MENU

Where the world comes to study the Bible

บทที่ 27: จาก "จับปลาสองมือ" มาเป็น "ติดกับตนเอง" 150 (1 ซามูเอล 29:1--30:6)

คำนำ

ผมมีเพื่อนวัยเยาว์ที่ชอบพอกันอยู่หลายคน เมื่อเร็วๆนี้มีคนหนึ่งแวะมาหาผม ตอนผมกำลังเก็บ รวบรวมคำเทศนาของวันอาทิตย์ที่ผ่านมา เพื่อนอายุเก้าขวบของผมชื่อลุควิ่งมาดูว่าผมกำลังทำ อะไร "ลุงเขียนอะไรไว้บนจอคอมพิวเตอร์ครับ?" ลุคถาม "อ๋อ เป็นคำเทศนาของอาทิตย์ที่ แล้ว" ผมตอบ "ยาวจังนะครับ?" เขาคุยต่อ "คงงั้นมั้ง" ผมก็ตอบๆไป ผมเลื่อนหน้าจอต่อไป เรื่อยๆจนไปถึงหน้า 10 ลุคชวนคุยไปด้วยมองตามไปด้วยอย่างสนใจ อยู่ดีเขาก็พูดขึ้นมาว่า "เดี๋ยวครับลุง บอบ !" "ผมว่าผมเห็นอะไรบางอย่าง ลุงช่วยเลื่อนกลับขึ้นไปอีกนิดได้ไหม -- อีกนิดเดียวเอง?" แล้วลุคก็ชี้ไปบนจอ ไปที่คำเทศนาประโยคที่ว่า "ซาอูลผู้บังคับกองพัน หวังว่าดาวิดจะถูกฆ่า" "ลุงหมายความตามนี้จริงๆหรือครับ?" ลุคถาม "สงสัยไม่ใช่" ผมยอมรับ รู้สึกขายหน้าเล็กน้อย แต่ก็ทึ่งครับ ผมจึงแก้ใขประโยคนั้นใหม่จนลุคพอใจ "ซาอูลแต่งตั้งดาวิด ให้เป็นผู้บังคับกองพัน ด้วยหวังว่าดาวิดจะถูกฆ่า" เสร็จแล้วเขาก็ไม่สนใจ ออกไปวิ่งเล่นที่อื่นต่อ ผมต้องพูดกับตัวเอง ว่า "ทำได้ไงนี่่?"

บางครั้งเราก็ได้รับความช่วยเหลือจากแหล่งที่แปลกๆ เห็นได้ชัดในกรณีของดาวิดใน 1 ซามูเอล 29 ดาวิดหาเรื่องใส่ตัวจนดิ้นแทบไม่หลุด หลังจากได้รับการช่วยกู้หลายต่อหลาย ครั้งจากเงื้อมมือของซาอูล ดาวิดเบื่อที่จะต้องรอนแรมไปมาเหมือนผู้อพยพ ในช่วงเวลา แห่งความท้อแท้ ท่านคิดว่ามีเหตุผลพอที่จะหนีไปให้พ้นจากซาอูล โดยเข้าไปอยู่ในดินแดน ฟิลิสเตีย ดาวิดมั่นใจว่าถ้าซาอูลรู้ว่าหนีไปแล้วก็จะไม่ออกตามล่าอีก ดาวิดพร้อมด้วยผู้ติดตาม 600 คนยังไม่นับภรรยาและลูกๆอีกที่อพยพเข้าไปในฟิลิสเตีย ดาวิดโน้มน้าวกษัตริย์อาคีช ของฟิลิสเตียให้ท่านออกไปจากเมืองกัท ไปอยู่หัวเมืองที่ห่างไกลอย่างศิกลากแทน จากเมือง นี้ดาวิดตั้งกองบัญชาการใช้สำหรับโจมตีและปล้นบรรดาศัตรูของอิสราเอล และหลังการปล้น แทบทุกครั้งดาวิดหลอกอาคีชว่าท่านออกไปปล้นหมู่บ้านหรือเมืองของอิสราเอลที่อยู่ใกล้ๆกัน เพื่อกันไม่ให้เรื่องนี้ไปถึงหูของอาคีช ดาวิดจึงต้องรอบคอบด้วยการฆ่าทุกคนไม่ให้เหลือรอด ไปได้ ดาวิดนำของบางส่วนที่ปล้นได้ไปมอบให้อาคีช (ดู 27:9) และในเวลาเดียวกันก็แบ่งให้ คนอิสราเอลพี่น้องร่วมชาติ (อย่างน้อยก็หนึ่งครั้ง) (ดู 30:26-31) ที่อาคีชคิดว่าดาวิดไปปล้น ฆ่ามา พูดง่ายๆก็คือดาวิดกำลังจับปลาสองมือ

ดูเหมือนดาวิดจะหลุดรอดไปได้ทุกครั้ง แต่อยู่ดีๆเหตุการณ์ก็กลับตาลปัตรเอาดื้อๆ กลายเป็นว่าดาวิดกำลังจะติดกับตนเอง กษัตริย์อาคีชบอกกับดาวิดว่าผู้บัญชาการกอง ทัพฟิลิสเตียกำลังรวมพลครั้งยิ่งใหญ่เพื่อไปโจมตีอิสราเอล ดาวิดและพรรคพวกทั้ง 600 คนต้องไปร่วมรบในครั้งนี้ด้วยเพื่อเป็นเกียรติแก่อาคีช ดาวิดทำให้ผู้อ่านพระธรรม ตอนนี้ผวาด้วยการบอกกับอาคีชว่าท่านจะไปรบอย่างกล้าหาญเพื่อชาวฟิลิสเตีย ท่าน สัญญากับอาคีชว่าท่านจะทำจนเต็มกำลังในสงครามครั้งนี้ อาคีชตอบสนองดาวิดด้วย การมอบสิ่งที่ท่านคิดว่าเป็นรางวัลยิ่งใหญ่สำหรับการรับใช้ที่สัตย์ซื่อ -- เป็นราชองค รักษ์ส่วนตัวตลอดชีพ ใครจะไปนึกถึงว่าดาวิดผู้ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นผู้ถือเครื่องอาวุธให้ ซาอูล จะได้รับเลือกให้เป็นองครักษ์ส่วนตัวของกษัตริย์ฟิลิสเตีย?

ผู้เขียนทำให้เราตกใจด้วยสถานการณ์ที่หักมุมในทันที และหมุนกลับไปเล่าเรื่องซาอูล ไปพบหญิงคนทรงที่เมืองเอนโดร์แทน ในบทที่ 29 เราพบว่ากษัตริย์ซาอูลกลายเป็น คนท้อแท้หมดเรี่ยวแรง ไม่ได้รับความเห็นใจหรือคำแนะนำใดๆจากพระเจ้า ท่านรู้ดีว่า คงต้องถูกพวกฟิลิสเตียบดขยี้แน่ ขณะจมอยู่ในความทุกข์นั้น ซาอูลไปขอคำปรึกษา จากหญิงคนทรงที่เมืองเอนโดร์ และเมื่อท่านรู้แน่แล้ว ว่าพระเจ้าจะไม่ทรงช่วย แต่ กลับจะมอบท่านและกองทัพอิสราเอลให้ตกอยู่ในเงื้อมมือฟิลิสเตียแทน ซาอูลหมด สภาพโดยสิ้นเชิง ท่านแน่นิ่งไปด้วยความกลัว ในที่สุดท่านยอมฝืนกินอาหารเพื่อจะมี เรี่ยวแรงพอเดินทางกลับไปได้ในคืนนั้น กลับไปสู่กองทัพของท่านเพื่อออกสู่สนามรบ ท่านรู้ดีว่าสงครามครั้งนี้จะลงเอยอย่างไร

ตลอดเหตุการณ์อันน่าสะพรึงกลัวระหว่างซาอูลและหญิงคนทรงที่เอนโดร์ เรายังคาใจ อยู่ที่เรื่องของดาวิด ผู้นำตนเองเข้าไปพัวพันอยู่ในสถานการณ์อันน่าหวาดหวั่น ท่าน เหมือนถูกสั่งให้จับตายในหนังจารกรรม ไม่รู้จะออกไปจากสถานการณ์นี้ได้อย่างไร ถ้าดาวิดร่วมรบอย่่างสัตย์ซื่อให้อาคีชพร้อมกับชาวฟิลิสเตีย ก็เท่ากับท่านกำลังต่อสู้ กับคนของท่านเอง (คนอิสราเอล) กษัตริย์ของท่านเอง (ซาอูล) และกับเพื่อนรักอย่าง โยนาธาน ถ้าดาวิดไม่ได้รบเพื่อชาวฟิลิสเตีย แน่นอนก็หมายความว่าท่านต้องเป็นฝ่าย ตรงข้ามกับฟิลิสเตียในสนามรบ แปลว่าท่านก็ตกอยู่ในปัญหาที่ยังหาทางออกไม่ได้ พระประสงค์ของพระเจ้าคือต้องการมอบอิสราเอลให้อยู่ในเงื้อมมือของฟิลิสเตีย และ ต้องการเอาชีวิตของซาอูลและบุตรของท่านเสียในสงคราม ถ้าดาวิดไปต่อสู้กับฟิลิสเตีย ก็เท่ากับไปต่อต้านพระประสงค์ของพระเจ้า แล้วดาวิดควรทำอย่างไร? ในตอนต้นของ บทที่ 27 การไปอยู่ในฟิลิสเตียดูจะเป็นการหาทางออกที่ชาญฉลาดสำหรับดาวิด ท่าน หลุดรอดไปจากเงื้อมมือของซาอูล และสามารถทำตัวให้กลมกลืนไปได้ทั้งกับฟิลิสเตีย และอิสราเอล แต่แล้วในเวลาไม่นาน ดาวิดกลับพบว่าตนเองติดกับที่ทำเอาไว้ หาทาง ออกไม่ได้ ในเวลาเช่นนี้เองที่มีความช่วยเหลือมาจากแหล่งที่ไม่น่าเป็นไปได้ -- จาก พวกผู้ใหญ่ในกองทัพของฟิลิสเตีย

ข้อสังเกตุเบื้องต้น

ก่อนที่จะไปติดตามเรื่องที่ผู้เขียนทิ้งท้ายไว้อย่างชาญฉลาดนี้ ให้เรามาดูข้อสังเกตุ หลายประการที่จะทำให้เราเข้าใจเนื้อหาได้ดียิ่งขึ้น

ประการแรก ไม่มีการบอกว่าทำไมดาวิดจึงทำในสิ่งที่ท่านทำ ด้วยการดลใจจาก พระเจ้า ผู้เขียนมักบอกอย่างชัดเจนถึงแรงจูงใจและความตั้งใจของดาวิด ตัวอย่างเช่น ในตอนต้นของพระธรรม 1 ซามูเอลเล่าถึงสาเหตุที่ซาอูลเลื่อนดาวิดให้รับตำแหน่ง ผู้นำ พร้อมทั้งเสนอยกธิดาให้แต่งงานด้วย ผู้คนรอบข้างยังเห็นไม่ชัดเจนในตอนนั้น แต่ ผู้เขียนพระธรรม 1 ซามูเอลบอกผู้อ่านถึงแรงจูงใจและความตั้งใจที่แท้จริงของซาอูล : ท่านอิจฉาและกลัวว่าดาวิดจะมาแย่งเอาความนิยมไป จึงจงใจฆ่า และเพื่อเป็นการกำ จัดศัตรูของบัลลังก์ด้วย ในบทที่ 27 เล่าถึงสาเหตุที่ดาวิดหนีจากซาอูลไปขอพึ่งกษัตริย์ อาคีช : เพราะท่านกลัวและไม่เชื่อว่าจะอยู่ได้อย่างปลอดภัยจึงไปขอลี้ภัยอยู่ในฟิลิส เตีย ตอนนี้เราอยากรู้ว่าดาวิดวางแผนจะทำสิ่งใดและด้วยเหตุผลใด แต่กลับไม่มีการ พูดถึง

เรารู้แน่ว่าผู้เขียนไม่ยอมเปิดเผยข้อมูลนี้กับเรา ผู้เขียนมีเหตุผลหลายประการที่ไม่ยอม บอกถึงความตั้งใจของดาวิดและทำไม (1) ผู้เขียนต้องการให้เราสงสัยว่าดาวิดคิดอะไร อยู่ เพื่อทำให้ดูลึกลับหวาดเสียว นักเขียนที่ดีจะดึงความสนใจของผู้อ่านไว้ให้นาน แล้ว จึงค่อยๆเปิดเผยให้รู้ (2) ผู้เขียนไม่ต้องการทำให้ดาวิดเป็นเหมือนวีรบุรุษ แต่ต้องการ แสดงให้เห็นว่าท่านเป็นเพียง "มนุษย์ที่ยังมีกิเลส" ยังมีความสงสัย มีความกลัว และ ยังทำผิดเหมือนเราทั้งหลาย (3) ถ้าเรารู้ถึงความตั้งใจและเหตุผลของดาวิด เราก็จะเข้า ข้างท่าน และพยายามหาข้อแก้ตัวให้ท่านแทน

ทุกวันนี้เราอยู่ในโลกที่หลักศีลธรรมขึ้นอยู่กับสถานการณ์ หลักนี้ไม่ได้ตัดสินจากการ กระทำ – ตัวอย่างเช่น การทำผิดศีลธรรม – เป็นความผิด แต่กลับไปพยายามแยกแยะ "ผิด" "ถูก" ในแง่ของแรงจูงใจ ถ้าผู้ชายทำผิดประเวณีเพราะ"ความรัก" "ความสงสาร" ฝ่ายตรงข้าม ไม่นับว่าเป็นการกระทำผิด ทั้งที่เห็นชัดเจนอยู่ทนโท่ว่าทำผิด แรงจูงใจ และทัศนคติใดก็ไม่ทำให้ถูกไปได้ ผู้เขียนไม่ต้องการให้เรา "เข้าใจ" ว่าทำไมดาวิด ถึงทำเช่นนั้น แต่ให้เราเศร้าใจว่าทำไมท่านจึงทำ

ประการที่สอง ในบทนี้ผู้เขียนไม่เรียงตามลำดับเหตุการณ์อย่างที่เคยเป็น ใน บทที่ 28 เราพบว่าอิสราเอลตั้งค่ายอยู่ที่กิลโบอา ในขณะที่ฟิลิสเตียชุมนุมพลอยู่ที่ชูเนม (28:4) ซึ่งอยู่ทางเหนือไกลจากสนามรบจริงของทั้งสองฝ่าย (ดู 31:1) แต่ในบทที่ 29 พวกฟิลิสเตียรวมตัวกันอยู่ที่อาเฟก ในขณะที่อิสราเอลอยู่ที่ยิสเรเอล ซึ่งอยู่ใต้ลงไปมาก กว่าที่เขียนไว้ในบทที่ 28 ซึ่งก็แปลว่าเหตุการณ์ในบทที่ 29 เกิดก่อนบทที่ 28 ผู้เขียน ตั้งใจจะไม่เรียงตามลำดับเหตุการณ์ แต่เรียงตามใจความสำคัญ ท่านต้องการชี้ให้เรา เห็นประเด็นของท่านมากกว่าไปพะวงเรื่องเวลา ดูเหมือนผู้เขียนตั้งใจเขียนให้เรา เปรียบเทียบดูระหว่างเรื่องของซาอูลกับดาวิดอย่างใกล้ชิดและต่อเนื่อง

ประการที่สาม ผู้เขียนไม่ได้อธิบายประเด็นให้เราเห็นชัดเจน ไม่แม้กระทั่งเปิด เผยให้เราเห็นเต็มๆว่าเหตุการณ์นี้เป็นมาจากพระเจ้า ท่านเกรงว่าจะเป็นการทำ ลายแผนและจุดประสงค์ของเรื่องที่ตั้งใจอุบไว้ก่อน พระธรรมตอนนี้แทบไม่พูดถึงสิ่งที่ "พระเจ้าตรัส" แต่สิ่งที่ "พระเจ้าตรัส" กลับมาจากปากของกษัตริย์ต่างชาติอย่างอาคีช แทนที่จะมาจากปากของดาวิด ผมคิดว่าผู้เขียนไม่ต้องการดูถูกผู้อ่านด้วยการบอกทุก ตอนว่าควรคิดอย่างไร ท่านคาดหวังให้เราอ่านเรื่องนี้ให้เป็นเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ที่ ศักดิ์สิทธิ อยู่ในกรอบของศาสนศาสตร์ตามหลักธรรมบัญญัติของโมเสส ท่านต้องการ ให้ผู้อ่านคิดเอาเอง และหาข้อสรุปตามหลักพระคัมภีร์

ประการที่สี่ ในขณะที่ดาวิดมีบทบาทสำคัญ – เป็น "ดารานำ" – ในเรื่องนี้ ท่าน กลับเป็นนักพูดที่ไม่เก่งนัก ดาวิดพูดน้อยมากในตอนนี้ อาคีชพูดมากที่สุด รองลงมา ก็เป็นพวกผู้ใหญ่ของฟิลิสเตีย

แมลงวันที่เกาะอยู่ในเต็นท์ของพวกฟิลิสเตีย
(29:1-5)

1 ฝ่ายคนฟีลิสเตียชุมนุมกำลังทั้งสิ้นอยู่ที่อาเฟก และคนอิสราเอล ก็ตั้งค่ายอยู่ที่น้ำพุซึ่งอยู่ในเมืองอิสราเอล 2 เมื่อเจ้านายฟีลิสเตีย เดินผ่านไปตามกองร้อยและกองพัน และดาวิดกับคนของท่านก็ ผ่านไปเป็นกองหลังกับอาคีช 3 แม่ทัพของคนฟีลิสเตียกล่าวว่า "พวกฮีบรูเหล่านี้มาทำอะไรที่นี่" และอาคีชก็รับสั่งแก่แม่ทัพคน ฟีลิสเตียว่า "นี่คือดาวิดมหาดเล็กซาอูลกษัตริย์อิสราเอลไม่ใช่หรือ เขาอยู่กับเรามาเป็นวันเป็นปีแล้ว ตั้งแต่วันที่เขาหนีมาหาข้าพเจ้า ข้าพเจ้ายังไม่พบความผิดในตัวเขาเลย" 4 แต่เจ้านายฟีลิสเตียโกรธ ท่าน และเจ้านายฟีลิสเตียทูลท่านว่า "ขอส่งชายคนนั้นกลับไป เพื่อ ให้เขากลับไปยังที่ที่ท่านกำหนดให้เขาอยู่ และอย่าให้เขาลงไปรบ พร้อมกับเราเกรงว่าเมื่อเรารบกัน เขาจะเป็นศัตรูของเรา เพราะว่าชาย คนนี้จะคืนดีกับเจ้านายของเขาได้อย่างไร มิใช่ด้วยศีรษะของคนที่นี่ ดอกหรือ 5 คนนี้ดาวิดมิใช่หรือ ซึ่งเขาร้องเพลงขับรำรับกันว่า 'ซาอูล ฆ่าคนเป็นพันๆ และดาวิดฆ่าคนเป็นหมื่นๆ'" พวกฟิลิสเตียเลือกอาเฟกให้เป็นเมืองสำหรับรวบรวมกำลังพลทั้งหมดเพื่อไปโจมตีอิสรา เอล ที่นี่บรรดาเจ้านายของฟิลิสเตีย (ดูจากบทที่ 5 และ 6) เดินทางมาพร้อมกับคนใต้ บังคับบัญชาของตน (เจ้านายเหล่านี้น่าจะเป็นกษัตริย์ห้าหัวเมืองหลักของฟิลิสเตีย อาคีชเป็นกษัตริย์เมืองกัท จึงนำกองกำลังมาจากเมืองในแถบนั้น) เมื่อมีการเดินตรวจ กองร้อยและกองพัน เจ้านายของฟิลิสเตียสี่ในห้าตกใจและรู้สึกโกรธต่อสิ่งที่เห็น

บางทีเราก็เคยพูดกันว่า "อยากเป็นแมลงวันไปเกาะฝาผนังจริงๆ จะได้ยินว่าเขาพูดอะ ไรกัน…" แปลว่าอยากไปอยู่ในเหตุการณ์ตอนที่กำลังเกิดขึ้น ด้วยการดลใจที่มาจาก พระเจ้า พวกเราเลยได้เป็น ‘แมลงวันเกาะฝาผนัง’ ในค่ายของฟิลิสเตีย – อยู่ในเต็นท์ ที่มีการถกเถียงกันอย่างหน้าดำคร่ำเครียดระหว่างพวกผู้นำฟิลิสเตีย

"กองหลัง" ในกองทัพของฟิลิสเตียเป็นใครไปไม่ได้นอกจากดาวิดและคนของท่าน ผม ใช้เวลานานพอดู (แถมมีเวลาค่อนข้างจำกัด) กว่าจะเข้าใจถึงความสำคัญในเรื่องนี้ ผม ไม่เคยมีประสบการณ์เรื่องทหาร ท่านยังจำได้หรือไม่ว่าอาคีช "ให้เกียรติ" ดาวิดด้วย การแต่งตั้งท่านให้เป็นองครักษ์ส่วนตัว ผมคิดว่ากองกำลังทั้งห้าที่เดินให้ตรวจพลนั้น กองที่ห้าน่าจะเป็นของกษัตริย์อาคีช ซึ่งมีดาวิดอยู่ท้ายขบวน151 http://www.bible.org/docs/ot/books/1sa/deffin/ ซึ่งเป็นตำแหน่งที่ สำคัญมาก เพราะฝ่ายศัตรูอาจลอบโจมตีจากด้านหลัง ซึ่งมีโอกาสพอๆกับด้านหน้า พวกกองหลังมักเป็นพวกเก่งกล้ามีฝีมือที่ผ่านการคัดเลือกมาเป็นอย่างดี ดาวิดและคน ของท่านได้รับ "เกียรติ" นี้

สิ่งที่อาคีชเห็นว่าเป็นการ "ให้เกียรติ" กลับกลายเป็น "ฝันร้าย" ของเจ้านายฟิลิสเตียที่เหลือ ในขณะที่ไม่มี การเล่าว่าดาวิดคิดหรือวางแผนการอะไรอยู่ เรากลับมี โอกาสได้ยินข้อถกเถียงของผู้นำทหารสูงสุดระหว่าง อาคีชและเจ้านายทั้งสี่ เจ้านายทั้งสี่คงโกรธจนหน้า เขียว พวกเขานึกไม่ถึงว่าอาคีชจะไร้เดียงสาได้ขนาด นี้ ถึงกับเอาดาวิดมาร่วมรบด้วย แถมยังให้อยู่ในจุด ยุทธศาสตร์ที่สำคัญที่สุด พวกเขาไม่พอใจเป็นอย่าง มาก และไม่รีรอที่จะพูดกับอาคีชให้รู้เรื่อง ดาวิดกับ พรรคพวก (ฮีบรู) 600 คนมาทำอะไรอยู่ในกองทัพ ฟิลิสเตีย ? อาคีชมีคำตอบอยู่แล้ว นี่คือดาวิด ผู้รับใช้ของซาอูลกษัตริย์อิสราเอลใช่หรือไม่ ? อาคีช มองโลกตรงกันข้ามกับผู้นำทั้งสี่โดยสิ้นเชิง ท่านเห็นว่าดาวิดเป็นสมบัติล้ำค่า เพราะตัว ของดาวิดเอง ดาวิด"เปลี่ยนสี" ไปแล้ว มาสัตย์ซื่อกับท่านแทนซาอูล ใครจะไม่เห็นคุณ ค่าของคนที่เคยเป็นสมบัติล้ำค่าของซาอูลมาก่อน แล้วอยู่ดีๆกลับกลายมาเป็นพันธมิตร ของเรา เราเห็นชัดเจนว่าดาวิดได้เปลี่ยนไปแล้ว กลายมาเป็นพวกเดียวกับเรา ดาวิดคง กลับไปสู่อิสราเอลไม่ได้อีกแล้ว ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง อาคีชรับรองกับพวกผู้นำ ตลอด เวลาที่ดาิวิดหนีมาจากซาอูล อาคีชยังไม่เห็นท่านทำผิดประการใด "เชื่อผมเถอะพวก ดาวิดเป็นฝ่ายเราแน่ๆ และเขาจะเป็นประโยชน์กับเราอย่างมหาศาล"

ผู้นำทั้งสี่ไม่ได้ประทับใจในสิ่งที่อาคีชพูดรับรอง แถมคำตอบของอาคีชยิ่งทำให้พวก เขาโกรธแค้นเข้าไปใหญ่ หมอนี่ถูกดาวิดหลอกได้ยังไง? ทำไมถึงได้โง่ขนาดนี้? ทำไม ถึงมองไม่ออกว่าดาวิดเป็นยังไง? ดาวิดเป็นคนฮีบรู เป็นฮีบรูที่ถูกเนรเทศ และจะยอมทำ ทุกอย่างเพื่อให้ซาอูลใจอ่อน จะทำให้สำเร็จได้ก็ต้องแกล้งมาประจบพวกฟิลิสเตีย และ หักหลังในระหว่างสงคราม152 อาคีชลืมความสามารถทางทหาร ความหลักแหลมและ ความนิยมที่คนอิสราเอลมีต่อดาวิดไปได้อย่างไร? ลองเอาเพลงที่เคยร้องมาทบทวนดู สักครั้ง : "ซาอูลฆ่าคนเป็นพันๆ ; ดาวิดฆ่าคนเป็นหมื่นๆ"

ผู้นำทั้งสี่ไม่ยอมให้อาคีชมีทางเลือกใด พวกเขาสั่งให้ส่งดาวิดกลับไป – กลับไปที่ ศิกลาก ไม่ต้องมาร่วมรบ หรือจะพูดให้ชัดๆ พวกเขาไม่ต้องการออกไปรบพร้อมกับ ดาวิด ถ้าอาคีชยังอยากให้ดาวิดลี้ภัยอยู่ ให้อยู่ในศิกลากก็ดีแล้ว เพราะที่นั่นอยู่ไกล เกินกว่าที่ดาวิดจะก่อเรื่องได้ ให้ส่งดาวิดกลับไปศิกลาก ไม่มีการออกไปร่วมรบกับ ฟิลิสเตีย เป็นอันยุติ!

อาคีชขอโทษดาวิดและขอให้ท่านกลับไป
(29:6-11)

6 อาคีชจึงเรียกดาวิดเข้ามารับสั่งแก่ท่านว่า "พระเจ้าทรงพระชนม์อยู่แน่ ฉันใด ท่านได้ปฏิบัติตนเป็นคนซื่อสัตย์มาแล้ว สำหรับเรา เราก็เห็นชอบ ที่ท่านออกทัพไปกับเรา เพราะเราไม่เห็นมีความผิดอันใดในท่านตั้งแต่วัน ที่ท่านมาอยู่กับเราจนถึงวันนี้ แต่อย่างไรก็ตามบรรดาเจ้านายไม่เห็นพ้อง ในเรื่องท่าน 7 ฉะนั้นขอท่านกลับไปเสียจงไปอย่างสันติเถิดเพื่อไม่ให้เป็น ที่ขัดใจเจ้านายฟีลิสเตียทั้งหลาย" 8 และดาวิดก็ทูลอาคีชว่า "แต่ข้าพระ บาทได้กระทำสิ่งใด หรือฝ่าพระบาทได้พบสิ่งใดในตัวของข้าพระบาทตั้ง แต่วันที่ข้าพระบาทเข้ามารับราชการจนบัดนี้ว่า ข้าพระบาทไม่ควรจะไปรบ กับศัตรูของพระราชาเจ้านายของข้าพระบาท" 9 อาคีชก็รับสั่งตอบดาวิดว่า "เราทราบแล้วว่าในสายตาของเรา ท่านดีแล้วอย่างทูตสวรรค์ของพระเจ้า แต่บรรดาแม่ทัพแห่งฟีลิสเตียกล่าวว่า 'อย่าให้เขาขึ้นไปในการรบกับเรา เลย' 10 เมื่อเป็นอย่างนี้ ขอท่านลุกขึ้นแต่เช้าพร้อมกับพวกพลแห่งนาย ของท่าน คือคนที่มากับท่าน เมื่อพวกท่านลุกขึ้นในเวลาเช้ามืด พอมีแสง ก็จงออกเดิน" 11 ดาวิดจึงลุกขึ้นตั้งแต่มืด คือตัวท่านพร้อมกับคนของ ท่าน เพื่อออกเดินในตอนเช้ากลับไปยังแผ่นดินฟีลิสเตีย แต่คนฟีลิสเตีย ขึ้นไปยังยิสเรเอล อาคีชมีภาระที่ไม่น่าอภิรมย์นักที่จะต้องทำให้ดาวิดรู้สึก "ผิดหวัง" ด้วยการบอกให้ท่าน กลับบ้านไป อาคีชใช้ภาษาพูดที่ดูไม่สมกับความเป็นคนต่างชาติของท่าน: "พระเจ้า ทรงพระชนม์อยู่แน่ฉันใด . . ." (29:6) ตรงนี้ท่านไม่ได้หมายถึง"พระ"ทั่วไป แต่เป็น คำในภาษาฮีบู ยาเวห์ พระเจ้าเที่ยงแท้เพียงพระองค์เดียว พระเจ้าของอิสราเอล ต่อมา ในข้อ 9 กษัตริย์อาคีชกล่าวว่าดาวิดเป็นเหมือน"ทูตสวรรค์ของพระเจ้า" ซึ่งเป็นการใช้ คำที่แปลก แทนที่ดาวิดจะเป็นคนที่ใช้คำพูดของ "พระเจ้า" กลายเป็นอาคีชแทน อาจ เป็นได้ที่อาคีชเลือกใช้ถ้อยคำที่เหมาะสมกับความเชื่อของดาวิด หรืออาจเป็นได้ว่า ความเชื่อของดาวิดมีอิทธิพลต่ออาคีช

เป็นเรื่องน่าทึ่งมากที่ได้ยินอาคีชพูดเรื่องดีๆเกี่ยวกับดาวิด ดูจะยกยอดาวิดจนเกินไป ไม่สมจริง อาคีชบอกดาวิดว่าในสายตาของท่าน ท่านพอใจดาวิดมากตั้งแต่วันแรกที่ ดาวิดมาอยู่ด้วย ดาวิดไม่ได้ทำผิดประการใดต่อท่าน อาคีชจะรู้สึกแบบนี้อยู่หรือเปล่า ถ้ารู้ว่าที่จริงแล้วดาวิดทำอะไรอยู่? ดาวิดไปปล้นฆ่าใครมา? และรายงานที่อาคีชได้รับ เป็นเรื่องจอมปลอมทั้งสิ้น ผมว่าคงจะไม่ ! แต่อาคีชมีสิ่งดีๆที่พูดเกี่ยวกับดาวิด ท่าน พูดว่าในสายตาของท่านดาวิดเป็นเหมือน "ทูตสวรรค์ของพระเจ้า" (ข้อ 9) อาคีชถูก ดาวิดตบตาสิ้น และการหลอกลวงของดาวิดก็เห็นได้ชัดจากคำเยินยอของกษัตริย์ต่าง ชาติผู้นี้ อาคีชไม่เพียงแต่ยกยอดาวิด ท่านยังขอโทษอีกด้วย ท่านอธิบายว่าท่านเอง นั้นต้องการให้ดาวิดไปร่วมรบในสงครามต่อสู้กับอิสราเอลด้วย แต่พวกเจ้านายที่เหลือ ทั้งสี่ไม่ยอมทำตาม ดาวิดและคนของท่านจึงต้องกลับไปที่ศิกลากในตอนเช้า

ดาวิดยังทำให้ผมประหลาดใจอีก ถ้าผมเป็นดาิวิด พอได้ยินคำพูดเช่นนี้จากอาคีช ผม คงดีใจจนเนื้อเต้น เพราะกำลังตกอยู่ในสถานการณ์ที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก เจ้านาย ทั้งสี่ของฟิลิสเตียไม่ยอมให้ดาวิดไปร่วมรบด้วย และอาคีชก็มาพูดถึง "ข่าวร้าย"นี้อย่าง เจื่อนๆ ข่าวร้ายหรือ? นี่เป็นเรื่องที่วิเศษสุด ! ดาวิดไม่ต้องไปต่อสู้กับอิสราเอล กับ ซาอูล หรือกับโยนาธาน หรือแม้กับอาคีชหรือพวกฟิลิสเตียเอง ที่ท่านต้องทำคือเดิน ทางกลับบ้านที่ศิกลาก แทนที่จะยอมรับคำสั่งของอาคีชและพวกผู้นำฟิลิสเตียอย่าง ถ่อมตัว ดาวิดกลับท้วงให้พวกผู้นำคิดดูใหม่ ดูประหนึ่งว่าท่านกระหายที่จะออกไปร่วม รบด้วย พอได้รับ "ทางออก" ดาวิดกลับทำเป็นไม่สนใจ

เดล ราล์ฟ ดาวิสพูดถึงเรื่องนี้อย่างติดตลกว่า :

"เหตุการณ์ตอนนี้ดูออกจะขบขัน (ข้อ 6-8) อาคีช ยืนขอโทษ และย้ำว่าที่จริงอยากให้ดาวิดไปด้วยมาก ท่านเยินยอในความสัตย์ซื่อของดาวิด ซึ่งท่านไม่จำ เป็นต้องทำก็ได้ ในขณะเดียวกัน ดาวิดทำสีหน้าเหลือ เชื่อ ทำเสียงฉุนเฉียวไม่พอใจทั้งๆที่ท่านไม่มีเหตุผล ใดที่จะทำเช่นนั้น คนถูกหลอกพยายามปกป้องผู้ หลอก และคนที่หลุดรอดกลับฉุนเฉียวกับโอกาส ที่รอดไปได้ !"153

ถ้าคำพูดท้วงของดาวิดเป็นการแสดง ท่านก็เป็นนัก แสดงที่เก่งมาก นับเป็นเรื่องน่ายินดีที่เจ้านายทั้งสี่ ของฟิลิสเตียหนักแน่นไม่เปลี่ยนใจ ดาวิดต้องกลับ ไปศิกลากในวันรุ่งขึ้น เช้าวันรุ่งขึ้นดาวิดและทหารฟิลิสเตียต่างก็ไปตามทางของตน พวกฟิลิสเตียไปยังยิสเรเอลที่อิสราเอลตั้ง ค่ายอยู่ ส่วนดาวิดกลับไปศิกลาก ดาวิดได้รับการช่วย กู้ โดยผ่านทางความโกรธเกรี้ยวของผู้นำทั้งสี่ของ ฟิลิสเตีย ที่ไม่ยอมรับแผนการของอาคีช

ปัญหาที่บ้าน
(30:1-6)

1 อยู่มาในวันที่สามเมื่อดาวิดกับคนของท่านมาถึง เมืองศิกลาก ปรากฏว่าคนอามาเลขได้มาปล้นเนเกบกับปล้นศิกลากแล้ว เขา ชนะศิกลากและเผาเสียด้วยไฟ 2 และจับผู้หญิงกับทุกคนที่อยู่ใน นั้นไปเป็นเชลยทั้งเด็กและผู้ใหญ่ ไม่ได้ฆ่าผู้ใดเลยแต่กวาดต้อน ไปตามทางของเขา 3 เมื่อดาวิดกับคนของท่านมาที่ตัวเมืองก็เห็น ว่าเมืองนั้นถูกเผาด้วยไฟ และภรรยากับบุตรชายบุตรหญิงของเขา ก็ถูกกวาดไปเป็นเชลย 4 แล้วดาวิดกับประชาชนที่อยู่กับท่านก็ร้อง ไห้เสียงดังจนเขาไม่มีกำลังจะร้องไห้อีก 5 อาหิโนอัมชาวยิสเรเอล และอาบีกายิลแม่ม่ายของนาบาลชาวคารเมล ภรรยาทั้งสองของ ดาวิดก็ถูกกวาดไปเป็นเชลยด้วย 6 และดาวิดก็เป็นทุกข์หนักเพราะ ประชาชนพูดกันว่าจะขว้างท่าน เสียด้วยก้อนหินด้วยจิตใจของ ประชาชนต่างก็ขมขื่นมาก เพราะบุตรชายและบุตรหญิงของเขา แต่ดาวิดก็มีกำลังขึ้นในพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่าน

ขณะที่ดาวิดและคนของท่านอยู่กับอาคีชที่อาเฟก พวกอามาเลขก็มาปล้นบ้านของท่าน ที่ศิกลาก มีบทเรียนบางประการที่นี่ ถ้าเราล้มเหลวในการทำตามแผนการของพระเจ้า อย่างครบถ้วน ผลที่เกิดตามมานั้นจะวอดวาย ความล้มเหลวของซาอูลในการไม่กำจัด คนอามาเลขให้สิ้นซากทำให้การปกครองของท่านสิ้นสุดลง ทำให้ท่านและบรรดาบุตร ต้องจบชีวิตลง ดาวิดออกไปปล้นฆ่าในขณะอยู่ที่ศิกลาก เป็นการออกไปจัดการกับ เหล่าศัตรูของอิสราเอล ซึ่งรวมถึงพวกอามาเลขด้วย (ดู 27:8) การถูกปล้นคราวนี้เกี่ยว กันหรือไม่? ไม่ว่าจะเป็นเหตุผลใดก็ตาม ชาวอามาเลขถือโอกาสในขณะที่มีการเคลื่อน ย้ายกำลังพลของฟิลิสเตีย มาบุกและจู่โจมชาวบ้านที่ไม่มีทางสู้ หนึ่งในนั้นคือเมือง ศิกลาก บ้านเมืองถูกทำลายเผาจนหมดสิ้น แต่ยังไว้ชีวิตผู้คนและสัตว์เลี้ยง ผิดกับดาวิด ที่จัดการกับคนอามาเลขอย่างดุเดือด154

สำหรับดาวิดและคนของท่าน การได้กลับจากอาเฟกไปศิกลากทำให้รู้สึกโล่งใจ เหมือน พวกนักเรียนที่กำลังจะไปทัศนาจรในต่างจังหวัด ผมพอนึกภาพออกว่าดาวิดรู้สึกโล่งใจ เพียงใดที่ได้ออกมาจากค่ายทหารฟิลิสเตียและเดินทางกลับไปศิกลาก พวกเขาถูกให้ เข้าไปอยู่ในสถานการณ์ลำบากใจนี้อย่างมีเกียรติ แทนที่จะอย่างน่าอับอาย อาคีชยัง มองดาวิดในแง่ดี และผู้นำทั้งสี่ยังมีความกลัวดาวิดอยู่ พวกเขาไม่ต้องออกต่อสู้กับพี่ น้องร่วมชาติ และไม่ต้องมาทรยศกับพวกฟิลิสเตีย พวกเขาได้รับการช่วยกู้ ไม่มีใครต้อง เสียชีวิตในสงคราม ที่ต้องทำก็คือกลับไปบ้านที่ศิกลาก ไปใช้เวลากับครอบครัว155 เหมือนกับโฆษณาในทีวีคนพวกนี้สะกดคำว่า "โล่งใจ" อย่างไร? พวกเขาสะกดว่า "ศิ ก ล า ก"

เมื่อเข้าไปใกล้ศิกลาก พวกเขาเริ่มมองเห็น หรืออาจได้กลิ่นควัน ความหวาดกลัวเริ่มก่อ ขึ้นในกองทหารเล็กๆนี้ เราคงนึกภาพออกว่าสีหน้าเปลี่ยนจากความสงสัยเป็นตื่นตระ หนก มีเสียงถามกันเซงแซ่ แล้วตามมาด้วยความนิ่งงัน เมืองทั้งเมืองพังพินาศมอดไหม้ เป็นจุล ไม่มีสิ่งมีชีวิตหลงเหลือ ไม่มีศพใครนอนตาย อาจมีคนเหลือรอด แต่พวกที่ รอดคงอยากตายมากกว่า

นับเป็นเวลาที่มืดมนที่สุดสำหรับดาวิดอีกครั้ง ในชั่วขณะ ไม่มีใครนึกถึงเรื่องไล่ตามไป ไม่ว่าจะเป็นฝีมือใครก็ตาม156 ภรรยาทั้งสองของดาวิดและครอบครัวของคนของท่าน ถูกจับไปด้วย ทุกคนตกใจแทบสิ้นสติ ไม่เคยคิดว่าจะมีเรื่องเลวร้ายอย่างนี้เกิดขึ้น พวก เขาคร่ำครวญร้องให้จนไม่มีน้ำตาหรือกำลังเหลืออยู่เลย

เป็นภาพที่ไม่น่าดู และน่าเกลียดยิ่งขึ้นเมื่อเริ่มซึมซับว่าเกิดอะไรขึ้น คนของดาวิดเริ่ม ตั้งสติคิดทบทวน น่าจะเป็นความผิดของดาวิด ท่านนำพวกเขาออกมาจากเมืองกัท มาอยู่ที่ศิกลาก ให้พวกเขานำครอบครัวมาด้วย ดาวิดนำทีมออกปล้นฆ่า มีชาวอามาเลข อยู่ในจำนวนนั้น การกระทำของท่านทำให้ต้องเข้าไปพัวพันกับกองทัพฟิลิสเตีย เพราะ ท่านมีส่วนเกี่ยวข้องกับอาคีช ต้องเดินทางไปไกลถึงอาเฟก ไกลจากครอบครัวที่ตกอยู่ ในอันตรายและถูกลักพาตัวไป พวกเขารู้สึกพอกันทีกับดาวิดและการนำของท่าน พวก เขากลุ้มจัดจนโกรธเกรี้ยว มีการพูดคุยกันว่าสมควรเอาหินทุ่มดาวิดให้ตาย

เหตุการณ์ตอนนี้เลวร้ายกว่าที่ดาวิดคาดถึง ท่านถูกซาอูลและพี่น้องอิสราเอลหลายคน ขับไล่ พี่น้องในเผ่าเดียวกันก็พร้อมที่จะขายท่านให้ซาอูลเพื่อจะฆ่าท่านให้ตาย หลัง จากถูกซาอูลและคนอิสราเอลปฏิเสธ ท่านหนีไปพึ่งอาคีช ผู้อ้าแขนต้อนรับด้วยความ ยินดี แต่แล้วท่านกลับถูกพวกฟิลิสเตียต่อต้านและถูกส่งกลับบ้าน เมื่อมาถึงบ้าน ก็พบ ว่าทั้งครอบครัวและคนที่เหลือทั้งหมดถูกจับไป ฝูงสัตว์ถูกต้อนไป และเมืองถูกเผาราบ เป็นหน้ากลอง ที่แย่ไปกว่านั้น คราวนี้ท่านถูกคนของท่านเองปฏิเสธ และอยากฆ่าท่าน ให้ตาย ความเลวร้ายต่างๆที่ไม่น่าจะเกิดก็เกิดขึ้นทั้งหมดในทันที

บทสรุป

ในขณะที่เราหยุดคิดถึงช่วงเวลาอันมืดมิดของดาวิด ให้เรามาดูว่าเกิดสิ่งใดขึ้น และเรา สามารถเรียนรู้จากสิ่งเหล่านี้ได้อย่างไร

บทเรียนบทแรกที่เราจะเรียน (หรือได้รับการเตือน) คือผลของความบาปจะ่ไม่ เกิดขึ้นในทันที แต่ยังไงก็หนีไม่พ้น สิ่งที่เราอ่านจากบทเรียนตอนนี้คือผลของการ ตัดสินใจที่ผิดพลาดในส่วนของดาวิดเมื่อหนึ่งปีก่อนหน้า ท่านตัดสินใจละทิ้งแผ่นดิน อิสราเอล และหนีไปหาอาคีชที่ฟิลิสเตียเพื่อไปขอความคุ้มครองแทน (27:1) จากคำ พูดที่ดาวิดพูดกับซาอูลในบทที่ 26 เราคงค้านการตัดสินใจหอบผู้คนและครอบครัวของ พวกเขาไปยังฟิลิสเตียไม่ได้ อย่างน้อยการตัดสินใจในครั้งนั้นค้านกับคำพิพากษาที่ตัว ท่านเองพูดไว้อย่างมีเมตตาสงสารต่อซาอูลก็ตาม ผลที่เกิดขึ้นในตอนนั้นออกมาดีมาก ดาวิดและคนของท่านสามารถอยู่กับครอบครัว ได้รับการต้อนรับอย่างดีจากอาคีช ได้ อาศัยอยู่อย่างสุขสบาย และมีโอกาสไปปล้นฆ่าศัตรูของอิสราเอล แถมยังได้รับความ นิยมจากพี่น้องอิสราเอลบางพวกเสียอีก (30:26-31) พวกเขาเหยียบเรือสองแคม หวัง ผลจากทั้งสองฝ่าย และดูทำท่าจะไปได้สวย

แล้วสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่เสมอๆ ผลพวงของความบาป มันเริ่มปรากฎชัดออกมา อาคีชปลื้ม ดาวิดมาก แทนที่จะให้เป็นแค่ผู้ลี้ภัย ดาวิดได้รับแต่งตั้งให้เป็นราชองครักษ์ส่วนตัวของ กษัตริย์ฟิลิสเตีย และเป็นผู้นำของคน 600 คนในกองทัพฟิลิสเตีย ดาวิดติดอยู่ตรงกลาง ถึงเวลาที่ต้องพิสูจน์ตนเองแล้ว ตอนนี้ท่านต้องออกไปต่อสู้กับคนที่พระเจ้าเจิมไว้ และ สู้กับโยนาธานผู้เป็นบุตร และเป็นเพื่อนรักที่สุดของท่าน ดาวิดหนีไปฟิลิสเตียเพราะต้อง การ "รักษา" ชีวิตคนของท่านและครอบครัวเพื่อให้พวกเขาได้มีโอกาสอยู่ด้วยกัน แต่ แล้วกลับถูกจับไปเป็นเชลยโดยพวกไหนก็ไม่รู้ คนของดาวิดที่ได้รับประโยชน์จากการ หนีตามท่านไปฟิลิสเตียกำลังจะเอาหินทุ่มท่านให้ตาย พวกนก (คำสุภาษิต) มักกลับมา ตายรัง น่าจะอธิบายได้ชัดเจน

พระเจ้ากับมารต่างกันมหาศาลตรงจุดนี้ พระเจ้าแสดงให้เห็นผลของความบาปอย่างชัด เจน ถึงแม้จะมีรายละเอียดมากมายก็ตาม เราสามารถสรุปทั้งหมดได้ด้วยคำพูดนี้ : "ค่า จ้างของความบาปคือความตาย" (โรม 6:23) ถึงแม้จะเป็นเรื่องของการสามัคคีธรรมกับ พระองค์ – การติดตามพระเยซูคริสต์ – พระผู้เป็นเจ้าของเราต้องการสำแดงให้เราเห็น ทั้งผลที่เกิดขึ้นในทันที และประโยชน์ในระยะยาว พระเจ้าไม่ได้ "หลอกล่อ" ให้เรากระ ทำดีโดยติดป้ายรางวัลไว้สวยหรู "แต่พวกมารทำ" มันทำให้เห็นว่าผลของบาปนั้นเล็ก นิดเดียว และบางทีแทบไม่มีเลย (เช่น "เจ้าจะไม่ตายจริงดอก!" ปฐมกาล 3:4) แต่ขอ ให้แน่ใจเถิดว่าราคาของความบาปนั้นสูงมาก

หลายปีมาแล้วผมและครอบครัวไปใช้เวลากันที่ซิกส์แฟลคส์ในเท็กซัส (เป็นสวนสนุก) ไปกับอีกครอบครัวหนึ่ง มีคนสกิดใจให้ผมนึกถึงค่าจ้างของความบาป หลังจากที่เราจ่าย ค่าผ่านประตูที่แพงลิบเข้าไป และยืนเข้าแถวรอเล่นเครื่องเล่นที่โฆษณาสรรพคุณเสีย เลิศลอย หลังจากเล่นจบแล้ว ผมหันไปพูดกับเพื่อนว่า : "นี่เป็นการสาธิตให้เห็นผลของ ความบาปเป็นอย่างดี ราคาแพงมาก แต่สนุกได้ประเดี๋ยวเดียว !" เช่นกันสำหรับดาวิด เวลาสนุกสนานผ่านไปแล้ว ถึงเวลาต้องชดใช้

16 คนมีปัญญาก็ระวังตัวและหันเสียจากความชั่วร้าย แต่คนโง่ขาดความยับยั้งและสะเพร่า (สุภาษิต 14:16)

ประการที่สอง เราเห็นจากบทเรียนตอนนี้ว่า ผลพวงจากความบาปของเราจะแผ่ ไปถึง่คนรอบด้าน และมักสร้างความเจ็บปวดและความทุกข์ให้กับคนที่เรารัก ที่สุดเสมอ ผมแน่ใจว่าดาวิดคิดว่าตนเองทำดีที่สุดให้กับครอบครัวด้วยการพาไปอยู่ใน ดินแดนฟิลิสเตีย แต่การกระทำเช่นนี้ นับเป็นสิ่งที่ผิดสำหรับท่าน (บทที่ 26) สำหรับ ครอบครัวของท่านด้วย ถึงแม้เรารู้ว่าในที่สุดจะกลับกลายเป็นดีก็ตาม แต่ในช่วงเวลา เหล่านั้น คนในครอบครัวของท่านต้องเผชิญกับความกลัว ความชอกช้ำมากมาย เป็น การจ่ายด้วยราคาที่แสนแพง – โดยความทุกข์ของพวกเขา! เมื่ออับรามสั่งภรรยา นาง ซารายให้โกหกคนอื่นว่านางเป็นน้องสาวนั้น ทั้งสองเจ็บปวดทรมาณที่ต้องแยกจากกัน คืนแล้วคืนเล่า นับเป็นค่าจ้างราคาแพงสำหรับความบาปของท่าน

อาสาฟ ผู้เขียนพระธรรมสดุดีในสมัยโบราณเขียนบทสดุดีบทหนึ่งในช่วงเวลาแห่งความ ทุกข์ยากในชีวิตของท่าน สดุดีบทที่ 73 ท่านเริ่มต้นด้วยการยืนยันในหลักการของพระ คัมภีร์ :

1 แท้จริงพระเจ้าทรงดีต่ออิสราเอล ต่อบุคคลผู้มีใจบริสุทธิ์
(สดุดี 73:1)

แล้วท่านก็พูดต่อไปว่า ท่านมองไปรอบข้าง แล้วดูเหมือนไม่น่าเป็นจริง คนชอบธรรมถูก ข่มเหง คนอธรรมกลับมั่งคั่งขึ้น พวกเขาเยาะเย้ยพระเจ้า อาสาฟเกือบจะยกธงขาวยอม แพ้ แต่ท่านตระหนักว่าถ้าท่านทำบาป คนอื่นจะต้องรับกรรมไปด้วย :

15 ถ้าข้าพระองค์ได้พูดว่า "ข้าพเจ้าจะพูดอย่างนี้" ข้าพระองค์จะไม่จริงต่อพวกบุตรทั้งหลายของพระ องค์อยู่แล้ว (สดุดี 73:15)

นี่คือทิศทางของความบาป มันไม่เพียงทำให้ผู้ทำได้รับความเจ็บปวดเท่านั้น แต่มันจะมี ผลกระทบไปถึงคนอื่นๆด้วย ในท่ามกลาง"คนอื่นๆ" นี้มีคนที่เรารักมากที่สุดอยู่ด้วยเสมอ เมื่อคู่สามีภรรยาเลือกที่จะละทิ้งคำสาบานของการแต่งงาน ไปประพฤติผิดประเวณี จะ ก่อให้เกิดความทุกข์สาหัสเสมอ ไม่เพียงแต่กับคู่ของเขาเท่านั้น แต่ทั้งครอบครัวด้วย ความบาปไม่คุ้มกับที่ต้องสูญเสียไป แต่คนที่ "จ่าย" มากมายไปเพื่อความบาปของเรา มักเป็นคนที่เรารัก เพื่อเห็นแก่พระเจ้า เห็นแก่ตัวคุณเอง และเห็นแก่ทุกคนที่คุณรัก ให้ เรามองความบาปอย่างที่มันควรเป็น และมันทำความเสียหายได้มากเพียงใด การร้อง ไห้คร่ำครวญในบทเรียนตอนนี้ เป็นส่วนหนึ่งของราคาความบาป บาปของดาวิด ผมเคย พูดไปแล้วสำหรับคนมีความตั้งใจจะทำบาป แล้วผมขอพูดอีกครั้งสำหรับคนที่กำลังคิด อยู่ว่าจะทำดีหรือไม่ทำดี (วางแผนและพยายามทำให้ได้ตามแผน) ผมยังคงเห็นบางคน เลือกที่จะทำบาป และเมื่อมองย้อนกลับไปที่ความบาปนั้นเขากลับยิ้มและรู้สึกว่ามันคุ้ม ค่า

ประการที่สาม บทเรียนตอนนี้เน้นเรื่องราคาแพงของความบาป แต่ในขณะเดียว กันก็มอบความหวังให้ – ซึ่งเตือนให้เรารู้ว่ายังมีหนทางออก ผมมีเพื่อนคนหนึ่งที่ พูดไว้ว่า : "โคลนไม่ได้เลอะแค่เท้าของผม แต่มันเลอะไปจนถึงใต้วงแขนทีเดียว!"157 http://www.bible.org/docs/ot/books/1sa/deffin/ ดาวิดเลอะไปด้วยโคลน "จนถึงใต้วงแขน" แต่ให้เราสังเกตุที่ผู้เขียนต้องการให้เราเห็น ข้อแตกต่างระหว่างซาอูลและดาวิด ทั้งซาอูลและดาวิดเอาตนเองเข้าไปพัวพันในสถาน การณ์ที่ร้ายแรง ดูเหมือนสิ้นหวัง ทั้งคู่เป็นทุกข์หนัก หนักจนไม่มีเรี่ยวแรงเหลืออยู่เลย เมื่อซาอูลกลับไป ท่านไปใน "ตอนกลางคืน" เมื่อดาวิดไปจากพวกฟิลิสเตียนั้นเป็น เวลา "ตอนเช้า" ดูเหมือนผู้เขียนต้องการให้เราเห็นข้อแตกต่างระหว่างซาอูลกับ ดาวิด ถึงแม้จะตกอยู่ในสถานการณ์ที่ใกล้เคียงกัน

ตอนท้ายของข้อ 6 มีความหมายสำคัญแฝงอยู่ ไม่เพียงแต่เป็นเรื่องความแตกต่างระ หว่างดาวิดและซาอูล แต่พูดถึงแหล่งที่มาของความแตกต่างนี้ :

แต่ดาวิดก็มีกำลังขึ้นในพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่าน (ข้อ 6)

ซาอูลไปขอคำปรึกษาจากคนทรง ; ดาวิดมีกำลังขึ้นในพระผู้เป็นเจ้าของท่าน มีความ แตกต่าง ซาอูลไม่เคยสำนึกผิด ไม่เคยมีจิตใจแสวงหาพระเจ้า ดาวิดมีจิตใจเพื่อพระเจ้า และท่านสำนึกผิด ดาวิดก็เหมือนพวกเราทั้งหลาย จะพบจุดหักเหก็ต่อเมื่อต้องเผชิญกับ ความทุกข์ความเศร้าโศกในช่วงชีวิตที่มืดมิด แต่ในช่วงชีวิตที่มืดมิดของดาวิด เมื่อท่าน ไม่รู้จะหันหน้าไปพึ่งใคร ท่านหันไปพึ่งพระเจ้า

ท่านทำได้อย่างไร? ท่านมีกำลังขึ้นในพระเจ้าของท่านได้อย่างไร? เราจะสังเกตุเห็นว่า ผู้เขียนไม่ได้ให้รายละเอียดอะไรไว้เลย ไม่มีสูตรสำเร็จ ไม่มีขั้นตอนที่ผ่านการทดสอบ มาแล้ว เรากำลังอาศัยอยู่ในโลกที่ผู้คนต้องการการแก้ปัญหาอย่างทันด่วน และแน่นอน เราเห็นบ่อยครั้งถึงการแสดงให้ดูที่ละขั้นทีละตอนชัดเจน – เรียกว่าเป็นสูตรสำเร็จ ใน ตอนท้ายของบทเรียนนี้ ผมไม่คิดว่าชีวิตคริสเตียนดำเนินอยู่บนสูตรสำเร็จ แต่อยู่บน ความจริงและหลักการ มีคำสั่ง "ให้ทำ" หรือห้าม "ไม่ให้ทำ" แต่ว่าก็ไม่ใช่สูตรสำเร็จ ให้เราจำไว้ว่าดาวิดมีกำลังเข้มแข็งในวิญญาณขึ้นมาด้วยการพึ่งพิงในพระเจ้า

อย่างที่พูดไปแล้วว่าไม่มีสูตรสำเร็จซ่อนอยู่ในตอนนี้ แต่เราพบสิ่งที่เป็นประโยชน์ สำหรับคนที่ต้องการเข้มแข็งขึ้นในพระเจ้า เราคงจำเหตุการณ์ตอนที่โยนาธานช่วยดาวิด ให้เข้มแข็งขึ้นในพระเจ้าได้ :

15 และดาวิดเห็นว่าซาอูลได้ทรงออกมาแสวงชีวิต ของเธอ ดาวิดอยู่ในป่าศิฟที่โฮเรช 16 และโยนาธาน ราชบุตรของซาอูลได้ลุกขึ้นไปหาดาวิดที่โฮเรช และ สนับสนุนมือของเธอให้เข้มแข็งขึ้นในพระเจ้า 17 โยนา ธานพูดกับเธอว่า "อย่ากลัวเลยเพราะว่ามือของซาอูล เสด็จพ่อของฉันจะหาเธอไม่พบ เธอจะได้เป็นพระราชา เหนืออิสราเอล และฉันจะเป็นอุปราช ซาอูลเสด็จพ่อ ของฉันก็ทราบเรื่องนี้ด้วย" 18 และทั้งสองก็กระทำพันธ สัญญาต่อพระพักตร์พระเจ้า ดาวิดยังค้างอยู่ที่โฮเรช และโยนาธานก็กลับไปวัง (1 ซามูเอลl 23:15-18)

ถ้าดาวิดสามารถเข้มแข็งขึ้นในพระเจ้าได้ เราน่าจะลงความเห็นได้ว่าคงเหมือนที่ โยนาธานทำก่อนหน้านี้ ดาวิดคงต้องตักเตือนตนเองอีกครั้งถึงพระลักษณะของพระเจ้า และพระสัญญาของพระองค์ และถ้าองค์พระผู้เป็นเจ้าเป็นพระองค์เอง คือมีพระลักษณะ ที่เป็นพระองค์ เราควรมั่นใจได้ว่าสิ่งที่พระองค์สัญญาไว้ พระองค์จะกระทำให้สำเร็จ อ. เปาโลกล่าวเอาไว้ว่า :

6 ข้าพเจ้าแน่ใจว่าพระองค์ผู้ทรงตั้งต้นการดีไว้ในพวก ท่านแล้ว จะทรงกระทำให้สำเร็จจนถึงวันแห่งพระเยซู คริสต์ (ฟิลิปปี 1:6) 12 เพราะเหตุนั้นเองข้าพเจ้าจึงได้ทนทุกข์ลำบากเช่นนี้ ถึงกระนั้นข้าพเจ้าก็ไม่ละอาย เพราะว่าข้าพเจ้ารู้จักพระ องค์ที่ข้าพเจ้าได้เชื่อ และข้าพเจ้าเชื่อมั่นว่า พระองค์ทรง สามารถรักษาซึ่งข้าพเจ้าได้มอบไว้กับพระองค์ จนถึงวัน พิพากษาได้ (2 ทิโมธี 1:12; ดูยากอบ 1:24-25ด้วย)

มีข้อเท็จจริงอีกอันที่เกี่ยวกับการที่ดาวิดเข้มแข็งขึ้นในพระเจ้า อยู่ต่อเนื่องจากข้อ 6:

7 ดาวิดจึงพูดกับอาบียาธาร์ ปุโรหิตบุตรของอาหิเมเลคว่า "ขอนำเอโฟดมาให้ข้าพเจ้า" อาบียาธาร์ก็นำเอโฟดมาให้ ดาวิด 8 และดาวิดทูลถามพระเจ้าว่า "สมควรที่ข้าพระองค์ จะติดตามกองปล้นนี้หรือ ข้าพระองค์จะขับทันเขาหรือ" พระองค์ตอบท่านว่า "จงติดตามเถิดเจ้าจะไปทันเขาแน่ และ จะช่วยได้แน่" 9 ดาวิดก็ยกออกติดตามพร้อมกับคนที่อยู่กับ ท่านหกร้อยนั้น และเขามาถึงลำธารเบโสร์ คนที่ล้าหลังก็พัก อยู่ที่นั่น (1 ซามูเอล 30:7-9)

ดาวิดไม่เพียงแต่เข้มแข็งขึ้นในพระเจ้า ดาวิดแสวงหาการทรงนำจากพระองค์ด้วย ท่าน แสวงหาน้ำพระทัยของพระเจ้าในเหตุการณ์ครั้งนี้ และท่านทำตาม ดาวิดช่างแตกต่าง จากซาอูลโดยสิ้นเชิง กำลังของดาวิดดูเหมือนจะมาจากการที่ท่านใคร่ครวญดูว่าพระเจ้า คือผู้ใด พระองค์ทรงสัญญาไว้ว่าอย่างไร และพระองค์ต้องการให้ทำสิ่งใด ดาวิดอาจ เข้าไปพัวพันกับปัญหาอื่นๆอีก เพราะการตัดสินใจที่โง่เขลา แต่ท่านก็หันกลับมาหาพระ เจ้าที่ท่านมอบความไว้วางใจทั้งหมดให้

ประการที่สี่ พระธรรมตอนนี้มีคำสอนที่หนุนใจเราบางประการเกี่ยวกับพระเจ้า พระธรรมตอนนี้เตือนเราถึงความสัตย์ซื่อของพระเจ้า ถึงแม้เมื่อเราขาดความเชื่อ

13 ถ้าเราไม่มีความสัตย์จริง พระองค์ก็ยังทรงไว้ซึ่งความ สัตย์จริง เพราะพระองค์จะไม่ทรงเป็นพระองค์เองไม่ได้ (2 ทิโมธี 2:13)

พระเจ้าทรงเจิมตั้งดาวิดให้เป็นกษัตริย์องค์ต่อไปของอิสราเอล และพระองค์จะจัดการ ให้สำเร็จจนดาิวิดได้ขึ้นเป็นกษัตริย์องค์ต่อไป ไม่ว่าจะเป็นซาอูล เป็นอิสราเอลที่ไม่ เชื่อฟัง เป็นกษัตริย์ฟิลิสเตีย เป็นพวกทหาร หรือแม้กระทั่งตัวดาวิดเองจะสามารถยับยั้ง ดาวิดจากการขึ้นปกครองเป็นกษัตริย์องค์ต่อไปของอิสราเอลได้ พระประสงค์และพระ สัญญาของพระเจ้าเป็นเรื่องจริงแท้แน่นอน

จากที่เราเห็นในบทเรียน พระเจ้าไม่เพียงแต่ทรงสัตย์ซื่อเท่านั้น พระองค์ทรงมีพระทัย เมตตา ดาวิดเอาตัวเองเข้าไปพันกับปัญหาจนยุ่งเหยิง เป็นง่ายที่เราจะพูดว่าดาวิดเป็น คนผูกเอง ก็สมควรต้องแก้เอง เราจะรู้สึกอย่างไรที่เห็นดาวิดค่อยๆจมลงไปในทรายดูด ทีละนิดๆ พระเจ้าอนุญาติให้ดาวิดมีประสบการณ์ในความเจ็บปวดเพราะผลของความ บาป ถึงแม้พระองค์จะไม่อยากทำก็ตาม ; พระองค์มีพระประสงค์จะแสดงพระเมตตา ทำให้พระองค์เข้ามาช่วยกู้ดาวิด ช่วยกู้คนของท่าน ครอบครัว และทรัพย์สมบัติที่ถูกยึด ไป เราจะเห็นสิ่งนี้สำเร็จลงในไม่ช้า

เราเห็นอำนาจอันทรงอธิปไตยของพระเจ้าชัดเจนในการที่พระองค์ช่วยกู้ดาวิดและคน ของท่านออกจากการไปช่วยฟิลิสเตียรบกับอิสราเอล พระเจ้าทรงใช้ดาวิดและแม้กระทั่ง ความบาปของท่านมาทำให้พระประสงค์ของพระองค์สำเร็จลง พระเจ้าไม่ได้ทำให้ดาวิด ทำบาป หรือยกเว้นไม่เอาผิด แต่ในที่สุดแล้ว อำนาจอธิปไตยของพระองค์ (ควบคุมทุก สิ่ง) นั้นยิ่งใหญ่จนพระองค์สามารถนำการไม่เชื่อฟังและความบาปของมนุษย์มาทำให้ พระประสงค์ของพระองค์สำเร็จลง พระองค์ทรงใช้บาปแห่งการทรยศขายโยเซฟโดย พวกพี่ชายของท่านมาช่วยกู้ชนชาติอิสราเอล ดังนั้นในบทเรียนตอนนี้ พระเจ้าทรงใช้ มนุษย์ที่ทำบาป พระองค์ใช้ดาวิด อย่างที่เราได้เห็น พระองค์ทรงใช้ความไร้เดียงสา ของกษัตริย์อาคีช ใช้สติปัญญาของผู้นำฟิลิสเตียทั้งสี่ และพระองค์จะทรงใช้แม้กระทั่ง การโจมตีของพวกอามาเลขเพื่อพระประสงค์ของพระองค์ ผมชื่นชอบข้อเขียนของ ดาวิสที่เขียนเกี่ยวกับการที่พระเจ้าทรงใช้ศัตรูของพระองค์ :

"แล้วเราก็เห็นอีกครั้ง ว่าพระยาเวห์ใช้เครื่องมือใดมา ช่วยกู้ผู้รับใช้ของพระองค์ออกจากปมปัญหา ? ทรง ใช้คำสั่งของผู้นำกองทัพฟิลิสเตีย ครั้งนี้ไม่ใช่ครั้ง แรกที่พระยาเวห์ทำให้ศัตรูกลายมาเป็นผู้ช่วยกู้ (ดู 23:19-28) ฟิลิสเตียกลายเป็นผู้รับใช้ที่เกิดผลโดย ไม่เจตนา ! ผู้ใดเป็นที่ปรึกษาของพระองค์? !(จาก อิสยาห์ 40:13-14)"158

"บทเรียนครั้งนี้สอนว่า แม้ในความโง่เขลาอวดดีของ เรา พระเจ้าก็ยังทรงมีหนทางที่เราคาดไม่ถึงมาใช้ช่วย คนของพระองค์ โดยยืมปากของคนฟิลิสเตีย พระองค์ สามารถให้ศัตรูมาช่วยเหลือในฐานะเพื่อน พระองค์ ไม่เพียงแต่ทรงเตรียมสำรับของเราต่อหน้าต่อตาศัตรู เท่านั้น แต่ยังทรงใช้ความสามารถพิเศษให้ศัตรูเป็นผู้ จัดเตรียมสำรับให้เราด้วย !"159

ผมคิดว่าบางทีเราชอบสรุปเอาเองว่า พระเจ้าคือพระผู้ช่วยให้รอดเพียงที่บนไม้กางเขน บนเนินหัวกระโหลกเท่านั้น ความจริงคือ พระเจ้าเป็นผู้เคยช่วยเหลือและยังคนเป็นองค์ พระผู้ช่วยอยู่ พระองค์ทรงช่วยกู้มนุษย์ตั้งแต่ต้นประวัติศาสตร์ พระเจ้าองค์พระผู้ช่วย องค์นี้ ช่วยโนอาห์และครอบครัวจากน้ำท่วมโลก (ปฐมกาล 6-9) ทรงช่วยอับรามออก จากอียิปต์ จากมือของอาหิเมเลคในเกราร์ (ปฐมกาล 13, 20) พระองค์ช่วยโลทและ บุตรสาวออกมาจากโสดม โกโมราห์ (ปฐมกาล 19) ทรงช่วยยาโคบและตระกูลนี้ไม่ให้ สูญสิ้น จัดตั้งให้ขึ้นเป็นประเทศได้ (ปฐมกาล 37) ทรงช่วยชาวอิสราเอลออกจากเงื้อม มือฟาโรห์ และออกจากบรรดากษัตริย์และชนชาติที่ชั่วร้ายทั้งหลาย ทรงช่วยกู้ อิสรา เอลให้พ้นจากศัตรูรอบด้านอยู่ตลอดเวลาในยุคผู้วินิจฉัย ถ้าพระเจ้าต้องฝึกปรือพระองค์ ในการช่วยกู้มนุษย์ (ซึ่งพระองค์ไม่จำเป็นต้องทำแน่นอน!) พระองค์คงจะต้องมีฝีมือที่ เก่งฉกาจทีเดียว

แต่การช่วยกู้ในอดีตทั้งหมดที่ผ่านมา ไม่อาจเทียบได้กับการทรงช่วยกู้มนุษย์ออกจาก ความบาปด้วยการยอมตนเองเป็นเครื่องถวายบูชา การสิ้นพระชนม์ และฟื้นคืนพระชนม์ ขององค์พระเยซูคริสต์ ผู้ยอมตายเพื่อความบาปของเรา ยอมรับเอาการลงทัณฑ์ทั้งสิ้น แทนเรา พระองค์ไม่เพียงยอมแบกความผิดบาปของเราเท่านั้น แต่ทรงมอบความชอบ ธรรมให้แก่เรา เพื่อเราจะสามารถมีชีวิตนิรันดร์และอยู่กับพระองค์ได้ตลอดไป พระเจ้า ทำสิ่งนี้ให้สำเร็จลงได้ด้วยบาปแห่งการทรยศของยูดาส ความริษยาและอุบายชั่วของผู้ นำชาวยิว ความร่วมมือของผู้ปกครองต่างชาติโรมัน (ผู้พยายามทำให้ถูกต้องตามนโย บายการเมือง) และความเฉยเมย (หรืออาจมีส่วนร่วม) ของประชาชน สิ่งที่พระองค์ทำก็ เพื่อมนุษย์ที่เป็นคนบาปจะได้รับการอภัย ได้รับความชอบธรรมจากพระเจ้าโดยทางพระ บุคคลขององค์พระเยซูคริสต์

คุณได้รับการช่วยกู้หรือยัง? คุณเห็นสิ่งที่ความบาปพยายามยัดเยียดให้คุณหรือไม่? พระเจ้าจัดเตรียม "ทางออก" เอาไว้ให้ ด้วยวิธีที่ไม่มีใครคิดถึงหรือทูลขอ – โดย พระโลหิตของพระเยซูคริสต์ ที่ไม้กางเขนบนเนินหัวกระโหลก สิ่งที่คุณต้องทำคือ ยอมรับการให้อภัยนี้ ว่าเป็นของประทานจากพระเมตตาและพระคุณของพระเจ้า การ ได้รับการอภัย ได้เป็นไทโดยการช่วยเหลือของพระเจ้าเป็นสิ่งมหัศจรรย์ที่สุดในโลก ขอให้พระเกียรติและพระสิริทั้งสิ้นเป็นของพระองค์แต่เพียงผู้เดียว


150 ดาวิสตั้งชื่อตอนนี้ว่า "รับเอาฟิลิสเตียเป็นผู้ช่วยให้รอด" จากข้อเขียนของ Dale Ralph Davis, Looking on the Heart: Expositions Of The Book Of 1 Samuel (Grand Rapids: Baker Books, 1994), vol. 2, pp. 159-166.

151 ที่อาจเป็นได้ตามที่เพื่อนของผม มาร์วิน บอลล์แนะนำคือ พวกผู้นำทั้งห้ากองทัพฟิลิสเตีย จะอยู่ตอนท้ายขบวน เพื่อหลบเลี่ยงอันตรายที่จะเกิดในสงคราม และอยู่ในตำแหน่ง "กองบัญชา การ" เคลื่อนที่ ถ้าเป็นเช่นนี้ ดาวิดไม่เพียงแต่จะปกป้องอาคีชเท่านั้น แต่ปกป้องผู้นำทั้งห้าด้วย ถ้าจะพูดแบบร่วมสมัยคงต้องพูดว่า "ฝากปลาย่างไว้กับแมว"

152 เพื่อนผมชี้ให้เห็นว่าเรื่องนี้ไม่ใช่เป็นความกลัวแบบเลื่อนลอย เราจะห็นได้จากบททบทวนใน 1 ซามูเอล 14:21.

153 ข้อเขียนของดาวิส, vol. 2, p. 161.

154 ฮิวจ์ เบลวินส์เพื่อสูงวัยของผมชี้ให้เห็นว่าการไว้ชีวิตคนศิกลากไมใช่เป็นการกระทำที่เต็ม ไปด้วยมนุษยธรรม; เป็นการหวังผล พี่ชายของโยเซฟไว้ชีวิตท่านไม่ใช่เพราะสงสาร ; พวกเขา ขายท่านไปเป็นทาสเพื่อเห็นแก่เงิน และอาจ "สะใจ" ที่รู้ว่าน้องชายต้องทนทุกข์เป็นทาสไป ตลอดชีวิต ร่างคนตายไม่มีประโยชน์อะไร แต่ถ้ายังมีชีวิต ขายไปเป็นทาสยังได้เงินตอบแทน

155 เรารู้จักชั้นเชิงของดาวิดที่ผ่านมาในอดีตเป็นอย่างดี ท่านอาจกำลังวางแผนออกไปปล้นฆ่า อีก เพราะในขณะนั้นพวกฟิลิสเตียไม่มีเวลามาสนใจดู

156 ในข้อหนึ่งของบทที่ 30 พูดว่าชาวอามาเลขมาปล้นศิกลาก แต่ดูเหมือนดาวิดไม่รู้ว่าเป็น พวกใดในตอนแรก จนกระทั่งไปพบกับชายหนุ่มที่ถูกทิ้งอยู่ คงถูกทิ้งไว้ให้ตาย (30:11-15).

157 ผมจำได้ว่า ดร.แฮดดอน โรบินสันพูดไว้ต่อหน้าผม เมื่อหลายปีมาแล้ว

158 จากข้อเขียนของ Davis, vol. 2, p. 163.

159 จากข้อเขียนของ Davis, vol. 2, p. 164.

Related Topics: Introductions, Arguments, Outlines

Report Inappropriate Ad