (2โครินธ์ 12:10)
ในฟีลิปปี 3 อ.เปาโลพูดถึงพระพรอีกแบบที่พระเจ้ามอบให้ท่านผ่านการทนทุกข์ :
แต่ว่าสิ่งใดที่เคยเป็นคุณประโยชน์แก่ ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าถือว่าสิ่งนั้นไร้ประโยชน์แล้ว เพื่อเห็นแก่พระคริสต์ ที่จริงข้าพเจ้าถือว่าสิ่งสารพัดไร้ประโยชน์ เพราะเห็นแก่ความประเสริฐแห่งความรู้ถึงพระเยซูคริสต์ องค์พระผู้เป็นเจ้าของข้าพเจ้า เพราะเหตุพระองค์ ข้าพเจ้าจึงได้ยอมสละสิ่งสารพัด และถือว่าสิ่งเหล่านั้นเป็นเหมือนหยากเยื่อเพื่อข้าพเจ้าจะได้พระคริสต์ และจะได้ปรากฏอยู่ในพระองค์ ไม่มีความชอบธรรมของข้าพเจ้าเอง ซึ่งได้มาโดยธรรมบัญญัติ แต่มีมาโดยความเชื่อในพระคริสต์ เป็นความชอบธรรมซึ่งมาจากพระเจ้าซึ่งขึ้นอยู่กับความเชื่อ ข้าพเจ้าต้องการจะรู้จักพระองค์ และได้รับประสบการณ์ในฤทธิ์เดช เนื่องในการที่พระองค์ทรงคืนพระชนม์นั้น และร่วมทุกข์กับพระองค์ คือยอมตั้งอารมณ์ตายเหมือนพระองค์ ถ้าเป็นไปได้ข้าพเจ้าก็จะได้เป็นขึ้นมาจากความตายด้วย (ฟีลิปปี 3:7-11)
ครั้งหนึ่ง อ.เปาโลเคยเป็นพวกเคร่งในบทบัญญัติ เป็นฮีบรูแท้ของฮีบรู” และเป็นฟาริสีที่เคร่งครัด (3:5) ประสบการณ์บนถนนสู่ดามัสกัส และการกลับใจที่ตามมาสำแดงให้เห็นถึงความบาป ความชอบธรรมของท่านเอง และความจำเป็นที่ต้องได้รับความรอดโดยทางความเชื่อนอกเหนือจากการงานทาง ศาสนา ในฐานะบุตรของพระเจ้า ท่านมีมุมมองที่เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ท่านได้พบว่าทุกสิ่งที่ท่านภาคภูมิใจนั้นไร้ประโยชน์ – หรือตามคำพูดของท่านเป็น “หยากเยื่อ” (ข้อ 8) ครั้งที่ท่านมองความทุกข์ว่าเป็นการแช่งสาปจากพระเจ้าต่อคนบาป (เหมือนกับที่พวกสาวกคิดในยอห์น 9) เดี๋ยวนี้ท่านมองความทุกข์ว่าเป็นพระพร ได้มีประสบการณ์ในความทุกข์ยากเพื่อพระคริสต์ และได้มีส่วนในสามัคคีธรรมร่วมกับพระองค์ ทำให้ท่านรู้จักพระเยซูลึกซึ้งกว่าเดิม มีคริสเตียนกี่คนที่มองความทุกข์ของตนเองในแบบเดียวกัน? ในความทุกข์นั้นพวกเขาจะใกล้ชิดพระคริสต์มากขึ้น ความเชื่อเพิ่มมากขึ้นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนในความสะดวกสบายฝ่ายกาย ความทุกข์ในชีวิตธรรมิกชนถูกออกแบบมาเพื่อดึงให้เราเข้าใกล้พระเจ้า มีสามัคคีธรรมที่ลึกซึ้งกับพระเยซู เพราะการทนทุกข์ของพระองค์เป็นเหตุให้เราได้เข้าไปใกล้พระเจ้า
ธรรมิกชนในพระคัมภีร์เดิมก็เช่นกัน ได้รับการปลอบประโลมและเติบโตขึ้นในความทุกข์ยาก เห็นได้ในหนังสือสดุดี 119 :
65 พระองค์ได้ทรงกระทำดีต่อผู้รับใช้ของพระองค์
ข้าแต่พระเจ้า ตามพระวจนะของพระองค์
66 ขอทรงสอนปฏิภาณและความรู้แก่ข้าพระองค์
เพราะข้าพระองค์เชื่อถือพระบัญญัติของพระองค์
67 ก่อนที่ข้าพระองค์ทุกข์ยาก ข้าพระองค์หลงเจิ่น
แต่บัดนี้ข้าพระองค์ปฏิบัติตามพระวจนะของพระองค์
68 พระองค์ประเสริฐ และทรงกระทำการดี
ขอทรงสอนกฎเกณฑ์ของพระองค์แก่ข้าพระองค์
69 คนโอหังป้ายความเท็จใส่ข้าพระองค์
แต่ข้าพระองค์ปฏิบัติตามข้อบังคับของพระองค์ด้วยสุดใจ
70 จิตใจของเขาทั้งหลายต่ำช้าเหมือนไขมัน
แต่ข้าพระองค์ปีติยินดีในพระธรรมของพระองค์
71 ดีแล้วที่ข้าพระองค์ทุกข์ยาก
เพื่อข้าพระองค์จะเรียนรู้ถึงกฎเกณฑ์ของพระองค์
72 สำหรับข้าพระองค์ พระธรรมแห่งพระโอษฐ์ของพระองค์
ก็ดีกว่าทองคำและเงินพันๆแท่ง
92 ถ้าพระธรรมของพระองค์ไม่เป็นที่ปีติยินดีของข้าพระองค์
ข้าพระองค์คงพินาศแล้วในความทุกข์ยากของข้าพระองค์ (สดุดี 119:65-72, 92)
ผู้เขียนสดุดีพบว่าการทนทุกข์เป็นรูปแบบการฝึกวินัยชีวิตจากพระเจ้า ทำให้ต้องใส่ใจและเข้าใกล้พระวจนะมากขึ้น ผู้เขียนสดุดีเองก็ไม่มีข้อยกเว้น อาสาฟกล่าวว่าความทุกข์ดึงท่านให้เข้าใกล้พระเจ้า ขณะที่ความมั่งคั่งทำให้หยิ่งผยองและชั่วร้าย (สดุดี 73) โยบเรียนรู้เรื่องพระเจ้าอย่างมากเมื่อต้องเผชิญความทุกข์ และเหนืออื่นใดท่านเรียนรู้ที่จะวางใจในพระปัญญาและการครอบครองอยู่ของ พระองค์ ผู้เขียนหนังสือฮีบรูบอกเราว่า ความทุกข์เพราะถูกลงวินัยเป็นสิ่งยืนยันว่าเรายังเป็นบุตรของพระเจ้า (ฮีบรู 12:1-13)
เราคงจำเรื่องที่พี่ๆของโยเซฟอิจฉาและชิงชังน้องชายเพราะเป็นลูกคนโปรด ของยาโคบได้ จึงขายน้องคนนี้ไปเป็นทาสในอียิปต์ ที่อียิปต์โยเซฟยังต้องเจอกับความทุกข์จากฝีมือคนอื่น ไม่ใช่เพราะท่านทำบาป แต่เป็นเพราะสัตย์ซื่อต่อพระเจ้า เมื่อโยเซฟได้เลื่อนตำแหน่งสูงขึ้นปกครองอียิปต์ ท่านตั้งชื่อบุตรชายที่บ่งถึงพระหัตถ์อันแสนดีของพระเจ้าเหนือชีวิตท่าน (ปฐมกาล 41:46-52) และเมื่อพี่ชายของท่านมาหาซื้อข้าวที่อียิปต์ โยเซฟมีอิสระพอที่จะช่วยพี่ชายอย่างมีเมตตา แม้ตอนแรกดูเหมือนไม่เป็นเช่นนั้น8 เมื่อพี่ๆของโยเซฟสำนึกในบาป ท่านจึงเปิดเผยตัวตน แน่นอนพวกเขาหวาดกลัวมาก คิดว่าโยเซฟจะใช้อำนาจที่มีแก้แค้นในสิ่งที่ทำกับท่านไว้ พวกพี่ๆยังไม่เข้าใจพระประสงค์ดีของพระเจ้าในความทุกข์ยาก แม้เป็น “ความทุกข์ที่ตัวเองไม่ได้ก่อ”ก็ตาม แต่โยเซฟเข้าใจดี :
พระเจ้าทรงใช้เรามาก่อนพี่ เพื่อสงวนคนที่เหลือส่วนหนึ่งบนแผ่นดินไว้ให้พี่ และช่วยชีวิตของพี่ไว้ด้วยการช่วยกู้อันใหญ่หลวง ฉะนั้นมิใช่พี่เป็นผู้ให้เรามาที่นี่ แต่พระเจ้าทรงให้มา พระองค์ทรงโปรดให้เราเป็นเหมือนตัวบิดาฟาโรห์ เป็นเจ้าในราชวังทั้งสิ้น และเป็นผู้ครอบครองประเทศอียิปต์ทั้งหมด รีบไปหาบิดาเราบอกท่านว่า ‘โยเซฟบุตรของท่านพูดดังนี้ว่า พระเจ้าทรงโปรดให้ข้าพเจ้าเป็นเจ้าเหนืออียิปต์ทั้งสิ้น ขอไปหาลูก อย่าได้ช้า พ่อจะได้อาศัยอยู่ในเมืองโกเชน และพ่อจะได้อยู่ใกล้ลูก ทั้งตัวพ่อกับลูกหลาน และฝูงแพะแกะฝูงโค และทรัพย์ทั้งหมดของพ่อ ลูกจะบำรุงรักษาพ่อที่นั่น ด้วยยังจะกันดารอาหารอีกห้าปี มิฉะนั้นพ่อและครอบครัวของพ่อและผู้คนที่พ่อมีอยู่จะยากจนไป’ (ปฐมกาล 45:7-11)
พี่ชายก็พากันมากราบลงต่อหน้าโยเซฟแล้วว่า “ข้าพเจ้าทั้งหลายเป็นผู้รับใช้ของท่าน” โยเซฟจึงบอกเขาว่า “อย่ากลัวเลย เราเป็นดังพระเจ้าหรือ พวกท่านคิดร้ายต่อเราก็จริง แต่ฝ่ายพระเจ้าทรงดำริให้เกิดผลดีอย่างที่บังเกิดขึ้นนี้แล้ว คือช่วยชีวิตคนเป็นอันมาก ดังนั้นพี่อย่ากลัวเลย เราจะบำรุงเลี้ยงพี่ทั้งบุตรด้วย” โยเซฟพูดปลอบโยนพวกพี่น้องดังนี้ทำให้เขาอุ่นใจ (ปฐมกาล 50:18-21)
ดังนั้นการทนทุกข์เพราะเหตุที่ตนเองไม่ได้ก่อ ไม่เพียงแต่เกิดผลดีกับตนเอง แต่ยังเกิดผลดีกับคนอื่นๆด้วย9
ใน 1ซามูเอล 21 ดาวิดต้องหนีไปจากกษัตริย์ซาอูลที่จ้องจะตามฆ่า ดาวิดและคนของท่านขาดแคลนอาหารจึงไปที่เมืองโนบ ที่อาหิเมเลคปุโรหิตอาศัยอยู่ อาหิเมเลคสัมผัสได้ว่ามีบางสิ่งผิดปกติเมื่อดาวิดมาหาท่านตามลำพัง ดาวิดหลอกท่านว่ามาราชการลับให้กษัตริย์ซาอูล และต้องไม่ให้ผู้ใดรู้ (21:1-2) ดาวิดขอแบ่งขนมปังจากท่าน และได้รับบางส่วนจากขนมปังบริสุทธิ์ และอาหิเมเลคได้มอบดาบของโกลิอัทให้กับดาวิด ดาบที่ดาวิดยึดมาได้ตอนฆ่าโกลิอัท แต่ที่เกิดขึ้น โดเอกชาวเอโดม คนของกษัตริย์ซาอูลอยู่ที่นั่นพอดี และเห็นเหตุการณ์ ต่อมาโดเอกไปรายงานให้ซาอูลทราบ ผลก็คือซาอูลสั่งฆ่าปุโรหิตหลายคนรวมทั้งครอบครัวพวกเขาด้วย
พระราชาตรัสว่า “อาหิเมเลค เจ้าจะต้องตายแน่ ทั้งเจ้าและพงศ์พันธุ์บิดาของเจ้าด้วย” และพระราชาก็รับสั่งแก่ราชองครักษ์ผู้ยืนเฝ้าอยู่ว่า “จงหันมาประหารปุโรหิตเหล่านี้ของพระเจ้าเสีย เพราะว่ามือของเขาอยู่กับดาวิดด้วย เขารู้แล้วว่ามันหนีไป แต่ไม่แจ้งให้เรารู้” แต่ข้าราชการผู้รับใช้ของพระราชาไม่ยอมลงมือ ทำกับปุโรหิตของพระเจ้า แล้วพระราชาจึงตรัสกับโดเอกว่า “เจ้าจงไปฟันปุโรหิตเหล่านั้น” โดเอกคนเอโดมก็หันไปฟันบรรดาปุโรหิต ในวันนั้น เขาฆ่าบุคคลที่สวมเอโฟดผ้าป่านเสีย แปดสิบห้าคน และเขาประหารชาวเมืองโนบ ซึ่งเป็นเมืองของปุโรหิตเสียด้วยคมดาบ ฆ่าเสียด้วยคมดาบ ทั้งผู้ชาย ผู้หญิง เด็ก และเด็กกินนม โค ลาและแกะ (1ซามูเอล 22:16-19)
เรารู้จากท่าทีที่ดาวิดตอบสนองต่อโศกนาฏกรรมนี้ ท่านรู้สึกรับผิดชอบต่อการตายของพวกปุโรหิตและครอบครัว (1ซามูเอล 22:21-23) ความรู้สึกผิดไม่ได้เกิดจากที่ท่านไปขอปันขนมปังจากอาหิเมเลค เพราะพระเยซูเองยังตรัสว่าทำได้ (ดูมัทธิว 12:3-4) ไม่ชัดเจนว่าที่ดาวิดโกหกเป็นสาเหตุของโศกนาฏกรรมครั้งนี้ แต่ที่แน่ๆคนเหล่านี้ต้องตายลงเพราะความอิจฉาของซาอูล บาปของชายคนหนึ่ง (ซาอูล) และที่ดาวิดพยายามหาอาหารให้คนของท่านนำความตายไปถึงคนอีกมากมาย10
ดาวิดอาจไม่ผิดที่ทำให้พวกปุโรหิตที่เมืองโนบต้องตาย แต่บาปของท่านเป็นเหตุให้บุตรชายของท่านเองต้องตาย (2ซามูเอล 11 และ 12) ขณะที่กองทัพอิสราเอลออกทำสงคราม ดาวิดพักอยู่ที่วังในเยรูซาเล็ม (2ซามูเอล 11:1) ผลก็คือท่านบังเอิญมองลงไปจากดาดฟ้าพระราชวังเห็นสตรีนางหนึ่งกำลังอาบน้ำ จึงให้คนไปสอบถามว่าเป็นใคร ถึงจะรู้ว่าเธอเป็นภรรยาของทหารที่ซื่อสัตย์ในกองทัพของท่าน ดาวิดเรียกเธอมาหาที่วังและหลับนอนกับเธอ แล้วพยายามปกปิดบาปนั้นโดยสั่งให้โยอาบแม่ทัพ ส่งอุรียาห์ไปในพื้นที่ๆการสู้รบดุเดือดที่สุด แล้วละไว้ที่นั่นให้ตาย นาธันมาเผชิญหน้ากับดาวิดเรื่องความบาปของท่าน แจ้งท่านว่าเด็กที่หญิงนั้นตั้งครรภ์เพราะบาปของท่านจะต้องตาย แม้ดาวิดจะสำนึกผิดและวิงวอนขอต่อพระเจ้า พระเจ้าก็นำชีวิตเด็กนั้นไป เด็ก “ไร้เดียงสา” คนนี้ตายเพราะความบาปของดาวิด คนที่ไม่รู้เรื่องด้วยบางครั้งต้องมารับเคราะห์เพราะความบาปของผู้อื่น
ผมขอชี้ให้เห็นสั้นๆว่าไม่เสมอไปที่ความทุกข์เกิดขึ้นเพราะสาเหตุใด สาเหตุหนึ่ง ชีวิตมันไม่ง่ายอย่างนั้น แม้แต่ความบาปด้วย ใน 2ซามูเอล 24 และ 1พงศาวดาร 21 เราอ่านเรื่องภัยพิบัติที่ถูกส่งลงมายังอิสราเอลเพราะดาวิดโง่เขลาไปนับ จำนวนคน ไม่ฟังคำคัดค้านของผู้รับใช้ที่ซื่อสัตย์อย่างโยอาบและผู้บังคับบัญชาในกอง ทัพของท่าน (2ซามูเอล 24:3-4) ในอีกด้าน เราเห็นว่าคนของดาวิดต้องตายลงถึง 70,000 คนเพราะความเขลาของท่าน (2ซามูเอล 24:15) และเห็นจากเรื่องราวใน 1พงศาวดาร 21 (ข้อ 1) ซาตานได้ยืนขึ้นต่อสู้อิสราเอล ดลใจให้ดาวิดนับจำนวนอิสราเอล ดังนั้นซาตานก็มีบทบาทในพิบัติครั้งนี้ด้วย แต่จาก 2ซามูเอล 24:1 เราเรียนรู้ว่าเรื่องราวมันซับซ้อนกว่านั้น :
พระพิโรธของพระเจ้าได้เกิดขึ้นต่ออิสราเอลอีก เพื่อทรงต่อสู้เขาทั้งหลายจึงทรงดลใจดาวิดตรัสว่า” จงไปนับคนอิสราเอลและคนยูดาห์” (2ซามูเอล 24:1)
พระวจนะข้อนี้ เราเห็นว่าพระเจ้าทรงอยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ทั้งหมด ซึ่งไม่น่าประหลาดใจสำหรับคริสเตียน แต่ที่เราเรียนรู้คือพระเจ้าทรง “ดลใจ” ดาวิด เพราะพระพิโรธต่ออิสราเอล ดังนั้นคนอิสราเอลไม่ใช่ว่าไม่รู้เรื่อง พวกเขามีความผิด และพระเจ้าลงโทษชนชาตินี้เพราะบาปของพวกเขา ความทุกข์บางทีก็มาจากสาเหตุที่ซับซ้อน ทั้งหมดล้วนแล้วแต่มาจากรากเหง้าความบาปของมนุษย์
เป็นเรื่องสำคัญที่ต้องจำไว้ว่าไม่มีใครเลย ไม่มีสักคน แม้แต่ทารกที่ “บริสุทธิ์” แท้จริง ในแง่ว่าพวกเขาปราศจากบาป ดาวิดกล่าวไว้นานมาแล้ว :
ดูเถิด ข้าพระองค์ถือกำเนิดมาในความผิดบาป
และมารดาตั้งครรภ์ข้าพระองค์ในบาป (สดุดี 51:5)
อ.เปาโลยืนยันในเรื่องนี้โดยอ้างจากพระวจนะในพระคัมภีร์เดิมในโรม 3:10-12 ที่กล่าวว่า:
10“ตามที่พระคัมภีร์มีเขียนไว้ว่า ไม่มีผู้ใดเป็นคนชอบธรรมสักคนเดียว ไม่มีเลย
11 ไม่มีคนที่เข้าใจ ไม่มีคนที่แสวงหาพระเจ้า
12 เขาทุกคนหลงผิดไปหมด เขาทั้งปวงเลวทรามเหมือนกันสิ้น ไม่มีสักคนเดียวที่กระทำดี ไม่มีเลย
บุคคลเดียวที่เกิดมาโดยปราศจากบาป และดำเนินชีวิตอย่างสมบูรณ์แบบ ปราศจากตำหนิ คือองค์พระเยซูคริสต์ของเรา พระองค์เพียงผู้เดียวที่สามารถพูดได้ว่า
มีผู้ใดในพวกท่านหรือ ที่ชี้ให้เห็นว่าเราได้ทำผิด ถ้าเราพูดความจริง ทำไมท่านจึงไม่เชื่อเรา? (ยอห์น 8:46)
พระองค์ผู้เดียวเท่านั้นที่ไร้ความผิด ลูกแกะปราศจากตำหนิของพระเจ้า ที่ได้หลั่งพระโลหิตเพื่อชำระมนุษย์ให้พ้นจากบาปของพวกเขา :
และถ้าท่านอธิษฐานขอต่อพระองค์ เรียกพระองค์ว่า พระบิดาผู้ทรงพิพากษาทุกคนตามการกระทำของเขา โดยไม่มีอคติ จงประพฤติตนด้วยความยำเกรงตลอดเวลาที่ท่านอยู่ในโลกนี้ ท่านรู้ว่าพระองค์ได้ทรงไถ่ท่านทั้งหลายออกจากการประพฤติอันหาสาระมิได้ ซึ่งท่านได้รับต่อจากบรรพบุรุษของท่าน มิใช่ไถ่ไว้ด้วยสิ่งที่เสื่อมสลายได้ เช่นเงินและทอง แต่ทรงไถ่ด้วยพระโลหิตประเสริฐของพระคริสต์ ดังเลือดลูกแกะที่ปราศจากตำหนิหรือจุดด่าง แท้จริงพระเจ้าได้ทรงกำหนดพระคริสต์นั้นไว้ก่อนทรงสร้างโลก แต่ทรงให้พระคริสต์ปรากฏพระองค์ในวาระสุดท้ายนี้ เพื่อท่านทั้งหลาย เพราะพระคริสต์ท่านจึงวางใจในพระเจ้า ผู้ทรงชุบพระคริสต์ให้ฟื้นจากความตาย และทรงประทานพระเกียรติแก่พระองค์ เพื่อให้ความเชื่อและความหวังใจของท่านดำรงอยู่ในพระเจ้า (1เปโตร 1:17-21)
เมื่อพูดถึงผู้บริสุทธิ์ที่ต้องทนทุกข์ เราต้องทำความเข้าใจให้ถูกต้อง มีเพียงพระเยซูคริสต์เท่านั้นที่ต้องทนทุกข์ทั้งที่บริสุทธิ์ คนอื่นๆที่ทนทุกข์ก็เป็นเพราะพวกเขาเป็นคนบาป เมื่อเราพูดถึง “ผู้บริสุทธิ์ต้องมารับทุกข์” เรากำลังพูดถึงความทุกข์ที่ไม่ได้เกิดจากบาปโดยตรงของพวกเขา แต่เป็นเหตุเพราะบาปที่คนอื่นกระทำ
เมื่อพูดถึงคนที่ต้องทนทุกข์โดยไม่รู้เรื่อง เราได้รับคำปลอบประโลมที่ยิ่งใหญ่จากพระวจนะของพระเจ้า ลองมาดูบทสนทนาระหว่างอับราฮัมและพระเจ้า ในเรื่องการลงโทษเหนือโสดมและโกโมราห์ :
แล้วบุรุษเหล่านั้นก็ออกจากที่นั่น เดินไปจนเห็นเมืองโสโดม และอับราฮัมก็ตามไปส่งด้วย พระเจ้าตรัสว่า “ควรหรือที่เราจะซ่อนสิ่งซึ่งเราจะกระทำนั้นมิให้อับราฮัมรู้ เพราะอับราฮัมจะเป็นประชาชาติใหญ่โตและมีกำลังมาก และประชาชาติทั้งหลายในโลกจะได้รับพรก็เพราะท่าน เพราะเราเลือกเขาแล้ว เพื่อเขาจะได้กำชับลูกหลาน และครอบครัวที่สืบมา ให้รักษาพระมรรคาของพระเจ้า โดยทำความชอบธรรมและความยุติธรรม เพื่อว่าพระเจ้าจะได้ประทานสิ่ง ซึ่งพระองค์ทรงสัญญาไว้แล้วให้แก่อับราฮัม” พระเจ้าได้ตรัสว่า “เสียงร้องกล่าวโทษเมืองโสโดมและเมืองโกโมราห์ นั้นดังเหลือเกิน และบาปของเขาก็หนักมาก เราจะลงไปดูว่า พวกเขากระทำผิดจริงตามคำร้องทุกข์ที่มาถึงเรานั้นหรือไม่ ถ้าไม่เราก็จะรู้” บุรุษเหล่านั้นจึงออกจากที่นั่นเดินตรงไปยังเมืองโสโดม แต่อับราฮัมยังยืนเฝ้าพระเจ้าอยู่ อับราฮัมได้เข้ามาใกล้ กราบทูลว่า “พระองค์จะทรงทำลายผู้ชอบธรรมพร้อมกับคนอธรรมหรือ สมมุติว่ามีคนชอบธรรมห้าสิบคนอยู่ในเมืองนั้น พระองค์จะยังทรงทำลายเมืองนั้นไม่ยับยั้งอาชญา เพราะเห็นแก่คนชอบธรรมห้าสิบคนที่อยู่ในเมืองนั้นหรือ ขอพระองค์อย่าคิดที่จะกระทำเช่นนั้นเลย อย่าคิดที่จะฆ่าคนชอบธรรมพร้อมกับคนอธรรม ทำกับคนชอบธรรมอย่างเดียวกับคนอธรรม ขอพระองค์อย่าทรงทำเช่นนั้นเลย พระองค์ผู้พิพากษาสากลโลกจะไม่กระทำสิ่งที่ยุติธรรมหรือ” พระเจ้าตรัสว่า “ที่โสโดมถ้าเราพบคนชอบธรรมในเมืองห้าสิบคนเราจะ ไม่ลงอาชญาในเมืองนั้นทั้งเมืองเพราะเห็นแก่เขา” อับราฮัมทูลตอบว่า “ขอประทานโทษ ที่ข้าพระองค์บังอาจกราบทูลต่อพระเจ้า ข้าพระองค์ผู้เป็นเพียงผงคลีและขี้เถ้า สมมุติว่าในห้าสิบคนนั้นขาดไปห้าคน พระองค์จะยังทรงทำลายเมืองนั้นทั้ง เมืองเพราะขาดห้าคนหรือ” และพระองค์ตรัสว่า “เราจะไม่ทำลาย ถ้าเราพบคนชอบธรรมสี่สิบห้าคนที่นั่น” ท่านก็ทูลพระองค์อีกว่า “สมมุติว่าพระองค์ทรงพบสี่สิบคนที่นั่น” พระองค์ตรัสตอบว่า “เพราะเห็นแก่สี่สิบคนเราจะไม่กระทำ” ท่านจึงทูลว่า “ขอองค์พระผู้เป็นเจ้าอย่าทรงพระพิโรธเลย ข้าพระองค์จะขอกราบทูล สมมุติพระองค์ทรงพบเพียงสามสิบคนที่นั่น” พระองค์ตรัสตอบว่า “เราจะไม่ลงอาชญา ถ้าเราพบสามสิบที่นั่น” ท่านทูลว่า “ขอประทานโทษที่ข้าพระองค์บังอาจกราบทูล ต่อองค์พระผู้เป็นเจ้า สมมุติว่าทรงพบเพียงยี่สิบคนที่นั่น” พระองค์ตรัสตอบว่า “เพราะเห็นแก่ยี่สิบคน เราจะไม่ทำลายเมืองนั้น” ท่านทูลว่า “ขอองค์พระผู้เป็นเจ้าอย่าทรงพระพิโรธเลย ข้าพระองค์ขอกราบทูลอีกครั้งนี้ครั้งเดียว สมมุติว่า ทรงพบเพียงสิบคนที่นั่น” พระองค์ตรัสตอบว่า “เพราะเห็นแก่สิบคนเราจะไม่ทำลายเมืองนั้น” เมื่อพระองค์ตรัสกับอับราฮัมจบลงแล้ว พระเจ้าก็เสด็จไป ส่วนอับราฮัมก็กลับไปบ้าน (ปฐมกาล18:16-33)
พระเจ้ากำลังจะลงโทษเมืองโสดมและโกโมราห์ แต่พระองค์ต้องการแบ่งปันเรื่องนี้กับอับราฮัม เมื่อได้ยินว่าเมืองนี้กำลังจะถูกทำลาย อับราฮัมเป็นห่วงว่าคนบริสุทธิ์จะถูกทำลายไปพร้อมกับคนชั่ว จึงโต้แย้งว่าพระเจ้าของท่านจะทำในสิ่งที่ยุติธรรม คือไม่ปฏิบัติในแบบเดียวกันกับทั้งคนชั่วและคนดี (18:23-25) ในตอนจบ ท่านต่อรองว่าถ้ามีคนชอบธรรมสักสิบคนที่ในเมืองนั้น พระเจ้าจะไม่ลงโทษ ที่เรารู้ แน่นอน สิบคนก็ยังไม่มี กระนั้นพระเจ้าก็ยังทรงไว้ซึ่งพระลักษณะของพระองค์ ก่อนส่งไฟลงไปเผาเมืองชั่วร้ายนั้น พระองค์ทรงให้โลทและครอบครัวอพยพออกมา (ปฐมกาล 19:12-26) พระเจ้าของเรายุติธรรม และพระองค์ไม่ได้ลงโทษคนชอบธรรมไปพร้อมๆกับคนอธรรม
ความจริงเดียวกันนี้11 เป็นบทเรียนอยู่ในหนังสือโยนาห์บทที่สี่ด้วย :
เมื่อพระเจ้าทอดพระเนตรการกระทำของเขา แล้วว่า เขากลับไม่ประพฤติชั่วต่อไป พระเจ้าก็ทรงกลับพระทัย ไม่ลงโทษ ตามที่พระองค์ตรัสไว้ และพระองค์ก็มิได้ทรงลงโทษเขา เหตุการณ์นี้ไม่เป็นที่พอใจโยนาห์อย่างยิ่ง และท่านโกรธ ท่านจึงอธิษฐานต่อพระเจ้าว่า “ข้าแต่พระเจ้า เมื่อข้าพระองค์ยังอยู่ในประเทศของข้าพระองค์ ข้าพระองค์พูดแล้วว่าจะเป็นไปเช่นนี้มิใช่หรือ นี่แหละเป็นเหตุให้ข้าพระองค์ได้รีบหนีไปยังเมืองทารชิช เพราะข้าพระองค์ทราบว่า พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าผู้ทรงกอปรด้วยพระคุณ และทรงพระกรุณา ทรงกริ้วช้า และบริบูรณ์ด้วยความรัก มั่นคง และทรงกลับพระทัยไม่ลงโทษ ข้าแต่พระเจ้า เพราะฉะนั้น บัดนี้ ขอพระองค์ทรงเอาชีวิตของข้าพระองค์ไปเสีย เพราะว่าข้าพระองค์ตายเสียก็ดีกว่าอยู่” ละพระเจ้าตรัสว่า “การที่เจ้าโกรธเช่นนี้ดีอยู่หรือ” แล้วโยนาห์ก็ออกไปนอกนคร นั่งอยู่ทางทิศตะวันออกของเมืองนั้น และท่านทำเพิงไว้เป็นที่ท่านอาศัย ท่านนั่งอยู่ใต้ร่มเพิงคอยดูเหตุการณ์อันจะเกิดขึ้นกับนครนั้น และพระเจ้าทรงกำหนดให้ต้นละหุ่งต้นหนึ่ง งอกขึ้นมาเหนือโยนาห์ ให้เป็นที่กำบังศีรษะของท่าน เพื่อให้บรรเทาความร้อนรุ่มกลุ้มใจในเรื่องนี้ เพราะเหตุต้นละหุ่งต้นนี้โยนาห์จึงมีความยินดียิ่งนัก แต่ในเวลาเช้าวันรุ่งขึ้น พระเจ้าทรงกำหนดให้หนอนตัวหนึ่งมากัดกินต้นละหุ่งต้นนั้น จนมันเหี่ยวไป เมื่อดวงอาทิตย์ขึ้นแล้ว พระเจ้าทรงกำหนดให้ลมตะวันออกที่ร้อนผากพัดมา และแสงแดดก็แผดลงบนศีรษะของโยนาห์จนท่าน อ่อนเพลียไปและท่านก็ทูลขอว่า ให้ท่านตายเสียเถิด ท่านว่า “ข้าตายเสียก็ดีกว่าอยู่” แต่พระเจ้าตรัสกับโยนาห์ว่า “ที่เจ้าโกรธเพราะต้นละหุ่งนั้นดีอยู่แล้วหรือ” ท่านทูลว่า “ที่ข้าพระองค์โกรธถึงอยากตายนี้ดีแล้ว พระเจ้าข้า” และพระเจ้าตรัสว่า “เจ้าหวงต้นไม้ซึ่งเจ้ามิได้ลงแรงปลูก หรือมิได้กระทำให้มันเจริญ มันงอกเจริญขึ้นในคืนเดียว แล้วก็ตายไปในคืนเดียวดุจกัน ไม่สมควรหรือที่เราจะหวงเมืองนีนะเวห์นครใหญ่นั้น ซึ่งมีพลเมืองมากกว่าหนึ่งแสนสองหมื่นคน ผู้ไม่ทราบว่าข้างไหนมือขวาข้างไหนมือซ้าย และมีสัตว์เลี้ยงเป็นอันมากด้วย” (โยนาห์ 3:10 – 4:11)
เมื่อประชากรนีนะเวห์กลับใจ พระเจ้าก็ยับยั้ง และโยนาห์ไม่พอใจ ท่านแทบคลั่ง สิ่งที่คนอื่นสรรเสริญพระเจ้า (ข้า พระองค์ทราบว่า พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าผู้ทรงกอปรด้วยพระคุณ และทรงพระกรุณา ทรงกริ้วช้า และบริบูรณ์ด้วยความรักมั่นคง และทรงกลับพระทัยไม่ลงโทษ – ข้อ 2 ด้านบน)12 โยนาห์กลับประท้วง ท่านเกลียดชังพระคุณ13ไม่ สังเกตเลยว่านี่คือสิ่งเดียวที่ทำให้ท่านยังมีชีวิตอยู่ โยนาห์ต้องการเห็นคนบาปพวกนี้ชดใช้ ต้องการนั่งดูพระอาชญาที่จะเทลงเหนือพวกเขา แม้จะสำนึกผิดแล้วก็ตาม โยนาห์มองไม่เห็นเงาของร่มไม้ที่พระเจ้าประทานให้เป็นของขวัญแห่งพระคุณ มัวแต่โกรธเคืองเพราะถูกเอาคืนไป ราวกับว่าเป็นสิ่งที่ท่านสมควรได้รับ
ความบาปของโยนาห์ยิ่งแย่หนักเมื่อโยงเข้ากับเด็กๆในนีนะเวห์ ท่านต้องการเห็น (จากคำพูดของอับราฮัม) พระเจ้ากวาดคนชอบธรรมไปพร้อมกับคนอธรรม” 14
ความยุติธรรมของพระเจ้าปรากฎชัดเมื่อเทียบกับความโกรธที่โยนาห์คิดว่าตน เองชอบธรรม ไม่สนใจแม้พวกเขาจะกลับใจ แค่อยากเห็นพวกเขาพินาศ พระเจ้าไม่เพียงแต่ปิติที่ได้ช่วยคนบาปให้กลับใจ พระองค์ทรงห่วงใยเด็กที่ไร้เดียงสา และจะไม่ลงโทษพวกเขาแม้พ่อแม่พวกเขาจะชั่วร้ายก็ตาม
สิ่งที่พระเจ้าตรัสกับโยนาห์ทำให้เราเกิดปัญหากับพระกิตติคุณมัทธิว 2 ข้อ 13-18 ที่กำลังเรียนกัน:
ครั้นเขาไปแล้วก็มีทูตองค์หนึ่งของพระ เป็นเจ้า ได้มาปรากฏแก่โยเซฟในความฝันแล้วบอกว่า “จงลุกขึ้นพากุมารกับมารดาหนีไปประเทศอียิปต์ และคอยอยู่ที่นั่นจนกว่าเราจะบอกเจ้า เพราะว่าเฮโรดจะแสวงหากุมาร เพื่อจะประหารชีวิตเสีย” ในเวลากลางคืนโยเซฟจึงลุกขึ้น พากุมารกับมารดาไปยังประเทศอียิปต์ และได้อยู่ที่นั่นจนเฮโรดสิ้นพระชนม์ ทั้งนี้เกิดขึ้นเพื่อจะให้สำเร็จตามพระวจนะของพระเป็นเจ้า ซึ่งได้ตรัสไว้โดยผู้เผยพระวจนะว่า เราได้เรียกบุตรของเราให้ออกมาจากอียิปต์ ครั้นเฮโรดเห็นว่าพวกโหราจารย์หลอกท่าน ก็กริ้วโกรธยิ่งนัก จึงใช้คนไปฆ่าเด็กผู้ชายทั้งหลาย ในบ้านเบธเลเฮมและที่ใกล้เคียงทั้งสิ้น ตั้งแต่อายุสองขวบลงมา ซึ่งพอดีกับเวลาที่ท่านได้ทราบจากพวกโหราจารย์นั้น ครั้งนั้นก็สำเร็จตามพระวจนะที่ตรัสโดยเยเรมีย์ผู้เผยพระวจนะว่า ได้ ยินเสียงในหมู่บ้านรามาห์ เป็นเสียงโอดครวญและร่ำไห้ คือนางราเชลร้องไห้คร่ำครวญ เพราะบุตรทั้งหลายของตน นางไม่รับฟังคำปลอบเล้าโลม เพราะบุตรทั้งหลายนั้นไม่มีแล้ว (มัทธิว 2:13-18)
พวกโหราจารย์ได้รับคำสั่งจากพระเจ้าให้เดินทางกลับเส้นทางอื่น พวกเขาเชื่อฟัง (2:12) แล้วพระองค์สั่งโยเซฟให้พาพระกุมารและนางมารีย์ไปลี้ภัยที่ในอียิปต์ เพราะเฮโรดกำลังหาทางฆ่าพระกุมาร โยเซฟเชื่อฟัง เมื่อเฮโรดรู้ว่าแผนสังหารทารกที่จะเป็นกษัตริย์ล้มเหลว ก็โกรธเคืองมาก จากข้อมูลที่ดาวมาปรากฎแก่โหราจารย์ และสถานที่กำเนิดตามคำพยากรณ์ที่นักศาสนาบอก เฮโรดพอรู้อายุและที่อยู่ของพระกุมาร แม้จะไม่ได้เห็นตัวจริง แต่พอรู้ว่าไม่น่าถึงสองขวบ เฮโรดคิดว่าเอาตัวเลขกลมๆนี้มาเป็นตัวตั้ง สังหารทารกทั้งหมดในเขตเบธเลเฮม ทารกชายอายุต่ำกว่าสองขวบทั้งหมดในเบธเลเฮมจึงถูกฆ่าตาย
จำนวนทารกที่ตายตามที่คาดเดาอาจดูเยอะเกินจริง โดยทั่วไปคิดว่าไม่น่าเกิน 20 หรือ 30 แต่ก็ไม่ได้ทำให้ความผิดของเฮโรด หรือความทุกข์ระทมของพ่อแม่ลดลง อาจมีคำถามว่าทำไมมัทธิวเลือกที่จะบันทึกรายละเอียดการฆ่าทารก แต่ไม่บันทึกรายละเอียดการตายของเฮโรด คนอ่านอาจรู้สึกไม่พอใจที่ทารกโดนสังหารอย่างไม่เป็นธรรม อยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเฮโรดหลังสิ่งโหดเหี้ยมที่เขาทำ ให้มาดูว่าพระกิตติคุณมัทธิวตอนนี้ให้บทเรียนอะไรกับเรา?
ประการแรก – เรื่องการสังหารทารกที่บริสุทธิ์ดูเหมือนเมฆทะมึนที่จู่ๆก็มาปกคลุมความชื่นชมยินดีในการประสูติของพระเยซูคริสต์ อย่าลืมว่าพระเยซูเสด็จมาเพื่อตายบนไม้กางเขนในเงื้อมมือของชาวยิวที่ไม่เชื่อและคนต่างชาติ และเราได้พบพระนามพระเยซูในมัทธิว 1:
“เธอจะประสูติบุตรชาย แล้วเจ้าจงเรียกนามท่านว่า เยซู เพราะว่าท่านเป็นผู้ที่จะโปรดช่วยชนชาติของท่านให้รอดจากความผิดบาปของเขา” (มัทธิว 1:21)
วิธีที่พระเยซูจะมา “โปรดช่วยชนชาติของท่านให้รอดจากความผิดบาป” คือยอมสละพระชนม์อย่างผู้บริสุทธิ์บนกางเขนที่เนินหัวกระโหลก การประสูติของพระเยซูเป็นเหตุการณ์ที่ชื่นชมยินดี เหมือนข้อความในบัตรอวยพรวันคริสตมาส แต่เป็นการประสูติของพระผู้ช่วยให้รอดที่ต้องไปสิ้นพระชนม์ในเยรูซาเล็ม มัทธิวจึงเตรียมปูพื้นให้ผู้อ่านแต่เนิ่นๆ ประชาชนและผู้ปกครองในเยรูซาเล็มต่างวุ่นวายใจเมื่อได้ยินคำว่า “กษัตริย์ของชาวยิว” มาบังเกิดในเบธเลเฮม
เราอาจจะเปรียบเทียบเรื่องต้นกำเนิดของพระเยซูในมัทธิวและในลูกาได้ ผู้เขียนแต่ละท่านเลือกสถานการณ์ เหตุการณ์ และผู้คนที่แตกต่างกัน แต่ทั้งคู่เตรียมผู้อ่านให้ตระหนักถึงความจริงว่าผู้ที่มาประสูติในเบธเลเฮม มาสละพระชนม์เพื่อความบาปของประชากรของพระองค์ มัทธิวเตรียมเราไว้ก่อนโดยบันทึกเรื่องเด็กบริสุทธิ์ถูกสังหาร ลูกาทำผ่านถ้อยคำที่สิเมโอนพูดกับนางมารีย์ :
แล้วสิเมโอนก็อวยพรแก่เขา แล้วกล่าวแก่นางมารีย์มารดาพระกุมารนั้นว่า “ดูก่อน ท่านทรงตั้งพระกุมารนี้ไว้ เป็นเหตุให้หลายคนในพวกอิสราเอลล้มลงหรือยกตั้งขึ้น และจะเป็นหมายสำคัญซึ่งคนปฏิเสธ เพื่อความคิดในใจของคนเป็นอันมากจะได้ปรากฏแจ้ง ถึงหัวใจของท่านเองก็ยังจะถูกดาบแทงทะลุด้วย” (ลูกา 2:34-35)
ถ้าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตอนพระเยซูบังเกิดเล็งถึงเหตุการณ์อื่นๆในชีวิต ที่จะเกิดขึ้นจนถึงวันสิ้นพระชนม์ เหตุการณ์ช่วงการบังเกิดควรมีการเตือนล่วงหน้าว่าพระองค์จะต้องสิ้นพระชนม์
ยังมีอีกมิติหนึ่งเรื่องทารกถูกสังหาร ผมเชื่อว่าน่าจะนำมาพิจารณา บางคนคิดว่ามันไกลเกินเอื้อม แต่ผมไม่ใช่คนเดียวที่ยื่นไปแตะมิตินี้ ผมถามตัวเองด้วยคำถามง่ายๆ : อะไรคือเหตุผลที่เฮโรดต้องฆ่าทารกเพศชาย? คำตอบที่ผมคิดว่าง่ายและชัดเจนคือ เฮโรดสังหารทารกพวกนี้เพราะอยู่ในข่ายว่าน่าจะเป็นพระเยซู เฮโรดไม่ได้สั่งฆ่าเด็กผู้หญิงอายุต่ำกว่าสิบสองในเยรูซาเล็ม ฆ่าเฉพาะทารกชายอายุต่ำกว่าสองในเขตเบธเลเฮม ทำไมครับ? เพราะเฮโรดต้องการฆ่าพระเยซูผู้จะมาเป็น “กษัตริย์ของชาวยิว” เฮโรดสั่งฆ่าเฉพาะทารกที่เกิดตามคำพยากรณ์ที่เล็งถึงพระเมสซิยาห์ และคะเนอายุตามที่พวกโหราจารย์บอกเมื่อเห็นดวงดาว ในอีกแง่ ทารกพวกนี้คือคนกลุ่มแรกที่พลีชีพเพื่อพระคริสต์
เราต้องตั้งคำถาม : อะไรทำให้มัทธิวพยายามเชื่อมโยงการสังหารทารกเข้ากับเยเรมีย์ 31:15? ผมขอเริ่มจากตั้งข้อสังเกตพระวจนะตอนที่มัทธิวอ้างในเยเรมีย์ 31
(1) บริบทของเยเรมีย์ 31 คือการตกไปเป็นเชลยของอิสราเอล การกลับสู่มาตุภูมิ และกลับสู่สภาพดี โดยเฉพาะพระเจ้าให้ความมั่นใจกับอาณาจักรเหนือของอิสราเอลว่าจะทำให้คืนสู่ สภาพดีเมื่อเป็นไทจากอัสซีเรีย ลองมาดูข้อคิดเห็นจากหนังสือ Bible Knowledge Commentary ข้อ 2-6:
พระเจ้าให้คำมั่นว่าจะฟื้นฟูอาณาจักรเหนือ คนที่รอดตายจากดาบ(ที่อาจถูกอัสซีเรียทำลาย) จะได้ลิ้มรสความโปรดปรานของพระเจ้า เมื่อพระองค์นำเขาเข้าไปในถิ่นทุรกันดาร เหมือนเป็นการอพยพครั้งใหม่ 16:14-15; 23:7-8; โฮเชยา 2:14-15 ความวุ่นวายในหลายปีที่ตกเป็นเชลยจะหมดไปเมื่อพระเจ้าเข้ามาแทรกแซง และทำให้ชนชาติอิสราเอลได้หยุดพัก 15
ต่อไปมาดูข้อคิดเห็นจาก Bible Knowledge Commentary ข้อ 7-9:
เมื่อพระเจ้านำประชากรที่อพยพครั้งใหม่กลับสู่อิสราเอล พระองค์จัดเตรียมทุกสิ่งที่จำเป็นให้พวกเขา จะนำพวกเขาเดินข้างลำธารน้ำ (เทียบกับ อพยพ 15:22-25; กันดารวิถี 20:2-13; สดุดี 23:2) จะได้เดินในทางราบซึ่งไม่สะดุด พระองค์ทำทั้งหมดนี้เพราะความสัมพันธ์พิเศษที่มีต่ออิสราเอล ทรงเป็นพระบิดาของชนชาตินี้ (ดูเฉลยธรรมบัญญัติ 32:6) เอฟราอิม (เน้นถึงชนเผ่าเหนือของอิสราเอล) เป็นเหมือนบุตรหัวปี (ดูอพยพ 4:22) เยเรมีย์ใช้ภาพความสัมพันธ์ระหว่างบิดาและบุตรเพื่อให้เห็นถึงความรักลึก ซึ้งที่พระเจ้ามีต่อประชากรของพระองค์ (ดูโฮเชยา 11:1, 8)16
การ “ตกไปเป็นเชลย” คงจะรวมถึงตกเป็นเชลยของบาบิโลนในเวลาต่อมาด้วย รามาห์ ตามที่บันทึกไว้เป็นจุดรวมพลประชากรยูดาห์ก่อนถูกส่งไปเป็นเชลยที่บาบิโลน :
เยเรมีย์จึงให้ภาพการร้องไห้คร่ำครวญของพวกผู้หญิงในอาณาจักรเหนือขณะ เห็นลูกๆถูกอุ้มไปเป็นเชลยในปี 722 ก.ค.ศ. อย่างไรก็ตาม เยเรมีย์อาจหมายถึงการส่งคนยูดาห์ไปเป็นเชลยในปี 586 ก.ค.ศ. ในแง่ที่รามาห์เป็นจุดรวมพลเพื่อให้เนบูคัดเนสซาร์จับส่งไปเป็นเชลย (ดู 40:1)17
(2) อารมณ์ของบทนี้มีแต่การเฉลิมฉลองด้วยความยินดี เพราะพระเจ้าจะนำประชากรของพระองค์กลับสู่มาตุภูมิ และฟื้นฟูสู่สภาพดี เทพระพรลงมาเหนือพวกเขา ในแง่นี้ คนที่ร้องไห้คร่ำครวญจะไม่ร้องอีกต่อไป
10 “บรรดาประชาชาติเอ๋ย จงฟังพระวจนะของพระเจ้า
และจงประกาศพระวจนะนั้น ในแผ่นดินชายทะเลที่ห่างออกไป
จงกล่าวว่า ‘ท่านที่กระจายอิสราเอลนั้นจะรวบรวมเขา และจะดูแลเขาอย่างกับผู้เลี้ยงแกะดูแลฝูงแกะของเขา’
11 เพราะพระเจ้าทรงไถ่ยาโคบไว้แล้ว
และได้ไถ่มาจากมือที่แข็งแรงเกินกว่าเขา
12 เขาทั้งหลายจะมาร้องเพลงอยู่บนที่สูงแห่งศิโยน
และเขาจะปลาบปลื้มเพราะของดีของพระเจ้า
เพราะเมล็ดข้าว เหล้าองุ่นและน้ำมันและเพราะลูกของแกะและโค
ชีวิตของเขาทั้งหลายจะเหมือนกับสวนที่มีน้ำรด และเขาจะไม่อ่อนระทวยอีกต่อไป
13 แล้วพวกพรหมจารีจะเปรมปรีดิ์ในการเต้นรำ
และคนหนุ่มกับคนแก่จะรื่นเริง เราจะกลับความโศกเศร้าของเขาให้เป็นความชื่นบาน
เราจะปลอบโยนเขาและให้ความยินดีแก่เขาแทนการไว้ทุกข์ (เยเรมีย์ 31:10-13)
(3) สถานที่ๆพูดถึงในเยเรมีย์ 31:15 คือรามาห์ และบุคคลที่พูดถึงคือราเชลที่ร่ำไห้เพราะบุตรของเธอ ทำให้นึกถึงการตายของราเชลในปฐมกาล 35:16-19 ราเชลมีปัญหาขณะคลอดบุตรชาย เธอตั้งชื่อเขาว่าเบนโอนี “บุตรแห่งความโศกเศร้า” แล้วเปลี่ยนเป็นเบนยามิน (บุตรแห่งมือขวาของเรา) ก็ถือกำเนิดมา แต่ราเชลตายหลังคลอด ราเชลเป็นมารดาของโยเซฟ (ผู้เป็นบิดาของเอฟราอิมและมนัสเสห์) และเบนยามิน เธอถูกเรียกว่าเป็น “มารดาของอิสราเอล” เธอใกล้ชิดและผูกพันกับอาณาจักรตอนเหนือของอิสราเอลมาก จึงเป็นการง่ายที่จะอธิบายการคร่ำครวญของแม่ๆในอาณาจักรเหนือว่าเป็น “นางราเชลร้องไห้คร่ำครวญเพราะบุตรทั้งหลายของตน” เมื่อถูกอัสซีเรียจับไปเป็นเชลย ถ้อยคำเดียวกันนี้สามารถนำมาอธิบายถึงแม่ๆในอาณาจักรใต้ที่คร่ำครวญเมื่อ เห็นบุตรถูกนำตัวไปต่อหน้าต่อตา
(4) บริบทของเยเรมีย์ 31 ยังเป็น “พันธสัญญาใหม่” ด้วย:
“พระเจ้าตรัสว่า ดูเถิด วันเวลาจะมาถึง เมื่อเราจะหว่านพืชคนและพืชสัตว์ในประชา อิสราเอลและประชายูดาห์ และจะเป็นไปอย่างนี้ คือเมื่อเราเฝ้าดูเขา เพื่อจะถอนออกและพังลงคว่ำเสีย ทำลาย และนำเหตุร้ายมาฉันใด เราจะเฝ้าดูเหนือเขาเพื่อจะสร้างขึ้นและปลูกฝังฉันนั้น พระเจ้าตรัสดังนี้แหละ ในสมัยนั้น เขาจะไม่กล่าวต่อไปอีกว่า ‘บิดารับประทานองุ่นเปรี้ยวและบุตรก็เข็ดฟัน’ แต่ทุกคนจะต้องตายเพราะบาปของตนเอง มนุษย์ทุกคนที่รับประทานองุ่นเปรี้ยว ก็จะเข็ดฟัน “พระเจ้าตรัสว่า ดูเถิด วันเวลาจะมาถึง ซึ่งเราจะทำพันธสัญญาใหม่กับประชาอิสราเอลและประชายูดาห์ ไม่เหมือนกับพันธสัญญาซึ่งเราได้กระทำกับ บรรพบุรุษของเขาทั้งหลาย เมื่อเราจูงมือเขาเพื่อนำเขาออกมาจากแผ่นดินอียิปต์ เป็นพันธสัญญาของเราซึ่งเขาผิด ถึงแม้ว่าเราได้เป็นสามีของเขา พระเจ้าตรัสดังนี้แหละ แต่นี่จะเป็นพันธสัญญาซึ่งเราจะกระทำกับ ประชาอิสราเอลภายหลังสมัยนั้น พระเจ้าตรัสดังนี้แหละ เราจะบรรจุพระธรรมไว้ในเขาทั้งหลาย และเราจะจารึกมันไว้บนดวงใจของเขาทั้งหลาย และเราจะเป็นพระเจ้าของเขา และเขาจะเป็นประชากรของเรา และทุกคนจะไม่สอนเพื่อนบ้านของตน และพี่น้องของตนแต่ละคนอีกว่า ‘จงรู้จักพระเจ้า’ เพราะเขาทั้งหลายจะรู้จักเราหมดตั้งแต่คน เล็กน้อยที่สุดถึงคนใหญ่โตที่สุด พระเจ้าตรัสดังนี้แหละ เพราะเราจะให้อภัยบาปชั่วของเขา และจะไม่จดจำบาปของเขา ทั้งหลายอีกต่อไป” (เยเรมีย์ 31:27-34)
ผมพบว่าเยเรมีย์พยายามอธิบายถึงความสำคัญจากผลที่เกิดในพันธสัญญาใหม่ใน ข้อ 29 และ 30 ประเด็นของท่านคือเมื่ออยู่ภายใต้พันธสัญญาเดิม เด็กจะต้องรับผลจากโทษบาปของพ่อแม่ ซึ่งจะไม่เป็นเช่นนั้นในพันธสัญญาใหม่ ถ้ามาพิจารณาพระคำในเยเรมีย์ 31:15 ให้ใกล้ๆ ผมพบว่ามันยากที่จะพูดว่าทารกบริสุทธิ์ที่ตายลงในเบธเลเฮมเป็นเพราะบาปของ พ่อแม่ และจากที่เราเรียนมาในตอนต้น ก็ยังยากที่จะสรุปว่าที่ทารกเหล่านี้ตายเพราะอยู่ภายการตัดสินของพระเจ้า ซึ่งแตกต่างจากกรณีของเฮโรด ที่ตายในมัทธิวบทที่ 2
แล้วเราจะเชื่อมรอยต่อนี้ได้อย่างไร? ผมเชื่อว่ามัทธิวกำลังบอกเราว่าพระเยซูคืออิสราเอลใหม่ และพระองค์เชื่อมต่อกับโมเสสผู้ถูกฟาโรห์ตามล่าชีวิตด้วย แต่พระเจ้าทรงช่วยไว้ พระเยซูเช่นเดียวกับดาวิด ถูกกษัตริย์ขี้อิจฉาตามล่าเพราะเป็นภัยคุกคามต่อราชบัลลังก์ พระองค์ทรงเป็นทุกสิ่งที่อิสราเอลทำไม่สำเร็จ ดังนั้นการเดินทางไปอียิปต์และกลับมาจึงเป็นเหมือนย้อนรอยอพยพตามที่โฮเชยา พูดถึงในโฮเชยา 11:1
การเดินทางไปอียิปต์และกลับมาของพระเยซูคือภาพอิสราเอลที่ตกไปเป็นเชลย (ทั้งเชลยอัสซีเรียของอาณาจักรเหนือ และเชลยบาบิโลนของอาณาจักรใต้) มัทธิวจึงโยงการร้องไห้คร่ำครวญของราเชลที่บุตรถูกอุ้มไป แม้จะโอดครวญเพราะคิดว่าพวกเขาจะไม่ได้กลับมาอีกแล้ว แต่พระเจ้าสัญญาว่าพวกเขาจะได้กลับมา รับการฟื้นฟูและรับพระพร สิ่งนี้เป็นนัยบอกเราหรือไม่ว่าการคร่ำครวญของแม่ (และพ่อด้วย) ที่ในเบธเลเฮม ที่ลูกถูกฆ่าจะเป็นเวลาเพียงสั้นๆด้วย? และทั้งหมดนี้เป็นเพราะพระเยซูผู้เป็นอิสราเอลใหม่ ขณะที่ทารกพวกนี้ตายเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระคริสต์ ผมเชื่อว่าเมื่อถึงเวลา พวกเขาจะฟื้นขึ้นมาเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ และจะกลับมาด้วยสง่าราศี18 เฮโรดตายโดยต่อต้าน “กษัตริย์ของชาวยิว” ทารกพวกนี้ตายโดยแสดงความเป็นหนึ่งเดียวกันกับ “กษัตริย์ของชาวยิว” ปลายทางช่างแตกต่างกันสิ้นดี
ในบทเรียนนี้ เราได้เห็นว่ามีหลายสาเหตุที่ทำให้มนุษย์ต้องเผชิญความทุกข์ และมีผลหลายแบบ ขณะที่เราอยากได้คำตอบง่ายๆในเรื่องความทุกข์ (คำตอบแบบที่พวกสาวกอยากได้ในยอห์น 9 หรือจากเพื่อนๆของโยบ) แต่คำตอบแบบนั้นหาไม่ได้ เป็นเวลาหลายปีกว่าชายตาบอดแต่กำเนิดจะรู้สาเหตุของความทุกข์ที่เขาเผชิญ และเชื่อว่าเขาคิดว่ามันคุ้มค่า โยบไม่ได้รับคำตอบจากความทุกข์ของท่าน ท่านแค่ถูกเตือนว่าพระเจ้าคือผู้ใด แค่นั้นก็เพียงพอ ขณะที่ยังหาคำตอบง่ายๆสำหรับคำถามเรื่องความทุกข์ไม่ได้ แต่มีความมั่นใจบางประการที่ทำให้เราอดทนได้ในความเชื่อ เพื่อจะสรุปเรื่องความมั่นใจนี้ ผมขอให้เรากลับไปที่โรม 8
(1) การทนทุกข์เป็นส่วนหนึ่งของประสบการณ์ในชีวิตมนุษย์ (โรม 8:18-25) ใน 1โครินธ์ 10 ตามที่ อ.เปาโลเขียน:
ไม่มีการทดลองใดๆเกิดขึ้นกับท่าน นอกเหนือจากการทดลองซึ่งเคยเกิดกับมนุษย์ทั้งหลาย พระเจ้าทรงสัตย์ธรรม พระองค์จะไม่ทรงให้ท่านต้องถูกทดลองเกินกว่าที่ท่านจะทนได้ และเมื่อท่านถูกทดลองนั้น พระองค์จะทรงโปรดให้ท่านมีทางที่จะหลีกเลี่ยงได้ด้วย เพื่อท่านจะมีกำลังทนได้ (1โครินธ์ 10:13)
การมีชีวิตอยู่ในโลกที่เสื่อมสลายนี้แปลว่าเราต้องเผชิญกับผลของความ เสื่อมด้วย ทำให้ความทุกข์กลายเป็นส่วนหนึ่งของประสบการณ์ชีวิต ไม่ใช่เพราะเป็นคริสเตียน แต่ในฐานะมนุษย์
(2) องค์พระเยซูคริสต์ทรงสถิตกับเราเสมอโดยทางพระวิญญาณบริสุทธิ์ ซึ่งประทานความมั่นใจให้เราว่าเราเป็นบุตรของพระเจ้า และมีความหวังใจในชีวิตนิรันดร์ พระองค์ทรงสื่อสารแทนเราเมื่อเป็นทุกข์หนัก พระเยซูให้ความมั่นใจว่าจะทรงอยู่กับเราเสมอจนกว่าจะสิ้นยุค (มัทธิว 28:20) พระองค์ตรัสว่าจะไม่ละหรือทอดทิ้งเราเลย (ฮีบรู 13:5) เราจะไม่มีวันอยู่ตามลำพังในท่ามกลางความทุกข์ ที่จริงแล้วพระองค์ดึงเราให้เข้าใกล้โดยผ่านความทุกข์ (ดูสดุดี 73:21-28)
(3) คริสเตียนต้องมั่นใจว่าความทุกข์ใดที่ผ่านเข้ามาในชีวิตมาจากพระหัตถ์แห่ง ความรักของพระเจ้าที่มีต่อพวกเขา เพื่อให้เกิดผลดี และเพื่อพระสิริของพระองค์ :
เรารู้ว่า พระเจ้าทรงช่วยคนที่รักพระองค์ให้เกิดผลอันดีในทุกสิ่ง คือคนทั้งปวงที่พระองค์ได้ทรงเรียกตามพระประสงค์ของพระองค์ เพราะว่าผู้หนึ่งผู้ใดที่พระองค์ได้ทรงทราบอยู่แล้ว ผู้นั้นพระองค์ได้ทรงตั้งไว้ให้เป็นตามลักษณะพระฉาย แห่งพระบุตรของพระองค์ เพื่อพระบุตรนั้นจะได้เป็นบุตรหัวปีท่ามกลางพวกพี่น้องเป็นอันมาก และบรรดาผู้ที่พระองค์ได้ทรงตั้งไว้นั้น พระองค์ได้ทรงเรียกมาด้วย และผู้ที่พระองค์ได้ทรงเรียกมานั้น พระองค์ทรงโปรดให้เป็นผู้ชอบธรรม และผู้ที่พระองค์ทรงโปรดให้เป็นผู้ชอบธรรม พระองค์ก็ทรงโปรดให้มีศักดิ์ศรีด้วย (โรม 8:28-30)
(4) เราสามารถเผชิญความทุกข์อย่างผู้มีชัยชนะ โดยรับรู้ความจริงว่าพระคริสต์ พระผู้ช่วยให้รอดของเรา ได้ทนทุกข์เพื่อเรา เพื่อให้เราได้รับชีวิตนิรันดร์:
ถ้าเช่นนั้นเราจะว่าอย่างไร ถ้าพระเจ้าทรงอยู่ฝ่ายเรา ใครจะขัดขวางเรา พระองค์ผู้มิได้ทรงหวงพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ แต่ได้ทรงโปรดประทานพระบุตรนั้นเพื่อประโยชน์แก่เรา ถ้าเช่นนั้นพระองค์จะไม่ทรงโปรดประทานสิ่งสารพัดให้เราทั้งหลาย ด้วยกันกับพระบุตรนั้นหรือ ใครจะฟ้องคนเหล่านั้นที่พระเจ้าได้ทรงเลือกไว้ พระเจ้าทรงโปรดให้พ้นโทษแล้ว ใครเล่าจะเป็นผู้ปรับโทษอีก พระเยซูคริสต์น่ะหรือ ผู้ทรงสิ้นพระชนม์แล้ว และยิ่งกว่านั้นอีกได้ทรงถูกชุบให้เป็นขึ้นมาจากความตาย ทรงสถิต ณ เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า และทรงอธิษฐานขอเพื่อเราทั้งหลายด้วย แล้วใครจะให้เราทั้งหลายขาดจากความรักของพระคริสต์ได้เล่า จะเป็นความทุกข์ หรือความยากลำบาก หรือการเคี่ยวเข็ญ หรือการกันดารอาหาร หรือการเปลือยกาย หรือการถูกโพยภัย หรือการถูกคมดาบหรือ ตามที่เขียนไว้ในพระคัมภีร์ว่า เพราะเห็นแก่พระองค์ ข้าพระองค์จึงถูกประหารวันยังค่ำ และนับว่าเป็นแกะสำหรับจะเอาไปฆ่า แต่ ว่าในเหตุการณ์ทั้งปวงเหล่านี้ เรามีชัยเหลือล้นโดยพระองค์ผู้ได้ทรงรักเราทั้งหลาย เพราะข้าพเจ้าเชื่อมั่นว่า แม้ความตาย หรือชีวิต หรือบรรดาทูตสวรรค์ หรือเทพเจ้า หรือสิ่งซึ่งมีอยู่ในปัจจุบันนี้ หรือสิ่งซึ่งจะมีในภายหน้า หรือฤทธิ์เดชทั้งหลาย หรือซึ่งสูง หรือซึ่งลึก หรือสิ่งใดๆอื่นที่ได้ทรงสร้างแล้วนั้น จะไม่สามารถกระทำให้เราทั้งหลายขาดจากความรักของพระเจ้า ซึ่งมีอยู่ในพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเราได้ (โรม 8:31-39)
สรรเสริญพระเจ้าที่เรามีพระบิดา ที่รักเรา และทรงครอบครองอยู่ ผู้อนุญาตให้เราผ่านความทุกข์เพื่อผลดีของเรา และเพื่อพระสิริของพระองค์ !
โดย : Robert L (Bob) Deffinbaugh
ได้รับอนุญาตและเป็นลิขสิทธิของ https://bible.org/
แปล : อรอวล ระงับภัย (Church of Joy)
1 บทเรียนต่อเนื่องบทนี้ปรับจากต้นฉบับเดิมของพระกิตติคุณมัทธิวบทเรียนที่ 3 จัดทำโดย อ. Robert L. Deffinbaugh วันที่ 2 มีนาคม 2003
2 ผมเพิ่มพระวจนะข้อ 3-15 เพื่อให้ง่ายต่อการดูบริบท
3 นอกจากที่กล่าวไปแล้ว พระวจนะที่นำมาอ้างอิงทั้งหมดมาจาก NET Bible (The NEW ENGLISH TRANSLATION) เป็น ฉบับแปลใหม่ทั้งหมด ไม่ใช่นำฉบับเก่าในภาษาอังกฤษมาเรียบเรียงใหม่ ใช้ผู้เชี่ยวชาญและนักวิชาการพระคัมภีร์มากกว่า ยี่สิบคน รวบรวมข้อมูล ทั้งจากภาษาฮีบรูโดยตรง ภาษาอาราเมข และภาษากรีก โครงการแปลนี้เริ่มมาจากที่เราต้องการนำ พระคัมภีร์ เผยแพร่ผ่านสื่ออีเลคโทรนิค เพื่อรองรับการใช้งานทางอินเตอร์เน็ท และซีดี (compact disk) ที่ใดก็ตามในโลก ที่ต่อเข้าอินเตอร์เน็ทได้ ก็สามารถเรียกดู และพริ้นทข้อมูลไว้เพื่อใช้ศึกษาเป็นการส่วนตัวได้โดยไม่คิดมูลค่า นอกจากนี้ ผู้ใดก็ตาม ที่ต้องการนำข้อมูลเกี่ยวกับพระคัมภีร์ไปเผยแพร่ต่อโดยไม่คิดเงิน สามารถทำได้จากเว็บไซด์ : www.netbible.org.
4 ผมมีประสบการณ์ในประเทศอินเดียที่ช่วยให้เข้าใจว่าทำไมหลายคนมองคนตาบอดว่า ไร้สมรรถภาพ ตอนเข้าประเทศอินเดียพร้อมกับเพื่อนตาบอดอีกคน เคร็ก เนลสัน เราถูกเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองสอบถาม เมื่อเห็นว่าเพื่อนของผมพิการ เขาหันมาที่ผมแทน ถามว่า “เขาป่วยเหรอ?” เพื่อนผมตอบว่า “ผมไม่ได้ป่วย ผมแค่มองไม่เห็น” พอได้ยิน เจ้าหน้าที่คนนั้นไม่ยอมพูดกับเพื่อนผมเลย พูดกับผมแทน เหมือนกับเพื่อนผมไม่มีตัวตน จึงไม่น่าประหลาดใจที่ขอทานพิการนอกพระวิหาร (กิจการ 3) เรียกร้องอยากได้บางสิ่งเมื่อเขารู้สึกว่าเปโตรและยอห์นมองมา
5 ชายคนนี้ตาบอดมาตั้งแต่เกิด ดังนั้นเรื่องทำบาปคงเป็นไปได้ยาก แต่กลับต้องรู้สึกว่าที่ตาบอดเป็นเพราะพระเจ้าลงโทษ
6 ดูลูกา 4:18-19
7 ดูตัวอย่างที่พระเยซูรักษาชายพิการที่สระเบธซาธา พระองค์กลับไปพบเขาที่พระวิหาร ตรัสสั่งว่า “นี่แน่ะ เจ้าหายโรคแล้ว อย่าทำบาปอีก มิฉะนั้นเหตุร้ายกว่านั้นจะเกิดกับเจ้า” (ยอห์น 5:14)
8 โยเซฟแกล้งทำเป็นดุดัน (ปฐมกาล 42:7) เพราะเขาแอบไปร้องไห้เมื่ออยู่ลำพัง (42:24; 43:30)
9 ใน 2โครินธ์ 1:3-7 ด้วยที่ อ.เปาโลสอนว่าการเล้าโลมใจที่เราได้รับเมื่อผจญความทุกข์ทำให้เราสามารถไป เล้าโลมใจผู้อื่นในยามที่พวกเขาทุกข์ได้
10 อย่าลืมว่าความตายของพวกปุโรหิตอาจเกี่ยวข้องกับคำแช่งสาปของเอลีใน 1 ซามูเอล 2:27-36
11 ในปฐมกาล อับราฮัมคัดค้านพระเจ้าแทนผู้ชอบธรรม ในโยนาห์ พระเจ้าทรงปกป้อง “พวกไร้เดียงสา” เช่นเด็กๆและสัตว์เลี้ยง
12 ดูอพยพ 34:6 เนหะมีย์ 9:17, 31; สดุดี 103.8; 111:14; 112:4; 116:5
13 สิ่งหนึ่งที่พวกคิดว่าตนเองชอบธรรมเกลียดชังคือพระคุณ
14 ผู้อ่านอาจจะสังเกตว่าผมใช้คำว่า “ไร้เดียงสา” แทนคำว่าผู้ชอบธรรมตามที่อับราฮัมใช้ในปฐมกาล 18:23 เพราะสถานการณ์นี้แตกต่างจากสถานการณ์ในโสดมโกโมราห์ แต่ก็มีส่วนคล้าย
15 จาก Walvoord, J. F. Zuck, R. B., & Dallas Theological Seminary. 1983-c1985. The Bible Knowledge Commentary: An Exposition of the Scriptures. Victor Books: Wheaton, IL. Emphasis mine.
16 Ibid.
17 Ibid.
18 ข้อสรุปนี้ใกล้เคียงกับที่ผมเข้าใจว่าทารกที่ตายจะได้ไปสวรรค์ มุมมองที่ผมพูดไว้อย่างละเอียดในบทเรียน 2ซามูเอล 12
หลายปีมาแล้วผมและภรรยานั่งดูรายการโทรทัศน์ถ่ายทอดสดงานประกาศของบิลลี่ เกรแฮมในดัลลัส เท็กซัส มีเพลงร้องนำเพราะๆจากไมเคิล ดับเบิ้ลยู สมิท และวงดนตรีไกเธอร์ โวคัล แบนด์ พอถึงเวลาบิลลี่ เกรแฮมต้องขึ้นพูด ผู้ที่ขึ้นไปกล่าวแนะนำคืออดีตประธานาธิบดีจอร์จ บุช (คนพ่อ) บุชพูดถึงบิลลี่ได้อย่างน่าฟัง พูดถึงความสัตย์ซื่อของท่านในการประกาศข่าวประเสริฐ รวมถึงคำเทศนาที่ท่านเคยเทศน์ให้อดีตประธานาธิบดีคนก่อนๆและครอบครัวฟังมา หลายปี
ถ้าพระเยซูจะไปเทศนาที่สนามฟุตบอลในดัลลัส เท็กซัส คุณว่าใครควรเป็นคนขึ้นไปกล่าวแนะนำพระองค์? ผมแน่ใจว่าคนแรกคงไม่ใช่ยอห์นผู้ให้บัพติศมาแน่ ที่จริงผมว่าคงไม่มีการนำเสนอชื่อท่านด้วยซ้ำ แต่เราพูดได้ว่าภารกิจในชีวิตของยอห์นคือแนะนำพระเยซูคริสต์ว่าคือพระเม สซิยาห์ตามพระสัญญา ความหวังใจของคนทุกยุคสมัย แต่ใครจะไปคิดว่าพระเจ้าจะเลือกคนอย่างยอห์นผู้ให้บัพติศมาทำภารกิจนี้? ถ้าจะพูดว่ายอห์นนั้นมี “เอกลักษณ์” เฉพาะตัว ก็เป็นการประเมินที่ต่ำไป ท่านเป็นเหมือน “คนป่า” ในถิ่นทุรกันดาร เป็นชายที่ตั้งแต่เด็กไปใช้ชีวิตอยู่ “ในถิ่นทุรกันดาร จนถึงวันที่ท่านจะได้มาปรากฏแก่ชนชาติอิสราเอล” (ลูกา 1:80)2 สวมเสื่อผ้าที่ทำด้วยขนอูฐ อาหารคือจั๊กจั่นและน้ำผึ้งป่า (มัทธิว 3:4) คำพูดของท่านไม่ได้รับการขัดเกลา ทื่อและตรงเป้า แทนที่จะต้อนรับทุกคนที่มาหา ท่านกลับใช้ถ้อยคำโจมตีบางคนด้วยซ้ำ และนี่คือชายที่พระเจ้าเลือกสรรไว้ให้แนะนำพระบุตรของพระองค์ พระเมสซิยาห์
ไม่ว่าใครจะคิดอย่างไรเกี่ยวกับยอห์น ไม่มีใครกล้าปฏิเสธความสำเร็จของท่าน นอกจากความเป็นตัวตนของท่านแล้ว ยอห์นดึงดูดฝูงชนมากมาย สิ่งที่ท่านประกาศสร้างผลกระทบยิ่งใหญ่ให้กับผู้คนมากมาย เหมือนกับที่ทูตสวรรค์ได้บอกกับเศคาริยาห์บิดาของท่านทุกประการ:
แต่ทูตองค์นั้นกล่าวแก่ท่านว่า “เศคาริยาห์เอ๋ย อย่ากลัวเลย ด้วยได้ทรงฟังคำอธิษฐานของท่านแล้ว นางเอลีซาเบธ ภรรยาของท่านจะมีบุตรเป็นผู้ชาย และท่านจงตั้งชื่อบุตรนั้นว่ายอห์น ท่านจะมีความปรีดาและยินดี และคนเป็นอันมากจะเปรมปรีดิ์ที่บุตรนั้นบังเกิดมา เพราะว่าเขาจะเป็นใหญ่จำเพาะพระเจ้า เขาจะไม่กินน้ำองุ่นหมักและเหล้าเลย และจะประกอบไปด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ตั้งแต่ครรภ์มารดา เขาจะนำพงศ์พันธุ์อิสราเอล หลายคนให้หันกลับมาหาพระเจ้าของเขาทั้งหลาย เขาจะนำหน้าพระองค์โดยน้ำใจและ ฤทธิ์เดชของเอลียาห์ ให้พ่อกลับคืนดีกับลูก และคนดื้อด้านให้กลับได้ปัญญา ของคนชอบธรรม เพื่อจัดเตรียมชนชาติหนึ่งไว้ให้สมแก่พระเจ้า” (ลูกา 1:13-17)
ความยิ่งใหญ่ของยอห์นไม่อาจปฏิเสธได้ หนังสือพระกิตติคุณทั้งสี่เล่มต่างก็บันทึกเรื่องพันธกิจของพระเยซูคริสต์ โดยมีถ้อยคำของยอห์นนำร่อง พระเยซูคริสต์เองยังตรัสยกย่องท่าน:
“เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ในบรรดาคนซึ่งเกิดจากผู้หญิงมานั้น ไม่มีผู้ใดใหญ่กว่ายอห์นผู้ให้รับบัพติศมา แต่ว่าผู้ที่ต่ำต้อยที่สุดในแผ่นดินสวรรค์ก็ยังใหญ่กว่ายอห์นเสียอีก“ (มัทธิว 11:11)
ผู้ชายทุกคนเหมือนกับเฮโรด ไม่ค่อยกล้ายุ่งกับยอห์น ในอีกแง่ เฮโรดอาจกลัวฝูงชน เพราะพวกเขานับถือท่าน (มัทธิว 14:5) แต่ในอีกแง่ เฮโรดเองก็ยำเกรงยอห์น (มาระโก 6:20) ภาพลักษณ์ของยอห์นอาจดูไม่โดดเด่น แถมยังเป็นนักพูดที่ไม่ได้โด่งดัง แต่ที่แน่ๆท่านดึงดูดฝูงชนจำนวนมาก หลายคนทำตามที่ท่านสอน แม้ไม่ได้เดินทางไปไหนไกล แต่เรารู้ว่ามีผู้มาติดตามท่านจากที่ไกลเช่นจากยูเดีย และเอเฟซัส:
มียิวคนหนึ่งชื่ออปอลโล เกิดในเมืองอเล็กซานเดรีย เป็นคนมีโวหารดี และชำนาญมากในทางพระคัมภีร์ ท่านมายังเมืองเอเฟซัส อปอลโลคนนี้ได้รับการอบรมในทางขององค์พระผู้เป็นเจ้า และมีใจร้อนรนกล่าวสั่งสอนอย่างถูกต้องถึงเรื่องพระเยซู ถึงแม้ท่านรู้แต่เพียงบัพติศมาของยอห์นเท่านั้น (ยอห์น 26) ท่านได้เข้าไปในธรรมศาลาสั่งสอนโดยใจกล้า แต่เมื่อปริสสิลลากับอาควิลลาได้ฟังท่านแล้ว เขาจึงรับท่านมาสั่งสอนให้รู้ทางของพระเจ้าให้ถูกต้องยิ่งขึ้น (กิจการ 18:24-26)
ขณะที่อปอลโลยังอยู่ในเมืองโครินธ์ เปาโลได้ไปตามที่ดอน แล้วมายังเมืองเอเฟซัส ท่านพบสาวกบางคนที่นั่น จึงถามเขาว่า “เมื่อท่านทั้งหลายเชื่อนั้น ท่านได้รับพระวิญญาณบริสุทธิ์หรือเปล่า” เขาตอบว่า “เปล่า เรื่องพระวิญญาณบริสุทธิ์นั้นเราก็ยังไม่เคยได้ยินเลย” เปาโลจึงถามเขาว่า “ถ้าอย่างนั้นท่านได้รับบัพติศมาอันใดเล่า” เขาตอบว่า “บัพติศมาของยอห์น” เปาโลจึงว่า “ยอห์นให้รับบัพติศมาสำแดงถึงการกลับใจใหม่ แล้วบอกคนทั้งปวงให้เชื่อในพระองค์ผู้จะเสด็จมาภายหลังคือพระเยซู” เมื่อเขาได้ยินอย่างนั้น เขาจึงรับบัพติศมาในพระนามของพระเยซูเจ้า เมื่อเปาโลได้วางมือบนเขาแล้ว พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็เสด็จลงมาบนเขา เขาจึงพูดภาษาแปลกๆและได้ทำนายด้วย คนเหล่านั้นมีประมาณสิบสองคน (กิจการ 19:1-7)
ในฐานะผู้เผยพระวจนะ ยอห์นผู้ให้บัพติศมาเป็นสิ่งแปลกใหม่ในอิสราเอลยุคนั้น เพราะผ่านมาเกือบ 400 ปีที่พระเจ้าไม่ได้ตรัสผ่านผู้เผยพระวจนะ (ดูอิสยาห์ 29:10) แล้วจู่ๆจากถิ่นทุรกันดารในยูเดียก็มีเสียงป่าวร้องขึ้นมา “จงกลับใจเสียใหม่ เพราะว่าแผ่นดินสวรรค์มาใกล้แล้ว” (มัทธิว 3:2) ผู้คนต่างก็แห่ไปที่ถิ่นทุรกันดาร ไปดูและไปฟังท่าน บางคนไปเพราะอยากรู้อยากเห็น ขณะที่บางคนไปเพราะต้องการกลับใจ สารภาพบาป และรับบัพติศมา คนอื่นๆ (เช่นพวกสะดูสิ และฟาริสี มัทธิว 3:7) อาจไปเพราะไปหาแนวร่วมมาต่อต้าน
บทเรียนนี้จะมุ่งไปที่ยอห์นผู้ให้บัพติศมา พันธกิจของท่าน ข่าวที่ท่านประกาศและวิธีการ ในขณะที่ผู้เขียนพระกิตติคุณแต่ละเล่มเน้นความสำคัญและให้มุมมองที่ต่างกัน ผมตั้งใจให้บทเรียนบทนี้เกี่ยวข้องกับยอห์นผู้ให้บัพติศมาตามมุมองของมัทธิว
เราควรเริ่มจากตั้งข้อสังเกตในตัวของท่านยอห์นผู้ให้บัพติศมา
(1) ยอห์นผู้ให้บัพติศมาเป็นบุคคลที่มีเอกลักษณ์ ที่แน่ๆ เป็นคนที่โดดเด่นท่ามกลางฝูงชน เป็นพระประสงค์ของพระเจ้าที่ไม่ต้องการให้ท่านแปดเปื้อนจากวงการศาสนาที่ เสื่อม ลงในยุคนั้น ท่านเป็นชาวนาซาเร็ธโดยกำเนิด และประกอบด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ตั้งแต่ครรภ์มารดา (ลูกา 1:15) และตามที่กล่าวไปแล้วเสื้อผ้าและอาหารของท่าน “ตกขอบ” อีกต่างหาก ตั้งแต่เป็นเด็กท่านออกไปอยู่ในทะเลทราย ในถิ่นทุรกันดารของแคว้นยูเดีย แม้จะเกิดในครอบครัวปุโรหิต ท่านไม่ได้ใช้ชื่อตามหรือรับหน้าที่ต่อจากบิดา (ลูกา 1:59-63, 80) และแม้ยอห์นเป็นผู้เผยพระวจนะ ท่านก็ไม่ได้ทำการอัศจรรย์หรือหมายสำคัญใดๆ:
คนเป็นอันมากพากันมาหาพระองค์ กล่าวว่า “ยอห์นมิได้ทำหมายสำคัญใดๆเลย แต่ทุกสิ่งซึ่งยอห์นได้กล่าวถึงท่านผู้นี้เป็นความจริง” (ยอห์น 10:41)
มันยากที่ผมจะจินตนาการ แต่ยอห์นไม่ได้รู้จักพระเยซูว่าเป็นพระเมสซิยาห์ตามพระสัญญา จนกระทั่งได้ให้บัพติศมาพระองค์ :
วันรุ่งขึ้นยอห์นเห็นพระเยซูกำลังเสด็จมา ทางท่าน ท่านจึงกล่าวว่า “จงดูพระเมษโปดกของพระเจ้า ผู้ทรงรับความผิดบาปของโลกไปเสีย พระองค์นี้แหละที่ข้าพเจ้าได้กล่าวว่า ‘ภายหลังข้าพเจ้า จะมีผู้หนึ่งเสด็จมาเป็นใหญ่กว่าข้าพเจ้า เพราะว่าพระองค์ทรงดำรงอยู่ก่อนข้าพเจ้า’ ข้าพเจ้าเองก็ไม่ได้รู้จักพระองค์ แต่เพื่อให้พระองค์ทรงเป็นที่ประจักษ์แก่พวกอิสราเอล ข้าพเจ้าจึงได้มาให้บัพติศมาด้วยน้ำ” และยอห์นกล่าวเป็นพยานว่า “ข้าพเจ้าเห็นพระวิญญาณเหมือนดังนกพิราบ เสด็จลงมาจากสวรรค์และทรงสถิตบนพระองค์ ข้าพเจ้าเองไม่รู้จักพระองค์ แต่พระองค์ทรงใช้ให้ข้าพเจ้าให้บัพติศมาด้วยน้ำ ได้ตรัสกับข้าพเจ้าว่า ‘เมื่อเจ้าเห็นพระวิญญาณเสด็จลงมาสถิตอยู่บนผู้ใด ผู้นั้นแหละเป็นผู้ให้บัพติศมาด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์’ และข้าพเจ้าก็ได้เห็นแล้วและได้เป็นพยานว่า พระองค์นี้แหละเป็นพระบุตรของพระเจ้า” (ยอห์น 1:29-34)3
(2) มัทธิว (และผู้เขียนพระกิตติคุณเล่มอื่นๆ) ระมัดระวังในการเชื่อมโยงยอห์นเข้ากับพระคัมภีร์เดิม ในพระกิตติคุณสี่เล่ม แต่ละเล่มยอห์นคือผู้ที่เป็น “เสียงหนึ่งร้องว่า” (อิสยาห์ 40):
เสียงหนึ่งร้องว่า
“จงเตรียมมรรคาแห่งพระเจ้าในถิ่นทุรกันดาร”
“จงทำทางหลวงสำหรับพระเจ้าของเรา” (อิสยาห์ 40:3) ที่นำมาใช้ในมัทธิว 3:3 ดูมาระโก 1:3 ด้วย
ลูกา 3:4-6; ยอห์น 1:23
เจาะลงไป เราจะเห็นมัทธิวโยงยอห์นเข้ากับเอลียาห์4 โดยเฉพาะลักษณะของท่าน ใน 2พงศ์กษัตริย์ 1 อาหัสยาห์โอรสอาหับ ตกลงมาจากช่องพระแกลตาข่ายและบาดเจ็บ อยากรู้ว่าตัวเองจะหายมั้ย จึงส่งผู้สื่อสารไปสอบถามบาอัลเซบุบ เอลียาห์เข้ามาขวางผู้สื่อสารนี้ ส่งพวกเขากลับไปหาอาหัสยาห์พร้อมคำตำหนิ ลองดูท่าทีตอบสนองของอาหัสยาห์เมื่อผู้สื่อสารกลับมา:
ผู้สื่อสารนั้นก็กลับมาเฝ้าพระราชา พระองค์ตรัสถามเขาทั้งหลายว่า “ทำไมพวกเจ้าจึงพากันกลับมา” และเขาทั้งหลายทูลพระองค์ว่า “มีชายคนหนึ่งมาพบกับพวกข้าพระบาท และพูดกับพวกข้าพระบาทว่า ‘จงกลับไปหาพระราชาผู้ใช้ท่านมา และทูลพระองค์ว่า พระเจ้าตรัสดังนี้ว่า เพราะไม่มีพระเจ้าในอิสราเอลแล้วหรือ เจ้าจึงใช้คนไปถามพระบาอัลเซบูบพระเจ้าแห่งเอโครน เพราะฉะนั้นเจ้าจะไม่ได้ลงมาจากที่นอนซึ่งเจ้าได้ขึ้นไปนั้น แต่เจ้าจะต้องตายแน่’” พระองค์ตรัสถามเขาทั้งหลายว่า “คนที่ได้มาพบเจ้าและบอกสิ่ง เหล่านี้แก่เจ้านั้นเป็นคนในลักษณะใด” เขาทั้งหลายทูลตอบพระองค์ว่า “ท่านสวมเสื้อขนและมีหนังคาดเอวของท่านไว้” และพระองค์ตรัสว่า “เป็นเอลียาห์ชาวทิชบี”(2พงศ์กษัตริย์ 1:5-8)
ทำไมถึงเอลียาห์? คำตอบแรก และตรงที่สุดคือสิ่งที่มาลาคีพยากรณ์ไว้ (3:1; 4:5) เอลียาห์ เช่นเดียวกับยอห์น เหมือนคนป่าในถิ่นทุรกันดาร อยู่ไม่เป็นที่ อาศัยห่างไกลจากสังคม แต่เอลียาห์เป็นผู้เผยพระวจนะในอาณาจักรเหนือ ไม่ใช่ในยูดาห์ ซึ่งตามข้อเท็จจริงผมเชื่อว่าสิ่งนี้มีความหมาย เอลียาห์ทำพันธกิจในยุคที่ “พวกเสเแสร้ง” อย่างกษัตริย์อาหับครองบัลลังก์ ผู้ที่ไม่สมควรนั่งบนบัลลังก์ของดาวิด พอยุคของยอห์น “พวกเสแสร้ง” คือเฮโรด เป็นลูกครึ่ง (เทียบกับเฉลยธรรมบัญญัติ 17:15) เมื่อภรรยาที่ชั่วร้ายของอาหับ เยเซเบล (ธิดาของกษัตริย์ไซดอนผู้ไหว้รูปเคารพ) หาทางฆ่าเอลียาห์ เฮโรเดียส ภรรยาที่ชั่วร้ายและใจคดของเฮโรดก็เช่นกัน หาทางฆ่ายอห์นด้วย (มัทธิว 14:1-2) อาธาลิยาห์ ธิดาของอาหับกับเยเซเบล เป็นหญิงที่ชั่วร้ายแต่งงานกับเยโฮรัมกษัตริย์แห่งยูดาห์ (2พงศ์กษัตริย์ 8:16-19, 26) ยิ่งทำให้เสื่อมลงไปใหญ่ ลูกสาวของเฮโรเดียสก็ไม่ต่างกัน มีส่วนทำให้เฮโรดตกต่ำและสังหารชีวิตของยอห์นผู้ให้บัพติศมา (มัทธิว 14:1-12) เมื่อเอลียาห์มาต่อต้านกษัตริย์และราชินีแห่งอิสราเอล ยอห์นผู้ให้บัพติศมาก็ไปเผชิญหน้ากับกษัตริย์เฮโรดและภรรยานางเฮโรเดียส
เอลียาห์เรียกร้องให้อาณาจักรเหนือกลับใจและหันเสียจากบาปล่วงประเวณีที่ หันไปนมัสการพระของคนต่างชาติ ยอห์นผู้ให้บัพติศมาเรียกร้องให้ชาวยิวในยูดาห์สำนึกบาปและกลับใจ เพราะทำให้ศาสนาเที่ยงแท้เสื่อมตามไปด้วย ตามที่เอเสเคียล 16 กล่าวไว้ เยรูซาเล็มและยูดาห์ทำบาปที่ร้ายแรงกว่าที่อิสราเอลละทิ้งศาสนา ยูดาห์แพศยากว่าอิสราเอลถึงสองเท่า จึงต้องรับพระอาชญาที่หนักกว่า
ขณะที่เอลียาห์เข้าใจว่าตนเองทำพันธกิจไม่สำเร็จ (1พงศ์กษัตริย์ 19) ยอห์นผู้ให้บัพติศมาก็ด้วย ท่านถามเพราะสงสัยว่าพระเยซูคือพระเมสซิยาห์หรือเปล่า (มัทธิว 11:2) ในกรณีของเอลียาห์ พันธกิจของท่านสำเร็จลงเมื่อไปเจิมตั้งฮาซาเอลเป็นกษัตริย์เหนือซีเรีย และเยฮูเป็นกษัตริย์เหนืออิสราเอล (1พงศ์กษัตริย์ 19:15-16) นอกจากนั้น เอลียาห์เลือกเอลีชามารับหน้าที่ต่อจากท่าน (1พงศ์กษัตริย์ 19:16) เอลีชาสำหรับเอลียาห์เหมือนกับพระเยซูสำหรับยอห์นผู้ให้บัพติศมา จึงไม่น่าประหลาดขณะที่พระเจ้าเรียกยอห์นให้มาประกาศถึงการเสด็จมาของ กษัตริย์เที่ยงแท้แห่งอิสราเอล ท่านก็จะมาประณามกษัตริย์จอมปลอม (เฮโรด) ที่กำลังนั่งครองบัลลังก์
(3) พันธกิจของยอห์นตามที่มัทธิวบันทึก บรรยายถึงความพิเศษและเอกลักษณ์ที่โดดเด่นของท่าน และอย่างที่คาด พระกิตติคุณทุกเล่มพูดถึงพันธกิจของยอห์นผู้ให้บัพติศมาในแง่มุมที่คล้ายกัน แต่เน้นบางมุมที่แตกต่าง มาระโกไม่มีแง่ลบสำหรับคนที่เข้ามาขอรับบัพติศมา ส่วนลูกา ยอห์นเจาะไปที่ฝูงชนที่เข้ามาหา เตือนคนที่คิดว่าตัวเองเป็นลูกหลานอับราฮัม และพูดถึงตัวอย่าง “ผลของการกลับใจ” คนที่มีเสื้อหรือมีอาหารพอให้แบ่งปันให้คนที่ไม่มี (ลูกา 3:11)5 คนเก็บภาษีก็ไม่ควรเก็บเกินพิกัด (3:12-13) ฝ่ายทหารอย่ากรรโชก อย่าใส่ความเพื่อเอาเงิน ควรพอใจในค่าจ้างของตน (3:14)
พระกิตติคุณมัทธิวเน้นในแง่มุมที่ต่างไปเมื่อพูดถึงฝูงชนที่เข้ามาหายอห์น :
ครั้นยอห์นเห็นพวกฟาริสี และพวกสะดูสีพากันมาเป็นอันมาก เพื่อจะรับบัพติศมา ท่านจึงกล่าวแก่เขาว่า “เจ้าชาติงูร้าย ใครได้เตือนเจ้าให้หนีจากพระอาชญาซึ่งจะมาถึงนั้น เหตุฉะนั้นจงพิสูจน์การกลับใจของเจ้าด้วยผลที่เกิดขึ้น อย่านึกเหมาเอาในใจว่าตัวมีอับราฮัมเป็นบิดา เพราะเราบอกเจ้าทั้งหลายว่า พระเจ้าทรงฤทธิ์อาจจะให้บุตรเกิดขึ้นแก่อับราฮัมจากก้อนหินเหล่านี้ได้ บัดนี้ขวานวางไว้ที่โคนต้นไม้แล้ว และทุกต้นที่ไม่เกิดผลดีจะต้องตัดแล้วโยนทิ้งในกองไฟ เราให้เจ้าทั้งหลายรับบัพติศมาด้วยน้ำ แสดงว่ากลับใจใหม่ก็จริง แต่พระองค์ผู้จะมาภายหลังเรา ทรงมีอิทธิฤทธิ์ยิ่งกว่าเราอีก ซึ่งเราไม่คู่ควรแม้จะถอดฉลองพระบาทของพระองค์ พระองค์จะทรงให้เจ้าทั้งหลาย รับบัพติศมาด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์และด้วยไฟ พระหัตถ์ของพระองค์ถือพลั่วพร้อมแล้ว และจะทรงชำระลานข้าวของพระองค์ให้ทั่ว พระองค์จะทรงเก็บข้าวของพระองค์ไว้ในยุ้งฉาง แต่พระองค์จะทรงเผาแกลบด้วยไฟที่ไม่รู้ดับ” (มัทธิว 3:7-12)
พระกิตติคุณมัทธิวเน้นไปที่บุคคลกลุ่มหนึ่งที่มาตามเฝ้าดูยอห์น ท่านเอ่ยชื่อให้ผู้อ่านรู้ด้วย “พวกฟาริสี และพวกสะดูสี” ซึ่งไม่ได้มารับบัพติศมา แต่มาเรื่องที่ยอห์นให้บัพติศมา บางฉบับเลือกที่จะแปลทำนองว่าผู้นำศาสนาเหล่านี้มาเพื่อขอรับบัพติศมา แต่ในลูกาเขียนไว้ชัดเจนว่าพวกสะดูสีและพวกฟาริสีเหล่านี้กลับไปโดยไม่ได้ รับบัพติศมา :
เมื่อผู้สื่อข่าวทั้งสองของยอห์นไปแล้ว พระองค์จึงตรัสกับประชาชนถึงยอห์นว่า “ท่านทั้งหลายได้ออกไปในถิ่นทุรกันดารเพื่อดูอะไร มิใช่ดูต้นอ้อไหวโดยถูกลมพัดนะ ถ้าอย่างนั้นท่านทั้งหลายได้ไปดูอะไร ดูคนนุ่งห่มผ้าเนื้ออ่อนนิ่มหรือ ดูเถิด คนนุ่งห่มผ้างดงามและอยู่อย่างฟุ่มเฟือยย่อมอยู่ในราชสำนัก แต่ท่านทั้งหลายออกไปดูอะไร ดูผู้เผยพระวจนะหรือ แน่ทีเดียว และเราบอกท่านว่า ท่านนั้นเป็นผู้ประเสริฐยิ่งกว่าผู้เผยพระวจนะเสียอีก คือยอห์นนี้แหละที่พระคัมภีร์กล่าวถึงว่า เราใช้ทูตของเราไปข้างหน้าท่าน ผู้นั้นจะเตรียมมรรคาของท่านไว้ข้างหน้าท่าน เราบอกท่านทั้งหลายว่า ในบรรดาคนที่บังเกิดจากผู้หญิงมานั้น ไม่มีผู้ใดใหญ่กว่ายอห์น แต่ว่าผู้ที่ต่ำต้อยที่สุดในแผ่นดินของพระเจ้าก็ใหญ่กว่ายอห์นเสียอีก” (ฝ่ายคนทั้งปวงเมื่อได้ยินรวมทั้งพวกเก็บภาษีด้วยก็ได้รับว่าพระเจ้า ยุติธรรม โดยที่เขาได้รับบัพติศมาของยอห์นแล้ว แต่พวกฟาริสีและพวกบาเรียนไม่ยอมรับพระประสงค์ของพระเจ้าสำหรับเขา โดยที่มิได้รับบัพติศมาจากยอห์น) (ลูกา 7:24-30)
มัทธิวเป็นคนยิวและเขียนหนังสือเล่มนี้ให้ผู้อ่านชาวยิว ท่านชี้ให้เห็นความจริงว่าผู้นำชาวยิวถูกยอห์นผู้ให้บัพติศมากล่าวตำหนิ อย่างรุนแรง ยอห์นไม่ยอมรับว่าคนพวกนี้กลับใจจริง เป็นพวกหน้าซื่อใจคด เราเห็นว่าพวกผู้นำศาสนาในเยรูซาเล็มไม่ได้ใส่ใจถึงการมาบังเกิดของพระเม สซิยาห์ในเบธเลเฮม (มัทธิว 2:1-6) เราทราบว่ายอห์นผู้ให้บัพติศมาตำหนิผู้นำศาสนาชาวยิวที่มาเพราะสงสัยหรือ อยากรู้อยากเห็น มัทธิวจึงเหมือนปูทางให้เราสำหรับถ้อยคำตักเตือนจากพระเยซูคริสต์ :
“เพราะเราบอกท่านทั้งหลายว่า ถ้าความชอบธรรมของท่าน ไม่ยิ่งกว่าความชอบธรรมของพวกธรรมาจารย์ และพวกฟาริสี ท่านจะไม่มีวันได้เข้าสู่แผ่นดินสวรรค์” (มัทธิว 5:20)
เราเหมือนถูกเตรียมเอาไว้รับมือกับการต่อต้านที่รุนแรงของผู้นำชาวยิวที่ จะมีต่อพระเยซูคริสต์ พวกเขาถือว่าพระองค์เป็นศัตรูต่อ “อาณาจักร” ของพวกเขา
(4) ถ้อยคำของยอห์น : “จงกลับใจเสียใหม่ เพราะว่าแผ่นดินสวรรค์มาใกล้แล้ว” (มัทธิว 3:2) เป็นการประกาศว่าแผ่นดินสวรรค์อยู่ใกล้แค่เอื้อม แปลว่ากษัตริย์ใกล้จะมาปรากฏพระองค์ ยอห์นรอบคอบในสิ่งที่ท่านทำเมื่อนำไปเทียบกับพระราชกิจของพระเมสซิยาห์ ท่านเป็นเพียงเสียงที่ร้องอยู่ในถิ่นทุรกันดาร แต่พระเมสซิยาห์นั้นยิ่งใหญ่กว่า ท่านคิดว่าตนเองไม่คู่ควรแม้จะไปถอดฉลองพระบาท (3:11) ยอห์นให้บัพติศมาด้วยน้ำ แต่พระเมสซิยาห์จะให้บัพติศมาในสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่า
การประกาศถึงการเสด็จมาของพระเมสซิยาห์เป็นเหมือนคำเตือน ในพระกิตติคุณมัทธิว การป่าวร้องของยอห์นเหมือนคำเตือนไปถึงผู้นำชาวยิว รวมถึงพวกฟาริสี และบรรดาผู้นำที่เรียกว่าเคร่งศาสนา6 สิ่งที่ยอห์นประกาศเป็นคำเตือนถึงการพิพากษาที่กำลังจะมาถึง:
ครั้นยอห์นเห็นพวกฟาริสี และพวกสะดูสีพากันมาเป็นอันมาก เพื่อจะรับบัพติศมา ท่านจึงกล่าวแก่เขาว่า “เจ้าชาติงูร้าย ใครได้เตือนเจ้าให้หนีจากพระอาชญาซึ่งจะมาถึงนั้น เหตุฉะนั้นจงพิสูจน์การกลับใจของเจ้าด้วยผลที่เกิดขึ้น อย่านึกเหมาเอาในใจว่าตัวมีอับราฮัมเป็นบิดา เพราะเราบอกเจ้าทั้งหลายว่า พระเจ้าทรงฤทธิ์อาจจะให้บุตรเกิดขึ้นแก่อับราฮัมจากก้อนหินเหล่านี้ได้ บัดนี้ขวานวางไว้ที่โคนต้นไม้แล้ว และทุกต้นที่ไม่เกิดผลดีจะต้องตัดแล้วโยนทิ้งในกองไฟ (มัทธิว 3:7-10)
พระเมสซิยาห์เสด็จมาเพื่อ “ช่วยชนชาติของพระองค์ให้รอดจากความผิดบาป” (มัทธิว 1:21) จึงจำเป็นที่ชนชาติของพระองค์ต้องเห็นถึงความบาปของตัวเองก่อน ถ้ามนุษย์ยังอยากดื้อดึงในความบาปของตน การเสด็จมาของพระเมสซิยาห์จึงมาเพื่อพิพากษา ไม่ใช่มาเพื่อช่วยให้รอด
ในความคิดของผม ยอห์นผู้ให้บัพติศมาเช่นเดียวกับผู้เผยพระวจนะส่วนใหญ่ ไม่ได้แยกแยะชัดเจนระหว่างการเสด็จมาของพระเมสซิยาห์ครั้งแรกและครั้งที่สอง เหมือนพวกเขาไม่เข้าใจว่าพระองค์จะเสด็จมาสองครั้ง ครั้งแรกมาตายเพื่อเป็นเครื่องบูชาสมบูรณ์แบบแทนคนบาปทั้งหลาย และครั้งที่สองเพื่อมีชัยเหนือศัตรู และตั้งอาณาจักรของพระองค์ ความจริงสิ่งที่ยอห์นประกาศเน้นไปที่การเสด็จมาครั้งที่สองมากกว่า ซึ่งไม่น่าประหลาดใจสำหรับพวกเรา แต่เป็นความลำบากใจของพวกผู้เผยพระวจนะในพระคัมภีร์เดิม:
บรรดาผู้เผยพระวจนะผู้ได้พยากรณ์ถึงพระ คุณซึ่งจะบังเกิดแก่ท่านทั้งหลาย ก็ได้สืบค้นและสอบถามเกี่ยวกับเรื่องความรอดนี้ เขาได้สืบค้นหาบุคคลและเวลา ซึ่งพระวิญญาณของพระคริสต์ผู้ทรงสถิตอยู่ในตัวเขาได้ทรงบ่งไว้ เมื่อเขาได้ทำนายถึงความทุกข์ทรมานของพระคริสต์ และถึงพระสิริที่จะมาภายหลัง ก็ทรงโปรดเผยให้ผู้เผยพระวจนะเหล่านั้นทราบว่า ที่เขาเหล่านั้นได้ปรนนิบัติในเหตุการณ์ทั้งปวงนั้น ไม่ใช่สำหรับเขาเองแต่สำหรับท่านทั้งหลาย บัดนี้คนเหล่านั้นที่ประกาศข่าวประเสริฐแก่ท่านทั้งหลาย ก็ได้กล่าวสิ่งเหล่านั้นแก่ท่านแล้ว โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่ทรงโปรดประทานจากสวรรค์ เป็นสิ่งซึ่งพวกทูตสวรรค์ปรารถนาจะได้ดู (1เปโตร 1:10-12)
ผมเห็นว่าการเสด็จมาของพระเมสซิยาห์ครั้งแรกและครั้งที่สองที่ดูคลุม เครือนี้อธิบายถึงสิ่งที่ยอห์นสงสัย ซึ่งเราจะเรียนกันต่อไปในมัทธิวบทที่ 11:
ฝ่ายยอห์นเมื่อติดอยู่ในเรือนจำ ได้ยินถึงกิจการแห่งพระคริสต์ก็ได้ใช้ศิษย์ไป ทูลถามพระองค์ว่า “ท่านเป็นผู้ที่จะมานั้นหรือ หรือจะต้องคอยผู้อื่น” (มัทธิว 11:2-3)
พระเยซูทรงทำการอัศจรรย์รักษาโรคหลายครั้ง คนตาบอดมองเห็น คนง่อยเดินได้ บางคนได้รับการชุบให้เป็นขึ้นมาจากความตาย (มัทธิว 11:5) ปัญหาคือการรักษาโรคอย่างอัศจรรย์นี้ไม่ใช่มาเพื่อพิพากษา แต่กลับเป็นการมาช่วยให้รอด ยอห์นเน้นไปที่การพิพากษาของพระเจ้า พระเยซูให้คนกลับไปบอกยอห์นว่าให้ดูการอัศจรรย์ที่พระองค์ทำ และนำไปเปรียบเทียบกับสิ่งที่บรรดาผู้เผยพระวจนะพยากรณ์ว่าพระเมสซิยาห์จะทำ เมื่อเสด็จมา หนึ่งในนั้นอยู่ในลูกาบทที่ 4:
แล้วพระองค์เสด็จมาถึงเมืองนาซาเร็ธ เป็นที่ซึ่งพระองค์ทรงเจริญวัยขึ้น พระองค์เสด็จเข้าไปในธรรมศาลาในวันสะบาโตตามเคย และทรงยืนขึ้นเพื่อจะอ่านพระธรรม เขาจึงส่งพระคัมภีร์อิสยาห์ผู้เผยพระวจนะให้แก่พระองค์ เมื่อพระองค์ทรงคลี่หนังสือนั้นออก ก็ค้นพบข้อที่เขียนไว้ว่า พระวิญญาณแห่งพระเป็นเจ้าทรงอยู่เหนือข้าพเจ้า เพราะว่าพระองค์ได้ทรงเจิมตั้งข้าพเจ้าไว้ เพื่อนำข่าวดีมายังคนยากจน พระองค์ได้ทรงใช้ข้าพเจ้าให้ร้องประกาศอิสรภาพแก่บรรดาเชลย ให้ประกาศแก่คนตาบอดว่าจะได้เห็นอีก ให้ปล่อยผู้ถูกบีบบังคับเป็นอิสระ และให้ประกาศปีแห่งความโปรดปรานของพระเป็นเจ้า (ลูกา 4:16-19)
สิ่งที่ยอห์นประกาศเป็นคนละเรื่องกับพระเยซูหรือ? ไม่ครับ เมื่อพระเยซูเริ่มต้นเทศนา พระองค์ตรัสย้ำสิ่งที่ยอห์นประกาศไว้ :
ตั้งแต่นั้นมา พระเยซูได้ทรงตั้งต้นประกาศว่า “จงกลับใจเสียใหม่ เพราะว่าแผ่นดินสวรรค์มาใกล้แล้ว” (มัทธิว 4:17)
ถ้ามนุษย์จะได้รับความรอด ต้องมีบางสิ่งที่มาช่วยพวกเขาเพื่อให้รอดจากพระอาชญาของพระเจ้าซึ่งจะเทลงมาเหนือคนบาป
เพราะว่าพระเจ้าทรงรักโลก จนได้ทรงประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ เพื่อทุกคนที่วางใจในพระบุตรนั้นจะไม่พินาศ แต่มีชีวิตนิรันดร์ เพราะว่าพระเจ้าทรงให้พระบุตรเข้ามาในโลก มิใช่เพื่อพิพากษาลงโทษโลก แต่เพื่อช่วยกู้โลกให้รอดโดยพระบุตรนั้น ผู้ที่วางใจในพระบุตรก็ไม่ต้องถูกพิพากษาลงโทษ ส่วนผู้ที่มิได้วางใจก็ต้องถูกพิพากษาลงโทษอยู่แล้ว เพราะเขามิได้วางใจในพระนามพระบุตรองค์เดียวของพระเจ้า (ยอห์น 3:16-18)
เพราะเหตุนั้นเมื่อเราเป็นคนชอบธรรมแล้วโดยพระโลหิตของพระองค์ ยิ่งกว่านั้นเราจะพ้นจากพระอาชญาของพระเจ้าโดยพระองค์ (โรม 5:9)
สิ่งที่ยอห์นประกาศไม่เพียงแต่เตือนถึงพระอาชญาที่กำลังจะมาถึง แต่เป็นการเรียกให้ลงมือปฏิบัติ ยอห์นเรียกร้องให้มนุษย์กลับใจจากบาปและรับบัพติศมา คำว่า “กลับใจ”ยอห์ นหมายถึงอะไร? หมายถึงการเปลี่ยนแปลงความคิด และหันหลังกลับ การกลับใจของยอห์นมีความหมายมากกว่าแค่เปลี่ยนความคิด แต่ยังรวมถึงอื่นๆ ผมเชื่อว่าต้องมีความสำนึกผิดและเสียใจ การกลับใจยังหมายถึงเปลี่ยนความคิดและจิตใจ ซึ่งจะส่งผลไปถึงการเปลี่ยนแปลงอื่นๆ เช่นเปลี่ยนวิถีชีวิต มัทธิวไม่ได้ลงรายละเอียดว่าชีวิตควรเปลี่ยนไปอย่างไรเมื่อกลับใจ พระเยซูทรงวางแนวทางชีวิตไว้ให้ การพิสูจน์การกลับใจของเจ้าด้วยผลที่เกิดขึ้น (3:8) ซึ่งลูกาให้ตัวอย่างไว้หลายแบบ รวมไปถึงคนเก็บภาษี และทหารด้วย (ลูกา 3:11-14)
เมื่ออ่านพระวจนะตอนต่างๆที่พูดถึงสิ่งที่ยอห์นผู้ให้บัพติศมาประกาศ ผมรู้สึกว่ายอห์นไม่ได้แค่ต้องการให้คนกลับใจจากบาปของตน คิดว่าท่านกำลังเรียกร้องให้กลับใจโดยเลิกและละทิ้งระบอบความเชื่อเดิมที่ ต่างจากความเชื่อในพระเยซูคริสต์ในเรื่องการอภัยบาปและรับของขวัญแห่งความ รอดนิรันดร์ พันธกิจของยอห์นในพระกิตติคุณมัทธิวเน้นไปที่ระบอบศาสนาจอมปลอมที่ผู้นำยิว บัญญัติขึ้นมา (เริ่มมาจากฟาริสี)
“เหตุฉะนั้นจงพิสูจน์การกลับใจของเจ้า ด้วยผลที่เกิดขึ้น อย่านึกเหมาเอาในใจว่าตัวมีอับราฮัมเป็นบิดา เพราะเราบอกเจ้าทั้งหลายว่า พระเจ้าทรงฤทธิ์อาจจะให้บุตรเกิดขึ้นแก่อับราฮัมจากก้อนหินเหล่านี้ได้ บัดนี้ขวานวางไว้ที่โคนต้นไม้แล้ว และทุกต้นที่ไม่เกิดผลดีจะต้องตัดแล้วโยนทิ้งในกองไฟ” (มัทธิว 3:8-10)
ยิวไว้ใจในระบอบศาสนาเดิมของบรรพบุรุษในเรื่องความรอด พวกเขาคิดว่าเป็นลูกหลานของอับราฮัมแล้ว มั่นใจได้ว่ามีตั๋วพิเศษแถวหน้าเข้าแผ่นดินสวรรค์ อ.เปาโลอธิบายไว้อย่างเข้มข้นในโรม 9 ว่าการเป็นคริสเตียนเป็นคนละเรื่องกับการเป็นลูกหลานอับราฮัม ยอห์นผู้ให้บัพติศมาปฏิเสธเรื่องความรอดโดยทางบรรพบุรุษอย่างหนักแน่น พระเจ้าทรงฤทธิ์อาจจะให้บุตรเกิดขึ้นแก่อับราฮัมจากก้อนหินเหล่านี้ได้ (3:9) พวกต่างชาติต่างก็มีวิถีปฏิบัติในแบบของตน และพระกิตติคุณลูกาเองก็พูดเรื่องนี้ การกลับใจจึงไม่ใช่แค่ละทิ้งบาปบางอย่าง แต่เป็นการละทิ้งระบอบหรือวิถีที่วางใจในกำลังและการกระทำของมนุษย์แทนที่จะ มีความเชื่อในการหลั่งพระโลหิตของพระเยซูคริสต์เพื่อชดใช้แทนบาปของมนุษย์
เราต้องเข้าใจให้ชัดเจนว่ายอห์นไม่ได้บอกว่าแผ่นดินสวรรค์ที่กำลังมานั้น ต้องพึ่งพาการกระทำของมนุษย์ ไม่ใช่ให้มนุษย์กลับใจเพื่อให้แผ่นดินสวรรค์มา แต่มนุษย์ควรกลับใจ“เพราะ” แผ่นดินสวรรค์มาใกล้แล้ว :
“เรื่องสำคัญที่น่ายินดีคือส่วนที่มนุษย์รับผิดชอบ – กลับใจ หันกลับ เปลี่ยนแปลง – ไม่ใช่ทำเพื่อผลักดันให้การปกครองของพระเจ้าเข้ามา ที่แน่ใจได้คือ “เพราะ” การปกครองของพระเจ้ากำลังใกล้เข้ามาไม่ว่าเราจะเปลี่ยนหรือไม่ก็ตาม แปลว่าแผ่นดินสวรรค์ไม่ได้มาเพราะเราเปลี่ยนแปลง เราจะ “รับโทษ” เพราะแผ่นดินสวรรค์ใกล้เข้ามา หรือจะ “รับพระพร” โดยคุกเข่าลงสำนึกผิดและหันกลับ “แผ่นดินพระเจ้ากำลังมาถึง อย่ารอช้า จงรีบกลับใจ” ข่าวเรื่องการมาถึงของแผ่นดินพระเจ้า “ทำให้” มนุษย์สามารถทำในส่วนของตนได้คือ สำนึกผิด กลับใจ และเปลี่ยนแปลง”7
สัญลักษณ์ภายนอกของการกลับใจคือรับบัพติศมา บัพติศมาอย่างเดียวที่คนยิวสมัยนั้นรู้จักคือบัพติศมาเข้าลัทธิยูดาย บัพติศมาแบบนั้นผู้เชื่อต้องทำพิธีชำระตัวเองและ (ถ้าเป็นผู้ชาย) ต้องเข้าสุหนัต พิธีชำระตัวเองและเข้าสุหนัตที่คนต่างชาติต้องทำถึงจะเข้าลัทธิยูดายได้และ อยู่ภายใต้ธรรมบัญญัติในพระคัมภีร์เดิม ทำให้รู้ว่าคนยิวต้องถ่อมใจลงมาแค่ไหนเพื่อจะรับบัพติศมา ข้อสรุปจึงชัดเจน : ถ้าคนยิวต้องการกลับใจก่อนพระเมสซิยาห์เสด็จมา เขาจำต้องยอมรับว่าลัทธิยูดายไม่อาจช่วยให้รอดพ้นจากบาปได้ และการยอมเข้าบัพติศมาก็เท่ากับลดตัวเองลงมาอยู่ระดับ (ต่ำลง) เดียวกับคนต่างชาติ ทั้งคนยิวและคนต่างชาติต่างเหมือนกันคือต้องเตรียมตัวพร้อมรับการเสด็จมาของ พระเมสซิยาห์โดย: (1) กลับใจจากระบอบศาสนาจอมปลอมที่เคยวางใจ (2) สารภาพบาป และ (3) รับบัพติศมา เช่นเดียวกับที่คนต่างชาติเปลี่ยนไปนับถือศาสนายูดาย จึงไม่น่าประหลาดใจที่ทำไมพวกฟาริสีถึงไม่ต้องการเข้าพิธีบัพติศมา !
คำสอนของพระเยซูต่างจากที่ยอห์นประกาศเล็กน้อย เพราะพระเยซูประกาศว่า ลัทธิยูดาย ก็ยังไม่พอช่วยใครให้รอดจากบาป และเข้าแผ่นดินสวรรค์ได้ :
“อย่าคิดว่าเรามาเลิกล้างธรรมบัญญัติและ คำของผู้เผยพระวจนะ เรามิได้มาเลิกล้าง แต่มาทำให้สมบูรณ์ทุกประการ เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ตราบใดที่ฟ้าและดินดำรงอยู่ แม้อักษรหนึ่งหรือขีดๆหนึ่งก็จะไม่สูญไปจากธรรมบัญญัติ จนกว่าสิ่งที่จะต้องเกิด ได้เกิดขึ้นแล้ว เหตุฉะนั้น ผู้ใดได้ทำให้ข้อเล็กน้อยสักข้อหนึ่งในธรรมบัญญัตินี้เบาขึ้น ทั้งสอนคนอื่นให้ทำอย่างนั้นด้วย ผู้นั้นจะได้ชื่อว่าเป็นผู้น้อยที่สุดในแผ่นดินสวรรค์ แต่ผู้ใดที่ประพฤติและสอนตามธรรมบัญญัติ ผู้นั้นจะได้ชื่อว่าเป็นใหญ่ในแผ่นดินสวรรค์ เพราะเราบอกท่านทั้งหลายว่า ถ้าความชอบธรรมของท่าน ไม่ยิ่งกว่าความชอบธรรมของพวกธรรมาจารย์ และพวกฟาริสี ท่านจะไม่มีวันได้เข้าสู่แผ่นดินสวรรค์” (มัทธิว 5:17-20)
คำสอนของยอห์นจึงเกิดปัญหาขึ้นในใจผม “ทำไมคำสอนของท่านถึงเป็นเชิงลบ?” เมื่อลองคิดดู ผมขอตอบแบบนี้ครับ
ประการแรก อย่าลืมว่ายอห์นผู้ให้บัพติศมาคือใคร คือผู้เผยพระวจนะ ที่จริงเป็นผู้เผยพระวจนะคนสุดท้ายจากพระคัมภีร์เดิม ภารกิจของท่านในฐานะผู้เผยพระวจนะคือเรียกร้องให้มนุษย์มองเห็นสภาพตนเองที่ ตกไปจากพระบัญญัติของพระเจ้าและประกาศว่าพวกเขาต้องถูกลงพระอาชญา พระบัญญัติทำอะไรอีกนอกจากคำแช่งสาป – ชี้ให้เห็นหนทางความรอดที่แท้จริงโดยทางความเชื่อไม่ใช่ทำตามบทบัญญัติ
ประการที่สอง ยอห์นกำลังพูดกับใคร ท่านกำลังพูดกับคนบาป – คนบาปชาวยิวที่ไว้ใจว่าตนเองสืบเชื้อสายมาจากอับราฮัม และพูดกับคนบาปต่างชาติ เช่นคนเก็บภาษีที่เก็บเกินพิกัด กับทหารที่ใช้อำนาจข่มขู่เงินจากคนไม่มีทางสู้ ถ้าคนบาปจะรอดได้ พวกเขาต้องตระหนักว่าเป็นคนบาป สมควรแก่การพิพากษาถึงชีวิต
ประการที่สาม คำเทศนาของยอห์นพูดถึงการพิพากษาที่จะมาถึง ซึ่งสอดคล้องกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นกับพระเยซูคริสต์ หลายคนที่ได้ยินถ้อยคำของยอห์นและปฏิเสธว่าพระเยซูคือพระเมสซิยาห์ตามพระ สัญญา จะตกอยู่ในข่ายถูกพิพากษา คำเทศนาเชิงลบของยอห์น ทำให้ผมนึกถึงคำเตือนของโมเสสในเฉลยธรรมบัญญัติ 28 โมเสสนำพันธสัญญาเดิมที่พระเจ้าทำไว้กับอิสราเอลมากล้าวซ้ำ ท่านพูดถึงพระพรสำหรับคนที่รักษาพระบัญญัติ และพระอาชญาสำหรับคนที่ไม่เชื่อฟัง ในบทที่ 28 ตอนที่ท่านพูดถึงพระพรมีความยาว 15 ข้อ และที่เหลือของบทอีก 54 ข้อพูดถึงพระอาชญา โมเสสโดยการดลใจของพระเจ้าเน้นเรื่องการพิพากษา เพราะท่านรู้ดีว่าจะเกิดอะไรขึ้นหลังจากที่ท่านตาย:
และพระเจ้าตรัสกับโมเสสว่า “ดูเถิด วันซึ่งเจ้าต้องตายก็ใกล้เข้ามาแล้ว จงเรียกโยชูวามา และเจ้าทั้งสองจงมาเฝ้าเราในเต็นท์นัดพบ เพื่อเราจะได้กำชับเขา” โมเสสและโยชูวาก็เข้าไปในเต็นท์นัดพบ และพระเยโฮวาห์ทรงปรากฏในเสาเมฆที่ในเต็นท์นัดพบ และเสาเมฆนั้นอยู่ที่ประตูเต็นท์นัดพบ และพระเจ้าตรัสกับโมเสสว่า “ดูเถิด ตัวเจ้าจวนจะต้องหลับอยู่กับบรรพบุรุษของเจ้าแล้ว และชนชาตินี้จะลุกขึ้นและเล่นชู้กับพระแปลกๆของแผ่นดินนี้ ในที่ที่เขาไปอยู่ท่ามกลางนั้น เขาทั้งหลายจะทอดทิ้งเราเสียและหักพันธสัญญาซึ่งเราได้ กระทำไว้กับเขา แล้วในวันนั้นเราจะกริ้วต่อเขา และเราจะทอดทิ้งเขาเสียและซ่อนหน้าของเราเสียจากเขา เขาทั้งหลายจะถูกกลืน และสิ่งร้ายกับความลำบากเป็นอันมากจะมาถึงเขา ในวันนั้นเขาจึงจะกล่าวว่า ‘สิ่งร้ายเหล่านี้ตกแก่เรา เพราะพระเจ้าไม่ทรงสถิตท่ามกลางเราไม่ใช่หรือ’ ในวันนั้นเราจะซ่อนหน้าของเราเสียจากเขาเป็นแน่ ด้วยเหตุความชั่วซึ่งเขาได้กระทำเพราะเขาได้หัน ไปหาพระอื่น เหตุฉะนี้เจ้าทั้งสองจงเขียนบทเพลงนี้ และสอนคนอิสราเอลให้ร้องจนติดปาก เพื่อบทเพลงนี้จะเป็นพยานของเราปรักปรำคนอิสราเอล เพราะว่าเมื่อเราจะได้นำเขาเข้ามาในแผ่นดิน ซึ่งมีน้ำนมและน้ำผึ้งไหลบริบูรณ์ ซึ่งเราได้ปฏิญาณจะประทานแก่บรรพบุรุษของเขา และเขาได้รับประทานอิ่มหนำและอ้วนพี เขาจะหันไปปรนนิบัติพระอื่น และหมิ่นประมาท เราและผิดพันธสัญญาของเรา และเมื่อสิ่งร้ายและความลำบากหลายอย่างมาถึงเขาแล้ว เพลงบทนี้จะเผชิญหน้าเป็นพยาน (เพราะว่าเพลงนี้จะอยู่ที่ปากลูกหลานของเขาไม่มีวันลืม) เพราะเรารู้ถึงความมุ่งหมายที่เขากำลังจะก่อขึ้นมาแล้ว ก่อนที่เราจะนำเขาเข้าไปในแผ่นดินซึ่งเราปฏิญาณไว้นั้น” โมเสสจึงได้เขียนบทเพลงนี้ในวันเดียวกันนั้นและสอนให้ แก่ประชาชนอิสราเอล (เฉลยธรรมบัญญัติ 31:14-22)
ประการที่สี่ คำเทศนาของยอห์นและการตอบสนองของผู้คน เล็งถึงคำเทศนาในอนาคตของพระเยซูคริสต์และการตอบสนองของผู้คน มัทธิวเลือกเน้นไปที่การตอบสนองของยอห์นที่มีต่อผู้นำศาสนาชาวยิวที่แค่อยาก มาฟัง (หรือมาตรวจสอบ) ยอห์นใช้ถ้อยคำรุนแรงตำหนิ และต่อว่าผู้นำทางศาสนาที่ไม่ได้มาเพื่อกลับใจ แต่มาต่อต้านและยังปฏิเสธไม่ฟังท่านด้วย พระเยซูเองใช้ถ้อยคำตำหนิรุนแรงต่อพวกที่มาต่อต้านพระองค์ – กลุ่มผู้นำศาสนาพวกเดิม พวกนี้เป็นผู้นำที่เชื่อว่าตนเองชอบธรรมดีแล้ว และต่อต้านทุกคนที่เหมือนจะคุกคาม “อาณาจักร” พวกเขา คนพวกนี้เชื่อมั่นว่าตัวเองมีตั๋วห้าสิบหลาเข้าสู่แผ่นดินสวรรค์ของพระเจ้า แบบเดียวกับที่ยอห์นตำหนิผู้นำศาสนาหัวสูงพวกนี้ด้วยถ้อยคำรุนแรง พระเยซูก็ทรงทำเช่นกัน
(5) ถ้อยคำของยอห์นเป็นการถ่ายทอดและส่งต่อและเพื่อให้เตรียมพร้อม ถ้าจะเข้าใจคำเทศนาของยอห์น ก่อนอื่นเราต้องตระหนักถึงช่วงเวลาเจาะจงในชีวิตของท่านและบทบาทเฉพาะที่ ท่านเล่น ซึ่งเท่ากับเป็นการเชื่อมช่องว่างระหว่างพันธสัญญาเดิมและพันธสัญญาใหม่
ในอีกมุม คำเทศนาของยอห์นเป็นเหมือน”จุดเริ่มต้นของพระกิตติคุณ” เมื่อพวกสาวกตัดสินใจหาคนมาทำหน้าที่แทนยูดาส พวกเขาคุยกันถึงคุณสมบัติของผู้ที่จะมาทำหน้าที่แทน :
เหตุฉะนั้น ในบรรดาคนที่เป็นพวกเดียวกับเราเสมอตลอดเวลาที่พระเยซูเจ้าได้เสด็จเข้าออก กับเรา คือตั้งแต่บัพติศมาของยอห์น จนถึงวันที่พระเจ้าทรงรับพระองค์ขึ้นไปจากเรา คนหนึ่งในพวกนี้จะต้องเป็นพยานกับเรา ว่าพระองค์ได้ทรงคืนพระชนม์แล้ว” (กิจการ 1:21-22 ดู 10:37; 13:23-25 ด้วย)
หนังสือพระกิตติคุณ และการประกาศข่าวประเสริฐเริ่มต้นจากคำเทศนาของยอห์นผู้ให้บัพติศมาพูดถึง เรื่องนี้ เราต้องเข้าใจความจริงว่าคำพูดที่ยอห์นผู้ให้บัพติศมาประกาศไป ยังไม่ได้เป็นข่าวประเสริฐที่ครบถ้วน เพราะยอห์นยังเป็นส่วนหนึ่งของระบอบเก่า :
เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ในบรรดาคนซึ่งเกิดจากผู้หญิงมานั้น ไม่มีผู้ใดใหญ่กว่ายอห์นผู้ให้รับบัพติศมา แต่ว่าผู้ที่ต่ำต้อยที่สุดในแผ่นดินสวรรค์ก็ยังใหญ่กว่ายอห์นเสียอีก และ ตั้งแต่สมัยยอห์นผู้ให้รับบัพติศมาถึงทุกวันนี้ แผ่นดินสวรรค์ก็เป็นสิ่งที่คนได้แสวงหาด้วยใจร้อนรน และผู้ที่ใจร้อนรนก็เป็นผู้ที่ชิงเอาได้ เพราะว่าคำของผู้เผยพระวจนะทั้งหลาย และธรรมบัญญัติได้พยากรณ์มาจนถึงยอห์นนี้ ถ้าท่านทั้งหลายจะยอมรับให้เป็น ก็ยอห์นนี่แหละ เป็นเอลียาห์ซึ่งจะมานั้น (มัทธิว 11:11-14 และที่ผมเน้น)
ยอห์นเป็นผู้เผยพระวจนะคนสุดท้ายของยุคพระคัมภีร์เดิม คำของท่านมีเพื่อเตรียมมนุษย์สำหรับการเสด็จมาของพระเมสซิยาห์ และข่าวประเสริฐแห่งความรอดที่จะประกาศออกไปหลังจากพระองค์สิ้นพระชนม์ ถูกฝัง คืนพระชนม์ และเสด็จสู่สวรรค์ พระเยซูและอัครสาวกชี้ชัดเจนว่าข่าวประเสริฐยังมีมากกว่าที่ยอห์นประกาศ และดียิ่งกว่า:
เพราะว่ายอห์นให้รับบัพติศมาด้วยน้ำ แต่ไม่ช้าไม่นานท่านจะรับบัพติศมาด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ (กิจการ 1:5)
มียิวคนหนึ่งชื่ออปอลโล เกิดในเมืองอเล็กซานเดรีย เป็นคนมีโวหารดี และชำนาญมากในทางพระคัมภีร์ ท่านมายังเมืองเอเฟซัส อปอลโลคนนี้ได้รับการอบรมในทางขององค์พระผู้เป็นเจ้า และมีใจร้อนรนกล่าวสั่งสอนอย่างถูกต้องถึงเรื่องพระเยซู ถึงแม้ท่านรู้แต่เพียงบัพติศมาของยอห์นเท่านั้น ท่านได้เข้าไปในธรรมศาลาสั่งสอนโดยใจกล้า แต่เมื่อปริสสิลลากับอาควิลลาได้ฟังท่านแล้ว เขาจึงรับท่านมาสั่งสอนให้รู้ทางของพระเจ้าให้ถูกต้องยิ่งขึ้น (กิจการ 18:24-26)
ขณะที่อปอลโลยังอยู่ในเมืองโครินธ์ เปาโลได้ไปตามที่ดอน แล้วมายังเมืองเอเฟซัส ท่านพบสาวกบางคนที่นั่น จึงถามเขาว่า “เมื่อท่านทั้งหลายเชื่อนั้น ท่านได้รับพระวิญญาณบริสุทธิ์หรือเปล่า” เขาตอบว่า “เปล่า เรื่องพระวิญญาณบริสุทธิ์นั้นเราก็ยังไม่เคยได้ยินเลย” เปาโลจึงถามเขาว่า “ถ้าอย่างนั้นท่านได้รับบัพติศมาอันใดเล่า” เขาตอบว่า “บัพติศมาของยอห์น” เปาโลจึงว่า “ยอห์นให้รับบัพติศมาสำแดงถึงการกลับใจใหม่ แล้วบอกคนทั้งปวงให้เชื่อในพระองค์ผู้จะเสด็จมาภายหลังคือพระเยซู” เมื่อเขาได้ยินอย่างนั้น เขาจึงรับบัพติศมาในพระนามของพระเยซูเจ้า เมื่อเปาโลได้วางมือบนเขาแล้ว พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็เสด็จลงมาบนเขา เขาจึงพูดภาษาแปลกๆและได้ทำนายด้วย คนเหล่านั้นมีประมาณสิบสองคน (กิจการ 19:1-7)
โดยทางพันธกิจของยอห์น พระเจ้าทรงแนะนำพระเยซูให้รู้จักในฐานะพระเมสซิยาตามพระสัญญาที่รอคอยมานาน เช่นเดียวกับที่พระองค์ใช้ซามูเอลให้ไปเจิมตั้งซาอูล (1ซามูเอล 10) และต่อมาเจิมตั้งดาวิด (1ซามูเอล 16) ขึ้นเป็นกษัตริย์อิสราเอล อย่างที่ท่านอัครสาวกยอห์นพูด หน้าที่ของท่านคือเป็น “สหายของเจ้าบ่าว” ซึ่งมีสิทธิพิเศษได้ยินเสียงของเจ้าบ่าว และชื่นชมยินดี (ยอห์น 3:29)
ยอห์นมีบทบาทสำคัญต่อการเริ่มพระราชกิจของพระเยซูคริสต์ ท่านเรียกร้องให้ผู้คนเตรียมพร้อมรับการเสด็จมาของพระเมสซิยาห์ สิ่งที่ท่านประกาศห่างไกลจากคำว่าล้าสมัย พระเยซูคริสต์จะเสด็จกลับมาเป็นครั้งที่สอง และครั้งนี้จะมาเพื่อพิพากษามนุษย์
พระองค์ทรงสั่งให้เราทั้งหลายประกาศแก่คน ทั้งปวง และเป็นพยานว่า พระเจ้าได้ทรงตั้งพระองค์ไว้เป็นผู้พิพากษาทั้งคนเป็นและคนตาย (กิจการ 10:42)
เพราะพระองค์ได้ทรงกำหนดวันหนึ่งไว้ ในวันนั้นพระองค์จะทรงพิพากษาโลกตามความชอบธรรม โดยมนุษย์ผู้นั้นซึ่งพระองค์ได้ทรงเลือกไว้ และพระเจ้าได้ทรงโปรดให้คนทั้งปวงมีความแน่ใจในเรื่องนี้ โดยทรงให้มนุษย์ผู้นั้นคืนชีวิต” (กิจการ 17:31 และ 2ทิโมธี 4:1)
การเสด็จมาครั้งแรก พระเยซูทรงแบกรับความบาปของเราไว้ที่พระองค์ และรับโทษจากผลของบาปนั้น เมื่อเสด็จกลับมาอีกครั้ง พระองค์จะพิพากษาคนบาป และปลดโลกนี้ให้เป็นไทจากบาป ภารกิจของเราในฐานะคริสเตียน คือประกาศข่าวดีที่พระเยซูมาช่วยคนบาปนี้ และเตือนผู้คนว่าวันแห่งการพิพากษาใกล้เข้ามาแล้วสำหรับคนที่ปฏิเสธไม่รับ พระองค์ การกลับใจเช่นเดียวกับความเชื่อ ไม่ใช่สิ่งที่เราทำสำเร็จเอง แต่เป็นของประทานจากพระเจ้า การกลับใจคือบางสิ่งที่พระเจ้าใส่เข้ามาในเรา ไม่ว่าจะอย่างไร เราถูกเรียกให้กลับใจมาเชื่อในพระองค์
ครั้นยอห์นถูกอายัดแล้ว พระเยซูได้เสด็จมายังแคว้นกาลิลี ทรงเทศนาประกาศข่าวประเสริฐของพระเจ้า และตรัสว่า “เวลากำหนดมาถึงแล้ว และแผ่นดินของพระเจ้าก็มาใกล้แล้ว จงกลับใจเสียใหม่ และเชื่อข่าวประเสริฐเถิด” (มาระโก 1:14-15)
ครั้นมาแล้วเปาโลจึงกล่าวว่า “ท่านทั้งหลายย่อมทราบอยู่เองว่า ข้าพเจ้าได้ประพฤติต่อท่านอย่างไรทุกเวลา ตั้งแต่วันแรกเข้ามาในแคว้นเอเชีย ข้าพเจ้าได้ปรนนิบัติพระเจ้าด้วยความถ่อมใจ ด้วยน้ำตาไหล และด้วยถูกการทดลอง ซึ่งมาถึงข้าพเจ้าเพราะพวกยิวคิดร้ายต่อข้าพเจ้า และสิ่งหนึ่งสิ่งใดซึ่งเป็นคุณประโยชน์แก่ท่านทั้งหลาย ข้าพเจ้ามิได้ปิดซ่อนไว้ แต่ได้ชี้แจงให้ท่านเห็น กับได้สั่งสอนท่านในที่ประชุม และตามบ้านเรือน ทั้งเป็นพยานแก่พวกยิวและพวกกรีก ถึงเรื่องการกลับใจใหม่เฉพาะพระเจ้า และความเชื่อในพระเยซูคริสตเจ้าของเรา (กิจการ 20:18-21)
พวกเรา เช่นเดียวกับยอห์นผู้ให้บัพติศมา ควรยื่นมือไปช่วยผู้คนให้กลับใจจากบาปและมามีความเชื่อในพระเยซูคริสต์ สิ่งนี้คือการเตรียมมนุษย์ให้พร้อมสำหรับการเสด็จกลับมาของพระเยซู กลับมาเพื่อพิพากษาตามที่ยอห์นสัญญาไว้ว่าจะเกิดขึ้น:
บัดนี้ขวานวางไว้ที่โคนต้นไม้แล้ว และทุกต้นที่ไม่เกิดผลดีจะต้องตัดแล้วโยนทิ้งในกองไฟ เราให้เจ้าทั้งหลายรับบัพติศมาด้วยน้ำ แสดงว่ากลับใจใหม่ก็จริง แต่พระองค์ผู้จะมาภายหลังเรา ทรงมีอิทธิฤทธิ์ยิ่งกว่าเราอีก ซึ่งเราไม่คู่ควรแม้จะถอดฉลองพระบาทของพระองค์ พระองค์จะทรงให้เจ้าทั้งหลาย รับบัพติศมาด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์และด้วยไฟ พระหัตถ์ของพระองค์ถือพลั่วพร้อมแล้ว และจะทรงชำระลานข้าวของพระองค์ให้ทั่ว พระองค์จะทรงเก็บข้าวของพระองค์ไว้ในยุ้งฉาง แต่พระองค์จะทรงเผาแกลบด้วยไฟที่ไม่รู้ดับ” (มัทธิว 3:10-12)
ในเวลาเมื่อมนุษย์ยังไร้เดียงสา พระเจ้ามิได้ทรงถือโทษ แต่เดี๋ยวนี้ พระเจ้าได้ตรัสสั่งแก่มนุษย์ทั้งปวงทั่วทุกแห่งให้กลับใจใหม่ เพราะพระองค์ได้ทรงกำหนดวันหนึ่งไว้ ในวันนั้นพระองค์จะทรงพิพากษาโลกตามความชอบธรรม โดยมนุษย์ผู้นั้นซึ่งพระองค์ได้ทรงเลือกไว้ และพระเจ้าได้ทรงโปรดให้คนทั้งปวงมีความแน่ใจในเรื่องนี้ โดยทรงให้มนุษย์ผู้นั้นคืนชีวิต” (กิจการ 17:30-31)
“ข้าแต่กษัตริย์อากริปปา เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว ข้าพระบาทจึงเชื่อฟังนิมิต ซึ่งมาจากสวรรค์นั้น และมิได้ขัดขืน แต่ข้าพระบาทได้กล่าวสั่งสอนเขา ตั้งต้นที่เมืองดามัสกัส และในกรุงเยรูซาเล็ม ทั่วแว่นแคว้นยูเดียและแก่ชาวต่างประเทศ ให้เขากลับใจใหม่ ให้หันมาหาพระเจ้า และกระทำการซึ่งสมกับที่กลับใจใหม่แล้ว” (กิจการ 26:1-20)
เดี๋ยวนี้คำว่าสำนึกผิดกลับใจไม่ค่อยมีใครนำมาเทศนา ไม่นานมานี้ผมดีใจมากที่ได้ยินบิลลี่ เกรแฮม เรียกร้องให้หญิงและชายสำนึกผิดกลับใจ มาเชื่อในพระเยซูในงานประกาศที่ดัลลัส เท็กซัส หันกลับมาหาพระเยซูเพื่อรับความรอดคือต้องหันเสียจากบาปที่เคยทำ บ่อยครั้งการพยายามทำให้ข่าวประเสริฐน่าลิ้มลอง การกลับใจจึงถูกข้ามไป ลดความสำคัญลง หรือถึงขั้นตัดทิ้ง บางครั้งการนำเสนอข่าวประเสริฐเหมือนกับนำพระราชกิจของพระเยซูใส่เพิ่มเข้า ไปกับแฟ้มส่วนตัวของคุณ เหมือนกับลงทุนเพิ่มอีกตัว ไม่มีการตัดอะไรทิ้ง ความจริงคือคุณต้องเปิดแฟ้มเอาของเก่าทิ้งไป (ไว้ใจในสิ่งอื่นที่ไม่ใช่พระเยซูคริสต์) แล้วให้พระคริสต์เข้ามาเติมเต็ม เศรษฐีหนุ่มไม่มีตัวเลือกให้เก็บความมั่งคั่งไว้ (ซึ่งคือพระของเขา) ดูมัทธิว 6:19-34; 19:16-22 เขาต้องสละทุกสิ่งเพื่อติดตามพระเยซู ถ้าเราจะประกาศข่าวประเสริฐ เราต้องไม่ลืมเรื่องการกลับใจ และความเชื่อด้วย สององค์ประกอบนี้ไม่ได้ค้านกัน แต่เป็นสองด้านของเหรียญเดียวกัน
คำประกาศของยอห์นเตือนเราถึงบทบาทสำคัญของธรรมบัญญัติ เหมือนนำร่องสู่พระกิตติคุณ ขณะที่พระคุณอยู่ตรงข้ามกับธรรมบัญญัติ (ดูโรม 4:16; 6:14; 7:6; กาลาเทีย 2:22; 5:1-4) แต่ธรรมบัญญัตินั้นชี้ไปที่พระคุณ:
ก่อนที่ความเชื่อมานั้น เราถูกธรรมบัญญัติกักตัวไว้ ถูกกั้นเขตไว้จนความเชื่อจะปรากฏ เพราะฉะนั้นธรรมบัญญัติจึงควบคุมเราไว้จนพระคริสต์เสด็จมา เพื่อเราจะได้เป็นคนชอบธรรมโดยความเชื่อ แต่บัดนี้ความเชื่อนั้นได้มาแล้ว เราจึงมิได้อยู่ใต้บังคับของผู้ควบคุมอีกต่อไปแล้ว (กาลาเทีย 3:23-25)
ธรรมบัญญัติเตรียมเราไว้สำหรับพระคุณ โดยเปิดเผยให้เห็นความบาปของเราเอง และไม่สามารถที่จะเอาใจพระเจ้าโดยการกระทำดี ดังนั้นธรรมบัญญัติจึงเป็นสิ่งที่ทำให้เรามองไปที่พระเจ้าเพื่อความรอดโดย พระคุณ ไม่ใช่ด้วยตัวเราเอง:
เรารู้แล้วว่า ธรรมบัญญัติทุกข้อที่ได้กล่าวนั้น ก็ได้กล่าวแก่คนเหล่านั้นที่อยู่ใต้ธรรมบัญญัติ เพื่อปิดปากทุกคน และเพื่อให้มนุษย์ทุกคนในโลกอยู่ใต้การพิพากษาของพระเจ้า เพราะว่าในสายพระเนตรของพระเจ้าไม่มีผู้หนึ่งผู้ใดเป็นคนชอบธรรม โดยการประพฤติตามธรรมบัญญัติได้ เพราะว่าธรรมบัญญัตินั้นทำให้เรารู้จักบาปได้ แต่บัดนี้ได้ปรากฏแล้วว่า ความชอบธรรมซึ่งมาจากพระเจ้านั้นปรากฏนอกเหนือกฎบัญญัติ ธรรมบัญญัติกับพวกผู้เผยพระวจนะเป็นพยานอยู่ คือความชอบธรรมของพระเจ้า ซึ่งทรงประทานโดยความเชื่อในพระเยซูคริสต์ แก่ทุกคนที่เชื่อ เพราะว่าคนทั้งหลายไม่ต่างกัน เพราะว่าทุกคนทำบาป และเสื่อมจากพระสิริของพระเจ้า แต่พระเจ้าทรงพระกรุณาให้เขาเป็นผู้ชอบธรรม โดยไม่คิดมูลค่า โดยที่พระเยซูคริสต์ทรงไถ่เขาให้พ้นบาปแล้ว (โรม 3:19-24)
เฟรเดอริค บรูเนอร์พูดไว้ในทำนองนี้ :
“ไม่มีพระบัญญัติ ก็ไม่มีพระกิตติคุณ (ไม่มีพระคัมภีร์เดิม ก็ไม่มีพระคัมภีร์ใหม่) และไม่มียอห์นผู้ให้บัพติศมา เรื่องการเสด็จมาของพระเมสซิยาห์ก็อาจประกาศไปไม่ถูกต้อง ดังนั้นไม่มีเรื่องบังเอิญ พระกิตติคุณทั้งสี่เล่มบันทึกงานของยอห์นผู้ให้บัพติศมาว่าเป็นผู้มาเตรียม ทางให้พระคริสต์ ยอห์นเป็นสาระสำคัญในเรื่องราวของพระเยซู ไม่ใช่แค่คนที่มาก่อน ที่จริงพระกิตติคุณยอห์น “ย้อนประวัติศาสตร์แห่งความบริสุทธิ์กลับมาอีกครั้ง” (Bonn., 31) หลังจากความเงียบที่ยาวนาน ยอห์นปรากฎมาเหมือนมหาปุโรหิตผู้ยิ่งใหญ่คนสุดท้ายของหนังสือฮีบรู และเหมือนพระบัญญัติของพระเจ้าที่มีชีวิตและเคลื่อนไหว เต็มด้วยหายนะและความบริสุทธิ์ และที่สุดของทุกสิ่ง ยอห์นผู้ให้บัพติศมาเป็นผู้นำหน้าพระคัมภีร์ใหม่สี่ครั้ง (จากพระกิตติคุณสี่เล่ม) เมื่อนำพระบัญญัติของพระเจ้ามาอยู่ข้างหน้าเราถึงสี่ครั้ง เรื่องการเสด็จมาของพระเยซูพร้อมกับข่าวประเสริฐก็สี่ครั้งเหมือนกัน ยอห์นคือพระบัญญัติของพระเจ้าในภาพบุคคล พระเยซูก็คือพระกิตติคุณของพระเจ้าในพระบุคคลเช่นกัน”8
ยอห์นผู้ให้บัพติศมาเป็นผู้เผยพระวจนะคนสุดท้ายของพระคัมภีร์เดิม ท่านไม่ได้ชักชวนมนุษย์ให้ “พยายามทำให้มากขึ้น” เพื่อเอาใจพระเจ้า แต่ให้สารภาพบาปของตน และเข้ามาวางใจในพระเมสซิยาห์ที่กำลังเสด็จมาช่วยให้รอด ถ้ามนุษย์จะได้รับความรอด พวกเขาต้องมองตัวเองให้เห็นว่าเป็นคนบาป ตกอยู่ภายใต้คำแช่งสาปของพระบัญญัติ หน้าที่ของพระบัญญัติคือประณามเราที่เป็นคนบาป และจำเป็นต้องได้รับพระคุณที่สุด ขอให้เราระวังที่จะไม่เหวี่ยงพระบัญญัติทิ้งไปราวกับหมดความหมาย ยังมีบทบาทที่เราต้องทำตาม9 หนึ่งในนั้นคือมองไปที่มาตรฐานความ ชอบธรรมของพระเจ้า มาตรฐานที่มนุษย์ไม่มีวันทำได้ ให้เราใช้พระบัญญัตินี้เพื่อเปิดเผยให้เห็นความบาปของเราเอง แน่นอนพระบัญญัติสิบประการกล่าวประณามและตัดสินพวกเราทุกคน ยอห์นพูดจากพระบัญญัติเพื่อเปิดเผยให้เห็นความบาปของมนุษย์ และแสดงให้เห็นว่าพระเยซูคือพระเมสซิยาห์ตามที่พระบัญญัติสัญญาไว้ว่าจะ เสด็จมา
ผมขอเจาะจงว่าผู้เป็นพ่อแม่สามารถนำพระบัญญัตินี้มาใช้สอนลูกๆได้ พวกเขาสามารถใช้พระบัญญัติเพื่อให้ลูกๆเห็นว่าเด็กๆเองก็เป็นคนบาปจำเป็น ต้องได้รับความรอดในพระเยซูคริสต์และสิ่งที่พระองค์ทำบนไม้กางเขนที่เนินหัว กระโหลก บ่อยครั้งเรานำเรื่องตื่นเต้นจากพระคัมภีร์เดิมมาเล่าให้เด็กๆฟัง เช่น “โยนาห์กับปลามหึมา” หรือ “ดาเนียลในถ้ำสิงห์” ซึ่งไม่ใช่เป็นเรื่องเลวร้าย แต่บ่อยครั้งการนำมาใช้ไม่ได้ชี้ให้เด็กๆเห็นถึงความบาปของตนเอง และความบริสุทธิ์ของพระเจ้า ที่จริงบางคนเห็นว่าการนำพระวจนะมาใช้เป็นการเสริมสร้าง “คุณค่าในตัวเอง” ให้เด็กๆด้วยซ้ำ เด็กๆไม่จำเป็นต้องรู้สึกว่าตนเองดีพอ พวกเขาจำเป็นต้องตระหนักว่าเป็นคนบาป ไม่อาจยืนจำเพาะพระพักตร์ของพระเจ้าผู้บริสุทธิ์ได้ พวกเขาจำเป็นต้องมองเห็นบาปของตัวเอง และรู้ว่าตนเองต้องได้รับความรอด สิ่งที่ยอห์นประกาศออกไป (ยังไม่รวมถึงสิ่งที่พระเยซูและพวกสาวกประกาศ) คือสิ่งที่เด็กๆจำเป็นต้องได้ยินด้วยครับ
พ่อแม่ที่ไม่สอนวินัยให้ลูกก็กำลังทำร้ายลูกตัวเองอย่างรุนแรง เราต้องแก้ไขประพฤติกรรมและความคิดของเด็กๆ ไม่ใช่ทำเป็นมองไม่เห็นหรือหาข้อแก้ตัวแทน เด็กๆจะต้องเรียนรู้จาก “ประสบการณ์” ว่าความบาปมีผลที่ต้องรับโทษ พวกเขาต้องเห็นว่าตัวเองก็ทำบาป และเมื่อมองเห็นบาปของตัวเอง สิ่งที่ยอห์นประกาศจะเป็นถ้อยคำหวานหูสำหรับพวกเขา เมื่อพระเจ้านำให้พวกเขาสำนึกผิดและกลับใจ การที่ไม่สามารถ (หรือปฏิเสธ) ลงวินัยเด็กๆก็เท่ากับเป็นการปฏิเสธพระกิตติคุณที่กล่าวว่ามนุษย์ทุกคนเป็น คนบาป ต้องได้รับความรอดจากพระเจ้าโดยทางพระเยซูคริสต์
ทั้งคำพูดและการกระทำของยอห์นเน้นไปที่ความสำคัญของพิธีบัพติศมาของ คริสเตียน ผมเรียนรู้ว่าบัพติศมาของยอห์นเป็นการเตรียมความพร้อม และเมื่อผู้ติดตามยอห์นกลับใจมาเป็นคริสเตียน พวกเขาต้องรับบัพติศมาอีกครั้ง แต่บัพติศมาเป็นส่วนสำคัญในคำพูดและการกระทำของยอห์น คนที่กลับใจจริงจะรับบัพติศมา (มัทธิว 3:11; มาระโก 1:5) คนไม่สำนึกก็ไม่กลับใจ (ลูกา 7:30) คนที่ติดตามพระเยซูคริสต์ก็จะรับบัพติศมา (มัทธิว 28:19; ยอห์น 3:22, 26; 4:1; กิจการ 2:38, 41; 8:12, 38; 10:47; 19:35) บัพติศมาจึงเป็นสัญลักษณ์ของการกลับใจและความเชื่อ ปัจจุบันคนที่ยังไม่รับบัพติศมาควรถามตัวเองว่า “ทำไม” ถึงไม่รับ?
คำเทศนาของยอห์นที่จริงแล้วเป็น “เทศนาพยากรณ์” ผมอยากบอกว่าแม้คำเทศนาพยากรณ์ของยอห์นนั้นจะโดดเด่น แต่มีบางสิ่งที่สอนเราเรื่องคำเทศนา สิ่งที่ยอห์นประกาศมาจากพระวจนะโดยตรง สิ่งแรกที่ท่านชี้ให้เห็นคือความบาปของมนุษย์ และชี้ไปที่ความรอดของพระเจ้าในองค์พระเยซูคริสต์ ไม่อาจเรียกได้ว่าเป็นถ้อยคำที่เป็นมิตรนัก เป้าหมายไม่ใช่สร้างความเพลิดเพลินเพื่อให้มนุษย์ยอมรับ แต่เป็นเป้าหมายที่ตีแผ่ความบาปของมนุษย์ และความจำเป็นที่ต้องมีพระเจ้า ถ้าถามให้ท่านเจาะจงลงไป ท่านยกตัวอย่างให้เห็นได้ (เช่นจากในลูกา) ในพระกิตติคุณมัทธิว ยอห์นผู้ให้บัพติศมามุ่งเน้นไปที่ความบาปและความชอบธรรมตามที่ผู้นำศาสนาคิด ขณะที่พระเยซูคริสต์นุ่มนวลกว่าเมื่อเทียบกับถ้อยคำที่ยอห์นใช้ แต่พระองค์ก็ไม่อ้อมค้อมเรื่องความบาป ความชอบธรรม และการพิพากษา (ยอห์ น 6:8-11) ยังจำเป็นที่ต้องสำนึกผิดกลับใจ ขณะยอห์นเป็นบุคคลที่มีเอกลักษณ์ และมีบทบาทที่โดดเด่นในสมัยของท่าน ท่านยังเป็นบุคคลที่สอนเรามากมายถึงการประกาศความจริง
เวลาอ่านเรื่องของยอห์นผมแน่ใจว่าพวกเราส่วนใหญ่คิดว่าท่านออกจะประหลาด แน่นอนท่านมีเอกลักษณ์ และนี่อาจเป็นสิ่งที่ดึงดูดให้ผู้คนสนใจ แม้ท่านจะไม่ได้ทำอัศจรรย์ใดๆ (ยอห์น 10:41) ที่แน่ๆท่านเป็นแบบอย่างของคนที่ “ปลีกตัว” ออกมาในแบบที่ดึงดูดความสนใจ สำหรับเราไม่จำเป็นต้องไปใส่เสื้อขนสัตว์ หรือไปอาศัยในถิ่นทุรกันดาร หรือกินตั๊กแตนน้ำผึ้งป่า แต่เราถูกเรียกให้มาเป็นคนที่มีเอกลักษณ์โดดเด่น แตกต่างจากโลกนี้ ยอห์นเป็นบุคคลที่รู้ว่าจะยืนหยัดลำพังได้อย่างไร เป็นสิ่งที่พวกเราส่วนใหญ่รู้น้อยมาก
ขอให้เราเรียนรู้ที่จะอยู่ในโลกนี้ แต่ไม่เอนไปตามวิถีของโลก ให้เราแสวงหาการเตรียมชายและหญิงให้พร้อมรับการเสด็จกลับมาครั้งที่สองของ พระเยซู โดยสอนเรื่องความบาป เรียกร้องให้มีการสำนึกผิดกลับใจ หันกลับมาหาพระเยซูเพื่อรับความรอด ขอให้เราเป็นเหมือนท่านยอห์น คือชื่นชมยินดีเมื่อได้ชี้ทางให้ผู้คนไปหาพระคริสต์ แทนที่จะเรียกร้องความสนใจให้มาอยู่แต่ที่ตัวเอง
โดย : Robert L (Bob) Deffinbaugh
ได้รับอนุญาตและเป็นลิขสิทธิของ https://bible.org/
แปล : อรอวล ระงับภัย (Church of Joy)
1 บทเรียนต่อเนื่องบทนี้ปรับจากต้นฉบับเดิมของพระกิตติคุณมัทธิวบทเรียนที่ 4 จัดทำโดย อ. Robert L. Deffinbaugh วันที่ 9 มีนาคม 2003.
2 นอกจากที่กล่าวไปแล้ว พระวจนะที่นำมาอ้างอิงทั้งหมดมาจาก NET Bible (The NEW ENGLISH TRANSLATION) เป็น ฉบับแปลใหม่ทั้งหมด ไม่ใช่นำฉบับเก่าในภาษาอังกฤษมาเรียบเรียงใหม่ ใช้ผู้เชี่ยวชาญและนักวิชาการพระคัมภีร์มากกว่า ยี่สิบคน รวบรวมข้อมูล ทั้งจากภาษาฮีบรูโดยตรง ภาษาอาราเมข และภาษากรีก โครงการแปลนี้เริ่มมาจากที่เราต้องการนำ พระคัมภีร์ เผยแพร่ผ่านสื่ออีเลคโทรนิค เพื่อรองรับการใช้งานทางอินเตอร์เน็ท และซีดี (compact disk) ที่ใดก็ตามในโลก ที่ต่อเข้าอินเตอร์เน็ทได้ ก็สามารถเรียกดู และพริ้นทข้อมูลไว้เพื่อใช้ศึกษาเป็นการส่วนตัวได้โดยไม่คิดมูลค่า นอกจากนี้ ผู้ใดก็ตาม ที่ต้องการนำข้อมูลเกี่ยวกับพระคัมภีร์ไปเผยแพร่ต่อโดยไม่คิดเงิน สามารถทำได้จากเว็บไซด์ : www.netbible.org
3 ผมตระหนักว่าเพราะพระเยซูและยอห์นเป็นญาติกัน (ลูกา 1:36) หลายคนเลยคิดว่ายอห์นรู้ว่าพระเยซูเป็นพระเมสซิยาห์ตั้งแต่เด็ก แต่คำพูดของยอห์นผู้ให้บัพติศมาเองทำให้หมดข้อสงสัย เราจึงเชื่อตามที่ยอห์นพูด
4 ในมัทธิว 11:9-14 จะเห็นว่าพระเยซูโยงงานของยอห์นผู้ให้บัพติศมาเข้ากับพันธกิจของเอลียาห์ อย่างชัดเจนโดยอ้างจากมาลาคี 3:1 (ดูมาลาคี 4:5 ด้วย) ทูตของพระเจ้าบอกเศคาริยาห์ว่าลูกที่จะเกิดจากท่านและนางเอลีซาเบธ เขาจะนำหน้าพระองค์โดยน้ำใจและ ฤทธิ์เดชของเอลียาห์ ให้พ่อกลับคืนดีกับลูก และคนดื้อด้านให้กลับได้ปัญญา ของคนชอบธรรม เพื่อจัดเตรียมชนชาติหนึ่งไว้ให้สมแก่พระเจ้า (ลูกา 1:17)
5 นี่หมายถึงอาหารด้วยเหมือนกัน คนที่มีอาหารควรแบ่งปันคนที่ขาดแคลน (ลูกา 3:11)
6 เปรียบเทียบกับ ฟีลิปปี 3:5
7 Fredrick Dale Bruner, The Christbook: A Historical/Theological Commentary (Waco, Texas: Word Books, 1987), vol. 1, p. 71.
8 Fredrick Dale Bruner, The Christbook: A Historical/Theological Commentary (Waco, Texas: Word Books, 1987), vol. 1, p. 70.
9 ดูตัวอย่างเช่น โรม 15:4; 1โครินธ์ 9:9; 10:1-13; 2 ทิโมธี 3:16-17
บางครั้งมีช่วงเวลาที่กำหนดไว้ในชีวิต ช่วงเวลาที่อาจเปลี่ยนวิถีชีวิตของเรา ไม่ว่าจะดีหรือร้าย เหตุการณ์ 9/11 ในปี 2001 เป็นช่วงเวลาที่กำหนดไว้สำหรับประธานาธิบดี จอร์จ ดับเบิลยู บุช ช่วงที่ท่านหาเสียงเลือกตั้ง ท่านรณรงค์สนับสนุนนโยบาย “ไม่ก้าวก่าย” ต่างประเทศ จำได้เมื่อโต้วาทีกับ อัล กอร์ ท่านพูดทำนองว่า “เราไม่ใช่ตำรวจโลก” จอร์จ ดับเบิลยู บุช จึงชนะมาด้วยคะแนนที่ฉิวเฉียด ไม่อาจพูดได้ว่าท่านได้รับความนิยมอย่างท่วมท้น แต่เหตุการณ์การก่อการร้ายโจมตีอาคารเวิลด์เทรดในวันที่ 11 กันยายน เปลี่ยนสิ่งนี้ไปอย่างสิ้นเชิง ประธานาธิบดีของเรา “สมศักดิ์ศรี” ตำแหน่งประธานาธิบดีในทันที และภาวะผู้นำของท่านในช่วงวิกฤตินั้นส่งให้ท่านขึ้นสู่ตำแหน่งสำคัญในทำเนียบของประวัติศาสตร์
เราสามารถเห็นช่วงหักเหที่สำคัญในชีวิตชองชายและหญิงในพระคัมภีร์ โยเซฟมีประสบการณ์กับช่วงหักเหนี้เมื่อท่านเลือกปฏิเสธนายหญิงที่มายั่วยวน และอีกช่วงหนึ่งเมื่อโยเซฟตระหนักถึงความรับผิดชอบต่อครอบครัวที่พระเจ้ามอบให้ท่าน จุดหักเหในชีวิตของดาเนียลอยู่ตั้งแต่บทแรกของหนังสือดาเนียล เมื่อท่านและเพื่อนๆทั้งสามตั้งใจที่จะไม่ทำตัวเป็นมลทินด้วยอาหารสูงของพระราชา เปโตรเองก็มีช่วงสำคัญเมื่อท่าน “ประกาศการยอมรับ” พระเยซู แม้แต่ยูดาสเองก็มีช่วงหักเหนี้ (ยอห์น 12:1-8; 13:18-30)
ผมเชื่อว่าพิธีบัพติศมาของพระเยซูและเมื่อพระองค์ถูกมารมาผจญเป็นช่วงหักเหที่สำคัญสำหรับชีวิตและพระราชกิจของพระองค์ เป็นเส้นทางที่ชีวิตและพระราชกิจของพระองค์ถูกประกาศออกไป ถูกทดสอบและได้รับการยืนยัน หนังสือพระกิตติคุณคล้ายแต่ละเล่มบันทึกเรื่องการรับบัพติศมาและถูกมารผจญของพระองค์ไว้ พระกิตติคุณยอห์นบันทึกเรื่องการรับบัพติศมา แต่ไม่มีเรื่องการทดลอง อาจเป็นเพราะยอห์นเน้นความเป็นพระเจ้าของพระองค์ตั้งแต่ประโยคแรก จึงไม่จำเป็นต้องย้ำเรื่องพระเจ้าไม่ถูกล่อลวงอีก (ดูยากอบ 1:13)
ให้เรามาดูเรื่องพิธีบัพติศมาและการถูกทดลองของพระเยซูกัน เหตุการณ์นี้ไม่เพียงแต่เป็นช่วงเวลาสำคัญในพระชนม์ชีพของพระองค์เท่านั้น แต่เป็นพระราชกิจที่สำคัญยิ่งและจำเป็นต่อพระราชกิจการทรงไถ่ของพระองค์ นอกจากนั้น เราจะเรียนรู้ได้มากมายถึงวิถีของซาตานเพื่อจะรับมือกับการทดลองในชีวิตของเรา ขอให้ตั้งใจและใส่ใจในพระวจนะและพระวิญญาณของพระเจ้าเพื่อจะนำมาใช้ให้เกิดผลในชีวิตประจำวัน ตามที่พระเยซูตรัส “มนุษย์จะบำรุงชีวิตด้วยอาหารสิ่งเดียวหามิได้ แต่บำรุงด้วยพระวจนะทุกคำ ซึ่งออกมาจากพระโอษฐ์ของพระเจ้า” พระวจนะในมัทธิว รวมถึงคำตรัสของพระเยซูเป็นคำ “ซึ่งออกมาจากพระโอษฐ์ของพระเจ้า” ดังนั้นจึงเป็นถ้อยคำที่ให้ชีวิต
แล้วพระเยซูเสด็จจากแคว้นกาลิลี มาหายอห์นที่แม่น้ำจอร์แดนเพื่อจะรับบัพติศมาจากท่าน แต่ยอห์นทูลห้ามพระองค์ว่า "ข้าพระองค์ต้องการจะรับบัพติศมาจากพระองค์ ควรหรือที่พระองค์จะเสด็จมาหาข้าพระองค์" แต่พระเยซูตรัสตอบยอห์นว่า "บัดนี้จงยอมเถิด เพราะสมควรที่เราทั้งหลายจะกระทำตามสิ่งชอบธรรมทุกประการ" แล้วยอห์นก็ยอม ครั้นพระองค์ทรงรับบัพติศมาแล้ว ในทันใดนั้นก็เสด็จขึ้นจากน้ำ และท้องฟ้าก็แหวกออก และพระองค์ได้ทรงเห็นพระวิญญาณของพระเจ้าดุจนกพิราบ ลงมาสถิตอยู่บนพระองค์ และนี่แน่ะมีพระสุรเสียงตรัสจากฟ้าสวรรค์ว่า "ท่านผู้นี้เป็นบุตรที่รักของเรา เราชอบใจท่านมาก" (มัทธิว 3:13-17) 2
พิธีบัพติศมาของพระเยซูน่าจะเป็นการส่วนพระองค์มากกว่ากระทำในท่ามกลางผู้คน เมื่อพระองค์เสด็จมาที่แม่น้ำจอร์แดนเป็นครั้งแรกเพื่อรับบัพติศมา พระกิตติคุณลูกาพูดว่าพระเยซูมารับบัพติศมาเมื่อคนทั้งปวงมารับบัพติศมาในวันนั้น :
อยู่มาเมื่อคนทั้งปวงรับบัพติศมา และพระเยซูทรงรับด้วย ขณะเมื่อทรงอธิษฐานอยู่ ท้องฟ้าก็แหวกออก (ลูกา 3:21)
พระวจนะตอนนี้ผมมีความเห็นว่าไม่น่าจะมีกลุ่มคนเหลือเยอะมาเฝ้าดูพระเยซูรับบัพติศมา3 และคิดว่าพระองค์อาจเสด็จไปทีหลังสุดในวันนั้น หลังจากที่ทุกคนรับบัพติศมาเสร็จและกลับไปหมดแล้ว4
นอกจากนั้น ถ้าผมอ่านแต่ละตอนอย่างถูกต้อง ท้องฟ้าแหวกออกหลังจากที่ยอห์นให้บัพติศมาพระเยซูแล้ว:
ครั้นพระองค์ทรงรับบัพติศมาแล้ว ในทันใดนั้นก็เสด็จขึ้นจากน้ำ และท้องฟ้าก็แหวกออก และพระองค์ได้ทรงเห็นพระวิญญาณของพระเจ้าดุจนกพิราบ ลงมาสถิตอยู่บนพระองค์ (มัทธิว 3:16) และดู (มาระโก 1:9)ด้วย
อยู่มาเมื่อคนทั้งปวงรับบัพติศมา และพระเยซูทรงรับด้วย ขณะเมื่อทรงอธิษฐานอยู่ ท้องฟ้าก็แหวกออก (ลูกา 3:21)
ลำดับการรับบัพติศมาของพระเยซูจึงเป็นดังนี้ : พระเยซูเสด็จไปที่แม่น้ำจอร์แดน ยืนยันกับยอห์นว่าพระองค์ควรรับบัพติศมาด้วย และเมื่อรับบัพติศมาจากยอห์นในแม่น้ำจอร์แดนแล้ว เสด็จขึ้นบนฝั่ง และดูเหมือนทรงหยุดเพื่ออธิษฐาน น่าจะเป็นเวลานี้ที่ท้องฟ้าแหวกออก5 พระวิญญาณเด็จลงมาเหนือพระองค์ และพระเจ้าตรัสลงมาจากฟ้าสวรรค์
องค์พระเยซูคริสต์เองเป็นผู้ริเริ่มพิธีบัพติศมา ไม่ใช่ยอห์น พระองค์เสด็จไปหายอห์นเพื่อจะรับบัพติศมาด้วย แต่ยอห์นลังเล สิ่งที่มัทธิวชี้ให้เห็น ทำให้ต้องกลับไปดูพระกิตติคุณยอห์นที่บันทึกว่ายอห์นผู้ให้บัพติศมาไม่แน่ใจว่าพระองค์คือพระเมสซิยาห์ตามพระสัญญา จนได้ให้บัพติศมาพระองค์แล้ว (ยอห์น 1:29-34) ในมัทธิวบ่งว่ายอห์นผู้ให้บัพติศมาคุ้นเคยกับพระเยซู และอย่างน้อยอาจสงสัยว่าพระองค์คือพระเมสซิยาห์ตามพระสัญญา เมื่อพระเยซูเสด็จมารับบัพติศมา ยอห์นจึงลังเล การตอบสนองของยอห์นบอกให้รู้ว่าตระหนักถึงสถานะอันสูงส่งของพระเยซู 6 ยอห์นไม่เพียงแต่ตระหนักว่าพระเยซูสูงส่งและใหญ่ยิ่ง ท่านรู้ด้วยว่าการรับบัพติศมาของพระองค์นั้นเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ (มัทธิว 3:11) ยอห์นให้บัพติศมาด้วยน้ำ พระเยซูทรงให้บัพติศมาด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์และด้วยไฟ บัพติศมาของยอห์นเป็นหนึ่งในการสำนึกผิดกลับใจ ผู้คนที่มาขอรับบัพติศมาสารภาพบาปของตนเอง (มัทธิว 3:5-6) แล้วพระเยซูต้องสารภาพกลับใจจากสิ่งใด? ยอห์นคงตระหนักดีว่าพระเยซูนั้นชอบธรรมกว่าท่านนัก
แม้ยอห์นจะลังเล แต่พระเยซูทรงยืนยันที่จะรับบัพติศมาจากยอห์น เหตุผลเดียวที่พระเยซูตรัสคือ “สมควรที่เราทั้งหลายจะกระทำตามสิ่งชอบธรรมทุกประการ” (มัทธิว 3:15) ดูคำว่า “กระทำตามสิ่งชอบธรรม” เป็นบางสิ่งที่ทั้งยอห์นและพระเยซู (ดูคำว่า “เรา” ใน 3:15) สมควรกระทำ ไม่ใช่พระเยซูผู้เดียวเท่านั้น พระองค์ทรงหมายความว่าอย่างไร? พิธีบัพติศมาของพระเยซู ยอห์นและพระเยซูทรงกระทำสัญลักษณ์ที่ยิ่งใหญ่และสำคัญยิ่ง – ทั้งสองกำลังทำให้ความชอบธรรมนั้นครบถ้วน คำว่า “กระทำตาม” หมายถึงในท่ามกลางสิ่งอื่นๆ “ทำให้เกิดขึ้น” “ทำให้ครบถ้วน” “ทำให้สำเร็จลง” หรือ “ทำให้เป็นที่รู้แจ้งทั่วกัน”
เหตุการณ์นี้ทำให้ผมเริ่มเข้าใจถ้อยคำของพระเยซู ในสมัยพระคัมภีร์เดิมมีการกำหนดมาตรฐานความชอบธรรมเอาไว้ (บทบัญญติ) ซึ่งไม่มีใครทำได้ครบถ้วน ในพระคัมภีร์เดิมยังมีพระสัญญาด้วยว่าพระเจ้าจะประทานความชอบธรรมให้แก่ผู้ที่เชื่อในพระองค์ พระเยซูและยอห์นกำลังทำพันธกิจแห่งความชอบธรรม หรือความรอดโดยการเริ่มต้นพระราชกิจจานุกิจของพระเยซูสู่ภายนอกด้วยพิธีบัพติศมา ถ้อยคำที่พระเยซูตรัสกับยอห์น ผมเชื่อว่าเป็นการนำร่องก่อนที่พระองค์จะตรัสกับฝูงชนในคำเทศนาบนภูเขา:
17 "อย่าคิดว่าเรามาเลิกล้างธรรมบัญญัติและคำของผู้เผยพระวจนะ เรามิได้มาเลิกล้าง แต่มาทำให้สมบูรณ์ทุกประการ 18 เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ตราบใดที่ฟ้าและดินดำรงอยู่ แม้อักษรหนึ่งหรือขีดๆหนึ่งก็จะไม่สูญไปจากธรรมบัญญัติ จนกว่าสิ่งที่จะต้องเกิด ได้เกิดขึ้นแล้ว 19 เหตุฉะนั้น ผู้ใดได้ทำให้ข้อเล็กน้อยสักข้อหนึ่งในธรรมบัญญัตินี้เบาขึ้น ทั้งสอนคนอื่นให้ทำอย่างนั้นด้วย ผู้นั้นจะได้ชื่อว่าเป็นผู้น้อยที่สุดในแผ่นดินสวรรค์ แต่ผู้ใดที่ประพฤติและสอนตามธรรมบัญญัติ ผู้นั้นจะได้ชื่อว่าเป็นใหญ่ในแผ่นดินสวรรค์ 20 เพราะเราบอกท่านทั้งหลายว่า ถ้าความชอบธรรมของท่าน ไม่ยิ่งกว่าความชอบธรรมของพวกธรรมาจารย์ และพวกฟาริสี ท่านจะไม่มีวันได้เข้าสู่แผ่นดินสวรรค์ (มัทธิว 5:17-20)
การทำ “ให้สมบูรณ์ทุกประการ” คือทำให้พระสัญญาเรื่องความชอบธรรมที่ทำนายไว้ในพระคัมภีร์เดิมเป็นจริงครบถ้วน และสำเร็จลงโดยองค์พระเยซูคริสต์ พิธีบัพติศมาของพระเยซูเป็นการเดินหน้าในขั้นตอนสุดท้ายของการจัดเตรียมความชอบธรรมให้แก่ผู้หลงหาย คนบาปผู้ไม่สมควรได้รับ
พิธีบัพติศมาของยอห์นสำแดงความเป็นหนึ่งเดียวระหว่างพระเยซูและตัวท่าน พันธกิจและข่าวประเสริฐของพระองค์ เมื่อยอห์นรับรองว่าพระเยซูทรงเป็นพระเมสซิยาห์ตามพระสัญญา พระเยซูทรงรับรองยอห์นและพันธกิจของท่านด้วย
เหนือไปกว่านั้น พิธีบัพติศมาของยอห์นเป็นพยานให้ท่านรู้ว่าพระเยซูทรงเป็นพระเมสซิยาห์ :
31 ข้าพเจ้าเองก็ไม่ได้รู้จักพระองค์ แต่เพื่อให้พระองค์ทรงเป็นที่ประจักษ์แก่พวกอิสราเอล ข้าพเจ้าจึงได้มาให้บัพติศมาด้วยน้ำ" 32 และยอห์นกล่าวเป็นพยานว่า "ข้าพเจ้าเห็นพระวิญญาณเหมือนดังนกพิราบ เสด็จลงมาจากสวรรค์และทรงสถิตบนพระองค์ 33 ข้าพเจ้าเองไม่รู้จักพระองค์ แต่พระองค์ทรงใช้ให้ข้าพเจ้าให้บัพติศมาด้วยน้ำ ได้ตรัสกับข้าพเจ้าว่า 'เมื่อเจ้าเห็นพระวิญญาณเสด็จลงมาสถิตอยู่บนผู้ใด ผู้นั้นแหละเป็นผู้ให้บัพติศมาด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์' 34 และข้าพเจ้าก็ได้เห็นแล้วและได้เป็นพยานว่า พระองค์นี้แหละเป็นพระบุตรของพระเจ้า" (ยอห์น 1:31-34)
ในพระกิตติคุณมัทธิว พระเจ้าพระบิดาทรงประกาศเลือกและตั้งพระเยซูคริสต์ขึ้นเป็นพระเมสซิยาห์โดยการเสด็จมาของพระวิญญาณบริสุทธิ์ นี่เป็นตอนหนึ่งในพระวจนะที่บอกให้เรารับรู้และยอมรับถึงการเป็นพระตรีเอกานุภาพ 7 พระบิดา พระบุตร และพระวิญญาณ เสด็จมาพร้อมกันในพิธีบัพติศมาของพระเยซู
คำตรัสของพระบิดาต้องนำไปเทียบดูกับพระวจนะหลายตอนในพระคัมภีร์เดิมเพื่อให้เข้าใจความหมายได้ดีขึ้น :
และนี่แน่ะมีพระสุรเสียงตรัสจากฟ้าสวรรค์ว่า "ท่านผู้นี้เป็นบุตรที่รักของเรา เราชอบใจท่านมาก" (มัทธิว 3:17)
12 เมื่อวันของเจ้าครบแล้ว และเจ้านอนพักอยู่กับบรรพบุรุษของเจ้า เราจะให้บุตรชายคนหนึ่งของเจ้าเกิด ขึ้นสืบต่อจากเจ้าผู้ซึ่งเกิดมาจากตัวเจ้าเองและ เราจะสถาปนาอาณาจักรของเขา 13 เขาจะเป็นผู้สร้างนิเวศเพื่อนามของเรา และเราจะสถาปนาบัลลังก์แห่งราชอาณาจักรของเขาให้อยู่เป็นนิตย์ 14 เราจะเป็นบิดาของเขา และเขาจะเป็นบุตรของเรา ถ้าเขากระทำผิดเราจะตีสอนเขาด้วยไม้เรียวของมนุษย์ ด้วยการเฆี่ยนแห่งบุตรมนุษย์ทั้งหลาย (2ซามูเอล 7:12-14)
4 พระองค์ผู้ประทับในสวรรค์ ทรงพระสรวล พระเจ้าทรงเย้ยหยันเขาเหล่านั้น
5 แล้วพระองค์ตรัสกับเขาทั้งหลายด้วยพระพิโรธ และกระทำให้เขาสยดสยองด้วยความกริ้วของพระองค์ ตรัสว่า
6 "เราได้ตั้งกษัตริย์ของเราไว้แล้ว บนศิโยน ภูเขาศักดิ์สิทธิ์ของเรา"
7 ข้าพเจ้าจะบอกถึงพระดำรัสของพระเจ้า พระองค์รับสั่งกับข้าพเจ้าว่า "เจ้าเป็นบุตรของเรา วันนี้เราได้ให้กำเนิดแก่เจ้าแล้ว
8 จงขอจากเราเถิด และเราจะมอบบรรดาประชาชาติให้เป็นมรดกของเจ้า ตลอดทั้งแผ่นดินโลกให้เป็นกรรมสิทธิ์ของเจ้า
9 เจ้าจะตีเขาให้แตกด้วยกระบองเหล็ก และฟาดให้แหลกเป็นชิ้นๆ ดุจภาชนะของช่างปั้นหม้อ" (สดุดี 2:4-9)
นี่เป็นถ้อยคำที่สำคัญมาก และเป็นถ้อยคำที่เราต้องเข้าใจให้ถูกต้อง “เจ้าเป็นบุตรของเรา” ไม่ใช่เป็นการประกาศสิทธิในการเป็นบิดา หรือสิทธิทางสายเลือดต่อจากบรรพบุรุษ แต่เป็นข้อกำหนดในการตั้งกษัตริย์ขึ้นครองบัลลังก์ ในสดุดีบทที่ 2 บรรดากษัตริย์ของโลกต่างคบคิดกันต่อสู้ฟ้าสวรรค์ และถูกเตือนว่าพระเจ้าจะตั้งกษัตริย์ของพระองค์ขึ้น คือพระเมสซิยาห์ และพระองค์จะมีชัยเหนือศัตรูและจะปกครองพวกเขา ผู้เขียนหนังสือหนังสือฮีบรูนำถ้อยคำทั้งสองจากพระคัมภีร์เดิมมาไว้ด้วยกันเพื่อให้เห็นถึงประเด็นสำคัญ :
3 พระบุตรทรงเป็นแสงสะท้อนพระสิริของพระเจ้า และทรงมีสภาวะเป็นพิมพ์เดียวกันกับพระองค์ และทรงผดุงโลกไว้ด้วยพระดำรัสอันทรงฤทธิ์ของพระองค์ เมื่อพระองค์ได้ทรงชำระบาปแล้ว ก็ได้ประทับ ณ เบื้องขวาของพระเจ้าเบื้องบน 4 พระองค์ทรงยิ่งใหญ่เหนือเหล่าทูตสวรรค์มากนัก ด้วยว่าพระองค์ทรงพระนามที่ประเสริฐกว่านามของทูตสวรรค์ 5 เพราะว่ามีผู้ใดบ้างในบรรดาทูตสวรรค์ที่พระองค์ได้ตรัสแก่เขาว่า
ท่านเป็นบุตรของเรา
วันนี้เราให้กำเนิดท่าน
และยังตรัสอีกว่า
เราจะเป็นบิดาของท่าน และท่านจะเป็นบุตรของเรา (ฮีบรู 1:3-5)8
ใน 2ซามูเอล 7 เราพบพันธสัญญาดาวิด ในบริบทก่อนหน้า ดาวิดได้แสดงความปรารถนาอยากสร้างพระนิเวศ (พระวิหาร) ให้พระเจ้า แต่พระองค์กลับให้สัญญาว่าจะประทานราชวงศ์ (สืบทอดบัลลังก์) ให้ดาวิดแทน ทรงสัญญาว่าเชื้อสายของดาวิดจะเป็นกษัตริย์องค์นิรันดร์ของอิสราเอล หลายครั้งเราจึงพบว่าพระเยซูถูกเรียกว่าเป็น “บุตรดาวิด”9 หรือ “พระเจ้าจะทรงประทานพระที่นั่งของดาวิดบรรพบุรุษของท่านให้แก่ท่าน” (ลูกา 1:32) สิ่งที่พระบิดาตรัสนั้นชัดเจน – พระเยซูคือผู้ที่พระเจ้าพระบิดาเลือกสรรและแต่งตั้งให้ปกครองเหนืออิสราเอล ในฐานะพระบุตร นั่นคือกษัตริย์ที่ทรงเจิมตั้งไว้แล้ว
เป็นพระเมสซิยาห์มีความหมายมากกว่าเป็นกษัตริย์ของอิสราเอล และมีความสำคัญ การเป็นพระเมสซิยาห์หมายความว่าพระเยซูต้องสละพระชนม์เพื่อความบาปของเรา ผมเป็นหนี้บุญคุณ เจมส์ มอนต์โกเมอร์รี่ บอยส์ ที่นำเสนออีกมุมมองในการรับรองของพระเจ้าพระบิดา :
ช่วงหลังของประโยค (ผู้ซึ่งใจเราปิติยินดี”) มาจากอิสยาห์ 42:1 ในตอนต้นของคำพยากรณ์เรื่องการทนทุกข์ของผู้รับใช้พระเจ้าผู้ซึ่งจะมาชดใช้ความผิดบาปให้อิสราเอล (อิสยาห์ 42:1-9, 49:1-7, 50:1-11 และ 52:13-53)10
พระเยซูจึงเป็นผู้ได้รับการแต่งตั้งอย่างเป็นทางการ (โดยพระเจ้าพระบิดา และพระเจ้าพระวิญญาณ) ในฐานะพระเมสซิยาห์ ผู้จะสละพระชนม์ชีพของพระองค์เองในฐานะผู้รับใช้ที่ทนทุกข์ และจะเริ่มต้นการปกครองบนโลกนี้เมื่อเสด็จกลับมาครั้งที่สอง
ในพิธีบัพติศมาของพระเยซู พระองค์ได้รับฤทธิอำนาจจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ เมื่อกษัตริย์อิสราเอลได้รับการเจิมตั้งโดยผู้เผยพระวจนะของพระเจ้า พวกเขาได้รับฤทธิอำนาจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ 11 และด้วยฤทธิอำนาจนี้กษัตริย์จะใช้ปกครองอิสราเอล พิธีบัพติศมาของพระเยซูโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์นั้นเห็นชัดเจนด้วยการเสด็จมาของนกพิราบ 12 มาประทับอยู่เหนือพระผู้ช่วยให้รอด นี่เป็นสัญลักษณ์ที่ยืนยันว่าพระเยซูคือพระเมสซิยาห์ให้กับยอห์นผู้ให้บัพติศมา (ยอห์น 1:29-34) เป็นความเข้าใจของผมว่าขณะที่องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา ในฐานะพระเจ้า ทรงมีฤทธิอำนาจ แต่พระองค์สมัครใจเลือกที่จะไม่ใช้อำนาจนั้น แต่ตั้งพระทัยรับภาระและพันธกิจของพระองค์ตามที่ได้รับมอบหมายให้สำเร็จโดยยอมจำนนกับพระประสงค์ของพระบิดาด้วยฤทธิอำนาจของพระวิญญาณบริสุทธิ์
พระวิญญาณบริสุทธิ์เกี่ยวข้องใกล้ชิดกับการสละพระชนม์ชีพเป็นเครื่องบูชาในฐานะ “พระเมษโปดกของพระเจ้า ผู้ทรงรับความผิดบาปของโลกไปเสีย” (ยอห์น 1:29) โดยทางพระวิญญาณทำให้การถวายบูชานี้สำเร็จลง:
13 เพราะว่าถ้าเลือดแพะและเลือดวัวตัวผู้ และเถ้าของลูกโคตัวเมีย ที่ประพรมลงบนคนบาปสามารถชำระมนุษย์ให้บริสุทธิ์ได้ 14 พระโลหิตของพระเยซูคริสต์ ผู้ได้ทรงถวายพระองค์เองแด่พระเจ้าโดยพระวิญญาณนิรันดร์ ให้เป็นเครื่องบูชาอันปราศจากตำหนิ ก็จะทรงชำระได้มากยิ่งกว่านั้นสักเพียงใด เพื่อให้จิตใจของคนที่หมกมุ่นในการประพฤติที่นำไปสู่ความตาย หันไปรับใช้พระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่ (ฮีบรู 9:13-14)
พิธีบัพติศมาของพระเยซู พระองค์ทรงแสดงสัญลักษณ์ของการยอมเชื่อฟังพระบิดาในการทำพันธกิจบนโลกนี้ ยอมถวายพระองค์เองเป็นเครื่องบูชาไถ่บาปให้แก่มนุษย์ ปัจจุบันบัพติศมาของผู้เชื่อมองย้อนกลับไปที่การสิ้นพระชนม์ ถูกฝังไว้ และการคืนพระชนม์ขององค์พระเยซูคริสต์ พิธีบัพติศมาไม่เพียงแต่ผู้เชื่อจะประกาศตนเป็นหนึ่งเดียวกับพระคริสต์ในการสิ้นพระชนม์ การถูกฝัง และการคืนพระชนม์ และเป็นการแสดงถึงความตั้งใจในการติดตามพระเยซูคริสต์โดยยอมเชื่อฟังพระมหาบัญชา :
18 พระเยซูจึงเสด็จเข้ามาใกล้แล้วตรัสกับเขาว่า "ฤทธานุภาพทั้งสิ้นในสวรรค์ก็ดี ในแผ่นดินโลกก็ดีทรงมอบไว้แก่เราแล้ว 19 เหตุฉะนั้นเจ้าทั้งหลายจงออกไปสั่งสอนชนทุกชาติ ให้เป็นสาวกของเรา ให้รับบัพติศมาในพระนามแห่งพระบิดา พระบุตรและพระวิญญาณบริสุทธิ์ 20 สอนเขาให้ถือรักษาสิ่งสารพัดซึ่งเราได้สั่งพวกเจ้าไว้ นี่แหละเราจะอยู่กับเจ้าทั้งหลายเสมอไป จนกว่าจะสิ้นยุค" (มัทธิว 28:18-20)
ขณะที่บัพติศมาของผู้เชื่อมองย้อนกลับไปที่การสิ้นพระชนม์ของพระคริสต์ การถูกฝัง และการคืนพระชนม์ (โรม 6:1-11) พิธีบัพติศมาของยอห์นเป็นการมองไปข้างหน้าถึงการสิ้นพระชนม์ การถูกฝัง และการคืนพระชนม์แทนความผิดบาปของมนุษย์ พิธีบัพติศมาของพระเยซูไม่ได้รวมถึงการสำนึกผิดกลับใจ เพราะพระองค์ไม่มีบาป (ซึ่งเราจะเรียนต่อเมื่อมารมาผจญ และการตอบสนองของพระองค์) อาจเป็นได้ที่พระองค์แสดงตนร่วมกับคนบาป แต่ไม่ได้แสดงว่าทรงเป็นคนบาป จากสิ่งที่พระองค์ตรัสกับยอห์น ดูเหมือนพระองค์ไม่ได้ให้ความสนใจเรื่องความบาปเท่ากับความชอบธรรมที่จะต้องสำเร็จลงทางพระราชกิจของพระองค์โดยยอห์นมีส่วนในพันธกิจนี้ 13
หลังบัพติศมา โดยพระวิญญาณ พระเยซูถูกนำเข้าไปในถิ่นทุรกันดาร ทรงเข้าไปในถิ่นทุรกันดารทันทีเพื่อให้มารมาผจญสี่สิบวันสี่สิบคืน เมื่อพระเยซูทรงถูกทดลองในถิ่นทุรกันดาร สังเกตุดูการรับบัพติศมาของพระองค์เป็นสิ่งที่มารนำมาใช้ทดลอง ดังนั้นพิธีบัพติศมาของพระเยซูจึงเป็นพื้นฐานในการที่พระองค์ถูกทดลอง และพื้นฐานในงานพระราชกิจต่อจากนั้น
ขอให้เราเริ่มด้วยการตั้งข้อสังเกตุหลายสิ่งที่สำคัญในเรื่องถิ่นทุรกันดาร สถานที่ๆพระเยซูเผชิญการทดลอง
ประการแรก ประสบการณ์ที่พระเยซูทรงเข้าไปในถิ่นทุรกันดาร ทำให้พระองค์มีความเป็นหนึ่งเดียวกับชนชาติอิสราเอล
1 ครั้งนั้น พระวิญญาณทรงนำพระเยซูเข้าไปในถิ่นทุรกันดาร เพื่อมารจะได้มาผจญ 2 และพระองค์ทรงอดพระกระยาหารสี่สิบวันสี่สิบคืน ภายหลังพระองค์ก็ทรงอยากพระกระยาหาร (มัทธิว 4:1-2)
การทดลองที่พระเยซูเผชิญในถิ่นทุรกันดาร 40 วันและคืน ทำให้พระองค์เชื่อมโยงเข้ากับชนชาติอิสราเอล อย่างที่มัทธิวบันทึกไว้ก่อนหน้า (ดูมัทธิว 1:1-17) อิสราเอลผ่านเข้าพิธีบัพติศมาก่อนที่จะถูกนำเข้าสู่ถิ่นทุนกันดารถึง 40 ปี ที่ๆพระเจ้าทรงทดสอบพวกเขา :
1 ดูก่อนพี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าอยากให้ท่านทั้งหลายเข้าใจว่า บรรพบุรุษของเราทั้งสิ้นได้อยู่ใต้เมฆ และได้ผ่านทะเลไปทุกคน 2 ได้รับบัพติศมาในเมฆและในทะเลเข้าสนิทกับโมเสสทุกคน (1โครินธ์ 10:1-2)
1 "บัญญัติทั้งสิ้นซึ่งข้าพเจ้าบัญชาท่านในวันนี้นั้น ท่านทั้งหลายจงระวังกระทำตาม เพื่อท่านทั้งหลายจะมีชีวิตและทวีมากขึ้น และเข้าไปยึดครองแผ่นดินซึ่งพระเยโฮวาห์ ทรงปฏิญาณที่จะกระทำแก่บรรพบุรุษของท่าน 2 ท่านทั้งหลายจงระลึกถึงทางซึ่งพระเยโฮวาห์ พระเจ้าของท่านทรงนำท่าน14 อยู่ในถิ่นทุรกันดารถึงสี่สิบปี เพื่อพระองค์จะทรงกระทำให้ท่านถ่อมใจ และทดลองให้ทราบว่าจิตใจของท่านเป็นอย่างไร ดูว่าท่านจะรักษาพระบัญญัติของพระองค์หรือไม่ 3 พระองค์ทรงกระทำให้ท่านถ่อมใจ และปล่อยท่านให้หิวและเลี้ยงท่านด้วยมานา ซึ่งท่านเองหรือปู่ย่าตายายของท่านก็ไม่ทราบว่าเป็นอะไร เพื่อพระองค์จะทรงกระทำให้ท่านตระหนักแก่ใจว่า มนุษย์จะบำรุงชีวิตด้วยอาหารสิ่งเดียวก็หามิได้ แต่มนุษย์จะมีชีวิตอยู่ได้ ด้วยทุกสิ่งที่ออกมาจากพระโอษฐ์ของพระเจ้า (เฉลยธรรมบัญญัติ 8:1-3)
พระเยซูทรงรับบัพติศมาจากยอห์นและพระวิญญาณบริสุทธิ์ หลังจากนั้นทรงเข้าสู่ถิ่นทุรกันดารในทันที ที่นั่นพระองค์ทรงอดพระกายาหาร 40 วันและคืน และถูกมารมาผจญ พระเยซูทรงเป็น “อิสราเอลแท้” ทรงเป็น “พระบุตรแท้ของพระเจ้า” เห็นได้ชัดจากการเสด็จลงมาประทับอยู่เหนือของพระวิญญาณบริสุทธิ์ และด้วยการมีชัยเหนือการทดลองของมาร ขณะที่อิสราเอลสอบไม่ผ่าน พระเยซูทรงมีชัย ทำให้พระองค์มีคุณสมบัติครบถ้วนเพื่อทำหน้าที่ชดใช้ความผิดบาปตามที่ถูกกำหนดให้เกิดขึ้นที่เนินหัวกระโหลก
ประการที่สอง พระวิญญาณบริสุทธิทรงเป็นผู้นำพระเยซูเข้าไปในถิ่นทุรกันดาร:
1ครั้งนั้น พระวิญญาณทรงนำพระเยซูเข้าไปในถิ่นทุรกันดาร เพื่อมารจะได้มาผจญ (มัทธิว 4:1)
12 ในทันใดนั้น พระวิญญาณจึงเร่งเร้าพระองค์ให้เสด็จเข้าไปในถิ่นทุรกันดาร (มาระโก 1:12)
ดูเหมือนผู้เขียนหนังสือพระกิตติคุณต้องการให้เราเข้าใจว่าพระวิญญาณบริสุทธิทรงเร้าและนำพระองค์เข้าสู่ถิ่นทุรกันดาร และถูกมารผจญ มาระโกไปไกลกว่ามัทธิว เพิ่มรายละเอียดสำคัญที่พระวิญญาณบริสุทธิเร้าพระเยซูเข้าสู่ถิ่นทุรกันดาร ไม่ใช่แค่พระองค์ทรงยอมเท่านั้น แต่เป็นการทรงนำที่น่าสนใจ
ประการที่สาม พระวิญญาณทรงนำพระเยซูตลอดในถิ่นทุรกันดาร:
พระเยซูทรงประกอบด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ ได้กลับไปจากแม่น้ำจอร์แดน และพระวิญญาณได้ทรงนำพระองค์ไป (ลูกา 4:1)
พระวิญญาณทรงนำพระองค์เข้าสู่ถิ่นทุรกันดารเป็นเรื่องหนึ่ง แต่การทรงนำของพระวิญญาณบริสุทธิวันต่อวันตลอด 40 วันในถิ่นทุรกันดาร พระวิญญาณทรงทำทั้งสองสิ่ง เรากำลังจะเรียนรู้ว่าเพราะเหตุใด
ประการที่สี่ พระเยซูทรงถูกทดลองตลอดทั้งสี่สิบวัน
เป็นเรื่องง่ายที่เราจะคิดว่าพระเยซูถูกนำเข้าไปสู่ถิ่นทุรกันดารเป็นเวลา 40 วันและคืน พอใกล้ครบกำหนดมารจึงมาล่อลวง เราอาจสรุปได้แบบนี้ถ้าดูตามที่มัทธิบันทึกไว้ แต่เรามองข้ามมาระโกและลูกาไม่ได้เลย :
13 และซาตานได้ผจญพระองค์อยู่ในนั้นถึงสี่สิบวัน พระองค์ทรงอยู่ในที่ของสัตว์ป่า และมีพวกทูตสวรรค์มาปรนนิบัติพระองค์ (มาระโก 1:13)
1 พระเยซูทรงประกอบด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ ได้กลับไปจากแม่น้ำจอร์แดน และพระวิญญาณได้ทรงนำพระองค์ไป 2 ถึงสี่สิบวันในถิ่นทุรกันดาร ทรงถูกมารทดลอง ในวันเหล่านั้นพระองค์มิได้เสวยอะไรเลย และเมื่อสิ้นสี่สิบวันแล้ว พระองค์ทรงอยากพระกระยาหาร (ลูกา 4:1-2)
ลูกาบันทึกไว้ชัดเจน : องค์พระผู้เป็นเจ้าของเราถูกมารมาผจญตลอดทั้ง 40 วัน ไม่ใช่แค่ตอนท้ายของช่วง 40 วัน การทดลองทั้งสามครั้งที่มัทธิวและลูกาบันทึกไว้เหมือนเกิดขึ้นตอนใกล้จบ 40 วัน แต่ถ้าเรานำคำพูดของลูกามาพิจารณา คงสรุปได้ว่ามีการทดลองอื่นๆก่อนหน้านั้นด้วย
ผมเข้าใจว่ามัทธิวกำลังบอกเราว่าพระวิญญาณบริสุทธิทรงมีบทบาทสำคัญในชีวิตของพระเยซูในช่วง 40 วันที่อดอาหารและถูกมารทดลอง พระเยซูทรงพึ่งพิงพระวจนะเพื่อได้รับพระกำลังและการทรงนำในระหว่างถูกทดลอง แต่ลูกาบ่งชัดเจนว่าพระวิญญาณทรงนำพระองค์ตลอด 40 วันนั้น ดังนั้น พระวจนะและพระวิญญาณของพระเจ้าที่นำทรงทำให้พระเยซูมีชัยเหนือซาตานและการทดลอง เช่นเดียวกัน พระวิญญาณของพระเจ้าทรงนำและทำให้เราเข้าใจพระวจนะและสามารถนำมาใช้ได้ (ดู 1โครินธ์ 2, ยอห์น 14:25-26, 16:12-15)
ประการที่ห้า ถิ่นทุรกันดารเองคือส่วนหนึ่งของการทดลอง
ผมเป็น “เด็กต่างจังหวัด” และยังเป็นอยู่ โตขึ้นมาในชนบทและบางครั้งต้องขี่จักรยานฝ่าความมืดไปหาเพื่อนที่บ้านอยู่ห่างไปหลายไมล์ (บางครั้งต้องเดินในป่าตอนกลางคืนด้วย) ขอบอกว่าที่นั่นนอกจากเปลี่ยวแล้วยังมีสัตว์ป่า ตอนนั้นคิดตลอดว่าถ้าเกิดเดินไปตอนกลางคืนแล้วเจอหมีหรือกวาง (หรือสัตว์อื่นๆเช่นเสือปลา)15 ในหนังสือเฉลยธรรมบัญญัติ 8 และมาระโก 1 เราเรียนรู้ว่าอิสราเอลและพระเยซูทรงอยู่ในถิ่นทุรกันดารพร้อมกับสัตว์ป่าด้วย:
15 ผู้ทรงนำท่านมาตลอดถิ่นทุรกันดารใหญ่น่ากลัว ซึ่งมีงูแมวเซาและแมงป่อง และดินแห้งแล้งไม่มีน้ำ ผู้ทรงประทานน้ำจากหินแข็งให้แก่ท่าน 16 ผู้ทรงเลี้ยงท่านทั้งหลายด้วยมานาในถิ่นทุรกันดาร ซึ่งปู่ย่าตายายของท่านไม่ทราบ เพื่อว่าพระองค์จะทรงกระทำให้ท่านถ่อมใจและทดลองท่าน เพื่อกระทำให้เกิดประโยชน์แก่ท่านในบั้นปลาย (เฉลยธรรมบัญญัติ 8:15-16)
12 ในทันใดนั้น พระวิญญาณจึงเร่งเร้าพระองค์ให้เสด็จเข้าไปในถิ่นทุรกันดาร 13 และซาตานได้ผจญพระองค์อยู่ในนั้นถึงสี่สิบวัน พระองค์ทรงอยู่ในที่ของสัตว์ป่า และมีพวกทูตสวรรค์มาปรนนิบัติพระองค์ (มาระโก 1:12-13)16
ลองจินตนาการ อยู่ลำพังในถิ่นทุรกันดารกับพวกสัตว์ป่า โดยเฉพาะเมื่อคุณยอมที่จะพึ่งพิงพระเจ้าพระบิดามากกว่าพึ่งกำลังของตนเอง (ถ้าพระเยซูไม่ได้พยายามจะหาอาหารมาทานแก้หิว ทำไมเราถึงคิดว่าพระองค์จะใช้ฤทธิอำนาจในความเป็นพระเจ้าเพื่อปกป้องตัวเองจากสัตว์ป่า?)
ประการที่หก ในระหว่าง 40 วันและคืนในถิ่นทุรกันดาร พระเยซูทรงสมัครพระทัยอดพระกายาหาร ไม่มีตรงไหนที่บอกว่าพระเยซูไม่ได้ดื่มน้ำ แต่บันทึกว่าพระองค์ทรงอดพระกายาหาร
2 และพระองค์ทรงอดพระกระยาหารสี่สิบวันสี่สิบคืน ภายหลังพระองค์ก็ทรงอยากพระกระยาหาร (มัทธิว 4:2)
เสื้อผ้าของยอห์นผู้นี้ ทำด้วยขนอูฐและท่านใช้หนังสัตว์คาดเอว อาหารของท่านคือจักจั่นและน้ำผึ้งป่า (มัทธิว 3:4)
มีสองมุมมองที่ต่างกันในการ “อดพระกายาหาร” ในถิ่นทุรกันดาร หลายคนเช่นคริสโซสตอม17 และจอห์นไพเพอร์18 ที่เชื่อว่าการอดอาหารของพระเยซูทำให้พระองค์ทรงมีกำลังเพิ่มขึ้นฝ่ายวิญญาณ เพื่อเตรียมมีชัยชนะเหนือการทดลอง แล้วยังมีคนอื่นๆเช่นคาลวิน และลูเธอร์19 ที่ไม่เห็นว่าการอดพระกระยาหารของพระเยซูเป็นการเพิ่มกำลัง แต่กลับทำให้พระองค์อ่อนแอลง ผมเองก็อยู่ในกลุ่มหลัง ผมเชื่อว่าพระเจ้าทรงทำให้เห็นความแตกต่างระหว่างการล่อลวงของเอวาและของพระเยซู อาดัมและเอวาไม่ได้อดอาหารหรือน้ำที่ในสวนเอเดน พวกเขาล้มลงโดยเลือกกินอาหารต้องห้าม พระเยซูไม่มีอาหาร แต่พระองค์ยังทรงต้านการทดลองของมารได้ มัทธิว พยายามแสดงให้เห็นว่าพระเยซูสามารถต้านการทดลองของมารได้ จึงมุ่งความสำคัญไปที่ชัยชนะของพระองค์ในเวลาที่ทรงอ่อนแอที่สุด มากกว่าเวลาเข้มแข็งที่สุด
3 ส่วนผู้ผจญมาหาพระองค์ทูลว่า "ถ้าท่านเป็นพระบุตรของพระเจ้า จงสั่งก้อนหินเหล่านี้ให้กลายเป็นพระกระยาหาร" 4 ฝ่ายพระองค์ตรัสตอบว่า "มีพระคัมภีร์เขียนไว้ว่า 'มนุษย์จะบำรุงชีวิตด้วยอาหารสิ่งเดียวหามิได้ แต่บำรุงด้วยพระวจนะทุกคำ ซึ่งออกมาจากพระโอษฐ์ของพระเจ้า'" (มัทธิว 4:3-4)
สังเกตุดูจะเห็นว่ามัทธิวเรียกมารว่า “ผู้มาผจญ” มาระโกเรียก “ซาตาน” (1:13) ขณะที่ลูกาเรียก “มาร” (4:2) มัทธิวกำลังชี้ให้เห็นตัวตนของศัตรู ท่านอธิบายให้เห็นถึงธรรมชาติและลักษณะของมัน นี่คือตัวตนของมาร นี่คือสิ่งที่มันทำ มันคือ “ผู้มาผจญ” และถ้ามันเอาชนะได้มันก็จะเป็น “ผู้กล่าวโทษ” (ดูวิวรณ์ 12:10, เศคาริยาห์ 3:1) ซาตานมันสนุกกับการทดลอง คดโกง ฉ้อฉล และที่สุดคือได้ทำลายมนุษย์ลง (เป็นทั้งเจ้าพ่อแห่งการมุสาและฆ่าคน – ยอห์น 8:44) นี่คือซาตาน แต่ดูให้ดีๆว่ามันเสนอตัวอย่างไรเวลามาล่อลวง (ทั้งที่ในสวนเอเดนและในตอนนี้) มันมาในรูปแบบจริงใจ เป็น “มิตร” ที่อยากช่วยเหลือ ไม่เปิดเผยว่ามีผลประโยชน์แอบแฝง ไม่ได้มีส่วนได้ส่วนเสีย จึงไม่แปลกตามที่เอวาพูด (1ทิโมธี 2:14) ว่าเธอถูกงูล่อลวง (ปฐมกาล 3:13)
ผมขอหยุดสักครู่เพื่อเตือนพวกเรา คำปรึกษาที่เลวร้ายที่สุดที่คุณเคยได้รับจากเพื่อนผู้หวังดี – “เพื่อนๆ” ของโยบ ตัวอย่างเช่น พวกเขารู้สึกว่าพวกเขากำลังให้การช่วยเหลือ และคำปรึกษานั้นก็ใช่ แต่ที่สุดแล้วพวกเขาผิดหมด (ดูโยบ 42:7-9) เปโตรคิดว่าท่านกำลังแสดงความเป็น “มิตร” ต่อพระเยซูเมื่อท่านกล่าวตำหนิพระผู้ช่วยให้รอดว่าทำไมตรัสถึงการสิ้นพระชนม์ที่บนไม้กางเขน แต่พระเยซูทรงแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า “คำปรึกษา” ของเปโตรมาจากไหน :
20 แล้วพระองค์ทรงกำชับห้ามเหล่าสาวกของพระองค์มิให้บอกผู้ใดว่า พระองค์ทรงเป็นพระคริสต์ 21 ตั้งแต่เวลานั้นมา พระเยซูทรงเริ่มเผยแก่เหล่าสาวกของพระองค์ว่า พระองค์จะต้องเสด็จไปกรุงเยรูซาเล็ม และจะต้องทนทุกข์ทรมานหลายประการจากพวกผู้ใหญ่ และพวกมหาปุโรหิตและพวกธรรมาจารย์ จนต้องถึงถูกประหารชีวิต แต่ในวันที่สามพระองค์จะทรงถูกชุบให้เป็นขึ้นมาใหม่ 22 ฝ่ายเปโตรเอามือจับพระองค์ทูลท้วงว่า "พระองค์เจ้าข้าให้เหตุการณ์นั้นอยู่ห่างไกลจากพระองค์เถิด อย่าให้เป็นอย่างนั้นแก่พระองค์เลย" 23 พระองค์จึงหันพระพักตร์ตรัสกับเปโตรว่า "อ้ายซาตานจงไปให้พ้น เจ้าเป็นเครื่องกีดขวางเรา เพราะเจ้าคิดอย่างคน มิได้คิดอย่างพระเจ้า" (มัทธิว 16:20-23)
การล่อลวงพระเยซูครั้งแรกตามที่บันทึกไว้ สำหรับผมแล้วข้อเสนอฟังดูน่าสนใจมาก ในอีกมุมมอง มันดูสมเหตุผลที่พระเยซูจะสั่งให้ก้อนหินเป็นขนมปัง ลองสมมุติว่าคุณไปปีนเขาเดินป่าในโคโลราโด ห่างไกลจากความศิวิไลซ์ แล้วคุณหกล้มขาหัก เสบียงหมด เดินก็ไม่ได้ ความช่วยเหลือก็อยู่ไกลเกินไป แล้วคุณก็คิดได้ว่ามีโทรศัพท์มือถืออยู่กับตัว มันสมเหตุผลมั้ยถ้าจะใช้มือถือนั้นโทรขอความช่วยเหลือ? ไม่เห็นจะผิดตรงไหนถ้าจะใช้ความช่วยเหลือเท่าที่หาได้มาเพื่อช่วยชีวิต?
ในความเห็นของผม เหตุผลที่ซาตานนำมาใช้ในการทดลองครั้งแรกของพระเยซูเป็นแบบนี้ครับ :
“พระเยซู ที่นี่คือถิ่นทุรกันดาร ไม่มีทางหาอาหารจากที่ไหน สี่สิบวันผ่านไปแล้ว ถ้าไม่ทำอะไรสักอย่างท่านคงต้องตายแน่ แล้วถ้าตายไปจะไปช่วยอะไรใครได้? ช่วยตัวเองก่อนเถอะ สั่งหินพวกนี้ให้เป็นขนมปัง ท่านเป็นถึงพระเมสซิยาห์ไม่ใช่หรือ ทำเรื่องแบบนี้ทำได้อยู่แล้ว”
ดูผิวเผิน การทดลองแรกของพระเยซูไม่น่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับที่เอวาถูกล่อลวงที่ในสวนเอเดน เอเดนเป็นสถานที่ๆสมบูรณ์แบบ อุดมไปด้วยพืชผักผลไม้ มีอาหารอร่อยๆให้เลือกทานได้ไม่จำกัด มีน้ำมากด้วย แล้วก็ไม่มีอันตรายจากสัตว์ป่า ในขณะที่การทดลองทั้งสอง (ในสวนเอเดนและในถิ่นทุรกันดาร) อาจดูแตกต่าง แต่การล่อลวงเองกลับมีหลายสิ่งที่คล้ายคลึงกัน เช่น :
(1) ผู้มาผจญเป็นคนๆเดียวกัน – ซาตาน
(2) ทั้งสองกรณีเกี่ยวกับเรื่องการกินอาหารต้องห้าม ในสวนเอเดน อาดัมและเอวาถูกสั่งห้ามไม่ให้กินผลไม้จากต้นไม้ต้นหนึ่ง ในถิ่นทุรกันดาร พระวิญญาณบริสุทธิทรงนำพระเยซูให้อดพระกายาหาร ดังนั้นการกินจึงเป็นสิ่งต้องห้ามจนกว่าพระเจ้าจะอนุญาตให้เวลาการอดพระกายาหารนั้นสิ้นสุดลง
(3) การล่อลวงทั้งสองกรณีเป็นการโจมตีโดยตรงไปที่การครอบครองของผู้ที่พระเจ้าทรงบัญชาไว้ อาดัมและเอวารับคำสั่งให้มาครอบครองดูแลสรรพสิ่งที่พระเจ้าสร้าง (ปฐมกาล 1:26-28) พระเยซูคริสต์ก็เช่นกัน (มัทธิว 3:13-17)
(4) การล่อลวงในทั้งสองกรณี ซาตานพูดเป็นนัยว่าพระเจ้าไม่ได้คิดจะให้สิ่งดีที่สุดกับพวกเขา ในการล่อลวงของเอวา ซาตานพูดทำนองพระเจ้าเก็บสิ่งดีๆไว้ ไม่ยอมให้พวกเขา โดยสั่งห้ามไม่ให้กินผลจากต้นไม้แห่งความสำนึกในความดีและความชั่ว ในกรณีของพระเยซู ซาตานพูดทำนองว่าพระองค์อาจตายเพราะอดอาหารได้
(5) ในทั้งสองกรณี ซาตานพยายามหาทางยั่วยวนคนที่ยอมจำนนกับพระเจ้าให้ทำในสิ่งที่เป็นอิสระไม่ขึ้นกับพระองค์ เพื่อให้แผนของซาตานที่บอกว่าเป็นสิ่งดีที่สุดสำหรับทั้งสองสำเร็จลง
(6) ในทั้งสองกรณี ซาตานเรียกร้องให้แต่ละคนกบฎต่อพระประสงค์ที่พระเจ้ากำหนด ในกรณีของอาดัมและเอวา พวกเขากบฎโดยขัดคำสั่งโดยตรงที่พระเจ้าสั่งห้ามไม่ให้กินผลจากต้นไม้แห่งความสำนึกในความดีและความชั่ว ในกรณีของพระเยซู ซาตานพยายามชักจูงให้พระองค์ขัดขืนการทรงนำของพระวิญญาณบริสุทธิที่ทรง “เร้า” (มาระโก 1:12) และ “ทรงนำ” (มัทธิว 4:1) พระองค์ที่ในถิ่นทุรกันดารที่นำให้พระองค์อดพระกายาหาร20
ขอยอมรับว่า ตอนแรกผมเขวไปเพราะคิดไปว่าการทดลองครั้งแรกของพระเยซูเป็นเรื่องของอาหาร ถึงแม้พระองค์ทรงอยากพระกายาหารเพราะไม่ได้ทานอาหารมา 40 วัน ซาตานจึงชักจูงให้พระองค์หาอาหารจากก้อนหิน แต่ในตอนจบ อาหารไม่ใช่ประเด็น แต่เป็นชีวิต ขออธิบายให้ฟังจากเรื่องราวของยาโคบและเอซาวในหนังสือปฐมกาล:
27 เมื่อเด็กชายทั้งสองนั้นโตขึ้นแล้ว เอซาวก็เป็นพรานมือแม่น เป็นชาวทุ่ง ฝ่ายยาโคบเป็นคนเงียบๆอยู่กับบ้าน 28 อิสอัครักเอซาว เพราะท่านรับประทานเนื้อที่เขาล่ามา แต่นางเรเบคาห์รักยาโคบ 29 วันหนึ่งขณะที่ยาโคบต้มอาหารอยู่ เอซาวกลับมาจากท้องทุ่งหิวจัดอดอยาก 30 เอซาวพูดกับยาโคบว่า "ขอให้ข้ากินของแดงนั้น ของแดงนั้นน่ะ เพราะเราหิวจัด" (เพราะฉะนั้นเขาจึงเรียกชื่อว่าเอโดม) 31 ยาโคบว่า "ขายสิทธิบุตรหัวปีของพี่ให้ฉันก่อนซี" 32 เอซาวว่า "ดูซิ ข้ากำลังจะตายอยู่แล้ว สิทธิบุตรหัวปีจะเป็นประโยชน์อะไรแก่ข้า" 33 ยาโคบว่า "สาบานให้ฉันก่อน" เอซาวจึงสาบานให้ และขายสิทธิบุตรหัวปีของตนแก่ยาโคบ 34 ยาโคบจึงให้ขนมปังและถั่วแดงต้มแก่เอซาว เขาก็กินและดื่ม แล้วลุกไป ดังนี้เอซาวก็ดูหมิ่นสิทธิบุตรหัวปีของตน (ปฐมกาล 25:27-34)
เช่นเดียวกับพระเยซู เอซาวหิวจัดเมื่อกลับมาจากท้องทุ่ง (เราอาจนึกไม่ออกว่าหิวจัดจนจะตายเป็นอย่างไร) ยาโคบกำลังต้มเนื้ออยู่ และเอซาวอยากกินมาก แทนที่จะแบ่งเนื้อต้มให้พี่ชาย ยาโคบกลับใช้มันมาต่อรองเพื่อให้ได้สิทธิบุตรหัวปีจากพี่ ตอนที่โมเสสบันทึกเรื่องราวนี้ ท่านไม่ได้บอกเราว่าเอซาวขายสิทธิบุตรหัวปีไปอย่างถูกต้องหรือไม่เพียงแค่แลกกับเนื้อต้มกลิ่นหอม ท่านบอกแต่เพียงว่า เอซาวยอมสละสิทธิบุตรหัวปีเพราะเนื้อต้มนั้นน่ารับประทานยิ่งนัก และเอซาวยอมสละสิทธิบุตรหัวปีเพราะจากคำพูดของเอซาวที่บอกว่า “ข้ากำลังจะตายอยู่แล้ว” สิทธิบุตรหัวปีจะเป็นประโยชน์อะไรถ้าต้องหิวตาย?
มีคำกล่าวว่า “ที่ใดมีชีวิต ที่นั่นก็ยังมีความหวัง” เอซาวเห็นว่าเป็นสิ่งที่ควรทำเพราะเขากำลังจะหิวตาย รักษาชีวิตไว้จึงเป็นเรื่องชอบธรรมแลกกับสิทธิบุตรหัวปี ผมคิดว่าความจริงเอนไปข้างเอซาวที่ดูหมิ่นสิทธิบุตรหัวปีมากกว่าที่ว่าชีวิตของเขากำลังเสี่ยงตาย
ในการทดลองของพระเยซูในถิ่นทุรกันดาร ซาตานกำลังเล่นบทยาโคบเหมือนกับที่บันทึกไว้ในปฐมกาลด้านบน พระเยซูทรงอดพระกายาหารมา 40 วัน และกำลังอยากพระกายาหารมาก พูดแบบมนุษย์ ความตายอยู่ไม่ไกลเลยถ้าพระองค์ไม่รีบรับประทานอาหาร ในเมื่อชีวิตของพระองค์กำลังตกอยู่ในความเสี่ยง ทำไมไม่ทรงทำสิ่งที่สมควรเพื่อรักษาชีวิตไว้? พระองค์ทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้า มีฤทธิอำนาจเสกก้อนหินให้เป็นขนมปังได้21 เพื่อจะให้เป็นการรักษาชีวิตไว้ พระองค์ต้องยอมสละ “สิทธิที่พระเจ้าแต่งตั้ง” ในการมาปกครองของพระองค์
สิ่งที่พระเจ้าตอบสนองต่อการล่อลวงของซาตานคือกุญแจให้เราเข้าใจว่าการทดลองแรกหมายถึงสิ่งใด :
4 ฝ่ายพระองค์ตรัสตอบว่า "มีพระคัมภีร์เขียนไว้ว่า 'มนุษย์จะบำรุงชีวิตด้วยอาหารสิ่งเดียวหามิได้ แต่บำรุงด้วยพระวจนะทุกคำ ซึ่งออกมาจากพระโอษฐ์ของพระเจ้า'" (มัทธิว 4:4)
พระวจนะที่พระเยซูตอบซาตานมาจากหนังสือเฉลยธรรมบัญญัติบทที่ 8 ที่โมเสสพูดกับประชาชนอิสราเอลถึงบทเรียนที่ควรเรียนรู้ไว้จากการร่อนเรในถิ่นทุรกันดาร 40 ปี :
1 "บัญญัติทั้งสิ้นซึ่งข้าพเจ้าบัญชาท่านในวันนี้นั้น ท่านทั้งหลายจงระวังกระทำตาม เพื่อท่านทั้งหลายจะมีชีวิตและทวีมากขึ้น และเข้าไปยึดครองแผ่นดินซึ่งพระเยโฮวาห์ ทรงปฏิญาณที่จะกระทำแก่บรรพบุรุษของท่าน 2 ท่านทั้งหลายจงระลึกถึงทางซึ่งพระเยโฮวาห์ พระเจ้าของท่านทรงนำท่านอยู่ในถิ่นทุรกันดารถึงสี่สิบปี เพื่อพระองค์จะทรงกระทำให้ท่านถ่อมใจ และทดลองให้ทราบว่าจิตใจของท่านเป็นอย่างไร ดูว่าท่านจะรักษาพระบัญญัติของพระองค์หรือไม่ 3 พระองค์ทรงกระทำให้ท่านถ่อมใจ และปล่อยท่านให้หิวและเลี้ยงท่านด้วยมานา ซึ่งท่านเองหรือปู่ย่าตายายของท่านก็ไม่ทราบว่าเป็นอะไร เพื่อพระองค์จะทรงกระทำให้ท่านตระหนักแก่ใจว่า มนุษย์จะบำรุงชีวิตด้วยอาหารสิ่งเดียวก็หามิได้ แต่มนุษย์จะมีชีวิตอยู่ได้ ด้วยทุกสิ่งที่ออกมาจากพระโอษฐ์ของพระเจ้า” (เฉลยธรรมบัญญัติ 8:1-3)
เรารู้ว่าพระเจ้าทรงคำจุนชาวอิสราเอลถึง 40 ปีด้วยมานาและน้ำ พวกเขาไม่ได้ตายเพราะอดอาหาร จากที่อ่านในพระคัมภีร์เดิมผมบอกได้ว่าไม่มีชาวอิสราเอลสักคนที่ตายเพราะอดอน้ำอดอาหารในถิ่นทุรกันดารนั้น การจัดเตรียมอย่างเหนือธรรมชาติของพระเจ้าให้แก่คนอิสราเอลขณะอยู่ในถิ่นทุรกันดารกลายเป็นสัญลักษณ์ถึงความสัตย์ซื่อของพระองค์ :
15 พระองค์ประทานอาหารแก่เขาจากฟ้าสวรรค์แก้ ความหิว และทรงนำน้ำออกมาจากศิลาให้เขาแก้กระหาย และพระองค์ทรงสั่งให้เขาเข้าไปยึดแผ่นดินซึ่ง พระองค์ทรงปฏิญาณว่า จะประทานให้เขานั้น 16 "แต่เขาทั้งหลาย คือ บรรพบุรุษของข้าพระองค์ทั้งหลายได้ประพฤติอย่างหยิ่งยโส และแข็งคอของเขาเสียมิได้เชื่อฟังพระบัญญัติของพระองค์ 17 เขาทั้งหลายปฏิเสธไม่เชื่อฟัง และไม่เอาใจใส่ในการอัศจรรย์ซึ่งพระองค์ทรงประกอบ ขึ้นท่ามกลางเขา แต่เขาแข็งคอของเขา และได้แต่งตั้งหัวหน้าเพื่อจะกลับไปสู่ความเป็นทาส เขาในอียิปต์ แต่พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าพร้อมที่จะทรงให้อภัย มีพระทัยเมตตาและกรุณา ทรงพระพิโรธช้า และทรงอุดมด้วยความรักมั่นคง และมิได้ทรงละทิ้งเขาทั้งหลาย 18 แม้ว่าเขาทั้งหลายได้สร้างรูปโคหล่อไว้สำหรับตัว และกล่าวว่า 'นี่คือพระเจ้าของเรา ผู้ทรงนำเราขึ้นมาจากอียิปต์' และได้กระทำการหมิ่นประมาทอย่างใหญ่หลวง 19 ด้วยพระกรุณาซับซ้อนของพระองค์ พระองค์ก็มิได้ทรงละทิ้งเขาในถิ่นทุรกันดาร เสาเมฆซึ่งนำเขาในกลางวันมิได้พรากจากเขาไป หรือเสาเพลิงในกลางคืนซึ่งให้แสงแก่เขาตามทาง ซึ่งเขาควรจะไปก็มิได้ขาดไป 20 พระองค์ประทานพระวิญญาณให้สั่งสอนเขา และมิได้ทรงยับยั้งมานา ของพระองค์เสียจากปากของเขาทั้งหลายและประทาน น้ำแก้กระหายของเขา 21 เออ พระองค์ทรงชุบเลี้ยงเขาทั้งหลายในถิ่นทุรกันดารสี่สิบปี และเขามิได้ขาดสิ่งใดเลย เสื้อผ้าของเขาไม่ขาดวิ่น และเท้าของเขามิได้บวม (เนหะมีย์ 9:15-21)
10 เขาทั้งหลายมิได้รักษาพันธสัญญาของพระเจ้า และปฏิเสธที่จะเดินตามกฎหมายของพระองค์
11 เขาลืมสิ่งที่พระองค์ได้ทรงกระทำ และการอัศจรรย์ซึ่งพระองค์ทรงสำแดงแก่เขา
12 พระองค์ทรงกระทำการประหลาด ต่อหน้าต่อตาบรรพบุรุษของเขา ในแผ่นดินอียิปต์ ในไร่นาโศอัน
13 พระองค์ทรงแยกทะเล และให้เขาเดินผ่านไป และกระทำให้น้ำตั้งอยู่เหมือนกองสูง
14 ในกลางวันพระองค์ทรงนำเขาด้วยเมฆ และด้วยแสงไฟคืนยังรุ่ง
15 พระเจ้าทรงผ่าหินในถิ่นทุรกันดาร ประทานน้ำเป็นอันมากให้เขาดื่ม เหมือนมาจากที่ลึก
16 พระองค์ทรงกระทำให้ลำธารออกมาจากหิน ทรงกระทำให้น้ำไหลลงมาเหมือนแม่น้ำ
17 แต่เขายังกระทำบาปยิ่งขึ้นต่อพระองค์ ได้กบฏต่อองค์ผู้สูงสุดในที่แห้งแล้ง
18 เขาทดลองพระเจ้าอยู่ในใจของเขา โดยเรียกร้องอาหารที่เขาอยาก
19 เขาพูดปรักปรำพระเจ้าว่า "พระเจ้าจะทรงเตรียมสำรับในถิ่นทุรกันดารได้หรือ
20 ดูเถิด พระองค์ทรงตีหินให้น้ำพุออกมา และลำธารก็ไหลล้น พระองค์จะประทานขนมปังด้วยได้หรือ หรือทรงจัดเนื้อให้ประชากรของพระองค์ได้หรือ"
21 เพราะฉะนั้น เมื่อพระเจ้าทรงสดับแล้ว พระองค์ทรงพระพิโรธ มีไฟลุกโพลงขึ้นสู้ยาโคบ พระพิโรธของพระองค์ สูงขึ้นสู้อิสราเอล
22 เพราะเขาไม่เชื่อพระเจ้า และไม่ไว้วางใจในฤทธิ์ช่วยของพระองค์
23 พระองค์ยังทรงบัญชาฟ้าเบื้องบน และทรงเปิดประตูฟ้าสวรรค์
24 พระองค์ทรงหลั่งมานาให้เขารับประทาน และทรงประทานทิพยาหารให้เขา
25 มนุษย์ได้กินอาหารของทูตสวรรค์ พระองค์ทรงประทานอาหารให้เขาอย่างอุดม (สดุดี 78:10-25)
37 แล้วพระองค์ทรงนำอิสราเอลออกไป พร้อมกับเงินและทองคำ และไม่มีสักคนหนึ่งในเผ่าของพระองค์สะดุด
38 เมื่อเขาพรากจากไป อียิปต์ก็ยินดี เพราะความครั่นคร้ามต่ออิสราเอล ได้ตกอยู่บนเขา
39 พระองค์ทรงกางเมฆเป็นเครื่องกำบัง และไฟให้ความสว่างเวลากลางคืน
40 เขาทั้งหลายร้องขอ และพระองค์ทรงนำนกคุ่มมา และประทานอาหารจากฟ้าให้เขาอย่างอุดม
41 พระองค์ทรงเปิดหิน และน้ำก็ไหลออกมา มันไหลไปเป็นแม่น้ำในที่แห้งแล้ง (สดุดี 105:37-41)
การ “ช่วยกู้” อิสราเอลออกมาจากการเป็นทาสในประเทศอียิปต์ของพระเจ้ารวมถึงการผ่านพิธี “บัพติศมา” (1โครินธ์ 10:2) ที่พระเจ้านำเข้าสู่ถิ่นทุรกันดารโดยพระวิญญาณ การเตรียมอาหารและน้ำให้ (เนหะมีย์ 9:19-20 ดูสดุดี 78:10-25) รวมถึงการเปิดเผยคำตรัสจากพระเจ้า การประทานพระบัญญัติให้ทางโมเสสซึ่งอิสราเอลต้องเชื่อฟังและดำเนินชีวิตตามนั้น
การจัดเตรียมที่พระเจ้าประทานให้ตามความจำเป็นของอิสราเอลในระหว่างอพยพ กลายเป็นต้นแบบแห่งการจัดเตรียมของพระเจ้าสำหรับเวลาแห่งการช่วยกู้ที่จะมาถึงในอนาคต22
8 พระเจ้าตรัสดังนี้ว่า "ในเวลาโปรดปราน เราตอบเจ้าแล้ว ในวันแห่งความรอดเราได้ช่วยเจ้า เราได้ดูแลเจ้า และมอบให้เจ้า เป็นตัวพันธสัญญาของมนุษยชาติ เพื่อสถาปนาแผ่นดิน เพื่อจะให้รับที่ร้างเปล่าเป็นมรดก 9 พลางกล่าวแก่ผู้ถูกจำจองว่า 'ออกมาเถิด' ต่อบรรดาผู้ที่อยู่ในความมืดว่า'จงปรากฏตัว' เขาทั้งหลายจะเลี้ยงชีวิตตามทาง และตามที่สูงโล้นทั้งหลายจะเป็นที่หากินของเขา 10 เขาทั้งหลายจะไม่หิวหรือกระหาย ลมที่แผดเผาหรือดวงอาทิตย์จะไม่ทำลายเขา เพราะพระองค์ซึ่งสงสารเขาจะทรงนำเขาไป และจะนำเขาไปตามน้ำพุ 11 เราจะทำภูเขาของเราทั้งหมดเป็นทางเดิน และทางหลวงของเราจะสูง 12 นี่แน่ะ พวกเหล่านี้จะมาจากเมืองไกล และนี่แน่ะ บ้างมาจากเหนือและจากตะวันตก และบ้างมาจากแผ่นดินสเวเน 13 โอ ฟ้าสวรรค์เอ๋ย จงร้องเพลงเพราะความชื่นบาน โอ แผ่นดินโลกเอ๋ย จงลิงโลดเถิด โอ ภูเขาเอ๋ย จงเปรมปรีดิ์ร้องเพลง เพราะพระเจ้าได้ทรงเล้าโลมชนชาติของพระองค์แล้ว และจะทรงเมตตาแก่คนของพระองค์ ผู้ที่ถูกข่มใจ (อิสยาห์ 49:8-13)
10 คนเหล่านั้นร้องเสียงดังว่า "ความรอดขึ้นอยู่กับพระเจ้าของเราผู้ประทับบนพระที่นั่ง และขึ้นอยู่กับพระเมษโปดก" 11 และทูตสวรรค์ทั้งปวงที่ยืนรอบพระที่นั่ง รอบผู้อาวุโส และรอบสัตว์ทั้งสี่นั้น ก้มลงกราบหน้าพระที่นั่ง และนมัสการพระเจ้า 12 และกล่าวว่า "อาเมนความสรรเสริญ พระสิริ ปัญญา คำโมทนา พระเกียรติ อำนาจ และฤทธิ์เดชจงมีแด่พระเจ้าของเราตลอดไปเป็นนิตย์ อาเมน" 13 แล้วคนหนึ่งในพวกผู้อาวุโสนั้นถามข้าพเจ้าว่า "คนที่สวมเสื้อสีขาวเหล่านี้คือใครและมาจากไหน" 14 ข้าพเจ้าตอบท่านว่า "ท่านเจ้าข้าท่านก็ทราบอยู่แล้ว" ท่านจึงบอกข้าพเจ้าว่า "คนเหล่านี้คือคนที่มาจากความทุกข์เวทนาครั้งใหญ่ พวกเขาได้ชำระล้างเสื้อผ้าของเขาในพระโลหิตของพระเมษโปดก จนเสื้อผ้านั้นขาวสะอาด 15 เพราะเหตุนั้นเขาทั้งหลายจึงได้อยู่หน้าพระที่นั่งของพระเจ้า และปรนนิบัติพระองค์ในพระวิหารของพระองค์ทั้งกลางวันและกลางคืน และพระองค์ผู้ประทับบนพระที่นั่งจะทรงสถิตด้วย และปกป้องคุ้มครองเขา 16 พวกเขาจะไม่หิวกระหายอีกเลย แสงแดดและความร้อนจะไม่ส่องต้องเขาอีกต่อไป23 17 เพราะว่าพระเมษโปดก ผู้ทรงอยู่กลางพระที่นั่งนั้นจะคุ้มครองดูแลเขา และจะทรงนำเขาไปให้ถึงน้ำพุแห่งชีวิต และพระเจ้าจะทรงเช็ดน้ำตาทุกหยดจากตาของเขาเหล่านั้น" (วิวรณ์ 7:10-17)
ย้อนกลับไปดูสิ่งที่พระเยซูทรงตอบซาตาน ซึ่งผมเชื่อว่ามันคงเถียงแบบนี้ :
(1) “ชีวิต” แน่นอนรวมถึงชีวิตฝ่ายกายด้วย แต่ยังมีเรื่องอื่นมากมายกว่านั้น ชีวิตมีมิติฝ่ายวิญญาณ ซึ่งอยู่เหนือมิติฝ่ายกาย ให้ย้อนกลับไปที่การล้มลงของของมนุษย์คู่แรกในสวนเอเดน พระเจ้าสั่งอาดัมว่าวันใดที่เขา (หรือเอวา) กินจากผลของต้นไม้แห่งการสำนึกดีและชั่ว พวกเขาจะต้องตายแน่ (ปฐมกาล 2:17) พวกเขาก็กิน แต่ยังมีชีวิตฝ่ายกายต่อไปอีกหลายปี “ความตาย” ครั้งแรกที่พวกเขามีประสบการณ์คือตายฝ่ายวิญญาณ – แยกจากพระเจ้า ชีวิตมีมากกว่าการอยู่รอดทางกาย แต่มีชีวิตในสามัคคีธรรมกับพระเจ้า
(2) ชีวิตฝ่ายวิญญาณมาก่อนชีวิตฝ่ายกาย ชีวิตฝ่ายวิญญาณนั้นอยู่นิรันดร์กาล ผ่านเลยการเสียชีวิตฝ่ายกายไป ดังนั้นชีวิตฝ่ายวิญญาณจึงสำคัญกว่าชีวิตฝ่ายกาย
(3) อาหารมีเพื่อค้ำจุนชีวิตฝ่ายกาย แต่พระวจนะของพระเจ้าเริ่มต้นและค้ำจุนชีวิตฝ่ายวิญญาณ
22 ที่ท่านทั้งหลายได้ชำระจิตใจของท่านให้บริสุทธิ์แล้ว ด้วยการเชื่อฟังความจริง จนมีใจรักพวกพี่น้องอย่างจริงใจ ท่านทั้งหลายจงรักกันให้มากด้วยน้ำใสใจจริง 23 ท่านทั้งหลายได้บังเกิดใหม่แล้ว ไม่ใช่จากพันธุ์มตะ แต่จากพันธุ์อมตะ คือด้วยพระวจนะของพระเจ้าอันทรงชีวิตและดำรงอยู่ 24 เพราะว่า บรรดาเนื้อหนังก็เป็นเสมือนต้นหญ้า และบรรดาศักดิ์ศรีของเขาก็เป็นเสมือนดอกหญ้า ต้นหญ้าเหี่ยวแห้งไป และดอกก็ร่วงโรยไป 25 แต่พระวจนะของพระเจ้ายั่งยืนอยู่เป็นนิตย์ พระวจนะนั้นคือข่าวประเสริฐที่ได้ประกาศให้ท่านทั้งหลายทราบแล้ว (1เปโตร 1:22-25 และดู โรม 10:17)
46 ท่านก็กล่าวแก่เขาว่า "จงใส่ใจในถ้อยคำซึ่งข้าพเจ้ากล่าวแก่ท่านในวันนี้ เพื่อท่านจะได้บัญชาแก่ลูกหลานของท่าน เพื่อเขาจะได้ระวังที่จะกระทำตามถ้อยคำ แห่งธรรมบัญญัตินี้ทั้งสิ้น 47 เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยสำหรับท่านทั้งหลาย แต่เป็นเรื่องชีวิตของท่านทั้งหลาย และเรื่องนี้จะกระทำให้ท่านทั้งหลายมีชีวิตยืนนานในแผ่นดิน ซึ่งท่านทั้งหลายกำลังจะข้ามแม่น้ำจอร์แดนไปยึดครองนั้น" (เฉลยธรรมบัญญัติ 32:46-47)
(4) การทำตามคำแนะนำของซาตาน (การล่อลวง) จะทำให้พระเยซูละเลย ฝ่าฝืนคำสั่ง และการทรงนำของพระเจ้าผ่านทางพระวิญญาณ ไปยอมจำนนให้ซาตานนำแทน – พระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นผู้นำพระเยซูเข้าสู่ถิ่นทุรกันดาร และทรงนำให้อดพระกายาหาร ถ้าพระเยซูล้มเลิกการอดพระกายาหารก่อนที่พระวิญญาณนำ พระองค์ไม่เพียงแต่ไม่เชื่อฟังพระเจ้าผ่านการทรงนำของพระวิญญาณเท่านั้น แต่ยังทำในสิ่งที่ขัดต่อพระบัญชาของพระเจ้า และไปทำในสิ่งที่เป็น “การนำ” ของซาตาน
พระเยซูจะยอมวางพระชนม์ชีพของพระองค์ไว้กับพระบิดาหรือไม่? พระองค์จะรอดจากตายฝ่ายกายหรือถ้าจำเป็นต้องเชื่อฟังน้ำพระทัยพระบิดา? นี่เป็นการโจมตีเข้าสู่ศูนย์กลางแห่งพระประสงค์ที่พระเจ้ามีให้พระเยซูคริสต์ นี่จะไม่ใช่เป็นครั้งสุดท้ายที่พระเยซูต้องเผชิญกับข้อเสนอของซาตานที่ให้พระองค์ช่วยตัวเองก่อนโดยขัดน้ำพระทัยพระบิดา :
21 ตั้งแต่เวลานั้นมา พระเยซูทรงเริ่มเผยแก่เหล่าสาวกของพระองค์ว่า พระองค์จะต้องเสด็จไปกรุงเยรูซาเล็ม และจะต้องทนทุกข์ทรมานหลายประการจากพวกผู้ใหญ่ และพวกมหาปุโรหิตและพวกธรรมาจารย์ จนต้องถึงถูกประหารชีวิต แต่ในวันที่สามพระองค์จะทรงถูกชุบให้เป็นขึ้นมาใหม่ 22 ฝ่ายเปโตรเอามือจับพระองค์ทูลท้วงว่า "พระองค์เจ้าข้าให้เหตุการณ์นั้นอยู่ห่างไกลจากพระองค์เถิด อย่าให้เป็นอย่างนั้นแก่พระองค์เลย" 23 พระองค์จึงหันพระพักตร์ตรัสกับเปโตรว่า "อ้ายซาตานจงไปให้พ้น เจ้าเป็นเครื่องกีดขวางเรา เพราะเจ้าคิดอย่างคน มิได้คิดอย่างพระเจ้า" 24 ขณะนั้นพระเยซูจึงตรัสกับเหล่าสาวกของพระองค์ว่า "ถ้าผู้ใดใคร่ตามเรามาให้ผู้นั้นเอาชนะตัวเอง และรับกางเขนของตนแบกและตามเรามา 25 เพราะว่าผู้ใดใคร่จะเอาชีวิตรอด ผู้นั้นจะเสียชีวิต แต่ผู้ใดจะเสียชีวิตเพราะเห็นแก่เรา ผู้นั้นจะได้ชีวิตรอด 26 เพราะถ้าผู้ใดจะได้สิ่งของสิ้นทั้งโลกแต่ต้องเสียชีวิตของตน ผู้นั้นจะได้ประโยชน์อะไร หรือผู้นั้นจะนำอะไรไปแลกเอาชีวิตของตนกลับคืนมา (มัทธิว 16:21-26)
สังเกตุวิธีที่พระเยซูเปรียบเทียบชีวิตฝ่ายกายกับชีวิตฝ่ายวิญญาณ คนที่พยายามเอาชีวิต (ฝ่ายกาย) ของตนให้รอดจะสูญเสียมันไป ขณะคนที่สูญเสีย (ชีวิตฝ่ายกาย) ของตน เพื่อเห็นแก่พระองค์กลับจะได้พบชีวิต (ฝ่ายวิญญาณ ชีวิตนิรันดร์)
บนกางเขน พระเยซูทรงถูกท้าทายให้เอาชีวิต (ฝ่ายกาย) ตนเองให้รอดอีกครั้ง :
35 คนทั้งปวงก็ยืนมองดู พวกขุนนางก็เยาะเย้ยพระองค์ด้วยว่า "เขาช่วยคนอื่นให้รอดได้ ถ้าเขาเป็นพระคริสต์ของพระเจ้าที่ทรงเลือกไว้ ให้เขาช่วยตัวเองเถิด" 36 พวกทหารก็เย้ยหยันพระองค์ด้วย เข้ามาเอาเหล้าองุ่นเปรี้ยวส่งให้พระองค์ 37 แล้วว่า "ถ้าท่านเป็นกษัตริย์ของพวกยิว จงช่วยตัวเองให้รอดเถิด" 38 และมีคำเขียนไว้เหนือพระองค์ว่า "ผู้นี้เป็นกษัตริย์ของพวกยิว" 39 ฝ่ายคนหนึ่งในผู้ร้ายที่ถูกตรึงไว้จึงพูดหยาบช้าต่อพระองค์ว่า "ท่านเป็นพระคริสต์มิใช่หรือ จงช่วยตัวเองกับเราให้รอดเถิด" (ลูกา 23:35-39)
ผมเชื่อว่าเมื่อพระเยซูทรงรับบัพติศมาพระองค์ประกาศการเป็นหนึ่งเดียวกับพระประสงค์นิรันด์ของพระเจ้าเพื่อเตรียมความชอบธรรมให้กับคนบาปที่ไม่สมควรได้ พระองค์ทรงยอมเข้ารับบัพติศมาเพื่อให้เป็นสัญลักษณ์ – ถึงการสิ้นพระชนม์ ถูกฝังไว้ และคืนพระชนม์ เมื่อเผชิญการทดลองในถิ่นทุรกันดาร พระองค์ทรงยืนยันอีกครั้งถึงการตัดสินพระทัยยอมตายเพื่อคนบาป ตลอดการทำพระราชกิจจานุกิจที่บนโลก พระองค์ยังทรงมุ่งหน้าสู่เยรูซาเล็มและสู่การยอมสละพระชนม์ชีพของพระองค์
พระเยซูเข้าพระทัยถึงความสำคัญในคำตรัสที่เป็นสัญลักษณ์เมื่อเข้าพิธีบัพติศมา และในการเผชิญการทดลองครั้งแรกหรือไม่? ผมเชื่อมั่นว่าพระองค์ทรงเข้าพระทัยดี ลองฟังสิ่งที่พระองค์ตรัสในยอห์น 4:
10 พระเยซูตรัสตอบนางว่า "ถ้าเจ้าได้รู้จักของที่พระเจ้าประทาน และรู้จักผู้ที่พูดกับเจ้าว่า 'ขอน้ำให้เราดื่มบ้าง' เจ้าก็คงจะได้ขอจากท่านผู้นั้น และท่านผู้นั้นก็คงจะให้น้ำธำรงชีวิตแก่เจ้า"11 นางทูลพระองค์ว่า "ท่านเจ้าคะ ท่านไม่มีถังตัก และบ่อนี้ก็ลึก ท่านจะได้น้ำธำรงชีวิตนั้นมาจากไหน 12 ท่านเป็นใหญ่กว่ายาโคบบรรพบุรุษของเรา ผู้ได้ให้บ่อน้ำนี้แก่เราหรือ และยาโคบเองก็ได้ดื่มจากบ่อนี้รวมทั้งบุตรและฝูงสัตว์ของท่านด้วย"13 พระเยซูตรัสตอบว่า "ทุกคนที่ดื่มน้ำนี้จะกระหายอีก14 แต่ผู้ที่ดื่มน้ำซึ่งเราจะให้แก่เขานั้น จะไม่กระหายอีกเลย น้ำซึ่งเราจะให้เขานั้น จะบังเกิดเป็นบ่อน้ำพุในตัวเขาพลุ่งขึ้นถึงชีวิตนิรันดร์" …31 ในระหว่างนั้นพวกสาวกทูลเชิญพระองค์ว่า "พระอาจารย์เจ้าข้า เชิญรับประทานเถิด" 32 แต่พระองค์ตรัสกับเขาว่า "เรามีอาหารรับประทานที่ท่านทั้งหลายไม่รู้" 33 พวกสาวกจึงถามกันว่า "มีใครเอาอาหารมาถวายพระองค์แล้วหรือ" 34 พระเยซูตรัสกับเขาว่า "อาหารของเราคือการกระทำตามพระทัยของพระองค์ ผู้ทรงใช้เรามา และทำให้งานของพระองค์สำเร็จ (ยอห์น 4:10-14, 31-34)
น้ำเป็นสิ่งที่ช่วยผยุงชีวิตและดับกระหายได้ชั่วคราว แต่ “น้ำ” ของพระเยซูคริสต์ (ความรอด) จะให้ชีวิตนิรันดร์และความพึงพอใจตลอดไป อาหารไม่สำคัญเท่าอาหารฝ่ายวิญญาณของพระองค์ – คือทำตามพระทัยของพระบิดา
พระเยซูทรงอยู่ในถิ่นทุรกันดาร พื้นที่ห่างไกล เมื่อพระองค์ทรงเลี้ยงคน 5,000 ฝูงชนต้องการให้พระองค์ประทานอาหารให้พวกเขาต่อ ลองดูหลักการที่อยู่ภายใต้การเผชิญการทดลองของพระองค์อยู่ในใจกลางคำสอนของพระองค์ในยอห์น 6 :
24 เหตุฉะนั้นเมื่อประชาชนเห็นว่า พระเยซูและเหล่าสาวกไม่ได้อยู่ที่นั่น เขาจึงลงเรือไปตามหาพระเยซูที่เมืองคาเปอรนาอุม 25 ครั้นเขาได้พบพระองค์ที่ฝั่งทะเลสาบข้างโน้นแล้ว เขาทั้งหลายทูลพระองค์ว่า "พระอาจารย์เจ้าข้า ท่านมาที่นี่เมื่อไร" 26 พระเยซูตรัสกับเขาว่า "เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ท่านทั้งหลายตามหาเรามิใช่เพราะได้เห็นหมายสำคัญ แต่เพราะได้กินขนมปังอิ่ม 27 อย่าขวนขวายหาอาหารที่เสื่อมสิ้นไป แต่จงหาอาหารที่ดำรงอยู่คืออาหารแห่งชีวิตนิรันดร์ ซึ่งบุตรมนุษย์จะให้แก่ท่าน เพราะพระเจ้าคือพระบิดาได้ทรงประทับตรามอบอำนาจแก่พระบุตรแล้ว" 28 แล้วเขาทั้งหลายก็ทูลพระองค์ว่า "ข้าพเจ้าทั้งหลายจะต้องทำประการใด จึงจะทำงานของพระเจ้าได้" 29 พระเยซูตรัสตอบเขาว่า "งานของพระเจ้านั้น คือการที่ท่านวางใจในท่านที่พระองค์ทรงใช้มา" 30 เขาทั้งหลายจึงทูลพระองค์ว่า "ถ้าเช่นนั้นท่านจะกระทำหมายสำคัญอะไร เพื่อข้าพเจ้าทั้งหลายจะเห็นและวางใจในท่าน ท่านจะกระทำอะไรบ้าง 31 บรรพบุรุษของข้าพเจ้าทั้งหลายได้กินมานา ในถิ่นทุรกันดาร ตามที่มีคำเขียนไว้ว่า 'ท่านได้ให้เขากินอาหารจากสวรรค์'" 32 พระเยซูก็ตรัสกับเขาว่า "เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า มิใช่โมเสสที่ให้อาหารจากสวรรค์นั้นแก่ท่าน แต่พระบิดาของเราประทานอาหารแท้ซึ่งมาจากสวรรค์ ให้แก่ท่านทั้งหลาย 33 เพราะว่าอาหารของพระเจ้านั้น คือท่านที่ลงมาจากสวรรค์ และประทานชีวิตให้แก่โลก" 34 เขาทั้งหลายจึงทูลพระองค์ว่า "ท่านเจ้าข้า โปรดให้อาหารนั้นแก่ข้าพเจ้าทั้งหลายเสมอไปเถิด" 35 พระเยซูตรัสกับเขาว่า "เราเป็นอาหารแห่งชีวิต ผู้ที่มาหาเราจะไม่หิว และผู้ที่วางใจในเรา จะไม่กระหายอีกเลย 36 แต่เราได้บอกท่านทั้งหลายแล้วว่า ท่านได้เห็นเราแล้วแต่ก็ไม่เชื่อ 37 สารพัดที่พระบิดาทรงประทานแก่เรา จะมาสู่เรา และผู้ที่มาหาเรา เราก็จะไม่ทิ้งเขาเลย 38 เพราะว่าเราได้ลงมาจากสวรรค์ มิใช่เพื่อกระทำตามความประสงค์ของเราเอง แต่เพื่อกระทำตามพระประสงค์ของพระองค์ผู้ทรงใช้เรามา 39 และพระประสงค์ของพระบิดาผู้ทรงใช้เรามานั้น ก็คือให้เรารักษาบรรดาผู้ที่พระองค์ได้ทรงมอบไว้กับเรา มิให้หายไปสักคนเดียว แต่ให้ฟื้นขึ้นมาในวันที่สุด 40 เพราะนี่แหละเป็นพระประสงค์ของพระบิดาของเรา ที่จะให้ทุกคนที่เห็นพระบุตร และวางใจในพระบุตรได้มีชีวิตนิรันดร์ และเราจะให้ผู้นั้นฟื้นขึ้นมาในวันสุดท้าย" (ยอห์น 6:24-40)
พระเยซูทรงเป็น “น้ำแท้” และเป็น “อาหารแท้” “น้ำ” ของพระองค์จะผดุงชีวิตและดับกระหายตลอดไป เช่นกันพระองค์ทรงเป็น “อาหารแท้” (6:32) อาหารที่พระเจ้าประทานให้แก่อิสราเอลช่วยพยุงชีวิตฝ่ายกาย แต่ไม่อาจให้ชีวิตนิรันดร์ พระเยซูทรงเป็น “อาหารแท้” ที่ให้ชีวิตนิรันดร์ พระองค์จึงทรงเตือนคนที่ติดตามพระองค์ว่าอย่าแสวงหาอาหารฝ่ายกาย แต่ให้แสวงหาอาหารจากสวรรค์ – คือพระองค์เอง ไม่ใช่พระองค์เท่านั้น แต่เป็นพระเยซูผู้ถูกตรึงกางเขน ยอมสละพระชนม์เพื่อคนบาป
พิธีบัพติศมาของพระเยซู และการถูกมารผจญได้ให้นัยสำคัญเพื่อให้คริสเตียนในยุคนี้ได้นำไปใช้
(1) พิธีบัพติศมาของพระเยซู และการมีชัยเหนือการทดลองพิสูจน์ว่าพระองค์มีความพร้อมสำหรับงานแห่งความรอดที่กางเขนบนเนินหัวกระโหลก พระเยซูคริสต์พระองค์เดียวทรงมีชัยเหนือการทดลอง ความบาป และซาตาน พระองค์ผู้เดียวมีคุณสมบัติที่จะสละพระชนม์เพื่อคนบาปในฐานะลูกแกะของพระเจ้าที่ปราศจากตำหนิ ชัยชนะของพระองค์ท่ามกลางการทดลองมีความสำคัญยิ่งต่อการทำหน้าที่เป็นลูกแกะของพระเจ้า
(2) การเผชิญการทดลองของพระเยซูไม่เพียงทำให้พระองค์พร้อมสำหรับพระราชกิจแห่งการช่วยกู้ที่บนกางเขนเท่านั้น แต่ทำให้พระองค์เป็นมหาปุโรหิตที่เห็นใจในความอ่อนแอของเรา
14 เหตุฉะนั้น เมื่อเรามีมหาปุโรหิตผู้เป็นใหญ่ที่ผ่านฟ้าสวรรค์เข้าไปถึงพระเจ้าแล้ว คือพระเยซูพระบุตรของพระเจ้า ขอให้เราทั้งหลายมั่นคงในพระศาสนาของเรา 15 เพราะว่า เรามิได้มีมหาปุโรหิตที่ไม่สามารถจะเห็นใจในความอ่อนแอของเรา แต่ได้ทรงถูกทดลองใจเหมือนอย่างเราทุกประการ ถึงกระนั้นพระองค์ก็ยังปราศจากบาป 16 ฉะนั้นขอให้เราทั้งหลาย จงมีใจกล้าเข้ามาถึงพระที่นั่งแห่งพระคุณ เพื่อเราจะได้รับพระเมตตา และจะได้รับพระคุณที่จะช่วยเราในขณะที่ต้องการ (ฮีบรู 4:14-16)
7 ฝ่ายพระเยซู ขณะเมื่อพระองค์ทรงเป็นมนุษย์อยู่นั้น พระองค์ได้ทรงร้องอธิษฐาน และทูลวิงวอนด้วยน้ำพระเนตรไหล ต่อพระเจ้าผู้ทรงสามารถช่วยพระองค์ให้พ้นจากความตายได้ และพระเจ้าได้ทรงสดับเนื่องด้วยความยำเกรงของพระเยซู 8 ถึงแม้ว่าพระองค์ทรงเป็นพระบุตร พระองค์ก็ทรงเรียนรู้ที่จะนอบน้อมยอมเชื่อฟังโดยความทุกข์ลำบาก ที่พระองค์ได้ทรงทน 9 เมื่อพระเจ้าทรงทำให้พระเยซูเพียบพร้อมทุกประการแล้ว พระเยซูก็เลยทรงเป็นแหล่งกำเนิดแห่งความรอดนิรันดร์ สำหรับคนทั้งปวงที่เชื่อฟังพระองค์ 10 โดยพระเจ้าได้ทรงตั้งพระองค์ให้เป็นมหาปุโรหิต ตามแบบอย่างของเมลคีเซเดค (ฮีบรู 5:7-10)
(3) ชัยชนะของพระเยซูเหนือการทดลองทำให้พระองค์มีคุณสมบัติพร้อมที่จะสั่งสอนเรื่องนี้ด้วยสิทธิอำนาจ พระองค์ไม่ยอมทนกับพวกหน้าซื่อใจคด คนที่สอนอย่างหนึ่งแต่ดำเนินชีวิตอีกอย่างที่ไม่สอดคล้องกับสิ่งที่สอน:
1 ครั้งนั้น พระเยซูตรัสกับประชาชนและพวกสาวกของพระองค์ว่า 2 "พวกธรรมาจารย์กับพวกฟาริสีนั่งบนที่นั่งของโมเสส 3 เหตุฉะนั้น ทุกสิ่งซึ่งเขาสั่งสอนพวกท่าน จงถือประพฤติตาม เว้นแต่การประพฤติของเขาอย่าได้ทำตามเลย เพราะเขาเป็นแต่ผู้สั่งสอน แต่เขาเองหาทำตามไม่ (มัทธิว 23:1-3)
อ.เปาโลให้ความสำคัญมากระหว่างคำสั่งสอนและความประพฤติ :
16 เหตุฉะนั้นข้าพเจ้าจึงขอให้ท่านทำตามอย่างข้าพเจ้า 17 เพราะเหตุนี้ข้าพเจ้าจึงได้ใช้ทิโมธีลูกที่รักของข้าพเจ้า ซึ่งเป็นคนสัตย์ซื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้าให้มาหาท่าน เพื่อนำท่านให้ระลึกถึงแบบการประพฤติของข้าพเจ้าในพระคริสต์ ตามที่ข้าพเจ้าสอนอยู่ในคริสตจักรทั่วๆไป (1โครินธ์ 4:16-17)
17 ดูก่อนพี่น้องทั้งหลาย ท่านจงร่วมกันตามแบบอย่างของข้าพเจ้า ท่านมีพวกเราเป็นตัวอย่างแล้ว จงดูคนที่ประพฤติตามแบบนั้น 18 เพราะว่า มีคนหลายคนที่ประพฤติตัวเป็นศัตรูต่อกางเขนของพระคริสต์ ซึ่งข้าพเจ้าได้บอกท่านถึงเรื่องของเขาหลายครั้งแล้ว และบัดนี้ยังบอกท่านอีกด้วยน้ำตาไหล 19 ปลายทางของคนเหล่านั้นคือความพินาศ พระของเขาคือกระเพาะ เขายกความที่น่าอับอายของเขาขึ้นมาโอ้อวด เขาสนใจในวัตถุทางโลก 20 แต่บ้านเมืองของเรานั้นอยู่ที่สวรรค์ เรารอคอยผู้ช่วยให้รอด ซึ่งจะเสด็จมาจากสวรรค์คือพระเยซูคริสตเจ้า 21 พระองค์จะทรงเปลี่ยนแปลงกายอันต่ำต้อยของเรา ให้เหมือนพระกายอันทรงพระสิริของพระองค์ ด้วยฤทธานุภาพซึ่งทำให้พระองค์ปราบสิ่งสารพัดลงใต้อำนาจของพระองค์ (ฟีลิปปี 3:17-21)
คำพูดและการกระทำของเราต้องสอดคล้องกัน ไม่เช่นนั้นเราก็เป็นคนหน้าซื่อใจคด
เพียงแค่สองบทจากเรื่องมารมาผจญพระเยซู เราพบถ้อยคำเหล่านี้ในเรื่องการกิน การดื่ม และชีวิต :
25 "เหตุฉะนั้น เราบอกท่านทั้งหลายว่า อย่ากระวนกระวายถึงชีวิตของตนว่า จะเอาอะไรกิน หรือจะเอาอะไรดื่ม และอย่ากระวนกระวายถึงร่างกายของตนว่า จะเอาอะไรนุ่งห่ม ชีวิตสำคัญยิ่งกว่าอาหารมิใช่หรือ และร่างกายสำคัญยิ่งกว่าเครื่องนุ่งห่มมิใช่หรือ 26 จงดูนกในอากาศ มันมิได้หว่าน มิได้เกี่ยว มิได้ส่ำสมไว้ในยุ้งฉาง แต่พระบิดาของท่านทั้งหลาย ผู้ทรงสถิตในสวรรค์ทรงเลี้ยงนกไว้ ท่านทั้งหลายมิประเสริฐกว่านกหรือ 27 มีใครในพวกท่านโดยความกระวนกระวาย อาจต่อชีวิตให้ยาวออกไปอีกสักศอกหนึ่งได้หรือ 28 ท่านกระวนกระวายถึงเครื่องนุ่งห่มทำไม จงพิจารณาดอกไม้ที่ทุ่งนาว่า มันงอกงามเจริญขึ้นได้อย่างไร มันไม่ทำงาน มันไม่ปั่นด้าย 29 แต่เราบอกท่านทั้งหลายว่ากษัตริย์ซาโลมอนเมื่อบริบูรณ์ด้วยสง่าราศี ก็มิได้ทรงเครื่องงามเท่าดอกไม้นี้ดอกหนึ่ง 30 แม้ว่าพระเจ้าทรงตกแต่งหญ้าที่ทุ่งนาอย่างนั้น ซึ่งเป็นอยู่วันนี้และรุ่งขึ้นต้องทิ้งในเตาไฟ โอ ผู้มีความเชื่อน้อย พระองค์จะไม่ทรงตกแต่งท่านมากยิ่งกว่านั้นหรือ 31 เหตุฉะนั้นอย่ากระวนกระวายว่า จะเอาอะไรกิน หรือจะเอาอะไรดื่ม หรือจะเอาอะไรนุ่งห่ม 32 เพราะว่าพวกต่างชาติแสวงหาสิ่งของทั้งปวงนี้ แต่ว่าพระบิดาของท่านผู้ทรงสถิตในสวรรค์ทรงทราบแล้วว่า ท่านต้องการสิ่งทั้งปวงเหล่านี้ 33 แต่ท่านทั้งหลายจงแสวงหาแผ่นดินของพระเจ้า และความชอบธรรมของพระองค์ก่อน แล้วพระองค์จะทรงเพิ่มเติมสิ่งทั้งปวงเหล่านี้ให้ 34 "เหตุฉะนั้น อย่ากระวนกระวายถึงพรุ่งนี้ เพราะว่าพรุ่งนี้คงมีการกระวนกระวายสำหรับพรุ่งนี้เอง แต่ละวันก็มีทุกข์พออยู่แล้ว (มัทธิว 6:25-34)
เราจะกลับมาดูกันเรื่องนี้อีกครั้งในบทเรียนต่อๆไป แต่ขอนำบางตอนที่น่าสนใจมาคุยก่อน ในการทดลองครั้งแรก ซาตานพยายามทำให้พระเยซูกังวลเรื่องอาหารและน้ำ มันชักจูงให้พระเยซูเลิกกังวลโดยให้เสกก้อนหินเป็นอาหาร แต่พระเยซูทรงทราบดีว่าพระบิดาทรงห่วงใยและจะดูแล ในเวลาของพระองค์ และด้วยวิธีการของพระองค์ พระเยซูทรงทราบดีว่าชีวิตสำคัญกว่าอาหาร การพึ่งพิงพระวจนะทุกคำของพระเจ้า พระเยซูจึงนำสิ่งที่พระองค์เรียนรู้จากการทดลองมาบอกกับทุกคน
(4) ความทุกข์ยาก โพยภัย และการทดสอบไม่ได้ขัดแย้งกับความพอพระทัยของพระเจ้า หรือการสถิตอยู่และฤทธิอำนาจของพระวิญญาณของพระองค์ ในพิธีบัพติศมาของพระเยซู พระบิดาแสดงว่าทรงพอพระทัยในพระบุตร และในพิธีบัพติศมาพระวิญญาณบริสุทธิเสด็จลงมาประทับอยู่เหนือพระเยซู ในความหมายคือ พระองค์ทรงดำรงอยู่กับพระวิญญาณ และพระวิญญาณเป็นผู้นำพระองค์เข้าสู่การทดลอง พระวิญญาณทรงนำพระเยซูขณะอยู่ในถิ่นทุรกันดารและตลอดเวลาที่ถูกผจญ สิ่งที่ผมต้องการเน้นคือขณะที่พระเยซูเป็นที่ชอบพระทัยของพระบิดาและมีพระวิญญาณบริสุทธิสถิตอยู่ พระองค์พบว่าตนเองอยู่ในถิ่นทุรกันดาร ไม่มีอาหารและน้ำ มีสัตว์ป่าอยู่รอบๆ และถูกมารมาผจญ
นี่เป็นสิ่งที่บางคนยากจะทำใจยอมรับ มีคนที่บอกว่าถ้าเราวางใจในพระเจ้าและเต็มล้นด้วยพระวิญญาณ เราจะไม่ต้องเผชิญความทุกข์หรือโพยภัย และเราจะมีประสบการณ์ในพระพรของพระเจ้า บทเรียนนี้ทำให้เราต้องตั้งคำถาม อ.เปาโลบอกว่าบางครั้งเรามีประสบการณ์ของความอุดมสมบูรณ์ และบางครั้งเราอาจเผชิญกับความขาดแคลน:
11 ข้าพเจ้าไม่ได้บ่นถึงเรื่องความขัดสน เพราะข้าพเจ้าจะมีฐานะอย่างไรก็ตาม ข้าพเจ้าก็เรียนรู้แล้วที่จะพอใจอยู่อย่างนั้น 12 ข้าพเจ้ารู้จักที่จะเผชิญกับความตกต่ำ และรู้จักที่จะเผชิญกับความอุดมสมบูรณ์ ไม่ว่าในกรณีใดๆ ข้าพเจ้ารู้จักเคล็ดลับที่จะเผชิญกับความอิ่มท้องและความอดอยาก ความสมบูรณ์พูนสุข และความขัดสน 13 ข้าพเจ้าผจญทุกสิ่งได้ โดยพระองค์ผู้ทรงเสริมกำลังข้าพเจ้า (ฟีลิปปี 4:11-13)
เพื่อนๆของโยบรีบกล่าวหาทันทีที่โยบเผชิญการทดลอง แต่พระเจ้าทรงชี้ให้ซาตานเห็นว่าโยบเป็นคนเที่ยงธรรมและมีความเชื่อมั่นคงในพระองค์ (โยบ 1:1-8) การทนทุกข์ของโยบไม่ได้เป็นเพราะความบาปของท่าน แต่เป็นการทดสอบจากพระเจ้า มันน่าเศร้าที่ไปบอกคนที่กำลังมีความทุกข์ว่าเป็นเพราะเขาทำบาปแน่ๆ อาจเป็นได้แต่ไม่เสมอไป อย่างในกรณีของโยบ และ อ.เปาโล บุคคลที่เป็นคนฝ่ายวิญญาณอาจต้องทนทุกข์เหตุเพราะพระคริสต์
ความทุกข์ ความเจ็บปวด อาจเป็นสัญญาณบ่งบอกถึงความพอพระทัย:
1 เหตุฉะนั้นเมื่อเรามีพยานพรั่งพร้อมอยู่รอบข้างเช่นนี้แล้ว ก็ขอให้เราละทิ้งทุกอย่างที่ถ่วงอยู่ และบาปที่เกาะแน่น ขอให้เราวิ่งแข่งด้วยความเพียรพยายาม ตามที่ได้กำหนดไว้สำหรับเรา 2 หมายเอาพระเยซูเป็นผู้บุกเบิกความเชื่อ และผู้ทรงทำให้ความเชื่อของเราสมบูรณ์ พระองค์ได้ทรงอดทนต่อกางเขน เพื่อความรื่นเริงยินดีที่ได้เตรียมไว้สำหรับพระองค์ ทรงถือว่าความละอายนั้นไม่เป็นสิ่งสำคัญและพระองค์ได้ประทับ ณ เบื้องขวาพระที่นั่งของพระเจ้า 3 ท่านทั้งหลายจงคิดถึงพระองค์ผู้ได้ทรงยอมทนต่อคำคัดค้านของคนบาป เพื่อว่าท่านทั้งหลายจะได้ไม่รู้สึกท้อถอย 4 ในการต่อสู้กับบาปนั้น ท่านทั้งหลายยังไม่ได้สู้จนถึงกับต้องเสียโลหิตเลย 5 และท่านได้ลืมคำเตือน ที่พระองค์ได้ทรงเตือนในฐานะที่เป็นบุตรว่า บุตรชายของเราเอ๋ย อย่าละเลยต่อการตีสอนขององค์พระผู้เป็นเจ้า และอย่าท้อถอยในเมื่อพระองค์ทรงตีสอนนั้น 6 เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงตีสอนผู้ที่พระองค์ทรงรัก และเมื่อพระองค์ทรงรับผู้ใดเป็นบุตร พระองค์ก็ทรงตีสอนผู้นั้น 7 ท่านทั้งหลายจงรับและทนเอาเถอะเพราะเป็นการตีสอน พระเจ้าทรงปฏิบัติต่อท่านในฐานะที่ท่านเป็นบุตรของพระองค์ ด้วยว่ามีบุตรคนใดเล่าที่บิดาไม่ได้ตีสอนเขาบ้าง 8 แต่ถ้าท่านทั้งหลายไม่ได้ถูกตีสอนเช่นเดียวกับคนอื่นๆ ท่านก็ไม่ได้เป็นบุตร แต่เป็นลูกที่ไม่มีพ่อ 9 อีกประการหนึ่ง เราทั้งหลายมีบิดาเป็นมนุษย์ที่ได้ตีสอนเรา และเราก็นับถือบิดานั้น ยิ่งกว่านั้นอีก เราควรจะอยู่ใต้บังคับของพระบิดาแห่งวิญญาณจิต และมีชีวิตจำเริญมิใช่หรือ 10 เพราะบิดาที่เป็นมนุษย์ตีสอนเราเพียงชั่วเวลาเล็กน้อย ตามความเห็นดีเห็นชอบของเขาเท่านั้น แต่พระองค์ได้ทรงตีสอนเราเพื่อประโยชน์ของเรา เพื่อให้เราได้เข้าส่วนในวิสุทธิภาพของพระองค์ 11 เมื่อมีการตีสอนนั้นดูไม่เป็นที่ชื่นใจเลย เป็นเรื่องเศร้าใจ แต่ต่อมาภายหลังก็จะก่อให้เกิดความสุขสำราญแก่บรรดาคนที่ต้องทนอยู่นั้น คือความชอบธรรมนั้นเอง 12 เพราะเหตุนั้นจงยกมือที่อ่อนแรงขึ้น และจงให้หัวเข่าที่อ่อนล้ามีกำลังขึ้น 13 และจงทำทางให้ตรงเพื่อให้เท้าของท่านเดินไป เพื่อว่าขาที่เขยกนั้นจะได้ไม่เคล็ด แต่จะหายเป็นปกติ (ฮีบรู 12:1-13)
ในช่วงหลายปีที่ผมทำพันธกิจในเรือนจำ ผมเห็นคนในเรือนจำช่วยกันพรวนดิน ปลูกผักเพื่อนำมาเป็นอาหารในเรือนจำ เห็นพวกเขาทำงานหนักสารพัดรูปแบบ ที่เขาต้องทำคือผลจากอาชญากรรมที่ก่อขึ้น แต่ผมก็เห็นงานประเภทเดียวกันนี้ทำในกองทัพด้วย โดยเฉพาะในค่ายฝึกทหารใหม่ ทหารที่เพิ่งถูกเกณฑ์เข้ามาต้องเจอความลำบากในทุกรูปแบบ ความลำบากนี้เป็นตัวบ่งหรือว่าพวกเขาทำความผิด? ไม่เลย ความลำบากที่พวกเขาเจอเป็นตัวบ่งว่าพวกเขาต้องพร้อมรับภารกิจและทำหน้าที่ตามที่ได้รับมอบหมาย ความลำบากที่ชาวอิสราเอลเผชิญในอียิปต์เตรียมพวกเขาไว้สำหรับความทุกข์ยากที่ต้องเผชิญเมื่อข้ามฝั่งทะเลแดงไป ความทุกข์ยากอาจไม่ใช่เป็นการลงโทษ แต่เป็นการเตรียมความพร้อม
(5) ยามที่ทุกข์ยากและอันตรายที่สุดไม่ใช่เป็นข้ออ้างเพื่อจะไม่เชื่อฟัง แต่เป็นโอกาสที่จะได้พิสูจน์ความเชื่อในพระวจนะของพระเจ้า สำหรับหลายคน เวลาแห่งความทุกข์ยากหรือภัยอันตรายกลับกลายเป็น “มีราชสีห์อยู่ที่ถนน”24 โอกาสที่ผมขอเรียกว่า “ขอโอกาสตีลูกอีกทีในการเล่นกอล์ฟ”25 กษัตริย์ที่ล้มลงเพราะมองสถานการณ์ที่วิกฤตมาเป็นข้ออ้างที่จะไม่เชื่อฟังพระเจ้า:
5 และคนฟีลิสเตียชุมนุมกันเพื่อจะต่อสู้คนอิสราเอล มีรถรบสามหมื่นและพลม้าหกพัน และกองทหารนั้นก็มากมายเหมือนทรายที่ฝั่งทะเล เขาก็ยกขึ้นมาตั้งค่ายอยู่ที่มิคมาชทาง ตะวันออกของเบธาเวน 6 เมื่อคนอิสราเอลเห็นว่าตกอยู่ในที่คับแค้น (เพราะประชาชนถูกบีบคั้นอย่างหนัก) แล้วประชาชนก็ซ่อนตัวอยู่ในถ้ำและในรูในซอกหิน ในอุโมงค์และในบ่อ 7 พวกฮีบรูบางคนได้ข้ามแม่น้ำจอร์แดนไปยังดินแดนกาดและ กิเลอาด แต่ฝ่ายซาอูลพระองค์ยังประทับอยู่ที่กิลกาลและประชาชน ทั้งหมดติดตามพระองค์ไปด้วยตัวสั่น 8 พระองค์ทรงคอยอยู่เจ็ดวันตาม เวลาที่ซามูเอลกำหนดไว้ แต่ซามูเอลมิได้มาที่กิลกาล ประชาชนก็แตกกระจายไปจากพระองค์ 9 ดังนั้นซาอูลจึงตรัสว่า "จงนำเครื่องเผาบูชามาให้เราที่นี่และเครื่องศานติบูชาด้วย" และพระองค์ก็ได้ถวายเครื่องเผาบูชา 10 พอพระองค์ถวายเครื่องเผาบูชาเสร็จ ดูเถิด ซามูเอลก็มาถึง ซาอูลก็เสด็จออกไปต้อนรับและทรงคำนับท่าน 11 ซามูเอลถามว่า "ท่านได้กระทำอะไรไปแล้วนี่" และซาอูลตรัสตอบว่า "เมื่อข้าพเจ้าเห็นประชาชนแตกกระจายไปจากข้าพเจ้า และท่านก็มิได้มาภายในวันที่กำหนดไว้และคน ฟีลิสเตียก็ได้ชุมนุมกันที่มิคมาช 12 ข้าพเจ้าจึงว่า 'บัดนี้ คนฟีลิสเตียจะยกมารบกับข้าพเจ้าที่กิลกาล และข้าพเจ้ายังมิได้ทูลขอพระกรุณาแห่งพระเจ้า' ข้าพเจ้าจึงข่มตัวเองและได้ถวายเครื่องเผาบูชา" 13 และซามูเอลกล่าวแก่ซาอูลว่า "ท่านได้กระทำการที่โง่เขลาเสียแล้ว ท่านมิได้รักษาพระบัญชาแห่งพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่าน ซึ่งพระองค์ทรงบัญชาท่านไว้ เพราะพระเจ้าจะได้ทรงสถาปนาราชอาณาจักรของท่านเหนืออิสราเอลเป็นนิตย์แล้ว 14 แต่บัดนี้ราชอาณาจักรของท่านจะไม่ยั่งยืน พระเจ้าทรงหาชายอีกคนหนึ่งตามชอบพระทัยพระองค์แล้ว และพระเจ้าทรงแต่งตั้งชายผู้นั้นให้เป็นเจ้านายเหนือ ชนชาติของพระองค์ เพราะท่านมิได้รักษาสิ่งซึ่งพระเจ้าทรงบัญชาท่านไว้" (1ซามูเอล 13:5-14)
น่าเศร้าที่ซาอูลไม่ได้เรียนบทเรียนตรงนี้เลย เมื่อรับคำสั่งให้ทำลายชาวอามาเลขและสัตว์ทุกชนิดของพวกเขาให้หมดสิ้น ซาอูลและกองทัพของท่านยักยอกของมีค่าที่ปล้นสดมภ์มา เก็บเอาไว้โดยอ้างว่าจะนำมาเป็นเครื่องเผาบูชาถวายให้พระเจ้า มาดูกันว่าพระเจ้าทรงตอบสนองต่อความบาปนี้อย่างไร:
2 พระเจ้าจอมโยธาตรัสดังนี้ว่า 'เราจะลงโทษอามาเลขในการที่สกัดทางอิสราเอล เมื่อเขาออกจากอียิปต์ 3 ท่านจงไปโจมตีอามาเลข และทำลายบรรดาที่เขามีนั้นเสียให้สิ้นเชิง อย่าปรานีเขาเลย จงฆ่าเสียทั้งผู้ชายผู้หญิง ทั้งทารกและเด็กที่กินนมอยู่ ทั้งโค แกะ อูฐ และลา'"….แต่ซาอูลและประชาชนได้ไว้ชีวิตอากักและสัตว์ที่ดีที่สุด มีแกะกับโคและสัตว์อ้วนพีกับลูกแกะ และสิ่งดีๆทั้งหมดไม่ยอมทำลายเสียอย่างสิ้นเชิง ทุกสิ่งที่เขาดูถูกและไร้ค่าเขาก็ทำลายเสียสิ้น…
20 และซาอูลเรียนซามูเอลว่า "ข้าพเจ้าได้ฟังพระสุรเสียงของพระเจ้าแล้ว ข้าพเจ้าได้ไปประกอบกิจตามที่พระเจ้าทรงใช้ข้าพเจ้าไป ข้าพเจ้าได้คุมตัวอากักพระราชาแห่งคนอามาเลขมา และข้าพเจ้าก็ได้ทำลายคนอามาเลขเสียอย่างสิ้นเชิง 21 แต่พวกพลได้เก็บส่วนของทรัพย์เชลยรวมทั้งแกะและโคส่วน ที่ดีที่สุดจากของซึ่งกำหนดให้ทำลายนั้น เพื่อนำมาเป็นเครื่องสัตวบูชา แด่พระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านที่ในเมืองกิลกาล" 22 และซามูเอลกล่าวว่า "พระเจ้าทรงพอพระทัยในเครื่องเผาบูชาและเครื่องสัตวบูชามาก เท่ากับการที่จะเชื่อฟังพระสุรเสียงของพระองค์หรือ ดูเถิด ที่จะเชื่อฟังก็ดีกว่าเครื่องสัตวบูชา และซึ่งจะสดับฟังก็ดีกว่าไขมันของบรรดาแกะผู้ 23 เพราะการกบฏก็เป็นเหมือนบาป แห่งการถือฤกษ์ถือยาม และความดื้อดึงก็เป็นเหมือนบาปชั่วและการไหว้รูปเคารพ เพราะเหตุที่ท่านทอดทิ้งพระวจนะของพระเจ้า พระองค์จึงทรงถอดท่านออกจากตำแหน่งกษัตริย์" (1ซามูเอล 15:2-3, 9; 20-23)
ดาวิดเองเคยเจอกับการทดสอบในแบบเดียวกัน แต่ขอบคุณพระเจ้าที่ท่านไม่ได้ล้มลง26 ซาอูลหาทางฆ่าดาวิด แต่ท่านหลบหนีไปจากซาอูล ไปอาศัยซ่อนตัวอยู่ในที่ห่างไกล สองครั้งที่พระเจ้ามอบชีวิตซาอูลให้อยู่ในมือดาวิด และสองครั้งที่ดาวิดสามารถใช้โอกาสจากสถานการณ์นี้ฆ่าซาอูล แม้ชีวิตของดาวิดตกอยู่ในอันตรายใหญ่หลวง ดาวิดไม่ได้เปลี่ยนสถานการณ์โดยลงมือจัดการกับซาอูล (1ซามูเอล 24:1-7; 26:6-12) ดาวิดมอบชีวิตท่านไว้กับพระเจ้า ปฏิเสธไม่ทำสิ่งที่ผิดแม้กำลังตกอยู่ในอันตราย
มันไม่ใช่การทดสอบถ้าผมจะส่งเงินห้าเหรียญให้หลานแล้วบอกให้ไปซื้อไอศครีมโคน แต่มันจะเป็นการทดสอบถ้าผมพาเธอไปหาหมอและบอกว่าหมอจะขอฉีดยาหน่อย สถานการณ์ที่ส่งผลเสียในตอนนี้ทำให้ความเชื่อและการเชื่อฟังของเรากำลังถูกทดสอบ
(6) สัญชาตญาณที่รุนแรงที่สุดของมนุษย์คือป้องกันตนเอง แต่ความเชื่อคริสเตียนกลับเรียกร้องให้ “ตายต่อตนเอง” และไม่ทำตาม “ความต้องการของเนื้อหนัง” เราสามารถใช้เวลาในเรื่องนี้ได้นานพอควร “ตนเอง” คือสิ่งที่ครอบงำชีวิตฝ่ายเนื้อหนัง ไม่ว่าจะเป็นการรักษาชีวิตตนเองไว้ หรือรักษาคุณค่าของตนเอง เมื่อถูกคุกคามคนส่วนใหญ่ยินยอมที่จะละจากพระวจนะของพระเจ้า เมื่อโดนโศกนาฏกรรม อาจมีบางคนเท่านั้นที่เชื่อว่ามีสิ่งอื่นที่สำคัญกว่าชีวิตฝ่ายเนื้อหนัง ทหารที่ไปออกศึกรู้ดีว่ากำลังเอาชีวิตไปเสี่ยง แต่พวกเขามั่นใจว่าเหตุผลนั้นคุ้มค่าที่จะตายแทนได้
สิ่งนี้เป็นยิ่งกว่าความจริงสำหรับคริสเตียน แน่นอนเราต้องการได้ชาย หญิง และเด็กๆที่เห็นคุณค่าและเชื่อฟังพระวจนะมากกว่าคนที่อยากจะรักษาแต่ชีวิตฝ่ายกายไว้ เราต้องการคนที่มีทัศนคติต่อชีวิตและความตายเหมือน อ.เปาโล:
20 เพราะว่าเป็นความมุ่งมาดปรารถนาและความหวังว่าข้าพเจ้าจะไม่ได้รับความละอายใดๆเลย แต่เมื่อก่อนทุกครั้งมีใจกล้าเสมอฉันใด บัดนี้ก็ขอให้เป็นเช่นเดียวกันฉันนั้น พระคริสต์จะได้ทรงรับเกียรติในร่างกายของข้าพเจ้าเสมอ แม้จะโดยชีวิตหรือโดยความตาย21 เพราะว่าสำหรับข้าพเจ้านั้น การมีชีวิตอยู่ก็เพื่อพระคริสต์ และการตายก็ได้กำไร 22 ถ้าข้าพเจ้ายังจะมีชีวิตอยู่ในร่างกาย ข้าพเจ้าก็จะทำงานให้เกิดผล แต่ข้าพเจ้าบอกไม่ได้ว่าจะเลือกฝ่ายไหนดี 23 ข้าพเจ้าลังเลใจอยู่ในระหว่างสองฝ่ายนี้ คือว่า ข้าพเจ้ามีความปรารถนาที่จะจากไปเพื่ออยู่กับพระคริสต์ ซึ่งประเสริฐกว่ามากนัก 24 แต่การที่ข้าพเจ้ายังมีชีวิตอยู่ในร่างกายนี้ก็จำเป็นมากสำหรับพวกท่าน 25 เมื่อข้าพเจ้าแน่ใจอย่างนี้แล้ว ข้าพเจ้าก็ทราบว่าข้าพเจ้าจะยังอยู่ คืออยู่กับท่านเพื่อให้ท่านจำเริญขึ้นและชื่นชมยินดีในความเชื่อ (ฟีลิปปี 1:20-25)
6 เหตุฉะนั้นเรามั่นใจอยู่เสมอ รู้อยู่แล้วว่า ขณะที่เราอยู่ในร่างกายนี้ เราอยู่ห่างจากองค์พระผู้เป็นเจ้า 7 เพราะเราดำเนินโดยความเชื่อ มิใช่ตามที่ตามองเห็น 8 เรามีความมั่นใจ และเราปรารถนาจะอยู่กับองค์พระผู้เป็นเจ้ามากกว่าอยู่ในร่างกายนี้ 9 เหตุฉะนั้นเราตั้งเป้าของเราว่า จะอยู่ในกายนี้ก็ดีหรือไม่อยู่ก็ดี เราก็จะทำตัวให้เป็นที่พอพระทัยของพระองค์ (2โครินธ์ 5:6-9)
เราต้องการคนที่ไม่กลัวตาย คนที่เห็นเหตุแห่งพระกิตติคุณสำคัญกว่าความสะดวกสบายและมั่นคงของตนเอง ขอบคุณพระเจ้าที่มีคนอย่างดาวิด กล้าไปเผชิญกับโกลิอัทเมื่อคนอื่นๆ (รวมถึงซาอูล) ไม่กล้าเอาชีวิตเข้าไปเสี่ยง สรรเสริญพระเจ้าสำหรับรายชื่อใน “ทำเนียบแห่งความเชื่อ” (ฮีบรู 11) คนที่ไม่หัวหดเมื่อเผชิญความทุกข์และความตาย แต่ยังสัตย์ซื่อต่อพระเจ้าและพระวจนะของพระองค์ สรรเสริญพระเจ้าที่หลายคนในยุคของเราเอาตัวออกมาจาก "กันเหนียวดีกว่า" เพื่อเห็นแก่พระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์ เราต้องการคนเช่นนี้อีกมากมาย คนที่ยอมสละความสะดวกสบายและความเป็นส่วนตัวเพื่อจะได้มีโอกาสสัมผัสกับความปิติของการ “มีชีวิตที่สุดขั้ว” และจะได้ยินคำตรัสว่า 'ดีแล้ว เจ้าเป็นทาสดีและสัตย์ซื่อ” (มัทธิว 25:21)
สรรเสริญพระเจ้าที่พระเยซูทรงมุ่งมั่นไปสู่เยรูซาเล็มนับจากการเริ่มต้นพระราชกิจของพระองค์ที่บนโลก และไม่ทรงหันเหไปจากพระภารกิจไม่ว่าจะซ้ายหรือขวาเพื่อให้เราทั้งหลายรอดปลอดภัยและได้รับการปลอบประโลมใจ
(7) แล้วที่ทรงสอนว่า “และขออย่านำข้าพระองค์เข้าไปในการทดลอง”? ผมรู้ดีว่ามีบางคนกำลังสงสัยในถ้อยคำนี้ ในคำอธิษฐานที่พระเยซูสอนไว้ :
“และขออย่านำข้าพระองค์เข้าไปในการทดลอง
แต่ขอให้พ้นจากซึ่งชั่วร้าย” (มัทธิว 6:13)
พระวิญญาณของพระเจ้าทรงนำพระเยซูเข้าสู่การทดลอง ใช่หรือไม่? ทำไม พระองค์ถึงสอนให้เราอธิษฐานว่าอย่านำเราเข้าสู่การทดลอง? ขอชี้ให้เห็นคำในภาษากรีก peirazo ซึ่งอาจแปลได้ว่า “การทดลอง” (ที่สนับสนุนให้ทำชั่ว) หรือ “การทดสอบ” (ด้วยความหวังว่าจะผ่านได้) ซึ่งอาจทำให้เรายังงงอยู่
เราต้องเริ่มด้วยขอบเขตที่พระวจนะตอนอื่นบอกเอาไว้ เช่น
13 เมื่อผู้ใดถูกล่อให้หลง อย่าให้ผู้นั้นพูดว่า "พระเจ้าทรงล่อข้าพเจ้าให้หลง" เพราะว่าความชั่วจะมาล่อพระเจ้าให้หลงไม่ได้ และพระองค์เองก็ไม่ทรงล่อผู้ใดให้หลงเลย 14 แต่ว่าทุกคนก็ถูกล่อให้หลง เมื่อกิเลสของตัวเองล่อและชักนำให้กระทำตาม 15 ครั้นตัณหาเกิดขึ้นแล้วก็ทำให้เกิดบาป และเมื่อบาปเจริญเต็มที่แล้วก็นำไปสู่ความตาย (ยากอบ 1:13-15)
เมื่อรู้ว่าพระเจ้าจะทรงกระทำให้เราถ่อมใจและทดสอบเรา เพื่อกระทำให้เกิดประโยชน์แก่เรา (เฉลยธรรมบัญญัติ 8:16) พระองค์ไม่เคยล่อลวงเรา แต่ทรงอนุญาตให้มารมาทดลองเราได้ แท้จริงคือการทดสอบตามมุมมองของพระเจ้า (อย่างในกรณีที่มารมาผจญพระเยซู)
เราไม่จำเป็นต้องห้ามไม่ให้พระเจ้าทดสอบเรา ผมเชื่อว่าเมื่อเราอธิษฐานว่า “อย่านำข้าพระองค์ทั้งหลายเข้าสู่การทดลอง” เรากำลังร้องทูลพระเจ้าขออย่าให้เรามีความปรารถนาอยากเล่นกับการทดลอง ถ้าเราไม่อยากทำบาป แน่นอนก็ไม่ได้อยากเผชิญการทดลอง ผมกลัวว่าบางครั้งเราสนุกกับการทดลองเพราะคิดว่าคงไม่พลาดไปทำบาปหรอก ความต้องการของเราคืออยู่ให้ห่างจากการทดลองทั้งหมด นี่คือสิ่งที่โยเซฟทำเมื่อถูกมาดามโปทิฟาร์ยั่วยวน ท่านหนี ไม่ใช่แค่รีบหนีจากบาป แต่รีบหนีจากการทดลองด้วย นี่ควรเป็นทัศนคติของเราเช่นกัน เราควรอธิษฐานอย่าให้ต้องเจอกับการทดลอง และถ้าเจอขอให้หลีกหนีได้ ดังนั้นสิ่งนี้ควรอยู่ในคำอธิษฐานของเรา
ขอพระเจ้าประทานกำลังให้พวกเราเมื่อเผชิญการทดลอง ให้เราเห็นมันอย่างที่ควรเป็น (ผ่านพระวจนะและพระวิญญาณของพระเจ้า) และตอบสนองอย่างถูกต้อง
(8) ขอให้จบบทเรียนนี้ลงตรงที่ไม่มีอะไรในชัยชนะของพระเยซูเป็นชัยชนะของพระองค์ นี่เป็น “ฉากเปิดตัว” ระหว่างซาตานและพระผู้ช่วยให้รอด และยังไม่ใช่ตอนสุดท้าย การเผชิญหน้ากับศัตรูตัวเอ้และพระเยซูทรงมีชัย ผมเชื่อว่ามัทธิวกำลังบอกผู้อ่านว่านี่เป็นการลิ้มรสก่อนที่ของจริงจะมา มัทธิวให้เรารู้แต่แรกว่าพระเยซูจะมีชัยเหนือซาตานเสมอ ชัยชนะของพระองค์ที่ในถิ่นทุรกันดารคือ “ผลแรก” ของชัยชนะที่ยิ่งใหญ่กว่าที่พระองค์จะทรงกระทำที่บนไม้กางเขน ชัยชนะที่ซาตานจะได้ไปคือตัวการขัดขวางพระราชกิจนี้
1 74 เป็นต้นฉบับบทเรียนที่ 5 และ 6 ที่แก้ไขแล้ว ในบทเรียนต่อเนื่องพระกิตติคุณมัทธิว จัดเตรียมโดย Robert L. Deffinbaugh วันที่ 16 & 23, มีนาคม 2003
2 75 นอกจากที่กล่าวไปแล้ว พระวจนะที่นำมาอ้างอิงทั้งหมดมาจาก NET Bible (The NEW ENGLISH TRANSLATION) เป็น ฉบับแปลใหม่ทั้งหมด ไม่ใช่นำฉบับเก่าในภาษาอังกฤษมาเรียบเรียงใหม่ ใช้ผู้เชี่ยวชาญและนักวิชาการพระคัมภีร์มากกว่า ยี่สิบคน รวบรวมข้อมูล ทั้งจากภาษาฮีบรูโดยตรง ภาษาอาราเมข และภาษากรีก โครงการแปลนี้เริ่มมาจากที่เราต้องการนำ พระคัมภีร์ เผยแพร่ผ่านสื่ออีเลคโทรนิค เพื่อรองรับการใช้งานทางอินเตอร์เน็ท และซีดี (compact disk) ที่ใดก็ตามในโลก ที่ต่อเข้าอินเตอร์เน็ทได้ ก็สามารถเรียกดู และพริ้นทข้อมูลไว้เพื่อใช้ศึกษาเป็นการส่วนตัวได้โดยไม่คิดมูลค่า นอกจากนี้ ผู้ใดก็ตาม ที่ต้องการนำข้อมูลเกี่ยวกับพระคัมภีร์ไปเผยแพร่ต่อโดยไม่คิดเงิน สามารถทำได้จากเว็บไซด์ : www.netbible.org
3 76 อย่าลืมว่าพระเยซูยังไม่ได้เรียกและเลือกสาวก เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นหลังพิธีบัพติศมา ในมัทธิว 4:18-22 เปโตรอยู่ในเหตุการณ์การจำแลงพระกาย เมื่อท่านได้ยินพระบิดาตรัสถ้อยคำเดียวกันนี้ ท่านจึงนำมาบันทึกไว้ใน 2เปโตร 1:17-18 แต่เปโตรไม่เคยพูดว่าท่านได้ยินพระบิดาตรัสเช่นนี้กับพระเยซูในพิธีบัพติศมา
4 77 ลองสมมุติว่ามีคนยืนเฝ้าดูพระเยซูรับบัพติศมา ผมไม่แน่ใจว่าพวกเขาจะเข้าใจหรือไม่ว่าเกิดอะไรขึ้น อาจจะคล้ายๆใน ยอห์น 12:27-30 ที่พระบิดาตรัสลงมาจากฟ้าสวรรค์เพื่อให้เป็นประโยชน์แก่ผู้ที่ยืนอยู่รอบข้าง แต่ว่าพวกเขาก็ไม่ได้มีท่าทีเข้าใจในสิ่งที่พระเจ้าตรัส เช่นเดียวกับคนที่เดินทางไปกับเซาโลบนถนนสู่ดามัสกัส (กิจการ 22:9)
5 78 เปรียบเทียบกับอิสยาห์ 63:15, 64:1 ดูอิสยาห์ 11:1-2 ด้วย
6 79 ข้อถกเถียงนี้คล้ายกับที่เจอในฮีบรู 7:1-10 ที่ผู้เขียนให้เหตุผลว่าผู้น้อยนั้นได้ถวายสิบลดแก่ผู้ใหญ่กว่า ดังนั้นอับราฮัมจึงถวายสิบลดแก่เมลคีเซเดค เพื่อเป็นการแสดงความเคารพว่าเมลคีเซเดคนั้นใหญ่กว่าท่าน ดังนั้นตำแหน่งปุโรหิตที่เมลคีเซเดคเป็นจึงใหญ่กว่าปุโรหิตในสายของอาโรนซึ่งมาทางอับราฮัม
7 80 ในมัทธิวพระตรีเอกานุภาพ เสด็จมาพร้อมกันในพิธีบัพติศมาของพระเยซู และมีการกล่าวถึงในพระมหาบัญชาในมัทธิว 28:19
8 81 ดูฮีบรู 5:5 ด้วย โดยบังเอิญเมื่อผู้เขียนหนังสือฮีบรูนำข้อพระคำสองข้อมาจากพระคัมภีร์เดิม ซึ่งเกี่ยวข้องกับการคืนพระชนม์ของพระเยซูคริสต์ ในพิธีบัพติศมาของพระองค์ พระเยซูรับการแต่งตั้งให้เป็นผู้มาปกครองเหนืออิสราเอล นั่งบนบัลลังก์ของดาวิด ที่บนภูเขาขณะทรงจำแลงพระกาย สาวกทั้งสามได้มีโอกาสเห็นภาพการปกครองของพระองค์ (ลูกา 9:27) ผู้เขียนฮีบรูจึงนำทั้งหมดมา ใช้โดยกล่าวว่า เพื่อให้พระเยซูปกครองชั่วนิรันดร์บนบัลลังก์ของดาวิด พระองค์ต้องคืนพระชนม์ขึ้นมาจากความตายก่อน
9 82 ตัวอย่างเช่นจาก มัทธิว 1:1, 20, 9:29; 12:23, 15;22, 20:30-31 ฯลฯ
10 83 จากหนังสือของ James Montgomery Boice, The Gospel of Matthew (Grand Rapids, Michigan: Baker Books, 2001), vol. 1, p. 51.
11 84 เมื่อซามูเอลเจิมตั้งซาอูลเป็นกษัตริย์องค์แรกของอิสราเอล พระวิญญาณของพระเจ้าลงมาสถิตย์เหนือท่าน (1ซามูเอล 10:1-13 ดู 11:6 ด้วย) ใน 1ซามูเอล 16:13 สิ่งเดียวกันนี้เกิดกับดาวิดเมือซามูเอลเจิมท่านให้เป็นกษัตริย์ของอิสราเอล
12 85 เพื่อนของผม โทนี่ เอ็มเก แนะนำว่านกพิราบยังเป็นสัญลักษณ์ที่โยงไปถึงโนอาห์และน้ำท่วมโลก การที่นกพิราบบินกลับมา (ครั้งที่สอง) คาบใบมะกอกสดมาด้วย เป็นสัญลักษณ์บ่งถึงชีวิตเกิดใหม่ที่โผล่ขึ้นมาจากการถูกทำลายของน้ำ มีนกพิราบอยู่เหนือพระเยซูหลังจากพระองค์รับบัพติศมาแล้ว เป็นหมายสำคัญว่าจากน้ำที่ไหลมาจากการพิพากษาของพระเจ้าที่มีต่อพระเยซูคริสต์ (ที่เป็นสัญลักษณ์ในพิธีบัพติศมา) ชีวิตใหม่กำลังโผล่พ้นขึ้นมา
13 86 การทำงานร่วมกันนี้จึงอธิบายถึงคำว่า “เรา” ได้ (ในมัทธิว 3:15)
14 87 ทุกฉบับแปล The NASB, KJV, NKJV, and NIV ต่างใช้คำว่า “นำ”
15 88 กวางอาจเป็นไปได้ หมีและเสือปลาอาจไกลออกไปหน่อย ทำให้ผมรู้สึกโล่งใจหน่อยเมื่อเดินผิวปากผ่านป่ายามค่ำคืน
16 89 น่าสนใจที่มาระโกไม่ได้มุ่งไปที่ความจริงว่าพระเยซูทรงอดอาหารทั้ง 40 วันนั้น
17 90 จากหนังสือของเฟรเดอริค บรูเนอร์ The Christbook: A Historical/Theological Commentary (Waco, Texas: Word Books, 1987), vol. 1, หน้า 103.
18 91 n http://www.desiringgod.org/cgi-bin/print.cgi?http://www.desiringgod.org/library/sermons/95/011595.html
19 92 “ลูเธอร์ ยังไม่เคยเห็นการอดอาหารที่ถูกต้อง หรือการอดอาหารที่ไม่ช่วยให้วางใจในการดีได้ การอดอาหารที่ถูกต้องคือยอมรับความลำบากที่พระเจ้าส่งลงมาให้ ... ส่วน คาลวิน 1:124-135 ชี้ให้เห็นว่าไม่ว่าพระเยซูหรือโมเสสอดอาหารทุกปี แต่ครั้งหนึ่งในชีวิตที่มีการบันทึกไว้ในพระคัมภีร์ (จากบรูเนอร์ หน้า 104)
ที่จริงผมคิดว่าคาลวินไม่ถูกนักตรงนี้ พระเยซูทรง “อดพระกายาหาร” ในหลายๆโอกาส (ดูมาระโก 3:20-21, ยอห์น 4:31-34) โมเสสเองก็อดอาหารมากกว่าหนึ่งครั้ง – มีการเอ่ยถึงสามครั้งในเฉลยธรรมบัญญัติ และพูดถึงในสองสถานการณ์ที่ต่างกัน : การเริ่มต้นประทานพระบัญญัติ และเมื่อโมเสสเข้าไปจัดการกับความบาปของอิสราเอลที่กราบไหว้รูปวัวทองคำ (ดูเฉลยธรรมบัญญัติ 9:9, 11, 18, 25; 10:10)
20 93 เช่นเดียวกับที่พระเยซูไม่ทำตามพระทัยตนเองที่ฝ่าฝืนพระเจ้า ไปเสกก้อนหินเป็นอาหาร ผมสงสัยว่าพระองค์คงตั้งพระทัยตั้งแต่แรกแล้วว่าจะพึ่งพิงพระเจ้า และจะไม่รับประทานสิ่งใด
21 94 ผมไม่อาจมองข้ามความจริงว่าพระเยซูทรงเป็น “พระศิลาที่ติดตามอิสราเอล” อย่างที่ อ.เปาโลพูดไว้ใน 1โครินธ์ 10:4 พระเยซูไม่เพียงแต่ตระหนักว่ามีสิ่งใดเกิดขึ้นในถิ่นทุรกันดารในช่วง 40 วันนั้นเพราะได้อ่านจากพระวจนะ แต่พระองค์ทรงอยู่ที่นั่นด้วย พระองค์ทรงเป็นพระศิลาที่ประทานน้ำ เรื่องเสกหินให้เป็นอาหารคงไม่ใช่เป็นเรื่องยากสำหรับพระองค์
22 95 ยิ่งคิดถึงเรื่องนี้ ยิ่งทำให้เห็นความสำคัญในเบื้องหลังคำพยากรณ์ ผู้เผยพระวจนะ โดยเฉพาะอิสยาห์ ใช้สัญลักษณ์และถ้อยคำจากหนังสืออพยพ (การช่วยกู้ครั้งแรกที่ยิ่งใหญ่จากพระเจ้า) เพื่ออธิบายถึงการช่วยกู้ที่พระองค์เตรียมไว้ในอนาคต (จากชาวบาบิโลน และที่สุดแล้วช่วยกู้ออกจากความบาปโดยทางพระเยซูคริสต์) ถ้าอ่านเนื้อหาในอิสยาห์ 35:6-7, 44:3-4 ผมเห็นถ้อยคำที่มาจากหนังสืออพยพ การช่วยกู้ครั้งสุดท้ายยิ่งใหญ่มากมายกว่าครั้งแรก เมื่ออิสราเอลอยู่ในถิ่นทุรกันดาร พระเจ้าทรงให้มีน้ำไหลออกมาจากหิน แต่ในการช่วยกู้ครั้งยิ่งใหญ่ พระเจ้าจะให้มีแม่น้ำใหญ่ที่ในถิ่นทุรกันดาร นั่นคือพระองค์จะทรงเปลี่ยนถิ่นทุรกันดารให้เป็นสวนที่มีแหล่งน้ำสวยงาม
23 96 หนังสือวิวรณ์อ้างจากอิสยาห์ 49:10 ความรอดที่พระเยซูทรงทำสำเร็จเป็นการทำให้คำพยากรณ์จากอิสยาห์ 49:10 และของเดิมจากอพยพเป็นจริง ผมอยากคิดว่าการอ้างถึงดวงอาทิตย์จะไม่ทำลายประชากรด้วยความร้อนที่แผดเผา เป็นตัวบ่งว่าการช่วยกู้ครั้งหลังนี้ดีกว่าการช่วยกู้ออกมาจากอียิปต์มากมาย เพราะตอนนั้นคนอิสราเอลยังต้องทนกับความร้อนของถิ่นทุรกันดาร
24 97 ดูสุภาษิต 22:13; 26:13 “ราชสีห์บนถนน” เป็นข้ออ้างของพวกขี้เกียจไม่อยากออกไปทำอะไร ใครกันบ้างล่ะอยากออกจากบ้านที่ปลอดภัยไปทำงานในท้องทุ่งถ้ามันมีราชสีห์อยู่ที่ถนน? เราต่างก็หาข้ออ้างที่ฟังขึ้นเพื่อหลีกเลี่ยงสิ่งที่เราไม่ชอบ หรือไม่ราบรื่น ผมและเพื่อนบ้านเคยไปวิ่งที่สนามกีฬาของโรงเรียนข้างบ้าน พอมีฝนลงมาเบาๆ เขา (บางทีก็ผม) จะโผล่หัวออกไปที่ประตูบ้านตะโกนบอกว่า “พายุขนาดนี้วิ่งไม่ได้หรอก”
25 98 เชื่อเถอะครับ ผมรู้เรื่องมูลลิแกนดี เพราะเล่นกอล์ฟบ้าง ใช้เป็นข้ออ้างที่จะเตะลูกออกจากที่ขรุขระไปบนสนาม หรือได้ตีอีกครั้งถ้าลูกแรกมันไม่เอาไหน
การเผชิญการทดลองของพระเยซูมีหลายตอนที่เชื่อมโยงกับพระคัมภีร์เดิม เราเห็นการโต้ตอบระหว่างการล่อลวงแรกของอาดัมและเอวาในปฐมกาล 3 และการทดลองที่พระเยซูเผชิญใน มัทธิว 4 มัทธิวเน้นการเชื่อมโยงระหว่างการทดลองของพระเยซูในถิ่นทุรกันดาร กับการทดสอบอิสราเอลในถิ่นทุรกันดารด้วยตามที่อ่านตอนต้นของเฉลยธรรมบัญญัติ นอกจากนี้ยังมีการเชื่อมโยงอื่นๆระหว่างการทดลองของพระเยซู และในเฉลยธรรมบัญญัติที่ผมเห็นอีกตอนเตรียมบทเรียนนี้ ถ้อยคำที่เชื่อมโยงกันนี้เกี่ยวข้องกับกษัตริย์อิสราเอลในเฉลยธรรมบัญญัติ 17:
14 "เมื่อท่านมาถึงแผ่นดินที่พระเยโฮวาห์พระเจ้า ของท่านประทานแก่ท่าน และท่านถือกรรมสิทธิ์อาศัยอยู่ในแผ่นดินนั้น แล้วท่านจะกล่าวว่า 'เราจะตั้งกษัตริย์ไว้เหนือเราเหมือนประชาชาติอื่นซึ่งอยู่รอบเรา' 15 ก็จงตั้งผู้ซึ่งพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านทรงเลือก ไว้ให้เป็นกษัตริย์เหนือท่าน คือตั้งผู้หนึ่งผู้ใดในพวกพี่น้องของท่านให้เป็นกษัตริย์เหนือท่าน ท่านอย่าตั้งคนต่างด้าวซึ่งมิใช่พี่น้องของท่านให้อยู่เหนือท่าน 16 แต่ว่าอย่าให้ผู้นั้นมีม้าของตนเองมากเกินไป หรือเป็นเหตุให้ประชาชนกลับไปอียิปต์ เพื่อจะมีม้ามากๆ เพราะพระเจ้าได้ตรัสกับท่านทั้งหลายแล้วว่า 'เจ้าทั้งหลายจะไม่ได้กลับไปทางนั้นอีกเลย' 17 และอย่าให้ผู้นั้นมีภรรยามาก เกรงว่าจิตใจของเขาจะหันเหไปเสีย หรืออย่าให้มีเงินมีทองเป็นของตนอย่างมากมาย 18 "เมื่อผู้นั้นนั่งบัลลังก์ในราชอาณาจักรก็ให้ผู้นั้นคัดลอก กฎหมายนี้ไว้ในหนังสือเพื่อประโยชน์แก่ตนเองจากหนังสือ ที่ปุโรหิตคนเลวีรักษาอยู่นั้น 19 ให้กฎหมายนั้นอยู่กับผู้นั้น และให้เขาอ่านอยู่เสมอตลอดชีวิตของตน เพื่อเขาจะได้เรียนรู้ที่จะยำเกรงพระเยโฮวาห์ พระเจ้าของเขา โดยรักษาถ้อยคำในกฎหมายนี้ และกฎเกณฑ์เหล่านี้และ กระทำตาม 20 เพื่อว่าจิตใจของเขาจะมิได้พองขึ้นสูงกว่าพี่น้องของตน และเพื่อเขาเองจะมิได้หันเหจากพระบัญญัติไปทางขวามือหรือทางซ้ายมือ เพื่อเขาจะได้ปกครองราชอาณาจักรของเขาอยู่ได้นาน ทั้งตนเองและลูกหลานของตนในอิสราเอล (เฉลยธรรมบัญญัติ 17:14-20)2
โดยทางโมเสส พระเจ้ามองไกลไปถึงเวลาที่อิสราเอลจะเรียกร้อง3 ขอมีกษัตริย์ พระองค์กำหนดคุณสมบัติของผู้จะมาเป็นกษัตริย์ไว้:
(1) คุณสมบัติแรก กษัตริย์ของอิสราเอลต้องเป็นคนอิสราเอล ไม่ใช่คนต่างชาติ (เฉลยธรรมบัญญัติ 17:15) พระเยซูทรงมีคุณสมบัตินี้ เหนือไปกว่านั้นถ้าดูตามลำดับพงศ์พันธ์ของมัทธิว พระเยซูทรงเป็นทั้ง “บุตรของอับราฮัม” และ “บุตรของดาวิด” (มัทธิว 1)
(2) คุณสมบัติประการที่สองสำหรับกษัตริย์อิสราเอล ต้องเป็นการเลือกที่มาจากพระเจ้า (เฉลยธรรมบัญญัติ 17:15) ซึ่งสอดคล้องกับสถานะของพระเยซู ตอนแรกยอห์นผู้ให้บัพติศมาไม่รู้ชัดว่าใครคือพระเมสซิยาห์ (ยอห์น 1:26-24) พระเยซูได้รับการแต่งตั้งให้เป็นพระเมสซิยาห์เริ่มจากคำของทูตสวรรค์ที่มาบอกกับโยเซฟ (มัทธิว 1:20-23) และต่อมาจากการปรากฎของดวงดาวและคำพยานของพวกโหราจารย์ (มัทธิว 2:1-12) ในพิธีบัพติศมา พระเยซูทรงรับการแต่งตั้งโดยพระเจ้าให้เป็นพระเมสซิยาห์ กษัตริย์ของอิสราเอล และพระวิญญาณเสด็จลงมาเป็นพยาน ยืนยันให้ยอห์นผู้ให้บัพติศมาด้วย (มัทธิว 3)
(3) คุณสมบัติประการที่สาม เกี่ยวข้องกับสิ่งอื่นๆ: ม้า เงิน ทองคำ ภรรยา – ม้า เงิน ทองคำ เป็นสิ่งที่ทำให้คนอาจหลงอำนาจและหลุดจากการบังคับตน มีภรรยามากเหมือนมีศัตรูทางการเมืองเพิ่ม บ่งชัดอยู่ในเฉลยธรรมบัญญัติ 17 ผมเชื่อว่ากษัตริย์ต้องวางใจในพระเจ้าสำหรับชัยชนะของกองทัพ ไม่ใช่ด้วย “อาวุธของเนื้อหนัง”
31 ม้าก็เตรียมไว้พร้อมแล้วสำหรับวันสงคราม
แต่ความมีชัยเป็นของพระเจ้า (สุภาษิต 21:31)
1 วิบัติแก่คนเหล่านั้นผู้ลงไปที่อียิปต์ เพื่อขอความช่วยเหลือ
และหมายพึ่งม้า ผู้ที่วางใจในรถรบเพราะมีมาก และวางใจในพลม้า เพราะเขาทั้งหลายแข็งแรงนัก
แต่มิได้หมายถึงองค์บริสุทธิ์ของอิสราเอล หรือปรึกษากับพระเจ้า (อิสยาห์ 31:1)
มากไปกว่านั้น ภรรยาต่างชาติทั้งหลายจะหันเหพระทัยของกษัตริย์ไปจากทางของพระเจ้าสู่พระอื่นๆ (เฉลยธรรมบัญญัติ 17:17) นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตของซาโลมอน (ดู 1พงศ์กษัตริย์ 11:1-8)
พระเยซูคริสต์ไม่ได้สั่งสมสิ่งเหล่านี้ ไม่ได้สะสมเงินทอง เครื่องนุ่งห่ม บ้าน หรือที่ดิน แม้แต่ที่ฝังพระศพยังต้องยืมคนอื่น พระเยซูทรงวางพระทัยในพระบิดาเพียงพระองค์เดียว พระเยซูจึงมีคุณสมบัติในเรื่องไม่สะสมทรัพย์สิ่งของๆโลก
(4) คุณสมบัติประการที่สี่ กษัตริย์จำต้องคัดลอกกฎหมายของพระเจ้าไว้สำหรับตนเอง ต้องมีติดตัวเสมอ (เฉลยธรรมบัญญัติ 17:18-20) เนื่องจากกษัตริย์ไม่อาจแบกกฎหมายติดตัวไปในที่ต่างๆระหว่างวัน โดยเฉพาะเมื่อเข้าสงคราม แต่สามารถมีกฎหมายของพระเจ้า “ติดตัว” ไปได้โดยเก็บไว้ในจิตใจ คุณสมบัติหลายอย่างนี้เกี่ยวข้องกับธรรมบัญญัติในพระคัมภีร์เดิม ผู้เป็นกษัตริย์ต้อง “รักษาถ้อยคำในกฎหมายนี้ และกฎเกณฑ์เหล่านี้” (17:19) นอกจากนั้น กษัตริย์ต้องไม่ยกตัวขึ้นสูงกว่าประชาชนของตน “เพื่อจะมิได้หันเหจากพระบัญญัติไปทางขวามือหรือทางซ้ายมือ” (17:20) ผมคิดว่าสิ่งนี้หมายถึงกษัตริย์ต้องไม่เห็นว่าตนเอง “อยู่เหนือกฎหมาย” และอยู่เหนือกฎเกณฑ์ที่พระเจ้ากำหนด
มัทธิวเห็นชัดว่าพระเยซูทรงมีคุณสมบัติเหล่านี้ทุกประการ ทรงมี “กฎหมายของพระเจ้าอยู่กับตัว” ที่ในถิ่นทุรกันดารเมื่อถูกทดลองทรงตอบสนองโดยนำพระวจนะหรือกฎหมายของพระเจ้ามาใช้ พระเยซูทรงปฏิเสธการล่อลวงของมารที่มาแนะนำให้ละเมิดพระบัญญัติ
ทั้งหมดนี้เพื่อบอกว่าพระเยซูคริสต์ องค์พระผู้เป็นเจ้าของเราผู้เดียวทรงมีคุณสมบัติครบถ้วนสำหรับตำแหน่งกษัตริย์อิสราเอลตามที่กำหนดไว้ในเฉลยธรรมบัญญัติ 17 ทรงเป็นพระเมสซิยาห์องค์เที่ยงแท้
ในการทดลองครั้งแรก ซาตานพยายามล่อลวงให้พระเยซูทำตามพระทัย ไม่ขึ้นกับพระบิดาและการทรงนำของพระวิญญาณบริสุทธิ เลือกรักษาชีวิตตนเองไว้ สั่งก้อนหินให้เป็นอาหาร ดูเหมือนมารยึดตามคำโบราณที่ว่า “ที่ใดมีชีวิต ที่นั่นยังมีความหวัง” หลังสี่สิบวันและคืนผ่านไปในถิ่นทุรกันดารโดยไม่มีอาหาร ชีวิตของพระเยซูเริ่มอ่อนแอ ทำตามการทรงนำของพระเจ้าดูเหมือนไปสู่ความตาย พระเยซูทรงมีฤทธิเปลี่ยนก้อนหินให้เป็นขนมปังได้ แล้วทำไมถึงไม่ทำ? นี่คือเหตุผลของซาตาน
พระเยซูทรงทราบดีกว่านั้น ในหนังสือเฉลยธรรมบัญญัติ พระเจ้าบอกชาวอิสราเอลว่าพระองค์จะทรงทดสอบพวกเขาในถิ่นทุรกันดาร เพื่อพิสูจน์จิตใจพวกเขา :
1 "บัญญัติทั้งสิ้นซึ่งข้าพเจ้าบัญชาท่านในวันนี้นั้น ท่านทั้งหลายจงระวังกระทำตาม เพื่อท่านทั้งหลายจะมีชีวิตและทวีมากขึ้น และเข้าไปยึดครองแผ่นดินซึ่งพระเยโฮวาห์ ทรงปฏิญาณที่จะกระทำแก่บรรพบุรุษของท่าน 2 ท่านทั้งหลายจงระลึกถึงทางซึ่งพระเยโฮวาห์ พระเจ้าของท่านทรงนำท่านอยู่ในถิ่นทุรกันดารถึงสี่สิบปี เพื่อพระองค์จะทรงกระทำให้ท่านถ่อมใจ และทดลองให้ทราบว่าจิตใจของท่านเป็นอย่างไร ดูว่าท่านจะรักษาพระบัญญัติของพระองค์หรือไม่ 3 พระองค์ทรงกระทำให้ท่านถ่อมใจ และปล่อยท่านให้หิวและเลี้ยงท่านด้วยมานา ซึ่งท่านเองหรือปู่ย่าตายายของท่านก็ไม่ทราบว่าเป็นอะไร เพื่อพระองค์จะทรงกระทำให้ท่านตระหนักแก่ใจว่า มนุษย์จะบำรุงชีวิตด้วยอาหารสิ่งเดียวก็หามิได้ แต่มนุษย์จะมีชีวิตอยู่ได้ ด้วยทุกสิ่งที่ออกมาจากพระโอษฐ์ของพระเจ้า (เฉลยธรรมบัญญัติ 8:1-3)
ในบทสุดท้ายของเฉลยธรรมบัญญัติ โมเสสชี้ให้เห็นอีกครั้งถึงชีวิตแท้ที่มาจากการเชื่อฟังพระคำของพระเจ้า:
46 ท่านก็กล่าวแก่เขาว่า "จงใส่ใจในถ้อยคำซึ่งข้าพเจ้ากล่าวแก่ท่านในวันนี้ เพื่อท่านจะได้บัญชาแก่ลูกหลานของท่าน เพื่อเขาจะได้ระวังที่จะกระทำตามถ้อยคำ แห่งธรรมบัญญัตินี้ทั้งสิ้น 47 เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยสำหรับท่านทั้งหลาย แต่เป็นเรื่องชีวิตของท่านทั้งหลาย และเรื่องนี้จะกระทำให้ท่านทั้งหลายมีชีวิตยืนนานในแผ่นดิน ซึ่งท่านทั้งหลายกำลังจะข้ามแม่น้ำจอร์แดนไปยึดครองนั้น" (เฉลยธรรมบัญญัติ 32:46-47)
พระเจ้าทรงนำชาวอิสราเอลเข้าไปในสถานการณ์ที่พวกเขาหิวและกระหาย เพื่อดูวาพวกเขาวางใจในพระองค์แค่ไหน พระเจ้าทรงเลี้ยงดูพวกเขาด้วยวิธีที่อัศจรรย์4 เพื่อพวกเขาจะได้เข้าใจว่าชีวิตมีมากกว่าความต้องการอยู่รอดทางกาย จะพบชีวิตได้โดยวางใจในพระเจ้าและเชื่อฟังพระวจนะของพระองค์ครบถ้วน แล้วพระเยซูจะล้มเลิกไม่วางใจในพระเจ้าผู้ทรงนำเข้าถิ่นทุรกันดารได้อย่างไร และทรงทำให้พระเยซูหิว และอาจกระหายน้ำด้วย? พระเยซูต้องวางใจในพระเจ้าไม่ใช่ในความคิดของพระองค์เอง
การทดลองแรกเป็นเรื่องของชีวิตและความตาย ซาตานต้องการให้พระเยซูสงสัยในความดีและการทรงนำของพระเจ้า และเกรงว่าพระองค์อาจตายได้ถ้ามัวแต่วางใจและเชื่อฟังพระบิดา ซาตานต้องการให้พระเยซูเป็นอิสระ ไม่ขึ้นกับพระบิดา รักษาชีวิตตนเองไว้ เสกก้อนหินให้เป็นอาหาร พระเยซูทรงทราบดีว่าชีวิตเที่ยงแท้มาจากการวางใจในพระวจนะโดยทางความเชื่อ
ซาตานนำนัยในคำตรัสของพระเยซูมาใช้ มันรู้ว่าพระองค์ยอมวางใจในพระวจนะอย่างหมดสิ้น มันเห็นว่าพระเยซูมอบชีวิตไว้ในพระหัตถ์ของพระบิดา จึงหาทางบิดความวางใจในพระบิดา ล่อให้พระองค์ทำในสิ่งที่เป็นการทดสอบพระบิดา ทั้งหมดทำในนามของความเชื่อ เราอาจเรียบเรียงการล่อลวงของซาตานครั้งที่สองได้ดังนี้:
“ท่านได้วางชีวิตของท่านไว้กับพระเจ้า ใช่หรือไม่? ดีแล้ว เห็นด้วยว่าท่านเป็นบุคคลแห่งความเชื่อแท้ และเห็นด้วยว่าจุดประสงค์ของท่านคือดำเนินชีวิตโดยความเชื่อ เห็นว่าท่านมีความเคารพอย่างลึกซึ้งในพระวจนะของพระเจ้า ท่านวางใจในพระเจ้าและพระวจนะของพระองค์ เป็นสิ่งที่ดีมาก แต่ขอนำพระวจนะตอนนี้มากล่าวให้ฟัง:
11 เพราะพระองค์จะรับสั่งเหล่าทูตสวรรค์ ของพระองค์ในเรื่องท่าน ให้ระแวดระวังท่านในทางทั้งปวงของท่าน
12 เขาทั้งหลายจะเอามือประคองชูท่านไว้
เกรงว่าเท้าของท่านจะกระแทกหิน (สดุดี 91:11-12)
“พระวจนะตอนนี้พูดในสิ่งที่ท่านเชื่ออยู่แล้ว พระเจ้าจะทรงปกป้องชีวิตท่าน รู้ว่าท่านเชื่อพระวจนะตอนนี้ และยอมเสี่ยงชีวิตให้ได้ เช่นเดียวกับที่ยอมมอบชีวิตให้พระเจ้าเมื่อหิวและกระหาย เมื่อท่านแน่ใจว่าพระเจ้าจะส่งทูตของพระองค์มาปกป้องชีวิตท่านไว้ ทำไมไม่ลองทดสอบด้วยชีวิตล่ะ? ทำไม่ไม่แสดงให้เห็นว่าท่านวางใจในพระเจ้าและพระวจนะมากพอที่จะกระโดดลงไปจากหลังคาพระวิหาร?”
ก่อนจะมาดูคำตอบของพระเยซู ขอชี้ให้เห็นว่าตอนนี้ฉากเปลี่ยนไปแล้ว พระเยซูไม่ได้อยู่ในถิ่นทุรกันดารขณะเผชิญการทดลองที่สอง พระองค์อยู่ที่พระวิหารในเยรูซาเล็ม บนยอดหลังคาพระวิหาร ผมจะไม่พยายามอธิบายว่าพระองค์ไปอยู่ที่นั่นได้อย่างไร แต่ผมเชื่อว่าพระองค์อยู่ที่นั่นแน่ อยู่ในเยรูซาเล็มบนยอดหลังคาพระวิหาร ไม่ยังงั้นซาตานจะท้าให้พระองค์กระโดดลงไปทำไม?
ความเห็นของผม ฉากใหม่นี้ชวนให้อยากลิ้มรสการทดลอง เช่นเดียวกับในถิ่นทุรกันดาร ความหิวของพระเยซูเป็นพื้นฐานทำให้ซาตานชักจูงพระองค์ให้เปลี่ยนก้อนหินเป็นขนมปัง ดังนั้นที่เยรูซาเล็มบนยอดพระวิหารก็มีความสำคัญต่อการทดลองครั้งที่สองของซาตานด้วย
แล้วเชื่อมโยงกันอย่างไร? เยรูซาเล็มและพระวิหาร ทำไมถึงเป็นสถานที่ๆซาตานใช้เพื่อการทดลอง? ทนฟังอีกนิดนะครับ การทดลองแรก ซาตานหาทางชักจูงให้พระเยซูรู้สึกว่าพระเจ้าทรงอยู่ห่างไกล ย้ำกับพระองค์ว่าต้องตายแน่ถ้าขาดอาหาร ทุกวันนี้บางคนยังเรียกถิ่นทุรกันดารว่าเป็นสถานที่ๆ “พระเจ้ายังทิ้ง” ในถิ่นทุรกันดารที่ “พระเจ้ายังทิ้ง” นี้ ซาตานให้เหตุผลว่าพระเยซูคงต้องตายถ้าไม่ช่วยตัวเองโดยเสกอาหารจากก้อนหิน ในการทดลองครั้งที่สอง ซาตานไม่ได้บอกว่าพระเจ้าอยู่ห่างไกล และพระเยซูต้องลงมือทำอะไรสักอย่าง มันพาพระเยซูไปในที่ๆพระเจ้าสถิตย์อยู่ หลายต่อหลายครั้งกฎหมายในพระคัมภีร์เดิม พระเจ้าตรัสถึงที่ๆพระองค์เลือกประทับ ต่อมาเราก็รู้ว่าที่ๆนั้นคือเยรูซาเล็ม และรู้เจาะจงด้วยว่าคือพระวิหาร:
13 เพราะพระเจ้าทรงเลือกศิโยน
พระองค์มีพระประสงค์จะให้เป็นที่ประทับของพระองค์
14 ตรัสว่า "นี่เป็นที่พำนักของเราเป็นนิตย์
เราจะอยู่ที่นี่ เพราะปรารถนาเช่นนั้น (สดุดี 132:13-14)5
ซาตานนำพระเยซูไปยังสถานที่ๆพระเจ้าประทับ (อย่างน้อยก็ในความคิดของมัน) ใกล้ที่สุด ถ้าซาตานไม่อาจชักจูงพระเยซูให้ขัดขืนพระวจนะ เลิกวางใจพระบิดาเพราะคิดว่าถูกละทิ้งแล้ว (ในถิ่นทุรกันดาร) ซาตานจึงพยายามชักจูงพระเยซูให้กล้าลอง บอกว่าพระบิดาอยู่ใกล้นิดเดียว จะปล่อยให้พระเยซูร่วงลงไปตายบนพื้นข้างพระวิหารในเยรูซาเล็มหรือ? ดังนั้นเยรูซาเล็มและพระวิหารคืออุปกรณ์ประกอบฉากของซาตาน มันคิดว่ามีน้ำหนักพอเชื่อได้ว่าพระเจ้าจะทรงช่วยแน่
ขณะคิดถึงพระธรรมตอนนี้และการล่อลวงของมาร ทำให้นึกได้ว่า “ทูตสวรรค์” น่าจะมีบทบาทสำคัญในการทดลองนี้ ซาตานเองก็เคยเป็นทูตสวรรค์ ตอนนี้เป็นทูตตกสวรรค์ พระวจนะที่ซาตานนำมาใช้จากสดุดี 91 เป็นเรื่องเกี่ยวข้องกับทูตสวรรค์ ทูตสวรรค์ของพระเจ้าจะคุ้มครองผู้ที่วางใจในพระองค์ และเมื่อการทดสอบทดลองนี้ผ่านไป จึงมีทูตสวรรค์เข้ามาเกี่ยวข้อง:
11 แล้วมารจึงละพระองค์ไป และมีเหล่าทูตสวรรค์มาปรนนิบัติพระองค์ (มัทธิว 4:11)
“แล้วซาตานได้อะไรจากเรื่องนี้? ผมถามตัวเอง มันคิดว่ามันจะได้อะไร? ถ้าคิดแบบปลอดภัย ซาตานคงเชื่อว่ามันจะชนะถ้าฆ่าพระเยซูได้ และนี่คือสิ่งที่มันพยายามทำทางยูดาส มันไม่เข้าใจว่าการสิ้นพระชนม์ของพระเยซู (และการคืนพระชนม์) จะทำให้มันล่มสลาย การสิ้นพระชนม์ของพระเยซูจึงเหมือนชัยชนะของซาตาน แล้วมันคิดจะฆ่าพระเยซูอย่างไร?
และนี่คือสิ่งที่ผมหลุดจากความมึนได้ ขอบอกว่าจะไม่พบเรื่องนี้ในหนังสืออรรถาธิบายเล่มอื่น – อย่างน้อยก็เท่าที่ผมอ่าน แต่มันสมเหตุผลสำหรับผม และคิดว่าสำหรับซาตานด้วย ซาตานเป็นทูตที่ตกจากสวรรค์ และมันสามารถกระดิกนิ้วเรียกสมุนที่ตกสวรรค์มาด้วยกันมาใช้งานได้ มันอ้างพระวจนะจากสดุดีที่สัญญาว่าพระเจ้าจะสั่งทูตสวรรค์ให้มาปกป้องผู้ที่วางใจในพระองค์ และแน่นอนคำสัญญานี้ใช้ในกรณีของพระเยซูด้วย แล้วซาตานคิดได้อย่างไรว่ามันอาจทำให้พระเยซูตายได้?
มานึกถึงพระวจนะตอนนี้ในหนังสือดาเนียลเกี่ยวข้องกับทูตตกสวรรค์ และทูตสวรรค์ของพระเจ้า:
1 ในปีที่สามแห่งรัชกาลไซรัสพระราชาประเทศเปอร์เซีย พระเจ้าทรงสำแดงสิ่งหนึ่งแก่ดาเนียลผู้ได้ชื่อว่า เบลเทชัสซาร์ และสิ่งนั้นก็จริง เป็นสงครามใหญ่โต ท่านเข้าใจสิ่งนั้น และมีความเข้าใจในนิมิตนั้น 2 ในคราวนั้น ข้าพเจ้าดาเนียลเป็นทุกข์อยู่สามสัปดาห์ 3 ข้าพเจ้าไม่ได้รับประทานอาหารอร่อย เนื้อ หรือเหล้าองุ่นก็มิได้เข้าปากข้าพเจ้า ข้าพเจ้าไม่ได้ชโลมน้ำมันตัวเลยตลอดสามสัปดาห์ 4 เมื่อวันที่ยี่สิบสี่เดือนต้น ข้าพเจ้ายืนอยู่ที่ฝั่งแม่น้ำใหญ่ คือแม่น้ำไทกริส 5 ข้าพเจ้าแหงนขึ้นมอง ดูเถิด มีชายคนหนึ่งสวมเสื้อผ้าป่านมีทองเมืองอุฟาสคาดเอวไว้ 6 ร่างกายของท่านดั่งเพทาย และหน้าของท่านก็เหมือนฟ้าแลบ ดวงตาของท่านก็เหมือนกับคบเปลวเพลิง แขนและเท้าเป็นเงางามเหมือนกับทองสัมฤทธิ์ขัด และเสียงถ้อยคำของท่านเหมือนเสียงมวลชน 7 และข้าพเจ้าดาเนียลเห็นนิมิตนั้นแต่ผู้เดียว คนที่อยู่กับข้าพเจ้ามิได้เห็นนิมิตนั้น แต่เขาตัวสั่นมากจึงวิ่งไปซ่อนเสีย 8 แล้วข้าพเจ้าอยู่แต่ลำพัง และข้าพเจ้าได้เห็นนิมิตใหญ่ยิ่งนี้ ข้าพเจ้าก็สิ้นเรี่ยวสิ้นแรง หน้าตาสุกใสของข้าพเจ้าก็เปลี่ยนเป็นหน้าซีด ข้าพเจ้าหมดแรง 9 แล้วข้าพเจ้าจึงได้ยินเสียงถ้อยคำของท่าน และเมื่อข้าพเจ้าได้ยินเสียงถ้อยคำนั้น ข้าพเจ้าก็ซบหน้าลงสลบอยู่ หน้าของข้าพเจ้าฟุบกับดิน 10 และดูเถิด มีมือมาแตะต้องข้าพเจ้า พยุงให้ข้าพเจ้ายันตัวที่สั่นด้วยมือและเข่า 11 ท่านกล่าวแก่ข้าพเจ้าว่า "โอ ดาเนียล บุรุษผู้เป็นที่รักอย่างยิ่ง จงพิเคราะห์ถ้อยคำที่เราพูดกับท่าน และยืนตรง เพราะบัดนี้ข้าพเจ้าได้รับใช้ให้มาหาท่าน" ขณะที่ท่านกล่าวคำนี้แก่ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าก็ยืนสั่นสะท้านอยู่ 12 แล้วท่านพูดกับข้าพเจ้าว่า "ดาเนียลเอ๋ย อย่ากลัวเลย เพราะตั้งแต่วันแรกที่ท่านได้ตั้งใจจะเข้าใจ และถ่อมลงต่อพระเจ้าของท่านนั้น พระเจ้าทรงฟังถ้อยคำของท่าน และข้าพเจ้ามาด้วยเรื่องถ้อยคำของท่าน 13 เจ้าผู้พิทักษ์ราชอาณาจักรเปอร์เซีย ได้ขัดขวางข้าพเจ้าไว้ถึงยี่สิบเอ็ดวัน แต่มีคาเอล เจ้าผู้พิทักษ์ชั้นหัวหน้าผู้หนึ่งมาช่วยข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจึงละท่านไว้ที่นั่นให้อยู่กับเจ้าผู้ พิทักษ์ราชอาณาจักรเปอร์เซีย (ดาเนียล 10:1-14 ผมเน้นให้เห็นบางข้อ)
นี่คือข้อพิสูจน์ว่าซาตาน ทูตตกสวรรค์ สามารถต้านและขัดขวางทูตสวรรค์ของพระเจ้าได้ ทำให้ล่าช้า ซาตานกำลังบิดเบือนพระประสงค์ของพระเจ้าหรือ? ไม่ใช่ครับ ถ้าการมาของทูตสวรรค์เป็นเรื่องสำคัญมาก พระเจ้าสามารถใช้วิธีอื่นส่งทูตสวรรค์มาให้ทันท่วงที แต่จากมุมมองของซาตาน มันเชื่อว่าสามารถขัดขวางทูตสวรรค์ของพระเจ้าได้ ทำให้ล่าช้าออกไป
ซาตานนั่งอยู่บนหลังคาพระวิหาร มองลงไปหลายร้อยฟุตเบื้องล่าง (มีหลากหลายความเห็นเรื่องความสูงของพระวิหาร แต่ส่วนใหญ่เห็นด้วยว่าถ้าตกลงไปน่าจะตาย) ผมเห็นภาพมันมองลงไป โยนหินแล้วจับเวลา ถ้าหินตกถึงพื้นในสี่วินาที ผมเชื่อว่าถ้ามันทำให้พระเยซูกระโดดลงไปได้ และทูตสวรรค์พยายามเข้ามาช่วย มันและสมุนน่าจะขัดขวางทำให้มาช่วยไม่ทันได้ คิดเยอะไปมั้ยครับ? เป็นได้ แต่อย่าลืมว่าซาตานเป็นจอมวางแผน และหาทุกวิถีทางกำจัดพระเยซู
เราอาจอธิบายเรื่องการทดลองนี้ได้ง่ายๆเช่น: ชาวยิวต้องการให้พระเมสซิยาห์มาปรากฎในแบบที่ตื่นเต้นประทับใจ กระโดดลงจากยอดหลังคาพระวิหาร และได้รับการช่วยเหลืออย่างอัศจรรย์ พระเยซูก็จะเป็นไปตามความคาดหวังของชาวยิว และสร้างความมั่นใจให้ผู้เห็นเหตุการณ์ถึงฤทธิอำนาจของพระองค์ในฐานะพระเมสซิยาห์ พูดอีกแบบคือ ซาตานกำลังล่อลวงให้พระเยซูทำในสิ่งที่พระเจ้าเหมือนถูกบีบบังคับให้เข้ามาช่วย
มีปัจจัยที่เป็นได้หลายอย่างจากคำอธิบายนี้ แต่ผมว่ายังไม่พอ เพราะไม่ได้มาจากพระคัมภีร์ ที่แน่ๆไม่ใช่บริบทของตอนนี้ แต่จากแนวคิดของชาวยิวที่มีต่อพระเมสซิยาห์ในสมัยนั้น ผมว่าน่าจะอธิบายได้ตรงและง่ายกว่า ในการทดลองครั้งแรก พระเยซูปฏิเสธที่จะรักษาชีวิตตนเองไว้ เพราะวางใจในพระเจ้าและในทุกถ้อยคำของพระองค์ พระเยซูทราบจากพระบัญญัติของพระเจ้าว่าชีวิตสำคัญกว่ารักษาความรอดฝ่ายกาย ชีวิตมาจากพระเจ้า จากการไว้ใจและเชื่อฟังพระวจนะ คำตอบที่พระเยซูตอบซาตานในการทดลองครั้งแรก ทำให้มันปรับท่าทีใหม่ มุ่งการทดลองไปที่พระกำลังของพระเยซูแทน
พระเยซูไม่ได้กลัวความตายฝ่ายกายว่าเป็นเรื่องน่ากลัวที่สุด ซาตานจึงล่อลวงพระองค์ให้มีชีวิตเสี่ยงตาย พระเยซูทรงวางใจในทุกถ้อยคำของพระเจ้า ซาตานจึงดึงความสนใจพระองค์ไปที่สดุดี 91:11-12 พูดถึงการปกป้องของพระเจ้า พระเยซูทรงประกาศถึงความเชื่อของพระองค์ในพระบิดา มันจึงท้าให้พระเยซูพิสูจน์ความเชื่อนี้ โดยฉวยจากสิ่งที่พระองค์ตรัส มันรู้สึกว่าการล่อลวงนี้น่าสนใจมาก พระเยซูจะได้พิสูจน์ถึงความเชื่อในพระเจ้าและในพระวจนะ ด้วยการกระโดดลงมาจากยอดหลังคาพระวิหาร ถ้าพระองค์เป็นพระบุตรของพระเจ้าจริง แน่นอนพระเจ้าต้องเข้ามาปกป้อง ในเมื่อพระองค์ประทับอยู่ใกล้นิดเดียว แค่ในพระวิหาร
จากหนังสือเฉลยธรรมบัญญัติ6 พระเยซูทรงทราบดี เช่นเดียวกับอิสราเอลที่ถูกทดสอบในถิ่นทุรกันดาร พระเจ้ากำลังทดสอบพระบุตรของพระองค์ พระเมสซิยาห์ ว่าจะเชื่อฟังคำสั่งของพระองค์ตามที่บัญญัติไว้ (ดูเฉลยธรรมบัญญัติ 8:2) พระเยซูทรงนำพระวจนะจากเฉลยธรรมบัญญัติ 6 มาตอบซาตาน:
"อย่าทดลองพระเยโฮวาห์ พระเจ้าของท่านทั้งหลาย ดังที่ได้ทดลองพระองค์ที่มัสสาห์” (เฉลยธรรมบัญญัติ 6:16)
ชาวอิสราเอล “ทดลองพระเจ้า” ที่มัสสาห์อย่างไร? ให้มาดูเหตุการณ์ที่พวกเขา “ทดลอง” พระเจ้ากัน
1 ชุมนุมชนชาติอิสราเอลทั้งหมด ยกออกจากถิ่นทุรกันดารสีน ไปเป็นระยะๆ ตามพระบัญชาของพระเจ้า และมาตั้งค่ายที่เรฟีดิม ที่นั่นไม่มีน้ำให้ประชาชนดื่ม 2 เหตุฉะนั้นประชาชนจึงกล่าวหาว่าเป็นความผิดของโมเสส และกล่าวกับโมเสสว่า "ให้น้ำพวกข้าดื่มซิ" โมเสสจึงบอกเขาว่า "พวกเจ้าหาเรื่องเราทำไม เหตุไฉนพวกเจ้าจึงบังอาจลองดีกับพระเจ้า" 3 ประชาชนกระหายน้ำที่ตำบลนั้น จึงบ่นต่อโมเสสว่า "ทำไมท่านจึงพาพวกข้าทั้งบุตรและฝูงสัตว์ของข้าออกมา จากประเทศอียิปต์ให้อดน้ำตาย" 4 โมเสสจึงร้องทูลพระเจ้าว่า "ข้าพระองค์จะทำอย่างไรกับชนชาตินี้ดี เขาเกือบจะเอาหินขว้างข้าพระองค์ให้ตายอยู่แล้ว" 5 พระเจ้าจึงตรัสกับโมเสสว่า "จงเดินล่วงหน้าประชาชนไป และนำพวกผู้ใหญ่บางคนของอิสราเอลไปด้วย ให้ถือไม้เท้าที่เจ้าใช้ตีแม่น้ำไนล์นั้นไปด้วย 6 เราจะยืนอยู่ต่อหน้าเจ้าที่นั่น บนศิลาที่ภูเขาโฮเรบ จงตีศิลานั้น แล้วน้ำจะไหลออกมาให้ประชาชนดื่ม" โมเสสก็ทำดังนั้นต่อหน้าพวกผู้ใหญ่ของอิสราเอล 7 โมเสสเรียกชื่อตำบลนั้นว่ามัสสาห์ และเมรีบาห์ ด้วยเหตุว่า คนอิสราเอลกล่าวหาตน ณ ที่นั้น และลองดีกับพระเจ้าว่า "พระเจ้าทรงสถิตอยู่ท่ามกลาง พวกข้าพเจ้าจริงหรือ" (อพยพ 17:1-7)
สถานการณ์ของชาวอิสราเอลเหมือนกับที่พระเยซูเผชิญในถิ่นทุรกันดาร ขาดน้ำดื่ม พวกเขาเลิกวางใจในพระเจ้าและสรุปว่าพระองค์พาพวกเขาเข้ามาในถิ่นทุนกันดารเพื่อให้อดตาย (อพยพ 17:3) พวกเขากำลังจะโค่นโมเสส ผู้นำที่พระเจ้าแต่งตั้ง พระเยซูคริสต์ก็อยู่ในถิ่นทุรกันดารด้วย ไม่มีอาหาร (ไม่แน่ใจว่ามีน้ำหรือไม่)106 ซาตานพยายามบอกว่าพระองค์กำลังจะตาย และท้าทายให้ทำในสิ่งที่ขัดน้ำพระทัยพระบิดา เสกหินให้เป็นอาหาร พระเยซูปฏิเสธไม่ยอมเชื่อว่าพระบิดาทรงนำพระองค์เข้าไปในถิ่นทุรกันดารเพื่อให้อดตาย แต่ยอมที่จะวางใจในพระบิดา เชื่อฟังพระวจนะ พระองค์เชื่อว่าการเชื่อฟังพระวจนะเป็นจุดสำคัญระหว่างความเป็นและความตาย
ในการทดลองครั้งที่สองนี้ ซาตานชักจูงให้พระเยซูนำความเชื่อและพระวจนะมาทดสอบโดยกระโดดลงมาจากยอดหลังคาพระวิหาร มันใช้พระวจนะจากสดุดี 91 และนำมา “บิดเบือน” ชัดเจน ผู้เขียนสดุดีให้ความมั่นใจว่าใครก็ตามที่วางใจในพระเจ้าจะได้รับการปกป้อง แต่จากใคร? ให้ความมั่นใจว่าผู้เชื่อที่สัตย์ซื่อจะได้รับการปกป้องจากการจู่โจมของผู้ที่จะเข้ามาทำลาย:
1 ผู้ที่อาศัยอยู่ ณ ที่กำบังขององค์ผู้สูงสุด
ผู้อยู่ในร่มเงาของผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์
2 จะทูลพระเจ้าว่า "ที่ลี้ภัยของข้าพระองค์และป้อมปราการของข้าพระองค์
พระเจ้าของข้าพระองค์ ผู้ที่ข้าพระองค์ไว้วางใจ"
3 เพราะพระองค์จะทรงช่วยกู้ตัวท่านจากกับของพรานนก
และจากโรคภัยอย่างร้ายแรงนั้น
4 พระองค์จะทรงปกท่านไว้ด้วยปีกของพระองค์
และท่านจะลี้ภัยอยู่ใต้ปีกของพระองค์
ความสัตย์สุจริตของพระองค์เป็นโล่และเป็นดั้ง
5 ท่านจะไม่กลัวความสยดสยองในกลางคืน
หรือกลัวลูกธนูที่ปลิวไปในกลางวัน
6 หรือโรคภัยที่ไล่มาในความมืด
หรือโรคซึ่งทำลายในเที่ยงวัน
7 พันคนจะล้มอยู่ที่ข้างๆท่าน
หมื่นคนที่มือขวาของท่าน
แต่ภัยนั้นจะไม่มาใกล้ท่าน
8 ท่านจะมองดูด้วยตาเท่านั้น
และเห็นการตอบแทนแก่คนอธรรม
9 เพราะท่านได้กระทำให้พระเจ้าผู้เป็นที่ลี้ภัยของข้าพเจ้า
คือองค์ผู้สูงสุด เป็นที่อยู่ของท่าน
10 ไม่มีการร้ายใดๆจะตกมาบนท่าน
ไม่มีภัยมาใกล้เต็นท์ของท่าน
11 เพราะพระองค์จะรับสั่งเหล่าทูตสวรรค์ ของพระองค์ในเรื่องท่าน
ให้ระแวดระวังท่านในทางทั้งปวงของท่าน
12 เขาทั้งหลายจะเอามือประคองชูท่านไว้
เกรงว่าเท้าของท่านจะกระแทกหิน
13 ท่านจะเหยียบสิงห์และงูเห่า
ท่านจะย่ำสิงห์หนุ่มและงู
14 เพราะเขาผูกพันกับเราด้วยความรัก
เราจะช่วยกู้เขา เราจะป้องกันเขาไว้ เพราะเขารู้จักนามของเรา
15 เมื่อเขาร้องทูลเรา เราจะตอบเขา
เราจะอยู่กับเขาในยามลำบาก
เราจะช่วยเขาให้พ้นและให้เกียรติเขา
16 เราจะให้เขาอิ่มใจด้วยชีวิตยืนยาว
และสำแดงความรอดของเราแก่เขา (สดุดี 91:1-16)
สดุดีบทนี้สัญญาจะให้การปกป้องจากการถูกทำลายหรือถูกผู้อื่นทำร้าย ผมคิดไปทำนองว่าให้ความมั่นใจว่าผู้เชื่อแท้จะไม่ต้องเผชิญกับพระอาชญาที่เทลงมาเหนือคนบาป (ข้อ 3-7) ผู้เชื่อจะได้รับการปกป้อง แต่คนอื่นต้องเผชิญความทุกข์ (ข้อ 7) ที่จริงผู้เชื่อจะได้มองดูเมื่อพระอาชญาของพระเจ้าเทลงบนคนชั่ว (ข้อ 8) คนชอบธรรมจะได้รับการปกป้องเพราะลี้ภัยอยู่ในพระเจ้า (ข้อ 9-10) พระเจ้าทรงมอบภารกิจให้ทูตสวรรค์คอยเฝ้าระวังคนของพระองค์ ทูตสวรรค์จะคอยแทรกแซง หรือป้องกันไม่ให้สะดุดล้มเท้ากระแทกหิน พระองค์จะให้ธรรมิกชนคลาดแคล้วจากภัย (น่าสนใจที่พระเจ้าสัญญาจะให้ชัยชนะเหนือสิงห์และงูพิษ ทั้งสองนี้เป็นสัญลักษณ์ของซาตาน ) (1เปโตร 5:8, วิวรณ์ 20:2)
ซาตานบิดเบือนความจริงว่าการปกป้องของพระเจ้ามีให้สำหรับคนที่ทุ่มเทเพื่อพระองค์ สัตย์ซื่อต่อพระองค์ การปกป้องของพระเจ้ามีให้สำหรับคนที่วางใจและเชื่อฟัง จึงชักจูงพระเยซูให้ก้าวออกมา ออกจากการปกป้องของพระเจ้า ทำให้พระเยซูไม่เชื่อฟังเฉลยธรรมบัญญัติ 6:16 โดยทดสอบพระเจ้า ผมคิดว่าพระเยซูน่าจะตอกกลับซาตานโดยใช้สดุดี 91 แต่พระองค์กลับนำเฉลยธรรมบัญญัติ 6:16 มาใช้แทน ซึ่งบอกว่า “อย่าทดลองพระเจ้าของเจ้า” อย่างที่คนอิสราเอลทำในมัสสาห์ อีกครั้งที่การทดลองของซาตานคือการหลอกลวง มันไม่ใช่เป็นการทดสอบความเชื่อของพระเยซูตามที่พูด แต่กลับให้พระเยซูทดสอบพระบิดาแทน เป็นสิ่งที่มนุษย์ไม่ควรทำ พระเจ้าทรงมีสิทธิเต็มที่ๆจะทดสอบความเชื่อของเรา เราไม่มีสิทธิไปทดสอบพระเจ้า โดยเฉพาะในแบบที่มันแนะนำ ทดสอบพระเจ้าแปลว่าไม่ไว้วางใจพระองค์
ขอตั้งข้อสังเกตอีกข้อ ความมั่นใจที่ในสดุดี 91 พระเจ้าจะไม่ปล่อยให้ผู้ที่สัตย์ซื่อของพระองค์สะดุดกระแทกหิน ซึ่งห่างไกลจากการกระโดดลงมาจากที่สูง สะดุดกับกระโดดนี่คนละเรื่องครับ
ซาตานอาจคิดว่านี่เป็นกรณี “ออกหัวชนะ ออกก้อยแพ้” ถ้าพระเยซูยอมกระโดดลงมาจากหลังคาพระวิหาร และซาตานขัดขวางไม่ให้ทูตสวรรค์ไปช่วยทัน พระเยซูคงตายแน่นอนในความคิดของมัน ทุกอย่างก็จบสิ้น แต่ถ้าพระเยซูกระโดดลงมาแล้วพระเจ้าให้ทูตสวรรค์มาช่วยทัน มันก็ทำให้พระเยซูละจากการยอมจำนนตามน้ำพระทัย ตลอดพระกิตติคุณทุกเล่ม พระเยซูเน้นว่าพระองค์ไม่ได้ทำสิ่งใดตามใจชอบ แต่ทำตามน้ำพระทัยพระบิดา:
28 พระเยซูจึงตรัสกับเขาว่า "เมื่อท่านทั้งหลายจะได้ยกบุตรมนุษย์ขึ้นไว้แล้ว เมื่อนั้นท่านก็จะรู้ว่า เราคือผู้นั้น และรู้ว่าเรามิได้ทำสิ่งใดตามใจชอบ แต่พระบิดาได้ทรงสอนเราอย่างไร เราจึงกล่าวอย่างนั้น (ยอห์น 8:28)
42 พระเยซูตรัสกับเขาว่า "ถ้าพระเจ้าเป็นพระบิดาของท่านแล้วท่านก็จะรักเรา เพราะเรามาจากพระเจ้า และอยู่นี่แล้ว เรามิได้มาตามใจชอบของเราเอง แต่พระองค์ทรงใช้เรามา (ยอห์น 8:42 และดู ยอห์น 5:20, 12:49, 14:10)
พระเยซูทรงยอมจำนนตามน้ำพระทัยพระบิดา พระองค์ไม่ได้ทำหรือพูดตามใจชอบ แต่พระองค์กลับพูดและทำในสิ่งที่พระบิดามอบหมาย ซาตานล้มลงเพราะกบฏต่อพระเจ้า จึงหาทางยกตัวขึ้นให้สูงเท่าเทียมกับพระองค์ (อิสยาห์ 14:13-14) ซาตานทำสำเร็จที่ล่อลวงอาดัมและเอวาให้ทำในสิ่งที่ฝ่าฝืนพระวจนะ หวังจะได้เป็นเหมือนพระองค์ (ปฐมกาล 3:1-7) บาปทุกบาปจากการล้มลงครั้งนั้นเกี่ยวข้องกับการฝ่าฝืนไม่ยอมจำนนต่อสิทธิอำนาจของพระเจ้า พระเยซูผู้เดียวเท่านั้นที่ผ่านการทดสอบและยังอยู่ภายใต้น้ำพระทัยพระบิดา พระองค์ปฏิเสธไม่ยอมบีบบังคับให้พระบิดาทำบางสิ่ง ที่เป็นการไม่ยอมจำนน
ชัยชนะของพระเยซูเหนือแผนการของซาตานหมายความว่าพระองค์ และพระองค์ผู้เดียว มีคุณสมบัติที่จะตายแทนความผิดบาปของเรา พระเยซูจะไม่ทดสอบพระบิดาด้วยการกระโดดลงมาจากหลังคาพระวิหาร แต่จะเชื่อฟังพระบิดา ยอมมุ่งสู่กางเขน พระเยซูทราบว่าพระบิดาจะไม่ช่วยพระองค์ให้พ้นจากความตาย แต่จะช่วยนำให้ผ่านความตาย และให้พระองค์กลับเป็นขึ้นมา
การทดลองครั้งที่สอง และการตอบสนองของพระเยซูสอนอะไรเรา? มีหลายบทเรียนให้เราได้เรียนรู้
ประการแรก เราควรเรียนรู้ว่าซาตานจะใช้หลากหลายกลอุบายล่อลวงให้เราทำบาป เราต้องไม่ลืมว่ามีอีกหลายการล่อลวงนอกเหนือจากสามครั้งตามที่มัทธิวและลูกาบันทึก (มาระโก 1:13, ลูกา 4:2) เราควรตระหนักว่าการทดลองครั้งนี้ยังไม่ใช่ตอนจบ:
13 เมื่อมารทำการทดลองทุกอย่างสิ้นแล้ว จึงละพระองค์ไปจนถึงโอกาสเหมาะ (ลูกา 4:13)
ถ้าซาตานทำครั้งหนึ่งไม่สำเร็จ รอได้เลยว่ามันมาครั้งหน้าแน่ ในการทดลองครั้งแรก ซาตานหาทางโจมตีพระเยซูในจุดที่พระองค์กำลัง “อ่อนแอ” – ความหิวทำให้ร่างกายอ่อนแรง มันจึงพยายามโจมตีในจุดที่อ่อนแรง – ความวางใจในพระบิดา การยอมที่จะเชื่อฟังพระวจนะ ซาตานจะทดลองเราทุกจุดเหมือนกับที่มันทำกับพระเยซู:
15 เพราะว่า เรามิได้มีมหาปุโรหิตที่ไม่สามารถจะเห็นใจในความอ่อนแอของเรา แต่ได้ทรงถูกทดลองใจเหมือนอย่างเราทุกประการ ถึงกระนั้นพระองค์ก็ยังปราศจากบาป (ฮีบรู 4:15)
ประการที่สอง การล่อลวงของซาตานทุกครั้งสัญญาจะให้ประโยชน์แก่เรา โดยไม่พูดถึงราคาที่ต้องจ่าย ในการทดลองครั้งแรก (อาดัมกับเอวา) ซาตานสัญญากับเอวาว่าพวกเขาจะเป็น “เหมือนพระเจ้า สำนึกในความดีและชั่ว” และยังสัญญาว่าพวกเขาจะไม่ตาย แต่พวกเขาตาย และสำนึกในความดีและชั่วที่พวกเขาได้รับกลับไม่ใช่พระพร ในการทดลองครั้งที่สองของพระเยซู ดูเหมือนสิ่งที่พระองค์จะทำจะไม่มีผลสะท้อนทางลบ มีแต่ผลดี ซึ่งไม่เป็นความจริง อย่างที่พูดไป บาปนั้นเหมือนขึ้นเรือเหาะในสวนสนุก แป๊บเดียวจบ และราคาแพง
ประการที่สาม แรงจูงใจเบื้องต้นสำหรับการทดลองสองครั้งนี้คือให้ตนเองมาก่อน ซาตานพยายามบอกพระเยซูว่าพระองค์กำลังจะตาย มันลงความเห็นว่าพระเจ้าต้องรับผิดชอบในการนำของพระองค์ และเรียกร้องให้พระเยซูไม่ต้องเชื่อฟัง (กบฎต่อพระองค์) เพื่อรักษาชีวิตตนเองไว้ การทดลองครั้งที่สองก็เหมือนกัน ให้ตนเองมาก่อนนำไปสู่การกบฎและทำบาป ยอมจำนนนำไปสู่การเสียสละ และการรับใช้ ซาตานหาทางชักนำพระเจ้าพระบิดาให้มาปรนนิบัติพระเยซู บีบบังคับให้ต้องมาช่วย
หนึ่งในการทดสอบการกระทำของเราที่ไม่มีวันผิดพลาดคือตอบคำถามธรรมดาๆ : “ใครกำลังรับใช้ใคร?” ฉันวางใจในพระเจ้าและกำลังรับใช้พระองค์ หรือฉันกำลังเรียกร้องให้พระองค์มารับใช้ฉัน? นักประกาศบางคนสอบข้อนี้ไม่ผ่าน บางครั้งผู้คนถูก “ลวง” ให้วางใจในพระคริสต์เพราะทุกสิ่งที่พระองค์ทำได้และจะทำเพื่อพวกเขา บางคนให้สัญญากับผู้สนใจว่าพระเจ้าจะทำให้พวกเขามีความสุข ร่ำรวย และมีชื่อเสียง นั่นไม่ใช่สิ่งที่พระเยซูตรัส หรือสิ่งที่ อ.เปาโลสอน:
25 คนเป็นอันมากได้ไปกับพระองค์ พระองค์จึงทรงเหลียวหลังตรัสกับเขาว่า 26 "ถ้าผู้ใดมาหาเราและไม่ชังบิดามารดา บุตรภรรยา และพี่น้องชายหญิง แม้ทั้งชีวิตของตนเองด้วย ผู้นั้นจะเป็นสาวกของเราไม่ได้ 27 ผู้ใดมิได้แบกกางเขนของตนตามเรามา ผู้นั้นจะเป็นสาวกของเราไม่ได้ 28 ด้วยว่าในพวกท่านมีผู้ใดเมื่อปรารถนาจะสร้างตึก จะไม่นั่งลงคิดราคาดูเสียก่อนว่า จะมีพอสร้างให้สำเร็จได้หรือไม่ 29 เกรงว่าเมื่อลงรากแล้ว และกระทำให้สำเร็จไม่ได้ คนทั้งปวงที่เห็นจะเยาะเย้ยเขา 30 ว่า 'คนนี้ตั้งต้นก่อ แต่ทำให้สำเร็จไม่ได้' 31 หรือมีกษัตริย์องค์ใดเมื่อจะยกกองทัพไปทำสงครามกับกษัตริย์อื่น จะมิได้นั่งลงคิดดูก่อนหรือว่า ที่ตนมีพลทหารหมื่นหนึ่ง จะสู้กับกองทัพที่ยกมารบสองหมื่นนั้นได้หรือไม่ 32 ถ้าสู้ไม่ได้ เมื่อยังอยู่ห่างกัน ก็จะใช้พวกทูตไปขอเป็นไมตรีกัน 33 ก็เช่นนั้นแหละ ทุกคนในพวกท่านที่มิได้สละสิ่งสารพัดที่ตนมีอยู่ จะเป็นสาวกของเราไม่ได้ (ลูกา 14:25-33)
21 ท่านทั้งสองได้ประกาศข่าวประเสริฐในเมืองนั้น และได้คนมาเป็นสาวกมาก จึงกลับไปยังเมืองลิสตรา เมืองอิโคนียูม และเมืองอันทิโอก 22 กระทำให้ใจของสาวกทั้งหลายถือมั่นขึ้น เตือนเขาให้ดำรงอยู่ในพระศาสนา และสอนให้เขาเข้าใจว่า เราทั้งหลายจำต้องทนความยากลำบากมาก จึงจะได้เข้าในแผ่นดินของพระเจ้า (กิจการ 14:21-22)
10 บัดนี้ ท่านก็ประจักษ์ชัดแล้วซึ่งคำสอน พฤติกรรม ความมุ่งหมายในชีวิต ความเชื่อ ความอดทน ความรัก ความหนักแน่นมั่นคง11 การถูกข่มเหง การทนทุกข์ยากลำบากของข้าพเจ้าและสิ่งที่ได้เกิดขึ้นกับข้าพเจ้า ณ เมืองอันทิโอก เมืองอิโคนียูม และเมืองลิสตรา การกดขี่ข่มเหงที่ข้าพเจ้าได้ทนเอา ถึงกระนั้นก็ดี องค์พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงโปรดให้ข้าพเจ้ารอดพ้นจากสิ่งเหล่านั้นทั้งหมด 12 แท้จริงบรรดาคนที่ปรารถนาจะดำเนินชีวิตตามทางของพระเจ้า ในพระเยซูคริสต์จะถูกกดขี่ข่มเหง (2ทิโมธี 3:10-12)
ความเชื่อของคริสเตียนไม่ใช่ให้พระเจ้ามาคอยรับใช้เรา แต่เป็นเราที่จะกลายเป็นผู้รับใช้ของพระองค์ ข่าวประเสริฐต้องนำเสนออย่างซื่อสัตย์และถูกต้อง คนบาปหลงหายคือศัตรูของพระเจ้า ถูกกำหนดไว้สำหรับพระอาชญานิรันดร์ (นรก) การงานของพระเยซูคริสต์ที่บนกางเขนช่วยให้เรารอดพ้นจากโทษบาปนั้น แต่ไม่ได้สัญญาว่าชีวิตจะง่ายและสะดวกสบาย ถ้าเราเป็นผู้รับใช้ที่ซื่อสัตย์ของพระคริสต์ เราจะถูกข่มเหง ขณะที่มองไปถึงพระพรแห่งสวรรค์ที่คอยเราอยู่ จะมี “ความทุกข์และการคร่ำครวญ” ในชีวิตนี้ (โรม 8:18-25) แต่จะมีสันติสุข ความหวังใจ ความเชื่อ ความรัก และอื่นๆอีกมากมาย แต่ยังมีความทุกข์ลำบากและถูกข่มเหง ความรอดไม่ใช่ทำให้พระเจ้าเป็นผู้รับใช้เรา แต่ทำให้เราเป็นผู้รับใช้พระองค์
ประการที่สี่ เราควรต้องระมัดระวังเรื่องน่าตื่นเต้นเอาไว้ ถ้าซาตานหาทางล่อลวงให้พระเยซูตื่นเต้นไปกับการ “ช่วยไว้อย่างอัศจรรย์” เราต้องระวังว่าการช่วยแบบนี้ไม่น่าเป็นเรื่องดี ผมเชื่อว่าคริสเตียนหลายคนชอบ (หรือถูกชักจูงให้ชอบ) เรื่องตื่นเต้นประทับใจ เพราะดูเหมือนเป็นความสำเร็จ พระเจ้าอาจทำการแบบนั้นได้ แต่ไม่เสมอไป ถ้าพระองค์ต้องการทำก็เป็นสิ่งที่ดี แต่เราอย่าหาทางบีบบังคับให้พระองค์ทำด้วยวิธีที่บ้าบิ่นและโง่เขลา เอลียาห์เองก็ทำเรื่องน่าตื่นเต้น เช่นเหตุการณ์ที่บนภูเขาคารเมล แต่พระเจ้ากลับตรัสกับผู้เผยพระวจนะของพระองค์ด้วยเสียงเบาๆ (1พงศ์กษัตริย์ 19:9-18)
คริสเตียนหลายคนก็ทำสิ่งที่โง่เขลา แต่อ้างว่าทำด้วยความเชื่อ ที่จริงแล้วกำลังทดสอบพระเจ้า เราซื้อข้าวของที่ไม่มีเงินพอจ่ายและพูดว่า “วางใจในการจัดเตรียมของพระเจ้า” เราอุทิศตนในเรื่องที่โง่เขลา ทั้งที่รู้อยู่แก่ใจว่าไม่มีทางทำได้ แล้วมาร้องสั่งให้พระเจ้าแทรกแซง จำไว้นะครับเรื่อง “กระโดดลงไปด้วยความเชื่อ” ของมารที่จริงก็คือ “กระโดดด้วยข้อสรุปผิดๆ” กี่ครั้งที่การกระทำโง่เขลาของเราที่เราประทับตราว่าเป็นการทำด้วยความเชื่อ ซาตานคงปลื้มมากที่หลอกเราให้ทำบาปที่ดูเหมือนกำลังทำเรื่องดี “ฝ่ายวิญญาณ” ได้
ประการที่ห้า เราควรเรียนบทเรียนในการนำพระวจนะมาใช้อย่างผิดๆ การทดลองแรกของซาตานเหมือนไม่เกี่ยวข้องกับพระวจนะ แต่พระเยซูตอบโต้โดยใช้พระวจนะ มันจึงหาทางใช้พระวจนะบ้าง อย่าด่วนสรุปว่าคนที่นำพระวจนะมาใช้จะถูกต้องเสมอไป ซาตานเป็นเจ้าพ่อแห่ง "การบิดเบือนพระวจนะ” สิ่งแรกเราควรต้องแน่ใจว่าการตีความพระวจนะตอนใดก็ตาม ต้องสอดคล้องกับการสอนของพระคัมภีร์ทั้งเล่ม พระเยซูปฏิเสธพระวจนะที่ซาตานนำมาใช้ด้วยพระวจนะตอนอื่น พระวจนะตอนใดก็ตามถ้าตีความถูกต้องจะไม่ค้านกับพระวจนะตอนอื่นๆ เราต้องตีความพระวจนะด้วยพระวจนะครับ ซาตานใช้พระวจนะเพื่อทำให้ผิดเป็นถูก
สังเกตุดู ความผิดพลาดของซาตานคือการนำพระวจนะมาใช้ให้เข้ากับสิ่งที่ตนเองต้องการ หนึ่งในความผิดพลาดข้อใหญ่คือนำพระวจนะมาประยุกต์ใช้อย่างไม่ถูกต้อง ในจดหมายฝากของ อ.เปาโล คำว่า “พระเจ้าห้าม” หรือ “ขออย่าให้เป็นเช่นนั้น” (ทางเราแปลว่า “ห้ามเด็ดขาด”) แสดงว่าเราต้องระวังดีๆในการนำพระวจนะนั้นมาใช้ให้เหมาะสม:
1 ถ้าเช่นนั้นแล้วเราจะว่าอย่างไร ควรเราจะอยู่ในบาปต่อไป เพื่อให้พระคุณมีมากยิ่งขึ้นหรือ 2 อย่าให้เป็นอย่างนั้นเลย พวกเราที่ตายต่อบาปแล้วจะมีชีวิตในบาปต่อไปอย่างไรได้ (โรม 6:1-2)
พระวจนะของพระเจ้าไม่ใช่ข้ออ้างเพื่อจะทำบาป แต่มีไว้เพื่อป้องกันบาป
ประการสุดท้าย เราควรตระหนักว่าพระวจนะตอนที่ซาตานนำมาใช้เพื่อลวงให้ทำบาป เป็นพระวจนะที่สัญญาว่าจะมีชัยเหนือซาตาน ความบาป และการพิพากษา สดุดีบทนี้สัญญาว่าจะปกป้องและอวยพรแก่ผู้ที่เข้าลี้ภัยในพระเจ้า ภายใต้ร่มปีกของพระองค์ผู้ทรงมหิทธิฤทธิ (สดุดี 91:1-4) ตามที่ผมเข้าใจ สดุดีบทนี้ให้สัญญาผู้เชื่อแท้ว่าจะได้รับการปกป้องจากการพิพากษาของพระเจ้าที่มีต่อคนบาป ไม่ได้สัญญาว่าจะช่วยธรรมิกชนทุกคนให้พ้นจากภัยอันตรายหรือความตาย แต่พ้นจากพระอาชญาของพระเจ้า และยังให้ความมั่นใจแก่ผู้เชื่อว่าพระเจ้าจะไม่ทรงให้ศัตรูของพระองค์ (และของเรา) ทำอันตรายเราในทางใดที่ไม่ใช่เพื่อเป็นการดีต่อเราและเพื่อพระสิริของพระองค์ ในตอนท้ายของบทเรียนนี้ ผมเชื่อว่าบทสดุดีนี้ให้ความมั่นใจถึงชัยชนะของพระเมสซิยาห์และผู้รับใช้ของพระองค์เหนือศัตรูตัวฉกาจ ซาตาน ในชีวิตของพระเยซูคริสต์ สดุดีบทนี้พระเจ้าไม่ได้ทำให้สำเร็จลงโดยช่วยพระเยซูไม่ให้ต้องตาย แต่ช่วยให้คืนจากความตายโดยกลับเป็นขึ้นมา พระวจนะตอนที่ซาตานนำไปใช้อย่างผิดๆเพื่อล่อลวงพระเยซูเป็นหนึ่งในพระวจนะที่สัญญาว่าพระเยซูจะมีชัยเหนือซาตาน ความบาป และความตาย
คุณรู้จักพระผู้ช่วยให้รอดหรือยังครับ? คุณมีความมั่นใจอย่างนี้หรือไม่? สิ่งนี้มีให้กับทุกคนที่ยอมรับในความบาปของตน และเข้ามาวางใจในการงานของพระเยซูคริสต์ที่กระทำบนไม้กางเขน ขณะที่ซาตานล่อลวงให้คุณทำบาปเสมอ พระเยซูทรงเรียกให้คุณหันจากความบาป และมารับความรอดในพระองค์ คุณกล้าวางใจในพระองค์มั้ยครับ?
106 เพื่อนผมให้เหตุผลว่าเนื่องจากโมเสสอดอหารและน้ำ 40 วัน (อพยพ 34:28) พระเยซูก็น่าจะอดน้ำด้วย อาจเป็นได้ แต่ในพระวจนะไม่ได้พูดชัดเจน
1 100 บทเรียนตอนนี้ได้รับการแก้ไขจากต้นฉบับเดิม บทเรียนต่อเนื่อง “พระกิตติคุณมัทธิว” บทที่ 7 โดย Robert L. Deffinbaugh 30 มีนาคม, 2003.
2 101 นอกจากที่กล่าวไปแล้ว พระวจนะที่นำมาอ้างอิงทั้งหมดมาจาก NET Bible (The NEW ENGLISH TRANSLATION) เป็นฉบับแปลใหม่ทั้งหมด ไม่ใช่นำฉบับเก่าในภาษาอังกฤษมาเรียบเรียงใหม่ ใช้ผู้เชี่ยวชาญและนักวิชาการพระคัมภีร์มากกว่า ยี่สิบคน รวบรวมข้อมูล ทั้งจากภาษาฮีบรูโดยตรง ภาษาอาราเมข และภาษากรีก โครงการแปลนี้เริ่มมาจากที่เราต้องการนำพระคัมภีร์ เผยแพร่ผ่านสื่ออีเลคโทรนิค เพื่อรองรับการใช้งานทางอินเตอร์เน็ท และซีดี (compact disk) ที่ใดก็ตามในโลก ที่ต่อเข้าอินเตอร์เน็ทได้ ก็สามารถเรียกดู และพริ้นทข้อมูลไว้เพื่อใช้ศึกษาเป็นการส่วนตัวได้โดยไม่คิดมูลค่า นอกจากนี้ ผู้ใดก็ตาม ที่ต้องการนำข้อมูลเกี่ยวกับพระคัมภีร์ไปเผยแพร่ต่อโดยไม่คิดเงิน สามารถทำได้จากเว็บไซด์ : www.netbible.org.
3 102 “เรียกร้อง” น่าจะเปลี่ยนเป็น “ออกคำสั่ง” มากกว่า เห็นได้จาก 1ซามูเอล 8 และในคำพูดของโมเสสใน เฉลยธรรมบัญญัติ 17:14 ชาวอิสราเอลเรียกร้องอยากมีกษัตริย์ด้วยเหตุผลที่ผิดหมด พระเจ้าทรงให้โมเสสเตือนคนอิสราเอลเกี่ยวกับราคาแพงที่ต้องจ่ายในการมีกษัตริย์ แต่พวกเขาไม่ฟัง แม้แต่กษัตริย์อิสราเอลที่ได้ชื่อว่าดีที่สุดยังมีปัญหา จะมีจอมกษัตริย์พระองค์เดียวเท่านั้นที่เพียบพร้อม คือพระเมสซิยาห์
4 103 อย่าลืมว่าพระเยซูคริสต์ทรงมีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรงกับการทดสอบของชาวอิสราเอลในถิ่นทุรกันดาร พระองค์ทรงประทานน้ำให้แก่ชาวอิสราเอลผู้กระหาย (1โครินธ์ 10:3-4)
5 104 ดูเฉลยธรรมบัญญัติ 12:11 2ซามูเอล 7:2 1พงศ์กษัตริย์ 6:12-14 เอสรา 6:12 เนหะมีห์ 1:9 สดุดี 65:5, 68:16
6 105 ผมไม่ได้บอกว่าพระเยซูรู้พระวจนะตอนนี้จากเฉลยธรรมบัญญัติเท่านั้น แต่น่าจะเป็นเหตุผลต้นๆที่พระองค์น่าจะเข้าใจดี เพราะทรงมีประสบการณ์ในถิ่นทุรกันดาร
A. เบื้องหลัง เราเรียนมาถึงมารมาล่อลวงพระเยซูครั้งที่สามในถิ่นทุรกันดาร เบื้องหลังการทดลองของมารในพระคัมภีร์เดิมคืออิสราเอลในถิ่นทุรกันดาร มีชนชาติใหม่เกิดขึ้น พระเจ้าเรียกว่าเป็น “บุตร” ของพระองค์ (อพยพ 4:22)2 หลังจากช่วยให้หลุดออกจากการเป็นทาสในอียิปต์อย่างอัศจรรย์ พระเจ้าจึงทดสอบประชากรของพระองค์ในถิ่นทุรกันดารเพื่อพิสูจน์จิตใจ (เฉลยธรรมบัญญัติ 8:2) และบ่อยครั้งพวกเขาก็สอบไม่ผ่าน บ่นต่อว่าและไม่ยอมรับตามน้ำพระทัยในบททดสอบ (ดูอพยพ 16:2, 17:3 กันดารวิถี 14:2, 16:11, 41) พวกเขาทดสอบพระเจ้าด้วยการเรียกร้องขอน้ำและอาหาร (อพยพ 15:22 – 17:7) แล้วยังกราบนมัสการวัวทองคำขณะที่โมเสสขึ้นไปรับพระบัญญัติบนภูเขา (อพยพ 32:1-35) ในที่สุดพวกเขาก็ปฏิเสธไม่ยอมเข้าแผ่นดินคานาอันที่พระเจ้าสัญญา เพราะเกรงกลัวคนที่ครอบครองอยู่ พวกเขาดูหมิ่นพระเจ้า พระองค์จึงทำให้ต้องเร่ร่อนในทะเลทรายถึง 40 ปี จนผู้ใหญ่ที่อพยพออกมาจากอียิปต์ตายหมด (กันดารวิถี 13:1-14:45) ในหนังสือเฉลยธรรมบัญญัติ โมเสสบันทึกประสบการณ์ในทะเลทรายให้กับคนรุ่นต่อไปได้รับรู้ก่อนที่พวกเขาจะเข้าสู่แผ่นดินพันธสัญญา จากในหนังสือ - เฉลยธรรมบัญญัติ – มีคำตอบต่อทุกคำถามที่มารมาทดลองพระเยซู3
ในพิธีบัพติศมา พระเยซูได้รับการรับรองว่าเป็นบุตรของพระเจ้า (มัทธิว 3:17) ด้วยวิธีที่พิเศษ – ในฐานะกษัตริย์แห่งอิสราเอล พระเมสซิยาห์ตามพระสัญญาในพระคัมภีร์เดิม พระวิญญาณมาประทับเหนือพระเยซูด้วยสัญลักษณ์ของนกพิราบ (มัทธิว 3:16) เช่นเดียวกับอิสราเอล พระวิญญาณทรงนำพระเยซูเข้าสู่ถิ่นทุรกันดารเพื่อเผชิญการทดลอง (มัทธิว 4:1, มาระโก 1:12) มารมาหาพระเยซูหลังจากพระองค์อดอาหารมา 40 วันและคืน ล่อลวงให้พระองค์ใช้ฤทธิอำนาจที่มีอย่างผิดๆ “ถ้าท่านเป็นบุตรของพระเจ้าจริง” มารท้า “ก็จงสั่งก้อนหินเหล่านี้ให้เป็นอาหาร” (มัทธิว 4:3) พูดอีกอย่างคือ “พระเยซู ถ้าท่านกำลังจะตาย รักษาชีวิตไว้ก่อนดีกว่า” แต่พระเยซูทรงตอบจากเฉลยธรรมบัญญัติ 8:3 "มีพระคัมภีร์เขียนไว้ว่า 'มนุษย์จะบำรุงชีวิตด้วยอาหารสิ่งเดียวหามิได้ แต่บำรุงด้วยพระวจนะทุกคำ ซึ่งออกมาจากพระโอษฐ์ของพระเจ้า"(มัทธิว 4:4) พระองค์ทราบดีว่าชีวิตนั้นเป็นมากกว่าชีวิตฝ่ายกาย และทรงทราบว่า การอดอาหารเป็นส่วนหนึ่งในการทดสอบที่พระเจ้ากำหนด พระองค์จึงไม่ใช้ฤทธิอำนาจที่มีเอาตัวรอด แต่วางใจในพระเจ้าผู้ทรงจัดเตรียม
เมื่อมารเห็นว่าพระเยซูตอบโต้การทดลองแรกด้วยพระวจนะของพระเจ้า มันจึงตัดสินใจใช้พระวจนะด้วย หลังจากพาพระเยซูขึ้นไปที่ยอดหลังคาพระวิหารที่สูงที่สุดในเยรูซาเล็ม มันบอกว่า
"ถ้าท่านเป็นพระบุตรของพระเจ้า จงโจนลงไปเถิด เพราะพระคัมภีร์มีเขียนไว้ว่า พระเจ้าจะรับสั่งให้เหล่าทูตสวรรค์ของพระองค์รักษาท่าน และเหล่าทูตสวรรค์จะเอามือประคองชูท่านไว้ มิให้เท้าของท่านกระทบหิน" (มัทธิว 4:6) มารนำพระวจนะจากสดุดี 91:11-12 มาใช้
แน่นอนที่มารอ้าง ในท่ามกลางมนุษย์ทั้งปวงพระองค์ต้องได้รับการปกป้อง แต่พระเยซูมองข้อเสนอของมารออก บีบบังคับให้พระเจ้าเข้ามาช่วยโดยทำตนเองให้เสี่ยงอันตราย ทำให้พระเจ้าต้องเชื่อฟัง มารกำลังพูดทำนองว่า "จะกระโจนลงไปแล้ว พระบิดาโปรดมาช่วยลูกด้วย” พระเยซูไม่ได้ทำตามนั้น แต่กลับไปนำพระวจนะจากเฉลยธรรมบัญญัติ แต่ครั้งนี้จากเฉลยธรรมบัญญัติ 6:16 "พระคัมภีร์มีเขียนไว้อีกว่า อย่าทดลองพระองค์ผู้เป็นพระเจ้าของท่าน" (มัทธิว 4:7) ทดสอบพระเจ้าเป็นความเชื่อที่จอมปลอม พระเจ้าทดสอบเราได้เพราะพระองค์ทรงเป็นพระเจ้า พระองค์อาจต้องการให้เราวางใจและเชื่อฟังในความสัตย์ซื่อของพระองค์ ถ้าเราทดสอบพระเจ้าคือความสงสัย ไม่ใช่ความวางใจ คิดเอาเองไม่ใช่การเชื่อฟัง4
ในบันทึกของมัทธิว การทดลองสองครั้งแรกเป็นการจัดฉากรอสำหรับครั้งที่สาม เป็นความพยายามครั้งสุดท้ายและฉ้อฉลที่สุดเพื่อวางกับดักพระเยซูให้ไม่ภักดีต่อพระเจ้า ให้เราพยายามทำความเข้าใจกับการทดลองนี้ให้ดี และวิธีที่พระเยซูทรงรับมือได้อย่างมีชัย
B. เรื่องเล่า ในปี 1954 นวนิยายเรื่อง “ปีที่พวกแยงกี้เสียธง”5 ของดักกลาส วัลลอพ มีเรื่องเล่าขำๆ ชายวัยกลางคนๆหนึ่ง อ้วนจนรูปร่างดูไม่ได้ แกเป็นแฟนคลับตัวยงของเมเจอร์ลีกในทีมเบสบอล ทีมที่คนนี้เชียร์คือวอชิงตัน ซีเนเตอร์ ที่ไม่มีทางเอาชนะทีมนิวยอร์กแยงกี้ได้ เพื่อจะได้รับธงแห่งชัยชนะ ในฤดูร้อนครั้งหนึ่ง เมื่อทีมซีเนเตอร์พยายามทำแต้มไล่ทีมแยงกี้ มีคนแปลกหน้ามาเสนอข้อตกลงที่เหลือเชื่อกับชายคนนี้ : ให้เขากลายเป็นหนึ่งในนักกีฬาทีมเบสบอลซีเนเตอร์ และจะเป็นผู้ทำให้ทีมนี้มีชัยชนะเหนือทีมแยงกี้6
ใครคือคนแปลกหน้าคนนั้น? ไม่มีใครหรอกนอกจากมาร แล้วราคาคืออะไรที่จะทำให้แฟนคลับได้ในสิ่งที่อยากได้? คนแปลกหน้าใช้ทั้งเล่ห์เหลี่ยมและข้อเสนอที่แปลกๆ แต่ในที่สุดมันก็ชัดเจน : ต้องแลกด้วยวิญญาณ
แน่นอน เขาตอบตกลง เรื่องที่เหลือก็เป็นเรื่องขำๆที่ชายวัยกลางคนนี้หลังจากที่ได้แปลงกายเป็นโจ ฮาร์ดี้ นักเบสบอลมหัศจรรย์วัย 21 ภายในสองเดือนเขาทำโฮมรันได้ 48 ครั้ง ตีถูก 545 และกลายเป็นดาราผู้โด่งดังของชาติ หน้าข่าวกีฬาทุกหน้าในอเมริกาต้องลงเรื่องเขา ได้เซ็นสัญญาด้วยเงินมหาศาลจากทีมซีเนเตอร์ มีผู้หญิงมาไล่ตามมากมาย อย่างที่เราเดาได้ เผอิญเจอกับภรรยาบ้างแต่เธอจำเขาที่แปลงกายแล้วไม่ได้
โจจะหลุดออกจากข้อตกลงของมารได้หรือไม่? ขอไม่บอก – เพราะนี่เป็นส่วนที่ทำให้หนังสือเล่มนี้สนุก ไปหาอ่านกันเองนะครับ
มุมมองที่น่าขันของหนังสือเล่มนี้คือคุณพบคนจำนวนมากที่ทำข้อตกลงแบบนี้กับมาร ไม่ใช่เพื่อเอาชนะทีมแยงกี้ แต่ได้ทำในสิ่งที่อยากทำ – ได้เป็นผู้หญิงสวย เป็นเศรษฐีหมื่นล้าน เป็นนักจิตวิทยา เป็นข้อตกลงที่มารทำได้ทุกเมื่อกับทุกคน “คุณจะได้ทำในสิ่งที่ต้องการ” มันจะบอกว่า “เป็นเรื่องที่ดีนะ เหมือนเอาชนะทีมแยงกี้ได้ แค่ขายวิญญาณให้เท่านั้นเอง”
มารยื่นข้อเสนอเดียวกันนี้ให้กับพระเยซูด้วย พระองค์เองได้แสดงให้เห็นว่าทรงยอมจำนน เป็นบุตรที่เชื่อฟังพระบิดา และทรงใช้พระวจนะตอบโต้มารในการทดลองทั้งสองครั้ง คราวนี้มารปรับกลยุทธใหม่ การทดลองครั้งที่สามไม่ได้เริ่มด้วยคำพูดเหมือนสองครั้งแรกว่า “ถ้าท่านเป็นบุตรของพระเจ้า...” เราจะเห็นต่อไปว่ามารเหมือนจะยอมอ่อนข้อให้สักพักเมื่อเห็นว่าพระเยซูเชื่อฟังพระบิดา ดังนั้นแรงผลักดันครั้งที่สามคือ : พระเยซูผู้เป็นพระบุตรจะยอมทำสิ่งใดเพื่อจัดตั้งอาณาจักรของพระเจ้าที่บนโลกนี้?7
แม้มัทธิวไม่ได้พูด ผมสงสัยว่าถ้าพระเยซูและมารต่างมีบทสดุดีที่ 2 อยู่ในใจ เป็นบทที่พูดถึงพระบุตร พระเมสซิยาห์ ที่จะมาปกครองบรรดาประชาติ8 ที่พูดว่า:
7 ข้าพเจ้าจะบอกถึงพระดำรัสของพระเจ้า พระองค์รับสั่งกับข้าพเจ้าว่า "เจ้าเป็นบุตรของเรา วันนี้เราได้ให้กำเนิดแก่เจ้าแล้ว 8 จงขอจากเราเถิด และเราจะมอบบรรดาประชาชาติให้เป็นมรดกของเจ้า ตลอดทั้งแผ่นดินโลกให้เป็นกรรมสิทธิ์ของเจ้า 9 เจ้าจะตีเขาให้แตกด้วยกระบองเหล็ก และฟาดให้แหลกเป็นชิ้นๆ ดุจภาชนะของช่างปั้นหม้อ" (สดุดี 2:7-9)
คุณว่าพระเยซูหลังจากอดอาหารมา 40 วันและคืนในถิ่นทุรกันดารจะเหมือนกษัตริย์ที่ตรงไหน? พระองค์อยู่ตามลำพัง เหนื่อย มอมแมม หิว และกระหาย กว่าจะเป็นกษัตริย์แห่งแผ่นดินของพระเจ้าได้ หนทางน่าจะอีกยาวไกล มารจึงฉวยโอกาสนี้ พูดทำนองว่า “ขอแสดงให้ท่านเห็นหนทางที่จะได้ทำตามความตั้งใจ” มันพาพระเยซูขึ้นบนภูเขาสูง และให้ทอดพระเนตรอาณาจักรต่างๆของโลกและความยิ่งใหญ่ตระการตา9 น่าจะรวมถึงโรมด้วย ในตอนนั้นความยิ่งใหญ่อลังการและสภาพของพระเยซูน่าจะไปกันคนละทาง "ถ้าท่านจะกราบลงนมัสการเรา เราจะให้สิ่งทั้งปวงเหล่านี้แก่ท่าน"
มีข้อสังเกตุอยู่หลายประการ
A. แรงดึงดูดใจ ลองนำข้อเสนอตามมุมมองของมารมาดูความน่าสนใจ
สภาพของพระเยซู |
ข้อเสนอของมาร |
ขาดแคลน – เหนื่อย หิวโหย |
ยิ่งใหญ่อลังการ ไม่มีความทุกข์ |
อยู่ลำพังกับสัตว์ป่า10 |
มีความสำคัญ ไม่มีใครไม่รู้จัก |
รอไปอย่างไม่มีจุดหมาย |
เห็นผลทันที ไม่ล่าช้า |
ยังไม่มีสิ่งใดสำเร็จลง |
มีอำนาจทำในสิ่งที่ต้องการ |
ในทุกสภาพของพระเยซู มารมีทางออกให้ และทางออกท้ายสุดคือกุญแจสำคัญของการทดลองครั้งนี้ คำตอบที่พระเยซูใช้ตอบโต้มารในสองครั้งแรก พระองค์รับมือกับสามข้อแรกด้านบนไปแล้ว ไม่ยอมสั่งหินให้เป็นอาหารเพื่อดับความหิว ไม่ยอมกระโจนจากยอดสูงสุดของหลังคาพระวิหารเพื่อจะได้ความสนใจในทันที ในทั้งสองการทดลองพระองค์ไม่ยอมตกอยู่ภายใต้การล่อลวงเพื่อจะได้เห็นผลในทันที มารจึงเพิ่มองค์ประกอบสำคัญเข้าไปเพื่อให้แพคเกจน่าสนใจยิ่งขึ้น: “ท่านจะได้ความยิ่งใหญ่อลังการ ความสำคัญ และเห็นผลในทันที และท่านยังได้รับใช้พระเจ้าขณะที่ทำด้วย นี่เป็นสิ่งที่ท่านอยากทำไม่ใช่หรือ? รับใช้พระเจ้า? ท่านได้ทำอะไรกับชีวิตไปบ้างแล้วล่ะพระเยซู? เป็นลูกช่างไม้เหรอ? ดูสิเราเสนออาณาจักรทั้งหลายของโลกนี้ให้ท่าน ท่านจะทำอย่างไรก็ได้ตามใจ ท่านเป็นกษัตริย์ไม่ใช่หรือ? เป็นผู้มาตั้งอาณาจักรของพระเจ้าที่บนโลกนี้ นั่นคือสิ่งที่ท่านอยากทำใช่หรือไม่ ปลดปล่อยอิสราเอลจากการปกครองของโรม จัดตั้งความยุติธรรมให้กับโลกนี้ ช่วยเหลือคนจน นำสันติภาพมาสู่โลก พระเจ้าน่าจะพอพระทัยมิใช่หรือ? ทำโดยไม่ต้องทนทุกข์ ทำได้สำเร็จ ทำเลย แล้วท่านจะได้ทุกสิ่ง”11
B. กำดัก แน่นอนข้อเสนอแบบนี้ย่อมต้องมีข้อแลกเปลียน แล้วอะไรคือข้อแลกเปลี่ยน? มารพูดว่า "ถ้าท่านจะกราบลงนมัสการเรา”
ท่าหมอบลงกราบนมัสการเป็นท่าทีที่แสดงออกถึงสัญลักษน์ ดูเหมือนมารพยายามทำให้เป็นเรื่องเล็กน้อยไม่สลักสำคัญ ไม่ได้บอกให้ไปทำในที่สาธารณะ ที่จริงแค่พระเยซูก้มลงนมัสการมันเป็นส่วนตัวที่บนภูเขามันก็พอใจแล้ว มีคนตั้งข้อสังเกตุว่ามารเสนอว่าทำเช่นนี้แค่ครั้งเดียวเอง12 แล้วมารก็ไม่ได้ขอให้มีพิธีรีตองอะไรด้วย รู้ว่าพระเยซูต้องการมาตั้งอาณาจักรให้กับพระเจ้า มันแทบจะไม่ได้ขออะไรมากเลย
มารอยากให้พระเยซูเชื่อว่าหลังจากนมัสการมันแล้ว ก็จบเรื่อง แต่ว่าการนมัสการมีความหมายหลายสิ่ง:
พระเยซูตระหนักว่าสัญลักษณ์ของการก้มลงกราบนมัสการจะมาพร้อมกับข้อผูกมัดต่อเนื่อง
C. มารให้ในสิ่งที่สัญญาไว้ได้จริงหรือ บางคนคิดว่ามารโกหกที่บอกว่าจะมอบราชอาณาจักรให้กับพระเยซู13 เพราะจะอย่างไรก็ตาม ที่สุดแล้วพระเจ้าเป็นผู้ครอบครองอยู่เหนือทุกสิ่ง และเรารู้ว่ามารเป็นจอมมุสา – พระเยซูเรียกมันว่าเป็นผู้ฆ่าคน และผู้มุสา (ยอห์น 8:44)
เพราะมารเป็นจอมมุสา ไม่ได้หมายความว่าพูดความจริงไม่เป็น จะบอกว่ามารต้องโกหกตลอดเวลาก็ตลกไปหน่อย เหมือนเป็นตัวการ์ตูน14 มันทำธุรกิจ คุณคงทำธุรกิจไม่ได้ถ้าต้องโกหกตลอดเวลา ขณะที่มารไม่จำเป็นต้องพูดความจริง แต่มันจะพูดความจริงถ้าทำให้ได้ตามที่ต้องการ ในกรณีนี้ ตามที่ลูกาบันทึก มารอ้างว่าพระเจ้าได้มอบอาณาจักรต่างๆให้มันแล้ว จึงสามารถนำไปมอบให้คนอื่นๆได้ (ลูกา 4:6) พระเยซูทรงรับฟัง ต่อมาในยอห์น 12:31 และใน ยอห์น 16:11 พระเยซูทรงเรียกมารว่า “เจ้าโลก” ผมจึงว่าตรงนี้มันพูดจริง เท่าที่เห็นก่อน ยังมีตามมาอีกซึ่งเราจะเรียนต่อไป
นอกเหนือจากนี้ ถ้าคำอ้างของมารไม่เป็นความจริง ทำไมพระเยซูไม่ตรัสบ้าง? ฟังดูเป็นคำตอบที่ง่ายๆ “ไม่เอาน่าซาตาน เจ้าก็รู้ว่าเจ้าไม่มีทางเอาราชอาณาจักรเหล่ามาให้เราได้” ที่สำคัญพระเยซูไม่ได้ตอบมารไปเช่นนั้น
คำตอบของพระเยซูง่ายและตรงประเด็น เช่นเดียวกับที่ทรงตอบไปในการทดลองสองครั้งก่อนหน้า พระองค์ทรงอ้างจากหนังสือเฉลยธรรมบัญญัติ "อ้ายซาตาน จงไปเสียให้พ้น เพราะพระคัมภีร์มีเขียนไว้ว่า จงกราบนมัสการพระองค์ผู้เป็นพระเจ้าของท่าน และปรนนิบัติพระองค์แต่ผู้เดียว" (มัทธิว 4:10) (เป็นส่วนหนึ่งจากเฉลยธรรมบัญญัติ 6:13)
มันง่ายที่จะเข้าถึงรายละเอียดและนัยของการทดลองครั้งที่สาม แต่เราจะพลาดไปจากหัวใจสำคัญ พระเยซูไม่พลาดครับ พระเจ้าเพียงพระองค์เดียวเท่านั้นที่ควรคู่กับการนมัสการของเรา
อย่างที่คุยไปก่อนหน้า มารไม่ได้ขอให้พระเยซูมีพิธีรีตองอะไรในการก้มลงกราบนมัสการ นั่นคือความฉ้อฉลที่มันใช้กับอิสราเอลตามที่เราอ่านใน 2พงศ์กษัตริย์ 17:35-40ก):
เมื่อพระเจ้าทรงทำพันธสัญญากับอิสราเอล พระองค์บัญชาพวกเขาว่า "เจ้าอย่ายำเกรงพระอื่นๆ หรือกราบนมัสการพระนั้น หรือปรนนิบัติ หรือถวายสัตวบูชาแก่พระนั้น แต่เจ้าจงยำเกรงพระเจ้า ผู้ซึ่งนำเจ้าออกมาจากแผ่นดินอียิปต์ด้วยกำลังอันยิ่งใหญ่ และด้วยพระหัตถ์ที่เหยียดออก เจ้าจงโน้มตัวลงต่อพระองค์...ถึงกระนั้นเขาทั้งหลายก็มิได้ฟัง”… ยังทำตามอำเภอใจเหมือนเดิม แม้กระทั่งพวกเขากำลังนมัสการพระเจ้า พวกเขาก็ปรนนิบัติรูปเคารพไปพร้อมๆกัน (ผมขอเน้นเพิ่ม)
ด้วยสาเหตุนี้ อาณาจักรทางเหนือจึงถูกอัสซีเรียทำลายลงและผู้คนต้องกระจัดกระจายไปท่ามกลางชนชาติอื่นๆ
เกิดอะไรขึ้นกับแนวคิดของเราเกี่ยวกับพระเจ้าเมื่อเรานมัสการพระองค์นอกเหนือจากที่บัญชา? เพิ่มพระอื่นเข้าไป หรือนมัสการพระเจ้าในแบบรูปเคารพ ทำให้พระเจ้าในความคิดของเราเป็นมากกว่าที่ทรงเป็น – ผู้ครอบครอง เป็นหนึ่งเดียว ยิ่งใหญ่สูงสุด - และถ้าเรายังนมัสการพระเจ้าต่อในขณะที่นมัสการสิ่งอื่นๆควบคู่ไปด้วย แปลว่าเราไม่ได้นมัสการพระเจ้าองค์เที่ยงแท้ เราอาจยังเรียกพระองค์ว่าเป็นพระเจ้า แต่ในความคิด เราลดพระองค์ลงเหลือแค่รูปเคารพ – หรือสิ่งที่เราสร้างขึ้นมาในมโนภาพ15
พระอื่นๆไม่จำเป็นต้องมาในภาพรูปเคารพ เงินทองก็เป็นสิ่งที่เรานมัสการได้ ครอบครัว การงาน และแม้แต่ประเทศของเรา แม้อิสราเอลในยุคพระเยซูจะเลิกกราบไหว้รูปเคารพที่เป็นภาพหรือรูปปั้น แต่ก็ไม่เคยหยุดนมัสการเงินทอง พระเยซูตรัสในมัทธิว 6:24 “ท่านจะปฏิบัติพระเจ้าและจะปฏิบัติเงินทองพร้อมกันไม่ได้”
อย่างที่พระเยซูตรัส พระองค์ตระหนักว่าการนมัสการมาพร้อมกับการปฏิบัติหรือปรนนิบัติ มารไม่ได้ใช้คำว่าปฏิบัติ แต่ที่สำคัญคือพระเยซูทรงใช้ เรายำเกรงสิ่งใด หรือเราเห็นว่าสิ่งนั้นมีอำนาจมากพอให้เราในสิ่งที่ต้องการได้ เราก็จะไปปรนนิบัติสิ่งนั้น เราอาจนมัสการพระเจ้าพร้อมไปกับสิ่งอื่นๆได้สักระยะ แต่ที่สุดแล้วจะขัดแย้งกันจนไปต่อไม่ได้ เราต้องเลือกครับ
เราเรียนรู้สิ่งใดจากการทดลองครั้งที่สาม?
A. พระเยซูทรงเป็นพระบุตรที่ซื่อสัตย์ต่อพระเจ้า ต่างจากอิสราเอลบุตรของพระเจ้า พระเยซูเป็นบุตรที่เชื่อฟัง พระองค์ไม่ได้ขุ่นเคืองเรื่องการทดลองและพยายามหาทางหลบเลี่ยง พระองค์ไม่ได้พยายามทดสอบความรักของพระบิดาโดยใช้วิธีบีบบังคับให้แสดงออก พระองค์ไม่ได้พึ่งพิงสิ่งอื่นใดนอกจากพระเจ้าเพื่อให้พระราชกิจที่พระเจ้ามอบหมายสำเร็จลง16
นอกจากนั้น ชัยชนะต่อการทดลองที่มีเหนือซาตานแสดงให้เห็นว่าพระเยซูทรงเพียบพร้อมด้วยคุณสมบัติครบถ้วนเพื่อทำพระราชกิจตามที่ได้เลือกสรรไว้17 นี่คือคุณสมบัติที่สำคัญที่สุดของพระองค์
1. ทรงมีสิทธิสมบูรณ์ตามสายราชบัลลังก์ของดาวิด ต่างจากกษัตริย์องค์อื่นๆของอิสราเอล พระเยซูทรงมีคุณสมบัติตามที่กำหนดไว้ครบถ้วน เฉลยธรรม 17:14-20 ทรงยอมถวายพระองค์เองให้พระเจ้าและทำตามพระวจนะในการเข้าสู่ถิ่นทุรกันดาร พระองค์ทรงรู้กฏหมายของพระเจ้าเป็นอย่างดี สามารถนำมาใช้ให้มีชัยเหนือซาตาน และไม่ได้มองว่าพระองค์อยู่เหนือการทดลอง แต่ต้องทนทุกข์จนผ่านพ้น เช่นเดียวกับที่มนุษย์ต้องเผชิญ พระองค์จึงเป็นจอมกษัตริย์เหนือกษัตริย์ทั้งปวง (วิวรณ์ 17:14)
2. ทรงเป็นลูกแกะที่ปราศจากตำหนิของพระเจ้า การปราศจากตำหนิของพระเยซูสำแดงผ่านทางชัยชนะเหนือการทดลองโดยปราศจากมลทิน เหมาะสมทุกประการที่จะเป็นลูกแกะเพื่อถวายบูชาชดใช้บาป (อพยพ 12:5, อิสยาห์ 53:7, ยอห์น 1:29, 1โครินธ์ 5:7, 1เปโตร 1:18-19) ทรงเป็นพระผู้ช่วยให้รอดที่สมบูรณ์ครบถ้วนทุกประการ
3. ทรงเป็นมหาปุโรหิตที่เห็นใจเราทุกประการ ผู้เขียนพระธรรมฮีบรูกล่าวว่า:
15 เพราะว่า เรามิได้มีมหาปุโรหิตที่ไม่สามารถจะเห็นใจในความอ่อนแอของเรา แต่ได้ทรงถูกทดลองใจเหมือนอย่างเราทุกประการ ถึงกระนั้นพระองค์ก็ยังปราศจากบาป 16 ฉะนั้นขอให้เราทั้งหลาย จงมีใจกล้าเข้ามาถึงพระที่นั่งแห่งพระคุณ เพื่อเราจะได้รับพระเมตตา และจะได้รับพระคุณที่จะช่วยเราในขณะที่ต้องการ (ฮีบรู 4:15-16)
พระเยซูตรัสว่า “เพราะถ้าผู้ใดจะได้สิ่งของสิ้นทั้งโลกแต่ต้องเสียชีวิตของตน ผู้นั้นจะได้ประโยชน์อะไร?” (มัทธิว 16:26) มีผู้เสนอมอบโลกทั้งใบให้พระองค์ และทรงปฏิเสธได้ พวกเราคงไม่มีใครถูกล่อลวงด้วยข้อเสนอนี้ พระองค์จึงทรงเป็นมหาปุโรหิตที่เข้าใจ เห็นใจและสงสาร
B. ซาตานเป็นจอมมุสา แม้บางครั้งมันพูดความจริง จริงๆแล้วมันกลับต่อต้านความจริง ยอห์นเจาะจงนำคำว่า “ความจริง” มาใช้ ในยอห์น 14:6 พระเยซูตรัสว่า "เราเป็นทางนั้น เป็นความจริงและเป็นชีวิต” ใน 2ยอห์น 4 “สัจจะ” ข่าวประเสริฐที่ได้มอบไว้ให้บรรดาอัครทูต มารจึงต่อต้านความจริงในเรื่องนี้ – พระเยซูและข่าวประเสริฐ – จึงทำให้มันเป็น “จอมมุสา” แม้ว่าบางครั้งก็เอาความจริงมาอ้าง แต่นำเสนอในแบบที่หลอกลวงเรา นำเราสู่ความผิดพลาด หลงไปจากความจริง
C. แรงยั่วยุในการทดลองครั้งที่สามคือพระราชกิจ การทดลองครั้งที่สามจะรวมถึงการบังคับตน ให้ตนเองมาก่อน ความหยิ่งลำพอง เกียรติยศและอำนาจ ฯลฯ แต่อาจห่อหุ้มมาในบริบทของการทำพันธกิจ อย่างที่มารทำกับพระเยซู ในบทความไม่นานมานี้จาก “ข่าวยามเช้าของดัลลัส” เจเจ แพคเกอร์เขียนว่า “ซาตานจะวางกับดักคนของพระเจ้าให้ทำชั่วโดยคิดว่าเป็นสิ่งที่ดี...” 18การทดลองครั้งที่สามคือ เมื่อคนแสดงความปรารถนาจะทำตามน้ำพระทัยอาจกำลังเปิดจุดอ่อนให้มารเห็น มันหาทางปรับโฉมการล่อลวงพระเยซูโดยแตะไปที่ความปรารถนาจะตั้งอาณาจักรของพระเจ้า มันอาจปรับโฉมการล่อลวงพันธกิจในฝันของเรา อาจเปิดโอกาสให้เราได้รับใช้ในสิงที่อยากทำมานาน หรือให้เห็นว่าของประทานฝ่ายวิญญาณที่เรามีจะเกิดผลอย่างเหลือเชื่อ มารจะบอกว่าที่เราต้องทำคือยอมผ่อนปรนนิดหน่อย เราต้องคอยเฝ้าระวังอยู่เสมอ อย่าเผลอไปก้มกราบนมัสการซาตานโดยคิดว่ากำลังทำงานรับใช้พระเจ้า เอริค เกรแฮม เน้นเรื่องนี้เอาไว้:
ความจงรักภักดีฝ่ายวิญญาณไม่สามารถแยกเป็นสองฝักสองฝ่ายได้ พระเยซูทรงสอนไว้ เราไม่อาจปรนนิบัติพระเจ้าและทรัพย์สินเงินทองได้ หรือพระเจ้าและซาตาน หรือพระเจ้ากับหลักการต่างๆที่ทำให้ไม่ขึ้นกับพระเจ้า นำไปจนขัดแย้งกับพระประสงค์ บ่อยครั้งผู้มีอำนาจทางศาสนาจะพลาดในเรื่องนี้ พยายามนำอำนาจชั่วคราวฝ่ายโลกที่มี หรือทรัพย์สมบัติ หรืออำนาจทางการเมืองเข้ามาใช้ร่วมกับการปรนนิบัติพระเจ้า นำวิธีการที่ขัดกับวัฒนธรรมที่ดีของคริสเตียน บังคับใช้ มีทักษะและมีชั้นเชิง ซึ่งเป็นสิ่งที่พระเยซูทรงปฏิเสธอย่างสิ้นเชิง พวกเขาคิดว่าอาวุธของซาตานสามารถนำมาใช้เพื่อพระเจ้าได้ จนบางทีแยกแยะไม่ออกว่าไหนคือทางของพระเจ้า ไหนคือทางของมาร ไม่ได้พอใจแค่ปรนนิบัติพระเจ้าองค์เดียว คิดว่าวิธีที่ใช้อยู่ช้าและไม่ได้ผล – บางครั้งก็พลาดไปคิดว่านี่แหละสอดคล้องกับน้ำพระทัย และในทุกสิ่งที่ทำหรือนำมาใช้ พวกเขาเชื่อจริงจังว่ากำลังปรนนิบัติพระเจ้า
ดังนั้นการทดลองครั้งที่สาม – ทดลองให้ละจากพระเจ้าบ้าง ตรงนั้นนิดตรงนี้หน่อย ไม่ได้จงใจ แต่มีเหตุผลดี เมื่อเรากำลังวางแผนจัดตั้งอาณาจักรของพระเจ้า – การทดลองนี้อันตรายที่สุด เกิดขึ้นบ่อย และเป็นหนทางสู่หายนะที่ง่ายโดยฝีมือผู้ที่เรียกตนเองว่าทำเพื่อพระคริสต์ โดยเฉพาะคนที่มีตำแหน่ง มีอำนาจในคริสตจักร หรือคนที่แผ่อิทธิพลส่วนตัวเข้าไป เป็นเพราะสิ่งที่ล่อลวงมันดูดีเยี่ยม ทุกสิ่งเพื่อพระสิริของพระเจ้า และบ่อยครั้งเกิดขึ้นโดยไม่มีใครทันสังเกต เว้นแต่เราต้องเฝ้าระวัง อธิษฐาน อดอาหารเช่นเดียวกับที่พระเยซูทำในถิ่นทุรกันดาร และที่สำคัญไวต่อการทรงนำของพระวิญญาณบริสุทธิ์ 19
D. ระวังข้อเสนอที่สัญญาจะให้ในสิ่งที่พระเจ้าไม่เคยสัญญา
1. ผลเลิศ “ทำตามวิธีนี้” มีคนบอกกับผู้นำอนุชน “แล้วจำนวนสมาชิกในกลุ่มอนุชนจะเพิ่มขึ้นสามเท่า” “คุณต้องเลี้ยงลูกแบบนี้” มีคนบอกกับผู้เป็นพ่อแม่ “แล้วลูกๆของคุณจะเชื่อฟังและอยู่ในทางของพระเจ้า” “ใช้แผนหาทุนของเรา” มีคนบอกผู้นำคริสตจักร “แล้วคุณจะหาทุนสร้างอาคารได้มากจนเกินพอ”
2. ผลในทันที “พันธกิจของคุณไม่เห็นต้องใช้เวลาหลายปีเพื่อพัฒนา” นักศึกษาพระคริสตธรรมจบใหม่บอก “ทำให้มันสำเร็จเดี๋ยวนี้เลย จะรอไปทำไม”
3. เป็นที่รู้จักและมีความสำคัญ “เป็นคนที่สำคัญของพระเจ้า” มีคนบอก “เป็นผู้นำในคริสตจักร สร้างผลกระทบให้กับพระคริสต์ นี่เป็นสิ่งที่คริสเตียนที่ประสบความสำเร็จทำ”
4. ไม่ต้องทนทุกข์ “พระเจ้าต้องการอวยพระพรคุณ” มีคนบอกกับคริสเตียนมากมาย “รอคอยความสุขและความมั่งคั่ง” บางทีคำพูดที่ฮิทติดปากในแวดวงของพวกเราทุกวันนี้คือ “เติมเต็ม” “ลองเข้าในพันธกิจนี้ดู” มีคนพูด “แล้วคุณจะรู้สึกเต็มล้นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน” เมื่อใดก็ตามที่มีคนนำเสนอพันธกิจที่เติมเต็มล้นในคริสตจักรของคุณหรือที่อื่นๆ ระวังให้ดี เขากำลังพยายามขายบางอย่างให้คุณ
สัปดาห์ที่แล้วเราอ่านจากหนังสือ 2ทิโมธี เป็นจดหมายฝากที่ อ.เปาโลเขียนจากเรือนจำในโรม ชีวิตท่านอาจกำลังจบลง ท่านอยู่โดดเดี่ยว มีแต่ลูกาเท่านั้น หลายคนไม่อยากเกี่ยวข้องเพราะอับอาย ท่านขอให้ทิโมธีนำเสื้อคลุมมาให้ คริสตจักรหลายแห่งที่ท่านก่อตั้งขึ้นกำลังดิ้นรน ผู้สอนเทียมเท็จมาจากทุกทิศทุกทาง โจมตีและปฏิเสธเนื้อหาของข่าวประเสริฐ
ทุกเดือนเราจะได้รับจดหมายจากมิชชันนารีของคริสตจักร Community Bible Chapel ที่เราให้การสนับสนุน ถ้าหนึ่งในจดหมายที่เราได้รับมาเหมือนกับ 2ทิโมธี ผมสงสัยว่าเราจะยังสนับสนุนมิชชันนารี่คนนั้นต่อหรือไม่
ในคำเทศนาบนภูเขา พระเยซูตรัสว่าผู้ที่ถูกข่มเหงเหตุเพราะพระองค์ย่อมเป็นสุข (มัทธิว 5:10-12) พระองค์บอกกับสาวกว่าในโลกนี้พวกเขาจะประสบความทุกข์ยาก (ยอห์น 16:33) เปาโลสอนทิโมธีให้ทนต่อความยากลำบากเหมือนทหารที่ดีของพระเยซูคริสต์ (2ทิโมธี 2:3) นี่คือสิ่งที่เราจำต้องรู้ไว้เมื่อลงมือทำงานของพระเจ้าอย่างจริงจัง ให้สำรวจโอกาสทำพันธกิจที่มาถึงแบบง่ายๆชนิดไม่มีความยากลำบากให้ดี เพราะคุณอาจตกเป็นเหยื่อการทดลองในแบบเดียวกับการทดลองครั้งที่สามของพระเยซู
E. เราไม่อาจปรนนิบัติเจ้านายพร้อมกันสองคนได้ อย่างที่พระเยซูตรัส เราจะชังคนหนึ่งและรักอีกคน (มัทธิว 6:24) คนหรือสิ่งของใดที่เป็นคู่แข่งในการนมัสการพระเจ้าของเราเรียกร้องการปรนนิบัติจากเราด้วย พระเยซูทราบว่าการคุกเข่าก้มหัวให้ซาตานและยอมรับของขวัญแห่งราชอาณาจักรของโลกหมายถึงอะไร พระเยซูไม่อาจปรนนิบัติพระเจ้าแต่เพียงผู้เดียวถ้าพระองค์ยอมรับราชอาณาจักรนั้นมาจากซาตาน ทันทีที่พระองค์ให้ความสำคัญกับมันและรับความช่วยเหลือ พระองค์ต้องรับใช้มัน อาจไม่ในทันที หรือในแบบที่เราคิด แต่วันนั้นมาถึงแน่
เดอะก๊อดฟาเธ่อ20 นวนิยายเกี่ยวกับตระกูลคอร์ลีโอนีและพรรคพวกที่ก่อตั้งแก๊งอาชญากรรม ได้รับรางวัลอาคาดามี่เมื่อสร้างเป็นภาพยนตร์ รวมถึงภาคต่อๆไปด้วย ตอนหนึ่งในหนังสือเกี่ยวข้องกับสัปเหร่อที่แอบไปขอความช่วยเหลือจากหัวหน้าครอบครัว ดอน คอร์ลีโอนี สิ่งแรกที่สัปเหร่อนี้ต้องทำคือสาบานว่าจะจงรักภักดีต่อหัวหน้า เมื่อยอมทำตาม ก็ได้รับความช่วยเหลือ หลังจากนั้นสัปเหร่อคนนี้ก็ไม่ได้ยินจากดอน คอร์ลีโอนีอีกเป็นปี วันหนึ่งลูกชายของดอน คอร์ลีโอนี ถูกคู่ปรับฆ่าตายระหว่างก่ออาชญากรรม ตอนกลางดึก สัปเหร่อถูกเรียก ดอนขอให้สัปเหร่อคนนี้จัดการฝังศพให้ เขาตัวแข็งด้วยความกลัว เพราะในทันทีทุกคนจะรู้ – เพื่อนบ้าน ลูกค้า ตำรวจ ศัตรู พวกก่ออาชญากรรมทั้งหลาย – ว่าเขาทำงานให้ดอน คอร์ลีโอนี เจ้าพ่อ แต่ไม่มีทางเลือก ถ้าไม่ทำ หมายถึงชีวิตเขาก็ต้องจบลง
นี่เป็นวิธีเดียวกับที่ซาตานใช้ ไม่มีข้อตกลงใดเล็กน้อยสำหรับซาตานหรือสิ่งที่มันควบคุม – โลกนี้ ระบอบของโลก สิ่งของๆโลก (1ยอห์น 2:15-16) ถ้าเราก้มหัวคุกเข่าให้กับสิ่งของๆโลกนี้ เช่นครอบครัว ประเทศของเรา หรืองานรับใช้ – สิ่งใดก็ตามที่เราให้ขึ้นมาเป็นคู่แข่งกับพระเจ้า – วันหนึ่ง ไม่ช้าก็เร็ว เราจะถูกเรียกร้องให้ไปรับใช้สิ่งนั้น อย่าหลอกตนเอง เราไม่อาจปรนนิบัติพระเจ้าไปพร้อมๆกันได้ เช่นเดียวกับสัปเหร่อ เราจะพบว่าเราได้เลือกไปแล้ว21
F. ซาตานไม่มีทางเทียบได้กับพระเจ้า ซาตานให้ได้เฉพาะสิ่งที่ได้มา มันอ้างกับพระเยซูว่ามันได้รับราชอาณาจักรต่างๆของโลกนี้ และนำมามอบให้พระเยซูได้ มาคิดดูว่ามีความหมายอย่างไร อาณาจักรของโลกนี้คือของๆโลกนี้ เมื่อปิลาตถามพระองค์ว่าเป็นกษัตริย์หรือ พระเยซูตอบว่าอาณาจักรของพระองค์ไม่ใช่เป็นของโลกนี้ แต่ในสวรรค์ (ยอห์น 18:36) และอาณาจักรของโลกนี้เป็นเพียงชั่วคราว ความยิ่งใหญ่ไม่ได้คงอยู่ตลอดไป และไม่มีทางไปเทียบกับความยิ่งใหญ่แห่งอาณาจักรของพระเจ้า (ดูคำอธิบายถึงท้องฟ้าใหม่และโลกใหม่ในวิวรณ์ 21:1 – 22:5)
แน่นอน สำหรับเรา โลกนี้น่าดึงดูดมากๆ มันคงยากสำหรับเราที่จะคิดไกลไปจากสภาพแวดล้อมที่ดำเนินอยู่ อยู่ในกรอบกำหนดของพื้นที่และเวลา แต่สิ่งที่เราต้องคิด – ด้วยมุมมองของฟ้าสวรรค์และนิรันดร์กาล ดูสิ่งที่ผู้เขียนหนังสือฮีบรูอธิบายถึงธรรมิกชนของพระเจ้าในฮีบรู 11:13-16
คนเหล่านี้ยังคงดำเนินในความเชื่อเมื่อพวกเขาตาย ยังไม่ได้รับตามพระสัญญา พวกเขาได้เห็นและรอคอยจากที่ไกล และยอมรับว่าตนเองเป็นเพียงคนแปลกถิ่นที่ท่องเที่ยวไปในโลก … .และรอคอยบ้านเมืองที่ดีกว่านี้ – บ้านบนสวรรค์
เราควรสำแดงความเชื่อในแบบเดียวกัน ไม่ยึดโลกหรือสิ่งของๆโลกที่เป็นเพียงชั่วคราว
G. การทดลองอาจมาจากแหล่งที่เรานึกไม่ถึง ดูวิธีที่ซาตานเสนอตนเองกับพระเยซู มันยอมรับพระเยซูว่าเป็นบุตรพระเจ้า มันเชื่อว่าพระองค์ทรงทำอัศจรรย์ได้ นำพระวจนะมาอ้างเพื่อจะได้รับการยอมรับ มันมาหาพระเยซูในช่วงแห่งการทดสอบ ทำเหมือนสนับสนุนพระองค์ในเรื่องความเชื่อ (แต่ที่จริงกำลังทดสอบพระเจ้าที่มันบอกสนับสนุน) เสนอหนทางให้พระเยซูทำพันธกิจได้เต็มที่ มันดูเป็นผู้สนับสนุนเรื่องความเชื่อและให้การช่วยเหลืออย่างดี
เหมือนพี่น้องคริสเตียนที่แสนดีใช่มั้ยครับ? หรือผู้นำฝ่ายวิญญาณที่น่าไว้ใจ มันน่าเศร้าที่จะบอกว่าสองแหล่งนี้เป็นแหล่งที่การล่อลวงเป็นไปได้มากที่สุด อย่างที่ อ.เปาโลกล่าวไว้ใน 2โครินธ์ 11:13-15 ซาตานปลอมเป็นทูตแห่งความสว่างได้ ไม่ใช่ปีศาจผมยาวรุงรังถือหอกสามง่าม แต่เป็นมิตรเทียมและเป็นครูสอนเทียมเท็จ
H. ดีตอนจบไม่ได้หมายความว่าวิธีการถูกต้อง เราเคยมีเรื่องอื้อฉาวเกิดขึ้นในอเมริกาที่ไม่เคยเกิดขึ้นมานานหลายปี มีการปั่นให้ดอกเบี้ยพุ่งสูง เพิ่มราคาหุ้นซึ่งดีต่อผู้ถือหุ้น แต่ทันทีที่เราคุกเข่าลงนมัสการความสำเร็จทางการเงิน ความซื่อสัตย์จะถูกมองข้าม และไม่มีวันย้อนกลับไปได้ ความต้องการของผู้เล่นหุ้นไม่เคยพอ เมื่อพบว่ามีสิ่งผิดปกติ ตลาดหุ้นก็พังครืน และคนไม่รู้อิโหน่อิเหน่มากมายที่ต้องเจ็บปวด
เมื่อคริสตจักรของเราและคริสตจักรอื่นๆเผชิญปัญหาด้านการเงิน มีแรงกดดันให้ตัดงบประมาณฝ่ายวิญญาณลง จงระวังว่าเราไม่ควรให้คุณค่าความสำเร็จในงานพันธกิจ โดยยอมฟังข้อเสนอของมารมากกว่าเชื่อฟังพระเจ้า
I. การนมัสการไม่ใช่ดูว่าเราจะได้อะไรกลับคืน การนมัสการสมัยนี้เป็นเหมือน “เผือกร้อน” สำหรับคริสตจักรในโลกตะวันตก ในหลายๆคริสตจักรเป็นเหมือน “งานเฉลิมมฉลอง” เพลงสนุกสนานและบนเวทีมีเรื่องตื่นเต้น ที่คริสตจักรของเรา คนตัดสินใจว่าจะมาช่วงนมัสการดีหรือไม่โดยยึดว่าตนเองจะได้อะไรกลับไป
มารพยายามทำให้การนมัสการเป็นเหมือนของซื้อของขาย “นมัสการเราสิ” มันบอกพระเยซู “แล้วเดี๋ยวเราจะให้อาณาจักรของโลกนี้แก่ท่าน” นี่ไม่ใช่วิธีการนมัสการนะครับ
การนมัสการพระเจ้าแต่เพียงผู้เดียวเป็นสิทธิพิเศษสูงสุดและเป็นหน้าที่สูงสุดของเรา22 เราควรนมัสการพระองค์เพราะสิ่งที่พระองค์ได้ทำเพื่อเรา อิสราเอลต้องนมัสการพระเจ้าเพราะพระองค์ทรงช่วยกู้พวกเขาออกจากการเป็นทาสในอียิปต์ (เฉลยธรรมบัญญัติ 5:6-7) เช่นกัน เราควรนมัสการพระเจ้าเพราะพระพรแห่งความรอดที่เรามีในองค์พระเยซูคริสต์ (เอเฟซัส 1:3-14)
A. ซาตานเข้าใจเรื่องกางเขนหรือไม่? ไม่น่าครับ เพราะมันกำลังจะถูกปลด (โคโลสี 2:15) ถ้าซาตานรู้ ทำไมมันถึงลวงให้ยูดาสทรยศพระเยซู? ซาตานจะเร่งเวลาพินาศของตนเองเชียวหรือ?
แต่พระเยซูทรงเข้าใจเรื่องกางเขน ที่พิธีบัพติศมา พระเจ้าทรงประกาศรับรองจากฟ้าสวรรค์ และพระวิญญาณลงมาประทับเหนือพระองค์ ไม่เพียงแต่เป็นกษัตริย์ แต่เป็นผู้รับใช้ที่จะมาทนทุกข์รับโทษบาปแทนประชากรของพระองค์23 ดังนั้นการทดลองที่สามที่ซาตานนำเสนอพระเยซูจึงแตกต่างไปเล็กน้อยจากที่มันคิดไว้ พระเยซูจะใช้วิธีเลี่ยงกางเขนเพื่อจัดตั้งอาณาจักรของพระเจ้าหรือ? นี่คือสิ่งยั่วยวนที่แฝงมาในการทดลองพระเยซูครั้งที่สาม อาร์ จี วี แทสเกอร์ เขียนว่า:
จะหลบเลี่ยงหนทางสู่กางเขน ไม่ทำตามภารกิจของผู้รับใช้ที่ทนทุกข์ที่มนุษย์ชิงชังและปฏิเสธ ทั้งๆที่จะมาแบกรับโทษความชั่วร้ายของมนุษย์นั้น การต้านการทดลองของมารได้คือความยิ่งใหญ่และกล้าหาญของพระเยซู ที่จริงพระเยซูถูกล่อให้ติดกับดักของปีศาจด้วยวิธีไม่ชอบธรรมแต่ทำให้จบลงอย่างชอบธรรม ยังไงตอนจบพระองค์ก็ยังได้ครอบครองจักรวาลนี้อยู่ดี ไม่ว่าจะไปถึงด้วยวิธีใด24
พระเยซูทรงอยู่บนเส้นทางสู่กางเขนตลอด (มัทธิว 20:20-28) ขณะอยู่ในถิ่นทุรกันดารก่อนเริ่มทำพระราชกิจสู่สาธารณะ โดยไม่ตั้งใจ ซาตานล่อลวงให้พระองค์หาทางหลีกเลี่ยง แต่พระองค์ยังทรงดำเนินต่อจนถึงจุดหมาย ดังนั้นพระองค์จึงทรงควรค่าแก่การนมัสการของเรา
24 ขณะนั้นพระเยซูจึงตรัสกับเหล่าสาวกของพระองค์ว่า "ถ้าผู้ใดใคร่ตามเรามาให้ผู้นั้นเอาชนะตัวเอง และรับกางเขนของตนแบกและตามเรามา 25 เพราะว่าผู้ใดใคร่จะเอาชีวิตรอด ผู้นั้นจะเสียชีวิต แต่ผู้ใดจะเสียชีวิตเพราะเห็นแก่เรา ผู้นั้นจะได้ชีวิตรอด (มัทธิว 16:24-25)
พระเยซูไม่ได้ปล่อยให้เรางงหรือสงสัยว่าการตามพระองค์ไปจะเป็นอย่างไร? แต่ได้ให้ตัวอย่างไว้ โดนัลด์ เอ แฮกเนอร์ อธิบายไว้ในหนังสือเรื่องพระเยซูเมื่อถูกมารทดลอง:
ในมุมต่างๆตามเหตุการณ์ที่บันทึกไว้ จำเป็นมากต่อหลักศาสนศาสตร์ของพระกิตติคุณ เป้าหมายของการเชื่อฟังพระบิดาสำเร็จลงโดยที่พระเยซูไม่ทำตามอำเภอใจ หรือใช้สิทธิและอำนาจที่มี แต่ตรงข้าม พระองค์มีความถ่อมใจ ยอมรับใช้และยอมทนทุกข์ นี่คือความยิ่งใหญ่แท้จริง (20:26-28) ทำตามพระมหาบัญชาโดยเชื่อฟังน้ำพระทัยพระบิดา พระเยซูทรงทำตามอย่างครบถ้วน ถูกต้อง (เฉลยธรรมบัญญัติ 6:5) และยอมจำนน เมื่อยึดตามคำสอนในบัญญัติของพระเจ้า ทรงเปิดเผยให้เห็นพื้นฐานที่มาในคำสั่งสอนของพระองค์และในพระราชกิจ ทรงเข้าใจกฎของพระเจ้าอย่างถูกต้อง (5:17) และเป็นต้นแบบสำหรับแนวทางของคริสตจักรในยุคแรก การเป็นบุตรของคริสเตียนต้องสำแดงออกโดยการเชื่อฟังน้ำพระทัยอย่างครบถ้วน รวมถึงความยากลำบาก และการถูกทดสอบ (10:22,24) การทดสอบนี้จะไม่เหมือนกับที่พระเยซูเผชิญ เพราะเป็นส่วนหนึ่งของพระลักษณะและภารกิจที่ถูกกำหนดไว้ แต่หลักการจะคล้ายกัน เรียกร้องให้คริสเตียนเป็นผู้ยอมเสียสละ การเชื่อฟังตามน้ำพระทัยของพระบิดาคือตัววัดความเป็นสาวกแท้ของพระองค์25
ไม้กางเขนเป็นสัญลักษณ์แห่งการทนทุกข์และความตาย ราคาการเป็นสาวกของพระเยซูคือต้องรับเอากางเขนและแบกตามพระองค์ไปบนเส้นทางเดียวกัน มารจะล่อลวงให้เราเหไปจากเส้นทางนั้น อย่าหลบเลี่ยงราคาที่ต้องจ่ายในการเป็นสาวก เราต้องตายต่อตนเอง และมีชีวิตเพื่อพระเยซู อย่างที่มารทำกับพระเยซู มันอาจเสนอความยิ่งใหญ่ของโลกนี้ให้เราใช้ตามใจชอบ แม้แต่ในงานรับใช้ เพียงแค่เรายอมรับ เมื่อเผชิญการทดลอง เช่นเดียวกับพระเยซูเราต้องจำไว้ “จงนมัสการพระเจ้าผู้เดียว และปรนนิบัติพระองค์ผู้เดียวเท่านั้น”
1 107. เป็นบทเรียนจากต้นฉบับบทเรียนที่ 8 ของบทเรียนต่อเนื่องพระกิตติคุณมัทธิว จัดทำโดย ฮิวจ์ เบรวินส์ 13 เมษายน 2003
2 108. นอกจากที่กล่าวไปแล้ว พระวจนะที่นำมาอ้างอิงทั้งหมดมาจาก NET Bible (The NEW ENGLISH TRANSLATION) เป็น ฉบับแปลใหม่ทั้งหมด ไม่ใช่นำฉบับเก่าในภาษาอังกฤษมาเรียบเรียงใหม่ ใช้ผู้เชี่ยวชาญและนักวิชาการพระคัมภีร์มากกว่า ยี่สิบคน รวบรวมข้อมูล ทั้งจากภาษาฮีบรูโดยตรง ภาษาอาราเมข และภาษากรีก โครงการแปลนี้เริ่มมาจากที่เราต้องการนำ พระคัมภีร์ เผยแพร่ผ่านสื่ออีเลคโทรนิค เพื่อรองรับการใช้งานทางอินเตอร์เน็ท และซีดี (compact disk) ที่ใดก็ตามในโลก ที่ต่อเข้าอินเตอร์เน็ทได้ ก็สามารถเรียกดู และพริ้นทข้อมูลไว้เพื่อใช้ศึกษาเป็นการส่วนตัวได้โดยไม่คิดมูลค่า นอกจากนี้ ผู้ใดก็ตาม ที่ต้องการนำข้อมูลเกี่ยวกับพระคัมภีร์ไปเผยแพร่ต่อโดยไม่คิดเงิน สามารถทำได้จากเว็บไซด์ : www.netbible.org.
3 109. จากการอภิปรายในประเด็นนี้ใน ซิดนี่ย์ เอช ที – อำนาจของซาตาน, บทเรียนพระคัมภีร์เรื่องปีศาจและซาตาน (Grand Rapids, Michigan: Baker Books, 1995), pp. 94-95.
4 110. อธิบายเพิ่มเติมในประเด็นนี้ ดูได้จาก บทเรียนต่อเนื่องของพระกิตติคุณมัทธิว บทเรียนที่ 5 & 6 “มารผจญพระเยซูครั้งแรก และบทเรียนที่ 7 “มารผจญพระเยซูครั้งที่สอง” ของ โรเบิร์ต แอล เดฟฟินบาว
5 111. ดักกลาส วัลลอพ “ปีที่แยงกี้เสียธง” (New York: W.W. Norton & Company, Inc., 1954)
6 112. เดี๋ยวนี้ไม่มีทีมเบสบอลวอชิงตันซีเนเตอร์แล้ว หลายคนอาจยังจำได้ ทีมนี้ย้ายไปเท็กซัส แล้วกลายไปเป็นทีมเท็กซัสเรนเจอร์ส แต่ก็ยังเอาชนะพวกแยงกี้ไม่ได้อยู่ดี
7 113. ดูบทวิเคราะห์การทดลองครั้งที่สามของพระเยซูโดยเอริค เกรแฮม “การทดลองในถิ่นทุรกันดาร” Church Quarterly Review, Vol. 162 (1961), pp. 25-27.
8 114. นำมาจากต้นฉบับเดิมจัดทำโดย เบิร์ต แอล เดฟฟินบาว “บทเรียนต่อเนื่องพระกิตติคุณมัทธิว” บทเรียนที่ 5 & 6”มารมาผจญพระเยซูครั้งแรก” pp. 4-5.
9 115. เมื่อพระเยซูไม่อยู่ในสภาพที่จะปีนภูเขาสูงได้ และในเหตุการณ์นี้คงไม่มีภูเขาลูกไหนสูงขนาดเห็นราชอาณาจักรทั้งโลกได้ บางคนบอกรายละเอียดไม่ควรตามตัวอักษร ตัวอย่างเช่น จาก โดนัลด์ เอ แฮกเนอร์ “มัทธิว” Word Biblical Commentary, Vol. 33A (Dallas, Texas: Word Books, 1993), p. 68. “มารเคยเป็นทูตสวรรค์ เราไม่แน่ใจว่ามันมีอำนาจแค่ไหนที่จะนำคนจากที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่งได้ และทำให้เห็นภาพที่กว้างไกล ดี เอ คาร์สัน อธิบายไว้ว่า “ยืนอยู่บนภูเขาสูง” (ข้อ 8) ไม่น่าจะเห็น “อาณาจักรของทั้งโลก” อาจมีบางอย่างเหนือธรรมชาติ นอกจากนั้น อดอาหารมาสี่สิบวัน คงไม่อาจปีนบนหนทางขรุชระขึ้นภูเขาสูงได้ จำได้ว่า อ.เปาโลบางครั้งก็ไม่แน่ใจในนิมิตที่ท่านเห็น ว่าอยู่ในกายนี้ หรือไม่ได้อยู่ (2โครินธ์ 12:2) เราต้องระวังในการตีความ แต่ไม่มีเหตุผลที่จะคิดว่าเรื่องนี้อยู่แค่ในกรอบของสัญลักษณ์... ดี เอ คาร์สัน “มัทธิว” The Expositor’s Bible Commentary, Vol. 8 (Grand Rapids, Michigan: Zondervan Publishing House, 1984), p. 111.
11 117. ในหนังสืออรรถาธิบาย ลูกา นอร์วัล เกลเดนฮุยส์ ตั้งข้อสังเกตุว่า “มารรู้ดีว่าพระเยซูเสด็จมาที่โลกนี้เพื่อเป็นผู้นำ และจัดตั้งราชอาณาจักรของพระเมสซิยาห์ มันจึงประกาศว่าถ้าเพียงแต่พระองค์นมัสการมัน มันจะมอบทั้งอาณาจักรและสง่าราศีของโลกนี้ให้ มันเสนอให้พระองค์ประนีประนอมกับมันเพื่อจะตั้งราชอาณาจักรของพระเมสซิยาห์ได้ มันก็จะทำได้สำเร็จตามเป้าหมายโดยไม่ต้องออกแรง และทนทุกข์มากมาย” จากนอร์วัล เกลเดนฮุยส์ The Gospel of Luke, The New International Commentary on the New Testament, (Grand Rapids, Michigan: Wm. B. Eerdmans Publishing Company, 1997), p. 160.
12 118. G. Campbell Morgan, The Crises of the Christ (Old Tappan, New Jersey: Fleming H. Revell Company, 1936), p. 191.
13 119. เอส เลวิส จอห์นสัน จูเนียร์ เขียนว่า “มีการตั้งคำถามต่อข้อเสนอของซาตาน หลายคนคิดว่ามันไม่สิทธิที่จะนำราชอาณาจักรต่างๆไปเสนอให้พระเยซู บิลลี่ เบรย์ กล่าวว่า น่าประหลาดที่มารพลาด: ‘การที่อันธพาลเจ้าเก่านำราชอาณาจักรของโลกนี้มาเสนอให้พระเยซู ทั้งๆที่มันแทบไม่ได้ครอบครองสิ่งใดจีรัง” อย่างที่เดนนี่ชี้ให้เห็น: ‘คำพูดของซาตานตามที่ลูกาบันทึกไม่ได้หมายความว่าไม่เป็นจริง ถ้าไม่เป็นจริงการทดลองก็ไม่น่าเกิด (James Denny, Jesus and the Gospel, p. 189) มารมีสิทธิเหนือสรรพสิ่งทรงสร้างเมื่อมนุษย์ล้มลงที่สวนเอเดน” จากหนังสือของ เอส เลวิส จอห์นสัน จูเนียร์ “การทดลองของพระเยซู” Bibliotheca Sacra, (Dallas, Texas: Dallas Theological Seminary, October 1966), p. 349.
14 120. การพูดพาดพิงเกินไปในเรื่องซาตานนั้นสุ่มเสี่ยงเพราะเป็นเหมือนให้ความสนใจ ให้ความสำคัญ เป็นสิ่งที่ผู้สอนเทียมเท็จที่เปโตรและยูดาเตือนไว้ (2เปโตร 2:1-11, ยูดา 8-10)
15 121. “พวกฟาริสีไม่เคยนึกฝันจะหันไปหาพระเจ้าของคนต่างชาติต่างศาสนา ที่จริงปรับพระเจ้าให้เข้ากับวัฒนธรรมของตัวเองก็คือปรับพระเจ้าองค์เที่ยงแท้ให้เป็นอย่างอื่น” ริชาร์ด คียส์ “โรงงานรูปเคารพ” “ไม่มีพระเจ้าเว้นแต่พระเจ้า” โอเอส กินเนส และจอห์น ซีล บรรณาธิการ (Chicago: Moody Press, 1992) หน้า 43.
16 122. ดี เอ คาร์สัน เขียนไว้ “คู่ขนานระหว่างอิสราเอลในประวัติศาสตร์ และการอดอาหาร 40 วันและคืนของพระเยซูที่สะท้อนให้เห็นการเร่ร่อนอยู่ในทะเลทรายสี่สิบปีของอิสราเอล” (ฉธบ. 8:3); ทั้งสองใช้เวลาในถิ่นทุรกันดารเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับภารกิจที่จะตามมา ... ประเด็นหลักคือ “บุตร” ทั้งสองถูกทดสอบโดยการออกแบบของพระเจ้า … ฝ่ายหนึ่งทันทีที่ออกจากอียิปต์ และอีกฝ่ายทันทีที่รับบัพติศมา เพื่อพิสูจน์ถึงการเชื่อฟังและซื่อสัตย์ต่อภารกิจที่กำหนดไว้ “บุตร” ฝ่ายหนึ่งล้มเหลว แต่ “บุตร” อีกท่านไม่มีวันล้มลง … ในแง่นี้เป็นการรับรองว่าพระเยซูคือพระบุตรเที่ยงแท้ของพระเจ้า … . . D.A. Carson, op. cit., p. 112.
17 123. S. Johnson, op. cit., pp. 351-352. ประเด็นต่างเกี่ยวกับพระเยซู หรือประเด็นในเรื่องใกล้เคียง เตรียมจาก “บทเรียนต่อเนื่องพระกิตติคุณมัทธิว” และจากต้นฉบับของการทดลองสองครั้งแรกของ โรเบิร์ต แอล เดฟฟินบาว บทเรียนที่ 5 & 6: “มารผจญพระเยซูครั้งแรก” หน้า 16-17 และบทเรียน 7: “มารผจญพระเยซูครั้งที่สอง” หน้า 1-2
18 124. เจไอ แพคเกอร์ “จะรับมือกับซาตานต้องรู้จักกับพระเจ้าก่อน” ข่าวเช้าดัลลัส 20 เมษายน 2002
19 125. E. Graham, op. cit., p. 27.
20 126. Mario Puzo, The Godfather (New York: G. Putnam’s Sons, 1969).
21 127. เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ทำให้เป็นรูปเคารพ เราควรยอมจำนนกับสิทธิอำนาจของพระเจ้าที่กำหนดไว้ให้เรารับใช้พระองค์ (เอเฟซัส 5:22-6:9)
22 128. ถอดความจากข้อเขียนของจอห์น ไพเพอร์ “จงนมัสการพระเจ้าผู้เดียวของเจ้า” (Desiring God Ministries, 1985), http://www.desiringgod.org/library/sermons/85/090885.html
23 129. R.อาร์ จี วี แทสเกอร์ “พระกิตติคุณฉบับของมัทธิว” (Grand Rapids, Michigan: Wm. B. Eerdmans Publishing Company, 1976), p. 50. ดี เอ คาร์สัน กล่าวว่า “พูดอีกแบบ พระเยซูทรงทราบดีตั้งแต่เริ่ม และตั้งแต่เริ่มพระราชกิจที่บนโลก ทรงเป็นทั้งกษัตริย์ และเป็นผู้รับใช้ที่ทนทุกข์ โดยการรับรองที่พิธีบัดติศมาซึ่งสำคัญต่อพระภารกิจของพระองค์” D.A. Carson, op. cit., p. 114.
ตอนที่ผมเทศนาเรื่องนี้ เป็นวันอาทิตย์อีสเตอร์ บางคนสงสัยว่าเนื้อหาตอนนี้เกี่ยวอะไรกับอีสเตอร์ ผมจะค่อยๆอธิบายให้ฟัง บางคนแสดงความเห็นว่าพระวจนะตอนนี้ถูกประกบอยู่ระหว่างมารผจญพระเยซู และคำเทศนาบนภูเขา น่าจะนำมาเทศนาได้ เชื่อเถอะ ผมก็คิดเรื่องนี้อยู่เหมือนกัน โดยเฉพาะเมื่อใกล้ถึงวันอาทิตย์ ความจริงคือพระวจนะตอนนี้สำคัญมาก เป็นเหมือนกุญแจไขสู่พระกิตติคุณมัทธิว และพระกิตติคุณทุกเล่ม
ถึงจุดนี้ในพระกิตติคุณมัทธิว พระเยซูยังไม่ได้สั่งสอนหรือทำการอัศจรรย์ใดๆ2 ขอกลับไปทบทวนเรื่องราวก่อนหน้าเล็กน้อยในบทที่ 1 ลำดับพงศ์พันธ์ของมัทธิวที่แสดงให้เห็นว่าพระเยซูทรงมีคุณสมบัติครบถ้วนที่ จะเป็นกษัตริย์อิสราเอล เพราะทรงเป็นทั้ง “บุตรของอับราฮัม” และเป็น “บุตรของดาวิด” (มัทธิว 1:1, 2-17) และยังแสดงให้เห็นว่า มีสตรีหลายท่านในพงศ์พันธ์พระเมสซิยาห์นี้เป็นคนต่างชาติ ตามที่มัทธิวบันทึกเรื่องกำเนิดของพระเยซู (1:18—2:12) ท่านได้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับทูตสวรรค์ลงมาเป็นพยาน ในการถือกำเนิดมาอย่างบริสุทธิ์ และบรรดาโหราจารย์ต่างชาติที่เป็นพยานว่าพระเยซูคือ “กษัตริย์ของชาวยิว” (2:2)
ผมเชื่อว่าที่เหลือของบทที่ 2 (2:13-23) เกี่ยวข้องใกล้ชิดกับเนื้อหาในตอนนี้ ในมัทธิว 2:13-18 ท่านบันทึกเรื่องโยเซฟพาครอบครัวหนีไปอียิปต์ และทารกผู้บริสุทธิ์ถูกสังหาร ผมถือว่าข้อเหล่านี้เป็นตัวบ่งเบื้องต้นว่าพระเยซูจะถูกปฏิเสธ ถูกต่อต้าน และที่สุดถูกฆ่าตาย ตอนท้ายของบทที่ 2 (2:19-23) เรื่องราวนั้นใกล้เคียงกัน เมื่อทูตสวรรค์สั่งให้โยเซฟพาครอบครัวกลับมาที่อิสราเอล และนำต่อไปที่นาซาเร็ธในแคว้นกาลิลี ไม่ใช่ยูเดีย มัทธิวบอกว่าคำพยากรณ์นี้สำเร็จลง คำพยากรณ์ที่บอกว่าพระเยซูจะถูกเรียกว่าเป็นชาวนาซาเร็ธ ไม่มีข้อพระคำอ้างอิงโดยตรงจากพระคัมภีร์เดิมตามมัทธิว 2:23 เราต้องนำเรื่องนี้มาคิดให้ดี เข้าใจว่านักศึกษาพระคัมภีร์เก่งๆจะตีความหมายต่างกันไป
ตัวผมเอง เอนเอียงไปตามมุมมองของเฟรเดอริค บรูเนอร์ และอีกหลายคน:
“ด้วยเหตุผลทางศาสนศาสตร์ ผมอยากพิจารณา … ถึงความเป็นไปได้ และไม่ได้นอกเหนือจากนั้น สำหรับมัทธิวคนที่มาจากนาซาเร็ธ – ชาวนาซาเร็ธ คือคนที่เหมือนไร้ตัวตน และนี่เองคือสิ่งที่พวกผู้เผยพระวจนะทำนายบ่อยครั้งว่าพระคริสต์จะถูกมองว่า มาเป็นหนึ่งในท่ามกลางเราแต่ต้น … บางคนคิดว่าชาวนาซาเร็ธได้รับพระสัญญาผ่านทางผู้เผยพระวจนะว่าจะเป็นพระเม สซิยาห์ผู้รับทุกข์ ผู้รับใช้ของพระเจ้าที่หยั่งรากลงครั้งแรกที่เบธเลเฮม ไปที่อียิปต์ และจากอียิปต์ไปสู่แผ่นดินแห้งแล้งของนาซาเร็ธ … . “เขาจะเรียกท่านว่าชาวนาซาเร็ธ” หรือแย่ที่สุดคือ “คนที่ไร้ตัวตน”3
ขอละเรื่องนี้ไว้ก่อน แล้วจะนำกลับมาใหม่เมื่อเข้าสู่เนื้อหาของบทเรียน
ในมัทธิว 3 ผู้เขียนแนะนำให้รู้จักยอห์นผู้ให้บัพติศมาและพันธกิจของท่าน และนำสู่พิธีบัพติศมาของพระเยซู ในพิธีบัพติศมานี้พระเจ้าประกาศรับรอง (ด้วยพระสุรเสียงของพระบิดา การเสด็จมาของพระวิญญาณ และคำพยานของยอห์นผู้ให้บัพติศมา) ว่าพระเยซูทรงเป็นพระเมสซิยาห์ กษัตริย์อิสราเอล และในพิธีบัพติศมาพระเยซูทรงยอมรับตามน้ำพระทัยในฐานะพระเมสซิยาห์ที่ได้รับ มอบหมาย ซึ่งจะนำพระองค์ไปจนถึงสละพระชนม์เพื่อคนบาปทั้งหลายบนกางเขน
พิธีบัพติศมาของพระเยซูและการประกาศรับรองว่าทรงเป็นพระเมสซิยาห์ ตามด้วยการนำเข้าสู่การทดลองในมัทธิว 4:1-11 ที่นั่นซาตานมาทดลองพระองค์หลัง 40 วันผ่านไป มันพยายามล่อลวงถึงสามครั้ง (ในตอนนั้น) ชัยชนะเหนือการทดลองทั้งสามครั้ง เป็นข้อพิสูจน์ว่าพระองค์ และพระองค์ผู้เดียวเท่านั้นมีคุณสมบัติในฐานะพระเมสซิยาห์ ที่จะมาทำพระราชกิจตามที่พระบิดามอบหมาย เตรียมความรอดให้แก่คนบาปผู้หลงหาย โดยพระคุณทางความเชื่อ
พระวจนะตอนนี้ประกอบด้วยสามตอน:
ข้อ 12-17 พระเยซูย้ายไปอยู่ที่กาลิลี
ข้อ 18-22 พระเยซูทรงเรียกสาวกสี่คน
ข้อ 23-25 พระเยซูทรงสั่งสอน เทศนา และรักษาโรค
จะค่อยๆอธิบายทีละตอน แต่ละตอนมีบางอย่างเหมือนกับอีกสองตอน และตัวเชื่อมนี้ทำให้เราเห็นกุญแจไขสู่พระวจนะทั้งหมดในบทเรียนนี้ และในพระกิตติคุณมัทธิวทั้งเล่ม
12 ครั้นพระเยซูทรงทราบข่าวว่ายอห์นถูกจำไว้แล้ว พระองค์ก็เสด็จไปยังแคว้นกาลิลี 13 แล้วย้ายที่ประทับจากเมืองนาซาเร็ธไปที่เมืองคาเปอรนาอุม ซึ่งอยู่ริมทะเลสาบที่เขตเผ่าเศบูลุนและนัฟทาลี 14 เพื่อจะสำเร็จตามพระวจนะ ซึ่งตรัสไว้โดยอิสยาห์ผู้เผยพระวจนะว่า 15 แคว้นเศบูลุนและ แคว้นนัฟทาลี ทางข้างทะเลฟากแม่น้ำจอร์แดนข้างโน้น คือกาลิลี แห่งบรรดาประชาชาติ 16 ประชาชนผู้นั่งอยู่ในความมืด ได้เห็นความสว่างยิ่งใหญ่ และผู้ที่นั่งอยู่ในแดนและเงาแห่งความตาย ก็มีความสว่างขึ้นส่องถึงเขาแล้ว” 17 ตั้งแต่นั้นมา พระเยซูได้ทรงตั้งต้นประกาศว่า “จงกลับใจเสียใหม่ เพราะว่าแผ่นดินสวรรค์มาใกล้แล้ว“4
ถ้าอ่านผ่านๆจะไม่ทันสังเกตุว่าหนึ่งปีผ่านไประหว่างมัทธิว 4:11 ถึง 4:12 :
มัทธิวข้ามหลายเหตุการณ์ที่น่าจะรวบรวมไว้ จากพระราชกิจเริ่มแรกของพระเยซูในยูเดียและกาลิลี เราพบเหตุการณ์ต่างๆนี้ในยอห์น ก่อนเสด็จกลับกาลิลี (ตามที่ยอห์นบันทึก 4:43) พระเยซูพบและเรียกสาวกคนแรก ทรงเปลี่ยนน้ำเป็นเหล้าองุ่นที่คานา อาศัยอยู่ช่วงสั้นๆที่คาเปอรนาอุม กลับไปเยรูซาเล็มก่อนเทศกาลปัสกา ขับไล่พวกตั้งโต๊ะแลกเงินในพระวิหาร สนทนากับนิโคเดมัส เริ่มต้นสั่งสอนตามชนบทรอบนอกยูเดีย และได้พบกับสตรีชาวสะมาเรียที่บ่อน้ำระหว่างเดินทางขึ้นเหนืออีกครั้ง (ดูยอห์น 1:19-4:42) จุดนี้เองที่มัทธิวเริ่มบันทึกของท่าน (มัทธิว 4:12-25)… ในข้อ 11 พระเยซูทรงอยู่ในทะเลทรายใกล้จอร์แดน มัทธิวบอกแค่ว่า “ครั้นพระเยซูทรงทราบข่าวว่ายอห์นถูกจำไว้แล้ว พระองค์ก็เสด็จไปยังแคว้นกาลิลี” (ข้อ 12) น่าจะเกิดขึ้นหนึ่งปีหลังจากนั้น5
ขณะที่พระกิตติคุณยอห์นมีเรื่องตอนต้นของพระเยซูในเยรูซาเล็ม (ยอห์น 2:13-3:36) พระกิตติคุณคล้าย (มัทธิว มาระโก และลูกา) ข้ามพระราชกิจแรกในเยรูซาเล็มไป แต่บันทึกว่าทรงเริ่มพระราชกิจที่กาลิลี มัทธิวและมาระโกเจาะจงว่าพระเยซูเสด็จออกจากยูเดียไปกาลิลีหลังจากยอห์นผู้ ให้บัพติศมาถูกจับ การจับกุมของยอห์นจึงเป็นจุดหักเหในพระราชกิจของพระองค์
ผมค่อนข้างเห็นด้วยกับหลายคนที่แปลไปในทางว่าพระเยซูทรง “ถอนตัวกลับ” เข้าไปในกาลิลี อาจจะผิดที่ไปสรุปว่าพระเยซูเหมือนไปหลบซ่อนเพราะกลัว แต่อีกเหตุผล เฮโรดปกครองอยู่เหนือกาลิลีและยูเดีย ดังนั้นพระองค์ก็ไม่ได้กำลังหนีจากเฮโรด และมีข้อพิสูจน์ชัดเจนว่าพระองค์ไม่ได้คิดจะปิดบังพระองค์ในกาลิลี เสด็จไปทั่ว ทำพระราชกิจท่ามกลางผู้คน และดึงดูดฝูงชนจำนวนมากให้ติดตามพระองค์ไป6
ข้อสงสัยแรกที่ว่าทำไมพระเยซูเสด็จไปที่กาลิลี ผมชอบวิธีที่บรูเนอร์อธิบายไว้:
“ดังนั้นเมื่อพระเยซู-ถอนตัวกลับไปกาลิลี- พระองค์ทำมากกว่าเดินทางขึ้นเหนือ แต่เหมือนไปผิดทาง”7
อย่างที่เพื่อนผมคนหนึ่งพูด “เมื่อพระเยซูเสด็จขึ้นเหนือ ในมุมมองอื่นๆเหมือนพระองค์เสด็จลงใต้” (หลงทิศ)
เราต้องเตือนตัวเองเกี่ยวกับกาลิลี เพื่อจะเข้าใจว่าทำไมการเสด็จไปกาลิลีของพระเยซูถึงเป็นเรื่องแปลก กาลิลีอยู่ทางเหนือของยูเดีย เป็นส่วนหนึ่งของดินแดนที่ถูกจ่ายชดเชยให้กษัตริย์ฮีรามแห่งไทเรที่ช่วยซา โลมอนสร้างพระวิหาร ซาโลมอนมอบ 20 เมืองในกาลิลีให้กษัตริย์ฮีราม ที่น่าสนใจคือคำตอบของฮีราม:
11 และเมื่อฮีรามกษัตริย์เมืองไทระได้ส่งไม้สนสีดาร์ และไม้สนสามใบและทองคำให้แก่ซาโลมอนตาม ที่พระองค์มีพระประสงค์ แล้วพระราชาซาโลมอนก็ทรงประทานหัวเมือง ในแผ่นดินกาลิลีให้แก่ฮีรามยี่สิบหัวเมือง 12 แต่เมื่อฮีรามเสด็จจากเมืองไทระเพื่อชม หัวเมืองซึ่งซาโลมอนประทานแก่ท่าน หัวเมืองเหล่านั้นไม่เป็นที่พอพระทัยท่าน (1พงศ์กษัตริย์ 9:11-12)
เมื่ออาณาจักรถูกแบ่งออกเป็นสองในช่วงการปกครองของเรโหโบอัม กาลิลีกลายเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรตอนเหนือของอิสราเอล อาณาจักรใต้คือยูดาห์ ปกครองสืบต่อกันโดยราชวงศ์ดาวิด อาณาจักรเหนือ ภายใต้การปกครองของเยโรโบอัมและกษัตริย์องค์ต่อๆมามีแต่ความชั่วร้าย หันไปนมัสการพระเทียมเท็จ ยูดาห์เองก็ไม่ได้ดีไปกว่า แม้มีกษัตริย์บางองค์ที่ยังนับถือพระเจ้า เมื่ออาณาจักรทั้งสองเสื่อมทรามลง พระเจ้าทรงเตือนถึงวันพิพากษาที่กำลังจะมา วันที่พระองค์จะใช้อัสซีเรียเป็นเครื่องมือในการพิพากษา และคนในอาณาจักรเหนือจะถูกจับไปเป็นเชลย อัสซีเรียจะมาข่มขู่ยูดาห์และเยรูซาเล็ม แต่ไม่อาจจัดการกับเมืองนี้ได้:
1 แล้วพระเจ้าตรัสกับข้าพเจ้าว่า “จงเอาแผ่นใหญ่สำหรับเขียนมาแผ่นหนึ่ง และจงเขียนอักษรง่ายๆลงว่า ‘มาเฮอร์ชาลาลหัชบัส'” 2 และข้าพเจ้าได้พยานที่เชื่อถือได้ คือ อุรีอาห์ปุโรหิตและเศคาริยาห์บุตรของเยเบเรคียาห์ ให้เป็นพยานเพื่อข้าพเจ้า 3 และข้าพเจ้าได้เข้าไปหาหญิงผู้เผยพระวจนะ และเธอก็ตั้งครรภ์และ คลอดบุตรชายคนหนึ่ง และพระเจ้าตรัสกับข้าพเจ้าว่า “จงเรียกชื่อบุตรนั้นว่า มาเฮอร์ชาลาลหัชบัส 4 เพราะก่อนที่เด็กจะร้องเรียก “พ่อ แม่” ได้ทรัพย์สมบัติของดามัสกัสและของที่ริบได้จาก สะมาเรียจะถูกขนเอาไปต่อพระพักตร์พระราชาอัสซีเรีย” 5 แล้วพระเจ้าตรัสกับข้าพเจ้าอีกว่า 6 “เพราะว่าชนชาตินี้ได้ปฏิเสธน้ำแห่งชิโลอาห์ซึ่งไหลเอื่อยๆ และปีติยินดีต่อเรซีนและโอรสของเรมาลิยาห์ 7 เพราะฉะนั้น ดูเถิด องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงนำน้ำแห่งแม่น้ำ ยูเฟรติสมาสู้เขาทั้งหลาย ที่มีกำลังและมากหลายคือพระราชา แห่งอัสซีเรียและพระสิริของพระองค์ และน้ำนั้นจะไหลล้นห้วยทั้งสิ้นของมัน และท่วมฝั่งทั้งสิ้นของมัน 8 และจะกวาดต่อไปเข้าในยูดาห์ และจะไหลท่วมและผ่านไปแม้จนถึงคอ และปีกอันแผ่กว้างของมันจะเต็มแผ่นดินของท่านนะ ท่านอิมมานูเอล” (อิสยาห์ 8:1-8)
ทิกลัทปิเลเสอร์ กษัตริย์แห่งอัสซีเรียทำในสิ่งที่พระเจ้าได้เตือนไว้ (ดู 2พงศ์กษัตริย์ 15:29) เมื่ออัสซีเรียเข้าไปรุกรานอาณาจักรเหนือ พวกเขาจับเอาผู้คนที่นั่นไปอัสซีเรีย ต่อมา แชลมาเนเสอร์ กษัตริย์แห่งอัสซีเรีย ยกทัพมารบกับอิสราเอลอีก และจับชาวอิสราเอลไปเป็นเชลยในอัสซีเรีย (2พงศ์กษัตริย์ 17:1-6) อัสซีเรียนำคนจากดินแดนอื่นๆเข้ามาอยู่ในอาณาจักรเหนือแทน (2พงศ์กษัตริย์ 17:24) ดังนั้นอาณาจักรเหนือ (รวมกาลิลีด้วย) ก็ถูกปะปนจนสายเลือดยิวจางลง (คนยูดาห์คงอยากเรียกว่าแผ่นดินที่ปนเปื้อน) ทั้งศีลธรรมและจิตวิญญาณ เมื่อเวลาผ่านไปจำนวนพลเมืองในอาณาจักรเหนือเพิ่มมากขึ้น ถึงอย่างไร สำหรับชาวยิวในยูดาห์และในเยรูซาเล็ม มองกาลิลีว่าเป็นเมืองที่ไม่มีสถานภาพ อย่างที่บรูเนอร์ให้ความเห็นไว้
“กาลิลีเป็นสถานที่แปลกสำหรับทำพระราชกิจของพระเมสซิยาห์ ไม่มีบทบัญญัติยิวใดอ้างถึงการเสด็จไป หรือทำพระราชกิจที่กาลิลี ทำเลของกาลิลีไม่เพียงแต่ห่างไกลจากเยรูซาเล็ม ยังถูกมองว่าจิตวิญญาณและการปกครองก็ห่างไกลด้วย กาลิลีจึงเป็นเหมือนเมืองต่างชาติของชาวยิว ตั้งอยู่ทางเหนือสุดของเขตปาเลสไตน์ ห่างจากซิโยนไม่ใช่แค่ทางภูมิประเทศเท่านั้น ชาวกาลิลียังถูกคนยูดาห์มองว่าการทำตามบทบัญญัติก็หลวมๆ และไม่ได้บริสุทธิ์ตามพระคัมภีร์เหมือนพวกเขาที่อยู่ใกล้เยรูซาเล็ม ในที่สุดกาลิลีก็ฉาวโฉ่จากการเป็นรังของพวกก่อกบฎ และเป็นที่ซ่องสุมพวกคลั่งลัทธิรุนแรง ไม่กี่ปีก่อนกำเนิดของพระเยซู เสโฟริส เมืองหลวงของกาลิลี เกิดจลาจลโดยการนำของยูดาสแห่งกาลิลี ต่อต้านการปกครองของโรมและนำกาลิลีเข้าสู่ความพ่ายแพ้ ทำให้คนของพระเจ้าหลายคนต้องอับอาย8
มัทธิวค่อยๆเผยให้ผู้อ่านรู้ว่าพระเยซูเสด็จออกจากนาซาเร็ธและไปอยู่ที่คาเปอรนาอุม “แคว้นเศบูลุนและแคว้นนัฟทาลี” (มัท ธิว 4:12) และเพราะเป็นฐานที่ตั้งของพระองค์ จึงมีการอัศจรรย์หลายอย่างเกิดขึ้นที่นั่น รวมถึงการรักษาบ่าวของนายร้อยที่เจ็บป่วย (มัทธิว 8:5-13) และแม่ยายของซีโมน (มัทธิว 8:14-17) ทรงขับผีโสโครกจากชายคนหนึ่ง (มาระโก 1:23-28) และทรงรักษาคนง่อยที่ถูกหย่อนมาทางหลังคา (มาระโก 2:1-12) ไม่น่าประหลาดใจถ้าพระเยซูจะพูดว่าคาเปอรนาอุมน่าจะถูกสาปแช่งมากกว่านี้:
23 และฝ่ายเจ้าเมืองคาเปอรนาอุม เจ้าจะถูกยกขึ้นเทียมฟ้าหรือ มิได้ เจ้าจะต้องลงไปถึงแดนคนตายต่างหาก ด้วยว่าการมหัศจรรย์ซึ่งได้กระทำในท่ามกลางเจ้านั้น ถ้าได้กระทำในเมืองโสโดม เมืองนั้นคงได้ตั้งอยู่จนทุกวันนี้ 24 แต่เราบอกเจ้าว่าในวันพิพากษา โทษเมืองโสโดมจะเบากว่าโทษของเจ้า” (มัทธิว 11:23-24)
คาเปอรนาอุมอาจมีกองกำลังทหารรักษาการของตนเอง มีสำนักงานเก็บภาษี ตรงที่มัทธิวนั่งทำงาน (มัทธิว 9:1, 9) แต่ยากที่จะคิดได้ว่าเมืองแบบนี้จะเป็นฐานทำการของพระเมสซิยาห์:
เรารู้เรื่องคาเปอรนาอุมน้อยมาก แต่มัทธิวบอกเราว่าพื้นที่อยู่ติดชายทะเลในแคว้นเศบูลุนและนัฟทาลี (สองเผ่านี้ถูกเอ่ยถึงอีกในพระคัมภีร์ใหม่ในข้อ 15 และในวิวรณ์ 7:6-8) ชื่อคาเปอรนาอุมแปลว่า “หมู่บ้านของนาฮูม” แต่ก็ไม่ได้ช่วยมากนัก เพราะเราไม่รู้ว่านาฮูมคนนี้คือใคร เป็นที่ยอมรับกันว่าที่ตั้งของเมืองที่รู้จักกันในชื่อ “เทลฮูม” นี้อยู่ทางมุมตะวันตกเฉียงเหนือของทะเลกาลิลี ขนาดกำลังพอดี (เจ พี เคนบอกว่าพื้นที่ตรงนั้นน่าจะประมาน 800 X 250 ไมล์) แต่ไม่ใช่เป็นเมืองที่ใหญ่นัก และข้อมูลนอกเหนือจากพระคัมภีร์มีน้อยมาก ไม่ว่าด้วยเหตุผลใด พระเยซูทรงตั้งคาเปอรนาอุมเป็นศูนย์กลางการทำพระราชกิจของพระองค์ แทนที่จะเป็นในพื้นบ้านของพระองค์เอง เจ บี สรุปว่า ทรง “อาศัยในคาเปอรนาอุม”(9:1)9
มีอะไรสำคัญเกี่ยวกับคาเปอรนาอุมและกาลิลีที่ทำให้มัทธิวบันทึกเรื่อง สถานที่นี้ไว้ให้เรา? มัทธิวต้องการให้ผู้อ่านรู้ว่าที่พระเยซูเสด็จกลับไปกาลิลีไม่ใช่เรื่องผิด ที่จริง เป็นการทำให้คำพยากรณ์สำเร็จลง เป็นอีกข้อที่พิสูจน์ว่าพระเยซูเป็นพระเมสซิยาห์ตามพระสัญญา
1 เมืองนั้นซึ่งอยู่ในความแสนระทมจะไม่กลัดกลุ้ม ในกาลก่อนพระองค์ทรงนำแคว้นเศบูลุนและแคว้น นัฟทาลีมาสู่ความดูหมิ่น แต่ในกาลภายหลังพระองค์จะทรงกระทำให้หนทางข้างทะเล แคว้นฟากตะวันตกของแม่น้ำจอร์แดน คือ กาลิลี แห่งบรรดาประชาชาติ ให้รุ่งโรจน์ 2 ชนชาติที่ดำเนินในความมืด จะได้เห็นความสว่างยิ่งใหญ่ บรรดาผู้ที่อาศัยอยู่ในแผ่นดิน แห่งเงามัจจุราช สว่างจะได้ส่องมาบนเขา (อิสยาห์ 9:1-2)
จากต้นฉบับที่ถ่ายทอดจากภาษากรีกและฮีบรู มัทธิวอ้างสองข้อแรกของอิสยาห์ 9 ในบทที่ 8 อิสยาห์เตือนถึงการบุกรุกจากอัสซีเรียที่กำลังจะเกิดขึ้น จะเข้ามาทำลายอาณาจักรเหนือและคุกคามยูดาห์ และในบทที่ 9 อิสยาห์พูดถึงวันแห่งความรอดและการช่วยกู้ที่กำลังจะมาถึง ขณะการช่วยกู้ที่จะเกิดขึ้นในทันทีคือการกลับคืนสู่แผ่นดินอิสราเอล มัทธิวมองเห็นการช่วยกู้สูงสุดคือการเสด็จมาของพระเมสซิยาห์ มัทธิวผู้เดียวเท่านั้นที่ชี้ให้เห็นว่าการเสด็จไปกาลิลีทำให้คำพยากรณ์ สำเร็จเป็นจริง และน่าสนใจที อาร์ จี วี แทสเกอร์ชี้ให้เห็นว่า
“คำว่า – หนทางข้างทะเล (มุ่งไปเมดิเตอเรเนียน) และข้ามไปที่จอร์แดน – (ฝั่งตะวันตกของจอร์แดน) อธิบายถึงพื้นที่จากมุมมองของอัสซีเรียผู้รุกราน10
ขณะที่อัสซีเรีย (ตามด้วยบาบิโลน) เข้ามารุกรานและทำลายอาณาจักรเหนือ เพื่อจะมุ่งไปที่ยูดาห์ พระเยซูจึงเริ่มพระราชกิจในการกอบกู้กาลิลีเป็นที่แรก และต่อมาที่ยูดาห์ ตามที่มัทธิวอ้างจากอิสยาห์ 9 ชี้ให้เห็นว่าท่านเชื่อว่าผู้เผยพระวจนะอิสยาห์ (อาจทำนายอย่างไม่รู้ตัว) ว่าเป็นแผนทางภูมิศาสตร์ที่พระเยซูเสด็จมาเพื่อช่วยประชากรของพระองค์11
18 ขณะที่พระองค์ทรงดำเนินอยู่ตามชายทะเลกาลิลี ก็ทอดพระเนตรเห็นพี่น้องชาวประมงสองคน คือซีโมนที่เรียกว่าเปโตร กับอันดรูว์น้องชาย กำลังทอดแหอยู่ที่ทะเลสาบ 19 พระองค์ตรัสกับเขาว่า “จงตามเรามาเถิด และเราจะตั้งท่านให้เป็นผู้หาคนดั่งหาปลา” 20 เขาทั้งสองได้ละแห12ตามพระองค์ไปทันที 21 ครั้นพระองค์เสด็จต่อไป ก็ทอดพระเนตรเห็นพี่น้องอีกสองคน ชื่อยากอบ บุตรเศเบดี กับยอห์นน้องชายของเขากำลังชุนอวนอยู่ในเรือกับเศเบดีบิดาของเขา พระองค์ได้ทรงเรียกเขา 22 ในทันใดนั้น เขาทั้งสองก็ละเรือและลาบิดาของเขาตามพระองค์ไป
นักศึกษาพระคัมภีร์ใหม่จะรู้ได้ทันทีว่ามีการ “ทรงเรียก” สาวกหลายครั้ง และใช้เวลาอยู่ช่วงหนึ่ง การทรงเรียกครั้งแรกอยู่ในยอห์น 1:
35 รุ่งขึ้นอีกวันหนึ่งยอห์นกำลังยืนอยู่กับสาวกของท่านสองคน 36 และท่านมองดูพระเยซูขณะที่พระองค์ทรงดำเนินและกล่าวว่า “จงดูพระเมษโปดกของพระเจ้า” 37 สาวกสองคนนั้นได้ยินท่านพูดเช่นนี้ เขาจึงติดตามพระเยซูไป 38 พระเยซูทรงเหลียวกลับมาและเห็นเขาตามพระองค์ไป จึงตรัสถามเขาว่า “ท่านหาอะไร” และเขาทั้งสองทูลพระองค์ว่า “รับบี (ซึ่งแปลว่าอาจารย์) ท่านอยู่ที่ไหน” 39 พระองค์ตรัสตอบเขาว่า “มาดูเถิด” เขาก็ไปและเห็นที่ซึ่งพระองค์ทรงพำนัก และวันนั้นเขาก็ได้พักอยู่กับพระองค์ เพราะขณะนั้นประมาณสี่โมงเย็นแล้ว 40 คนหนึ่งในสองคนที่ได้ยินยอห์นพูดและได้ติดตามพระองค์ไปนั้น คืออันดรูว์น้องชายของซีโมนเปโตร 41 แล้วอันดรูว์ก็ไปหาซีโมนพี่ชายของตนก่อน และบอกเขาว่า “เราได้พบ พระเมสสิยาห์แล้ว” (ซึ่งแปลว่าพระคริสต์) 42 อันดรูว์จึงพาซีโมนไปเฝ้าพระเยซู พระเยซูทรงทอดพระเนตรเขาแล้วจึงตรัสว่า “ท่านคือซีโมนบุตรยอห์นซีนะ เขาจะเรียกท่านว่าเคฟาส” (ซึ่งแปลว่าศิลา) 43 รุ่งขึ้นพระเยซูตั้งพระทัยจะเสด็จไปยังแคว้นกาลิลี พระองค์ทรงพบฟีลิปจึงตรัสกับเขาว่า “จงตามเรามา” 44 ฟีลิปมาจากเบธไซดาเมืองของอันดรูว์และเปโตร 45 ฟีลิปไปหานาธานาเอลบอกเขาว่า “เราได้พบพระองค์ผู้ที่โมเสสได้กล่าวถึงในหนังสือธรรมบัญญัติ และที่พวกผู้เผยพระวจนะได้กล่าวถึง คือ พระเยซู ชาวนาซาเร็ธบุตรโยเซฟ” 46 นาธานาเอลถามเขาว่า “สิ่งดีอันใดจะมาจากนาซาเร็ธได้หรือ” ฟีลิปตอบว่า “มาดูเถิด” 47 พระเยซูทรงเห็นนาธานาเอลมาหา พระองค์จึงตรัสถึงเรื่องของตัวเขาว่า “ดูเถิด ชนอิสราเอลแท้ ในตัวเขาไม่มีอุบาย” 48 นาธานาเอลทูลถามพระองค์ว่า “พระองค์ทรงรู้จักข้าพระองค์ได้อย่างไร” พระเยซูตรัสตอบเขาว่า “ก่อนที่ฟีลิปจะเรียกท่าน เมื่อท่านอยู่ที่ใต้ต้นมะเดื่อนั้น เราเห็นท่าน” 49 นาธานาเอลทูลตอบพระองค์ว่า “รับบี พระองค์ทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้า พระองค์ทรงเป็นกษัตริย์ของชนชาติอิสราเอล” 50 พระเยซูตรัสตอบเขาว่า “เพราะเราบอกท่านว่า เราเห็นท่านอยู่ใต้ต้นมะเดื่อนั้นท่านจึงเชื่อหรือ ท่านจะได้เห็นเหตุการณ์ใหญ่กว่านั้นอีก” 51 และพระองค์ตรัสกับเขาว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ท่านจะได้เห็นท้องฟ้าเบิกออก และบรรดาทูตสวรรค์ของพระเจ้าขึ้นและลงอยู่เหนือบุตรมนุษย์”
ดูเหมือนหลังจากพระเยซูรับบัพติศมาได้ไม่นาน สาวกสองคนของพระองค์ (หนึ่งในนั้นที่เรารู้คืออันดรูว์13 – ดูข้อ 40) ละจากยอห์นมาตามพระเยซู ทั้งสองติดตามพระเยซูไปในวันนั้น (ข้อ 39) อันดรูว์ไปตามพี่ชายคือเปโตรมา ฟีลิปก็มาด้วย และไปตามนาธานาเอลมา การทรงเรียกที่มัทธิวอธิบายใน 4:18-22 เกิดขึ้นหลังจากนี้ บางทีอาจเกี่ยวข้องกับการทรงเรียกในลูกา 5:1-11 การทรงเรียกของมัทธิวเกี่ยวข้องกับสาวกสี่คน เป็นคู่สองพี่น้อง – ซีโมนและอันดรูว์ (มัทธิว 4:18-20) และยากอบกับยอห์น (4:21-22) ส่วนของมัทธิวไม่มีการบันทึกไว้จนกระทั่งเข้ามัทธิว 9:9
ดูเหมือนการทรงเรียกนี้เป็นการทรงเรียกที่ถาวร ครั้งนี้พวกสาวกละจากอาชีพประมงไปติดตามพระเยซูเต็มเวลา ข้อเท็จจริงหลายประการชี้ไปในทิศทางนี้ ประการแรก ตามมุมมองของมัทธิว นี่เป็นหนึ่งในการเริ่มต้นพระราชกิจของพระเยซูสู่สาธารณะ จะมีเวลาใดดีไปกว่านี้ที่จะติดตามพระเยซูเต็มเวลา? ประการที่สอง ทั้งสองคู่พี่น้องถูกกล่าวถึงว่า “ละจากแห” มัทธิวบอกเราว่ายากอบและยอห์น “ละจากเรือ” และบิดาไป (4:22) ประการที่สาม คำตรัสของพระเยซู “จงตามเรามาเถิด และเราจะตั้งท่านให้เป็นผู้หาคนดั่งหาปลา“(มัทธิว 4:19) ชี้ให้เห็นว่ามีการเปลี่ยนอาชีพ ขณะที่สาวกเหล่านี้ทิ้งอาชีพประมงไป ทิ้งไปถาวร เป็นจุดหักเหยิ่งใหญ่ในชีวิตของพวกเขา
คำว่า “ในทันที” ที่มัทธิวใช้เราไม่ควรมองข้าม14 ท่านบอกว่าในทันทีที่ชายสี่คนนี้ถูกเรียกให้ตามพระเยซูไป พวกเขาละแหและไปกับพระองค์ ผมรู้ว่านี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่คนกลุ่มนี้ถูกเรียก แต่เป็นครั้งแรกที่ถูกเรียกให้ติดตามพระเยซูตลอดไป เมื่อพระเยซูเรียก พวกเขาก็ตอบสนองในทันที ผมเชื่อว่าสิ่งนี้ถูกบันทึกไว้เพื่อให้ผู้อ่านรู้ว่าพระเยซูทรงเป็นผู้มี สิทธิอำนาจ พระองค์ไม่เพียงสั่งสอนด้วยสิทธิอำนาจ (มัทธิว 7:28-29) ทรงเรียกด้วยสิทธิอำนาจ เมื่อพระเยซูตรัส แกะของพระองค์จะตอบสนอง (ดูยอห์น 10:27-29)
โดยทั่วไป สาวกจะเป็นฝ่ายเลือกผู้นำ แต่พระเยซูเป็นฝ่ายเลือกสาวก พระองค์ไม่ได้เลือกพวกหมัดหนัก (แม้เปโตรอยากจะลองสักตั้งก็ตาม) พระองค์เรียกคนที่ยอมรับการสอนเกี่ยวกับแผ่นดินสวรรค์ เป็นตัวบ่งว่าพันธกิจแบบไหนที่พระองค์รับมอบหมายมา ทรงเลือกคนที่พระองค์จะมอบอำนาจให้ และให้พวกเขาอยู่ต่อเพื่อประกาศข่าวประเสริฐแห่งพระกิตติคุณ และในตอนท้าย พระองค์สั่งสาวกเหล่านี้ให้ออกไปสร้างผู้อื่นให้เป็นสาวก (มัทธิว 28:18-20) แผ่นดินของพระองค์ไม่ได้มาในทันที แต่จะมาเมื่อถึงเวลาที่กำหนดไว้
23 พระเยซูได้เสด็จไปทั่วแคว้นกาลิลี ทรงสั่งสอนในธรรมศาลาของเขา ทรงประกาศข่าวประเสริฐเรื่องแผ่นดินของพระเจ้า และทรงรักษาโรคภัยไข้เจ็บของชาวเมืองให้หาย 24 กิตติศัพท์ของพระองค์ก็เลื่องลือไปทั่วประเทศซีเรีย เขาจึงพาคนป่วยเป็นโรคต่างๆ คนที่ทนทุกข์เวทนา คนผีเข้า คนเป็นลมบ้าหมูและคนเป็นอัมพาตมาหาพระองค์ พระองค์ก็ทรงรักษาเขาให้หาย 25 และมีคนหมู่ใหญ่มาจากแคว้นกาลิลี และแคว้นทศบุรีและกรุงเยรูซาเล็ม และแคว้นยูเดีย และแม่น้ำจอร์แดนฟากตะวันออกติดตามพระองค์ไป
เราต้องจำว่าพระราชกิจของพระเยซูบนโลกส่วนใหญ่เกิดขึ้นในกาลิลี มัทธิวจึงพูดถึงการเริ่มพระราชกิจของพระองค์ที่กาลิลีเหมือนเป็นการเปิดตัว และประสบความสำเร็จในทันที เพราะพระองค์เสด็จไปทั่วกาลิลี สั่งสอน เทศนา และรักษาโรค (ข้อ 23) เราคงนึกภาพข่าวที่แพร่กระจายไป มัทธิวให้เราเห็นภาพรวมความสำเร็จของพระองค์ที่กาลิลี ลองมาดูความสำเร็จบางอย่างที่พระองค์ทำ:
14 ครั้นพระเยซูเสด็จเข้าไปในเรือนของเปโตร ก็ทรงเห็นแม่ยายของเปโตรนอนป่วยจับไข้อยู่ 15 พอพระองค์ทรงจับมือนาง ความไข้ก็หาย นางจึงลุกขึ้นปรนนิบัติพระองค์ 16 พอค่ำลง เขาพาคนผีเข้าสิงเป็นอันมากมาหาพระองค์ พระองค์ก็ทรงขับผีออกด้วยพระดำรัส และบรรดาคนเจ็บป่วยทั้งหลายนั้น พระองค์ก็ได้ทรงรักษาให้หาย 17 ทั้งนี้เพื่อจะให้สำเร็จตามพระวจนะโดยอิสยาห์ผู้เผยพระวจนะที่ว่า ท่านได้แบกความเจ็บไข้ของเราทั้งหลาย และหอบโรคของเราไป (มัทธิว 8:14-17)
นึกภาพตามว่าจะเป็นอย่างไรถ้าได้เห็นพระเยซูกำลังทำพระราชกิจ มีข่าวลือแพร่ออกไปว่าแม่ยายของเปโตรได้รับการรักษา คุณรีบวิ่งไปที่บ้านของเธอเพื่อให้เห็นกะตา มีคนจำนวนมากกำลังมุงอยู่ และมีคนเป็นโรคต่างๆถูกนำมาหาพระเยซู พระองค์ทรงรักษาทุกคนให้หาย ไม่มีใครถูกทิ้งให้ป่วยอยู่เลย รวมถึงคนถูกผีสิง คนป่วยที่ไม่มีทางรักษา ถ้าเป็นทุกวันนี้ โรคร้ายแรง คนเป็นมะเร็ง คงยืนต่อแถวรับการรักษา
พระราชกิจของพระเยซูไม่เพียงแต่กว้างขวาง แต่ยังเหน็ดเหนื่อยและใช้เวลามากมาย อย่างที่ ดี เอ คาร์สันกล่าว:
พระราชกิจของพระเยซูรวมถึงการสั่งสอน เทศนา และรักษาโรค กาลิลีมีอาณาบริเวณไม่ใหญ่นัก (น่าจะ 70×40 ไมลส์) แต่ที่โจเซฟัสบันทึกหลังจากนั้นหนึ่งช่วงอายุคน กาลิลีมี 204 เมืองและหมู่บ้าน แต่ละแห่งมีคนไม่น้อยกว่าหมื่นห้าพัน ตัวเลขนี้หมายถึงคนที่อาศัยอยู่ในกำแพงเมือง ไม่ใช่ชนบทด้านนอก (ซึ่งโจเซฟัสไม่ได้พูดถึง) ตัวเลขเชิงอนุรักษ์นี้ชี้ว่ามีประชากรจำนวนมาก แม้จะน้อยกว่าสามล้านของโจเซฟัส ในอัตราสองหมู่บ้านหรือสองเมืองต่อวัน ยังต้องใช้เวลาสามเดือนถึงจะไปได้ทั่ว รวมถึงไม่มีวันพักในวันสะบาโตด้วย15
โรคต่างๆที่ได้รับการรักษา และความจริงที่ว่าไม่มีโรคใดยากเกินกว่าที่พระเยซูจะรักษา ยิ่งเน้นให้เห็นถึงสิทธิอำนาจ พระเยซูทรงทำพระราชกิจในทำเลที่กินวงกว้าง รวมถึงซีเรีย16 เดคาโพลิส เยรูซาเล็ม และยูเดีย และเลยไปถึงจอร์แดน17 การที่พระเยซูกลับที่กาลิลีไม่ใช่ทำให้พระองค์ไม่เป็นที่รู้จัก แต่กลับกลายเป็นส่งให้พระองค์โดดเด่นขึ้นมา
ก็มาถึงจุดที่เราต้องกลับมาถามตัวเอง “อะไรคือประเด็นของพระวจนะตอนนี้?” ทำไมมัทธิวถึงใส่ตอนนี้คั่นไว้ระหว่างการทดลองของพระเยซู และคำเทศนาบนภูเขา? เราควรเรียนรู้สิ่งใดจากเรื่องนี้?
สิ่งแรกที่เราต้องสังเกตุคือสิ่งที่ผมเรียกว่า “ความสัมพันธ์ของชาวกาลิลี” สิ่งที่เชื่อมโยงทั้งสามตอนเข้าด้วยกันคือทั้งหมดเกิดขึ้นในกาลิลี อาจฟังดูไม่น่ามีประเด็นสำคัญ แต่ขอบอกว่ามันสำคัญมาก มากกว่ามองดูอย่างผิวเผินในตอนแรก มาดูความสำคัญในความสัมพันธ์ของพระเยซูกับกาลิลีในพระราชกิจของพระองค์
พระเยซูทรงเริ่มพระราชกิจของพระองค์ในกาลิลี18 แน่นอนเราเห็นได้ทั้งในมัทธิวและมาระโก (1:14) ที่ผมไม่ได้เห็นก่อนหน้าคือความจริงที่มีถูกเน้นไว้ในตอนอื่นๆของพระคัมภีร์ใหม่:
34 ฝ่ายเปโตรจึงกล่าวว่า “ข้าพเจ้าเห็นจริงแล้วว่า พระเจ้าไม่ทรงเลือกหน้าผู้ใด 35 แต่คนใดๆในทุกชาติที่เกรงกลัวพระองค์ และประพฤติตามทางชอบธรรมก็เป็นที่ชอบพระทัยพระองค์ 36 เรื่องที่พระองค์ได้ทรงฝากไว้กับพวกอิสราเอล คือทรงประกาศข่าวดีเรื่องสันติสุขโดยพระเยซูคริสต์ ผู้เป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าของคนทั้งปวง 37 เรื่องนั้นท่านทั้ง หลายก็รู้ คือเรื่องที่ได้เล่ากันตั้งแต่ต้น ที่แคว้นกาลิลีไปจนตลอดทั่วแคว้นยูเดีย ภายหลังการบัพติศมาที่ยอห์นได้ประกาศนั้น 38 คือเรื่องพระเยซูชาวนาซาเร็ธ ว่าพระเจ้าได้ทรงเจิมพระองค์ด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ และด้วยฤทธานุภาพอย่างไร และพระเยซูเสด็จไปกระทำคุณประโยชน์ และรักษาบรรดาคนซึ่งถูกมารเบียดเบียน เพราะว่าพระเจ้าทรงสถิตกับพระองค์ 39 เราทั้งหลายเป็นพยานถึงกิจการทั้งปวง ซึ่งพระองค์ทรงกระทำ ในแคว้นยูเดียและในกรุงเยรูซาเล็ม พระองค์นั้นเขาได้ฆ่าโดยแขวนไว้ที่ต้นไม้ (กิจการ 10:34-39 ที่ขีดเส้นคือผมเน้น)
29 ครั้นทำจนสำเร็จทุกอย่าง ตามซึ่งมีเขียนไว้ในพระคัมภีร์แล้วว่าด้วยพระองค์ เขาจึงเชิญพระศพของพระองค์ลงจากต้นไม้ ไปประดิษฐานไว้ในอุโมงค์ 30 แต่พระเจ้าได้ทรงให้พระองค์คืนพระชนม์ 31 พระองค์ทรงปรากฏแก่คนทั้งหลายที่ตามพระองค์ จากแคว้นกาลิลีไปยังกรุงเยรูซาเล็มเป็นหลายวัน บัดนี้คนเหล่านั้นเป็นพยานข้างพระองค์ให้แก่คนทั้งหลาย (กิจการ 13:29-31 ที่ขีดเส้นคือผมเน้น)
งานวันเกิดเฮโรดมีพวกผู้นำกาลิลีไปด้วย ผมไม่เคยสังเกตุข้อนี้มาก่อน แต่มาระโกบอกเราว่าคนที่ไปงานเลี้ยงวันเกิดเฮโรดคือพวกผู้นำของกาลิลี:
21 ครั้นอยู่มาวันหนึ่งเป็นโอกาสดี คือเป็นวันฉลองวันกำเนิดของเฮโรด เฮโรดได้จัดการเลี้ยงขุนนางกับนายทหารชั้นผู้ใหญ่ และคนสำคัญๆทั้งปวงในแคว้นกาลิลี 22 เมื่อบุตรีของนางเฮโรเดียสเข้ามาเต้นรำ ทำให้กษัตริย์เฮโรด และแขกทั้งปวงชอบใจ กษัตริย์จึงตรัสกับหญิงสาวนั้นว่า “เธอจะขอสิ่งใดก็จะให้สิ่งนั้น” (มาระโก 6:21-22)
ถ้าเพื่อนๆของเฮโรดและบรรดาคนที่คบกันอยู่เป็นชาวกาลิลี ยิ่งทำให้คนกาลิลีนั้นดูชั่วร้ายขึ้นในสายตาของชาวยิวในเยรูซาเล็มและยูเดีย
สาวกของพระเยซูเป็นชาวกาลิลี จากที่เรียนมาในตอนนี้เราพบว่าพระเยซูทรงเรียกชายสี่คนให้ติดตามพระองค์ไป ที่เราควรสังเกตุให้ดีคือพระองค์ทรงเรียกพวกเขาจากแถวชายฝั่งทะเลกาลิลี ท้งสี่คนนี้เป็นชาวกาลิลี รวมถึงสาวกที่เหลือของพระองค์ด้วย:
69 ฝ่ายเปโตรนั่งอยู่นอกตึกที่ลานบ้าน มีสาวใช้คนหนึ่งมาพูดกับเขาว่า “แกได้อยู่กับเยซูชาวกาลิลีด้วยเหมือนกัน” 70 แต่เปโตรได้ปฏิเสธต่อหน้าคนทั้งปวงว่า “ที่เจ้าว่านั้นข้าไม่รู้เรื่อง” (มัทธิว 26:69-70)
69 อีกครั้งหนึ่งสาวใช้คนนั้นได้เห็นเปโตร แล้วบอกกับคนที่ยืนอยู่ที่นั่นว่า “คนนี้แหละเป็นพวกเขา” 70 แต่เปโตรก็ปฏิเสธอีก แล้วอีกสักครู่หนึ่งคนทั้งหลายที่ยืนอยู่ที่นั่นได้ว่าแก่เปโตรว่า “เจ้าเป็นคนหนึ่งในพวกนั้นแน่แล้ว ด้วยว่าเจ้าเป็นชาวกาลิลี” (มาระโก 14:69-70)
10 เมื่อเขากำลังเขม้นดูฟ้า เวลาที่พระองค์เสด็จขึ้นไปนั้น มีสองคนสวมเสื้อขาวมายืนอยู่ข้างๆเขา 11 สองคนนั้นกล่าวว่า “ชาวกาลิลีเอ๋ย เหตุไฉนท่านจึงเขม้นดูฟ้าสวรรค์ พระเยซูองค์นี้ซึ่งทรงรับไปจากท่านขึ้นไปยังสวรรค์นั้น จะเสด็จมาอีกเหมือนอย่างที่ท่านทั้งหลายได้เห็นพระองค์เสด็จไปยังสวรรค์ นั้น” (กิจการ 1:10-11)
5 มีพวกยิวจากทุกประเทศทั่วใต้ฟ้าซึ่งเป็นผู้เกรงกลัวพระเจ้า มาอยู่ในกรุงเยรูซาเล็ม 6 เมื่อมีเสียงอย่างนั้นเขาจึงพากันมา และฉงนสนเท่ห์เพราะต่างคนต่างได้ยินเขาพูดภาษาของตัว 7 คนทั้งปวงจึงประหลาดและอัศจรรย์ใจพูดว่า “ดูแน่ะ คนทั้งหลายที่พูดกันนั้นเป็นชาวกาลิลีทุกคนไม่ใช่หรือ 8 เหตุไฉนเราทุกคนได้ยินเขาพูดภาษาของบ้านเกิดเมืองนอนของเรา (กิจการ 2:5-8)
ผมอาจพิสูจน์ไม่ได้ แต่ทำให้คิดได้ว่าเพราะสาวกของพระเยซูเป็นชาวกาลิลี ชาวยิวในเยรูซาเล็มจึงดูถูก พระวจนะด้านล่างในกิจการอาจสะท้อนให้เห็นที่มาของพวกสาวก:
12 ในผู้อื่นความรอดไม่มีเลย ด้วยว่านามอื่นซึ่งให้เราทั้งหลายรอดได้ ไม่ทรงโปรดให้มีในท่ามกลางมนุษย์ทั่วใต้ฟ้า” 13 เมื่อเขาเห็นความกล้าหาญของเปโตรกับยอห์น และรู้ว่าท่านทั้งสองขาดการศึกษาและเป็นคนสามัญ ก็ประหลาดใจ แล้วสำนึกว่าคนทั้งสองเคยอยู่กับพระเยซู 14 เมื่อเขาเห็นคนนั้นที่หายโรคยืนอยู่กับเปโตรและยอห์น เขาก็ไม่มีข้อคัดค้านที่จะพูดขึ้นได้ (กิจการ 4:12-14)
พวกผู้หญิงที่ติดตามพระเยซูไปเป็นชาวกาลิลี ไม่ใช่สาวกเท่านั้นที่เป็นชาวกาลิลี พวกผู้หญิงที่ติดตามพระเยซูไปก็มาจากกาลิลีด้วย:
55 ที่นั่นมีหญิงหลายคนที่ได้ติดตามพระองค์ จากกาลิลีเพื่อจะปรนนิบัติพระองค์ มองดูอยู่แต่ไกล 56 ในพวกนั้นมีมารีย์ชาวมักดาลา มารีย์มารดาของยากอบและโยเซฟ และมารดาของบุตรเศเบดี (มัทธิว 27:55-56)
55 ฝ่ายพวกผู้หญิงที่ตามพระองค์มาจากแคว้นกาลิลีก็ตามไปและได้เห็นอุโมงค์ ทั้งได้เห็นเขาวางพระศพของพระองค์ไว้อย่างไรด้วย 56 แล้วเขาก็กลับไปจัดแจงเครื่องหอมกับน้ำมันหอม ในวันสะบาโตนั้นเขาก็หยุดการไว้ตามพระบัญญัติ (ลูกา 23:55-56)
ชาวกาลิลีไม่เป็นที่นับถือ แต่กลับโดนดูหมิ่นเหยียดหยาม แม้แต่นาธานาเอลเองยังสงสัยในชาวกาลิลี:19
45 ฟีลิปไปหานาธานาเอลบอกเขาว่า “เราได้พบพระองค์ผู้ที่โมเสสได้กล่าวถึงในหนังสือธรรมบัญญัติ และที่พวกผู้เผยพระวจนะได้กล่าวถึง คือ พระเยซู ชาวนาซาเร็ธบุตรโยเซฟ” 46 นาธานาเอลถามเขาว่า “สิ่งดีอันใดจะมาจากนาซาเร็ธได้หรือ” ฟีลิปตอบว่า “มาดูเถิด” (ยอห์น :45-46)
40 เมื่อประชาชนได้ฟังดังนั้น บางคนก็พูดว่า “ท่านผู้นี้เป็นผู้เผยพระวจนะนั้นแน่” 41 คนอื่นๆก็พูดว่า “ท่านผู้นี้เป็นพระคริสต์” แต่บางคนพูดว่า “พระคริสต์จะมาจากกาลิลีหรือ 42 พระคัมภีร์กล่าวไว้มิใช่หรือ ว่าพระคริสต์จะมาจากเชื้อพระวงศ์ของดาวิด และมาจากหมู่บ้านเบธเลเฮม ชนบทซึ่งดาวิดเคยอยู่นั้น” (ยอห์น 7:40-42)
50 นิโคเดมัสผู้ที่ได้มาหาพระองค์คราวก่อนนั้น และเป็นคนหนึ่งในพวกเขา ได้กล่าวแก่พวกเขาว่า 51 “กฎหมายของเราตัดสินคนใดโดยที่ยังไม่ได้ฟังเขาก่อน และรู้ว่าเขาได้ทำอะไรบ้างหรือ” 52 เขาทั้งหลายตอบนิโคเดมัสว่า “ท่านมาจากกาลิลีด้วยหรือ จงค้นหาดูเถิด แล้วท่านจะเห็นว่าไม่มีผู้เผยพระวจนะเกิดขึ้นมาจากกาลิลี” 53 ต่างคนต่างกลับไปบ้านของตน (ยอห์น 7:50-53)
แม้เมื่อพระราชกิจของพระองค์ที่บนโลกใกล้จบลง พระเยซูก็ยังแสดงพระองค์ว่าเป็นหนึ่งในชาวกาลิลี:
“แต่เมื่อทรงให้เราฟื้นขึ้นมาแล้ว เราจะไปยังแคว้นกาลิลีก่อนหน้าท่าน” (มัทธิว 26:32)
7 แล้วจงรีบไปบอกพวกสาวกของพระองค์เถิดว่า พระองค์ทรงเป็นขึ้นมาจากความตายแล้ว และพระองค์เสด็จไปยังแคว้นกาลิลีก่อนเจ้าทั้งหลาย เจ้าทั้งหลายจะเห็นพระองค์ที่นั่น นี่แหละเราก็บอกเจ้าแล้ว” (มัทธิว 28:7)
10 พระเยซูจึงตรัสกับเขาว่า “อย่ากลัวเลย จงไปบอกพวกพี่น้องของเราให้ไปยังกาลิลี จะได้พบเราที่นั่น” (มัทธิว 28:10)
16 แต่สาวกสิบเอ็ดคนนั้น ก็ได้ไปยังกาลิลี ถึงภูเขาที่พระเยซูได้ทรงกำหนดไว้ (มัทธิว 28:16)
ผมเชื่อว่ามัทธิวทำงานหนักเพื่อจะเน้นให้เห็นถึงความสัมพันธ์ที่พระเยซูทรงมีต่อกาลิลี
มัทธิวชี้ให้ผู้อ่านรู้ว่าพระเยซูมาจากกาลิลี ท่านบอกเราว่าหลังพิธีบัพติศมาและพระราชกิจเบื้องต้นที่ในยูเดีย พระองค์เสด็จกลับมาที่กาลิลี และที่นั่นทรงเริ่มสั่งสอนท่ามกลางฝูงชน จนทำให้พระองค์ต้องไปสู่เยรูซาเล็ม มัทธิวต้องการให้คนอ่านรู้ว่าพระเยซูไม่เพียงแต่เสด็จไปที่กาลิลี แต่พระองค์ทรงมาจากกาลิลีด้วย – คือทรงเป็นชาวกาลิลีเช่นเดียวกับพวกสาวก แล้วมัทธิวมีประเด็นหรือจุดประสงค์อะไรที่เน้นเรื่องกาลิลี?
ประการแรก ผมเชื่อว่าความเกี่ยวข้องของพระองค์กับกาลิลีเป็นส่วนหนึ่งของความถ่อมใจใน ฐานะพระเมสซิยาห์ พระเยซูทรงยอมถ่อมพระองค์ลงมาเกิดบนโลกนี้ในฐานะมนุษย์ที่มีเลือดเนื้อ (ฟีลิปปี 2:5-8; ฮีบรู 2:14-18; 4:14-16; 5:7-10) อิสยาห์พยากรณ์ว่าพระเมสซิยาห์จะถูกมนุษย์ปฏิเสธ:
1 ใครเล่าจะเชื่อสิ่งที่เราทั้งหลายได้ยิน
พระกรของพระเจ้าได้ทรงสำแดงแก่ผู้ใด
2 เพราะท่านได้เจริญขึ้นต่อพระพักตร์พระองค์อย่างต้นไม้อ่อน
และเหมือนรากแตกหน่อมาจากพื้นดินแห้ง
ท่านไม่มีรูปร่างหรือความสวยงาม
ซึ่งเราทั้งหลายจะมองท่าน
และไม่มีความงามที่เราจะพึงปรารถนาท่าน
3 ท่านได้ถูกมนุษย์ดูหมิ่นและทอดทิ้ง
เป็นคนที่รับความเจ็บปวด และคุ้นเคยกับความเจ็บไข้
และดังผู้หนึ่งซึ่งคนทนมองดูไม่ได้ ท่านถูกดูหมิ่น
และเราทั้งหลายไม่ได้นับถือท่าน (อิสยาห์ 53:1-3)
ผมเชื่อว่าเหตุการณ์ในมัทธิว 2 ทำให้คำพยากรณ์ของอิสยาห์สำเร็จเป็นจริง พระเยซูทรงถือกำเนิดมาอย่างต่ำต้อย ถูกผู้คนในเยรูซาเล็มปฏิเสธ ถูกเฮโรดต่อต้านและหาทางฆ่า เมื่อบิดามารดาของพระองค์พากลับจากอียิปต์ พระเจ้าทรงนำโยเซฟและครอบครัวไปที่นาซาเร็ธแห่งกาลิลี และมัทธิวบอกเราว่าทำให้คำพยากรณ์สำเร็จลง (ไม่มีอ้างอิง)20 คำพยากรณ์ที่บอกว่าพระเยซูจะถูกเรียกว่าเป็นชาวนาซาเร็ธ (2:23) พระเยซูและพวกสาวกก็ถูกปฏิเสธด้วย (อย่างน้อยก็โดนดูหมิ่นเหยียดหยาม) จากหลายคน เพราะเหตุว่าเกี่ยวข้องกับกาลิลี (เช่น ยอห์น 7:40-41)
ประการที่สอง ผมเชื่อว่าการที่พระเยซูมีส่วนเกี่ยวข้องกับกาลิลีสอดคล้องกับพระประสงค์ใน การช่วยกู้ของพระองค์ ตามที่อิสยาห์ 9 อธิบาย กาลิลีไม่เพียงแต่มีคนต่างชาติอาศัยอยู่มาก มากกว่าเยรูซาเล็มหรือยูเดีย แต่ยังเป็นที่ๆความกระหายด้านจิตวิญญาณสูง ประชาชนต่างดำเนินอยู่ในความมืด เป็นที่ๆผู้คนนั่งอยู่ในเงามืดแห่งความตาย และในที่ๆทั้งผู้คนและสถานที่กำลังโหยหา มีความสว่างส่องเข้ามา แต่ผมไม่ได้บอกว่าประชาชนในยูเดียมีจิตวิญญาณที่สูงส่งกว่า หรือไม่ได้อยู่ในความโหยหา แต่จะบอกว่าพวกเขาไม่ได้มองแบบนี้ ผู้คนในเยรูซาเล็มและยูเดียมองว่าตนเองเป็นผู้สว่างแล้วในจิตวิญญาณ พวกเขาผิดแน่นอนครับ
มัทธิว อาจมองทะลุกว่าสาวกคนอื่นๆ ท่านซาบซึ้งในพระเมตตาของพระเยซูที่มีต่อจิตวิญญาณที่นั่งอยู่ในความมืด และมีโหยหา:
9 ครั้นพระเยซูเสด็จเลยตำบลนั้นไป ก็เห็นคนหนึ่งชื่อมัทธิวนั่งอยู่ที่ด่านภาษี จึงตรัสกับเขาว่า “จงตามเรามาเถิด” เขาก็ลุกขึ้นตามพระองค์ไป 10 เมื่อพระองค์ประทับเสวยพระกระยาหารอยู่ในเรือน มีคนเก็บภาษีและคนบาปอื่นๆหลายคน เข้ามาร่วมสำรับกับพระเยซู และกับพวกสาวกของพระองค์ 11 เมื่อพวกฟาริสีเห็นแล้ว ก็กล่าวแก่สาวกของพระองค์ว่า “ทำไมอาจารย์ของท่านจึงรับประทานอาหารด้วยกันกับคนเก็บภาษีและคนนอกรีตเล่า” 12 เมื่อพระเยซูทรงทราบดังนั้นแล้วก็ตรัสว่า “คนเจ็บต้องการหมอ แต่คนสบายไม่ต้องการ 13 ท่านทั้งหลายจงไปเรียนคัมภีร์ข้อนี้ให้เข้าใจ ที่ว่า เราประสงค์ความเมตตา ไม่ประสงค์เครื่องสัตวบูชา ด้วยว่าเรามิได้มาเพื่อจะเรียกคนที่เห็นว่าตัวชอบธรรม แต่มาเรียกคนที่พวกท่านว่านอกรีต” (มัทธิว 9:9-13)
ผมขอเรียกสิ่งนี้ว่า “หลักการผกผัน” พระเยซูถูกดึงไปยังคนที่รู้ตัวว่าตนเองหิวกระหาย คนที่ถูกชิงชังรังเกียจจากคนที่คิดว่าตนเองสูงส่งกว่าด้านจิตวิญญาณ ทรงแสวงหาคนบาป พระเยซูทรงสำแดงพระคุณของพระเจ้า จึงนำพระสิริที่ยิ่งใหญ่กลับคืนสู่พระองค์ อ.เปาโลกล่าวว่า:
26 ดูก่อนพี่น้องทั้งหลาย จงพิจารณาดูว่า พวกท่านที่พระเจ้าได้ทรงเรียกมานั้นเป็นคนพวกไหน มีน้อยคนที่โลกนิยมว่ามีปัญญา มีน้อยคนที่มีอำนาจ มีน้อยคนที่มีตระกูลสูง 27 แต่พระเจ้าได้ทรงเลือกคนที่โลกถือว่าโง่เขลา เพื่อทำให้คนมีปัญญาอับอาย และได้ทรงเลือกคนที่โลกถือว่าอ่อนแอ เพื่อทำให้คนที่แข็งแรงอับอาย 28 พระเจ้าได้ทรงเลือกสิ่งที่โลกถือว่าต่ำต้อยและดูหมิ่น และเห็นว่าไร้สาระ เพื่อทำลายสิ่งซึ่งโลกเห็นว่าสำคัญ 29 เพื่อมิให้มนุษย์สักคนหนึ่งอวดต่อพระเจ้าได้ 30 โดยพระองค์ ท่านจึงอยู่ในพระเยซูคริสต์ เพราะพระเจ้าทรงตั้งพระองค์ให้เป็นปัญญาและความชอบธรรมของเรา และเป็นผู้ทรงชำระเราให้บริสุทธิ์ และทรงเป็นผู้ไถ่เราไว้ให้พ้นบาป 31 เพื่อให้เป็นไปตามพระคัมภีร์ที่เขียนว่า ให้ผู้โอ้อวด อวดองค์พระผู้เป็นเจ้า (1โครินธ์ 1:26-31)
ภรรยาของผมเคยอ่านหนังสือเล่มหนึ่งแล้วมาเล่าให้ฟัง เป็นเรื่องของ แกลดี้ส์ อายวอร์ด สตรีที่ได้รับการอวยพรมากในประเทศจีน21สตรี ท่านนี้เกิดในอังกฤษปี ค.ศ. 1902 วันหนึ่งเธอเห็นป้ายที่หน้าโบสถ์เขียนว่ากำลังมีการประชุมมิชชันนารีข้างใน แม้เป็นสมาชิกโบสถ์อื่น เธอก็ลองเข้าไปและได้ยินผู้ชายคนหนึ่งกำลังพูดถึงประเทศจีน เธอรู้สึกมั่นใจว่าพระเจ้ากำลังเรียกเธอให้ไปเป็นมิชชันนารีที่ประเทศจีน จึงไปรับการอบรมในโรงเรียนพันธกิจมิชชันนารี เธอเรียนไม่เก่งนัก และได้รับการแจ้งว่าไม่เหมาะจะไปรับใช้ในประเทศจีน
แกลดี้ส์ อายวอร์ด ไม่ได้คิดอย่างนั้น เธอจึงไปประเทศจีนเองตามลำพัง ไปตามหาผู้หญิงที่ทำพันธกิจอยู่ในโรงเตี๊ยมที่เคยได้ยินมา ด้วยความยากลำบาก แกลดี้ส์ไปจนถึงโรงเตี๊ยมนั้นและเริ่มงานของเธอที่นั่น เมื่อสตรีท่านนั้นตายลง เงินที่ทำโรงเตี๊ยมต่อก็หมดเกลี้ยง แกลดี้ส์จึงต้องออกไปหางานทำเพื่อให้เธอและโรงเตี๊ยมอยู่รอด รัฐบาลจีนมาตามหาเธอ เพราะมีการออกกฎหมายห้ามมัดเท้าทารกเพศหญิง และพวกเขาต้องการคนที่พูดจีนได้ เดินทางไปตามหมู่บ้าน และไปแต่ละบ้านเพื่อสำรวจว่ายังมีการมัดเท้าทารกเพศหญิงอยู่หรือไม่ และแก้มัดเท้าเด็กที่โตแล้วด้วย แกลดี้ส์รับงานนี้ แต่มีข้อตกลงว่าเธอจะแบ่งปันเรื่องความเชื่อกับทุกบ้านที่เธอเข้าไป แล้วเธอก็ทำเช่นนั้น ไปสำรวจทุกบ้าน ทุกหมู่บ้านในเขตที่เธออยู่ และทุกครั้งที่เข้าไปในบ้าน เธอจะแบ่งปันเรื่องข่าวประเสริฐ แต่ละหมู่บ้านมีคนได้รับความรอด มีการตั้งคริสตจักรขึ้น เป็นพันธกิจที่น่าทึ่งจริงๆครับ!
ต่อมามีการนำเรื่องของเธอไปสร้างเป็นภาพยนตร์ชื่อว่า “โรงเตี๊ยมแห่งความสุขที่หก” นำแสดงโดยอินกริด เบิร์กแมน ผมได้ยินมาว่าหลังจากสร้างภาพยนตร์เรื่องนี้แล้ว อินกริด เบิร์กแมนได้รับผลกระทบที่ยิ่งใหญ่เมื่อแสดงเป็นแกลดี้ส์ ในที่สุดแกลดี้ส์ก็ได้นำเธอมาสู่ความเชื่อในพระเยซูคริสต์
เรื่องนี้มีบางอย่างที่พิเศษสำหรับผม ได้ยินมาหลายปีแล้ว แต่เพิ่งจำได้เมื่อภรรยาเตือน ตอนนั้นเป็นช่วงที่ผมกำลังคิดเกี่ยวกับตนเองและงานที่อยากทำเพื่อสนองพระคุณ พระคริสต์ แล้วมีนักเทศน์ท่านหนึ่งที่ผมไม่เคยพบหรือรู้จักมาก่อน มาเทศน์เรื่องนี้ แล้วโยงเข้ากับคำพูดของ อ.เปาโลใน 1โครินธ์ 1 ข้อ 26-31 เป็นพระวจนะที่ให้กำลังใจผมที่สุด ขอบคุณพระเจ้าที่พระเยซูไม่เพียงแต่เสด็จไปที่กาลิลี แต่ทรงเลือกชาวกาลิลีให้เป็นสาวกของพระองค์ พระเจ้าทรงเลือกคนที่โลกเรียกว่าโง่เขลา (ตามสายตาของโลก) เพื่อทำให้สติปัญญาของมนุษย์งงงัน และเพื่อพระสิรจะเป็นของพระองค์ ไม่ใช่เพราะกาลิลียิ่งใหญ่อะไร แต่พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่และทรงมีพระคุณล้นเหลือ
เนื้อหาตอนนี้ มัทธิว 4:12-25 อยู่ตรงกลางระหว่างการทดลองของพระเยซูและคำเทศนาบนภูเขา ช่างเหมาะที่พระวจนะตอนนี้เป็นเหมือนนำร่องเข้าสู่คำเทศนาบนภูเขา ในอีกด้าน พระเยซูทรงแสดงอำนาจของพระองค์โดยรักษาโรคทุกชนิดที่ผู้คนนำมาให้รักษาในกา ลิลี พระองค์ยังทรงสำแดงสิทธิอำนาจโดยการขับผี และการเรียกสาวก (ที่ละแห และตามพระองค์ไปในทันที) จึงไม่น่าแปลกที่ผู้คนต่างอัศจรรย์ใจในคำสอน “ที่เต็มด้วยสิทธิอำนาจ” ของพระองค์ (มัทธิว 7:28-29)
ในอีกด้าน พระเยซูทรงแสดงพระทัยเมตตาสงสารต่อผู้ที่นั่งในความมืดและเงาแห่งความตาย จึงไม่ประหลาดใจที่การสั่งสอนของพระองค์กำลังจะเริ่มต้น
4 “บุคคลผู้ใดโศกเศร้า ผู้นั้นเป็นสุข
เพราะว่าเขาจะได้รับการทรงปลอบประโลม
5 “บุคคลผู้ใดมีใจอ่อนโยน ผู้นั้นเป็นสุข
เพราะว่าเขาจะได้รับแผ่นดินโลกเป็นมรดก (มัทธิว 5:4-5)
นี่คือพระเยซูที่ออกไปแสวงหาและช่วยคนที่กำลังโหยหาได้รับความรอด
ตอนเริ่มของบทเรียนนี้ ผมบอกว่าจะเทศนาเรื่องนี้ในวันอาทิตย์อีสเตอร์ และยังบอกด้วยว่าเพราะเกี่ยวข้องกับอีสเตอร์และการคืนพระชนม์ของพระเยซู ในพระกิตติคุณมัทธิว พระราชกิจของพระเยซูเริ่มต้นที่กาลิลี พร้อมด้วยการทำอัศจรรย์มากมาย พระราชกิจของพระองค์สร้างผลกระทบและสำแดงถึงสิทธิอำนาจในถ้อยคำของพระองค์ เมื่อยอห์นผู้ให้บัพติศมาลังเลใจในพระองค์ พระองค์จึงเตือนยอห์นถึงพระราชกิจและพระคำของพระองค์ซึ่งที่เป็นไปตามที่พระ เจ้าสั่ง และพิสูจน์ให้เห็นว่าพระองค์คือผู้ใด:
18 ฝ่ายพวกศิษย์ของยอห์นก็ได้เล่าเหตุการณ์ทั้งปวงนั้นให้ท่านฟัง 19 ยอห์นจึงเรียกศิษย์ของท่านสองคนใช้เขาไปหาพระเป็นเจ้า ทูลถามว่า “ท่านเป็นผู้ที่จะมานั้นหรือ หรือจะคอยผู้อื่น” 20 เมื่อคนทั้งสองมาถึงพระองค์แล้ว เขาทูลว่า “ยอห์นผู้ให้รับบัพติศมาใช้ข้าพเจ้ามาหาท่านให้ถามว่า ‘ท่านเป็นผู้ที่จะมานั้นหรือ หรือจะต้องคอยผู้อื่น'” 21 ในเวลานั้น พระองค์ได้ทรงรักษาคนเจ็บเป็นอันมากให้หายจากความเจ็บและโรคต่างๆ และให้พ้นจากผีร้าย และคนตาบอดหลายคนพระองค์ได้ทรงรักษาให้เห็นได้ 22 แล้วพระองค์ตรัสตอบศิษย์สองคนนั้นว่า “จงไปแจ้งแก่ยอห์นตามซึ่งท่านได้เห็นและได้ยิน คือว่าคนตาบอดก็หายบอด คนง่อยเดินได้ คนโรคเรื้อนหายสะอาด คนหูหนวกได้ยิน คนตายแล้วเป็นขึ้นมา และข่าวประเสริฐก็ประกาศแก่คนอนาถา 23 บุคคลผู้ใดไม่เห็นว่าเราเป็นอุปสรรคผู้นั้นเป็นสุข” (ลูกา 7:18-23)
เมื่อเริ่มต้นทำพระราชกิจสู่สาธารณะ พระเยซูทรงรับรองคำสอนของพระองค์ด้วยการอัศจรรย์ตามที่เรากำลังเรียนในมัท ธิวบทที่ 4 และเมื่อบทสรุปพระราชกิจของพระองค์ใกล้จบ พระเยซูตรัสยืนยันครั้งสุดท้ายถึงความเป็นพระองค์และสิทธิอำนาจของพระองค์ – การฟื้นขึ้นมาจากความตาย:
38 คราวนั้นมีบางคนในพวกธรรมาจารย์ และพวกฟาริสีมาทูลพระองค์ว่า “อาจารย์เจ้าข้า พวกข้าพเจ้าอยากจะเห็นหมายสำคัญจากท่าน” 39 พระองค์จึงตรัสตอบเขาว่า “คนชาติชั่วและคิดทรยศต่อพระเจ้าแสวงหาหมายสำคัญ และจะไม่ทรงโปรดให้หมายสำคัญแก่เขา เว้นไว้แต่หมายสำคัญของโยนาห์ผู้เผยพระวจนะ 40 ด้วยว่า โยนาห์ได้อยู่ในท้องปลามหึมาสามวัน สามคืน ฉันใด บุตรมนุษย์จะอยู่ในท้องแผ่นดิน สามวันสามคืนฉันนั้น 41 ชนชาวนีนะเวห์จะลุกขึ้นในวันพิพากษาพร้อมกับคนยุคนี้ และจะเป็นตัวอย่างให้คนยุคนี้ได้รับโทษ ด้วยว่าชาวนีนะเวห์ได้กลับใจเสียใหม่ เพราะคำประกาศของโยนาห์ และซึ่งใหญ่กว่าโยนาห์มีอยู่ที่นี่” (มัทธิว 12:38-41)
ในอีกด้าน พระเยซูทรงแสดงให้เห็นชัดถึงพระราชกิจ ฤทธิอำนาจ และสิทธิอำนาจของพระองค์ พระองค์ไม่ได้ปล่อยให้เราดำเนินไปโดยไม่มีพยานยืนยันถึงฤทธิเดชและสิทธิ อำนาจของพระองค์ ขณะที่บทเรียนนี้กำลังนำร่องเข้าสู่คำสอนของพระองค์ มีการคั่นไว้ด้วยการคืนพระชนม์ของพระองค์เพื่อยืนยัน การเริ่มและจบลงของพระราชกิจที่บนโลก ผ่านการรับรองว่าถูกต้อง ไม่เพียงตามคำพยากรณ์ที่สำเร็จลง แต่ในการสำแดงฤทธิอำนาจของพระองค์ในฐานะพระเจ้า ไม่ใช่เพราะข้อพิสูจน์ที่มีไม่เพียงพอทำให้มนุษย์เชื่อ แต่เป็นเพราะใจที่แข็งกระด้างของพวกเขาต่างหาก
ผมจะไม่ปล่อยให้วันนี้ผ่านไปโดยไม่ย้ำเตือนคุณถึงข่าวประเสริฐที่พระเยซู เตรียมไว้ให้และประกาศออกไป คุณและผม ต่างก็เหมือนชาวกาลิลี ดำเนินอยู่ในความมืด อาศัยอยู่ในเงาแห่งความตาย เป็นเพราะพระเจ้านั้นบริสุทธิ์ และเราเป็นคนบาปสมควรแก่พระอาชญานิรันดร์ของพระองค์ แต่ด้วยพระทัยเมตตา ทรงส่งพระบุตรลงมาเพื่อแสวงหาคนบาปและคนที่ต้องการความช่วยเหลือให้ได้รบ ความรอด พระเยซูทรงดำเนินชีวิตที่สมบูรณ์แบบ ไม่ถูกความบาปแปดเปื้อน จากที่เราเห็นชัยชนะที่มีเหนือการทดลองของมาร พระเยซูทรงสิ้นพระชนม์ที่บนกางเขน ไม่ใช่เพราะความบาปของพระองค์ แต่เพื่อรับโทษทันฑ์แทนความบาปของเรา พระเจ้าทรงให้พระองค์คืนพระชนม์เพื่อเป็นการพิสูจน์ว่าเครื่องบูชาชดใช้บาป นั้นเป็นที่พอพระทัย และพระเยซูกำลังประทับอยู่เบื้องขวาของพระเจ้า รอวันที่จะเสด็จกลับมา พระองค์จะเสด็จมาเพื่อจัดตั้งราชบัลลังก์ของพระองค์บนโลกนี้ และลงโทษผู้ที่ต่อต้านพระองค์ คุณเชื่อและวางใจในสิ่งที่พระเยซูทำเพื่อคุณหรือยัง? การคืนพระชนม์คือข้อพิสูจน์ของพระเจ้าถึงความชอบธรรมของพระเยซูคริสต์:
8 เมื่อพระองค์นั้นเสด็จมาแล้ว พระองค์จะทรงกระทำให้โลกรู้แจ้งในเรื่องความผิด ความชอบธรรม และการพิพากษา 9 ในเรื่องความผิดนั้น คือเพราะเขาไม่วางใจในเรา 10 ในเรื่องความชอบธรรมนั้น คือเพราะเราไปหาพระบิดา และท่านทั้งหลายจะไม่เห็นเราอีก 11 ในเรื่องการพิพากษานั้น คือ เพราะเจ้าโลกนี้ถูกพิพากษาแล้ว (ยอห์น 16:8-11)
โดย : Robert L (Bob) Deffinbaugh
1 132. เป็นต้นฉบับของบทเรียนต่อเนื่องของ “พระกิตติคุณมัทธิว” จัดทำโดย Robert L. Deffinbaugh 20 เมษายน 2003
2 133. ไม่ได้เพื่อบอกว่าพระเยซูยังไม่ได้ทำการอัศจรรย์หรือสั่งสอนใดๆ แต่เพื่อบอกว่ามัทธิวไม่ได้บันทึกเหตุการณ์ก่อนหน้าไว้
3 134. Fredrick Dale Bruner, The Christbook: A Historical/Theological Commentary (Waco, Texas: Word Books, 1987), vol. 1, p. 62.
4 135. นอกจากที่กล่าวไปแล้ว พระวจนะที่นำมาอ้างอิงทั้งหมดมาจาก NET Bible (The NEW ENGLISH TRANSLATION) เป็น ฉบับแปลใหม่ทั้งหมด ไม่ใช่นำฉบับเก่าในภาษาอังกฤษมาเรียบเรียงใหม่ ใช้ผู้เชี่ยวชาญและนักวิชาการพระคัมภีร์มากกว่า ยี่สิบคน รวบรวมข้อมูล ทั้งจากภาษาฮีบรูโดยตรง ภาษาอาราเมข และภาษากรีก โครงการแปลนี้เริ่มมาจากที่เราต้องการนำ พระคัมภีร์ เผยแพร่ผ่านสื่ออีเลคโทรนิค เพื่อรองรับการใช้งานทางอินเตอร์เน็ท และซีดี (compact disk) ที่ใดก็ตามในโลก ที่ต่อเข้าอินเตอร์เน็ทได้ ก็สามารถเรียกดู และพริ้นทข้อมูลไว้เพื่อใช้ศึกษาเป็นการส่วนตัวได้โดยไม่คิดมูลค่า นอกจากนี้ ผู้ใดก็ตาม ที่ต้องการนำข้อมูลเกี่ยวกับพระคัมภีร์ไปเผยแพร่ต่อโดยไม่คิดเงิน สามารถทำได้จากเว็บไซด์ : www.netbible.org.
5 136. James Montgomery Boice, The Gospel of Matthew (Grand Rapids, Michigan: Baker Books, 2001), vol. 1, p. 62.
6 137. ลีออน มอริส นำคำของฟิลสันมาอ้างว่า: “เมื่อพระเยซูเสด็จไปกาลิลี จึงเป็นเหมือนคำตอบให้แก่เฮโรด พระองค์ทรงเข้าไปทำพระราชกิจในเขตปกครองของเฮโรด เป็นสิ่งที่เฮโรดพยายามยับยั้งด้วยการจับกุมยอห์น พระเยซูทรงเริ่มพระราชกิจที่ท้าทายมากกว่าหนีไปหลบซ่อน” Leon Morris, The Gospel According to Matthew (Grand Rapids, Michigan: William B. Eerdmans Publishing Company, 1992), p. 80, fn. 37.
10 141. R.V.G. Tasker, The Gospel According to St. Matthew: An Introduction and Commentary (Grand Rapids, Michigan: Wm. B. Eerdmans Publishing Company, 1968), p. 56.
11 142. “‘ผู้เผยพระวจนะเมื่อประกาศเรื่องการพิพากษาและความหายนะ จะประกาศด้วยว่าความสว่างแห่งความหวังในการถือกำเนิดมาของผู้มาสืบทอดราช บัลลังก์ดาวิด มาจัดตั้งอาณาจักรแห่งสันติภาพ แต่ความสว่างนั้นไม่ได้ส่องไปที่เยรูซาเล็มหรือยูเดียก่อน แต่เป็นทางเหนือสุดของแผ่นดินอิสราเอล พื้นที่ๆอยู่ในความมืดและความตาย และพระเยซูเป็นผู้มาทำให้คำพยากรณ์โบราณนั้นสำเร็จลง เป็นสิ่งที่ยอห์นผู้ให้บัพติศมาไม่สามารถให้ได้ เมื่อประกาศให้มีการกลับใจ’” Levertoff, as cited by Tasker, p. 56.
12 143. “คำว่า diktuon เป็นคำทั่วไปสำหรับ “แห” ไม่ได้เจาะจงว่าเป็นแหแบบไหนในข้อ18 เป็นคำพหูพจน์ซึ่งใช้สำหรับแหที่พวกชาวประมงใช้ประกอบอาชีพ แล้วพวกเขาก็ละจากแหทั้งหมดนั้นไป” Morris, p. 86, fn. 60.
13 144. ผมคิดเอนเอียงไปว่าสาวกคนอื่นๆของยอห์นผู้ให้บัพติศมาคือยอห์น น้องชายของยากอบ และเป็นผู้เขียนพระกิตติคุณยอห์น
14 145. คำนี้มีใช้มากกว่า 80 ครั้งในหนังสือพระกิตติคุณ มาระโกใช้มากที่สุดถึง 40 ครั้ง ในพระกิตติคุณมาระโก มัทธิวใช้ 18 ครั้ง ลูกาใช้ 16 ครั้ง และยอห์น 6 ครั้ง
15 146. D.A. Carson, Matthew, Chapters 1 Through 12 (Grand Rapids, Michigan: Zondervan Publishing House, 1995), pp. 120-121.
16 147. “ ที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ของซีเรียไม่ค่อยชัดเจน จากมุมมองของพระเยซูในกาลิลี ซีเรียอยู่ทางเหนือ จากมุมมองของโรม ซีเรียเป็นจังหวัดหนึ่งของโรมที่รวมเอาปาเลสไตน์ทั้งหมดไว้ (ลูกา 2:2; กิจการ 15:23, 41 กาละเทีย 1:21) กาลิลีเป็นข้อยกเว้นเพราะตอนนั้นอยู่ภายใต้การปกครองของเฮโรด อันทิพาส ถ้าเป็นตามที่โรมใช้ สะท้อนให้เห็นความตื่นเต้นที่เกิดขึ้นจากพระราชกิจของพระเยซูที่อยู่ไกลออก ไปจากเขตแดนอิสราเอล” Carson, p. 121.
17 148. “ชื่อเสียงของพระเยซูเลื่องลือไปไกลกว่ากาลิลี แม้ที่นั่นความสว่างกำลังจะมา (ข้อ 16) พื้นที่ๆข้ามจอร์แดนไป (อีสท์แบงค์? ดูข้อ 15) และเดคาโพลิส ส่วนใหญ่เป็นที่อยู่ของคนต่างชาติ ตามที่พูดถึง (1:3-5; 2:1-12, 22-23; 3:9; 4:8, 15-16) เดคาโพลิส (แปลว่าสิบเมือง) หมายถึงเขตแดนตะวันตกของกาลิลี ต่อจากดามัสกัสออกไปทางเหนือ ไปยังฟิลาเดลเฟียทางตอนใต้ รวมแล้วน่าจะสิบเมือง (มีหลายความคิดเห็น) (cf. S. Thomas Parker, ‘The Decapolis Reviewed,’ JBL 94 [1975]: 437-41).” Carson, p. 122.
18 149. ในพระกิตติคุณยอห์น สองหมายสำคัญแรกเป็นหมายสำคัญที่พระเยซูกระทำในกาลิลี (ดูยอห์น 2:11; 4:54)
19 150. ที่จริงนาธานาเอลไม่ได้คิดถึงข้อเท็จจริงว่าพระเยซูเป็นชาวกาลิลี เพราะนาซาเร็ธเป็นเมืองหรือหมู่บ้านในกาลิลี ผมจึงเชื่อว่าทำเลในกาลิลีเป็นเหตุผลที่ดีที่ทำไมนาธานาเอลจึงไม่แน่ใจว่า พระเยซูเป็นพระเมสซิยาห์
20 151. ที่พูดว่า “ไม่มีอ้างอิง” หมายถึงไม่มีตรงไหนในพระคัมภีร์เดิมที่พูดเจาะจงตามที่มัทธิวอ้างในมัทธิว 2:23
21 152. ขอสารภาพว่าตอนทำบทเรียนนี้ผมยังไม่ได้อ่านหนังสือเล่มนี้ เลยอธิบายไปตามความเข้าใจที่ภรรยาอ่านแล้วมาเล่าให้ฟัง ผมหวังว่าจะได้อ่านในเร็ววัน และอยากให้คุณๆลองไปหาอ่านด้วย
เรากำลังเริ่มต้นคำเทศนาบนภูเขา เป็นพระวจนะที่โด่งดังที่สุดในพระคัมภีร์ใหม่ ความสำคัญนั้นยังน้อยกว่าความเป็นจริง ถ้าคุณไปที่ห้องสมุด แล้วผมไม่ได้ถามถึงหนังสือเรื่องคำเทศนาบนภูเขา คุณก็จะเห็นว่านักศึกษาพระคัมภีร์ที่เชี่ยวชาญแทบทุกคนจะแนะนำหนังสือประกอบ คำอธิบายคำเทศนาบนภูเขาอยู่ดี แม้หลายคนที่เขียนคำหนังสืออธิบายพระกิตติคุณมัทธิวยังแยกเฉพาะคำเทศนาบน ภูเขาออกมา
มีผู้กล่าวว่าออกัสตินพูดถึงคำเทศนาบนภูเขาว่าเป็นมาตรฐานที่สมบูรณ์แบบ สำหรับชีวิตคริสเตียน ดีทริช บอนฮอฟเฟอร์ เขียนหนังสือคลาสสิค “ราคาการเป็นสาวก” โดยยึดจากหนังสืออรรถาธิบายคำเทศนาบนภูเขา แม้ผู้ไม่เชื่ออย่างคานธียังประทับใจและได้รับอิทธิพลจากคำสอนในคำเทศนาบน ภูเขา ผู้ไม่เชื่ออีกหลายคนได้รับอิทธิพลนี้เช่นกัน ผมกำลังนึกถึงคำพูดของนิคิตา ครุชเชฟ พูดไว้หลายปีมาแล้วในสหรัฐอเมริกา ท่านพูดว่า “ผมจะบอกคุณถึงข้อแตกต่างระหว่างคริสเตียนกับตัวผม คือถ้าคุณตบหน้าผม ผมก็จะซัดกลับจนหัวคุณหลุดจากบ่าแน่” แต่ท่านก็ยังได้รับอิทธิพลจากคำเทศนานี้ เข้าใจดีว่าหมายถึงอะไร แต่ไม่ชอบใจ ความจริงคือคนธรรมดาทั่วไปจะไม่ชอบคำสอนนี้ ไม่ใช่คำสอนที่จะนำไปเขียนเป็นหนังสือขายดีแน่ – แม้เป็นหนังสือของคริสเตียนก็ตาม คำสอนจากคำเทศนาบนภูเขาไม่ใช่สิ่งที่ขายได้ ลองไปดูตามหิ้งร้านหนังสือนะครับ
อาร์ เคนท์ ฮิวจ์ ในหนังสือประกอบคำอธิบายคำเทศนาบนภูเขากล่าวว่านี่เป็นคำเทศนาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่เคยมี:
คำเทศนาบนภูเขานั้นสั้นกระชับได้ใจความ เป็นหลักศาสนศาสตร์ของพระเยซูคริสต์ที่เนื้อหาอัดแน่นและเข้มข้น และน่าจะเป็นพระคำที่กินใจที่สุดในพระคัมภีร์ใหม่ และในพระคัมภีร์ทั้งเล่ม ทุกถ้อยคำอธิบายแจ่มแจ้งชัดเจน แต่ไม่อาจเข้าใจให้ลึกซึ้งได้ที่สุด … เป็นถ้อยคำที่แสดงให้เห็นว่าเรายืนอยู่จุดไหนในความสัมพันธ์ระหว่างราช อาณาจักรและชีวิตนิรันดร์ ขณะที่เรานำตัวเองผ่านเครื่องเอ็กซเรย์ในคำสอนของพระเยซูคริสต์ จะแสดงให้เห็นว่าเราเป็นผู้เชื่อแท้หรือไม่ ถ้าเป็น ระดับความเป็นผู้เชื่อแท้ในชีวิตของเราอยู่ตรงไหน ไม่มีตอนอื่นใดในพระคัมภีร์ที่ทำให้เราต้องเผชิญหน้ากับตัวเองได้เท่ากับคำ เทศนาบนภูเขา 3
ให้เราเข้าสู่คำนำของคำเทศนาบนภูเขาในภาพรวมทั้งหมดก่อน แล้วค่อยๆไปทีละประเด็น คงจำกันได้ คำเทศนาบนภูเขาอยู่ต่อจากการเริ่มพระราชกิจของพระเยซูที่กาลิลี พระองค์เสด็จออกจากยูเดียเมื่อทราบข่าวว่ายอห์นถูกจับ ขณะอยู่ในกาลิลี พระองค์ทรงรักษาผู้ป่วยทุกโรค และมีฝูงชนจำนวนมากติดตามพระองค์ไป — ไม่เพียงแต่ในกาลิลีเท่านั้น แต่มาจากข้างนอกด้วย — จากเดคาโพลิส รอบนอกยูเดีย เยรูซาเล็ม และจากซีเรีย ฝูงชนที่ติดตามจึงมีจำนวนมาก และในตอนท้ายของมัทธิว 4 บันทึกว่า ในช่วงเวลานั้นพระเยซูทรงเทศนาสั่งสอนอยู่ในธรรมศาลา
แน่นอนคนเหล่านี้ต้องได้ยินเรื่องราวของพระเยซูมาบ้าง และได้ยินบางสิ่งที่พระองค์สั่งสอน แต่สำหรับผมเมื่อเข้าสู่คำเทศนาบนภูเขา คุณเหมือนได้รับบทสรุปชั้นเลิศที่รวมทุกสิ่งไว้ที่ “พระองค์ตรัสสอน” มัทธิวจึงบันทึกคำเทศนานี้ไว้ และในลูกา 6 ก็บันทึกคล้ายคลึงกัน เป็นเหมือนบทสรุปคำสอนทั้งหมดของพระเยซูคริสต์ที่หลากหลายมาก ผมคิดว่านี่คือสิ่งที่เป็นพื้นฐานคำสอนของพระองค์ในอนาคต และในพระราชกิจที่จะทรงทำต่อไป คนที่นั่งฟังอยู่คือพวกสาวก รวมถึงฝูงชนจำนวนมากที่ตามมาก็ได้ยินด้วย สำหรับผมคิดว่าพระองค์ตรัสให้คนทั้งสองพวกนี้ฟัง เมื่อพระองค์ตรัสว่า “ใครมีหู จงฟังเถิด” – (ฟังในสิ่งที่เราพูด) บางคนในท่ามกลางฝูงชนที่มาฟัง มีหูแต่ไม่รับฟัง แต่พระองค์กำลังตรัสกับพวกสาวก และกับผู้คนที่นั่งฟังอยู่ด้วย
ในพระกิตติคุณมัทธิวพระเยซูตรัสถึงแผ่นดินสวรรค์ และในพระกิตติคุณเล่มอื่นๆ มีคำว่าแผ่นดินของพระเจ้า บางคนคิดว่าสองคำนี้แตกต่างกัน บางคนบอกว่าเพราะคำสอนของพระเยซูที่เกี่ยวข้องกับแผ่นดินของพระเจ้าเป็นการ สอนเกี่ยวกับแผ่นดินของพระเจ้าที่ยังมาไม่ถึง สำหรับกลุ่มที่เป็นพวกแบ่งสรรบอกว่าคำนี้อาจกลายมาจากคำดั้งเดิม (นำไปประยุกต์ใช้รองลงมา) ที่ใช้มาตั้งแต่แรกคือวันแห่งแผ่นดินของพระเจ้า
ผมยังจำได้ในโรงเรียนพระคริสตธรรม ผมได้ยิน ดร.ชาลส์ ไรรี่ย์ พูดว่า “ถ้านักธุรกิจทุกวันนี้ทำตามคำเทศนาบนภูเขา คงจะเจ๊งไปตามๆกัน” ผมก็คิดว่า “ถ้าจะจริง” และถ้าคริสตจักรทุกวันนี้ทำตามหลักการของพระคัมภีร์ใหม่ หลายคนคงพูดว่าไม่น่าจะไปรอด – ไปไม่รอดถ้าทำตามสิ่งที่พระคัมภีร์ใหม่บอกว่าคริสตจักรต้องทำหรือ? – แต่ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องของคริสเตียนโดยตรง เรื่องของพระเจ้าผู้ทำสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ให้เป็นไปได้สำหรับคนที่เชื่อฟัง และโดยทางพระวิญญาณของพระองค์และพระคุณที่ทำงานอยู่ภายในเรา ผมไม่คิดจะละส่วนย่อยของคำเทศนานี้แล้วอ้างว่า “มันเป็นเรื่องของอนาคต” ที่จริงคุณจะสังเกตุเห็นว่าเมื่อพระเยซูตรัสถึงแผ่นดินสวรรค์ พระองค์กำลังตรัสถึงทั้งในอนาคตและปัจจุบัน พระเยซูกำลังตรัสถึงลักษณะของผู้ที่อยู่ในแผ่นดินของพระเจ้า และตรัสถึงลักษณะของผู้เชื่อแท้ในองค์พระเยซูคริสต์
มีรูปแบบเฉพาะอยู่ในคำเทศนาบนภูเขา ตัวอย่างเช่น ถ้าคุณดูข้อ 3 ของบทที่ 5 พระเยซูตรัสว่า ““บุคคลผู้ใด รู้สึกบกพร่องฝ่ายวิญญาณ ผู้นั้นเป็นสุข เพราะแผ่นดินสวรรค์เป็นของเขา” — เป็นประโยคปัจจุบันกาล พอมาถึงข้อ 10 “บุคคลผู้ใดต้องถูกข่มเหงเพราะเหตุความชอบธรรม ผู้นั้นเป็นสุข เพราะว่าแผ่นดินสวรรค์เป็นของเขา” ก็เป็นประโยคปัจจุบันกาล —แผ่นดินเป็นของพวกเขา—และระหว่างนั้น จากข้อ 4 ถึงข้อ 9 เป็นประโยคอนาคตกาล:
5:4 “บุคคลผู้ใดโศกเศร้า ผู้นั้นเป็นสุข เพราะว่าเขาจะได้รับการทรงปลอบประโลม”
5:5 “บุคคลผู้ใดมีใจอ่อนโยน ผู้นั้นเป็นสุข เพราะว่าเขาจะได้รับแผ่นดินโลกเป็นมรดก”
5:6 “บุคคลผู้ใดหิวกระหาย ความชอบธรรม ผู้นั้นเป็นสุข เพราะว่าพระเจ้าจะทรงให้อิ่มบริบูรณ์”
5:7 “บุคคลผู้ใดมีใจกรุณา ผู้นั้นเป็นสุข เพราะว่าเขาจะได้รับพระกรุณาตอบ”
5:8 “บุคคลผู้ใดมีใจบริสุทธิ์ ผู้นั้นเป็นสุข เพราะว่าเขาจะได้เห็นพระเจ้า”
5:9 “บุคคลผู้ใดสร้างสันติ ผู้นั้นเป็นสุข เพราะว่าพระเจ้าจะทรงเรียกเขาว่าเป็นบุตร”
ผมคิด เหมือนอย่างนักวิชาการทั้งหลาย เราต้องสรุปว่ามีมิติของปัจจุบันและอนาคตในคำสอนของพระเยซูในคำเทศนาบนภูเขา มีสิ่งที่จะเกิดขึ้น และมีการลิ้มรสล่วงหน้า (ผลแรก) ของสิ่งที่เรามีอยู่ในปัจจุบัน และรวมถึงฝูงชนที่รับฟังคำเทศนาในตอนนั้นด้วย
คำสำคัญอีกคำที่เราต้องนำมาพิจารณาคือคำว่า “ผู้นั้นเป็นสุข” เพราะนำมาใช้ครั้งแล้วครั้งเล่า คุณจะพบในฉบับแปลหลายฉบับใช้คำว่า “เป็นสุข” ซึ่งก็เป็นความจริง แต่ผมคิดว่าที่เราต้องพูดคำว่า “เป็นสุข” เพราะไปตามความหมายที่เรากำลังดู ซึ่งอาจไม่ใช่คำที่ดีที่สุด ที่จริง คุณอาจพูดว่าคนที่โศกเศร้าคงไม่น่าใช่คนที่เป็นสุข มันไม่ง่ายที่จะเป็นทั้งสองอย่าง ผมจึงขอเลือกที่จะไม่เน้นคำว่า “เป็นสุข” แม้แน่นอนจะเป็นเช่นนั้น ถ้าอยากเอนไปทาง “ไพเพอร์”4 คุณอาจพูดในมุมที่ว่ายังมีความชื่นชมและปิติยินดีเสมอ – อยู่ด้วยเสมอ และผมต้องการให้เนื้อหาในตอนนี้เป็นเช่นนั้น ผมชอบที่ฮิวจ์อธิบายไว้ในหนังสือของเขา ความหมายเบื้องต้นของคำว่า “เป็นสุข” ในตอนนี้คือได้รับการยอมรับ พระเจ้าทรงแสดงให้เห็นว่าพระองค์ยอมรับคนเหล่านี้ ผู้เป็นสุขคือผู้ที่พระเจ้าทรงยอมรับ และนี่เป็นมุมมองเดียวกับผม
ต่อไปมาดูคำว่า “บกพร่องฝ่ายวิญญาณ” – ““บุคคลผู้ใด รู้สึกบกพร่องฝ่ายวิญญาณ ผู้นั้นเป็นสุข เพราะแผ่นดินสวรรค์เป็นของเขา” (ข้อ 3) ผมคิดว่าคำ “บกพร่อง” ตรงนี้คือคำที่พูดถึงความขาดแคลน ความขัดสนที่ต่ำต้อยที่สุด อย่างที่นักวิชาการหลายคนบอก เป็นท่าทีของการก้มลงหรือโค้งต่ำลงด้วยความสำนึก เหมือนความจนแบบเดียวกับขอทาน ครับมีคนมากมายในโลกนี้ที่คิดว่าตัวเองยากจนแต่ไม่อาจเทียบได้กับความจนที่ เราพูดถึง มีคนบางประเภทตามมาตรฐานของรัฐบาล มีรายได้น้อยกว่าจำนวนที่ทางการกำหนด แต่ผมคิดว่ามีเปอร์เซ็นต์สูงมากที่คนจนในระดับที่พูดถึงนี้มีทีวี และมีเครื่องอำนวยความสะดวกอื่นๆ สำหรับผมแล้วน่าจะยากจนคนละแบบ
ผมยังจำเรื่องที่เจ้าหน้าที่ๆโรงเรียนพระคริสตธรรมเล่าให้ฟังได้ เป็นเรื่องเล่าขำๆของสมัยโน้น สมัยที่นักเรียนบางคนมีรถพ่วงและมีข้าวของหลายอย่างที่เป็นของตัวเอง นักเรียนคนหนึ่งพูดกับเพื่อนๆว่า “พวกเรา มันจบละ เราหมดตัว จนแล้ว ยังไม่รู้ว่าจะทำยังไงต่อไป” เพื่อนคนหนึ่งก็เริ่มคิดหาทาง ซึ่งมีน้อยนิดมาก เพื่อนคนอื่นๆคิดไม่ออก พวกเขาจึงคิดกันว่าน่าจะนำอาหารกระป๋องของแต่ละคนที่ตุนไว้มารวมกัน ยังไม่ทันได้พูดออกไป คนหนึ่งก็พูดขึ้นมาว่า “เฮ้พวก ถ้ามันลำบากนัก ผมเอาเครื่องเล่นซีดีไปขายก็ได้” ครับ พวกเราคงคิดกันว่า นี่ไม่น่าใช่ความหมายของคำว่าขัดสนหรือยากจนแน่
ความบกพร่อง (ขัดสน) ที่มัทธิวพูดถึงเป็นความขัดสนระดับต่ำที่สุด และเป็นความขัดสนฝ่ายวิญญาณ ตอนนี้ผมเข้าใจคำว่า “อดอยาก” ที่ลูกาพูดถึงในพระกิตติคุณของท่าน แต่ตอนนี้ให้เรากลับมาดูคำที่มัทธิวใช้ “บุคคลผู้ใด รู้สึกบกพร่องฝ่ายวิญญาณ ผู้นั้นเป็นสุข”
ขอพูดถึงเรื่องความขัดสนทางวัตถุและสิ่งที่เกี่ยวข้อง เราต้องระวังที่จะไม่นำความยากจนมาใช้เทียบกับความเชื่อศรัทธา มีผู้ชอบธรรมที่ขัดสนในพระคัมภีร์เดิม แต่ผมกำลังนึกถึงความยากจนที่เกิดขึ้นเพราะสงครามในตะวันออกกลาง มีคนยากจนและคนที่ถูกกดขี่ข่มเหง คุณแค่เปิดฝากระป๋อง จะถูกคนยากจนกระชากไปในทันที และขโมยทุกสิ่งไปจากคุณ – มือถือ คอมพิวเตอร์ อุปกรณ์สื่อสารต่างๆ อะไรก็ตามที่พวกเขาฉกฉวยได้ เอาไปก็ใช้ไม่เป็น เราจึงต้องระวังอย่ามองความยากจนกับความชอบธรรมตามจำนวนเงินติดลบในบัญชี หนังสือสุภาษิตพูดเรื่องความยากจนและความมั่งมีไว้ค่อนข้างมาก และบ่อยครั้งพูดถึงคนยากจนว่าเป็นคนเกียจคร้านหรือโง่เขลา ซึ่งเป็นคนละเรื่องกับฝ่ายวิญญาณ ที่จริงในหนังสือสุภาษิต บรรดาคนที่มั่งมีมักเป็นคนที่ทำงานหนักและมีปัญญา สุภาษิต 30:8-9 กล่าวว่า:
8 ขอให้ความมุสาและความเท็จไกลจากข้าพระองค์ ขออย่าประทานความยากจนหรือความมั่งคั่งแก่ข้าพระองค์ ขอเลี้ยงข้าพระองค์ด้วยอาหารที่พอดีแก่ข้าพระองค์ 9 เกรงว่าข้าพระองค์จะอิ่ม และปฏิเสธพระองค์ แล้วพูดว่า “พระเจ้าเป็นผู้ใดเล่า” หรือเกรงว่าข้าพระองค์จะยากจนและขโมย และกระทำให้พระนามพระเจ้าของข้าพระองค์เป็นมลทิน
พระวจนะตอนนี้บอกเราว่าทั้งความยากจนและความมั่งมีต่างก็มีจุดอ่อนในตัว เอง มีข้อบกพร่อง มีสิ่งเย้ายวน และมีปัญหาในตัวเอง ดังนั้นคนมั่งมีตามที่ อ.เปาโลเตือนใน 1ทิโมธี 6 ว่าอย่าวางใจในความไม่แน่นอนของความมั่งมี แต่คนยากจนควรต้องระมัดระวังที่จะไม่อ้างความยากจนและละเลยมาตรฐานความชอบ ธรรมและความยุติธรรมของพระเจ้า แก้ปัญหาความยากจนในแบบที่ผิด คุณไม่อาจอ้างว่าเป็นเพราะความมั่งมี หรือเพราะความยากจน ผมชอบที่แม็กซ์ ลูคาโดเขียนไว้ในหนังสือประกอบคำอธิบายคำเทศนาบนภูเขา ที่พูดว่ามันไม่ใช่เพราะความใหญ่ของเงินที่คนรวยมีที่สร้างปัญหาให้พวกเขา แต่เพราะหัวที่ใหญ่เกินตัวของพวกเขาต่างหาก5ผมว่านี่แหละประเด็น ไม่ใช่เรื่องเงิน แต่เป็นความรู้สึกมั่นคงและมั่นใจที่มาพร้อมกับความมั่งมีที่ทำให้พวกเขามีปัญหา
พระเยซูตรัสถึงความยากจน (บกพร่อง) ฝ่ายวิญญาณ พระองค์กำลังตรัสถึง “จิตวิญญาณที่ล้มละลาย” ปัญหาของคำว่า “ล้มละลาย” และแนวคิดเรื่องนี้คือคุณไม่ได้หมดตัว ในปัจจุบัน หลายสายการบินในอเมริกากำลังสูญเสียรายได้ แต่ที่พวกเขาพูดทำนองว่าจะฟ้องขอล้มละลาย ก็เพื่อปกป้องทรัพย์สินของบริษัท นี่เป็นคนละเรื่องกับล้มละลายฝ่ายวิญญาณ เมื่อเราประกาศว่าเป็นผู้ล้มละลายฝ่ายวิญญาณ ไม่มีอะไรเหลือเลยในธนาคาร ไม่มีเครื่องบินจอดอยู่ ไม่มีนักบิน ไม่มีเงินชดเชยหลังเกษียน ไม่มีเหลือสักอย่างครับ เมื่อเราตระหนักว่าเราขัดสนในวิญญาณ ไม่มีอะไรเหลือเพื่อป้องกันหรือสำรองเอาไว้ มันหมดสิ้น ที่จริงยังมีหนี้ที่ต้องชดใช้อีกกองใหญ่ มีหนี้มหาศาลแต่ไม่รู้จะเอาที่ไหนมาชดใช้ นี่คือความยากจนอย่างที่เรามี ตามหลักศาสนศาสตร์ เรากำลังพูดถึงคำสอนเรื่องความเสื่อมทรามของมนุษย์ มนุษย์ไม่มีสิ่งใดที่จะมอบให้พระเจ้าได้ ไม่มีทางเท่าเทียม ไม่ว่าการปฏิบัติ การทำดีเพื่อให้สมกับความชอบธรรมของพระเจ้า เราอ่านในโรม 3:9
3:9 ถ้าเช่นนั้นจะเป็นอย่างไร พวกยิวเรา จะได้เปรียบกว่าหรือ เปล่าเลยเพราะเราได้ชี้แจงให้เห็นแล้วว่า มนุษย์ทุกคนทั้งพวกยิวและพวกต่างชาติต่างก็อยู่ใต้อำนาจของบาป
3:10 ตามที่พระคัมภีร์มีเขียนไว้ว่า
ไม่มีผู้ใดเป็นคนชอบธรรมสักคนเดียว ไม่มีเลย
11 ไม่มีคนที่เข้าใจ
ไม่มีคนที่แสวงหาพระเจ้า
12 เขาทุกคนหลงผิดไปหมด
เขาทั้งปวงเลวทรามเหมือนกันสิ้น
ไม่มีสักคนเดียวที่กระทำดี ไม่มีเลย
13 ลำคอของเขาคือหลุมฝังศพที่เปิดอยู่
เขาใช้ลิ้นของเขาในการล่อลวง
พิษงูร้ายอยู่ใต้ริมฝีปากของเขา
14 ปากของเขาเต็มไปด้วยคำแช่งด่าและคำเผ็ดร้อน
15 เท้าของเขาว่องไวในการทำให้นองเลือด
16 ในทางเดินของเขามีความพินาศและความทุกข์
17 และเขาไม่รู้จักทางแห่งสันติสุข
18 เขาไม่เคยคิดที่จะยำเกรงพระเจ้าเลย
19 เรารู้แล้วว่า ธรรมบัญญัติทุกข้อที่ได้กล่าวนั้น ก็ได้กล่าวแก่คนเหล่านั้นที่อยู่ใต้ธรรมบัญญัติ เพื่อปิดปากทุกคน และเพื่อให้มนุษย์ทุกคนในโลกอยู่ใต้การพิพากษาของพระเจ้า 20 เพราะว่าในสายพระเนตรของพระเจ้าไม่มีผู้หนึ่งผู้ใดเป็นคนชอบธรรม โดยการประพฤติตามธรรมบัญญัติได้ เพราะว่าธรรมบัญญัตินั้นทำให้เรารู้จักบาปได้
นี่คือคนที่ (โดยเฉพาะอย่างยิ่งชาวยิว) ที่ดำเนินอยู่ภายใต้ธรรมบัญญัติของยิว คำสอนของยิว และทุกสิ่งมีแต่เลวร้ายลงไปกว่าที่ควรเป็น จำในมัทธิว 23 ได้หรือไม่ พระเยซูตรัสถึงพวกฟาริสีและความหน้าซื่อใจคดของพวกเขา พระองค์ตรัสว่าพวกเขาเอาห่อของหนักวางบนบ่ามนุษย์ ส่วนเขาเองแม้แต่นิ้วเดียวก็ไม่จับต้องเลย ดังนั้นภาระหนักที่บทบัญญัติวางบนบ่าของมนุษย์ ซึ่งหนักอึ้ง พวกฟาริสียังเพิ่มเข้าไปอีก เพิ่มข้อควรปฏิบัติเข้าไปอีก ผู้คนจึงอยู่ภายใต้แอกภาระหนักเหล่านี้ที่พวกเขาไม่มีทางทำได้เลย พวกเขาจึงสิ้นเนื้อประดาตัว เมื่อพระเยซูเสด็จมาตรัสว่า “มีข่าวดีสำหรับพวกท่าน ธรรมบัญญัติได้ทำหน้าที่ของมันแล้ว ทำให้เห็นว่าพวกคุณสิ้นเนื้อประดาตัว ตอนนี้คุณอยู่ในจุดที่พระพรของพระเจ้าประทานลงมาให้คุณ” คำสอนเรื่องความเสื่อมทรามของมนุษย์กล่าวว่า “ทุกคนสิ้นเนื้อประดาตัวแล้ว ไม่มีสักคนที่ชอบธรรม ไม่มีเลย ไม่มีสักคนที่แสวงหาพระเจ้า ไม่มีเลย ทุกคนล้มละลายฝ่ายวิญญาณ – สิ้นเนื้อประดาตัวฝ่ายวิญญาณ”
เมื่อพระเยซูตรัสถึงผู้ที่บกพร่อง (ขัดสน) ฝ่ายวิญญาณ พระองค์กำลังตรัสถึงกลุ่มคนเจาะจง กลุ่มย่อยของคนที่เสื่อมทรามลง และกลุ่มย่อยนี้เป็นกลุ่มที่รู้ตัวดี สิ้นเนื้อประดาตัวเป็นเรื่องหนึ่ง เสื่อมทรามลงเป็นอีกเรื่องครับ มีภาระบาปหนักอึ้งรอคอยพระอาชญาเป็นเรื่องหนึ่ง แต่เป็นอีกเรื่องเมื่อตระหนักว่า นอกจากพระคุณและพระเมตตาของพระเจ้าแล้ว เราต่างก็สิ้นหวังจมปลักอยู่ในบาปและเป็นหนี้ท่วมหัวฝ่ายวิญญาณ นี่คือคนที่ไม่เพียงแต่ล้มละลายฝ่ายวิญญาณ แต่พวกเขารู้ตัวดี
ขอยกตัวอย่างจากพระคัมภีร์ให้ดู เรื่องแรกจากหนังสือ 2พงศ์กษัตริย์ 5 เรื่องรักษาโรคของนาอามานชาวซีเรีย พระเยซูทรงอ้างถึงในพระกิตติคุณลูกา ในบทที่ 4 พูดถึงชาวต่างชาติที่เข้ามาในแผ่นดินของพระเจ้า ผมอยากให้คุณสังเกตุขั้นตอนที่พระเจ้ารับชายคนนี้เข้ามา หยิ่งยโสและต่อต้านพระองค์ ทรงทำให้เขาหันกลับ นำไปจนถึงจุดที่ท้อแท้สิ้นหวัง ไม่เหลือสิ่งใดให้หวังอีกเว้นแต่พระคุณของพระเจ้า
ลองคิดดู ชายคนนี้เป็นชาวซีเรีย ไม่ใช่คนอิสราเอล เป็นคนนอก นอกพระสัญญาของพระเจ้า และแน่นอนไม่รู้จักพระองค์ เขานมัสการพระอื่น นมัสการด้วยกันกับผู้เป็นเจ้านาย และเป็นศัตรูของอิสราเอล ไม่เพียงแต่ไม่เกี่ยวข้อง แต่ยังต่อต้านอิสราเอลด้วย ที่จริงเขาเป็นผู้บัญชาการกองทัพซีเรีย หมายความว่านอกจากอยู่ฝ่ายตรงข้ามแล้ว ยังแสวงหาชีวิตชาวอิสราเอลด้วย จึงเป็นเหมือนคนที่ไม่มีความหวังใดๆเหลือ สังเกตุดู เขาได้รับคำแนะนำให้ไปรับความช่วยเหลือในอิสราเอลโดยเด็กผู้หญิงชาวอิสราเอล – เด็กผู้หญิงตัวเล็กๆที่เป็นทาส – และพระเจ้าประทานพระคุณให้ชายคนนี้เป็นโรคเรื้อน คนที่อยู่ในตำแหน่งสูงสุดในสายงานของเขา – เป็นมือขวาของกษัตริย์ – แต่กลับเป็นโรคเรื้อน ไม่มีอะไรเลวร้ายไปกว่านี้ คงสิ้นหวัง แต่พระเจ้าบอกกับเขาผ่านเด็กหญิงที่เป็นทาสว่ามีผู้เผยพระวจนะในอิสราเอล ช่วยได้ ทำให้เขาหายจากโรค
ถ้าตามขั้นตอนปกติ เขาจะไปรับความช่วยเหลือนี้ได้อย่างไร? ผ่านทางการเมือง อำนาจ และอิทธิพล – ทุกสิ่งเหล่านี้เมื่อเราจำเป็นต้องบอกว่าเราสิ้นท่า – เป็นช่องทางที่คิดว่าต้องนำมาใช้ นาอามานจึงไปเฝ้ากษัตริย์แห่งซีเรีย ให้เขียนจดหมายเพื่อไปขอความช่วยเหลือในอิสราเอล เมื่อมาถึงสะมาเรียพร้อมด้วยจดหมายแนะนำตัวเพื่อไปเข้าเฝ้ากษัตริย์อิสราเอล ในจดหมายบ่งว่า “ชายคนนี้เป็นมือขวาของเรา จะเป็นการดีกว่าถ้าท่านช่วยเหลือเขา” กษัตริย์อิสราเอลคิดว่าปัญหามาเคาะประตูวังแล้ว “จะให้เราทำอย่างไรกัน?” ความจริงคือทำอะไรไม่ได้ จนเรื่องไปถึงหูเอลีชา เอลีชาจึงส่งข่าวมา “ไปบอกเขาว่ามีพระเจ้าในอิสราเอล และพระเจ้าองค์นี้ช่วยรักษาให้ได้”
เขาจึงมาอิสราเอลมาขอความช่วยเหลือ แต่ไม่ได้รับความช่วยเหลือจากกษัตริย์ แล้วตอนนี้อยู่ที่หน้าประตูบ้านของเอลีชา เราคงนึกภาพคณะผู้ติดตามกลุ่มใหญ่มายืนรอหน้าประตูบ้านของผู้เผยพระวจนะออก อย่าลืมว่าไม่ได้มาตัวเปล่า มาพร้อมกับของสมนาคุณมากมาย แทนที่จะมีพรมแดงรอรับที่ประตูทางเข้า และเอลีชาออกมาต้อนรับคณะบุคคลสำคัญด้วยตนเอง ท่านกลับส่งคนใช้ออกมาบอกว่า “ให้ไปจุ่มตัวที่แม่น้ำจอร์แดนเจ็ดหน”
คนที่อยู่ทางใต้อาจไม่เคยเห็นแม่น้ำทางตะวันตกเฉียงเหนือ แม่น้ำที่นั่นใสแจ๋ว จำเรื่องหัวขวานตกลงไปในแม่น้ำจอร์แดนได้มั้ยครับ? ถ้าเป็นในตะวันตกเฉียงเหนือคงงมได้ง่าย เพราะมองลงไปเห็น แต่นี่เป็นแม่น้ำขุ่นคลั่กของจอร์แดน แล้วหมอนี่มาบอก “ให้ไปจุ่มตัวลงในแม่น้ำขุ่นคลั่นด้วยโคลนนี่หรือ?” ไม่มีทาง มันไม่สะอาด มีแต่จะทำให้สกปรกยิ่งขึ้น นาอามานโกรธเพราะเขาพูดว่า “ถ้าจะลงไปจุ่มตัวในน้ำ มีแม่น้ำอื่นๆที่ดีกว่านี้ตั้งเยอะ ที่นี่ไม่สะอาด ไม่น่ารักษาโรคได้” แต่คนในพวกบ่าวมาบอกว่า “ท่านทราบมั้ยครับ ถ้าท่านถูกขอให้ทำเรื่องยิ่งใหญ่ ท่านคงจะทำ นี่เขาไม่ได้ขอให้ท่านทำเรื่องยิ่งใหญ่อะไร นอกจากให้ลงไปจุ่มตัวในแม่น้ำ ไม่เห็นมีอะไรต้องเสียเลย” นาอามานจึงลงไปจุ่มตัวในแม่น้ำจอร์แดน ผมคิดว่า นอกจากเสื้อผ้าแล้ว คงต้องยอมถอดศักดิ์ศรีด้วย ผิวของท่าน เมื่อได้รับการรักษา กลับกลายเป็นเหมือนผิวเด็กทารกเมื่อขึ้นมาจากน้ำ
นาอามานกำลังมุ่งหน้าไป แต่ยังไม่ถึงปลายทาง ยังไม่เข้าใจว่าพระคุณคืออะไร เขากลับไปที่บ้านของเอลีชา สังเกตุดูตอนนี้เอลีชาออกมาต้อนรับ เขาบอกเอลีชาว่า “ผมเป็นหนี้บุญคุณท่านนะครับ ขอจ่ายให้ท่านด้วยของสมนาคุณที่ช่วยรักษาผมให้หาย” นาอามานคิดจะมอบของสมนาคุณทุกอย่างที่นำมา แต่เอลีชากลับบอกว่า “ไม่รับ” เพราะท่านไม่ได้ทำสิ่งใดในการงานของพระเจ้า หรือพระคุณของพระองค์ทั้งก่อนหน้าหรือหลังจากนั้น ท่านไม่ต้องการให้นาอามานกลับไปโดยคิดว่าเขามีส่วนในการนี้ด้วย นาอามานจำเป็นต้องเห็นวิญญาณของตนเองที่ล้มละลาย เขาจึงบอกเอลีชาว่า “ถ้าท่านไม่รับของที่ผมนำมา ผมขอนำบางสิ่งจากที่นี่กลับไป” ฟังนะครับ – เขาขอดินจากอิสราเอลกลับไป ทำไมครับ? เขาขอดินกลับไปมากพอที่ลาสองตัวจะบันทุกได้ เพราะเขาเริ่มเข้าใจแล้ว พระเจ้ามีพระประสงค์ให้เขาเป็นหนึ่งเดียวกับผืนแผ่นดินนี้ อย่างที่เราพูดกันว่าพระเจ้าทรงเป็นหนึ่งเดียวกับพระเยซูคริสต์ นาอามานเป็นหนึ่งเดียวกับผืนแผ่นดินนี้ และต่อไปเมื่อจะนมัสการ นาอามานจะนมัสการบนผืนดินอิสราเอล ในที่สุดนาอามานก็มาถึงจุดที่ตระหนักได้ว่าตนเองไม่มีอะไรจะทดแทนให้พระเจ้า ได้ เป็นฝ่ายที่รับเท่านั้น นี่คือความขัดสนฝ่ายวิญญาณ และพระเจ้าทรงมีพระคุณที่นำเขามาจนถึงแผ่นดินนี้
ลูกา 18 เป็นเรื่องคลาสสิคในพระคัมภีร์ใหม่ที่แสดงให้เห็นความขัดสนฝ่ายวิญญาณ เป็นเรื่องของฟาริสีและคนเก็บภาษี เริ่มจากข้อ 9:
9 สำหรับบางคนที่ไว้ใจในตัวเองว่าเป็นคนชอบธรรม และได้ดูหมิ่นคนอื่นนั้น พระองค์ตรัสคำอุปมานี้ว่า 10 “มีสองคนขึ้นไปอธิษฐานในบริเวณพระวิหาร คนหนึ่งเป็นพวกฟาริสีและคนหนึ่งเป็นพวกเก็บภาษี 11 คนฟาริสีนั้นยืนนึกในใจของตน อธิษฐานว่า ‘ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์โมทนาขอบพระคุณของพระองค์ ที่ข้าพระองค์ไม่เหมือนคนอื่น ซึ่งเป็นคนโลภ คนอธรรม และคนล่วงประเวณี และไม่เหมือนคนเก็บภาษีคนนี้ 12 ในสัปดาห์หนึ่งข้าพระองค์ถืออดอาหารสองหน และของสารพัดซึ่งข้าพระองค์หาได้ข้าพระองค์ได้เอาสิบชักหนึ่งมาถวาย’ 13 ฝ่ายคนเก็บภาษีนั้นยืนอยู่แต่ไกล ไม่แหงนดูฟ้า แต่ตีอกของตนว่า ‘ข้าแต่พระเจ้า ขอทรงโปรดพระเมตตาแก่ข้าพระองค์ผู้เป็นคนบาปเถิด’ 14 เราบอกท่านทั้งหลายว่า คนนี้แหละเมื่อกลับลงไปยังบ้านของตนก็นับว่าชอบธรรม มิใช่อีกคนหนึ่งนั้น เพราะว่าทุกคนที่ยกตัวขึ้นจะต้องถูกเหยียดลง แต่ทุกคนที่ได้ถ่อมตัวลงจะต้องถูกยกขึ้น” (ลูกา 18:9-14)
ผมจะบอกว่าคนเก็บภาษีขัดสนฝ่ายวิญญาณ และได้รับพระพรกลับไปเป็นผู้ชอบธรรม
เนื้อหาในมัทธิว 11 เกี่ยวข้องกับสิ่งที่พระเยซูตรัสในมัทธิว 5:3 “บุคคลผู้ใดรู้สึกบกพร่องฝ่ายวิญญาณ ผู้นั้นเป็นสุข” ในตอนต้นของมัทธิว 11 เกี่ยวข้องกับยอห์นผู้ให้บัพติศมา สาวกบางคนของท่านมาหาพระเยซูถามพระองค์ว่า “ท่านเป็นผู้ที่จะมานั้นหรือ หรือจะต้องคอยผู้อื่น” พระองค์ทรงตอบในข้อ 11 และ 12:
11 เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ในบรรดาคนซึ่งเกิดจากผู้หญิงมานั้น ไม่มีผู้ใดใหญ่กว่ายอห์นผู้ให้รับบัพติศมา แต่ว่าผู้ที่ต่ำต้อยที่สุดในแผ่นดินสวรรค์ก็ยังใหญ่กว่ายอห์นเสียอีก 12 และตั้งแต่สมัยยอห์นผู้ให้รับบัพติศมาถึงทุกวันนี้ แผ่นดินสวรรค์ก็เป็นสิ่งที่คนได้แสวงหาด้วยใจร้อนรน และผู้ที่ใจร้อนรนก็เป็นผู้ที่ชิงเอาได้ (มัทธิว 11:11-12)
ต้องขอยอมรับว่าอาจเข้าไม่ถึงความหมายได้ทั้งหมด แต่นี่คือคนที่คิดว่าตนเองมั่งมีฝ่ายวิญญาณ มีสิทธิตามชาติกำเนิดที่จะครอบครองแผ่นดินของพระเจ้า สัมผัสได้ไหมครับว่าคนพวกนี้พยายามใช้การบีบบังคับ? นึกถึงคนเก็บภาษีที่ตระหนักว่าตนเองไม่มีสิทธิไปอ้างสิ่งใดกับพระเจ้า เป็นคนบาปอยู่ภายใต้พระอาชญาของพระองค์ สิ่งเดียวที่พอทำได้คือร้องขอความเมตตา เขาไม่ได้บุกไปที่ประตูสวรรค์พยายามดันตัวเองเข้าไป มีคนไปที่ประตูสวรรค์พยายามบุกเข้าไปด้วยความคิดว่า “ฉันมีสิทธิ ฉันสมควรได้ นี่เป็นที่ของฉัน แค่ยื่นมือออกไปรับก็เท่านั้น” นี่ตรงกันข้ามกับที่พระเยซูตรัส นี่ไม่ใช่ความมั่งมีฝ่ายวิญญาณ แต่เป็นเรื่องของวิญญาณ วิญญาณที่ถ่อมลงและเข้าไปยึดพระเจ้าไว้มั่น พึ่งพิงพระคุณ พระเมตตา และความรอดจากพระองค์ ในมัทธิว 11 พระเยซูเปรียบคนพวกนี้เหมือนเด็กเล็กๆ
16 “เราจะเปรียบคนยุคนี้เหมือนกับอะไรดี เปรียบเหมือนเด็กนั่งที่กลางตลาด ร้องแก่เพื่อนว่า 17 ‘พวกฉันได้เป่าปี่ให้พวกเธอ และเธอมิได้เต้นรำ พวกฉันได้พิลาปร่ำไห้ และพวกเธอมิได้ตีอกชกหัว’ (มัทธิว 11:16-17)
นี่เป็นภาพของลัทธิยูดายที่ตอบสนองต่อพระเยซูหรือไม่? ภาพของคนมั่งมีผ่ายวิญญาณที่พูดราวกับว่า “ท่านมาอ้างว่าตนเองเป็นพระเมสซิยาห์ ถ้าท่านเป็นพระเมสซิยาห์จริง ท่านก็ต้องเต้นตามจังหวะของเรา ท่านต้องพูดในสิ่งที่เราต้องการให้คนฟังได้ยิน” พระเยซูตรัสว่าไม่ใช่แน่นอน พระองค์เสด็จมา ไม่ได้ไปตามที่พวกเขาต้องการ ยอห์นผู้ให้บัพติศมาก็เช่นกัน
ท้ายสุดจากข้อ 25-27 :
25 ขณะนั้นพระเยซูทูลว่า “ข้าแต่พระบิดา ผู้เป็นเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์และโลก ข้าพระองค์สรรเสริญพระองค์ ที่พระองค์ได้ทรงปิดบังสิ่งเหล่านี้ ไว้จากผู้มีปัญญาและผู้ฉลาด แต่ได้สำแดงให้ผู้น้อยรู้ 26 ข้าแต่พระบิดา พระองค์ทรงเห็นชอบดังนั้น 27 “พระบิดาของเรา ได้ทรงมอบสิ่งสารพัดให้แก่เรา และไม่มีใครรู้จักพระบุตร นอกจากพระบิดาและไม่มีใครรู้จักพระบิดานอกจากพระบุตร และผู้ที่พระบุตรประสงค์จะสำแดงให้รู้ (มัทธิว 11:25-27)
นี่เป็นภาพความคล้ายคลึงของความขัดสนฝ่ายวิญญาณ สิ่งที่คุณเห็นคือเด็กไม่มีอำนาจ ไม่มีแรง ไม่มีกำลัง สั่งให้ใครทำอะไรไม่ได้ และพระเยซูตรัสว่า “พระองค์ได้สำแดงให้รู้” ว่าพวกเขาขัดสนฝ่ายวิญญาณอย่างชัดเจนในตอนท้ายของข้อ 27 สำหรับ “ผู้ที่พระบุตรประสงค์จะสำแดงให้รู้”
ต่อไปก็ถึงพระวจนะข้อที่ผมโปรดมาก แต่อาจยังเข้าไม่ถึงได้ทั้งหมด:
“28 บรรดาผู้ทำงานเหน็ดเหนื่อยและแบกภาระหนัก จงมาหาเรา และเราจะให้ท่านทั้งหลาย หายเหนื่อยเป็นสุข 29 จงเอาแอกของเราแบกไว้ แล้วเรียนจากเรา เพราะว่าเราสุภาพและใจอ่อนน้อม และจิตใจท่านทั้งหลายจะได้พัก 30 ด้วยว่าแอกของเราก็พอเหมาะ และภาระของเราก็เบา” (มัทธิว 11:28-30)
นี่ใช่แนวคิดเดียวกับคำเทศนาบนภูเขาหรือไม่? ใช่คนที่สิ้นเนื้อประดาตัวฝ่ายวิญญาณภายใต้ภาระหนักของบทบัญญัติยูดาย ถูกกฎเกณฑ์ข้อบังคับต่างๆบดขยี้หรือไม่? พระเยซูตรัสว่า “จงมาหาเรา จงมาหาเรา” ผมคิดว่าพระองค์กำลังตรัสกับคนกลุ่มเดียวกัน ไม่ใช่กลุ่มคนที่มีชีวิตลำบาก แต่พระองค์กำลังตรัสกับคนที่ขัดสนฝ่ายวิญญาณ โดยใช้ภาพอธิบายในเรื่องเดียวกัน
มาดูสิ่งที่สามารถนำไปใช้กับข่าวประเสริฐ นักวิชาการหลายคนตั้งข้อสังเกตุว่ามัทธิว 5:3 “บุคคลผู้ใดรู้สึกบกพร่องฝ่ายวิญญาณ ผู้นั้นเป็นสุข” คือพื้นฐานของคำสอนทั้งหมดในคำเทศนาบนภูเขา เป็นพื้นฐานเพราะความบกพร่อง (ขัดสน) ฝ่ายวิญญาณที่จำเป็นสำหรับชีวิตนิรันดร์ ไม่มีใครเข้าสวรรค์ได้เพราะคิดว่าตนเองมีสิทธิ นอกจากพระเยซูคริสต์ มือของคุณต้องว่างเปล่าก่อนจะได้รับการเติมเต็มจากพระองค์ ในมือต้องไม่มีสิ่งใด เพราะนี่ไม่ใช่สิ่งที่เราทำได้ด้วยตนเอง ถ้าไม่ให้ตัวเราว่างเปล่า ถ้าไม่ให้ตัวเราขัดสนถึงที่สุด เราจะไม่ตระหนักถึงความสิ้นเนื้อประดาตัวของเราเอง นี่คือการงานแห่งพระคุณของพระเจ้า เป็นข้อพิสูจน์งานของพระองค์ในตัวเรา เราเห็นตนเองอย่างที่เราเป็น จึงพร้อมหันกลับมาหาพระองค์ ทรงเปลี่ยนจิตใจเราให้หาพระองค์ เราไม่มีสิ่งใดไปมอบให้พระองค์ได้ ไม่มีสิทธิใดไปอ้าง ไม่มีสิ่งใดที่จะทำให้พระเจ้าทำด้วยพระคุณให้เรา ทั้งหมดเป็นพระเมตตา ทั้งหมดเป็นพระคุณ
พระเจ้าทำให้สิ่งเหล่านี้เป็นไปได้อย่างไร? เกิดขึ้นได้อย่างไร? เราพูดถึงนาอามานใน 2พงศ์กษัตริย์ 5 พระเจ้าทรงใช้หลากหลายวิธี ถ้าเรามีเวลา เราคงจะได้คุยกันถึงตอนที่พระเจ้ากระชากพรมออกจากใต้คุณ และในทันทีคุณตระหนักได้ว่าคุณไม่มีสิ่งใดเหลือมอบให้พระองค์ได้ แต่พระเจ้าทรงทำสิ่งนั้นในชีวิตคุณ โดยผ่านพระวจนะและพระวิญญาณ บางครั้งพระองค์ทรงทำผ่านความบาปในชีวิตคุณ ด้วยสาเหตุบางอย่างมันก็แจ่มแจ้งแดงขึ้นมา ผ่านโศกนาฏกรรมในชีวิต ผ่านวิกฤติในครอบครัวหรือที่อื่นๆ ผ่านความเจ็บป่วย ปัญหาการเงิน ไม่ว่าจะแบบไหน พระเจ้าทรงใช้เหตุการณ์เหล่านั้นเพื่อนำคุณมาถึงพระองค์
นึกถึงความโศกเศร้า ผมสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นถ้าในนาทีที่เกิดอาการโศกเศร้า เวลาที่ตระหนักว่ามันว่างเปล่าเหลือแต่เพียงพระเจ้า? ทำให้นึกถึงถ้อยคำของดาวิด “จิตวิญญาณของข้าพเจ้าเอ๋ย ไฉนเจ้าจึงฝ่ออยู่”6 เราพูดกับตัวเอง “ทำไมเราถึงเศร้าโศกอย่างนี้? มองไปที่พระเจ้า มองไปที่พระเจ้าสิ” หนึ่งในอันตรายคือเราต้องไปจนถึงจุดที่ไม่เหลืออะไรเลย เหลือแต่ความว่างเปล่า ก่อนจะยอมหันกลับมาหาพระเยซู สำหรับพวกเราที่เป็นพ่อแม่ เป็นเพื่อน หรือเพื่อนบ้าน จุดอันตรายคือบางครั้งเราทำหลายสิ่งมากเพื่อช่วยบางคนไม่ให้ตกต่ำลงจนถึงก้น บึ้ง แต่ในความเป็นจริงแล้ว บางทีอาจเป็นงานแห่งพระคุณของพระเจ้าสำหรับพวกเขา เราต้องแยกแยะให้ดี เพราะบางทีเราอาจใช้เป็นข้ออ้างง่ายๆที่จะไม่ไปช่วยคนที่ลำบาก เพราะกลัวว่าจะไปแทรกแซงการงานของพระเจ้า เราต้องระวังและมองให้ออกว่าพระเจ้ากำลังนำใครบางคนไปถึงจุดที่สิ้นเนื้อ ประดาตัว หรือพระองค์อาจดึงบางคนเข้าให้ใกล้พระองค์ เราต้องรอบคอบต่อการตอบสนองสิ่งที่พระเจ้ากำลังทำในชีวิตผู้อื่น
จะนำไปใช้ในการประกาศอย่างไร? ผมคิดว่าเราต้องมองข่าวประเสริฐที่เรานำไปใช้ให้รอบคอบ หลายปีมาแล้วผมทำให้บางคนไม่พอใจ เป็นพี่น้องคริสเตียนที่ผมนับถือ เขาพูดว่า “ถ้าคุณกำลังจะนำใครบางคนมาถึงพระคริสต์ (คนที่ยโสมาก) คุณต้องดึงดูดคนๆนั้นด้วยความภาคภูมิใจของเขา” ผมไม่คิดอย่างนั้น เราต้องระมัดระวังในการนำเสนอพระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์ เราต้องไม่ดึงดูดพวกเขาด้วยสิ่งที่พระเจ้าบอกให้เขาละทิ้ง อย่าดึงดูดคนด้วยความโลภ อย่าบอกพวกเขาว่าถ้ามาเชื่อในพระเยซูแล้วชีวิตจะมีแต่ความร่ำรวย และทุกอย่างมีแต่จะดีขึ้น มันอาจไม่เป็นอย่างนั้น พระเจ้าหยิบยื่นการอภัยบาป และมอบของขวัญแห่งชีวิตนิรันดร์ให้ เราจึงต้องระวังต่อข่าวประเสริฐที่นำไปประกาศ
อย่างที่พูดไปแล้ว การยอมรับว่าตนเองล้มละลายฝ่ายวิญญาณเป็นสิ่งจำเป็นก่อนจะได้รับความรอด แต่ต้องบอกด้วยว่าจำเป็นสำหรับชีวิตคริสเตียน เราต้องระวังที่จะไม่พูดกับตัวเองว่า “โอเค ฉันได้รับความรอดแล้ว รู้แล้วว่าตัวเองเคยล้มละลายฝ่ายวิญญาณ เคยติดลบ แต่ในที่สุดก็ได้เคลียร์หนี้แล้ว” ไม่ใช่นะครับ ในหนังสือเฉลยธรรมบัญญัติ พระเจ้าตรัสกับชาวอิสราเอลว่าเมื่อพวกเขาไปถึงแผ่นดิน (หลังพ้นจากการเป็นทาส) แล้วจู่ๆจากที่ไม่เคยมีที่เป็นของตนเอง ตอนนี้ได้มีเรือกสวนไร่นา ถ้าเป็นเรา ก็คงร้องว่า “โว้ว สุดยอดเลย” ปัญหาคือพระเจ้าบอกว่า หลังจากนั้นสักพัก เมื่อพวกเขาได้กินพืชผลจากสวนที่ไม่ได้ปลูก เก็บเกี่ยวจากไร่นาที่ไม่ได้ลงแรง — สิ่งเหล่านี้พระองค์มอบให้พวกเขาโดยพระคุณ — แต่จะมาถึงวันหนึ่งที่พวกเขาบอกกับตัวเอง “ดูสิ เพราะเราเป็นคนชอบธรรมพระเจ้าถึงประทานสิ่งเหล่านี้ให้ เป็นเพราะเราจริงๆนะ” – แล้วคุณก็เริ่มมองสิ่งต่างๆเปลี่ยนไป
เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นกับคริสเตียนได้ คนที่เริ่มพูดว่า “นี่เป็นเพราะเราเป็นคนชอบธรรม” แต่พระเจ้าตรัสว่า “ไม่ใช่เลย แต่เป็นเพราะความบาปของเจ้า เจ้าชั่วร้ายยิ่งกว่า และเราได้เหวี่ยงเจ้าออกไป” มีทางเป็นไปได้เมื่อเรารับของขวัญที่พระเจ้าประทานให้ แต่แล้วกลับไปอ้างเอาความดีความชอบเข้าตัวเอง และสิ่งนี้เองที่ทำให้การนมัสการเป็นเรื่องสำคัญมากๆ การนมัสการจะนำเราย้อนกลับไป บอกว่าพระพรที่เรามีอยู่ พระเจ้าให้มาอย่างไร
เป็นสิ่งเดียวกับของประทานฝ่ายวิญญาณ เป็นเรื่องที่ผมเองต้องต่อสู้หน่อย คือสู้กับความขัดแย้งระหว่างความจริงว่าของประทานฝ่ายวิญญาณเป็นกำลังที่พระ เจ้ามอบให้ และความจริงที่ อ.เปาโลกล่าวว่าเมื่อเราอ่อนกำลังเราจะเข้มแข็ง แล้วจะทำให้กลมเกลียวไปด้วยกันอย่างไร? ผมคิดว่าเราต้องพูดว่าเรารับรู้ถึงการล้มละลายฝ่ายวิญญาณในฐานะคริสเตียน – การดำเนินชีวิตคริสเตียน การนำคนมาถึงความรอด และมีชีวิตแห่งชัยชนะ – เราเองไม่สมควรได้ ต้องเข้ามาวางใจในพระองค์และการจัดเตรียมที่ประทานให้ เมื่อไรที่เรารู้สึกว่าเราไม่ขัดสน เริ่มรู้สึกมั่งมี และรู้สึกว่าการเข้าเฝ้าพระเจ้าคือ “ไม่ต้องโทรมานะ แล้วจะโทรไปหา” ครับผมคิดว่าเมื่อพระเจ้าตรัสกับคนอิสราเอล พระองค์ตรัสกับเรา บอกกับอิสราเอลว่า “ขอเตือนเจ้าสักเรื่อง (ซึ่งบันทึกไว้ชัดเจนในเลวีนิติ) แผ่นดินนี้ไม่ใช่ของเจ้า” เมื่อชาวอิสราเอลเข้าสู่แผ่นดินคานาอัน พระเจ้าไม่ได้บอกว่า “โอเค มันเป็นของเจ้าแล้ว” แต่พระองค์บอกว่า “นี่เป็นแผ่นดินของเรา เจ้าจะได้อยู่ในแผ่นดินนี้ตราบที่เจ้าทำตามกฎเกณฑ์ของเรา และเมื่อไรที่เจ้าหยุด เจ้าก็ต้องออกไปเสีย เพราะที่นี่คือแผ่นดินของเรา”
เมื่อพูดถึงของประทานฝ่ายวิญญาณในพระคัมภีร์ใหม่ อ.เปาโลกล่าวไว้ใน 1โครินธ์ 4:7 “ท่านมีอะไรที่ท่านมิได้รับมา?” ทุก สิ่งที่คุณมี ที่คุณกำลังอวดอ้าง (อย่างที่ชาวโครินธ์ทำ) เป็นของประทานโดยพระคุณ ศัพท์สำคัญตรงนี้คือ “ผู้อารักขา” ผู้อารักขาจะตระหนักว่าสิ่งที่ได้รับมอบมา คือสิ่งที่ให้เขามีหน้าที่ดูแล แต่ไม่ใช่เจ้าของ ของประทานของเรา มรดกฝ่ายวิญญาณของเรา พระพรทุกอย่างที่พระเจ้าประทานให้ พระองค์มอบไว้ในมือเราเพื่อให้ทำหน้าที่อารักขา แต่ยังเป็นของๆพระเจ้า ไม่ใช่ของเรา ดังนั้นเราอวดอ้างไม่ได้เลย ถ้าจะอวด เราต้องอวดพระเจ้าเท่านั้น
แล้วเรื่องเห็นคุณค่าในตนเองล่ะ? ผมเคยได้ยินคริสเตียนพูดว่า “ปัญหาในคุกของเราคือ การไม่เห็นคุณค่าในตนเอง” ผมขอบอกนะครับ เราต้องประเมินความคิดนี้ให้ดีๆจากพระวจนะของพระเจ้า พระวจนะไม่ได้บอกว่า “บุคคลผู้ใด มองเห็นคุณค่าในตนเอง ผู้นั้นเป็นสุข” ผมจำไม่ได้ว่าจอห์น ไพเพอร์เขียนไว้ตรงไหน ตอนที่ปาฐกถาให้ที่ประชุมครูรวีฟัง เขาบอกว่าถ้าเอาประโยคนี้มาเรียบเรียงใหม่ “เราไม่จำเป็นต้องสร้างคุณค่าให้ตนเอง เด็กๆของเรามีอยู่แล้วเต็มไปหมด ที่เราเรียกกันว่า “อัตตา” – ความมุ่งมั่นเชื่อมั่นในตนเอง – มีมากด้วย พวกเขาเกิดมาพร้อมกับสิ่งนี้” “แต่” ไพเพอร์กล่าวว่า “เมื่ออบรมเด็กของเรา เราจำเป็นต้องสอนเรื่องพระเจ้าให้เขาฟัง จำเป็นต้องพูดกับเขาถึงความบริสุทธิ์ของพระเจ้า พวกเขาต้องเข้าใจให้ได้ว่าตนเองเป็นใครในความสัมพันธ์กับพระเจ้า” ครับ อาจมีหลายสิ่งที่เราไว้ใจ – บุคลิกของเรา ความสำเร็จของเรา สังคมและคนที่เราเกี่ยวข้องด้วย – ความเป็นจริงคือเรามักจะพบคุณค่าของเราในสิ่งเหล่านี้ เคยคิดหรือไม่ว่าทำไม อ.เปาโลต้องบอกให้เราไปสร้างความสัมพันธ์กับผู้ที่ต่ำต้อยกว่า? เพราะพวกเขาไม่มีสถานะใดๆ แต่กลับเป็นพวกที่พระเยซูออกไปตามหา ถ้าคนที่ขัดสนฝ่ายวิญญาณคือคนที่ได้รับพระพร คนเหล่านั้นก็คือคนที่ออกไปพร้อมกับข่าวประเสริฐแห่งพระกิตติคุณ
สิ่งต่างๆนี้ที่เราเอาตัว เอาหัวใจไปมอบไว้ – นักกีฬาที่เก่งๆ ดารา นักร้องและเซเลบที่ดังๆ คนที่มีอำนาจบารมี ทุกสิ่งเหล่านี้คือสิ่งที่เราต้องละออกมา แล้วยังสิ่งที่ดูเหมือนไปได้สวยในชีวิตเรา เช่น เวลาที่คุณมองไปที่สถิติของผู้บริหารในบริษัทหรือองค์กรต่างๆ บ่อยครั้งพวกเขาจะดูดี สวยงาม มีสง่า ทำไมครับ? เพราะคนเหล่านั้นต้องปรุงแต่ภาพลักษณ์ให้เป็นที่นิยม เราจึงต้องระวังไม่ทำหรือดำเนินชีวิตในแบบเดียวกันต่อเบื้องพระพักตร์พระ เจ้าในหลักการเดียวกับที่เราสร้างเพื่อให้มนุษย์ชื่นชม เราต้องนำทุกสิ่งมาประเมินใหม่ในความสว่างที่พระเจ้าตรัสไว้ในพระวจนะของ พระองค์
เราต้องเข้ามาสู่เวลาแห่งการนมัสการ เวลาที่เราจำได้ว่าเรามาจากไหน พระเจ้าคือผู้ใด และเราเป็นใคร และก็ไม่แปลกที่เราจะทำสิ่งนี้ทุกอาทิตย์ด้วยกันในพระกาย เราจำเป็นต้องทำเช่นนี้ในฐานะคริสเตียน “บุคคลผู้ใด รู้สึกบกพร่องฝ่ายวิญญาณ ผู้นั้นเป็นสุข” ผมต้องขอพูดเรื่องสุดท้ายอีกเรื่อง อาจมีบางคนกำลังดิ่งลงสู่ก้นบึ้งของชีวิต แล้วเขาสงสัยว่ามันคุ้มที่จะไปต่อหรือไม่ ข่าวดีคือ “บุคคลผู้ใด รู้สึกบกพร่องฝ่ายวิญญาณ ผู้นั้นเป็นสุข” ถ้า พระเจ้านำคุณไปจนถึงจุดที่เห็นว่าในตนเองไม่มีอะไรดีเลยที่สามารถให้พระเจ้า ได้ คุณก็กำลังอยู่ในที่ๆดีที่สุดที่คุณเคยไป และผมขอให้คุณเข้ามาวางใจในพระเยซู ในพระองค์เท่านั้น เพื่อจะรับเอาความรอด
1 153 นอกจากที่กล่าวไปแล้ว พระวจนะที่นำมาอ้างอิงทั้งหมดมาจาก NET Bible (The NEW ENGLISH TRANSLATION) เป็น ฉบับแปลใหม่ทั้งหมด ไม่ใช่นำฉบับเก่าในภาษาอังกฤษมาเรียบเรียงใหม่ ใช้ผู้เชี่ยวชาญและนักวิชาการพระคัมภีร์มากกว่า ยี่สิบคน รวบรวมข้อมูล ทั้งจากภาษาฮีบรูโดยตรง ภาษาอาราเมข และภาษากรีก โครงการแปลนี้เริ่มมาจากที่เราต้องการนำ พระคัมภีร์ เผยแพร่ผ่านสื่ออีเลคโทรนิค เพื่อรองรับการใช้งานทางอินเตอร์เน็ท และซีดี (compact disk) ที่ใดก็ตามในโลก ที่ต่อเข้าอินเตอร์เน็ทได้ ก็สามารถเรียกดู และพริ้นทข้อมูลไว้เพื่อใช้ศึกษาเป็นการส่วนตัวได้โดยไม่คิดมูลค่า นอกจากนี้ ผู้ใดก็ตาม ที่ต้องการนำข้อมูลเกี่ยวกับพระคัมภีร์ไปเผยแพร่ต่อโดยไม่คิดเงิน สามารถทำได้จากเว็บไซด์ : www.netbible.org.
2 154 เป็นต้นฉบับของบทเรียนที่สิบในบทเรียนต่อเนื่องของพระกิตติคุณมัทธิว จัดทำโดย Robert L. Deffinbaugh 27 เมษายน 2003
3 155 R. Kent Hughes, The Sermon on the Mount: The Message of the Kingdom (Wheaton, Illinois, Crossway Books, 2001), p. 16.
4 156 จากข้อเขียนอันโด่งดังของจอห์น ไพเพอร์ (see Desiring God Ministries http://www.desiringgod.org) http://desiringgod.org/library/sermons/86/021686.html
5 157 Max Lucado, The Applause of Heaven, (Dallas, Texas, Word Publishing, 1990) p. 31.
6 158 สดุดี 42:11 สดุดี 43:5 The Holy Bible, New International Version (Colorado Springs, Colorado, International Bible Scociety, 1984)
ต้อง ขอสารภาพว่าผมมีความกลัวแบบเด็กๆในเรื่องความตายตอนยังไม่เชื่อพระเจ้า ตายายของผมมีบ้านอยู่ตรงข้ามสุสานใหญ่ของเมือง เวลาไปเยี่ยมพวกท่านผมไม่กล้ามองไปที่สุสาน แอบสงสัยว่าที่ฝั่งตรงข้ามมันเป็นอย่างไร แต่ความเป็นจริง ผมก็เหมือนคนส่วนใหญ่ ไม่ชอบความโศกเศร้า ตอนอยู่ชั้นมัธยม ครูที่เป็นคริสเตียนตายลงกระทันหัน ผมถูกเลือกให้เป็นตัวแทนของห้องไปงานศพ ผมทำตัวไม่ถูก ยังทำท่าคึกคะนอง เพราะไม่รู้วิธีรับมือกับความโศกเศร้า นี่เป็นหนึ่งในวิธีหลีกเลี่ยงบางสิ่งที่พระคัมภีร์บอกเราต้องหัดรับมือและ ต้องฝึกฝน
บทเรียนตอนนี้เป็นคำเทศนาบนภูเขาของมัทธิว 4:5 "บุคคลผู้ใดโศกเศร้า ผู้นั้นเป็นสุข เพราะว่าเขาจะได้รับการทรงปลอบประโลม”2 จะเป็นไปได้อย่างไรที่ผู้โศกเศร้าจะเป็นสุข และจะได้รับการปลอบประโลม? นี่เป็นข่าวดีที่พระกิตติคุณมอบให้ นี่เป็นหนึ่งในเหตุผลที่ทำไมหลายปีมานี้ผมพูดซ้ำๆว่าอยากประกอบพิธีไว้อาลัย มากกว่าพิธีแต่งงาน เพราะความเป็นจริง นอกจากข่าวประเสริฐแห่งพระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์แล้ว การปลอบประโลมที่แท้จริงไม่เคยมี เราจึงเข้าสู่บทเรียนนี้ด้วยความมั่นใจว่ามีการปลอบประโลมรอเราแน่นอน และการปลอบประโลมนี้เกี่ยวข้องกับพระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์ จะเป็นการดีที่เราเริ่มต้นด้วยคำถาม “คำว่าโศกเศร้าในพระคัมภีร์หมายถึงอะไร?” ลองมาดูตัวอย่างความโศกเศร้าที่มีอยู่ในพระคัมภีร์
ในหนังสือปฐมกาล เราพบเรื่องความโศกเศร้าเพราะความตายค่อนข้างมาก และไม่ใช่เรื่องน่าประหลาด เพราะเมื่อพระเจ้าห้ามอาดัมและเอวากินผลจากต้นไม้ต้องห้าม (เอวาก่อนแล้วส่งต่อให้อาดัม) พระองค์ตรัสว่าวันใดก็ตามที่เจ้ากิน เจ้าต้องตายแน่ หนังสือปฐมกาลจึงมีแต่เรื่องของความตาย และแน่นอนความโศกเศร้าที่เกิดเพราะความตาย ในปฐมกาล 23 อับราฮัมโศกเศร้าต่อการจากไปของซาราห์ ยาโคบเองก็โศกเศร้าเพราะคิดว่าโยเซฟลูกชายตายไปแล้ว – ถึงโยเซฟยังไม่ตาย แต่ยาโคบก็โศกเศร้าเพราะการสูญเสีย ชาวอียิปต์โศกเศร้าเมื่อยาโคบตายลง และดาวิดใน 2ซามูเอล1 คร่ำครวญเพราะการจากไปของซาอูลและเพื่อนรักของท่านโยนาธาน เราพบความโศกเศร้าเพราะความตายอยู่ในพระคัมภีร์ตลอดทั้งเล่ม แต่ไม่ใช่ความตายเรื่องเดียว ตัวอย่างเช่น เมื่ออับซาโลมฆ่าคนแล้วหนีจากอิสราเอลไปเพราะกลัวความผิด ดาวิดก็เศร้าเสียใจต่อการจากไปของลูก
ในกันดารวิถี 14:39 เมื่อชาวอิสราเอลไปถึงคาเดชบาร์เนีย และไม่ยอมเข้าไปยึดครองดินแดนนั้น พระเจ้าจึงให้พวกเขาแก่ตายก่อนได้เข้าสู่แผ่นดินพันธสัญญา ประชาชนก็โศกเศร้านัก คร่ำครวญเพราะสูญเสียพระพรที่กำลังจะตกอยู่ในมือไปต่อหน้าต่อตา พวกเขาโศกเศร้าและคร่ำครวญ จำได้หรือไม่การคร่ำครวญแบบนี้ไม่ได้ส่งผลดีอะไร เพราะพวกเขาพยายามเข้าไปกันเองและในที่สุดก็พ่ายแพ้
ในสดุดี 119:136 ผู้เขียนสดุดีคร่ำครวญเพราะความบาปของประชากรของพระเจ้า กล่าวว่า “ข้าพระองค์น้ำตาไหลพรั่งพรู เพราะคนไม่ปฏิบัติตามพระธรรมของพระองค์” ในหนังสือโฮเชยา 4:3 บอกเราว่าแผ่นดินเป็นทุกข์เพราะความบาปของอิสราเอล และผลของบาปนั้นก็ตกแก่แผ่นดินพวกเขาเอง มีตัวอย่างอีกนับไม่ถ้วน และในพระวจนะที่ต่อๆมาจากปฐมกาล ความโศกเศร้ามุ่งไปที่การสูญเสียผู้เป็นที่รัก (เพราะความตาย) จนถึงโศกเศร้าที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับความบาปและผลที่ตามมา ให้เราพยายามหาความหมายโดยมองไปที่องค์ประกอบที่ก่อให้เกิดความโศกเศร้า
1) ความโศกเศร้าเป็นการตอบสนองทางอารมณ์ ที่ต้องทำคือเข้าไปอ่านพระวจนะ สำหรับพวกเราในสังคมและวัฒนธรรมที่ไม่แสดงออกมาก เห็นได้ไม่ชัดเท่ากับวัฒนธรรมอื่นๆ วัฒนธรรมทางตะวันออกในยุคพระคัมภีร์ การคร่ำครวญบางทีดูเกินจริง ดูมากเกินถึงขนาดจ้างนางร่ำไห้มาร้องคร่ำครวญ ยังมีที่อื่นๆในโลกที่ยังทำแบบนี้อยู่ และถ้าดูภาพข่าวเหตุการณ์ในตะวันออกกลาง เราเห็นคนร่ำไห้เพราะสูญเสียคนในครอบครัว โดนระเบิดหรือโศกนาฏกรรมอื่นๆ เราเห็นแต่อาการภายนอกที่พวกเขาแสดงออกถึงความเสียใจอย่างที่สุด ที่พูดขึ้นมาเพราะพวกเราบางคนอาจไม่คิดเยอะ แต่ผมอยากจะบอกว่าสำหรับครอบครัวของผม ไม่มีใครพูดได้ว่า “ผู้ชายไม่ควรร้องไห้”
จำได้ตอนที่ลูกชายของเราตาย พ่อของผมออกไปที่สนามแล้วเอาแต่เข็นรถตัดหญ้าไปมา ท่านเข็นไปจนทั่วสนามหลังบ้านเพราะต้องการปลดปล่อยความเศร้าโศก แต่นี่ไม่ใช่อารมณ์เศร้าโศกในแบบเดียวกับที่เรามักพบในพระคัมภีร์ นี่เกี่ยวข้องกับอารมณ์ของเรา ไม่ใช่สติปัญญา แต่เป็นเรื่องเกี่ยวข้องกับอารมณ์ที่อ่อนไหวที่สุด ไม่ใช่ความพยายามที่จะผ่านไปให้ได้ ไม่ใช่สิ่งที่เราหาทางชดเชย ความโศกเศร้าในความเป็นจริง คือความเสียใจที่ลึกที่สุด เราจะสัมผัสได้เมื่อไปถึงจุดนั้น เป็นการตอบสนองทางอารมณ์ต่อการสูญเสีย บางคนอาจบอกว่าไม่ใช่ แต่ตามที่เข้าใจ ทุกครั้งที่เห็นความโศกเศร้าในพระคัมภีร์ ผมสัมผัสได้ถึงการสูญเสียบางสิ่ง อาจไม่ใช่สูญเสียชีวิตหรือความสัมพันธ์ ที่อาจเป็นความโศกเศร้าที่สุดก็เป็นได้ อาจเป็นการสูญเสียสิทธิประโยชน์ เช่นชาวอิสราเอลคร่ำครวญที่คาเดชบาร์เนีย เพราะรู้ว่าไม่มีโอกาสเข้าแผ่นดินพันธสัญญาแล้ว เป็นความสูญเสียที่เจ็บปวดอย่างล้ำลึก ดาวิดสูญเสียอับซาโลมไปเมื่อเขาหนีออกจากบ้านไปอาศัยอยู่กับญาติ ท่านรู้สึกเศร้าเสียใจกับการสูญเสียครั้งนั้น
2) เราอาจพูดได้ว่าท่าทีความโศกเศร้าบางทีไม่เหมาะสมเสมอไป ทุกท่าทีที่แสดงออกถึงความโศกเศร้าอาจไม่เหมาะสม เช่นดาวิดคร่ำครวญถึงการตายของอับซาโลม เป็นสิ่งที่ไม่สมควร จำได้หรือไม่ว่าโยอาบทำอย่างไร ถ้าทำได้เขาคงอยากเขย่าตัวท่านให้ได้สติคืนมา แต่ไม่อาจทำได้ จึงพูดกับดาวิดด้วยความนุ่มนวล โยอาบพูดทำนองว่า “ดาวิด ตั้งสติหน่อย ที่ทำอยู่นี่ไม่ถูกต้อง ประชาชนสัมผัสได้ว่าท่านโศกเศร้ามากเกินไป ทำให้พวกเขารู้สึกว่าพวกเขาน่าจะตายเพื่อให้อับซาโลมได้อยู่ ความโศกเศร้าของท่านไม่ถูกต้อง การตายของอับซาโลมทำให้กอบกู้ราชอาณาจักรกลับคืนมาได้ ตั้งสติให้ดีดาวิด ความโทมนัสของท่านนั้นไม่สมควรอย่างยิ่ง”
ส่วนอัมโนนที่แสดงท่าที เสียใจก็ไม่ถูกต้อง เพราะไม่ได้ครอบครองทามาร์น้องสาวต่างมารดา อาหับเสียใจเพราะไม่ได้ครอบครองสวนองุ่นของนาโบท ซามูเอลเสียใจที่ซาอูลต้องเสียอาณาจักรไป การแสดงออกถึงความเสียใจเช่นนี้ไม่สมควร และความเสียใจไม่ใช่ว่าจะดีเสมอไป เราจึงพูดได้ว่า “ไม่ใช่ทุกคนที่โศกเศร้า จะได้รับการปลอบประโลม” ใช่หรือไม่? เมื่อพระเยซูตรัสว่า "บุคคลผู้ใดโศกเศร้า ผู้นั้นเป็นสุข เพราะว่าเขาจะได้รับการทรงปลอบประโลม” (มัทธิว 5:4) พระองค์กำลังตรัสถึงคนพวกหนึ่ง และความโศกเศร้าในอีกแบบหนึ่ง
3) ไม่มีการปลอบประโลมใดในโลกนี้ที่ให้ได้กับผู้ที่โศกเศร้าทุกคน ผมเคยไปงานศพหลายครั้ง เหมือนกับที่พวกคุณเคย มีผู้ไม่เชื่อนับไม่ถ้วนมาร่วมงาน พวกเขาโศกเศร้า แต่ไม่มีการปลอบประโลมใดที่ช่วยได้นอกจากในองค์พระเยซูคริสต์ และข่าวประเสริฐแห่งพระกิตติคุณ เมื่อเราอ่านพระวจนะในคำเทศนาบนภูเขา เรากำลังพูดถึงคนที่โศกเศร้า พูดถึงคนที่ขัดสนฝ่ายวิญญาณ คนที่ใจอ่อนโยน คนที่หิวกระหายความชอบธรรม ผมไม่คิดว่าคุณจะดึงแค่บางตอนออกมาจากคำเทศนาบนภูเขา และกล่าวว่าทุกคนที่โศกเศร้าจะได้รับการปลอบประโลม แต่คุณต้องพูดว่า “ผู้โศกเศร้าทุกคนที่ขัดสนฝ่ายวิญญาณและหิวกระหายความชอบธรรม จะได้รับการทรงปลอบประโลม” ครับ มีการปลอบประโลม แต่ไม่ใช่สำหรับทุกคน
4) เราต้องเข้าใจถึงท่าทีของความโศกเศร้าที่เหมาะสม นี่คือหัวใจสำคัญของบทเรียนนี้ และผมออกจะกังวล (ต้องขอสารภาพว่าเป็นกังวลมาก) ยิ่งเมื่อได้อ่านพระคำที่ตรัสว่า “"บุคคลผู้ใดมีใจอ่อนโยน ผู้นั้นเป็นสุข” ไม่ใช่เพราะมีความชอบใจเป็นพิเศษในพระวจนะข้อนี้ แต่รู้สึกสบายใจมากกว่าความโศกเศร้า ผมออกจะกังวลมากในเรื่องความโศกเศร้า จะทำให้เข้าใจได้อย่างไร เข้าใจและสามารถนำไปใช้ให้ถูกต้อง เราต้องเข้าใจว่าอะไรคือท่าทีของความโศกเศร้าที่เหมาะสม ผมพยายามแยกแยะองค์ประกอบของความโศกเศร้าตามพระคัมภีร์ – ความโศกเศร้าในแบบที่ได้รับการทรงปลอบประโลม
ขอถามสักสองสามข้อเพื่อทดสอบเรื่องความโศกเศร้าของผู้มีความเชื่อ
A)นี่เป็นบางสิ่งที่ผู้ชอบธรรมโศกเศร้าหรือไม่? ความ โศกเศร้าของเราชอบธรรมในแบบของพระคัมภีร์หรือไม่? แน่นอนเราต้องเริ่มต้นที่พระเยซูคริสต์ ตามที่ผมเข้าใจในคำเทศนาบนภูเขา สิ่งที่พระเจ้าตรัสว่า “ผู้เป็นสุข” เป็นคุณลักษณะของพระเจ้าที่ต้องสำแดงชัดเจนในชีวิตของธรรมิกชนของพระองค์ คุ้นกับตัวย่อ WWJD3 มั้ยครับ? (What would Jesus do? – พระเยซูจะทรงทำอย่างไร) ในเรื่องความโศกเศร้า พระเยซูจะโศกเศร้าในเรื่องนี้หรือไม่? มีความโศกเศร้ามากมายในปัจจุบันที่พระเยซูคงไม่เห็นชอบด้วย แต่มีสองกรณีหลักอยู่ในความโศกเศร้าของพระองค์ – อันแรกอยู่ในยอห์น 11:35-36 ที่อุโมงค์ฝังศพของลาซารัส และข้อพระคำที่โด่งดังไปทั่วโลกในข้อ 35 “พระเยซูทรงพระกันแสง” ผู้คนได้เห็นและกล่าวว่า “ดูซิพระองค์ทรงรักเขาเพียงไร”
ผม ไม่แน่ใจว่าจะมีคำตอบต่อคำถามนี้หรือไม่ แต่จะขอถามอยู่ดี พวกเขาพูดถูกหรือไม่? ไม่ใช่ในแง่ที่พระเยซูทรงรักลาซารัส – แน่นอนพระองค์ทรงรักเขา พวกเขาถูกต้องหรือไม่ที่สรุปว่าความโศกเศร้าของพระเยซูนั้นเชื่อมโยงและเป็น ผลโดยตรงจากความรักที่พระองค์มีต่อลาซารัส? มันยากที่เราจะรู้เรื่องทั้งหมดภายในไม่กี่วินาที ลาซารัสกำลังจะออกมาจากอุโมงค์ฝังศพในสภาพกายที่ถูกพันไว้ มันยากที่จะเห็นพระเยซูเต็มไปด้วยความโศกเศร้า อาจจะดีกว่าที่พูดว่า “ดูสิ พระเยซูทรงรักมารีและมาร์ธาเพียงไร” ทั้งคู่เป็นพี่สาวของลาซารัส อย่างน้อยเรามีข้อพระคำ “จงร้องไห้กับผู้ที่ร้องไห้ และจงชื่นชมยินดีกับผู้ที่ชื่นชมยินดี” พระเยซูทรงอยู่กับผู้ที่โศกเศร้าเพราะการจากไปของลาซารัส ผมรู้สึกว่าน่าจะมีเรื่องของความบาปและผลของมันด้วย เมื่อมองไปที่ใบหน้าของความตาย เราควรเห็นการเชื่อมโยงระหว่างความตายและความบาปที่ส่งผลให้เกิดขึ้นหรือ ไม่?
ผมเคยคุยกับบางคนเรื่องการเผาศพว่าถูกต้องหรือไม่ที่จัดการกับ ร่างผู้ตายแบบนั้น มีความเห็นหลากหลาย ขอบอกว่าผมมีส่วนเกี่ยวข้องกับงานศพและพิธีไว้อาลัยมากมาย เคยไปงานศพที่มีการเผาร่างผู้เสียชีวิต แต่ไม่ได้รู้สึกว่ามันเป็นเรื่องเจ็บปวดจนรับไม่ได้ แต่อยากบอกว่า สิ่งหนึ่งที่สำคัญในพิธีไว้อาลัยคือร่างผู้เสียชีวิตที่นอนอยู่ที่นั่น — เมื่อมีโลงศพตั้งอยู่ มีญาติพี่น้องมาร่วมงาน ผู้ใหญ่อาจอุ้มเด็กๆให้ดูใบหน้าของผู้ตายเป็นครั้งสุดท้าย — มีบางสิ่งที่มองด้วยตาเห็นว่าเชื่อมโยงกับความตาย ถ้าไม่มีร่างผู้ตาย ความหมายชัดเจนของความตายจะไม่มีวันสื่อออกไปแตะใจใครได้
ผมคิดเอน เอียงไปว่าที่พระเยซูทรงพระกันแสง อย่างน้อยมีบางส่วนที่เกิดเพราะความบาปและหายนะที่เป็นผลของบาป ในลูกา 19:41-44 พระเยซูเสด็จเข้ากรุงเยรูซาเล็ม และทรงพระกันแสงเพราะเมืองนั้น ทรงพระกันแสงเพราะเมื่อพระองค์เสด็จมาสำแดงแก่อิสราเอลว่าทรงเป็นพระเมสซิยา ห์ และพวกเขาปฏิเสธพระองค์ เมืองนั้นและประชากรจะถูกทำลายจนพินาศ อีกครั้งที่ความโศกเศร้าของพระเยซูเกิดขึ้นเพราะผลของความบาป แต่จะพูดให้ถูก ความโศกเศร้าของพระองค์ต่อความบาปและต่อชีวิตของผู้คนนั้นเชื่อมโยงถึง พระองค์
พระวจนะสองตอนที่จำเป็นอย่างยิ่งเพื่อให้เข้าใจมัทธิว 5:4 ผมพยายามมองภาพกว้างเมื่อพูดว่า “คนชอบธรรมจะโศกเศร้าในเรื่องนี้หรือไม่? และ “ผู้เผยพระวจนะจะโศกเศร้าในเรื่องที่เรากำลังโศกเศร้าหรือไม่?” มีหลายกรณีสำหรับเรื่องนี้ พระวจนะที่เป็นกุญแจในเรื่องนี้คืออิสยาห์ 61 และอิสยาห์ 40 ผมไม่อาจอ่านมัทธิว 5:4 โดยไม่บอกกับตัวเองว่า “ท่านกำลังชี้ไปที่อิสยาห์ 61” ไม่อาจหลุดจากความคิดนี้ได้ ถ้าคิดว่าผมค้นมากไป ลองกลับไปดูพระกิตติคุณลูกาตอนที่พระเยซูเสด็จไปที่นาซาเร็ธ ไปที่ธรรมศาลา รับหนังสือม้วนมาและอ่านข้อพระคำตอนนี้ (ลูกา 4:18-19) ผมคิดว่าพระองค์อ่านแล้วหยุดเพราะพระวจนะเอ่ยถึง “วันแห่งการพิพากษา” พระองค์ไม่ได้อ่านยาวลงไปถึงตอนที่พูดถึงความทุกข์โศกเศร้า แต่ในความเป็นจริง พระวจนะตอนนี้ที่พระเยซูทรงเลือกชี้ไปที่พระองค์เอง แน่นอน เมื่อพระเยซูตรัสถึงตรงนี้ เราคงพูดได้เต็มปากว่านี่เป็นตอนหนึ่งที่บ่งว่าพระองค์คือใคร และตรัสเรื่องอะไร ลองมาดูกัน:
1 พระวิญญาณแห่งพระเจ้าทรงอยู่เหนือข้าพเจ้า
เพราะว่าพระเจ้าได้ทรงเจิมข้าพเจ้าไว้
เพื่อนำข่าวดีมายังผู้ที่ทุกข์ใจ
พระองค์ทรงใช้ข้าพเจ้ามาให้เล้าโลมคนที่ชอกช้ำระกำใจ
และร้องประกาศอิสรภาพแก่บรรดาเชลย
และบอกการเปิดเรือนจำออกให้แก่ผู้ที่ถูกจำจอง
2 เพื่อประกาศปีแห่งความโปรดปรานของพระเจ้า (อิสยาห์ 61:1-2ก)
มีประโยคที่ซ้อนกัน เพราะในลูกา 4:19 พระเยซูทรงหยุด แต่ให้เรามาอ่านต่อ
และวันแห่งการแก้แค้นของพระเจ้าของเรา
เพื่อเล้าโลมบรรดาผู้ที่ไว้ทุกข์
3 เพื่อจัดให้บรรดาผู้ที่ไว้ทุกข์ในศิโยน
เพื่อประทานมาลัยแทนขี้เถ้าให้เขา
น้ำมันแห่งความยินดีแทนการไว้ทุกข์
ผ้าห่มแห่งการสรรเสริญแทนจิตใจที่ท้อถอย
เพื่อคนจะเรียกเขาว่าต้นก่อหลวงแห่งความชอบธรรม
ที่ซึ่งพระเจ้าทรงปลูกไว้เพื่อพระองค์จะทรงสำแดงพระสิริของพระองค์ (อิสยาห์ 2ข-3)
เมื่อ อ่านมัทธิว 5:4 ผมพูดกับตัวเองว่า “คนที่โศกเศร้าคร่ำครวญ แน่นอนต้องมาจากเนื้อหาของพระวจนะตอนนี้” จำบริบทในอิสยาห์ 61 ได้หรือไม่ เรารับรู้เรื่องความบาปของอิสราเอล รับรู้เรื่องการพิพากษาที่จะตกลงมาเหนือชนชาตินี้ และตอนนี้เรากำลังจะได้รู้เกี่ยวกับการช่วยกู้ที่จะมาถึง การปลอบประโลมที่พบคือการปลอบประโลมมาถึงบรรดาคนที่ยอมรับในความบาปของตน ยอมรับการพิพากษาของพระเจ้า เราพูดได้เต็มที่ในแง่นี้ ขณะอิสยาห์มองไปที่ความบาปของอิสราเอลที่ส่งผลในทันที การถูกจับไปเป็นเชลย และการคืนสู่สภาพดี ที่สุดแล้วท่านกำลังมองไปที่ความบาปของมนุษย์ การแบกรับพระอาชญาของพระคริสต์ที่บนกางเขน และการไถ่ที่กำลังมาถึงเราทุกคน นั่นคือคำเทศนาในตัวของมันเอง ต่อไปให้เรามาดูอิสยาห์ 40:1
1 พระเจ้าของเจ้าตรัสว่า จงเล้าโลม จงเล้าโลมชนชาติของเรา
2 จงพูดกับเยรูซาเล็มอย่างเห็นใจ
และจงบอกเมืองนั้นว่า การสงครามของเธอสิ้นสุดลงแล้ว และความบาปผิดของเธอก็อภัยเสียแล้ว
และได้รับโทษจากพระหัตถ์ของพระเจ้าแล้ว เป็นสองเท่าของความบาปผิดของเธอ (อิสยาห์ 40:1-2)
บริบท ตอนนี้คือการลงโทษต่อบาปของอิสราเอลเมื่อตกไปเป็นเชลย แต่ถ้ามองเลยออกไปอีก คือการลงโทษที่ตกลงบนพระเยซูคริสต์ที่บนกางเขน (อิสยาห์ 53) เพื่อให้เกิดการอภัย เพื่อนำสู่การฟื้นฟูคืนมาสู่เรา และประทานพระพรให้แก่เรา กลับไปที่อิสยาห์ 40:3 อีกครั้ง (เป็นถ้อยคำที่ผู้อ่านมัทธิวคุ้นหูกันดี) "จงเตรียมมรรคาแห่งพระเจ้าในถิ่นทุรกันดาร จงทำทางหลวงสำหรับพระเจ้าของเราให้ตรงไปในทะเลทราย..” หมายถึงอะไร? หมายถึงยอห์นผู้ใหบัพติศมา ผู้ไปป่าวร้องถึงการเสด็จมาของพระเมสซิยาห์ ดังนั้นศูนย์กลางของความโศกเศร้าเกี่ยวข้องกับความบาป เกี่ยวข้องกับการพิพากษาของพระเจ้า การปลอบประโลมต้องเป็นการปลอบประโลมที่มาในพระเมสซิยาห์ พระองค์ผู้ทรงแบกรับการลงโทษ และทรงเตรียมการช่วยกู้ และความช่วยเหลือ เพื่อที่สุดแล้วเราจะได้รับการปลอบประโลมในองค์พระเยซู และสิ่งที่พระองค์ทรงเสียสละเพื่อเรา ข้อพิสูจน์แรกถึงความโศกเศร้าในแบบของพระเจ้า แล้ว “พวกผู้เผยพระวจนะ และที่สำคัญกว่านั้นพระเยซูคริสต์ พวกเขาโศกเศร้าในเรื่องอะไร?” พวกเขาคร่ำครวญเพราะความบาป และการปลอบประโลมที่พระกิตติคุณและความรอดจะนำมาให้
B)ความเกี่ยวข้องกันระหว่างความโศกเศร้าและเสียงหัวเราะ อะไรคือสิ่งที่ตรงข้ามกับความโศกเศร้า? สิ่งที่ตรงข้ามกับความโศกเศร้าคือความชื่นชมยินดี ใช่หรือไม่? แต่พระเยซูไม่ได้ตรัสว่า “บุคคลผู้ใดโศกเศร้า ผู้นั้นจะชื่นชมยินดี” มัทธิวไม่ได้บันทึกแบบนั้น พระเยซูตรัสว่าพวกเขาจะได้รับการทรงปลอบประโลม แปลว่าพระองค์ไม่ได้สัญญาว่าความเจ็บปวดจะหายไป พระองค์กำลังบอกว่าในสถานการณ์ที่โศกเศร้านั้น เราจะได้รับการปลอบประโลมเพื่อให้ผ่านไปได้ – เพราะไม่จำเป็นที่เราจะต้องหนีไปจากสาเหตุที่ทำให้โศกเศร้า แต่ให้เราได้พบการปลอบประโลมในองค์พระผู้เป็นเจ้า
อาจมีบางคนพูดว่า “แล้วลูกาล่ะ?” ครับ ผมจึงต้องพูดถึง “เสียงหัวเราะ”
"ท่านทั้งหลายที่อดอยากเวลานี้ก็เป็นสุข เพราะว่าท่านจะได้อิ่มหนำ”
"ท่านทั้งหลายที่ร้องไห้เวลานี้ก็เป็นสุข เพราะว่าท่านจะได้หัวเราะ” (ลูกา 6:21)
ทีนี้มาดูข้อ 25 ในลูกา 6:
"วิบัติแก่เจ้าทั้งหลายที่อิ่มหนำเวลานี้ เพราะว่าเจ้าจะอดอยาก”
"วิบัติแก่เจ้าทั้งหลายที่หัวเราะเวลานี้ เพราะว่าเจ้าจะเป็นทุกข์และร้องไห้” (ลูกา 6:25)
ผม จำได้ว่ามาร์ทิน ลอยด์-โจนส์ พูดถึงประเด็นนี้ไว้ค่อนข้างหนักแน่น (และนับไม่ถ้วนที่ผมได้ยินคนพูดกัน) “พระเยซูนี่มีอารมณ์ขัน” คิดว่าผมเคยพูดไปแล้ว และมันอาจเป็นความจริง แต่มาร์ทิน ลอยด์-โจนส์ กล่าวว่ามีอยู่หลายกรณีที่พระเยซูทรงพระกันแสง แต่เราไม่เห็นมีการบันทึกว่าพระองค์ทรงพระสรวล อย่างน้อยเราควรต้องจำไว้ และระวังให้ดีว่าไม่ควรไปลดคุณลักษณะของความอ่อนโยนและถ่อมสุภาพในชีวิตของ พระองค์ลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพระองค์ทรงตอบสนองต่อความบาป แต่ผมจะเตือนว่าซาตานมีอารมณ์ขันเหลือเฟือ ผมเองก็ชอบเรื่องขำขัน แต่จะบอกว่าซาตานชอบพลิกความจริงกลับด้าน มันต้องการให้เราหัวเราะทั้งๆที่เราควรโศกเศร้า
ผมจะเล่าเรื่องท่าที ของผมตอนไปงานไว้อาลัยของคุณครูเดวิดสันให้ฟัง ผมพยายามหัวเราะเพราะไม่อยากจะโศกเศร้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งเพื่อนๆอยู่กันที่นั่น ผมจะดูเป็นอย่างไรถ้าต้องเช็ดน้ำตา ต้องแสดงความโศกเศร้าแก่คุณครูที่จากไป? ผมพบการปลอบใจในอารมณ์ขัน ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่สมควรอย่างยิ่ง แต่ซาตานอยากให้เราเป็นแบบนั้น ในหนังสือสุภาษิตกล่าวว่า “คนโง่เยาะเย้ยความบาป” แต่การเยาะเย้ยมีมากกว่านั้น ทำให้ผมคิดถึงฮามในปฐมกาลบทที่ 9 มันยากที่จะเจาะในรายละเอียดของเหตุการณ์นั้น แต่ภาพรวมคือโนอาห์ทำไร่และทำสวนองุ่น และเมื่อทำเหล้าองุ่นท่านก็ดื่มจนเมามาย นอนเปลือยกายไม่รู้ตัวอยู่ในเต็นท์ เผอิญฮามโผล่เข้าไปเห็น (คานาอันน่าจะมีส่วนในเรื่องนี้ เพราะคำสาปแช่งตกที่เขา) สิ่งหนึ่งที่เราเห็นได้ชัดเจนคือฮามไม่ได้มีท่าทีที่สุภาพและให้เกียรติบิดา อย่างสมควร และน่าจะไม่สบายใจต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ผมคิดว่าเขาอาจจะยืนมองแล้วเรียกพี่น้องมา “มา มาดูสิ” แต่พี่และน้องกลับเดินถอยหลังเข้าไป เอาผ้าไปคลุมร่างที่เปลือยอยู่ของบิดา โดยไม่คิดแม้แต่จะมองดู
ผมอยากบอกว่าในทุกวันนี้มีการหัวเราะมากมาย ต่อความบาป และซาตานชอบใจ เราควรต้องโศกเศร้าต่อบาปและผลที่จะเกิดตามมา แต่เรากลับหัวเราะขำกัน ขอยกตัวอย่างให้ฟัง ผมไม่ค่อยดูรายการทอล์คโชว์ตอนดึกมากนัก แต่บอกได้ว่าเท่าที่ดูผ่านๆ มีการหัวเราะสนุกสนานต่อสิ่งที่ไม่สมควรนำมาหัวเราะ บางทีภาพยนตร์ หรือละครโทรทัศน์ ถ้าเราเป็นพ่อแม่ เราอาจตกใจพูดว่า “ตายแล้ว ดาราคนนี้เล่นเป็นผู้หญิง ที่จริงก็ตลกดี แต่ไม่ควรเป็นรายการที่อนุญาตให้เด็กดู” แต่ทราบหรือไม่ ผู้กำกับเก่งมากที่สร้างเรื่องราวและสีสันจนทำให้คนขำได้ทั้งๆที่มันไม่ถูก ต้อง?” ไม่ว่าจะเป็นชายแต่งหญิง หรือหญิงปลอมเป็นชาย มันเป็นการบิดเบือนหรือไม่ครับ? ทุกคนดูแล้วสนุกสนานเพราะพวกเขาไม่เห็นว่ามันผิดที่ตรงไหน
ความเป็น จริงคือซาตานมีชัยชนะเพราะเราหัวเราะต่อความบาปได้ ทั้งๆที่เราควรโศกเศร้า สิ่งนี้เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า ไม่ว่าจะเป็นตลกลามกทั้งภาพหรือเรื่องเล่า ถ้าซาตานมันทำให้เราหัวเราะต่อบาปได้แต่แรก เราก็กำลังก้าวลงไปตามเส้นทางนั้น – ก้าวยาวๆลงไปตามหนทางที่ยอมรับในความบาป ผมจึงอยากย้ำกับพวกคุณ เราต้องระมัดระวังมากๆ ที่ผมพูดเรื่องนี้ขึ้นมาเพราะลูกาเปิดประตูไว้ เตือนเราให้ระวังเรื่องความคึกคะนองที่เกี่ยวกับความโศกเศร้า บางทีการหัวเราะอาจปลดปล่อยสิ่งที่เราไม่ควรรู้สึกดีเกี่ยวกับมัน แต่เป็นสิ่งที่เราควรรู้สึกเศร้าใจ
C)เป็นความรู้สึกสูญเสีย หรือได้มา? ผมได้อธิบายเรื่องความโศกเศร้าว่าเป็นการสูญเสียที่จมลึก มีพระวจนะหลายตอนที่ชี้ไปในทิศทางนั้น ตัวอย่างเช่น ดาวิดโศกเศร้าถึงลูกชาย อับซาโลมที่ตายจากไป โยอาบพยายามบอกกับท่านว่า “ดาวิด ท่านกำลังเสียจุดยืน วันนี้ไม่ใช่เป็นวันแห่งความโศกเศร้า แต่เป็นวันที่ต้องเฉลิมฉลอง ท่านเกือบจะสูญเสียอาณาจักรและราชบัลลังก์ไปแล้ว และถ้าไม่ตั้งสติให้ดี อาจต้องเสียไปจริงๆ ตอนนี้เมื่อท่านได้อาณาจักรกลับคืนมา แม้มีการสูญเสียบ้าง จงเปลี่ยนมุมมองใหม่ จริงๆแล้วนี่คือการสูญเสียหรือได้มา?” ซามูเอลโศกเศร้าเพราะสูญเสียซาอูลใน 1ซามูเอล 15:35: “แต่ซามูเอลได้โศกเศร้าเพราะซาอูล” พระ เจ้าเหมือนกำลังบอกซาอูลว่า “เจ้าต้องพิจารณาให้ดีๆ” เป็นการสูญเสียของอิสราเอลหรือที่ขาดซาอูลไปแล้วได้ดาวิดมา? เป็นการสูญเสียจริงหรือ? ซามูเอลเป็นผู้เผยพระวจนะที่เจิมตั้งดาวิด นี่เป็นการสูญเสียหรือได้มาครับ?
ความโศกเศร้าที่เหมาะสมคือรู้สึกสูญ เสียแทนที่จะรู้สึกว่าได้รับมา สิ่งที่น่าสนใจใน 1ซามูเอล 16 คือเมื่อพระเจ้าสั่งให้ซามูเอลไปเจิมตั้งดาวิด สิ่งแรกที่ซามูเอลตอบคือ "ข้าพระองค์จะไปอย่างไรได้ ถ้าซาอูลได้ยิน เขาคงฆ่าข้าพระองค์เสีย" คือถ้าซาอูลรู้เข้า จะมาฆ่าท่านแน่ คุณคงอยากพูดว่า "แล้วยังไงล่ะซามูเอล รู้สึกว่าสูญเสียมากหรือ? ในเมื่อคนที่ท่านกำลังโศกเศร้าถึงคือคนที่จะมาฆ่าท่านถ้าท่านไปเจิมตั้ง กษัตริย์องค์ใหม่?” ผมว่าท่านคงกำลังเสียศูนย์
คิดถึงฟีลิปปี 3 ที่ อ.เปาโลกล่าว “แต่ว่าสิ่งใดที่เคยเป็นคุณประโยชน์แก่ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าถือว่าสิ่งนั้นไร้ประโยชน์แล้ว” สิ่ง ที่ครั้งหนึ่งท่านเคยมอง – ระบอบฟาริสี ตำแหน่งที่เคยครอง สิทธิและอำนาจที่เคยมี – เดี๋ยวนี้ท่านเข้าใจแล้ว มันเป็นแค่ข้อด้อยของท่าน เป็นสิ่งที่ท่านต้องละทิ้ง ซาตานมีวิธีพลิกแพลงสิ่งต่างๆ ดูเรื่องการล่อลวง เมื่อซาตานล่อลวง มันจะบอกคุณว่าคุณมีแต่ได้ คุณจะเป็นเหมือนพระเจ้า รู้ผิดชอบชั่วดี จะช่วยรักษาชีวิตตัวเองไว้ คุณจะได้ทำงานเพื่อพระเจ้า ซาตานจะนำเสนอสิ่งที่คุณกำลังจะสูญเสียว่าเป็นสิ่งที่คุณกำลังจะได้มา และความเป็นจริงคือทุกครั้งที่มนุษย์พ่ายแพ้ต่อการล่อลวงของมาร พวกเขามีแต่สูญเสียครับ
อีกเรื่องที่ต้องสังเกตุให้ดีคือจุดพลิกผัน ของการสูญเสียและการได้มา วัยรุ่นสมัยนี้รู้สึกว่าพรหมจารีเป็นเรื่องน่าอาย เป็นเรื่องที่ต้องจัดการ ไม่ใช่สิ่งสวยงาม หรือสิ่งยอดเยี่ยมที่พวกเขาจะได้ถวายเกียรติพระเจ้าและมอบให้คู่สมรสในวัน แต่งงาน กลับมองว่าเป็นเรื่องน่าอายที่ต้องรีบจัดการในทันที ซาตานพลิกข้างจากสูญเสียให้เป็นได้มา — ความอ่อนน้อม มีเอกลักษณ์เฉพาะ และอื่นๆอีกหลายอย่าง เราพบอะไรในวัฒนธรรมของวัยรุ่น? กระแสที่ใครๆเขาก็ทำกัน เราสลัดความเป็นเอกลักษณ์ทิ้งไปราวกับเป็นเชื้อโรคร้าย เมื่อพระเจ้าเรียกเราให้มามีเอกลักษณ์ มีความต่าง เป็นเกลือและเป็นความสว่างในฐานะผู้เชื่อ เรากลับสลัดทิ้งไปเพราะเราต้องการเข้าได้กับวัฒนธรรมที่กำลังเป็นอยู่
D)ความอ่อนน้อม หรือความอัปยศ vs. ความเย่อหยิ่ง และความภูมิใจ ใน 1โครินธ์ 5:1-2 อ.เปาโลกล่าวว่า:
1 มีข่าวเล่าลือว่า ในพวกท่านมีการผิดประเวณี และการผิดนั้นถึงแม้ในพวกต่างชาติก็ไม่มีเลย คือเรื่องมีว่า คนหนึ่งได้เอาภรรยาของบิดามาเป็นเมียของตน 2 และพวกท่านยังผยองแทนที่จะเป็นทุกข์เป็นร้อน (1โครินธ์ 5:1-2ก)
“คุณ ควรรู้สึกเศร้าใจหรือไม่?” และคริสตจักรที่นั่นกลับนั่งนิ่งหยิ่งผยอง ความโศกเศร้าของเราเป็นความสำนึกหรือความอัปยศ? พูดถึงความอัปยศ คนโศกเศร้าควรดูเป็นอย่างไร? ย่ำแย่ดูไม่ได้ ฉีกเสื้อผ้า เอาขี้เถ้าโรยหัว ไม่น่าดูเลย คุณคงไม่ได้ขึ้นหน้าแฟชั่นเมื่อคุณกำลังโศกเศร้า เพราะเมื่อคุณโศกเศร้า คุณดูไม่ดีเลย คุณไม่พยายามทำให้ดูดีด้วย คุณกลับถ่อมลง และสำนึกด้วยความโศกเศร้า แต่ซาตานอยากให้เราทำตรงข้าม เมื่อคุณมองไปที่ความโศกเศร้าในคำเทศนาบนภูเขา พวกธรรมาจารย์และพวกฟาริสีทำอย่างไรเมื่อโศกเศร้า? พวกเขาจะเดินไปมานุ่งห่มผ้าขี้ริ้ว มีฝุ่นเลอะทั้งตัว อาจมีฝุ่นบ้าง แต่นั่นเป็นสัญลักษณ์ที่พวกเขาภูมิใจสวมใส่ราวกับเป็นเหรียญแห่งเกียรติยศ ดังนั้นในความโศกเศร้า เราควรต้องแสดงความถ่อม สำนึกผิดและรู้สึกอับอายเพราะความบาปหรือไม่?
ในโรม 1:32 จะพูดว่ายังไง มันน่าขันเมื่อคุณไต่บันไดลงไปถึงขั้นสุดท้าย อ.เปาโลกล่าวว่า “เขาก็ไม่เพียงประพฤติเท่านั้น แต่ยังเห็นดีกับคนอื่นที่ประพฤติเช่นนั้นด้วย” มอง ไปที่ฮอลลีวู้ดครับ - ไม่ใช่แค่ฮอลลีวู้ดเท่านั้น - พวกเขาสวมใส่ความบาปอย่างภาคภูมิใจ พวกเขาไม่เพียงแต่ทำบาปในห้องมืดลับตาคน แต่กลับทำในที่สาธารณะ และภาคภูมิใจด้วย บางครั้งกลับเป็นงานที่ขายได้ มีคนสนใจ
E)สุดท้าย ความโศกเศร้าก่อให้เกิดการกลับใจหรือไม่? ถ้า เป็นความโศกเศร้าแท้จริง ตามการประเมินของผม เป็นสิ่งที่นำไปถึงและเป็นแรงจูงใจที่ทำให้เกิดการกลับใจ เป็นเงื่อนไขสู่การกลับใจ ถ้ากลับใจหมายถึงหยุดและหมุนตัวกลับ สำหรับผมหมายถึงเราต้องยอมรับว่าสิ่งแรกที่มองเห็น ไม่ใช่แค่ทางที่กำลังมุ่งไปนั้นผิด แต่มันน่าเกลียดน่ากลัว และเป็นบางสิ่งที่เราต้องเกลียดชัง เหมือนเราอยู่บนถนนมุ่งหน้าไปที่ชายหาด พอเข้าไปใกล้ๆถึงเห็นว่าเป็นทางไปโรงงานกำจัดขยะ แล้วคุณบอกกับตัวเอง “อี๊ย ไม่ได้อยากไปที่นั่น ต้องหันหลังกลับ” แต่ถ้าคุณชอบสิ่งที่เห็นตรงปลายถนน คุณก็จะไปต่อเรื่อยๆ ความโศกเศร้าจึงเป็นเงื่อนไขเบื้องต้นที่คุณตระหนักได้ ไม่ใช่แค่ปัญญา เป็นกระบวนการความคิดที่บอกว่า “พระเจ้าเรียกว่าบาป” ตัวคุณและอารมณ์ของคุณเกลียดชังจนต้องหันกลับ ไม่ไปต่อ ใน 2โครินธ์ 7:5-10 กล่าวว่า:
5 เพราะแม้ว่าเมื่อเรามาถึงแคว้นมาซิโดเนียแล้ว ร่างกายของเราไม่ได้พักผ่อนเลย เรามีความลำบากอยู่รอบข้าง ภายนอกมีการต่อสู้ ภายในมีความกลัว 6 แต่ถึงกระนั้นก็ดี พระเจ้าผู้ทรงหนุนน้ำใจคนที่ท้อใจ ได้ทรงหนุนน้ำใจของเรา โดยทรงให้ทิตัสมาหาเรา 7 และมิใช่เพียงการมาของทิตัสเท่านั้น แต่โดยการที่ท่านได้หนุนน้ำใจทิตัสด้วย ตามที่ทิตัสได้มาบอกข้าพเจ้าถึงความอาลัยและความโศกเศร้าของท่าน และใจจดจ่อของท่านที่มีต่อข้าพเจ้า ทำให้ข้าพเจ้ามีความชื่นชมยินดีมากยิ่งขึ้น 8 เพราะถึงแม้ว่าข้าพเจ้าจะได้ทำให้ท่านเสียใจเพราะจดหมายฉบับนั้น ข้าพเจ้าก็ไม่เสียใจ ถึงแม้ว่าเมื่อก่อนนี้ ข้าพเจ้าจะเสียใจบ้างเพราะข้าพเจ้าเห็นว่า จดหมายฉบับนั้นทำให้ท่านมีความเสียใจเพียงชั่วขณะเท่านั้น 9 แต่บัดนี้ข้าพเจ้ามีความชื่นชมยินดี มิใช่เพราะท่านเสียใจ แต่เพราะความเสียใจนั้นทำให้ท่านกลับใจใหม่ เพราะว่าท่านได้รับความเสียใจอย่างที่ชอบพระทัยพระเจ้า ท่านจึงไม่ได้ผลร้ายจากเราเลย 10 เพราะว่าความเสียใจอย่างที่ชอบพระทัยพระเจ้า ย่อมกระทำให้กลับใจใหม่ ซึ่งนำไปถึงความรอดและไม่เป็นที่น่าเสียใจ แต่ความเสียใจอย่างโลกนั้นย่อมนำไปถึงความตาย (2โครินธ์ 7:5-10)
มี ความโศกเศร้าในแบบโลกที่ไม่ได้ก่อให้เกิดความชอบธรรม ผมไม่ได้หมายถึงความโศกเศร้าของเรา เป็นความโศกเศร้าคนละแบบกับของพระเจ้า นั่นคือความเห็นแก่ตัว คุณจะพบว่าบางคนโศกเศร้าจนกลายเป็นคนที่คิดแต่เรื่องของตัวเอง พวกเขาคิดถึงแต่ตัวเองเมื่อมองเข้าไปภายในตัวเองในสิ่งที่สูญเสียไป ยิ่งโศกเศร้าเท่าไร ยิ่งคิดถึงแต่ตัวเองเท่านั้น ความโศกเศร้าที่เรากำลังพูดถึงคือเมื่อคุณตระหนักได้ในอารมณ์ และในสติปัญญาถึงความน่าเกลียด และความสกปรกของบาป คุณจะหันหลังกลับ หันกลับมาหาพระคริสต์ เพื่อรับการปลอบประโลมที่พระองค์ผู้เดียวเท่านั้นให้ได้
ความโศกเศร้าเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต สังเกตุดู "บุคคลผู้ใดโศกเศร้า ผู้นั้นเป็นสุข” เป็นประโยคปัจจุบันกาล และดำเนินต่อ ไม่ได้เจาะจงเฉพาะบางคน หรือบางช่วงเวลาที่เผชิญกับความโศกเศร้า แต่เป็นสิ่งที่ดำเนินไป ซึ่งสอดคล้องกับโรม 8:18 เมื่อ อ.เปาโลพูดถึงการคร่ำครวญและเผชิญความทุกข์ยากของชีวิต ที่เป็นอยู่เพราะเราเป็นส่วนหนึ่งในโลกที่ล่มสลาย พี่น้องครับ เราต้องไม่ลืมคำเตือนสอน ผมกลัวแทนคนอื่นๆและกลัวว่าตัวเองจะคุ้นชินกับบาป กลายเป็นเรื่องคุ้นเคย เช่นการทำแท้ง หรือสงครามในที่ต่างๆ จำนวนคน ... ที่ถูกฆ่าตาย และยังดำเนินต่อไป ทำให้เราเริ่มคุ้นเคย เลิกโศกเศร้าอย่างแรกๆที่เกิดขึ้น บางสิ่งผิดปกติแล้วครับ ความโศกเศร้าควรเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตที่ดำเนินไป อย่างที่ อ.เปาโลพูดไว้ในโรมบทที่ 8
มาพิจารณาเรื่องสุดท้ายกัน ความโศกเศร้าเป็นการตอบสนองที่เหมาะสมต่อความบาป และการสำแดงความโศกเศร้าที่สมควรคือการสำนึกผิด แต่เหรียญยังมีอีกด้าน ขณะที่ความโศกเศร้าเป็นสิ่งสมควรต่อความบาป การนมัสการเป็นสิ่งที่สมควรต่อพระเจ้าผู้ทรงสมบูรณ์ครบถ้วน เป็นเรื่องผิดที่มีประสบการณ์เผชิญหน้ากับความบาปและไม่รู้สึกโศกเศร้า แต่ก็เป็นเรื่องผิดด้วยเมื่อเข้าเฝ้าจำเพาะพระพักตร์ของพระเจ้าผู้ทรงสม บูณณ์พร้อมแล้วไม่นมัสการพระองค์ แต่ที่น่าสนใจ เพราะเมื่อเรากำลังพูดถึงความโศกเศร้า แต่มาพร้อมกับเรื่องความปิติและความชื่นชมยินดี แล้วคุณพูดว่า “เป็นโรคจิตหรือเปล่า?” คุณรู้คำตอบหรือไม่? อาจใช่ อย่าลืมว่า “จงร้องไห้กับผู้ที่ร้องไห้ และจงชื่นชมยินดีกับผู้ที่ชื่นชมยินดี” ทั้งสองสิ่งนี้ไปด้วยกัน และที่เป็นความเป็นจริงคือ ที่ผมเข้าใจ เราคงไม่ชื่นชมยินดีและสรรเสริญพระเจ้าอย่างที่ควรเป็น เว้นเสียแต่ความโศกเศร้าที่ตอบสนองต่อความบาป ความโศกเศร้าของเราเพราะความบาป คือสิ่งที่ทำให้เราชื่นชมยินดีได้ยิ่งกว่า เพราะการช่วยกู้นำเราพ้นจากผลโทษของความบาป และเมื่อถึงเวลาที่เราเข้าเฝ้านมัสการพระเจ้า ผมอยากบอกคุณว่า “อย่าสูญเสียมิติของความโศกเศร้าไป แต่เมื่อเราคิดถึงพระเจ้า เป็นการสมควรยิ่งที่เราจะสรรเสริญและชื่นชมยินดีในพระองค์”
1 159 เป็นต้นฉบับของบทเรียนต่อเนื่องของ “พระกิตติคุณมัทธิว” จัดทำโดย Robert L. Deffinbaugh 4 พฤษภาคม 2003
2 160 นอกจากที่กล่าวไปแล้ว พระวจนะที่นำมาอ้างอิงทั้งหมดมาจาก NET Bible (The NEW ENGLISH TRANSLATION) เป็น ฉบับแปลใหม่ทั้งหมด ไม่ใช่นำฉบับเก่าในภาษาอังกฤษมาเรียบเรียงใหม่ ใช้ผู้เชี่ยวชาญและนักวิชาการพระคัมภีร์มากกว่า ยี่สิบคน รวบรวมข้อมูล ทั้งจากภาษาฮีบรูโดยตรง ภาษาอาราเมข และภาษากรีก โครงการแปลนี้เริ่มมาจากที่เราต้องการนำ พระคัมภีร์ เผยแพร่ผ่านสื่ออีเลคโทรนิค เพื่อรองรับการใช้งานทางอินเตอร์เน็ท และซีดี (compact disk) ที่ใดก็ตามในโลก ที่ต่อเข้าอินเตอร์เน็ทได้ ก็สามารถเรียกดู และพริ้นทข้อมูลไว้เพื่อใช้ศึกษาเป็นการส่วนตัวได้โดยไม่คิดมูลค่า นอกจากนี้ ผู้ใดก็ตาม ที่ต้องการนำข้อมูลเกี่ยวกับพระคัมภีร์ไปเผยแพร่ต่อโดยไม่คิดเงิน สามารถทำได้จากเว็บไซด์ : www.netbible.org.
3 161 WWJD เป็นอักษรย่อของ “What Would Jesus Do?” พระเยซูจะทำอย่างไร? วัยรุ่นหลายคนนำอักษรย่อนี้ไปทำสร้อยคอใส่กัน
“บุคคลผู้ใดหิวกระหายความชอบธรรม ผู้นั้นเป็นสุข เพราะว่าพระเจ้าจะทรงให้อิ่มบริบูรณ์” (มัทธิว 5:6)2
อีกครั้งที่ บทเรียนคำเทศนาบนภูเขาตอนนี้ด้วยข้อเขียนของ มาร์ทิน ลอยด์-โจนส์:
ขอเริ่มคำเทศนาบนภูเขาเป็นไปตามหลักการที่สมเหตุสมผล และสอดคล้องจากที่มีนำร่องมาก่อน เป็นบทสรุปตามตรรกะที่ดำเนินตามกันมา และเป็นบางสิ่งที่เราควรต้องขอบคุณอย่างซาบซึ้งต่อพระคุณของพระเจ้า ผมไม่รู้จักบททดสอบไหนที่ดีกว่า ที่ใครก็ตามสามารถนำมาใช้กับตนเองในความเป็นคริสเตียนเท่ากับพระวจนะข้อนี้ ถ้าพระวจนะข้อนี้เป็นหนึ่งในข้อที่คุณได้รับพระพรมากจากพระคัมภีร์ แน่ใจได้ว่าคุณเป็นคริสเตียนแท้ ถ้าไม่ คุณควรกลับไปสำรวจรากฐานชีวิตคริสเตียนของคุณอีกครั้ง3
พระวจนะสั้นๆตอนนี้นำข่าวแห่งความหวังใจมาให้เราอย่างเหลือเชื่อ เป็นข่าวที่ควรจุดประกายแห่งความปิติล้ำลึกในเราผู้เชื่อทุกคน เป็นความหวังแก่คนที่แสวงหาพระเยซูที่จะได้รับความอิ่มใจเต็มเปี่ยมที่มีแต่ ในองค์พระเยซูคริสต์เท่านั้น
ในแง่มุมหนึ่ง เราต่างก็มีส่วนสัมผัสกับพระวจนะตอนนี้ – เราหิวกระหาย เราไม่อาจสัมผัสได้ถึงความหิวกระหายลึกล้ำของคนในยุคนั้น ในสิ่งที่พวกเขากำลังเผชิญ แต่เราต่างมีประสบการณ์ความหิวกระหายที่ต้องการการเติมเต็ม แล้วก็กลับมาหิวใหม่ กลับมาใหม่ทุกๆวัน ผมจำได้ตอนที่อยากกินอาหารบางอย่าง ทั้งหิวและกระหายบอกไม่ถูก นึกถึงเวลาไปประเทศที่ไม่คุ้นเคย เช่นตอนไปเดินป่าหกวันในเขตอิเรียนชวาในอินโดนีเซีย เรามีแค่หมี่อินโดกิน เป็นหมี่กึ่งสำเร็จรูปเหมือนราเม็ง หลังจากหกวัน ผมมีภาพแฮมเบอร์เกอร์ สเต็ก และอาหารอื่นๆลอยไปมาในหัว ผมหิวและอยากกินอาหารแบบนี้จริงๆ ครั้งหนึ่งตอนกลับจากรัสเซีย ทีมพันธกิจของเราต้องพักค้างคืนที่กรุงโซล ประเทศเกาหลี เราถามนักเรียนที่ไปด้วยว่าอยากกินอะไรเป็นอาหารเที่ยง คิดว่าพวกเขาอาจอยากลองอาหารชั้นเลิศของเกาหลี แต่พวกเขากลับยืนยันจะกินแมคโดนัลด์และไอศครีมบาสกินรอบบินส์เท่านั้น เพราะไม่ได้กินอาหารอเมริกันมาหกสัปดาห์เต็ม พวกเขาเบื่ออาหารที่ไม่คุ้นลิ้น และกระหายหาอาหารที่ไม่ได้กินมาพักใหญ่ เราต่างก็คุ้นเคยกับเรื่องหิวกระหายดี และนี่คือสิ่งที่พระเยซูนำมาใช้อธิบายในคำเทศนาบนภูเขาตอนนี้
ให้เราอ่านบริบทจาก มัทธิว 5:1-12
ครั้นทอดพระเนตรเห็นคนมากดังนั้น พระองค์ก็เสด็จขึ้นไปบนภูเขาและเมื่อประทับแล้ว เหล่าสาวกของพระองค์มาเฝ้าพระองค์ แล้วพระองค์จึงตรัสสอนเขาว่า:
3 “บุคคลผู้ใด รู้สึกบกพร่องฝ่ายวิญญาณ ผู้นั้นเป็นสุข
เพราะแผ่นดินสวรรค์เป็นของเขา
4 “บุคคลผู้ใดโศกเศร้า ผู้นั้นเป็นสุข
เพราะว่าเขาจะได้รับการทรงปลอบประโลม
5 “บุคคลผู้ใดมีใจอ่อนโยน ผู้นั้นเป็นสุข
เพราะว่าเขาจะได้รับแผ่นดินโลกเป็นมรดก
6 “บุคคลผู้ใดหิวกระหาย ความชอบธรรม ผู้นั้นเป็นสุข
เพราะว่าพระเจ้าจะทรงให้อิ่มบริบูรณ์
7 “บุคคลผู้ใดมีใจกรุณา ผู้นั้นเป็นสุข
เพราะว่าเขาจะได้รับพระกรุณาตอบ
8 “บุคคลผู้ใดมีใจบริสุทธิ์ ผู้นั้นเป็นสุข
เพราะว่าเขาจะได้เห็นพระเจ้า
9 “บุคคลผู้ใดสร้างสันติ ผู้นั้นเป็นสุข
เพราะว่าพระเจ้าจะทรงเรียกเขาว่าเป็นบุตร
10 “บุคคลผู้ใดต้องถูกข่มเหงเพราะเหตุความชอบธรรม ผู้นั้นเป็นสุข
เพราะว่าแผ่นดินสวรรค์เป็นของเขา
“เมื่อเขาจะติเตียนข่มเหง และนินทาว่าร้ายท่านทั้งหลายเป็นความเท็จเพราะเรา ท่านก็เป็นสุข จงชื่นชมยินดี เพราะว่าบำเหน็จของท่านมีบริบูรณ์ในสวรรค์ เพราะเขาได้ข่มเหงผู้เผยพระวจนะทั้งหลาย ที่อยู่ก่อนท่านเหมือนกัน (มัทธิว 5:1-12)
ทำไมความหิวและกระหายจึงเป็นภาพสาธิตได้อย่างดี? เพราะน้ำและอาหารสำคัญต่อร่างกายอย่างไร ความชอบธรรมก็สำคัญต่อชีวิตฝ่ายวิญญาณเท่านั้น เราที่เป็นมนุษย์มีความหิวและกระหายไม่เพียงแต่อาหาร แต่ยังหิวกระหายความพอใจในชีวิตด้วย เราค้นหาส่วนต่างๆเพื่อจะได้รับการเติมเต็ม ได้รับความอิ่มใจ แต่กลับจบลงด้วยความผิดหวัง ไม่เคยพอใจ
11 พระองค์ทรงกระทำให้สรรพสิ่งงดงามตามฤดูกาลของมัน พระองค์ทรงบรรจุนิรันดร์กาลไว้ในจิตใจของมนุษย์ แต่มนุษย์ยังมองไม่เห็นว่า พระเจ้าทรงกระทำอะไรไว้ตั้งแต่ปฐมกาลจนกาลสุดปลาย (ปัญญาจารย์ 3:11)
จอห์น ไพเพอร์ กล่าวว่า: “พระเจ้าทรงใส่นิรันดร์กาลไว้ในหัวใจของเรา และเรามีความโหยหาที่ไม่อาจเติมเต็มได้”4 เบลส พาสคาล กล่าวว่าเราต่างก็มี “ช่องว่างของพระเจ้า” อยู่ในชีวิต มนุษย์ทุกคนหิวและกระหาย แต่ปัญหาคือเราพยายามเติมช่องว่างที่กระหายนั้นด้วยสิ่งอื่นๆที่ไม่ใช่ความ ชอบธรรมของพระเจ้า คุณบางคนที่กำลังอ่านพระวจนะตอนนี้ อาจมีความว่างเปล่าและไม่เคยมีความพอใจเลย คุณพยายามเติม “ช่องว่างของพระเจ้า” ในชีวิตด้วยสิ่งสารพัด แต่ก็ยังว่างเปล่า ไม่เคยอิ่มใจ มีข่าวล้ำเลิศแห่งความหวังใจให้คุณ ถ้าคุณกำลังแสวงหาคำตอบ
1 “เชิญทุกคนที่กระหาย จงมาถึงน้ำ และผู้ที่ไม่มีเงิน มาซื้อกินเถิด มาซื้อเหล้าองุ่นและน้ำนมเถิด โดยไม่ต้องเสียเงินเสียค่า 2 ทำไมเจ้าจึงใช้เงินของเจ้าเพื่อของซึ่งไม่ใช่อาหาร และใช้ทรัพยากรซื้อสิ่งซึ่งมิให้อิ่มใจ จงเอาใจใส่ฟังเรา และรับประทานของดี และให้ตัวปีติยินดีในไขมัน (อิสยาห์ 55:1-2)
11 มีประชาชาติใดเคยได้เปลี่ยนพระของตน ถึงแม้ว่าพระเหล่านั้นไม่เป็นพระ แต่ประชากรของเราได้เอาศักดิ์ศรีของเขา แลกกับสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์อย่างใด” 12 พระเจ้าตรัสว่า “สวรรค์ทั้งหลายเอ๋ย จงตกตะลึงด้วยสิ่งเหล่านี้ จงสยดสยองและจงเริศร้างเสียเลย 13 เพราะว่าประชากรของเราได้กระทำ ความชั่วถึงสองประการ เขาได้ทอดทิ้งเราเสีย ซึ่งเป็นแหล่งน้ำเป็น แล้วสกัดหินขังน้ำไว้สำหรับตนเอง เป็นแอ่งแตกที่ขังน้ำตาย ซึ่งขังน้ำไม่ได้ (เยเรมีย์ 2:11-13)
พระวจนะสองตอนด้านบนมีพลังมาก เรากำลังจ่ายเงินของเราไปในสิ่งที่ไม่อาจทำให้อิ่มใจ เรากำลังดื่มจากบ่อที่ขังน้ำไว้ไม่ได้ ความอิ่มใจของเราไม่อาจเติมได้ด้วยสิ่งของๆโลกนี้ เราพยายามเติมความพอใจด้วยเงินทอง อำนาจ การศึกษา เรื่องเพศ ภาพโป๊ คนรักทั้งชายและหญิง ของเล่นแบบผู้ใหญ่ ได้ครอบครองทรัพย์สินของโลกที่อาจทำให้เรามีความสุขเพลิดเพลินได้เพียงชั่ว คราว แต่ทุกสิ่งเหล่านี้นำไปสู่ความกระหายที่ลึกลงไปอีก โหยหาความอิ่มใจ เพราะสิ่งเหล่านี้ไม่อาจดับความกระหายเราได้ ซี เอส ลูวิส กล่าวว่า:
เราเป็นสิ่งทรงสร้างที่มีหัวใจครึ่งเดียว วิ่งวนไปมา มึนเมาด้วยเหล้า เรื่องเพศ และความทะเยอทะยาน ทั้งๆที่มีผู้หยิบยื่นความอิ่มเอิบใจไม่รู้จบให้ เหมือนเด็กไม่ประสาที่อยากเล่นดินโคลนอยู่ในสลัม เพราะนึกไม่ออกว่าการได้ไปเที่ยวพักร้อนที่ชายทะเลเป็นอย่างไร เราเป็นพวกที่หลงไหลอะไรๆได้ง่ายดาย157
เป็นถ้อยคำจาก ซีเอส ลูวิสที่มีพลังมาก เราที่เป็นมนุษย์ เป็นพวกที่หลงไหลอะไรๆได้ง่ายดาย เราวิ่งวุ่นไปมาด้วยหลายสิ่งที่ไม่เคยให้ความพอใจ สิ่งที่ไม่สามารถและไม่อาจเติมช่องว่างและความว่างเปล่าในชีวิตได้ ทั้งหมดเป็นเพราะเราหลงไหลอะไรๆได้ง่ายดาย เราคิดว่าสิ่งของๆโลกจะทำให้เราอิ่มใจ แต่กลับจบลงที่ไม่เคยได้ตามใจปรารถนา และส่วนใหญ่เป็นเพราะเราแสวงหาสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ความชื่นชมยินดีที่เสนอให้เรา สันติสุขที่มอบให้เรา ความอิ่มเอิบใจที่มีให้เรา เป็นสิ่งเหลือเชื่อถ้าเพียงแต่เรายึดเอาองค์พระเยซูคริสต์และข้อเสนอของ พระองค์เท่านั้น
อีกตัวอย่างที่ยิ่งใหญ่สำหรับเรื่องนี้คือบุตรน้อยหลงหายในลูกา 15:11-32 บุตรคนเล็กเอามรดกที่พ่อแบ่งให้ ออกจากบ้านไปอยู่เมืองไกล ล้างผลาญมรดกที่พ่อให้ อยู่อย่างหรูหราฟุ่มเฟือย ไม่เคยพอใจ จนเงินทองหมดสิ้น เขาเป็นพวกหลงไหลอะไรๆได้ง่ายดาย โง่พอที่จะคิดว่าชีวิตคือสิ่งเหล่านี้ แต่ไม่เป็นอย่างนั้น ตอนที่มีเงินเยอะ เพื่อนก็เยอะและมีปาร์ตี้เยอะ แต่เมื่อเงินหมด เพื่อนก็หมด ถึงจุดนี้ เขาเริ่ม “ดิ่งลง” อย่างแรง ต้องไปอาศัยเลี้ยงหมูและกินอาหารหมู มาร์ทีน ลอยด์-โจนส์ นำคำของ เจ เอ็น ดาร์บี้มาพูดถึง:
แค่หิวกระหายยังไม่พอ คงต้องอดอยากจนใกล้ตายถึงจะรู้ว่าหัวใจเขาเป็นอย่างไร เมื่อบุตรน้อยหิวโหย ต้องไปกินแกลบ แต่เมื่อหิวจัดจนใกล้ตาย ต้องกลับไปหาบิดาของตน158
ในมัทธิว 5:6 พระเยซูไม่ได้ตรัสถึงความหิวกระหายตามปกติ แต่ตรัสถึงความหิวในความชอบธรรมจนแทบจะใกล้ตาย
นึกภาพผู้ฟังที่นั่งฟังพระเยซูอยู่ที่นั่น เป็นชาวกาลิลี ซึ่งไม่เป็นที่ชอบใจของชาวยิวกลุ่มอื่นๆ เป็นพลเมืองชั้นต่ำ ถูกมองเหมือนกับที่ชาวยิวมองชาวสะมาเรีย คุณอาจจำสิ่งที่ผมพูดไว้ในบทเรียนก่อนหน้าที่เรียกว่า “ทฤษฎีผกผัน”159 ได้ อยากให้คุณกลับไปดูสิ่งที่ผมอธิบายถึงชาวกาลิลี
มองไปที่ฝูงชนที่ห้อมล้อมพระเยซู คุณคิดว่าพวกเขามองเรื่องความชอบธรรมเป็นอย่างไร? ผมรับรองว่ามุมมองเรื่องความชอบธรรมของพวกเขาน่าจะแฉลบออกไปจนถึงขั้นผิด พลาด เพราะฝีมือของพวกผู้นำศาสนาที่นำเสนอจนผิดเพี้ยน เมื่อได้อ่านและศึกษามัทธิว 5:6 คุณต้องมองข้ามไปที่มัทธิว 5:20 เพื่อจะเห็นการเชื่อมโยงของพระเยซู มุมมองในเรื่องความชอบธรรมของคนเหล่านี้เป็นมุมมองที่ผิด พระเยซูกำลังแก้ไขมุมมองพวกเขาใหม่ แสดงให้พวกเขาเห็นว่าเป็นเรื่องของจิตใจ
เพราะเราบอกท่านทั้งหลายว่า ถ้าความชอบธรรมของท่าน ไม่ยิ่งกว่าความชอบธรรมของพวกธรรมาจารย์ และพวกฟาริสี ท่านจะไม่มีวันได้เข้าสู่แผ่นดินสวรรค์ (มัทธิว 5:20)
ผมมองเห็นว่านี่เป็นภาพความชอบธรรมของผู้ที่ฟังอยู่ ภาพผู้นำศาสนาที่ภายนอกดูว่าชอบธรรมและเคร่งครัดศรัทธา แต่ภายในเต็มด้วยความบาป ทุจริตและฉ้อฉล พวกเขามองเห็นทัศนคติที่ชอบตัดสินของพวกฟาริสี ความหน้าซื่อใจคดของคนพวกนี้ซึ่งอาจจะดูดีจากภายนอก แต่ภายในพวกเขาผิดพลาดทำในสิ่งที่กำลังทำอยู่ พวกฟาริสีทำราวกับว่าการกระทำของพวกเขาทำให้เกิดความชอบธรรมและถูกต้องในสาย พระเนตรพระเจ้า พระวจนะตรงนี้ พระเยซูทรงแสดงให้เห็นถึงระยะห่างระหว่างพระเจ้าและมนุษย์ และตรัสถึงความชอบธรรมของตนเองของพวกฟาริสี รวมถึงเรื่องที่อยู่ภายในใจของฝูงชนที่นั่งฟังอยู่ด้วย ตรงนี้ที่พระเยซูทรงยกระดับขึ้น และพูดถึงเรื่องของจิตใจ พระองค์บอกกับฝูงชนว่าพระองค์คือความชอบธรรมเที่ยงแท้นั้น เป็นผู้ที่คนต่างก็กระหายหา และเป็นผู้เดียวที่สามารถเติมเต็มความว่างเปล่าภายในพวกเขาได้ พระองค์กำลังบอกว่าพระองค์เองคือข่าวประเสริฐแห่งพระกิตติคุณ พระกิตติคุณมาถึงแล้ว และอยู่ในพระองค์ พระเยซูตรัสกับพวกเขาว่าพระองค์คือเหตุและหนทางแห่งความอิมใจที่สมบูรณ์
ถ้ามองไปที่พระวจนะตอนอื่นๆ เราจะเห็นพระองค์พูดในเรื่องเดียวกัน พระเยซูทรงเป็นทางเดียวไปสู่ความชอบธรรม และความชอบธรรมของพระองค์มอบความอิ่มเอิบพึงพอใจได้
หญิงที่บ่อน้ำ – พระเยซูทรงตอบและบอกกับเธอว่า “ทุก คนที่ดื่มน้ำนี้จะกระหายอีก แต่ผู้ที่ดื่มน้ำซึ่งเราจะให้แก่เขานั้น จะไม่กระหายอีกเลย น้ำซึ่งเราจะให้เขานั้น จะบังเกิดเป็นบ่อน้ำพุในตัวเขาพลุ่งขึ้นถึงชีวิตนิรันดร์” (ยอห์น 4:13-14)
เลี้ยงคน 5000 – พระเยซูตรัสกับเขาว่า “เรา บอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ท่านทั้งหลายตามหาเรามิใช่เพราะได้เห็นหมายสำคัญ แต่เพราะได้กินขนมปังอิ่ม อย่าขวนขวายหาอาหารที่เสื่อมสิ้นไป แต่จงหาอาหารที่ดำรงอยู่คืออาหารแห่งชีวิตนิรันดร์ ซึ่งบุตรมนุษย์จะให้แก่ท่าน เพราะพระเจ้าคือพระบิดาได้ทรงประทับตรามอบอำนาจแก่พระบุตรแล้ว” (ยอห์น 6:26-27)
พระเยซูคริสต์ทรงเป็นผู้เดียวที่เติมเต็มความพึงพอใจได้ และพระวจนะข้อนี้ในมัทธิว พระองค์เสนอประเด็นนี้ให้กับผู้ที่กำลังนั่งฟัง สำหรับบางคน คำสอนนี้นำความสดชื่นใจมาให้ เพราะพวกเขาเห็นฟาริสีและความชอบธรรมของคนเหล่านี้ที่ทำให้ “หมดศรัทธา” เดี๋ยวนี้พวกเขามีมุมมองใหม่ในพระคริสต์ ได้รับความพึงพอใจผ่านทางพระองค์ เป็นความชอบธรรมเที่ยงแท้ แต่คนอื่นๆในกลุ่มผู้ฟังก็ยัง “หมดศรัทธา” ผมเชื่อว่ามีพวกผู้นำศาสนาฟังอยู่ด้วย และรู้สึกโกรธแค้นไม่พอใจ เพราะพระเยซูตรัสว่าพวกเขาไม่อาจทำให้พระเจ้าพอพระทัยได้ด้วยบทบัญญัติและ ความชอบธรรมของตนเอง ความพอพระทัยของพระเจ้ามีในความชอบธรรมของพระเยซูคริสต์เท่านั้น
นี่เป็นข่าวแห่งความหวังใจเที่ยงแท้สำหรับผู้หลงหายและกำลังจะพินาศ สำหรับคนในสมัยของพระเยซูและในสมัยของเรา ความว่างเปล่าที่มีในชีวิตพวกเขาและพวกเรา จะเติมเต็มได้ในองค์พระคริสต์เท่านั้น เป็นความชอบธรรมเที่ยงแท้ มีได้ด้วยความหิวกระหายในสิ่งที่พระเยซูเติมเต็มช่องว่างในใจให้ได้ สิ่งต่างๆในโลกไม่อาจทำได้ มีแต่ในพระเยซูเท่านั้น นี่เป็นคำสอนทั้งในสมัยนั้นและในสมัยนี้ สำหรับคนที่ยังไม่รู้จักกับพระเยซูคริสต์ นี่คือข่าวแห่งกำลังใจ แล้วทำไมเราถึงยังวิ่งวนไปมา หลงไหลในสิ่งที่มีแต่จะสร้างความเจ็บปวดและความว่างเปล่ามากขึ้น? ข้อเสนอที่ให้ความชื่นชมยินดี สันติสุข และความพึงพอใจในท่ามกลางสิ่งอื่นๆมีในองค์พระเยซูคริสต์ – และในพระองค์เพียงผู้เดียว
นี่เป็นข่าวแห่งความหวังใจสำหรับผู้ไม่เชื่อ แต่สิ่งนี้กำลังบอกอะไรแก่ผู้เชื่อ? ผมเชื่อแน่ว่าเป็นข่าวที่ยิ่งใหญ่ และสำคัญสำหรับพวกเราผู้เชื่อ คำถามแรกนั้นง่ายมาก –ชีวิตคุณในปัจจุบัน คุณหิวกระหายหรือกำลังติดตามสิ่งใด? ใจคุณอยู่ที่ไหน? ในแง่มุมหนึ่ง มันง่ายสำหรับเราผู้เชื่อที่เห็นว่าเราได้รับการเติมเต็มด้วยความอิ่มใจ เมื่อรับของขวัญแห่งความรอดที่ประทานให้ แต่บ่อยครั้งนี่กลับเป็นสิ่งที่ทำให้ความหิวกระหายของเราหยุดลง ผู้เชื่อหลายคนกำลังต่อสู้กับความบาป และพยายามเติมช่องโหว่ด้วยสิ่งอื่นที่ไม่ใช่พระเยซูคริสต์ ศิษยาภิบาลหลายคนตกลงไปในหล่มโศกนาฎกรรมเรื่องบาปทางเพศ หลายครอบครัวถูกทำลายเพราะไม่ได้หิวกระหายความชอบธรรมอีกต่อไป และจบลงที่การหย่าร้าง บางคนนั่งอยู่ในโบสถ์อาทิตย์แล้วอาทิตย์เล่าเฝ้ามองหาความพึงพอใจมาเติมให้ เต็ม เราในฐานะผู้เชื่อยังหิวกระหายความชอบธรรมอยู่หรือเปล่าครับ?
ความหิวและกระหายเป็นสิ่งที่มีและดำเนินไปต่ออย่างเนื่อง ทุกวันผมยังหิว พอใกล้ 11 โมง หรือบางวันก็ก่อนนั้น ท้องผมเริ่มร้อง คิดว่าถ้าไม่มีอะไรตกถึงท้องกะเพาะคงต้องพัง นี่เป็นชีวิตประจำวันที่เราแต่ละคนต้องเผชิญ เพราะร่างกายเราต้องการอาหาร เป็นเรื่องเดียวกับความกระหายและเป็นเรื่องเดียวในมิติชีวิตฝ่ายวิญญาณด้วย เราต้องหิวและกระหาย จนแทบจะตายเพื่อได้ความชอบธรรมในชีวิต เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นและต่อเนื่องไปแต่ละวัน เหมือนไปกินสเต็กที่ภัตตาคาร เนื้อหนานุ่มชิ้นใหญ่ มันฝรั่งอบ เฟรนช์ฟรายด์ เสิร์ฟพร้อมสลัด คุณทานจนอิ่ม แต่พอเช้าวันรุ่งขึ้น ก็อยากจะกินอีก รวมถึงวันต่อไปและต่อๆไปด้วย ความชอบธรรมก็เช่นกัน เมื่อได้ลิ้มรสและหิวกระหายความชอบธรรม เราควรหมั่นเติมความปรารถนาเพื่อให้ชีวิตเราเต็มอิ่มด้วยความชอบธรรม เราถูกเรียกให้ดำเนินชีวิตที่บริสุทธิ์ในฐานะผู้เชื่อ เราถูกเรียกให้มาดำเนินชีวิตในฐานะผู้บริสุทธิ์ของพระเจ้า เป็นดังกลิ่นหอมถวายแด่พระองค์
มาดูตัวอย่างจากพระวจนะในพระคัมภีร์เดิมสำหรับผู้ที่หิวกระหายความชอบธรรม
สดุดี 63:1-11
1 ข้าแต่พระเจ้า พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าของข้าพระองค์
ข้าพระองค์แสวงพระองค์ จิตวิญญาณของข้าพระองค์กระหายหาพระองค์
เนื้อหนังของข้าพระองค์กระเสือกกระสนหาพระองค์ ในดินแดนที่แห้งและอ่อนโหย ที่ที่ไม่มีน้ำ
2 เช่นนั้นแหละ ข้าพระองค์จึงเคยเห็น พระองค์ในสถานนมัสการ
เห็นฤทธานุภาพและพระสิริของพระองค์
3 เพราะว่าความรักมั่นคงของพระองค์ดีกว่าชีวิต
ริมฝีปากของข้าพระองค์จะสรรเสริญพระองค์
4 เช่นนั้นแหละข้าพระองค์จะสรรเสริญพระองค์ ตราบเท่าชีวิตของข้าพระองค์
ข้าพระองค์ชูมือต่อพระนามของพระองค์
5 จิตใจของข้าพระองค์จะอิ่มหนำดังกินเนื้ออย่างดี และไขมัน
และปากของข้าพระองค์จะสรรเสริญพระองค์ด้วย ริมฝีปากที่ชื่นบาน
6 เมื่อข้าพระองค์คิดถึงพระองค์ ขณะอยู่บนที่นอน
และภาวนาถึงพระองค์ทุกๆยาม
7 เพราะพระองค์ทรงเป็นความอุปถัมภ์ของข้าพระองค์
ข้าพระองค์เปรมปรีดิ์อยู่ในร่มปีกของพระองค์
8 จิตวิญญาณของข้าพระองค์เกาะติดอยู่ที่พระองค์
พระหัตถ์ขวาของพระองค์ ชูข้าพระองค์ไว้
9 แต่บรรดาผู้แสวงชีวิตของข้าพระองค์เพื่อทำลาย
จะลงไปในที่ลึกแห่งแผ่นดินโลก
10 เขาจะถูกมอบไว้กับฤทธิ์ของดาบ
เขาจะเป็นเหยื่อของสุนัขจิ้งจอก
11 แต่พระราชาจะทรงเปรมปรีดิ์ในพระเจ้า
ทุกคนที่สาบานในพระนามของพระองค์จะ อวดอ้างพระนามนั้น
เพราะปากของคนมุสาจะถูกปิด
สดุดี 42:1-11
1 กวางกระเสือกกระสนหาลำธาร ที่มีน้ำไหลฉันใด
ข้าแต่พระเจ้า จิตวิญญาณของข้าพระองค์ ก็กระเสือกกระสนหาพระองค์ฉันนั้น
2 จิตวิญญาณของข้าพระองค์กระหายหาพระเจ้า หาพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์
เมื่อไรข้าพระองค์จะได้มาเห็นพระพักตร์พระเจ้า
3 ข้าพระองค์กินน้ำตาต่างอาหารทั้งวันคืน
ขณะที่คนพูดกับข้าพระองค์ วันแล้ววันเล่าว่า “พระเจ้าของเจ้าอยู่ที่ไหน”
4 เมื่อข้าพระองค์ระบายความในใจออกมา ข้าพระองค์ระลึกถึงสิ่งเหล่านี้ได้
คือข้าพระองค์ไปกับประชาชน และนำเขาไปเป็นกระบวนแห่ถึงพระนิเวศของพระเจ้า
ด้วยเสียงโห่ร้องยินดีและเสียงเพลงโมทนา คือมวลชนกำลังมีเทศกาลฉลอง
5 จิตใจของข้าพเจ้าเอ๋ย ไฉนเจ้าจึงฝ่ออยู่ ไฉนเจ้าจึงกระสับกระส่ายภายในข้าพเจ้า
จงหวังใจในพระเจ้า เพราะข้าพเจ้าจะถวายสดุดีแด่พระองค์อีก
ผู้ทรงเป็นความอุปถัมภ์ และพระเจ้าของข้าพเจ้า
6 จิตใจของข้าพระองค์ฝ่ออยู่ภายในข้าพระองค์
เพราะฉะนั้นข้าพระองค์จึงระลึกถึงพระองค์
ตั้งแต่แผ่นดินแห้งแม่น้ำจอร์แดนและแห่งภูเขาเฮอร์โมน ตั้งแต่เนินมิซาร์
7 เมื่อเสียงน้ำแก่งตก ที่ลึกก็กู่เรียกที่ลึก
บรรดาคลื่นและระลอกของพระองค์ ท่วมข้าพระองค์แล้ว
8 กลางวันพระเจ้าทรงบัญชาความรักมั่นคงของพระองค์
และกลางคืนเพลงของพระองค์อยู่กับข้าพเจ้า
เป็นคำอธิษฐานต่อพระเจ้าแห่งชีวิตของข้าพเจ้า
9 ข้าพเจ้าทูลพระเจ้าพระศิลาของข้าพเจ้าว่า
“ไฉนพระองค์ทรงลืมข้าพระองค์เสีย
ไฉนข้าพระองค์จึงต้องไปอย่างเป็นทุกข์ เพราะการบีบบังคับของศัตรู”
10 ปรปักษ์ของข้าพระองค์เยาะเย้ยข้าพระองค์ ประดุจแผลร้ายภายในร่างของข้าพระองค์
ในเมื่อเขากล่าวแก่ข้าพระองค์เสมอๆ อยู่ว่า “พระเจ้าของเจ้าอยู่ที่ไหน”
11 จิตวิญญาณของข้าพเจ้าเอ๋ย ไฉนเจ้าจึงฝ่ออยู่
ไฉนเจ้าจึงกระสับกระส่ายภายในข้าพเจ้า
จงหวังใจในพระเจ้า เพราะข้าพเจ้าจะถวายสดุดีแด่พระองค์อีก
ผู้ทรงเป็นความอุปถัมภ์ และพระเจ้าของข้าพเจ้า
พระวจนะด้านบน ผู้เขียนสดุดีขยายความถึงความโหยหา ความหิวกระหายในความชอบธรรม “กวางกระเสือกกระสนหาลำธาร ที่มีน้ำไหลฉันใด ข้าแต่พระเจ้า จิตวิญญาณของข้าพระองค์ ก็กระเสือกกระสนหาพระองค์ฉันนั้น” คุณ มีความโหยหาและหิวกระหายความชอบธรรมเช่นนี้หรือไม่? เป็นสิ่งที่คุณขาดจากชีวิตไม่ได้หรือเปล่า? ขอบอกว่านี่คือสิ่งที่ผู้เชื่อทุกคนควรจะหิวกระหาย เราต้องกระหายหาพระเจ้าในแต่ละวัน ทุกเวลานาทีในชีวิต หิวและกระหายควรเป็นส่วนสำคัญที่สุดของชีวิตเรา ในแบบที่เราไม่อาจดำเนินต่อไปได้ถ้าขาดความอิ่มใจแบบนี้ หลายสิ่งที่เราทำ เราคิดว่าจะไม่ส่งผลต่อความสัมพันธ์ระหว่างเรากับพระเยซู แต่ที่จริงแล้วใช่ ทำไมเราที่เป็นผู้เชื่อถึงสนุกสนานกับการไปดูหนังที่มีเต่เรื่องผิดทางเพศ การหย่าร้าง ความรุนแรง อุทานพระนามและล้อเลียนพระเจ้าอย่างไม่สมควร ที่เป็นการลดตัวลงต่ำของมนุษยชาติ? ทำไมเราใส่ไว้ในสมอง ภาพและเนื้อเพลงที่เต็มไปด้วยเรื่องเพ้อฝันโกหกพกลม? สิ่งเหล่านี้ขัดขวางการดำเนินชีวิตระหว่างเรากับพระเจ้า มันดึงเราออกนอกทางแห่งความชอบธรรม หิวกระหายหาความชอบธรรมเป็นสิ่งที่ไม่ง่าย ที่จริงเป็นสิ่งที่ยากมาก เพราะเราต้องหักห้ามใจ ต้องตัดสินใจอย่างลำบาก ตัดสินใจที่จะแตกต่าง ไม่ทำในสิ่งที่ใครๆเขาก็ทำกัน ตั้งใจเหมือนที่ดาเนียลยืนหยัดตามลำพังท่ามกลางผู้คนรอบข้างในทุกแบบและทุก วัย ไม่ต้องสงสัยเลยในช่วงชีวิตเรา มีสงครามต่อสู้กับเนื้อหนังและความบาปเกิดขึ้นตลอดเวลา อย่างที่ผู้เขียนหนังสือฮีบรูกล่าวใน 12:3-4:
3 ท่านทั้งหลายจงคิดถึงพระองค์ผู้ได้ทรงยอมทนต่อคำคัดค้านของคนบาป เพื่อว่าท่านทั้งหลายจะได้ไม่รู้สึกท้อถอย 4 ในการต่อสู้กับบาปนั้น ท่านทั้งหลายยังไม่ได้สู้จนถึงกับต้องเสียโลหิตเลย
ไม่ได้หมายความว่าเราต้องเอาตัวออกไปจากโลกนี้ – แต่หมายถึงเราที่อาศัยอยู่ในโลก และดำเนินชีวิตในความชอบธรรมในท่ามกลางเพื่อนร่วมงาน เพื่อนฝูง และศัตรู ที่ชีวิตอยู่ห่างไกลจากความชอบธรรม หมายถึงเราที่ต้องเป็นเกลือและแสงสว่างที่สำแดงความรักของพระคริสต์ทั้งใน การกระทำและในคำพูด นี่เป็นความหิวกระหายในชีวิตของคุณหรือเปล่า? คนที่เขียนบทสดุดีมีความหิวกระหายในพระคริสต์เช่นนั้น และสิ่งนี้ครอบคลุมอยู่ในชีวิตพวกเขา เป็นสิ่งที่พวกเขาโหยหา ผู้เดียวที่จะมาเติมเต็มความพึงพอใจได้
ในพระคัมภีร์ใหม่ อ.เปาโลขยายความไว้ในหนังสือฟีลิปปี 3:1-21 ที่เราจะเห็นจากข้อ 8-12 ของพระวจนะตอนนี้:
8 ที่จริงข้าพเจ้าถือว่าสิ่งสารพัดไร้ประโยชน์ เพราะเห็นแก่ความประเสริฐแห่งความรู้ถึงพระเยซูคริสต์ องค์พระผู้เป็นเจ้าของข้าพเจ้า เพราะเหตุพระองค์ ข้าพเจ้าจึงได้ยอมสละสิ่งสารพัด และถือว่าสิ่งเหล่านั้นเป็นเหมือนหยากเยื่อเพื่อข้าพเจ้าจะได้พระคริสต์ 9 และจะได้ปรากฏอยู่ในพระองค์ ไม่มีความชอบธรรมของข้าพเจ้าเอง ซึ่งได้มาโดยธรรมบัญญัติ แต่มีมาโดยความเชื่อในพระคริสต์ เป็นความชอบธรรมซึ่งมาจากพระเจ้าซึ่งขึ้นอยู่กับความเชื่อ 10 ข้าพเจ้าต้องการจะรู้จักพระองค์ และได้รับประสบการณ์ในฤทธิ์เดช เนื่องในการที่พระองค์ทรงคืนพระชนม์นั้น และร่วมทุกข์กับพระองค์ คือยอมตั้งอารมณ์ตายเหมือนพระองค์ 11 ถ้าเป็นไปได้ข้าพเจ้าก็จะได้เป็นขึ้นมาจากความตายด้วย 12 มิใช่ว่าข้าพเจ้าได้แล้ว หรือสำเร็จแล้ว แต่ข้าพเจ้ากำลังบากบั่นมุ่งไป เพื่อข้าพเจ้าจะได้ฉวยเอาไว้เป็นของตน อย่างที่พระเยซูคริสต์ได้ทรงฉวยข้าพเจ้าไว้เป็นของพระองค์แล้ว
อ.เปาโลกำลังบอกว่า : (a) ไม่ใช่เป็นความชอบธรรมของท่านเอง แต่เป็นความเชื่อในองค์พระเยซูคริสต์ และ (b) ท่านกำลังบากบั่นมุ่งไปเพื่อคว้าพระคริสต์ไว้เหมือนที่พระองค์ได้คว้าท่าน ไว้แล้ว ท่านละทุกสิ่งที่เป็นของโลก และต่อสู้เพื่อให้ได้มาซึ่งความชอบธรรมในการดำเนินไปกับพระเยซู สิ่งที่ท่านปรารถนาเหนือสิ่งอื่นใดคือได้รู้จักพระคริสต์และฤทธิอำนาจในการ คืนพระชนม์ของพระองค์ เรามองสิ่งของๆโลกนี้ว่าเป็นหยากเยื่อเพื่อจะได้มาซึ่งองค์พระคริสต์หรือ ไม่? เราดิ้นรนเพื่อมีชีวิตที่ดำเนินในพระเจ้าและความชอบธรรมของพระองค์หรือ? เราไม่ได้พูดถึงภาพลักษณ์ภายนอกที่แสดงออกถึงความชอบธรรม แต่พูดถึงจิตใจภายใน สิ่งใดที่ใจคุณโหยหา? ใจคุณหิวกระหายในเรื่องใด? อย่างที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเป็น และอย่างที่ อ.เปาโลกล่าวไว้ “ข้าพเจ้าต้องการจะรู้จักพระองค์ และได้รับประสบการณ์ในฤทธิ์เดช เนื่องในการที่พระองค์ทรงคืนพระชนม์นั้น และร่วมทุกข์กับพระองค์” (ฟีลิปปี 3:10)
มัทธิว 5:6 เป็นพระวจนะตอนที่มีพลังมาก เป็นตอนที่ค่อยๆเปิดเผยและส่งผ่านความหวังมาถึงเรา “บุคคลผู้ใดหิวกระหายความชอบธรรม ผู้นั้นเป็นสุข เพราะว่าพระเจ้าจะทรงให้อิ่มบริบูรณ์” เราจะได้รับพระพรอย่างล้นเหลือเมื่อเราหิวกระหายความชอบธรรม เป็นไปได้อย่างไร? เพราะเมื่อเราอิ่มบริบูรณ์ เราก็จะไม่หิวเหมือนอย่างที่โลกนี้หิวกระหายอีกต่อไป เพราะเราได้รับความอิ่มใจแล้วในองค์พระเยซูคริสต์ หิวกระหายความชอบธรรมเป็นทั้งข่าวประเสริฐที่ต้องประกาศออกไปสำหรับผู้ที่ ยังไม่รู้จักกับพระเยซู และเป็นข่าวที่มาถึงผู้เชื่อในพระองค์แล้ว ผมขอสรุปด้วยคำถามธรรมดาๆ “คุณกำลังหิวกระหายในเรื่องใดในชีวิต?” ขอภาวนาให้คำตอบของเราคือ “ความชอบธรรม” ครับ
1 153 เป็นต้นบับบจากบทเรียนที่ 13 ในบทเรียนต่อเนื่องของพระกิตติคุณมัทธิว จัดเตรียมโดย เลนนี่ คอร์เรล 18 พฤษภาคม 2003
2 154 นอกจากที่แจ้งไปในบทเรียนอื่นๆก่อนหน้า พระวจนะ (ภาษาอังกฤษ) นำมาจากหลากหลายฉบับแปล
3 155 Martyn Lloyd-Jones, Studies in the Sermon on the Mount (Grand Rapid, Michigan: Eerdmans Publishers, 1971), Vol. 1, pp. 73-74.
4 156 John Piper, “Blessed Are Those Who Hunger and Thirst for Righteousness,” (Desiring God Ministries, 1986),
คณะกรรมการรับนักเรียนกำลังสัมภาษณ์ผู้สมัครเข้ามาเรียนในวิทยาลัย คริสเตียน พวกเขาถามผู้สมัครทุกคนด้วยชุดคำถามเดียวกัน และคำตอบก็ออกมาคล้ายๆกัน
“คุณจะทำอะไรถ้าได้รับการตอบรับให้เข้าเรียนที่นี่?” – “ผมก็พยายามจะตั้งใจเรียนให้ดีที่สุด” – “แล้วคุณจะทำอะไรหลังจากเรียนจบได้ปริญญาแล้ว?” – “ผมก็จะหางานดีๆทำ” – แล้วหลังจากนั้นล่ะครับ?” – “ผมก็จะหารายได้ให้มากพอที่จะมีชีวิตที่มีความสุข” – “แล้วหลังจากนั้นล่ะครับ?” – “ก็มีความสุขกับชีวิตหลังเกษียน” – “แล้วหลังจากนั้นล่ะครับ?” ไม่มีคำตอบครับ และการสัมภาษณ์ก็จบลง
สิ่งนี้ทำให้เราเห็นระดับสติปัญญาของนักศึกษาในทุกวันนี้ และเป็นสิ่งเดียวกับที่คนส่วนใหญ่ในโลกเป็น – มีการศึกษาที่ดี – ได้งานที่ดีทำ – มีชีวิตที่สุขสบายจนแก่เฒ่า – แต่ไม่เคยคิดว่าหลังจากนั้นจะเกิดอะไรขึ้น แนวคิดระยะยาวของพวกเขาจบลงที่เงินออมหลังเกษียน และเงินชดเชยเมื่อครบอายุงาน
ลืมเรื่องสัมภาษณ์นักศึกษาและเป้าหมายชีวิตพวกเขาไปก่อน ลืมเรื่องคนที่เราเคยพบ คนที่มีชีวิตเพื่อตอนนี้และที่นี่เท่านั้น “…พระของเขาคือกระเพาะ เขายกความที่น่าอับอายของเขาขึ้นมาโอ้อวด เขาสนใจในวัตถุทางโลก” (ฟีลิปปี 3:19)2
ให้มาคิดถึงตัวเราเอง เราที่อ้างว่าเชื่อในพระเยซูคริสต์และอุทิศชีวิตเพื่อพระเจ้า เป้าหมายและแผนชีวิตระยะยาวของเราต่างจากนักศึกษาพวกนั้นหรือเปล่า? อะไรคือสิ่งที่เราปรารถนาที่สุด? เรามีชีวิตอยู่เพื่ออะไร? นี่เป็นคำถามที่สำคัญที่สุดในชีวิตคริสเตียน หรือชีวิตใครก็ตาม และนี่คือคำถามของคำเทศนาบนภูเขาที่เรากำลังจะเรียนในมัทธิว 5:8 ที่มีคำตอบให้อย่างชัดเจนที่สุด
“บุคคลผู้ใดมีใจบริสุทธิ์ ผู้นั้นเป็นสุข เพราะว่าเขาจะได้เห็นพระเจ้า” (มัท ธิว 5:8) สิ่งนี้ครับ คือสิ่งที่เป็นเป้าหมายของชีวิต คริสเตียน สิ่งที่เรามีชีวิตอยู่เพื่อ – ให้เรามีชีวิตในแบบที่เราจะได้เห็นพระเจ้า ถ้าเราได้เห็นพระเจ้า ก็เท่ากับเรากำลังเปิดขุมทรัพย์มหาศาลแห่งพระพรทุกประการ ไม่เพียงแต่ชีวิตนิรันดร์ แต่สำหรับชีวิตที่นี่และเวลานี้ด้วย และกุญแจที่ไขไปสู่ขุมทรัพย์นี้คือใจที่บริสุทธิ์!
นี่เป็นคำสอนที่อยู่ตรงใจกลางและสำคัญที่สุดในคำเทศนาบนภูเขาในมัทธิวบท ที่ห้า คุณไม่อาจรู้สึกขัดสนฝ่ายวิญญาณโดยที่ใจไม่บริสุทธิ์ คุณไม่อาจโศกเศร้าต่อสิ่งที่ทำให้พระเจ้าเสียพระทัยโดยที่ใจไม่บริสุทธิ์ คุณไม่อาจมีใจอ่อนโยน คุณไม่อาจหิวกระหายความชอบธรรม ไม่อาจมีใจกรุณา ไม่อาจเป็นผู้สร้างสันติ หรือพร้อมจะรับการติเตียนข่มเหงเพื่อพระนามของพระคริสต์ได้ถ้าไม่มีใจที่ บริสุทธิ์ ที่จริง นี่เป็นหัวใจหลักของชีวิตคริสเตียนที่เราพบได้ในพระคัมภีร์ทั้งเล่ม หัวใจของเรื่องคือเรื่องของหัวใจครับ
มีใจที่บริสุทธิ์ประการแรกคือดำเนินชีวิตตามกฎเกณฑ์ของพระเจ้าที่นำมา ซึ่งความบริสุทธิ์ด้านศีลธรรม คำว่า “บริสุทธิ์” ที่นำมาใช้เริ่มแรกในพระคัมภีร์มีความหมายแง่เดียวกับ “สะอาด” ที่ตรงข้ามกับ “ไม่สะอาด” – สัตว์ที่สะอาดหรือไม่สะอาด อาหารที่สะอาดหรือไม่สะอาด สถานะของคนสะอาดหรือไม่สะอาด คุณคิดว่าอะไรคือพื้นฐานความต่างของสิ่งของ (หรือคน) ที่ “สะอาด” หรือ “ไม่สะอาด”? เป็นการตัดสินตามสิทธิอำนาจของพระเจ้า ในบางกรณี เราอาจเห็นตรรกะของเหตุผลนั้น ตัวอย่างเช่น อีกาไม่สะอาดเพราะมันกินเนื้อที่เน่าเสีย คนเป็นโรคเรื้อนไม่สะอาดเพราะเป็นโรคติดต่อถึงคนอื่นได้ แต่ว่าอาจไม่สมเหตุผลเสมอไปที่ทำไมเนื้อของสัตว์บางอย่างถูกมองว่าสะอาด และเนื้อบางอย่างไม่สะอาด ถ้ามนุษย์ถูกสั่งให้มีลูกดกทวีคูณ และถ้าเรื่องเพศเป็นของขวัญจากพระเจ้า เราไม่รู้ว่าอสูจิของผู้ชายทำไมถึงทำให้คนๆนั้นไม่สะอาด ถ้าการให้กำเนิดบุตรเป็นเรื่องของความปิติยินดี แต่เราไม่รู้ว่าทำไมทำให้ผู้เป็นมารดาไม่สะอาด และถ้ามีคนบอกว่าทางการแพทย์แล้วกินหมูไม่ดี กรมปศุสัตว์คงจะสั่งห้ามเลี้ยงหมูไปนานแล้ว และองค์กรอาหารและยาคงสั่งห้ามขายเนื้อหมู
นี่เป็นการตัดสินของพระเจ้าในสิ่งที่ครั้งหนึ่งถูกมองว่าไม่สะอาด แต่พระเจ้าสามารถประกาศว่าสะอาดได้ในอีกเวลา อย่างที่เปโตรเห็นในภวังค์ (กิจการ 10) ที่พระเจ้าต้องการให้เปโตรทานสิ่งที่เคยมองว่าไม่สะอาด “…ซึ่งพระเจ้าได้ทรงชำระแล้วอย่าว่าเป็นของต้องห้าม” (กิจการ 10:15) อ.เปาโลเคยประกาศว่า “ข้าพเจ้า รู้และปลงใจเชื่อเป็นแน่ในองค์พระเยซูเจ้าว่า ไม่มีสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เป็นมลทินในตัวเองเลย แต่ถ้าผู้ใดถือว่าสิ่งใดเป็นมลทินสิ่งนั้นก็เป็นมลทินสำหรับคนนั้น” (โรม 14:4).
ถ้าเป็นเช่นนี้ คุณคิดว่าทำไมพระเจ้าถึงแยกแยะว่าอะไร “สะอาด” และ “ไม่สะอาด” พระองค์มีพระประสงค์ใดในเรื่องนี้? พระเจ้าทรงพระประสงค์ให้คนของพระองค์รู้ว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าผู้ บริสุทธิ์ และปรารถนาให้คนของพระองค์ดำเนินชีวิตตามมาตรฐานที่ทรงกำหนดไว้
“…เพราะนี่จะเป็นหมายสำคัญระหว่างเรากับ เจ้า ตลอดชั่วชาติพันธุ์ของเจ้า เพื่อเจ้าจะได้รู้ว่าเราคือพระเจ้า ผู้ได้กระทำเจ้าให้บริสุทธิ์” (อพยพ 31:13ข)
“เราจะสำแดงความบริสุทธิ์ของเรา
ท่ามกลางผู้ที่อยู่ใกล้เรา
เขาจะถวายความยิ่งใหญ่แก่เรา
ต่อหน้าประชาชนทั้งปวง’ (เลวีนิติ 10:3)
และนี่คือสิ่งที่พระเจ้าย้ำแล้วย้ำอีกเมื่อตรัสว่า “จงชำระตัวไว้ให้บริสุทธิ์ เพราะเราบริสุทธิ์” (เลวีนิติ 11:44, 45)
และด้วยการแยกแยะให้เห็นชัดเจนระหว่างสะอาดและไม่สะอาด พระเจ้าต้องการให้คนของพระองค์รู้ว่าพระองค์คือพระเจ้า พระองค์เป็นผู้สร้างกฎเกณฑ์ และพวกเขาต้องดำเนินตามกฎเกณฑ์นี้ ‘มนุษย์จะบำรุงชีวิตด้วยอาหารสิ่งเดียวหามิได้ แต่บำรุงด้วยพระวจนะทุกคำ ซึ่งออกมาจากพระโอษฐ์ของพระเจ้า’ (มัท ธิว 4:4) กฎเกณฑ์ที่พระเจ้ากำหนดไว้ให้เรา ไม่ใช่หน้าที่เราที่จะเข้าใจทุกสิ่งที่พระเจ้าทำ แต่ให้เราเชื่อฟัง โมเสสขณะเมื่อกล่าวทบทวนพระบัญญัติ ได้กล่าวถ้อยคำที่สำคัญมาก:
“สิ่งลี้ลับทั้งปวงเป็นของพระเยโฮวาห์พระ เจ้า ของเราทั้งหลาย แต่สิ่งทรงสำแดงนั้นเป็นของเราทั้งหลายและของ ลูกหลานของเราเป็นนิตย์ เพื่อเราจะกระทำตามถ้อยคำทั้งสิ้นของกฎหมายนี้” (เฉลยธรรมบัญญัติ 29:29)
จะเห็นได้ว่าตั้งแต่เริ่มต้น มันไม่ใช่เป็นเรื่องของกฎเกณฑ์และบทบัญญัติที่เห็นได้จากภายนอก แต่เป็นทัศนคติของจิตใจที่มุ่งตรงต่อพระเจ้า ในธรรมบัญญัติโมเสสกล่าวว่า “เพราะฉะนั้นจงตัดใจ อย่าดื้อดึงอีกต่อไป” (เฉลยธรรมบัญญัติ 10:16) ซามูเอลถามซาอูลว่า:
“พระเจ้าทรงพอพระทัยในเครื่องเผาบูชาและ เครื่องสัตวบูชามาก เท่ากับการที่จะเชื่อฟังพระสุรเสียงของพระองค์หรือ ดูเถิด ที่จะเชื่อฟังก็ดีกว่าเครื่องสัตวบูชา และซึ่งจะสดับฟังก็ดีกว่าไขมันของบรรดาแกะผู้” (1ซามูเอล 15:22)
มันง่ายกว่าที่จะทำตามกฎเกณฑ์แต่ลืมเรื่องของจิตใจ เราระมัดระวังที่จะทำทุกสิ่งให้สะอาดตามที่คนอื่นมองเห็น แต่ลืมสิ่งที่พระเจ้าเท่านั้นที่มองเห็น ถ้ามือผมเปื้อนโคลน คงไม่มีใครอยากเช็คแฮนด์ด้วย ผมจึงต้องรีบล้างให้สะอาด ถ้าเช้านี้ผมใส่เสื้อสกปรกมา คุณจะมองแต่เสื้อของผมและไม่ได้ฟังสิ่งที่ผมพูด เราต้องมีบุคลิกที่ดีต่อหน้ามนุษย์ แต่เราลืมที่จะตรงไปตรงมาต่อหน้าพระเจ้า
นี่คือเหตุที่พระเยซูกล่าวตำหนิอย่างรุนแรงต่อพวกธรรมาจารย์และฟาริสี ที่คิดว่าตนเองบริสุทธิ์กว่าคนทั้งปวง พวกเขาระมัดระวังมากต่อรูปลักษณ์ภายนอกที่ต้องดูสะอาด แต่ไม่เคยสนใจในความสัมพันธ์กับพระเจ้า พระเยซูบอกกับพวกเขาว่า:
“25 “วิบัติแก่เจ้า พวกธรรมาจารย์และพวกฟาริสี คนหน้าซื่อใจคด ด้วยเจ้าขัดชำระถ้วยชามแต่ภายนอก ส่วนภายในถ้วยชามนั้นเต็มด้วยโจรกรรมและการมัวเมากิเลส 26 โอ พวกฟาริสีตาบอด จงชำระถ้วยชามภายในเสียก่อน เพื่อข้างนอกจะได้สะอาดด้วย 27 “วิบัติแก่เจ้า พวกธรรมาจารย์และพวกฟาริสี คนหน้าซื่อใจคด เพราะว่าเจ้าเป็นเหมือนอุโมงค์ฝังศพซึ่งฉาบด้วยปูนขาว ข้างนอกดูงดงาม แต่ข้างในเต็มไปด้วยกระดูกคนตาย และสารพัดโสโครก 28 เจ้าทั้งหลายก็เป็นอย่างนั้นแหละ ภายนอกแลดูเหมือนว่าเป็นคนชอบธรรม แต่ภายในเต็มไปด้วยความเท็จเทียมและอธรรม” (มัทธิว 23:25-28)
“โอ ชาติงูร้าย เจ้าเป็นคนชั่ว แล้วจะพูดความดีได้อย่างไร ด้วยว่าปากนั้น พูดจากสิ่งที่มาจากใจ” (มัทธิว 12:34)
พระเยซูทรงนำพระวจนะจากอิสยาห์
“8 ประชาชนนี้ให้เกียรติเราแต่ปาก
ใจของเขาห่างไกลจากเรา
9 เขานมัสการเราโดยหาประโยชน์มิได้
ด้วยเอาบทบัญญัติของมนุษย์มาตู่ว่า เป็นพระดำรัสสอนของพระเจ้า” (มัทธิว 15:8-9)
พระองค์ทรงอธิบายให้พวกสาวกฟัง
“19 ความคิดชั่วร้าย การฆ่าคน การผิดผัวผิดเมีย การล่วงประเวณี การลักขโมย การเป็นพยานเท็จ การใส่ร้าย ก็ออกมาจากใจ 20 สิ่งเหล่านี้แหละที่ทำให้มนุษย์เป็นมลทิน แต่ซึ่งจะรับประทานอาหารโดยไม่ล้างมือก่อน ไม่ทำให้มนุษย์เป็นมลทิน“ (มัทธิว 15:19-20)
นี่คือจิตใจที่ไม่สะอาด
จะมีใจที่บริสุทธิ์แปลว่าต้องมีใจที่ยอมอุทิศตนดำเนินชีวิตอย่างที่พระเจ้าพอพระทัย เพราะ “…พระเจ้าทรงพิจารณาจิตใจทั้งปวง และทรงเข้าใจในแผนงานและความคิดทั้งปวง” (1พงศาวดาร 28:9) และดาวิดจึงมีคำอธิษฐานว่า:
23 ข้าแต่พระเจ้า ขอทรงค้นดูข้าพระองค์และทรงทราบจิตใจของข้าพระองค์
ขอทรงลองข้าพระองค์และทรงทราบความคิดของข้าพระองค์
24 และทอดพระเนตรว่ามีทางชั่วใดๆ ในข้าพระองค์หรือไม่
และขอทรงนำข้าพระองค์ไปในมรรคานิรันดร์ (สดุดี 139:23-24)
ดังนั้นใจที่บริสุทธิ์คือมีชีวิตตามกฎเกณฑ์ของพระเจ้า ดำเนินชีวิตอย่างที่พระเจ้าพอพระทัย มีกฎธรรมชาติบางอย่างที่มนุษย์ไม่อาจฝ่าฝืนโดยไม่ได้รับผลของมัน แต่พระเจ้าทรงทำได้ ตัวอย่างเช่น คุณไม่อาจเอามือไปใส่ในไฟโดยไม่ใหม้ นี่เป็นกฎของอุณหพลศาสตร์ รวมทั้งจะต้องใช้อาหารจำนวนมากพอที่จะเลี้ยงคนห้าพัน แต่พระเจ้าทรงมีอำนาจเหนือกฎเหล่านี้ พระองค์สามารถให้คนเดินเข้าไปในไฟโดยที่ไม่เป็นอันตรายเลยแม้แต่เสื้อผ้า พระองค์สามารถเลี้ยงคนห้าพันด้วยขนมปังห้าก้อนและปลาสองตัว เราเรียกสิ่งนี้ว่าอัศจรรย์ คำว่า “อัศจรรย์” หมายถึงบางสิ่งที่ไม่อาจอธิบายได้ตามกฎธรรมชาติ
แล้วยังมีกฎด้านศีลธรรมที่มนุษย์ละเมิดได้ แต่พระเจ้าไม่อาจทำได้ รู้หรือไม่มีบางสิ่งที่ผมทำได้ แต่พระเจ้าทรงทำไม่ได้? ผมพูดโกหกได้ ผมล่วงประเวณีได้ ผมโกงได้ ขโมยก็ได้ แต่พระเจ้าไม่อาจละเมิดกฎแห่งศีลธรรม หรือมองข้ามไปเมื่อมีการละเมิดเกิดขึ้น เราระมัดระวังมากที่จะไม่ฝ่าฝืนกฎธรรมชาติเพราะมันส่งผลในทันที แต่หลายครั้งเรามองข้ามกฎแห่งศีลธรรมที่ส่งผลร้ายแรงกว่า มีใจที่บริสุทธิ์หมายถึงรักษากฎแห่งศีลธรรมของพระเจ้า
ดังนั้น ประการแรก มีใจบริสุทธิ์หมายถึงดำเนินชีวิตตามกฎเกณฑ์ของพระเจ้า ดำเนินชีวิตเพื่อให้พระเจ้าพอพระทัย ประการที่สอง มีใจบริสุทธิ์หมายถึงมีชีวิตเพื่อพระประสงค์ของพระเจ้าเท่านั้น มีใจที่อุทิศทั้งหมดให้พระเจ้า แปลว่ามีใจเดียวที่ยอมมอบทั้งหมดให้พระเจ้า ทำทุกสิ่งในชีวิตเพื่อจุดมุ่งหมายเดียวคือถวายพระสิริแด่พระเจ้า (1โครินธ์ 10:31) “บริสุทธิ์” ในแง่นี้หมายถึงไม่มีสิ่งใดเจือปน
ผมขอถาม ผิดประเวณีคืออะไร? เมื่อพูดถึงผิดประเวณี เราคิดในแง่ทางกาย คือมีความสัมพันธ์ทางเพศนอกสมรส พระคัมภีร์พูดถึงผิดประเวณีในแบบนี้ และแน่นอนสั่งห้าม แต่พระคัมภีร์ยังพูดถึงผิดประเวณีฝ่ายวิญญาณมากกว่าฝ่ายกาย มีหนังสือทั้งเล่มสำหรับเรื่องผิดประเวณีฝ่ายวิญญาณในท่ามกลางคนของพระเจ้า หนังสือโฮเชยา และมีหลายบทในพระคัมภีร์เดิมที่พูดถึงคนของพระเจ้าที่ทำผิดประเวณีฝ่าย วิญญาณ ตัวอย่างเช่นในเอเสเคียล 16 และ 22
ในพระคัมภีร์ใหม่ พระเยซูตรัสว่าเราไม่อาจนมัสการพระเจ้าและเงินทองพร้อมกันได้ เมื่อเราทุ่มเทใจให้กับสิ่งอื่นๆนอกเหนือจากสิ่งของพระเจ้า เราก็กำลังทำผิดประเวณีฝ่ายวิญญาณ อย่างที่ยากอบพูด:
คนทุจริตเอ๋ย ไม่รู้หรือว่า การเป็นมิตรกับโลกนั้น คือการเป็นศัตรูกับพระเจ้า เหตุฉะนั้น ผู้ใดใคร่เป็นมิตรกับโลก ผู้นั้นก็ตั้งตัวเป็นศัตรูกับพระเจ้า…ท่านทั้งหลายจงเข้าใกล้พระเจ้า และพระองค์จะเสด็จมาใกล้ท่าน คนบาปทั้งหลายเอ๋ย จงชำระมือให้สะอาด และคนสองใจ จงชำระใจของตนให้บริสุทธิ์ (ยากอบ 4:4, 8)
ทั้งในพระคัมภีร์เก่าและใหม่กล่าวว่า
37 พระเยซูทรงตอบเขาว่า “จงรักพระองค์ผู้เป็นพระเจ้าของเจ้าด้วยสุดใจสุดจิตของเจ้า และด้วยสิ้นสุดความคิดของเจ้า 38 นั่นแหละเป็นพระบัญญัติข้อใหญ่ และข้อต้น (มัทธิว 22:37-38 และดู เฉลยธรรมบัญญัติ 6:5 ด้วย)
นี่คือใจที่บริสุทธิ์ฝ่ายวิญญาณ
คำถามคือเราจะมีใจที่บริสุทธิ์ได้อย่างไร ใจที่สะอาดในด้านศีลธรรม? ใจที่ทุ่มเททั้งสิ้นให้พระเจ้า?
แรกสุด เราต้องตระหนักว่าเรา ตัวตนของเรา ไม่อาจมีใจที่สะอาดในด้านศีลธรรมและทุ่มเททั้งหมดให้พระเจ้าได้ อย่างที่พระคัมภีร์กล่าวย้ำแล้วย้ำอีก “พระเจ้าทรงเห็นว่า…เค้าความคิดในใจของเขา (มนุษย์) ล้วนเป็นเรื่อง ร้ายเสมอไป” (ปฐมกาล 6:5) และตามที่ผู้เผยพระวจนะเยเรมีย์กล่าว “จิตใจก็เป็นตัวล่อลวงเหนือกว่าสิ่งใดทั้งหมด มันเสื่อมทรามอย่างร้ายทีเดียว” (เยเรมีย์ 17:9) และ
“คนเอธิโอเปียเปลี่ยนวรรณของตนเองได้หรือ หรือเสือดาวเปลี่ยนลายของมัน ถ้าได้แล้วเจ้าทั้งหลายผู้ที่เคยต่อการกระทำความชั่ว จะมากระทำความดีก็ได้” (เยเรมีย์ 13:23)
ในหนังสืออธิบายคำเทศนาบนภูเขา ของเคนท์ ฮิวจ์ ที่ยกตัวอย่างจากนักประพันธ์รัสเซียสมัยศตวรรษที่ 19 อีวาน ทูร์เกเนฟ:
“ผมไม่รู้ว่าจิตใจของคนชั่วเป็นอย่างไร แต่ผมรู้ว่าจิตใจของคนดีเป็นอย่างไร และมันแย่”3
แม้เป็นไปไม่ได้ที่เราจะมีใจบริสุทธิ์ด้วยตัวของเรา เราสามารถมีใจที่บริสุทธิ์ด้วยพระคุณของพระเจ้า อะไรที่เป็นไปไม่ได้สำหรับมนุษย์ เป็นไปได้สำหรับพระเจ้า ใจที่บริสุทธิ์เป็นของขวัญจากพระเจ้าที่ได้รับเมื่อเราบังเกิดใหม่ สร้างขึ้นใหม่โดยพระวิญญาณในเรา
พระเจ้าสัญญาไว้ในพระคัมภีร์เดิมทางผู้เผยพระวจนะเยเรมีย์ “เราจะบรรจุพระธรรมไว้ในเขาทั้งหลาย และเราจะจารึกมันไว้บนดวงใจของเขาทั้งหลาย…” (เยเรมีย์ 31:33) และ “เราจะให้ใจเดียวและทางเดียวแก่เขา” (เยเรมีย์ 32:39) และสิ่งนี้สำเร็จแล้วในองค์พระเยซูคริสต์ ผู้สร้างเราขึ้นใหม่ด้วยหัวใจดวงใหม่ (2โครินธ์ 5:17)
มีวิธีที่เราสามารถรักษาความบริสุทธิ์ไว้ในใจเราได้ และหนึ่งในสิ่งแรกๆคือใช้เวลากับพระคำของพระเจ้า ผู้เขียนสดุดีกล่าวว่า “หนุ่มจะรักษาทางของตนให้บริสุทธิ์ได้อย่างไร โดยระแวดระวังตามพระวจนะของพระองค์” (สดุดี 119:9) และ “ข้าพระองค์ได้สะสมพระดำรัสของ พระองค์ไว้ในใจของข้าพระองค์ เพื่อข้าพระองค์จะไม่ทำบาปต่อพระองค์” (สดุดี 119:11)
ทางที่สองที่จะรักษาความบริสุทธิ์ของใจไว้คือการมีสามัคคีธรรมกับคนของพระเจ้า การมีส่วนรับผิดชอบซึ่งกันและกัน กษัตริย์ซาโลมอนกล่าวว่า:
9 สองคนดีกว่าคนเดียว
เพราะว่าเขาทั้งสองได้รับผลของงานดี
10 ด้วยว่าถ้าคนหนึ่งล้มลง
อีกคนหนึ่งจะได้พยุงเพื่อนของตนให้ลุกขึ้น
แต่วิบัติแก่คนนั้นที่อยู่คนเดียวเมื่อเขาล้มลง
และไม่มีผู้อื่นพยุงยกเขาให้ลุกขึ้น (ปัญญาจารย์ 4:9-10)
และนี่คือเหตุที่ผู้เขียนพระธรรมฮีบรูเตือนเราว่า “และขอให้เราพิจารณาดูว่าจะทำอย่างไร จึงจะปลุกใจซึ่งกันและกันให้มีความรักและทำความดี” (ฮีบรู 10:24)
ประการที่สาม เราสามารถฝึกฝนใจให้บริสุทธิ์ได้โดยทำการงานของพระเจ้า เมื่อเราเข้าไปมีส่วนร่วมรับใช้ และเมื่อพระเจ้าใช้ให้เราไปเป็นพระพรต่อผู้อื่น เราต่างก็หนุนใจกันขึ้นเพื่อทุ่มเทให้พระเจ้า และรักษาใจให้บริสุทธิ์ด้านศีลธรรม
เราจะรู้ได้อย่างไรว่าใครบางคนมีใจที่บริสุทธิ์? ใจที่บริสุทธิ์จะสำแดงให้เห็นในการดำเนินชีวิตของพวกเขา อย่างที่เปโตรกล่าว คนที่อุทิศทุ่มเทเพื่อพระเจ้า “เพื่อจะได้ไม่ดำเนินชีวิตที่ยังเหลืออยู่ในโลกตามใจปรารถนาของมนุษย์ แต่ตามพระประสงค์ของพระเจ้า” (1เปโตร 4:2)
“บุคคลผู้ใดมีใจบริสุทธิ์ ผู้นั้นเป็นสุข เพราะว่าเขาจะได้เห็นพระเจ้า” ไม่ ต้องสงสัยนี่เป็นพระพรที่ครอบคลุมพระพรทั้งหมด เช่นเดียวกับที่ใจบริสุทธิ์เป็นสิ่งจำเป็นเพื่อครอบคลุมชีวิตผู้เชื่อ ไม่มีสิ่งใด นอกจากจะได้เห็นพระเจ้าจะเติมเต็มความกระหายในจิตใจสาวกของพระองค์ได้
แน่นอน หมายถึงได้เห็นพระองค์จริงๆเมื่อได้ไปอยู่ชั่วนิรันดรกับพระองค์ อย่างที่ท่านยอห์นกล่าว “…แต่ เรารู้ว่าเมื่อพระองค์จะเสด็จมาปรากฏนั้น เราทั้งหลายจะเป็นเหมือนพระองค์ เพราะว่าเราจะเห็นพระองค์อย่างที่พระองค์ทรงเป็นอยู่นั้น” (1ยอห์น 3:2)
…พระที่นั่งของพระเจ้าและของพระเมษโปดกจะ ตั้งอยู่ที่นั่น และบรรดาผู้รับใช้ของพระองค์จะนมัสการพระองค์ เขาเหล่านั้นจะเห็นพระพักตร์พระองค์ และพระนามของพระองค์จะประทับอยู่ที่หน้าผากเขา (วิวรณ์ 22:3-4)
นี่เป็นสิ่งที่เราตั้งตารอ – ไกลกว่าปริญญา ไกลกว่างานดีๆ ไกลกว่าชีวิตที่มีความสุขในโลกนี้ และไกลกว่าเงินออมก้อนโตหลังเกษียน
3 สาธุการแด่พระเจ้าพระบิดาแห่งพระเยซูคริสตเจ้าของเรา ผู้ได้ทรงพระมหากรุณาแก่เรา ทรงโปรดให้เราบังเกิดใหม่ เข้าสู่ความหวังใจอันมีชีวิตอยู่ โดยการคืนพระชนม์ของพระเยซูคริสต์ 4 และเพื่อให้ได้รับมรดก ซึ่งไม่รู้เปื่อยเน่า ปราศจากมลทิน และไม่ร่วงโรยซึ่งได้เตรียมไว้ในสวรรค์เพื่อท่านทั้งหลาย (1เปโตร 1:3-4)
ถ้อยคำสุดท้ายในพระวจนะตอนนี้กล่าวว่า “จงชื่นชมยินดี เพราะว่าบำเหน็จของท่านมีบริบูรณ์ในสวรรค์” เป็นถ้อยคำที่สรุปทุกสิ่งในคำเทศนาบนภูเขา
หนทางเดียวที่เราจะเห็นพระเจ้าได้ และได้ไปอยู่ชั่วนิรันดร์กับพระองค์ในความหมายนี้คือต้องสร้างความสัมพันธ์ กับพระองค์โดยทางพระเยซูคริสต์ พระเยซูตรัสกับเขาว่า “เราเป็นทางนั้น เป็นความจริงและเป็นชีวิต ไม่มีผู้ใดมาถึงพระบิดาได้นอกจากจะมาทางเรา” (ยอห์น 14:6)
ชีวิตคริสเตียนไม่ใช่ “วาดวิมานในอากาศ” แต่เป็นวิมานที่อยู่ในมือเราตอนนี้ ถ้าเราดำเนินด้วยใจที่บริสุทธิ์ ชีวิตที่ดำเนินในศีลธรรมเพื่อเป็นที่พอพระทัยพระเจ้า และอุทิศตนเพื่อพระองค์ เราจะชื่นชมกับการสถิตอยู่ด้วยของพระองค์ในชีวิตตั้งแต่ตอนนี้ เปโตรกล่าวว่า:
8 พระองค์ผู้ที่ท่านทั้งหลายยังไม่ได้เห็น แต่ท่านยังรักพระองค์อยู่แม้ว่าขณะนี้ท่านไม่เห็นพระองค์ แต่ท่านยังเชื่อและชื่นชม ด้วยความปีติยินดีเป็นล้นพ้นเหลือที่จะกล่าวได้ (1เปโตร 1:8)
โยบได้เห็นพระเจ้า “ข้าพระองค์เคยได้ยินถึงพระองค์ด้วยหู แต่บัดนี้ตาของข้าพระองค์เห็นพระองค์” (โยบ 42:5) ดาวิดมีประสบการณ์การสถิตอยู่ของพระเจ้าในชีวิต
7 ข้าแต่พระเจ้า ความรักมั่นคงของพระองค์ประเสริฐสักเท่าใด
ลูกหลานของมนุษย์เข้าลี้ภัยอยู่ใต้ร่มปีกของพระองค์
8 เขาอิ่มด้วยความอุดมสมบูรณ์แห่งพระนิเวศของพระองค์
และพระองค์ประทานให้เขาดื่มจากแม่น้ำแห่งความสุขเกษมของพระองค์
9 เพราะธารน้ำพุแห่งชีวิตอยู่กับพระองค์
เราเห็นความสว่างโดยสว่างของพระองค์ (สดุดี 36:7-9)
พระพรที่ยิ่งใหญ่สุดสำหรับเป้าหมายที่ประเสริฐของชีวิตคริสเตียนคือได้ รู้จักพระเจ้า มีประสบการณ์การสถิตอยู่ของพระองค์ในทุกๆวัน และมีชีวิตเพื่อพระสิริของพระองค์ อ.เปาโลตั้งเป้าหมายชีวิตของท่านเช่นนี้เมื่อท่านกล่าวว่า:
7 แต่ว่าสิ่งใดที่เคยเป็นคุณประโยชน์แก่ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าถือว่าสิ่งนั้นไร้ประโยชน์แล้ว เพื่อเห็นแก่พระคริสต์ 8 ที่จริงข้าพเจ้าถือว่าสิ่งสารพัดไร้ประโยชน์ เพราะเห็นแก่ความประเสริฐแห่งความรู้ถึงพระเยซูคริสต์ องค์พระผู้เป็นเจ้าของข้าพเจ้า เพราะเหตุพระองค์ ข้าพเจ้าจึงได้ยอมสละสิ่งสารพัด และถือว่าสิ่งเหล่านั้นเป็นเหมือนหยากเยื่อเพื่อข้าพเจ้าจะได้พระคริสต์ 9 และจะได้ปรากฏอยู่ในพระองค์ ไม่มีความชอบธรรมของข้าพเจ้าเอง ซึ่งได้มาโดยธรรมบัญญัติ แต่มีมาโดยความเชื่อในพระคริสต์ เป็นความชอบธรรมซึ่งมาจากพระเจ้าซึ่งขึ้นอยู่กับความเชื่อ 10 ข้าพเจ้าต้องการจะรู้จักพระองค์ และได้รับประสบการณ์ในฤทธิ์เดช เนื่องในการที่พระองค์ทรงคืนพระชนม์นั้น และร่วมทุกข์กับพระองค์ คือยอมตั้งอารมณ์ตายเหมือนพระองค์ (ฟีลิปปี 3:7-10)
ถ้าเรามีเป้าหมายนี้ในชีวิต ผลคือการดำเนินชีวิตแต่ละวันไปกับพระเจ้าและเป็นที่ปิติของพระองค์ ได้รับพระพรและเติมเต็มชีวิตด้วยความปิติยินดี จนกว่าจะได้อยู่กับพระองค์ชั่วนิรันดร์ “บุคคลผู้ใดมีใจบริสุทธิ์ ผู้นั้นเป็นสุข เพราะว่าเขาจะได้เห็นพระเจ้า”
1 160 ลิขสิทธิ 2003 by Community Bible Chapel, 418 E. Main Street, Richardson, TX 75081. เป็นฉบับแก้ไขจากบทเรียนที่ 15 ของบทเรียนต่อเนื่อง พระกิตติคุณมัทธิว จัดทำโดย อิมมานูเอล คริสเตียน 1 มิถุนายน 2003
2 161 นอกจากที่กำกับไว้ พระวจนะ (ภาษาอังกฤษ) ทุกตอนนำมาจากฉบับแปล The Holy Bible, New International Version. Copyright 1973, 1978, 1984 by The International Bible Society. Used by permission.
3 162 R. Kent Hughes, The Sermon on the Mount: The Message of the Kingdom (Wheaton, Illinois: Crossway Books, 2001), p. 56.
เมื่อมีคนต่างชาติอาศัยอยู่ในประเทศของเรา แต่ในฐานะลูกจ้างของรัฐบาลประเทศเขา เมื่อรวบรวมได้ข้อมูลและสร้างสัมพันธ์เพื่อเป็นประโยชน์ให้แก่รัฐบาลฝ่ายเขา และเมื่อเขาทำตัวประกาศว่าเป็นตัวแทนรัฐบาลของประเทศตนเอง เราเรียกคนแบบนี้ว่าอะไร?
เมื่อเขาทำสิ่งต่างๆเหล่านี้ แต่เก็บเรื่องความจงรักภักดีของประเทศตนเองเป็นความลับ เราเรียกเขาว่าอะไร?
ตัวเลือกหนึ่งอาจเป็น “ทูต” บางคนอาจบอกเป็น “สายลับ” คุณอยากได้ประเภทไหนมาเป็นเพื่อนบ้านครับ?
โครงร่างของพระกิตติคุณมัทธิวจากจุดยืนในการสร้างสาวกของชาติ
ตามขั้นตอน พระเยซูทรงสร้างสาวกโดยสั่งสอนด้วยตัวอย่างและด้วยคำพูด แล้วส่งพวกเขาออกไปสร้างสาวกต่อ พระเยซูทรงสร้างสาวกและทรงทำพระราชกิจ ทรงส่งพวกสาวกออกไปทำพันธกิจและส่งสาวกของพระองค์ไปสร้างสาวก
พระวจนะตอนนี้อยู่ต่อจากคำสอนต่างๆในพระกิตติคุณมัทธิว เรากำลังฟังสิ่งที่พระเยซูตรัสสั่งสาวกใหม่ สาวกที่เคยเห็นการงานของพระองค์แต่จำเป็นต้องได้ยินจากถ้อยคำของพระองค์ พระคำตอนนี้เริ่มด้วยคำอธิบายที่ไม่ใช่เป็นการงานของภายนอกที่สร้าง คุณลักษณะสาวก แต่เป็นคำสอนถึงรากฐานการเปลี่ยนของจิตใจภายใน ยังมีข้อสังเกตุอีกมากในคำสอนนี้ แต่ผมอยากให้เราเริ่มด้วยการอ่าน แล้วถามตัวเองว่า “ทำไมต้องมีคนทนทุกข์ ถูกข่มเหงเพื่อจะดำเนินตามแนวคิดและจิตใจแบบนี้?”
3 “บุคคลผู้ใด รู้สึกบกพร่องฝ่ายวิญญาณ ผู้นั้นเป็นสุข
เพราะแผ่นดินสวรรค์เป็นของเขา
4 “บุคคลผู้ใดโศกเศร้า ผู้นั้นเป็นสุข
เพราะว่าเขาจะได้รับการทรงปลอบประโลม
5 “บุคคลผู้ใดมีใจอ่อนโยน ผู้นั้นเป็นสุข
เพราะว่าเขาจะได้รับแผ่นดินโลกเป็นมรดก
6 “บุคคลผู้ใดหิวกระหาย ความชอบธรรม ผู้นั้นเป็นสุข
เพราะว่าพระเจ้าจะทรงให้อิ่มบริบูรณ์
7 “บุคคลผู้ใดมีใจกรุณา ผู้นั้นเป็นสุข
เพราะว่าเขาจะได้รับพระกรุณาตอบ
8 “บุคคลผู้ใดมีใจบริสุทธิ์ ผู้นั้นเป็นสุข
เพราะว่าเขาจะได้เห็นพระเจ้า
9 “บุคคลผู้ใดสร้างสันติ ผู้นั้นเป็นสุข
เพราะว่าพระเจ้าจะทรงเรียกเขาว่าเป็นบุตร
10 “บุคคลผู้ใดต้องถูกข่มเหงเพราะเหตุความชอบธรรม ผู้นั้นเป็นสุข
เพราะว่าแผ่นดินสวรรค์เป็นของเขา
11 “เมื่อเขาจะติเตียนข่มเหง และนินทาว่าร้ายท่านทั้งหลายเป็นความเท็จเพราะเรา ท่านก็เป็นสุข 12 จงชื่นชมยินดี เพราะว่าบำเหน็จของท่านมีบริบูรณ์ในสวรรค์ เพราะเขาได้ข่มเหงผู้เผยพระวจนะทั้งหลาย ที่อยู่ก่อนท่านเหมือนกัน”2
สังเกตุดู ไม่มีอะไรเป็นต้นเหตุในคำเทศนาบนภูเขาที่นำไปถึงการถูกข่มเหง3 สาเหตุของการถูกข่มเหงเจาะจงอยู่ในมัทธิว 5:11 “เพราะเรา” การข่มเหงในตัวมันเองไม่ได้นำมาซึ่งพระพร แต่การข่มเหงเหตุเพราะความชอบธรรมในองค์พระเยซูคริสต์มาพร้อมกับพระสัญญาแห่งพระพร!
ในมัทธิว 5:12 พูดถึงการข่มเหงผู้เผยพระวจนะ อะไรทำให้ผู้เผยพระวจนะเป็นผู้เผยพระวจนะ? – เขาทำอะไร พูดเรื่องใด? อะไรทำให้ผู้เผยพระวจนะในพระคัมภีร์เดิมต้องเจอกับปัญหาและถูกข่มเหง – การกระทำหรือคำพูดของพวกเขา? ในพระคัมภีร์ใหม่ อะไรทำให้ยอห์นผู้ให้บัพติศมาต้องทนทุกข์ถูกข่มเหงถึงชีวิต – สิ่งที่ท่านทำ (ให้บัพติศมาพระเยซู) หรือคำพูดของท่าน? ไม่ใช่การกระทำ แต่เป็นคำเผยพระวจนะ “เพราะเรา” คำพูดที่เป็นพยานถึงพระเยซู ไม่เช่นนั้นจะพูดถึงสาวกว่าจะถูกติเตียนข่มเหงเหตุเพราะพระองค์ได้อย่างไร?
เมื่อเข้าสู่บทเรียนนี้ เราหนีไม่พ้นที่จะรับผลกระทบจากอุณหภูมิของวัฒนธรรมรอบตัว ผู้คนต่างก็บอกว่าเราถูกเรียกให้ไปเป็นเกลือและความสว่าง เบื้องต้นน่าจะหมายถึงทำความดี โลกอยากให้คริสเตียนอยู่ในมุมของการทำความดีและไม่ต้องไปป่าวประกาศมาก โลกยินดีจะยกย่องคริสเตียนที่ทำความดีเกินกว่ามาตรฐานทั่วไป ตราบเท่าที่เราปิดปากเงียบเรื่องความบาป ความชอบธรรม และการพิพากษา ผมแน่ใจว่ามีชื่อคริสเตียนที่ทำความดีและได้รับเกียรติจากโลกหลายคนผุดขื้น มาในหัว เป็นเพราะคริสเตียนเหล่านี้ไม่กล้าประกาศเรื่องข่าวประเสริฐของพระเยซู คริสต์
ผมเคยเห็นในนิตยสารไทม์เขียนเรื่อง “มิชชันนารี่ปลอมตัว” ตอนที่อ่านผมรู้สึกว่ากำลังอ่านถึงจิตวิญญาณของโลกนี้ ประทับใจที่พบว่ามิชชันนารีบางคนถูกมองอย่างชื่นชมโดยโลก หนึ่งในนั้น เอ็ดวาร์ด มิลเลอร์ ตอนอยู่ที่อิรัก พยายามเลี้ยงอาหารให้กับผู้ป่วยทางจิตของอิรัก แต่นิตยสารไทม์กลับเขียนว่า:
สิ่งหนึ่งที่ไม่ได้อยู่ในรายการที่เขาต้องทำ – การประกาศ …
ในแบกแดด คณะกรรมการลูกจ้างคริสเตียนโปรแตสแต้นท์ไม่รู้สึกอยากจะแบ่งปันข่าวประเสริฐ กับลูกค้า … เขาบอกว่า “คุณต้องตระหนักว่าคริสเตียนเป็นส่วนหนึ่งของตะวันออกกลางมาตั้ง 2,000 ปีแล้ว ใครๆก็รู้ว่าเรานับถือศาสนาอะไร ไม่จำเป็นต้องอธิบายเพิ่มเติม ผมไม่รู้สึกว่ามีอะไรจะสอนคนมุสลิมพอๆกับที่เขาไม่มีอะไรจะสอนผม”4
มิชชันนารี่มิลเลอร์ ก็ไม่อยู่ในข่ายเสี่ยงที่จะถูกข่มเหงเหตุเพราะพระ เยซูคริสต์ ตราบเท่าที่เขาละเลยคำพยานของข่าวประเสริฐ เขาอาจจะได้รับการยกย่องมากมายจากทางโลก แต่เขาได้เป็นเกลือหรือความสว่างหรือ? ให้เราอ่านพระวจนะสามข้อนี้อีกครั้ง
13 “ท่านทั้งหลายเป็นเกลือแห่งโลก ถ้าเกลือนั้นหมดรสเค็มไปแล้ว จะทำให้กลับเค็มอีกอย่างไรได้ แต่นั้นไปก็ไม่เป็นประโยชน์อะไร มีแต่จะทิ้งเสียสำหรับคนเหยียบย่ำ 14 “ท่านทั้งหลายเป็นความสว่างของโลก นครซึ่งอยู่บนภูเขาจะปิดบังไว้ไม่ได้ 15 เมื่อจุดตะเกียงแล้ว ไม่มีผู้ใดเอาถังครอบไว้ ย่อมตั้งไว้บนเชิงตะเกียง จะได้ส่องสว่างแก่ทุกคนที่อยู่ในเรือนนั้น 16 ท่านทั้งหลายก็เหมือนกับตะเกียง จงส่องสว่างแก่คนทั้งปวง เพื่อว่าเมื่อเขาได้เห็นความดีที่ท่านทำ เขาจะได้สรรเสริญพระบิดาของท่าน ผู้ทรงอยู่ในสวรรค์
สองสิ่งที่นำมาใช้เปรียบเทียบในตอนนี้ พระเยซูให้สาวกแท้ของพระองค์เป็นกรณีตัวอย่างในสภาพแวดล้อมของโลกที่ล้มลง “ท่านทั้งหลายเป็นเกลือแห่งโลก …ท่านทั้งหลายเป็นความสว่างของโลก” นักวิชาการต่างคาดเดากันถึงธรรมชาติความคล้ายของเกลือและธรรมชาติของสาวกพระ เยซู แต่ประเด็นหลักนั้นชัดเจนมาก – เราถูกกำหนดให้แตกต่างจากโลก เกลือที่ต่างจากอาหารรสจืด และความสว่างที่ต่างจากความมืด ไม่ว่าความสว่างส่องไปที่ใด ความมืดก็จะถูกขับไล่ไป อ.เปาโลถามใน 2โครินธ์ 6:14 “เพราะว่าความชอบธรรมจะมีหุ้นส่วนอะไรกับความอธรรม และความสว่างจะเข้าสนิทกับความมืดได้อย่างไร?” ความสว่างและความมืดไปด้วยกันไม่ได้เพราะทั้งสองต่างขัดแย้งกันสิ้นเชิง
ความคล้ายคลึงกันในประเด็นที่สองคือเราไม่เพียงแต่ต่างจากโลกนี้ แต่เราถูกกำหนดให้ดีกว่าเดิม เกลือต่างจากอาหารรสจืด เพราะทำให้อาหารนั้นมีรสชาตน่ารับประทาน ความสว่างต่างจากความมืดเพราะช่วยคนที่หลงอยู่ในความมืดได้ เกลือเพียงนิดเดียวสามารถปรุงรสอาหารให้อร่อยได้ ความสว่างเพียงเล็กน้อยสามารถเจาะฝ่าความมืดเข้าไปได้ แม้มีคริสเตียนแท้ไม่กี่คนในชุมชน อาจสร้างกำลังใจให้แก่สังคมได้ ตอนที่ผมและภรรยาไปตั้งคริสตจักรในอัฟริกาตะวันออก มีแค่สองเปอร์เซ็นต์ของคนในหมู่บ้านที่เป็นคริสเตียน พวกชาวบ้านที่ทำสิ่งชั่วร้ายในชุมชนเริ่มรู้สึกอึดอัด หลายคนเริ่มเลี่ยงไปจากชุมชนเพื่อจะได้ปล่อยตัวและทำบาปต่อได้อย่างสบายใจ
สังเกตุดู ความสว่างไม่ได้เท่าเทียมกับการทำดี ในข้อ 16 ความสว่างส่องให้เห็นความดีที่กระทำเพื่อให้มนุษย์สรรเสริญพระบิดาที่บน สวรรค์ อะไรทำให้การงานของเราเห็นได้จนเป็นที่ถวายพระสิริแด่พระเจ้า? ยิ่งใช้เวลาศึกษาพระวจนะตอนนี้เท่าไร ยิ่งทำให้ผมเชื่อว่าคำพยานของเราเกี่ยวกับพระเยซูคริสต์จะส่องไปที่การงาน ทำให้พวกเขาต้องสรรเสริญพระสิริของพระเจ้า หลายคนกำลังทำในสิ่งที่โลกเรียกว่าความดี แต่ไม่ได้ทำให้โลกสรรเสริญพระเจ้า ที่จริงการงานเช่นนั้นมักกลับไปยกย่องผู้กระทำแทน ทำดีในตัวของมันเองไม่ใช่ความสว่าง ต้องจุดประกายด้วยถ้อยคำที่นำพวกเขาให้สามารถถวายเกียรตินั้นให้แด่พระเยซู
เกลือก็เช่นกัน ถูกใช้ในพระคัมภีร์ใหม่ตอนอื่น เป็นภาพของคำพูดมากกว่าการกระทำ
3 และอธิษฐานเผื่อเราด้วย เพื่อพระเจ้าจะได้ทรงโปรดเปิดประตูไว้ให้เราสำหรับพระวาทะนั้น ให้เรากล่าวความล้ำลึกของพระคริสต์ (ที่ข้าพเจ้าถูกจำจองอยู่ก็เพราะเหตุนี้) 4 เพื่อข้าพเจ้าจะได้กล่าวชี้แจงข้อความ ตามสมควรที่ข้าพเจ้าควรจะกล่าวนั้น 5 จงปฏิบัติกับคนภายนอกด้วยใช้สติปัญญา โดยฉวยโอกาส 6 จงให้วาจาของท่านประกอบด้วยเมตตาคุณเสมอ ปรุงด้วยเกลือให้มีรส เพื่อท่านจะได้รู้จักตอบให้จุใจแก่ทุกคน (โคโลสี 4:3-6)
ในโคโลสี 4:6 อ.เปาโลพูดถึงการใช้คำพูดที่มีเมตตาคุณ ปรุงด้วยเกลือให้มีรส บริบทคือการพูดที่สำแดงถึงความล้ำลึกของข่าวประเสริฐแห่งพระเยซูคริสต์ เป็นคำพูดที่ทำให้ อ.เปาโลถูกล่ามและจำคุก คุณอาจคิดว่า อ.เปาโลคงอธิษฐานขอให้ท่านได้หลุดรอดออกมาจากคุก แต่สำหรับท่านเรื่องที่สำคัญกว่ามากคือได้สำแดงข่าวประเสริฐให้เป็นที่ ประจักษ์ และชาวโคโลสียังได้ฟังถึงข้อพิสูจน์ที่สามารถปกป้องความเชื่อได้อย่างเกิดผล เป็นถ้อยคำที่ปรุงรสด้วยเกลือและนำมาซึ่งการข่มเหงเหตุเพราะพระคริสต์จนแม้ ทุกวันนี้
ประเด็นที่สามคือสิ่งที่นำมาใช้เปรียบเทียบทั้งคู่มีนัยแฝงคล้ายกัน ในความเห็นของผม นักวิชาการทำการค้นคว้ามากมายเพื่อหาว่าทำไมเกลือถึงสูญเสียความเค็มไปได้5 ความจริงคือ เกลือ “ไม่เคย” สูญเสียความเค็ม พอๆกับความสว่างไม่เคยสูญเสียแสงสว่าง เกลือนั้นเค็ม ความสว่างนั้นสว่าง จะเป็นอื่นไปได้อย่างไร? มีนัยแฝงอยู่อย่างคาดไม่ถึง เกลือที่ไม่มีความเค็ม และความสว่างที่ไม่มีแสงสว่าง เป็นภาพของผู้ติดตามพระเยซูคริสต์ที่ไม่อาจขาดคำพยานที่ชัดเจนถึงพระสิริของ พระองค์ได้
บริบทของการเปรียบเทียบตอนนี้ย้ำให้ผมเห็นว่าพระเยซูกำลังสอนเราเรื่อง การออกพระนามของพระองค์มากกว่าการไปทำดี แต่ไวยากรณ์ในตอนนี้กลับทำให้ผมค้นและเจาะลึกลงไปอีก พระกิตติคุณยอห์นตลอดทั้งเล่ม “ความสว่างของโลก” ในองค์พระเยซู ยอห์นอธิบายถึงพระเยซูด้วยถ้อยคำว่า “ความสว่างแท้ที่ทำให้มนุษย์ทุกคนเห็นความจริงนั้นได้ แม้ขณะนั้นกำลังเข้ามาในโลก” (ยอห์น 1:9) พระเยซูเองตรัสในยอห์น 8:12 “เราเป็นความสว่างของโลก”
ถ้าพระเยซูเป็นความสว่างของโลก ทำไมพระองค์จึงตรัสในมัทธิว 5:14 ว่า “ท่านทั้งหลายเป็นความสว่างของโลก”? เราทุกคนไม่สามารถเป็นความสว่างของโลกได้ เพราะยอห์นrพูดถึงยอห์นผู้ให้บัพติศมาไว้ชัดเจนว่า “ท่านไม่ใช่ความสว่างนั้น แต่ท่านมาเพื่อเป็นพยานให้แก่ความสว่างนั้น” (ยอห์น 1:8)
พระเยซูทรงตอบคำถามเราในยอห์น 8:12 เมื่อพระองค์ตรัสว่า “ผู้ที่ตามเรามาจะไม่เดินในความมืด แต่จะมีความสว่างแห่งชีวิต“ สาวกของพระเยซูมีความสว่างในตนเอง เพราะพวกเขาอยู่ในพระคริสต์ผู้ทรงเป็น “ความสว่าง” ของโลก คุณเป็นความสว่างของโลกเพราะพระคริสต์อยู่ในคุณ และพระองค์ทรงเป็นความสว่าง
เรื่องน่าเศร้าในความจริงนี้คือที่สาวกของพระเยซูต้องเป็นความสว่างของ โลกเพราะโลกนี้อยู่ในความมืด แล้วบางคนจะก้าวออกจากความมืดไปสู่ “ความสว่างในชีวิต” ได้อย่างไร? พระเยซูทรงเรียกคุณและผมให้มาวางใจในพระองค์ เพราะพระองค์ได้ทรงยอมตายเพราะบาปของเราแล้วตามที่กล่าวไว้ในพระคัมภีร์ ทรงถูกฝังไว้ และทรงคืนพระชนม์ในวันที่สามตามที่พระคัมภีร์บันทึกไว้ทุกประการ มีพยานรู้เห็นมากมาย เมื่อคุณมามีความเชื่อและวางใจในพระเยซู ในการสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนเพื่อคุณ พระองค์ทรงสัญญาประทานชีวิตนิรันดร์ในพระองค์ให้คุณ แล้วคุณเองจะมีความสว่างแห่งชีวิต ผู้ติดตามพระเยซูต่างดำเนินอยู่ในพระองค์ และเมื่อดำเนินอยู่ในพระองค์ เราก็คือความสว่างของโลกนี้
ในมัทธิว 5:13-16 บอกว่าเราเป็นเกลือและความสว่าง พระเยซูกำลังบอกว่าคำพูดของเราเป็นเกลือและความสว่าง หรือการกระทำของเรา? ไม่ทั้งสองอย่าง ยิ่งได้ศึกษาพระวจนะตอนนี้มากเท่าไร ยิ่งทำให้สรุปได้ว่าพระเยซูไม่ได้ตรัสชัดว่าเป็นคำพูดหรือการกระทำ เช่นเดียวกับคำสอนในคำเทศนาบนภูเขา พระองค์ทรงอธิบายถึงการเปลี่ยนแปลงภายในที่นำมาร่องก่อนแรงจูงใจ ทั้งคำพูดและการกระทำ
เราที่เป็นคริสเตียน ฟังถ้อยคำนี้ให้ดีๆนะครับ: “คุณ “เป็น” เกลือของโลก … คุณ “เป็น” ความสว่างของโลก” ไม่ใช่สิ่งที่คุณพูด ไม่ใช่สิ่งที่คุณทำ แต่เป็นคุณที่อยู่ในพระคริสต์ เมื่อพระเยซูตรัสว่า “จงส่องสว่างแก่คนทั้งปวง เพื่อว่าเมื่อเขาได้เห็นความดีที่ท่านทำ” พระองค์ไม่ได้หมายถึงว่าเราควรทำงานของเราให้เด่นชัดต่อหน้าผู้คน เพราะในคำเทศนาเดียวกันนี้ในมัทธิว 6:14 พระองค์ตรัสว่า “จงระวัง อย่ากระทำศาสนกิจเพื่ออวดคนอื่น…ทานของท่านจะต้องเป็นทานลับ” ไม่ ใช่สิ่งที่คุณทำ แต่ที่คุณเป็นในพระเยซูคริสต์จะจุดประกายในทุกสิ่งที่คุณทำ เมื่อคนเห็นการทำดีของคุณพวกเขาจะสรรเสริญพระบิดาที่ในสวรรค์
สังเกตุดูลัทธิต่างๆและศาสนาที่มนุษย์ตั้งขึ้นจะเป็นไปตามหลักปรัชญาที่ ตรงข้ามกับคำสอนของพระเยซูสิ้นเชิง ศาสนาอื่นจะสอนให้เราทำทานให้ผู้อื่นเห็นเพื่อยกย่องศาสนานั้นๆ แต่ไม่อนุญาตให้สั่งสอนคำพยานแบบของพระเยซู หลักคำสอนของพระเยซู ให้เราทำทานเป็นการลับ แต่ให้สำแดงถึงคำพยานของพระองค์ ตัวอย่างของพระองค์มีหลักปรัชญาที่น่าทึ่ง เพราะเมื่อใดก็ตามที่พระเยซูทรงทำการอัศจรรย์ที่ยิ่งใหญ่หรือสำแดงพระเมตตา พระองค์จะสั่งผู้คนไม่ให้นำไปพูดต่อ แต่ให้ไปประกาศอย่างกล้าหาญถึงแผ่นดินของพระเจ้า และเมื่อคนได้เห็นการกระทำดีนั้นเขาจะไปสรรเสริญพระบิดาแทน เมื่อเราทำตามคำสอนและแบบอย่างของพระเยซู เราทำงานของเราให้เห็นเด่นชัด และคำพยานของพระองค์สำแดงออกมา สิ่งนี้จะทำให้คนที่เห็นการกระทำดีของเราจะไปสรรเสริญพระบิดาแทน
เมื่อเราอยู่ในจุดที่เค็มที่สุด และจุดที่สว่างที่สุด ผู้คนก็จะมาไม่ข่มเหงเราเพราะพระคริสต์ ก็สรรเสริญพระบิดาของเรา ในยอห์น 10 มีการแตกแยกในท่ามกลางพวกยิวเพราะคำตรัสของพระเยซู (10:19) บางคนถึงกับคว้าก้อนหินขึ้นมาจะขว้างพระองค์ พระเยซูถามพวกเขา “เราได้สำแดงให้ท่านเห็นการดีหลายประการของพระบิดาของเรา ท่านทั้งหลายหยิบก้อนหินจะขว้างเราให้ตาย เพราะการกระทำข้อใดเล่า” แต่พวกเขาตอบว่า “เราจะขว้างท่านมิใช่เพราะการกระทำดี แต่เพราะการพูดหมิ่นประมาทพระเจ้า เพราะท่านเป็นเพียงมนุษย์แต่ตั้งตัวเป็นพระเจ้า” (10:32-33) คำถามไม่ใช่เพราะสิ่งที่พระเยซูทำหรือตรัส แต่เป็นพระองค์เอง ไม่ใช่คำพูดหรือการกระทำ สาระสำคัญคือพระลักษณะของพระองค์
เราค่อยๆเจาะลงไปสามระดับความเข้าใจในการเปรียบเทียบของเกลือและความ สว่างของพระเยซู แต่ก่อนที่จะแตะถึงความเข้าใจระดับที่สี่ที่ผมอยากจะเลี่ยง คือข้อเท็จจริงที่ยากจะเข้าใจว่าเราเป็นความสว่างของโลก ไม่เพียงเพราะพระคริสต์สถิตย์ภายในเราและเราอยู่ในพระองค์ แต่เพราะเราเปลี่ยนแปลงไปเป็นเหมือนพระฉายของพระองค์ผู้ทรงเป็นความสว่างของ โลก อ.เปาโลใน 2โครินธ์ 3:15-18 กล่าวว่า:
15 แต่ว่าตลอดมาถึงทุกวันนี้ ขณะใดที่เขาอ่านคำของโมเสส ผ้าคลุมนั้นก็ยังปิดบังใจของเขาไว้ 16 แต่เมื่อผู้ใดหันกลับมาหาองค์พระผู้เป็นเจ้า ผ้าคลุมนั้นก็จะเปิดออก 17 องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเป็นพระวิญญาณ และพระวิญญาณขององค์พระผู้เป็นเจ้าทรงอยู่ที่ไหน เสรีภาพก็มีอยู่ที่นั่น 18 แต่เราทั้งหลายไม่มีผ้าคลุมหน้าแล้ว จึงแลดูพระสิริขององค์พระผู้เป็นเจ้า และตัวเราก็เปลี่ยนไปเป็นเหมือนพระฉายขององค์พระผู้เป็นเจ้า คือมีศักดิ์ศรีเป็นลำดับขึ้นไป เช่นอย่างศักดิ์ศรีที่มาจากองค์พระผู้เป็นเจ้าซึ่งเป็นพระวิญญาณ
มีม่านกั้นอยู่ระหว่างพระวจนะของพระเจ้าและความคิดของผม เช่นเดียวกับที่ผมยังไม่อาจรับความจริงนี้ใน 2โครินธ์ 3:14 ได้ แต่เมื่อได้เข้าเฝ้าพระเจ้า ม่านนั้นก็ถูกเปิดออก ทำให้สามารถเจาะลึกลงไปในพระวจนะ ทำให้พระวจนะตอนนี้ไม่ถูกบดบังอีกต่อไป แต่กระจ่างชัดเจนเหมือนส่องกระจกเงา ผมไม่เพียงแต่เห็นในสิ่งที่คาดไว้ แต่เห็นถึงพระสิริของพระเจ้าด้วย มันทำให้มองเข้าไปในพระสิริและสะท้อนให้เห็นใบหน้าตนเองอย่างที่ไม่มีสิ่งใด บดบัง เพราะพระวิญญาณของพระเจ้าสถิตอยู่ในผม ทำให้ใบหน้าของผมกระจ่างด้วยพระสิริเหมือนใบหน้าของโมเสส (2โครินธ์ 3:7-8) ยิ่งผมมองลึกลงไปในพระวจนะมากเท่าใด ยิ่งทำให้ตระหนักว่ามีการเปลี่ยนแปลงลึกลงไปภายในอย่างต่อเนื่องไป จนกว่าพระคริสต์จะเปลี่ยนแปลงผมอย่างเต็มที่ และผมจะเป็นเหมือนพระองค์ เพราะผมได้เห็นพระองค์อย่างที่พระองค์เป็น
อ.เปาโลกล่าวต่อไปในบทที่ 4:
3 แต่ถ้ามีม่านบังข่าวประเสริฐของเราไว้จากใคร ก็จากคนเหล่านั้นที่กำลังจะพินาศ 4 ส่วนคนที่ไม่เชื่อนั้น พระของยุคนี้ได้กระทำใจของเขาให้มืดไป เพื่อไม่ให้เขาได้เห็นความสว่างของข่าวประเสริฐ เรื่องพระสิริของพระคริสต์ผู้เป็นพระฉายของพระเจ้า 5 เราไม่ได้ประกาศตัวเราเอง แต่ได้ประกาศพระเยซูคริสต์ว่าทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า และประกาศตัวเราเองเป็นทาสของท่านทั้งหลายเพราะเห็นแก่พระเยซู 6 เพราะว่าพระเจ้าองค์นั้นผู้ได้ตรัสสั่งให้ความสว่างออกมาจากความมืด ได้ทรงส่องสว่างเข้ามาในจิตใจของเรา เพื่อให้เรามีความสว่างแห่งความรู้ถึงพระสิริของพระเจ้า ปรากฏในพระพักตร์ของพระคริสต์ 7 แต่ว่าเรามีของมีค่านี้อยู่ในภาชนะดิน เพื่อให้เห็นว่า ฤทธิ์เดชอันเลิศนั้นเป็นของพระเจ้า ไม่ได้มาจากตัวเราเอง
ความเข้าใจเรื่องเกลือและความสว่างของพระเยซูระดับที่สี่ ไม่ได้มุ่งไปที่การงานหรือคำพูด แต่เป็นคุณลักษณะที่ได้รับการเปลี่ยนแปลงมากขึ้นและมากขึ้น จากการสะท้อนพระฉายของพระเยซูคริสต์ ใจของเราจะบรรจุความสว่างแห่งความรู้ในพระสิริของพระเจ้ามากขึ้นและมากขึ้น ใบหน้าเราจะสะท้อนความสว่างของพระเยซูคริสต์มากขึ้นและมากขึ้น และแม้ขุมทรัพย์นั้นจะเหมือนอยู่ในภาชนะดิน แต่เมื่อโลกมองเห็น พวกเขาจะสรรเสริญพระบิดาผู้สถิตในสวรรค์ พวกเขาจะเห็นได้ถึงฤทธิอำนาจอันสุดยอดของพระเจ้า และไม่ใช่ของเราเอง
พระเยซูทรงมีความสัตย์ซื่ออย่างสมบูรณ์ ทุกสิ่งที่พระองค์ตรัส และทุกสิ่งที่พระองค์ทำล้นไหลออกมาจากพระลักษณะของพระองค์ในฐานะพระบุตรของ พระเจ้า นี่คือสิ่งที่พระองค์เป็น – ความสว่างของโลก – และเป็นเหตุทำให้พระองค์ทรงพระพิโรธต่อความหน้าซื่อใจคดของผู้คนรอบด้าน – จึงเป็นเรื่องสำคัญสำหรับผู้เชื่อที่จะไปได้ไกลกว่าความหมายของสิ่งที่ พระองค์นำมาใช้เปรียบเทียบ เริ่มจากการกระทำภายนอกที่ชอบธรรม มากกว่าการเปลี่ยนแปลงภายใน
นิโคเดมัสเป็นในแบบของคนที่ทำงานแต่ไม่กล้าเอ่ยพระนามพระเยซู คนจำเขาได้ว่าเป็น “ผู้มาหาพระเยซูในเวลากลางคืน” หรือ “โยเซฟแห่งอริมาเธีย สาวกลับๆของพระเยซูเพราะกลัวพวกยิว” (ยอห์น 19:38-39) พวกเขามาช่วยนำพระศพพระเยซูไปฝังไว้ เป็นพวกทำการดีแต่เป็นการลับ – ไม่ใช่เพราะถ่อมใจแต่เป็นเพราะความขลาด นี่เป็นตะเกียงที่จุดไว้พร้อมกับมีฝาเหล็กครอบไว้ และไม่แค่นิโคเดมัสและโยเซฟเท่านั้นที่ภายนอกทำอย่าง เบื้องหลังทำอีกอย่าง ยอห์นยังตั้งข้อสังเกตในวันที่พระเยซูเสด็จสู่เยรูซาเล็มอย่างผู้มีชัย (ยอห์น 12:42-43):
42 อย่างไรก็ดีแม้ในพวกเจ้าหน้าที่เองก็มีหลายคนศรัทธาในพระองค์ แต่เขาไม่ยอมรับพระองค์อย่างเปิดเผยเพราะกลัวพวกฟาริสี เขากลัวว่าจะถูกอเปหิออกจากธรรมศาลา 43 เพราะว่าเขารักการสรรเสริญของมนุษย์ มากกว่าการสรรเสริญของพระเจ้า
ผมตระหนักดีว่ายังมีพวกหน้าซื่อใจคดหลายคนในทุกวันนี้ (เหมือนในสมัยพระเยซู) พวกเขากล้ายอมรับในพระองค์ แต่การกระทำกลับเหมือนปฏิเสธพระองค์ อย่างไรก็ตาม ความหน้าซื่อใจคดเช่นนี้ ไม่ได้เป็นสิ่งที่พระองค์เน้นเมื่อพูดถึงเกลือและความสว่าง
ในสมัยของเรา คนอเมริกันมักจะมองเรื่องหน้าซื่อใจคดของนิโคเดมัสและโยเซฟไม่ออก เราพบว่ามันง่ายกว่าที่จะวุ่นกับเรื่องของตนเอง แทนที่จะไปทำหน้าที่ตัวแทนให้ประเทศ เราพูดว่า “ถ้าฉันทำการงานของฉันอย่างดีเลิศ พระเจ้าทรงทราบดีว่านี่เป็นไปเพื่อพระสิริของพระองค์” แน่นอนครับ แต่คุณไม่ได้เป็นทูตของพระคริสต์ เป็นแค่สายลับ “แต่ฉันไม่มีของประทานในการประกาศ” ถูกครับ แต่อย่างน้อยคุณก็รู้เรื่องข่าวประเสริฐ มันยากแค่ไหนที่จะกล่าวว่า “พระเยซูทรงตายแทนความบาปของฉันตามที่มีอยู่ในพระคัมภีร์”? “ครับ แต่อาจทำให้ผมตกงาน” ในอีกมุม มันคงจะยากถ้าคนอเมริกันสักคนต้องตกงานเพราะพูดว่า “ผมเชื่อว่าพระเยซูเป็นพระบุตรของพระเจ้าที่ฟื้นขึ้นมาจากความตาย” ถ้าคุณต้องตกงานเพราะคำพยานของคุณ คุณก็มีเหตุไปฟ้องร้องได้ ที่เราหมายความจริงๆเมื่อพูดว่า “ผมไม่ได้รับอนุญาตให้พูดเรื่องพระกิตติคุณในที่ทำงาน” เพราะกลัวว่าอาจไม่ได้เลื่อนขั้น – หรือที่จริง เรากลัวการถูกข่มเหงเหตุเพราะพระนามของพระเยซู6
สตรีคริสเตียนท่านหนึ่งกระตือรือร้นเมื่อได้มาร่วมกลุ่มอธิษฐานเล็กๆของ เธอ เธอมีอาชีพทำงานดูแลสุขภาพในโรงเรียนรัฐ นักเรียนคนหนึ่งของเธอเป็นมะเร็งร้าย เป็นเด็กที่ต้องการความสว่างของโลกนี้เป็นอย่างยิ่ง แต่ในฐานะลูกจ้างรัฐและถูกห้ามไม่ให้ประกาศ เราอธิษฐานเผื่อเธอและให้คำแนะนำจากพระคัมภีร์ บอกว่าถ้าพวกเขาสั่งให้หยุดพูดในนามของพระเยซู จงพูดต่อ – ความกล้าเป็นพยานของเธอทำให้แฮรรี่ลูกศิษย์ได้มาวางใจในพระเยซู แต่เรื่องไม่ได้จบแค่นั้น เมื่อใดที่แพตตี้หนุนใจแฮรรี่ด้วยข้อพระคำ เพื่อนร่วมงานอีกสองคนของแพตตี้จะได้ยินด้วย แฮรรี่เองก็เริ่มเป็นพยานด้วยใจกล้าหาญกับเพื่อนๆ แถมครั้งหนึ่งได้แบ่งปันเรื่องความเชื่อของเขาในที่ประชุมด้วย แพตตี้ได้รับเชิญไปที่บ้านของแฮร์รี่เพื่อจะไปพบพ่อแม่ที่ไม่ได้เป็น คริสเตียน ทุกวันนี้ แพตตี้ยังไม่โดนไล่ออก ลดตำแหน่ง หรือถูกว่ากล่าวใดๆ แต่ถ้าโดนล่ะ? การได้ไปสวรรค์ของแฮร์รี่มันคุ้มเสียยิ่งกว่าคุ้ม ใช่มั้ยครับ?
แพตตี้เป็นความสว่างของโลก ไม่ใช่เพราะเธอทำสิ่งที่มีเมตตา แต่เพราะคำพยานที่สัตย์ซื่อของเธอ เพราะพระเยซูคริสต์ ผู้เป็นความสว่างของโลกที่อยู่ในเราที่ทำให้เป็นทูตของพระองค์ และเราไม่เคยปิดบังเอาไว้เลย
1 163 ลิขสิทธิ์ของ- Copyright 2003 by Community Bible Chapel, 418 E. Main Street, Richardson, TX 75081 เป็นต้นฉบับที่ปรับใหม่ของบทเรียนต่อเนื่องของพระกิตติคุณมัทธิวบทที่ 19 จัดเตรียมโดย คอลิน แมคดูกัลป์ 29 มิถุนายน 2003
2 164 พระวจนะภาษาอังกฤษที่นำมาใช้มาจาก Holy Bible, New King James Version. Copyright 1982 by Thomas Nelson, Inc., Nashville, Tennessee. All rights reserved.
3 165 เปโตรชี้ให้เห็นเมื่อท่านกล่าวถึงการข่มเหงในคำเทศนาบนภูเขาใน 1เปโตร 3:13-14 สังเกตดูที่ท่านนำพระวจนะในตอนนี้มาใช้ (3:15)
4 166 David Van Biema, “Keeping the Faith Without Preaching It,” Time 161.26 (June 30, 2003), p. 40.
5 167 ข้อเท็จจริงที่นักวิชาการพากันค้นคว้าเรื่องเกลือสูญเสียความเค็มอย่างไร นอร์แมน ฮิลเยอร์ พูดถูกเมื่อตระหนักว่า “ความเป็นโซเดียมคลอไรด์ที่เป็นองค์ประกอบเคมีในเกลือ ทำให้เกิดคำถามว่าเกลือจะสูญเสียความเค็มได้อย่างไร แล้วก็เล่าเรื่องประกอบว่าเกลือสูญเสียความเค็มจากคัมภีร์ของปาลสไตน์ “เกลือ” in New International Dictionary of New Testament Theology, Vol. 3 (Grand Rapids, Michigan: Zondervan, 1986), p. 446.
6 168 บางคนรู้สึกว่าการประกาศข่าวประเสริฐอย่างกล้าหาญในท่ามกลางสาธารณะเป็นการ กระทำที่ไม่ฉลาดนัก และไม่น่าจะเกิดผล แต่อย่าลืมว่าเรามียุทธภัณฑ์ทั้งชุดให้ผู้เชื่อสวมใส่ (เอเฟซัส 6:10-17) โดยเฉพาะการอธิษฐานเพื่อจะสู้ในสนามรบฝ่ายวิญญาณได้ (เอเฟซัส 6:19) อธิษฐานให้มีความกล้าในการประกาศข่าวประเสริฐ (เอเฟซัส 6:19-20) อย่าลืมการเทศนาของ อ.เปาโลที่ทำให้ท่านไม่ก้าวหน้าในการงาน ตกจากตำแหน่งฟาริสีไปถูกจำคุก ท่านไม่ได้กังวลเรื่องความฉลาดหรือเรื่องเกิดผลมากกว่าใจที่กล้าหาญในการ ประกาศข่าวประเสริฐ!
คนเราเก่งในเรื่องหาความชอบธรรมให้ตนเอง ขอย้ำ คนเราเก่งในเรื่องหาความชอบธรรมให้ตนเอง มนุษย์มีความสามารถพิเศษที่ให้ความมั่นใจกับตัวเองได้ไม่ว่าไปทำอะไรมา พวกเขาก็จะ “ไม่เป็นไร” ลองคิดดู กี่ครั้งที่คุณได้ยิน “ถึงมันไม่ใช่ตัวเลือกที่ดีที่สุด แต่มันก็โอเคนะ” หรือ “ใช่ ผมรู้ว่าไม่ควรทำอย่างนั้น แต่ไม่เป็นไรหรอก ใช่ว่าจะทำตลอดเวลาเมื่อไร” พระเจ้าประทานความคิดสร้างสรรค์ให้มนุษย์ แต่เรามักนำไปใช้ในทางชั่วมากกว่าทางดี
ดูเหมือนเรามีความคิดบรรเจิดที่สุดเมื่อบอกกับตัวเองว่าเราดีพอ
ดูเหมือนไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับเรา คนส่วนใหญ่จะมีความสามารถพิเศษทำให้ตนเองรู้สึกว่าแบบของฉันดีกว่า ถ้าสังเกตให้ดี ส่วนที่หลงตัวเองมักเกี่ยวข้องกับสิ่งหนึ่ง เมื่อมีข้ออ้างหรือหาความชอบธรรมให้กับสิ่งที่เกิดกับตนเองหรือความประพฤติ ของตน พวกเขาปฏิเสธไม่ยอมรับว่ามีบางคนมีมาตรฐานที่พวกเขาไม่อาจทำตามได้
เมื่อมหาวิทยาลัยปฏิเสธไม่รับคุณ – ยอมรับเถอะครับ คุณไม่ได้ตามมาตรฐานของเขา เมื่อทีมว่ายน้ำตัดชื่อคุณออก – คุณก็ว่ายไม่ได้เร็วเท่าที่ควร เมื่อไม่ได้เลื่อนขั้น – เฮ้ คุณไม่ได้เชี่ยวชาญขนาดนั้น เมื่อคุณสอบวัดความชำนาญไม่ผ่าน – ยอมรับเถอะครับ คุณไม่ได้เข้าใจอุปกรณ์พวกนั้นเท่าที่ควร เมื่อถูกปฏิเสธเงินกู้ – ประวัติการเงินคุณอาจไม่ดี แต่เราไม่ชอบใจ มันยากที่จะทำใจ เราจึงหาความชอบธรรมให้ตัวเอง “โอ้ เธอไม่รู้หรอกว่าดีแปลว่าอะไร” “โอ้ พวกเขาไม่ชอบผู้จัดการฝ่ายเทคนิค” “ข้อสอบมีคำถามที่ไม่ได้เรื่อง” “ไม่แปลก เดี๋ยวนี้ใครๆก็เป็นหนี้”
น่าเศร้าคนเราหาความชอบธรรมให้ตนเองในแบบที่คนภายนอกเห็นได้ และยังหาความชอบธรรมให้ตนเองในแบบส่วนตัว และชีวิตฝ่ายวิญญาณด้วย เมื่อคุณสำรวจความชอบธรรมในแบบที่ไม่ใช่ส่วนตัว จะพบว่ามาตรฐานความชอบธรรมนี้ก็ส่วนตัวพอๆกับเจ้าตัว บางทีเหมือนเรากำลังหลงอยู่ในยุคผู้วินิจฉัย ขอทวนคำพูดตอนนั้นครับ “ทุกคนทำในสิ่งที่ตนเองเห็นว่าถูกต้อง” เราอาจจะเติม “และมั่นใจด้วยว่าเป็นสิ่งถูกต้องที่ทำ” ผู้คนต่างมี “แนวคิดของตนเอง” อะไรคือความชอบธรรมและความดีงาม และตัดสินใจว่าจะดำเนินชีวิตให้สอดคล้องกับแนวคิดนั้น
หนึ่งในปัญหาใหญ่ในกรอบความคิดของคนยุคหลังสมัยใหม่ คือไม่มีใครอยากใส่ใจมาตรฐานความชอบธรรมที่ไม่ใช่แบบตัวเอง ส่วนคนที่ไม่อยากทำแบบนี้ ก็ไม่กล้าทำ เพราะไม่มีใครอยากกำหนดมาตรฐานขึ้นมา กลัวว่าจะไปกระทบกระเทือนผู้อื่น คนเลยปล่อยตามสบาย ตั้งมาตรฐานของตนเองขึ้นมา แล้วเอาตัวเองไปคอยเช็ค ที่น่าประหลาด น่าประหลาดที่สุด พวกเขาทำมันได้ครบถ้วน! นี่เป็นคุณสมบัติที่ดีที่สุดตามมาตรฐานความชอบธรรมส่วนตัว เป็นแบบสั่งทำพิเศษเพื่อตนเอง โดยตนเอง และเหมาะสำหรับตนเองเท่านั้น เราอาจเรียกว่าเป็น “ความชอบธรรมเฉพาะตัว” เพราะมันบ้าบอสิ้นดีที่คิดว่าเราสามารถทำได้ตามมาตรฐานของเราเอง และมีคุณค่าสูงส่งด้วย
ทำไมมาตรฐานความชอบธรรมส่วนตัวของเราจึงมีข้อบกพร่อง? เหตุผลหนึ่งเพราะเราเองบกพร่อง แต่อีกเหตุผลเกี่ยวข้องกับวิธีที่เราทำตามมาตรฐานนั้น มนุษย์มักชอบทำไปตามลิสต์ของกฎเกณฑ์ ทำไม? เพราะพวกเขาสามารถเช็คลิสต์ตามไปได้ เราชอบทำลิสต์กฎเกณฑ์ต่างๆ เพราะเราสามารถใส่มันลงไปในสมุดวางแผนงานประจำปี หรือใส่ใน ”สมาร์ทโฟน” แล้วถ้าเราเช็คลิสต์นั้นผ่าน เราก็สบายใจ ไม่มีอะไรรู้สึกดีไปกว่าเช็คลิสต์ผ่าน เช็ครายการทำความดีแล้วผ่าน ปัญหาคือลิสต์นั้นอันตรายเพราะมันมีความสามารถลึกลับทำให้เรารู้สึกชอบธรรม เพราะทำบางสิ่งผ่านได้ ฟังอีกครั้ง การเช็คลิสต์บางสิ่งให้ผ่าน ทำให้รู้สึกว่าทำได้แล้ว แต่เป็นแค่ชั่วคราวครับ
คิดดู คงไม่มีคนเขียนลงไปในลิสต์ “วันนี้รักภรรยาให้ได้” ทำไม? เพราะเป็นภารกิจที่ค้านกับหลักการบริหารเวลา ภารกิจนี้ต้องวัดผลได้ ทำอย่างไรถึงจะวัดปริมานความรักได้? ทันทีที่ถามคำถามนี้ ในหัวผมตอบว่า “เดี๋ยวล้างจานให้ละกัน” ผมก็ไปล้างจาน แต่ภรรยาไม่ได้รู้สึกว่ามีความรักเพิ่มขึ้น ผมบอกเธอผมรักเธอตอนเดินออกจากบ้าน แต่พอกลับมา ไม่เห็นเธอจะได้รับความรักเพิ่มขึ้น งั้นเปลี่ยนใหม่ แทนที่จะบอกว่า “รักภรรยา” กลับบอกว่า “ให้ดอกไม้เธอ” อืม พอวัดได้ ผมสามารถ “ทำ” ได้ และเมื่อทำผมก็บอกตัวเองว่าผมรักเธอ ความรักเป็นตัวอย่างที่ดีเพราะมีหลายสิ่งที่สามีทำให้ภรรยาได้ เป็นสิ่งที่ควรต้องทำ แต่ถ้าไม่ทำเพราะผมรักเธอ และเธอรักผม ทำไมสิ่งเหล่านี้ไม่ค่อยเกิดผลตามที่คาดหวัง? มันก็ลงไปที่เรื่องของหัวใจ ถ้าไม่มีใจในนั้น ความรักก็ไม่ได้รับการกระตุ้น ดอกไม้เหี่ยวเฉาไป จานก็สกปรกอีก ถ้าไม่ทำสิ่งเหล่านี้จากใจ ผลของมันแทบมองไม่เห็น เช่นเดียวกับเรื่องฝ่ายวิญญาณ ถ้าใจไม่อยู่ในนั้น เชื่อฟังตามมาตรฐานของพระเจ้าเพื่อความชอบธรรม มากกว่าทำตามความชอบธรรมที่ตั้งเอาเองก็จะไม่เกิดผล เราหาเหตุผลมาอ้างได้เสมอ
พูดถึงความชอบธรรมส่วนตัว เมื่อต้องดำเนินชีวิตให้เป็นที่พอพระทัย และการติดตามพระเยซูคริสต์ เรื่องของใจเป็นเรื่องสำคัญ จำไว้นะครับ : เช็คลิสต์ตกแต่งได้ แต่ใจต่างหากที่สำคัญ เมื่อ มาดูคำสอนของพระเยซูในคำเทศนาบนภูเขา เราเห็นว่าพระองค์เน้นและส่องสปอตไลท์ไปที่ประพฤติกรรมของผู้ติดตามพระองค์ ในข้อ 5:17-20 พระวจนะในบทเรียนตอนนี้ พระองค์ทรงเล็งไปที่แรงจูงใจในเรื่องดังต่อไปนี้
ดูมัทธิว 5:17-20 และคำสอนก่อนหน้าในข้อ 1-12 สรุปคุณลักษณะและทัศนคติของผู้ติดตามพระเยซู มีหลักการเพื่อเอาชนะฝ่ายวิญญาณ (ความยากจนฝ่ายกาย) ความโศกเศร้า ความอ่อนน้อมถ่อมตน กระหายหาความชอบธรรม ความเมตตา ความบริสุทธิ์ หว่านสันติ ถูกข่มเหง บางคนที่ติดตามพระเยซูมีทัศนคติเช่นนี้อยู่ และถูกกระตุ้นให้ดำเนินตาม เป็นทัศนคติและความประพฤติที่จะสร้างลักษณะนิสัยในชีวิตของผู้ติดตามพระ คริสต์
ทัศนคตินี้เกิดคำถามขึ้นทันที ทำไมต้องดำเนินชีวิตแบบนี้? ยอมรับเถอะครับ ใครบ้างอยากจะเป็นคนอ่อนน้อมถ่อมตน? เหตุผลหนึ่ง เพื่อจะชูรสในโลกที่จืดชืดนี้ บ่อยครั้งเราเองก็รสชาตเหมือนคนในโลก และพี่น้องครับ โลกนี้รสชาตแย่มาก แม้จะดูสวยงามแต่เป็นบาร์บีคิวที่ถูกซอสราดกลบไว้
พระเยซูจึงให้สาวกพระองค์เป็นต้นแบบความชอบธรรมเพื่อให้ชีวิตมีรสชาต ดำเนินชีวิตแบบนี้ ผู้คนจะลิ้มรสได้ แต่ทำไมต้องเค็ม ทำไมต้องส่องสว่าง? เพื่อว่าเมื่อเขาได้เห็นความดีที่ท่านทำ เขาจะได้สรรเสริญพระบิดาของท่าน ผู้ทรงอยู่ในสวรรค์”2 (มัทธิว 5:16) การทำดีของเราเป็นโอกาสให้พระบิดาในสวรรค์ได้รับพระกียรติ ทำไมต้องมีใจเมตตา? เพื่อพระสิริของพระเจ้า ทำไมต้องเป็นคนบริสุทธิ์? เพื่อพระสิริของพระเจ้า ทำไมมีรายได้เป็นล้านๆ แต่มีชีวิตเหมือนรายได้ไม่กี่หมื่น? เพื่อพระสิริของพระเจ้า ทำไมต้องอ่อนน้อมถ่อมตนในโลกที่บอกว่า “เฮ้ คุณมีสิทธินะ” เพื่อพระสิริของพระเจ้า อ.เปาโลนำสิ่งนี้ไปย้ำในหนังสือทิตัส ท่านกล่าวว่า:
11 เพราะว่าพระคุณของพระเจ้าได้ปรากฏแล้ว เพื่อช่วยคนทั้งปวงให้รอด 12 สอนให้เราละทิ้งความอธรรมและโลกียตัณหา และดำเนินชีวิตในยุคนี้อย่างมีสติสัมปชัญญะ สัตย์ซื่อสุจริตและตามคลองธรรม 13 คอยความสุขซึ่งจะได้รับตามความหวัง ได้แก่การปรากฏของพระสิริของพระเจ้าใหญ่ยิ่งคือ พระเยซูคริสต์ พระผู้ช่วยให้รอดของเรา 14 ผู้ได้ทรงโปรดประทานพระองค์เองให้เรา เพื่อไถ่เราให้พ้นจากการอธรรมทุกอย่าง และทรงชำระเราให้บริสุทธิ์ เพื่อให้เป็นหมู่ชนพิเศษเฉพาะของพระองค์ และเป็นคนที่ขวนขวายกระทำการดี (ทิตัส 2:11-14)
ในบทต่อไป อ.เปาโลกล่าวอีกว่า:
8 คำนี้เป็นคำจริง ข้าพเจ้าปรารถนาให้ท่านเน้นเรื่องเหล่านี้ เพื่อคนทั้งหลายที่เชื่อในพระเจ้าแล้วจะได้ อุตส่าห์กระทำการดี การเหล่านี้ดีและเป็นประโยชน์แก่คนทั้งปวง (ทิตัส 3:8)
พระเยซูคริสต์สอนว่า ชีวิตของผู้ที่อ้างว่าติดตามพระองค์ควรมีลักษณะนิสัยและความประพฤติตาม ทัศนคตินี้ ปัญหาคือพระเยซูไม่ได้สอนเหมือนคนรอบข้าง ทำให้คนฟังตกใจ พูดเรื่องความอ่อนน้อมถ่อมตน ความยากจน และการถูกข่มเหงทำให้เกิดคำถามขึ้นมาในใจผู้ฟัง :
คำตอบของพระเยซูชัดเจนในข้อ 17 : “อย่าคิดว่าเรามาเลิกล้างธรรมบัญญัติและคำของผู้เผยพระวจนะ เรามิได้มาเลิกล้าง แต่มาทำให้สมบูรณ์ทุกประการ”
เมื่อพระเยซูตรัสว่า “อย่าคิดว่า…” คาดว่าคงมีคนกำลังคิด พระองค์นำเรื่องใหม่เข้ามา เป็นคำสอนที่แรง ขัดแย้งกันสิ้นเชิง ได้ยินกับหูว่าพระเยซูจะมาพลิกประเพณีดั้งเดิม ผู้คนเชื่อว่าธรรมบัญญัติโมเสสเป็นสมบัติล้ำค่าของชาวยิว มาบอกล้มเลิกก็เท่ากับหมิ่นประมาท
พวกนี้คงไม่พอใจอะไรมากไปกว่าให้พระเยซูสอนอะไรใหม่ๆ หลักศาสนาที่ฟังแล้วตาโต เพื่อพวกเขาจะให้คำสอนนี้เป็นคำสอน “ใหม่” แล้วก็จบๆไป แต่พระเยซูไม่ให้เลือกได้ พระองค์จึงสอนว่าพระองค์เองดำเนินตามธรรมบัญญัติและผู้เผยพระวจนะ แล้วทรงดำเนินตามธรรมบัญญัติกับพวกเขาอย่างไร? – ทรงทำให้สมบูรณ์
ถ้าจะเจาะลึกมากกว่านี้ ก็จะเกิดคำถามทันที “โอเค ฟังดูชัดเจน แต่ “สมบูรณ์” แปลว่าอะไร?” การตีความคำว่า “สมบูรณ์” ในมัทธิว 5:17 แบ่งได้สามแบบ3
1) บางคนเข้าใจว่าพระเยซูมาทำตามธรรมบัญญัติ และนี่เป็นการประกาศว่าการกระทำของพระองค์นั้นชอบธรรมตามที่บัญญัติไว้อย่างสมบูรณ์ แต่ปัญหาคือพวกเขาได้ยินคำพูด แต่ไม่เห็นการกระทำ แต่ตอนท้ายของคำเทศนาบนภูเขา ประชาชนทั้งปวงก็อัศจรรย์ใจด้วยคำสั่งสอนของพระองค์ เพราะว่าพระองค์ได้ทรงสั่งสอนเขาด้วยสิทธิอำนาจ หาเหมือนพวกธรรมาจารย์ของเขาไม่ (มัทธิว 7:28ข-29)
2) คนอื่นๆเข้าใจว่าที่พระเยซูมาทำตามธรรมบัญญัติ คือมาทำให้ครบถ้วน พวก เขาเข้าใจคำว่า “สมบูรณ์” หมายถึงทำให้ครบถ้วนในแง่เปิดเผยความมุ่งหมายที่แท้จริงของธรรมบัญญัติ ตัวเลือกนี้ก็ใช่ แต่ “ทำให้สมบูรณ์” ในมัทธิวยังมีมากกว่าอธิบายธรรมบัญญัติ4
3) คนอื่นๆบอกว่าพระเยซูมาเพื่อสนับสนุนธรรมบัญญัติ คือบอกให้คนเชื่อฟัง
4) ข้อสี่ และน่าจะเป็นตัวเลือกที่ดี ชัดเจนเมื่อเรามองว่ามัทธิวใช้แนวคิด “ทำให้สมบูรณ์” อย่างไรถึงจุดนี้
ในตอนเริ่มพระกิตติคุณ มัทธิวใช้ความพยายามมากชี้ให้เห็นว่าพระเยซูคือพระคริสต์ที่จะมาทำให้คำ พยากรณ์ในพระคัมภีร์เดิมสำเร็จ พระองค์ไม่ได้เสด็จลงมาจากสวรรค์โดยไม่บอกให้รู้ล่วงหน้า ผู้คนไม่เฉลียวใจเลยหรือว่าพระองค์เสด็จมา? … ไม่เลย สำหรับมัทธิว การถือกำเนิดมาและช่วงต้นชีวิตของพระคริสต์พยากรณ์เอาไว้ล่วงหน้ามาหลาย ศตวรรษ และเมื่อพระองค์เสด็จมา ทรงทำให้คำพยากรณ์นั้นเกิดขึ้นสมบูรณ์
มาดูสี่บทแรกของพระกิตติคุณมัทธิวกัน:
สังเกตุดูจะเห็นมัทธิวปูพื้นการเสด็จมาเพื่อทำให้สมบูรณ์ตลอดสี่บทแรก ดังนั้นเมื่อพระเยซูตรัสว่าจะมาทำให้สมบูรณ์ มัทธิวต้องการให้เราเข้าใจว่ามีการนำร่องมาก่อน ธรรมบัญญัติและผู้เผยพระวจนะชี้มาที่พระเยซูตามที่พยากรณ์ แล้วผู้คนคิดว่าพระองค์มาเลิกล้างธรรมบัญญัติและคำของผู้เผยพระวจนะได้อย่าง ไร? เพราะทั้งหมดชี้มาที่พระคริสต์ และพระองค์ทราบว่าพระราชกิจของพระองค์คือมาทำในสิ่งที่เปิดเผยไว้ล่วงหน้า ให้ครบถ้วนสมบูรณ์ จำลูกา 24:44 ได้หรือไม่?
พระองค์ตรัสกับเขาว่า “นี่เป็นถ้อยคำของเรา ซึ่งเราได้บอกไว้แก่ท่านทั้งหลาย เมื่อเรายังอยู่กับท่านว่า บรรดาคำที่เขียนไว้ในหมวดธรรมบัญญัติของโมเสส และในหมวดผู้เผยพระวจนะและในหมวดสดุดีกล่าวถึงเรานั้น จำเป็นจะต้องสำเร็จ” (ลูกา 24:44)
คุณคิดว่าคำสนทนานี้นานแค่ไหน? สามนาที? ผมคิดว่าไม่น่านาน ลองคิดดู ได้ยินพระเยซู ผู้เป็นพระเมสซิยาห์ เปิดพระคัมภีร์เดิมแล้วตรัสว่า “ดูสิ เราคือคนๆนั้น!”
บ่อยครั้งในพระวจนะ ถ้อยคำต่างๆมีได้มากกว่าหนึ่งความหมาย รวมถึงมีนัยสำคัญเพิ่มเข้ามา พระวจนะตอนนี้ก็ด้วย ไม่ต้องสงสัย ธรรมบัญญัติและผู้เผยพระวจนะชี้มาที่พระเยซู แต่ยังมีอีก สิ่งที่ย้ำชัดในคำเทศนาบนภูเขาคือสิทธิอำนาจในการสั่งสอน และในชีวิตของผู้ติดตามพระองค์ พระองค์อธิบายถึงจุดมุ่งหมายของธรรมบัญญัติและผู้เผยพระวจนะ พระวจนะในบทเรียนนี้ทำหน้าที่เป็นคำนำเข้าสู่มัทธิว 5:27-48 เมื่อพระเยซูวางให้เห็นชัดว่าธรรมบัญญัติคาดหวังสิ่งใด ถ้อยคำที่ตรัสว่า: “ท่านทั้งหลายได้ยินคำซึ่งกล่าวไว้แก่คนโบราณว่า … ฝ่ายเราบอกท่านทั้งหลายว่า” เน้นชัดถึงสิทธิอำนาจในคำสอนของพระองค์เมื่อเทียบกับคำสอนของยุคนั้นที่ผู้ อื่นพูดไว้ก่อนหน้า พระเยซูประกาศชัดถึงความหมายของพระวจนะ ไม่ได้พูดถึงผู้อื่นเว้นแต่พระองค์เอง มองดีๆจะเห็นว่าพระเยซูไม่ได้สอนสิ่งใหม่ แต่สอนตามที่ธรรมบัญญัติโมเสสและผู้เผยพระวจนะสอนไว้ พวกเขาสอนอะไร? สอนว่าชีวิตที่ดำเนินอย่างชอบธรรมต่อหน้าพระเจ้า ต้องเป็นชีวิตที่เชื่อฟังอย่างหมดหัวใจ
ผมเห็นด้วยกับเพื่อนที่เป็นครู เขาบอกว่าความชอบธรรมที่พระเยซูเป็นและที่ตรัสไว้ตั้งแต่แรก คือความชอบธรรมในแบบ “ที่สาวกของพระองค์ต้องดำเนินชีวิตตามนั้น” พระองค์ไม่ได้ตรัสถึงความชอบธรรมที่จะมอบให้บนไม้กางเขนเหมือนตอนอื่นๆ แต่ในคำเทศนาบนภูเขา พระองค์มุ่งไปยังคนที่บอกว่าเป็นสาวก และประเด็นของพระองค์ตามที่ยากอบพูดออกจะเรียบง่าย : ถ้าเจ้าจะติดตามเรา การดำเนินชีวิตของเจ้าเป็นเรื่องสำคัญ!
การให้ความสำคัญของชีวิตที่ดำเนินตามคำเทศนาบนภูเขา ที่เราเรียก 12 ข้อแรกว่า “ผู้นั้นเป็นสุข” เพราะเราคาดหวังให้คริสเตียนทำตาม ดูมัทธิว 5:13-16 ที่จะเรียนในบทต่อไป อย่างที่พูดไป ทุกอย่างสรุปลงในที่ข้อ 16: “ท่าน ทั้งหลายก็เหมือนกับตะเกียง จงส่องสว่างแก่คนทั้งปวง เพื่อว่าเมื่อเขาได้เห็นความดีที่ท่านทำ เขาจะได้สรรเสริญพระบิดาของท่าน ผู้ทรงอยู่ในสวรรค์” จากข้อ 20 ไปพูดเรื่องห้ามฆ่าคน ห้ามล่วงประเวณี ห้ามหย่าร้าง ห้ามสาบาน ห้ามแก้แค้น และให้รักศัตรู พระเยซูทรงสอนให้ทำสิ่งเหล่านี้ ไม่ใช่แค่สอน ทรงสั่ง – ให้คนที่ฟังอยู่ – ทำตาม
มัทธิว 6 เปิดด้วยคำพูดว่า “จงระวัง อย่ากระทำศาสนกิจเพื่ออวดคนอื่น ถ้าทำอย่างนั้นท่านจะไม่ได้รับบำเหน็จจากพระบิดาของท่านผู้ทรงสถิตในสวรรค์” มัทธิว 7 จบลงที่ : “มิ ใช่ทุกคนที่เรียกเราว่า ‘พระองค์เจ้าข้า พระองค์เจ้าข้า’ จะได้เข้าในแผ่นดินสวรรค์ แต่ผู้ที่ปฏิบัติตามพระทัยพระบิดาของเรา ผู้ทรงสถิตในสวรรค์จึงจะเข้าได้” มีหลายคนจะมาหาพระองค์ และเล่าว่าได้ “ทำ” หลายสิ่งในพระนามของพระองค์ พระเยซูตอบว่าอย่างไร? – ‘เราไม่เคยรู้จักเจ้าเลย เจ้าผู้กระทำความชั่ว จงไปเสียให้พ้นหน้าเรา” (มัทธิว 7:23) แล้วตรัสว่า “ผู้ใดที่ได้ยินคำเหล่านี้ของเรา และประพฤติตาม เขาก็เปรียบเสมือนผู้ที่มีสติปัญญา… แต่ผู้ที่ได้ยินคำเหล่านี้ของเราและไม่ประพฤติตาม เขาก็เปรียบเสมือนผู้ที่โง่เขลา” คำเทศนาบนภูเขาทั้งหมดส่วนใหญ่ไปตามแนวคิดว่าผู้ติดตามพระเยซูควรดำเนิน ชีวิตอย่างไร เพื่อนผมบอกว่าต้องขจัดอุปสรรคแห่งการเชื่อฟังออกไป ผมขอเพิ่มว่า “อย่าคิดว่าคุณชอบธรรมพอแล้ว แน่นอน ในพระคริสต์คุณเป็นคนชอบธรรม – แต่พระเยซูทรงเรียกให้คุณดำเนินชีวิตตามความชอบธรรมนั้นด้วย – อ.เปาโลสะท้อนในสิ่งเดียวกันเมื่อท่านตอบคำถามนี้ “ถ้าเช่นนั้นแล้วเราจะว่าอย่างไร ควรเราจะอยู่ในบาปต่อไป เพื่อให้พระคุณมีมากยิ่งขึ้นหรือ? (โรม 6:1) ไม่แน่นอน
ดังนั้น ขอให้ชัดเจนในคำสอนของพระเยซูเรื่องพระราชกิจแห่งความรอด ผมคิดว่าพระวจนะเป็นพยานอย่างดีถึงชีวิตของผู้ติดตามพระเยซู คือต้องสะท้อนให้เห็นถึงความชอบธรรมของพระผู้ช่วยให้รอด
หลังจากประกาศว่าพระองค์มาทำให้สมบูรณ์ หรือมาทำให้ธรรมบัญญัติสมบูรณ์ พระเยซูทรงยืนยันถึงคุณค่าของธรรมบัญญัติ ดูในข้อ18 : “เรา บอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ตราบใดที่ฟ้าและดินดำรงอยู่ แม้อักษรหนึ่งหรือขีดๆหนึ่งก็จะไม่สูญไปจากธรรมบัญญัติ จนกว่าสิ่งที่จะต้องเกิด ได้เกิดขึ้นแล้ว” ถ้อยคำนี้ย้ำถึง ความจริงว่าพระเยซูทรงมาทำให้ธรรมบัญญัติครบถ้วนสมบูรณ์ เราไม่ค่อยคิดกันว่าธรรมบัญญัติเป็นคำพยากรณ์ถึงพระคริสต์ได้ แต่ผู้เขียนหนังสือฮีบรูพูดไว้ นอกจากนั้นยังมีคำทำนายในธรรมบัญญัติที่มองไปข้างหน้าถึงการเสด็จมาของพระเม สซิยาห์ และพระราชกิจของพระองค์ มากกว่านั้น ในธรรมบัญญัติมีคำพยากรณ์ถึงการลงโทษและการคืนสู่สภาพดีของอิสราเอล สิ่งเหล่านี้จำต้องเกิดขึ้น
เราคิดเสมอว่าผู้เผยพระวจนะเท่านั้นที่พยากรณ์ได้ เรามองไปที่ธรรมบัญญัติโมเสสและเห็นกฎเกณฑ์ที่มีแต่นักกฎหมายเท่านั้นที่ ชื่นชอบ เรามองว่าเป็น “ของแข็งที่กินไม่อร่อย” แต่อยากให้ดูสิ่งที่พระเจ้าเปิดเผยแก่โมเสส แล้วจะเห็นว่าเล็งถึงพระเยซู
มันง่ายที่เราจะเห็นว่าผู้เผยพระวจนะชี้ไปที่พระเยซู แต่มันออกจะยากที่เห็นว่าธรรมบัญญัติก็ชี้ด้วย มีสามวิธีที่ธรรมบัญญัติชี้ไปที่พระคริสต์ :
ถ้ายากจะเข้าใจว่าเหตุการณ์นั้นดูไม่เหมือนเป็นคำพยากรณ์ สามารถเข้าใจได้ว่าเป็น “เหตุการณ์ที่ “เล็งถึง” เหตุการณ์ในชีวิตของพระเยซู ลองดูในมัทธิว 2:15 เป็นข้อเท็จจริงในประวัติศาสตร์ของโฮเชยา ซึ่งสามารถตีความโดยมัทธิวว่าเป็นถ้อยคำที่เป็นคำพยากรณ์
ไม่ใช่คำพยากรณ์เท่านั้นที่มองไปข้างหน้า แต่เหตุการณ์ต่างๆด้วย บางทีเหตุการณ์ที่เป็นคำพยากรณ์ยิ่งใหญ่ที่สุดอยู่ใหนังสืออพยพ การช่วยกู้ครั้งยิ่งใหญ่พยากรณ์ไปถึงความรอดที่เราได้รับ และจะได้รับอย่างสมบูรณ์ในสวรรค์ ในวันที่ผู้เชื่อมารวมกันต่อหน้าพระบัลลังก์ พวกเขาจะร้องเพลงเก่าเพลงหนึ่ง “บทเพลงของโมเสส”!5
พระเยซูจึงประทับอยู่ที่นี่ต่อหน้าพวกสาวกและประกาศถึงคุณค่าที่มีมายาว นานของธรรมบัญญัติ พระองค์ตรัสว่ามันจะจบลงอย่างครบถ้วน อย่ามัวแต่เขวไปกับจุด ขีดเล็กขีดน้อย หรือตัวอักษร พระเยซูทรงหมายถึงตัวอักษรที่เล็กที่สุดของภาษาฮีบรู และส่วนย่อยเล็กๆของตัวอักษร นี่เป็นแค่องค์ประกอบ เป็นการขยายความเพิ่ม เพื่อเน้นไปที่ประเด็นของพระองค์ อะไรคือประเด็นของพระองค์? “การเปิดเผยของพระเจ้าต่อโมเสสที่บนภูเขาซีนายชี้มาที่พระองค์ และทั้งหมดนั้นจะเสร็จสิ้นสมบูรณ์” เหมือนโฆษณากาแฟ “รสชาตเยี่ยมจนหยดสุดท้าย”
พระองค์จึงตรัสไว้ในข้อ 19-20:
“เหตุฉะนั้น ผู้ใดได้ทำให้ข้อเล็กน้อยสักข้อหนึ่งในธรรมบัญญัตินี้เบาขึ้น ทั้งสอนคนอื่นให้ทำอย่างนั้นด้วย ผู้นั้นจะได้ชื่อว่าเป็นผู้น้อยที่สุดในแผ่นดินสวรรค์ แต่ผู้ใดที่ประพฤติและสอนตามธรรมบัญญัติ ผู้นั้นจะได้ชื่อว่าเป็นใหญ่ในแผ่นดินสวรรค์ เพราะเราบอกท่านทั้งหลายว่า ถ้าความชอบธรรมของท่าน ไม่ยิ่งกว่าความชอบธรรมของพวกธรรมาจารย์ และพวกฟาริสี ท่านจะไม่มีวันได้เข้าสู่แผ่นดินสวรรค์” (มัทธิว 5:19-20)
พระเยซูกำลังทำสิ่งใด? พระองค์ทรงนำเราย้อนไปที่การเชื่อฟังธรรมบัญญัติว่าช่วยเราให้รอดได้หรือ? ไม่เลย พระองค์กำลังเล็งไปที่การเชื่อมโยงระหว่างความซื่อสัตย์ เชื่อฟังหมดใจ และคนที่คิดว่ามีที่อยู่ในสวรรค์เพราะสร้างบ้านเอาเอง คิดเองว่าตนนั้นชอบธรรม
ถ้าพวกสาวกเชื่อว่าเขาหาที่บนสวรรค์ได้เองโดยทำตามกฎความชอบธรรมของตนเอง แทนที่จะเชื่อฟังพระเยซูอย่างหมดใจ พวกเขาก็คิดผิด ทัศนคติเช่นนี้ไม่มีส่วนในแผ่นดินของพระเจ้า แต่ความชอบธรรมในแผ่นดินของพระเจ้าต้องเป็นไปตามธรรมบัญญัติกำหนด ต้องเป็นไปตามการเชื่อฟังอย่างหมดใจที่เป็นคุณลักษณะที่เกิดจากความรักของพระเจ้า
ต่อไปให้ตั้งใจฟังให้ดี ขอย้ำอีกครั้ง อย่าใส่เข้าไปในปาก หรือเพิ่มเติมเข้าไปในสิ่งที่ไม่ได้พูด – พระ เยซูไม่ได้ตรัสว่าคุณต้องหาทางปฏิบัติเพื่อได้ความชอบธรรมพอเข้าสู่แผ่นดิน ของพระเจ้า เพิ่มความชอบธรรมเข้าไปมากกว่าที่พวกธรรมาจารย์และฟาริสีเพิ่ม แต่พระองค์ทรงมุ่งเน้นไปยังบรรดาคนที่คิดว่าความชอบธรรมของพวกเขาที่ผลิตเอง ที่บ้าน สามารถพาพวกเขาเข้าประตูสวรรค์ได้ เพราะพวกเขาได้ลงมือตามปฏิบัติแล้ว ประเด็นของพระเยซูคือ ในทางตรงข้าม ความชอบธรรมที่เกิดจากหัวใจที่เต็มใจเชื่อฟัง เป็นสิ่งที่มีคุณค่ามากกว่าสิ่งอื่นใด
ประเด็นของพระเยซูไม่ได้พูดถึงความชอบธรรมในแบบที่เราคุ้นเคยจากหนังสือ โรมหรือกาลาเทีย แต่พระเยซูทรงพูดถึงบริบทของพันธสัญญาระหว่างพระเจ้าและอิสราเอล – เป็นพันธสัญญาที่เรียกร้องให้เชื่อฟังอย่างเต็มที่และเต็มใจเหมือนกับที่ พระองค์เป็น:
ดูเฉลยธรรมบัญญัติ 6:4-5 ซึ่งเป็นหนึ่ง ถ้าไม่ใช่ศูนย์กลางแห่งพระวจนะของศาสนาอิสราเอล “โอ คนอิสราเอล จงฟังเถิดพระเยโฮวาห์พระเจ้าของเราทั้งหลาย เป็นพระเจ้าเดียว พวกท่านจงรักพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านด้วยสุดจิตสุดใจและสิ้นสุดกำลังของ ท่าน”
เหตุฉะนี้พึงทราบเถิดว่า พระเยโฮวาห์พระเจ้าของพวกท่านเป็นพระเจ้า เป็นพระเจ้าสัตย์ซื่อผู้ทรงรักษาพันธสัญญาและความรักมั่นคง ต่อบรรดาผู้ที่รักพระองค์และรักษาพระบัญญัติของพระองค์ ถึงพันชั่วอายุคน (เฉลยธรรมบัญญัติ 7:9)
“ดูก่อน คนอิสราเอล พระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านทรงประสงค์ ให้ท่านกระทำอย่างไร คือให้ยำเกรงพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่าน ให้ดำเนินตามทางทั้งปวงของพระองค์ ให้รักพระองค์ ให้ปรนนิบัติพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านด้วยสุดจิต สุดใจของท่านทั้งหลาย” (เฉลยธรรมบัญญัติ 10:12)
ข้าพเจ้าขออัญเชิญสวรรค์และ โลกให้เป็นพยานต่อท่านในวันนี้ว่า ข้าพเจ้าตั้งชีวิตและความตาย พระพรและคำสาปแช่งไว้ต่อหน้าท่าน เพราะฉะนั้นท่านจงเลือกเอาข้างชีวิต เพื่อท่านและลูกหลานของท่านจะได้มีชีวิตอยู่ ด้วยมีความรักต่อพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่าน เชื่อฟังพระสุรเสียงของพระองค์ และติดพันอยู่กับพระองค์ กระทำเช่นนั้นจะได้ชีวิตและความยืนนาน เพื่อท่านจะได้อยู่ในแผ่นดินซึ่งพระเจ้าปฏิญาณ แก่บรรพบุรุษของท่าน คือแก่อับราฮัม แก่อิสอัค และแก่ยาโคบ ว่า จะประทานแก่ท่านเหล่านั้น” (เฉลยธรรมบัญญัติ 30:19-20)
แต่อิสราเอลไม่ได้รักพระเจ้าจากใจ พวกเขาหันไปทันทีจากมาตรฐานความชอบธรรมของพระองค์ไปเป็นแบบของตนเอง ถึงจะดูเหมือนเป็นความชอบธรรมของพระเจ้า แต่มีการผ่าตัดใหญ่ในนั้น ผ่าเอาหัวใจออกไป! และ เมื่อทั้งชาติสร้างความชอบธรรมให้ตนเอง เปลี่ยนมาตรฐานของพระเจ้าจากเชื่อฟังอย่างสุดใจ ไปเป็นสิ่งที่คนอิสราเอลทำได้ตามเช็คลิสท์ พวกเขายิ่งออกห่างไกลไปจากพระเจ้ามากขึ้นและมากขึ้น เมื่อพระเจ้าส่งผู้เผยพระวจนะไปหา และย้ำในคำพูดเดิม “ฉีกใจของเจ้า ไม่ใช่ฉีกเสื้อผ้า!”
ฟังสิ่งที่ผู้พระวจนะพูด “ศาสนา” ไม่ใช่เป็นเรื่องเดียวกับการดำเนินชีวิตที่ชอบธรรมจำเพาะพระพักตร์พระเจ้า คุณไม่อาจสร้างมาตรฐานของตนเองและนำเสนอต่อพระเจ้าว่านี่คือชีวิตแห่งความ ชอบธรรมของคุณ
ดูก่อนท่านผู้ปกครองเมืองโสโดม จงฟังพระวจนะของพระเจ้า ดูก่อนท่านประชาชนเมืองโกโมราห์ จงเงี่ยหูฟังพระธรรมของพระเจ้าของเรา พระเจ้าตรัสว่า “เครื่องบูชาอันมากมายของเจ้านั้น จะเป็นประโยชน์อะไรแก่เรา เราเอือมแกะตัวผู้อันเป็นเครื่องเผาบูชา และไขมันของสัตว์ที่ขุนไว้นั้นแล้ว เรามิได้ปีติยินดีในเลือดของวัวผู้ หรือลูกแกะหรือแพะผู้ “เมื่อเจ้าเข้ามาเฝ้าเรา ผู้ใดขอให้เจ้าทำอย่างนี้ ที่เหยียบย่ำเข้ามาในบริเวณพระนิเวศของเรา อย่านำเครื่องถวายอนิจจังมาอีกเลย เครื่องบูชาอันเป็นสิ่งน่าเกลียดน่าชังต่อเรา วันเทศกาลข้างขึ้นและวันสะบาโตและการเรียกประชุม เราทนต่อความบาปชั่วและการประชุมตามพิธีไม่ได้อีก ใจของเราเกลียดวันเทศกาลข้างขึ้นของเจ้าและวันเทศกาล ตามกำหนดของเจ้า มันกลายเป็นภาระแก่เรา เราแบกเหน็ดเหนื่อยเสียแล้ว เมื่อเจ้ากางมือของเจ้าออก เราจะซ่อนหน้าของเราเสียจากเจ้า แม้ว่าเจ้าจะอธิษฐานมากมาย เราจะไม่ฟัง มือของเจ้าเปรอะไปด้วยโลหิต จงชำระตัว จงทำตัวให้สะอาด จงเอากรรมชั่วของเจ้าออกไปให้พ้น จากสายตาของเรา จงเลิกกระทำชั่ว จงฝึกกระทำดี จงแสวงหาความยุติธรรม จงบรรเทาผู้ถูกบีบบังคับ จงป้องกันให้ลูกกำพร้าพ่อ จงสู้ความเพื่อหญิงม่าย (อิสยาห์ 1:10-17)
และองค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า “เพราะชนชาตินี้เข้ามาใกล้ด้วยปากของเขา และให้เกียรติเราด้วยริมฝีปากของเขา แต่เขาให้จิตใจของเขาห่างไกลจากเรา เขายำเกรงเราเพียงแต่เหมือนเป็นบัญญัติของมนุษย์ที่ท่องจำกันมา เพราะฉะนั้น ดูเถิด เราจะกระทำ สิ่งมหัศจรรย์กับชนชาตินี้อีก ประหลาดและอัศจรรย์ สติปัญญาของคนมีปัญญาของเขาจะพินาศไป และความเข้าใจของคนที่เข้าใจจะถูกปิดบังไว้” (อิสยาห์ 29:13-14)
“ข้าพเจ้าจะนำอะไรเข้ามาเฝ้าพระเจ้า และกราบไหว้พระเจ้าเบื้องสูง ควรข้าพเจ้าเข้าเฝ้าพระองค์ด้วยเครื่องเผาบูชาหรือ ด้วยลูกวัวอายุหนึ่งขวบหลายตัวหรือ พระเจ้าจะทรงพอพระทัยการถวายแกะเป็นพันๆตัว และธารน้ำมันหลายหมื่นสายหรือ ควรที่ข้าพเจ้าจะถวายบุตรหัวปีชำระการ ทรยศของข้าพเจ้าหรือ คือถวายลูกของข้าพเจ้าชำระบาปแห่งวิญญาณของข้าพเจ้า” มนุษย์เอ๋ย พระองค์ทรงสำแดงแก่เจ้าแล้วว่าอะไรดี และพระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรจากเจ้า นอกจากให้กระทำความยุติธรรมและรักสัจกรุณา และดำเนินชีวิตด้วยความถ่อมใจไปกับพระเจ้าของเจ้า (มีคาห์ 6:6-8)
“เราเกลียดชัง เราดูหมิ่นบรรดาวันเทศกาลของเจ้า และไม่ชอบในการประชุมตามเทศกาลของเจ้าเลย แม้ว่าเจ้าถวายเครื่องเผาบูชาและธัญญบูชาแก่เรา เราก็ไม่ยอมรับสิ่งเหล่านี้ และศานติบูชาด้วยสัตว์อ้วนพีของเจ้านั้น เราจะไม่มองดู จงนำเสียงเพลงของเจ้าไปเสียจากเรา เราจะไม่ฟังเสียงพิณใหญ่ของเจ้า แต่จงให้ความยุติธรรมหลั่งไหลลง อย่างน้ำ และให้ความชอบธรรมเป็นอย่างลำธารที่ไหลอยู่เป็นนิตย์ “โอ พงศ์พันธุ์อิสราเอลเอ๋ย เจ้าได้นำเครื่องบูชาถวายแก่เราในถิ่นทุรกันดารสี่สิบปีหรือ เจ้าทั้งหลายจะหามสัคคูทกษัตริย์ของเจ้า และไควันดาวที่เป็นเจ้าของเจ้า รูปเคารพทั้งสองของเจ้าซึ่งเจ้าได้ทำไว้สำหรับตัวเจ้าเอง เพราะฉะนั้น เราจะนำเจ้าให้ไปเป็นเชลย ณ ที่เลยเมืองดามัสกัสไป” พระเยโฮวาห์ ซึ่งทรงพระนามว่าพระเจ้าจอมโยธา ตรัสดังนี้แหละ (อาโมส 5:21-27)
“โอ อยากให้มีสักคนหนึ่งในพวกเจ้าซึ่งจะปิดประตูเสีย เพื่อว่าเจ้าจะไม่ก่อไฟบนแท่นบูชาของเราเสียเปล่า พระเจ้าจอมโยธาตรัสว่า เราไม่พอใจเจ้าและเราจะไม่รับเครื่องบูชาจากมือของเจ้า” (มาลาคี 1:10)
เสียงร้องจากใจของพระวจนะข้อนี้ แสดงให้เราเห็นว่าพระเจ้าทรงมีพระทัยให้อิสราเอลเชื่อฟังพระองค์ด้วยความรัก ที่มีให้พระองค์ ตรงนี้อย่าเข้าใจผิดนะครับ พระเจ้าทรงมีพระทัยให้อิสราเอลเชื่อฟังพระองค์ด้วยความรักที่พวกเขามีให้ พระองค์ พระองค์ไม่ได้แค่หวังให้เขาทำตามตัวอักษรในธรรมบัญญัติ อย่างที่คำพยานของผู้เผยพระวจนะบ่งไว้ เมื่อพวกเขาเชื่อว่าพวกเขาเป็นผู้ชอบธรรมจริงเพราะทำตามตัวอักษรของธรรม บัญญัติ มาลาคีจึงพูดกับพวกเขาว่า “พวกเขาดูหมิ่นโต๊ะของพระเจ้า” พวกเขาตอบว่า “อย่างไรล่ะ? เราก็นำของมาถวายบนโต๊ะแล้ว” มาลาคีตอบว่า “และในใจเจ้าก็บอกว่าอ่อนระอาใจ” พวกเขารักษาตามที่ธรรมบัญญัติสั่ง แต่จิตใจเอาไปขายที่ในตลาดมืดแล้ว
น่าเศร้า หลายสิบปีในถิ่นทุนกันดารไม่ได้ช่วยรักษาโรคบาปของชนชาตินี้ ที่จริง แม้จะกำจัดรูปเคารพออกไปได้ แต่กลับผลักพวกเขาจมลึกลงไปในพิธีกรรมเพื่อรักษาธรรมบัญญัติ พวกเขามองข้ามความจริงจากพระวจนะในมาลาคีหมดสิ้น พวกเขาตระหนักดีว่าพระเจ้าจะลงโทษถ้าไม่ทำตามพระบัญญัติ ถึงขั้นยกระดับขึ้นเท่าเทียมกับพระเจ้า และรักษาเอาไว้ตามมาตรฐานที่กำหนดขึ้นมาเอง
ประเด็นไม่ใช่ว่าพวกเขาทำให้ธรรมบัญญัติทำตามได้ง่ายขึ้น เพราะธรรมบัญญัตินั้นทำตามได้อยู่แล้ว สังเกตให้ดี สมบูรณ์แบบด้วยกำลังของตนเองไม่อาจทำได้ แต่พระเจ้าได้จัดเตรียมหนทางให้ “ภายใน” ธรรมบัญญัติ หนทางสำหรับความไม่สมบูรณ์แบบของอิสราเอลด้วยพระคุณที่เข้ามาปกคลุมไว้ – การยอมเป็นเครื่องถวายบูชา โมเสสจึงสามารถพูดในเฉลยธรรมบัญญัติ 30:11-14:
11 “เพราะว่าพระบัญญัติซึ่งข้าพเจ้าบัญชาท่านในวันนี้ สำหรับท่านไม่ยากเกินไป และไม่ห่างเหินเกินไปด้วย 12 มิใช่พระบัญญัตินั้นอยู่บนสวรรค์ แล้วท่านจะกล่าวว่า ‘ใครจะแทนเราขึ้นไปบนสวรรค์และนำมาให้เรา และกระทำให้เราได้ฟังและประพฤติตาม’ 13 มิใช่อยู่พ้นทะเล ซึ่งท่านจะกล่าวว่า ‘ใครจะข้ามทะเลไปแทนเราและนำมาให้เรา และกระทำให้เราได้ฟังและประพฤติตาม’ 14 แต่ถ้อยคำนั้นอยู่ใกล้ท่านทั้งหลายมาก อยู่ในปากของท่าน และอยู่ในใจของท่าน ฉะนั้นท่านจึงกระทำตามได้” (เฉลยธรรมบัญญัติ 30:11-14)
พระเจ้าตั้งพระทัยให้อิสราเอลรักษาธรรมบัญญัติ หมายถึงพยายามทำให้ได้ตามมาตรฐานของพระบิดา ยอมถ่อมใจลง และร้องขอพระคุณแห่งการให้อภัยของพระเจ้าเมื่อคุณทำบาปทั้งตั้งใจหรือไม่ ตั้งใจก็ตาม
ปัญหาไม่ใช่ว่าพวกฟาริสีทำให้ธรรมบัญญัติทำตามได้ง่ายขึ้น แต่พวกเขาปรับเปลี่ยนมาตรฐานในการประเมินความชอบธรรมเสียใหม่ ขณะที่ในธรรมบัญญัติมาตรฐานนั้นมาจากพระเจ้าพระบิดา (เลวีนิติ 19:2): “…เจ้าทั้งหลายต้องบริสุทธิ์ เพราะเราพระเยโฮวาห์พระเจ้าของเจ้า เป็นผู้บริสุทธิ์”6 พวกฟาริสีกล่าวว่า “ไม่หรอก เราจะตัดสินใจเองว่าบริสุทธิ์แปลว่าอะไร และเราตัดสินใจว่าแค่ถือตามธรรมบัญญัติก็พอ”
เราเห็นนัยนี้ในพระคัมภีร์ใหม่ ที่พระเยซูตรัสใน ลูกา 18:9: “สำหรับบางคนที่ไว้ใจในตัวเองว่าเป็นคนชอบธรรม และได้ดูหมิ่นคนอื่นนั้น พระองค์ตรัสคำอุปมานี้”
คนพวกนี้หาความชอบธรรมให้ตนเอง คำจำกัดความยิ่งใหญ่สำหรับคนพวกนี้คือมัทธิว 23 พวกเขานำธรรมบัญญัติโมเสสมายกระดับการถือรักษาขึ้นให้ไปตามมาตรฐานความชอบ ธรรม และนอกจากถือรักษาแล้ว ยังสร้างกรอบประเพณีเข้าไปล้อมไว้ด้วย ซึ่งที่จริงคือหลบเลี่ยงไม่ทำตามที่ธรรมบัญญัติกำหนดไว้
ไม่มีที่ไหนเห็นชัดเท่ากับการโต้แย้งกันเรื่องโกระบาน ในมาระโก 7:5-11:
พวกฟาริสีกับพวกธรรมาจารย์จึงทูลถาม พระองค์ว่า “ทำไมพวกสาวกของท่านไม่ประพฤติตามคำสอนที่ตกทอดมาจากบรรพบุรุษ แต่รับประทานอาหารด้วยมือเป็นมลทิน” พระองค์ตรัสตอบเขาว่า “อิสยาห์ได้พยากรณ์ถึงพวกเจ้าคนหน้าซื่อใจคด ก็ถูกตามที่ได้เขียนไว้ว่า ประชาชนนี้ให้เกียรติเราแต่ปาก ใจของเขาห่างไกลจากเรา เขานมัสการเราโดยหาประโยชน์มิได้ ด้วยเอาบทบัญญัติของมนุษย์มาตู่ว่าเป็นพระดำรัสสอนของพระเจ้า เจ้าทั้งหลายละธรรมบัญญัติของพระเจ้า และกลับไปถือตามถ้อยคำของมนุษย์ที่เขาสอนต่อๆกันมานั้น” พระองค์ตรัสแก่เขาว่า “เหมาะจริงนะ ที่เจ้าทั้งหลายได้ละทิ้งธรรมบัญญัติของพระเจ้า เพื่อจะได้ถือตามคำสอนที่ตนรับมาจากบรรพบุรุษ เพราะโมเสสได้สั่งไว้ว่า ‘จงให้เกียรติบิดามารดาของเจ้า’ และ ‘ผู้ใดประณามบิดามารดาจะต้องมีโทษถึงตาย’ แต่พวกเจ้ากลับสอนว่า ‘ผู้ใดจะกล่าวแก่บิดามารดาว่า “สิ่งใดของข้าพเจ้าซึ่งอาจเป็นประโยชน์แก่ท่าน สิ่งนั้นเป็นโกระบาน'” (แปลว่าเป็นของถวายแด่พระเจ้าแล้ว) (มาระโก 7:5-11)
อะไรคือความชอบธรรมของพวกธรรมาจารย์และฟาริสี? ความชอบธรรมที่มีไว้ให้ตนเอง เป็นความชอบธรรมในแบบของมนุษย์ เป็นการนำความชอบธรรมของพระเจ้าลงมา ปรับรสชาตด้วยน้ำตาลเทียม มันหวานก็จริง แต่มันทำลายจิตวิญญาณของคุณ
พระเยซูทรงทำอย่างไร? ทรงให้สาวกของพระองค์เรียนรู้ถึงความชอบธรรมในแบบที่ต้องเป็นตามลักษณะ “ความชอบธรรม” ที่แตกต่าง ต้องดีกว่าแบบของพวกธรรมาจารย์และฟาริสี – ต้องดีแบบไหน? ต้องผุดขึ้นมาจากจิตใจ
พระเยซูทรงบอกบาเรียนหนุ่มในมัทธิว 22:37: “พระเยซูทรงตอบเขาว่า “จงรักพระองค์ผู้เป็นพระเจ้าของเจ้าด้วยสุดใจสุดจิตของเจ้า และด้วยสิ้นสุดความคิดของเจ้า” ทำไม พระเยซูทรงให้บัญญัตินี้เป็นบัญญัติข้อใหญ่? เพราะถ้าใจถูกต้อง สิ่งที่ออกมาจะเป็นชีวิตที่พอพระทัยพระเจ้า อย่างที่พระเยซูตรัสในมัทธิว 15:18 “แต่สิ่งที่ออกจากปากก็ออกมาจากใจ สิ่งนั้นแหละทำให้มนุษย์เป็นมลทิน”
ยากอบ น้องชายพระเยซู นำแนวคิดนี้ไปใส่ไว้ในหนังสือเล่มเล็กของท่านเมื่อพูดถึงความสัมพันธ์ระหว่างความเชื่อและการงาน
แต่จะเห็นว่านี่เป็นเสียงเรียกร้องจากผู้เผยพระวจนะเช่นกัน :
“พระเจ้าตรัสว่า ดูเถิด วันเวลาจะมาถึง ซึ่งเราจะทำพันธสัญญา ใหม่กับประชาอิสราเอลและประชายูดาห์ ไม่เหมือนกับพันธสัญญาซึ่งเราได้กระทำกับบรรพบุรุษของเขาทั้งหลาย เมื่อเราจูงมือเขาเพื่อนำเขาออกมาจากแผ่นดินอียิปต์ เป็นพันธสัญญาของเราซึ่งเขาผิด ถึงแม้ว่าเราได้เป็นสามีของเขา พระเจ้าตรัสดังนี้แหละ แต่นี่จะเป็นพันธสัญญาซึ่งเราจะกระทำกับประชาอิสราเอลภายหลังสมัยนั้น พระเจ้าตรัสดังนี้แหละ เราจะบรรจุพระธรรมไว้ในเขาทั้งหลาย และเราจะจารึกมันไว้บนดวงใจของเขาทั้งหลาย และเราจะเป็นพระเจ้าของเขา และเขาจะเป็นประชากรของเรา” (เยเรมีย์ 31:31-33)
“เราจะให้ใจใหม่แก่เจ้าและเราจะบรรจุ จิตวิญญาณใหม่ไว้ในเจ้า เราจะนำใจหินออกไปเสียจากเนื้อของเจ้า และให้ใจเนื้อแก่เจ้า และเราจะใส่วิญญาณของเราภายในเจ้า และกระทำให้เจ้าดำเนินตามกฎเกณฑ์ของเรา และให้รักษากฎหมายของเราและกระทำตาม” (เอเสเคียล 36:26-27)
สรรเสริญพระเจ้าที่เราได้รับความรอด พระเยซูทรงทำสิ่งนั้นสำเร็จลงที่บนกางเขน และบัดนี้พระองค์ทรงเรียกผู้เชื่อทั้งหลายให้ติดตามพระองค์ไป และให้การงานดีของเราส่องสว่างไปยังผู้อื่นเพื่อพระองค์จะได้รับพระสิริ
เราต้องถามตัวเองในฐานะผู้เชื่อที่อ้างว่าเป็นผู้ติดตามพระเยซู ชีวิตของเราแสดงถึงความชอบธรรมที่ออกมาจากใจหรือเปล่า หรือเราแค่หาความชอบธรรมให้ตัวเองโดยลดมาตรฐานของพระเจ้าลงแทนที่จะทำตามพระ บัญญัติ?
เมื่อเราขอบคุณพระเจ้าสำหรับอาหาร การขอบพระคุณนั้นมาจากใจที่สำนึกในการจัดเตรียมของพระเจ้า หรือเราแค่ทำในสิ่งที่คริสเตียนควรทำจะได้ไม่รู้สึกผิด?
เมื่อเรารับขนมปังในพิธีมหาสนิท เรากำลังระลึกถึงพระคริสต์จริงหรือ หรือเราแค่ทำในสิ่งที่คนในโบสถ์อื่นๆเขาทำกันในวันอาทิตย์?
เมื่อเราถวายทรัพย์ เราให้ด้วยความจริงใจหรือเปล่าว่าที่จริงแล้วทุกสิ่งที่เรามีเป็นของพระ เจ้า? เมื่อผมถวาย ผมไม่ได้ให้คืนกลับพระองค์จากบางส่วนที่พระองค์ให้มา ไม่เลย เมื่อผมถวาย ผมกำลังอารักขาทรัพย์ในแบบเดียวกับนายธนาคารจัดการกับบัญชีเงินฝาก
เมื่อเราปฏิเสธไม่ให้เงินช่วยคนจรจัด เพราะกลัวว่าเขาจะเอาไปซื้อเหล้า แต่กลับใช้เป็นข้ออ้างที่จะไม่ยอมให้เงินคนจน ผมต้องถามตัวเอง ผมกำลังตกลงไปในกับดักเดียวกับพวกฟาริสีหรือเปล่า?
เมื่อผมมองหาบาปหลายอย่างในชีวิตไม่เจอเพื่อจะได้สารภาพ ผมก็ละเลยความบาปของตนเอง แต่ก็สารภาพไปเผื่อว่ามี นี่เป็นการแสดงความเสียใจออกจากจิตใจหรือไม่?
ผมตบไหล่ตัวเองแล้วบอกว่าไม่เคยมีความคิดฆ่าพี่น้องบางคนในหัว แต่ยังกักเก็บความเกลียดชังที่มีต่อเขา ปฏิเสธไม่ยอมไปพูดด้วยตามที่พระคัมภีร์บอก แต่บอกตัวเองว่าไม่เป็นไร ไม่ได้ไปฆ่าเขาสักหน่อย
ผมให้ความเป็นธรรมอย่างสัตย์ซื่อหรือเปล่าในการเจรจาธุรกิจ เพราะลูกค้าไม่ใช่คริสเตียน? หรือไว้รอไปโบสถ์ก่อนค่อยสารภาพทีหลัง
ผมทำถูกหรือเปล่าที่ไม่ไปข้องเกี่ยวหรือมีส่วนร่วมกับพระกายของพระคริสต์ เพราะต้องให้ครอบครัวมาก่อน? ผมละเลยครอบครัวหรือเปล่าเพื่อให้ “งานของพระเจ้า” มาก่อน?
ความชอบธรรมสำหรับผมหน้าตาเป็นอย่างไรในมหาวิทยาลัย? ผมทำถูกหรือเปล่าที่ทำตัวร้ายๆไปกับพวกเขาแล้วพูดว่า “ที่ทำแบบนี้ เพื่อจะได้รู้จักพวกเขาให้ดียิ่งขึ้น เพื่อจะได้เป็นพยานกับพวกเขาได้?”
พี่น้องครับ เราคงมีคำถามแบบนี้ไม่จบไม่สิ้น แต่ทุกคนจะพบจุดศูนย์กลางในคำถามเดียว – ฉันรักพระเจ้าของฉันสุดจิตสุดใจ สุดกำลัง สุดความคิดหรือเปล่า? เพราะชีวิตแบบนั้นจะนำพระสิริยิ่งใหญ่ไปถึงพระองค์ เป็นความชอบธรรมที่มีแต่ดีขึ้นทางเดียว
ปิดท้ายด้วยคำพูดของนักวิชาการพระคัมภีร์ท่านหนึ่ง :
“ความชอบธรรมที่พระเยซูตรัส ไม่ใช่ความชอบธรรมของชีวิตที่มีเหนือความชอบธรรมแห่งความเชื่อ แต่ความชอบธรรมของชีวิตจะสำแดงถึงความชอบธรรมแห่งความเชื่อ คำเทศนาบนภูเขาเป็นการตั้งต้นการงานแท้จริงของความเชื่อในพระคริสต์ เทียบกับการงานในแบบอื่นๆ”7
1 172 ลิขสิทธิ์ของ- Copyright 2005 by Community Bible Chapel, 418 E. Main Street, Richardson, TX 75081 เป็นต้นฉบับที่ปรับใหม่ของบทเรียนต่อเนื่องของพระกิตติคุณมัทธิวบทที่ 18 จัดเตรียมโดยสตีเวน เอช ซานเชส 22 มิถุนายน 2003 สามารถนำไปใช้ในการศึกษาและการสอนได้เท่านั้น ทางคริสตจักร Community Bible Chapel เชื่อว่าข้อมูลในบทเรียนนี้เป็นจริงและถูกต้องตามพระวจนะในพระคัมภีร์ และไม่ได้หวงห้ามถ้าต้องการนำไปใช้เพื่อการศึกษา หรือสอนพระวจนะ (เป็นหนึ่งในพันธกิจของ Community Bible Chapel โดยพระคุณของพระเจ้า)
2 173 พระวจนะในภาษาอังกฤษนำมาจาก NET Bible, BETA 2, Biblical Studies Press, 1994, unless otherwise noted.
3 174 See D. A. Carson, “Matthew,” The Expositor’s Bible Commentary, Vol. 8 (Grand Rapids, Michigan: The Zondervan Corp., 1984), p 143, ดี เอ คาร์ลสัน มองว่าพระเยซูทรงทำให้ธรรมบัญญัติสมบูรณ์ในมุมที่ชี้มาที่พระองค์เหมือนคำ พยาการณ์
4 175 Leon Morris, The Gospel According to Matthew (Grand Rapids: Eerdmans, 1992) p. 108.
5 176 Isaiah 2:3; Psalms 25:4-5, 12; 27:11; 32:8; 34:11; 45:4; 51:13; 86:11; 90:12; 94:12; 105:22, 119; 132:12; 143:10; Jeremiah 31:34; Micah 4:2.
6 177 Leviticus 20:7, 26; 1 Peter 1:15-16.
7 178 R. C. H. Lenski, The Interpretation of St. Matthew’s Gospel (Minneapolis, Minnesota: Augsburg Publishing House, 1943).
27 “ท่านทั้งหลายได้ยินคำซึ่งกล่าวไว้ว่า อย่าล่วงประเวณีผัวเมียเขา 28 ฝ่ายเราบอกท่านทั้งหลายว่า ผู้ใดมองผู้หญิงเพื่อให้เกิดใจกำหนัดในหญิงนั้น ผู้นั้นได้ล่วงประเวณีในใจกับหญิงนั้นแล้ว 29 ถ้าตาข้างขวาของท่านทำให้ตัวหลงผิด จงควักออกทิ้งเสีย เพราะว่าถึงจะเสียอวัยวะอย่างหนึ่ง ก็ดีกว่าตัวของท่านจะต้องลงนรก 30 ถ้ามือข้างขวาทำให้หลงผิด จงตัดทิ้งเสีย เพราะถึงจะเสียอวัยวะอย่างหนึ่ง ก็ดีกว่าตัวท่านจะต้องลงนรก” (มัทธิว 5:27-30)
สิ่งหนึ่งที่เราทำกันตอนไปพักร้อนคืนสู่เหย้ากับเพื่อนๆสมัยมหาวิทยาลัย และครอบครัวที่พรีสเลค ไอดาโฮ ห่างจากชายแดนแคนาดาราว 20 ไมล์ พวกเราไม่ได้เจอกันมาหลายปี สิ่งหนึ่งที่มักเกิดขึ้นเวลาไปเที่ยว คือเล่าเรื่องขำๆสมัยเรียนสู่กันฟัง หนึ่งในเรื่องที่เล่าคือผมหัดเล่นกอล์ฟตอนอยู่มหาวิทยาลัย
ผมตัดสินใจว่าเล่นกอล์ฟน่าจะง่ายและเหมาะกับวิชาพละ เคยเล่นมาบ้างกับพ่อ ไม่เคยพูดว่าตัวเองเก่ง แต่อย่างน้อยก็เคยลองจับ ครูฝึกต้องการให้เราฝึกตีลูกสั้นโดยใช้ลูกซ้อม – ลูกพลาสติกที่มีรูรอบๆตีแรงแค่ไหนก็จะไม่ทำให้อะไรเสียหาย และแน่นอน “มือเก่า” อย่างผมก็คิด “ใครอยากจะตีด้วยลูกซ้อม เราเก่งออกจะตาย?” เลยใช้ลูกจริง อย่างที่เดาได้ ในเมืองซีแอตเติ้ล ผมตีลูกออกไป ออกแรงกระแทกเพิ่ม ลูกพุ่งไปถูกกระทะล้อรถ แล้วเด้งกลับมาที่ครูฝึก ผมต้องเดินไปเก็บลูกที่เท้าของครูฝึก นี่ยังไม่ใช่ตอนจบ พอฝึกต่อ ไม้ที่ใช้ตีเอาไปวางไว้บนสนาม ทำให้ด้ามที่จับเปียก นี่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นแค่ครั้งเดียวในชีวิต ออกแรงสวิงไปที่ลูกซ้อม ไม้กอล์ฟหลุดลอยจากมือ ไปตกลงบนหลังคาตึกประชุมนักศึกษา! ครับ ต้องปีนหลังคาไปเอาลงมา!
ที่เล่าเพื่อจะบอกว่าเวลาที่ผมมั่นใจ มันไม่ได้ช่วยอะไรเลย ที่แน่ๆผมเล่นกอล์ฟไม่เอาไหน และความมั่นใจทำให้มีปัญหา ผมจึงเชื่อว่าพวกธรรมาจารย์ และฟาริสีคงเป็นเหมือนผม ที่มั่นใจว่าเล่นกอล์ฟเป็น เพียงแต่พวกเขามั่นใจว่าเชี่ยวชาญธรรมบัญญัติในพระคัมภีร์เดิม
เมื่อพระเยซูตรัสเรื่องการฆ่าคนแล้ว ตอนนี้ตรัสเรื่องการล่วงประเวณี คิดว่าเห็นคนฟังอาจพูดกับตัวเองว่า “เรื่องนี้แรง แต่น่าจะดี และน่าจะง่าย” ที่น่าทึ่งคือพระเยซูทรงนำสิ่งที่ดูเหมือนเป็นประเด็นร้อนแรง มาทำให้พวกเขาเห็นว่าตนเองต่างก็มีส่วนผิด
ก่อนเริ่ม ควรตั้งข้อสังเกตสองสามข้อตามบริบทคำเทศนาบนภูเขาของมัทธิว เมื่อมองที่คำเทศนาบนภูเขา ข้อเท็จจริงที่สำคัญคือ วิธีที่พระเยซูตีความธรรมบัญญัติ ซึ่งตรงข้ามกับพวกธรรมาจารย์และฟาริสี ในหลายทางคำเทศนาบนภูเขา เป็นการเผชิญหน้าระหว่างพระเยซูและลัทธิยูดา เราเห็นการเผชิญหน้านี้หลายแห่ง เช่นในมัทธิว 5:20 พระเยซูตรัสว่า “เพราะ เราบอกท่านทั้งหลายว่า ถ้าความชอบธรรมของท่าน ไม่ยิ่งกว่าความชอบธรรมของพวกธรรมาจารย์และฟาริสีท่านจะไม่มีวันได้เข้าสู่ แผ่นดินสวรรค์” นี่เป็นถ้อยคำที่รุนแรง โดยเฉพาะกับพวกธรรมาจารย์และฟาริสี ที่คิดว่าตนเองมีตั๋วห้าสิบหลาเข้าสู่แผ่นดินของพระเจ้า ในตอนจบของคำเทศนาบนภูเขา จะเห็นว่าผู้คนกลับออกไป ร้อง “ว้าว” พวกเขาอัศจรรย์ใจ พูดกันว่า “คนผู้นี้สอนด้วยสิทธิอำนาจ หาเหมือนพวกธรรมาจารย์ไม่” คำเทศนาบนภูเขาจึงเป็นการเผชิญหน้าระหว่างพระเยซูกับพวกธรรมาจารย์และฟาริสี ซึ่งเป็นคู่ต่อสู้ที่ก้าวร้าวที่สุดในหนังสือพระกิตติคุณ
เราไม่อาจเข้าใจสิ่งที่พระเยซูตรัสในคำเทศนาบนภูเขาโดยไม่อ่านมัทธิว 23 ในมัทธิว 5 และ 6 พระเยซูเข้าไปจัดการกับจุดอ่อนของลัทธิยูดาที่ถูกความหน้าซื่อใจคดของธร รมาจารย์และฟาริสีคลุมไว้ เมื่อดูมัทธิว 23 สิ่งที่คลุมไว้ถูกฉีกออก ไม่มีอะไรปกปิด ไม่มีอะไรซับซ้อนในสิ่งที่พระเยซูตรัส “วิบัติแก่เจ้า…คนหน้าซื่อใจคด”…. ว้า ว! พระองค์ทรงกล่าวตำหนิพวกธรรมาจารย์และฟาริสีในสิ่งเดียวกับที่ทรงจัดการ อย่างเบาๆในคำเทศนาบนภูเขา แต่ส่องสปอตไลท์ลงไปแจ่มแจ้งในมัทธิว 23 เราคงต้องเข้าใจคำเทศนาบนภูเขา และฉากหลังของบทบัญญัติต่างๆของลัทธิยูดาในแบบฟาริสี และมุมมองของธรรมบัญญัติและความชอบธรรม
เมื่ออ่านคำเทศนาบนภูเขาในมัทธิว 5:1-16 พระเยซูทรงปิดประตูตายลัทธิยูดาและฟาริสี แทนที่จะกล่าวประณามลัทธิยูดาหรือต่อธรรมาจารย์และฟาริสี พระองค์ทรงกล่าวยกย่อง กล่าวถึงพระพรสำหรับผู้ที่ถูกลัทธิหรือระบอบศาสนานั้นดูถูกเหยียดหยาม
เมื่อพระเยซูประกาศถึงพระพรในคำเทศนาบนภูเขา ในทางกลับกัน พระองค์กำลังย้อนศรทั้งระบอบของฟาริสีกลับข้าง เมื่อตรัสว่า “บุคคลผู้ใดรู้สึกบกพร่องฝ่ายวิญญาณ” (มัทธิว 5:3ก) นี่คือสิ่งที่ตรงข้ามกับพวกธรรมจารย์และฟาริสีหรือไม่? ในมัทธิว 23 พวกเขารักตำแหน่งผู้นำ รักที่ถูกเรียกตามตำแหน่งนั้นๆ ถ้าจะถามพระเยซูว่าพระองค์คิดอย่างไรกับคนพวกนี้ … ช่างหยิ่งยโส!
พระเยซูตรัสว่า “บุคคลผู้ใดรู้สึกบกพร่องฝ่ายวิญญาณ ผู้นั้นเป็นสุข” นี่เป็นคนละประเภทที่พวกธรรมาจารย์และฟาริสีคิดว่าควรได้รับพระพร พระเยซูตรัสว่า “บุคคลผู้ใดโศกเศร้า ผู้นั้นเป็นสุข” (มัทธิว 5:4) โดยเฉพาะผู้ที่โศกเศร้าต่อ “ความบาป” พวกธรรมาจารย์และฟาริสีไม่มีเหตุผลที่จะโศกเศร้าเพราะบาป ความคิดของพวกเขาคือตัวเองนั้นชอบธรรม – จะไปโศกเศร้าเรื่องอะไร? พวกโศกเศร้าเป็นพวกน่าสมเพช!
“บุคคลผู้ใดมีใจอ่อนโยน ผู้นั้นเป็นสุข” (มัท ธิว 5:5ก) พระเยซูตรัสว่าเมื่อยอห์นผู้ให้บัพติศมาประกาศ ผู้คนต่างก็แย่งชิงกันเข้าแผ่นดินของพระเจ้า (มัทธิว 11:12) พวกเขาพยายามใช้กำลังแย่งชิงเข้าไป ไม่ได้ “มีใจอ่อนโยน” หลายต่อหลายครั้งในคำเทศนาบนภูเขา ในทางกลับกัน พระเยซูทรงชี้ไปที่คนอ่อนแอ คนที่ล้มเหลวในระบอบศาสนาของยูดา
พระเยซูทราบว่าเป็นสิ่งจำเป็นหลังจากกล่าวนำร่อง “ผู้นั้นเป็นสุข” ที่ต้องเข้าสู่ธรรมบัญญัติ พระองค์เสด็จมาเพื่อทำให้ธรรมบัญญัติสมบูรณ์ มัทธิวเจาะจงไว้หนักแน่น ในบทต้นๆ ท่านบอกว่าสิ่งต่างๆเกิดขึ้นเพื่อให้สำเร็จตามพระวจนะของพระเป็นเจ้า แม้แต่พระวจนะบางข้อที่เรานึกไม่ถึงก็สำเร็จด้วย : “เราได้เรียกบุตรของเราให้ออกมาจากอียิปต์” (มัท ธิว 2:15 จากโฮเชยา 11:1) แต่ถ้าประเด็นคือพระเยซูเสด็จมาเพื่อทำให้พระวจนะในพระคัมภีร์เดิมสำเร็จลง เมื่อมองไปตอนที่มารมาผจญพระเยซู เราเห็นกรอบความคิดทั้งหมดของพระองค์มาจากธรรมบัญญัติ พระองค์ทรงรักษาธรรมบัญญัติ ไม่ยอมให้มารล่อลวงโดยละเลยหรือมองข้ามธรรมบัญญัติ ทรงตอบโต้มารด้วยธรรมบัญญัติ ถ้ามีใครที่ผูกพันตนกับธรรมบัญญัติ ก็ต้องเป็นพระเยซู แต่ไม่น่าใช่พวกธรรมาจารย์และฟาริสี!
พวกเขาเริ่มสงสัยว่าทำไมพระเยซูไม่ใช้คำศัพท์เฉพาะของพวกเขา ไม่ใช้คำพูดในแบบที่คุ้นเคย ในตอนต้นของพระราชกิจ พระเยซูทรงเผชิญกับพวกเขาเรื่องการตีความและการนำธรรมบัญญัติมาใช้ อย่างกรณีวันสะบาโต ทำไมพระเยซูถึงยอมให้มีการรักษาโรคในวันสะบาโต และทรงทำเช่นนั้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า? พวกเขาในอีกมุมมอง พระเยซูเป็นพวกละเมิดธรรมบัญญัติ มัทธิวต้องการให้เห็นว่าพระเยซูทรงเป็นผู้มาทำให้ธรรมบัญญัติสมบูรณ์ แต่ในมุมมองของพวกฟาริสี พระองค์คือคนที่มองข้ามธรรมบัญญัติ เป็นคนที่ใจอ่อนต่อความบาป
อีกกรณีคือผู้หญิงที่ถูกจับได้ขณะล่วงประเวณี (ยอห์น 8:5) “ในธรรมบัญญัติ โมเสส สั่งให้เรา” พวกเขาพูด “เอาหินขว้างคนเช่นนี้ให้ตาย” (ยอห์น 8:5) นั่นคือธรรมบัญญัติ พระเยซูทรงเห็นว่าจำเป็นตั้งแต่ต้นของพระราชกิจ ประกาศว่าพระองค์ทรงยืนอยู่จุดไหนในธรรมบัญญัติ เห็นได้จากมัทธิว 5:17-48 ทั้งบทเกี่ยวข้องกับพระองค์และธรรมบัญญัติ พระองค์กล่าวในข้อ 17-20 ว่าไม่ได้มาเลิกล้างธรรมบัญญัติ… ไม่ได้มาเลิกล้าง แต่มาทำให้สมบูรณ์ทุกประการ ไม่ว่าจะอักษรหนึ่ง ขีดๆหนึ่งของธรรมบัญญัติ ไม่ว่าจะเป็นจุดเล็กๆ จะไม่มีวันถูกเลิกล้างจนกว่าทุกสิ่งจะเกิดขึ้นสมบูรณ์ พระเยซูไม่ได้ต่อต้านธรรมบัญญัติ แต่พระองค์ทรงเป็นผู้มาทำให้สมบูรณ์
เมื่ออ่านข้อ 21 และข้อต่อๆไป เราเห็นตัวอย่างเจาะจงว่าพระเยซูแสดงให้เห็นว่าทรงสนับสนุนธรรมบัญญัติอย่าง ไรในแง่ไม่ได้มาเลิกล้าง ที่จริงทรงยกระดับขึ้น ทรงนำพวกเขาไปไกลเกินกว่าจะคิดได้ – หรือต้องการให้พระองค์ทำ ทำให้เราเข้าสู่บทเรียนตอนนี้
ก่อนอื่นขอพูดถึงคำว่าความโกรธและการฆ่าคนที่เราเห็นในมัทธิว 5:21 พระเยซูทรงเริ่มในจุดที่พวกเขาเริ่ม และการฆ่าคนคือสิ่งที่ห้ามไว้ในธรรมบัญญัติ ทุกคนเห็นด้วย ฆ่าคนเป็นสิ่งที่ผิด และมีบทลงโทษใหญ่ ในกรณีนี้ใช่ การฆ่าคนนั้นผิด พระเยซูทรงกล่าวถึงบัญญัตินี้ โดยเฉพาะในสองส่วนแรก แต่ที่เรากำลังพูดถึงคือธรรมบัญญัติเรื่องการล่วงประเวณี นี่เป็นหนึ่งในข้อห้ามของพระบัญญัติสิบประการ ธรรมบัญญัติกล่าวว่า… แต่พระเยซูตรัสว่า “แต่เราบอกท่านทั้งหลายว่า…” พระองค์ไม่ได้มาเลิกล้างธรรมบัญญัติ แต่ทรงนำไปไกลกว่ากรอบธรรมบัญญัติ และทำให้บางคนเห็นแตกต่าง คำถามคือพระเยซูกำลังแปลธรรมบัญญัติอย่างที่เคยเป็นมา หรือที่จริงพระองค์กำลังขยายกรอบธรรมบัญญัติอย่างที่คนในพระคัมภีร์เดิม เห็น?
ความรู้สึกของผมคือ ขณะที่พระเยซูกำลังแปลความหมายธรรมบัญญัติอย่างที่ควรเป็น พระองค์ยังนำเราไปไกลกว่าที่ใครจะคิดว่าเป็นได้ เราจะเรียนรู้มากขึ้นในบทเรียนต่อๆไปเรื่องการหย่าร้าง เมื่อพระเยซูสอนเจาะเข้าไปเรื่องการหย่าร้าง ไม่มีใคร ไม่มีแม้แต่พวกหัวโบราณอยากจะไปจนถึงจุดที่พระเยซูนำไป เรื่องการล่วงประเวณีและหย่าร้าง ไม่มีเลย! พวกสาวกคงพูดกันว่า “โอ้ ตายละพระเจ้า ถ้ามันเป็นแบบนี้ เราก็ไม่ควรแต่งงาน” (มัทธิว 19) ทุกคนช็อคในสิ่งที่พระเยซูนำไป พระองค์นำไปถึงแก่นของเรื่อง ไปถึงรากเหง้าของความบาป แต่ผมคิดว่ามีนัยอยู่ในสิ่งที่พระองค์ทรงนำให้กว้างไกลออกไป หนึ่งในการต่อสู้ที่พระเยซูมีต่อพวกธรรมาจารย์และฟาริสี คือเรื่องของโมเสส มัทธิว 23:2 “พวกธรรมาจารย์กับพวกฟาริสีนั่งบนที่นั่งของโมเสส”2 โมเสสเป็นคนของพวกเขา เป็นวีรบุรุษ และธรรมบัญญัติเป็นเขตอิทธิพลของพวกเขา! พวกเขาคิดว่าตัวเองเป็นแชมเปี้ยนของโมเสส พระเยซูตรัสกับพวกเขาว่า “ธรรมบัญญัติกล่าวว่า… แต่เราบอกท่านทั้งหลายว่า…” ถ้อยคำนี้กระตุกหูพวกเขาทันที เมื่อพระเยซูตรัส พระองค์หมายความว่า “นี่คือสิ่งที่ธรรมบัญญติบอกไว้ แต่เราจะบอกว่า…” ทำให้เราสัมผัสได้ว่าพระเยซูทรงมีสิทธิอำนาจเหนือโมเสส และพระองค์เป็นเช่นนั้น จึงไม่เป็นที่ประหลาดใจเมื่อทรงนำธรรมบัญญัติไปไกลกว่าโมเสส และยกระดับมาตรฐานความชอบธรรมให้สูงขึ้น สูงกว่าที่ธรรมบัญญัติพาไป
ข้อสังเกตสองสามข้อจะช่วยให้เข้าใจเมื่อพระเยซูทรงเข้าไปจัดการกับธรรม บัญญัติในมัทธิว 5:21-48 เป็นเรื่องธรรมบัญญัติล้วนๆ พระองค์พูดไปตามธรรมดาใน 5:17-20 ทรงมาเพื่อสนับสนุนและทำให้ธรรมบัญญัติสมบูรณ์ ไม่ได้มาเลิกล้าง ทรงสนับสนุนธรรมบัญญัติ ไม่ใช่คัดค้าน แล้วเราได้เห็นตัวอย่างที่แสดงถึงประเด็นนี้ สองตัวอย่างแรกมาจากพระบัญญัติสิบประการ ไม่มีข้อโต้แย้ง นี่คือสิ่งที่ธรรมบัญญัติสอน แต่เมื่อเจาะลงไปในตัวอย่างนี้ คุณจะพบว่าพอไปถึงตอนจบในมัทธิว 5:43-48 เราไม่เห็นสิ่งนี้สั่งไว้อยู่ในพระคัมภีร์เดิม แต่พระเยซูทรงอ้างถึงข้อสรุปจากธรรมบัญญัติของพวกฟาริสี พวกเขาวินิจฉัยว่าธรรมบัญญัติกล่าวว่าคุณควรรักเพื่อนบ้านและเกลียดชังศัตรู ซึ่งไม่มีอยู่ตรงไหนในพระคัมภีร์เดิม (หรือใหม่) เพราะเป็นการสรุปเอาเองอย่างไม่ถูกต้อง พระเยซูทรงเริ่มโดยตรงจากธรรมบัญญัติ และจบลงด้วยธรรมบัญญัติที่ถูกบิดเบือนไปโดยพวกธรรมาจารย์และฟาริสี พระเยซูทรงเริ่มจากสิ่งที่เราเรียกว่า “ธรรมบัญญัติที่บริสุทธิ์” ไปยัง “ธรรมบัญญัติที่ถูกบิดเบือน” โดยลัทธิยูดาทำให้เขวไป
มีรูปแบบที่ชัดเจนตรงนี้ พระเยซูกล่าวจากธรรมบัญญัติ และเพิ่มเติม (ยกระดับขึ้น) และท้ายที่สุดทรงบอกถึงวิธีนำมาใช้ สองกรณีแรกเกี่ยวข้องกับการฆ่าคนและล่วงประเวณี เมื่อพระเยซูพูดถึงการฆ่าคน พวกธรรมาจารย์และฟาริสีพูดกับตนเองว่า “โอ้ งานนี้พวกสบายมาก เราผ่าน นี่เป็นถิ่นของเรา” ยอมรับเถอะครับ เมื่อคุณมองมาและเห็นคำว่า “อย่าฆ่าคน” (อพยพ 20:13) คุณก็โล่งใจ พวกเราคงไม่มีใครไปฆ่าคน ไม่ใช่ฉันแน่ จนกระทั่งพระเยซูกล่าวว่า “ถ้าคุณเกลียดชังพี่น้องของคุณ ถ้าคุณพิพากษาว่าเขาไม่มีคุณค่า คิดว่าโลกคงจะน่าอยู่ขึ้นถ้าไม่มีคนแบบนี้ คุณก็ได้บ่มทัศนคติอยู่ในใจแล้วว่าฆ่าคน” อะไรคือปัญหาใหญ่? กรอบความคิดที่คิดว่าบางคนนั้นเป็น “อ้ายโง่… อ้ายบ้า” (มัทธิว 5:22)
พระเยซูจึงนำข้อ 23 มาใช้โดยให้ตัวอย่างสองแบบ ตัวอย่างแรก เรากำลังเดินทางไปโบสถ์ และตัวอย่างที่สอง เรากำลังเดินทางไปศาล ระหว่างเดินทางไปโบสถ์ ที่ๆเราจะนำเครื่องบูชาไปถวาย นึกขึ้นมาได้ว่ามีพี่น้องบางคนขัดเคืองใจคุณ ตรงนี้คือตรงที่บิดเขวไป พระเยซูทรงออกจากการกระทำไปที่แรงจูงใจ เราอาจคิดว่าพระเยซูคงตอบว่า “เหตุฉะนั้น ถ้าคุณมีเรื่องขัดเคืองใจกับพี่น้อง จงไปหาเขาและคืนดีเสีย” แต่พระองค์ไม่ได้พูดแบบนั้น พระองค์พูดว่าถ้าคุณนึกขึ้นมาได้ว่ามีพี่น้องขัดเคืองใจคุณ และถ้าความขัดเคืองนั้นไม่ถูกต้อง มันก็ไม่ถูกต้องสำหรับคุณด้วย ถ้าความโกรธนั้นไม่ถูกต้อง มันก็ไม่ถูกต้องกับคุณด้วย เพราะฉันต้องรักษาความสัมพันธ์กับพี่น้องไว้ ถ้าเขามีเรื่องไม่พอใจฉัน เป็นหน้าที่ๆฉันต้องไปคืนดีและจัดการกับความเคืองใจนั้น พระเยซูตรัสว่าเราต้องไปหาคนๆนั้น เพื่อทำการคืนดีก่อน
ทำไมอยู่ดีๆคุณนึกขึ้นมาได้ว่าที่โบสถ์มีพี่น้องโกรธคุณอยู่? ทำไมที่โบสถ์? ตัวอย่างหนึ่งอยู่ใน 1เปโตร 3 เกี่ยวข้องกับสามีภรรยา สามีได้รับคำสั่งให้อยู่กินกับภรรยาด้วยความเข้าใจในตัวเธอ แล้วอะไรต่อจากนั้น? “…เพื่อว่าคำอธิษฐานของท่านจะไม่มีอุปสรรคขัดขวาง” (1เป โตร 3:7ข) คุณต้องการรู้หรือไม่ว่าคุณและภรรยากำลังมีปัญหาในชีวิตสมรส? ลองอธิษฐานกับเธอดู คุณจะพบว่ามันยากที่จะอยู่ในการนมัสการและอธิษฐาน ถ้าคุณมีเรื่องค้างคาใจกับบางคน ผมขอแนะนำว่าเมื่อเราเข้ามานมัสการร่วมกัน เราจะสัมผัสได้ว่ามีอุปสรรคขวางกั้นการสามัคคีธรรม และนี่คือสิ่งที่พระเยซูตรัส ให้ไปหาพี่น้อง จัดการกับความสัมพันธ์ที่แตกหัก แล้วถึงค่อยไปนมัสการ
ตัวอย่างที่สองคือ “ระหว่างเดินทางไปศาล” (มัทธิว 5:25) ดูเหมือนไม่มีใครอยากไปศาลยกเว้นพวกนักกฎหมาย พวกฟาริสีก็เป็นพวกชอบจับผิดในกฎเล็กๆน้อยๆ พวกเขาชอบไปศาล บางครั้งเราได้ยินคนพูดว่า “แล้วเจอกันในศาล” พระเยซูตรัสว่า “ระหว่างทางไปศาล คุณควรจะตกลงกันให้ได้โดยเร็ว” ผมไม่เคยเห็นศาลยุติธรรมที่ไหนแก้ปัญหาเรื่องหัวใจได้ การไปศาลไม่ได้ช่วยให้คืนดีกัน น่าสนใจที่บางครั้งมีคนแอบเอาปืนเข้าไปในศาลเพื่อฆ่าคนที่คิดว่าทำผิดต่อเขา รวมถึงผู้พิพากษาและลูกขุนด้วย ศาลอาจประกาศว่าผิด หรือไม่ผิด แต่ไม่มีการคืนดี จะหลีกเลี่ยงการฆ่าคน ให้จัดการกับความโกรธ ทำได้โดยไปหาทางคืนดี ไม่ใช่ไปหาทางแก้แค้น
เราเข้ามาสู่เรื่องการล่วงประเวณีในมัทธิว 5:27-30 ข้อ 31-32 เรื่องการหย่าร้างจะเรียนในบทเรียนหน้า การแปลความพระคัมภีร์ที่หลากหลายอาจรวมเอาข้อ 27-32 เข้าไปในย่อหน้าเดียวกัน ขณะที่บางฉบับจะแบ่งเป็นสองย่อหน้า เราต้องเข้าใจว่าทั้งสองตอนนี้เกี่ยวข้องกันอย่างใกล้ชิด และเหตุผลที่การหย่าร้างถูกมองว่าเป็นความชั่วร้ายในข้อ 31 และ 32 เพราะมักจะทำให้เกิดการล่วงประเวณี ดังนั้นขอให้เข้าใจว่าทำไมผมถึงเลือกจบบทเรียนนี้ที่ข้อ 30 เราจะมาพูดเรื่องความเชื่อมโยงระหว่างการล่วงประเวณีและการหย่าร้างในบท เรียนหน้า ดังนั้นการหย่าร้างและการล่วงประเวณีเกี่ยวข้องกันอย่างใกล้ชิด ในพระวจนะตอนนี้ยังไม่จบลงแค่ข้อ 30 เพราะบทเรียนนี้เน้นในเรื่องบาปแห่งการล่วงประเวณี
เราจะเข้ามาถึงข้ออ้างอิงที่สองจากพระบัญญัติสิบประการ พระเยซูทรงพูดเรื่องการฆ่าคนก่อนในข้อ 21-26 ตอนนี้พระองค์หันกับมาที่การล่วงประเวณีในข้อ 27-32 เป็นเรื่องน่าสนใจมากเมื่อมาถึงพระวจนะข้อนี้ หนึ่งในนักวิชาการที่ผมชื่นชอบพูดเรื่องบาปผิดทางเพศในแง่ทั่วไป แต่พระเยซูไม่ได้ตรัสถึงความผิดทางเพศในแง่ทั่วไปในตอนนี้ ล่วงประเวณีเป็นบาปเฉพาะเจาะจง ล่วงประเวณีเป็นบาปที่ผู้ทำคือผู้ที่แต่งงานแล้ว แต่ไปมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับผู้อื่นนอกชีวิตสมรส ล่วงประเวณีเป็นความบาปทางเพศที่เฉพาะเจาะจง (ภาษากรีก = moicheuo) หรืออีกคำในภาษากรีก Porneia ถูกนำมาใช้อย่างกว้างขวางในเรื่องผิดศีลธรรมทางเพศ เราจะมาพูดถึง porneia ทีหลัง แต่ไม่ใช่สิ่งที่เรากำลังพูดอยู่ในตอนนี้ นี่เป็นบาปในชีวิตแต่งงาน เป็นบาปที่ต้องใส่ใจเป็นอย่างมาก
เมื่อเรามาดูลิสท์รายการบาปผิดทางเพศในเฉลยธรรมบัญญัติ 22 ที่กล่าวว่าถ้าชายที่แต่งงานแล้วไปมีความสัมพันธ์กับหญิงอื่น ทั้งคู่ต้องถูกหินขว้างให้ตาย จบข่าว!.. ล่วงประเวณีเป็นบาปถึงตาย ต้องโทษรุนแรงที่สุด แต่ในบทเดียวกัน พูดถึงหญิงสาวที่ยังเป็นพรหมจารี และยังไม่ได้หมั้นหมาย และถ้าถูกผู้ชายบังคับขืนใจ ชายคนนั้นต้องจ่ายค่าปรับ และถ้าบิดายินยอม ชายคนนั้นต้องแต่งงานกับเธอ และหย่าร้างไม่ได้เลย! แต่เราพูดว่า “เฮ้ เดี๋ยวก่อน เดี๋ยวก่อน ทำไมมีบางคนทำสิ่งชั่วร้ายกับหญิงที่ยังไม่ได้แต่งงานและได้รับโทษแค่ตีข้อ มือเบาๆ แต่ขณะที่คนแต่งงานแล้ว ทำบาปล่วงประเวณีกลับโดนโทษถึงตาย? มันต่างกันอย่างไร?” ข้อแตกต่างนั้นเจาะจงมากครับ นี่เป็นการละเมิดพันธสัญญาของการแต่งงาน (มาลาคี 2:13-16) การละเมิดพันธสัญญาในชีวิตแต่งงานจะทำให้ชีวิตแต่งงานงานนั้นเป็นมลทิน ถ้าคุณเข้าใจจากในพระคัมภีร์เดิมว่าพระเจ้าทรงสงวนเชื้อสายไว้ และพระเมสซิยาห์จะมาตามสายนี้ การละเมิดคำสาบานในการแต่งงาน จึงเป็นการ “ทำผิดที่ร้ายแรงที่สุด” ถูกแยกออกมาว่าเป็นการละเมิดที่ร้ายแรงที่สุด ทั้งพระเยซูคริสต์และธรรมบัญญัติ
เนื้อหาตอนนี้พุ่งไปที่ผู้ชาย และเน้นว่าเป็นผู้ชายเท่านั้น ถ้างั้นแปลว่ากฎเรื่องการล่วงประเวณีไม่เกี่ยวกับผู้หญิงหรือ? ผมไม่คิดอย่างนั้น ที่ผมคิดว่าเจาะจงเน้นไปที่ผู้ชาย เพราะเมื่อมองเรื่องการหย่าร้าง เราไม่เห็นคำอธิบายเรื่องหย่าร้างในพระคัมภีร์เดิม นอกจากผู้ชายหย่าภรรยา ไม่เห็นเจอว่าผู้หญิงหย่าร้างในพระคัมภีร์เดิม ความเห็นของผม พระเยซูกำลังมุ่งเป้าไปที่ “พวกผู้ชาย” พระองค์ทรงเล็งปากกระบอกปืนใหญ่ตรงไปที่พวกธรรมาจารย์และฟาริสี และถ้าผมเข้าใจสภาแซนเฮดริน (สภาของชาวยิว) ถ้าคุณเป็นหนึ่งในสภาแซนเฮดริน คุณต้องเป็นผู้ที่แต่งงานแล้ว ดังนั้นในสถานการณ์เช่นนี้ คุณก็กำลังพูดถึงผู้ชาย การแต่งงาน และการล่วงประเวณี ดูเหมือนพระเยซูทรงพุ่งเป้าไปยังคนที่รู้สึกว่าตัวเองปลอดภัย พวกธรรมาจารย์และฟาริสีคิดว่าตัวเองอยู่ในพื้นที่ๆเป็นต่อเมื่อต้องรับมือ กับพระเยซู พวกเขามั่นใจเอามาก พระเยซูถูกกล่าวหาบ่อยๆในพระราชกิจของพระองค์ว่าชอบคบค้ากับคนบาป พระเยซูคบค้ากับพวกคนบาป รวมถึงคนทำบาปผิดทางเพศ และเมื่อทำเช่นนั้น พวกธรรมาจารย์และฟาริสีไม่ชอบใจ (ลูกา 7:36-50) พระเยซูไปทานข้าวเย็นที่บ้านซีโมน (คนละคนกับซีโมนเปโตร) และผู้หญิงคนนี้ที่ทำผิดศีลธรรมก็มา เอาน้ำมันหอมมาชโลมพระเยซู เช็ดพระบาท น้ำตาไหลพราก พวกเขาคิดว่าพระเยซูคงไม่รู้จักเธอ หรือไม่ควรไปสนใจ พระเยซูทรงทำให้เห็นชัดเจนว่ารู้ว่าเธอเป็นใคร และพระองค์เสด็จมาเพื่อแสวงหาและช่วยคนบาป แต่ในมุมมองของพวกฟาริสี พระเยซูใจอ่อนกับบาป โดยเฉพาะบาปผิดทางเพศ พระองค์ไม่ได้เอาหินขว้างผู้หญิงที่ถูกจับได้ขณะล่วงประเวณี แม้ธรรมบัญญัติโมเสสบอกให้เอาหินขว้างให้ตาย พระเยซูเป็นอะไรไป?
พวกเขาไม่เพียงเชื่อว่าพระเยซูใจอ่อนกับความบาป พวกเขากลับไปมองว่าพระองค์เป็นผลมาจากความบาป (ยอห์น 8:41) พวกเขารู้สึกปลอดภัยดี เมื่อพระเยซูตรัสถึงความผิดบาปทางเพศ พวกเขาก็คิด “พูดมาเลย เราพร้อมจะซัดกลับอยู่แล้วในเรื่องนี้ เราเป็นต่อ พวกเราไม่เคยล่วงประเวณี ทำไมถึงชอบใจอ่อนกับเรื่องล่วงประเวณีนัก ทำให้สงสัยว่าเกิดมาได้อย่างไรแต่แรก” พระเยซูมีบางสิ่งจะบอกพวกเขา และทรงพบว่าพวกเขาผิดอยู่สามประการ
เนื้อหาตอนนี้ พระองค์พบว่าพวกเขาผิดเรื่องล่วงประเวณี “ในใจ” ใครๆก็ผิดในข้อนี้ ไม่มีใครหลุดรอดไปได้ในข้อหาล่วงประเวณีในใจ ถ้านี่เป็นมาตรฐานที่พระเยซูกำหนด เราต่างก็ร่วงตุ้บลงไป แล้วยังมีการล่วงประเวณี “ฝ่ายวิญญาณ” ในมัทธิว 12 พวกเขามาขอหมายสำคัญจากพระเยซู และพระองค์เรียกพวกเขาว่าคนชาติชั่วและคิดทรยศต่อพระเจ้า ตลอดเวลาคุณคิดว่าพระเยซูจับพวกเขาผิดเรื่องล่วงประเวณีในใจ แต่พวกเขาคิดว่าตนเองบริสุทธิ์เมื่อพูดถึงล่วงประเวณีตามการกระทำ แต่ไม่เป็นเช่นนั้น ถ้าคุณเข้าใจถ้อยคำของพระเยซูเรื่องการหย่าร้าง จำในมัทธิว 19:3 ได้หรือเปล่า? “ผู้ชายจะหย่าภรรยาของตนเพราะเหตุใดๆก็ตาม เป็นการถูกต้องตามธรรมบัญญัติหรือไม่?” แม้แต่คนหัวโบราณที่สุดในท่ามกลางยิวคงนึกไม่ถึงว่าพระเยซูจะไปไกลขนาดนั้น ในการพูดถึงที่มาของการล่วงประเวณี
ที่ผมเดาคือ (และผมเข้าใจว่ากำลังเสี่ยงอยู่) พวกเขาไม่เพียงแต่คว่ำบาตร (จำได้หรือไม่พระเยซูพูดถึงพวกธรรมาจารย์และฟาริสีว่าทำอย่างหนึ่ง แต่สอนอีกอย่าง) แต่ในชุมชนของพวกฟาริสี หลายคนหย่าร้าง และการหย่านั้นไม่ได้เป็นไปตามพระคัมภีร์ ถ้าคำตรัสของพระเยซูเป็นจริง การหย่าร้างที่ไม่เป็นตามพระคัมภีร์ก็คือที่มาของการล่วงประเวณี พวกเขาก็คือพวกที่ล่วงประเวณีนั่นเอง!
นึกภาพออกมั้ยครับ พระเยซูทรงตบท้ายพวกธรรมาจารย์และฟาริสีในพื้นที่ๆพวกเขาคิดว่าปลอดภัย ในทันที พระองค์ทรงพบว่าพวกเขาผิดเรื่องการล่วงประเวณีในทุกมิติตามที่ตรัส และในที่ๆพวกเขามั่นใจมาก ธรรมบัญญัติกลับห้ามไว้ ชัดเจนครับ พระเยซูตรัสไว้ในข้อ 27 และต่อยอดขึ้นไปอีกระดับว่า “ฝ่ายเราบอกท่านทั้งหลายว่า ผู้ใดมองผู้หญิงเพื่อให้เกิดใจกำหนัดในหญิงนั้น ผู้นั้นได้ล่วงประเวณีในใจกับหญิงนั้นแล้ว (มัทธิว 5:28) ผู้เชี่ยวชาญพระคัมภีร์ท่านหนึ่งชี้ให้เห็นคำว่า “มอง” เน้นว่าไม่ใช่มองธรรมดา แต่มองมากธรรมดา บางคนแปลว่า “ชายตามอง” บางคนแปล “จ้องมอง” ไม่ใช่แค่มองแล้วตั้งข้อสังเกตุ ความจริงคือบางคนจับสายตาได้ไวมาก และสายตาก็สังเกตุเห็น แต่เป็นเรื่องของการหยุด หันสายตาออกมา และไม่ “มองต่อ” คือสิ่งที่พระเยซูตรัสถึง พระองค์ยังตรัสด้วยว่าไม่ใช่แค่มองด้วยใจกำหนัด แต่มองด้วยใจมีราคะปรารถนา เป็นการมองที่มีจุดมุ่งหมาย เช่นเดียวกับในมัทธิว 6:1 เมื่อพระเยซูตรัสว่า “จงระวัง อย่ากระทำศาสนกิจเพื่ออวดคนอื่น” เพราะ การกระทำที่แสดงออกถึงความชอบธรรมนั้นเป็นไปเพื่อให้คนปรบมือให้ นี่เป็นการมองอย่างอ้อยอิ่งด้วยความกำหนัดและต้องการให้ไปถึงเป้าหมาย
ตอนนี้ทุกคนหูผึ่งฟังพระเยซู ใครในพวกเรา ไม่ว่าชายหรือหญิง ที่ไม่รู้สึกว่าตกเป็นผู้ต้องหาในกรณีนี้? ในข้อ 29 และ 30 พระองค์แตะไปยังการกระทำที่เราต้องตอบสนอง เมื่อมองไปที่คำตรัสของพระเยซู เราพูดกันว่า “มันดูไม่รุนแรงไปหน่อยหรือ พูดเรื่องควักตา หรือตัดแขนทิ้ง?” แน่นอนครับรุนแรง ยังมีบางประเทศในโลกนี้ที่บอกว่าถ้าคุณขโมย ให้ตัดมือทิ้ง เราก็คิดว่าออกจะรุนแรง ยอมรับเถอะครับว่าคือความชั่วร้ายของเรา เป็นความชั่วร้ายของเราล้วนๆ!!
ผมมีตาข้างซ้ายที่ดีมาก และถ้าผมควักตาขวาทิ้ง ตาซ้ายผมก็ทำหน้าที่แทน พระเยซูบอกว่าให้เอาตาขวาออก สำหรับพวกเราส่วนใหญ่ ตาขวาของเราเป็นตาที่สำคัญ เรามีสองมือ ถ้าพระองค์บอก “ตัดมือขวาทิ้ง” คุณเห็นด้วยหรือไม่ว่าถ้าเราควักตาออกทั้งสองข้าง และตัดมือทิ้งทั้งสองข้าง เราก็ยังไม่อาจแก้ปัญหาเรื่องความคิดลามกในใจได้? มันยังอยู่ที่นั่น!
จำได้ว่าเคยอ่านประวัติศาสตร์คริสตจักรเมื่อหลายปีที่แล้ว เกี่ยวกับหนึ่งในบัญญัติของนักบวช ชายคนหนึ่งพยายามเอาตัวเองออกมาจากบาปแห่งราคะของโลก เขาจึงไปปลีกวิเวกอยู่ในถ้ำ จำไม่ได้ว่านอนบนเตียงตะปูหรือเปล่า แต่สาวเต้นระบำหน้าท้องก็ยังอยู่ในความคิด ไม่สามารถสลัดออกไปได้ ดังนั้นจะควักลูกตา หรือว่าจะตัดมือทิ้งก็จะห้ามอะไรไม่ได้ แล้วพระเยซูทรงหมายความอย่างไร?
ผมคิดว่าพระเจ้าไม่ได้เลือกอวัยวะสองอย่างนี้โดยไม่มีจุดมุ่งหมาย – มองดู และ แตะต้อง – ตาและมือของเรา – เห็นด้วยหรือไม่ เป็นองค์ประกอบใหญ่ในขอบเขตของความชั่ว ในขอบเขตของการล่วงประเวณี? ดังนั้นที่พระองค์ตรัสไม่ใช่ให้หยุดมองโดยควักตาทิ้ง หรือไม่แตะต้องโดยตัดมือทิ้ง แต่เราต้องหยุดไม่ว่าจะเสียอะไรก็ตาม เราต้องหยุดมองแบบนั้น เราต้องบังคับตนเองอย่างรุนแรงในการทำเช่นนั้น เราต้องกล้าที่จะไม่มองต่อ ในวัฒนธรรมของเรา คงแทบจะต้องใส่ผ้าปิดตา เพราะทั้งตัวเป็นๆ ในนิตยสาร ป้ายโฆษณา ไม่ว่าหันไปทางไหน มันจะกระโจนมาจับคุณ เทคโนโลยีความใคร่ได้รับการพัฒนาไปอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
ความชั่วนั้นน่าทึ่ง เป็นสิ่งที่เหลือเชื่อ เวลาผมเดินทางไปแถวเอเซีย ผู้หญิงบางคนแต่งตัวมิดชิด แต่ในทุกวัฒนธรรมมันมีหนทางที่ออกมาเรียกร้องและล่อลวงได้ เพราะความเป็นจริงคือเราควรต้องปิดปาก ปิดหู และปิดความรู้สึกในทุกมิติ แต่เรายังมีสิ่งที่เกิดในใจและในความคิด มีหนทางที่ผู้ชายหาโอกาสทำในสิ่งที่ชั่วร้ายได้ แต่พระคริสต์กำลังบอกเราในบทเรียนนี้ว่า ถ้าความจริงคือเราทำผิดจริง เราต้องมองให้ออกว่าบาปนั้นจะนำเราไปที่ไหน ถ้าเราคิดว่าพระเยซูใจอ่อนต่อบาป เราคงต้องมองดีๆอีกที
เมื่อพระเยซูตรัสกับหญิงที่ถูกจับได้ขณะล่วงประเวณี “จงไปเถิดและอย่าทำผิดอีก” เป็น บาปที่สมควรตาย เราต้องเข้าใจว่าเมื่อพระเยซูตรัสว่าเสียอวัยวะหนึ่งดีกว่าทั้งตัวต้องลงนรก พระองค์พูดถึงความพินาศนิรันดร์ ล่วงประเวณีจะทำให้คุณรู้สึกผิดบาปแน่ และต้องลงนรกl! คุณจึงต้องตระหนักถึงความร้ายแรงของมัน และทำทุกสิ่งเพื่อแก้ไข จำที่ อ เปาโลพูดไว้ในโรม 6 ได้หรือไม่เรื่องการใช้อวัยวะให้เป็นเครื่องชอบธรรม เรากลับไปแสวงหาความเพลิดเพลินจากมัน แต่ที่จริงสิ่งที่เรากำลังปรนนิบัติคือสิ่งเดียวกับสิ่งที่เราต้องทำให้มัน ตาย เพื่อจะได้ชีวิตนิรันดร์ในแผ่นดินของพระเจ้า พระองค์ไม่ได้บอกว่าอย่าปล่อยไปตามเนื้อหนังอย่างที่คนชอบทำ พระองค์กำลังบอกว่าหยุดยั้งมันเสีย และอย่างเด็ดขาดด้วย ให้มองว่าบาปนี้อันตรายถึงตาย
นี่คือหลักการเดียวกับการลงวินัยของคริสตจักรหรือไม่? (ดูจาก 1โครินธ์ 5) พระกายของพระคริสต์ประกอบด้วยอวัยวะหลายส่วน จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อหนึ่งในอวัยวะเหมือนใน 1โครินธ์ 5 พูด คือบางคนไปนอนกับภรรยาของพ่อ? คริสตจักรต้องทำอย่างไรเมื่อชายคนนั้นถูกกล่าวตักเตือนในความบาปของเขา แต่ไม่ยอมสำนึกผิด? คุณจำเป็นต้อง “ตัด” คนที่กระทำผิดออกไป ใช่ มันรุนแรง แต่หลักการที่นำมาใช้กับบุคคลก็ต้องนำมาใช้กับคริสตจักรด้วย คุณต้องตัดอวัยวะหรือสิ่งที่ทำให้เกิดบาปและนำมาซึ่งความเสียหายที่ร้ายแรง
ในภาคปฏิบัติ พระเยซูไม่ได้ต่อต้านความสุขในชีวิตสมรส ไม่ได้ต่อต้านความสุขทางเพศ ฮีบรู 13:4 กล่าวว่าให้เตียงสมรสปราศจากความชั่วช้า พระเจ้าทรงมอบของประทานนี้เพื่อความสุขของเรา เป็นความสุขที่กรอบต้องห้าม จงตระหนักถึงความร้ายแรงของบาป ตอบสนองอย่างจริงจัง ตามประสบการณ์ของผม เมื่อต้องรับมือกับปัญหาความผิดบาปทางเพศในคริสตจักร ในแทบทุกกรณีเท่าที่จำได้ แต่ละคนที่เกี่ยวข้องต่างก็พูดว่า “ผมรู้ว่ามันเป็นบาป รู้ว่าพระเจ้าตรัสไว้อย่างไร และรู้ว่าควรต้องทำอย่างไรด้วย” ปัญหาคือเขาไม่เคยทำในสิ่งที่บอกว่ารู้! บทเรียนนี้แรงครับ เพราะพูดถึงตัดทิ้ง ควักทิ้ง ตัดสินใจแน่วแน่ และจัดการในทันทีในสิ่งที่ทำอันตรายคุณถึงตายได้” ผมไม่ทราบว่าจะพูดให้คุณเห็นความร้ายแรงได้ชัดไปกว่าสิ่งที่พระเยซูคริสต์ ตรัสไว้
เรื่องหนึ่งที่เข้ามาในใจผมอย่างที่ผมไม่เคยคิดมาก่อน คุณจำพระคำในยากอบ 2 ได้หรือไม่?
10 เพราะว่าผู้ใดรักษาธรรมบัญญัติได้ทั้งหมด แต่ผิดอยู่ข้อเดียว ผู้นั้นก็เป็นผู้ผิดธรรมบัญญัติทั้งหมด 11 ด้วยว่าพระองค์ผู้ได้ตรัสว่า เจ้าอย่าล่วงประเวณีผัวเมียเขา ก็ได้ตรัสไว้ด้วยว่า เจ้าอย่าฆ่าคน แม้ท่านไม่ได้ล่วงประเวณีแต่ได้ฆ่าคน ท่านก็เป็นผู้ละเมิดธรรมบัญญัติ (ยากอบ 2)
ต้องขอสารภาพ ผมคิดเสมอว่าตัวเองเป็นแบบนี้ คือคิดเหมือนพวกฟาริสี ผมมองไปที่คำสั่งต่างๆในพระคัมภีร์แล้วบอกตัวเองว่า “ผ่านใสๆ สะอาดแน่ แต่มีบางคำสั่งที่ผมยังไม่ผ่าน” มันทำให้รู้สึกดี รู้สึกผยอง พูดกับตัวเองว่า “ก็อาจมีพลาดไปบ้างนิดๆหน่อยๆ ไม่ใช่เรื่องใหญ่” แต่สิ่งที่ยากอบพูด ถ้าผมละเมิดบัญญัติข้อเล็กๆข้อใด ก็เท่ากับผมผิดธรรมบัญญัติทั้งหมด!”
พระวจนะตอนนี้ในมัทธิว พระเยซูตรัสว่าเมื่อผมทำบาป ผมไม่ได้ละเมิดธรรมบัญญัติข้อนี้ข้อเดียว ละเมิดทั้งหมดครับ ลองคิดดู พวกธรรมาจารย์และฟาริสีพูดว่า “ฆ่าคนและล่วงประเวณีหรือ เรื่องพวกนี้เราสะอาดใสๆ ของกล้วยๆ” แต่ก่อนพระเยซูจะจบ พวกเขาทุกคนผิดหมด นี่คือสิ่งเลวร้ายทั้งหมดครับพี่น้อง ถ้าคุณมองความบาปในมุมมองของพระเยซู และเข้าไปจนถึงแก่นของมัน ไม่มีบาปใดเลยที่คุณและผมไม่ผิด ผมผิดในทุกข้อเลยครับ ไม่ใช่พลาดไปข้อใดข้อหนึ่ง แต่พลาดไปทั้งหมดทุกข้อ เป็นความสิ้นหวัง พระเยซูตรัสถึงความมืดมิดของบาปและผลที่จะตามมา
สิ่งที่พระเยซูตรัสเป็นสิ่งที่ต้องประกาศออกไป สิ่งที่พระองค์ตรัสเป็นสิ่งเดียวกับที่ อ เปาโลพูดไว้ จุดมุ่งหมายของธรรมบัญญัติไม่ใช่ทำให้เราเพียบพร้อมไร้ตำหนิเพื่อจะได้ไป สวรรค์เพราะปฏิบัติตามได้ จุดมุ่งหมายของธรรมบัญญัติคือแสดงให้เราเห็นถึงหัวใจและมือของเราว่าไม่ สะอาด ไม่มีสิ่งใดเลยที่จะทำให้เราไปเข้าเฝ้าพระเจ้าได้ เหตุผลที่พระเยซูทรงมีเมตตากับหญิงที่ล่วงประเวณี เพราะพระองค์ไม่ได้เสด็จมาแค่แสดงให้เห็นว่าเราเป็นคนบาป แต่เสด็จมาเพื่อรับผลโทษบาปที่เราทำ ใช่ครับ นี่คือพระราชกิจของพระองค์ – ยอมตายเพื่อรับโทษบาปของคนบาป – โทษที่สมควรตกแก่เรา – พระองค์รับแทนไปแล้ว – และเสนอหนทางหลุดพ้นให้ด้วย ให้คุณได้รับความรอดจากบาป – นี่คือเหตุผลที่พระองค์มีพระทัยที่อ่อนลง เพราะปรารถนาจะช่วยให้ทุกคนรอดจากกรรมที่ตนเองทำ ทรงเสนอหนทางรอดให้ผ่านสิ่งที่พระองค์ทำบนกางเขน
คำเตือนที่แรงสำหรับพวกเรา – ไม่ว่าคุณจะทำอะไร อย่าทำแล้วบอกกับตัวเองว่า “ไหนๆก็ผิดเรื่องล่วงประเวณีในใจแล้ว ทำไมไม่เดินหน้าทำจริงๆเลยล่ะ” อย่าเสี่ยงนะครับ อย่าก้าวเท้าไป คุณผิดเรื่องล่วงประเวณีในใจ แต่ล่วงประเวณีจริงๆคุณไม่ได้ผิดคนเดียว คุณดึงเอาอีกคนลงมาผิดด้วย อาจไม่มีใครรู้ อาจไม่มีการตั้งครรภ์ คุณอาจไม่ได้ทำผิดข้ออื่นๆเลย แต่อย่างที่ยากอบพูด “ถ้าคุณเลี้ยงดูความใคร่ไว้ มันก็จะโตขึ้นจนพาคุณไปถึงตอนจบได้ – หยุดเลยครับ” ประเด็นคือ “ตัดทิ้ง ควักออก หยุด อย่าเดินหน้าต่อครับ!
หนังสือสุภาษิตพูดเรื่องนี้ความสัมพันธ์ทางเพศและการล่วงประเวณีไว้ค่อน ข้างมาก มีข้อหนึ่งที่พูดว่า – อย่าทำตัวให้ยั่วยวน – ผมไม่ได้พูดถึงการแต่งตัวของผู้หญิง ผู้หญิงที่ชอบยั่วยวนในหนังสือสุภาษิต คือผู้หญิงที่ใช้คำพูด กิริยา และสายตาเวลาพูดกับคุณ มีวิธีกว่าร้อยเล่มเกวียนที่เธอนำมาใช้ และการแต่งกายก็เป็นหนึ่งในนั้น คุณสุภาพสตรีครับ อย่าเป็นหญิงที่มีอาการเช่นนี้นะครับ สำหรับผมผู้หญิงก็มีสิทธิผิดในเรื่องนี้ได้พอๆกับผู้ชาย เพียงแต่ชนวนจุดอาจต่าง กลไกอาจต่าง แต่ผมคิดว่ามันเป็นไปได้ที่ผู้หญิงถูกล่อลวงจากคำพูด ความอบอุ่น อ่อนโยน สุภาพ และสัมผัสได้ถึงความเสน่หา และต่อมาก็สัมผัสทางกาย ความจริงคือทุกคนล้วนทำผิดครับ
แล้วสาวน้อย กับพวกคนโสดล่ะครับ? รู้สึกปลอดภัยดีเหมือนพวกธรรมาจารย์และฟาริสีหรือเปล่า? ระวังนะครับ อย่ารู้สึกปลอดภัยจนพูดกับตัวเองว่า “ฉันยังเด็ก ยังโสด คิดว่าคงไม่แต่งงาน เรื่องนี้คงไม่เป็นปัญหา” ไม่ใช่ตามที่หนังสือสุภาษิตบอก เวลาอ่านหนังสือสุภาษิต อ่านไปเรื่อยๆคุณก็คิด เหมือนที่ผมคิด ผมทึ่งที่มีเปอร์เซ็นต์สูงที่พูดถึงคนอายุน้อย คนที่ยังไม่แต่งงานเกี่ยวกับเรื่องล่วงประเวณี! ถ้ามีสักเวลาใดในชีวิตที่คุณจะปรับความคิดไปสู่การเชื่อฟังและความบริสุทธิ์ ต้องเป็นตอนนี้ เดี๋ยวนี้ ไม่ใช่รอก่อนก็ได้ แต่เดี๋ยวนี้ นั่นคือสิ่งที่หนังสือสุภาษิตสอนไว้
ประเด็นสุดท้ายที่ผมจะพูดในบทเรียนเรื่องการล่วงประเวณี และคนที่แต่งงานแล้ว ผมไม่รู้จำนวนคนที่เข้ามาอ่าน มาฟังในสิ่งที่ผมพูด แต่บาปเป็นเรื่องจริง แต่มีการเยียวยา บำบัด และการให้อภัย แต่คุณต้องละทิ้งบาปนั้นในทันที ต้องจัดการอย่างรุนแรงและเด็ดขาด ที่ผมกลัวคือ บางคนกำลังตกอยู่ในหลุมแห่งการล่วงประเวณี มันไม่ได้เกิดขึ้นในทันที มันค่อยเป็นค่อยไป ผมมีทฤษฎีว่ามีความเกี่ยวข้องกันระหว่างความโกรธและการล่วงประเวณี ผมคิดว่าความโกรธอาจเป็นส่วนหนึ่งที่ผลักดันให้มีการล่วงประเวณี อ เปาโลพูดกับพวกสามีทั้งหลาย “…และอย่ามีใจขมขื่นต่อนาง (ภรรยา)” (โคโลสี 3:9) ผมไม่ได้บอกว่าความโกรธเป็นตัวการเดียว แต่กำลังพูดว่าเป็นปัจจัยได้ ผมคิดว่าสองสิ่งนี้ข้องเกี่ยวกัน และอยากบอกว่าถ้าชีวิตแต่งงานของคุณไม่ค่อยราบรื่น คุณก็กำลังเดินไปสู่ปัญหา ถ้ามีบางสิ่งขาดหายไปในการเดินกับพระเจ้า ถ้ามีบางสิ่งผิดปกติในใจ คุณก็กำลังเดินไปเส้นทางนั้น และพระเยซูตรัสไว้ในตอนนี้ว่า “หยุด หยุดเลย” ตระหนักในบาปที่คุณกำลังทำ ตระหนักว่าคุณกำลังอ่อนแอ จงมาหาพระเยซูเพื่อพระคุณ การให้อภัย เพราะพระองค์สามารถช่วยคุณได้ครับ
โดย : Robert L (Bob) Deffinbaugh
ได้รับอนุญาตและเป็นลิขสิทธิของ https://bible.org/
แปล : อรอวล ระงับภัย (Church of Joy)
1 179 ตามปกติงานของ อ บ็อบ เดฟฟินบาวจะถูกจัดทำขึ้นหลังคำเทศนา แต่น่าเสียดายบางผลงานทำได้ไม่ครบถ้วน บทเรียนนี้นำมาจากบันทึกคำเทศนาของท่านซึ่งอาจจะไม่ครบถ้วน
2 180 พระวจนะในภาษาอังกฤษอ้างมาจากฉบับแปล The New American Standard Bible. Copyright 1960, 1962, 1963, 1968, 1971, 1972, 1973 by Foundation Press Publications: La Habra, California.
มัทธิว 5:33-37 บทเรียนพระวจนะตอนนี้เกี่ยวข้องกับคำปฏิญาณและคำสาบาน ความตื่นเต้นอาจลดลงบ้างหลังจากผ่านข้อ 21-32 ที่เกี่ยวกับการฆ่าคน การล่วงประเวณี การควักตา และตัดมือทิ้ง แต่ประเด็นที่พระเยซูตรัสในตอนนี้ จะเจาะเข้าไปถึงแก่นของอุปนิสัยมนุษย์ – แก่นของการดำเนินชีวิตในฐานะบุตรของพระเจ้า
เราอยู่ในสังคมที่ไม่เปิดเผยความจริงต่อกัน เรามีระบบที่มีการตีความและขยายความออกไปได้อย่างไม่น่าเชื่อ เช่นเรื่องกฎหมาย หนังสือสัญญา และต้องมีการรับรองด้วยตราประทับลายเซ็น เพื่อให้แน่ใจว่าเราจะทำในสิ่งที่ระบุไว้ อย่างน้อยในสิ่งที่ถูกมองว่ามีความสำคัญพอ แต่ไม่มีสักอย่างที่สามารถทำให้คนเราซื่อสัตย์มากขึ้นได้ ที่จริง คนส่วนใหญ่ไม่เชื่อด้วยซ้ำว่าความจริงคือปัจจัยที่เป็นจริง!
จากงานค้นคว้าของบริษัทบาร์นา2 พบว่ามีเพียง 22% ของผู้ใหญ่ในอเมริกา เชื่อว่ายังมีความจริงแท้ในเรื่องศีลธรรม แต่ที่น่าสนใจ การค้นคว้าพบว่าบางส่วนเกี่ยวข้องกับคนที่ได้ชื่อว่าคริสเตียน “บังเกิดใหม่” พวกเขานิยามคำว่าคริสเตียนบังเกิดใหม่คือคนที่ยอมรับในการอุทิศตนให้พระเยซู และยึดถือเป็นสิ่งสำคัญในการดำเนินชีวิตทุกวัน และบ่งด้วยว่าพวกเขาเชื่อว่าเมื่อตายจะได้ไปสวรรค์ เพราะสารภาพบาปแล้ว และรับเอาพระเยซูเป็นพระผู้ช่วยให้รอด ในท่ามกลางกลุ่มคนเหล่านี้ มีผู้ใหญ่ 32% และวัยรุ่นเพียง 9% ที่บอกว่าพวกเขาเชื่อในความจริงแท้เรื่องศีลธรรมว่าเป็นความจริงที่ไม่ เปลี่ยนแปลง
เราสงสัยว่าทำไมผู้คนถึงคิดว่ามันยากมากเมื่อต้องพูดความจริงต่อกัน ครับ ที่เห็นชัดคือคนส่วนใหญ่ไม่สามารถบ่งได้ว่าอะไรคือความจริงแท้ตั้งแต่แรก!
ถ้อยคำที่เราจะนำมาเรียนกันเป็นคำที่ตรัสโดยผู้ประกาศตนว่า “เป็นทางนั้น เป็นความจริง และเป็นชีวิต” (ยอห์น 14:6) ผู้ที่ถ้อยคำคือความจริง (สดุดี 119:160) และทรงแสดงให้เราเห็นมาตรฐานความจริงที่สูงส่งกว่ามาตรฐานของมนุษย์
33 “อีกประการหนึ่งท่านทั้งหลายได้ยินคำ ซึ่งกล่าวไว้แก่คนโบราณว่า อย่าเสียคำสัตย์สาบาน คำสัตย์สาบานที่ได้ถวายต่อองค์พระผู้เป็นเจ้านั้น ต้องรักษาไว้ให้มั่น 34 ฝ่ายเราบอกท่านทั้งหลายว่า อย่าสาบานเลย โดยอ้างถึงสวรรค์ก็อย่าสาบาน เพราะสวรรค์เป็นที่ประทับของพระเจ้า 35 หรือโดยอ้างถึงแผ่นดินโลกก็อย่าสาบาน เพราะแผ่นดินโลกเป็นที่รองพระบาทของพระเจ้า หรือโดยอ้างถึงกรุงเยรูซาเล็มก็อย่าสาบาน เพราะกรุงเยรูซาเล็มเป็นราชธานีของพระมหากษัตริย์ 36 อย่าสาบานโดยอ้างถึงศีรษะของตน เพราะท่านจะกระทำให้ผมขาว หรือดำไปสักเส้นหนึ่งก็ไม่ได้ 37 จริงก็จงว่าจริง ไม่ก็ว่าไม่ พูดแต่เพียงนี้ก็พอ คำพูดเกินนี้ไป มาจากความชั่ว” (มัทธิว 5:33-37)3
ยากอบเหมือนจะสะท้อนคำพูดของพระเยซูออกมาในจดหมายฝากของท่าน และเน้นคำสั่งนี้ โดยใช้คำว่า “ที่สำคัญยิ่งกว่าสิ่งอื่นใด”
12 ดูก่อนพี่น้องของข้าพเจ้า ที่สำคัญยิ่งกว่าสิ่งอื่นใดก็ คือ จงอย่าสบถสาบาน อย่าอ้างฟ้าสวรรค์หรือแผ่นดินโลก หรือสิ่งอื่นๆ แต่ที่ควรว่าใช่ก็จงว่าใช่ ที่ควรว่าไม่ก็จงว่าไม่ เพื่อท่านจะไม่ถูกลงโทษ (ยากอบ 5:12)
ขณะที่คำสั่งก่อนหน้าในคำเทศนาบนภูเขาเกี่ยวข้องกับการฆ่าคน การล่วงประเวณี และการหย่าร้าง ธรรมบัญญัติโมเสสพูดเรื่องเหล่านี้ไว้ แต่ธรรมาจารย์และฟาริสีได้บิดเบือนคำสอนของธรรมบัญญัติจนพลาดไปจากจิตวิญญาณ ของธรรมบัญญัติ ตลอดคำเทศนา พระเยซูทรงพุ่งเป้าไปที่จิตวิญญาณของธรรมบัญญัติในแง่รักษาไว้ โดยมีเป้าหมายเพื่อสะท้อนพระลักษณะที่บริสุทธิ์ของพระเจ้า
บ่อยครั้งพระเยซูไม่ได้นำเราเข้าสู่คำสอนแบบง่ายๆโดยไม่ต้องคิดอะไร พระองค์ทรงใช้ถ้อยคำที่มีพลัง – ถ้อยคำที่แทงทะลุเข้าไปในเรา ในสิ่งที่เราทำ และในวิธีคิดของเรา พระองค์ทำให้เราต้องคิดในสิ่งที่เราไม่มีวันคิด ถ้าไม่เป็นเพราะอิทธิพลจากพระคำของพระองค์ อย่างที่ผู้เขียนหนังสือฮีบรูกล่าว พระวจนะของพระองค์นั้น –
…สามารถวินิจฉัยความคิดและความมุ่งหมายใน ใจด้วย ไม่มีสิ่งหนึ่งสิ่งใดซ่อนไว้พ้นพระเนตรพระองค์ แต่ตรงข้ามทุกสิ่งปรากฏแจ้งต่อพระองค์ผู้ซึ่งเราต้องสัมพันธ์ด้วย (ฮีบรู 4:12-13)
คริสเตียนบางคนนำมัทธิว 5:33-37 มาสอนว่าเราต้องไม่… ต้องไม่เด็ดขาดในทุกสถานการณ์ เอ่ยคำปฏิญาณหรือสาบาน พวกเขาเลยไม่ยอมสาบานในศาล ในพิธีสมรส หรือในกรณีอื่นๆ นี่คือสิ่งที่พระเยซูบ่งไว้หรือ? – สร้างข้อห้ามใหม่ที่ไม่มีอยู่ในธรรมบัญญัติโมเสส เพื่อเปิดทางหลบเลี่ยงให้คนคิดไม่ซื่อหรือ?
ผมเองก็อยากให้มันง่ายๆแบบนั้น แต่คิดว่าไม่ใช่
การกล่าวคำสาบานและปฏิญาณมีบันทึกอยู่หลายครั้งในพระคัมภีร์ และในธรรมบัญญัติก็พูดไว้หลายครั้งด้วยที่โดดเด่นนอกเหนือจากพระวจนะในตอน นี้และในยากอบ 5:12 ที่เหลือในพระคัมภีร์ไม่มีห้ามเรื่องสาบาน ที่จริงธรรมบัญญัติเจาะจงคำสั่งต่อประชากรของพระเจ้าให้กล่าวคำสาบานในพระนามของพระองค์
เฉลยธรรมบัญญัติ 6:13-14 :
“13 พวกท่านจงยำเกรงพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่าน ท่านจงปรนนิบัติพระองค์ และสาบานโดยออกพระนามของพระองค์ 14 ท่านทั้งหลายอย่าติดตามพระอื่น ซึ่งเป็นพระของชนชาติทั้งหลายที่อยู่ล้อมรอบท่าน”
เฉลยธรรมบัญญัติ 10:20
“20 ท่านทั้งหลายจงยำเกรงพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่าน จงปรนนิบัติพระองค์และติดพันอยู่กับพระองค์ จงปฏิญาณด้วยออกพระนามของพระองค์”
สังเกตคำกิริยาที่ใช้ในสองข้อนี้ – ท่านจงยำเกรงพระเจ้าของท่าน ท่านจงปรนนิบัติพระองค์ ท่านจงติดพันอยู่กับพระองค์ และจงสาบานโดยออกพระนามของพระองค์
คำสั่งเหล่านี้เห็นได้จากข้อหนึ่งและข้อสองของพระบัญญัติสิบประการ
1 พระเจ้าตรัสพระวจนะทั้งสิ้นต่อไปนี้ว่า 2 “เราคือพระเจ้าของเจ้า ผู้ได้นำเจ้าออกจากแผ่นดินอียิปต์คือจากแดนทาส 3 “อย่ามีพระเจ้าอื่นใดนอกเหนือจากเรา 4 “อย่าทำรูปเคารพสำหรับตน เป็นรูปสิ่งใดซึ่งมีอยู่ในฟ้าเบื้องบน หรือบนแผ่นดินเบื้องล่าง หรือในน้ำใต้แผ่นดิน 5 อย่ากราบไหว้หรือปรนนิบัติรูปเหล่านั้น เพราะเราคือพระเจ้าของเจ้า เป็นพระเจ้าที่หวงแหน ให้โทษบิดาตกทอดไปถึงลูกหลานของผู้ที่ชัง เราจนถึงสามชั่วสี่ชั่วอายุคน” (อพยพ 20:1-5)
ประชากรของพระเจ้าต้องนมัสการและปรนนิบัติพระองค์ผู้เดียว และต้องสาบานโดยออกพระนามของพระองค์ผู้เดียว เพราะพระองค์ผู้เดียวคือพระเจ้าองค์เที่ยงแท้
ประชากรของพระเจ้าต้องไม่สร้าง ไม่ก้มกราบรูปเคารพในทุกรูปแบบเด็ดขาด เพราะพระเจ้าองค์เดียวทรงครอบครองอยู่เหนือทุกสรรพสิ่ง จะนมัสการหรือปรนนิบัติผู้ใดหรือสิ่งอื่นใดนอกเหนือจากพระยาห์เวห์พระเจ้า องค์เที่ยงแท้ ก็เท่ากับให้ผู้ใดหรือสิ่งอื่นใดมาแทนที่พระเจ้า และสาบานโดยออกชื่อผู้ใดหรือสิ่งที่สร้างขึ้นมาก็คือรูปเคารพ เลวีนิติ 19:12 กล่าวว่า “12 อย่าสาบานออกนามของเราเป็นความเท็จ กระทำให้พระนามพระเจ้าของเจ้าเป็นที่เหยียดหยาม เราคือพระเจ้า”
คำสั่งที่ห้ามไม่ให้สาบานในนามพระเจ้าเป็นความเท็จ ผูกติดอยู่กับพระบัญญัติประการที่สามของพระบัญญัติสิบประการ
7 “อย่าออกพระนามพระเจ้าของเจ้าอย่างไม่สมควร เพราะผู้ที่ออกพระนามพระองค์อย่างไม่สมควรนั้น พระเจ้าจะทรงถือว่าไม่มีโทษก็หามิได้” (อพยพ 20:7)
ออกพระนามอย่างไม่สมควรแปลว่าเอ่ยพระนามอย่างไร้ความหมาย ไม่มีสาระ พูดเล่น หรือล้อเลียน – นำมาใช้อย่างขาดความเคารพยำเกรงในพระลักษณะบริสุทธิ์ของพระเจ้า การเอ่ยพระนามในคำปฏิญาณหรือในคำสาบาน ถ้าสิ่งที่คุณสาบานเป็นความเท็จ หรือไม่ตั้งใจจะทำตาม ก็เท่ากับเป็นการละเมิดโดยตรงต่อพระบัญญัติประการที่สาม และเอ่ยพระนามพระเจ้าในเรื่องเล่นๆที่ไม่เป็นสาระก็เป็นการละเมิดพระบัญญัติ ประการที่สามด้วย เพราะการออกพระนามอย่างไม่สมควร รวมถึงพูดเล่นไร้สาระ – มีค่าเท่ากับเรื่องเล็กน้อยไม่สำคัญ
ดังนั้น ในพระคัมภีร์เดิม คำสาบานจึงต้องเอ่ยในนามพระเจ้าเท่านั้น และต้องใช้ในเหตุที่สำคัญด้วย ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ ไร้สาระ และต้องเป็นความจริง
คำสาบานอาจใช้เพื่อแก้ปัญหาความขัดแย้ง เพื่อทำข้อตกลง ทำพันธสัญญา หรือรับรองความจริงในเรื่องสำคัญที่ประกาศออกไป
ฮีบรู 6:16 พูดถึงจุดประสงค์แรกของคำสาบาน “ส่วนมนุษย์นั้นต้องสาบานต่อหน้าผู้ที่เป็นใหญ่กว่าตน แล้วเมื่อเกิดข้อทุ่มเถียงอะไรกันขึ้น ก็ต้องถือคำสาบานนั้นเป็นคำยืนยันขั้นเด็ดขาด”
คำปฏิญาณระหว่างอับราฮัมและอาบีเมเลคที่เบเออร์เชบาในปฐมกาล 21 เป็นไปเพื่อยุติความขัดแย้ง และตั้งพันธสัญญาใหม่ขึ้น เพื่อแก้ปัญหาความขัดแย้งเรื่องขุดบ่อน้ำ และเพื่อยืนยันพันธสัญญานั้นตลอดไป (ดูปฐมกาล 21:22-34) อาบีเมเลคจึงพูดกับอับราฮัมว่า
“…พระเจ้าทรงสถิตกับท่านในทุกสิ่งที่ท่านกระทำ 23 เพราะฉะนั้น บัดนี้จงปฏิญาณในพระนามพระเจ้า ให้แก่เราที่นี่ว่า เจ้าจะไม่หักหลังเรา ลูกหลานของเรา หรือชาติพันธุ์ในอนาคตของเรา แต่ดังที่เราภักดีต่อเจ้า เจ้าจงภักดีต่อเราและต่อแผ่นดินซึ่งเจ้าอาศัยอยู่นี้” 24 อับราฮัมก็ทูลว่า “ข้าพระบาทยอมปฏิญาณ” (ปฐมกาล 21:22ข-24)
ยังมีตัวอย่างอีกมากเรื่องคำสาบานในพระคัมภีร์เดิม
คำสาบานหรือการบนบานคืออีกรูปแบบของคำปฏิญาณที่ผู้สาบานตั้งใจว่าจะมอบ บางสิ่งคืนให้พระเจ้าเพราะได้รับความโปรดปราน หรือได้รับพระพรในบางเรื่อง ในธรรมบัญญัติโมเสส มีความเชื่อมโยงหนักแน่นระหว่างคำสาบานและเครื่องบูชาแก้บน เครื่องบูชาแก้บนเป็นการถวายศานติบูชาในแบบพิเศษ (เลวีนิติ 7:16) เป็นเครื่องถวายบูชาตามที่สาบานไว้
ใน 1ซามูเอล 1 นางฮันนาห์มารดาของซามูเอล บนบานว่าถ้าพระเจ้าจะประทานบุตรชายให้เธอ เพราะรู้ว่าเธอเป็นหมัน เธอจะถวายบุตรคืนให้เป็นนาศีร์ พระเจ้าประทานบุตรให้เธอ เธอจึงมาแก้บน นำซามูเอลไปที่วิหาร มอบให้กับเอลีมหาปุโรหิต
มีตัวอย่างเรื่องคำสาบานอีกหลายแห่งในพระคัมภีร์เดิม บางเรื่องไร้สาระ บางเรื่องโง่เขลา เช่นเรื่องคำสาบานที่หุนหันของเยฟธาห์ และบางคำสาบานก็น่ายกย่อง
ในมัทธิว 5:33 พระเยซูตรัสว่า
“อีกประการหนึ่งท่านทั้งหลายได้ยินคำ ซึ่งกล่าวไว้แก่คนโบราณว่า อย่าเสียคำสัตย์สาบาน คำสัตย์สาบานที่ได้ถวายต่อองค์พระผู้เป็นเจ้านั้น ต้องรักษาไว้ให้มั่น”
ประโยคนี้ไม่ได้เป็นการบิดเบือนธรรมบัญญัติ แต่เป็นการแตกหน่อมาจากธรรมบัญญัติเช่นเดียวกับสองข้อบน “ท่านทั้งหลายได้ยินคำซึ่งกล่าวไว้” ในคำเทศนาของพระเยซูว่า “อย่าฆ่าคน” และ “อย่าล่วงประเวณีผัวเมียเขา”
เฉลยธรรมบัญญัติ 23:21-23
21 “เมื่อท่านบนต่อพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่าน ท่านอย่าละเลยไม่แก้บน เพราะว่าพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านจะทรงเรียกเอาจากท่านเป็นแน่ และท่านจะมีบาป
22 ถ้าท่านงดไม่บน ท่านก็จะไม่มีบาป
23 ท่านจงระวังที่จะกระทำตามถ้อยคำที่ผ่านออกมา จากริมฝีปากของท่าน ตามที่ท่านได้สมัครใจบนต่อพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่าน ซึ่งท่านสัญญาด้วยปากของท่านแล้ว
ปัญญาจารย์ 5:4-5
4 เมื่อเจ้าปฏิญาณบนไว้ต่อพระเจ้า อย่าชักช้าที่จะแก้บนนั้นให้สำเร็จ เพราะพระองค์หาชอบพระทัยในคนเขลาไม่ จงแก้บนตามที่เจ้าบนไว้เถิด
5 ที่เจ้าจะไม่บนก็ยังดีกว่าที่เจ้าบนแล้วไม่แก้
พระเจ้าไม่ได้ถือว่านี่เป็นเรื่องเล็กน้อย
ผมไม่พบสิ่งใดในมัทธิว 5:33 ที่ไม่สอดคล้องกับคำสั่งที่ระบุชัดเจนในธรรมบัญญัติ ความผิดพลาดของพวกฟาริสีที่พระเยซูตรัสถึงในตอนนี้ไม่ใช่เป็นการให้ข้อมูล ที่ผิดพลาด แต่เป็นการจัดการอย่างไม่ถูกต้อง พวกเขาพลาดประเด็นของธรรมบัญญัติ ซึ่งเราจะกลับมาเรียนกันทีหลัง
“34 ฝ่ายเราบอกท่านทั้งหลายว่า อย่าสาบานเลย โดยอ้างถึงสวรรค์ก็อย่าสาบาน เพราะสวรรค์เป็นที่ประทับของพระเจ้า 35 หรือโดยอ้างถึงแผ่นดินโลกก็อย่าสาบาน เพราะแผ่นดินโลกเป็นที่รองพระบาทของพระเจ้า หรือโดยอ้างถึงกรุงเยรูซาเล็มก็อย่าสาบาน เพราะกรุงเยรูซาเล็มเป็นราชธานีของพระมหากษัตริย์ 36 อย่าสาบานโดยอ้างถึงศีรษะของตน เพราะท่านจะกระทำให้ผมขาว หรือดำไปสักเส้นหนึ่งก็ไม่ได้” (มัทธิว 5:34-36)
อะไรคือสาระสำคัญในการสาบาน “โดย” ออกชื่อบุคคลหรือสิ่งอื่น?
ในพระคัมภีร์เดิม เมื่อคุณสาบานโดยอ้างใครก็ตาม คุณกำลังร้องขอให้คนๆนั้นเป็น : (1) พยานยืนยัน สนับสนุน หรือรับรองคำพูดของคุณ และ (2) พิพากษาคุณ ถ้าพิสูจน์แล้วว่าคำพูดของคุณไม่เป็นจริง คุณกำลังร้องขอผู้ที่ถูกอ้างชื่อเป็นพยาน คนที่ไว้วางใจได้ ให้รับรองว่าสิ่งที่คุณพูดนั้นเป็นความจริง ขณะเดียวกัน คุณกำลังยอมรับให้คนๆนั้นพิพากษาคุณถ้าคุณพูดไม่จริง นี่คือเหตุที่ฮีบรู 6:16 กล่าวไว้ “ส่วนมนุษย์นั้นต้องสาบานต่อหน้าผู้ที่เป็นใหญ่กว่าตน” ตัวอย่างเช่น คนที่น่านับถือ และไว้วางใจได้
ที่จริง อย่างที่เราเห็น ธรรมบัญญัติกล่าวว่าประชากรของพระเจ้าต้องสาบานโดยพระนามของพระเจ้าเท่านั้น – ไม่ใช่โดยพระอื่น หรือสิ่งอื่นที่มือมนุษย์สร้าง
ปฐมกาล 31:43-55 บันทึกพันธสัญญาระหว่างยาโคบและลาบัน หลังจากรับใช้ลาบันมากว่า 14 ปี ยาโคบก็ออกจากอารัมพร้อมด้วยภรรยาและบรรดาผู้หญิงของท่าน ลูกๆและฝูงสัตว์ ลาบันไล่ตามยาโคบ และมาทันกันที่สถานที่ๆจะเรียกว่ามิสปาห์ (หอคอย) หลังจากโต้เถียง ยาโคบและลาบันตกลงทำพันธสัญญาระหว่างกัน เพื่อจะให้เกียรติกันและกัน รวมถึงข้อตกลงในทรัพย์สมบัติของแต่ละฝ่ายด้วย พวกเขานำก้อนหินมาตั้งขึ้น กล่าวว่านี่จะเป็น “พยาน” ระหว่างทั้งสอง แต่ในข้อ 50 และ 53 ทั้งคู่ประกาศชัดเจนว่าพระเจ้าผู้ทรงเป็นพยานและเป็นผู้พิพากษา กองหินนั้นใช้เป็นสัญลักษณ์เพื่อรำลึกถึงพันธสัญญาที่ทั้งสองทำ แต่พระเจ้าทรงเป็นผู้ที่ถูกเอ่ยนาม และเป็นผู้ที่พวกเขาไว้วางใจว่าจะให้เกียรติแก่ถ้อยคำของพวกเขา
ชาวยิวในสมัยของพระเยซูบิดเบือนเรื่องนี้ไว้อย่างน่าสนใจ พวกเขามีปัญหาเรื่องพูดความจริงมาตลอด เช่นเดียวกับพวกเรา ดังนั้นเพื่อป้องกันตนเองจากความรู้สึกผิด กลัวถูกจับได้ว่าสาบานเท็จโดยพระนามของพระเจ้า พวกเขาจึงสร้างอุปนิสัยให้สาบานโดยสิ่งใดก็ได้ “ยกเว้น” พระเจ้า ต้องการเพิ่มความหนักแน่นเข้าไปในคำพูดเพื่อให้น่าเชื่อถือ แต่ไม่ต้องการแตะเข้าไปที่การพิพากษาของพระเจ้า สาบานบางสิ่งโดยพระนามของพระองค์ ถ้าพวกเขาไม่ได้ตั้งใจจะทำตาม หรือเมื่อคำสาบานนั้นไม่เป็นจริงทั้งหมด จะได้มีช่องลอดออกไปได้ พวกเขาจึงจัดลำดับความสำคัญของคำสาบาน – สาบานโดยสิ่งต่างๆที่พระเจ้าสร้างมากกว่าโดยพระเจ้าเอง เจมส์ มอนต์โกเมอร์รี่ บอยส์ พูดถึงวิธีแบบนี้ว่าเป็นการ “สาบานแบบหลบเลี่ยง”4
คำตรัสของพระเยซูในมัทธิว 5:34-36 บ่งว่า แทนที่พวกเขาจะสาบานโดยพระนามพระเจ้า กลับสาบานโดยอ้าง “สวรรค์” หรืออ้าง “แผ่นดินโลก” หรือกรุงเยรูซาเล็ม แม้แต่อ้างศีรษะตนเอง เห็นชัดว่ามันโง่สิ้นดี คำสาบานกลายเป็นประกวดกันว่าใครสามารถเอาสิ่งน่าประทับใจที่สุดมาอ้างในคำ สาบานเพื่อให้ดูขลัง
คำตรัสของพระเยซูในมัทธิว 23 แสดงให้เห็นว่ามันกลายเป็นเรื่องบ้าบอ:
16 “วิบัติแก่เจ้า คนนำทางตาบอด เจ้าสอนว่า ‘ผู้ใดจะสาบานอ้างพระวิหาร คำสาบานนั้นไม่ผูกมัด แต่ผู้ใดจะสาบานอ้างทองคำของพระวิหาร ผู้นั้นจะต้องกระทำตามคำสาบาน’
17 โอ คนโฉดเขลาตาบอด สิ่งไหนจะสำคัญกว่า ทองคำหรือพระวิหารซึ่งกระทำให้ทองคำนั้นศักดิ์สิทธิ์
18 และว่า ‘ผู้ใดจะสาบานอ้างแท่นบูชา คำสาบานนั้นไม่ผูกมัด แต่ผู้ใดจะสาบานอ้างเครื่องตั้งถวายบนแท่นบูชานั้น ผู้นั้นต้องกระทำตามคำสาบาน’
19 ช่างตาบอดกันเสียจริงหนอ สิ่งใดจะสำคัญกว่า เครื่องตั้งถวาย หรือแท่นบูชาที่กระทำให้เครื่องตั้งถวายนั้นศักดิ์สิทธิ์
20 เหตุฉะนี้ผู้ใดจะสาบานอ้างแท่นบูชา ก็สาบานอ้างแท่นบูชา และสิ่งสารพัดซึ่งอยู่บนแท่นบูชานั้นด้วย
21 ผู้ใดจะสาบานอ้างพระวิหาร ก็สาบานอ้างพระวิหาร และอ้างพระองค์ผู้ทรงสถิตในพระวิหารนั้นด้วย
22 ผู้ใดจะสาบานอ้างสวรรค์ ก็สาบานอ้างพระที่นั่งของพระเจ้า และอ้างพระองค์ผู้ประทับบนพระที่นั่งนั้นด้วย
เห็นหรือไม่ พวกธรรมาจารย์และฟาริสีใช้วิธีไหน และวิธีที่พระเยซูเอาตรรกะที่โง่เขลาใส่กลับลงไปบนหัวพวกเขา? พวกเขาอ้างถึงทุกสิ่งโลดโผนเท่าที่คิดออก เพื่อหุ้มตัวเองไว้ไม่ต้องรับผิดชอบต่อพระเจ้า พระเยซูบอกว่าพวกเขาไม่อาจหลบเลี่ยงความรับผิดชอบต่อพระเจ้าโดยอ้างถึงสิ่ง ต่างๆ เพราะพระเจ้าทรงครอบครองอยู่เหนือทุกสรรพสิ่ง !
คุณคิดว่าสาบานโดยอ้างพระวิหาร จะได้ไม่ต้องรับผิดชอบต่อพระเจ้า เพื่อบอกว่าที่คุณพูดเป็นความจริงหรือ? พระเกียรติสิริขององค์พระผู้เป็นเจ้าที่อยู่ในพระวิหาร – ที่ประทับของพระเจ้า – คุณคิดว่าสาบานเท็จโดยอ้างสวรรค์ คุณมีเกราะป้องกันให้พ้นจากสายพระเนตรหรือ? สวรรค์นั้นเป็นพระที่นั่งของพระเจ้า
อ่านสดุดี 139 ถ้าคุณคิดว่าจะหลบพ้นจากสายพระเนตรพระเจ้า
เมื่ออับราฮัมส่งคนรับใช้ไปหาเจ้าสาวให้อิสอัค ท่านทำในสิ่งที่ถูกต้อง บอกกับคนรับใช้ในปฐมกาล 24:3
3 แล้วเราจะให้เจ้าสาบาน ในพระนามพระเยโฮวาห์พระเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์ และพระเจ้าแห่งพิภพโลก ว่าเจ้าจะไม่หาภรรยาให้บุตรชาย ของเราจากบุตรหญิงของคนคานาอัน ที่เราอาศัยอยู่ท่ามกลางเขานี้
คุณต้องไม่สาบานโดยอ้างฟ้าสวรรค์หรือแผ่นดินโลก! คุณสาบานโดยพระเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก
ที่น่าสนใจคือ ผู้ที่มีสิทธิเรียกสรรพสิ่งทรงสร้างมาเป็นพยานร่วมกับพระองค์ได้คือพระเจ้าเท่านั้น
25 เมื่อพวกท่านมีลูกและมีหลานและได้อยู่ใน แผ่นดินนั้นช้านาน และถ้าท่านหลงกระทำรูปเคารพเป็นสัณฐานสิ่งใด และกระทำชั่วในสายพระเนตรพระเยโฮวาห์พระเจ้า ของท่านทั้งหลาย เป็นที่ขัดเคืองพระทัยพระองค์ 26 ข้าพเจ้าขออัญเชิญฟ้าและดินมาเป็น พยานกล่าวโทษท่านในวันนี้ว่า ท่านทั้งหลายจะพินาศอย่างสิ้นเชิงจากแผ่นดิน ซึ่งท่านทั้งหลายกำลังจะข้ามแม่น้ำจอร์แดนไปยึดรองนั้น ท่านจะไม่ได้อยู่ในแผ่นดินนั้นนาน แต่ท่านจะถูกทำลายอย่างสิ้นเชิง (เฉลยธรรมบัญญัติ 4:25-26)
15 “จงดูเถิด ในวันนี้ข้าพเจ้าได้วางชีวิตและสิ่งดี ความตายและสิ่งร้ายไว้ต่อหน้าท่าน 16 คือในการที่ข้าพเจ้าได้บัญชาท่านในวันนี้ ให้รักพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่าน ให้ดำเนินในพระมรรคาทั้งหลายของพระองค์และให้รักษาพระบัญญัติ และกฎเกณฑ์และกฎหมายของพระองค์ แล้วท่านจะมีชีวิตอยู่และทวีมากขึ้น และพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่าน จะอำนวยพระพรแก่ท่านในแผ่นดินซึ่งท่านเข้าไปยึดครองนั้น 17 ถ้าใจของท่านหันเหไปและท่านมิได้เชื่อฟัง แต่ถูกลวงให้ไปนมัสการพระอื่นและปรนนิบัติพระนั้น 18 ข้าพเจ้าขอประกาศแก่ท่านทั้งหลายในวันนี้ว่า ท่านทั้งหลายจะพินาศเป็นแน่ ท่านจะไม่มีชีวิตอยู่นานในแผ่นดินซึ่งท่านกำลังจะยกข้ามแม่น้ำจอร์แดน เข้าไปยึดครองนั้น 19 ข้าพเจ้าขออัญเชิญสวรรค์และโลกให้เป็นพยานต่อท่านในวันนี้ว่า ข้าพเจ้าตั้งชีวิตและความตาย พระพรและคำสาปแช่งไว้ต่อหน้าท่าน เพราะฉะนั้นท่านจงเลือกเอาข้างชีวิต เพื่อท่านและลูกหลานของท่านจะได้มีชีวิตอยู่ 20 ด้วยมีความรักต่อพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่าน เชื่อฟังพระสุรเสียงของพระองค์ และติดพันอยู่กับพระองค์ กระทำเช่นนั้นจะได้ชีวิตและความยืนนาน เพื่อท่านจะได้อยู่ในแผ่นดินซึ่งพระเจ้าปฏิญาณ แก่บรรพบุรุษของท่าน คือแก่อับราฮัม แก่อิสอัค และแก่ยาโคบว่า จะประทานแก่ท่านเหล่านั้น” (เฉลยธรรมบัญญัติ 30:15-20)
พระเจ้าเท่านั้นที่สามารถเรียกสรรพสิ่งทรงสร้างมาเป็นพยานร่วมกับพระองค์ เพราะพระองค์ผู้เดียวครอบครองอยู่เหนือสรรพสิ่ง มนุษย์ไม่อาจทำเช่นนั้น เพราะมนุษย์ไม่สามารถควบคุมสิ่งใดได้เลย พระเยซูบอกเราว่าเราไม่อาจสาบานโดยอ้างศีรษะของเรา เพราะเราไม่อาจทำให้ผมบนศีรษะหงอกหรือไม่หงอกได้สักเส้น!
ในอิสยาห์ 66:1-2 พระเจ้าประกาศว่า :
“1 พระเจ้าตรัสดังนี้ว่า “สวรรค์เป็นบัลลังก์ของเรา และแผ่นดินโลกเป็นแท่นวางเท้าของเรา
นิเวศซึ่งเจ้าจะสร้างให้เรานั้นจะอยู่ที่ไหนเล่า และที่พำนักของเราจะอยู่ที่ไหน?
2 สิ่งเหล่านี้มือของเราได้กระทำทั้งสิ้น สิ่งเหล่านั้นจึงเป็นขึ้นมา พระเจ้าตรัสดังนี้
แต่นี่ต่างหากที่เราจะมอง คือเขาผู้ที่ถ่อมและสำนึกผิดในใจ และตัวสั่นเพราะคำของเรา
พระเยซูเองทรงชี้ไปที่ความเป็นจริงนี้ด้วยในมัทธิว 5:34-36
ลองมาดูตัวอย่างที่พระเยซูให้ไว้เรื่องพยาน มีหนึ่งพยานชัดเจนที่หายไป พยานไหน? พยานสำคัญที่สุด – พระเจ้า!
ทำให้ผมเข้ามาดูเรื่องคำสาบานในพระคัมภีร์ใหม่ โดยเฉพาะที่ อ เปาโลกล่าวไว้
ใน 2โครินธ์ 1:15-2:11 อ เปาโลอธิบายให้ชาวโครินธ์ว่าท่านมีความตั้งใจจริงที่จะไปหาพวกเขาถึงสอง ครั้ง ครั้งแรกตอนที่เดินทางจากเอเฟซัสไปมาซิโดเนีย และอีกครั้งตอนขากลับ (1โครินธ์ 16:5) แต่ต้องเปลี่ยนแผน และใน 1:23–2:2 ท่านเปลี่ยนแผนเพราะไม่ต้องการไปเพิ่มความทุกข์ใจในเรื่องที่พวกเขาต้องลง วินัยคนที่ผิดพลาดไปจากทางของพระเจ้า
นี่เป็นพระวจนะตอนที่ทำให้เราเห็นความกระจ่างในมัทธิว 5:33-37 เพราะสิ่งที่ อ เปาโลกล่าวยอมรับว่า “ใช่” ก็ต้องเป็น “ใช่” และ ”ไม่” ก็ต้องเป็น “ไม่” และท่านยังพูดคำปฏิญาณเพื่อรับรองความจริงใจในการเปลี่ยนแผนของท่าน จาก 2โครินธ์ 1:
17 เมื่อข้าพเจ้าหมายที่จะทำอย่างนั้นข้าพเจ้าโลเลหรือ และข้าพเจ้ากะโครงการอย่างคนที่ไม่รู้จักพระเจ้าหรือ ซึ่งพร้อมที่จะกล่าว มา ไม่มา ส่งๆไป
18 พระเจ้าทรงสัตย์จริงแน่ฉันใด คำของเราที่กล่าวกับท่านก็มิใช่เป็นคำรับ หรือปฏิเสธส่งๆไปแน่ฉันนั้น
23 ขอพระเจ้าเป็นพยานฝ่ายจิตใจของข้าพเจ้าว่า ที่ข้าพเจ้ายังไม่ได้ไปถึงเมืองโครินธ์นั้น ก็เพื่อจะงดโทษพวกท่านไว้ก่อน
ข้อ 23 เป็นไปตามรูปแบบการปฏิญาณในพระคัมภีร์เดิม
เรื่องที่ข้าพเจ้าเขียนมาถึงท่านนี้ พระเจ้าทรงเป็นพยานได้ว่า ข้าพเจ้าไม่มุสาเลย (กาลาเทีย 1:20)
เพราะว่าพระเจ้าทรงเป็นพยานของข้าพเจ้าว่า ข้าพเจ้าเป็นห่วงท่านทั้งหลายเพียงไร ตามพระทัยเมตตาของพระเยซูคริสต์ (ฟีลิปปี 1:8)
อ เปาโลวิงวอนพระเจ้าหลายครั้งให้เป็นพยานเพื่อเน้นหนักแน่นความจริงในสิ่งที่ ท่านกล่าวออกไป และท่านทำภายใต้การทรงนำของพระวิญญาณบริสุทธิ์
อ เปาโลละเมิดคำสอนของพระเยซูหรือ?
ผมไม่เชื่อว่าประเด็นของพระเยซูในมัทธิว 5 ว่าการสาบานเป็นสิ่งชั่วร้ายหรือไม่มีทางถูกต้องไปได้ ผม เชื่อว่าประเด็นของพระองค์คือการกล่าวคำสาบานอย่างที่พวกธรรมจารย์หรือฟาริ สีทำนั้นชั่วร้ายทั้งหมด – เพราะพวกเขากล้าสาบานโดยอ้างถึงทุกสิ่ง “ยกเว้น” พระเจ้า เพียงเพื่อจะได้ไม่ต้องรับผิดชอบต่อพระองค์!
พระเยซูทรงชี้ให้เห็นชัดเจนในมัทธิว 5 ว่าพระเจ้าองค์เดียวเท่านั้นที่ครอบครองเหนือทุกสิ่ง – สวรรค์ โลก เยรูซาเล็ม หรือแม้แต่เส้นผมบนศีรษะคุณ ส่วนคุณ – คุณไม่ได้ครอบครองอะไรเลย แม้แต่ผมบนศีรษะ ไม่ว่าคุณจะสาบานโดยอ้างสิ่งใด พระเจ้าเท่านั้นที่คุณ ผม และทุกสิ่งทรงสร้างต้องรายงานต่อพระองค์ และคุณต้องรายงานต่อพระองค์ไม่ว่าคุณจะกล่าวสาบานหรือกล่าวคำปฏิญาณใดๆ ทันทีที่คุณเอ่ยปากสาบาน คุณต้องรับผิดชอบต่อพระองค์
เป็นการดีกว่าที่จะไม่กล่าวคำสาบานถ้าคุณคิดว่าคุณสามารถออกอุบายหลีกเลี่ยง เพื่อไม่ต้องรับผิดชอบต่อพระเจ้าว่าคุณซื่อตรง
ย้อนกลับไปดูคำสอนของพระเยซูในตอนต้นของคำเทศนา – มีสิ่งใดที่ชั่วร้ายเกี่ยวกับตาและมือของมนุษย์? ทั้งสองสามารถถวายพระสิริแด่พระเจ้าได้ จริงหรือไม่? แน่นอนครับ ประเด็นของพระเยซูเรื่องการล่วงประเวณี สร้างข้อปฏิบัติใหม่เรื่องควักลูกตาขวาหรือตัดมือขวาทิ้งเพราะความบาปในใจ ของผู้ติดตามพระองค์หรือ? ทำแล้วจะรักษาใจพวกเขาให้บริสุทธิ์ได้หรือ? ไม่ได้ครับ แต่ถ้าการควักตาจะช่วยกำจัดการล่วงประเวณีในใจได้ มันก็คุ้มค่าความเจ็บปวดครับ
ฮีบรู 12:4 กล่าวว่า “ในการต่อสู้กับบาปนั้น ท่านทั้งหลายยังไม่ได้สู้จนถึงกับต้องเสียโลหิตเลย”
รักษาความบริสุทธิ์ไว้ไม่ว่าจะต้องเสียอะไรไป – คุณลักษณะของพระเจ้าภายใน จะนำเราให้กล้าเหนือทุกๆการต่อรอง
การกล่าวคำสาบานอย่างถูกต้องจะทำให้เราเป็นคนไม่ซื่อสัตย์ได้หรือ? ไม่หรอกครับ ไม่พอๆกับมีตาขวาที่ทำให้เราล่วงประเวณีได้
มีข้อเปรียบเทียบที่เห็นได้ชัดจากการถวายบูชา พระเจ้าทรงจัดตั้งระบบพิธีถวายบูชา และการถวายบูชาที่ในพลับพลา หนังสือ อพยพทำให้เราเข้าใจชัดเจนว่าสิ่งเหล่านี้มาจากพระทัยพระเจ้า ไม่ใช่มาจากจิตใจมนุษย์ วิธีที่เข้าเฝ้าตามที่พระองค์ทรงออกแบบไว้เป็นภาพความจริงของสวรรค์เมื่อ เข้าเฝ้าจำเพาะพระพักตร์พระองค์ – เป็นของประทานแห่งพระคุณที่มอบให้กับประชากรของพระองค์ เพื่อแยกพวกเขาออกจากชนชาติอื่นๆในโลก แต่เมื่ออิสราเอลทำให้การถวายบูชาผิดไป ใช้เป็นเครื่องมือหลอกล่อหรือบังคับพระเจ้าให้ทำตามใจตน และใช้เป็นทางหาความดีความชอบใส่ตัวให้พระเจ้าเห็น – หาความโปรดปราน โดยละเลยหัวใจของพระบัญญัติ (ความยุติธรรม ความเมตตา ความชอบธรรม) – การถวายบูชาแบบนี้จึงกลายเป็นที่น่ารังเกียจสำหรับพระเจ้า!
หัวใจของพระคำตอนนี้ไม่มีสิ่งใดเกี่ยวข้องกับการกล่าวคำปฏิญาณหรือคำ สาบานอย่างถูกต้อง หัวใจของเรื่องนี้คือเรื่องของหัวใจ รวมถึงคำตรัสของพระเยซูเรื่องคำสาบานในคำเทศนาบนภูเขา พระองค์ตรัสว่า
จริงก็จงว่าจริง ไม่ก็ว่าไม่ พูดแต่เพียงนี้ก็พอ คำพูดเกินนี้ไป มาจากความชั่ว (มัทธิว 5:37)
ถ้าเรารักษาความจริงไว้เพียงเพื่อประกาศให้เห็นในรูปของคำปฏิญาณหรือ สาบาน และละเลยความจริงในเรื่องอื่นๆตลอดเวลา นั่นคือระบอบฟาริสี เป็นสิ่งชั่วร้าย – ทำให้การสาบานเป็นเครื่องมือของการทำชั่ว
คำสาบานต้องไม่เป็นเครื่องมือลดระดับมาตรฐานของความสัตย์จริงที่เราต้องยึดถือตลอดเวลาในฐานะบุตรของพระเจ้า
ตลอดมัทธิว 23 พระเยซูทรงกล่าวถึงพวกเขาว่า “วิบัติแก่เจ้า พวกธรรมาจารย์และพวกฟาริสี คนหน้าซื่อใจคด…” คนหน้าซื่อใจคดคือคนที่แสดงให้คนอื่นเห็นภายนอกในสิ่งที่ตนเองไม่ได้เป็น
แล้วพวกเขาแสดงความหน้าซื่อใจคดในการกล่าวคำสาบานอย่างไร? พวกเขากล่าวคำสาบานเพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือให้ถ้อยคำของตน – แต่ถ้อยคำนั้นมาจากใจที่ไม่ซื่อตรง – ฟังดีๆครับ ผมไม่ได้บอกว่า “ถ้อยคำของพวกเขานั้นไม่จริง” (แม้บ่อยครั้งไม่เป็นตามนั้น) ผมบอกว่า “ถ้อยคำของพวกเขามาจากใจที่ไม่ซื่อตรง” คุณอาจคิดว่ามันแทบไม่แตกต่าง แต่สิ่งที่พระเยซูตรัสเข้าตรงถึง “จิตใจ” ของพวกเขา
พวกฟาริสีลดระดับความชอบธรรมอย่างมีระบบเพื่อให้เห็นแค่ประพฤติกรรมภาย นอก และประพฤติกรรมเหล่านี้เป็นแค่เศษผ้าขี้ริ้วสกปรกในสายพระเนตรพระเจ้า คำสาบานของพวกเขาไม่น่าไว้ใจพอๆกับเด็กที่บอกจะไม่ทำแต่แอบไขว้นิ้วไว้ข้าง หลัง เพราะในหัวใจพวกเขา สนใจในความน่าเชื่อถือของตนเองมากกว่าความจริงใจ ให้ตรงประเด็น พวกเขาสนใจในความน่าเชื่อถือของตัวเองมากกว่าเป็นคนน่าเชื่อถือของพระเจ้า – นี่เป็นเรื่องของคุณลักษณะ!
ทุกสิ่งที่พระเยซูตรัสในคำเทศนาบนภูเขานำสู่ความจริงที่พระเจ้ามองลึก เข้าไปในจิตใจภายใน พระองค์ทรงเห็นความมุ่งร้ายและใจคิดร้ายของเราเมื่อเรายังกักความโกรธต่อพี่ น้อง ทรงมองเห็นใจล่วงประเวณีเมื่อเราจ้องมองที่ผู้อื่นด้วยตัณหาราคะ พระองค์ทรงเป็นเครื่องจับเท็จที่เชื่อถือได้ 100%! ความชอบธรรมที่มาจากพระเจ้า ทำให้พระองค์ใส่พระทัยในสิ่งที่ทรงเห็น มากกว่าสิ่งที่มนุษย์เห็น!
คำว่า “ใช่” ของเราต้องเป็นใช่ คำว่า “ไม่” ของเราต้องเป็นไม่ ไม่มีคำสาบานใดจะเปลี่ยนสิ่งนี้ได้ การพยายามสร้างความน่าเชื่อถือให้ตนเองนั้นว่างเปล่า แต่การเป็นคนซื่อสัตย์จริงใจในสายพระเนตรพระบิดาบนสวรรค์คือทุกสิ่งครับ
พระเจ้าตรัสกับประชากรของพระองค์ในทุกวัยว่า “ทั้งหลายต้องบริสุทธิ์ เพราะเรา…เป็นผู้บริสุทธิ์” (เลวีนิติ 19:20) พระเยซูทรงร้องขอในสิ่งเดียวกันในคำเทศนาบนภูเขา “เหตุฉะนี้ท่านทั้งหลายจงเป็นคนดีรอบคอบ เหมือนอย่างพระบิดาของท่าน ผู้ทรงสถิตในสวรรค์เป็นผู้ดีรอบคอบ” (มัทธิว 5:48) เราสามารถเป็นคนดีรอบคอบในฟากฝั่งนี้ของสวรรค์ได้หรือ? – แน่นอนครับไม่ได้ – ท่านยอห์นบอกเราว่า “…ยังไม่ปรากฏว่าต่อไปเบื้องหน้านั้นเราจะเป็นอย่างไร แต่เรารู้ว่าเมื่อพระองค์จะเสด็จมาปรากฏนั้น เราทั้งหลายจะเป็นเหมือนพระองค์…” (1ยอห์น 3:2) แต่พระลักษณะอันบริสุทธิ์ของพระเจ้านั้นทรงเปิดเผยในองค์พระเยซูคริสต์ และเป็นมีไว้เพื่อควบคุมชีวิตของเรา – มีไว้สำหรับเดี๋ยวนี้ และที่นี่ครับ!
เราเป็นลูกของพระเจ้า กฎเกณฑ์ที่มี ไม่ใช่มีไว้พื่อปกครองชีวิตเรา – แต่พระองค์ทรงเป็นกฎเกณฑ์แห่งชีวิต – เราจะมีชีวิตแห่งพระพรขนาดไหนถ้ายึดสิ่งนี้ไว้ด้วยความมั่นคงจริงใจ!
ตอนอายุสิบหกและยังไม่ได้มาเชื่อพระเจ้า เพื่อนๆคริสเตียนที่ต่อมากลายมาเป็นพี่น้องชั่วนิรันดร์ ชอบบอกผมว่า “คริสเตียนไม่ใช่ศาสนา แต่เป็นเรื่องของความสัมพันธ์” ผมคิดว่าเดี๋ยวนี้ผมเริ่มแตะไปถึงถ้อยคำสำคัญที่ลึกซึ้งนี้แล้ว ความสัมพันธ์ ความผูกพันกับพระเจ้าคือพื้นฐานของความชอบธรรมที่แท้จริง
12 “ดูก่อน คนอิสราเอล พระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านทรงประสงค์ให้ท่านกระทำอย่างไร คือให้ยำเกรงพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่าน ให้ดำเนินตามทางทั้งปวงของพระองค์ ให้รักพระองค์ ให้ปรนนิบัติพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านด้วยสุดจิต สุดใจของท่านทั้งหลาย 13 และให้รักษาพระบัญญัติและกฎเกณฑ์ของพระเจ้า ซึ่งข้าพเจ้าบัญชาท่านในวันนี้ เพื่อประโยชน์ของท่านทั้งหลาย 14 ดูเถิด ฟ้าสวรรค์และฟ้าสวรรค์อันสูงสุด และโลกกับบรรดาสิ่งสารพัดที่อยู่ใน โลกเป็นของพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่าน 15 แต่พระเยโฮวาห์ทรงฝังพระทัยในบรรพบุรุษของท่าน และทรงรักเขา และทรงเลือกเผ่าพันธุ์ ของเขาคือท่านทั้งหลายจากชนชาติทั้งหลาย อย่างเป็นอยู่ทุกวันนี้ 16 เพราะฉะนั้นจงตัดใจ อย่าดื้อดึงอีกต่อไป 17 เพราะว่าพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านเป็นพระเจ้าของพระทั้งหลาย และเป็นจอมของเจ้าทั้งปวง เป็นพระเจ้าที่ยิ่งใหญ่ ทรงฤทธิ์และน่ากลัว ทรงปราศจากอคติ และมิได้ทรงเห็นแก่อามิษสินบน” (เฉลยธรรมบัญญัติ 10:12-17)
“43 “ท่านทั้งหลายได้ยินคำซึ่งกล่าวไว้ว่า จงรักคนสนิท และเกลียดชังศัตรู 44 ฝ่ายเราบอกท่านว่า จงรักศัตรูของท่าน และจงอธิษฐานเพื่อผู้ที่ข่มเหงท่าน 45 ทำดังนี้แล้วท่านทั้งหลายจะเป็นบุตรของพระบิดาของท่านผู้ทรงสถิตในสวรรค์” (มัทธิว 5:43-44 ก)
“48 เหตุฉะนี้ท่านทั้งหลายจงเป็นคนดีรอบคอบ เหมือนอย่างพระบิดาของท่าน ผู้ทรงสถิตในสวรรค์เป็นผู้ดีรอบคอบ” (มัทธิว 5:48)
ความสัมพันธ์คือพื้นฐานของความชอบธรรมเสมอ ความสัมพันธ์ระหว่างบิดา/บุตร ในพระวจนะไม่ใช่เป็นแค่คำอุปมาที่น่าเอ็นดู – แต่เป็นสาระสำคัญในความหมายการทรงไถ่ของพระเจ้า
มันง่ายสำหรับเราที่จะชี้นิ้วไปที่พวกฟาริสีในสมัยนั้น มองว่าเหตุผลของพวกเขานั้นน่าขำ แล้วถอยตัวเองออกมา บอกว่าเราไม่มีวันโง่อย่างนั้น นั่นคือความผิดพลาด เพราะเราเองก็มีสิทธิโง่พอๆกับพวกเขา
สดุดี 15:1 ถามว่า “ข้าแต่พระเจ้า ผู้ใดจะอาศัยอยู่ในพลับพลาของพระองค์ ผู้ใดจะอยู่บนภูเขาศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์?”
ข้อ 2 ตอบว่า “คือผู้ที่ดำเนินชีวิตอย่างหาที่ติมิได้และปฏิบัติให้ถูกต้องตามธรรม และพูดความจริงจากจิตใจของตน” ข้อ 4 ตอบต่อไปว่า “…ถึงสาบานแล้ว และต้องเสียประโยชน์เขาก็ไม่กลับคำ” เขาพูดความจริงจากใจ และต้องเสียประโยชน์เขาก็ไม่กลับคำ”
ผมไม่ทราบเกี่ยวกับคุณ แต่ผมต้องฝึกใจให้เป็นไปตามมาตรฐานของพระเจ้า และอยากหนุนใจให้คุณสำรวจจิตใจและลองฝึกทำ
ผมอาจมีตัวอย่างอีกมากสำหรับบทเรียนนี้ เรื่องพลาดไปจากมาตรฐานของพระเจ้าเรื่องความจริงใจ ความซื่อสัตย์ อาจจะแค่ขีดอยู่บนผิวด้านบน แต่ผมเชื่อว่าถ้าคุณนำไปลองคิดดู ลองยกอีกสักสองสามตัวอย่างในเรื่องนี้ ผมจะใช้คำว่า “คุณ” แต่โปรดเข้าใจว่าผมกำลังพูดกับตัวเองด้วย
ผมคิดว่าหนึ่งในความสัมพันธ์ที่เราทำได้แย่ที่สุด ที่อาจสร้างผลกระทบได้มากและกินวงกว้าง – นั่นคือความสัมพันธ์ระหว่างเรากับลูก ที่สร้างผลกระทบมากเพราะลูกจะเรียนรู้เรื่องพระเจ้าได้มากจากการเฝ้าดูเรา ที่เป็นพ่อแม่ – พวกเขาเฝ้าดูอยู่ – เมื่อคุณบอกว่า “ใช่” กับลูก พวกเขาไว้ใจว่าจะเป็นไปตามนั้น หรือลูกสัมผัสได้ว่ามันไม่น่าเชื่อถือเพราะคุณไม่ใส่ใจรักษาคำพูด? เมื่อคุณบอกว่า “ไม่” กับลูกสาว กี่ครั้งที่คุณต้องพูด ก่อนจะแสดงให้เห็นว่ามันแปลว่าอะไร หรือคุณปล่อยให้คำว่า “ไม่” ของคุณเป็นเหมือนไก่ที่จิกไปเรื่อยๆ จนในที่สุดก็เปลี่ยนไปเป็น “ก็ได้ๆ”?
หนึ่งในสิ่งสวยงามในประสบการณ์ของมนุษย์คือเมื่อลูกยอมรับคำว่า “ไม่” จากพ่อหรือแม่เป็นครั้งแรก และรีบกลับไปทำในสิ่งที่ทำก่อนหน้าเพราะรู้ว่าไม่ต้องต่อรองอีกต่อไป นี่คือเด็กที่มีความคิดดี เพราะเริ่มเข้าใจในพระลักษณะของพระเจ้า!
ถ้าเป็นจริงว่า 90% ของคริสเตียนวัยรุ่นมีปัญหาที่จะยอมรับความคิดเรื่องความจริงแท้ เป็นได้หรือไม่ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะพ่อแม่พวกเขาบ่อยครั้งไม่ได้หมายความตามที่พูด?
ขอเข้าเรื่องแต่งงานเล็กน้อย พันธสัญญาในชีวิตแต่งงานเป็นเรื่องศักดิ์สิทธิ เป็นหนึ่งในพันธสัญญาที่ได้รับการยอมรับในสังคม พระเจ้าทรงย้ำซ้ำแล้วซ้ำเล่า นี่เป็นพันธสัญญาที่ไม่เหมือนพันธสัญญาอื่น ทรงประกาศว่านี่เป็นภาพความสัมพันธ์ระหว่างพระคริสต์และคริสตจักรของพระองค์ (เอเฟซัส 5:22-23) เป็นพระองค์เองที่ประกาศว่าในสายพระเนตร นี่คือการผูกพันที่ศักดิ์สิทธิ ที่รวมทั้งสองให้เป็นเนื้ออันเดียวกัน (ปฐมกาล 2:18-25) พระเจ้าตรัสว่า “…ได้ทรงผูกพันกันแล้ว อย่าให้มนุษย์ทำให้พรากจากกันเลย” (มัท ธิว 19:6) ถ้าเรายำเกรงและให้เกียรติในสิ่งที่พระเจ้าบัญชาแม้ในเรื่องเล็กน้อย ความยำเกรงจะยิ่งทำให้เราให้เคารพและถวายเกียรติในคำปฏิญาณต่อเบื้องพระ พักตร์และคนของพระองค์ที่เป็นพยานว่าจะซื่อสัตย์ต่อคู่สมรสไปจนกว่าชีวิตจะ หาไม่ นี่เป็นพระลักษณะที่ทำให้เราทำในสิ่งที่ปฏิญาณไว้ แม้ต้องเสียสิ่งใดไปก็ตาม!
เป็นมาตรฐานที่หนักหนาหรือไม่? ครับใช่ แต่เป็นสิ่งที่พระเจ้าเรียกให้ทำ และไม่ได้หนักหนาถ้าเรายึดตามที่ทรงสัญญาว่าจะทรงประทานพระพรฝ่ายวิญญาณนานา ประการในสวรรคสถานโดยพระคริสต์ (เอเฟซัส 1:3) อำนาจเดียวกันนี้ซึ่งพระองค์ได้ทรงกระทำในพระคริสต์ เมื่อทรงชุบให้พระองค์เป็นขึ้นมาจากความตาย…และทรงอยู่กับเราในพระบุคคลของ พระวิญญาณบริสุทธิ์ (เอเฟซัส 1:18-23)
ท้ายที่สุดนี้ คำเตือนมาถึงเรา – พระวจนะตอนนี้กำลังบอกให้เราคอยตามดูและจับผิดพี่น้องที่เปลี่ยนคำพูดไปมา หรือ? หรือบอกให้เราสงสัยบางคนว่าผิดคำพูดในสิ่งที่เขาตั้งใจทำหรือ? ถ้าคุณนำบทเรียนตอนนี้เป็นเครื่องมือเพื่อจับผิดและหาเรื่องกับพี่น้อง คุณก็ตกลงไปในระดับเดียวกับพวกฟาริสี ไม่เห็นท่อนไม้ทั้งท่อนในตาตนเอง เพราะมัวแต่ไปจ้องเศษผงในตาของคนอื่น ทั้งหมดนี้นำไปสู่การดำเนินชีวิตคริสเตียนตามที่พระเยซูตรัสไว้ก่อนหน้าในคำ เทศนาบนภูเขา อย่างที่ อ บ็อบ เดฟฟินบาวจะชี้ให้เห็นในบทเรียนที่ 22 พระเยซูทรงกล่าวประณามในสิ่งที่ไม่มีใครสักคนพ้นผิดไปได้เลย
มาตรฐานความชอบธรรมในตอนนี้คือความชอบธรรมของพระเจ้า (มัทธิว 5:48) ถ้าคุณอ่านบทเรียนตอนนี้ และคุณไม่ได้ยืนต่อเบื้องพระพักตร์พระเจ้า ยอมรับว่าคุณได้รับความชอบธรรมเป็นของประทานที่พระเจ้ามอบให้โดยพระคุณทาง ความเชื่อในพระบุตร บทเรียนตอนนี้ก็กำลังกล่าวโทษคุณ เพราะคุณไม่มีทางทำได้ตามมาตรฐานความจริงของพระเจ้าด้วยตัวคุณเอง ถ้าเป็นเช่นนั้น ผมอธิษฐานขอให้คุณยอมถ่อมใจลงต่อพระพักตร์พระเจ้าผู้บริสุทธิ์ ทูลพระองค์ว่าคุณหลงหายในความบาป และยึดในพระวจนะของพระองค์ไว้ – เชื่อในพระบุตรองค์เดียวว่าเป็นผู้เดียวที่เป็นเครื่องถวายบูชาโดยสิ้นพระ ชนม์ที่บนกางเขน ชดใช้ความผิดบาปของคุณ เชื่อว่าพระองค์ทรงคืนพระชนม์ และประทับเบื้องขวาพระบิดา เชื่อในพระองค์เท่านั้น เพื่อรับการอภัยบาป และรับเอาชีวิตนิรันดร์
สำหรับเราที่เป็นลูกของพระเจ้า ถ้อยคำของพระบิดาแสดงให้เห็นว่าเราควรดำเนินชีวิตอย่างไร ขอเรามีหัวใจที่ปรารถนาความสว่างแห่งความจริง ให้เป็นสิ่งแรกและเป็นสิ่งสำคัญที่สุด
เมื่อพิจารณาคำสอนของพระเยซูในเรื่องคำปฏิญาณและคำสาบาน ผมขอให้คุณไม่มุ่งเน้นไปที่รายละเอียดว่าเราตกจากมาตรฐานความจริงของพระเจ้า อย่างไร แต่ขอให้คุณใช้เวลา พิจารณาดูว่าเราจะเป็นคนที่สัตย์ซื่อจริงใจได้อย่างไร – จริงใจจากหัวใจ ไม่ได้บอกว่าไม่เกี่ยวกับความประพฤติ ในฐานะลูกของพระเจ้า เราต้องเริ่มโดยเรียนรู้ว่าควรประพฤติอย่างไร จากนั้นเรียนรู้หลักการจากภายในตามที่ได้รับการสอน เพื่อให้ความประพฤติเกื้อหนุนจิตใจ และจิตใจเกื้อหนุนความประพฤติ ให้มุ่งเน้นไปที่เป้าหมายการดำเนินชีวิตในแบบของพระเจ้า จากจิตใจที่เป็นของพระเจ้า เราจะไม่พูดความจริงในจิตใจ ถ้าเราไม่ได้รักผู้ที่เป็นองค์ความจริง
พี่น้องครับ ขอให้เราเป็นคนที่สัตย์ซื่อและจริงใจ เพราะเรากระหายหาความชอบธรรม
ให้เราเป็นคนที่สัตย์ซื่อจริงใจ เพราะพระเจ้าทรงสร้างในเรา จิตใจใหม่ที่สะอาดและบริสุทธิ์
ให้เราเป็นคนที่สัตย์ซื่อจริงใจ เพราะเราปรารถนาจะเป็นเกลือและความสว่างในโลกที่ต้องการพระเจ้าและพระบุตรของพระองค์ พระเยซูคริสต์
ให้เราเป็นคนที่สัตย์ซื่อจริงใจเพราะเราปรารถนาจะดำเนินชีวิตในพระลักษณะ ของผู้ประทานชีวิตใหม่ให้เราด้วยชีวิตและพระโลหิตของพระองค์เอง
ขอให้เราเป็นคนที่สัตย์ซื่อและจริงใจเพราะเราเป็นลูกของพระเจ้า
น่าจะเป็นเหตุผลที่เพียงพอครับ
1 181 ลิขสิทธิ์ของ Copyright 2003 by Community Bible Chapel, 418 E. Main Street, Richardson, TX 75081 ปรับจากต้นฉบับเดิมบทเรียนที่ 23 ของบทเรียนต่อเนื่องพระกิตติคุณมัทธิว จัดทำโดย ทอม ไรท์ 27 ก.ค. 2003.
2 182 จากบทความในอินเทอร์เน็ท www.barna.org – “Americans Are Most Likely to Base Truth on Feelings,” published February 12, 2002.
3 183 พระวจนะภาษาอังกฤษส่วนใหญ่นำมาจากฉบับแปล the New American Standard Bible. Copyright 1960, 1962, 1963, 1968, 1971, 1972, 1973, 1975 by Lockman Foundation.
4 184 James Montgomery Boice, The Sermon on the Mount (Grand Rapids, Michigan: Baker Books, 2002), p. 131.
สองสามเดือนที่แล้ว ผมได้อ่านข่าวด้านล่าง (ปี 2002) เป็นรูปแบบที่เกิดซ้ำซากกรณีพิพาทระหว่างอิสราเอลและปาเลสไตน์:
“เมื่อวันอังคาร อิสราเอลส่งเฮลิคอปเตอร์ไปสังหารผู้นำฮามาสในท่ามกลางถนนที่เต็มด้วยผู้คนใน กาซา แต่ไม่สำเร็จ ทำให้ชาวปาเลสไตน์ 2 คนต้องเสียชีวิต และ 27 คนบาดเจ็บ การโจมตีด้วยขีปนาวุธนี้มีแต่จะจุดชนวนความรุนแรงและพังทลายแผนสันติภาพลง อย่างสิ้นเชิง การโจมตีเพื่อเอาชีวิตอับเดล แรนทิซี ทำให้เกิดความเคียดแค้นจากกลุ่มทหารอิสลาม และมีการขู่ว่าจะใช้ระเบิดพลีชีพเพื่อเอาคืนจากผู้นำอิสราเอล”
“นายกรัฐมนตรีอิสราเอล ประกาศชัดเจนว่าจะไม่ถอนกำลังทหารออกไปจนกว่าสหรัฐอเมริกาจะเดินหน้าผลักดัน แผนสันติภาพต่อ แรนทิซีเป็นผู้นำคนสำคัญของฮามาสที่ทางอิสราเอลพุ่งเป้าไป และส่งสัญญาณว่าจะทวีความรุนแรงขึ้น ทำให้แผนสันติภาพไม่อาจเดินหน้าต่อไปได้”
“อิสราเอลประกาศว่าแรนทิซีเป็นผู้ก่อการร้ายตัวยงที่ชาวปาเลสไตน์น่าจะ ปลดออกไปก่อนหน้า ‘เขาเป็นศัตรูของสันติภาพ ศัตรูของทุกคนที่แสวงหาสันติภาพในตะวันออกกลาง’ ผู้ช่วยนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ‘ที่จริงเราพยายามรักษาขบวนการสันติภาพโดยต้องกำจัดคนแบบนี้ออกไป’
“ผู้สนับสนุนชาวฮามาสนับพันชุมนุมกันที่สนามหน้าโรงพยาบาลชีฟาห์ ร้องปลุกระดมต่อต้านอับบาส หรือที่รู้จักกันในนามอาบู มาเซน ‘อาบู มาเซน เราจะไม่มีวันยอมถอย’ พวกเขาร้องตะโกน”
“ผู้นำฮามาสกล่าวว่าการเอาคืนจะเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ‘การตอบสนองของฮามาสจะรุนแรงเหมือนแผ่นดินไหว – แบบตาต่อตา…นักการเมืองต่อนักการเมือง’ เขากล่าว”2
อีกสถานที่หนึ่งในตะวันออกกลาง มีการเสวนาระหว่างผู้นำคริสเตียนและผู้สอนศาสนาอิสลาม พวกเขากำลังคุยกันถึงข้อแตกต่างระหว่างอิสลามและคริสเตียน ผู้สอนศาสนากล่าวว่าข้อแตกต่างนั้นธรรมดามาก: “คริสเตียนสอนว่าถ้าถูกตบ ให้หันแก้มอีกข้างให้ตบด้วย แต่อิสลามสอนว่าถ้าถูกตบ คุณต้องเอาคืน – ซึ่งจะเป็นการดีกว่าสำหรับทั้งสองฝ่าย”3
คืนหนึ่งระหว่างครอบครัวผมทานอาหารเย็นด้วยกัน ลูกสาว คีล่าห์ ถามคำถามที่ชวนคิดขึ้นมา ถามว่า “ถ้าพี่ชายมาตบหน้าหนู หนูจะตบเอาคืนได้มั้ย?” แน่นอน คำตอบของเราคือเธอต้องไปหาคนที่มีสิทธิตัดสินในเรื่องนี้ – พ่อหรือแม่
จริยะธรรมของโลกนี้คือ : 1) ตบกลับ 2) ทำให้เสมอภาคกัน 3) ปฏิบัติต่อผู้อื่นเหมือนที่ท่านอยากให้เขาปฏิบัติต่อท่าน หลายครั้งความเป็นธรรมเพื่อให้เสมอภาคกันเป็นเหมือนกฎหมายยุคโบราณ “ตาแทนตา ฟันแทนฟัน”4 ต้องขอยอมรับว่าการชดใช้หรือเอาคืนเพื่อให้เกิดความเป็นธรรม ดึงดูดผมพอสมควร โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อผมรู้สึกเป็นฝ่ายถูกกระทำ
แต่พระเยซูตรัสว่า “ไม่” – ไม่ให้ใช้กฎตาแทนตา” เพื่อสร้างความเป็นธรรมให้กับคนที่แค้นใจ แต่พระองค์ตรัสว่า “ให้หันแก้มซ้ายให้ตบด้วย” “ให้เลยไปอีกหนึ่งกิโลเมตร” “ถ้าเขาปรับเสื้อไป ให้เสื้อคลุมแถมไปด้วย” และ “อย่าเมินหน้าจากผู้ที่ขอยืม” คำสอนของพระเยซูไม่เพียงแต่ถูกต้องตามกฎและตามหลักการ แต่ยังเจาะลงลึกซึ้งในสถานการณ์ความขัดแย้ง การข่มเหง และความจำเป็นในชีวิตประจำวัน
มัทธิว 5:38-42 กล่าวว่า
38 “ท่านทั้งหลายได้ยินคำซึ่งกล่าวไว้ว่าตาแทนตาและฟันแทนฟัน39 ฝ่ายเราบอกท่านว่าอย่าต่อสู้คนชั่วถ้าผู้ใดตบแก้มขวาของท่านก็จงหันแก้มซ้าย ให้เขาด้วย 40 ถ้าผู้ใดอยากจะฟ้องศาลเพื่อจะปรับเอาเสื้อของท่านไปก็จงให้เสื้อคลุมแก่เขา เสียด้วย41 ถ้าผู้ใดจะเกณฑ์ท่านให้เดินทางไปหนึ่งกิโลเมตรก็ให้เลยไปกับเขาถึงสอง กิโลเมตร 42 ถ้าเขาจะขอสิ่งใดจากท่านก็จงให้อย่าเมินหน้าจากผู้ที่อยากขอยืมจากท่าน”
หลายคนพยายามอธิบายพระวจนะด้านบนไว้ดังนี้:
คำสอนตรงนี้ของพระเยซูเป็นการเผชิญหน้าในการนำบัญญัติจากพระคัมภีร์มาบิด เบือนและใช้ในทางที่ผิด บัญญัติแห่งการเอาคืน ภาษาลาตินใช้คำว่า “the Lex Talionis” เป็นบัญญัติแห่ง “ชีวิตแทนชีวิต ตาแทนตา ฟันแทนฟัน” ฯลฯ
คำสั่งของพระเยซูในพระวจนะตอนนี้ก่อให้เกิดคำถามหลายข้อที่ต้องนำมาพิจารณา
ข้อแรก – อะไรคือความเกี่ยวข้องกันระหว่างคำสอนของพระเยซูและบัญญัติในพระคัมภีร์เดิมเรื่องตาแทนตา?
ข้อสอง – อะไรคือข้อแตกต่างระหว่างคำสอนของพระเยซู กับผู้นำชาวยิวและประชาชนชาวยิว? พระเยซูตรัสไว้ก่อนหน้าว่าถ้าความชอบธรรมของท่านไม่ยิ่งไปกว่าความชอบธรรม ของพวกธรรมาจารย์และพวกฟาริสี ท่านจะไม่มีวันได้เข้าสู่แผ่นดินสวรรค์ และเรากำลังอยู่ในความเห็นที่ขัดแย้งข้อที่ห้า หรือหลักการที่แตกต่าง “ท่านทั้งหลายได้ยินคำว่า…ฝ่ายเราบอกท่านทั้งหลายว่า” ในคำเทศนาบนภูเขา
ข้อสาม – พระเยซูต้องการสิ่งใดจากสาวกของพระองค์? เป็นคำสอนที่ไกลเกินตัว เกินกว่าที่เราคริสเตียนจะทำได้จริงหรือ? มันผลักดันเราจนเกินขีดของจริยะธรรมหรือ? หรือว่ามันนำเราไปจน “ตกขอบของความเป็นไปได้”?
ให้เรามาเริ่มจากบัญญัติข้อนี้ในพระคัมภีร์เดิม
ให้ลองนึกภาพตัวเราและครอบครัวย้อนกลับไปมีชีวิตในสมัยที่ไม่มีตำรวจ ไม่มีศาลยุติธรรม ไม่มีอำเภอ สำนักปกครอง หรือรัฐบาลแห่งชาติ – ไม่มีกษัตริย์ หรืออำนาจใดๆปกครองคุณหรือผู้คนรอบข้าง แล้ววันหนึ่งขณะที่คุณดำเนินชีวิตไปตามปกติ คุณได้รับข่าวช็อค เพื่อนบ้านคนหนึ่งของคุณจงใจเข้ามาทำร้ายลูกสาวคุณ ตบหน้าเธอจนฟันหน้าหักไปสี่ซี่ คุณจะทำอย่างไร? ไม่รู้จะไปแจ้งความที่ไหน – ไปร้องหาความยุติธรรมได้ที่ไหน แล้วถ้าสถานการณ์เลวร้ายลง ลูกคุณถูกฆ่าตายล่ะ? แน่นอนคุณต้องเข้าไปจัดการแก้แค้นเอง อาจต้องเสียเลือดเสียเนื้อ บางทีคุณอาจต้องให้ฝ่ายที่ทำร้ายคนของคุณได้รับบาดเจ็บในแบบเดียวกัน บางทีคุณอาจอยากเอาคืนให้สาสมหรือมากกว่าที่เขาทำกับคุณ หลังจากเอาคืนแล้ว อีกฝ่ายอาจรู้สึกว่ามันมากเกินไป และต้องการตอบโต้ ทำให้เกิดวงจรการเอาคืนที่ไม่รู้จบระหว่างฝ่ายคุณและฝ่ายตรงข้าม – กลายเป็นเรื่องแก้แค้นเลือดท่วมจออย่างในหนังที่เราเคยดู
ปฐมกาล 34 บันทึกเหตุการณ์จริงระหว่างครอบครัวของยาโคบ และครอบครัวของเชเคม หลังจากบุตรสาวของยาโคบ ดีนาห์ถูกข่มขืน พวกพี่ชายของดีนาห์ สิเมโอนและเลวี หาทางแก้แค้นโดยหลอกครอบครัวเชเคมให้ทำสุหนัต แล้วเข้าไปจัดการฆ่าผู้ชายทั้งหมดของเชเคม และแน่นอนในปฐมกาล 49:5-7 พระเจ้าทรงไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่พวกเขาทำ
ดังนั้นการบัญญัติกฎแห่งการเอาคืนในธรรมบัญญัติโมเสสสำหรับคนอิสราเอลและ ผู้มีอำนาจ ผมจึงเชื่อว่าเป็นความก้าวหน้าในเรื่องความยุติธรรม ออกแบบมาเพื่อป้องกันการเอาคืนหรือแก้แค้นกันเอง คนที่ถูกทำร้ายหรือญาติพี่น้องของเหยื่อสามารถร้องเรียนต่อผู้มีอำนาจของ อิสราเอลเพื่อขอความเป็นธรรม แต่อะไรคือการลงโทษที่เหมาะสมในกรณีฆาตกรรมหรือทำให้พิการ? ตรงนี้ทำให้ธรรมบัญญัติเข้ามามีบทบาท “ชีวิตแทนชีวิต” “ตาแทนตา” “ฟันแทนฟัน” การลงโทษต้องเหมาะสมกับการกระทำผิด – ไม่มากกว่าความผิดที่ทำลงไป หรือไม่น้อยกว่า เข้มงวดแต่เป็นธรรม และยังถูกออกแบบเพื่อป้องกันและยับยั้งการกระทำผิดนั้นๆด้วย เป็นการยื่นมือเข้าไปจัดการกับผู้ทำผิดแทนเหยื่อหรือครอบครัวของเหยื่อ นำคนทำผิดเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ถูกออกแบบมาให้เป็นหลักเกณฑ์สำหรับความยุติธรรมที่เหมาะสม ออกแบบมาให้ลงโทษผู้กระทำผิดอย่างเหมาะสมด้วย
แต่มีการบิดเบือนและนำกฎหมายนี้ไปใช้อย่างผิดๆ ทำให้เข้าใจผิดในสมัยนี้พอๆกับเข้าใจผิดในสมัยของพระเยซู – บัญญัติที่ถูกออกแบบมาเพื่อป้องกันการเอาคืนกันเอง กลับถูกใช้เพื่อไปสร้างความชอบธรรมให้ตนเองและพรรคพวก
การเข้าใจธรรมบัญญัติผิดกล่าวว่า ถ้ามีคนตบหน้าคุณ ก็ให้ตบคืน (เพราะมีบอกไว้ว่า ตาแทนตา และฟันแทนฟัน) ถ้ามีใครมาฟ้องร้องคุณ ฟ้องกลับเลย ถ้าทหารโรมันบังคับให้คุณแบกของไปให้เขาหนึ่งกิโลเมตร อย่าไปยอม สู้เลย พระเยซูกำลังเผชิญหน้ากับการสอนและกรอบความคิดเช่นนี้
ผมขอทำความเข้าใจให้ชัดเจน พระเจ้าต้องการนำการแก้แค้นออกไปจากมือของเรา เราอาจนำไปให้กับผู้ปกครองบ้านเมือง ถ้าเหมาะสม แต่ถ้ายังไม่ได้รับความเป็นธรรม นำไปมอบให้พระเจ้าครับ อย่างที่ อ เปาโลกล่าวไว้ในหนังสือโรม :
อย่าทำชั่วตอบแทนชั่วแก่ผู้หนึ่งผู้ใดเลย แต่จงมุ่งกระทำสิ่งที่ใครๆก็เห็นว่าดี … ดูก่อนท่านผู้เป็นที่รักของข้าพเจ้าอย่าทำการแก้แค้นแต่จงมอบการนั้นไว้แล้ว แต่พระเจ้าจะทรงลงพระอาชญา เพราะมีคำเขียนไว้ในพระคัมภีร์ว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า “การแก้แค้นเป็นของเรา เราเองจะตอบสนอง” (โรม 12:17, 19)
“บัญญัติแห่งการเอาคืน” บ่งไว้ชัดเจนถึงสามครั้งในพระคัมภีร์เดิม
ที่แรกในอพยพ 21:22-25 บัญญัติขึ้นเพื่อช่วยปกป้องสตรีมีครรภ์และบุตรจากการถูกทำร้ายให้บาดเจ็บ หรือถึงตาย เพราะถูกลูกหลงจากพวกผู้ชายที่ต่อสู้กัน
ที่สองในเลวีนิติ 24:17-22 ใช้ในกรณีเกิดการฆ่ากัน หรือตั้งใจทำให้อีกฝ่ายเสียโฉมหรือพิการ สำหรับผม บัญญัติข้อนี้ชัดเจนมากในการตัดสินคดีความ มีบัญญัติบทลงโทษทั้งคดีใหญ่ หรือคดีที่ไม่ถึงตาย
“17 ผู้ที่ฆ่าคนตายจะต้องถูกโทษถึงตาย18 ผู้ที่ฆ่าสัตว์ของเขาจะต้องชดใช้ชีวิตแทนชีวิต 19 ถ้าผู้ใดกระทำให้เพื่อนบ้านเสียโฉมเขากระทำให้เสียโฉมอย่างไรก็ให้กระทำแก่ เขาอย่างนั้น 20 กระดูกหักแทนกระดูกหักตาแทนตาฟันแทนฟันเขากระทำให้เสียโฉมอย่างไรเขาก็ต้อง ถูกทำให้เสียโฉมอย่างนั้น 21ผู้ใดที่ฆ่าสัตว์ของเขาต้องเสียค่าชดใช้และผู้ใดที่ฆ่าคนให้ผู้นั้นถูกโทษ ถึงตาย 22 เจ้าจงมีกฎหมายอย่างเดียวกันสำหรับคนต่างด้าวและสำหรับชาวเมืองเพราะเราคือ พระเยโฮวาห์พระเจ้าของเจ้า” (เลวีนิติ 24:17-22)
มีตัวอย่างบทลงโทษหลายแห่งในพระคัมภีร์เดิม แต่มีอยู่หนึ่งที่ในเรื่องถูกทำให้พิการในหนังสือผู้วินิจฉัย 1:6-7
6 อาโดนีเบเซกหนีไปแต่เขาตามจับได้ตัดนิ้วหัวแม่มือและนิ้วหัวแม่เท้าของ ท่านออกเสีย 7 อาโดนีเบเซกกล่าวว่า “มีกษัตริย์เจ็ดสิบองค์ที่มีหัวแม่มือและหัวแม่เท้าด้วนเก็บเศษอาหารอยู่ใต้ โต๊ะของเราเรากระทำแก่เขาอย่างไรพระเจ้าจึงทรงกระทำแก่เราอย่างนั้น”…
แม้แต่อาโดนีเบเซกที่ถูกตัดนิ้วเท้า ยังตระหนักถึงความยุติธรรมในบทลงโทษ – “นิ้วหัวแม่มือแทนนิ้วหัวแม่มือ – นิ้วหัวแม่เท้าแทนนิ้วหัวแม่เท้า”
ที่สามในเฉลยธรรมบัญญัติ 19:15-21 เป็นการป้องกันเรื่องเบิกพยานเท็จ และใช้ศาลเป็นเครื่องมือลงโทษ หรือกลั่นแกล้งผู้บริสุทธิ์
15 “อย่าให้พยานปากเดียวยืนยันกล่าวโทษผู้หนึ่งผู้ใด ไม่ว่าในเรื่องอาชญากรรม หรือในเรื่องความผิดใดๆซึ่งเขาได้กระทำผิดไป แต่ต้องมีพยานสองหรือสามปาก คำพยานนั้นจึงจะเป็นที่เชื่อถือได้ 16 ถ้ามีพยานกล่าวปรักปรำความผิดของคนหนึ่งคนใด 17 ก็ให้ทั้งสองฝ่ายที่ต่อสู้คดีกันนั้นเข้าเฝ้าพระเจ้า ต่อหน้าปุโรหิตและผู้พิพากษาซึ่งประจำหน้าที่อยู่ในกาลนั้นๆ 18 ผู้พิพากษาจะอุตส่าห์ไต่สวน ถ้าพยานนั้นเป็นพยานเท็จกล่าวปรักปรำพี่น้องของตน เป็นความเท็จ 19 ท่านจงกระทำต่อพยานคนนั้นดังที่เขาตั้งใจจะ กระทำแก่พี่น้องของตน ดังนี้แหละท่านจะกำจัดความชั่วจากท่ามกลางท่านเสีย 20 คนอื่นๆจะได้ยินได้ฟัง และยำเกรงไม่กระทำผิดเช่นนั้นท่ามกลางพวกท่านทั้งหลายอีก 21 อย่าให้นัยน์ตาของท่านเมตตาสงสาร ควรให้ชีวิตแทนชีวิต ตาแทนตา ฟันแทนฟัน มือแทนมือ เท้าแทนเท้า” (เฉลยธรรมบัญญัติ 19:15-21)
อาชญากรรม เจ็ดประเภทที่มีบทลงโทษรุนแรงในพระคัมภีร์เดิม – ผู้เผยพระวจนะเทียมเท็จ – เฉลยธรรมบัญญัติ 13:5 / กราบไหว้รูปเคารพ – เฉลยธรรมบัญญัติ 17:7 / ไม่เชื่อฟังผู้มีอำนาจ – เฉลยธรรมบัญญัติ 17:12 / ดื้อดึงและกบฏ – เฉลยธรรมบัญญัติ 21:21 / หญิงแพศยา – เฉลยธรรมบัญญัติ 22:21 / ล่วงประเวณี – เฉลยธรรมบัญญัติ 22:22-24 / ลักพาตัว – เฉลยธรรมบัญญัติ 24:7 ยังมีกฎหมายเรื่องการโบยตี (เฉลยธรรมบัญญัติ 25:1-4) มีความเป็นไปได้ที่พยานอาจตั้งใจใส่ความเท็จบางคนในข้อหาที่ร้ายแรง และหาทางใช้ระบบศาลเล่นงานผู้บริสุทธิ์ อย่างไรก็ตาม มีสองหนทางป้องกัน 1) พยานปากเดียวไม่เพียงพอสำหรับให้การในศาล ต้องมีอย่างน้อยสองถึงสามปาก และ 2) ต้องมีการสืบสวนอย่างละเอียดโดยปุโรหิตและผู้พิพากษา และถ้าพบว่าพยานนั้นเป็นพยานเท็จเพื่อใส่ร้ายบางคน บทลงโทษที่จะใช้ลงโทษผู้ถูกกล่าวหา จะไปใช้ลงโทษพยานเท็จแทนตามบทบัญญัติแห่งการเอาคืน สำหรับผมนี่คือความชัดเจนเพราะประโยคที่กล่าวว่า “จงปฏิบัติต่อเขาโดยคิดว่าปฏิบัติต่อพี่น้อง” และ “ทั้งนี้เพื่อท่านทั้งหลายจะกำจัดความชั่วเสียจากท่ามกลางท่าน” ซึ่งมักจะปรากฏอยู่ในบริบทของบทลงโทษที่ร้ายแรงในเฉลยธรรมบัญญัติ และยังมีประโยคที่ว่า “อย่าให้นัยน์ตาของท่านเมตตาสงสาร” และ “ควรให้ชีวิตแทนชีวิต”
ให้เรากลับมาที่คำสอนของพระเยซูในมัทธิว 5:38: “ท่านทั้งหลายได้ยินคำซึ่งกล่าวไว้ว่า…” ทำให้เกิดคำถามและข้อโต้แย้งในชุมชนชาวยิวเรื่องธรรมบัญญัติในพระคัมภีร์ เดิม และการตีความของพวกธรรมาจารย์และฟาริสี พระเยซูทรงเปรียบเทียบความต่างจากคำสอนของพระองค์กับที่พวกเขาขยายความออกไป โดยไม่มีในพระคัมภีร์เดิม เรื่องการฆ่าคน “ท่านทั้งหลายได้ยินคำซึ่งกล่าวไว้แก่คนโบราณว่า อย่าฆ่าคน ถ้าผู้ใดฆ่าคน ผู้นั้นจะต้องถูกพิพากษาลงโทษ” (มัทธิว 5:21) “เกลียดชังศัตรู” ใน 5:43 ที่พระเยซูทรงใส่เข้าไปในคำสอนไม่ใช่เพื่อให้รายละเอียดต่างมุมจากผู้นำชาว ยิว แต่เพื่อคำสอนของพระองค์ เนื่องจากผู้ฟังรู้อยู่แล้วว่าเปรียบเทียบกับเรื่องใด ตามที่ผมค้นคว้าจากวรรณกรรมโบราณชาวยิว จริยะธรรมเรื่องการเอาคืนได้รับการสนับสนุนค่อนข้างมาก และเป็นเรื่องท้าทายสำหรับผู้นำศาสนายิว (เช่น ไม่ว่าจะในหรือนอกระบบศาล ต้องมีบทลงโทษสำหรับการกระทำให้ผู้อื่นพิการ อาจชดใช้ได้ด้วยเงิน)
สังเกตดูความต่างระหว่างสามประโยคในพระคัมภีร์เดิม เริ่มต้นที่บอกว่า “ชีวิตแทนชีวิต” ไม่มีการนำมาใช้ แต่กลับเริ่มด้วย “ตาแทนตา” จากที่ชาวยิวสรุปไว้ คือแยกประโยคที่เกี่ยวข้องกับบทลงโทษรุนแรงออกจากบทลงโทษที่ทำให้พิการ บทลงโทษที่ทำให้พิการจึงกลายเป็นการสร้างความชอบธรรมให้กับการแก้แค้นส่วน ตัว
แล้วพระเยซูตรัสเรื่องนี้ไว้อย่างไร? “ฝ่ายเราบอกท่านว่า…” (มัทธิว 5:39) สังเกตสิ่งแรกที่พระเยซูตรัสถึงไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับการทำร้ายถึงชีวิต หรือทำให้พิการ แต่กลับเป็นเรื่องของการดูหมิ่น ความบาดหมาง ความไม่สะดวก และความยุ่งยากรำคาญใจ
พระเยซูตรัสว่า “อย่าต่อสู้คนชั่ว” ซึ่งแปลได้อีกว่าอย่าไปเอาคืนจากคนชั่ว ผมไม่คิดว่าคำตรัสตอนนี้พูดว่าอย่าต่อสู้ความชั่ว (อย่างที่บางฉบับแปล) หรือ “อย่าต่อสู้กับความชั่วร้าย” (หมายถึงมาร) เพราะเท่ากับไม่สอดคล้องกับที่อื่นๆในบริบทนี้ แต่ควรเป็น “คนชั่ว” มากกว่า
พระเยซูหมายความว่าอย่างไร? ใครคือคนชั่ว? ตัวอย่างทั้งสี่ที่ตามมา อธิบายไว้อย่างชัดเจน คนชั่วคือ 1) คนที่ตบหน้าคุณ 2) คนที่ฟ้องปรับเอาเสื้อคุณ 3) คนที่สั่งให้คุณเดินแบกของไปหนึ่งไมล์ 4) คนที่ขอยืมจากคุณ
จะเห็นมุมมองที่เปลี่ยนไปในคำตรัสของพระเยซู เทียบกับธรรมบัญญัติในพระคัมภีร์เดิม ในพระคัมภีร์เดิมบอกว่าผู้พิพากษาควรทำอย่างไรกับผู้กระทำผิดร้ายแรงที่ถึง ชีวิตหรือพิการ พระเยซูทรงมีมุมมองที่แตกต่าง พระองค์ตรัสในประเด็นว่าเราควรทำอย่างไรถ้าถูกดูหมิ่น หรือบาดหมางกับบางคน ในมุมมองของผม พระเยซูไม่ได้ตรัสว่าศาลหรือผู้ปกครองควรทำอย่างไร แต่สาวกควรทำอย่างไรเมื่อถูกดูหมิ่น หรือมีเรื่องบาดหมางกับผู้อื่น
สาวกควรทำอย่างไรครับ? ไม่ต่อสู้ ไม่เอาคืน? ใช่ครับ แต่พระเยซูทรงเรียกสาวกของพระองค์ให้ทำเกินกว่าแค่ตอบสนองเชิงบวก พระองค์ทรงให้เราทำในสิ่งที่บวกๆ 1) หันแก้มอีกข้างให้ 2) แถมเสื้อคลุมให้ด้วย 3) เดินเพิ่มไปให้อีกหนึ่งไมล์ 4) ให้แก่ผู้ที่ขอยืมหรือขอจากท่าน นี่เป็นตัวอย่างสี่แบบในชีวิตจริงจากศตวรรษที่หนึ่ง ในสถานการณ์ความขัดแย้งและท่าทีที่ควรตอบสนอง ให้เรามาดูในรายละเอียด
ตัวอย่างที่ 1: ถ้าผู้ใดตบแก้มขวาของท่าน ผมไม่ได้หมายถึงคนที่ถนัดซ้ายนะครับ ลูกชายคนเล็กของผมก็ถนัดซ้าย แต่ตัวอย่างของพระเยซูเจาะจงไปคนตบที่ถนัดขวา ถ้าคุณถนัดขวา และต้องตบบางคนที่แก้มขวา คุณจะทำอย่างไร? คุณต้องตบด้วยหลังมือ สำหรับคนยิวการตบด้วยหลังมือสองครั้งเป็นการดูหมิ่นพอๆกลับตบด้วยฝ่ามือ
ถ้ามันเกิดขึ้นกับคุณ ขณะที่คุณกำลังใช้ชีวิตไปตามปกติ มีคนเดินเข้ามา แล้วตบหน้าคุณด้วยหลังมืออย่างไม่เป็นธรรม สัญชาติญาณแรกของคุณคือตบกลับ ภาษาพื้นๆคือ “ตบแทนตบ” รับไบชาวยิวมีกฎที่พูดกันมาปากต่อปากที่เรียกว่ามิชนาห์ บอกว่า คุณไปหาทางเอาคืนที่ในศาล พวกที่ทำการดูหมิ่นคุณอาจต้องจ่าย 200 ซุซ (หน่วยเงิน) สำหรับตบด้วยฝ่ามือ และ 400 สำหรับตบด้วยหลังมือ ในวัฒนธรรมแบบนั้น คุณสามารถนำเรื่องไปขึ้นศาลเพื่อเรียกค่าเสียหายได้
แต่จำได้หรือไม่ พระเยซูทรงแสดงให้เห็นความแตกต่างในระบอบความชอบธรรมของพระองค์กับพวกธร รมาจารย์และฟาริสี เราต้องไม่ตบเอาคืน ไปฟ้องศาล หรือเดินหนีไป หรือแม้แต่ยืนร้อง “แกมาทำแบบนี้ทำไม?” – พระเยซูไม่ได้สอนแบบนี้ แต่ทรงสอนให้ทำอย่างสมัครใจ หันแก้มอีกข้างให้ตบ… น่าทึ่งนะครับ!
ตัวอย่างที่ 2: ถ้าผู้ใดอยากจะฟ้องศาล เพื่อจะปรับเอาเสื้อของท่านไป เราคงสงสัยว่ามีการฟ้องร้องเอาเสื้อด้วยหรือ? คงยากที่จะเข้าใจ ถ้าไม่ย้อนกลับไปดูปูมหลังจากพระคัมภีร์เดิม มาดูกันสักสองตอน
ตอนแรกอยู่ในอพยพ 22:25-27:
“25 “ถ้าเจ้าให้ประชากรของเราคนใดที่เป็นคนจน และอยู่กับเจ้ายืมเงินไป อย่าถือว่าตนเป็นเจ้าหนี้ และอย่าคิดดอกเบี้ยจากเขา 26 ถ้าเจ้าได้รับเสื้อคลุมของเพื่อนบ้านไว้เป็นของประกัน จงคืนของนั้นให้เขาก่อนตะวันตกดิน 27 เพราะเขาอาจมีเสื้อคลุมตัวนั้นตัวเดียว เป็นเครื่องปกคลุมร่างกาย มิฉะนั้นเวลานอนเขาจะเอาอะไรห่มเล่า เมื่อเขาทูลร้องทุกข์ต่อเรา เราจะสดับฟังเพราะเราเป็นผู้มีเมตตากรุณา” (อพยพ 22:25-27)
ตอนที่สองอยู่ในเฉลยธรรมบัญญัติ 24:10-13:
“10 เมื่อท่านทั้งหลายให้พี่น้องขอยืมสิ่งใด อย่าเข้าไปในเรือนของเขาและเอาสิ่งที่เขาใช้เป็นประกัน 11 ท่านจงยืนอยู่ภายนอก และคนที่ยืมนั้นจะนำของประกันออกมาให้ท่านเอง 12 ถ้าเขาเป็นคนยากจน อย่าเอาของประกันนั้นเก็บไว้จนข้ามคืน 13 เมื่อดวงอาทิตย์ตกท่านจงเอาของนั้นมาคืนให้เขา เพื่อเขาจะมีของคลุมตัวเมื่อเวลานอน และอวยพรแก่ท่าน นี่จะเป็นความชอบธรรมแก่ท่าน เฉพาะพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่าน” (เฉลยธรรมบัญญัติ 24:10-13)
ภายใต้ธรรมบัญญัติเรื่องการขอยืม คนยากจนที่ยืมเงินสามารถนำเสื้อผ้ามาค้ำประกันเพื่อให้แน่ใจว่าจะจ่ายหนี้ คืน เป็นเรื่องปกติในยุคนั้นที่ผู้คนจะสวมเสื้อคลุมบางๆตัวใน และมีเสื้อคลุมหนาตัวนอกเมื่ออากาศหนาว แล้วทำไมถึงนำเสื้อพวกนี้มาเป็นของค้ำประกัน? เพราะถ้าผู้ขอยืมยากจน นั่นอาจเป็นสิ่งเดียวที่เขามี และถ้าตกกลางคืนอากาศเย็น เพราะในทะเลทรายบางช่วงเวลาอากาศจะเย็นลงตอนกลางคืน ดังนั้นในพระคัมภีร์เดิมจึงให้มีการคืนเสื้อคลุมให้กับลูกหนี้ที่ยากจน ตอนกลางคืนทุกคืน สมมุติว่าคนจนขอยืมไปเป็นเวลา 30 วัน (เวลายืมเงินในสมัยนั้นสั้นกว่าสมัยนี้) จะไม่มีการคิดดอกเบี้ย และของที่ยึดไว้ เสื้อคลุมจะต้องถูกเปลี่ยนมือระหว่างผู้ยืมและผู้ให้ยืมทุกวัน วันละสองครั้งเป็นเวลา 30 วัน ผู้ให้ยืมไม่มีสิทธิเข้าไปในบ้านของผู้ยืม และต้องคืนเสื้อคลุมให้ทุกคืน ผู้ยืมต้องนำเสื้อคลุมไปคืนให้ผู้ให้ยืมทุกเช้าจนกว่าจะใช้หนี้ครบ
แต่ถ้าฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดละเมิดข้อตกลง? ถ้าผู้ให้ยืมมาหาที่หน้าบ้าน มาขอเสื้อคลุมจากผู้ยืมแล้วถูกปฏิเสธ? ถ้าคนยากจนนั้นรู้สึกว่าได้ใช้หนี้คืนครบถ้วนแล้ว ไม่จำเป็นต้องให้เสื้อคลุมไปเป็นประกันอีก กฎหมายและระบอบศาลต้องเข้ามามีบทบาท พวกฟาริสีได้ทำรายละเอียดกฎเกณฑ์สำหรับใช้ในศาลเพื่อเป็นเครื่องมือจัดการ กับปัญหา
แต่พระเยซู กลับตรัสถึงเรื่องนี้ในอีกรูปแบบ “ถ้าผู้ใดอยากจะฟ้องศาล เพื่อจะปรับเอาเสื้อของท่านไป ก็จงให้เสื้อคลุมแก่เขาเสียด้วย” พระองค์ ไม่ได้บอกว่าให้ฟ้องร้องเอาคืน ไม่ได้บอกว่าไปให้ศาลตัดสินพิสูจน์ว่าคุณไม่ผิด พระองค์ไม่ได้แม้จะตรัสว่า จะผิดจะถูกก็ให้ๆเสื้อคลุมเขาไป ถึงแม้ในเฉลยธรรมบัญญัติจะบอกว่าให้คืนไปตามที่ธรรมบัญญัติระบุไว้ แค่นั้นพอ แต่พระเยซูตรัสว่า ให้เขาไปทั้งเสื้อตัวนอกและตัวใน … น่าทึ่งนะครับ
ในมุมมองของผม พระเยซูไม่เพียงแต่ตั้งมาตรฐานความชอบธรรมที่ต่างจากของพวกธรรมาจารย์และฟา ริสี แต่พระองค์ทรงให้มาตรฐานที่เกินกว่าที่กำหนดไว้ในธรรมบัญญัติโมเสส พระองค์ไม่ได้ขัดแย้ง แต่ก็ไม่เหมือน อย่างที่นักเขียนท่านหนึ่งเขียนไว้ คำสอนของพระเยซูลงลึกไปกว่าช่องทางธรรมดา
ตัวอย่างที่ 3: ถ้าผู้ใดจะเกณฑ์ท่านให้เดินทางไปหนึ่งกิโลเมตร ประวัติศาสตร์เบื้องหลังของเรื่องนี้คือ ในกฎหมายของโรมัน ทหารโรมันสามารถใช้คนในประเทศที่เป็นเมืองขึ้นให้แบกห่อของ หรือของหนักเดินไปเป็นระยะทางหนึ่งกิโลเมตร เป็นข้อบังคับทีไม่มีใครชอบ เกลียดด้วยซ้ำ ถ้าทำก็ทำอย่างชิงชังรังเกียจ พวกธรรมจารย์และฟาริสีเกลียดกฎเกณฑ์นี้มาก เพราะเป็นอำนาจมาจากผู้ครอบครอง มีตัวอย่างจากในพระคัมภีร์ใหม่ในมัทธิว 27:32 เรื่องการแบกของซึ่งซีโมนชาวไซรีนถูกบังคับให้ทำ “ครั้นออกไปแล้วได้พบชาวไซรีนคนหนึ่งชื่อซีโมน จึงเกณฑ์ให้แบกกางเขนของพระองค์ไป”
ในสมัยนั้นชาวยิวหลายคนเกลียดการปกครองของโรมันมาก ในปี ค.ศ. 66/67 พวกเขาลุกขึ้นมาต่อต้านอย่างรุนแรง แต่ก็ถูกเอาคืนอย่างสะบักสะบอมจนถึงชีวิต พระวิหารถูกทำลาย พวกเขาอยากได้พระเมสซิยาห์ในแบบของยูดาส แมคคาบีส์ ที่จะมาโค่นอำนาจโรมันลง ตั้งอิสราเอลขึ้นเป็นเอกราชอีกครั้ง นำการฟืนฟู ความหวังและกำลังใจคืนกลับประเทศ สิ่งนี้คงทำให้คำสอนของพระเยซูเรื่องข้อบังคับของโรมันยิ่งแปลกประหลาดและ เสียดแทงใจผู้ฟังไม่ใช่น้อย
สมมุติว่าทหารโรมันมาเจอคุณแล้วสั่งว่าแบกกล่องนี้ให้ฉันสักหนึ่งไมล์ คุณจะทำอย่างไร?
ถ้าผมจะถามขึ้นมาว่า “ทหารโรมันจะตอบสนองอย่างไรเมื่อได้เห็นการกระทำที่เป็นคำพยานทรงพลังจากสาวกของพระเยซู?”
ตัวอย่างที่ 4: ถ้าเขาจะขอสิ่งใดจากท่าน พระวจนะในพระคัมภีร์เดิม เฉลยธรรมบัญญัติ 15:7-10 เป็นที่มาเบื้องหลังคำสอนของพระเยซู :
7 “ถ้าในท่ามกลางท่านทั้งหลายมีคนจนสักคนหนึ่งเป็น พี่น้องของท่านอยู่ในเมืองใดๆ ในแผ่นดินซึ่งพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านประทานแก่ท่าน ท่านอย่ามีใจแข็ง หดมือของท่านไว้เสียต่อหน้าพี่น้องของ ท่านที่ยากจนนั้น 8 แต่ท่านทั้งหลายจงยื่นมือของท่านให้เขา และให้เขายืมข้าวของพอแก่ความต้องการของเขา ไม่ว่าเป็นข้าวของสิ่งใดๆ …10 ท่านจงให้เขาด้วยเต็มใจ และเมื่อให้เขาแล้วอย่ามีจิตคิดเสียดาย ในกรณีนี้พระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านจะทรงอำนวยพระพรแก่ท่าน ในบรรดากิจการทั้งสิ้นของท่านไม่ว่าท่านจะกระทำสิ่งใด (เฉลยธรรมบัญญัติ 15:7-10)
ในพระคัมภีร์เดิม มีคำสอนเกี่ยวกับการยืมและการให้แก่ผู้ที่มีความจำเป็น พวกธรรมาจารย์และฟาริสีก็ทำด้วย แต่ส่วนใหญ่แล้วเต็มไปด้วยระเบียบกฎเกณฑ์ที่ต้องมีการใช้คืนให้ได้ แต่สำหรับคำสอนของพระเยซูในเรื่องนี้ตามที่ลูกาบันทึกให้ข้อมูลเพิ่มเติม
“34 ถ้าท่านทั้งหลายให้ยืมเฉพาะแต่ผู้ที่ท่านหวังจะได้คืนจากเขาอีก จะทรงนับว่าเป็นคุณอะไรแก่ท่าน ถึงแม้คนบาปก็ยังให้คนบาปยืม โดยหวังว่าจะได้รับคืนจากเขาเท่ากัน 35 แต่จงรักศัตรูของท่านทั้งหลาย และทำการดีต่อเขา จงให้เขายืมโดยไม่หวังที่จะได้คืนอีก บำเหน็จของ ท่านทั้งหลายจึงจะมีบริบูรณ์ และท่านทั้งหลายจะเป็นบุตรของพระเจ้าสูงสุด เพราะว่าพระองค์ยังทรงโปรดแก่คนอกตัญญูและคนชั่ว” (ลูกา 6:34-35)
กุญแจสำคัญของวลีนี้คือ “ไม่หวังที่จะได้คืน” พูดอีกแบบคือ ให้ยืมแก่ผู้ที่มีความจำเป็น แต่อย่าคาดหวังจะได้รับเงินคืน ถ้าผู้นั้นไม่สามารถหรือไม่ยอมจ่ายคืน ให้คิดเสียว่าเป็นของขวัญให้เขา คุณว่าบริษัทไฟแนนซ์จะจ้างพระเยซูเข้าทำงานมั้ยครับ?
แล้วเราควรจะทำอย่างไร? ยอมถังแตกเพราะทำตามที่ผู้อื่นขอ? คำแนะนำเดียวที่ผมให้ได้คือคำสอนนี้มีไว้สำหรับพี่น้องที่มีความจำเป็น
สมมุติถ้าเรารู้ว่าบางคนในคริสตจักรตกงาน แล้วมาขอยืมเงิน เราจะทำอย่างไร?
แต่อาจมีคนพูดว่า “ยังไม่เคยถูกใครตบหน้าด้วยหลังมือ มาฟ้องเอาเสื้อคลุม บังคับให้แบกของไปหนึ่งกิโลเมตร หรือเดือดร้อนจนต้องมาขอยืมเงิน” แต่ประเด็นคือนี่เป็นตัวอย่างของสถานการณ์ที่ทำให้ขุ่นเคืองใจ คุณต้องนึกถึงสถานการณ์ที่ทำให้คุณรำคาญหรือขุ่นเคืองใจ แล้วนำหลักการนี้มาใช้ ไม่เพียงแต่ไม่เอาคืน แต่ทำให้มากกว่านั้นโดยเป็นพระพรแก่ผู้ที่ทำให้คุณขุ่นเคืองใจ
ขอยกตัวอย่างที่ทันสมัยกว่านี้ เป็นเรื่องเชิงลบ วันหนึ่งเมื่อหลายปีที่แล้ว เพื่อนร่วมห้องและผมขับรถไปวอชิงตัน ดีซี กัน ออกจากที่ทำงานขับไปบนทางหลวงสี่เลนช่วงบ่ายที่รถคับคั่ง เพื่อนเป็นคนขับ เราใช้รถฟอร์ด ทันเดอร์เบิร์ดคันใหญ่สมัยปี 1970 การจราจรค่อนข้างแย่ แต่ก็ไปได้เรื่อยๆประมาน 20-30 ไมล์ต่อชั่วโมง จู่ๆก็มีรถซิ่งมาข้างๆแล้วเบียดเข้ามาตัดหน้าเรา เพื่อนผมเหยียบเบรกแทบไม่ทัน ดีที่เข็มขัดดึงเราไว้ไม่ให้หน้ากระแทก เราปลอดภัย รถก็ไม่ได้ชนใคร พอหายตกใจ ผมมองไปที่เพื่อน เห็นใบหน้าเขาเริ่มคุ้มคลั่ง ก่อนจะรู้ตัวเขากระแทกคันเร่งพุ่งไปข้างหน้า ตามรถคันนั้นไป และเริ่มมีการขับไล่กันไปมาบนถนน ไม่กี่นาทีจากนั้น เพื่อนผมแซงขึ้นไปแล้วหักรถเข้าไปตัดหน้า ผมต้องบอกให้เขาหยุด กลัวว่าจะเกิดอุบัติเหตุ แล้วเราจะเจ็บตัว
เมื่อเราต้องเผชิญสถานการณ์แบบนี้ เมื่อเราถูกดูหมิ่น ทำให้หัวเสีย เรามีสองตัวเลือก: ทำให้สถานการณ์รุนแรงขึ้นไป หรือเราลดทอนความขัดแย้งลงมา เราอาจเป็น “ผู้หว่านการวิวาท” หรือ “ผู้สร้างสันติ” พระเยซูตรัสในคำเทศนาบนภูเขาว่า “บุคคลผู้ใดสร้างสันติ ผู้นั้นเป็นสุข เพราะว่าพระเจ้าจะทรงเรียกเขาว่าเป็นบุตร” (มัทธิว 5:9) เราจะเป็นผู้สร้างสันติเมื่อเราลดทอนความขัดแย้งลงมา และขยายขอบเขตแห่งพระพรออกไป
เมื่อเราหันแก้มอีกข้างให้ เราก็เป็นผู้สร้างสันติ
เมื่อเราทำดีเกินกว่าที่บัญญัติไว้ เราก็เป็นผู้สร้างสันติ
เมื่อเราเดินเพิ่มให้อีกหนึ่งกิโล เราก็เป็นผู้สร้างสันติ
เมื่อเราให้แก่พี่น้องที่เดือดร้อน เราก็เป็นผู้สร้างสันติ
สำหรับผมและพวกเรา ความยากในการนำคำสอนของพระเยซูมาใช้คือการกำหนดขอบเขตความพอเหมาะ มีอีกหลายสถานการณ์ที่สามารถนำหลักการนี้ไปใช้ เพียงแต่เราไม่อยากทำ หรือทำเฉพาะที่สะดวกกายสบายใจ เราควรนำหลักการนี้ไปใช้ในคริสตจักรหรือไม่? เปโตรนำคำสอนของพระเยซูมาใช้ในความสัมพันธ์ระหว่างพี่น้องในพระคริสต์ ท่านกล่าวว่า :
8 ในที่สุดนี้ ท่านทั้งหลายจงเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน เห็นอกเห็นใจกัน รักกันฉันพี่น้อง มีจิตใจอ่อนโยนและอ่อนน้อม 9 อย่าทำการร้ายตอบแทนการร้าย อย่าด่าตอบการด่า แต่ตรงกันข้ามจงอวยพรแก่เขา ด้วยว่าพระองค์ได้ทรงเรียกให้ท่านกระทำเช่นนั้น เพื่อท่านจะได้รับพระพร (1เปโตร 3:8-9)
ขอแตะเข้าไปในพื้นที่หนึ่งที่ผมรู้สึกว่าไม่ค่อยมีการนำไปใช้เท่าไร ในประวัติศาสตร์ และในบางคริสตจักรสมัยนี้ คำสอนนี้ถูกนำไปใช้เพื่อโต้แย้งเรื่องความสงบสุขของบ้านเมืองเมื่อเกี่ยวกับ สงคราม หรือบทลงโทษที่รุนแรง ทำให้รู้สึกว่าเราควรมองไปที่ผู้ฟังของพระเยซูในตอนนั้น พระองค์ไม่ได้ตรัสกับผู้ปกครองโรมัน หรือแม้แต่เจ้าหน้าที่ฝ่ายกฎหมายชาวยิว ดูมัทธิว 5:1 เมื่อพระเยซูประทับแล้ว “เหล่าสาวก” ของพระองค์มาเฝ้าพระองค์ เป็นคำสอนว่าสาวกของพระองค์ควรทำอย่างไรเมื่อต้องเผชิญกับสถานการณ์ต่างๆ เหล่านี้เป็นส่วนตัว เป็นยิ่งกว่าการกระทำที่พลิกกลับด้าน เพื่อละลายความขัดแย้ง นอกจากนั้นยังเป็นการนำพระพรไปสู่คู่กรณีด้วย
นี่เป็นคำสอนที่ยากเอาการของพระเยซูหรือ? ใช่ครับ ทำได้ยากมาก แต่สำหรับสาวกของพระองค์ ไม่เกินขอบเขตความสามารถหรอกครับ
ผมอยากจะจบบทเรียนนี้โดยสะท้อนให้เห็นความจริงว่า พระเยซูทรงดำเนินชีวิตตามที่พระองค์สอน ซึ่งเราเห็นได้เด่นชัด ไม่ว่าเมื่อถูกจับกุม ถูกไต่สวน หรือแม้กระทั่งถูกนำไปตรึงกางเขน
เมื่อถูกจับกุม ยูดาส หนึ่งในสาวกสิบสองคน ได้เข้าไปหาพระเยซูพร้อมกับทหารโรมัน พระเยซูไม่ได้ตรัสว่า “แก ไอ้คนสกปรก ขี้โกง ทรยศหักหลัง” พระองค์กลับตรัสว่า “สหายเอ๋ย มาที่นี่ทำไม?” เปโตรก็พร้อมเข้าไปขัดขวาง ชักดาบออกมาฟันหูทาสของมหาปุโรหิต แต่พระเยซูทรงปรามไว้ ตรัสว่าบรรดาผู้ถือดาบจะต้องพินาศเพราะดาบ และทรงต่อหูคืนให้ทาสผู้นั้น พระเยซูไม่ได้ต่อสู้คนชั่ว (มัทธิว 26:47-57)
ก่อนการไต่สวน พวกทหารเอามือมาตบพระองค์ เยาะเย้ยว่า “จงเผยให้เรารู้ว่าใครตบเจ้า” (มัทธิว 26:28) ตามที่อิสยาห์ทำนายถึงพระองค์ “ข้าพเจ้า หันหลังให้แก่ผู้ที่โบยตีข้าพเจ้า และหันแก้มให้แก่คนที่ดึงเคราข้าพเจ้าออก ข้าพเจ้าไม่หนีหน้า จากความอายแก่การถ่มน้ำลายรด” (อิสยาห์ 50:6) พระเยซูทรงหันแก้มให้ผู้ที่ตบพระองค์
ที่ไม้กางเขน พระเยซูทรงยอมให้พวกทหารมาเอาเสื้อทั้งสองของพระองค์ไป ยอห์นเขียนว่า :
23 ครั้นพวกทหารตรึงพระเยซูไว้ที่กางเขนแล้ว เขาทั้งหลายก็เอาฉลองพระองค์มาแบ่งออกเป็นสี่ส่วนให้ทหารคนละส่วน เว้นแต่ฉลองพระองค์ชั้นใน ฉลองพระองค์ชั้นในนั้นไม่มีตะเข็บ ทอตั้งแต่บนตลอดล่าง 24 เหตุฉะนั้นเขาจึงปรึกษากันว่า “เราอย่าฉีกแบ่งกันเลย แต่ให้เราจับฉลากกันจะได้รู้ว่าใครจะได้” ทั้งนี้เพื่อให้เป็นจริงตามข้อพระธรรมที่ว่า “เสื้อผ้าของข้าพระองค์ เขาก็แบ่งกัน ส่วนเสื้อของข้าพระองค์ เขาจับฉลากกัน” (ยอห์น 19:23-24)
พระองค์ทรงยอมให้เสื้อเขาไปทั้งสองตัว
และท้ายที่สุด ที่บนกางเขน ผู้คนต่างก็ร้องตะโกนเหยียดหยามพระเยซู ถ้าเป็นบุตรของพระเจ้า “ถ้าเขาเป็นพระคริสต์ของพระเจ้าที่ทรงเลือกไว้ ให้เขาช่วยตัวเองเถิด” แต่แทนที่จะตอบโต้ พระเยซูกลับทูลขอพระเจ้าว่า “โอพระบิดาเจ้าข้า ขอโปรดอภัยโทษเขาเพราะว่า เขาไม่รู้ว่า เขาทำอะไร” (ลูกา 23:34)
1 185ลิขสิทธิ์ ของ Copyright 2003 by Community Bible Chapel, 418 E. Main Street, Richardson, TX 75081 ปรับจากต้นฉบับเดิมบทเรียนที่ 23 ของบทเรียนต่อเนื่องพระกิตติคุณมัทธิว จัดทำโดย เจมส์ เอฟ ดาวิส 3 สิงหาคม 2003
2 186 รวบรวมจากรายงานข่าวที่เกี่ยข้อง 10 มิถุนายน 2003
3 187เรื่องเล่าจากการประชุมภาคพื้นตะวันตกเฉียงใต้ของสมาคม Evangelical Theological Society in Dallas, Texas, มีนาคม 2002
4 188 พระวจนะภาษาอังกฤษส่วนใหญ่นำมาจากฉบับแปล The Holy Bible, New King James Version. Copyright 1979, 1980, 1982 by
มัทธิวบทที่ 5 – 7 บันทึกเรื่องคำเทศนาของพระเยซูที่เรารู้จักกันดี เป็นเรื่องเกี่ยวกับความชอบธรรมที่มาจากจิตใจภายใน ศาสนาเป็นรูปแบบของการแสดงออกภายนอกและปฏิบัติตามบทบัญญัติ แต่พระเยซูทรงท้าทายพวกเราให้ประเมินตนเองตามมาตรฐานจากภายใน ซึ่งต่างจากสติปัญญาที่แพร่หลายในยุคนั้น “ครูผู้สอนธรรมบัญญัติ” พยายามตีวงล้อมกรอบธรรมบัญญัติ เข้มงวดกับคำสอนที่เป็นคำพูด ทำให้เรื่องเช่น “การเดินทางในวันสะบาโต” กลายเป็นข้อกำหนดว่าควรเดินได้ไกลแค่ไหนโดยไม่ละเมิดพระบัญญัติห้ามทำงานใน วันสะบาโต อาจเป็นได้ที่บางคนเดินได้ไกลกว่านั้นโดยไม่ละเมิดพระบัญญัติ แต่ถ้าทำตามมาตรฐานที่บัญญัติเพิ่ม เราก็แน่ใจว่าปลอดภัย ไม่มีทางละเมิดพระบัญญัติตัวจริงได้ ดังนั้นพระบัญญัติจึงถูกล้อมกรอบไว้ด้วยการเชื่อฟังจากมาตรฐานที่เข้มงวด ยิ่งกว่า
คำเทศนาบนภูเขาของพระเยซู ก็ล้อมกรอบธรรมบัญญัติไว้ แต่ทำโดยมองเข้าไปในจิตใจ เช่นจากคำตรัสของพระองค์
21 “ท่านทั้งหลายได้ยินคำซึ่งกล่าวไว้แก่คนโบราณว่า อย่าฆ่าคน ถ้าผู้ใดฆ่าคน ผู้นั้นจะต้องถูกพิพากษาลงโทษ 22 เราบอกท่านทั้งหลายว่า ผู้ใดโกรธพี่น้องของตน ผู้นั้นจะต้องถูกพิพากษาลงโทษ ถ้าผู้ใดจะพูดกับพี่น้อง ‘อ้ายโง่’ ผู้นั้นต้องถูกนำไปที่ศาลสูงให้พิพากษาลงโทษและผู้ใดจะว่า ‘อ้ายบ้า’ ผู้นั้นจะมีโทษถึงไฟนรก” (มัทธิว 5:21322)2
ฆาตกรรมเป็นบาปภายนอก ชัดเจนเห็นได้ จึงง่ายที่ฆาตกรจะถูกกล่าวโทษ แต่พระเยซูบอกให้เราระวัง เราอาจโกรธพลุ่งพล่านใส่คนอื่น ความโกรธของเราอาจเห็นได้ หรือมองไม่เห็น ไม่สำคัญ – เรามีใจอยากฆ่าคนอยู่ข้างในแล้ว ต้องรีบถอนรากมันขึ้นมาโดยพระคุณของพระเจ้าทันที พระเยซูจึงสอนเราถึงการใช้ชีวิต และตัดสินด้วยทัศนคติจากจิตใจภายใน ไม่มีอะไรที่ทำให้เราตัดสินผู้อื่นได้ เราแค่รับตามคำพูด และการทรงนำของพระวิญญาณบริสุทธิ์ แต่ต้องกลับมาตัดสินชีวิตเราและเปลี่ยนตัวเราเอง3
ดังนั้นคำสั่งของพระเยซูเรื่องการอธิษฐานจึงมีบริบทที่กว้าง ครอบคลุมคำเทศนาบนภูเขา เกี่ยวข้องกับสิ่งที่อยู่ภายในจิตใจของเราทั้งดีและชั่ว และครอบคลุมไปถึงข้อหนึ่งของมัทธิว 6:
“จงระวัง อย่ากระทำศาสนกิจเพื่ออวดคนอื่น ถ้าทำอย่างนั้นท่านจะไม่ได้รับบำเหน็จจากพระบิดาของท่านผู้ทรงสถิตในสวรรค์” (มัทธิว 6:1)
ถ้อยคำนี้ พระเยซูตรัสเรื่องการทำศาสนกิจแบบภายนอกกับภายใน การทำทาน อธิษฐาน และอดอาหารส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับข้อปฏิบัติของศาสนา และในตอนนี้ พระเยซูตรัสอีกครั้งถึงจิตใจภายในกับการแสดงออกภายนอก มัทธิว 6:2-4 ตรัสถึงการทำทาน มัทธิว 6:5-15 ตรัสถึงการอธิษฐาน และ 6:16-18 ตรัสถึงการอดอาหาร ทั้งสามเรื่องคือเรื่องเดียวกัน ถ้าคุณมีแต่รูปแบบการแสดงออกภายนอก มุ่งความสนใจมาที่ตัวคุณ คำสรรเสริญที่ได้รับจากผู้คน – จะจริงหรือไม่จริง – คุณก็ได้รับส่วนดีนั้นไปแล้ว
แน่นอน ชีวิตฝ่ายวิญญาณที่มองเห็นได้ในตัวเองไม่ได้เลวร้ายเสมอไป อ เปาโลเขียนถึงชาวโครินธ์กล่าวว่า :
14 ข้าพเจ้ามิได้เขียนข้อความเหล่านี้เพื่อให้ท่านละอายใจ แต่เขียนเพื่อเตือนสติท่าน ในฐานะที่ท่านเป็นลูกที่รักของข้าพเจ้า 15 เพราะในพระคริสต์ถึงแม้ท่านมีผู้ควบคุมสักหมื่นคน แต่ท่านก็มีบิดาแต่คนเดียว เพราะว่าในพระเยซูคริสต์ ข้าพเจ้าได้ให้กำเนิดแก่ท่านโดยข่าวประเสริฐ 16 เหตุฉะนั้นข้าพเจ้าจึงขอให้ท่านทำตามอย่างข้าพเจ้า (1โครินธ์ 4:14-16)
อ เปาโลกล่าวว่า “ขอให้ท่านทำตามอย่างข้าพเจ้า – ท่านเห็นข้าพเจ้าทำอย่างไรก็จงทำอย่างนั้น” คนของพระเจ้าส่วนใหญ่เป็นต้นแบบการดำเนินชีวิตในแบบของพระเจ้าแก่ผู้เชื่อ ใหม่ ผมเองได้รับประโยชน์มากว่าสามสิบปีจากคนที่มีอายุความเชื่อเป็นสิบๆปี และเดี๋ยวนี้ผมเองอยากเป็นเช่นนั้นให้กับผู้เชื่อรุ่นใหม่ที่อายุน้อยกว่า ข้อแตกต่างสำหรับ อ เปาโลที่มีต่อชาวโครินธ์ คือท่านไม่ได้ให้ตัวตนของท่านเป็นที่สนใจ ท่านเป็นผู้รับใช้ของพระเยซูคริสต์ ใช้เวลากับคริสตจักรและสมาชิก บุคคลเช่นนี้มีค่าควรแก่การเลียนแบบ
แตกต่างจากคนที่ให้ทานเพื่อให้คนตระหนักถึงความใจบุญของตน คนที่อธิษฐานเสียงดัง หรืออดอาหารอย่างทรมานเพื่อให้ผู้อื่นชื่นชม มีแต่รูปแบบภายนอกเท่านั้น พวกเขาสับสนระหว่างการยอมรับของผู้คน กับการยอมรับของพระบิดา
บทเรียนนี้ เราจะมาดูคำสอนของพระเยซูเรื่องการอธิษฐาน ในแบบที่พระองค์ตรัสว่าเป็นรูปแบบภายนอก และคำสั่งเกี่ยวกับความจริงที่อยู่ภายใน
คำสั่งของพระเยซูเรื่องการอธิษฐานในมัทธิวเริ่มดังนี้ :
“5 เมื่อท่านทั้งหลายอธิษฐาน อย่าเป็นเหมือนคนหน้าซื่อใจคด เพราะเขาชอบยืนอธิษฐานในธรรมศาลาและตามถนน เพื่อจะให้คนทั้งปวงได้เห็น เราบอกความจริงแก่ท่านว่าเขาได้รับบำเหน็จของเขาแล้ว 6 ฝ่ายท่านเมื่ออธิษฐานจงเข้าในห้องชั้นใน และเมื่อปิดประตูแล้ว จงอธิษฐานต่อพระบิดาของท่านผู้ทรงสถิตในที่ลี้ลับ และพระบิดาของท่านผู้ทรงเห็นในที่ลี้ลับจะทรงโปรดประทานบำเหน็จแก่ท่าน” (มัทธิว 6:5-6)
พระเยซูทรงเริ่มต้นด้วยพื้นฐานการอธิษฐานสองแบบ แบบแรกเป็น “อธิษฐานโชว์” ผู้อธิษฐานเรียกร้องความสนใจมาที่ตนเอง เพื่อให้ดูว่าเป็นคนเคร่งครัดศรัทธา ศาสนาสร้างสถานะให้พวกเขา และอธิษฐานในที่สาธารณะทำให้เขายืนอยู่ในสถานะนั้นได้ การอธิษฐานแบบที่สองคือ “อธิษฐานในความสัมพันธ์” เป็นการอธิษฐานแบบแสวงหาการใช้เวลากับพระบิดา ในการสอนพระเยซูทรงลากเส้นแบ่งให้เห็นระหว่างสองแบบ แต่ต้องยอมรับว่าคนส่วนใหญ่ตกอยู่ระหว่างสองขั้วนี้ และที่สำคัญต้องเข้าใจว่าไม่มีใครสามารถอ่านจิตใจและแรงจูงใจของผู้อื่นได้ ที่เห็นว่าเหมือนโอ้อวด อาจสะท้อนถึงการถูกอบรมมา หรือแบบเงียบๆเบาๆอาจมาจากคนที่ไม่เคยมีชีวิตอธิษฐานเป็นส่วนตัว คำสั่งของพระเยซูมีเพื่อให้เรารู้และนำไปใช้เป็นส่วนตัว และเพื่อให้พระวิญญาณบริสุทธิ์นำ และฝึกฝนจิตใจเราในเรื่องนี้
แต่ว่ายังมีรูปแบบบางอย่างที่เราควรใส่ใจ
พระเยซูจึงแนะนำให้เราเข้าไปในห้องและปิดประตู นี่เป็นท่าที “ปกติ” ตรงข้ามกับคนที่ยืนอยู่หัวมุมถนนแล้วอธิษฐาน ถ้าพระองค์ตรัสว่าจง “อธิษฐานเป็นการส่วนตัว” หรือ “อธิษฐานตามลำพัง” คงจะมีแนวคิดสุดขั้วหลากหลายตามมา – ต้องเป็นส่วนตัวขนาดไหน? ต้องเป็นฤาษีหรือนักพรตเพื่อจะอธิษฐานเป็นส่วนตัวหรือ? พระเยซูทรงหมายความว่าต้องมีสถานที่หรือหนทางที่จะอธิษฐานระหว่างคุณกับพระ บิดาเท่านั้น อาจเข้าไปในบางที่ เพื่อสามารถบอกกับพระเจ้าได้ว่า “เชื่อว่าพระองค์ทรงดำรงพระชนม์อยู่ และพระองค์ทรงเป็นผู้ประทานบำเหน็จให้แก่ทุกคนที่แสวงหาพระองค์” (ฮีบรู 11:6) :
อาจอยู่ในห้องของเรา หรือท่ามกลางผู้คนแต่ยังสามารถอธิษฐานเป็นส่วนตัวได้ ตามที่ อ เปาโลเขียน “จงอธิษฐานอย่างสม่ำเสมอ”
ชีวิตส่วนตัวเป็นสิ่งที่วัดได้ว่าตัวจริงเราเป็นอย่างไร บ่อยครั้งผมเห็นครอบครัวที่ดูดีในท่ามกลางผู้คน แต่พออยู่ตามลำพังกลับแตกแยกกัน ทำให้เห็นถึงชีวิตหลังบานประตูบ้านว่าเป็นอย่างไร แตกต่างจากชีวิตที่เห็นภายนอก ถ้าเราเชื่อว่าพระเจ้าทรงพระชนม์อยู่ และจะประทานบำเหน็จแก่ผู้แสวงหาพระองค์ มันจะส่งผลต่อชีวิตส่วนตัวที่สุดของเรา เพราะเรารู้ว่าพระองค์อยู่ด้วย ที่จริงทำให้รู้ว่าเราไม่มีชีวิตที่เป็นส่วนตัว แต่ถ้ารู้แล้วทำให้คุณกลัว รู้สึกผิด และกังวลใจ จำไว้พระเยซูตรัสว่า “…พระบิดาของท่านผู้ทรงเห็นในที่ลี้ลับจะทรงโปรดประทานบำเหน็จแก่ท่าน” อธิษฐานเพื่อเป็นการแสดง มีเพียงบำเหน็จเดียว คือคำยกย่องจากผู้คน แต่บำเหน็จของการอธิษฐานเพื่อความสัมพันธ์คือสามารถทำให้:
นับเป็นสิ่งที่ดีและคุ้มค่า
คำสั่งของพระเยซูเรื่องการอธิษฐานในมัทธิวตามด้วยคำเตือนว่า:
“7แต่เมื่อท่านอธิษฐานอย่าพูดพล่อยๆซ้ำ ซาก เหมือนคนต่างชาติกระทำเพราะเขาคิดว่าพูดมากหลายคำ พระจึงจะทรงโปรดฟัง 8 อย่าทำเหมือนเขาเลย เพราะว่าสิ่งไรซึ่งท่านต้องการ พระบิดาของท่านทรงทราบก่อนที่ท่านทูลขอแล้ว” (มัทธิว 6:7-8)
พระเยซูทรงให้เห็นคำอธิษฐานต่อพระบิดา เทียบกับคำอธิษฐานของคนต่างชาติ ทรงอธิบายว่าคำอธิษฐานของคนต่างชาตินั้นพูดพล่อยๆซ้ำซาก แปลว่าอะไร และเราจะนำสิ่งนี้มาพิจารณาในคำอธิษฐานของเราอย่างไร?
คำอธิษฐานของคนต่างชาติเกี่ยวข้องกับใช้พลังทางจิตโน้มน้าว บวกกับคำพูดลึกซึ้งแนวปรัชญาที่ไม่เกี่ยวกับคุณเป็นส่วนตัว
แน่นอน เราสามารถใช้พระวจนะของพระเจ้ามาใส่ไว้ในคำอธิษฐาน :
ในคำตอบ พระเยซูตรัสว่าพระบิดาทรงทราบว่าเราจำเป็นในเรื่องใดก่อนทูลขอเสียอีก เรากำลังอธิษฐานต่อพระบิดา แปลว่าเป็นความสัมพันธ์ของคนในครอบครัว เราเป็นส่วนหนึ่งในพระชนม์ของพระองค์ และพระองค์ทรงทราบอยู่ก่อนแล้วว่าเรามีความจำเป็นในเรื่องใด เราจึงสามารถเข้าเฝ้าด้วยใจโปร่งใส ด้วยใจยินดี ด้วยอารมณ์ขุ่นมัว โศกเศร้า หรือขาดสติ พระองค์ทรงเข้าใจทะลุปรุโปร่ง ไม่จำเป็นต้องใช้วิธีโน้มน้าวใดๆ
ถ้าพระบิดาของเราทรงทราบก่อนแล้วว่าเราต้องการสิ่งใด แล้วจะอธิษฐานทำไม? มีสองเหตุผล เหตุผลแรก เพราะบำเหน็จแห่งการอธิษฐานไปไกลเกินกว่าเพื่อตอบสนองความต้องการของเรา เหตุผลที่สอง ยังมีสิ่งอื่นๆที่เราอธิษฐานทูลขอ เช่นความต้องการของผู้อื่น และการขยายแผ่นดินของพระบิดา สิ่งเหล่านี้ไม่จำเป็นสำหรับเราส่วนตัว แต่ควรต้องบรรจุไว้ในคำอธิษฐาน
พระเยซูจึงสอนเราเกี่ยวกับสถานที่และท่าทีในการอธิษฐาน เราจำเป็นต้องอธิษฐานส่วนตัว และต้องอธิษฐานต่อผู้ที่เป็นพระบุคคลที่มีตัวตนจริงๆ ท่านผู้นี้สนใจในความต้องการของเราและในตัวเรา โดยไม่ต้องโน้มน้าวใดๆทั้งสิ้น
อะไรคือปัจจัยในการอธิษฐานที่ดี? เราควรอธิษฐานอย่างไร?
ในระหว่างการเทศนา พระเยซูทรงตั้งต้นแบบในการอธิษฐานให้เราด้วยถ้อยคำว่า:
“9 ท่านทั้งหลาย จงอธิษฐานตามอย่างนี้ว่า ข้าแต่พระบิดาแห่งข้าพระองค์ทั้งหลาย ผู้ทรงสถิตในสวรรค์ ขอให้พระนามของพระองค์เป็นที่เคารพสักการะ 10 ขอให้แผ่นดินของพระองค์มาตั้งอยู่ ขอให้เป็นไปตามพระทัยของพระองค์ ในสวรรค์เป็นอย่างไรก็ให้เป็นไปอย่างนั้นในแผ่นดินโลก” (มัทธิว 6:9-10)
พระเยซูทรงสอนให้เราอธิษฐานถึง “พระบิดาผู้ทรงสถิตในสวรรค์” เพื่อจะปรับทัศนคติในใจเราเมื่อเข้าสู่การอธิษฐาน ในพระคัมภีร์เดิมพอๆกับพระคัมภีร์ใหม่ เราเข้าใจว่าเราต้องอธิษฐานถึงพระเจ้า ผู้ซึ่งเป็นจอมเจ้านายและเป็นกษัตริย์เหนือกษัตริย์ เราเป็นหนี้ชีวิตพระองค์ เราต้องปรนนิบัติรับใช้ แต่พระเยซูบอกเราว่าเราสามารถเข้าไปเฝ้าพระองค์ได้และเรียกพระองค์ว่า “พระบิดา” เป็นสิ่งที่บ่งบอกถึงความสำคัญที่ไม่ธรรมดาในความสัมพันธ์ที่เกินกว่าเราจะ นึกได้ แต่พระเยซูทรงให้ความสำคัญในแง่มุมนี้ ตลอดทั้งคำเทศนา พระเยซูทรงเอ่ยถึงพระเจ้าในฐานะพระบิดาของเรา ความสัมพันธ์นี้เป็นแรงกระตุ้นเบื้องต้นให้เราดำเนินชีวิตอย่างที่ควรเป็น
พระเจ้าในฐานะพระบิดาเป็นความสัมพันธ์แบบสองทาง ในฐานะพระบิดา พระองค์ทรงรักเรา และเราถวายเกียรติแด่พระองค์ พระองค์ทรงปกป้อง และเราเข้าไปผูกพันในพระองค์ พระองค์ทรงจัดเตรียม เราขอบพระคุณ พระองค์สั่งสอน เราปฏิบัติตาม ทรงลงวินัยเพื่อให้เราเติบโต ทรงสัมผัสเรา และเราตอบสนอง ทรงสั่ง และเราเชื่อฟัง ส่วนใหญ่เรามักเน้นไปที่คำสั่ง / การเชื่อฟัง และลืมสิ่งดีต่างๆมากมายในการดำเนินไปกับผู้เป็นพระบิดาของเรา เมื่อเราเข้าเฝ้าด้วยการอธิษฐาน พระองค์ทรงเป็นทุกสิ่งเหล่านี้เพื่อเรา และเราจำเป็นต้องเป็นทุกสิ่งเหล่านี้เพื่อพระองค์ด้วย
พระเยซูทรงบอกเราให้อธิษฐานด้วยสรรพนามบุคคลที่หนึ่ง “ข้าแต่พระบิดาของข้าพระองค์…” การอธิษฐานแม้เป็นส่วนตัว คือเน้นไปที่การใช้เวลากับบุคคลคนหนึ่ง เราสามารถอธิษฐานในสิ่งที่เราต้องการ แน่นอนมันไม่ควรหยุดอยู่แค่นั้น เราต้องเป็นคนกลาง เป็นตัวแทน เราอธิษฐานว่า “โปรดประทาน…แก่ข้าพระองค์ทั้งหลาย” และเราทูลขอการจัดเตรียมจากพระบิดาสำหรับครอบครัว เพื่อนๆ และศัตรู เราอธิษฐานว่า “ขอทรงโปรดยกความผิดบาปของข้าพระองค์…” และเราแสวงหาการคืนดีกับพระบิดาและในท่ามกลางพวกเรา เราอธิษฐานว่า “ขออย่านำข้าพระองค์…” และ “ขอให้พ้นจาก…” เพราะเราต่างก็ต้องการการทรงนำ ชี้แนะ และการปกป้องจากพระองค์
เราต้องอธิษฐานให้พระนามของพระองค์ “เป็นที่เคารพสักการะ” และได้รับพระเกียรติ นี่เป็นทั้งคำทูลขอและเป็นทัศนคติ ในคำทูลขอ เรากำลังขอความรู้ความเข้าใจของพระบิดามาเติมเต็มบนโลกนี้ และให้โลกนี้ได้ตอบสนองด้วยใจสรรเสริญ เป็นโอกาสแสดงความเสียใจและเศร้าโศกต่อสิ่งต่างๆทั้งในชีวิตของเราและผู้ อื่น การไม่เคารพพระนามของพระเจ้า การเป็นคนหน้าซื่อใจคด ตัดสินมากกว่ามีเมตตา เมตตามากกว่าใช้คำสั่ง และการสั่งสอนสำหรับคนที่เกลียดชังพระเจ้า ฯลฯ เป็นเวลาที่เราตระหนักได้และทิ้งความหน้าซื่อใจคดไป ในเชิงทัศนคติ เราสามารถเริ่มอธิษฐานด้วยการนมัสการ สรรเสริญ และขอบพระคุณ เรานมัสการอย่างที่พระองค์ทรงเป็น เราสรรเสริญในพระราชกิจ และขอบพระคุณในการดูแลและจัดเตรียมของพระองค์
เราทูลขอให้แผ่นดินของพระบิดามาตั้งอยู่ อธิษฐานขอให้มีการประกาศข่าวประเสริฐอย่างแพร่หลาย และจัดตั้งระบอบการปกครองโดยพระบิดาลงในหัวใจของทั้งหญิงและชาย เราอธิษฐานเผื่อความเป็นอยู่ของคนที่ทุกข์ใจและถูกข่มเหง เผื่อการรักษาฝ่ายกาย ฝ่ายวิญญาณ การเปลี่ยนจิตใจ รื้อฟื้นความสัมพันธ์ที่แตกสลาย สิ่งต่างๆเหล่านี้จะเปลี่ยนไปเมื่อได้รับการยอมรับจากพระบิดาและในหนทางของ พระองค์ เรายังรอคอยการเสด็จกลับมาของพระเยซูคริสต์เพื่อมาปกครองและอยู่ท่ามกลางพวก เรา
เราจึงเริ่มคำอธิษฐานของเราโดยเน้นไปยังพระบุคคลที่เรากำลังอธิษฐานถึง ผู้ทรงเป็นทั้งพระบิดาและจอมกษัตริย์ นำใจของเราไปไว้ที่พระองค์ และขอทรงช่วยให้เราเป็นเหมือนพระองค์
สิ่งที่จำเป็นสำหรับเราในฐานะมนุษย์ อยู่ในส่วนต่อไปในต้นแบบการอธิษฐานของพระเยซู :
11 ขอทรงโปรดประทานอาหารประจำวันแก่ข้าพระองค์ทั้งหลายในกาลวันนี้ 12 และขอทรงโปรดยกบาปผิดของข้าพระองค์ เหมือนข้าพระองค์ยกโทษผู้ที่ทำผิดต่อข้าพระองค์นั้น (มัทธิว 6:11-12)
ความเข้าใจคำว่า “อาหารประจำวัน” หมายถึงอาหารที่ทาน พออิ่มในวันนั้น บางคนคิดว่านั่นคือสิ่งที่พระเจ้าต้องการให้เราทูลขอ ผมเชื่อว่าอาหารประจำวันน่าจะรวมถึงสิ่งอื่นๆที่จำเป็นในชีวิต น่าจะไกลเกินกว่าวัตถุสิ่งของ แต่เป็นสิ่งสำคัญที่จำเป็นสำหรับร่างกายและจิตใจของเรา:
แม้ไม่มีสิ่งใดในคำอธิษฐานของพระเยซูที่ทูลขอนอกเหนือจากความต้องการพื้นฐาน มีเหตุผลสองประการที่ทำให้นึกถึงคำทูลขอที่ไกลเกินกว่า ประการแรก อ เปาโลบอกให้เราอธิษฐานขอในทุกสิ่ง “อย่าทุกข์ร้อนในสิ่งใดๆเลย แต่จงทูลเรื่องความปรารถนาของท่านทุกอย่างต่อพระเจ้า ด้วยการอธิษฐาน การวิงวอน กับการขอบพระคุณ” (ฟีลิปปี 4:6) ประการที่สองอยู่ ในงานมงคลสมรสที่คานา พระเยซูทรงทำตามคำขอร้องของมารดา เปลี่ยนน้ำเป็นเหล้าองุ่น มากกว่าความต้องการของงานเลี้ยง พระเจ้าของเราทรงมีพระทัยกว้างขวาง เมื่อพระเยซูรวมทุกอย่างไว้ใน “อาหารประจำวัน” พระองค์ทรงหนุนใจให้เราขอบพระคุณ ทูลขอสิ่งใดก็ได้ ที่จำเป็นเพียงพอ และขอบพระคุณสำหรับทุกสิ่ง
สถานะจิตวิญญาณและร่างกายของเราขึ้นอยู่กับการอภัยทั้งสองฝั่ง ความรู้สึกผิดและขมขื่นใจจะกลืนกินเรา ทั้งสองเกี่ยวข้องกับปัญหาส่วนตัว และความเจ็บป่วยฝ่ายกาย เราสามารถนำทั้งสองเข้าสู่คำอธิษฐาน “ขอทรงโปรดยกบาปผิดของข้าพระองค์…” จัดการ กับความรู้สึกผิดในใจ ความผิดของเรา และเมื่อได้รับการอภัย เราต้องประเมินตนเองอย่างซื่อตรงในแบบที่เราเป็น จะนำมาซึ่งการชำระให้บริสุทธิ์ อย่างไรก็ตาม เพราะความขมขื่นร้ายแรง หรือร้ายแรงกว่าความรู้สึกผิดที่ไม่ได้รับการแก้ไข พระเยซูทรงสอนให้เรานำทั้งสองกรณีมาเชื่อมโยงเข้าด้วยกัน “ขอทรงโปรดยกบาปผิดของข้าพระองค์ เหมือนข้าพระองค์ยกโทษผู้ที่ทำผิดต่อข้าพระองค์นั้น” พระ เยซูทรงมีเรื่องที่จะสอนเราเพิ่มอีก ซึ่งจะนำกลับมาสอนตอนท้าย สำหรับตอนนี้ อยากบอกว่าเรายังทำได้ไม่ครบถ้วนและไม่สมดุล ถ้าจะทูลขอพระบิดาให้นำความรู้สึกผิดของเราออกไป เพื่อให้สามารถยืนอยู่ต่อเบื้องพระพักตร์พระองค์ได้อย่างสบายใจ แต่เมื่อยังมีบางคนที่เรากันเขาออกไปจากชีวิต เพราะเขาทำผิดต่อเรา เป็นการดีที่เราจะรับการอภัย และจะดียิ่งกว่าถ้าเราให้อภัยด้วย รวมถึงจิตใจของเรา ถ้าปลดความขุ่นเคืองออกไป ก็มีความมั่นใจเมื่ออธิษฐานขอการอภัยจากพระบิดา เป็นสิ่งยอดเยี่ยมที่สุด
ถ้าพระบิดาทรงตอบคำอธิษฐานของเราตามที่ทูลขอ เราก็จะมีสุขภาพที่ดีทั้งกายและวิญญาณ พร้อมที่จะรับใช้ในแผ่นดินของพระเจ้า
พระเยซูสรุปต้นแบบคำอธิษฐานของพระองค์ด้วยถ้อยคำว่า : “และขออย่านำข้าพระองค์เข้าไปในการทดลอง แต่ขอให้พ้นจากซึ่งชั่วร้าย” (มัทธิว 6:13)
พระเยซูหมายความอย่างไรเมื่อให้เราทูลขอ “…อย่านำข้าพระองค์เข้าไปในการทดลอง …”? หรือ เราต้องกลัวว่าพระบิดาจะปล่อยให้เราเผชิญการทดลอง เว้นเสียแต่เราอธิษฐาน? หรือจะทรงทดสอบว่าเราจะผ่านหรือไม่? ในจดหมายฝากของยากอบบอกเราว่า “13 เมื่อผู้ใดถูกล่อให้หลง อย่าให้ผู้นั้นพูดว่า “พระเจ้าทรงล่อข้าพเจ้าให้หลง” เพราะว่าความชั่วจะมาล่อพระเจ้าให้หลงไม่ได้ และพระองค์เองก็ไม่ทรงล่อผู้ใดให้หลงเลย 14 แต่ว่าทุกคนก็ถูกล่อให้หลง เมื่อกิเลสของตัวเองล่อและชักนำให้กระทำตาม” (ยากอบ 1:13-14) ผมคิดว่าส่วนใหญ่คงเห็นด้วยว่าเราต้องเข้าใจคำสอนของพระเยซูในมุมมองว่า เรามีแนวโน้มที่จะทำบาป
พระบิดาไม่ได้ล่อลวงให้เราทำบาป แต่ทรงนำเราไปยังจุดที่ต้องมีการทดสอบ และเมื่อมีการทดสอบ การทดลองจะเข้ามาเพื่อให้ล้มเลิกหรือสู้ต่อ ตัวอย่างโด่งดังเรื่องเปโตรที่ปฏิเสธพระเยซูทำให้เราถึงเห็นการล้มลง คืนก่อนหน้า เปโตรพูดอย่างมั่นใจว่าจะอยู่กับพระเยซูไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น แต่ไม่เกินสองสามชั่วโมง กลับปฏิเสธแข็งขันว่าไม่รู้จักพระเยซู เมื่อเราอธิษฐานขออย่านำเข้าไปในการทดลอง เรากำลังขอความช่วยเหลือจากพระบิดาเพื่อหลีกเลี่ยงสถานการณ์แบบนั้น ทูลขอบางประตูที่มีเรื่องเดือดร้อนอยู่ด้านหลังให้ปิดลง ขอจิตใจที่เข้มแข็งและมุ่งแต่สิ่งดี ทูลขอสติปัญญาเพื่อตระหนักได้ และหลีกเลี่ยงสถานการณ์ที่นำไปสู่ปัญหา
แม้ต้องรับผิดชอบด้านจริยะธรรมในการกระทำของเรา พูดได้ว่าแม้บาปแรกของมนุษยชาติไม่ได้ทำในที่ลี้ลับ งูร้ายในสวนเอเดนซึ่งก็คือพญามาร ล่อลวงเอวา และเธอพ่ายแพ้ พระเจ้าทรงบัญชาห้ามไม่ให้ชายและหญิงคู่แรกกินผลจากต้นไม้หนึ่งต้นกลางสวน เอเดน ซาตานโจมตีจุดนั้นเลย นำให้เกิดบาปแรกขึ้น เราจึงทูลขอการปกป้องระหว่างดำเนินอยู่ในแผนการของพระองค์
ซาตานค้นหาความผิดของเราและไปทูลฟ้องพระเจ้าด้วย หนังสือโยบบันทึกคำทูลนั้นไว้:
แล้วซาตานทูลตอบพระเจ้าว่า “โยบยำเกรงพระเจ้าเปล่าๆหรือ พระองค์มิได้ทรงกั้นรั้วรอบตัวเขา และครัวเรือนของเขา และทุกสิ่งที่เขามีอยู่เสียทุกด้านหรือ พระองค์ได้ทรงอำนวยพระพรงานน้ำมือของเขา และฝูงสัตว์ของเขาได้ทวีขึ้นในแผ่นดิน แต่ขอยื่นพระหัตถ์เถิด และแตะต้องสิ่งของทั้งสิ้น ที่เขามีอยู่ และเขาจะแช่งพระองค์ต่อพระพักตร์พระองค์” (โยบ 1:9-11)
ที่น่าสนใจคือก่อนหน้า มีบันทึกว่าโยบถวายบูชาแทนบุตร – เผื่อว่าลูกๆพลาดพลั้งทำบาป ไม่มีบันทึกว่าท่านถวายบูชาเพื่อตนเอง เช่นเดียวกับที่เปโตรมีความมั่นใจ มารขอฝัดร่อนท่านเหมือนข้าวสาลี สถานการณ์เช่นนี้ที่เราขอการปกป้องในคำอธิษฐานของเรายอมรับถึงความอ่อนแอ และทูลขอกำลัง ทูลขอคำสั่งสอนด้วยพระปัญญาและด้วยวิถีของพระองค์
การทดลองยังมีที่มาจากแหล่งอื่นที่เราต้องต้านเอาไว้ ค่านิยมทางโลกดึงดูดเราตลอดเวลา วิสัยภายในเราอ่อนแอและอยากจะทำตาม โดยคำอธิษฐาน เราสามารถเป็นคนที่แตกต่างได้
ที่สุดก็มาจบลงที่คุณลักษณะที่มาจากภายใน “เมื่อไรที่โจรไม่ได้เป็นโจร?” เมื่อถามคำถามนี้ ผมมักได้ยินคำตอบว่า “เมื่อมันไม่ได้ขโมย” ไม่ถูกนะครับ โจรที่ไม่ได้ขโมยก็เป็นโจรตกงาน โจรไม่ได้เป็นโจรเมื่อเขาใช้แรงทำงาน เพื่อมีรายได้สามารถนำไปช่วยเหลือผู้อื่น (เอเฟซัส 4:28) นี่คือเป้าหมายของคำอธิษฐาน เพื่อเปลี่ยนเราจากโจรเป็นผู้ให้ จากคนล่วงประเวณีไปเป็นคนที่รักครอบครัว จากหยิ่งยโสเป็นคนมีใจถ่อม จากเกลียดชังเป็นความรัก จากขมขื่นเป็นให้อภัย ฯลฯ ในส่วนที่ยังเป็นลบ หาทางฟูมฟักด้านตรงข้ามให้เติบโตขึ้น การอธิษฐานจะช่วยให้เราทำได้
นี่คือตอนจบแบบอย่างคำอธิษฐานของพระเยซูที่ผมเลือกจากหลายต้นฉบับที่ไว้ ใจได้ บางฉบับอธิบายส่วนที่เสริมเข้ามา “เหตุว่าราชอำนาจ และฤทธิ์เดช และพระสิริเป็นของพระองค์สืบๆไปเป็นนิตย์” ผมเลือกใช้ตามต้นฉบับที่ผ่านการพิสูจน์แล้ว เราสามารถถวายพระสิริแด่พระบิดาในตอนต้นของคำอธิษฐาน และถ้าพระเยซูไม่ได้เป็นผู้ตรัสคำลงท้าย จึงไม่มีคำถามว่าทำไมถึงไม่นำมาใช้ แม้จะจบลงอย่างยิ่งใหญ่ แต่พระเยซูทรงจบต้นแบบคำอธิษฐานของพระองค์ด้วยคำเตือนให้มีใจถ่อม คำอธิษฐานเปลี่ยนจากยิ่งใหญ่ ถวายพระสิริของพระเจ้าไปยังจุดที่ยอมจำนน และพึ่งพิงพระองค์หมดสิ้น ผมคิดว่าจบลงแบบนี้น่าจะดีกว่า
ใครที่ใส่ใจตามคำสั่งของพระเยซูเรื่องคำอธิษฐาน จะสังเกตุว่าคำอธิษฐานของเราต้องเชื่อมโยงกับที่เราได้รับการอภัยจากพระบิดา สู่การให้อภัยผู้อื่น ไม่ได้เป็นคำสั่งที่พระบิดาสั่ง แต่เป็นคำที่เราทูลขอพระองค์ ที่จริงนับว่าแปลกจนทำให้เกิดคำถาม “หมายความจริงๆหรือว่าการรับการอภัยของฉันขึ้นอยู่กับระดับการให้อภัยที่ฉัน มีให้ผู้อื่น?” พระเยซูทรงตอบคำถามนี้
เพราะว่าถ้าท่านยกความผิดของเพื่อน มนุษย์ พระบิดาของท่านผู้ทรงสถิตในสวรรค์จะทรงโปรดยกความผิดของท่านด้วย แต่ถ้าท่านไม่ยกความผิดของเพื่อนมนุษย์ พระบิดาของท่านจะไม่ทรงโปรดยกความผิดของท่านเหมือนกัน (มัทธิว 6:14-15)
พระเยซูตรัสอย่างชัดเจนว่าเราต้องอธิษฐานตามความเป็นจริง ข่าวดีอยู่ตรงนี้ ไม่มีใครสร้างความเสียหายให้ฉันได้เท่ากับที่ฉันทำกับแผ่นดินของพระเจ้า – หรืออาจทำถ้าปล่อยให้ทัศนคติที่ตนเองเป็นศูนย์กลางครอบงำและลงมือทำ ดังนั้นถ้าเข้าเฝ้าพระบิดาโดยไม่เก็บความขุ่นเคืองใจจากที่ถูกผู้อื่นกระทำ ฉันจึงสามารถทูลขอพระองค์ว่าอย่าทรงเก็บความขุ่นเคืองใจในตัวฉันด้วย คำอธิษฐานของพระเยซูจึงเท่ากับเราได้ให้อภัยผู้อื่นก่อนแล้วจึงมาเข้าเฝ้า พระบิดา
มีอุปมาสองเรื่องที่สนับสนุนความจริงนี้ เรื่องแรกมาจากคำพูดว่าเราต้องให้อภัยจากใจ:
“เหตุฉะนั้นแผ่นดินสวรรค์เปรียบเหมือน เจ้าองค์หนึ่งทรงประสงค์จะคิดบัญชีกับทาส เมื่อตั้งต้นทำการนั้นแล้ว เขาพาคนหนึ่งซึ่งเป็นหนี้หนึ่งหมื่นตะลันต์มาเฝ้า ท่านจึงสั่งให้ขายตัวกับทั้งเมีย และลูกและบรรดาสิ่งของที่เขามีอยู่นั้นเอามาใช้หนี้ เพราะเขาไม่มีเงินจะใช้หนี้ ทาสลูกหนี้ผู้นั้นจึงกราบลงวิงวอนว่า ‘ข้าแต่ท่าน ขอโปรดผัดไว้ก่อน แล้วข้าพเจ้าจะใช้หนี้ทั้งสิ้น’ เจ้าองค์นั้นมีพระทัยเมตตา โปรดยกหนี้ปล่อยตัวเขาไป
แต่ทาสผู้นั้นออกไปพบคนหนึ่งเป็นเพื่อน ทาสด้วยกัน ซึ่งเป็นหนี้เขาอยู่หนึ่งร้อยเดนาริอัน จึงจับคนนั้นบีบคอว่า ‘จงใช้หนี้ให้ข้า’ เพื่อนทาสคนนั้นได้กราบลงอ้อนวอนว่า ‘ขอโปรดผัดไว้ก่อนแล้วข้าพเจ้าจะใช้ให้’ แต่เขาไม่ยอม จึงนำทาสลูกหนี้นั้นไปจำจองไว้จนกว่าจะใช้เงินนั้น
ฝ่ายพวกเพื่อนทาสเมื่อเห็นเหตุการณ์เช่น นั้น ก็พากันสลดใจยิ่งนัก จึงนำเหตุการณ์ทั้งปวงไปกราบทูลเจ้าองค์นั้น ท่านจึงทรงเรียกทาสนั้นมาสั่งว่า ‘อ้ายข้าชาติชั่ว เราได้โปรดยกหนี้ให้เอ็งหมด เพราะเอ็งได้อ้อนวอนเรา เอ็งควรจะเมตตาเพื่อนทาสด้วยกัน เหมือนเราได้เมตตาเอ็งมิใช่หรือ’ แล้วเจ้าองค์นั้นกริ้ว จึงมอบผู้นั้นไว้แก่เจ้าหน้าที่ให้ทรมาน จนกว่าจะใช้หนี้หมด
พระบิดาของเราผู้ทรงสถิตในสวรรค์ จะทรงกระทำแก่ท่านทุกคนอย่างนั้น ถ้าหากว่าท่านแต่ละคนไม่ยกโทษให้แก่พี่น้องของท่านด้วยใจกว้างขวาง” (มัทธิว 18:23-35)
เรื่องที่สองเป็นเรื่องที่รวมทั้งอุปมาและแสดงให้เห็นถึงระดับความรักที่เรามีต่อพระเจ้า ซึ่งขึ้นกับระดับที่เราได้รับการอภัย
มีคนหนึ่งในพวกฟาริสีเชิญพระองค์ไปเสวยพระกระยาหารกับเขา พระองค์ก็เสด็จเข้าไปในเรือนของคนฟาริสีคนนั้น แล้วเอนพระกายลง
และดูเถิด มีผู้หญิงคนหนึ่งของเมืองนั้นเคยเป็นหญิงชั่ว เมื่อรู้ว่าพระองค์ทรงเอนพระกายเสวยอยู่ในบ้านของคนฟาริสีนั้น นางจึงถือผอบน้ำมันหอม มายืนอยู่ข้างหลังใกล้พระบาทของพระองค์ ร้องไห้น้ำตาไหลเปียกพระบาท เอาผมเช็ด จุบพระบาทของพระองค์มาก และเอาน้ำมันนั้นชโลม
ฝ่ายคนฟาริสีที่ได้เชิญพระองค์ เมื่อเห็นแล้วก็นึกในใจว่า “ถ้าท่านนี้เป็นผู้เผยพระวจนะก็คงจะรู้ว่า หญิงผู้นี้ที่ถูกต้องกายของท่านเป็นผู้ใดและเป็นคนอย่างไร เพราะนางเป็นคนชั่ว”
ฝ่ายพระเยซูตรัสตอบเขาว่า “ซีโมนเอ๋ย เรามีอะไรจะพูดกับท่านบ้าง”
เขาทูลว่า “ท่านอาจารย์เจ้าข้า เชิญพูดไปเถิด”
พระองค์จึงตรัสว่า “เจ้าหนี้คนหนึ่งมีลูกหนี้สองคน คนหนึ่งเป็นหนี้เงินห้าร้อยเหรียญเดนาริอัน อีกคนหนึ่งเป็นหนี้เงินห้าสิบเหรียญ เมื่อเขาไม่มีอะไรจะใช้หนี้แล้ว ท่านจึงโปรดยกหนี้ให้เขาทั้งสองคน ในสองคนนั้น คนไหนจะรักนายมากกว่า”
ซีโมนจึงทูลว่า “ข้าพเจ้าเห็นว่าคนที่นายได้โปรดยกหนี้ให้มาก ก็เป็นคนที่รักนายมาก” พระองค์จึงตรัสกับเขาว่า “ท่านคิดเห็นถูกแล้ว”
พระองค์จึงทรงเหลียวหลังดูผู้หญิงนั้น และตรัสแก่ซีโมนว่า “ท่านเห็นผู้หญิงนี้หรือ เราได้เข้ามาในบ้านของท่าน ท่านมิได้ให้น้ำล้างเท้าของเรา แต่นางได้เอาน้ำตาชำระเท้าของเราและได้เอาผมของตนเช็ด ท่านมิได้จุบเรา แต่ผู้หญิงนี้ตั้งแต่เราเข้ามา มิได้หยุดจุบเท้าของเรา ท่านมิได้เอาน้ำมันชโลมศีรษะของเรา แต่นางได้เอาน้ำมันหอมชโลมเท้าของเรา เหตุฉะนั้นเราบอกท่านว่า ความผิดบาปของนางซึ่งมีมากได้โปรดยกเสียแล้ว เพราะนางรักมาก แต่ผู้ที่ได้รับการยกโทษน้อย ผู้นั้นก็รักน้อย”
พระองค์จึงตรัสแก่นางว่า “ความผิดบาปของเจ้าโปรดยกเสียแล้ว” ฝ่ายคนทั้งหลายที่เอนกายอยู่ด้วยพูดกันว่า “คนนี้เป็นใคร แม้ความผิดบาปก็ยกให้ได้” พระองค์จึงตรัสแก่ผู้หญิงนั้นว่า “ความเชื่อของเจ้าได้ทำให้เจ้ารอด จงไปเป็นสุขเถิด” (ลูกา 7:36-50)
ประเด็นเรื่องการให้อภัยผู้อื่นสรุปลงได้เป็นสองสิ่ง สิ่งแรก – ความกตัญญู เราได้รับการยกหนี้มหาศาล แม้เรื่องเล็กน้อยที่สุดในความเห็นแก่ตัวของเราที่สร้างความเสียหายแก่แผ่น ดินสวรรค์ เราเห็นได้จากการล้มลงของอาดัมและเอวาที่ไม่เชื่อฟัง และหนี้ที่เราต้องรับคือชีวิต การให้อภัยเป็นเหตุทำให้พระบิดาต้องสละชีวิตพระบุตรเพื่อแลกเปลี่ยน การให้อภัยที่เราให้ผู้อื่นเป็นแค่การแสดงความกตัญญู แล้วทำไมเราถึงกล้าขัดขืน สิ่งที่สอง – โดยการให้อภัย เรากำลังเลียนแบบพระลักษณะของพระบิดา และเป็นการถวายพระสิริแด่พระนามของพระองค์ พระบิดาเป็นแบบอย่างของความเมตตาและการให้อภัย เมื่อเราแสดงความเมตตาและให้อภัย เราก็พยายามเป็นเหมือนพระองค์ การทำเช่นนี้คือการถวายพระเกียรติต่อพระนามของพระองค์
บางคนอาจถามว่า “แล้วฉันยังจะได้รับความรอดมั้ย ถ้าไม่ยอมอภัยให้ผู้อื่น?” เนื่องจากต้นแบบคำอธิษฐานนี้เป็นต้นแบบสำหรับแต่ละวันด้วยมีคำทูลขออาหาร ประจำวัน และนี่จึงเป็นการทูลขอการอภัยประจำวันในสิ่งที่เราผิดพลาดไปในวันนั้นด้วย การให้อภัยที่เป็นการกระทำ เป็นสิ่งที่พระเยซูตรัสกับเปโตร “ผู้ที่อาบน้ำแล้วไม่จำเป็นต้องชำระกายอีก ล้างแต่เท้าเท่านั้น” (ยอห์น 13:10) ถึงแม้จะข้ามเรื่องนี้ไป ความรอดไม่ได้ขึ้นอยู่กับเรา อย่างที่ อ เปาโลเขียน :
ด้วยว่าซึ่งท่านทั้งหลายรอดนั้นก็รอดโดย พระคุณเพราะความเชื่อ และมิใช่โดยตัวท่านทั้งหลายกระทำเอง แต่พระเจ้าทรงประทานให้ ความรอดนั้นจะเนื่องด้วยการกระทำก็หามิได้ เพื่อมิให้คนหนึ่งคนใดอวดได้ เพราะว่าเราเป็นฝีพระหัตถ์ของพระองค์ ที่ทรงสร้างขึ้นในพระเยซูคริสต์เพื่อให้ประกอบการดี ซึ่งพระเจ้าได้ทรงดำริไว้ล่วงหน้าเพื่อให้เรากระทำ (เอเฟซัส 2:8-10)
รอดโดยพระคุณเพราะความเชื่อเป็นของประทานจากพระเจ้า เราไม่อาจทำสิ่งใดให้ตัวเองได้ในเรื่องความรอด ยิ่งเป็นสาเหตุที่สมควรที่เราให้อภัยผู้ที่ทำผิดต่อเราด้วยใจกตัญญู – ไม่ว่าคู่กรณีต้องการหรือไม่ก็ตาม
เราคงไม่อยากมีชีวิตที่ขมขื่นเพราะไม่ยอมให้อภัย เป็นเหมือนดื่มยาพิษแล้วบอกคู่กรณีว่า “เอาสิ กินด้วยกัน”
ระหว่างบทเรียนนี้ ผมอยากแนะนำให้คุณหาหนังสือของคอรี่ เทน บูม “ที่หลบภัย” (The Hiding Place by Corrie Ten Boom) มาอ่าน หนังสือเล่มนี้ คุณจะพบความลึกล้ำที่ทำให้คริสเตียนสามารถให้อภัยได้
คุณสามารถนำแต่ละบรรทัดจากต้นแบบคำอธิษฐานของพระเยซู คุณจะพบอย่างน้อยมีคำเทศนาบนภูเขาที่สนับสนุนคำอธิษฐานนี้ เมื่อจบลงคุณจะเห็นอย่างน้อยมีหนึ่งข้อพระคำจากคำเทศนาบนภูเขาบรรจุอยู่
“ข้าแต่พระบิดาแห่งข้าพระองค์ทั้งหลาย ผู้ทรงสถิตในสวรรค์ ขอให้พระนามของพระองค์เป็นที่เคารพสักการะ”
“บุคคลผู้ใดมีใจบริสุทธิ์ ผู้นั้นเป็นสุข เพราะว่าเขาจะได้เห็นพระเจ้า” (มัทธิว 5:8)
“บุคคลผู้ใดสร้างสันติ ผู้นั้นเป็นสุข เพราะว่าพระเจ้าจะทรงเรียกเขาว่าเป็นบุตร” (มัทธิว 5:9)
“ขอให้แผ่นดินของพระองค์มาตั้งอยู่ ขอให้เป็นไปตามพระทัยของพระองค์ ในสวรรค์เป็นอย่างไรก็ให้เป็นไปอย่าง นั้นในแผ่นดินโลก”
“บุคคลผู้ใด รู้สึกบกพร่องฝ่ายวิญญาณ ผู้นั้นเป็นสุข เพราะแผ่นดินสวรรค์เป็นของเขา” (มัทธิว 5:3)
“บุคคลผู้ใดต้องถูกข่มเหงเพราะเหตุความชอบธรรม ผู้นั้นเป็นสุข เพราะว่าแผ่นดินสวรรค์เป็นของเขา” (มัทธิว 5:10)
“ขอทรงโปรดประทานอาหารประจำวันแก่ข้าพระองค์ทั้งหลายในกาลวันนี้”
“บุคคลผู้ใดหิวกระหาย ความชอบธรรม ผู้นั้นเป็นสุข เพราะว่าพระเจ้าจะทรงให้อิ่มบริบูรณ์” (มัทธิว 5:6)
“บุคคลผู้ใดมีใจอ่อนโยน ผู้นั้นเป็นสุข เพราะว่าเขาจะได้รับแผ่นดินโลกเป็นมรดก” (มัทธิว 5:5)
“และขอทรงโปรดยกบาปผิดของข้าพระองค์ เหมือนข้าพระองค์ยกโทษผู้ที่ทำผิดต่อข้าพระองค์นั้น”
“บุคคลผู้ใดโศกเศร้า ผู้นั้นเป็นสุข เพราะว่าเขาจะได้รับการทรงปลอบประโลม” (มัทธิว 5:4)
“บุคคลผู้ใดมีใจกรุณา ผู้นั้นเป็นสุข เพราะว่าเขาจะได้รับพระกรุณาตอบ” (มัทธิว 5:7)
“บุคคลผู้ใดสร้างสันติ ผู้นั้นเป็นสุข เพราะว่าพระเจ้าจะทรงเรียกเขาว่าเป็นบุตร” (มัทธิว 5:9)
“และขออย่านำข้าพระองค์เข้าไปในการทดลอง แต่ขอให้พ้นจาก ซึ่งชั่วร้าย”
“บุคคลผู้ใดต้องถูกข่มเหงเพราะเหตุความชอบธรรม ผู้นั้นเป็นสุข เพราะว่าแผ่นดินสวรรค์เป็นของเขา” (มัทธิว 5:10)
“เมื่อเขาจะติเตียนข่มเหง และนินทาว่าร้ายท่านทั้งหลายเป็นความเท็จเพราะเรา ท่านก็เป็นสุข จงชื่นชมยินดี เพราะว่าบำเหน็จของท่านมีบริบูรณ์ในสวรรค์ เพราะเขาได้ข่มเหงผู้เผยพระวจนะทั้งหลาย ที่อยู่ก่อนท่านเหมือนกัน” (มัทธิว 5:11-12)
คงไม่ต้องเพิ่มเติมอะไรอีก ผมคิดว่าเป็นพระวจนะที่สนับสนุนกันและกันได้อย่างน่าสนใจและยอดเยี่ยม และเป็นประโยชน์ต่อพวกเรา
ให้กลับมาดูพระวจนะตอนนี้อีกครั้ง :
“เมื่อท่านทั้งหลายอธิษฐาน อย่าเป็นเหมือนคนหน้าซื่อใจคด เพราะเขาชอบยืนอธิษฐานในธรรมศาลาและตามถนน เพื่อจะให้คนทั้งปวงได้เห็น เราบอกความจริงแก่ท่านว่าเขาได้รับบำเหน็จของเขาแล้ว ฝ่ายท่านเมื่ออธิษฐานจงเข้าในห้องชั้นใน และเมื่อปิดประตูแล้ว จงอธิษฐานต่อพระบิดาของท่านผู้ทรงสถิตในที่ลี้ลับ และพระบิดาของท่านผู้ทรงเห็นในที่ลี้ลับจะทรงโปรดประทานบำเหน็จแก่ท่าน “แต่เมื่อท่านอธิษฐานอย่าพูดพล่อยๆซ้ำซาก เหมือนคนต่างชาติกระทำเพราะเขาคิดว่าพูดมากหลายคำ พระจึงจะทรงโปรดฟัง อย่าทำเหมือนเขาเลย เพราะว่าสิ่งไรซึ่งท่านต้องการ พระบิดาของท่านทรงทราบก่อนที่ท่านทูลขอแล้ว ท่านทั้งหลาย จงอธิษฐานตามอย่างนี้ว่า:
ข้าแต่พระบิดาแห่งข้าพระองค์ทั้งหลาย ผู้ทรงสถิตในสวรรค์ ขอให้พระนามของพระองค์เป็นที่เคารพสักการะ ขอให้แผ่นดินของพระองค์มาตั้งอยู่ ขอให้เป็นไปตามพระทัยของพระองค์ ในสวรรค์เป็นอย่างไรก็ให้เป็นไปอย่างนั้นในแผ่นดินโลก ขอทรงโปรดประทานอาหารประจำวันแก่ข้าพระองค์ทั้งหลายในกาลวันนี้ และขอทรงโปรดยกบาปผิดของข้าพระองค์ เหมือนข้าพระองค์ยกโทษผู้ที่ทำผิดต่อข้าพระองค์นั้น และขออย่านำข้าพระองค์เข้าไปในการทดลอง แต่ขอให้พ้นจาก ซึ่งชั่วร้าย
“เพราะว่าถ้าท่านยกความผิดของเพื่อน มนุษย์ พระบิดาของท่านผู้ทรงสถิตในสวรรค์จะทรงโปรดยกความผิดของท่านด้วย แต่ถ้าท่านไม่ยกความผิดของเพื่อนมนุษย์ พระบิดาของท่านจะไม่ทรงโปรดยกความผิดของท่านเหมือนกัน” (มัทธิว 6:5-15)
คำอธิบายของพระเยซูที่เกี่ยวกับการอธิษฐานยาวเป็นสองเท่าของต้นแบบการ อธิษฐานของพระองค์ คำอธิษฐานของพระเยซูเอง เป็นความมหัศจรรย์แห่งพระปัญญาและเป็นความเรียบง่าย ทรงบ่งว่าเรากำลังอธิษฐานถึงใคร และควรอธิษฐานในเรื่องใด ผมเชื่อว่ายังเรียงลำดับเรื่องต่างๆได้อย่างเหมาะสมด้วย สิ่งนี้สำคัญ เพราะเราสามารถมุ่งไปที่พระบิดาและอาณาจักรของพระองค์ ทูลขอสิ่งจำเป็นในชีวิตประจำวัน ก่อนทูลขอการอภัย! ด้วยวิธีนี้ พระเยซูกำลังตรัสบอกถึงพระคุณและพระทัยเมตตากว้างขวางของพระบิดา เช่นเดี่ยวกับที่พระองค์ตรัสไว้ในคำเทศนาบนภูเขา
“ฝ่ายเราบอกท่านว่า จงรักศัตรูของท่าน และจงอธิษฐานเพื่อผู้ที่ข่มเหงท่าน ทำดังนี้แล้วท่านทั้งหลายจะเป็นบุตรของพระบิดาของท่านผู้ทรงสถิตในสวรรค์ เพราะว่าพระองค์ทรงให้ดวงอาทิตย์ของพระองค์ ขึ้นส่องสว่างแก่คนดีและคนชั่วเสมอกัน และให้ฝนตก แก่คนชอบธรรมและคนอธรรม” (มัทธิว 5:44-45)
ในการนำพระวจนะมาประยุกต์ใช้ เช่นเดียวกับตอนอื่นๆ ต้องเป็นส่วนตัวและตามการทรงนำของพระวิญญาณบริสุทธิ์ เพราะเราไม่อาจทราบความคิดและแรงจูงใจของคนอื่นได้ สมมุติว่าคุณผ่านไปเห็นบางคนอธิษฐานเสียงดังที่หัวมุมถนน คำสอนของพระเยซูจากบทเรียนนี้นำไปใช้ได้หรือเปล่า? เราบอกไม่ได้ ตัวอย่างเช่นการอธิษฐานในท่ามกลางประชาชน (ยอห์น 11:41, 42) ดาเนียลเองก็ตกอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่ควรอธิษฐานในที่ลี้ลับ (ดาเนียล 6:10) หรือคนที่ปิดประตูเข้าห้องอธิษฐานในแต่ละวัน อาจยังเป็นคนที่หน้าซื่อใจคด — แม้จะอธิษฐานในที่ลึกลับ แต่ก็ยังเปิดเผยให้คนอื่นๆรู้ว่าเขาอธิษฐานอยู่ในที่ลี้ลับ
คุณจึงจำเป็นต้องนำแนวคิดนี้มาพิจารณาทีละขั้นตอน และนำใจของคุณเข้าไปให้ใกล้ด้วย
ธรรมชาติคำสอนของพระเยซูเป็นเหมือนไม้กั้นที่ยกสูงขึ้นไปเกินกว่าจะคว้าถึง แต่เมื่อคว้าได้ เราก็ขึ้นสูงไปได้อีก
ขอพระบิดาทรงอวยพระพร และสถิตอยู่ด้วยในคำอธิษฐานของคุณ
ทุกท่านสามารถนำบทเรียนนี้ไปใช้เพื่อการศึกษาได้เท่านั้น ทางคริสตจักร Community Bible Chapel เชื่อว่าเนื้อหาในบทเรียนนี้ถูกต้องตรงตามหลักการสอนพระคัมภีร์ ใช้เพื่อช่วยในการศึกษาพระวจนะของพระเจ้า บทเรียนนี้เป็นลิขสิทธิของ Community Bible Chapel
(แปล: อรอวล ระงับภัย – คริสตจักรแห่งความสุข)
1 189 Copyright 2003 by Community Bible Chapel, 418 E. Main Street, Richardson, TX 75081. ดัดแปลงจากต้นฉบับของบทเรียนที่ 27 ในบทเรียนต่อเนื่องของพระกิตติคุณมัทธิว จัดเตรียมโดย โดนัลด์ อี เคอร์ติส 24 สิงหาคม 2003
2 190 นอกจากที่กล่าวไปแล้ว พระวจนะที่นำมาอ้างอิงทั้งหมดมาจาก NET Bible (The NEW ENGLISH TRANSLATION) เป็น ฉบับแปลใหม่ทั้งหมด ไม่ใช่นำฉบับเก่าในภาษาอังกฤษมาเรียบเรียงใหม่ ใช้ผู้เชี่ยวชาญและนักวิชาการพระคัมภีร์มากกว่า ยี่สิบคน รวบรวมข้อมูล ทั้งจากภาษาฮีบรูโดยตรง ภาษาอาราเมข และภาษากรีก โครงการแปลนี้เริ่มมาจากที่เราต้องการนำ พระคัมภีร์ เผยแพร่ผ่านสื่ออีเลคโทรนิค เพื่อรองรับการใช้งานทางอินเตอร์เน็ท และซีดี (compact disk) ที่ใดก็ตามในโลก ที่ต่อเข้าอินเตอร์เน็ทได้ ก็สามารถเรียกดู และพริ้นทข้อมูลไว้เพื่อใช้ศึกษาเป็นการส่วนตัวได้โดยไม่คิดมูลค่า นอกจากนี้ ผู้ใดก็ตาม ที่ต้องการนำข้อมูลเกี่ยวกับพระคัมภีร์ไปเผยแพร่ต่อโดยไม่คิดเงิน สามารถทำได้จากเว็บไซด์ : www.netbible.org.
3 191 ข้อแตกต่างคู่ขนานระหว่างสมัยโน้นกับ สมัยนี้ ระหว่างกฏหมายด้วยวาจา มีเพื่อล้อมกรอบตัวกฎหมายที่บัญญัติเอาไว้ เป็นเรื่องของจิตใจ คนที่อยากยกเลิกกฎหมายมีอาวุธปืนส่วนตัวไว้ในครอบครอง พยายามหาทางป้องกันการฆาตกรรมโดยออกกฎที่เข้มกว่ากฎหมายเรื่องอาวุธตามที่ บัญญัติไว้ ในสมัยของพระเยซู ความเข้มงวดนี้มักใช้ไม่ได้ผล ในขณะที่การเน้นไปที่เรื่องของจิตใจ และอุปนิสัยของชายและหญิง ทำให้เกิดความสงบเรียบร้อยและความปลอดภัยในสังคมได้มากกว่า
19 “อย่าส่ำสมทรัพย์สมบัติไว้สำหรับตัวในโลกที่อาจเป็นสนิมและที่แมลงกินเสีย ได้และที่ขโมยอาจขุดช่องลักเอาไปได้20 แต่จงส่ำสมทรัพย์สมบัติไว้ในสวรรค์ที่ไม่มีแมลงจะกินและไม่มีสนิมจะกัดและ ที่ไม่มีขโมยขุดช่องลักเอาไปได้ 21 เพราะว่าทรัพย์สมบัติของท่านอยู่ที่ไหนใจของท่านก็อยู่ที่นั่นด้วย 22 “ตาเป็นประทีปของร่างกายเหตุฉะนั้นถ้าตาของท่านปกติทั้งตัวก็พลอยสว่างไป ด้วย23 แต่ถ้าตาของท่านผิดปกติทั้งตัวของท่านก็พลอยมืดไปด้วยเหตุฉะนั้นถ้าความ สว่างซึ่งอยู่ในตัวท่านมืดไปความมืดนั้นจะหนาทึบสักเพียงใดหนอ 24 ไม่มีผู้ใดเป็นข้าสองเจ้าบ่าวสองนายได้เพราะว่าจะชังนายข้างหนึ่งและจะรัก นายอีกข้างหนึ่งหรือจะนับถือนายฝ่ายหนึ่งและจะดูหมิ่นนายอีกฝ่ายหนึ่งท่านจะ ปฏิบัติพระเจ้าและจะปฏิบัติเงินทองพร้อมกันไม่ได้” (มัทธิว 6:19-24)2
ในมัทธิวบทที่ 6 หนึ่งในประเด็นหลัก หรือไม่ใช่ประเด็นหลักคือความสัมพันธ์ของเราในฐานะคริสเตียนกับพระบิดาใน สวรรค์ ในบทนี้เพียงที่เดียว พระเยซูทรงเอ่ยคำว่า “พระบิดา”11 ครั้ง แสดงให้เห็นถึงความหมายและความสำคัญของความสัมพันธ์นี้ (ข้อ: 1, 3, 6, 8, 9, 14, 15, 18, 26, 32) ความสัมพันธ์ของเราต่อพระบิดาในฐานะบุตรของพระองค์ เป็นความสัมพันธ์ที่น่าทึ่งและอัศจรรย์อย่างเหลือเชื่อ เราถูกซื้อมาด้วยราคาแพง เพื่อจะได้ชื่อว่าเป็น “บุตรของพระเจ้า” พระธรรมโรม 8:15-17 กล่าวว่า :
15 เหตุว่าท่านไม่ได้รับน้ำใจทาสซึ่งทำให้ตกในความกลัวอีกแต่ท่านได้รับพระ วิญญาณผู้ทรงให้เป็นบุตรของพระเจ้าให้เราทั้งหลายร้องเรียกพระเจ้าว่า “อับบา” คือพระบิดา16 พระวิญญาณนั้นเป็นพยานร่วมกับวิญญาณจิตของเราทั้งหลายว่าเราทั้งหลายเป็น บุตรของพระเจ้า17 และถ้าเราทั้งหลายเป็นบุตรแล้วเราก็เป็นทายาทคือเป็นทายาทของพระเจ้าและเป็น ทายาทร่วมกับพระคริสต์เมื่อเราทั้งหลายทนทุกข์ทรมานด้วยกันกับพระองค์นั้นก็ เพื่อเราทั้งหลายจะได้ศักดิ์ศรีด้วยกันกับพระองค์ด้วย
การที่ได้รู้ว่าเราเป็นบุตรของพระบิดาเป็นสิ่งที่มีอำนาจมาก และเราสามารถเข้าเฝ้าและร้องทูลกับพระองค์ว่า “อับบา พระบิดา” ความลับยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตตามที่พระเยซูตรัสคือมองเห็นและรู้ตนเองว่า เป็นบุตรของพระบิดาในสวรรค์3 มีหลายสิ่งที่ดึงดูดความสนใจของเราออกจากความสำคัญในความสัมพันธ์นี้
ในมัทธิวบทที่ 6 พระเยซูทรงนำเรื่องการทดลองสองแบบที่เราในฐานะผู้เชื่อต้องเผชิญ ซึ่งจะดึงและทำให้เราเขวไปจากความสำคัญและความพึงพอใจที่เรามีในความ สัมพันธ์กับพระเจ้าพระบิดา การทดลองแรกชัดเจนในบทที่ 6 คือชายที่เคร่งครัดศรัทธา ทำตามบัญญัติทุกข้อเพื่อให้มนุษย์เห็นและยกย่อง แทนที่จะทำในที่ลับที่พระบิดาเท่านั้นทราบ พระเยซูตรัสว่าถ้าเราแสวงหาคำสรรเสริญจากมนุษย์ เราก็ได้บำเหน็จไปแล้ว แต่ถ้าเราทำเพื่อถวายพระสิริแด่พระบิดา พระองค์ก็จะประทานบำเหน็จให้เราในที่เปิดเผย ตัวอย่างที่ยกมาคือการทำทาน การอธิษฐาน และอดอาหาร การทดลองคือเพื่อให้เป็นที่สังเกตุเห็น เป็นที่ยกย่องอย่างสูงว่าเป็นคนมีธรรมะ และผู้คนต่างก็ยกย่อง การทดลองแบบที่สองที่เราเผชิญในฐานะผู้เชื่อคือการทดลองให้เป็นเหมือนสิ่ง ที่โลกแสวงหา ส่ำสมทรัพย์สมบัติของโลกนี้ บ่อยครั้ง เรามองดูสิ่งของต่างๆของโลกและพูดกับตัวเอง “ถ้าฉันได้มี … ชีวิตฉันก็คงจะลงตัว” เราแสวงหาความมั่นคงและความพึงพอใจในสิ่งของชั่วคราว แทนสิ่งที่จะมีในความสัมพันธ์กับพระบิดาโดยทางพระเยซูคริสต์ การทดลองทั้งสองแบบนี้ดึงดูดความสนใจเรา และดึงเราออกห่างจากสิ่งที่สำคัญ – ความสัมพันธ์กับพระเจ้าพระบิดา
คำถามใหญ่จากคำเทศนาบนภูเขาคือคำถามว่า “ใจคุณอยู่ที่ไหน?” เมื่อได้อ่านและศึกษาคำเทศนาบนภูเขาในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา เป็นสิ่งท้าทายให้ใจผมคิดถึงคำถามนี้อย่างจริงจัง และประเมินว่าใจของผมกำลังแสวงหาสิ่งที่เป็นของตัวเอง หรือความเที่ยงแท้ในความสัมพันธ์กับพระเจ้า ในหลายๆทาง เราอาจสวมใบหน้าหรือหน้ากากหลายแบบ เพื่อให้คนอื่นมองว่าเราเป็นคนที่อยู่ในทางของพระเจ้า แต่ในความเป็นจริง ลึกลงไปในใจ หรือในชีวิตส่วนตัว เราต่อสู้กับความกลัว การทดลอง และความปรารถนาอยากเป็นที่ยกย่องของมนุษย์แทนที่จะถวายเกียรติแด่พระเจ้า พระวจนะตอนนี้ พระเยซูทรงมุ่งสู่จิตใจด้วยคำถาม “ทรัพย์สมบัติของท่านอยู่ที่ไหน?” พระองค์ตรัสในมัทธิว 6:21 ว่า “เพราะว่าทรัพย์สมบัติของท่านอยู่ที่ไหน ใจของท่านก็อยู่ที่นั่นด้วย” มีหลายสิ่งที่กำลังแย่งชิงหัวใจคุณ เพราะนี่คือศูนย์ควบคุมของชีวิต
พระวจนะสอนว่าจิตใจเป็นตัวควบคุมเหนือชีวิต ชีวิตของคนๆนั้นจะสะท้อนจิตใจของเขาออกมา หนังสือสุภาษิต 4:23 กล่าวว่า “จงรักษาใจของเจ้าด้วยความระวังระไวรอบด้านเพราะชีวิตเริ่มต้นออกมาจากใจ” เป็นภาพอธิบายให้เราเห็นจิตใจที่เหมือนบ่อ ที่ทุกเรื่องราวของชีวิตจะล้นไหลออกมา4
ดังนั้น เราต้องรักษาและเฝ้าระวังใจ เพื่อให้ติดตามแต่สิ่งที่เป็นของพระเจ้า และไม่ถูกดึงออกไปด้วยสิ่งของๆโลกนี้ พระวจนะตอนนี้ ผมมีคำถามสามข้อ ข้อแรก เราต้องถามตนเองเมื่อเริ่มศึกษาพระวจนะตอนนี้ – “ทรัพย์สมบัติเราอยู่ที่ไหน?” เมื่อถามคำถามนี้ เราจะได้คำตอบว่า “ใจของเราอยู่ที่ไหน?” เพราะทรัพย์สมบัติคุณอยู่ที่ไหน ใจของคุณก็อยู่ที่นั่นด้วย คำถามที่จะถามตัวเองข้อสองคือ – “เราจับจ้องไปที่สิ่งใด” สายตาเราจ้องไปที่ไหน? จ้องไปที่สิ่งที่เห็นได้หรือเห็นไม่ได้? คำถามสุดท้ายคือ – “คุณกำลังปรนนิบัติผู้ใด หรือสิ่งใด?” พระเยซูถูกล้อมไปด้วยคนที่ได้ชื่อว่าเคร่งศาสนา พวกฟาริสี และสะดูสี คนที่มองดูศรัทธาแต่ภายนอก จิตใจภายในกำลังปรนนิบัติเงินทองและปรนเปรอตนเองมากกว่าปรนนิบัติพระเจ้า พระเยซูยังถูกล้อมไปด้วยคนที่ไม่เคยได้ยินถ้อยคำที่แรงแบบนี้มาก่อน พระองค์ทรงขอให้เราสำนึกผิดกลับใจ เปลี่ยนความคิดจิตใจในเรื่องสิ่งต่างๆ มาดำเนินชีวิตในความเชื่อ และปรนนิบัติพระเจ้าองค์เที่ยงแท้เพียงพระองค์เดียว
19 “อย่าส่ำสมทรัพย์สมบัติไว้สำหรับตัวในโลกที่อาจเป็นสนิมและที่แมลงกินเสีย ได้และที่ขโมยอาจขุดช่องลักเอาไปได้20 แต่จงส่ำสมทรัพย์สมบัติไว้ในสวรรค์ที่ไม่มีแมลงจะกินและไม่มีสนิมจะกัดและ ที่ไม่มีขโมยขุดช่องลักเอาไปได้21 เพราะว่าทรัพย์สมบัติของท่านอยู่ที่ไหนใจของท่านก็อยู่ที่นั่นด้วย” (มัทธิว 6:19-21)
คงไม่ยากเกินไปที่จะหาตัวอย่างจากหญิงและชายที่สั่งสมทรัพย์สมบัติไว้ สำหรับตนเองในโลกนี้ ทำให้เห็นว่าใจของพวกเขาแล้วจริงๆอยู่ที่ไหน มีหลายตัวอย่างผุดขึ้นมา:
ตัวอย่างที่ 1 – เรื่องของอาคาน (โยชูวา 6:17-18, 7:1-26) ในข้อ 18 พระเจ้าสั่งให้ประชากรอิสราเอลไปโจมตีเมืองเยริโค และให้ห่างจากของที่ต้องทำลายถวาย และให้นำเงินและทองและเครื่องใช้ที่ทำด้วยทองสัมฤทธิ์และเหล็กเป็นของถวาย แด่พระเจ้า ให้นำเข้าไปไว้ในคลังของพระเจ้า เมื่อพวกเขาโจมตีเมืองเยริโคได้ มีชายคนหนึ่งไม่เชื่อฟังคำสั่งของพระเจ้า แอบเอาเสื้อคลุมงามตัวหนึ่งของเมืองบาบิโลนกับเงินสองร้อยเชเขลและทองคำแท่ง หนึ่งหนักห้าสิบเชเขลไปเก็บซ่อน เพราะความบาปของชายคนนี้ อิสราเอลจึงพ่ายแพ้สงครามที่เมืองอัย ชายคนนี้จึงถูกประหารเพราะความโลภในทรัพย์สินเงินทองในจิตใจของเขา แทนที่จะถวายเกียรติแด่พระเจ้า ทำตามที่พระองค์สั่ง
ตัวอย่างที่ 2 – เรื่องของเศรษฐีหนุ่ม (มัทธิว 19:16-22) ในเรื่องนี้มีเศรษฐีหนุ่มมาถามคำถามพระเยซู เขาถามว่าทำอย่างไรจึงจะได้ชีวิตนิรันดร์ พระเยซูทรงตอบโดยบอกว่าเขาต้องเชื่อฟังพระบัญญัติ หนุ่มนั้นก็ถามว่า “ข้อใดบ้าง?” พระเยซูทรงตอบว่า“คือ ข้อที่ว่า ‘อย่าฆ่าคน อย่าล่วงประเวณีผัวเมียเขา อย่าลักทรัพย์ อย่าเป็นพยานเท็จจงให้เกียรติแก่บิดามารดาของตน และจงรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง” เศรษฐีหนุ่มนั้นตอบว่าเขาได้ถือรักษาไว้ทุกประการ แล้วถามว่า “ข้าพเจ้ายังขาดอะไรอีกบ้าง?”ตรงนี้ที่พระเยซูทรงหย่อนระเบิดลงไปที่หนุ่มคนนี้ ตรัสว่า “จงไปขายบรรดาสิ่งของซึ่งท่านมีอยู่ แจกจ่ายให้คนอนาถา…แล้วจงตามเรามา…” ใจ ของหนุ่มคนนี้อยู่ที่ไหน? เราตอบได้จากปฏิกิริยาของเขา ใจของเขาถูกความมั่งคั่งและความร่ำรวยควบคุม หนุ่มคนนี้เป็นเศรษฐี ดูมีอนาคตไกล แต่ไม่พร้อมที่จะสละสิ่งที่มีเพื่อติดตามพระเยซู เขาพร้อมที่จะรักเพื่อนบ้านและทำตามพระบัญญัติที่มีต่อมนุษย์ แต่เมื่อไปถึงจุดที่ต้องรักพระบิดาและไม่มีพระเจ้าอื่นใด เขาไม่พร้อม ไม่อาจละจากความมั่งคั่งทางโลกที่ครอบครองอยู่เพื่อให้ได้ชีวิตนิรันดร์
เราเห็นตัวอย่างอื่นๆของคนที่ส่ำสมทรัพย์สมบัติทางโลก และปลายทางของคนเหล่านี้คือความตาย ใจของเขาหมกมุ่นอยู่กับสิ่งของๆโลก ยอมที่จะไม่เชื่อฟังพระเจ้าแลกกับความมั่งคั่งชั่วคราวที่จะเสื่อมสลายไป สิ่งที่เราส่ำสมไว้ในโลกเป็นเพียงของชั่วคราว ไม่มีทางอยู่ได้ชั่วนิรันดร์
มีหลายความคิดขึ้นมาในใจเมื่อนึกถึงสิ่งที่พระเยซูตรัสในสามข้อแรกของคำ ตอนนี้ คุณมีใจของโลกนี้ หรือใจของสวรรค์? คุณลงทุนอนาคตสำหรับนิรันดร์ที่ใกล้เข้ามา หรือคุณลงทุนกับสิ่งปัจจุบันที่นี่และเดี๋ยวนี้? คุณหลงไหลไปกับของชั่วคราว หรือของที่ถาวร? ชัดเจน ทั้งหมดนี้ถามในสิ่งเดียวกัน แต่ที่สำคัญ เราเข้าใจในความคิดนี้ชัดเจนหรือ? พระเยซูทรงยกตัวอย่างสามแบบด้านล่าง เพื่อแสดงว่าสิ่งที่เราเห็นว่าสำคัญกลับเป็นเพียงของชั่วคราว พระองค์ทรงใช้ตัวมอด สนิม และขโมย เรานึกออกจากตัวอย่างในชีวิต เช่น คนที่ขับรถคันใหม่ออกสู่ถนนอย่างภาคภูมิใจ พวกเขารักรถยนต์ เปิดหน้าต่างให้เสียงเพลงจากเครื่องเสียงชั้นดีกระหึ่มออกมา ชาวโลกจะได้รู้เสียทีว่าฉันเพิ่งซื้อรถคันใหม่! กว่าจะรู้ตัว ก็เสยเข้ากับฟุตปาทข้างทาง ตัวถังยุบและสีถลอก รถเงาวับคันใหม่ทำให้เจ้าของต้องอับอายขายขี้หน้าอยู่ข้างถนน
ตัวมอด: เรารู้ดีว่าเมื่อตัวมอดเข้าไปในเสื้อผ้า มันจะใชและกินเนื้อผ้าจนเป็นรู มอดเป็นแค่แมลงตัวเล็กๆเหมือนผีเสื้อ ดูไม่เป็นอันตราย แต่มันอาจทำลายเสื้อแบรนด์เนมราคาแพงสุดหรูของคุณได้
สนิม: ผมโตขึ้นในคานาดาที่ ต้องโรยเกลือบนถนนเวลาหิมะตกหนักหน้าหนาว เกลือสามารถทำลายรถคุณได้อย่างนึกไม่ถึง เราเคยมีรถกระบะยี่ห้อดอดจ์คันเก่าสีน้ำตาล ใต้ท้องรถมีรูพรุนเพราะถูกสนิมกัด ขนาดพื้นรถยังมีรู คุณอาจมีรถสวยที่สุดในโลก แต่ที่สุดแล้ว ถ้าต้องเจอทั้งหิมะ น้ำแข็ง และเกลือ ไม่ช้าก็จะเป็นสนิม สนิมเป็นตัวการทำลายพอๆกับตัวมอด ทำลายทรัพย์สินที่เราใช้เงินที่หามาอย่างยากลำบากซื้อ
ขโมย: มีเงินเยอะและร่ำรวย จะมาพร้อมกลับความกลัวว่าจะมีใครมาเอาไป มนุษย์จึงทำทุกอย่างในอำนาจ ปกป้องสิ่งที่ตนเองมี ล้อมรั้วบ้านด้วยกำแพงสูง ขโมยปีนยาก มียาม กล้องวงจรปิด มีที่ลึกลับซ่อนตู้เซฟไว้เก็บเพชรพลอยและทรัพย์สินมีค่าอื่นๆ แล้วขโมยทำอย่างไร? งัดเข้ามา เจาะหาทรัพย์ที่เจ้าของอุตส่าห์แอบซ่อนเอาไว้ ทำทุกวิถีทางขโมยไปให้ได้
คุณคิดว่าสิ่งใดมีค่าสำหรับคุณ? เพราะอะไรที่คุณมองว่ามีค่าจะบอกได้ว่าใจคุณอยู่ที่ไหน อาจเป็นเงินทองและความมั่งคั่ง อาจเป็นอำนาจบารมี และต้องการให้คนเห็นว่าคุณคือสุดยอดผู้นำ อาจเป็นท่าทีมีธรรมะแต่เปลือกนอก ผู้คนยกย่องสรรเสริญ อาจเป็นความโด่งดังเป็นที่ยอมรับเพราะหน้าตา บุคลิกและเสื้อผ้าที่สวมใส่ อาจเป็นบ้านหรู มีอุปกรณ์อำนวยความสะดวกครบครัน อาจเป็นครอบครัวที่ประสบความสำเร็จ เลี้ยงลูกได้ดี ตรงนี้แหละที่พระเยซูเรียกให้เราเปลี่ยนความคิดเสียใหม่ จากสิ่งของชั่วคราวไปยังสิ่งที่เป็นนิรันดร์ จากสิ่งที่ผ่านมาแล้วผ่านไป ไปเป็นสิ่งที่ยั่งยืนถาวร คุณคงไม่เคยเห็นรถบรรทุกศพที่มีรถพ่วงลากสมบัติตามไปด้วย ถ้าเห็นเราคงช็อค เพราะรู้ดีว่าทรัพย์สมบัติทางโลกที่ส่ำสมมา ไม่อาจไปกับเราได้ เป็นแค่ของชั่วคราว ตลอดคำเทศนาบนภูเขา พระเยซูเรียกให้เราสำนึกผิด กลับใจ ให้เปลี่ยนความคิดและทัศนคติเสียใหม่ และให้เป็นเหมือนรายชื่อบุคคลที่อยู่ในพระธรรมฮีบรู 11 คนที่มีนิรันดร์กาลในจิตใจ และยึดพระสัญญาตามที่พระเจ้าให้ไว้
คนเหล่านี้ตายไปในความเชื่อ ยังไม่ได้รับตามพระสัญญา แต่สิ่งที่พวกเขาเห็นเป็นสิ่งที่พวกเขามั่นใจ โอบรับเอาไว้ และยอมรับว่าเป็นเพียงคนแปลกถิ่นที่ท่องเที่ยวไปในโลก คนที่กล่าวคำเหล่านี้ประกาศว่าพวกเขาแสวงหาที่จะกลับไปยังบ้านเกิดเมืองนอน และถ้าพวกเขาคิดอยู่ในใจเสมอว่าบ้านเมืองที่จากมา วันหนึ่งข้างหน้าจะได้กลับไป พวกเขาปรารถนาจะไปอยู่ในที่ๆประเสริฐกว่าคือ “เมืองสวรรค์” พระเจ้าจึงไม่ทรงรู้สึกอับอายที่ได้เป็นพระเจ้าของพวกเขา และพระองค์ทรงจัดเตรียมบ้านรอคอยต้อนรับพวกเขากลับบ้าน (ฮีบรู 11:13-16)
เมื่อนำมาเทียบกัน พระเยซูตรัสในมัทธิว 6:20 “แต่จงส่ำสมทรัพย์สมบัติไว้ในสวรรค์ที่ไม่มีแมลงจะกิน และไม่มีสนิมจะกัด และที่ไม่มีขโมยขุดช่องลักเอาไปได้” พระ เยซูกำลังตรัสถึงการส่ำสมทรัพย์สมบัตินิรันดร์ที่ไม่มีวันเสื่อมสลาย พระองค์หมายถึงทรัพย์สมบัติอะไร? หนังสือ 1เปโตร 1:3-6 กล่าวว่า :
3 สาธุการแด่พระเจ้าพระบิดาแห่งพระเยซูคริสตเจ้าของเราผู้ได้ทรงพระมหากรุณา แก่เราทรงโปรดให้เราบังเกิดใหม่เข้าสู่ความหวังใจอันมีชีวิตอยู่โดยการคืน พระชนม์ของพระเยซูคริสต์4 และเพื่อให้ได้รับมรดกซึ่งไม่รู้เปื่อยเน่าปราศจากมลทินและไม่ร่วงโรยซึ่ง ได้เตรียมไว้ในสวรรค์เพื่อท่านทั้งหลาย5 ซึ่งเป็นผู้ที่ฤทธิ์เดชของพระเจ้าได้ทรงคุ้มครองไว้ด้วยความเชื่อให้ถึงความ รอดซึ่งพร้อมแล้วที่จะปรากฏในวาระสุดท้าย 6 ในความรอดนั้นท่านทั้งหลายชื่นชมยินดีถึงแม้ว่าเดี๋ยวนี้จำเป็นที่ท่านจะ ต้องทนทุกข์ทรมานชั่วขณะหนึ่งในการถูกทดลองต่างๆ
มันมหัศจรรย์ที่รู้ว่าในฐานะผู้เชื่อ มีมรดกรอเราอยู่ และในฐานะบุตรของพระเจ้า เราจะได้รับชีวิตนิรันดร์! การได้อยู่กับพระคริสต์ เป็นบำเหน็จ คนที่ต่อสู้เพื่อให้ได้ทรัพย์สมบัติของโลก จะผิดหวังขนาดไหน เพราะทรัพย์สินเหล่านั้นจะเสื่อมสลายไป
12 บนรากนั้นถ้าผู้ใดจะก่อขึ้นด้วยทองคำเงินเพชรพลอยไม้หญ้าแห้งหรือฟาง13 การงานของแต่ละคนก็จะได้ปรากฏให้เห็นเพราะวันเวลาจะให้เห็นได้ชัดเจนเพราะ ว่าจะเห็นชัดได้ด้วยไฟไฟนั้นจะพิสูจน์ให้เห็นการงานของแต่ละคนว่าเป็นอย่าง ไร14 ถ้าการงานของผู้ใดที่ก่อขึ้นทนอยู่ได้ผู้นั้นก็จะได้ค่าตอบแทน15 ถ้าการงานของผู้ใดถูกเผาไหม้ไปผู้นั้นก็จะขาดค่าตอบแทนแต่ตัวเขาเองจะรอดแต่ เหมือนดังรอดจากไฟ (1โครินธ์ 3:12-15)
บั้นปลายชีวิตของผู้เชื่อ เราจะยืนต่อหน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ และรายงานสิ่งที่เราทำขณะมีชีวิตบนโลกนี้ ไม่ว่าเราวางสิ่งใดไว้บนรากฐานนั้น ไม่ว่าจะเป็นทองคำหรือฟาง จะต้องผ่านการพิสูจน์ในไฟว่าทนอยู่ได้หรือไม่ ผู้เชื่อที่สร้างความมั่งคั่งที่บนโลกนี้จะสูญเสียไป แต่จะได้รับความรอดเหมือนรอดออกมาจากไฟ แต่ผู้ที่ต่อสู้เพื่อส่ำสมทรัพย์สมบัติไว้ในสวรรค์จะได้รับบำเหน็จ ทรัพย์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคือได้เข้าสู่นิรันดร์กาล รับการอภัย และเป็นอิสระจากพันธนาการของบาป เพราะพระเยซูทรงสิ้นพระชนม์ ถูกฝังไว้ และฟื้นคืนพระชนม์
จึงมีคำถาม “แล้วเราจะส่ำสมทรัพย์สมบัติไว้ในสวรรค์ได้อย่างไร?” คำตอบคือดำเนินชีวิตอย่างที่พระเจ้าขอให้ทำ และทำตามในทุกสิ่งที่พระองค์ทำ ตัวอย่างเช่น – รักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง – ถ้าใครขาดแคลนเสื้อผ้าแล้วคุณมีเหลือใช้ แบ่งให้เขาบ้าง – เป็นผู้ให้ด้วยใจยินดี ถวายเกียรติพระเจ้าในชีวิตแต่งงาน ระวังความคิดที่ผิดศีลธรรม แบ่งปันข่าวประเสริฐกับผู้คนรอบข้าง หลายสิ่งเหล่านี้รวมลงมาได้เป็น – รักพระเจ้าของเจ้าด้วยสิ้นสุดจิตสิ้นสุดใจ สุดกำลัง และสุดความคิด และรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง
ถ้อยคำสุดท้ายในข้อ 21 พระเยซูทรงกลับไปที่เรื่องของจิตใจ “เพราะว่าทรัพย์สมบัติของท่านอยู่ที่ไหน ใจของท่านก็อยู่ที่นั่นด้วย” หนึ่งในพระบัญญัติสิบประการที่กล่าวว่า “อย่ามีพระเจ้าอื่นใดนอกเหนือจากเรา” (อพยพ 20:3) เมื่อเราปักใจอยู่บนของๆโลก และพ่ายแพ้ต่อการทดลองไปตามกระแสโลก เราก็กำลังทำผิดข้อกราบไหว้รูปเคารพ เพราะเราไม่ได้ปรนนิบัติพระเจ้าอีกต่อไป เราให้ความมั่งคั่งอยู่เหนือพระองค์ และปรนนิบัติใส่ใจกับความมั่งคั่งนั้น สิ่งนั้นคือพระเจ้าและชีวิตของเรา พระเยซูทรงท้าทายเราเหมือนกับที่ทรงท้าทายฝูงชนที่นั่งฟังในตอนนั้น ให้เราถามตัวเองว่าทรัพย์สมบัติเราอยู่ที่ไหน ถ้าทรัพย์สมบัติเราอยู่บนโลกและสิ่งของๆโลก ใจเราก็อยู่ที่นั่นด้วย ถ้าใจของเรามุ่งจับจ้องอยู่ที่พระบิดา และส่ำสมสมบัติไว้ในสวรรค์ ใจเราก็จะอยู่ที่นั่นด้วย
ทำให้นึกถึงภาพยนตร์เก่าเรื่อง “มัมมี่” นักแสดงที่เล่นเป็นเบนี่ ตอนจบของเรื่องเขาค้นพบห้องเก็บมหาสมบัติ เบนี่ครองสติไม่อยู่ ถูกความมั่งคั่งที่เห็นอยู่ต่อหน้าควบคุมสิ้น ผมแน่ใจว่าเบนี่มองเห็นภาพชีวิตที่สะดวกสบายหรูหรา และจะเป็นผู้มั่งคั่งที่สุดในโลก แต่เรื่องไม่ได้จบแค่นั้น มีบางอย่างเกิดขึ้นในวิหาร ห้องเก็บสมบัติมีทรายร่วงลงมาจนท่วม ประตูกำลังจะปิดไม่มีใครหนีรอดไปได้ เบนี่มีโอกาสที่จะหนี แต่อำนาจเงินทองและความร่ำรวยทำให้เขาติดกับ พยายามยัดสมบัติเหล่านั้นใส่กระเป๋า และลากถุงบรรจุทองคำหนักอึ้งออกไปด้วย ในที่สุดประตูก็ปิดลง และเบนี่ก็ติดอยู่หลังบานประตูนั้นพร้อมกับทรัพย์สมบัติมากมาย ไม่มีโอกาสได้เห็นเดือนเห็นตะวัน ไม่มีโอกาสได้ใช้เงินทองที่เขาลุ่มหลงอีกต่อไป อำนาจของเงินตราควบคุมเขาไว้ ทำให้จบชีวิตลงอย่างน่าอนาถ ขออย่าให้เราเข้าสู่บั้นปลายชีวิต ไล่ล่าความมั่งคั่งและทรัพย์สินของโลกนี้ เพื่อมารู้ตัวอีกทีว่าไล่ตามผิดทาง และถูกสิ่งที่พยายามไล่ล่านั้นควบคุมเอาไว้
“22 ตาเป็นประทีปของร่างกายเหตุฉะนั้นถ้าตาของท่านปกติทั้งตัวก็พลอยสว่างไปด้วย 23 แต่ถ้าตาของท่านผิดปกติทั้งตัวของท่านก็พลอยมืดไปด้วย เหตุฉะนั้นถ้าความสว่างซึ่งอยู่ในตัวท่านมืดไป ความมืดนั้นจะหนาทึบสักเพียงใดหนอ” (มัทธิว 6:22-23)
ตัวอย่างด้านล่างเกี่ยวข้องกับพระวจนะตอนนี้ ส่ำสมความมั่งคั่งบนโลกนี้ จะทำให้ภาพในความคิดของคุณไม่แจ่มชัด มองไม่เห็นความจริง ไม่เห็นพระประสงค์ของพระเจ้าอย่างถูกต้อง ความจริงถูกบิดเบือน ทำให้มองไม่เห็นพระเจ้าอย่างที่เราเคยเห็น และอย่างที่พระองค์ทรงเป็น
ตัวอย่างที่ 1 – เรื่องของอานาเนีย และสัปฟีรา (กิจการ 5:1-11) ในเรื่อง ชายคนนี้และภรรยาขายทรัพย์สมบัติที่มี นำเงินมามอบให้ มาวางไว้ที่เท้าของบรรดาอัครทูต เรื่องนี้เกิดขึ้นบ่อยในคริสตจักรยุคแรก:
34 เพราะว่าในพวกศิษย์ไม่มีผู้ใดขัดสนผู้ใดมีไร่นาบ้านเรือนก็ขายเสีย35 และนำเงินค่าของที่ขายได้นั้นมาวางไว้ที่เท้าของอัครทูตอัครทูตจึงแจกจ่าย ให้ทุกคนตามที่ต้องการ (กิจการ 4:34-35)
แต่มีสิ่งที่แตกต่างในเรื่องนี้ เมื่อพวกเขานำเงินมาวางให้อัครทูต อานาเนีย และสัปฟีรา ไม่ได้พูดความจริง พวกเขาบอกว่านำเงินที่ได้ “ทั้งหมด” จากการขายทรัพย์สินมาให้ แต่ที่จริงได้ยักยอกบางส่วนเก็บเอาไว้ เปโตรถามว่าทำไมพวกเขาจึงกล้าพูดโกหกต่อหน้าพระเจ้า และในนาทีนั้น อานาเนียก็ล้มลงตาย ไม่นานจากนั้นภรรยาที่พูดโกหกเรื่องการขายทรัพย์สินก็ตายลงด้วย อานาเนีย และสัปฟีราเคยเห็นมาก่อนว่าคนที่ถวายเช่นนี้เป็นที่ยอมรับและได้รับการ ยกย่อง จึงไปขายทรัพย์สินของตนบ้าง เพื่อจะได้มีคนเห็น เป็นที่ยอมรับ และได้รับคำชมเชยว่าเป็นผู้มีจิตวิญญาณสูง ทำเช่นนี้เขากำลังโกหกต่อพระวิญญาณบริสุทธิ์ ผลคือต้องจบชีวิตลง
ตัวอย่างที่ 2 – อุปมาเรื่องเศรษฐีโง่ (ลูกา 12:13-21) ในอุปมานี้พระเยซูทรงกล่าวถ้อยคำที่ลึกซึ้งที่เราต้องตั้งใจฟังให้ดี พระองค์ตรัสในข้อ 15 ว่า “..เพราะว่าชีวิตของคนมิได้อยู่ในการที่มีของฟุ่มเฟือย” อุปมา เรื่องเศรษฐีโง่พูดในเรื่องเดียวกัน เป็นเรื่องเศรษฐีคนหนึ่ง ที่ไร่นาของเขาเกิดผลบริบูรณ์มาก จึงตัดสินใจรื้อยุ้งฉางเก่าลง แล้วสร้างใหม่ให้ใหญ่โตกว่าเดิม พอเสร็จ กะจะเกษียน คิดว่ามีเงินที่ส่ำสมมาพอแล้ว ต่อไปนี้จะนั่งสบายๆใช้ชีวิตสนุกสนานให้คุ้ม เกิดอะไรขึ้นครับ? พระเจ้าเรียกเขาว่าคนโง่ ชีวิตของเขาจะถูกเรียกคืนไปในคืนนั้น พระเยซูทรงจบคำอุปมานี้ด้วยคำตรัสว่า “คนที่ส่ำสมทรัพย์สมบัติไว้สำหรับตัวและมิได้มั่งมีจำเพาะพระเจ้าก็เป็นเช่นนั้นแหละ“พวก เราหลายคนคอยเวลาที่จะได้นั่งพักผ่อนสบายๆหลังเกษียน ใช้เงินทองที่ส่ำสมมาเพื่อจะมีชีวิตบั้นปลายที่เพลิดเพลินสะดวกสบาย เศรษฐีคนนี้ถูกความร่ำรวยของตนเองควบคุมไว้ คิดแต่เรื่องเพิ่มพูนให้มากขึ้น แต่กลับต้องตายลงในคืนนั้น และมีคนอื่นมาเอาทรัพย์ที่เขาสะสมไปผลาญเสีย เขาไม่อาจนำสิ่งใดติดตัวไปได้เลย
ตอนต่อไป เราจะมาพูดในเรื่องเดียวกันแต่ในแบบที่แตกต่าง ใช้ตัวอย่างเรื่องของสายตา เมื่อความร่ำรวยเป็นจุดรวมสายตาในชีวิต การมองเห็นของเราจะบิดเบือน เมื่อสิ่งที่เรามองเห็นแซงหน้าสิ่งที่เป็นนิรันดร์ที่มองไม่เห็น เราก็มีสายตาสั้นฝ่ายวิญญาณ สายตาเป็นช่องทางให้ความสว่างส่องเข้าไปในร่างกาย และให้ความสว่างจนเรามองเห็นสิ่งต่างๆรอบตัวได้ ทำให้เราเห็นสีสัน ทัศนียภาพ และใบหน้าที่เรามองไป วิลเลี่ยม บาร์เคลย์ กล่าวไว้ว่า:
แนวคิดเบื้องหลังพระคัมภีร์ตอนนี้เป็นเหมือนเรื่องธรรมดาของเด็กๆ ดวงตาเปรียบเหมือนหน้าต่างที่เปิดรับแสงเข้าไปทั่วร่างกาย สีและสภาพของหน้าต่างเป็นตัวตัดสินว่าจะให้แสงจะเข้าไปได้แค่ไหน ถ้าหน้าต่างใสสะอาดและไม่บิดเบี้ยว แสงก็จะสาดเข้าไปในห้องได้เต็มที่ และจุดทั่วทุกมุมให้สว่างไสว แต่ถ้าหน้าต่างขุ่นมัว บิดเบี้ยว สกปรก หรือมีสีบังให้ไม่เห็นชัดเจน แสงก็จะถูกกั้น และห้องก็ไม่อาจสว่างได้ … ดังนั้นพระเยซูจึงตรัสว่าความสว่างที่ส่องเข้าไปในจิตใจและจิตวิญญาณของ มนุษย์ จำต้องพึ่งสถานะภาพฝ่ายวิญญาณของดวงตาซึ่งเป็นช่องทางให้แสงผ่าน เพราะดวงตาเป็นหน้าต่างของทั้งร่างกาย5
6 ในความรอดนั้นท่านทั้งหลายชื่นชมยินดี ถึงแม้ว่าเดี๋ยวนี้ จำเป็นที่ท่านจะต้องทนทุกข์ทรมานชั่วขณะหนึ่งในการถูกทดลองต่างๆ 7 เพื่อการลองดูความเชื่อของท่าน อันประเสริฐยิ่งกว่าทองคำ ซึ่งแม้เสียไปได้ก็ยังถูกลองด้วยไฟ จะได้เป็นเหตุให้เกิดความสรรเสริญ เกิดศักดิ์ศรีและเกียรติ ในเวลาที่พระเยซูคริสต์จะเสด็จมาปรากฏ พระองค์ผู้ที่ท่านทั้งหลายยังไม่ได้เห็น แต่ท่านยังรักพระองค์อยู่แม้ว่าขณะนี้ท่านไม่เห็นพระองค์ แต่ท่านยังเชื่อและชื่นชม ด้วยความปีติยินดีเป็นล้นพ้นเหลือที่จะกล่าวได้ 9 แล้ววิญญาณจิตของท่านทั้งหลายจึงได้รับความรอดเป็นผลแห่งความเชื่อ (1เปโตร 1:6-9)
ดวงตาที่เต็มไปด้วยความสว่างคือชีวิตที่ดำเนินไปโดยความเชื่อและในพระ สัญญานิรันดร์ของพระเจ้า เราอาจมองสิ่งต่างๆเหล่านี้ด้วยตาเปล่าไม่ได้ แต่เราเชื่อด้วยความเชื่อในความจริงว่าวันหนึ่งข้างหน้าเราจะเป็นเหมือนพระ คริสต์ – เป็นจุดสิ้นสุดของความเชื่อ ความรอดฝ่ายวิญญาณ เมื่อสายตาเราจับจ้องอยู่บนของๆโลกนี้ ของชั่วคราว สายตาเราจะพร่ามัวและเห็นได้ไม่ชัดเจน ผมยังจำได้ดีเมื่อมีสิ่งแปลกปลอมหลุดเข้าไปในตาสองวัน ทั้งเจ็บและน้ำตาไหลตลอดเวลา ลืมตาแทบไม่ได้ และอ่อนไหวต่อแสง ทำให้ไม่สามารถมองสิ่งต่างๆตามความเป็นจริงได้ เช่นเดียวกับทรัพย์สมบัติทางโลก เป็นตัวทำให้เรามองความเป็นจริงผิดเพี้ยน เห็นไม่ชัดเจน ลองมาดูตัวอย่างในฮีบรู 11:
17 เพราะอับราฮัมมีความเชื่อ ฉะนั้นเมื่อท่านถูกลองใจ ท่านจึงได้ถวายอิสอัคเป็นเครื่องบูชา และท่านซึ่งเป็นผู้ได้รับพระสัญญา ก็ได้พร้อมแล้วที่จะถวายบุตรคนเดียวของท่าน 18 คือบุตรที่มีพระดำรัสไว้ว่า เขาจะสืบเชื้อสายของเจ้าทางอิสอัค (ฮีบรู 11:17-18)
24 เพราะความเชื่อ เมื่อโมเสสโตแล้วท่านไม่ยอมให้ใครเรียกท่านว่า เป็นบุตรของธิดากษัตริย์ฟาโรห์ 25 ท่านเลือกการร่วมทุกข์กับชนชาติของพระเจ้าแทนการเริงสำราญในความชั่ว 26 ท่านถือว่าการอดทนต่อความอัปยศเพื่อพระคริสต์ ประเสริฐกว่าสมบัติของประเทศอียิปต์ เพราะท่านหวังบำเหน็จที่จะได้รับนั้น (ฮีบรู 11:24-26)
นี่เป็นสองตัวอย่างสำคัญของผู้ที่ได้ชื่อว่ามีวิสัยทัศน์แบบนิรันดร์กาล : พวกเขาเห็นชัดเจน เห็นถึงนิรันดร์กาลและเห็นบำเหน็จแทนที่จะเห็นแก่สิ่งของชั่วคราวที่ผ่านมา แล้วผ่านไป เพราะความเชื่อนี้ พระเจ้าจึงทรงใช้เขาได้อย่างเกิดผล
คำถามคือ “วิสัยทัศน์คุณเป็นอย่างไร?” เจมส์ บอยส์ กล่าวว่า :
คุณมองเห็นเรื่องฝ่ายวิญญาณชัดขนาดไหน? หรือวิสัยทัศน์และพระประสงค์ของพระเจ้าสำหรับชีวิตคุณมัวไปเพราะต้อกระจก ฝ่ายวิญญาณ หรือสายตาคุณสั้น และหมดเวลาไปกับเรื่องวุ่นวายใกล้ตัว? ผมมั่นใจว่าสิ่งนี้เป็นจริงสำหรับคริสเตียนหลายคน โดยเฉพาะคนที่ตกอยู่ภายใต้ความมั่งคั่งของโลกสมัยใหม่6
คุณเคยเอาแว่นตาของคนอื่นมาใส่หรือเปล่า? แล้วเห็นภาพต่างไปจากที่เคย จำได้ว่าตอนเรียนชั้นเตรียมอุดม เราขับรถไปตามถนนในออนตาริโอเหนือในตอนกลางคืน แล้วก็ปิดไฟหน้ารถ มันมืดมากมองอะไรไม่เห็นเพราะเราชินกับแสงไฟ พอไม่มีแสง ต้องใช้เวลากว่าสายตาจะปรับให้ชินกับความมืด แน่นอนเราเริ่มตกใจกลัว รีบเปิดไฟเผื่อเกิดพลาดพลั้ง เราสามารถโยงเรื่องนี้เข้ากับอุปมาเรื่องตาที่พระเยซูสอน ถ้าตาทางความคิดและจิตใจเราจับจ้องอยู่กับทรัพย์สมบัติทางโลก วิสัยทัศน์ของเราจะพร่ามัวและผิดเพี้ยน ไม่อาจแยกแยะพระประสงค์ของพระเจ้าสำหรับชีวิตเราได้อย่างถูกต้อง หรือเราอาจมองพระเจ้าได้ไม่ชัดเหมือนเคย ถ้าตาคุณไม่ดี ร่างกายคุณก็จะมืดมิดไปด้วย อะไรจะเกิดขึ้นได้ในความมืด? คุณก็สะดุดล้ม หรือเดินคลำทางหาแสงที่พอจะช่วยให้เห็นทาง เห็นข้าวของเพื่อจะไม่เดินไปชนหรือสะดุดล้ม เมื่อตาเราจับจ้องไปที่สิ่งของๆโลกนี้ สายตาเราก็แย่ ตัวเราก็มีแต่ความมืด เห็นความเป็นจริงได้ไม่ชัดเจน ถ้าตาในใจและในความคิดจับจ้องอยู่ที่พระบิดา เราก็ยืนอย่างถูกต้องต่อพระองค์ และเห็นพระองค์อย่างชัดเจน เห็นว่าพระองค์ทรงขอให้เราทำสิ่งใด “เหตุฉะนั้นถ้าตาของท่านปกติ ทั้งตัวก็พลอยสว่างไปด้วย” (มัทธิว 6:22 ข) ขอถามอีกครั้ง “วิสัยทัศน์คุณเป็นอย่างไร? สายตาคุณจับจ้องอยู่ที่ไหน?”
ตอนนี้เราเข้ามาถึงหัวใจสำคัญที่มีอำนาจมากในพระวจนะตอนนี้ พระคำข้อนี้ เป็นเหมือนจุดสูงสุดของคำเทศนาบนภูเขา เป็นคำถามที่สำคัญที่สุด “คุณกำลังปรนนิบัติผู้ใด?” คนชอบคิดว่าเขาสามารถเหยียบเรือสองแคมได้ คือได้สิ่งดีที่สุดจากทั้งสองฝั่ง – ทั้งบนโลกนี้ปรนเปรอตนเองด้วยความมั่งคั่งและชีวิตสะดวกสบาย และต่อมาตรงสุดถนนสายอนาคต ซึ่งก็คือสวรรค์ พระวจนะตอนนี้ พระเยซูตรัสว่า “ไม่มีผู้ใดเป็นข้าสองเจ้าบ่าวสองนายได้ เพราะว่าจะชังนายข้างหนึ่ง และจะรักนายอีกข้างหนึ่ง หรือจะนับถือนายฝ่ายหนึ่ง และจะดูหมิ่นนายอีกฝ่ายหนึ่ง ท่านจะปฏิบัติพระเจ้าและจะปฏิบัติเงินทองพร้อมกันไม่ได้” (มัทธิว 6:24) พระเยซูบอกเราตอนนี้ว่าเราไม่อาจรับใช้เจ้านายสองคนได้ เราไม่อาจรับใช้เงินทองและพระเจ้าได้ เราไม่อาจรับใช้ชื่อเสียงและพระเจ้าได้ เราไม่อาจปรนเปรอตนเองและปรนนิบัติพระเจ้าได้ เราไม่อาจปรนนิบัติครอบครัวและพระเจ้าได้ เรามีนายได้เพียงผู้เดียว อีกครั้ง พระเยซูท้าทายเราให้กลับไปพิจารณาคำเทศนาบนภูเขา ท้าทายเราให้สำนึกผิดกลับใจ เปลี่ยนความคิดเกี่ยวกับทรัพย์สมบัติทางโลก หรือสิ่งอื่นๆที่เราเคยปรนนิบัติ และมาปรนนิบัติพระองค์เพียงผู้เดียว คุณไม่มีทางทำได้แม้พยายามแค่ไหนก็ตาม คุณจะเสียสิ่งหนึ่งไป และในแทบทุกกรณี ที่เสียไปคือพระเจ้า ดร. ดี มาร์ติน ลอยด์-โจนส์ เล่าเรื่องนี้ไว้ :
ชาวไร่คนหนึ่ง … วันหนึ่งกลับมาบอกภรรยาด้วยความดีใจว่าวัวตัวที่ดีที่สุดของเขาออกลูกมาสอง ตัว สีแดงตัวหนึ่ง และอีกตัวสีขาว เขาพูดว่า “คุณรู้มั้ย พระเจ้าทรงนำให้ผมถวายลูกวัวตัวหนึ่งให้พระองค์ เราจะเลี้ยงทั้งคู่ให้โตไปด้วยกัน และเมื่อถึงเวลาขาย เราจะเก็บเงินค่าวัวตัวหนึ่งไว้ใช้ และอีกตัวนำไปใช้เพื่องานของพระเจ้า” ภรรยาจึงถามว่าตัวไหนที่จะถวายให้พระเจ้า ชาวไร่ตอบว่ายังไม่ต้องรีบร้อนตัดสินใจ “เราจะเลี้ยงวัวทั้งคู่ให้เหมือนกัน” เขาพูด “และเมื่อได้เวลาขาย เราจะขายทั้งคู่ออกไปอย่างที่พูดไว้” หลายเดือนหลังจากนั้น ชาวไร่คนนั้นเข้าไปในครัวด้วยท่าทางเศร้าสร้อย ภรรยาจึงถามว่าเกิดอะไรขึ้น เขาตอบว่า “ผมมีข่าวร้ายมาบอก วัวของพระเจ้าตายแล้ว” “แต่” เสียงภรรยาท้วงขึ้น “คุณบอกยังไม่ได้ตัดสินใจว่าตัวไหนเป็นของพระเจ้าไม่ใช่หรือ?” เขาตอบว่า “อ๋อ ผมคิดเสมอว่าต้องเป็นตัวสีขาว แล้วตัวสีขาวมันก็ตายแล้ว”7
เจมส์ บอยส์ กล่าวว่า “รู้สึกว่าวัวของพระเจ้าต้องตายทุกที – เว้นแต่เราชัดเจนว่าเราจะปรนนิบัติผู้ใด และรู้จักตนเอง หรือรู้จักสิ่งที่ตนเองครอบครองดี”8
ผมอยากจะยกตัวอย่างของบางคนที่มีมุมมองถูกต้องถึงความหมายของสิ่งนี้ หลายคนคงเคยได้ยินเรื่องนี้ เป็นหนึ่งในพระวจนะตอนที่ผมโปรด และเป็นตอนที่ท้าทายผมอย่างมากทุกครั้งที่อ่าน
7 แต่ว่าสิ่งใดที่เคยเป็นคุณประโยชน์แก่ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าถือว่าสิ่งนั้นไร้ประโยชน์แล้ว เพื่อเห็นแก่พระคริสต์ 8 ที่จริงข้าพเจ้าถือว่าสิ่งสารพัดไร้ประโยชน์ เพราะเห็นแก่ความประเสริฐแห่งความรู้ถึงพระเยซูคริสต์ องค์พระผู้เป็นเจ้าของข้าพเจ้า เพราะเหตุพระองค์ ข้าพเจ้าจึงได้ยอมสละสิ่งสารพัด และถือว่าสิ่งเหล่านั้นเป็นเหมือนหยากเยื่อเพื่อข้าพเจ้าจะได้พระคริสต์
อัครทูตเปาโลในแง่ของศาสนาเป็นผู้ที่เรียกได้ว่ามีครบถ้วน เข้าสุหนัตเมื่ออายุแปดวัน อยู่ในเผ่าเบนยามิน เป็นฮีบรูของฮีบรูแท้ ในเรื่องธรรมบัญญัติท่านเคยเป็นฟาริสี ในด้านความกระตือรือร้นท่านเองได้ข่มเหงคริสตจักร ในเรื่องความชอบธรรมตามบทบัญญัติ ท่านไม่มีข้อตำหนิ เปาโลจึงพร้อมครบถ้วน แต่ท่านสละทั้งหมดไป เพราะมองว่าเป็นเหมือนหยากเยื่อ คือเป็น “ขยะ” เพื่อท่านจะได้รู้จักพระคริสต์ และฤทธิอำนาจในการคืนพระชนม์ของพระองค์ ท่านกำลังรับใช้เจ้านายผู้เดียว และเจ้านายนั้นคือพระเยซูคริสต์ และพระองค์เพียงผู้เดียว สิ่งต่างๆที่เป็นของโลก และสิ่งที่โลกหยิบยื่นให้ ไม่อาจดึงดูดท่านได้ต่อไป เพราะพระบิดาทรงเปลี่ยนจิตใจท่าน ทำให้ท่านเป็นคนใหม่ ในชีวิตของท่าน เปาโลได้เปลี่ยนความคิด – ท่านสำนึกผิด และจวบจนวันสุดท้ายของชีวิตท่านติดตามพระคริสต์ ท่านเห็นความสำคัญของการส่ำสมทรัพย์ไว้บนสวรรค์ ท่านวางทุกสิ่งที่ปรนเปรอเนื้อหนังลงเพื่อจะสามารถดำเนินชีวิตโดยความเชื่อ ในสิ่งที่มองไม่เห็น และรอรับบำเหน็จเมื่อจากโลกนี้ไป – ความรอดฝ่ายวิญญาณ
แล้วเราล่ะ? พระเจ้าทรงขอสิ่งใดจากเรา? พระองค์ทรงขอให้เราทำอย่างเดียวกัน – เราต้องไม่รับใช้เจ้านายสองคน แต่รับใช้พระเยซูคริสต์ พระองค์ผู้เดียวเท่านั้น ด้านล่างเป็นพระวจนะบางตอนที่ย้ำถึงหัวใจของเรื่องนี้ เราต้องคำนวนราคา เพราะไม่พระองค์ก็ตัวเราเองที่จะติดตามความต้องการส่วนตัวไป ไม่ว่าจะเป็นเรื่องใดก็ตาม
เมื่อพระเยซูทรงเรียกให้ผู้คนมาติดตามพระองค์ไป รวมถึงสาวกของพระองค์ด้วย พระองค์บอกพวกเขาว่า “34 พระองค์จึงทรงร้องเรียกประชาชนกับเหล่าสาวกให้เข้ามา แล้วตรัสแก่เขาว่า “ถ้าผู้ใดจะใคร่ตามเรามา ให้ผู้นั้นเอาชนะตัวเอง และรับกางเขนของตนแบก และตามเรามา 35 เพราะว่าผู้ใดใคร่จะเอาชีวิตรอด ผู้นั้นจะเสียชีวิต แต่ผู้ใดจะเสียชีวิตเพราะเห็นแก่เราและข่าวประเสริฐ ผู้นั้นจะได้ชีวิตรอด 36 เพราะถ้าผู้ใดจะได้สิ่งของสิ้นทั้งโลก แต่ต้องเสียชีวิตของตน ผู้นั้นจะได้ประโยชน์อะไร 37 เพราะว่าผู้นั้นจะนำอะไรไปแลกเอาชีวิตของตนกลับคืนมา 38 ด้วยว่าถ้าผู้ใดมีความอายเพราะเราและถ้อยคำของเรา ในชั่วชีวิตนี้ซึ่งประกอบด้วยการชั่วคิดคดทรยศ บุตรมนุษย์ก็จะมีความอายเพราะผู้นั้น ในเวลาเมื่อพระองค์จะเสด็จมาด้วยพระสิริแห่งพระบิดา และด้วยเหล่าทูตสวรรค์ผู้บริสุทธิ์” (มาระโก 8:34-38)
“25 คนเป็นอันมากได้ไปกับพระองค์ พระองค์จึงทรงเหลียวหลังตรัสกับเขาว่า 26 “ถ้าผู้ใดมาหาเราและไม่ชังบิดามารดา บุตรภรรยา และพี่น้องชายหญิง แม้ทั้งชีวิตของตนเองด้วย ผู้นั้นจะเป็นสาวกของเราไม่ได้ 27 ผู้ใดมิได้แบกกางเขนของตนตามเรามา ผู้นั้นจะเป็นสาวกของเราไม่ได้ 28 ด้วยว่าในพวกท่านมีผู้ใดเมื่อปรารถนาจะสร้างตึก จะไม่นั่งลงคิดราคาดูเสียก่อนว่า จะมีพอสร้างให้สำเร็จได้หรือไม่ 29 เกรงว่าเมื่อลงรากแล้ว และกระทำให้สำเร็จไม่ได้ คนทั้งปวงที่เห็นจะเยาะเย้ยเขา 30 ว่า ‘คนนี้ตั้งต้นก่อ แต่ทำให้สำเร็จไม่ได้’ 31 หรือมีกษัตริย์องค์ใดเมื่อจะยกกองทัพไปทำสงครามกับกษัตริย์อื่น จะมิได้นั่งลงคิดดูก่อนหรือว่า ที่ตนมีพลทหารหมื่นหนึ่ง จะสู้กับกองทัพที่ยกมารบสองหมื่นนั้นได้หรือไม่ 32 ถ้าสู้ไม่ได้ เมื่อยังอยู่ห่างกัน ก็จะใช้พวกทูตไปขอเป็นไมตรีกัน 33 ก็เช่นนั้นแหละ ทุกคนในพวกท่านที่มิได้สละสิ่งสารพัดที่ตนมีอยู่ จะเป็นสาวกของเราไม่ได้” (ลูกา 14:25-33)
พระเจ้าทรงเรียกเราให้มีชีวิตที่รับใช้พระองค์อย่างเต็มกำลังในฐานะที่ พระองค์ทรงเป็นเจ้านาย อย่างที่กล่าวไปในตอนต้น มีนัยสำคัญมากมายเมื่อตระหนักได้ว่าพระเจ้าทรงเป็นพระบิดาของเรา และเราเป็นบุตรของพระองค์ พระเจ้าจะทรงคอยดูแลเราและจัดเตรียมในสิ่งที่จำเป็นเพียงพอตามที่พระองค์ เห็นสมควร แต่การทดลองให้เรายึดติดกับสิ่งของทางโลกถ่วงเราไว้ด้วยลูกตุ้มอันใหญ่ ลวงเราให้ไปวางใจในความร่ำรวย แทนที่จะวางใจในพระบิดา ในพระวจนะตอนต่างๆที่นำมาอ้างอิงด้านบน เราเห็นถึงการทรงเรียกอย่างล้ำเลิศให้ไปรับใช้พระบิดาในฐานะเป็นบุตร และในฐานะเป็นสาวกของพระองค์ มีถ้อยคำที่ฟังดูรุนแรงในบางตอน ถ้าคุณไม่ชังบิดามารดา (รักบิดามารดาน้อยกว่ารักพระเจ้า ข ผู้แปล) ฯลฯ คุณก็จะเป็นสาวกของพระองค์ไม่ได้ เป็นการทรงเรียกที่เข้มข้น ให้เราสละตนเองอย่างสิ้นเชิง และมาวางใจหมดสิ้นในพระบิดา ติดตามพระองค์ไป เราถูกเรียกร้องให้ปฏิเสธตนเอง แปลว่าตนเองไม่มีสิทธิอะไร เราถูกเรียกให้มารับกางเขนของเรา แปลว่าเราต้องเดินไปบนเส้นทางเดียวกับที่พระเยซูเคยไป ยอมวางชีวิตของเราลงเพื่อพระองค์และข่าวประเสริฐแห่งพระกิตติคุณ และเราถูกเรียกให้ตามพระองค์ไป ให้เลียนแบบพระเยซูคริสต์ในทุกสิ่งที่พระองค์ทำ ทำตามตัวอย่างและคำสอนของพระองค์9 พระเยซูต้องการทั้งใจของเรา ปรารถนาให้เรามีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับพระบิดาเหมือนกับพระองค์ เราไม่อาจรับใช้พระเจ้าและความร่ำรวยของโลกนี้ มันเป็นไปไม่ได้ เพราะเราจะเกลียดชังฝ่ายหนึ่ง รักและติดตามอีกฝ่ายไป ไม่ว่าคุณจะรับใช้ฝ่ายไหน ฝ่ายนั้นก็คือเจ้านายของคุณ ถ้าเป็นความร่ำรวย ความร่ำรวยนั้นก็เป็นนายของคุณ และมีอำนาจควบคุมอยู่เหนือคุณ ถ้าเป็นพระบิดา พระองค์ก็ทรงเป็นจอมเจ้านายของคุณ พระองค์จะทรงควบคุมอยู่เหนือคุณ ตกลงคุณกำลังปรนนิบัติผู้ใด?
(1) ในบทสรุปนี้ ผมต้องการให้คุณตระหนักว่า พระเจ้าไม่ได้กล่าวโทษเราที่เป็นคนมั่งคั่งร่ำรวย คำถามคือ “คุณกำลังปรนนิบัติสิ่งเหล่านั้นและทำบาปแห่งการกราบไหว้รูปเคารพโดยให้สิ่ง เหล่านั้นเป็นพระของคุณหรือ? เงินทองไม่ใช่สิ่งเลวร้าย แต่การรักเงินทองต่างหากที่เป็นรากเหง้าของความชั่ว “ด้วยว่าการรักเงินทองนั้นเป็นมูลรากแห่งความชั่วทั้งมวล และเพราะความโลภนี่แหละ จึงทำให้บางคนห่างไกลจากความเชื่อ และตรอมตรมด้วยความทุกข์” (1ทิโมธี 6:10)
17 สำหรับคนเหล่านั้นที่มั่งมีฝ่ายโลก จงกำชับเขาอย่าให้มีมานะทิฐิ หรือให้เขามุ่งหวังในทรัพย์ที่ไม่เที่ยง แต่จงหวังในพระเจ้าผู้ทรงประทานทุกสิ่ง เพื่อความสะดวกสบายของเรา 18 จงกำชับให้เขากระทำดี ให้กระทำดีมากๆ ให้เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ และไม่เห็นแก่ตัว 19 อย่างนี้จึงจะเป็นการวางรากฐานอันดีไว้สำหรับตนเองในภายหน้า เพื่อว่าเขาจะได้รับเอาชีวิต ซึ่งเป็นชีวิตอันแท้จริง (1ทิโมธี 6:17-19)
ทำให้นึกถึงเรื่องของเดมาส “จงพยายามมาพบข้าพเจ้าโดยเร็ว เพราะว่าเดมาส ได้หลงรักโลกปัจจุบันนี้เสียแล้ว และได้ทิ้งข้าพเจ้าไปยังเมืองเธสะโลนิกา เครสเซนส์ได้ไปยังแคว้นกาลาเทีย ทิตัสได้ไปยังเมืองดาลมาเทีย” (1ทิโมธี 4:9-10)
(2) การล่อลวงให้ส่ำสมทรัพย์สมบัติเป็นการล่อลวงของแท้ที่เราทุกคนต้องเผชิญตั้งแต่เล็กจนโต ไม่ นานมานี้ผมได้ไปที่ชิคาโก ตลอดเวลาสุดสัปดาห์ที่นั่น ผมก็คิด “ถ้ามีเงินสักหน่อย ผมจะทำนี่ได้” หรือ “ผมคงซื้อบ้านริมทะเลสาบที่มิชิแกนได้” หรือ “ซื้อรถสุดเท่คันนั้นได้” เราไปที่ถนนรัช มองไปที่โชว์รูมรถเบนท์ลี่ย์ที่ตกแต่งไว้ครบครัน รวมถึงรถยี่ห้ออื่นๆ รถสปอร์ตสีสันโฉบเฉี่ยว ทั้งเหลืองทั้งแดง เฟอร์รารี่ แอสตันมาร์ติน ไปจนถึงพอร์ช 911 ผมก็คิดว่ามันคงจะสุดยอดถ้าได้ขับรถคันใดคันหนึ่งกลับบ้าน คนที่เห็นจะมองผมยังไง? การทดลองนี้จริงยิ่งกว่าจริง และไม่ใช่แค่เรื่องรถยนต์หรือบ้าน มันรวมไปถึงเสื้อผ้า เครื่องเล่นเกมส์ อุปกรณ์ไฟฟ้า อุปกรณ์สื่อสารต่างๆ คอมพิวเตอร์ เครื่องเพชร ครอบครัว ชื่อเสียง อำนาจบารมี และความหลอกลวงอื่นๆ การทดลองนี้จริง เราจำเป็นต้องสวมยุทธภัณฑ์ทั้งชุดของพระเจ้าเพื่อต่อสู้เอาชนะ ศัตรูของเราไม่ได้ต้องการอะไรมากไปกว่าดึงดูดให้เราไปหลงไหลได้ปลื้มกับความ เพลิดเพลินชั่วคราวและของๆโลกเหล่านั้นที่กันเราออกจากความสัมพันธ์ใกล้ชิด กับพระบิดา
(3) ทรัพย์สมบัติคุณอยู่ที่ไหน? ในแต่ละสัปดาห์ผมจะถามลูกศิษย์ ผมไม่ทราบว่าใจของคุณอยู่ไหน หรือใจของคุณติดตามใคร หรืออยากไปปรนนิบัติสิ่งใด มีแค่สองตัวเลือกเท่านั้น – ตนเอง หรือพระเจ้า – ผมรู้ว่าถ้าคุณเลือกตนเองโดยเร่งส่ำสมความมั่งคั่ง ชื่อเสียง หรือไม่ว่าคุณจะได้เป็นใคร มันจะมาและจะจากไป เพราะมันชั่วคราว แต่ถ้าคุณเลือกรับใช้พระเจ้าด้วยสิ้นสุดจิตใจ สุดความคิด และสุดกำลัง คุณจะไม่มีวันผิดหวัง มีมรดกคอยอยู่เมื่อคุณได้ไปอยู่กับพระเจ้า ผมขอให้ทุกคนสำนึกผิดกลับใจจากสิ่งของชั่วคราว เปลี่ยนความคิดจิตใจและอุปนิสัย เรียกร้องให้มีการกลับใจในทุกๆวัน เพราะเป็นสงครามต่อเนื่องที่เราต้องเผชิญในแต่ละวัน เราเองเห็นถึงฤทธิอำนาจของข่าวประเสริฐ และกลับใจ และเป็นสิ่งที่ต้องทำทุกๆวัน เราต้องเห็นถึงพระคุณของข่าวประเสริฐในชีวิตทุกๆวัน และมันส่งผลต่อชีวิตแต่ละวันของเรา เราต้องดำเนินชีวิตโดยพระคุณ โดยทางความเชื่อ และสิ่งที่กำลังจะมา
ขอจบท้ายด้วยเรื่องที่เลือกมา เป็นเรื่องมิชชันนารีสตรีที่มีแรงบันดาลใจกับผมอย่างมหาศาล ดาร์ลีน เด็บเบลอร์ โรส ผู้สูญเสียทุกสิ่ง แต่กลับได้คืนมากกว่า
“คุณนายยุสตรามาหาที่ค่ายกักกัน มาขอพบเพื่อพูดคุยกับดิฉัน (ดาร์ลีน เด็บเบลอร์ โรส) สักครู่ … “ดิฉันมาเพื่อแจ้งว่าสามีของคุณที่อยู่ในพารีพารี ป่วยหนัก …” มองหน้าเธอ นัยตาเธอเต็มด้วยน้ำตา ฉันจับไหล่เธอ ร้องถาม “โอ คุณนายยุสตรา คุณกำลังบอกว่าเขาจากไปแล้วหรือ?” เธอตอบว่า “ค่ะ ประมานสามเดือนที่แล้ว เขาตายที่ค่ายทหารในพารีพารี” ฉันตกตะลึง – รัสเซลตายแล้ว ตายไปเมื่อสามเดือนที่แล้ว เป็นหนึ่งในช่วงเวลาที่ฉันรู้สึกว่าพระเจ้าทอดทิ้งฉันไป พระองค์ทรงลืมฉันไปแล้ว โลกทั้งใบของฉันถล่มลงมาต่อหน้าต่อตา ฉันเดินออกมาจากคุณนายยุสตรา ในความทุกข์อย่างแสนสาหัส ฉันเงยหน้าขึ้น พระเจ้าของฉันทรงอยู่ที่นั่น ฉันร้องทูล ‘พระเจ้า โอ้พระเจ้า’ ในทันทีพระองค์ทรงตอบ “ลูกเอ๋ย เราไม่ได้บอกเจ้าหรือ ว่าเมื่อเจ้าเดินผ่านน้ำ เราจะอยู่ด้วยกับเจ้า และในน้ำที่ท่วมนั้น มันจะไม่ท่วมเจ้า?’”10
นี่คือสตรีที่สูญเสียทุกสิ่ง รวมถึงสามีของเธอ เธออยู่ในค่ายกักกันในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง แต่เธอได้พบว่าพระเจ้าทรงสัตย์ซื่อตลอดเวลาเหล่านั้น พบว่าการมอบชีวิตให้พระเยซูคริสต์มีคุณค่ามากมาย มากกว่าสิ่งอื่นใดที่เธอมีบนโลกนี้ และในช่วงเวลาที่ยากลำบากและทุกข์ใจขณะอยู่บนโลกใบนี้ พระเจ้าทรงใช้สตรีท่านนี้ให้เกิดผลมากมายกับรรดานักโทษด้วยกันที่ในค่าย กักกัน รวมถึงผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นศัตรูที่ควบคุมเธออยู่ และอย่างที่จิม เอเลียตเขียน “เขาไม่ใช่คนเขลาที่ยอมสละในสิ่งที่รักษาเอาไว้ไม่ได้ เพื่อให้ได้ในสิ่งที่จะไม่มีวันสูญเสียไป”
ทรัพย์สมบัติคุณอยู่ที่ไหน? วิสัยทัศน์คุณเป็นอย่างไร? และคุณกำลังปรนนิบัติผู้ใด? ผมอธิษฐานขอให้คุณปรนนิบัติพระบิดาของเราองค์เดียวเท่านั้นนะครับ
(แปล อรอวล ระงับภัย คริสตจักรแห่งความสุข)
1 192 ลิขสิทธิ 2003 โดย Bible Chapel, 418 E. Main Street, Richardson, TX 75081. ดัดแปลงจากต้นฉบับของบทเรียนที่ 29 ในบทเรียนต่อเนื่องของพระกิตติคุณมัทธิว จัดเตรียมโดย เลนนี่ คอร์เรล 7 กันยายน 2003Copyright 2003
2 193 นอกเหนือจากที่บ่งไว้ พระวจนะที่นำมาใช้ในภาษาอังกฤษมาจากฉบับ Holy Bible, New King James Version. Copyright 1990 โดย Thomas Nelson, Inc. (New York, New York: American Bible Society).
3 194 ดี มาร์ติน ลอยด์-โจนส์ จากหนังสือ Studies in the Sermon on the Mount (Grand Rapids, Michigan: Eerdmans Publishers, 1971), vol. 2, หน้า 78.
4 195 จากหนังสือของ Tedd Tripp, Shepherding a Child’s Heart (Wapwallopen, Pennsylvania: Shepherd Press, 1995), หน้า 3.
5 196 จากหนังสือของ William Barclay, The Gospel of Matthew (Philadelphia, Pennsylvania: The Westminster Press, 1958), vol. 4, หน้า 43.
6 197จากหนังสือของ James Montgomery Boice, The Sermon on the Mount, Matthew 5-7 (Grand Rapids, Michigan: Baker Books, 1972), หน้า 216-17.
7 198 จาก Lloyd-Jones, หน้า 95-96.
9 200 จาก William MacDonald, True Discipleship (Kansas City, Kansas: Walterick Publishers, 1975), หน้า 6-7.
10 201 จากเรื่องราวของ Darlene Deibler Rose, Evidence Not Seen (New York, New York: Harper and Row, 1990) หน้า 109
1 เมื่อพระองค์เสด็จลงมาจากภูเขาแล้วคนเป็นอันมากได้ติดตามพระองค์ไป 2 ขณะนั้นมีคนโรคเรื้อนมากราบไหว้พระองค์แล้วทูลว่า “พระองค์เจ้าข้าเพียงแต่พระองค์จะโปรดก็จะทรงบันดาลให้ข้าพระองค์หายโรค ได้”3 พระองค์ทรงยื่นพระหัตถ์ถูกต้องเขาแล้วตรัสว่า “เราพอใจแล้วจงหายเถิด” ในทันใดนั้นโรคเรื้อนของเขาก็หาย 4 ฝ่ายพระเยซูตรัสสั่งเขาว่า “อย่าบอกเล่าให้ผู้ใดฟังเลยแต่จงไปสำแดงตัวแก่ปุโรหิตและถวายเครื่องบูชาตาม ซึ่งโมเสสได้สั่งไว้เพื่อเป็นหลักฐานต่อคนทั้งหลายว่าเจ้าหายโรคแล้ว”2
5 เมื่อพระเยซูเสด็จเข้าไปในเมืองคาเปอรนาอุมมีนายร้อยคนหนึ่งมาอ้อน วอนพระองค์ 6 ว่า “พระองค์เจ้าข้าบ่าวของข้าพระองค์เป็นง่อยอยู่ที่บ้านทนทุกข์เวทนามาก” 7 พระเยซูจึงตรัสกับเขาว่า “เราจะไปรักษาเขาให้หาย”8 นายร้อยผู้นั้นทูลพระองค์ว่า “พระองค์เจ้าข้าข้าพระองค์เป็นคนไม่สมควรที่จะรับเสด็จพระองค์เข้าใต้ชายคา ของข้าพระองค์ขอพระองค์ตรัสเท่านั้นบ่าวของข้าพระองค์ก็จะหายโรค 9 ข้าพระองค์รู้ดีเพราะเหตุว่าข้าพระองค์อยู่ใต้วินัยทหารแต่ก็ยังมีทหารอยู่ ใต้บังคับบัญชาของข้าพระองค์ข้าพระองค์จะบอกแก่คนนี้ว่า ‘ไป’ เขาก็ไปบอกแก่คนนั้นว่า ‘มา’ เขาก็มาบอกทาสของข้าพระองค์ว่า ‘จงทำสิ่งนี้’ เขาก็ทำ”10 ครั้นพระเยซูทรงได้ยินดังนั้นก็ประหลาดพระทัยนักตรัสกับบรรดาคนที่ตามพระ องค์ว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่าเราไม่เคยพบศรัทธาที่ไหนมากเท่านี้แม้ใน อิสราเอล 11 เราบอกท่านทั้งหลายว่าคนเป็นอันมากจะมาจากทิศตะวันออกและทิศตะวันตกจะมาร่วม สำรับกับอับราฮัมและอิสอัคและยาโคบในแผ่นดินสวรรค์12 แต่ชาวแผ่นดินนั้นจะต้องถูกขับไล่ไสส่งออกไปในที่มืดที่นั่นจะมีเสียง ร้องไห้ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน” 13 แล้วพระเยซูจึงตรัสกับนายร้อยว่า”จงกลับบ้านเถิดท่านมีศรัทธาแล้วจงได้ผลตาม ศรัทธานั้น” ในทันใดนั้นเองบ่าวของเขาก็หายเป็นปกติ3
14 ครั้นพระเยซูเสด็จเข้าไปในเรือนของเปโตรก็ทรงเห็นแม่ยายของเปโตรนอนป่วยจับ ไข้อยู่ 15 พอพระองค์ทรงจับมือนางความไข้ก็หายนางจึงลุกขึ้นปรนนิบัติพระองค์ 16 พอค่ำลงเขาพาคนผีเข้าสิงเป็นอันมากมาหาพระองค์พระองค์ก็ทรงขับผีออกด้วยพระ ดำรัสและบรรดาคนเจ็บป่วยทั้งหลายนั้นพระองค์ก็ได้ทรงรักษาให้หาย17 ทั้งนี้เพื่อจะให้สำเร็จตามพระวจนะโดยอิสยาห์ผู้เผยพระวจนะที่ว่าท่านได้แบก ความเจ็บไข้ของเราทั้งหลายและหอบโรคของเราไป”4 (มัทธิว 8:1-17)5
ถ้อยคำแรกของมัทธิวบทที่ 8 เชื่อมต่อด้วยการทำอัศจรรย์หลังจากที่พระเยซูเสร็จจากการเทศนาบนภูเขา :
เมื่อพระองค์เสด็จลงมาจากภูเขาแล้วคนเป็นอันมากได้ติดตามพระองค์ไป (มัทธิว 8:1)
มัทธิวคงต้องการให้ผู้อ่านเห็นการเชื่อมโยงระหว่างคำเทศนาบนภูเขาในบทที่ 5-7 และการอัศจรรย์ที่ตามมาในบทที่ 8 ให้เริ่มต้นด้วยการทบทวนว่าเราเรียนอะไรมาบ้างจนถึงบทนี้
ในบทที่ 1 และ 2 มัทธิวบันทึกเรื่องต้นกำเนิดของพระเยซู เรื่องราวการถือกำเนิดมาของพระเยซูถูกออกแบบมาเพื่อให้ผู้อ่านตระหนักได้ ว่าพระเยซูคือพระเมสซิยาห์ตามพระสัญญา สืบเชื้อสายมาทางอับราฮัม (1:1) และทางดาวิด (1:5-6) ดังนั้นพระองค์ทรงถือกำเนิดมาในเชื้อสายของพระเมสซิยาห์ สี่ครั้งในสองบทนี้ มัทธิวกล่าวว่าเหตุการณ์นี้เป็นไปตามคำพยากรณ์ในพระคัมภีร์เดิม6เรา จึงได้เห็นว่าในพงษ์พันธ์ของพระเยซู มีคนต่างชาติเกี่ยวข้องด้วย (1:3, 5) และพวกโหราจารย์ (2:1-12) ที่เดินทางมาเพื่อนมัสการ “กษัตริย์ของชาวยิว” และยังได้เห็นความวุ่นวายใจในท่ามกลางชาวยิวในเยรูซาเล็ม (2:3) และการอาฆาตมาดร้ายอย่างรุนแรงของเฮโรด
ในบทที่ 3 เป็นเรื่องของยอห์นผู้ให้บัพติศมา การมาของยอห์นทำให้คำพยากรณ์ในอิสยาห์ 40:3 (มัทธิว 3:3) เกิดขึ้นเป็นจริง ยอห์นประกาศว่าแผ่นดินของพระเจ้ามาใกล้แล้ว และเรียกร้องให้ผู้คนสำนึกผิดกลับใจจากบาป รอรับการเสด็จมาขององค์พระผู้เป็นเจ้า ในขณะเดียวกัน ท่านกล่าวตำหนิพวกฟาริสีและสะดูสีที่มาเฝ้าดูด้วยความหน้าซื่อใจคด พวกเขาถูกท้าทายให้ “พิสูจน์การกลับใจของเจ้าด้วยผลที่เกิดขึ้น” (3:8) พระเมสซิยาห์กำลังเสด็จมาใกล้แล้ว ขณะที่ยอห์นให้บัพติศมาด้วยน้ำ พระเมสซิยาห์จะให้ “บัพติศมา” ด้วยไฟ (3:11-12) พระเยซูเสด็จไปหายอห์นเพื่อรับบัพติศมา หลังจากที่ยอห์นรีรอไม่แน่ใจ ท่านก็ยอมให้บัพติศมาพระเยซู ในทันใดนั้น พระบิดา พระวิญญาณของพระเจ้าลงมาสถิต ยืนยันว่าพระเยซูทรงเป็นพระบุตรที่รักยิ่งของพระเจ้า เป็นพระเมสซิยาห์ (3:13-17)
ในบทที่ 4 พระเยซูทรงมีชัยชนะเหนือการผจญของมารในถิ่นทุรกันดาร (4:1-11) หลังจากที่ยอห์นถูกจับ พระเยซูเสด็จออกจานาซาเร็ธ ย้ายไปคาร์เปอรนาอุม ซึ่งเป็นไปตามคำพยากรณ์ของอิสยาห์ 9:1 (4:15-16) และที่นี่พระเยซูทรงเรียกสาวกอย่างน้อยสี่คน – เปโตร อันดรูว์ ยากอบ และยอห์น (4:18-20) และพระองค์ทรงเริ่มเทศนาสั่งสอน และรักษาโรค ทำให้ดึงดูดฝูงชนมากมาย:
23 พระเยซูได้เสด็จไปทั่วแคว้นกาลิลีทรงสั่งสอนในธรรมศาลาของเขาทรงประกาศข่าว ประเสริฐเรื่องแผ่นดินของพระเจ้าและทรงรักษาโรคภัยไข้เจ็บของชาวเมืองให้หาย 24 กิตติศัพท์ของพระองค์ก็เลื่องลือไปทั่วประเทศซีเรียเขาจึงพาคนป่วยเป็นโรค ต่างๆคนที่ทนทุกข์เวทนาคนผีเข้าคนเป็นลมบ้าหมูและคนเป็นอัมพาตมาหาพระองค์ พระองค์ก็ทรงรักษาเขาให้หาย 25 และมีคนหมู่ใหญ่มาจากแคว้นกาลิลีและแคว้นทศบุรีและกรุงเยรูซาเล็มและแคว้นยู เดียและแม่น้ำจอร์แดนฟากตะวันออกติดตามพระองค์ไป (มัทธิว 4:23-25)
และนำสู่การเทศนาบนภูเขา (มัทธิว 5-7) สาระสำคัญในคำสอนของพระเยซู (ข่าวประเสริฐแห่งพระกิตติคุณ) จึงเริ่มต้น หัวใจสำคัญคือพระองค์ทรงแสดงให้เห็นชัดเจนเรื่องความสัมพันธ์ของสิ่งที่ พระองค์ประกาศ และการเชื่อมโยงเข้ากับธรรมบัญญัติในพระคัมภีร์เดิม ในด้านหนึ่ง พระเยซูทรงแก้ไขการตีความธรรมบัญญัติอย่างผิดๆ และนำมาใช้ในยุคนั้น – ผู้นำศาสนาชาวยิวยังสนับสนุนให้นำข้อผิดพลาดนั้นมาใช้ด้วย พวกเขาเน้นแต่การเชื่อฟังภายนอก พระเยซูทรงเน้นเข้าไปในจิตใจ พวกเขาสอนว่าฆ่าคนเป็นสิ่งผิด พระเยซูทรงสอนว่าแค่คิดว่าเพื่อนบ้านของคุณไร้ค่า หรือไม่ยอมคืนดีในความสัมพันธ์ที่แตกหัก ก็ผิด (5:21-26) พวกเขาสอนว่าการล่วงประเวณีเป็นบาป พระเยซูสอนว่าแค่มองให้เกิดใจกำหนัดก็บาปแล้ว (5:27-30)
ศาสนายูดายได้เปลี่ยนบทบัญญัติในพระคัมภีร์เดิมไปเป็นระบอบการพากเพียรทำ พระเยซูสอนว่าไม่มีใครรับความรอดได้โดยดำเนินชีวิตให้ได้ตามธรรมบัญญัติ แม้แต่ผู้สอนธรรมบัญญัติและฟาริสี ที่ดูเหมือนเคร่งครัดศรัทธาที่สุดแล้วในศาสนายิว:
“เพราะเราบอกท่านทั้งหลายว่าถ้าความชอบ ธรรมของท่านไม่ยิ่งกว่าความชอบธรรมของพวกธรรมาจารย์และพวกฟาริสีท่านจะไม่มี วันได้เข้าสู่แผ่นดินสวรรค์” (มัทธิว 5:20)
ถ้อยคำที่น่าตระหนกนี้สื่อไปยังคนฟังที่นั่งรายล้อม และหลายคนที่นึกเอาว่าตนเองยังไงก็ได้ไปสวรรค์ (ทำให้สงสัยว่า) จะได้ไปจริงหรือ? และที่น่าตระหนกกว่า พระเยซูทรงระบุด้วยว่าใครได้ไป ไม่ได้ไป – ผู้ที่รู้สึกบกพร่องฝ่ายวิญญาณ, ผู้ที่โศกเศร้า, ผู้ที่มีใจอ่อนโยน, ผู้ที่มีใจกรุณา และผู้ที่ถูกข่มเหง (5:1-16) ศาสนาเที่ยงแท้ไม่ใช่แค่เรื่องของการทำดี แต่เป็นเรื่องของความเชื่อ ไม่ใช่เป็นสิ่งที่เห็นจากภายนอก แต่เป็นเรื่องของจิตใจภายใน ศาสนาเที่ยงแท้ไม่ใช่เป็นสิ่งที่ผู้นำศาสนาอยากจะให้เหมือนให้ทาน หรืออยากจะกักเก็บเอาไว้เองก็ได้ แต่ทุกสิ่งคือองค์พระเยซูคริสต์ ดังนั้นพระองค์จึงทรงเตือนผู้คนถึง “ทางกว้าง” ที่นำไปสู่ความพินาศ (7:13-14) และผู้เผยพระวจนะหรือคนสอนศาสนาเทียมเท็จ (7:15-23)
ในบทสรุปคำเทศนาของพระเยซู พระองค์ทรงเน้นและย้ำว่าความเชื่อแท้ไม่ใช่เป็นแค่ถ้อยคำสวยหรู แต่เป็นการกระทำที่แสดงออกถึงความเชื่อนั้น (7:24-27) ไม่ใช่แค่คนที่ได้ยินว่าได้รับความรอด แต่เป็นคนที่จริงจังกับข่าวประเสริฐ การกระทำเป็นตัวบ่งถึงสิ่งที่พูด คำพูดพิสูจน์ได้ด้วยการลงมือทำ7 คำลงท้ายของบทที่ 7 ทำให้ฝูงชนที่ฟังอยู่สัมผัสได้ถึงสิทธิอำนาจของพระเยซู ซึ่งต่างจากผู้นำศาสนาของพวกเขา:
28 ครั้นพระเยซูตรัสคำเหล่านี้เสร็จแล้วประชาชนทั้งปวงก็อัศจรรย์ใจด้วยคำสั่ง สอนของพระองค์ 29 เพราะว่าพระองค์ได้ทรงสั่งสอนเขาด้วยสิทธิอำนาจหาเหมือนพวกธรรมาจารย์ของเขา ไม่ (มัทธิว 7:28-29)
ผมเชื่อว่าข้อพระคำที่ต่อจากนั้นในมัทธิวบทที่ 8 เป็นสิ่งที่สนับสนุนสิทธิอำนาจของพระเยซู พระคำของพระองค์รับรองด้วยสิ่งที่พระองค์กระทำ พระเยซูตรัสสอนด้วยสิทธิอำนาจในคำเทศนาบนภูเขา และจากนั้นทรงกระทำอัศจรรย์รักษาโรค และช่วยผู้คน บ่อยครั้งเพียงคำตรัส ถ้าพระเยซูทรงเป็นพระเมสซิยาห์ตามที่ทรงเทศนาบนภูเขา พระองค์ก็ทรงรับรองสิ่งที่ทรงประกาศด้วยการกระทำในบทที่ 8
1 เมื่อพระองค์เสด็จลงมาจากภูเขาแล้วคนเป็นอันมากได้ติดตามพระองค์ไป 2 ขณะนั้นมีคนโรคเรื้อนมากราบไหว้พระองค์แล้วทูลว่า”พระองค์เจ้าข้าเพียงแต่ พระองค์จะโปรดก็จะทรงบันดาลให้ข้าพระองค์หายโรคได้” 3 พระองค์ทรงยื่นพระหัตถ์ถูกต้องเขาแล้วตรัสว่า “เราพอใจแล้วจงหายเถิด” ในทันใดนั้นโรคเรื้อนของเขาก็หาย 4 ฝ่ายพระเยซูตรัสสั่งเขาว่า “อย่าบอกเล่าให้ผู้ใดฟังเลยแต่จงไปสำแดงตัวแก่ปุโรหิตและถวายเครื่องบูชาตาม ซึ่งโมเสสได้สั่งไว้เพื่อเป็นหลักฐานต่อคนทั้งหลายว่าเจ้าหายโรคแล้ว” (มัทธิว 8:1-4)
ข้อ 1 บอกกับผู้อ่านว่ามีอะไรเกิดขึ้นหลังจากคำเทศนาบนภูเขาจบลง พระเยซูเสด็จลงมาจากภูเขา และเพราะคำสอนของพระองค์ คนเป็นอันมากจึงติดตามมา พวกเขาคงได้เห็นเป็นพยานถึงอัศจรรย์ที่ทรงทำหลังเสร็จจากการเทศนา และเสด็จลงมาจากภูเขา
การอัศจรรย์รักษาโรคครั้งแรกที่มัทธิวบันทึก เป็นเรื่องของชายที่ป่วยน่าสงสารและหมดหนทางรักษา มัทธิวบอกว่าชายคนนั้นเป็นโรคเรื้อน (ข้อ 2) ลูกาบันทึกว่าเขาเป็นโรคเรื้อน “เต็มทั้งตัว”9 นักวิชาการพระคัมภีร์บอกเราว่า “โรคเรื้อน” ในสมัยนั้น ต่างจาก “โรคเรื้อน” ในสมัยของเรา ในความเห็นของผม มันแย่ยิ่งกว่า ขอเล่ารายละเอียดถึงความสยดสยองในอาการของโรค10 โรค เรื้อนถูกมองว่าเป็นคำสาป มีเรียมเป็นโรคเรื้อนเพราะถูกลงโทษที่กบฎและต่อต้านโมเสส (กันดารวิถี 12:9-15) เช่นเดียวกับเกหะซี คนรับใช้ของเอลีชา เป็นโรคเรื้อนเพราะความโลภ (2พงศ์กษัตริย์ 5:20-27) คำสาปแช่งที่ดาวิดลงโทษพงษ์พันธ์ของโยอาบรวมเรื่องโรคเรื้อนไว้ด้วย (2ซามูเอล 3:29) กษัตริย์อุสซีอาห์ เป็นโรคเรื้อนเพราะไปเผาเครื่องหอมบูชาที่ในพระวิหาร (2พงศาวดาร 26:16-21) โรคเรื้อนจึงเป็นสิ่งเลวร้ายที่สุดของที่สุด ไม่มีทางรักษา มีแต่นอนรอความตาย ถ้าเทียบกับสมัยนี้ อาจเป็นมะเร็งขั้นรุนแรง เพียงแต่อาการของโรคเรื้อนนั้นมองเห็นได้ และมันน่าเกลียดน่ากลัว
โรคเรื้อนจึงบ่งเป็นนัยครอบคลุมถึงคนใกล้ตายที่ยังหายใจ ก่อนประกาศว่าผู้ใดเป็นโรคเรื้อน ต้องผ่านการทดสอบเสียก่อน (เลวีนิติ 13) ทันทีที่ปุโรหิตประกาศ คนที่เป็นโรคเรื้อนจะถูกตัดขาดจากสังคม ห้ามข้องเกี่ยวและติดต่อกับผู้ใด พวกเขาต้องประกาศตนด้วยการคร่ำครวญ เหมือนกับศพ (ที่ถ้าใครไปแตะถูกก็จะเป็นมลทิน) คนโรคเรื้อนต้องฉีกเสื้อผ้าของตน ไม่คลุมศีรษะ เอามือปิดปากบน และถ้ามีใครเข้าไปใกล้ พวกเขาต้องรีบตะโกนว่า “มลทิน มลทิน” ต้องไปอาศัยอยู่ที่นอกค่าย (เลวีนิติ 13:45-46) โดยทั่วไป คนโรคเรื้อนไม่อาจเข้าไปในพระวิหาร หรือแม้แต่เข้าไปในเขตเมืองเยรูซาเล็ม คนโรคเรื้อนจึงเป็นเหมือนคนตายที่ยังมีลมหายใจ ไม่มีอะไรเลวร้ายไปกว่านี้
ผมอดยิ้มไม่ได้เมื่ออ่านเรื่องที่มัทธิวบันทึกเรื่องรักษาคนเป็นโรค เรื้อน ดูเหมือนขณะที่พระเยซูประทับอยู่ในเขตเมืองหนึ่งในกาลิลี ชายโรคเรื้อนคนนี้กล้ามาก ฝ่าฝูงชนเพื่อจะเข้าไปหาพระองค์ เขาต้องการรับการรักษา นี่ไม่ใช่ธรรมดา เขาควรต้องอยู่ห่างออกไป ผมแทบมองเห็นภาพฝูงชนแตกฮือ เมื่อคนโรคเรื้อนนี้เข้าไปหาพระเยซู ใครจะไปกล้าจับตัวให้หยุด? ผู้คนคงถอยกรูด เฝ้าดูว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป
คนโรคเรื้อนนั้นก้มลงกราบไหว้พระเยซู ร้องทูลว่า “พระองค์เจ้าข้า เพียงแต่พระองค์จะโปรดก็จะทรงบันดาลให้ข้าพระองค์หายโรคได้” (8:2) เขาพูดถูกครับ ถูกที่เรียกว่าพระเยซูคือ “องค์พระผู้เป็นเจ้า” และถูกที่พระองค์สามารถรักษาให้เขากลับมาสะอาดได้ เขาพูดถูกที่ว่าพระองค์จะทรงโปรดหรือไม่ก็สุดแท้แต่พระองค์ อย่างที่หลายคนสังเกตุ ชายโรคเรื้อนคนนี้มองเห็นถึงสิทธิอำนาจในพระเยซู พระองค์ไม่จำเป็นต้องอธิษฐานเผื่อเขา พระองค์ทรงรักษาเขาได้
เราแทบไม่แปลกใจที่พระองค์ทรงตอบว่า “เราพอใจแล้วจงหายเถิด” (ข้อ 2) คุณคงแทบได้ยินเสียงกลั้นหายใจและถอนหายใจของคนที่เฝ้าดูอยู่เมื่อพระเยซู ยื่นพระหัตถ์ออกไปแตะตัวเขา มัทธิวบันทึกไว้ชัดเจน พระเยซูทรงตั้งใจยื่นพระหัตถ์ออกไปแตะตัวชายคนนี้ คนที่ไม่เคยถูกสัมผัสจากมนุษย์มานานแสนนาน ประหลาดใจหรือไม่ ทั้งๆที่พระองค์ทรงรักษาเขาด้วยคำตรัสเท่านั้นก็พอ แต่ทรงเลือกที่จะใช้ทั้งคำตรัสและการสัมผัสตัว!
พระเยซูทรงสั่งห้ามชายที่หายจากโรคเรื้อน ไม่ให้เล่าให้ใครฟังเรื่องการรักษา แต่ให้ไปหาปุโรหิต ในหนังสือเลวีนิติในพระคัมภีร์เดิมมีบท (14) มีข้อกำหนดและขั้นตอนต่างๆก่อนที่ปุโรหิตจะประกาศว่าคนโรคเรื้อนนี้หายสะอาด แล้ว ช่วงเวลาหลายปีที่ผ่านมา “บัญญัตินี้” เหมือนนอนหลับไหล ไม่เคยถูกแตะต้อง ไม่เคยนำมาใช้ แต่วันนี้ปุโรหิตประจำการมีโอกาสได้นำมาใช้ มีโอกาสได้เห็นคนโรคเรื้อนรับการรักษาให้หาย และผู้ที่รักษามีนามว่าพระเยซู ชายที่เคยเป็นโรคเรื้อนต้องไปหาปุโรหิต เพื่อให้ตรวจสอบและยืนยันว่าเขาหายจากโรคและสะอาดดี เท่ากับปุโรหิตต้องเป็นผู้รับรองการอัศจรรย์นี้ และคิดหนักมากว่าหมายถึงอะไร
5 เมื่อพระเยซูเสด็จเข้าไปในเมืองคาเปอรนาอุมมีนายร้อยคนหนึ่งมาอ้อน วอนพระองค์ 6 ว่า “พระองค์เจ้าข้าบ่าวของข้าพระองค์เป็นง่อยอยู่ที่บ้านทนทุกข์เวทนามาก” 7 พระเยซูจึงตรัสกับเขาว่า “เราจะไปรักษาเขาให้หาย” 8 นายร้อยผู้นั้นทูลพระองค์ว่า “พระองค์เจ้าข้าข้าพระองค์เป็นคนไม่สมควรที่จะรับเสด็จพระองค์เข้าใต้ชายคา ของข้าพระองค์ขอพระองค์ตรัสเท่านั้นบ่าวของข้าพระองค์ก็จะหายโรค 9 ข้าพระองค์รู้ดีเพราะเหตุว่าข้าพระองค์อยู่ใต้วินัยทหารแต่ก็ยังมีทหารอยู่ ใต้บังคับบัญชาของข้าพระองค์ข้าพระองค์จะบอกแก่คนนี้ว่า ‘ไป’ เขาก็ไปบอกแก่คนนั้นว่า ‘มา’ เขาก็มาบอกทาสของข้าพระองค์ว่า ‘จงทำสิ่งนี้’ เขาก็ทำ”10 ครั้นพระเยซูทรงได้ยินดังนั้นก็ประหลาดพระทัยนักตรัสกับบรรดาคนที่ตามพระ องค์ว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่าเราไม่เคยพบศรัทธาที่ไหนมากเท่านี้แม้ใน อิสราเอล11 เราบอกท่านทั้งหลายว่าคนเป็นอันมากจะมาจากทิศตะวันออกและทิศตะวันตกจะมาร่วม สำรับกับอับราฮัมและอิสอัคและยาโคบในแผ่นดินสวรรค์12 แต่ชาวแผ่นดินนั้นจะต้องถูกขับไล่ไสส่งออกไปในที่มืดที่นั่นจะมีเสียง ร้องไห้ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน”13 แล้วพระเยซูจึงตรัสกับนายร้อยว่า “จงกลับบ้านเถิดท่านมีศรัทธาแล้วจงได้ผลตามศรัทธานั้น” ในทันใดนั้นเองบ่าวของเขาก็หายเป็นปกติ (มัทธิว 8:5-13)11
การรักษานี้ให้รายละเอียดไว้ค่อนข้างมาก มากกว่ารักษาชายโรคเรื้อน (เก้าข้อ เทียบกับสาม) จึงต้องมีความสำคัญ ให้ดูว่าคนที่สำคัญ (นอกจากพระเยซู) คือนายร้อย เขาเป็นทหาร มีผู้ใต้บังคับบัญชา 100 คน มาอยู่ในอิสราเอลเพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยของบ้านเมือง ในพระคัมภีร์ใหม่พูดถึงพวกนายร้อยไว้ค่อนข้างดี12 ที่สำคัญที่สุดในตอนนี้ นายร้อยคนนี้เป็นคนต่างชาติ13 ผมคิดว่ามีเหตุผลพอพูดได้ว่าบ่าวของนายร้อยคนนี้ (เด็กหนุ่ม) เป็นยิว เพราะใครจะทำหน้าที่เป็นบ่าวรับใช้ให้กับคนต่างชาติในอิสราเอลได้? และผมไม่ประหลาดใจ ถ้าบ่าวคนนี้เป็นผู้ทำให้นายร้อยมานับถือศาสนายูดาย นอกจากนี้ คงมีการเอ่ยถึงพระเยซูบ่อยจนนายร้อยต้องไปตามหา หน้าที่ของนายร้อยคือรักษาความสงบให้กับดินแดนที่เข้าไปยึดครอง ใครก็ตามที่ดูเหมือนก่อเรื่องวุ่นวายจะถูกจับตามองอย่างใกล้ชิด ลูกาบอกเราว่าทาสคนนี้ผู้เป็นนาย “รักมาก” (ลูกา 7:2) เห็นได้จากการที่เขาพยายามหาทางช่วยรักษาให้หาย เพื่อไม่ต้องทนทุกข์เวทนาอีกต่อไป (มัทธิว 8:6)
สังเกตุให้ดีจะเห็นว่านายร้อยคนนี้ไม่ได้ขอสิ่งใดให้ตนเอง เขารู้สึกสะเทือนใจเพราะอาการทุกข์ทรมานของบ่าว และคนต่างชาติคนนี้เชื่อว่าพระเยซูเสด็จมาเพื่ออวยพรประชากรของพระองค์ ชาวยิว เนื่องจากเขาไม่ได้ขอให้ตัวเอง แต่ขอให้พระเยซูรักษาบ่าว (ชาวยิว) ของเขา ดูเขามั่นใจว่าพระเยซูจะทำตามที่เขาร้องขอ แล้วเราก็เห็นว่าพระเยซูทรงเต็มพระทัยช่วย นายร้อยยังพูดไม่ทันจบ เมื่อพระเยซูตรัสว่า “เราจะไปรักษาเขาให้หาย”(8:7)
ทำให้นายร้อยตั้งตัวแทบไม่ทัน เขารู้ดีถึงข้อกฎหมายและบทบัญญัติที่กั้นขวางระหว่างชาวยิวและคนต่างชาติ เราคงจำเรื่องเปโตรไปที่บ้านของนายร้อยโครเนลิอัส (กิจการ 10) เพื่อเข้าใจความหนาของกำแพงที่กั้นขวาง นายร้อยคนนี้คงอยากให้พระเยซูไปรักษาบ่าวของเขา แต่จะให้พระองค์มัวหมองเพราะไปที่บ้านเขาได้อย่างไร? (เขาคงไม่รู้ว่าพระเยซูเพิ่งจะถูกตัวชายโรคเรื้อนมา) นี่ไม่ใช่เป็นเพราะเขาขาดความเชื่อ แต่เป็นเพราะเขาถ่อมตัว ยอมรับสถานะว่าเป็นเพียงคนต่างชาติ
ซึ่งแตกต่างจากคำร้องขอของข้าราชการคนหนึ่งในยอห์น 4:46-50 ในกรณีนั้น เขาอ้อนวอนให้พระเยซูไปที่บ้านเพื่อรักษาบุตรของเขาที่ป่วยใกล้ตาย แต่นายร้อยกลับขอไม่ให้พระองค์เสด็จไปที่บ้าน มีเหตุผลสองประการครับ ประการแรก เขาไม่สมควร14ที่จะให้พระเยซูเสด็จเข้าไปในบ้านของเขา (มัทธิว 8:8) ทำไมเขาจะทำให้พระองค์ต้องมัวหมองเพราะไปที่บ้านของเขา? ประการที่สอง ซึ่งดีกว่า – พระเยซูไม่จำเป็นต้องไปที่บ้านของเขา เพราะนายร้อยคนนี้ตระหนักดีถึงฤทธิอำนาจของพระองค์ ฤทธิอำนาจของพระเยซูนั้นยิ่งใหญ่ จนไม่จำเป็นต้องเสด็จไปที่บ้าน แค่พระองค์ตรัสสั่ง บ่าวของเขาก็จะได้รับการรักษาให้หาย
ตัวนายร้อยเองก็เป็นผู้มีอำนาจตามขอบเขต เมื่อเขาสั่งผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาให้ทำบางสิ่ง พวกเขาก็จะทำ แต่อำนาจของพระเยซูยิ่งใหญ่กว่ามาก ทำไมพระองค์ต้องมัวหมองด้วยการไปที่บ้านของเขา ในเมื่อพระองค์ทำการรักษาจากที่ๆพระองค์ประทับอยู่ได้?
นายร้อยคนนี้ได้มากกว่าที่ทูลขอ และนี่เป็นผลมาจากความเชื่อ ไม่ใช่เป็นเพราะมีอำนาจจากสายงานในกองทัพ อย่าลืมว่าชายคนนี้ไม่ได้ขออะไรให้ตัวเอง แต่ให้กับบ่าว (ชาวยิว?) ของเขา แต่กลับได้รับพระพรดีที่สุดสองประการซึ่งเกินความคาดหวัง
ประการแรก นายร้อยคนนี้ได้รับคำยกย่องอย่างสูง สูงเกินกว่าผู้ใด ไม่ว่าจะเป็นชาวยิวหรือชาวต่างชาติ และถูกบันทึกไว้ในหนังสือพระกิตติคุณด้วย “เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่าเราไม่เคยพบศรัทธาที่ไหนมากเท่านี้แม้ในอิสราเอล” (ข้อ 10) ความเชื่อของคนต่างชาติคนนี้แซงหน้าคนยิวในอิสราเอลไป และได้รับคำชมเชยจากองค์พระผู้เป็นเจ้า ประการที่สอง ชายผู้นี้ได้รับพระสัญญาของพระเยซูให้เข้ามีส่วนร่วม และมีสามัคคีธรรมเกินกว่าที่เขาจะคาดคิด นายร้อยคนนี้คิดว่าตนเองนั้นไม่สมควร (ไม่มีคุณสมบัติพอ) ที่จะให้พระเยซูเสด็จเข้าไปในชายคาบ้าน แต่ดูสิ่งที่พระเยซูสัญญากับเขาเพราะความเชื่อที่เขามี:
11 “เราบอกท่านทั้งหลายว่าคนเป็นอันมากจะมาจากทิศตะวันออกและทิศตะวันตกจะมา ร่วมสำรับกับอับราฮัมและอิสอัคและยาโคบในแผ่นดินสวรรค์12 แต่ชาวแผ่นดินนั้นจะต้องถูกขับไล่ไสส่งออกไปในที่มืดที่นั่นจะมีเสียง ร้องไห้ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน”(มัทธิว 8:11-12)
เหนือสิ่งอื่นใด อาหารที่โต๊ะเฉลิมฉลองตามธรรมบัญญัติของชาวยิวจะแยกพวกเขาออกจากคนต่างชาติ อย่างกรณีของเปโตร ทั้งในกิจการ 10 และในกาลาเทีย 2 นายร้อยคนนี้นึกภาพพระเยซูเข้าไปในบ้านเขาไม่ออก ไม่ต้องพูดถึงร่วมนั่งโต๊ะเสวย แต่พระเยซูทรงบอกเขาว่า ในแผ่นดินของพระองค์ เขาจะได้นั่งโต๊ะร่วมรับประทานอาหารกับอับราฮัม อิสอัค และยาโคบ พระองค์ยังบอกด้วยว่าจะมีคนต่างชาติเป็นอันมากนั่งอยู่ด้วย ในขณะที่ชาวยิวจำนวนมากจะไม่ได้รับโอกาสนั้น
เมื่อพระเยซูทรงสิ้นพระชนม์ที่บนกางเขน และทรงคืนพระชนม์ เสด็จกลับสู่พระบิดา และเมื่อมีการเขียนจดหมายฝากในพระคัมภีร์ใหม่ ทำให้เราเข้าใจว่าเหตุการณ์นี้ว่าเป็นไปได้อย่างไร แรกสุด นายร้อยคนนี้ได้ทำในสิ่งที่เป็นพรต่อเชื้อสายของอับราฮัม :
1 พระเจ้าตรัสแก่อับรามว่า “เจ้าจงออกจากเมืองจากญาติพี่น้องจากบ้านบิดาของเจ้าไปยังดินแดนที่เราจะบอก ให้เจ้ารู้ 2 เราจะให้เจ้าเป็นชนชาติใหญ่เราจะอวยพรแก่เจ้าจะให้เจ้ามีชื่อเสียงใหญ่โต เลื่องลือไปแล้วเจ้าจะช่วยให้ผู้อื่นได้รับพร3 เราจะอำนวยพรแก่คนที่อวยพรเจ้าเราจะสาปคนที่แช่งเจ้าบรรดาเผ่าพันธุ์ทั่วโลก จะได้พรเพราะเจ้า” (ปฐมกาล 12:1-3)
แปลกใจหรือไม่? เห็นพระสัญญาที่พระเจ้าจะอวยพรเขา?
ที่สำคัญที่สุด ในบริบทของมัทธิวตอนนี้ ชาติพันธ์ของคนใดคนหนึ่งไม่ได้เป็นตัวกำหนดชีวิตนิรันดร์ของเขา แต่เป็นความเชื่อ ยอห์นผู้ให้บัพติศมาบ่งไว้ชัดเจนว่าชาวยิวหลายคนจะไม่ได้เข้าแผ่นดินสวรรค์ แต่จะต้องเจอกับการพิพากษานิรันดร์แทน:
7 ครั้นยอห์นเห็นพวกฟาริสีและพวกสะดูสีพากันมาเป็นอันมากเพื่อจะรับบัพติศมา ท่านจึงกล่าวแก่เขาว่า “เจ้าชาติงูร้ายใครได้เตือนเจ้าให้หนีจากพระอาชญาซึ่งจะมาถึงนั้น 8 เหตุฉะนั้นจงพิสูจน์การกลับใจของเจ้าด้วยผลที่เกิดขึ้น 9 อย่านึกเหมาเอาในใจว่าตัวมีอับราฮัมเป็นบิดาเพราะเราบอกเจ้าทั้งหลายว่าพระ เจ้าทรงฤทธิ์อาจจะให้บุตรเกิดขึ้นแก่อับราฮัมจากก้อนหินเหล่านี้ได้ 10 บัดนี้ขวานวางไว้ที่โคนต้นไม้แล้วและทุกต้นที่ไม่เกิดผลดีจะต้องตัดแล้วโยน ทิ้งในกองไฟ (มัทธิว 3:7-10)
ประเด็นคือไม่ใช่เป็นเรื่องของเชื้อชาติที่เขาเกิดมา และไม่ใช่เรื่องการเพียรทำเพื่อให้ได้มา แต่เป็นความเชื่อในพระเยซูคริสต์ผู้เป็นพระเมสซิยาห์ตามพระสัญญา นี่คือสิ่งที่ทำให้บางคนได้เป็นเชื้อสายแท้จริงของอับราฮัม:
13 เพราะว่าพระสัญญาที่ประทานแก่อับราฮัมและผู้สืบเชื้อสายของท่านที่ว่า จะได้ทั้งพิภพเป็นมรดกนั้นไม่ได้มีมาโดยพระบัญญัติ แต่มีมาโดยความชอบธรรมที่เกิดจากความเชื่อ 14 ถ้าเขาเหล่านั้นที่ถือตามธรรมบัญญัติจะเป็นทายาท ความเชื่อก็ไม่มีประโยชน์อะไร และพระสัญญาก็เป็นอันไร้ประโยชน์ 15 เพราะธรรมบัญญัติเป็นเหตุให้มีการลงพระอาชญา แต่ที่ใดไม่มีธรรมบัญญัติ ที่นั้นก็ไม่มีการละเมิดธรรมบัญญัติ 16 ด้วยเหตุนี้เอง การที่ได้รับมรดกนั้นจึงขึ้นอยู่กับความเชื่อ เพื่อจะได้เป็นตามพระคุณ เพื่อพระสัญญานั้นจะเป็นที่ไว้วางใจแก่ผู้สืบเชื้อสายของท่านทุกคน มิใช่แก่ผู้สืบเชื้อสายที่ถือธรรมบัญญัติพวกเดียว แต่แก่บรรดาคนที่มีความเชื่อเช่นเดียวกับอับราฮัมผู้เป็นบิดาของพวกเรา 17 ตามที่มีคำเขียนไว้ในพระคัมภีร์ว่า เราได้ให้เจ้าเป็นบิดาของมวลประชาชาติ ต่อพระพักตร์พระองค์ที่ท่านเชื่อ คือพระเจ้าผู้ทรงให้คนที่ตายแล้วฟื้นชีวิตขึ้นมา และทรงเรียกสิ่งของที่ยังมิได้มี ให้มีขึ้น (โรม 4:13-17)
นายร้อย แสวงหาความเมตตาให้แก่บ่าวของตน มาหาพระเยซูบนพื้นฐานของความเชื่อ และด้วยความเชื่อนี้ ไม่เพียงแต่รักษาบ่าวให้หาย แต่ช่วยให้ตัวเขาเองได้รับความรอด คนที่อ่านเรื่องคำเทศนานี้ส่วนมากคือคนต่างชาติ พระวจนะตอนนี้ (ที่ต่อมาได้รับการเปิดเผยในพระคัมภีร์ใหม่) บอกเราว่าคนต่างชาติ (และคนยิว) สามารถ – รับ – และจำเป็นต้อง – ได้รับความรอดอย่างไร นี่เป็นถ้อยคำหวานหอมที่สุดที่เราเคยได้ยิน และเป็นพระมหากรุณาธิคุณอย่างที่สุดที่พระผู้ช่วยให้รอดของเราประทานให้
14 ครั้นพระเยซูเสด็จเข้าไปในเรือนของเปโตร ก็ทรงเห็นแม่ยายของเปโตรนอนป่วยจับไข้อยู่ 15 พอพระองค์ทรงจับมือนาง ความไข้ก็หาย นางจึงลุกขึ้นปรนนิบัติพระองค์ 16 พอค่ำลง เขาพาคนผีเข้าสิงเป็นอันมากมาหาพระองค์ พระองค์ก็ทรงขับผีออกด้วยพระดำรัส และบรรดาคนเจ็บป่วยทั้งหลายนั้น พระองค์ก็ได้ทรงรักษาให้หาย 17 ทั้งนี้เพื่อจะให้สำเร็จตามพระวจนะโดยอิสยาห์ผู้เผยพระวจนะที่ว่า ท่านได้แบกความเจ็บไข้ของเราทั้งหลาย และหอบโรคของเราไป (มัทธิว 8:14-17)
แม่ยายของเปโตรมีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับการอัศจรรย์ทั้งสองก่อนหน้า? ทำไมถึงมาบอกเราว่าเธอได้รับการรักษาให้หายแล้ว? ในเรื่องนี้ เธอได้รับการรักษาโดยไม่มีคำตรัสสักคำ ไม่มีแม้แต่ถามไถ่ถึงอาการ ตามที่บันทึกไว้ในมาระโกและลูกา มีคนทูลอ้อนวอนขอให้พระองค์ช่วยรักษา15 และแน่นอน นี่เป็นอาการเจ็บป่วยอีกแบบ ไม่ใช่เป็นแค่ “ปวดศีรษะ” แต่บันทึกว่านางนอนป่วยจับไข้อยู่16
การรักษาแม่ยายของเปโตรเพิ่มเติมให้เห็นถึงฤทธิอำนาจในการรักษาของพระ เยซู แบบในทันที ครั้งนี้พระองค์ทรงรักษาขณะที่สัมผัสมือนาง และที่ทำให้การรักษานี้อัศจรรย์ยิ่งขึ้น คือในทันใดนางก็หายจากอาการป่วย ลุกขึ้นและปรนนิบัติพระองค์และคนอื่นๆ (พระเยซู พวกสาวก และคนอื่นๆที่อยู่ในบ้าน)17
แต่ผมค่อนข้างจะคิดไปว่าการรักษาแม่ยายของเปโตรมีสาเหตุสำคัญบางอย่าง และเป็นสิ่งที่มัทธิวเน้นในตอนนี้ การอัศจรรย์ที่พระเยซูกระทำน่าจะแพร่กระจายออกไปอย่างรวดเร็วแบบปากต่อปาก เพราะพอตอนค่ำ มีผู้คนมากมายมาหาพระองค์ที่บ้านของเปโตร และพระเยซูทรง “ปรนนิบัติ” พวกเขาด้วยการรักษาทุกคนให้หาย (มัทธิว 8:16) มีการขับผีออกด้วย “พระดำรัส” อีกด้วย ( 8:16)
แล้วมัทธิวก็นำเข้าสู่คำพยากรณ์ที่เกิดขึ้นเป็นจริงอีกครั้ง เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดเป็นไปตามคำพยากรณ์จากในพระคัมภีร์เดิม:
16 พอค่ำลง เขาพาคนผีเข้าสิงเป็นอันมากมาหาพระองค์ พระองค์ก็ทรงขับผีออกด้วยพระดำรัส และบรรดาคนเจ็บป่วยทั้งหลายนั้น พระองค์ก็ได้ทรงรักษาให้หาย 17 ทั้งนี้เพื่อจะให้สำเร็จตามพระวจนะโดยอิสยาห์ผู้เผยพระวจนะที่ว่า ท่านได้แบกความเจ็บไข้ของเราทั้งหลาย และหอบโรคของเราไป (มัทธิว 8:16-17)
เป็นถ้อยคำที่นำมาจากอิสยาห์ 53:4 และเป็นส่วนหนึ่งของคำพยากรณ์ใหญ่ ขออนุญาตนำส่วนใหญ่ของคำพยากรณ์นี้มาให้ดู:
4 แน่ทีเดียวท่านได้แบกความเจ็บไข้ของเราทั้งหลาย
และหอบความเจ็บปวดของเราไป
กระนั้นเราทั้งหลายก็ยังถือว่าท่านถูกตี
คือพระเจ้าทรงโบยตีและข่มใจ
5 แต่ท่านถูกบาดเจ็บเพราะความทรยศของเราทั้งหลาย
ท่านฟกช้ำเพราะความบาปผิดของเรา
การตีสอนอันทำให้เราทั้งหลายสมบูรณ์นั้นตกแก่ท่าน
ที่ท่านต้องฟกช้ำนั้นก็ให้เราหายดี
6 เราทุกคนได้เจิ่นไปเหมือนแกะ
เราทุกคนต่างได้หันไปตามทางของตนเอง
และพระเจ้าทรงวางลงบนท่าน ซึ่งความบาปผิดของเราทุกคน (อิสยาห์ 53:4-6)
อิสยาห์เชื่อมโยงความเจ็บไข้เข้ากับความบาป ซึ่งก็สมควร ท่านพยากรณ์ว่าเมื่อพระเมสซิยาห์เสด็จมา พระองค์จะทรงหอบความเจ็บปวดของเราไป รวมถึงความบาปผิดด้วย ยังแปลกใจอยู่หรือไม่ เมื่อพระเยซูเสด็จมาบนโลก ประกาศว่าพระองค์คือพระเมสซิยาห์ พระองค์ควรต้องรักษาผู้คนจากอาการเจ็บป่วยทั้งหลาย? พระเยซูทรงแสดงให้เห็นชัดว่าที่ทรงยกโทษบาปนั้นเชื่อมโยงอย่างแน่นแฟ้นกับ ที่พระองค์ทรงรักษาโรค
2 ดูเถิด เขาหามคนง่อยคนหนึ่งซึ่งนอนอยู่บนที่นอนมาหาพระองค์ เมื่อพระเยซูทรงเห็นความเชื่อของเขาทั้งหลาย จึงตรัสกับคนง่อยว่า “ลูกเอ๋ย จงชื่นใจเถิด บาปของเจ้าได้รับอภัยแล้ว” 3 เมื่อได้ยินตรัสดังนั้น พวกธรรมาจารย์บางคนคิดในใจว่า “คนนี้พูดหมิ่นประมาทพระเจ้า” 4 ฝ่ายพระเยซูทรงทราบความคิดของเขา จึงตรัสว่า “เหตุไฉนท่านทั้งหลายคิดชั่วอยู่ในใจเล่า 5 ที่จะว่า ‘เจ้าได้รับอภัยเรื่องบาปของเจ้าแล้ว’ และจะว่า ‘จงลุกขึ้นเดินไปเถิด’ นั้นข้างไหนจะง่ายกว่ากัน 6 แต่เพื่อท่านทั้งหลายจะได้รู้ว่า บุตรมนุษย์มีสิทธิอำนาจในโลกที่จะโปรดยกความผิดบาปได้” พระองค์จึงตรัสสั่งคนง่อยว่า “จงลุกขึ้นยกที่นอนกลับไปบ้านเถิด” 7 เขาจึงลุกขึ้นไปบ้าน (มัทธิว 9:2-7)
แต่ละอัศจรรย์มีความมหัศจรรย์อยู่ภายนอกและภายในนั้น เราควรใส่ใจ ดูเหมือนมัทธิวละเรื่องลำดับเวลาเพื่อให้เรื่องราวสอดคล้องกันไปมากกว่า18 ผมเชื่อว่ากุญแจที่จะเข้าใจพระวจนะตอนนี้คือ เรื่องราวต่างๆสอดคล้องและต่อเนื่องจากคำเทศนาบนภูเขา ในคำเทศนาบนภูเขา พระเยซูตรัสถึงความสัมพันธ์ของพระองค์กับธรรมบัญญัติ ธรรมบัญญัติไม่อาจช่วยมนุษย์ให้รอดได้ ได้แต่สาปแช่ง (มัทธิว 5:20) พระองค์ไม่ได้มาล้มเลิกธรรมบัญญัติ แต่ทรงมาทำให้สำเร็จครบถ้วน (5:17-19) พระเยซูทรงมีสิทธิอำนาจยิ่งใหญ่ มีอำนาจแก้ไขความผิดพลาดที่เกิดขึ้นจากการตีความ และการนำธรรมบัญญัติมาใช้ ผู้คนต่างตระหนักดี (มัทธิว 7:28-29) มัทธิว 8:1-17 แสดงให้เห็นถึงแนวทางหลักๆที่สอดคล้องกับคำสอนในคำเทศนาบนภูเขาของพระองค์
โดยเฉพาะ พระวจนะตอนนี้เน้นเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างพระเยซูและธรรมบัญญัติ ธรรมบัญญัติไม่ช่วยให้ใครรอดได้ และไม่ช่วยรักษาใครให้หายโรค ธรรมบัญญัติอาจชี้ให้เห็นถึงความเจ็บป่วยและสุขภาพ แต่ไม่อาจทำให้สุขภาพดีขึ้น มีแต่จะพูดถึงความวิบัติที่จะได้รับ (ประกาศว่าคุณเป็นมลทิน) หรือเป็นผู้ป่วย ในอีกด้าน พระเยซูรักษาผู้ป่วยได้ เช่นเดียวกับยกโทษบาปให้ได้ นี่เป็นสิทธิอำนาจของพระองค์ในฐานะบุตรของพระเจ้า และได้รับการแต่งตั้งให้เป็นพระเมสซิยาห์ แต่พระองค์ก็ไม่ได้มาเพื่อล้มเลิกธรรมบัญญัติ แต่กลับมาทำให้สำเร็จครบถ้วน
มัทธิวบันทึกเรื่องชายโรคเรื้อนเป็นเรื่องแรก คนที่อาการของโรคทำให้ถูกตัดขาดจากสังคม และไม่อาจเข้าถึงพระเจ้าได้ พูดง่ายๆคือเขาถูกกักให้อยู่ “ภายนอกค่าย” แล้วธรรมบัญญัติทำอะไรให้เขาได้บ้าง? มีแต่ประนามและสาปแช่ง แต่โดยฤทธิอำนาจของพระเจ้า เขาได้รับการรักษาให้หาย และประกาศว่าเขาสะอาดและหายดี นี่คือสิ่งที่ธรรมบัญญัติทำให้ไม่ได้ พระเยซูทรงรักษาชายโรคเรื้อนให้หายได้ และนี่คือสิ่งที่พระองค์ทรงทำ
เช่นเดียวกับบาปของเรา ธรรมบัญญัติชี้ให้เห็นและแสดงให้เห็นความบาปของเรา แต่ไม่อาจกำจัดบาปนั้นได้ ธรรมบัญญัติประกาศว่าอะไรคือความชอบธรรม แต่ไม่เคยหาหนทางให้เราเป็นคนชอบธรรมได้ ธรรมบัญญัติประกาศว่าเราทุกคนเป็นคนบาป แต่ไม่อาจช่วยให้รอดพ้นจากบทลงโทษได้ (โรม 3:9-20) พระเยซูคริสต์เท่านั้น สามารถขจัดความโสมมออกไปจากจิตวิญญาณเรา และประกาศว่าเราสะอาดหายดีแล้ว
พระเยซูทรงส่งชายโรคเรื้อนที่หายดีไปหาปุโรหิต เพื่อเป็นไปตามที่ธรรมบัญญัติกำหนด (เลวีนิติ 14) เพื่อให้ปุโรหิตรู้เห็นเป็นพยาน และตระหนักว่าคนโรคเรื้อนนั้นได้รับการชำระให้สะอาดแล้ว นั่นคือสิ่งที่พระองค์ทำ ให้พวกเขาต้องคิดหนักว่าพระเยซูคือผู้ใด เพราะนี่เป็นการอัศจรรย์ ตามที่มัทธิวบ่งไว้ในข้อ 17 พระเยซูไม่ได้มาเพื่อล้มเลิกธรรมบัญญัติ แต่มาทำให้ครบถ้วนในฐานะพระเมสซิยาห์ พระองค์เองสามารถรักษาชายโรคเรื้อนนี้ให้หายสะอาดได้ พระองค์เองสามารถยกโทษคนบาปจากความผิดบาปได้ และมอบชีวิตนิรันดร์ให้ผู้ที่ได้รับการอภัยได้
เรื่องนายร้อยก็เป็นเรื่องที่มัทธิวให้ความสำคัญที่สุด การเป็นคนต่างชาติ นายร้อยคนนี้ไม่บังอาจทำให้พระเยซูมัวหมองโดยไปที่บ้านของเขา และเขายังตระหนักดีถึงฤทธิอำนาจของพระองค์ พระเยซูไม่จำเป็นที่ต้องเสด็จไปที่บ้านของเขาเพื่อช่วยรักษาบ่าว พระองค์สามารถรักษาได้จากที่ๆพระองค์ประทับอยู่ และเขาร้องขอไม่ให้พระองค์เสด็จไป พระเยซูทรงปิติกับความเชื่อของนายร้อยคนนี้ ถ้าเขาคิดว่าเขาไม่มีส่วนในพระพรที่พระเจ้ามอบให้คนอิสราเอล เขามองเห็นถึงกำแพงที่ขวางกั้นอยู่หรือ? เป็นกำแพงที่สร้างมาจากธรรมบัญญัติ พระเยซูตรัสกับเขาว่าเขาจะได้นั่งร่วมโต๊ะเสวยกับบรรดาอัครปิตุลาของแผ่นดิน สวรรค์ ในขณะที่พวกยิวหลายคนจะถูกโยนออกไป ธรรมบัญญัติไม่สามารถเสนอทางออกที่กั้นอยู่ระหว่างคนยิวและคนต่างชาติ แต่พระเยซูทรงรื้อกำแพงที่กั้นนี้ออกไป เพื่อให้เป็นไปตามพระสัญญาในธรรมบัญญัติและคำของผู้เผยพระวจนะ ธรรมบัญญัติแยกชาวยิวออกจากชาวต่างชาติ พระเยซูคริสต์ทรงนำทั้งสองมาไว้ด้วยกันเพื่อให้เป็นคนๆใหม่
11 เหตุฉะนั้นท่านจงระลึกว่า เมื่อก่อนท่านเคยเป็นคนต่างชาติตามเนื้อหนัง และพวกที่รับพิธีเข้าสุหนัตซึ่งกระทำแก่เนื้อหนังด้วยมือ เคยเรียกท่านว่า เป็นพวกที่มิได้เข้าสุหนัต 12 จงระลึกว่า ครั้งนั้นท่านทั้งหลายเป็นคนอยู่นอกพระคริสต์ ขาดจากการเป็นพลเมืองอิสราเอล และไม่มีส่วนในบรรดาพันธสัญญาซึ่งทรงสัญญาไว้นั้น ไม่มีที่หวัง และอยู่ในโลกปราศจากพระเจ้า 13 แต่บัดนี้ในพระเยซูคริสต์ ท่านทั้งหลายซึ่งเมื่อก่อนอยู่ไกล ได้เข้ามาใกล้โดยพระโลหิตของพระคริสต์ 14 เพราะว่าพระองค์ทรงเป็นสันติสุขของเรา เป็นผู้ทรงกระทำให้ทั้งสองฝ่ายเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน และทรงรื้อกำแพงที่กั้นระหว่างสองฝ่ายลง 15 คือการเป็นปฏิปักษ์กัน โดยในเนื้อหนังของพระองค์ ได้ทรงให้ธรรมบัญญัติอันประกอบด้วยบทบัญญัติและกฎหมายต่างๆนั้นเป็นโมฆะ เพื่อจะกระทำให้ทั้งสองฝ่ายเป็นคนใหม่คนเดียวในพระองค์ เช่นนั้นแหละ จึงทรงกระทำให้เกิดสันติสุข 16 และเพื่อจะทรงกระทำให้ทั้งสองพวกคืนดีกับพระเจ้า เป็นกายเดียวโดยกางเขน ซึ่งเป็นการทำให้การเป็นปฏิปักษ์ต่อกันหมดสิ้นไป 17 และพระองค์ได้เสด็จมาประกาศสันติสุขแก่ท่านที่อยู่ไกล และประกาศสันติสุขแก่คนที่อยู่ใกล้ 18 เพราะว่าพระองค์ทรงทำให้เราทั้งสองพวกมีโอกาสเข้าเฝ้าพระบิดาโดยพระวิญญาณ องค์เดียวกัน 19 เหตุฉะนั้นท่านจึงไม่ใช่คนต่างด้าวต่างแดนอีกต่อไป แต่ว่าเป็นพลเมืองเดียวกันกับธรรมิกชน และเป็นครอบครัวของพระเจ้า 20 ท่านได้ถูกประดิษฐานขึ้น บนรากแห่งพวกอัครทูตและพวกผู้เผยพระวจนะ พระเยซูคริสต์ทรงเป็นศิลามุมเอก 21 ในพระองค์นั้นทุกส่วนของโครงร่างต่อกันสนิท และเจริญขึ้นเป็นวิหารอันบริสุทธิ์ในองค์พระผู้เป็นเจ้า 22 และในพระองค์นั้น ท่านก็กำลังจะถูกก่อขึ้นให้เป็นที่สถิตของพระเจ้าในฝ่ายพระวิญญาณด้วย (เอเฟซัส 2:11-22)
พระเยซูคริสต์ทรงรื้อกำแพงที่กั้นระหว่างพระเจ้าและมนุษย์ และมนุษย์กับมนุษย์ด้วยกันออกไป ทั้งยิวและคนต่างชาติสามารถเข้าถึงพระพรของพระเจ้าได้ (รวมถึงมีสามัคคีธรรมซึ่งกันและกันได้) ด้วยความเชื่อในพระเยซูคริสต์ว่าเป็นพระเมสซิยาห์ตามพระสัญญา คนยิวและคนต่างชาติสามารถเป็นหนึ่งเดียวกันในพระคริสต์ มีเพียงพระเยซูเท่านั้นที่ทำสิ่งมหัศจรรย์นี้ได้ ธรรมบัญญัติไม่เคยทำ ธรรมบัญญัติมีไว้เพื่อเปิดเผยความบาป และชี้เราไปที่พระเยซูคริสต์ พระองค์คือผู้ที่ต้องเสด็จมา ต้องสำแดงพระองค์ว่าเป็นบุตรของพระเจ้า เป็นพระเมสซิยาห์ตามพระสัญญา พระองค์ทรงสิ้นพระชนม์ที่บนกางเขนเพราะความบาปของเรา ทรงถูกฝังไว้ และคืนพระชนม์ขึ้นจากความตาย พระองค์ทรงประทับอยู่เบื้องขวาพระบิดา ทรงเป็นทั้งพระผู้ช่วยให้รอด และเป็นผู้พิพากษา คุณจะให้พระองค์เป็นผู้ใดสำหรับคุณ?
ใครล่ะจะกล้าปฏิเสธความรอดที่พระองค์มอบให้? คงมีเพียงคนที่อยากไปสวรรค์ด้วยการทำดีของตัวเอง คนที่เกลียดชังและดูหมิ่นพระคุณ พระเยซูทรงเป็นพระผู้ช่วยที่มหัศจรรย์ของเรา พระองค์ปรารถนาจะช่วย เพียงแต่ต้องการให้เราวางใจในพระองค์เพื่อความรอดนี้ เป็นความจริงที่พระเจ้าเท่านั้นสามารถหันจิตใจเราให้ไปหาพระองค์ได้ แต่ก็เป็นความจริงว่าพระเจ้าไม่เคยหันพระพักตร์หนีจากผู้ที่สำนึกผิดกลับใจ และมาหาพระองค์ด้วยความเชื่อ ทูลขอความเมตตาและความรอด:
“สารพัดที่พระบิดาทรงประทานแก่เรา จะมาสู่เรา และผู้ที่มาหาเรา เราก็จะไม่ทิ้งเขาเลย” (ยอห์น 6:37)
ในฐานะคริสตจักร เราอุทิศตนเพื่อการอธิษฐาน แสวงหาพระสิริของพระเจ้าในความรอดของมนุษย์ พระวจนะตอนนี้เป็นตอนที่หนุนใจมากสำหรับคนที่มีใจปรารถนาอยากอธิษฐาน พระเยซูทรงพร้อมแล้ว พร้อมที่จะได้รับพระเกียรติในความรอดที่ทรงมอบให้มนุษย์ทุกคน ทุกเชื้อชาติ ทรงพร้อมที่จะรับฟังและตอบคำอธิษฐานในฐานะที่เราเป็นบุตรของพระเจ้า แล้วทำไมเราไม่ทูลขอ?
พระองค์อยู่ไกลไปหรือ? เราคิดว่าระยะทางเป็นอุปสรรคไม่ให้พระเจ้าได้ยินคำอธิษฐานหรือตอบตามที่เรา ร้องขอหรือ? ให้เก็บเรื่องความเชื่อของนายร้อยไว้ในใจ คนที่พระเยซูทรงช่วยรักษาบ่าวของเขาได้จากที่ไกล เพราะพระองค์ทรงเป็นผู้เดียวที่มีสิทธิและมีฤทธิอำนาจช่วยได้ อย่าให้เราหยุดยั้งในการอธิษฐาน จำไว้ว่าพระผู้ช่วยให้รอดของเรามีพระประสงค์จะช่วย และมีฤทธิอำนาจประทานให้ตามที่เราทูลขอ และจงถวายพระสิริทั้งสิ้นแด่พระองค์
จัดเตรียมโดย: Robert L (Bob) Deffinbaugh
pastor/teacher and elder at Community Bible Chapel in Richardson, Texas, USA
แปล: อรอวล ระงับภัย คริสตจักรแห่งความสุข
ลิขสิทธิของ 2016 Bible.org
1 202 ลิขสิทธิ 2003 โดย Bible Chapel, 418 E. Main Street, Richardson, TX 75081. ดัดแปลงจากต้นฉบับของบทเรียนที่ 29 ในบทเรียนต่อเนื่องของพระกิตติคุณมัทธิว จัดเตรียมโดย ศบ โรเบิร์ต แอล เดฟฟินบาว พฤษภาคม 16, 2004
2 203 ดูมาระโก 1:40-45 ลูกา 5:12-14
3 204 ดูลูกา 7:1-10 See
4 205 ดูมาระโก 1:29-34 ลูกา 4:38-42
5 206 นอกจากที่กล่าวไปแล้ว พระวจนะที่นำมาอ้างอิงทั้งหมดมาจาก NET Bible (The NEW ENGLISH TRANSLATION) เป็น ฉบับแปลใหม่ทั้งหมด ไม่ใช่นำฉบับเก่าในภาษาอังกฤษมาเรียบเรียงใหม่ ใช้ผู้เชี่ยวชาญและนักวิชาการพระคัมภีร์มากกว่า ยี่สิบคน รวบรวมข้อมูล ทั้งจากภาษาฮีบรูโดยตรง ภาษาอาราเมข และภาษากรีก โครงการแปลนี้เริ่มมาจากที่เราต้องการนำ พระคัมภีร์ เผยแพร่ผ่านสื่ออีเลคโทรนิค เพื่อรองรับการใช้งานทางอินเตอร์เน็ท และซีดี (compact disk) ที่ใดก็ตามในโลก ที่ต่อเข้าอินเตอร์เน็ทได้ ก็สามารถเรียกดู และพริ้นทข้อมูลไว้เพื่อใช้ศึกษาเป็นการส่วนตัวได้โดยไม่คิดมูลค่า นอกจากนี้ ผู้ใดก็ตาม ที่ต้องการนำข้อมูลเกี่ยวกับพระคัมภีร์ไปเผยแพร่ต่อโดยไม่คิดเงิน สามารถทำได้จากเว็บไซด์ : www.netbible.org.
6 207 ดูมัทธิว 1:22-23, 2:15, 2:17-18, 2:23
7 208 ไม่ใช่การพากเพียรทำหรือการงานของเราที่ช่วยให้รอดได้ แต่เป็นการแสดงว่าความเชื่อของเรานั้นแท้จริงและเป็นจริง (ยากอบ 2:14-26)
8 209 มัทธิวบอกเราว่าเมื่อพระเยซูทรงส่งสาวกทั้ง 12 ไป พวกเขาต้องไป “รักษาคนโรคเรื้อนให้หายสะอาด” (10:8) เมื่อยอห์นผู้ให้บัพติศมาสงสัยเกี่ยวกับพระเยซู พระองค์ทรงบอกสาวกของยอห์นให้เตือนท่านว่า ในท่ามกลางหลายสิ่ง พระองค์ทรงรักษาคนโรคเรื้อนให้หายสะอาด (มัทธิว 11:5) ในมัทธิว 26:6 พระเยซูทรงรับประทานอาหารในบ้านของ “ซีโมนคนโรคเรื้อน”
9 210 พระคัมภีร์ฉบับแปลของ NET Bible อ่านว่า “เต็มไปด้วยโรคเรื้อน”
10 211 ถ้าต้องการรายละเอียดมากกว่านี้ หาดูจากหนังสือของ William Hendriksen, The Gospel of Matthew (Grand Rapids, Michigan: Baker Book House, 1973), p. 388.
11 212 เราอาจเห็นว่าบันทึกของมัทธิวเรื่องของนายร้อยอาจคลาดเคลื่อนจากที่ลูกา บันทึกไว้ใน ลูกา 7:1-10 ผมเชื่อว่ามีคำอธิบายในความคลาดเคลื่อนนั้น แต่สิ่งนี้ไม่มีผลต่อเนื้อหาของข่าวประเสริฐแห่งพระกิตติคุณ
12 213 ดู มัทธิว 8:5, 8, 13; 27:54;มาระโก 15:39, 44; ลูกา 7:6; 23:47; กิจการ 10:1, 22; 22:25; 24:23; 27:1, 6, 11, 31, 43.
13 214 เฟรดริก บรูเนอร์คิดว่าเขาน่าจะเป็นคนซีเรีย จากหนังสือ Fredrick Dale Bruner, The Christbook: A Historical/Theological Commentary (Waco, Texas, Word Books, 1987), vol. 1, p. 302.
14 215 ผมว่าน่าสนใจที่ในฉบับแปล NASB สื่อว่านายร้อยนี้เป็นคนสงบเสงี่ยม พูดน้อย เพราะเป็นต่างชาติ และพระเยซูเป็นชาวยิว อาจไม่ใช่เพราะเห็นตนเองไม่มีค่า ถึงแม้เป็นความจริง
15 216 เป็นไปได้ว่าแม่ยายเปโตรอาจไม่ค่อยชอบใจพระเยซู เพราะเปโตรละจากอาชีพประมงและครอบครัวติดตามพระองค์ไป เธออาจรู้สึกว่าลูกสาวของเธอ (และครอบครัว) เหมือนถูกทิ้ง เพราะไปติดตามพระเยซู
16 217 ดูหมายเหตุด้านล่างในฉบับแปล NASB ของมัทธิว 8:14
17 218 มัทธิวกล่าวว่านางจึงลุกขึ้นปรนนิบัติ “พระองค์” (8:15) ในมาระโก 1:31 บันทึกว่านางจึงปรนนิบัติ “พระองค์กับพวกของพระองค์” ไม่น่ามีอะไรที่ขัดแย้ง เนื่องจากพระเยซูเป็นผู้ที่รักษานางให้หาย จึงต้องเน้นความสำคัญไปที่พระองค์ นางลุกขึ้นมาปรนนิบัติพวกของพระองค์ เพราะ “พระองค์”
18 219 จะเห็นว่าพระกิตติคุณเล่มอื่นๆอาจเรียงลำดับเรื่องต่างกัน
ผู้นำศาสนาชาวยิวเริ่มร้อนรุ่ม พระเยซูดูจะเป็นภัยคุกคาม พวกเขารู้ดี ที่จริงพระเยซูทรงเป็นภัยคุกคามมาตั้งแต่ต้น จำปฏิกิริยาของชาวเยรูซาเล็มได้หรือไม่ (เมืองที่ผู้นำศาสนาชาวยิวหลายคนอาศัย) ต่อข่าวเรื่องการประสูติของ “กษัตริย์ชาวยิว”:
1พระเยซูได้ทรงบังเกิดที่บ้าน เบธเลเฮมแคว้นยูเดียในรัชกาลของกษัตริย์เฮโรดภายหลังมีพวก นักปราชญ์จากทิศตะวันออกมายังกรุงเยรูซาเล็มถามว่า 2“พระกุมารผู้ที่ทรงบังเกิดมาเป็นกษัตริย์ของชนชาติยิวนั้น อยู่ที่ไหน? เราได้เห็นดาวของท่านทางทิศตะวันออกและเราจึงมาเพื่อจะ นมัสการท่าน” 3เมื่อกษัตริย์เฮโรดทรงได้ยินดังนั้นแล้วก็วุ่นวายพระทัยทั้ง ชาวกรุงเยรูซาเล็มก็พลอยวุ่นวายใจไปด้วย (มัทธิว 2:1-3)2
ต่อมาในพระกิตติคุณยอห์น เราพบสาเหตุที่ทำไมชาวเยรูซาเล็มถึงวุ่นวายใจนัก พวกเขาพูดออกมาเอง:
47 ฉะนั้นพวกหัวหน้าปุโรหิตและพวกฟาริสีก็เรียกประชุมสมาชิ กสภาแล้วพูดกันว่า “เราจะทำอย่างไรกันดีเพราะว่าชายคนนี้ทำหมายสำคัญมากมาย? 48ถ้าเราปล่อยให้เขาทำอย่างนี้ต่อไป ทุกคนก็จะเชื่อถือเขาแล้วพวกโรมันก็จะมาทำลายทั้งพระวิหารและชาติของเรา”(ยอห์น 11:47-48)
ผู้นำศาสนาชาวยิวต่างกินดีอยู่ดี มีตำแหน่ง บารมี และมีอำนาจ ซึ่งแปลว่าสามารถใช้อำนาจที่มีหาผลประโยชน์ให้ตนเองได้ ตัวอย่างเช่นรับแลกเงิน ผูกขาดการขายสัตว์ที่ใช้ในพิธีถวายบูชาในพระวิหาร น่าจะเป็นสิทธิขาดของมหาปุโรหิต3พวกเขาต้องเสียผล ประโยชน์มหาศาลถ้าพระเมสซิยาห์เสด็จมา อะไรๆที่เคยได้ก็จะไม่เหมือนเดิม จึงหวาดกลัวพระเยซูตั้งแต่ในรางหญ้าไปจนถึงเมื่อเทศนาที่บนภูเขาในมัทธิว 5-7
ยอห์นผู้ให้บัพติศมาไม่ได้ช่วยให้พวกเขาจิตใจสงบลง แต่กลับประกาศว่าพระเยซูคือพระเมสซิยาห์ตามพระสัญญา:
29 วันรุ่งขึ้นยอห์นเห็นพระเยซูกำลังเสด็จมาหาท่านท่านจึงกล่าว ว่า“จงดูพระเมษโปดกของพระเจ้าผู้ทรงรับบาปของโลกไป 30 พระองค์นี้แหละที่ข้าพเจ้ากล่าวว่า ‘ภายหลังข้าพเจ้าจะมีผู้หนึ่งที่ยิ่งใหญ่กว่าข้าพเจ้าเสด็จ มา เพราะว่าพระองค์ทรงดำรงอยู่ก่อนข้าพเจ้า’ 31ข้าพเจ้าเองไม่รู้จักพระองค์แต่เพื่อให้พระองค์เป็นที่ ประจักษ์แก่อิสราเอลข้าพเจ้าจึงให้บัพติศมาด้วยน้ำ” 32และยอห์นกล่าวเป็นพยานว่า “ข้าพเจ้าเห็นพระวิญญาณเสด็จลงมาจากสวรรค์เหมือนดังนกพิราบ และสถิตกับพระองค์ 33ข้าพเจ้าเองไม่รู้จักพระองค์แต่พระองค์ผู้ทรงใช้ข้าพเจ้า มาให้บัพติศมาด้วยน้ำได้ตรัสกับข้าพเจ้าว่า ‘เมื่อเห็นพระวิญญาณเสด็จลงมาสถิตอยู่กับคนใดคนนั้นแหละจะ เป็นคนให้บัพติศมาด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์’ 34และข้าพเจ้าก็เห็นแล้วและเป็นพยานว่าพระองค์นี้แหละเป็น พระบุตรของพระเจ้า” (ยอห์น 1:29-34)
ผู้คนทั้งใกล้และไกลต่างก็มาฟังคำเทศนาของยอห์นและรับบัพติศมาจากท่าน พวกปุโรหิตและเลวีต่างก็ตระหนักถึงอิทธิพลของยอห์น และส่งคนออกไปคอยเฝ้าดู:
19 นี่เป็นคำพยานของยอห์นคือเมื่อพวกยิวส่งพวกปุโรหิตและพวก เลวีจากกรุงเยรูซาเล็มไปถามท่านว่า “ท่านคือใคร?” 20ท่านก็ยอมรับและไม่ได้ปฏิเสธ คือยอมรับว่า “ข้าพเจ้าไม่ใช่พระคริสต์” 21พวกเขาจึงถามว่า “ถ้าอย่างนั้นท่านเป็นใคร?ท่านเป็นเอลียาห์หรือ?” ยอห์นตอบว่า “ข้าพเจ้าไม่ใช่เอลียาห์” “ท่านเป็นผู้เผยพระวจนะคนนั้นหรือ?” และยอห์นตอบว่า “ไม่ใช่” 22พวกเขาจึงถามว่า “แล้วท่านเป็นใคร? ขอให้ตอบมาจะได้ไปบอกคนที่ใช้เรามาท่านจะตอบเรื่องตัวท่าน ว่าอย่างไร?” 23ท่านตอบว่า“เราเป็นเสียงของคนที่ร้องประกาศในถิ่นทุรกันดาร ว่า‘จงทำมรรคาขององค์พระผู้เป็นเจ้าให้ตรงไป’ตามที่อิสยาห์ ผู้เผยพระวจนะกล่าวไว้ (ยอห์น 1:19-23)
ยอห์นไม่เคยอยู่ในระบบศาสนาเหมือนผู้เป็นบิดา (ลูกา 1:5-25) ท่านอาศัยในถิ่นทุรกันดาร ไม่ได้อยู่ในเยรูซาเล็ม ผู้คนต้องไปหาท่านเพื่อฟังคำเทศนา และเมื่อพวกฟาริสี และสะดูสีมาหายอห์นเพื่อรับบัพติศมา ท่านปฏิเสธด้วยถ้อยคำที่รุนแรง:
7เมื่อยอห์นเห็นพวกฟาริสี และพวกสะดูสีมากันเป็นจำนวนมากเพื่อจะรับบัพติศมาท่านจึง กล่าวแก่เขาทั้งหลายว่า “พวกชาติงูร้ายใครเตือนพวกท่านให้หนีจากพระพิโรธที่จะมานั้น 8เพราะฉะนั้นจงเกิดผลให้สมกับการกลับใจ 9อย่าทึกทักว่าตัวเองมีอับราฮัมเป็นบรรพบุรุษเพราะข้าพเจ้า บอกพวกท่านว่าพระเจ้าทรงสามารถให้บุตรแก่อับราฮัมจากก้อนหิน เหล่านี้ได้ 10บัดนี้ขวานวางไว้ที่โคนต้นไม้แล้วและทุกต้นที่ไม่เกิดผล ดีจะต้องถูกตัดแล้วโยนทิ้งในกองไฟ 11ข้าพเจ้าให้ท่านรับบัพติศมาด้วยน้ำแสดงว่ากลับใจใหม่ก็ จริงแต่พระองค์ผู้จะมาภายหลังข้าพเจ้าทรงยิ่งใหญ่กว่าข้า พเจ้าซึ่งข้าพเจ้าไม่คู่ควรแม้แต่จะถือฉลองพระบาทของ พระองค์พระองค์จะทรงให้พวกท่านรับบัพติศมาด้วยพระวิญญาณ บริสุทธิ์และด้วยไฟ 12พระองค์ทรงถือพลั่วอยู่ในพระหัตถ์แล้วและจะทรงชำระลานข้าว ของพระองค์ให้ทั่วพระองค์จะทรงรวบรวมเมล็ดข้าวของพระองค์ไว้ ในยุ้งฉางแต่พระองค์จะทรงเผาแกลบด้วยไฟที่ไม่มีวันดับ” (มัทธิว 3:7-12)
เมื่อยอห์นจากไป พระเยซูทรงเข้ามาสานงานต่อจากท่าน:
ตั้งแต่นั้นมาพระเยซูทรงตั้งต้นประกาศว่า“จงกลับใจใหม่เพราะว่าแผ่นดินสวรรค์มาใกล้แล้ว” (มัทธิว 4:17 เทียบกับ 3:2)
เช่นเดียวกับยอห์น พระเยซูไม่ทรงยอมปรับไปตามระบอบศาสนาของยุคนั้น ในคำเทศนาบนภูเขา พระเยซูทรงเห็นด้วยกับยอห์นว่าพวกผู้นำศาสนาในยุคนั้นจะไม่มีส่วนในแผ่นดิน สวรรค์ (ถ้าไม่ยอมสำนึกผิดกลับใจจริง และมาเชื่อในพระเยซูคริสต์)
“เพราะเราบอกพวกท่านว่าถ้าความ ชอบธรรมของท่านไม่มากกว่าความชอบธรรมของพวกธรรมาจารย์และ พวกฟาริสีพวกท่านจะไม่มีวันได้เข้าสู่แผ่นดินสวรรค์” (มัทธิว 5:20)
จากตรงนี้พระเยซูทรงเข้าไปแก้ไขคำสอนที่ผิดๆของผู้นำศาสนายิว ในข้อต่อไปของมัทธิว พระเยซูทรงเริ่มทำให้การตีความธรรมบัญญัติในพระคัมภีร์เดิมชัดเจนถูกต้อง:
21“ท่านทั้งหลายได้ยินคำซึ่งกล่าว ไว้กับคนในสมัยก่อนว่า ‘ห้ามฆ่าคน ถ้าใครฆ่าคน คนนั้นจะต้องถูกพิพากษา’ 22 แต่เราบอกพวกท่านว่าใครโกรธพี่น้องของตนคนนั้นจะต้องถูกพิ พากษาถ้าใครพูดกับพี่น้องอย่างเหยียดหยามคนนั้นจะต้องถูกนำ ไปยังศาลสูงให้พิพากษาและถ้าใครพูดว่า‘อ้ายโฉด’ คนนั้นจะมีโทษถึงไฟนรก” (มัทธิว 5:21-22)
ครั้งแล้วครั้งเล่าที่พระเยซูทรงแก้ไขความผิดพลาดนั้นด้วยถ้อยคำว่า “ท่านทั้งหลายได้ยิน …. แต่เราบอกพวกท่านว่า ….” ข้อผิดพลาดที่พระองค์แสดงให้เห็นเป็นคำสอนที่มาจากพวกผู้นำศาสนาชาวยิว
แต่พระเยซูกลับดูเป็นภัยคุกคามกว่ายอห์นผู้ให้บัพติศมา – สิทธิอำนาจที่ทรงสำแดง ทรงรับรองด้วยการอัศจรรย์ของพระองค์ :
40พระองค์เสด็จข้ามแม่น้ำจอร์แดน อีกและไปถึงตำบลที่ยอห์นเคยให้บัพติศมาแล้วพระองค์ทรงพัก อยู่ที่นั่น 41คนจำนวนมากพากันมาหาพระองค์กล่าวว่า “ถึงยอห์นไม่ได้ทำหมายสำคัญอะไรเลยแต่ทุกสิ่งที่ยอห์น กล่าวถึงท่านผู้นี้เป็นความจริง” 42และมีคนที่นั่นหลายคนวางใจในพระองค์ (ยอห์น 10:40-42)
พระเยซูทรงรับรองคำสอนของพระองค์ด้วยการอัศจรรย์ครั้งแล้วครั้งเล่า มัทธิวบ่งชัดว่าพระเยซูทรงสนับสนุนคำสอนของพระองค์ด้วยการทำอัศจรรย์หลาย ครั้งและหลายแบบ ทำให้มีผู้คนมากมายติดตามพระองค์ไป:
23พระเยซูได้เสด็จไปทั่วแคว้น กาลิลีทรงสั่งสอนในธรรมศาลาของพวกเขาทรงประกาศข่าวประเสริฐ เรื่องแผ่นดินของพระเจ้าและทรงรักษาบรรดาโรคภัยไข้เจ็บของ ชาวเมืองให้หาย 24กิตติศัพท์ของพระองค์ก็เลื่องลือไปทั่วประเทศซีเรียพวกเขา จึงพาคนทั้งหลายที่เจ็บป่วยด้วยโรคต่างๆพวกที่เจ็บปวดทรมานพ วกที่ถูกผีเข้าพวกที่เป็นลมบ้าหมูและเป็นอัมพาตมาหาพระองค์ พระองค์ก็ทรงรักษาเขาให้หาย 25และมีมหาชนติดตามพระองค์ซึ่งมาจากแคว้นกาลิลีแคว้นทศบุรี กรุงเยรูซาเล็มแคว้นยูเดียและแม่น้ำจอร์แดนฟากตะวันออก (มัทธิว 4:23-25)
16 พอค่ำลง พวกเขาพาคนจำนวนมากที่มีผีสิงมาหาพระองค์พระองค์ก็ทรง ขับผีออกด้วยพระดำรัส และบรรดาคนเจ็บป่วยนั้นพระองค์ก็ทรงรักษาให้หาย 17 ทั้งนี้เพื่อจะให้สำเร็จตามพระวจนะที่ตรัสผ่านอิสยาห์ ผู้เผยพระวจนะที่ว่า“ท่านแบกความเจ็บไข้ของเราและหอบโรคของ เราไป”(มัทธิว 8:16-17)
มัทธิวไม่ได้ปูฉากหลังให้เห็นเหมือนลูกา ให้มาดูพระวจนะตามที่ลูกาบันทึกเพื่อใช้ประกอบการเรียน:
17ต่อมาวันหนึ่ง ขณะที่พระองค์ทรงสั่งสอนอยู่มีพวกฟาริสีและพวกอาจารย์สอน ธรรมบัญญัติมานั่งอยู่ด้วยเป็นคนที่มาจากทั่วทุกหมู่บ้านใน แคว้นกาลิลีแคว้นยูเดียและกรุงเยรูซาเล็มฤทธิ์เดชของ องค์พระผู้เป็นเจ้าก็อยู่กับพระองค์เพื่อที่จะรักษาโรคได้ 18และนี่แน่ะมีบางคนหามคนง่อยซึ่งนอนอยู่บนที่นอนมาพวกเขา พยายามหาทางหามคนง่อยเข้ามาวางตรงหน้าพระองค์ (ลูกา 5:17-18)
ดูเหมือนมีการพูดคุยกันมากมายในท่ามกลางผู้นำศาสนาชาวยิว – ในห้องลับ – พวกเขากำลังสงสัยว่าพระเยซูจะเป็นภัยคุกคามที่ร้ายแรงต่อการเป็นผู้นำของพวก เขา จำเป็นต้องออกไปตรวจสอบ ดังนั้นพวกครูสอนธรรมบัญญัติและฟาริสีจากทั่วทุกสารทิศ จึงมาอยู่ในท่ามกลางผู้คน พวกนี้ไม่ได้มาอย่างเปิดใจ หรือพยายามเสาะหาว่าพระเยซูเป็นพระเมสซิยาห์จริงหรือ ผมว่าพวกเขาคงไม่เคยถามตัวเอง “เรื่องนี้เป็นจริงหรือ? พระเยซูเป็นพระเมสซิยาห์จริงหรือ?” พวกเขามัวแต่กลัวว่า “จะเกิดอะไรขึ้นถ้าเราปล่อยไปโดยไม่ทำอะไร แล้วเกิดผู้คนไปเลือกตามพระเยซู แล้วเลิกตามพวกเราล่ะ? พวกเขาต้องไปตรวจสอบคนๆนี้ และหาทางจัดการกับความเสียหายก่อนที่จะสายไป
ผู้คนมากมายไปรวมตัวกันที่บ้านในคาเปอร์นาอุม ไปฟังคำสอนของพระเยซู (มาระโก 2:1-2) ฤทธิอำนาจของพระองค์ก็ทรงสำแดงที่นั่นด้วย ทรงทำการอัศจรรย์รักษาโรค (ลูกา 5:17) ที่นั่นจึงแน่นขนัดจนคนเข้าไปอีกไม่ได้ ไม่ต้องพูดถึงชายสี่คนที่หามคนง่อยมาบนแคร่ หลายคนอยากมาฟังคำสอน อยากเก็บไว้ทุกถ้อยคำ บางคนหวังว่าจะได้รับการรักษาโรค แล้วก็มีครูสอนธรรมบัญญัติและพวกฟาริสี นั่งกอดอกฟังอยู่ด้วย มาตรวจสอบหน้าใหม่ในวงการที่ไม่ได้ผ่านตราประทับรับรองจากพวกเขา (และที่จริงเป็นฝ่ายตรงข้ามอีกต่างหาก)
1พระเยซูเสด็จลงเรือข้ามฟากไปยัง เมืองของพระองค์ 2นี่แน่ะเขาทั้งหลายหามคนง่อยคนหนึ่งซึ่งนอนอยู่บนที่นอน มาหาพระองค์เมื่อพระเยซูทอดพระเนตรเห็นความเชื่อของพวกเขาจึง ตรัสกับคนง่อยว่า“ลูกเอ๋ย จงชื่นใจเถิดบาปของเจ้าได้รับอภัยแล้ว” 3เมื่อได้ยินดังนั้นพวกธรรมาจารย์บางคนคิดในใจว่า“คนนี้ หมิ่นประมาทพระเจ้า” 4พระเยซูทรงทราบความคิด4 ของพวกเขาจึงตรัสว่า“ทำไมพวกท่านจึงคิดการชั่วอยู่ในใจ? 5 การที่พูดว่า ‘บาปต่างๆ ของท่านได้รับอภัยแล้ว’ กับการพูดว่า ‘จงลุกขึ้นเดินไปเถิด’ แบบไหนจะง่ายกว่ากัน? 6ทั้งนี้เพื่อให้ท่านรู้ว่าบุตรมนุษย์มีสิทธิอำนาจในโลกที่จะ อภัยบาปได้” พระองค์จึงตรัสสั่งคนง่อยว่า “จงลุกขึ้นยกที่นอนกลับไปบ้านของท่าน” 7เขาจึงลุกขึ้นไปบ้าน 8เมื่อฝูงชนเห็นดังนั้นพวกเขาก็เกรงกลัวแล้วพากันสรรเสริญ พระเจ้าผู้ประทานสิทธิอำนาจเช่นนั้นแก่มนุษย์ (มัทธิว 9:1-8)
น่าสนใจที่มัทธิวตัดตอนที่น่าสนใจที่สุดออกไป แต่มาระโกและลูกากลับบันทึกไว้ :
3 มีคนสี่คนหามคนง่อยคนหนึ่งมาเฝ้าพระองค์ 4แต่เมื่อพวกเขาไม่สามารถเข้าไปถึงตัวของพระองค์เพราะมีคน มากพวกเขาจึงเจาะดาดฟ้าตรงที่พระองค์ประทับนั้นและเมื่อทำ เป็นช่องแล้วพวกเขาก็หย่อนแคร่ที่คนง่อยนอนอยู่ลงไป 5เมื่อพระเยซูทอดพระเนตรเห็นความเชื่อของพวกเขาพระองค์จึง ตรัสกับคนง่อยว่า“ลูกเอ๋ยบาปของเจ้าได้รับการอภัยแล้ว” 6แต่มีพวกธรรมาจารย์บางคนนั่งอยู่ที่นั่นและคิดในใจว่า 7“ทำไมคนนี้พูดอย่างนี้ หมิ่นประมาทพระเจ้านี่ใครจะอภัยบาปได้นอกจากพระเจ้าองค์ เดียว” 8พระเยซูทรงทราบในพระทัยทันทีว่าพวกเขาสนทนากันในหมู่ พวกเขาอย่างนั้น จึงตรัสว่า “ทำไมพวกท่านถึงคิดในใจอย่างนี้ 9การที่พูดกับคนง่อยว่า‘บาปต่างๆ ของท่านได้รับการอภัยแล้ว’ กับการพูดว่า ‘จงลุกขึ้นยกแคร่เดินไปเถิด’ แบบไหนจะง่ายกว่ากัน 10ทั้งนี้เพื่อให้พวกท่านรู้ว่าบุตรมนุษย์มีสิทธิอำนาจในโลก ที่จะอภัยบาปได้” พระองค์จึงตรัสสั่งคนง่อยว่า 11“เราสั่งท่านว่า จงลุกขึ้นยกแคร่แล้วกลับบ้านของท่าน” 12คนง่อยก็ลุกขึ้นแล้วยกแคร่ของตนทันทีเดินออกไปต่อหน้าคน ทั้งหลายทุกคนก็ประหลาดใจและสรรเสริญพระเจ้ากล่าวว่า “เราไม่เคยเห็นอะไรอย่างนี้เลย”(มาระโก 2:3-12) ดูลูกา 5:18-26 ด้วย
คนง่อยคนนี้ไม่ได้มาหาพระเยซูเหมือนคนอื่นๆ เขาถูกหย่อนลงมาจากหลังคา ผมคิดว่ามัทธิวน่าจะบันทึกเหตุการณ์ที่น่าสนใจนี้ไว้ แต่ท่านไม่ได้ทำ มัทธิวไม่ได้เล่าเรื่องที่มนุษย์มักสนใจ ท่านประกาศข่าวประเสริฐแห่งพระกิตติคุณ อะไรสำคัญกว่ากัน รู้เรื่องคนง่อยถูกหย่อนมาจากหลังคา หรือรู้ว่าพระเยซูทรงมีอำนาจยกบาปได้? มัทธิวไม่มีเวลาเล่าเรื่อง แม้จะเป็นเรื่องน่าสนใจก็ตาม เป้าหมายของท่านคือนำเสนอพระกิตติคุณ ข่าวประเสริฐที่พระเมสซิยาห์เสด็จมาเพื่อช่วยคนบาป
ผมอยากให้คุณสังเกตุบางอย่างที่พิเศษเกี่ยวกับเหตุการณ์นี้ การตอบสนองของพระเยซูทำให้เห็นถึงความเชื่อของคนอื่นๆด้วย พระเยซูทรงสังเกตุเห็น “ความเชื่อของพวกเขา”:
2นี่แน่ะเขาทั้งหลายหามคนง่อยคนหนึ่งซึ่งนอนอยู่บนที่นอนมาหาพระองค์เมื่อพระเยซูทอดพระเนตรเห็นความเชื่อของพวกเขาจึงตรัสกับคนง่อยว่า“ลูกเอ๋ย จงชื่นใจเถิดบาปของเจ้าได้รับอภัยแล้ว” (มัทธิว 9:2)
ผมไม่อยากมองข้ามความจริงว่า “ของพวกเขา” อาจหมายถึงความเชื่อของชายห้าคน ไม่ใช่แค่สี่ ไม่ได้แนะนำว่าชายง่อยได้รับความรอดเพราะความเชื่อส่วนตัวของเขา แต่อยากให้เรามาดูว่ามัทธิวกำลังบอกอะไร – ความเชื่อของชายทั้งสี่มีบางสิ่งที่เกี่ยวข้องกับการรักษาชายง่อย แม้แต่ได้รับการอภัยบาป พระเยซูทรงตอบสนองต่อความเชื่อของคนอื่นๆเมื่อทรงรักษาชายง่อย และอภัยบาปของเขา เป็นคำหนุนใจสำหรับพวกเราที่ควรอธิษฐานให้บ่อยขึ้น และด้วยใจร้อนรนเพื่อผู้อื่น ความเชื่อของผู้ชายกลุ่มนี้ สำแดงออกโดยยื่นมือเข้าไปจัดการและช่วยเหลือเพื่อนที่เป็นง่อย ไม่เพียงแต่เขาจะได้รับพระพรแห่งการรักษา แต่ยังได้รับการอภัยบาปอีกด้วย คำอธิษฐานของเราเพื่อผู้หลงหายนั้นมีความหมายมาก ผมมองไม่เห็นว่าจะเข้าใจเป็นอื่นไปได้อย่างไร
แต่ทำไมพระเยซูถึงไปไกลเกินกว่าสิ่งที่ผู้ชายกลุ่มนี้ร้องขอ? ผมขอให้เหตุผลสามประการ
ประการแรก เมื่อนำพระวจนะตอนนี้ไปพิจารณาผ่านสิ่งที่ อ เปาโลเขียนถึงชาวเอเฟซัส:
20ขอให้พระเกียรติมีแด่พระองค์ผู้ทรงสามารถทำทุกสิ่งได้มากยิ่งกว่าที่เราทูลขอหรือคิดโดยฤทธานุภาพที่ทำกิจอยู่ภายในเรา 21ขอให้พระเกียรติจงมีแด่พระองค์ในคริสตจักรและในพระเยซูคริสต์ตลอดทุกชั่วอายุคนเป็นนิตย์อาเมน (เอเฟซัส 3:20-21)
พระเจ้าทรงนำพระสิริมาสู่พระองค์โดยขยายขอบเขตแห่งพระพรต่อคำทูลขอและ ความคาดหวังของเรา คงไม่ต้องสงสัยว่าพระเจ้าทรงนำพระสิริมาสู่พระองค์โดยทำอัศจรรย์รักษาชาย ง่อย เพราะมีบันทึกอยู่ในพระวจนะตอนนี้ :
8เมื่อฝูงชนเห็นดังนั้นพวกเขาก็เกรงกลัว แล้วพากันสรรเสริญพระเจ้าผู้ประทานสิทธิอำนาจเช่นนั้นแก่มนุษย์ (มัทธิว 9:8)
ประการที่สอง ผมเชื่อว่าพระเจ้าทรงอภัยบาปให้ชายคนนี้เพราะทำให้เขามีใจกล้ามาเข้าเฝ้าต่อพระพักตร์พระเจ้า ผมอ้างจากคำตรัสของพระเยซู “ลูกเอ๋ย จงชื่นใจเถิดบาปของเจ้าได้รับอภัยแล้ว” (มัทธิว 9:2) เราพบถ้อยคำนี้สามแห่งในพระกิตติคุณมัทธิว ในตอนนี้และตามมาในบทเดียวกัน :
20นี่แน่ะมีผู้หญิงคนหนึ่งเป็นโรค ตกโลหิตได้สิบสองปีแล้วแอบมาข้างหลังแตะต้องชายฉลองพระองค์ 21เพราะนางคิดในใจว่า “ถ้าฉันได้แตะต้องฉลองพระองค์เท่านั้นฉันก็จะหายโรค” 22พระเยซูทรงเหลียวหลังทอดพระเนตรเห็นเข้าจึงตรัสว่า“ลูกหญิง เอ๋ยจงชื่นใจเถิด ที่หายโรคนั้นก็เพราะลูกเชื่อ” นับตั้งแต่เวลานั้นผู้หญิงนั้นก็หายป่วยเป็นปกติ (มัทธิว 9:20-22)
หญิงคนนี้เชื่อว่าเธอจะได้รับการรักษาให้หาย ถ้าเพียงแต่ได้แตะต้องชายฉลองพระองค์ของพระเยซู มีหลายคนได้รับการรักษาโดยแตะชายฉลองของพระองค์ แต่พวกเขาทูลขอก่อน (มัทธิว 9:35-36) ดูเหมือนผู้หญิงคนนี้กลัวไม่กล้าขอ เธอจึง “แอบ” แตะและได้รับการรักษา พระเยซูไม่ต้องการให้เป็นแค่นั้น พระองค์จึงทรงเรียกเธอ ตอนนี้เธอตกใจจริงๆ เรากล้าดียังไงที่แอบขโมยรับการรักษาแล้วตอนนี้คงต้องไปยืนอยู่ต่อหน้าพระ เยซู โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อหน้าคนจำนวนมากด้วย? เธอมีความเชื่อจึงได้รับการรักษา แต่ความกลัวทำให้ไม่กล้าเข้าไปไกล้บุตรของพระเจ้า พระเยซูจึงตรัสว่า “จงชื่นใจเถิด ที่หายโรคนั้นก็เพราะลูกเชื่อ”
คำว่า “จงชื่นใจเถิด” ปรากฎครั้งสุดท้ายในมัทธิวบทที่ 14:
26เมื่อสาวกเห็นพระองค์ทรงดำเนิน มาบนทะเลเขาทั้งหลายก็แตกตื่นพูดกันว่าต้องเป็นผีและร้อง ด้วยความกลัว 27พระเยซูตรัสกับพวกเขาทันทีว่า “ทำใจดีดีเถิด นี่เราเอง อย่ากลัวเลย”(มัทธิว 14:26-27)
พวกสาวกอยู่ในเรือเมื่อพระเยซูเสด็จมาหา ดำเนินมาบนน้ำ พวกเขาไม่รู้ว่านั่นเป็นใคร จึงกลัวกันแทบตาย โทษพวกเขาได้มั้ย? และพระเยซูตรัสกับพวกเขาว่า “ทำใจดีดีเถิด นี่เราเอง อย่ากลัวเลย” (มัทธิว 14:27ข) เมื่อได้ยิน พวกเขาก็ไม่ได้กลัวผู้ที่ดำเนินมาบนน้ำอีกต่อไป แต่กลับเชิญพระองค์ขึ้นเรือ
ผมเชื่อว่าชายง่อยคนนี้คงกลัวจริงๆ เหมือนหญิงที่โลหิตตก และเหมือนพวกสาวกที่คิดว่าเห็นผี พวกเขากลัวที่จะอยู่ต่อเบื้องพระพักตร์พระเจ้า ชายคนนี้คงมีความกล้าระดับหนึ่ง พอที่เชื่อว่าเขาจะได้รับการรักษาให้หาย เขามีความเชื่อในพระเยซู และถ้าเขาคิดว่าพระองค์ทรงเป็นพระเมสซิยาห์ ก็เป็นการดีที่สมควรกลัวต่อเบื้องพระพักตร์ เพราะอะไร เพราะละอายต่อความบาป จนไม่กล้าเข้าใกล้พระเมสซิยาห์?
พระเยซูทรงทราบความคิดของพวกธรรมาจารย์ ซึ่งเราจะได้เห็นต่อไป (ข้อ 4) พระองค์ยังทรงทราบถึงจิตใจของชายทั่งสี่ที่หามแคร่มา (ทรง “เห็น” ความเชื่อของพวกเขา ข้อ 2) แล้วทำไม พระองค์จะไม่ทรงรับรู้ความคิดและความกลัวของชายง่อย? ถ้าชายง่อยคนนี้มีความเชื่อว่าพระเยซูทรงรักษาเขาได้ เขาก็ต้องรู้ว่าพระองค์เป็นผู้ใด แล้วคนอย่างเขา คนบาปที่ไม่สมควร จะเข้าไปใกล้บุตรของพระเจ้าและหวังจะได้รับการรักษาได้อย่างไร? เป็นคำถามที่ดีมากๆ เมื่อทรงทราบ พระเยซูทรงขจัดความกลัวออกไปจากเขา ให้กำลังใจ ตรัสบอกเขาว่าบาปของเขาได้รับการอภัยแล้ว ถ้อยคำของพระองค์ปลอบใจและให้ความมั่นใจว่าจะทรงเติมความต้องการฝ่ายวิญญาณ ให้เขา และถ้อยคำต่อจากนั้นเป็นการเติมเต็มความต้องการฝ่ายกาย
ประการที่สาม พระเยซูให้อภัยบาปชายคนนี้เพราะทรงทราบว่าพวกพวกธรรมาจารย์จะแปลความหมายออก พระเยซูกำลังประกาศว่าพระองค์คือพระเจ้า และประกาศต่อหน้าผู้คนอย่างชัดเจนว่าทรงอภัยความบาปให้ชายง่อยคนนี้ได้ พวกธรรมาจารย์ไม่พลาดประเด็นนี้แน่ พวกเขาคิดในแง่ของศาสนศาสตร์ทันที และให้เหตุผลถูกต้องด้วย “…ใครจะอภัยบาปได้นอกจากพระเจ้าเท่านั้น?” (ลูกา5:21) บางทีอาจนึกได้ว่าเป็นพระวจนะจากหนังสืออิสยาห์:
25“เรา เราเองคือผู้นั้นผู้ลบล้างการทรยศของเจ้าด้วยเห็นแก่เราเอง
และเราจะไม่จดจำบาปของเจ้า” (อิสยาห์ 43:25)
สังเกตุดูมัทธิวไม่ได้บันทึกคำว่า “ใครจะอภัยบาปได้นอกจากพระเจ้าเท่านั้น?”เพราะคงไม่มีความจำเป็น ในอีกมุม เราพบถ้อยคำนี้อยู่ในทั้งมาระโกและลูกา ส่วนมัทธิวกลับบันทึกคำกล่าวหาว่า “คนนี้หมิ่นประมาทพระเจ้า” (มัทธิว 9:3) พระเยซูถูกกล่าวหาว่าหมิ่นประมาทพระเจ้า เพราะทรงอ้างว่าพระองค์คือพระเจ้า
33 พวกยิวทูลตอบพระองค์ว่า“เราจะขว้างท่านไม่ใช่เพราะการดีใดๆ แต่เพราะการพูดหมิ่นประมาทพระเจ้าเพราะท่านเป็นเพียงมนุษย์แต่ ตั้งตัวเป็นพระเจ้า” (ยอห์น 10:33) ดู ยอห์น 5:18; 19:17 ด้วย
สังเกตุดูพวกธรรมาจารย์ไม่ได้พูดคำกล่าวหาออกมา หรือท้าทายพระเยซูต่อหน้าฝูงชน ทำไม? ผมคิดว่าเพราะพระเยซูไม่เปิดโอกาสให้ ทรงไม่ทันให้พวกเขาตั้งตัวโดยตีแผ่ความคิดของพวกเขาก่อนที่จะกล้าประท้วง และนี่คืออีกบทพิสูจน์ว่าพระองค์คือบุตรของพระเจ้า
ตรรกะของพวกธรรมาจารย์นั้นไม่มีตำหนิ พวกเขาพูดไปตามที่วินิจฉัย แต่พวกเขาจะกล้าไปตามหลักฐานที่เกิดขึ้นจนที่สุดหรือ? แรก พระเยซูทรงประกาศอย่างตรงๆว่าทรงมีอำนาจยกบาปได้ โดยการยกโทษบาปให้ชายที่เป็นง่อย และทรงตีแผ่ความคิดภายในของพวกธรรมาจารย์ ที่ต่อต้านคำประกาศนี้ด้วยข้อหาดูหมิ่นพระเจ้า จากนั้นพระองค์ทรงทดสอบให้เห็นถึงสิทธิอำนาจของพระองค์ “…ที่พูดกับคนง่อยว่า ‘บาปต่างๆ ของท่านได้รับการอภัยแล้ว’ กับการพูดว่า ‘จงลุกขึ้นยกแคร่เดินไปเถิด’ แบบไหนจะง่ายกว่ากัน?
ถ้าเป็นสมัยนี้เราคงใช้คำว่า “หุบปากไปเลย” แปลว่าถ้าพิสูจน์คำพูดไม่ได้ก็ไม่ต้องพูด ตรงนี้พระเยซูไม่ได้พูดเกี่ยวกับความสามารถเอ่ยคำพูดบางคำออกมา พระองค์กำลังถามว่า “ใครจะสามารถพูดถ้อยคำนี้และแสดงให้เห็นว่าคำพูดของเขาสำเร็จลงตามที่พูด?” ในแง่นั้น มันง่ายกว่าหรือไม่ที่จะพูดว่า “บาปของเจ้าได้รับอภัยแล้ว แทนที่จะพูดว่า “จงลุกขึ้นเดินไปเถิด” คุณไม่อาจเห็นผลทันทีเรื่องการอภัยบาป เพราะเป็นเรื่องจิตใจภายใน จะเห็นผลได้ต้องใช้เวลา5 ดังนั้นจึงง่ายกว่าที่จะพูดเช่นนั้น เพราะไม่สามารถพิสูจน์ได้ด้วยตา แต่ถ้าพระเยซูตรัสว่า “จงลุกขึ้นเดินไปเถิด” พระองค์ต้องรับรองสิ่งที่ตรัสด้วยการรักษาชายคนนี้ในทันที หรือกลายเป็นว่าคำตรัสของพระองค์นั้นว่างเปล่า
พระเยซูทรงพิสูจน์ตนเองในสิ่งที่พระองค์ตรัส แต่ใช้วิธีที่แยบยล ทรงเชื่อมโยงการอัศจรรย์รักษาโรค เข้ากับสิทธิอำนาจในการยกบาป ตรรกะนี้ทำให้พวกธรรมจารย์คิดออกว่า ไม่มีใครยกบาปได้เว้นแต่พระเจ้า ทำให้พวกเขาสรุปได้ว่าพระเยซูคือพระเจ้านั่นเอง ถ้าพระองค์อภัยบาปได้ และตอนนี้พระองค์ทรงเชื่อมโยงอีกตรรกะเข้าไป – ถ้าพระองค์ทรงรักษาชายง่อยนี้ได้ (ซึ่งมองดูยากกว่า) ที่แน่ๆคือทรงอภัยบาปให้ได้ (ซึ่งดูง่ายกว่า) ถ้าพระเยซูทรงรักษาชายง่อยได้ พระองค์ก็ต้องเป็นพระเจ้า
พระเยซูจึงหันไปหาชายง่อยและตรัสกับเขาว่า “จงลุกขึ้น ยกที่นอนกลับไปบ้านของท่าน” (ข้อ 7) ชายง่อยจึงลุกขึ้นและกลับบ้านไปตามคำสั่งของพระเยซู สรุปได้เพียงอย่างเดียว – พระเยซูต้องเป็นพระเจ้า แต่ดูเหมือนคนไม่เข้าใจ พวกธรรมาจารย์เงียบกริบ ฝูงชนประทับใจมาก แต่พวกเขามองไม่ออกว่าพระเยซูคือพระเจ้า:
เมื่อฝูงชนเห็นดังนั้น พวกเขาก็เกรงกลัว แล้วพากันสรรเสริญพระเจ้า ผู้ประทานสิทธิอำนาจเช่นนั้น แก่มนุษย์ (มัทธิว 9:8)
ฝูงชนมองว่านี่เป็นการงานของพระเจ้า และดูจะรับรู้แค่ว่าพระเยซูเป็น “คนของพระเจ้า” ไม่ได้ตระหนักว่าพระองค์เองคือพระเจ้า พวกเขาสรรเสริญพระเจ้า (แต่ไม่ใช่พระเยซูในฐานะพระเจ้า) ที่ได้ประทานสิทธิอำนาจนั้นให้ “แก่มนุษย์” พระเยซูจึงเป็นแค่มนุษย์ในสายตาพวกเขา ซึ่งอาจได้รับอำนาจบางอย่างจากพระเจ้า ผมคิดว่าน่าจะหมายความว่าพวกเขาเห็นพระเยซูเป็นผู้เผยพระวจนะ เหมือนกับชายที่เกิดมาตาบอด (จนกระทั่งพระเยซูบอกเขาอีกแบบ) :
17 พวกเขา จึงพูดกับคนตาบอดอีกว่า “เจ้าคิดอย่างไรเรื่องคนนั้น ในเมื่อเขาทำให้ตาของเจ้าหายบอด?” ชายคนนั้นตอบว่า “ท่านเป็นผู้เผยพระวจนะ” … 30ชาย คนนั้นตอบว่า “เออ ประหลาดจริงๆ นะที่พวกท่านไม่รู้ว่าคนนั้นมาจากไหน แต่เขาก็ทำให้ตาของข้าพเจ้าหายบอดได้ 31เรารู้ว่าพระเจ้าไม่ทรงฟังคนบาป แต่ทรงฟังคนที่ยำเกรงพระองค์และทำตามพระทัยของพระองค์ 32ตั้งแต่สมัยไหนๆ ก็ไม่เคยมีใครได้ยินว่ามีคนสามารถทำให้ตาของคนที่บอดแต่ กำเนิดมองเห็นได้ 33ถ้าคนนั้นไม่ได้มาจากพระเจ้า เขาจะไม่สามารถทำได้” (ยอห์น 9:17; 30-33)
เราไม่ควรชี้นิ้วด่วนสรุปเอาในตอนนี้ ผมไม่เชื่อว่าพวกสาวกมองเห็นนัยในการอัศจรรย์รักษาโรค เพราะเปโตรเองกว่าจะ “ยอมรับว่าพระเยซูเป็นพระคริสต์” ก็เข้ามัทธิวบทที่ 16 แล้ว
ผมอยากพูดอีกเรื่องเกี่ยวกับชายง่อยก่อนจะไปเรื่องถัดไป พระเยซูไม่ได้ทรงใช้ชายง่อยนี้ แต่ทรงเป็นห่วงเขา ถึงพระองค์จะใช้สถานการณ์นี้เพื่อชี้ให้เห็นว่าพระองค์ไม่เพียงแต่มีฤทธิ อำนาจในการรักษา แต่สามารถช่วยมนุษย์ให้รอดจากบาปได้ด้วยการอภัยให้ แต่พระเยซูไม่ได้ “ใช้” ชายง่อยคนนี้ในแบบที่พวกผู้นำศาสนาคิด ลองเปรียบเทียบกับพระวจนะตอนนี้ในพระกิตติคุณมัทธิว กับมาระโก:
1แล้วพระองค์เสด็จเข้าไปใน ธรรมศาลาอีก และมีคนที่มือข้างหนึ่งลีบอยู่ที่นั่น 2คนเหล่านั้นคอยเฝ้าดูว่า พระองค์จะรักษาโรคให้คนนั้นในวันสะบาโตหรือไม่ เพื่อจะหาเหตุฟ้องพระองค์ 3พระองค์ตรัสกับคนมือลีบว่า “มาข้างหน้าเถอะ” 4แล้ว พระองค์ตรัสกับคนทั้งหลายว่า “ในวันสะบาโตควรจะทำการดีหรือทำการร้าย ควรจะช่วยชีวิตหรือทำลายชีวิต?” คนทั้งหลายก็นิ่งอยู่ 5พระองค์ ทอดพระเนตรดูรอบๆ ด้วยพระพิโรธและเสียพระทัย ที่จิตใจของพวกเขากระด้าง แล้วพระองค์ตรัสกับชายคนนั้นว่า “จงเหยียดมือออกเถิด” เขาก็เหยียดออก และมือของเขาก็หายเป็นปกติ 6พวกฟาริสีจึงออกไปและปรึกษากับพรรคพวกของเฮโรดทันทีว่าทำ อย่างไรพวกเขาถึงจะฆ่าพระองค์ได้ (มาระโก 3:16)
พวกธรรมาจารย์และฟาริสีไม่ได้เป็นห่วงผู้คน พวกเขาขาดความเมตตาสงสาร (ซึ่งเป็นประเด็นของพระเยซูในมัทธิว 9:13) ดูความใจดำของพวกเขาที่มีต่อคนที่กำลังทนทุกข์:
10ขณะที่พระเยซูทรงสั่งสอนอยู่ ที่ธรรมศาลาแห่งหนึ่งในวันสะบาโต 11 มีผู้หญิงคนหนึ่งที่มีผีเข้าสิงซึ่งทำให้นางเป็นโรคมา สิบแปดปีแล้วอยู่ที่นั่นด้วย หลังของนางก็โกง ยืดตัวขึ้นไม่ได้เลย 12เมื่อ พระเยซูทอดพระเนตรเห็นจึงทรงเรียกและตรัสกับนางว่า “หญิงเอ๋ย เธอได้รับการปลดปล่อยให้พ้นจากโรคของเธอแล้ว” 13เมื่อพระองค์วางพระหัตถ์บนตัวนาง ทันใดนั้นนางก็ยืดตัวตรงได้และสรรเสริญพระเจ้า 14แต่ นายธรรมศาลาไม่พอใจ เพราะพระเยซูทรงรักษาโรคในวันสะบาโต จึงพูดกับฝูงชนว่า “มีถึงหกวันสำหรับทำงาน จงมาและรับการรักษาโรคภายในหกวันนั้น อย่าทำในวันสะบาโต” 15แต่ องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสตอบเขาว่า “โอ พวกหน้าซื่อใจคด พวกท่านทุกคนก็ปล่อยวัวปล่อยลาออกจากคอกของมันพาไปกินน้ำ ในวันสะบาโตไม่ใช่หรือ? 16ผู้หญิงคนนี้เป็นบุตรสาวของอับราฮัมซึ่งถูกซาตานผูกมัด ไว้ ถึงสิบแปดปีแล้ว ไม่ควรหรือที่จะให้นางหลุดพ้นจากเครื่องจำจองนี้ใน วันสะบาโต?” 17เมื่อพระองค์ตรัสอย่างนั้นแล้ว พวกที่เป็นศัตรูกับพระองค์ก็ได้รับความอับอาย แต่ฝูงชนทั้งหมดชื่นชมยินดีกับคุณความดีทุกประการที่ พระองค์ทรงทำ (ลูกา 13:10-17)
พระเยซูทรงมีพระทัยเมตตาสงสารชายง่อย พระองค์ไม่เพียงแต่รักษาอาการของโรค แต่ทรงอภัยบาปให้ด้วย ขณะที่พระเยซูทรงใช้สถานการณ์นี้เพื่อชี้ให้เห็นว่าพระองค์มีสิทธิอำนาจยก บาปได้ พระองค์ไม่ได้ทำโดยใช้ชายคนนี้ ทั้งหมดนี้เป็นสถานการณ์แบบ วิน-วิน
9เมื่อ พระเยซูเสด็จเลยตำบลนั้นไป ก็ทอดพระเนตรเห็นคนหนึ่งชื่อมัทธิวนั่งอยู่ที่ด่านภาษี จึงตรัสกับเขาว่า “จงตามเรามาเถิด” เขาก็ลุกขึ้นตามพระองค์ไป 10เมื่อพระองค์ประทับและเสวยอาหาร อยู่ในบ้าน มีคนเก็บภาษีและคนบาปอื่นๆ หลายคน เข้ามาร่วมรับประทานอาหารกับพระเยซู และกับบรรดาสาวกของพระองค์ 11เมื่อ พวกฟาริสีเห็นแล้ว ก็กล่าวกับพวกสาวกของพระองค์ว่า “ทำไมอาจารย์ของพวกท่านจึงรับประทานอาหารด้วยกันกับพวก คนเก็บภาษี และพวกคนบาป?” 12เมื่อพระเยซูทรงได้ยินแล้วก็ตรัสว่า “คนแข็งแรงไม่ต้องการหมอ แต่คนเจ็บป่วยต้องการ 13ท่านจงไปเรียนความหมายของคัมภีร์ข้อนี้ ที่ว่า ‘เราประสงค์ความเมตตา ไม่ประสงค์เครื่องสัตวบูชา’ ด้วยว่าเราไม่ได้มาเพื่อเรียกคนชอบธรรม แต่มาเรียกคนบาป” (มัทธิว 9:9-13)
ถึงจะไม่ควร แต่อดคิดไม่ได้ว่าอะไรตรงนี้ที่ขาดหายไป พระเยซูทรงผ่านบูธเก็บภาษีของมัทธิวไปกี่หน? และกี่หนที่มัทธิวได้ยินคำสอนของพระองค์ เห็นพระองค์ทำอัศจรรย์รักษาคนป่วย? มัทธิวเคยคิดอยากติดตามพระเยซูมาสักพักหรือเปล่า? ไม่มีบันทึกไว้ แต่มีบันทึกว่าเขาเป็นคนเก็บภาษี เป็นอาชีพที่ถูกมองว่าต่ำที่สุดแล้วในยุคนั้น
17 “ถ้า เขาไม่ฟังคนเหล่านั้น จงไปแจ้งต่อคริสตจักร ถ้าเขายังไม่ฟังคริสตจักรอีก ก็ให้ถือว่าเขาเป็นเหมือนคนต่างชาติหรือคนเก็บภาษี” (มัทธิว 18:17)
1เมื่อพระเยซูเสด็จเข้าไปในเมือง เยรีโคและกำลังเสด็จผ่านไปตามทาง 2มีชายคนหนึ่งชื่อศักเคียสอยู่ที่นั่น เขาเป็นนายด่านภาษีและเป็นคนมั่งมี 3เขาพยายามจะดูว่าพระเยซูเป็นใคร แต่คนมากจึงมองไม่เห็น เพราะเขาเป็นคนเตี้ย 4เขาจึงวิ่งไปข้างหน้า ปีนขึ้นต้นมะเดื่อเพื่อจะได้มองเห็นพระองค์ เพราะว่าพระองค์กำลังจะเสด็จผ่านทางนั้น 5เมื่อ พระเยซูเสด็จมาถึงที่นั่น พระองค์แหงนพระพักตร์ดูศักเคียสแล้วตรัสกับเขาว่า “ศักเคียสเอ๋ย จงรีบลงมา เพราะว่าวันนี้เราจะต้องพักอยู่ในบ้านของท่าน” 6แล้วเขาก็รีบลงมาต้อนรับพระองค์ด้วยความชื่นชมยินดี 7ทุกคนที่เห็นแล้วก็พากันบ่นและกล่าวว่า “ท่านผู้นี้จะเข้าไปพักอยู่กับคนบาป” 8ส่วน ศักเคียสนั้นยืนขึ้นทูลองค์พระผู้เป็นเจ้าว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้า ทรัพย์สิ่งของของข้าพระองค์ ข้าพระองค์ยอมให้คนยากจนครึ่งหนึ่ง และถ้าข้าพระองค์โกงอะไรของใครมา ก็ยอมคืนให้เขาสี่เท่า” 9พระเยซูตรัสกับเขาว่า “วันนี้ความรอดมาถึงบ้านนี้แล้ว เพราะคนนี้เป็นลูกของอับราฮัมด้วย 10เพราะว่าบุตรมนุษย์มาเพื่อจะแสวงหาและช่วยผู้ที่หลงหายไป นั้นให้รอด (ลูกา 19:1-10)
ในหนังสือพระกิตติคุณเหมือนแต่ละเล่ม 6 เรารู้เพียงว่าพระเยซูทรงเรียกให้มัทธิวตามพระองค์ไป และเขาก็ตามพระองค์ไปในทันที คุณนึกภาพการตัดสินใจแบบนี้ออกหรือไม่? มันดูเสี่ยงที่จะออกจากงานแบบกะทันหันหรือเปล่า ผมคงไม่อยากเป็นมัทธิว กลับไปบ้าน เจอภรรยา : “ที่รักจ๊ะ มีทั้งข่าวดีและข่าวร้าย ผมเพิ่งลาออกจากงานเพื่อติดตามพระเยซูไป แล้วเดี๋ยวเย็นนี้จะมีคนกลุ่มใหญ่มาทานข้าวที่บ้าน” งานที่มัทธิวทำรายได้ดี และมีโอกาส “ก้าวหน้า” สูง โดยการเป็นคนเก็บภาษี ตอนนี้มัทธิวเข้าสู่โหมดตกงาน และวางอนาคตตนเองไว้กับลูกช่างไม้ยากจน
ผมคิดว่าที่มัทธิวเล่าเรื่องนี้มีเหตุผลหลายประการ ข้อแรก – ให้ข้อมูลเบื้องหลังการทรงเรียกสาวกคนหนึ่งของพระเยซู 7 ข้อสอง – เป็นการย้ำให้เห็นถึงสิทธิอำนาจของพระเยซูอีกครั้ง พระเยซูทรงขับผีหลายตัวออกไปด้วยคำตรัส (มัทธิว 8:16) และตอนนี้ทรงเรียกสาวก ที่ทิ้งการงานแค่ได้ยินคำตรัสของพระองค์ ข้อสาม การทรงเรียกของมัทธิวกลายเป็นเหตุให้มีการเฉลิมฉลองอย่างยิ่งใหญ่ในท่ามกลางคนบาป แต่เป็นเรื่องหนักใจสำหรับพวกฟาริสี (ข้อ 10-12) 8นี่เป็นโอกาสให้พระเยซูทรงชี้ให้เห็นถึงพระประสงค์เบื้องต้นที่เสด็จลงมา (ข้อ 13)
การเปลี่ยนอาชีพของมัทธิวไม่ได้ตัดสินใจแบบกัดฟันทำ หรือรีรอไม่แน่ใจ แต่เป็นโอกาสแห่งความปิติยินดี ลูกาชี้ให้เห็นชัดเจนว่างานเลี้ยงฉลองนั้นไม่ใช่มีเพื่อมัทธิวคนเดียว แต่มัทธิวเป็นเจ้าภาพจัดงาน:
27หลังจาก เหตุการณ์เหล่านั้นแล้ว พระองค์เสด็จออกไป และทอดพระเนตรเห็นคนเก็บภาษีคนหนึ่งชื่อเลวีนั่งอยู่ที่ ด่านภาษี จึงตรัสกับเขาว่า “จงตามเรามาเถิด” 28เขาก็ลุกขึ้น สละทิ้งทุกสิ่งและตามพระองค์ไป 29แล้วเลวีก็จัดงานเลี้ยงใหญ่เพื่อพระองค์ในบ้านของตน มีคนเก็บภาษีกลุ่มใหญ่และคนอื่นๆ มาร่วมในงานนั้นด้วย (ลูกา 5:27-29)
การติดตามพระเยซูเป็นเหตุแห่งความปิติยินดี และต้องเฉลิมฉลอง มัทธิวจึงเชิญเพื่อนๆมาร่วมฉลอง – เพื่อนในสายงานเก็บภาษี และคนบาป สิ่งนี้รบกวนจิตใจคนบางพวกมาก:
เมื่อพวกฟาริสีเห็นแล้ว ก็กล่าวกับพวกสาวกของพระองค์ว่า “ทำไมอาจารย์ของพวกท่านจึงรับประทานอาหารด้วยกันกับพวก คนเก็บภาษี และพวกคนบาป?” (มัทธิว 9:11)
มีข้อสังเกตหลายประการดังนี้ ประการแรก – มีแต่พวกฟาริสีที่ไม่เห็นด้วย ในกรณีอภัยบาปให้ชายที่เป็นง่อย ตอนนั้นพวกธรรมาจารย์ไม่เห็นด้วย (อย่างน้อยก็ในความคิด) ตอนนี้ ในกรณีที่เรียกมัทธิว ฟาริสีเป็นพวกที่ไม่เห็นด้วย ตอนนี้ถึงกับออกปากบ่นให้สาวกพระเยซูฟัง แต่ไม่ได้พูดกับพระเยซู (ข้อ 11) ธรรมาจารย์ในยุคนั้นก็คือนักศาสนศาสตร์ คงเดาได้ว่าพวกเขากังวลเกี่ยวกับหลักศาสนศาสตร์ในสิ่งที่พระเยซูตรัสกับชาย ง่อย พวกฟาริสีในยุคนั้นคือพวกทำตัวบริสุทธิ์ แยกตัวออกมา คงไม่ต้องสงสัยว่ามันรบกวนใจพวกเขามาก พระเยซูทรงไปสมาคมกับพวก “คนบาป” มากกว่ากับพวกเขา (“เหล่าคนชอบธรรม”)
ประการที่สอง – งานฉลองนี้ดูเหมือนพระเยซูทรงเป็นแขกเกียรติยศ คนเก็บภาษีและคนบาปมาร่วมรับประทานอาหารกับพระเยซูและพวกสาวกของพระองค์ คนบาปรวมกลุ่มกันจัดงานเป็นเรื่องหนึ่ง แต่การที่พระเยซูไปร่วมงานในฐานะแขกเกียรติยศนับเป็นอีกเรื่อง คนเหล่านี้กำลังเฉลิมฉลองที่พระองค์ประทับอยู่ด้วย ผมเชื่อว่า นี่คือการลิ้มรสชาตของสวรรค์ที่ปลายลิ้น เมื่อบรรดาธรรมิกชนทั้งหลายจะมานั่งร่วมสำรับกับพระผู้ช่วยให้รอด
ประการที่สาม – เราควรสังเกตพวกฟาริสี เช่นเดียวกับพวกธรรมาจารย์ก่อนหน้า ถูกต้อง – อย่างน้อยก็ทางด้านเทคนิค ธรรมาจารย์ถูกต้องที่ให้เหตุผลว่าไม่มีใครสามารถยกโทษบาปได้ มีแต่พระเจ้าเท่านั้น พวกฟาริสีนั้นถูกในแง่ที่สรุปว่าคนที่ร่วมรับประทานอาหารกับพระเยซูคือคนบาป มัทธิวเองที่เรียกพวกเขาว่า “คนเก็บภาษีและคนบาป” (ข้อ 10) พระเยซูเองไม่ได้คิดจะแก้ไขสิ่งที่พวกเขาประเมินด้วย:
12เมื่อพระเยซูทรงได้ยินแล้วก็ ตรัสว่า “คนแข็งแรงไม่ต้องการหมอ แต่คนเจ็บป่วยต้องการ 13ท่านจงไปเรียนความหมายของคัมภีร์ข้อนี้ ที่ว่า ‘เราประสงค์ความเมตตา ไม่ประสงค์เครื่องสัตวบูชา’ ด้วยว่าเราไม่ได้มาเพื่อเรียกคนชอบธรรม แต่มาเรียกคนบาป” (มัทธิว 9:12-13)
จึงเป็นโอกาสอีกครั้ง ให้พระเยซูได้อธิบายถึงพระประสงค์ที่เสด็จมาบนโลก แม้พวกฟาริสีไม่ได้มาเผชิญหน้ากับพระเยซู แต่พระองค์ทรงทราบว่าพวกเขาต่อต้าน จึงไปเผชิญหน้ากับพวกเขา พวกเขาพลาดประเด็นสำคัญ ในมัทธิว 8:17 พันธกิจการรักษาโรคถูกแปลไปตามพระวจนะในอิสยาห์ 53:4 รักษาโรคและที่สำคัญกว่าให้อภัยบาป เป็นพระประสงค์ของพระเยซูที่สละพระชนม์เพื่อชดใช้บาปที่บนกางเขน เมื่อทรงอภัยบาปให้กับชายง่อยในบทที่ 9 เป็นอีกครั้งที่แสดงให้เห็นถึงความเกี่ยวข้องกันระหว่างพันธกิจแห่งการรักษา โรค และพันธกิจที่ยิ่งใหญ่กว่า – ให้อภัยคนบาป สิ่งแรกที่ฝ่ายตรงข้ามพระองค์ต่อต้านคือการยกโทษบาป และการไปสามัคคีธรรมกับพวกคนบาป
ถ้าพระเยซูมาทำให้คำพยากรณ์ในอิสยาห์ 53 สำเร็จลง พระองค์จะไม่อภัยให้คนบาปได้อย่างไร? แล้วทำไมพวกฟาริสีถึงไม่พอใจที่พระเยซูไปคบหากับพวกคนบาป? เป็นเพราะพวกเขามองว่าตนเองเป็นคนชอบธรรม พระวจนะจากพระกิตติคุณลูกาน่าจะเกี่ยวข้องและเหมาะกับเรื่องนี้ที่สุด :
9สำหรับบางคนที่เชื่อมั่นในตัว เองว่าเป็นคนชอบธรรมและดูหมิ่นคนอื่นนั้น พระองค์ตรัสอุปมานี้ว่า 10“มีสองคนขึ้นไปอธิษฐานในบริเวณพระวิหาร คนหนึ่งเป็นฟาริสีและคนหนึ่งเป็นคนเก็บภาษี 11คน ที่เป็นฟาริสีนั้นยืนอยู่คนเดียวอธิษฐานว่า ‘ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์ขอบพระคุณพระองค์ที่ข้าพระองค์ไม่เหมือนคนอื่น ที่เป็นคนฉ้อโกง เป็นคนอธรรม และเป็นคนล่วงประเวณี และไม่เหมือนคนเก็บภาษีคนนี้ 12ข้าพระองค์ถืออดอาหารสองวันต่อสัปดาห์ และสิ่งสารพัดที่ข้าพระองค์หาได้ ข้าพระองค์ก็เอาทศางค์มาถวายเสมอ’ 13ส่วน คนเก็บภาษีนั้นยืนอยู่แต่ไกล ไม่ยอมแม้แต่แหงนหน้าดูฟ้า แต่ตีอกชกตัวกล่าวว่า ‘ข้าแต่พระเจ้า ขอทรงเมตตาแก่ข้าพระองค์ผู้เป็นคนบาปเถิด’ 14เรา บอกพวกท่านว่า คนนี้แหละเมื่อกลับลงไปถึงบ้านของตนก็ถูกนับว่าเป็นคน ชอบธรรม ไม่ใช่อีกคนหนึ่งนั้น เพราะว่าทุกคนที่ยกตัวขึ้นจะต้องถูกเหยียดลง แต่ทุกคนที่ถ่อมตัวลงจะได้รับการยกขึ้น (ลูกา 18:9-14)
พวกฟาริสีมองว่าตัวเองเป็นคนชอบธรรม และมองว่าความชอบธรรมของตนเองนั้นเป็นผลมาจากการรักษาธรรมบัญญัติ และรักษาตนให้สะอาดไม่มีมลทินจากการไปคบกับพวกคนบาป พระเยซูทรงละเมิดกฎทุกข้อ เท่าที่พวกเขาเห็น แต่ไม่ใช่พระเยซูที่เป็นฝ่ายผิด พวกฟาริสีต่างหากที่ผิด พวกเขาต้องกลับไปใคร่ครวญพระคัมภีร์เดิม เพราะพระเยซูทรงเป็นผู้มาทำให้คำพยากรณ์ในพระคัมภีร์เดิมสำเร็จลงในฐานะพระ เมสซิยาห์ นี่เป็นสาระสำคัญของพระกิตติคุณมัทธิว
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พวกฟาริสีต้องกลับไปทบทวนสิ่งที่โฮเชยาหมายถึงเมื่อท่านเขียนว่า “เราประสงค์ความเมตตา ไม่ใช่เครื่องบูชา” (มัท ธิว 9:13) พระเยซูทรงอ้างจากโฮเชยา 6:6 มีเรื่องให้เรียนได้มากมายจากพระวจนะตอนนี้ในโฮเชยา และบริบทโดยรอบ มากกว่าที่จะเรียนกันในบทนี้ แต่ขอชี้หลายสิ่งให้เห็น ข้อแรก – คำกล่าวโทษสำหรับทั้งอิสราเอล (เอฟราอิม) และยูดาห์ สำหรับความบาปของพวกเขา และเตือนถึงการพิพากษาที่กำลังมาถึง:
8จงเป่าเขาสัตว์ในกิเบอาห์
จงเป่าแตรในรามาห์
จงร้องตะโกนที่เบธาเวน
โอ เบนยามินเอ๋ย จงมองไปข้างหลังเจ้า
9ในวันที่ลงโทษนั้น
เอฟราอิมจะร้างเปล่า
เราประกาศสิ่งที่เป็นจริงท่ามกลางเผ่าต่างๆ ของอิสราเอล
10เจ้านายของยูดาห์ได้กลายเป็นเหมือนคนที่ย้ายหลักเขต
เราจะเทความกริ้วของเราเหนือเขาเหมือนอย่างเทน้ำ (โฮเชยา 5:8-10)
ข้อสอง – คำกล่าวโทษนี้เจาะจงรวมเอาผู้นำของทั้งอิสราเอลและยูดาห์:
1โอ ปุโรหิตทั้งหลาย จงฟังข้อนี้
โอ พงศ์พันธุ์อิสราเอลเอ๋ย จงสดับ
โอ ราชวงศ์กษัตริย์ จงเงี่ยหูฟัง
เพราะเจ้าทั้งหลายจะถูกพิพากษา
เพราะเจ้าเป็นกับดักที่เมืองมิสปาห์
และเป็นข่ายกางอยู่เหนือเมืองทาโบร์ (โฮเชยา 5:1)
10เจ้านายของยูดาห์ได้กลายเป็นเหมือนคนที่ย้ายหลักเขต
เราจะเทความกริ้วของเราเหนือเขาเหมือนอย่างเทน้ำ
11เอฟราอิมถูกบีบบังคับ และถูกขยี้ด้วยการทำโทษ
เพราะเขาตั้งใจติดตามอาจม (โฮเชยา 5:10-11)
9เหล่าโจรซุ่มคอยดักคนฉันใด
พวกปุโรหิตก็ซุ่มคอยฉันนั้น
เขาฆ่าคนระหว่างทางไปเชเคม
แท้จริง เขาก่ออาชญากรรม (โฮเชยา 6:9)
ข้อสาม – เป็นการเรียกให้สำนึกผิดกลับใจ และพระสัญญาแห่งการคืนสู่สภาพดี :
15เราจะกลับมายังสถานที่ของเรา อีก จนกว่าเขาจะยอมรับความผิดของเขาและแสวงหาหน้าของเรา เมื่อเขารับความทุกข์ร้อน เขาจะแสวงหาเรา
1“มาเถิด ให้เรากลับไปหาพระยาห์เวห์
เพราะว่าพระองค์ทรงฉีก และจะทรงรักษาเราให้หาย
พระองค์ทรงโบยตี และจะทรงพันบาดแผลให้แก่เรา
2อีกสองวันพระองค์จะทรงให้เราฟื้น9
พอถึงวันที่สามจะทรงยกเราขึ้น10
เพื่อเราจะดำรงอยู่เฉพาะพระพักตร์พระองค์
3ให้เรารู้จัก ให้เราพยายามรู้จักพระยาห์เวห์
การปรากฏของพระองค์ก็แน่นอนเหมือนรุ่งอรุณ
พระองค์จะเสด็จมาหาเราอย่างห่าฝน
ดังฝนชุกปลายฤดูที่รดพื้นแผ่นดิน” (โฮเชยา 5:15; 6:1-3)
ข้อสี่ – อิสราเอลและยูดาห์ถูกกล่าวโทษที่ไม่รักษาพันธสัญญาแห่งความซื่อสัตย์ และไปวางใจในเครื่องเผาบูชาแทน:
4เอฟราอิมเอ๋ย เราจะทำอะไรกับเจ้าดี?
ยูดาห์เอ๋ย เราจะทำอะไรกับเจ้าหนอ?
ความรักของเจ้าก็เหมือนเมฆในยามเช้า
เหมือนอย่างน้ำค้างที่หายไปแต่เช้าตรู่
5ฉะนี้ เราจึงให้ผู้เผยพระวจนะพูดสับเจ้า
เราประหารเจ้าด้วยคำพูดจากปากของเรา
การพิพากษาของเราก็ออกไปอย่างแสงสว่าง
6เพราะเราประสงค์ความเมตตา ไม่ประสงค์เครื่องสัตวบูชา
เราประสงค์ให้รู้จักพระเจ้า ยิ่งกว่าประสงค์เครื่องบูชาเผาทั้งตัว (โฮเชยา 6:4-6)
พวกธรรมาจารย์คัดค้านเพราะพระเยซูให้อภัยคนบาปหรือ? พวกฟาริสีคัดค้านเพราะพระองค์ทรงคบค้าสมาคมกับคนบาปหรือ? พระเยซูทรงนำพระวจนะในโฮเชยามาแสดงให้เห็นว่าทำไมพวกเขาจึงเป็นคนบาป เป็นผู้นำศาสนาแต่กลับข่มเหงผู้ที่พวกตนเองนำ “ความชอบธรรม” ของพวกเขาเป็นเพียงพิธีกรรมมากกว่ารู้จักพระเจ้าองค์เที่ยงแท้ และผูกพันตนอย่างซื่อสัตย์ในพันธสัญญา ผู้นำอิสราเอลและยูดาห์หลงประเด็น ไม่อาจเข้าใจศาสนาอย่างถ่องแท้ จึงนำผู้คนให้หลงทาง พวกเขาต้องสารภาพบาป และวางใจในพระเมสซิยาห์ผู้เสด็จมาช่วยพวกเขาให้รอด ดังนั้นควรจะดีใจที่พระเยซูมาช่วยคนบาปให้รอด ควรเป็นเหมือนเซาโล ที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นฟาริสี และเป็นฮีบรูที่เกิดจากฮีบรู ละทิ้งสิ่งที่เคยประกาศว่าตนเองชอบธรรมแล้ว มาผูกพันตนกับพระเยซูคริสต์:
15 คำกล่าวนี้สัตย์จริงและสมควรแก่การรับไว้อย่างยิ่ง คือว่าพระเยซูคริสต์เสด็จมาในโลก เพื่อทรงช่วยคนบาปให้รอด และในพวกคนบาปนั้นข้าพเจ้าเป็นตัวเอ้ 16 แต่เพราะเหตุนี้ข้าพเจ้าจึงได้รับพระเมตตา เพื่อว่าพระเยซูคริสต์จะได้ทรงสำแดงความอดทนอย่างยิ่งต่อข้า พเจ้าซึ่งเป็นตัวเอ้นั้น เพื่อเป็นแบบอย่างแก่คนทั้งหลายที่จะเชื่อในพระองค์แล้วได้ รับชีวิตนิรันดร์ (1ทิโมธี 1:15-16)
1สุดท้ายนี้ พี่น้องของข้าพเจ้า จงชื่นชมยินดีในองค์พระผู้เป็นเจ้า การเขียนข้อความเหล่านี้ถึงท่านทั้งหลายซ้ำอีกไม่ใช่เรื่อง ลำบากสำหรับข้าพเจ้า และยังเป็นเรื่องปลอดภัยสำหรับท่าน 2จงระวังพวกสุนัข จงระวังพวกที่ทำชั่ว จงระวังพวกเชือดเนื้อเถือหนัง 3เพราะว่า เราต่างหากที่เป็นพวกเข้าสุหนัต เป็นพวกที่นมัสการโดยพระวิญญาณของพระเจ้า อวดพระเยซูคริสต์ และไม่ไว้ใจในเนื้อหนัง 4แม้ว่า ข้าพเจ้าเองก็มีเหตุที่จะไว้ใจในเนื้อหนังด้วย ถ้าคนอื่นคิดว่าเขามีเหตุที่จะไว้ใจในเนื้อหนัง ข้าพเจ้าก็มีมากยิ่งกว่านั้นอีก 5ข้าพเจ้าเข้าสุหนัตในวันที่แปดที่คลอดมา เป็นชนชาติอิสราเอล อยู่ในเผ่าเบนยามิน เป็นชาวฮีบรูที่เกิดจากคนฮีบรู ในด้านธรรมบัญญัติก็อยู่ในคณะฟาริสี 6ในด้านความกระตือรือร้นก็ได้ข่มเหงคริสตจักร ในด้านความชอบธรรมตามธรรมบัญญัติก็ไม่มีที่ติ 7แต่ว่าอะไรที่เคยเป็นกำไรของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าได้ถือว่าสิ่งนั้นเป็นการขาดทุนแล้วเพราะเหตุ พระคริสต์ 8ยิ่งกว่านั้น ข้าพเจ้าถือว่าทุกสิ่งเป็นการขาดทุน เพราะเหตุคุณค่าอันสูงยิ่งของการได้รู้จักพระเยซูคริสต์ องค์พระผู้เป็นเจ้าของข้าพเจ้า เพราะเหตุพระองค์ข้าพเจ้ายอมขาดทุนทุกอย่าง และถือว่าสิ่งเหล่านั้นเป็นเหมือนเศษขยะเพื่อว่าข้าพเจ้าจะ ได้พระคริสต์เป็นกำไร 9และ จะได้เห็นว่าข้าพเจ้าอยู่ในพระองค์ ไม่มีความชอบธรรมที่ได้มาจากธรรมบัญญัติ มีแต่ที่ได้มาโดยความเชื่อในพระคริสต์ คือความชอบธรรมที่มาจากพระเจ้าโดยความเชื่อ (ฟีลิปปี 3:1-9)
พระเจ้าทรงปิติในผู้ที่แสวงหาความสัมพันธ์กับพระองค์ ไม่ใช่พวกที่แยกออกไปและวางใจในพิธีกรรมและรักษาธรรมบัญญัติ พระเยซูทรงปิติเมื่อได้อยู่ท่ามกลางคนบาป และพวกเขาก็มีความสุขเมื่อได้อยู่ใกล้พระองค์ พระองค์ไม่ทรงปิติในคนที่แยกตัวออกไป ห่างไกลจากคนบาปและจากพระผู้ช่วยให้รอด ถ้าฟาริสีพวกนี้จะยินดีในความรอด พวกเขาต้องมีใจปรารถนาสามัคคีธรรมกับพระผู้ช่วยให้รอด พร้อมกับคนบาปอื่นๆเช่นเดียวกับพวกเขา
14 แล้วบรรดาสาวกของยอห์นมาหาพระเยซูทูลว่า “ทำไมเราและพวกฟาริสีถืออดอาหาร แต่พวกสาวกของท่านไม่ถือ?” 15 พระเยซู จึงตรัสกับเขาว่า “บรรดาแขกรับเชิญจะโศกเศร้า เมื่อเจ้าบ่าวยังอยู่กับพวกเขาหรือ? แต่วันหนึ่งเจ้าบ่าวจะถูกพรากไปจากเขา และเมื่อนั้นพวกเขาจะถืออดอาหาร 16ไม่มีใครเอาชิ้นผ้าทอใหม่มาปะเสื้อเก่า เพราะว่าผ้าที่ปะเข้านั้น เมื่อหดจะทำให้เสื้อเก่าขาดกว้างออกไปอีก 17และ เขาทั้งหลายไม่เอาเหล้าองุ่นหมักใหม่ มาใส่ในถุงหนังเก่า ถ้าทำอย่างนั้นถุงหนังจะขาด น้ำองุ่นจะรั่ว ทั้งถุงหนังก็จะเสียไปด้วย แต่เขาย่อมเอาน้ำองุ่นหมักใหม่ใส่ในถุงหนังใหม่ แล้วทั้งคู่ก็จะอยู่ในสภาพดี” (มัทธิว 9:14-17)
ในอีกด้าน คำถามจากสาวกของยอห์นจากสองตอนก่อนหน้า พระเยซูทรงให้อภัยคนบาป และร่วมเลี้ยงฉลองกับพวกเขา สาวกของยอห์นในอีกมุม เทศนาว่ามนุษย์ต้องสำนึกผิดและกลับใจจากบาป พวกเขาอดอาหารด้วย บางทีการอดอาหารอาจเป็นเครื่องหมายแสดงถึงการสำนึกผิด ช่วงนั้นยอห์นถูกจับเข้าคุก (มัทธิว 4:12 คิดว่ายังไม่ถูกประหาร ดู 11:2-6) แต่สาวกของยอห์นอดอาหารและอธิษฐานด้วยสาเหตุอื่น
งานเลี้ยงที่พระเยซูและสาวกของพระองค์ฉลองกับมัทธิวและกลุ่มเพื่อน “คนบาป” (มัทธิว 9:10) ทำให้พวกฟาริสีต่อต้าน อาจเป็นงานเลี้ยงเดียวกันนี้ที่สร้างความประหลาดใจให้กับสาวกของยอห์นผู้ให้ บัพติศมา แต่คำถามที่พวกเขาถามนั้นต่างไป คนละแบบกับการต่อต้านของธรรมาจารย์ (มัทธิว 9:3) และฟาริสี (มัทธิว 9:11) คำถามนี้ไม่ได้เพื่อต่อต้าน แต่ต้องการรู้จริงๆว่าทำไมพระเยซูและพวกสาวกไม่ทำตามบทบัญญัติเรื่องการอด อาหารเหมือนพวกฟาริสี แทนที่จะอดอาหารพระเยซูและสาวกกลับไปงานเลี้ยง ถ้าพระเยซูเป็นผู้ที่ยอห์นมาเตรียมทางให้ จะอธิบายอย่างไรในความต่างระหว่างสิ่งที่พระองค์ทำ การอดอาหารของพวกฟาริสี และสาวกของยอห์น?
ผมคิดว่าพระเยซูไม่ได้ตอบแบบตำหนิ เพราะเป็นคำถามที่ยุติธรรมดี แต่คำตอบต่อคำถามของพวกเขาจะกระจ่างชัดเมื่อพระเยซูทรงสิ้นพระชนม์ ถูกฝัง และคืนพระชนม์ ในตอนนี้พระเยซูทรงตอบโดยการเปรียบเทียบ เปรียบเทียบบนพื้นฐานคำสอนของยอห์น เป็นคำตอบที่พวกเขาไม่อาจ ไม่สามารถ เข้าใจได้ชัดแจ้งในตอนนั้น แต่เพราะยอห์นเคยกล่าวไว้ก่อนหน้า จึงทำให้พวกเขาพอเข้าใจได้:
25 แต่เกิดการโต้เถียงกันขึ้นระหว่างพวกศิษย์ของยอห์นและคนหนึ่ง ในพวกยิวเรื่องการชำระมลทิน 26พวกเขา จึงไปหายอห์นบอกว่า “อาจารย์ คนที่อยู่กับอาจารย์ที่ฟากแม่น้ำจอร์แดนข้างโน้น คนที่อาจารย์เป็นพยานถึงนั้น นี่แน่ะ คนนี้กำลังให้บัพติศมาและทุกคนก็พากันไปหาเขา” 27ยอห์นตอบว่า “ไม่มีใครสามารถรับสิ่งใด นอกจากสิ่งที่พระเจ้าประทานจากสวรรค์ให้เขา 28พวกท่านเองก็เป็นพยานว่า ข้าพเจ้าพูดว่าข้าพเจ้าไม่ได้เป็นพระคริสต์ แต่ข้าพเจ้าได้รับพระบัญชาให้นำเสด็จพระองค์ 29 ท่านที่มีเจ้าสาวนั่นแหละคือเจ้าบ่าว เพื่อนเจ้าบ่าวที่ยืนฟังเจ้าบ่าวก็ชื่นชมยินดีอย่างยิ่งเมื่อ ได้ยินเสียงของเจ้าบ่าว เพราะฉะนั้นความปีติยินดีของข้าพเจ้าจึงเต็มเปี่ยม 30พระองค์ต้องยิ่งใหญ่ขึ้น แต่ข้าพเจ้าต้องด้อยลง” (ยอห์น 3:25-30)
ด้วยคำที่ยอห์นพูดกับพวกสาวก ท่านเปรียบตนเองเป็น “เพื่อนเจ้าบ่าว” และพระเยซูทรงเป็น “เจ้าบ่าว” ความต่างระหว่างเจ้าบ่าวและเพื่อนเจ้าบ่าว คำตอบของพระเยซูจึงทำให้พวกเขาพอเข้าใจ:
15 พระเยซูจึงตรัสกับเขาว่า “บรรดาแขกรับเชิญจะโศกเศร้าเมื่อเจ้าบ่าวยังอยู่กับพวกเขา หรือ? แต่วันหนึ่งเจ้าบ่าวจะถูกพรากไปจากเขา และเมื่อนั้นพวกเขาจะถืออดอาหาร” (มัทธิว 9:15)
สาวกของพระเยซูไม่อาจโศกเศร้าได้ – ที่จริงไม่ควรโศกเศร้าด้วย – ในขณะที่พระองค์ยังอยู่กับพวกเขา แต่เมื่อพระองค์จากไปแล้ว (ตามที่ทรงบ่งไว้) นั่นแหละเป็นเวลาที่สาวกของพระองค์ต้องอดอาหาร แต่พระเยซูเสด็จมาในฐานะพระเมสซิยาห์ (ตามที่ยอห์นเป็นพยาน – ยอห์น 1:29) พระองค์เสด็จมาเพื่อยกโทษให้คนบาปตามที่พระคัมภีร์เดิมพยากรณ์ (อิสยาห์ 52:13-53:12) และพระองค์ได้ทรงเริ่มยกโทษให้คนบาปเหมือนกับที่ให้อภัยชายง่อย (มัทธิว 9:1-8) พระเยซูเสด็จมาเพื่อช่วยคนบาปและมีสามัคคีธรรมกับพวกเขา (มัทธิว 9:9-10) นี่เป็นเวลาแห่งการเฉลิมฉลองและชื่นชมยินดี แล้วจะให้พระองค์และพวกสาวกโศกเศร้าได้อย่างไร อย่างเช่นโดยการอดอาหาร? เฉลิมฉลองด้วยใจยินดีเป็นท่าทีที่สมควรต่อการเสด็จมาของพระเมสซิยาห์ และนี่คือเหตุที่ทำให้ยอห์นปิติยินดีอย่างเต็มเปี่ยม (ยอห์น 3:29) สาวกของยอห์นควรต้องทำเช่นกัน
พระวจนะสองข้อสุดท้ายของตอนนี้ไปไกลเกินกว่าอธิบายเหตุผล พระเยซูไม่ได้ปรับไปตามความคาดหวังของมนุษย์ และอธิบายถึงความสัมพันธ์ในการเสด็จมาของพระองค์กับพระคัมภีร์เดิม และพันธสัญญาเดิม:
16 ไม่มีใครเอาชิ้นผ้าทอใหม่มาปะเสื้อเก่า เพราะว่าผ้าที่ปะเข้านั้น เมื่อหดจะทำให้เสื้อเก่าขาดกว้างออกไปอีก 17และ เขาทั้งหลายไม่เอาเหล้าองุ่นหมักใหม่ มาใส่ในถุงหนังเก่า ถ้าทำอย่างนั้นถุงหนังจะขาด น้ำองุ่นจะรั่ว ทั้งถุงหนังก็จะเสียไปด้วย แต่เขาย่อมเอาน้ำองุ่นหมักใหม่ใส่ในถุงหนังใหม่ แล้วทั้งคู่ก็จะอยู่ในสภาพดี” (มัทธิว 9:16-17)
เพื่อช่วยให้เข้าใจ เรามาพิจารณาสิ่งที่ลูกาเพิ่มเติมไว้เกี่ยวกับคำสอนของพระเยซูในบริบทนี้:
“ไม่มีใครเมื่อดื่มเหล้าองุ่นหมัก เก่าแล้ว จะอยากได้เหล้าองุ่นหมักใหม่ เพราะเขาย่อมจะกล่าวว่า ‘ของเก่านั้นดีกว่า’ ” (ลูกา 5:39)
ความสำคัญของประโยคที่เพิ่มเข้ามาในลูกาบอกเราว่าคนในสมัยพระเยซูคิดว่า ของเก่านั้นดีกว่าของใหม่ เหตุผลที่พวกเขาคาดหวังให้พระเยซู “มาปะ” เสื้อเก่า เพราะมองว่าเสื้อเก่านั้นดีกว่าเสื้อใหม่ (ต้องสารภาพว่าผมก็มีเสื้อเก่าแบบนั้นที่ชอบมากไม่อยากทิ้ง ได้แต่ขอให้ภรรยาปะชุนจะได้เก็บเอาไว้ใช้)
พระเยซูทรงมีประเด็นสำคัญที่ตรงนี้ และเราต้องเข้าใจเพื่อจะรู้ซึ้งในข่าวประเสริฐแห่งพระกิตติคุณของพระเยซู คริสต์ พระเยซูไม่ได้มาล้มล้างธรรมบัญญัติและคำของพวกผู้เผยพระวจนะ แต่มาทำให้ครบถ้วนสมบูรณ์ (มัทธิว 5:17) และมัทธิวเองชี้ให้เห็นว่าครบถ้วนลงอย่างไร แต่การมาทำให้ธรรมบัญญัติครบสมบูรณ์ ไม่เหมือนกับมาทำพันธสัญญาเดิมให้เป็นอมตะ พระเยซูทรงทำให้ธรรมบัญญัติและผู้เผยพระวจนะครบถ้วนสมบูรณ์ เพื่อจะได้เริ่มต้นพันธสัญญาใหม่:
19 พระองค์ ทรงหยิบขนมปัง เมื่อขอบพระคุณแล้วก็ทรงหักส่งให้พวกเขา ตรัสว่า “นี่เป็นกายของเรา ซึ่งให้ไว้สำหรับท่านทั้งหลาย จงทำอย่างนี้เพื่อเป็นที่ระลึกถึงเรา” 20 เมื่อรับประทานแล้ว จึงทรงหยิบถ้วยและทรงทำเหมือนกันตรัสว่า “ถ้วยนี้ที่เทออกเพื่อท่านทั้งหลาย เป็นพันธสัญญาใหม่โดยโลหิตของเรา” (ลูกา 22:19-20)
อย่างที่เปาโลและท่านอื่นๆกล่าว พันธสัญญาเดิมไม่อาจช่วยใครให้รอดได้ มีแต่จะสาปแช่งเราที่เป็นคนบาป:
10 เมื่อเป็นเช่นนี้ ทำไมท่านทั้งหลายจึงทดลองพระเจ้าโดยวางแอกบนคอของพวกสาวก ซึ่งเป็นสิ่งที่บรรพบุรุษหรือเราเองแบกไม่ไหว 11แต่ตรงข้าม เราเชื่อว่าเราเองจะรอดโดยพระคุณของพระเยซูคริสต์ องค์พระผู้เป็นเจ้าเช่นเดียวกับพวกเขา” (กิจการ 15:10-11)
เปโตรพูดถ้อยคำนี้ในการประชุมที่กรุงเยรูซาเล็ม เป็นประเด็นที่ถกเถียงกันเรื่องชาวยิวบางคนต้องการให้ชาวต่างชาติเข้าสุหนัต (ซึ่งก็ทำให้พวกเขาตกอยู่ภายใต้ธรรมบัญญัติในพระคัมภีร์เดิม) เพื่อจะรอดได้ (ดูกิจการ 15:1) เปโตรยอมรับว่าไม่มีใครแบกภาระนี้ไหว ซึ่งเปาโลเห็นด้วยอย่างเต็มที่:
19 เรารู้แล้วว่าธรรมบัญญัติทุกข้อที่ได้กล่าวนั้น ก็กล่าวแก่พวกที่อยู่ใต้ธรรมบัญญัติ เพื่อปิดปากทุกคน และให้โลกทั้งหมดอยู่ใต้การพิพากษาของพระเจ้า 20เพราะว่าในสายพระเนตรของพระเจ้า ไม่มีใครถูกชำระให้ชอบธรรมได้ โดยการประพฤติตามธรรมบัญญัติ เพราะว่าธรรมบัญญัตินั้นทำให้เรารู้จักบาป 21แต่ เดี๋ยวนี้ความชอบธรรมของพระเจ้านั้นปรากฏนอกเหนือ ธรรมบัญญัติ ความชอบธรรมดังกล่าวก็ได้รับการยืนยันจากหมวดธรรมบัญญัติและ พวกผู้เผยพระวจนะ 22คือความชอบธรรมของพระเจ้า ซึ่งปรากฏโดยความเชื่อในพระเยซูคริสต์แก่ทุกคนที่เชื่อ โดยไม่ทรงถือว่าเขาแตกต่างกัน 23เพราะว่าทุกคนทำบาป และเสื่อมจากพระสิริของพระเจ้า 24แต่พระเจ้าทรงมีพระคุณให้เขาเป็นผู้ชอบธรรมโดยไม่คิด มูลค่า โดยที่พระเยซูคริสต์ทรงไถ่เขาให้พ้นบาปแล้ว (โรม 3:19-24)
เพื่อให้เป็นไปตามที่ธรรมบัญญัติกำหนด พระเยซูต้องสิ้นพระชนม์ ภายใต้ธรรมบัญญัติ แทนคนบาป เพื่อให้ได้มาซึ่งการอภัยบาป และความมั่นใจในชีวิตนิรันดร์ ในแง่นี้ พันธสัญญาเดิมถูกนำออกไป แทนที่ด้วยพันธสัญญาใหม่
6 แต่บัดนี้พระเยซู ทรงได้รับพันธกิจที่สูงส่งกว่าของพวกเขา เช่นเดียวกับที่พระองค์ทรงเป็นคนกลางแห่งพันธสัญญาอันประเส ริฐกว่า ซึ่งตั้งอยู่บนพระสัญญาที่ประเสริฐกว่า 7เพราะว่าถ้าพันธสัญญาเดิมนั้นไม่มีข้อบกพร่องแล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องมีพันธสัญญาที่สองอีก 8เพราะพระเจ้าทรงติเตียนพวกเขาว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่านี่แน่ะวันเวลาจะมาถึง เมื่อเราจะทำพันธสัญญาใหม่กับชนชาติอิสราเอล และกับชนชาติยูดาห์ 9 ที่ไม่เหมือนกับพันธสัญญาซึ่งเราเคยทำกับบรรพบุรุษของ เขาทั้งหลาย ในวันที่เราจูงมือพวกเขาเพื่อพาออกจากแผ่นดินอียิปต์ เพราะพวกเขาไม่ได้ดำรงอยู่ในพันธสัญญาของเรา เราจึงละทิ้งพวกเขาไว้ องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสดังนี้แหละ 10 นี่คือพันธสัญญาที่เราจะทำกับชนชาติอิสราเอล ภายหลังจากสมัยนั้น องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัส เราจะบรรจุธรรมบัญญัติของเราไว้ในจิตใจของพวกเขา และเราจะจารึกมันไว้ในดวงใจของพวกเขา และเราจะเป็นพระเจ้าของพวกเขา และพวกเขาจะเป็นประชากรของเรา 11 และพวกเขาจะไม่สอนเพื่อนบ้าน และพี่น้องของตนแต่ละคนว่า ‘จงรู้จักองค์พระผู้เป็นเจ้า’ เพราะเขาทุกคนจะรู้จักเรา ตั้งแต่คนต่ำต้อยที่สุดจนถึงคนใหญ่โตที่สุด 12 เพราะเราจะเมตตาต่อการอธรรมของพวกเขา และจะไม่จดจำบรรดาบาปของพวกเขาไว้เลย” 13เมื่อพระองค์ตรัสถึงพันธสัญญาใหม่ พระองค์ก็ทรงถือว่าพันธสัญญาเดิมนั้นล้าสมัยแล้ว สิ่งที่กำลังล้าสมัยและเก่าไปนั้นก็ใกล้จะเสื่อมสูญ (ฮีบรู 8:6-13)
นี่เป็นคำอธิบายว่าทำไมพระเยซูไม่ได้ปรับไปตามความคาดหวังในตัวพระเม สซิยาห์ของคนในยุคนั้น (แม้แต่พวกสาวกเอง) เมื่อพระองค์เสด็จมาเพื่อทำให้ธรรมบัญญัติ และคำของผู้เผยพระวจนะครบถ้วนสมบูรณ์ พระองค์ยังเสด็จมาเพื่อเริ่มต้นพันธสัญญาที่ใหม่และดีกว่า พระองค์ไม่ได้เสด็จมาเพื่อ “ปะ” ของใหม่เข้าไปกับของเก่า แต่นำสิ่งใหม่ทั้งหมดมา พระองค์ทรงนำ “น้ำองุ่นหมักใหม่” มา และน้ำองุ่นหมักใหม่นี้จะนำไปใส่ใน “ถุงหนังเก่า” ของลัทธิยูดายในพระคัมภีร์เดิมไม่ได้ ยอห์นผู้ให้บัพติศมาเป็นผู้เผยพระวจนะคนสุดท้ายของพระคัมภีร์เดิม และเป็นมหาบุรุษที่ยิ่งใหญ่ของแท้ แต่พระเยซูนำสิ่งที่ดีกว่ามา โดยทำให้คำพยากรณ์ของผู้เผยพระวจนะในพระคัมภีร์เดิม และความหวังสำเร็จเป็นจริง:
25 ถ้าไม่ใช่แล้วพวกท่านไปดูอะไร? ไปดูคนที่แต่งกายด้วยเสื้อผ้าเนื้อดีหรือ? นี่แน่ะ คนที่แต่งกายด้วยเสื้อผ้างดงามและอยู่อย่างฟุ่มเฟือยย่อม อยู่ในพระราชวัง 26แล้วพวกท่านออกไปดูอะไร? ดูผู้เผยพระวจนะหรือ? แน่ทีเดียว เราบอกว่ายอห์นเป็นยิ่งกว่าผู้เผยพระวจนะ 27คือท่านผู้นี้ที่พระคัมภีร์เขียนไว้ว่า ‘เราจะใช้ทูตของเรานำหน้าท่าน ผู้นั้นจะเตรียมมรรคา ไว้ข้างหน้าท่าน’ 28 เราบอกพวกท่านว่า ในบรรดาคนที่เกิดจากผู้หญิงนั้น ไม่มีใครยิ่งใหญ่กว่ายอห์น แต่คนที่ต่ำต้อยที่สุดในแผ่นดินของพระเจ้าก็ยังใหญ่กว่า ยอห์น” (ลูกา 7:25-28)
พระเยซูเสด็จมาเพื่อทำให้ธรรมบัญญัติสมบูรณ์ครบถ้วน เพื่อจะทำตามความชอบธรรมของพระคัมภีร์เดิมครบถ้วน พระองค์ต้องสิ้นพระชนม์แทนคนบาป และจัดเตรียมความรอดนิรันดร์ให้ แต่พระองค์ยังเสด็จมาเพื่อจัดตั้งพันธสัญญาใหม่โดยทางพระโลหิตของพระองค์ ด้วย นี่เป็นพันธสัญญาที่ไม่มีเงื่อนไขว่าความรอดจะได้มาต้องพากเพียรปฏิบัติ แต่บนพระชนม์ชีพที่สละแทนพวกเราแล้ว และเป็นไปตามความครบถ้วนสมบูรณ์ของพันธสัญญาเดิม และที่จัดตั้งขึ้นใหม่ พระเยซูทรงอภัยให้คนบาปได้ และชื่นชมยินดี (ในงานเลี้ยง) กับพวกเขาได้ จึงต้องขอบคุณพระเจ้าที่พระองค์ไม่ปรับไปตามความคาดหวังของมนุษย์
เมื่อเรามาถึงบทสรุปของพระวจนะที่เรียนกันในตอนนี้ เราควรจำไว้ว่ามัทธิวได้เริ่มนำเสนอให้เราเห็นแนวคิดการต่อต้านที่ชาวยิวมี ต่อพระเยซู รวมถึงคนเลี้ยงสุกรที่ขอร้องให้พระเยซูไปจากเขตแดนพวกเขาในพระวจนะก่อนหน้า (มัทธิว 8:34) แต่พวกนี้อาจไม่ใช่คนยิว ที่แน่ๆไม่ใช่ผู้นำศาสนายิว ในพระวจนะของเราตอนนี้ พวกยิวเริ่มต่อต้านพระเยซู เริ่มจากธรรมาจารย์ที่ต่อต้านคำประกาศเป็นนัยว่าพระองค์เป็นพระเจ้า และพวกฟาริสีที่ต่อต้านการเฉลิมฉลองและมีสามัคคีธรรมกับพวก “คนบาป” เราควรต้องจำไว้ว่าการต่อต้านเริ่มต้นเมื่อพระเยซูทรงประกาศว่าพระองค์เป็น พระเจ้า ให้คนที่ชอบพูดว่าพระเยซูไม่เคยอ้างว่าพระองค์เป็นพระเจ้าอ่านดูให้เข้าใจใน ประเด็นที่พระองค์ตรัส ตั้งแต่เริ่มต้นพระราชกิจของพระองค์ที่บนโลก ที่ทรงประกาศว่าพระองค์เป็นพระเจ้า
นอกจากนั้น ธรรมาจารย์และฟาริสีต่อต้านพระเยซูเพราะพระองค์ประกาศว่าทรงมีสิทธิอำนาจใน การอภัยให้คนบาป เป็นสิ่งที่ไม่ว่าปุโรหิต ธรรมาจารย์ ฟาริสี หรือผู้นำศาสนายิวทำมาก่อน นี่เป็นสิ่งที่ไม่มีในพระคัมภีร์เดิม การถวายบูชาเป็นเพียงการชดใช้ความผิดชั่วคราวในขณะนั้น จนกว่าพระเมสซิยาห์เสด็จมา:
4 แต่พระเจ้าทรงมีพระคุณให้เขาเป็นผู้ชอบธรรมโดยไม่คิด มูลค่า โดยที่พระเยซูคริสต์ทรงไถ่เขาให้พ้นบาปแล้ว 25พระเจ้าได้ทรงตั้งพระเยซูไว้ให้เป็นเครื่องบูชาไถ่บาป โดยพระโลหิตของพระองค์ ความเชื่อจึงได้ผล ทั้งนี้เพื่อแสดงให้เห็นความชอบธรรมของพระเจ้า ในการที่พระองค์ได้ทรงอดกลั้นพระทัย และทรงยกบาปที่ได้ทำไปแล้วนั้น 26และ เพื่อจะสำแดงในปัจจุบันนี้ว่าพระองค์ทรงเป็นผู้ชอบธรรม และทรงให้ผู้ที่เชื่อในพระเยซูเป็นผู้ชอบธรรมด้วย (โรม 3:24-26)
นี่คือสิ่งที่พระเยซูตรัสถึงเมื่อทรงนำสิ่งใหม่เข้ามา ไม่ใช่เพื่อปะเข้ากับของเก่า พระเยซูทรงมาจัดตั้งพันธสัญญาใหม่ ในขณะเดียวกันเติมเต็มตามที่ของเก่ากำหนด ผู้เขียนหนังสือฮีบรูย้ำอย่างหนักแน่นในเรื่องนี้:
8โดย สิ่งนี้เอง พระวิญญาณบริสุทธิ์จึงทรงสำแดงว่า ทางที่นำเข้าสู่สถานศักดิ์สิทธิ์นั้นยังไม่เปิด ตราบใดที่ห้องชั้นนอกนั้นตั้งอยู่ 9ซึ่ง เป็นเครื่องหมายของยุคปัจจุบัน การนำของถวายและเครื่องบูชามาถวายตามแบบนี้ไม่สามารถชำระ มโนธรรมของผู้ถวายนั้น 10เพราะ เป็นเรื่องอาหารและเครื่องดื่มและพิธีชำระล้างต่างๆ เท่านั้น เป็นเพียงกฎเกณฑ์ต่างๆ ทางกายเกี่ยวกับชีวิตภายนอกที่ได้บัญญัติไว้ จนกว่าจะถึงเวลาที่ต้องเปลี่ยนแปลงใหม่ 11แต่เมื่อพระคริสต์เสด็จมาในฐานะมหาปุโรหิตแห่งบรรดาสิ่ง ประเสริฐซึ่งมาถึงแล้ว พระองค์ก็เสด็จเข้าไปสู่พลับพลาที่ใหญ่และสมบูรณ์ยิ่งกว่า แต่ก่อน (ที่ไม่ได้สร้างขึ้นด้วยมือมนุษย์ คือไม่ใช่สิ่งปลูกสร้างของโลกนี้) 12คือ เสด็จเข้าไปในสถานศักดิ์สิทธิ์ครั้งเดียวเป็นพอ และพระองค์ไม่ได้ทรงนำเลือดแพะและเลือดลูกวัวเข้าไป แต่ทรงนำพระโลหิตของพระองค์เองเข้าไป จึงได้มาซึ่งการไถ่บาปชั่วนิรันดร์ 13เพราะว่าถ้าเลือดแพะและเลือดวัวตัวผู้และเถ้าของลูกวัว ตัวเมีย ที่ประพรมลงบนคนที่มีมลทิน สามารถชำระเนื้อตัวให้บริสุทธิ์ได้ 14มาก ยิ่งกว่านั้นสักเท่าใด พระโลหิตของพระคริสต์ ผู้ทรงถวายพระองค์เองที่ปราศจากตำหนิแด่พระเจ้าโดยพระวิ ญญาณนิรันดร์ ก็จะทรงชำระมโนธรรมของเราจากการประพฤติที่เปล่าประโยชน์ เพื่อเราจะปรนนิบัติพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่ 15เพราะเหตุนี้ พระคริสต์ จึงทรงเป็นคนกลางแห่งพันธสัญญาใหม่ เพื่อให้คนทั้งหลายที่พระองค์ทรงเรียกมาได้รับมรดกนิรันดร์ ตามพระสัญญา เพราะความตายที่เกิดขึ้นนั้นไถ่พวกเขาให้พ้นจากบรรดาการ ล่วงละเมิดที่เกิดภายใต้พันธสัญญาเดิมแล้ว (ฮีบรู 9:8-15)
1 เพราะเหตุที่ธรรมบัญญัติเป็นเพียงเงาของสิ่งประเสริฐทั้งหลาย ที่ จะมาในภายหลัง ไม่ใช่ตัวจริง จึงไม่สามารถทำให้ผู้ที่เข้าเฝ้าพระเจ้าพร้อมกับเครื่องบูชา ที่พวกเขาถวายเหมือนเดิมทุกปีเสมอมานั้น ถึงความสมบูรณ์ได้ 2เพราะ ถ้าทำได้ พวกเขาคงหยุดการถวายเครื่องบูชาแล้วไม่ใช่หรือ? เพราะถ้าผู้นมัสการได้รับการชำระให้บริสุทธิ์สักครั้งหนึ่ง แล้ว คงจะไม่รู้สึกว่ามีบาปอีกต่อไป 3แต่การถวายเครื่องบูชานั้นเป็นการเตือนให้คิดถึงบาปทุกปี 4เพราะเลือดวัวผู้และเลือดแพะไม่มีทางชำระบาปให้หมดสิ้นไป ได้เลย 5 เพราะฉะนั้น เมื่อพระคริสต์เสด็จเข้ามาในโลกแล้ว พระองค์ตรัสว่า “พระองค์เจ้าข้า เครื่องสัตวบูชาและเครื่องบูชาอื่นๆ พระองค์ไม่ทรงประสงค์ แต่พระองค์ทรงจัดเตรียมกายสำหรับข้าพระองค์ 6 เครื่องเผาบูชาและเครื่องบูชาลบบาปนั้น พระองค์ไม่พอพระทัย 7 แล้วข้าพระองค์ทูลว่า ‘ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์มาแล้ว เพื่อจะทำตามพระทัยของพระองค์’ ตามที่มีเรื่องข้าพระองค์เขียนไว้ในหนังสือม้วน” 8 เมื่อพระองค์ตรัสในตอนแรกว่า “เครื่องสัตวบูชาและเครื่องบูชาอื่นๆ และเครื่องเผาบูชาและเครื่องบูชาลบบาป (ที่ได้ถวายตามธรรมบัญญัตินั้น) พระองค์ไม่ทรงประสงค์และไม่พอพระทัย” 9แล้วพระองค์ท่านก็ตรัสด้วยว่า “ข้าพระองค์มาแล้วเพื่อจะทำตามพระทัยของพระองค์” พระองค์ท่านทรงยกเลิกระบบเดิมนั้นเสียเพื่อจะทรงตั้งระบบ ใหม่ 10และ โดยพระประสงค์นั้นเอง เราจึงได้รับการชำระให้บริสุทธิ์ โดยการถวายพระกายของพระเยซูคริสต์ครั้งเดียวเป็นพอ 11ส่วน ปุโรหิตทุกคนก็ยืนปฏิบัติกิจอยู่ทุกวัน โดยการนำเครื่องบูชาอย่างเดียวกันมาถวายเสมอๆ เครื่องบูชาเหล่านั้นไม่มีวันลบล้างบาปได้เลย 12แต่เมื่อพระคริสต์ทรงถวายเครื่องบูชาเพื่อลบบาปเพียงครั้ง เดียวสำหรับตลอดไปแล้ว พระองค์ก็ประทับเบื้องขวาของพระเจ้า 13เพื่อทรงคอยอยู่จนกว่าศัตรูของพระองค์ถูกนำมาเป็นที่รอง พระบาทของพระองค์ 14โดย การถวายบูชาเพียงครั้งเดียว พระองค์ก็ทรงทำให้คนทั้งหลายที่ได้รับการชำระให้บริสุทธิ์ แล้วนั้นถึงความสมบูรณ์ตลอดไป 15และพระวิญญาณบริสุทธิ์ก็ทรงเป็นพยานแก่เราด้วย เพราะหลังจากที่พระองค์ตรัสว่า 16 “องค์พระผู้เป็นเจ้า ตรัสว่า นี่คือพันธสัญญาซึ่งเราจะทำกับเขาทั้งหลาย หลังจากสมัยนั้น เราจะบรรจุธรรมบัญญัติของเราไว้ในใจของพวกเขา และเราจะจารึกมันไว้ในจิตใจของพวกเขา” 17 “และเราจะไม่จดจำ บาปของพวกเขา และการอธรรมของพวกเขาอีกต่อไป” 18เมื่อมีการยกโทษบาปแล้ว ก็ไม่มีการถวายเครื่องบูชาเพื่อลบบาปอีกต่อไป (ฮีบรู 10:1-18)
พระเยซูทรงทำในสิ่งที่พระคัมภีร์เดิมเล็งถึง ตามที่ผู้เผยพระวจนะกล่าวเมื่อพยากรณ์ถึงการเสด็จมาของพระเมสซิยาห์ พระเยซูทรงทำให้คำพยากรณ์เหล่านี้สำเร็จลง และโดยการสิ้นพระชนม์ ถูกฝังไว้ และคืนพระชนม์ของพระองค์แทนเราทั้งหลาย พระองค์ได้ชดใช้บทลงโทษบาปแทนเรา และเตรียมการอภัยบาปให้ ไม่มีถ้อยคำไหนที่ดีไปกว่านี้ “จงชื่นใจเถิด บาปของเจ้าได้รับอภัยแล้ว” คุณ มีประสบการณ์รับการอภัยนี้หรือยัง? เพียงแค่ยอมรับว่าคุณเป็นคนบาป วางใจในพระเยซูคริสต์ผู้ทรงนำบาปของคุณไปไว้ที่พระองค์ ข้อเสนอสำหรับการอภัยนี้มีให้สำหรับทุกคนที่ยืนมืออกไปรับ
28 บรรดาผู้เหน็ดเหนื่อยและแบกภาระหนัก จงมาหาเรา และเราจะให้ท่านทั้งหลายได้หยุดพัก 29 จงเอาแอกของเราแบกไว้ แล้วเรียนจากเรา เพราะว่าเราสุภาพอ่อนโยนและใจอ่อนน้อม และจิตใจของพวกท่านจะได้หยุดพัก 30ด้วยว่าแอกของเราก็พอเหมาะ และภาระของเราก็เบา” (มัทธิว 11:28-30)
พระวิญญาณและเจ้าสาวกล่าวว่า “เชิญเสด็จมาเถิด” และให้คนที่ได้ยินกล่าวด้วยว่า “เชิญเสด็จมาเถิด” “คนที่กระหายเชิญเข้ามา ใครที่มีใจปรารถนา จงมารับน้ำแห่งชีวิตโดยไม่ต้องเสียอะไรเลย” (วิวรณ์ 22:17)
8แต่ความชอบธรรมว่าอย่างไร? ก็ว่า “ถ้อยคำนั้นอยู่ใกล้ท่าน อยู่ในปากของท่าน และอยู่ในใจของท่าน” (คือคำซึ่งก่อให้เกิดความเชื่อที่เราทั้งหลายประกาศอยู่ นั้น) 9คือ ว่าถ้าท่านจะยอมรับด้วยปากของท่านว่าพระเยซูทรงเป็น องค์พระผู้เป็นเจ้า และเชื่อในใจว่า พระเจ้าได้ทรงให้พระองค์เป็นขึ้นมาจากความตาย ท่านจะรอด 10เพราะว่าการเชื่อด้วยใจก็นำไปสู่ความชอบธรรม และการยอมรับด้วยปากก็นำไปสู่ความรอด 11เพราะมีข้อพระคัมภีร์ว่า “ทุกคนที่เชื่อในพระองค์จะไม่ได้รับความอับอาย” 12พวก ยิวและพวกกรีกนั้นไม่ต่างกัน เพราะว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าองค์เดียวทรงเป็นองค์พระผู้ เป็นเจ้าของทุกคน และประทานอย่างบริบูรณ์แก่ทุกคนที่ทูลขอต่อพระองค์ 13เพราะว่า ผู้ที่ร้องออกพระนามขององค์พระผู้เป็นเจ้าจะรอด (โรม 10:8-13)
ถ้าผมจะรวบเอาสาระสำคัญของพระวจนะตอนนี้มาเหลือแค่สองคำ คงต้องเป็นสองคำที่เป็นกุญแจสำคัญ – บาป-และ-พระเจ้า ในเรื่องชายง่อย พระเยซูทรงรักษาชายง่อยคนนี้ แต่ในอีกทางทรงสำแดงให้เห็นถึงสิทธิอำนาจในการยกบาป ปัญหาคือพวกธรรมาจารย์ไม่อาจยอมรับว่าพระองค์เป็นพระเจ้าตามที่พระองค์ ประกาศ เรื่องที่สอง การทรงเรียกมัทธิว และงานเฉลิมฉลองกับพวกคนบาป ก่อให้เกิดความตึงเครียด ระหว่างความบาป (หรือคนบาป) กับพระเจ้า พวกฟาริสีไม่อาจยอมรับที่เห็นพระเยซูไปคบหาและมีสามัคคีธรรมกับคนบาป ไม่อาจรับได้ที่เห็นคนดีๆ (นี่คือสิ่งดีที่สุดที่เขาพูดถึงพระเยซูได้) ไปมีสามัคคีธรรมกับพวกคนบาป พระเจ้าจะทำแบบนั้นได้อย่างไร? คำตอบสำหรับภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออกนี้จึงถูกเปิดเผย ส่วนหนึ่งอยู่ในเรื่องที่สาม สาวกของยอห์นไปถามพระเยซูว่าทำไมสาวกของพระองค์ไม่อดอาหาร ภายใต้พันธสัญญาเดิม ไม่มีทางออกสำหรับความบาป หรือหนทางที่จะได้สามัคคีธรรมกับองค์พระผู้เป็นเจ้า11 ความมั่นใจว่าจะได้ร่วมโต๊ะเสวยต่อเบื้องพระพักตร์พระเจ้าเป็นบางสิ่งที่ให้ ความหวังสำหรับชีวิตนิรันดร์ (ดูสดุดี 23:4-6) ไม่ได้โดยหนทางของพันธสัญญาเดิม แต่โดยทางพันธสัญญาใหม่ – โดยการหลั่งพระโลหิตของพระเยซูคริสต์ – คนบาปจึงได้รับการอภัย และเข้าสู่สามัคคีธรรมนิรันดร์กับพระเจ้าได้
พระวจนะในพระกิตติคุณมัทธิวตอนนี้ให้ความมั่นใจกับเราว่ามีบางสิ่งนอก เหนือจากการอภัยบาป พระเยซูไม่เพียงแต่อภัยบาปให้คนบาป แต่ทรงเรียกให้คนบาปมาเป็นสาวกของพระองค์ และมามีส่วนในสามัคคีธรรมร่วมกันกับพระองค์ มัทธิว คนเก็บภาษีและเป็นคนบาป ถูกเรียกให้มาเป็นสาวก เราเห็นท่านและเพื่อนๆในกลุ่มคนบาป ได้นั่งร่วมโต๊ะเสวย เฉลิมฉลองการสถิตอยู่ด้วยของพระเยซูคริสต์
เป็นไปได้ที่บางคนต่อต้านไม่ยอมรับข้อเสนอการอภัยบาปนี้ เพราะพวกเขาคิดว่าจะทำให้ความสนุกสนานเพลิดเพลินของโลกนี้หมดไป ช่วยไปบอกมัทธิวกับเพื่อนๆด้วยนะครับ! วางใจในพระเยซูเป็นหนทางที่จะติดตามพระองค์ไป เข้าสู่ความปิติที่มีพระองค์อยู่ด้วย ไม่มีความสุขไหนดีไปกว่านี้ ทิ้งบูธภาษีไว้เบื้องหลัง มารับใช้พระองค์ การสถิตอยู่ของพระองค์นั้นชั่วนิรันดร์ ความสุขของพระองค์ก็ไม่จำกัดด้วยครับ
บทเรียนตอนนี้มีสิ่งที่นำไปใช้ได้มากมายสำหรับคนที่วางใจในการอภัยบาปของ พระเยซูแล้ว แรกสุด พระวจนะตอนนี้หนุนใจให้เรากล้าเข้าไปช่วยคนอื่น โดยเฉพาะคนที่หลงหาย ความเชื่อของชายสี่คนที่แบกแคร่คนง่อยไปหาพระองค์ทำให้พระองค์ทรงเห็นความ เชื่อของพวกเขา ในระดับหนึ่ง พวกเขาจึงเป็นเหมือนอุปกรณ์ในการรักษา (การอภัยบาป) ให้เพื่อน ให้เรายอมแบกแคร่ของคนที่หลงหาย ที่ต้องการการอภัยจากพระเยซูนะครับ
พระวจนะตอนนี้ยังเป็นการเตือนสติเราว่าการทำดีไม่ได้สงผลให้มนุษย์ยกย่องนับถือเสมอไป อาจนำมาซึ่งการข่มเหงด้วยซ้ำ:
18“ถ้าโลกนี้เกลียดชังพวกท่าน ก็จงรู้ว่าโลกเกลียดชังเราก่อน 19ถ้า พวกท่านเป็นของโลก โลกก็ย่อมจะรักคนที่เป็นของโลกเอง แต่เพราะท่านไม่ได้เป็นของโลก คือเราเลือกท่านออกจากโลก เพราะเหตุนี้ โลกจึงเกลียดชังท่าน 20จงระลึกถึงคำที่เรากล่าวกับพวกท่านแล้วว่า ‘บ่าวไม่ได้เป็นใหญ่กว่านาย’ ถ้าพวกเขาข่มเหงเรา เขาก็จะข่มเหงพวกท่านด้วย ถ้าเขาปฏิบัติตามคำของเรา พวกเขาก็จะปฏิบัติตามคำของพวกท่านด้วย 21แต่เขาจะทำทุกสิ่งเหล่านี้แก่พวกท่านเพราะนามของเรา เพราะเขาไม่รู้จักผู้ทรงใช้เรามา (ยอห์น 15:18-21) ดู 1เปโตร 4:1-6; 12-16 ด้วย
พระเยซูถูกต่อต้านเพราะพระองค์ทำสิ่งดีในฐานะพระเจ้า เมื่อเรารับใช้ในพระนามของพระองค์ คาดหวังได้ว่าจะเจอการต่อต้าน เพราะพระนามของพระเยซูคริสต์
สุดท้ายนี้ เราควรเรียนรู้จากมัทธิวว่าพระเยซูไม่ได้เสด็จมาเพื่อ “ปะชุน” ชีวิตของเรา แต่มาเพื่อให้ชีวิตใหม่
17 ฉะนั้น ถ้าใครอยู่ในพระคริสต์ เขาก็เป็นคนที่ถูกสร้างใหม่แล้ว สิ่งสารพัดที่เก่าๆ ก็ล่วงไป นี่แน่ะกลายเป็นสิ่งใหม่ทั้งนั้น (2โครินธ์ 5:17)
ความเชื่อในพระคริสต์หมายถึงเมื่อเราตายจากชีวิตเก่า เราจะถูกสร้างขึ้นมาในชีวิตใหม่ทั้งหมด:
1 ถ้าอย่างนั้นเราจะว่าอย่างไร? เราจะอยู่ในบาปต่อไปเพื่อให้พระคุณเพิ่มทวีขึ้นหรือ? 2เปล่าเลย เราที่ตายต่อบาปแล้วจะมีชีวิตในบาปต่อไปได้อย่างไร? 3ท่านทั้งหลาย ไม่รู้หรือว่า เราผู้ที่ได้รับบัพติศมาเข้าในพระเยซูคริสต์ ก็ได้รับบัพติศมานั้นเข้าในการตายของพระองค์? 4เพราะฉะนั้น เราจึงถูกฝังไว้กับพระองค์แล้ว โดยการรับบัพติศมาเข้าในการตายนั้น เพื่อว่าเมื่อพระบิดาทรงให้พระคริสต์เป็นขึ้นมาจากตายโดย พระสิริของพระองค์แล้ว เราก็จะได้ดำเนินตามชีวิตใหม่ด้วยเหมือนกัน 5เพราะว่า ถ้าเราเข้าสนิทกับพระองค์แล้วในการตายอย่างพระองค์ เราก็จะเข้าสนิทกับพระองค์ในการเป็นขึ้นจากตายอย่างพระองค์ 6เรา รู้แล้วว่า คนเก่าของเรานั้นถูกตรึงไว้กับพระองค์แล้ว เพื่อตัวที่บาปนั้นจะถูกทำลายให้สิ้นไป และเราจะไม่เป็นทาสของบาปอีกต่อไป 7เพราะว่าผู้ที่ตายแล้วก็พ้นจากบาป 8แต่ถ้าเราตายแล้วกับพระคริสต์ เราเชื่อว่าเราจะมีชีวิตอยู่กับพระองค์ด้วย 9เรา รู้อยู่ว่า พระเจ้าทรงให้พระคริสต์เป็นขึ้นมาจากตาย แล้วพระองค์จะไม่ตายอีก ความตายจะไม่มีอำนาจเหนือพระองค์ต่อไป 10ด้วยว่า ซึ่งพระองค์ได้ทรงตายนั้นพระองค์ได้ทรงตายต่อบาปครั้งเดียว เป็นพอ แต่ซึ่งพระองค์ทรงชีวิตอยู่นั้น พระองค์ทรงชีวิตสนิทกับพระเจ้า 11ในทำนองเดียวกัน พวกท่านจงถือว่าท่านได้ตายต่อบาป และมีชีวิตสนิทกับพระเจ้าโดยพระเยซูคริสต์ (โรม 6:1-11)
ในตอนที่พระกิตติคุณถูกนำเสนอ เป็นเหมือนบางสิ่งที่ “เพิ่มเติม” เข้ามา ผู้คนหลงเชื่อไปว่าพวกเขายังดำเนินชีวิตในแบบเดิมๆอย่างที่เคยได้ และยังได้รับความมั่นใจในชีวิตนิรันดร์ พระกิตติคุณไม่ใช่เป็นการปะของใหม่เข้าไปนะครับ พระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์เป็นน้ำองุ่นหมักใหม่ เมื่อเราได้รับความรอดแล้ว เราได้รับความรอดเพื่อมีชีวิตใหม่ที่แตกต่างอย่างสิ้นเชิง ไม่เพียงแต่ได้เข้ามีสามัคคีธรรมกับพระเจ้า แต่เราต้องตายต่อวิถีชีวิตเดิมๆด้วย:
17เพราะฉะนั้น ข้าพเจ้าขอกล่าวเช่นนี้และยืนยันในองค์พระผู้เป็นเจ้าว่า อย่าดำเนินชีวิตแบบเดียวกับที่พวกต่างชาติดำเนินกัน อีกต่อไป คือมีใจจดจ่ออยู่กับสิ่งไร้สาระ 18ความ คิดของเขาทั้งหลายถูกทำให้มืดมนไป และเขาขาดจากชีวิตที่มาจากพระเจ้าเนื่องจากความไม่รู้ที่ อยู่ในตัว และความแข็งกระด้างในจิตใจ 19พวกเขาไม่มีความรู้สึกละอายและปล่อยตัวในการลามกเพื่อทำ การโสโครกทุกแบบโดยปราศจากการเหนี่ยวรั้งตน 20แต่ท่านทั้งหลายไม่ได้เรียนรู้ถึงพระคริสต์แบบนั้น 21พวกท่าน เคยฟังเรื่องของพระองค์แล้วอย่างแน่นอน และเคยได้รับการสอนเรื่องพระองค์ตามสัจธรรมที่อยู่ใน พระเยซูแล้ว 22คือได้รับการสอนให้ทิ้งตัวเก่าของพวกท่านที่คู่กับการ ประพฤติแบบเดิม ซึ่งถูกตัณหาล่อลวงทำให้พินาศไป 23และให้วิญญาณและจิตใจของพวกท่านได้รับการเปลี่ยนใหม่ 24และรับการสอนให้สวมสภาพใหม่ซึ่งได้รับการสร้างขึ้นตามแบบ ของพระเจ้าในความชอบธรรมและความบริสุทธิ์อย่างแท้จริง (เอเฟซัส 4:17-24)
ขอพระเจ้านำพระวจนะของพระองค์จากในพระกิตติคุณมัทธิวมาใช้เพื่อให้เรา โอบกอดพระผู้ช่วยให้รอดของเราไว้ พระองค์ผู้เดียวคือหนทางที่เราจะได้รับการอภัยบาป และได้เข้าส่วนมีสามัคคีธรรมเฉลิมฉลองกับองค์พระผู้เป็นเจ้า
1 1 ลิขสิทธิ 2003 โดย Bible Chapel, 418 E. Main Street, Richardson, TX 75081. ดัดแปลงจากต้นฉบับของบทเรียนที่ 38 ในบทเรียนต่อเนื่องของพระกิตติคุณมัทธิว จัดเตรียมโดย ศบ โรเบิร์ต แอล เดฟฟินบาว พฤษภาคม 30, 2004
2 2 นอกเหนือจากที่บ่งไว้ พระวจนะที่นำมาอ้างอิงทั้งหมดมาจาก NET Bible (The NEW ENGLISH TRANSLATION) เป็น ฉบับแปลใหม่ทั้งหมด ไม่ใช่นำฉบับเก่าในภาษาอังกฤษมาเรียบเรียงใหม่ ใช้ผู้เชี่ยวชาญและนักวิชาการพระคัมภีร์มากกว่า ยี่สิบคน รวบรวมข้อมูล ทั้งจากภาษาฮีบรูโดยตรง ภาษาอาราเมข และภาษากรีก โครงการแปลนี้เริ่มมาจากที่เราต้องการนำ พระคัมภีร์ เผยแพร่ผ่านสื่ออีเลคโทรนิค เพื่อรองรับการใช้งานทางอินเตอร์เน็ท และซีดี (compact disk) ที่ใดก็ตามในโลก ที่ต่อเข้าอินเตอร์เน็ทได้ ก็สามารถเรียกดู และพริ้นทข้อมูลไว้เพื่อใช้ศึกษาเป็นการส่วนตัวได้โดยไม่คิดมูลค่า นอกจากนี้ ผู้ใดก็ตาม ที่ต้องการนำข้อมูลเกี่ยวกับพระคัมภีร์ไปเผยแพร่ต่อโดยไม่คิดเงิน สามารถทำได้จากเว็บไซด์ : www.netbible.org.
3 3 จากหนังสือของ William Hendriksen, Exposition of the Gospel According to John, 2 vols. (Grand Rapids: Baker Book House, 1953-1954), vol. 2, p. 122.
4 4 ผมคิดว่าการแปลแบบนี้คงต้องมีเหตุผล ถ้าตามเนื้อหาบ่งว่าพระเยซูทรงเห็น ทรงรู้ความคิด หรือรู้เหตุผลพวกเขาอย่างที่บางฉบับแปล ทั้งมาระโก 2:8 และลูกา 5:22 ทำให้เห็นชัดว่าพระเยซูทรงแยกแยะความคิดในใจพวกเขาได้ หรืออาจเป็นได้ที่พวกเขากระซิบกระซาบกัน แต่ไม่คิดว่าเนื้อหาตอนนี้ ตอนที่พระเยซูประกาศว่าทรงเป็นพระเจ้า แล้วคิดว่าผู้เขียนกำลังบอกว่าพระองค์ทรงอ่านจากภาษากายของพวกเขา
5 5 เรารู้แน่นอนว่าการสำนึกผิดกลับใจที่แท้จริงและความเชื่อจะเกิดผล “จงพิสูจน์การกลับใจของเจ้าด้วยผลที่เกิดขึ้น” (มัทธิว 3:8 และ 7:15-20) แต่ตรงนี้พระเยซูทรงพูดถึงในทันที ไม่มีข้อหักล้าง พิสูจน์ได้
7 7 ในมัทธิว 10:3 บอกว่า “มัทธิวเป็นคนเก็บภาษี”
8 8 เป็นได้หรือไม่ที่ลูกา 18:9-14 เป็นมากกว่าคำอุปมา? และคนเก็บภาษีที่พูดถึงอาจเป็นมัทธิว? เพราะเรื่องการทรงเรียกของมัทธิวอาจสนับสนุนพระวจนะตอนนี้ ถึงแม้ไม่ได้เจาะจงว่าเป็นมัทธิวก็ตาม
9 9 “ในสองวัน”
11 11 ที่อ่านจากในหนังสืออพยพ 24:9-11 ไม่มีพระวจนะตอนอื่นที่พูดเรื่องแบบเดียวกันนี้ในพระคัมภีร์เดิม เป็นเหตุการณ์ที่แทบไม่เคย และไม่คาดคิดมาก่อน เป็นการเล็งถึงสวรรค์
หลายปีมาแล้วตอนที่ผมยังเรียนอยู่วิทยาลัยพระคริสตธรรม สังเกตุเห็นเพื่อนนักเรียนบางคนพยายามเอาตัวเข้าไปใกล้ชิดสนิทสนมกับโป รเฟสเซอร์หรืออาจารย์ที่เขาชื่นชมเป็นพิเศษ พวกเขาจะมีความสุขและดีใจมากถ้าอาจารย์ท่านนั้นเชิญไปบ้าน ไปทานข้าวหรือแค่ไปนั่งดื่มกาแฟ หรือถ้าอาจารย์เอามือโอบบ่าแล้วถามว่า “เป็นอย่างไรบ้าง?” ซึ่งบางคนก็ได้รับประสบการณ์เช่นนี้ ในขณะที่อีกหลายคนไม่ได้ บางคนอาจผิดหวังเพราะหวังจะได้รับความใกล้ชิดในฐานะพี่เลี้ยงน้องเลี้ยง ไม่ใช่ว่าจะไม่เคยมี แต่อาจเกิดขึ้นไม่บ่อยนัก ไม่เป็นอย่างที่บางคนคาดหวัง
ตอนเตรียมบทเรียนนี้ ผมคิดถึงยอห์นผู้ให้บัพติศมาและความสัมพันธ์ของเขากับพระเยซู ยอห์นน่าจะเป็นคนที่ค่อนข้างสันโดษ อาศัยอยู่ในพื้นที่ห่างไกล มีสาวกวงในไม่กี่คนที่มีสามัคคีธรรมด้วย มันจะดีแค่ไหนถ้ายอห์นได้มีโอกาสนั่งลงข้างเตาผิงสนทนาอย่างเป็นกันเองกับ พระเยซู มีพระเยซูโอบบ่าแล้วถาม “งานรับใช้เป็นอย่างไรบ้างยอห์น?”
มันยากที่จะรับว่าจริงๆแล้วยอห์นแทบไม่ได้มีปฏิสัมพันธ์กับพระเยซู เท่าที่เรารู้ทั้งคู่เคย “พบ” กันตอนที่ยังอยู่ในครรภ์มารดา (ลูกา 1:39-55) แต่ไม่รู้เอามานับได้หรือเปล่า (เพราะยอห์นที่อยู่ในครรภ์เอลีซาเบธดิ้นเมื่อนางมารีย์มาเยี่ยม) แล้วก็มาพบกันตอนพระเยซูมาขอรับบัพติศมาจากยอห์น (มัทธิว 3:13-17) แต่ทั้งหมดนี้ทั้งคู่แทบไม่ได้พูดคุยกันเลย อย่าลืมว่ายอห์นถูกจับเข้าคุกตั้งแต่ตอนต้นพระราชกิจของพระเยซู จึงหมดโอกาสที่จะได้พบปะพูดคุยกันหลังจากนั้น
บิดามารดาของยอห์นคงแจ้งให้ท่านทราบถึงภารกิจในชีวิตของท่าน ตามที่ทูตองค์หนึ่งของพระเจ้ามาแจ้งแก่เศคาริยาห์ผู้เป็นบิดา:
11มีทูตสวรรค์องค์หนึ่งของ องค์พระผู้เป็นเจ้ามาปรากฏแก่เศคาริยาห์ยืนอยู่ที่ข้างขวา แท่นเผาเครื่องหอมนั้น 12เมื่อเศคาริยาห์เห็นก็ตกใจกลัว 13แต่ทูตสวรรค์องค์นั้นกล่าวแก่ท่านว่า“เศคาริยาห์เอ๋ยอย่า กลัวเลย เพราะพระองค์ทรงฟังคำอธิษฐานของท่านแล้วนางเอลีซาเบธภรรยา ของท่านจะให้กำเนิดบุตรชายท่านจงตั้งชื่อบุตรนั้นว่ายอห์น 14ท่านจะมีความยินดีและเปรมปรีดิ์และคนจำนวนมากจะชื่นชม ยินดีที่บุตรนั้นเกิดมา 15เพราะว่าเขาจะเป็นใหญ่เฉพาะพระพักตร์องค์พระผู้เป็นเจ้าเขา จะไม่ดื่มน้ำองุ่นหมักและเหล้าเลยและเขาจะเต็มเปี่ยมด้วย พระวิญญาณบริสุทธิ์ตั้งแต่อยู่ในครรภ์มารดา 16เขาจะนำพงศ์พันธุ์อิสราเอลหลายคนให้หันกลับมาหา องค์พระผู้เป็นเจ้าผู้เป็นพระเจ้าของพวกเขา 17เขาจะนำหน้าพระองค์ด้วยจิตวิญญาณและฤทธิ์เดชของเอลียา ห์ให้พ่อกลับคืนดีกับลูกและให้คนดื้อด้านกลับได้ปัญญาของคน ชอบธรรมเพื่อจัดเตรียมชนชาติหนึ่งไว้ให้พร้อมสำหรับ องค์พระผู้เป็นเจ้า” (ลูกา 1:11-17)2
ยอห์นจึงเข้าใจดี ท่านต้องทำหน้าที่ให้คำพยากรณ์ของมาลาคีเกี่ยวกับผู้จัดเตรียมหนทางให้กับพระเมสซิยาห์สำเร็จ (มาลาคี 3:1-3, 4:5-6) ยอห์นไปประกาศถึงการเสด็จมาของพระเมสซิยาห์โดยยังไม่ทราบแน่ชัดว่าคือผู้ใดจนกระทั่งได้ให้บัพติศมาพระเยซู:
30พระองค์นี้แหละที่ข้าพเจ้ากล่าว ว่า ‘ภายหลังข้าพเจ้าจะมีผู้หนึ่งที่ยิ่งใหญ่กว่าข้าพเจ้าเสด็จ มา เพราะว่าพระองค์ทรงดำรงอยู่ก่อนข้าพเจ้า’ 31ข้าพเจ้าเองไม่รู้จักพระองค์แต่เพื่อให้พระองค์เป็นที่ ประจักษ์แก่อิสราเอลข้าพเจ้าจึงให้บัพติศมาด้วยน้ำ” 32และยอห์นกล่าวเป็นพยานว่า “ข้าพเจ้าเห็นพระวิญญาณเสด็จลงมาจากสวรรค์เหมือนดังนกพิราบ และสถิตกับพระองค์ 33ข้าพเจ้าเองไม่รู้จักพระองค์แต่พระองค์ผู้ทรงใช้ข้าพเจ้า มาให้บัพติศมาด้วยน้ำได้ตรัสกับข้าพเจ้าว่า ‘เมื่อเห็นพระวิญญาณเสด็จลงมาสถิตอยู่กับคนใดคนนั้นแหละจะ เป็นคนให้บัพติศมาด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์’ 34และข้าพเจ้าก็เห็นแล้วและเป็นพยานว่าพระองค์นี้แหละเป็น พระบุตรของพระเจ้า”(ยอห์น 1:30-34)
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อพระเยซูรับบัพติศมาทำให้ยอห์นเข้าใจ พระเยซูคือพระเมสซิยาห์ ไม่ต้องสงสัย และยอห์นประกาศอย่างชัดเจนต่อผู้ที่มาฟัง รวมถึงสาวกของท่านเองด้วย:
35รุ่งขึ้นยอห์นยืนอยู่ที่นั่นอีก กับศิษย์ของท่านสองคน 36และท่านมองดูพระเยซูขณะที่พระองค์เสด็จผ่านไปและท่านกล่าว ว่า“จงดูพระเมษโปดกของพระเจ้า” 37ศิษย์สองคนนั้นได้ยินท่านพูดอย่างนี้ก็ติดตามพระเยซูไป (ยอห์น 1:35-37)
เวลาผ่านไปหลังจากเหตุการณ์สำคัญที่เกิดขึ้นเมื่อพระเยซูรับบัพติศมา ยอห์นพบว่าตนเองถูกจับขังคุกท่านยืนหยัดต่อต้านความบาป ซึ่งกระตุกต่อมสนใจของเฮโรด ตอนนี้ยอห์นรับรู้แค่ที่สาวกเล่าให้ฟัง พระเยซูทรงออกเทศนาและสั่งสอน ว่าไปแล้วเรื่องแบบนี้คงไม่ได้อยู่ใน “สคริปต์” ที่ยอห์นคิดไว้
พระเยซูและยอห์นนั้นต่างกันมาก และความต่างนี้ทำให้ยอห์นรู้สึกไม่สบายใจ ชุดที่ยอห์นสวมใส่ แน่นอนทำให้ท่านแตกต่างจากผู้คนรอบข้าง แต่พระเยซูทรงดูเหมือนกลมกลืนไปกับผู้คนได้ในเรื่องเสื้อผ้า ยอห์นและสาวกของท่านอดอาหารเป็นประจำ (“ไม่ได้กินหรือดื่ม”) ในขณะที่พระเยซูและพวกสาวกทั้งกินและดื่ม (อย่างน้อย) กับพวกคนบาป (มัทธิว 11:18-19) ยอห์นไม่ได้ทำหมายสำคัญใดๆในระหว่างที่ท่านเริ่มงานพันธกิจ (ยอห์น 10:41) แต่พระเยซูทรงทำ (และเดี๋ยวนี้สาวกของพระองค์ทำ) การอัศจรรย์ทุกอย่าง (มัทธิว 9:35, 10:1) แต่ตอนนี้ท่านนั่งอยู่ในคุก ถ้าพระเยซูทรงเป็นพระเมสซิยาห์จริงอย่างที่ยอห์นประกาศ ทำไมพระองค์ไม่ทำอะไรบ้าง? ทำไมพระเยซูลืมเรื่องการเสด็จมาจัดตั้งแผ่นดินของพระเจ้าแล้วหรือ?
เมื่ออดทนต่อไปไม่ไหว ยอห์นจึงส่งสาวกของท่านไปถามพระเยซูตามตรง: “ท่านเป็นพระเมสซิยาห์ตามพระสัญญาหรือเปล่า? ชาวยิวควรต้องรับพระองค์ในฐานะพระเมสซิยาห์ หรือว่าพวกเขาต้องคอยผู้อื่น?” พระเยซูเป็นความหวังเดียวของพวกเราหรือ? พี่น้องครับ นี่เป็นคำถามสำคัญที่สุดที่เคยถามหรือเคยตอบ และยังเป็นคำถามสำคัญสำหรับพวกเราที่นี่พอๆกับในสมัยของยอห์นและสาวกของท่าน เมื่อสองพันกว่าปีที่แล้ว ให้เราตั้งใจเรียนพระวจนะจากพระเยซูตอนนี้ให้ดี ดูว่าพระองค์ทรงตอบอย่างไร
1เมื่อพระเยซูตรัสสั่งสาวกสิบสอง คนของพระองค์เสร็จแล้วพระองค์เสด็จจากที่นั่นไปทรงสั่งสอน และทรงประกาศในเมืองของเขา3ทั้งหลาย (มัทธิว 11:1)
ข้อ 1 เป็นตัวเชื่อม เป็นเหมือนบานพับเชื่อมเหตุการณ์ของบทที่ 10 ไปบทที่ 11 หลังจากพระเยซูตรัสสั่งสาวกของพระองค์ให้พวกเขาออกไปทำพันธกิจตามที่ได้รับ มอบหมาย:
1พระองค์ทรงเรียกสาวกสิบสองคนของ พระองค์มาแล้วประทานสิทธิอำนาจให้พวกเขาขับผีโสโครกออกได้ และทรงให้รักษาโรคและความเจ็บป่วยทุกอย่างให้หายได้…5สิบสอง คนนี้ พระเยซูทรงใช้ให้ออกไปและมีรับสั่งพวกเขาว่า “อย่าไปยังที่อยู่ของพวกต่างชาติและอย่าเข้าไปในเมืองของชาว สะมาเรีย 6แต่ว่าจงไปหาแกะหลงของวงศ์วานอิสราเอลนั้นดีกว่า 7จงไปพลางประกาศพลางว่า‘แผ่นดินสวรรค์มาใกล้แล้ว’ (มัทธิว 10:1, 5-7)
เหตุการณ์นี้ในบทที่ 11 เป็นตอนต่อจากที่ส่งสาวกทั้งสิบสองไป ที่น่าสนใจคือแม้ว่าภารกิจที่สาวกต้องไปทำอาจใช้เวลาหลายสัปดาห์หรืออาจถึง เดือน แต่ไม่มีพระกิตติคุณเล่มใดบันทึกว่าเกิดอะไรขึ้นในระหว่างที่สาวกออกไปทำ ภารกิจนั้น นี่เป็นสิ่งที่มนุษย์ให้ความสนใจมาก แต่กลับเป็นเรื่องที่ผู้เขียนพระกิตติคุณทั้งสี่เลือกที่จะไม่บันทึกไว้ ที่จริงคำตรัสของพระเยซูในบทนี้รวบเอาท่าทีการตอบสนองของชาวยิวที่มีต่อพระ ราชกิจของพระองค์และพวกสาวก มัทธิวต้องการให้เรา “ลากเส้นเชื่อมจุดประ” จากบทที่ 10 ไปบทที่ 11 จากส่งสาวกทั้งสิบสองออกไป จนถึงยอห์นผู้ให้บัพติศมา สิ่งที่ยอห์นสงสัย และการตอบสนองต่อข่าวประเสริฐของชาวยิวในกาลิลี4
2ยอห์นซึ่งอยู่ในคุก ได้ยินเกี่ยวกับงานต่างๆ5ของ พระคริสต์ก็ใช้พวกศิษย์ไป 3ทูลถามพระองค์ว่า“ท่านเป็นคนที่จะมานั้น หรือว่าเราจะต้องรอคอยคนอื่น?” 4พระเยซูตรัสตอบพวกเขาว่า“ไปบอกยอห์นในสิ่งที่พวกท่านได้ยิน และได้เห็น 5คือว่าบรรดาคนตาบอดเห็นได้พวกคนง่อยเดินได้บรรดาคนที่เป็น โรคเรื้อนหายสะอาดบรรดาคนหูหนวกได้ยินบรรดาคนตายเป็นขึ้นและ คนยากจนทั้งหลายได้รับข่าวดี 6ใครไม่มีเหตุสะดุดในตัวเราคนนั้นก็เป็นสุข” (มัทธิว 11:2-6)
ขอเริ่มโดยกล่าวว่าปัญหาของยอห์นเรื่องพระเยซูไม่ได้มาจากความไม่เชื่อ แต่อาจมาจากความกังวลว่าพระเยซูยังไม่ได้ทำตามที่พยากรณ์ไว้ในพระคัมภีร์ ผมมั่นใจว่าสิ่งที่ท่านสงสัยนั้นมาจากใจของผู้มีความเชื่อเต็มเปี่ยม เชื่อในพระเจ้าและพระวจนะ ที่ท่านสงสัยไม่ได้เป็นการปฏิเสธพระเจ้าหรือพระวจนะของพระองค์ ที่จริงแล้วความสงสัยของท่านมาจากความเชื่อมั่นคงในพระวจนะ อย่างที่เราทราบ ยอห์นตระหนักดีถึงบทบาทของท่านในฐานะผู้มาเตรียมทางให้พระเมสซิยาห์ เพื่อให้คำพยากรณ์ในอิสยาห์สำเร็จลง (อิสยาห์ 40:3; มัทธิว 3:3) และมาลาคี (3:1-3; 4:4-6; มัทธิว 11:10; ลูกา 1:11-17)
ยอห์นยังคุ้นเคยกับพระวจนะตอนอื่นๆที่กล่าวถึงการเสด็จมาด้วยพระราชอำนาจ ของพระเมสซิยาห์ เพื่อจัดการกับศัตรู และจัดตั้งอาณาจักรของพระองค์:
1เหตุใดบรรดาประชาชาติจึงคิดกบฏ?
ทำไมชาวประเทศทั้งหลายคิดลมๆ แล้งๆ?
2บรรดากษัตริย์แห่งแผ่นดินโลกตั้งตนเองขึ้น
และนักปกครองปรึกษากัน
ต่อสู้พระยาห์เวห์กับผู้รับการเจิมของพระองค์กล่าวว่า
3“ให้เราหักโซ่ตรวน
และสลัดเครื่องจำจองของเขาให้พ้นจากเราเถิด”
4พระองค์ผู้ประทับในสวรรค์ทรงพระสรวล
องค์เจ้านายทรงเย้ยหยันเขาเหล่านั้น
5แล้วตรัสกับเขาทั้งหลายด้วยความกริ้ว
และด้วยความเดือดดาลก็ทรงทำให้เขาหวาดกลัว ตรัสว่า
6“เราเองได้ตั้งกษัตริย์ของเราไว้แล้ว
บนศิโยน ภูเขาบริสุทธิ์ของเรา”
7ข้าพเจ้าจะบอกถึงกฎเกณฑ์ของพระยาห์เวห์
พระองค์ตรัสกับข้าพเจ้าว่า “เจ้าเป็นบุตรของเรา วันนี้เราให้กำเนิดเจ้าแล้ว
8จงขอจากเราเถิด และเราจะมอบบรรดาประชาชาติให้เป็นมรดกของเจ้า
ตลอดจนแผ่นดินโลกให้เป็นกรรมสิทธิ์ของเจ้า
9เจ้าจะตีพวกเขาให้แตกด้วยคทาเหล็ก
และฟาดให้แหลกเป็นชิ้นๆ ดุจภาชนะของช่างปั้นหม้อ”
10เพราะฉะนั้น กษัตริย์ทั้งหลายเอ๋ย จงฉลาดเถิด
บรรดาผู้ปกครองแห่งแผ่นดินโลกเอ๋ย จงรับคำเตือนเถิด
11จงปรนนิบัติพระยาห์เวห์ด้วยความยำเกรง
และจงเปรมปรีดิ์จนเนื้อเต้น
12จงจุมพิตพระบุตร
หาไม่ พระองค์จะกริ้ว และเจ้าต้องพินาศจากทางนั้น
เพราะความกริ้วของพระองค์จุดให้ลุกได้รวดเร็ว
ทุกคนที่เข้ามาลี้ภัยในพระองค์ก็เป็นสุข(สดุดี 2:1-12)
เมื่อยอห์นพูดถึงการเสด็จมาของพระเมสซิยาห์ ท่านพูดว่าพระองค์จะเสด็จมาพร้อมด้วยฤทธิอำนาจ และด้วยการพิพากษา เช่นเดียวกับคำพยากรณ์ในพระคัมภีร์เดิมที่พูดถึงการเสด็จมาของพระองค์:
11ข้าพเจ้าให้ท่านรับบัพติศมา ด้วยน้ำ แสดงว่ากลับใจใหม่ก็จริงแต่พระองค์ผู้จะมาภายหลังข้าพเจ้า ทรงยิ่งใหญ่กว่าข้าพเจ้าซึ่งข้าพเจ้าไม่คู่ควรแม้แต่จะถือ ฉลองพระบาทของพระองค์ พระองค์จะทรงให้พวกท่านรับบัพติศมาด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์และด้วยไฟ 12พระองค์ทรงถือพลั่วอยู่ในพระหัตถ์แล้วและจะ ทรงชำระลานข้าวของพระองค์ให้ทั่วพระองค์จะทรงรวบรวม เมล็ดข้าวของพระองค์ไว้ในยุ้งฉางแต่พระองค์จะทรงเผาแกลบด้วย ไฟที่ไม่มีวันดับ” (มัทธิว 3:11-12)
ยอห์นเป็นผู้เผยพระวจนะ จึงเป็นผู้ที่ได้รับการดลใจ ท่านพูดด้วยสิทธิอำนาจของพระเจ้า แต่ในฐานะผู้เผยพระวจนะ ท่านต้องทนทุกข์จากปัญหาเดียวกับที่ผู้เผยพระวจนะคนอื่นๆในพระคัมภีร์เดิม เผชิญ – ท่านไม่ได้รู้ทุกสิ่ง!
10พวกผู้เผยพระวจนะผู้ได้พยากรณ์ ถึงพระคุณซึ่งจะเกิดแก่พวกท่านก็ได้เสาะหาและสืบค้นอย่าง ถี่ถ้วนเกี่ยวกับเรื่องความรอดนี้ 11พวกเขาได้สืบหาบุคคลและเวลาซึ่งพระวิญญาณของพระคริสต์ผู้ สถิตอยู่ในพวกเขาได้ทรงแจ้งไว้ โดยทรงบอกล่วงหน้าถึงความทุกข์ทรมานของพระคริสต์และพระสิริ ที่จะมาภายหลังความทุกข์เหล่านั้น 12พระองค์ทรงเผยให้ผู้เผยพระวจนะเหล่านั้นทราบว่าพวกเขา ไม่ได้ปรนนิบัติตัวเองในเรื่องเหล่านี้ แต่ปรนนิบัติพวกท่าน บัดนี้เรื่องเหล่านี้ถูกประกาศแก่พวกท่านทางผู้ประกาศข่าว ประเสริฐ โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่ประทานจากสวรรค์ เรื่องเหล่านี้เป็นสิ่งซึ่งพวกทูตสวรรค์ปรารถนาจะได้ดู (1เปโตร 1:10-12)
ผู้เผยพระวจนะในพระคัมภีร์เดิม (เช่นเดียวกับผู้เผยพระวจนะแท้ทั้งในพระคัมภีร์เดิมและพระคัมภีร์ใหม่) ได้รับการดลใจจากพระเจ้าให้ทราบบางส่วนของแผนการหรือเหตุการณ์ใหญ่ เป็นส่วนหนึ่งของจิ๊กซอว์ พวกเขาไม่เห็นหรือรู้ถึงภาพรวมทั้งหมดของคำพยากรณ์ – อย่างน้อยที่เข้าใจได้ทั้งหมด และอย่างที่เปโตรกล่าว พวกเขาสืบเสาะหาบุคคลและเวลา เพื่อจะได้เข้าใจความหมาย แต่ที่สุดแล้ว พวกเขาต้องยอมหยุด และเข้าใจว่าคำพยากรณ์เหล่านี้จะเป็นจริงในอนาคต ดังนั้นพวกเขาจึงกำลังปรนนิบัติผู้อื่น เช่นพวกเราและคนในยุคที่คำพยากรณ์นั้นจะเกิดขึ้นเป็นจริง
ยอห์นจึงเป็นทุกข์เพราะอาการที่ผมขอเรียกว่า “ปัญหาแห่งความสับสน” ตอนนั้นยอห์นไม่อาจแยกแยะได้ระหว่างคำพยากรณ์ที่พูดถึงการเสด็จมาครั้งแรก และครั้งที่สองของพระเมสซิยาห์ การเสด็จมาครั้งแรกตามคำพยากรณ์พูดถึงการถูกปฏิเสธโดยมนุษย์และการสละพระ ชนม์ชีพเพื่อชดใช้โทษบาปของเรา – เช่นคำพยากรณ์ในสดุดี 22 และอิสยาห์ 52:13 – 53:12 การเสด็จมาครั้งที่สองอยู่ในคำพยากรณ์อย่าง สดุดี 2 และมาลาคี 3:1-3 ยอห์นต้องต่อสู้เพราะพระเยซูไม่ได้เติมเต็มตามคำพยากรณ์ที่พูดถึงการเสด็จมา ครั้งที่สองของพระเมสซิยาห์ ตอนนี้เราถึงเข้าใจว่าทำไม เป็นปัญหาที่เวลาเท่านั้นแก้ไขได้
ในอีกมุม“ปัญหาความสับสน” ในพระเจ้าก็เกิดขึ้นในท่ามกลางสาวกของยอห์น:
14แล้วบรรดาสาวกของยอห์นมาหา พระเยซูทูลว่า“ทำไมเราและพวกฟาริสีถืออดอาหาร แต่พวกสาวกของท่านไม่ถือ?”15พระเยซูจึงตรัสกับเขาว่า “บรรดาแขกรับเชิญจะโศกเศร้าเมื่อเจ้าบ่าวยังอยู่กับพวกเขา หรือ?แต่วันหนึ่งเจ้าบ่าวจะถูกพรากไปจากเขาและเมื่อนั้น พวกเขาจะถืออดอาหาร 16ไม่มีใครเอาชิ้นผ้าทอใหม่มาปะเสื้อเก่าเพราะว่าผ้าที่ปะ เข้านั้นเมื่อหดจะทำให้เสื้อเก่าขาดกว้างออกไปอีก 17และเขาทั้งหลายไม่เอาเหล้าองุ่นหมักใหม่ มาใส่ในถุงหนังเก่าถ้าทำอย่างนั้นถุงหนังจะขาด น้ำองุ่นจะรั่วทั้งถุงหนังก็จะเสียไปด้วยแต่เขาย่อมเอา น้ำองุ่นหมักใหม่ใส่ในถุงหนังใหม่แล้วทั้งคู่ก็จะอยู่ใน สภาพดี” (มัทธิว 9:14-17)
ในบทที่ 9 พระเยซูอธิบายถึง ““ปัญหาความสับสน” ในพระเจ้าอย่างอ้อมๆ เปรียบเทียบน้ำองุ่นหมักใหม่ (พระกิตติคุณ หรือพันธสัญญาใหม่) ใส่ในถุงหนังเก่า (พันธสัญญาเดิม) พวกเขาอาจนึกภาพตาม แต่ไม่เข้าใจว่าเป็นสัญลักษณ์ของอะไร เพราะพวกเขายังอยู่ห่างไกลจากกางเขน ยังอยู่กับธรรมบัญญัติเดิม
คำตอบที่พระเยซูตอบยอห์นนั้นเรียบง่ายและตรงไปตรงมา:
4พระเยซูตรัสตอบพวกเขาว่า“ไปบอก ยอห์นในสิ่งที่พวกท่านได้ยินและได้เห็น 5คือว่าบรรดาคนตาบอดเห็นได้ พวกคนง่อยเดินได้บรรดาคนที่เป็นโรคเรื้อนหายสะอาด บรรดาคนหูหนวกได้ยิน บรรดาคนตายเป็นขึ้น และคนยากจนทั้งหลายได้รับข่าวดี 6ใครไม่มีเหตุสะดุดในตัวเราคนนั้นก็เป็นสุข” (มัทธิว 11:4-6)
พระเยซูบอกสาวกของยอห์นให้ไปบอกท่านในสิ่งที่ได้ยิน และได้เห็น พวกเขาได้ยินอะไร? พวกเขาคงได้ยินซ้ำแล้วซ้ำอีกว่า “จงกลับใจใหม่ เพราะว่าแผ่นดินสวรรค์มาใกล้แล้ว” (มัทธิว 4:17; 10:7ดูมาระโก 6:12 ด้วย) เป็นถ้อยคำเดียวกับที่พวกเขาและยอห์นประกาศออกไป อาจเคยได้ยินบางตอนจากคำเทศนาบนภูเขา จากพระดำรัสของพระเยซู อาจได้ยินข่าวประเสริฐที่ประกาศไปแก่คนยากจน นอกจากได้ยินยังคงได้เห็นการอัศจรรย์ทุกอย่าง – คนตาบอดเห็นได้ คนง่อยเดินได้ คนโรคเรื้อนหายสะอาด คนหูหนวกได้ยิน และคนตายเป็นขึ้นมา ทุกอย่างเป็นหมายสำคัญว่าพระเยซูทรงเป็นพระเมสซิยาห์ หมายสำคัญที่พยากรณ์ไว้ล่วงหน้าแล้ว:
18และในวันนั้นบรรดาคนหูหนวกจะได้ยินถ้อยคำของหนังสือม้วน
และตาของคนตาบอดจะมองเห็นจากความเลือนรางและความมืด
19คนใจถ่อมจะเพิ่มพูนความชื่นบานในพระยาห์เวห์
และคนยากจนท่ามกลางมนุษย์จะยินดีในองค์บริสุทธิ์ของอิสราเอล (อิสยาห์ 29:18-19)
4จงกล่าวกับคนที่มีใจหวาดกลัวว่า
“จงเข้มแข็งเถอะและอย่ากลัวเลยดูสิพระเจ้าของท่านทั้งหลาย
พระองค์จะเสด็จมาด้วยการแก้แค้นด้วยการตอบแทนของพระเจ้า
พระองค์จะเสด็จมาและจะช่วยท่านให้รอด”
5แล้วตาของคนตาบอดจะได้เห็น
และหูของคนหูหนวกจะได้ยิน
6คนง่อยจะกระโดดอย่างกวาง
และลิ้นของคนใบ้จะโห่ร้องยินดี
เพราะน้ำจะพลุ่งขึ้นมาในถิ่นทุรกันดาร
และลำธารเกิดขึ้นในที่ราบแห้งแล้ง (อิสยาห์ 35:4-6)
1พระวิญญาณของพระยาห์เวห์องค์เจ้านายทรงอยู่เหนือข้าพเจ้า
เพราะว่าพระยาห์เวห์ทรงเจิมข้าพเจ้าไว้
เพื่อนำข่าวดีมายังคนที่ทุกข์ใจ
พระองค์ทรงส่งข้าพเจ้าไปเพื่อปลอบโยนคนชอกช้ำใจ
และเพื่อประกาศอิสรภาพแก่บรรดาเชลย
ทั้งประกาศการเปิดเรือนจำแก่ผู้ที่ถูกจำจอง
2เพื่อประกาศปีแห่งความโปรดปรานของพระยาห์เวห์
และประกาศวันแห่งการแก้แค้นของพระเจ้าของพวกเรา
เพื่อชูใจทุกคนที่ไว้ทุกข์
3เพื่อจัดเตรียมให้กับพวกที่ไว้ทุกข์ในศิโยน
คือให้มงกุฎแทนขี้เถ้าแก่พวกเขา
และให้น้ำมันแห่งความยินดีแทนการไว้ทุกข์
เสื้อคลุมแห่งการสรรเสริญแทนจิตวิญญาณที่ท้อแท้
แล้วคนจะเรียกพวกเขาว่าต้นโอ๊กแห่งความชอบธรรม
ที่พระยาห์เวห์ทรงปลูกไว้เพื่อสำแดงพระสิริของพระองค์ (อิสยาห์ 61:1-3)
ยอห์นไม่สบายใจเพราะกังวลเกี่ยวกับคำพยากรณ์ของพระเมสซิยาห์ (ในส่วนการเสด็จมากครั้งที่สอง) ดูเหมือนพระราชกิจของพระเยซูไม่ได้เป็นไปตามนั้น พระเยซูไม่ได้พยายามอธิบายทั้งหมดให้ยอห์นฟัง เพียงให้ยอห์นหันกลับมาดูสิ่งที่พระองค์ทำและคำสอนของพระองค์ เพื่อเตือนยอห์นว่าทั้งหมดนี้เติมเต็มคำพยากรณ์ที่เกี่ยวกับการเสด็จมาของ พระเมสิยาห์แล้ว– ครั้งแรก
ความสงสัยของยอห์น และคำตอบของพระเยซูทำให้ผมนึกถึงโยบ ประสบการณ์ความทุกข์ของโยบดูจะไม่สมเหตุผลกับคำอธิบายของเพื่อนๆ หรือแม้แต่ความเข้าใจของโยบเองว่าพระเจ้าทำงานอย่างไรในชีวิตคน โยบเหมือน “ท้าวสะเอว” อยู่พักใหญ่ คาดหวังคำอธิบายจากพระเจ้า พระเจ้าไม่ได้อธิบายในรายละเอียด (เรื่องบนสวรรค์ เรื่องบทเรียนที่ได้รับ เรื่องซาตานมาฟ้อง ฯลฯ) พระองค์เพียงชี้ให้เห็นว่าพระองค์คือพระเจ้า พระเจ้าผู้ทรงอำนาจอธิปไตย เมื่อโยบครุ่นคิดเรื่องนี้ ท่านจึงเงียบเสียง ไม่ประท้วงต่อ มีแต่สารภาพ พระเจ้าทรงเป็นพระเจ้า ทรงมีสิทธิทำตามพระประสงค์ โยบคิดว่าตนเองเป็นใครที่กล้าไปถามเรื่องวิธีทำงานของพระเจ้าบนโลก โลกที่พระองค์เป็นผู้เนรมิตสร้าง? เมื่อรู้ว่าพระเจ้าทรงเป็นพระเจ้า แค่นั้นก็พอสำหรับโยบ เท่าที่เรารู้ ท่านไม่เคยรู้พระประสงค์ของพระเจ้าที่ท่านต้องทนทุกข์เลย
สิ่งที่พระเยซูบอกสาวกของยอห์นให้ไปแจ้งแก่ยอห์นเพื่อพิสูจน์ว่าพระองค์ ทรงเป็นพระเมสซิยาห์ตามที่ยอห์นสัญญา ได้ให้บัพติศมา และประกาศพระองค์อย่างเปิดเผย ยอห์นทำในสิ่งที่ว่าไปแล้วเราทุกคนต้องเคยทำ มีความคาดหวังบางอย่างในพระเจ้า พระองค์น่าจะทำอย่างไรในชีวิตผู้คน (คือรู้สึกว่าพระเจ้าน่าจะทำบางอย่างในชีวิตบางคน) ท่านจึงเหมือนท้าทายพระเจ้าในแง่มุมความคาดหวัง ท่านมองเรื่องนี้กลับหัวกลับหาง น่าจะตระหนักได้ว่าพระเยซูทรงเป็นพระเมสซิยาห์ พระเจ้าในสภาพมนุษย์ ถ้าพระเยซูทรงเป็นพระเจ้า ยอห์นก็ควรปรับและเปลี่ยนความคาดหวังในพระองค์ และมั่นใจว่าพระเยซูคือพระเจ้า
เราทุกคนต่างก็เหมือนยอห์น – เมื่อพระเจ้าไม่ได้ทำตามที่เราคาดหวังให้พระองค์ทำ เราก็เริ่มมีคำถาม ถ้าพระเจ้าทรงเป็นพระเจ้าจริง เราก็ควรคาดหวังให้พระองค์ทำงานของพระองค์ในวิธีที่แตกต่างจากความคาดหวัง ของเรา:
7ให้คนอธรรมละทิ้งทางของเขา
และคนชั่วละทิ้งความคิดของเขา
ให้เขากลับมายังพระยาห์เวห์และพระองค์จะทรงเมตตาเขา
และมายังพระเจ้าของพวกเราเพราะพระองค์ทรงมีการอภัยอย่างเหลือล้น
8“เพราะความคิดของเราไม่ใช่ความคิดของเจ้า
และทางของพวกเจ้าก็ไม่ใช่ทางของเรา”
พระยาห์เวห์ตรัสดังนี้แหละ
9“เพราะฟ้าสวรรค์สูงกว่าแผ่นดินโลกอย่างไร
ทางของเราก็สูงกว่าทางของพวกเจ้า
และความคิดของเราก็สูงกว่าความคิดของเจ้าอย่างนั้น
10“เพราะเหมือนฝนและหิมะลงมาจากฟ้าสวรรค์
และไม่กลับที่นั่นเว้นแต่ได้รดแผ่นดินโลก
แล้วทำให้บังเกิดผลและแตกหน่อ
ทั้งให้เมล็ดพืชแก่ผู้หว่านและอาหารแก่คนกิน
11ทำนองเดียวกันคำของเราที่ออกจากปากของเรา
จะไม่กลับมาสู่เราเปล่าๆ
แต่จะทำให้สิ่งที่เราพอใจนั้นสำเร็จ
และให้สิ่งที่เราใช้ไปทำนั้นเสร็จสิ้น (อิสยาห์ 55:7-11)
พระเยซูตรัสถ้อยคำสุดท้ายในข้อ 6 ทรงบอกยอห์นว่าอย่าขัดเคือง (หรือสะดุด) ในเรื่องของพระเยซู ผมเชื่อว่าคำที่ตรัสแนะนำนี้มาจากถ้อยคำของผู้เผยพระวจนะอิสยาห์:
13แต่พระยาห์เวห์จอมทัพนั้นแหละที่พวกท่านต้องถือว่าศักดิ์สิทธิ์
พระองค์ทรงเป็นผู้ที่ท่านต้องกลัว
และทรงเป็นผู้ที่ท่านต้องหวาดหวั่น
14แล้วพระองค์จะเป็นสถานศักดิ์สิทธิ์
แต่ก็จะเป็นหินสะดุด
และเป็นศิลาที่ทำให้เชื้อสายทั้งสองของอิสราเอลหกล้ม
ทั้งเป็นกับดักและเป็นบ่วงแร้วสำหรับชาวเยรูซาเล็ม
15และคนจำนวนมากจะหกล้มเพราะหินนั้น
จะล้มคะมำและแตกหักพวกเขาจะติดบ่วงและถูกจับไป (อิสยาห์ 8:13-15)
ขออย่าให้ยอห์นอยู่ในท่ามกลางผู้ที่สะดุดเพราะพระเมสซิยาห์เลย
7ขณะที่เขาทั้งหลายกลับไปพระเยซู ทรงเริ่มตรัสกับฝูงชนเกี่ยวกับยอห์นว่า“ท่านทั้งหลายออกไปยัง ถิ่นทุรกันดารเพื่อดูอะไร?คงไม่ใช่ดูต้นอ้อไหวเมื่อถูก ลมพัดหรอกนะ 8แล้วท่านออกไปดูอะไร? ดูคนที่นุ่งห่มผ้าเนื้อดีหรือ? นี่แน่ะคนที่นุ่งห่มผ้าเนื้อดีก็อยู่ในราชวัง 9แล้วพวกท่านออกไปดูอะไร? ดูผู้เผยพระวจนะหรือ? แน่ทีเดียวและเราบอกท่านทั้งหลายว่าเขาเป็นยิ่งกว่า ผู้เผยพระวจนะอีก 10คือเป็นผู้นี้ที่พระคัมภีร์เขียนไว้ว่า‘เราจะใช้ทูตของเรา นำหน้าท่านผู้นั้นจะเตรียมมรรคาของท่านไว้ข้างหน้าท่าน’11เรา บอกความจริงกับพวกท่านว่าในบรรดาคนซึ่งเกิดจากผู้หญิงนั้น ไม่มีใครยิ่งใหญ่กว่ายอห์นผู้ให้บัพติศมาแต่ว่าผู้ที่ เล็กน้อยที่สุดในแผ่นดินสวรรค์ก็ยังใหญ่กว่ายอห์นอีก 12และตั้งแต่สมัยยอห์นผู้ให้บัพติศมาถึงทุกวันนี้แผ่นดิน สวรรค์ก็ถูกโจมตีอย่างรุนแรงและพวกที่รุนแรงพยายามชิงเอา ให้ได้ 13เพราะว่าพวกผู้เผยพระวจนะและธรรมบัญญัติได้พยากรณ์มาจนถึง ยอห์นนี้ 14ถ้าท่านทั้งหลายจะยอมรับยอห์นผู้นี้แหละคือเอลียาห์ที่จะ มานั้น 15ใครมีหูจงฟังเถิด (มัทธิว 11:7-15)
ถ้ายอห์นมีความสงสัยในพระเยซู พระเยซูไม่มีความสงสัยในยอห์นเลย! ฝูงชนคงได้ยินคำถามที่สาวกของยอห์นถามพระเยซู และคำตอบที่พระองค์ตอบ ขณะที่สาวกของยอห์นเดินทางกลับไปแจ้งแก่ยอห์น พระเยซูทรงใช้โอกาสนี้ตรัสกับฝูงชนถึงยอห์นผู้ให้บัพติศมา พระเยซูทรงทำให้ฝูงชนยอมรับว่าพระองค์ทราบว่าพวกเขาคิดอะไร – คิดว่ายอห์นเป็นผู้เผยพระวจนะ (ดูมัทธิว 21:26) นี่คือสิ่งที่พระเยซูตรัสเกี่ยวกับยอห์น6
“ท่านทั้งหลายออกไปยังถิ่นทุรกันดารเพื่อดูอะไร?ดูพวกโลเล ที่เปลี่ยนไปมาตามกระแสการเมืองหรือ? เราไม่คิดเช่นนั้น บางทีพวกคุณออกไปถึงถิ่นทุรกันดารเพื่อจะดูแฟชั่นล่าสุดสำหรับผู้ชายหรือ? เราต่างก็รู้ว่ามันไม่ใช่ พวกคุณทุกคนรู้ดีว่าสิ่งที่ดึงดูดพวกคุณไปที่ถิ่นทุรกันดารก็เพื่อไปฟัง ยอห์น ซึ่งเป็นการย้ำว่ายอห์นคือผู้เผยพระวจนะแท้ – ผู้ที่พูดแทนพระเจ้า ผู้ที่ถ้อยคำของเขาคือถ้อยคำของพระเจ้า ยอห์นเป็นผู้เผยพระวจนะ แต่ไม่ได้เป็นเพียงผู้เผยพระวจนะ ในความเป็นจริง ท่านเป็นผู้เผยพระวจนะ – เป็นผู้เผยพระวจนะที่ทุกคนรอคอย ผู้เผยพระวจนะที่การปรากฎตัวและพันธกิจของท่านมีการพยากรณ์ไว้ล่วงหน้าโดย ผู้เผยพระวจนะท่านอื่นๆ มาลาคีพูดถึงยอห์นเมื่อเขียนว่า “นี่แน่ะเราส่งทูตของเราไป เพื่อตระเตรียมหนทางไว้ข้างหน้าเรา” ยอห์นเป็นผู้มาเตรียมหนทางล่วงหน้าให้พระเมสซิยาห์ ได้รับสิทธิพิเศษเป็นผู้ประกาศการเสด็จมา และประกาศว่าพระเยซูคือผู้ใด
เพราะบทบาทที่โดดเด่นของยอห์นในฐานะผู้เผยพระวจนะคนสุดท้ายในพระคัมภีร์ เดิม ผู้เผยพระวจนะที่ทำหน้าที่ประกาศพระเมสซิยาห์ให้คนรู้จัก ในบรรดาคนซึ่งเกิดจากผู้หญิงนั้น (จนถึงช่วงเวลานั้น)ไม่มีใครยิ่งใหญ่กว่ายอห์น แต่ว่าถึงมีความโดดเด่นอย่างไรก็ตาม เมื่อมองจากภาพของพระคัมภีร์เดิม – ผู้ที่เล็กน้อยที่สุดในแผ่นดินสวรรค์ก็ยังใหญ่กว่ายอห์นอีก (มัทธิว 11:11)
สำหรับผม ข้อ 12 และ 13 เป็นข้อที่น่าฉงนที่สุดในมัทธิว ในข้อ 12พระเยซูตรัสถึง “ความรุนแรง” ซึ่งน่าจะเป็นภาพที่เกิดขึ้นในสมัยของยอห์นผู้ให้บัพติศมา ความรุนแรงนี้คืออะไร? ผมเชื่อว่ามีบอกไว้ในหนังสือกิจการ และในพระกิตติคุณเล่มอื่นๆ:
33เมื่อพวกเขาฟังแล้วก็โกรธมากคิด กันว่าจะฆ่าพวกอัครทูตเสีย 34แต่มีคนหนึ่งชื่อกามาลิเอล เป็นพวกฟาริสีและเป็นอาจารย์สอนธรรมบัญญัติ เป็นที่นับถือของประชาชนเขายืนขึ้นในสภาแล้วสั่งให้พาพวก อัครทูตออกไปข้างนอกครู่หนึ่ง 35ท่านกล่าวกับพวกเขาว่า “ท่านชนชาติอิสราเอลสิ่งที่ท่านทั้งหลายคิดจะทำกับคน เหล่านี้นั้นจงระวังให้ดี 36เพราะก่อนหน้านี้มีคนหนึ่งชื่อธุดาสซึ่งอ้างตัวว่าเป็นผู้ยิ่งใหญ่มีผู้คนติดตามประมาณสี่ร้อยคน แต่ธุดาสถูกฆ่าและคนที่เป็นพรรคพวกก็กระจัดกระจายสาบสูญไป 37ต่อจากคนนี้มีอีกคนหนึ่งชื่อยูดาส เป็นชาวกาลิลีปรากฏตัวขึ้นในช่วงที่มีการจดทะเบียนสำมะโนครัว เขาเกลี้ยกล่อมผู้คนให้ติดตามเขาไป และ คนนั้นก็พินาศด้วย คนที่เป็นพรรคพวกก็กระจัดกระจาย 38เพราะฉะนั้นในกรณีนี้ ข้าพเจ้าจึงขอบอกพวกท่านว่าจงปล่อยคนเหล่านี้ไปตามเรื่อง อย่าทำอะไรพวกเขาเลยเพราะว่าถ้าความคิดหรือกิจการนี้มาจาก มนุษย์มันจะล่มสลายไปเอง 39แต่ถ้ามาจากพระเจ้าพวกท่านจะไม่สามารถทำลายพวกเขาได้ เกรงว่าพวกท่านกลับจะเป็นฝ่ายสู้รบกับพระเจ้า” (กิจการ 5:33-39)
50พระเยซูตรัสกับเขาว่า“เพื่อนเอ๋ย จงทำตามที่ท่านตั้งใจเถิด” แล้วพวกเขาก็เข้ามาและลงมือจับกุมพระเยซู 51คนหนึ่งที่อยู่กับพระเยซูก็ยื่นมือออกชักดาบฟันหูบ่าวของมหาปุโรหิตขาด 52พระเยซูจึงตรัสกับเขาว่า“เอาดาบของท่านใส่ฝักเสีย เพราะว่าพวกที่ใช้ดาบจะต้องพินาศเพราะดาบ 53ท่านคิดว่าเราจะทูลขอพระบิดาของเราไม่ได้หรือ? และพระองค์ก็จะประทานทูตสวรรค์ให้เรามากกว่าสิบสองกองพลใน ทันที 54แต่ถ้าเป็นอย่างนั้นข้อพระคัมภีร์ที่ว่าจำเป็นจะต้องเป็น อย่างนี้จะสำเร็จได้อย่างไร?” (มัทธิว 26:50-54)
35พระองค์จึงตรัสถามพวกสาวกว่า “เมื่อเราใช้พวกท่านออกไปโดยไม่มีถุงเงินหรือย่ามหรือ รองเท้านั้นท่านขาดอะไรบ้างไหม?” พวกเขาทูลตอบว่า “ไม่ขาดเลย” 36พระองค์จึงตรัสกับเขาว่า “แต่ตอนนี้ใครมีถุงเงินให้เอาไปด้วยมีย่ามก็ให้เอาไป เหมือนกันและคนที่ไม่มีดาบก็ให้ขายเสื้อคลุมของตนไปซื้อดาบ 37เราบอกท่านทั้งหลายว่า สิ่งที่เขียนไว้แล้วจะต้องสำเร็จในเรา คือที่ว่า ‘ท่านถูกนับเข้ากับคนอธรรม’ เพราะว่าสิ่งที่เล็งถึงเรานั้นกำลังจะสำเร็จแล้ว” 38พวกเขาทูลตอบว่า“องค์พระผู้เป็นเจ้า นี่แน่ะ มีดาบสองเล่ม” พระองค์ตรัสกับเขาว่า “พอแล้ว”(ลูกา 22:35-38)
14เมื่อคนทั้งหลายเห็นหมายสำคัญที่ พระองค์ทรงทำพวกเขาจึงพูดกันว่า “แท้จริงท่านผู้นี้เป็นผู้เผยพระวจนะคนนั้นที่จะมาใน โลก”15เมื่อพระเยซูทรงทราบว่าพวกเขาจะมาจับพระองค์ไปตั้งให้เป็นกษัตริย์ พระองค์ก็เสด็จขึ้นไปบนภูเขาอีกตามลำพัง (ยอห์น 6:14-15)
ยุคของยอห์นดูเหมือนการรอคอยพระเมสซิยาห์มาถึงจุดเดือด เหตุการณ์การถือกำเนิดมาของทั้งยอห์นและพระเยซูดูจะเติมเชื้อความกระหาย เรื่องยุคสุดท้ายและการพิพากษา ขณะเดียวกันสถานภาพทางการเมืองในอิสราเอลช่วงนั้นอาจเป็นตัวเร่งสถานการณ์ อีกด้วย ผมมีแนวโน้มเชื่อว่าคำพยากรณ์ของยอห์นอาจไม่ได้เจตนา แต่กลับเติมไฟให้กับเรื่องการเสด็จมาของพระเมสซิยาห์ ทำให้เกิดความรุนแรง บ่อยครั้งต้องใช้กองกำลังมารักษาความสงบ ผู้คนไม่อาจเข้าใจถึงคำสอนและพระราชกิจของพระเยซู ซึ่งยอห์นอาจตกอยู่ในข่ายนี้ แม้แต่พวกสาวกเองก็พร้อมรับมือด้วยอาวุธที่มี (ลูกา 22:35-38)
คำตรัสของพระเยซูในข้อ 12 เกี่ยวกับความรุนแรงใกล้เคียงกับข้อ 13 (ซึ่งขึ้นด้วยคำว่า “เพราะว่า”): “เพราะว่าพวกผู้เผยพระวจนะและธรรมบัญญัติได้พยากรณ์มาจนถึงยอห์นนี้” (มัทธิว 11:13) ทำให้เห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตามลำดับ:
“..พวกผู้เผยพระวจนะและธรรมบัญญัติได้พยากรณ์มาจนถึงยอห์นนี้” (ข้อ 13)
“ตั้งแต่สมัยยอห์นผู้ให้บัพติศมาถึงทุกวันนี้..” (ข้อ 12)
นี่คือความเข้าใจของผมต่อเหตุการณ์ในพระวจนะตอนนี้ ยอห์นผู้ให้บัพติศมามีความสงสัยบางประการเกี่ยวกับความเป็นพระเมสซิยาห์ของ พระเยซู อาจเป็นเพราะพระเยซูไม่ได้เป็นพระเมสซิยาห์ที่ “เข้มข้น” อย่างที่ยอห์นทำนาย คือผู้ที่มาด้วยฤทธิอำนาจการพิพากษาคนบาป พระเยซูตรัสเป็นนัยว่าคนอิสราเอลบางพวกที่ชอบความรุนแรงจะถูกดึงดูดเข้าหา ยอห์น พันธกิจของท่านและข่าวที่ท่านประกาศ ทำไมเป็นเช่นนั้น? หนึ่ง – ดูเหมือนยอห์นเป็นผู้เผยพระวจนะคนเดียวในยุคนั้น ก่อนหน้ามีผู้เผยพระวจนะหลายคนในพระคัมภีร์เดิมที่กล่าวคำพยากรณ์ ส่วนในธรรมบัญญัติก็มีแง่มุมคำพยากรณ์แทรกอยู่ พันธกิจของยอห์นเป็นจุดสำคัญสูงสุดของคำพยากรณ์ทั้งหมดในพระคัมภีร์เดิม ถ้าเรายอมรับแนวคิดเรื่องการทรงเปิดเผยแบบเจาะลึกลงไป (ซึ่งผมยอมรับ) เราก็ต้องเห็นว่าคำพยากรณ์ของยอห์นนั้นมาจนถึงจุดที่เติมเต็มและสมบูรณ์ที่ สุดในบรรดาผู้เผยพระวจนะของพระคัมภีร์เดิม และในบรรดาผู้เผยพระวจนะในพระคัมภีร์เดิมคงไม่มีใครมีโอกาสดีไปกว่ายอห์น
ผมไม่เชื่อว่าพระเยซูต้องการวิพากษ์วิจารณ์ยอห์นหรือพันธกิจของท่าน พระองค์พยายามชี้ให้เห็นว่าความสงสัยของยอห์น มีส่วนสะท้อนถึงจิตวิญญาณของยุคนั้น – ยุคที่ผู้คนร่ำร้องอยากให้พระเมสซิยาห์เสด็จมาด้วยฤทธิอำนาจ มาขับไล่อำนาจการปกครองของโรมัน มาลงโทษคนชั่ว และจัดตั้งอาณาจักรของพระเจ้า ทำให้ยอห์นอดสงสัยไม่ได้ พระเยซูเหมือนไม่ได้เล่นตามบทในสคริปต์ของท่านและคนอื่นๆที่มีภาพพระเม สซิยาห์อยู่ในความคิด
ทำให้นึกถึงโฆษณาเก่าๆในโทรทัศน์ หญิงชราสองคนเข้าไปในร้านอาหารฟาสท์ฟูด คนหนึ่งยกขนมปังขึ้นดูแล้วถามว่า “ไหนล่ะเนื้อ?” ผมคิดว่ายอห์นคงมองพระราชกิจของพระเยซูแล้วถามว่า “ไหนล่ะไฟ?”
ยอห์นอาจมีความสงสัย แต่พระเยซูไม่ทรงสงสัย ก่อนที่ยอห์นจะทันคิดอีกรอบ พระเยซูทรงกล่าวรับรองยอห์นอย่างเต็มตัว
“ถ้าท่านทั้งหลายจะยอมรับยอห์นผู้นี้แหละคือเอลียาห์ที่จะมานั้น 15ใครมีหูจงฟังเถิด” (มัทธิว 11:14-15)
ในพระกิตติคุณยอห์น เราเห็นว่ายอห์นเองก็ปฏิเสธว่าท่านไม่ใช่เอลียาห์:
พวกเขาจึงถามว่า“ถ้าอย่างนั้นท่าน เป็นใคร? ท่านเป็นเอลียาห์หรือ?” ยอห์นตอบว่า “ข้าพเจ้าไม่ใช่เอลียาห์” “ท่านเป็นผู้เผยพระวจนะคนนั้นหรือ?” และยอห์นตอบว่า “ไม่ใช่”(ยอห์น 1:21)
แล้วพระเยซูตรัสว่ายอห์นคือเอลียาห์ได้อย่างไร? ประการแรก– สังเกตุดูพระเยซูทรงกล่าวถ้อยคำนี้โดยมีคำว่า “ถ้าท่านทั้งหลายจะยอมรับยอห์นผู้นี้แหละคือเอลียาห์…” แน่นอนบางคนไม่ได้เห็นแบบนั้น และพระเยซูทรงยอมรับความจริงว่ามีบางคนเท่านั้นที่เห็นด้วย คำตรัสในข้อ 15 จึงเป็นการเน้นถึงพระดำรัสในข้อ 14:
“ใครมีหูจงฟังเถิด” (มัทธิว 11:15)7
ถ้อยคำนี้ถูกนำมาใช้อีกครั้งในมัทธิว 13 (ข้อ 9, 43) เมื่อพระเยซูทรงสั่งสอนด้วยคำอุปมา เพื่อกระตุ้นให้ผู้ฟังคิดลึกลงไปกว่าแค่ผิวเผิน ไม่ใช่เป็นคำพูดท้าทาย แต่ทำให้คนฟังต้องคิดลึกลงไปกว่าตามที่ได้ยิน– และนี่คือจุดหมายของคำอุปมา ไม่ได้มีให้ทุกคนเข้าใจได้ ดังนั้นถ้อยคำของพระเยซูจึงไม่ขัดแย้งกับคำปฏิเสธของยอห์น แต่ในมุมมองว่ายอห์นคือเอลียาห์ในแง่สัญลักษณ์มากกว่า
ผมใช้เวลาคิดถึงเรื่องนี้ และอยากจะแบ่งปันว่า ในบางแง่มุมที่ยอห์นผู้ให้บัพติศมาคือเอลียาห์ ถ้าเราจะยอมรับ ยอห์นเป็นเหมือนเอลียาห์ในภาพลักษณ์ ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ ภาพลักษณ์ของยอห์นนั้นเหมือนเอลียาห์ ทั้งคู่ใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ในที่ห่างไกล ทานอาหารต่างจากคนในยุคของตน ทั้งยอห์นและเอลียาห์ดู “เล็กน้อย” กว่าผู้ที่ท่านพยากรณ์ถึง ยอห์นประกาศชัดเจนว่าพระเยซูทรงยิ่งใหญ่กว่าท่านมาก (มัทธิว 3:11) ส่วนเอลีชา เอลีชาได้รับอำนาจจากเอลียาห์เป็นสองเท่า (2พงศ์กษัตริย์ 2:7-14) เอลียาห์เป็นคน “แรง” เอลีชาน่าจะรักความสงบกว่า เอลียาห์มีความสงสัย เมื่อเหตุการณ์การเผชิญหน้าสำคัญบนภูเขาคารเมลดูไม่เป็นไปตามคาดหวัง พระเจ้าทรงรับเอลียาห์ขึ้นไปบนภูเขาเดียวกับที่โมเสสรับพระบัญญัติของ พระองค์8 และโดยทางเหตุการณ์พิเศษที่ส่งมาให้เอลียาห์ พระเจ้าไม่จำเป็นต้องทำงานในวิธีที่โดดเด่นเสมอไป บางครั้งเพียงแค่ “เสียงเบาๆ” (1พงศ์กษัตริย์ 19:11-18) เอลียาห์มีภาพพจน์ที่ผิดว่า “เขาแต่ผู้เดียวที่เหลืออยู่” (1พงศ์กษัตริย์ 19, 10, 14) เป็นสิ่งเดียวกับที่ยอห์นรู้สึกหรือ? เอลียาห์หวังว่าจะนำประเทศสู่การฟื้นฟู แต่ไม่เป็นไปตามนั้น แต่จะเกิดขึ้นโดยผู้อื่นที่ท่านต้องไปเจิมตั้ง และพระเจ้าจะทรงนำการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ให้กับชนชาติของพระองค์ (1พงศ์กษัตริย์ 19:11-18) ประเด็นของผมคือมีความคล้ายคลึงหลายประการระหว่างยอห์นและเอลียาห์ ผมเชื่อว่า ทั้งคู่นี้คล้ายกัน
6“เราจะเปรียบคนในยุคนี้กับอะไร ดี เปรียบเหมือนเด็กๆ ที่นั่งอยู่กลางตลาด ร้องกับเพื่อนว่า17‘พวกฉันเป่าปี่ให้พวกเธอแต่พวกเธอไม่เต้น พวกฉันคร่ำครวญและพวกเธอไม่ได้ทุกข์โศก’18เพราะว่ายอห์นมาและ ไม่ได้กินหรือดื่มและพวกเขาว่า‘มีผีเข้าสิงอยู่’ 19ส่วนบุตรมนุษย์มาทั้งกินและดื่มเขาก็ว่า‘นี่ไงคนตะกละคนขี้ เมาเพื่อนของบรรดาคนเก็บภาษีและคนบาป’ แต่พระปัญญาได้รับการพิสูจน์ว่าถูกต้องแล้วโดยผลของพระปัญญา นั้น”20แล้วพระองค์ก็ทรงเริ่มติเตียนเมืองต่างๆที่พระองค์ได้ ทรงทำการอัศจรรย์เป็นส่วนมากเพราะพวกเขาไม่ได้กลับใจใหม่ 21“วิบัติแก่เจ้า เมืองโคราซินวิบัติแก่เจ้าเมืองเบธไซดาถ้าการอัศจรรย์ต่างๆซึ่ง ทำท่ามกลางเจ้าทั้งหลายทำในเมืองไทระและเมืองไซดอนคนใน เมืองทั้งสองคงได้นุ่งห่มผ้ากระสอบนั่งบนขี้เถ้ากลับใจใหม่ นานแล้ว 22แต่เราบอกพวกเจ้าว่าในวันพิพากษานั้นโทษเมืองไทระและเมือง ไซดอนจะเบากว่าโทษของพวกเจ้า 23ส่วนเจ้า เมืองคาเปอรนาอุม เจ้าจะถูกยกขึ้นเทียมฟ้าหรือ?เปล่าเลยเจ้าจะต้องลงไปถึงแดน คนตายต่างหากเพราะการอัศจรรย์ต่างๆซึ่งทำในท่ามกลางเจ้านั้น ถ้าทำในเมืองโสโดมเมืองนั้นคงได้ตั้งอยู่จนทุกวันนี้ 24แต่เราบอกเจ้าว่าในวันพิพากษาโทษเมืองโสโดมจะเบากว่าโทษ ของเจ้า (มัทธิว 11:16-24)
มัทธิวเป็นผู้เขียนที่มีความสามารถมาก ท่านมีวิธีจุดประกายขึ้นมาให้เราประหลาดใจในที่ๆเรานึกไม่ถึง มีศิลปะในการนำเสนอพระกิตติคุณ แบบค่อยๆเร่งไฟความตื่นเต้นและกระหายใคร่รู้ก่อนที่พระเมสซิยาห์จะมาปรากฎ มัทธิวได้บันทึกเรื่องสิทธิอำนาจอันไม่จำกัดของพระเยซู และชื่อเสียงของพระองค์ที่โด่งดังขึ้นเรื่อยๆ (มัทธิว 9:33) รวมถึงการต่อต้านของพวกฟาริสีที่เพิ่มขึ้นตาม (แต่ในตอนนั้นยังไม่มีพิษสงมากนัก)
พวกสาวกถูกส่งออกไปทีละสองคน และคงเดินทางกลับมา อย่างที่บอกไปแล้วไม่มีพระกิตติคุณเล่มใดบันทึกว่าเกิดอะไรขึ้นระหว่างที่ ทั้งสิบสองคนออกไป ไม่ว่าเรื่องการอัศจรรย์และประกาศแผ่นดินสวรรค์ ที่ใกล้เคียงที่สุดน่าจะเป็นรายงานสรุปสั้นๆจากเจ็ดสิบสองคนเมื่อกลับมาจาก ภารกิจเดียวกัน:
17สาวกเจ็ดสิบสองคนนั้นกลับมาด้วยความยินดีทูลว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าแม้แต่พวกผีก็อยู่ใต้บังคับของพวกข้าพระองค์โดยพระนามของพระองค์” 18พระองค์ตรัสกับพวกเขาว่า “เราเห็นซาตานตกจากฟ้าเหมือนฟ้าแลบ 19นี่แน่ะ เราให้พวกท่านมีสิทธิอำนาจเหยียบงูร้ายและแมงป่องและให้มี อำนาจยิ่งใหญ่กว่าฤทธานุภาพของศัตรูนั้น ไม่มีอะไรจะมาทำอันตรายพวกท่านได้เลย 20แต่ว่าอย่าชื่นชมยินดีในสิ่งนี้คือที่พวกผีอยู่ใต้บังคับ ของท่านแต่จงชื่นชมยินดีที่ชื่อของท่านจดไว้ในสวรรค์”21ใน เวลานั้นเอง พระเยซูทรงเปรมปรีดิ์ในพระวิญญาณบริสุทธิ์ตรัสว่า “ข้าแต่พระบิดาผู้เป็นเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์และโลกข้าพระองค์ สรรเสริญพระองค์ที่พระองค์ทรงปิดบังสิ่งเหล่านี้ไว้จากคนมี ปัญญาและคนฉลาดแต่ทรงสำแดงแก่พวกทารกถูกแล้วข้าแต่พระบิดา พระองค์พอพระทัยเช่นนั้น22“พระบิดาของเราทรงมอบสิ่งสารพัด ให้แก่เราไม่มีใครรู้ว่าพระบุตรเป็นใครนอกจากพระบิดาและ ไม่มีใครรู้ว่าพระบิดาเป็นใครนอกจากพระบุตรและผู้ที่ พระบุตรประสงค์จะสำแดงให้รู้”23พระองค์ทรงหันมาหาพวกสาวกตรัส กับพวกเขาเป็นการส่วนตัวว่า“ผู้ที่ได้เห็นสิ่งที่พวกท่าน เห็นก็เป็นสุข 24เพราะเราบอกพวกท่านว่าผู้เผยพระวจนะหลายคนและกษัตริย์หลาย องค์ปรารถนาจะเห็นสิ่งที่ท่านเห็นอยู่นี้ แต่เขาทั้งหลายไม่เคยเห็นและอยากจะได้ยินสิ่งที่พวกท่าน ได้ยินแต่เขาก็ไม่เคยได้ยิน” (ลูกา 10:17-24)
สังเกตุดูจะเห็นว่าทั้งเจ็ดสิบสองไม่ได้พูดถึงความสำเร็จในภารกิจของพวก เขา ไม่พูดถึงจำนวนคนที่กลับใจเมื่อพวกเขาไปประกาศ เมื่อกลับมาเฝ้าพระเยซู สิ่งที่พวกสาวกเล่าคืออำนาจที่พวกเขามี – แม้แต่พวกผียังอยู่ใต้บังคับของพวกเขา – พระเยซูทรงมองว่านี่บ่งถึงความพ่ายแพ้ครั้งสุดท้ายของซาตาน แต่พระองค์ทรงหนุนใจพวกสาวกให้ชื่นชมยินดีในความรอดมากกว่าในอำนาจที่มีและ ใช้ไป ถ้อยคำต่อจากนั้นค่อนข้างเหมือนในมัทธิว 11 ที่อยู่ในบทเรียนนี้
ถึงจุดนี้ มัทธิวบอกแล้วว่าผู้คนตอบสนองต่อพระเยซูอย่างไร (มัทธิว 4:24-25; 7:28-29; 8:34; 9:1-17, 33-34) แต่ในตอนนี้ เป็นครั้งแรกที่ท่านรายงานถึงสิ่งที่พระเยซูประเมินการตอบสนองของผู้คนต่อ ข่าวประเสริฐที่ทั้งยอห์น พระองค์เอง และพวกสาวกประกาศ ไม่ใช่รายงานที่ดีนัก ที่จริงผลประเมินออกจะน่าตกใจ มนุษย์ตอบสนองต่อข่าวประเสริฐอย่างไร
แม้พระเยซูทรงเป็นที่นิยมของฝูงชน แต่เราเห็นน้อยคนกลับใจ พระเยซูทรงส่งสาวกของพระองค์ไปประกาศแผ่นดินสวรรค์ที่มาใกล้ ข่าวประเสริฐของพระเยซูและที่สาวกประกาศเป็นสิ่งเดียวกับที่ยอห์นผู้ให้บัพ ติศมาและสาวกของท่านประกาศ: “จงกลับใจใหม่ เพราะว่าแผ่นดินสวรรค์มาใกล้แล้ว” (มัทธิว 3:2; 4:17; 10:79) ตอนนี้ พระเยซูทรงกล่าวโทษเมืองต่างๆในอิสราเอลที่ได้เห็นเป็นพยานถึงการสถิตอยู่ ด้วย การเทศนาสั่งสอน และฤทธิอำนาจการอัศจรรย์ของพระเยซูและของพวกสาวก
พระเยซูทรงโยงคนยุคนี้เข้ากับอาการของเด็กที่นั่งร้องบ่นกับเพื่อนที่ไม่ ยอมเต้นไปตามทำนองเพลงของเขา พวกเขาต้องการได้พระเมสซิยาห์ “ในแบบของฉัน” และเมื่อพระเยซูไม่ปรับไปตามความปรารถนาและความคาดหวังของพวกเขา พวกเขาก็ไม่สนใจพระองค์อีก พวกนี้เป็นพวกโลเลไม่เอาจริง
สังเกตุดูพระเยซูทรงใช้ประเด็นความเกี่ยวข้องระหว่างพระองค์และยอห์นผู้ ให้บัพติศมา บุคคลทั้งนั้นสองต่างกันมาก แต่คนในยุคนั้นไม่ยอมรับทั้งคู่ ยอห์นมาด้วยการอดอาหาร (ไม่กินและไม่ดื่ม– เทียบกับมัทธิว 9:14) แต่พวกเขาก็ยังว่าท่านถูกผีสิง เมื่อพระเยซูและพวกสาวกมา ทั้งกินและดื่ม พวกเขาก็กล่าวโทษว่าเป็นพวกเห็นแก่กิน และขี้เมา และ (ร้ายที่สุด) มั่วสุมกับคนบาป สิ่งเชื่อมโยงระหว่างยอห์นและพระเยซูแสดงให้เห็นความจริงว่าคนในยุคนั้น ปฏิเสธไม่ยอมรับทั้งคู่
อย่างเจาะจง พระเยซูทรงกล่าวติเตียนเมืองต่างๆของอิสราเอลที่ได้ทรงทำการอัศจรรย์เป็นส่วนมาก “เพราะพวกเขาไม่ได้กลับใจใหม่” (มัท ธิว 11:20) จุดประสงค์การประกาศของยอห์นและพระเยซูคือนำชนชาติอิสราเอลสู่การกลับใจ ไม่ใช่เพื่อดึงดูดฝูงชน หรือให้คนจำนวนมากมาติดตาม แต่มาเรียกคนบาปให้สำนึกผิดกลับใจ ซึ่งไม่ได้เกิดขึ้น ดังนั้นพระองค์จึงกล่าวติเตียนบรรดาเมืองต่างๆที่ได้พบพระองค์ ได้เห็นการอัศจรรย์มากมายที่พระองค์ทำ
พระเยซูทรงเจาะจงชื่อเมือง เราแทบไม่รู้จักเมืองโคราซิน มีพูดถึงครั้งเดียวในลูกา 10:13 จากที่พระเยซูตรัส เห็นได้ชัดว่าเมืองนี้ได้พบพระองค์บ่อยมาก แต่ก็ไม่กลับใจ เมืองเบธไซดานั้นต่างไป พระเยซูคงเพิ่งเข้าไปหรืออยู่ใกล้เมืองนี้เมื่อทรงกล่าวติเตียน (ดูลูกา 9:10) เรารู้จากยอห์น 1:44 ว่าเบธไซดาเป็นบ้านเกิดของฟีลิป อันดรูว์ และเปโตร
พระเยซูทรงกล่าวถึงโทษที่พวกเขาจะได้รับในข้อ 20-24 โทษทัณฑ์ที่รุนแรงกว่า เพราะพวกเขาได้รับรู้รับฟังในสิ่งที่ทรงเปิดเผยแต่ก็ยังปฏิเสธ โทษทัณฑ์ที่เบากว่าจะตกไปถึงคนที่ไม่เคยได้ยินหรือฟังสิ่งที่พระองค์เปิดเผย หลักการเดียวกันนี้มีในลูกาบทที่ 12:
45“แต่ถ้าบ่าวคนนั้นคิดในใจว่า ‘นายของข้าคงจะมาช้า’ แล้วเริ่มต้นโบยตีบรรดาบ่าวชายหญิงและกินดื่มเมามาย 46นายของบ่าวคนนั้นจะมาในวันที่เขาไม่คาดคิดในเวลาที่เขา ไม่รู้ และจะลงโทษเขาอย่างหนักและจะขับไล่ให้ไปอยู่ในที่ของพวก ที่ไม่เชื่อ 47บ่าวคนที่รู้ใจนายและไม่ได้เตรียมตัวไว้ไม่ได้ทำตามใจนาย จะต้องถูกเฆี่ยนอย่างหนัก 48แต่คนที่ไม่รู้ แล้วทำสิ่งที่สมควรจะถูกเฆี่ยนก็จะถูกเฆี่ยนเพียงเล็กน้อยคน ที่ได้รับมากจะต้องเรียกเอาจากคนนั้นมากและคนที่ได้รับฝาก ไว้มากก็จะต้องทวงเอาจากคนนั้นมาก” (ลูกา 12:45-48)
ดังนั้นเมืองโคราซินและเบธไซดา (สองเมืองเด่นของยิวที่พระเยซูใช้เวลาทำพันธกิจค่อนข้างมาก) จะถูกพิพากษามากกว่าเมืองไทระ10และ ไซดอนเมื่อพระเมสซิยาห์เสด็จกลับมา (ข้อ 21-22) ไทระและไซดอน เป็นเมืองที่ผู้เผยพระวจนะในพระคัมภีร์เดิมเอ่ยถึงหลายครั้ง (อิสยาห์ 23; เยเรมีย์ 25:15-29 โดยเฉพาะข้อ 22; เอเสเคียล 26-28; อาโมส 1:9-10; เศคาริยาห์ 9:1-4) เป็นเมืองที่หญิงชาวคานาอันทูลขอพระเยซูให้ขับผีออกจากลูกสาวของนาง (มัทธิว 15:21-28) เป็นเมืองใหญ่ของคนต่างชาติที่พระเยซูไม่ได้เข้าไปสัมผัสหรือประกาศข่าว ประเสริฐของพระเมสซิยาห์มากนัก11ดังนั้นพวกเขาจะได้รับการพิพากษาโทษที่เบากว่าเมื่อพระองค์เสด็จกลับมาพิพากษาโลกนี้ (มัทธิว 11:22)
และพระเยซูทรงนำไปยังข้อแตกต่างระหว่างเมืองคาเปอรนาอุมและโสโดมในข้อ 23 และ 24:
23 “ส่วนเจ้าเมืองคาเปอรนาอุมเจ้าจะถูกยกขึ้นเทียมฟ้า หรือ?เปล่าเลยเจ้าจะต้องลงไปถึงแดนคนตายต่างหาก เพราะการอัศจรรย์ต่างๆซึ่งทำในท่ามกลางเจ้านั้น ถ้าทำในเมืองโสโดมเมืองนั้นคงได้ตั้งอยู่จนทุกวันนี้ 24แต่เราบอกเจ้าว่าในวันพิพากษาโทษเมืองโสโดมจะเบากว่าโทษ ของเจ้า”(มัทธิว 11:23-24)
คาเปอรนาอุม12 เป็นเมืองในกาลิลีที่พระเยซูทรงใช้เป็นศูนย์กลางพระราชกิจอยู่ระยะหนึ่ง ทรงทำอัศจรรย์หลายครั้งและเทศนาสั่งสอนค่อนข้างมากในเมืองนี้ ไม่มีเมืองอื่นที่พระองค์สั่งสอนและทำอัศจรรย์มากเท่าในคาเปอรนาอุม แต่คนเมืองนี้ไม่กลับใจ เมื่อเป็นเช่นนี้ พระเยซูจึงกล่าวว่าเมืองโสโดมจะยังได้รับโทษเบากว่าคาเปอรนาอุมเมื่อวัน พิพากษามาถึง
ทำไมพระเยซูจึงถามว่าเมืองคาเปอรนาอุมคิดว่าตนเองจะได้ยกขึ้นเทียมสวรรค์ หรือ? มีอะไรเกี่ยวกับคาเปอรนาอุมที่ผยองขนาดนี้? สองความคิดผุดขึ้นมาครับ อย่างแรก คาเปอรนาอุมภูมิใจมากที่ได้เป็นศูนย์กลางพระราชกิจของพระเยซู ธุรกิจท่องเที่ยวคงจะบูม มีคนมากมายเดินทางเข้าออกเพื่อมาดูพระเยซู – ที่ดียิ่งกว่า มีการอัศจรรย์รักษาโรคด้วย เรารู้กันว่าเมืองหรือจังหวัดที่เป็นที่อยู่ของประธานาธิบดีหรือคนดังๆมักจะ มีป้ายบอกเมื่อเข้าเขตเมือง เพื่อให้ตระหนักว่าเมืองนี้มีเกียรติ เพราะมีคนสำคัญอาศัยอยู่ ดังนั้นเมืองคาเปอรนาอุมจึงเหมือนอวดว่าพระเยซูเลือกอยู่ในเมืองพวกเขา
อย่างที่สอง ความหยิ่งผยองของคาเปอรนาอุมเตือนให้นึกถึงความผยองของไทระ ตามที่อิสยาห์ และเอเสเคียลพูดไว้:
8ใครวางแผนการนี้ไว้ต่อสู้เมืองไทระซึ่งเป็นผู้แจกมงกุฎ
ซึ่งพวกพ่อค้าของมันเป็นเจ้านายและนักธุรกิจเป็นคนมีเกียรติของโลก?
9พระยาห์เวห์จอมทัพทรงวางแผนไว้เพื่อขจัดความเย่อหยิ่งในศักดิ์ศรีทั้งหมด
และเพื่อลบหลู่ผู้มีเกียรติทุกคนในแผ่นดินโลก (อิสยาห์ 23:8-9 ดูเอเสเคียล 28:1-10 ด้วย)
ในเอเสเคียล 28 ความผยองของ“กษัตริย์เมืองไทระ”ถูก เปรียบเหมือนซาตาน (เอเสเคียล 28:11-19) สำหรับผมดูเหมือนพระเยซูกล่าวคำติเตียนคาเปอรนาอุมเพิ่มขึ้นโดยตรัสถึงเมือง ที่คล้ายคลึงกันในพระคัมภีร์เดิม เมืองไทระและกษัตริย์ของเมืองนั้น
พระดำรัสของพระเยซูตอนนี้ในมัทธิว 11 โยงเข้ากับมัทธิว 12:38-42 และลูกา 12:45-48 ที่ชี้ว่าจะมีการลงโทษคนชั่วร้าย และในทุกกรณี พระเจ้าจะทรงพิพากษามนุษย์ว่าพวกเขาทำอย่างไรต่อสิ่งที่ได้รับรู้ ในโรม 1 คนต่างชาติถูกกล่าวโทษเพราะปฏิเสธการทรงเปิดเผยของพระเจ้าในธรรมชาติ ในโรม 2 ชาวยิวผิดมากกว่า เพราะได้รับการทรงเปิดเผยจากพระเจ้าในธรรมบัญญัติ แต่พวกเขาปฏิเสธ
25ในขณะนั้นพระเยซูทูลว่า “ข้าแต่พระบิดาผู้ทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์และ โลกข้าพระองค์สรรเสริญพระองค์ที่พระองค์ทรงปิดบัง สิ่งเหล่านี้ไว้จากคนมีปัญญาและคนฉลาดแต่ทรงสำแดงแก่พวกทารก 26ถูกแล้ว ข้าแต่พระบิดา พระองค์พอพระทัยเช่นนั้น27“พระบิดาของเราทรงมอบสิ่งสารพัด ให้แก่เราและไม่มีใครรู้จักพระบุตรนอกจากพระบิดาและไม่มี ใครรู้จักพระบิดานอกจากพระบุตร” (มัทธิว 11:25-27)
ซึ่งคล้ายคลึงมากกับในลูกา 10:21-24:
21ในเวลานั้นเอง พระเยซูทรงเปรมปรีดิ์ในพระวิญญาณบริสุทธิ์ตรัสว่า “ข้าแต่พระบิดาผู้เป็นเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์และโลกข้าพระองค์ สรรเสริญพระองค์ที่พระองค์ทรงปิดบังสิ่งเหล่านี้ไว้จากคนมี ปัญญาและคนฉลาด แต่ทรงสำแดงแก่พวกทารก ถูกแล้วข้าแต่พระบิดา พระองค์พอพระทัยเช่นนั้น22“พระบิดาของเราทรงมอบสิ่งสารพัด ให้แก่เราไม่มีใครรู้ว่าพระบุตรเป็นใครนอกจากพระบิดาและ ไม่มีใครรู้ว่าพระบิดาเป็นใครนอกจากพระบุตรและผู้ที่ พระบุตรประสงค์จะสำแดงให้รู้”23พระองค์ทรงหันมาหาพวกสาวกตรัส กับพวกเขาเป็นการส่วนตัวว่า“ผู้ที่ได้เห็นสิ่งที่พวกท่าน เห็นก็เป็นสุข 24เพราะเราบอกพวกท่านว่าผู้เผยพระวจนะหลายคนและกษัตริย์หลาย องค์ปรารถนาจะเห็นสิ่งที่ท่านเห็นอยู่นี้ แต่เขาทั้งหลายไม่เคยเห็นและอยากจะได้ยินสิ่งที่พวกท่าน ได้ยินแต่เขาก็ไม่เคยได้ยิน”(ลูกา 10:21-24)
ในลูกา 10 พระเยซูทรงส่งสาวกเจ็ดสิบ (หรือเจ็ดสิบสองคน) ออกไป และพวกเขากลับมาด้วยความชื่นชมยินดีในอำนาจที่มี พระเยซูตรัสถึงเรื่องนี้ บอกพวกเขาว่าให้ชื่นชมยินดีที่มีชื่อจดอยู่ในสวรรค์มากกว่า (ลูกา 10:17-20) และพระองค์ทรงต่อไปยังเรื่องที่เรารู้ การเลือกสรรของพระเจ้า พระเยซูทรงทำสิ่งที่คล้ายคลึงกันในมัทธิว 11:25-27 เมื่อลองคิดดู เราจะเข้าใจว่าทำไมพระเยซูทรงย้ำเรื่องสิทธิอำนาจในการเลือกสรรของพระเจ้า
คงจำได้ถึงข้อโต้แย้งที่ อ เปาโลพูดไว้ในโรมบทที่ 9 คำถามคือ “เราจะอธิบายอย่างไรว่าขณะที่พระเยซูทรงเป็นยิว และมาประกาศแผ่นดินของพระเจ้าแก่ชาวยิว มียิวไม่กี่คนมาเชื่อ แต่กลับมีคนต่างชาติมาเชื่อจำนวนมาก?” อ เปาโลย้ำและยืนหยัดว่านี่ไม่ใช่ความล้มเหลวในพระวจนะของพระเจ้า:
6แต่ไม่ใช่ว่าพระวจนะของพระเจ้า ได้ล้มเหลวไปเพราะว่าไม่ใช่ทุกคนที่เกิดมาจากอิสราเอลนั้น เป็นคนอิสราเอลแท้ 7และไม่ใช่ทุกคนที่เป็นลูกของอับราฮัมเป็นเชื้อสายแท้ของ ท่าน แต่ว่าเขาจะเรียกเชื้อสายของท่านทางสายอิสอัค (โรม 9:6-7)
โรม9 เกี่ยวข้องกับสิทธิอำนาจในการเลือกสรรของพระเจ้า สำหรับคำตอบของคำถามว่า “ทำไมยิวหลายคนจึงปฏิเสธข่าวประเสริฐ?” คำตอบคือ “เพราะพระเจ้าไม่ได้เลือกพวกเขา”13 ความ จริงที่บางคนปฏิเสธข่าวประเสริฐไม่ได้สะท้อนว่าความล้มเหลวเป็นฝ่ายของพระ เจ้า เมื่อเราเข้าใจสิทธิอำนาจในการทรงเลือกสรร พระเจ้าเลือกบางคน และไม่เลือกบางคน ตามอำนาจอธิปไตยของพระองค์
ผมเชื่อว่ามัทธิวใช้ข้อโต้แย้งเดียวกันในบทที่ 11 ภาพที่เห็นภายนอกดูเหมือนจะนำไปสู่ข้อสรุปว่าพระราชกิจของพระเยซูประสบความ สำเร็จมาก มีคนชื่นชมพระองค์ หลายคนตามหา และฝูงชนจำนวนมากอัศจรรย์ใจจนติดตามพระองค์ไป สาวกของพระเยซูถูกส่งไปประกาศข่าวประเสริฐ และมีอำนาจทำอัศจรรย์หลายอย่าง จะมีอะไรที่สำเร็จมากไปกว่านี้? ปัญหาคือเป็นที่นิยมเป็นคนละเรื่องกับการกลับใจ เมืองเหล่านี้ไม่กลับใจ แม้พระเยซูและพวกสาวกอยู่ท่ามกลางพวกเขา แม้คำเทศนาของยอห์น ของพระเยซูและของพวกสาวก เพราะเมืองของยิวเหล่านี้ไม่กลับใจ เราอาจสรุปผิดๆว่าพันธกิจของพระองค์จึงล้มเหลว – พระเยซูไม่สามารถทำได้อย่างที่ต้องการจะทำ ถ้าเราสรุปแบบนี้ เราก็ไม่ไกลไปจากคำถามที่ยอห์นผู้ให้บัพติศมาถาม
พระดำรัสของพระเยซูในข้อ 25–27 เราอาจประหลาดใจ ประการแรก– ถ้อยคำของพระเยซูเป็นถ้อยคำแห่งการสรรเสริญ สรรเสริญพระบิดา พระเยซูทรงสรรเสริญพระบิดาได้อย่างไรในเมื่อไม่ประสบความสำเร็จ? ไม่ใช่ครับ นี่ไม่ใช่ความล้มเหลวแต่เป็นความสำเร็จที่พระเจ้าสมควรได้รับพระเกียรติ ประการที่สอง– เราเห็นว่ามีคนมาเชื่อ พระบิดาทรงเลือกที่จะปิดบังสิ่งที่เป็นของสวรรค์จากคนที่เราคิดว่าน่าจะฉวย ไว้ได้ – คนฉลาดและมีสติปัญญา แต่พระบิดาทรงเลือกที่จะเปิดเผยสิ่งเหล่านี้ให้แก่เด็กเล็กๆ คนที่คิดว่าตนเองไม่สมควร (หรือไม่ฉลาดพอ) ที่จะเข้าใจ ความเชื่อและไม่เชื่อ ยอมรับและปฏิเสธ อย่างที่เห็นเป็นผลมาจากการทรงเลือกของพระบิดา พระเจ้าทรงอำนาจอธิปไตยในเรื่องความรอด พระเยซูสามารถสรรเสริญพระเจ้าได้ เพราะบรรดาคนที่พระองค์ตั้งใจให้เข้าใจและเชื่อก็เข้าใจและเชื่อ แผนการของพระเจ้าสำเร็จ ตามพระประสงค์ของพระองค์
ข้อ 27 นำเราก้าวไปอีกขั้น ในข้อ 25 และ 26 พระเยซูทรงมองความรอดว่าเป็นการเลือกสรรของพระบิดา พระเยซูทรงสรรเสริญพระบิดาที่ทรงเปิดเผยความจริงแห่งข่าวประเสริฐให้แก่พวก “ทารก” (เด็กเล็กๆ) ในขณะที่ปิดบังไว้จากคนฉลาดและมีปัญญา สิ่งนี้พระเยซูตรัสว่า พระบิดาทรงพอพระทัย ( 26) แต่ในข้อ 27 พระเยซูทรงไปไกลกว่านั้น ทรงประกาศถึงอำนาจการครอบครองโดยชอบธรรมของพระบิดาในการเลือกว่าผู้ใดจะมา เชื่อในพระองค์ พระบิดาทรงมอบสิ่งสารพัดให้กับพระบุตร ไม่มีใครรู้จักพระบุตร (อย่างครบถ้วนสมบูรณ์) เว้นแต่พระบิดา และไม่มีใครรู้จักพระบิดาเว้นแต่พระบุตร และบรรดาคนที่พระบุตรทรงสำแดงให้รู้ แปลว่าพระเยซูเป็นผู้กำหนดความรอดนิรันดร์ให้กับมนุษย์14
สิ่งนี้ ผมเชื่อว่าเป็นแก่นสูงสุดในสิทธิอำนาจของของพระเยซู ก่อนหน้า สิทธิอำนาจของพระเยซูในการตีความธรรมบัญญัติในพระคัมภีร์เดิมสำแดงและเป็น ที่รับรู้กัน (มัทธิ 5-7) ต่อมาเป็นสิทธิอำนาจในการรักษาโรค ขับผี ควบคุมธรรมชาติ และชุบคนตายให้ฟื้น (มัทธิว 8-9) หลังจากนั้น สิทธิอำนาจที่ทรงเรียกและประทานอำนาจให้แก่พวกสาวก ซึ่งชัดเจนในบบที่ 10 ในบทที่ 9 พระเยซูทรงแสดงสิทธิอำนาจในการยกบาป (มัทธิว 9:1-8) แต่ตอนนี้ทรงขยายขอบเขตสิทธิอำนาจ ไม่เพียงแต่ทรงมีสิทธิอำนาจในการยกบาป พระองค์มีสิทธิอำนาจในการกำหนดว่าจะให้ใครได้รับการยกโทษบาปนั้น15
28บรรดาผู้เหน็ดเหนื่อยและแบกภาระหนักจงมาหาเรา และเราจะให้ท่านทั้งหลายได้หยุดพัก 29จงเอาแอกของเราแบกไว้ แล้วเรียนจากเรา เพราะว่าเราสุภาพอ่อนโยนและใจอ่อนน้อม และจิตใจของพวกท่านจะได้หยุดพัก 30ด้วยว่าแอกของเราก็พอเหมาะ และภาระของเราก็เบา”(มัทธิว 11:28-30)
บางคนสรุปผิดๆว่าถ้าพระเจ้าเป็นผู้กำหนดว่าใครได้รับความรอดและใครไม่ได้ รับ ถ้าเป็นเช่นนั้นมนุษย์ก็ไม่มีสิทธิเลือกเลย ผมขอนำคุณมายังความจริงนี้ ทันทีที่ประกาศถึงสิทธิอำนาจในการเลือกสรรว่าใครควรได้รับความรอด พระเยซูทรงเชิญชวนให้มารับความรอดในข้อ 28-3016 นี่เป็นการประกาศข่าวประเสริฐที่ชัดเจนที่สุดในมัทธิวถึงตอนนี้ ก่อนหน้าเป็นเพียงถ้อยคำธรรมดาว่า “จงกลับใจใหม่เพราะว่าแผ่นดินสวรรค์มาใกล้แล้ว”(มัทธิว 3:2; 4:17 ดู 10:7 ด้วย)
ในระดับหนึ่ง ผมเข้าใจการเชิญชวนของพระเยซูในตอนท้ายของบทที่ 11 จากมุมมองตอนท้ายของบทที่ 9:
36และเมื่อพระองค์ทอดพระเนตร ฝูงชนก็ทรงสงสารเขาทั้งหลาย เพราะพวกเขาถูกรังควานและไร้ที่พึ่งเหมือนฝูงแกะไม่มี ผู้เลี้ยง 37แล้วพระองค์ตรัสกับสาวกทั้งหลายของพระองค์ว่า“ข้าวที่ต้อง เกี่ยวนั้นมีมากนักหนาแต่คนงานยังน้อยอยู่ 38เพราะฉะนั้นท่านจงอ้อนวอนพระองค์ผู้ทรงเป็นเจ้าของนาให้ทรง ส่งคนงานมาเก็บเกี่ยวพืชผลของพระองค์” (มัทธิว 9:36-38)
ชนชาติอิสราเอลมี “ผู้เลี้ยง” อยู่แล้ว ถ้าจะใช้คำนี้ว่าอย่างผิวเผิน ผู้นำพวกเขาไม่ได้มีคุณลักษณะของความเมตตาและสงสาร ในบทที่ 23 มัทธิวบันทึกคำกล่าวโทษรุนแรงที่พระเจ้ากล่าวแก่พวกธรรมาจารย์และฟาริสี หนึ่งในนั้นคือ:
1เวลานั้นพระเยซูตรัสกับฝูงชนและ บรรดาสาวกของพระองค์ว่า 2“พวกธรรมาจารย์กับพวกฟาริสีนั่งบนที่นั่งของโมเสส 3เพราะฉะนั้นทุกสิ่งที่เขาทั้งหลายสั่งสอนพวกท่านนั้น จงถือและประพฤติตาม ยกเว้นการประพฤติของพวกเขาอย่าทำตามเลย เพราะพวกเขาไม่ได้ทำในสิ่งที่พวกเขาสอน 4เพราะพวกเขาเอาห่อของหนักวางบนบ่าของมนุษย์ แต่ส่วนพวกเขาเองไม่ยอมแม้แต่จะใช้สักนิ้วเดียวไปยก (มัทธิว 23:1-4)
ในความเป็นจริง คนอิสราเอลไม่เคยมีผู้เลี้ยงอย่างที่พวกเขาจำเป็นต้องมีที่สุด พระเยซูทรงเป็นผู้เลี้ยง ทรงเป็น “ผู้เลี้ยงที่ดี” (ดูยอห์น 10) พระองค์ไม่ได้เคี่ยวเข็ญมนุษย์ให้พยายามมากขึ้นในการรักษาธรรมบัญญัติ เพื่อให้ได้ความชอบธรรม พระองค์ทรงเรียกบรรดาผู้เหน็ดเหนื่อยและแบกภาระหนัก ที่ต้องแบกภาระจากผู้เลี้ยงชั่วร้าย พระเยซูทรงทำมากกว่า “ใช้แค่นิ้วเดียว” ช่วยยกภาระทางศาสนา ทรงเสนอแบกภาระทั้งหมดของพวกเขา ทรงเสนอให้แก่ผู้ที่อ่อนล้าและต้องการหยุดพัก
28บรรดาผู้เหน็ดเหนื่อยและแบกภาระ หนักจงมาหาเรา และเราจะให้ท่านทั้งหลายได้หยุดพัก 29จงเอาแอกของเราแบกไว้ แล้วเรียนจากเรา เพราะว่าเราสุภาพอ่อนโยน และใจอ่อนน้อมและจิตใจของพวกท่านจะได้หยุดพัก 30ด้วยว่าแอกของเราก็พอเหมาะ และภาระของเราก็เบา” (มัทธิว 11:28-30)
นี่เป็นคำเชิญชวน:
ไม่ใช่สำหรับคนที่มีอำนาจ แต่สำหรับคนที่อ่อนล้า
ไม่ใช่สำหรับคนหยิ่งผยอง แต่คนที่ใจถ่อม
ไม่ใช่คนที่รักษาธรรมบัญญัติ แต่คนที่มาดูว่าธรรมบัญญัติสอนอะไร – ความบาปของพวกเขา
พระเยซูทรงกล่าวติเตียนคนที่แย่งชิงเพื่อจะเข้าไปในอาณาจักรของพระองค์ เป็นพวกที่ไว้ใจในอำนาจที่มี สิ่งที่ตนเองพากเพียรปฏิบัติ และสติปัญญาของตนเอง พวกเขาเป็นพวกที่ไม่ยอมสำนึกผิดกลับใจ
ขณะที่พวกฟาริสีเพิ่มภาระหนักลงบนหลังผู้คน และไม่เสนอตัวช่วยสักนิด (มัทธิว 23:4) พระเยซูทรงรับภาระทั้งหมดของธรรมบัญญัติ (ทรงทำให้สมบูรณ์ครบถ้วน – มัทธิว 5:17) และบัดนี้ทรงเสนอแบกภาระให้กับทุกคนที่มาหาพระองค์ – ในความเชื่อ
ใครคือคนที่ได้รับข้อเสนอความรอด? ไม่ใช่คนที่พากเพียรมากขึ้น ไม่ใช่คนที่มองธรรมบัญญัติเป็นหนทางเพื่อจะรักษากฎเกณฑ์และให้ได้มาซึ่งความ โปรดปรานของพระเจ้า นี่คือผู้ที่มาดูธรรมบัญญัติอย่างที่ควรเป็น ธรรมบัญญัติเป็นภาระที่หนักจนไม่มีมนุษย์คนใดแบกไหว จำเปโตรในกิจการ 15:10 ได้หรือไม่ “ทำไมจึงเสนอธรรมบัญญัตินี้ให้แก่คนต่างชาติ?” ตามที่พระวจนะกล่าว “ทำไมท่านทั้งหลายจึงทดลองพระเจ้าโดยวางแอกบนคอของพวกสาวกซึ่งเป็นสิ่งที่บรรพบุรุษหรือเราเองแบกไม่ไหว” คนที่แบกไว้จนไปต่อไม่ไหวคือคนที่เห็นแล้วว่าธรรมบัญญัติไม่อาจช่วยให้รอด ได้ เป็นคนที่รู้ตัวเองว่าหมดหวังหมดกำลัง และเป็นคนที่พระเยซูทรงกล่าวเชิญ “จงมาหาเรา…และจิตใจของพวกท่านจะได้หยุดพัก” มาหาเราเป็นถ้อยคำที่สวยงามที่สุดในพระกิตติคุณตอนนี้ เป็นคำเชิญให้มาเชื่อ
ผมขอพูดเรื่องหนึ่งก่อนจบ เกิดขึ้นกับผมเมื่อเช้าตอนกำลังผูกเชือกรองเท้า และเป็นสิ่งดีที่สุดที่ผมจะบอกได้ จำก่อนหน้านี้ที่ผมสอนบทเรียน 1ซามูเอลได้หรือไม่ ที่สรุปว่าการเชื่อฟังแค่บางส่วนก็คือการไม่เชื่อฟัง? จำได้นะครับ ตอนนี้มีเพิ่มมาให้ ผมรอมานานสำหรับเรื่องนี้: การติดตามพระเยซูด้วยเหตุผลที่ผิดก็คือ – การไม่เชื่อฟัง ผู้คนยังติดตามพระเยซูไป และเป็นเรื่องที่น่าตระหนก เราเห็นพวกสาวกออกไปประกาศ เราเห็นฝูงชนมากมาย แล้วเราก็พูดว่า “โอ้ ว้าว สุดยอด” พวกสาวกเองก็พูดว่า “มันยอดมาก แผ่นดินสวรรค์มาใกล้แล้ว” และพระเยซูกล่าวว่า “มันไม่ใช่” พวกเขาปฏิเสธไปแล้ว ทำไม? เพราะพวกเขาติดตามพระเยซูด้วยสาเหตุผิดๆ พวกเขาติดตามพระเยซู (ยอห์น 6 “โปรดให้อาหารนั้นแก่ข้าพเจ้าเสมอไป”) เพราะพระเยซูคือคูปองอาหาร พระเยซูคือผู้ที่จะมาทำให้เรามั่งคั่ง พระเยซูเป็นผู้ที่จะให้เพื่อนดีๆ และภาพลักษณ์ดีๆแก่เรา – ติดตามพระเยซูเถอะ และพระองค์จะมอบทุกสิ่งนี้ให้ เป็นอันตรายมาก พี่น้องครับ แสวงหาศาสนาที่เป็นมิตร ทำให้ผู้คนมาติดตามพระเยซูด้วยสาเหตุที่ผิด คำเทศนาของยอห์นไม่ใช่เพื่อมาหามิตร คำเทศนาของพระเยซูไม่ได้เพื่อมาหามิตร
“จงมาหาเราคนบาปทั้งหลายที่แบกภาระหนักของบาปเอาไว้ ภาระที่เพียรปฏิบัติเพื่อให้ได้ความโปรดปรานจากเรา จงวางใจในเรา” นี่คือหนทางสำหรับความรอด ติดตามพระเยซูไปด้วยสาเหตุที่ผิดเป็นบันไดขั้นแรกสู่เส้นทางกบฎและปฏิเสธ และสุดท้าย – นรก –
อย่าล้อเล่นนะครับพี่น้อง: เราอาจคิดว่าทำแบบนั้นแล้วจะได้ผู้คนมาเดินบนเส้นทางความเชื่อ และหลังจากนั้น ค่อยชี้ให้พวกเขาดูเงื่อนไขและรายละเอียดต่างๆ ถ้าคุณชักจูงผู้คนให้มา “ติดตามพระเยซู” ด้วยสาเหตุที่ผิด คุณก็พาเขาไปสู่เส้นทางแห่งความพินาศ คุณต้องประกาศข่าวประเสริฐตามที่พระเยซูสั่ง และข่าวประเสริฐนั้นเราต้องประกาศออกไปแม้ในท่ามกลางการข่มเหง ต่อต้าน และแม้แต่เผชิญความตาย – อย่าไปปรับเปลี่ยนข่าวประเสริฐ ให้ประกาศพระเยซู – ที่โดยพระคุณ โดยการสิ้นพระชนม์ที่บนกางเขน ได้ช่วยคนบาปที่หลงหาย ประกาศพระเยซู ไม่ใช่ในฐานะเป็นผู้มาแจกอาหาร ไม่ใช่มาเพื่อมอบสุขภาพที่ดีและชีวิตที่มีสุข แต่เป็นผู้ที่จะมามอบบ้านที่เป็นนิรันดร์ให้โดยการยกโทษบาปให้กับพวกเขา
1 1 ลิขสิทธิ 2007 โดย Community Bible Chapel, 418 E. Main Street, Richardson, TX 75081. ดัดแปลงจากต้นฉบับของบทเรียนที่ 43ในบทเรียนต่อเนื่องของพระกิตติคุณมัทธิว จัดเตรียมโดย ศบ โรเบิร์ต แอลเดฟฟินบาว กรกฎาคม 4, 2004ทุกท่านสามารถนำบทเรียนนี้ไปใช้เพื่อการศึกษาได้เท่านั้น ทางคริสตจักร Community Bible Chapel เชื่อว่าเนื้อหาในบทเรียนนี้ถูกต้องตรงตามหลักการสอนพระคัมภีร์ใช้เพื่อช่วย ในการศึกษาพระวจนะของพระเจ้า บทเรียนนี้เป็นพันธกิจ และเป็นลิขสิทธิของ Community Bible Chapel
2 2นอก จากที่กล่าวไปแล้ว พระวจนะที่นำมาอ้างอิงทั้งหมดมาจาก NET Bible (The NEW ENGLISH TRANSLATION) เป็น ฉบับแปลใหม่ทั้งหมดไม่ใช่นำฉบับเก่าในภาษาอังกฤษมาเรียบเรียงใหม่ใช้ผู้ เชี่ยวชาญและนักวิชาการพระคัมภีร์มากกว่า ยี่สิบคน รวบรวมข้อมูลทั้งจากภาษาฮีบรูโดยตรง ภาษาอาราเมข และภาษากรีกโครงการแปลนี้เริ่มมาจากที่เราต้องการนำ พระคัมภีร์เผยแพร่ผ่านสื่ออีเลคโทรนิค เพื่อรองรับการใช้งานทางอินเตอร์เน็ท และซีดี (compact disk) ที่ใดก็ตามในโลก ที่ต่อเข้าอินเตอร์เน็ทได้ ก็สามารถเรียกดูและพริ้นทข้อมูลไว้เพื่อใช้ศึกษาเป็นการส่วนตัวได้โดยไม่คิด มูลค่านอกจากนี้ ผู้ใดก็ตามที่ต้องการนำข้อมูลเกี่ยวกับพระคัมภีร์ไปเผยแพร่ต่อโดยไม่คิดเงิน สามารถทำได้จากเว็บไซท์ :www.netbible.org.
3 3 “เมืองของเขาทั้งหลาย” แปลว่าอะไร? แปลว่าเมืองต่างๆในกาลิลีที่เป็นบ้านของพวกสาวก? น่าจะเป็นได้ แต่ในลูกา 10:1 เราอาจสรุปได้ว่ามัทธิวอยากให้เราเข้าใจว่าพระเยซูไปเทศนาสั่งสอนในเมืองที่ พระองค์ทรงส่งพวกสาวกไปล่วงหน้า
4 4 สังเกตุดูในมาระโกและลูกา มีเรื่องของยอห์นผู้ให้บัพติศมาต่อจากเรื่องส่งสาวกสิบสองคนออกไป ในมาระโก 6:7-13 พระเยซูทรงส่งสาวกสิบสองคนออกไป และใน 6:14-29 เป็นเรื่องของเฮโรดและยอห์นผู้ให้บัพติศมา เป็นเรื่องเดียวที่บันทึกการตัดศีรษะของยอห์น และเฮโรดกลัวว่าพระเยซูคือยอห์นที่เป็นขึ้นมาจากความตาย ในลูกา 9:1-6 พระเยซูทรงส่งสาวกสิบสองคนออกไป และเหมือนในมาระโก ลูกา (9:7-9) บันทึกเกี่ยวกับความกลัวของเฮโรดว่าพระเยซูคือยอห์นที่ฟื้นกลับมา ในบทเรียนของเรา มีเรื่องส่งสาวกสิบสองคนออกไป (มัทธิว 10:1-15 และ 16-42) บันทึกเรื่องราวของยอห์นด้วย แต่ไม่ใช่เรื่องความกลัวของเฮโรด แต่เป็นความสงสัยของยอห์น เนื่องจากมีการส่งสาวกสิบสองคนออกไป เฮโรดและยอห์นมีบางสิ่งที่คล้ายกัน – คำถาม “เราพลาดอะไรไปหรือ?”
5 5เบื้องต้น ผมขออนุมานว่า“งานต่างๆ” ของพระเยซู เป็นการอัศจรรย์ที่พระองค์บอกยอห์นเมื่อตอบคำถามที่สาวกของท่านมาถามใน 9:14-17 และคำตรัสของพระเยซูใน 11:9 ทำให้ผมสงสัยว่า “งานต่างๆ” ที่ยอห์นได้ยินมานั้นอาจเป็นเรื่องกินและดื่มกับพวกคนบาป เป็นได้หรือไม่คำตอบของพระเยซูในสิ่งที่ยอห์นถาม ดึงท่านให้เห็นว่างานต่างๆเหล่านี้หรือที่ทำให้ท่านเกิดคำถาม ผมจึงค่อนข้างเชื่อว่า “งานต่างๆ” ที่รบกวนใจยอห์นน่าจะเป็นเรื่องกินและดื่มกับคนบาป ในขณะที่พระเยซูทรงชี้ให้ยอห์นเห็นว่าเป็นเรื่องการทำอัศจรรย์และเทศนาสั่ง สอน
7 7ภาษาอังกฤษใช้จากการแปลฉบับ NET Bible
9 9ขณะไม่มีคำว่ากลับใจในตอนนี้ มาระโก 6:12 พูดชัดเจนว่ามีการประกาศให้กลับใจ
10 10จาก ดิกชันนารี่พระคัมภีร์ของ Fausset’s Bible Dictionary (อ้างจาก BibleWorks): สดุดี 87:4 ทำนายว่าไทระจะเป็นหนึ่งในเมืองที่กล่าวว่าจะมีผู้นี้ในยุคของพระเมสซิยาห์ มาเกิดที่เยรูซาเล็ม การช่วยซาโลมอนสร้างพระวิหารเป็นเหมือนสัญลักษณ์นำร่อง และความเชื่อของหญิงชาวฟินิเซีย (มาระโก 7:26) เป็นผลแรกที่เป็นจริง อิสยาห์ (อิสยาห์ 23:18) ทำนายว่า “สินค้าของมันและสินจ้างของมันจะเป็นของถวายแด่พระเจ้า … แต่สินค้าของมันจะอำนวยอาหารอุดมและเสื้อผ้างามแก่บรรดาผู้ที่อยู่ต่อพระ พักตร์พระเจ้า” เป็นจริงที่คริสตจักรในเมืองไทระ ความมั่งคั่งที่ถวายให้พระเจ้าและสนับสนุนพันธกิจของคริสตจักร อ เปาโลได้พบกับพวกสาวกที่นั่น (กิจการ 21:306) การได้อยู่ร่วมสามัคคีธรรมกับบรรดาธรรมิกชนที่เกิดขึ้นในทันที แม้เมื่อก่อนต่างก็เป็นคนแปลกหน้ากัน นับเป็นภาพความรักกันฉันพี่น้องของคริสเตียนทุกคนรวมทั้งภรรยาและบุตรของพวก สาวกต่างก็มาต้อนรับและมาส่งท่านเมื่อจากไป ทุกคนได้คุกเข่าลงอธิษฐานด้วยกันที่ชายหาด ภายใต้พระพรของสวรรค์และการอธิษฐาน สดุดี 45:12 “ชาวเมืองไทระจะเอาของกำนัลมาถวายพระนางเศรษฐีในหมู่ ประชาชนจะขอความโปรดปรานจากพระนาง” ขอมีส่วนจากอิสราเอลเข้าในแผ่นดินของพระเจ้า (อิสยาห์ 44:5; 60:6-14; สดุดี 72:10) เมื่ออิสราเอล “ตั้งใจฟัง” พระเมสซิยาห์และ “ลืมคนของตนเอง (พิธีกรรมของยิว) และวงศ์วานของบรรพบุรุษ (โอ้อวดว่าเป็นเชื้อสายของอับรามฮัม) กษัตริย์ปรารถนาจะได้ความงดงามของเธอ” และพระเมสซิยาห์จะเป็นที่ปรารถนาของทุกชนชาติ เช่นไทระ (ฮักกัย 2:7)
11 11ตามคำสั่งของพระเยซูในมัทธิว 10:5
12 12คำ กล่าวโทษต่อเมืองใหญ่นี้ได้เกิดขึ้นเป็นจริงอย่างครบถ้วน (มัทธิว 11:23 ลูกา 10:15) เมืองนี้พินาศลงอย่างสิ้นเชิงและเป็นพื้นที่ๆยังมีความขัดแย้งจนทุกวันนี้ ในพระคัมภีร์ นอกเหนือจากหนังสือพระกิตติคุณ ไม่มีการกล่าวถึงคารเปอรนาอุมในที่อื่นๆ เมื่อพระเยซูเสด็จออกจากนาซาเร็ธ ทรงไปอาศัยอยู่ในคาเปอรนาอุม (มัทธิว 4:13) และทรงให้ที่นั่นให้เป็นศูนย์กลางแห่งพระราชกิจระหว่างประกาศแก่ฝูงชน และที่ใกล้ๆกัน ทรงเรียกชาวประมงให้ติดตามพระองค์ไป (มาระโก 1:16) เรียกคนเก็บภาษีให้ละอาชีพตามพระองค์ไป (มัทธิว 9:9) เป็นพื้นที่ๆทรง “ทำการอัศจรรย์” มากมาย (มัทธิว 11:23 มาระโก 11:34) ที่นี่พระเยซูทรงรักษาบ่าวของนายร้อย (มัทธิว 8:5) และบุตรของผู้มีชื่อเสียง (ยอห์น 4:46) แม่ยายของเปโตร (มาระโก 1:31) และชายง่อย (มัทธิว 9:1) ทรงขับผี (มาระโก 1:23) และอาจเป็นที่นี่ ที่ทรงช่วยชีวิตลูกสาวของไยรัส (มาระโก 5:22) ในคาเปอรนาอุมเด็กเล็กถูกนำมาใช้ในการสั่งสอนพวกสาวกเรื่องความถ่อมใจ และในธรรมศาลาพระเยซูทรงเทศนาเรื่องอาหารแห่งชีวิต (ยอห์น 6)
13 13 ขณะที่ยังไม่เหมาะจะนำเรื่องจากโรม 9 มาสอนในตอนนี้ แต่ผมมีอยู่ในบทเรียนพระธรรมโรม ในตอนนี้ขอเพิ่มเฉพาะ โรม 9:30-10:15 ชาวยิวจำนวนมากไม่เชื่อในพระเยซู เพราะพวกเขาปฏิเสธสิ่งที่พระองค์เตรียมให้สำหรับความชอบธรรมโดยความเชื่อ แต่พวกเขายืนกรานจะได้ความชอบธรรมโดยการเพียรปฏิบัติของตนเอง
14 14 ประเด็นตรงนี้เป็นครั้งแรกในมัทธิว พระเยซูทรงอำนาจอธิปไตยในเรื่องความรอดของมนุษย์ ข้อเท็จจริงนี้ไม่ควรเข้าใจผิดว่าเป็นการปฏิเสธความจริงว่ามนุษย์มีทางที่ ต้องเลือก และต้องรับผิดชอบในสิ่งที่ตนเองเลือก คำตรัสของพระเยซูเน้นให้เห็นสมการจากด้านหนึ่งจากโรม 9 และในที่อื่นๆ พระเยซูเน้นให้เห็นส่วนของมนุษย์ซึ่งก็คืออีกด้านของสมการในโรม 10
15 15 อาจช่วยให้เห็นความจริงว่าพระเยซูทรงพูดถึงพระองค์เองในมัทธิว 10:28
16 16 เป็นสิ่งที่ใกล้เคียงกับที่ อ เปาโลพูดเรื่องการทรงเลือก (โรม 9:6-29) และความรับผิดชอบของมนุษย์ (โรม 9:30-10:15)