หัวข้อที่เราคุยกันไม่มีเรื่องฝ่ายจิตวิญญาณเลย—เรากำลังคุยกันเกี่ยวกับหนังทีวีเรื่อง "เจ้าพ่อดัลลัส" —แต่นั่นก็ยังไม่ทำให้ผมประหลาดใจเท่าไร. จนกระทั่งสามีออก ความเห็นเรื่องคาวบอย, ซึ่งผมก็คิดว่าภรรยาคงจะเห็นด้วย, หรืออย่างน้อยพยักหน้า คล้อยตาม. แต่เธอกลับพูดโพล่งออกมาว่า, "นี่เดี๋ยวก่อน พ่อเจ้าประคุณ.…" ผมแทบตก จากเก้าอี้. ภาพพจน์ของภรรยาผู้นำคริสเตียนพังทลายป่นปี้ภายในพริบตา!!
เรามักจินตนาการวาดภาพต่างๆไว้ในใจ, และหลายครั้งภาพเหล่านี้ก็พังทลายลงมาได้ เหมือนกัน. โยนาห์เป็นผู้เผยพระวจนะที่ไม่เหมือนกับที่เราวาดภาพไว้ว่าผู้เผยพระวจนะ ทั้งหลายของพระเจ้าควรเป็น เขาแตกต่างจากผู้เผยพระวจนะคนอื่นๆในพระคัมภีร์1 อย่าง สิ้นเชิง พระธรรมโยนาห์เขียนขึ้นมาเพื่อลบภาพพจน์ของบรรดาผู้เผยพระวจนะท่านอื่นๆ และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ต้องเป็นผู้เผยพระวจนะแบบโยนาห์ซะด้วย.
โยนาห์นั้นโดดเด่นในหลายๆทาง. แรกสุด, โยนาห์เป็นผู้เผยพระวจนะเพราะตัวตน ของท่านเอง มากกว่าสิ่งที่ท่านพูด. ถ้าเรานำเนื้อหาในพระธรรมโยนาห์ตามที่บันทึก ไว้ในพระคัมภีร์, เราแทบจะมองหาย่อหน้าในคำพยากรณ์ของท่านไม่เจอ. (จะค่อนข้าง หนักไปในเชิงประท้วงมากกว่าเป็นคำพยากรณ์ทั่วไป ดูแล้วหดหู่มากกว่าจะเป็นคำทำ นาย) โยนาห์เป็นคนที่พูดน้อยมาก, แต่ผลงาน การกระทำ และคำพยากรณ์นั้นมีค่า เป็นอย่างยิ่ง.
พระธรรมโฮเชยาห์ใช้นางโกเมอร์แทนภาพอิสราเอล, และโฮเชยาห์ สามี เป็นเหมือน ภาพสะท้อนของพระเจ้า. โยเอลใช้ฝูงตั๊กแตนเพื่อทำนายถึงกองทัพศัตรูของอิสราเอล ที่กำลังมาโจมตี เข้ามากลืนกินอิสราเอลเช่นเดียวกับการการพิพากษา ดังนั้น ทำนอง เดียวกัน โยนาห์ก็เปรียบเป็นภาพเหมือนของอิสราเอล. เมื่อโยนาห์ได้รับคำสั่งที่ ชัดเจนจากพระเจ้า ท่านไม่ทำตาม เหมือนเช่นคนอิสราเอลคือ มีนิสัยและลักษณะ ของความดื้อดึง กบฎ และไม่เชื่อฟังคำสั่งที่พระเจ้าที่ตรัสสั่งมาทางโมเสส.
โดยทั่วไปคำพยากรณ์นั้นเป็นมากกว่าการไปประกาศตามธรรมดา; เป็นเรื่องของความ อัศจรรย์ พระธรรมโยนาห์เป็นเรื่องที่แสดงถึงสภาพจิตวิญญาณอันน่าเศร้าของชนชาติ อิสราเอล เป็น สถานะการณ์ซึ่งสะท้อนให้เห็นภาพของการไม่เชื่อฟังคำสั่ง หรือการ เรียกร้องทวงเอาจากพระเจ้าที่ชัดเจน, เป็นสถานะการณ์ซึ่งสมควรได้รับการตีสอน เป็นอย่างยิ่ง.
อย่างที่สอง, โยนาห์ เป็นผู้เผยพระวจนะคนเดียวที่ถูกบันทึกว่า "วิ่งหนีพระเจ้า". ท่านไม่ได้เป็นที่รู้จักเพราะเคร่งศาสนา, แต่รู้จักเพราะความไม่เอาไหน. โยนาห์, เป็นคน หัวรั้น และไม่เชื่อฟัง, ความแข็งกระด้างภายในใจของท่าน เป็นเสมือนภาพการกบฎของ ชนชาติอิสราเอล. พระเจ้าเคยตรัสกับโมเสสเมื่อหลายร้อยปีก่อนว่า, "เราเห็นประชากร นี้แล้ว นี่แหละเขาเป็นชนชาติหัวแข็ง" (อพยพ. 32:9).
อย่างที่สาม, โยนาห์เป็นผู้เผยพระวจนะที่ไม่เหมือนใคร เป็นคนที่เอาแต่ใจ ตัวเองฝ่ายเดียว ตามที่บันทึกไว้ในพระคัมภีร์ เราไม่เคยเห็นมีการการกลับใจ ของท่าน หรือเป็นท่านผู้ที่ "ชื่นชมยินดีในความรอด" เราเคยเห็นความล้มเหลว ของผู้คนมากมายในพระคัมภีร์เดิม แต่ในที่สุดบุคคลเหล่านี้ก็ มาถึงจุดที่เขากลับใจ และ คืนดีกับองค์พระผู้เป็นเจ้า กษัตริย์ดาวิดทำบาปที่ใหญ่หลวง แต่แล้วท่านก็ได้กลับใจ อับราฮัม ยาโคบ และเอลียาห์เคยผ่านความล้มเหลวมาแล้วทั้งนั้น แต่พวกเขาก็เติบโต เข้มแข็งขึ้นในความเชื่อ และการเชื่อฟัง สิ่งนี้ไม่เคยเกิดขึ้นกับโยนาห์ ถ้าไม่ใช่โยนาห์ เป็นผู้เขียนพระธรรมเล่มนี้เอง เราอาจพบหลักฐานอื่นๆ สักเล็กน้อยว่าท่านได้กลับใจ
ถึงตอนนี้ ผมยังคงต้องพูดว่าไม่เห็นการกลับใจของโยนาห์ในหนังสือเล่มสั้นๆเล่ม นี้เลย. ตามปกติิคนเราชอบมีความคิดโน้มนำไปว่าธรรมิกชนในพระคัมภีร์เดิมนั้น ต้องทำสิ่งที่ถูกต้อง มีสาเหตุที่ถูกต้อง— นับเป็นการเข้าใจผิดอย่างใหญ่หลวงที่เรา เห็นได้จากพระธรรมโยนาห์ บรรดาผู้ที่ค้นคว้าเรื่องราวของ โยนาห์มักคาดหวังที่จะ เห็นถึงเรื่องการกลับใจปรากฎอยู่ที่หนึ่งที่ใดในหนังสือ บางคน คาดว่าจะพบตั้งแต่ บทแรกเลยทีเดียว ขอพูดอย่างตรงไปตรงมา ผมเองยังไม่เห็นว่ามีการกลับใจตรงไหน และนี่เป็นเหตุให้พระธรรมเล่มนี้โดดเด่นออกมา . ถ้าเราไม่มัวแต่หาข้อแก้ตัวให้กับ โยนาห์ เราก็จะเห็นว่าผู้เขียนหนังสือเล่มนี้มุ่งหวังให้ผู้อ่านรู้สึกเห็นอกเห็นใจคนต่างชาติ (เช่นคนเดินเรือในบทที่ 1, ชาวนีนะเวห์ในบทที่ 3 และ 4) มากกว่า เห็นใจผู้เผย พระวจนะหัวรั้นผู้นี้.
ผมคิดว่าโยนาห์, ในทุกๆบทของหนังสือเล่มนี้, คือตัวแทนของจิตใจที่แข็งกระด้าง จิต วิญญาณที่ไม่ยอมกลับใจของคนอิสราเอล. เนื้อเรื่องของหนังสือเล่มนี้ ไม่ได้ทำให้เรา รู้สึกอบอุ่น รู้สึกชื่นชม แต่จะค่อนข้างรู้สึกอึดอัดใจ พระธรรมโยนาห์จบลงอย่างไม่มี คำตอบใดๆสำหรับความบาปของโยนาห์ เช่นเดียวกับที่พระคัมภีร์เดิมจบลงอย่างไม่มี คำตอบสำหรับความบาปของคนอิสราเอล มีเพียงความหวังในการรอคอยการเสด็จมา ของพระเยซูคริสต์เท่านั้นที่สามารถให้ความหวัง ปลอบประโลม รู้สึกได้รับการปลด ปล่อยและหมดห่วง ที่พระเจ้าต้องการให้เราสัมผัสได้ถึงประสพการณ์หลังจากการกลับ ใจและมีการคืนดี
นอกจากพระธรรมโยนาห์แล้วมีการกล่าวถึงโยนาห์น้อยมากในพระธรรมเล่มอื่นๆ. ใน 2 พงษ์กษัตริย์ 14:25, มีการพูดถึงคำทำนายของโยนาห์ว่า จะมีการขยายเขตแดนทาง ตอนใต้ของอิสราเอลในช่วงการปกครองของกษัตริย์เยโรโบอัมผู้ชั่วร้าย. เราน่าจะสรุป ได้ว่าโยนาห์ผู้นี้น่าจะเป็นโยนาห์เดียวกับพระธรรมโยนาห์ เพราะมีการพูดถึงคนทั้ง สองว่า "ผู้เป็นบุตรอามิททัย"2 (2 พงษ์กษัตริย์ 14:25; โยนาห์ 1:1). คำพยากรณ์ที่โยนาห์บอกกับเยโรโบอัม มีข้อมูลสำคัญบางประการที่ทำให้เราได้รู้ พื้นฐานประกอบความเข้าใจในพระธรรมเล่มนี้ เพราะมีกล่าวไว้ว่า :
ในปีที่สิบห้าแห่งรัชกาลอามาซิยาห์โอรสของโยอาช พระราชาแห่ง ยูดาห์, เยโรโบอัมโอรสของเยโฮอาชแห่งอิสราเอลได้เริ่มครอบครอง ในสะมา เรีย และทรงครอบครองอยู่สี่สิบเอ็ดปี. และพระองค์ทรงกระ ทำสิ่งที่ชั่วร้ายในสายพระเนตรพระเจ้า; พระองค์มิได้ทรงพรากจากบาป ทั้งสิ้นของเยโรโบอัมบุตรเนบัท, ซึ่งพระองค์ทรงกระทำให้อิสราเอล กระทำ ด้วย. พระองค์ทรงตีเอาดินแดนอิสราเอลคืนมาตั้งแต่ทาง เข้าเมืองฮามัทใกลไปจนถึงทะเลแห่งอาราบาห์ตามพระวจนะ ของพระ เยโฮวาห์, พระเจ้าแห่งอิสราเอล, ซึ่งพระองค์ตรัสโดยผู้ รับใช้ของพระองค์ คือโยนาห์ผู้เป็นบุตรอามิททัยผู้เผยพระวจนะ ผู้มาจากกัทเฮเฟอร์. เพราะพระเจ้าทอดพระเนตรเห็นว่าความทุกข์ ใจของอิสราเอลนั้นขมขื่นนัก; เพราะไม่มีผู้ใดเหลือไม่ว่าทาสหรือไท, และไม่มีผู้ใดช่วยอิสราเอล. พระเจ้ามิได้ตรัสว่าจะทรงลบนามอิสราเอล เสียจากใต้ฟ้าสวรรค์, แต่พระองค์ทรงช่วยเขาโดยพระหัตถ์ของเยโร โบอัมโอรสของเยโฮอาช (2 พงษ์กษัตริย์ 14:23-27).
ดังนั้นเราจึงรู้ว่าโยนาห์เป็นผู้เผยพระวจนะของอาณาจักรฝ่ายเหนือ-อิสราเอล สมัยหลังเอลียาห์ และเอลีชา มีโฮเชยาและอาโมสร่วมสมัย ตอนนั้น นีนะเวห์ เมืองหลวงของอัสซีเรียได้เริ่มขยายอำนาจออกมาทางด้านตะวันออก แต่เป็นได้ไม่ นานอำนาจก็เสื่อมถอย ปล่อยให้อิสราเอล ภายใต้การปกครองของ เยโรโบอัม, ได้โอกาสขยายดินแดนออกไปแทน พระวจนะคำด้านบนกล่าวไว้อย่างชัดเจนว่า ความรุ่งเรืองของอิสราเอลในช่วงเวลานี้เป็นเพราะพระเมตตาของพระเจ้า และ ความรักที่มีต่อประชากรของพระองค์ ผู้ซึ่งถึงแม้ชอบกบฎอย่างใหญ่หลวง. ไม่ใช่เพราะคุณความดีของชนชาตินี้, หรือความสามารถของผู้นำ, ซึ่งมองดูเหมือน พระเจ้าทรงอวยพระพร. ทำนองเดียวกันงานประกาศของโยนาห์ในนีนะเวห์เป็นดัง พระคุณที่พระเจ้าเทให้ เหมือนที่พระเจ้าประทานให้กับอิสราเอล - ที่แตกต่างคือ, อิสราเอลไม่ได้กลับใจจากความชั่วร้าย แต่ก็ยังได้รับพระพรจากพระเจ้า ในขนะที่ชาว นีนะเวห์กลับใจอย่างแท้จริงจากความบาป ยิ่งทำให้เห็นพระคุณอันท่วมท้นที่มีต่อชาว อิสราเอลมากมายกว่าชาวนีนะเวห์ตามที่พระเจ้าให้สัญญากับคนบาปที่กลับใจ (เยเรมีห์. 18:7-8).
ความมั่งคั่งของอิสราเอลอยู่ได้ไม่นาน. อาโมส, ผู้เผยพระวจนะในสมัยเดียวกัน, กล่าว เตือนถึงวันที่พระเจ้าจะทรงพิพากษาอิสราเอล. เขากล่าวโทษอิสราเอลถึงความชั่วร้าย การข่มเหงผู้ยากไร้ และการละเมิดต่อความยุติธรรม (5:11-13). แต่ตลอดเวลาคน อิสราเอลก็ยังดำเนินอยู่ในความบาปแห่งการกราบไหว้รูปเคารพ, และพระเจ้าตรัสว่า,
"เราเกลียดชัง, เราดูหมิ่นบรรดาวันเทศกาลของเจ้า, และไม่ชอบในการ ประชุมตามเทศกาลของเจ้าเลย. แม้ว่าเจ้าถวายเครื่องเผาบูชาและ ธัญญบูชาแก่เรา, เราก็ไม่ยอมรับสิ่งเหล่านั้น; และศานติบูชาด้วยสัตว์ อ้วนพีของเจ้านั้นเราจะไม่มองดู. จงนำเสียงเพลงของเจ้าไปเสียจาก เรา; เราจะไม่ฟังเสียงพิณใหญ่ของเจ้า. แต่จงให้ความยุติธรรมหลั่ง ไหลลงอย่างน้ำ และให้ความชอบธรรมเป็นอย่างลำธารที่ไหลอยู่เป็น นิตย์" (อาโมส 5:21-24).
เพราะความบาปของอิสราเอล, พระเจ้าสัญญาว่าจะมีการพิพากษา:
"เพราะฉะนั้น, เราจะนำเจ้าให้ไปเป็นเชลย ณ ที่เลยเมืองดามัสกัสไป," พระเยโฮวาห์, ซึ่งทรงพระนามว่าพระเจ้าจอมโยธาตรัสดังนี้แหละ (อาโมส 5:27).
ในขนะที่คำเตือนของอาโมสนั้นสมเหตุสมผล, เพียงแต่กล่าวถึงอนาคตของอิสราเอล ที่จะถูกเนรเทศ, โฮเชยาเจาะจงพูดว่าอัสซีเรียจะเป็นผู้เข้ามายึดเอาอิสราเอล:
เขาจะไม่กลับไปยังแผ่นดินอียิปต์หรือ; และอัสซีเรียจะเป็นกษัตริย์ของ เขา, เพราะเขาปฎิเสธไม่ยอมกลับไปหาเรา. ดาบจะรุกรานบรรดาหัว เมืองของเขา, ทำลายดาลประตูของเขาเสีย และผลาญเขาเสียเพราะ แผนการของเขา (โฮเชยา 11:5-6).
นักวิชาการบางคนรู้สึกทำใจลำบากที่จะ "ยอมรับ" เรื่องอันแสนมหัศจรรย์ของหนังสือ เล่มสั้นๆนื้พอๆกับเรื่องที่ผู้เผยพระวจนะถูกปลากินเข้าไปได้ ตัวผมเองจะไม่ใช้เวลา มากในการพยายามพิสูจน์เรื่องอัศจรรย์นี้ เนื่องด้วยเป็นเรื่องของความเชื่อล้วนๆ เพราะว่าพระเจ้าผู้สร้างจักรวาล คงไม่มีปัญหาใดในการทำอัศจรรย์ตามที่บันทึกอยู่ใน หนังสือ. แต่จากที่ได้ศึกษามา เราเห็นชัดเจนว่าอัศจรรย์ที่ยากที่สุดคือ การเปลี่ยน ใจที่แข็งกระด้างของผู้เผยพระวจนะผู้นี้ให้อ่อนลง แต่สิ่งที่เราควรรู้คือ องค์พระผู้เป็น เจ้าทรงเข้าใจเนื้อหาของเรื่องเป็นอย่างดี (มัทธิว 12:39-41), สิ่งที่เราต้องทำคือ เดินตามพระองค์ด้วยการเชื่อฟัง
พระธรรมโยนาห์แบ่งออกเป็นสี่บทเมื่อแปลเป็นภาษาอังกฤษ. แต่ละบทประกอบ ด้วยเนื้อหาดังนี้:
บทที่ 1 โยนาห์หลบหนีพระเจ้า
บทที่ 2 โยนาห์อธิษฐานโมทนาพระคุณ
บทที่ 3 นีนะเวห์กลับใจ
บทที่ 4 โยนาห์ไม่พอใจ
1 พระวจนะของพระเจ้ามาถึงโยนาห์ บุตรอามิททัยว่า, 2 "จงลุกขึ้นไป ยังนีนะเวห์นครใหญ่ และร้องกล่าวโทษชาวเมืองนั้น เหตุความชั่วของ เขาทั้งหลายได้ขึ้นมาถึงเราแล้ว." 3 แต่โยนาห์ได้ลุกขึ้นหนีไปยังเมือง ทารชิชจากพระพักตร์พระเจ้า. ท่านได้ลงไปยังเมืองยัฟฟา, และพบ กำปั่นลำหนึ่งกำลังไปเมืองทารชิช, ดังนั้นท่านจึงชำระค่าโดยสาร และ ขึ้นเรือเดินทางร่วมกับเขาทั้งหลายไปยังเมืองทารชิช ให้พ้นจากพระ พักตร์พระเจ้า.
โยนาห์, ผู้เผยพระวจนะของพระเจ้า, ได้รับเลือกให้ทำงานสำคัญถวาย: "จงลุกขึ้นไป ยังนีนะเวห์ นครใหญ่, และร้องกล่าวโทษเมืองนั้น, เหตุความชั่วของเขาทั้งหลายได้ขึ้น มาถึงเราแล้ว." คำสั่งของพระเจ้านั้นชัดเจนยิ่ง. โยนาห์ต้องไปนีนะเวห์, เมืองที่นิมโรด เป็นผู้สร้างขึ้น (ปฐมกาล 10:11). ที่นีนะเวห์ถูกเรียกว่า"นครใหญ่" นั้นไม่ต้องสงสัยเลย ว่าขนาดและอิทธิพลของเมืองจะใหญ่ปานใด. พวกเราที่อาศัยอยู่ในเมืองใหญ่ๆอย่าง ดัลลัส, มลรัฐเท็กซัสคงนึกภาพ " เมืองใหญ่"ออก. และความบาปที่นั่นก็ "ใหญ่," ตาม ไปด้วย.3 โยนาห์ได้รับคำสั่งให้ไปประนามความบาปของเมืองนี้, เพราะใหญ่หลวงนัก จน"ขึ้นไปถึง" พระเจ้า, และเวลาแห่งการพิพากษากำลังใกล้เข้ามา.
แต่, โยนาห์กลับหลบหนีไป, ลงเรือมุ่งไปในทิศทางตรงกันข้าม:
"3 แต่โยนาห์ได้ลุกขึ้นหนีไปยังเมือง ทารชิชจากพระพักตร์พระเจ้า. ท่านได้ลงไปยังเมืองยัฟฟา, และพบกำปั่นลำหนึ่งกำลังไปเมืองทารชิช, ดังนั้นท่านจึงชำระค่าโดยสาร และขึ้นเรือเดินทางร่วมกับเขา ทั้งหลายไปยังเมีองทารชิช ให้พ้นจากพระพักตร์พระเจ้า". (ข้อ 3)
เมืองนีนะเวห์ตั้งอยู่บนฝั่งแม่น้ำไทกริส, ประมาณ 500 ไมล์ใกลจากทางตะวันออกเฉียง เหนือของอิสราเอล, แต่โยนาห์ไปทางทิศตะวันตก. จุดหมายปลายทางคือทารชิช, ซึ่ง ตั้งอยู่ทางชายฝั่งตะวันตกของประเทศสเปน.4 ข้อความที่บันทึกว่าโยนาห์หนี "ให้พ้น พระพักตร์พระเจ้า", เป็นข้อความที่พูดซ้ำกันถึงสองครั้งในข้อ 3 . ผมไม่เข้าใจว่าเขา คิดว่าเขาจะหนีพระเจ้าพ้น, หรือเป็นเพียงคำพูดที่ตอกย้ำให้แน่ใจว่าโยนาห์.5 ต้องการ "ละทิ้ง" หน้าที่ในฐานะผู้เผยพระวจนะ. เขากำลังสละตำแหน่ง, จะไม่มีคำพยากรณ์ จากพระเจ้าผ่านเขาต่อไป ในขนะที่พระเจ้าผู้ทรงสรรพานุภาพกำลังเสด็จไปที่นีนะเวห์, โยนาห์กลับไม่ไป, ซึ่งหมายความว่าเขาไม่มีโอกาสที่จะทำงานครั้งนี้ถวายพระองค์.
4 แต่พระเจ้าทรงขับกระแสลมใหญ่ขึ้นเหนือทะเล จึงเกิดพายุใหญ่ใน ทะเลนั้น จนน่ากลัวกำปั่นจะอัปปาง. 5 แล้วบรรดาลูกเรือก็กลัว, ต่างก็ ร้องขอต่อพระของตน, และเขาโยนสินค้าในกำปั่นลงในทะเล เพื่อให้ กำปั่นเบาขึ้น แต่โยนาห์เข้าไปข้างในเรือ นอนลงและหลับสนิท. 6 นาย เรือจึงมาหาท่านและกล่าวแก่ท่านว่า, "เจ้าคนขี้เซาเอ๋ยอย่างไรกันนี่ ลุกขึ้นซิ จงร้องขอต่อพระเจ้าของเจ้า ชะรอยพระเจ้านั้นจะทรงระลึก ถึงพวกเราบ้างจะได้ไม่พินาศ." 7 เขาทั้งหลายก็ชักชวนกันว่า, "มา เถอะให้เราจับฉลากกัน เพื่อเราจะทราบว่า ใครเป็นต้นเหตุแห่งภัยซึ่ง เกิดขึ้นแก่เรานี้." ดังนั้นเขาก็จับฉลาก ฉลากนั้นก็ตกแก่โยนาห์. 8 เขาจึงพูดกับโยนาห์ว่า, "จงบอกเรามาเถิดว่า! ภัยซึ่งเกิดขึ้นแก่เรานี้ใคร เป็นต้นเหตุ ? เจ้าหากินทางใหน? และเจ้ามาจากใหน ประเทศของเจ้า ชื่ออะไร ? เจ้าเป็นคนชาติใหน?" 9 และท่านจึงตอบเขาว่า, "ข้าพเจ้า เป็นคนฮีบรู, และข้าพเจ้ายำเกรงพระเยโฮวาห์ พระเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์ ผู้ทรงสร้างทะเลและแผ่นดินแห้ง."
พระเจ้าทรงขับกระแสลมใหญ่ในเส้นทางที่โยนาห์ไป, กระแสลมรุนแรงชนิดที่ทำ ให้ชาวเรือผู้ช่ำชองเกิดความกลัว เมื่อเรือใกล้จะอัปปางลง. ลูกเรือเริ่มโยนสินค้า ลงทะเล, เพื่อพยายามช่วยทั้งชีวิตตนเองและเรือไม่ให้ล่ม. ในขณะเดียวกันชาวเรือ แต่ละคนก็สวดอ้อนวอนขอพระของตนให้ช่วย ไม่ต้องสงสัยเลยว่าพวกชาวเรือนี้ต้อง นมัสการพระต่างๆที่พวกเขาคิดว่ามีอิทธิพลเหนือน่านน้ำที่เขากำลังล่องเรืออยู่
อันที่จริง "สินค้า" ที่พวกเขาควรจะต้องโยนทิ้้งเพื่อช่วยไม่ให้เรือจมนั้นอยู่ที่ใต้ท้องเรือ ! ในขณะที่ชาวเรือใกล้เสียสติ พยายามช่วยกันประคับประคองเรือและสวดอ้อนวอน แต่ โยนาห์กลับนอนหลับสนิทอยู่ใต้ท้องเรือ.6 กัปตันของเรือต่างชาติลำนี้รู้สึกโมโหที่เห็น โยนาห์นอนหลับ ในขณะที่ลูกเรือคนอื่นๆพยายามสวดอ้อนวอนกันอย่างสุดกำลัง. ถึงแม้ โยนาห์ไม่ต้องช่วยโยนสินค้าทิ้ง แต่เขาถูกขอร้องให้ช่วยสวดวิงวอน .7 ท่านคงพอนึก ภาพออกว่า กัปตันคงกำลังอารมณ์พลุ่งสุดขีด ขณะที่ออกคำสั่งให้ผู้เผยพระวจนะของ องค์พระเจ้าเที่ยงแท้พระองค์เดียวช่วยวิงวอน. ลองสังเกตุดูจะเห็นว่าไม่มีการบันทึกว่า โยนาห์ได้อธิษฐานวิงวอน. ไม่ต้องสงสัยเลยว่า ถ้าคุณคือโยนาห์ผู้ดื้อรั้นเป็นที่สุด และไม่ยอมกลับใจ, คุณจะไปพูดวิงวอนกับพระเจ้าว่าอย่างไรดี ?
ชาวเรือเห็นเรื่องพายุนี้เป็นเรื่องไม่ปกติธรรมดา. เขาวิงวอนพระของเขาให้ช่วย และเมื่อไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น, พวกเขาเริ่มหาพระอื่นมาทดแทน, แต่เมื่อคำวิงวอน ไม่ได้ผล พวกเขาก็เริ่มสรุปสาเหตุว่า ที่คำวิงวอนที่ไม่ได้รับคำตอบนั้น น่าจะมาจาก ความบาปบางประการที่เป็นสาเหตุทำให้พวกพระองค์ใดองค์หนึ่งไม่พอใจ, : "และเขาทั้งหลายก็ชักชวนกันว่า, ‘มาเถอะให้เราจับฉลากกัน เพื่อเราจะทราบว่า ใครเป็นต้นเหตุแห่งภัยซึ่งเกิดขึ้นแก่เรานี้.’ ดังนั้นเขาก็จับฉลาก ฉลากนั้นก็ตก แก่โยนาห์ " (ข้อ 7).
เรื่องที่น่าอัศจรรย์คือพวกชาวเรือไม้ได้จับโยนาห์ลงทะเลทันทีที่ฉลากตกกับท่าน . เรากำลังพูดกันถึงว่าเรือใกล้จะอัปปาง และลมพายุก็รุนแรงขึ้นทุกที. ถึงแม้ภัยอันตราย ใกล้เข้ามาทุกที ชาวเรือก็ยังอุตส่าห์ใช้เวลาสอบสวนโยนาห์ . เขาจึงพูดกับโยนาห์ว่า, "จงบอกเรามาเถิดว่า! ภัยซึ่งเกิดขึ้นแก่เรานี้ใคร เป็นต้นเหตุ ? เจ้าหากินทางใหน? และเจ้ามาจากใหน ประเทศของเจ้าชื่ออะไร ? เจ้าเป็นคนชาติใหน?" (ข้อ. 8).
ผมอดวาดภาพไม่ได้ว่าพวกชาวเรือกำลังยืนล้อมโยนาห์ และแต่ละคนยิงคำถาม เหล่านี้ขึ้นมาพร้อมๆกัน. หูของโนาห์คงอื้ออึงไปด้วยคำถาม. ลองมาดูเรื่องที่เล่า ในบทที่ 1 พวกชาวเรือนั้นเป็นฝ่ายพูด ในขณะที่โยนาห์แทบไม่ได้ พูดเลย ท่านตอบ คำถามนิดเดียว ท่านปิดปากแน่น. เป็นเหมือนเด็กๆที่ถูกพ่อแม่จับได้คาหนังคาเขา ขณะกำลังทำผิด และตอบคำถามแบบเหมือนจะเป็นคนใบ้ บางคนเวลาทำผิดแล้วถูก จับได้ ก็จะพูดอ้างอิงมากจนเวียนหัว แต่มีหลายคนเป็นเหมือนโยนาห์ คือพูดให้น้อย ที่สุดเท่าที่จะทำได้ โดยเฉพาะพวกที่ตั้งใจว่าจะหาทางทำผิดต่อ.
คำตอบห้วนๆของโยนาห์ (ตามที่มีการบันทึกไว้) คือ, "ข้าพเจ้าเป็นคน ฮีบรู8 และข้าพเจ้ายำเกรงพระเยโฮวาห์ พระเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์ 9 ผู้ทรง สร้างทะเลและแผ่นดินแห้ง." (โยนาห์ 1:9).
พอได้ยินประโยคนี้ ทุกอย่างแจ่มชัดขึ้นมาในมโนภาพของชาวเรือ : โยนาห์เป็นผู้เผย พระวจนะชาวฮีบรู ผู้กำลังวิ่งหนีพระเจ้า. ต้องเป็นโยนาห์แน่นอนที่เป็นสาเหตุแห่งลม พายุ. ความบาปของโยนาห์เกือบทำให้คนทั้งลำเรือต้องจบชีวิตลง.
10 คนทั้งปวงก็กลัวยิ่งนัก จึงถามเขาว่า, "ท่านกระทำอะไรเช่นนี้หนอ?" เพราะคนเหล่านั้นทราบแล้วว่า ท่านหลบหนีจากพระพักตร์พระเจ้า เพราะท่านบอกกับเขาเช่นนั้น. 11 เขาทั้งหลายจึงกล่าวแก่ท่านว่า, "เราควรจะทำอย่างไรแก่ท่าน? เพื่อทะเลจะได้สงบลงเพื่อเรา"— เพราะทะเลยิ่งกำเริบมากขึ้นทุกที. 12 ท่านจึงตอบเขาทั้งหลายว่า "จงจับตัวข้าพเจ้าโยนลงไปในทะเลก็แล้วกัน. ทะเลก็จะสงบลงเพื่อ ท่าน, เพราะ ข้าพเจ้าทราบอยู่ว่าที่พายุใหญ่เกิดขึ้นแก่ท่านเช่นนี้ ก็ เนื่องจากตัวข้าพเจ้าเอง" 13 ถึงกระนั้นก็ดีพวกลูกเรือก็ช่วยกันตีกรร เชียงอย่างแข็งแรงเพื่อจะนำเรือกลับเข้าฝั่ง แต่ไม่ได้ เพราะทะเลยิ่ง กำเริบมากขึ้นต้านเขาไว้. 14 เพราะฉะนั้น เขาจึงร้องทูลต่อพระเจ้าว่า, "ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์ทั้งหลายขอวิงวอนต่อพระองค์ ขออย่าให้ พวกข้าพระองค์พินาศ เพราะชีวิตของชายผู้นี้เลย ขออย่าให้โทษของ การทำให้โลหิตที่ไร้ความผิดตกมาเหนือข้าพระองค์์ ข้าแต่พระเจ้า เพราะว่าพระองค์ได้ทรงกระทำสิ่งที่พระองค์พอพระทัย ." 15 เขาจึงจับ โยนาห์ทิ้งลงไปในทะเล, ความปั่นป่วนในทะเลก็สงบลง.
ปฎิกิริยาของชาวเรือนั้นเหลือเชื่อจริงๆ. พวกเขานึกไม่ถึงว่าโยนาห์จะดื้อดึงหัวแข็งต่อ พระเจ้าได้ขนาดนี้ . เมื่อเขาถามว่า "ท่านกระทำอะไรเช่นนี้หนอ?" นั้นทำให้นึกถึงเมื่อ อาบีเมเลคกล่าวตำหนิอับราฮัม เมื่อท่านบอกกับใครๆว่านางซาราห์เป็นน้องสาว (ปฐก. 20:9). และนี่เป็นผู้เผยพระวจนะที่มีความตั้งใจแัน่วแน่ จนขนาดทำให้ชาวเรือถึงกับช็อค (1 โครินท์. 5:1). คงจะมีเรื่องมากกว่าที่บันทึกไว้ในพระธรรมโยนาห์แน่ๆ,10 แต่เท่า ที่พวกชาวเรือได้ยินก็แทบทำให้พวกเขาตัวแข็งเป็นหินได้. คงยังจำได้ว่าลมพายุก็ยัง พัดกระหน่ำรุนแรง และเรือก็กำลังจะแตกเป็นเสี่ยง (cf. ข้อ. 4).
ทะเลเริ่มบ้าคลั่งขึ้นทุกที เวลาก็เหลือน้อยนิด. เช่นเดียวกับที่อาบีเมเลคต้องการคำ อธิษฐานจากอับราฮัมผู้เผยพระวจนะของพระเจ้า (ปฐก. 20:7), พวกชาวเรือเพียงขอ ร้องให้โยนาห์ทูลขอพระเจ้าให้ทรงละพระอาชญาเสีย. เพราะอย่างน้อย เขาก็เป็น ถึงผู้เผยพระวจนะ . "เขาทั้งหลายจึงกล่าวแก่ท่านว่า, "เราควรจะทำอย่างไรแก่ท่าน? เพื่อทะเลจะได้สงบลงเพื่อเรา ?’" (โยนาห์ 1:11).
โยนาห์บอกกับพวกชาวเรือให้จับตัวเขาโยนลงทะเล, และทะเลจะสงบลง (ข้อ 12) แล้วทำไมโยนาห์ถึงไม่กระโดดลงไปในทะเลเองเล่า ? ดูเหมือนว่าพวกชาวเรือกำลัง ทำตามคำสั่งของพระเจ้าโดยผ่านทางผู้เผยพระวจนะโยนาห์. การจับโยนาห์โยนลง ทะเลก็เท่ากับส่งท่านไปสู่ความตาย เหมือนกับความบาปที่อิสราเอลมีต่อพระเจ้าก็ กำลังมุ่งไปสู่ความตาย (เลวีนิติ. 24:10-16), ดังนั้นพวกชาวเรือจึงต้องลงมือ จับโยนาห์ และโยนท่านลงทะเล ด้วยวิธีนี้พวกเขาจึงไม่ต้องมีส่วนรับผิดชอบในบาป และการกบฎ ของโยนาห์
นักวิจารณ์บางคนพยายามตั้งข้อสังเกตุให้เห็นว่ามีการกลับใจในตอนนี้ อย่างที่เราอ่านพบเช่น :
ในที่สุดท่านก็ตอบคำถามของชาวเรือ, และยอมรับว่าท่านเป็นต้น เหตุของลมพายุนี้ ท่าทางเอาจริงของชาวเรือทำให้ลบล้างท่าที เมินเฉยไม่แยแสของท่าน และก่อให้เกิดความสำนึกผิด. และตอนนี้ ท่านเริ่มตระหนักแล้วว่าความบาปของท่านเป็นตัวการก่อให้เกิดพายุ ใหญ่ครั้งนี้. หนทางเดียวที่จะล้มเลิกพระพิโรธของพระเจ้าได้ คือยอม สละตนเองเพื่อรับโทษบาปนั้น. การที่ท่านยอมตายนั้นชี้ให้เห็นว่าท่าน รู้สึกสำนึกบาปที่มีต่อพระเจ้า.
โยนาห์แสดงให้เห็นว่าเขากลับใจจริง. ชายผู้นี้ไม่ต้องเป็นทุกข์เพราะ การไม่เชื่อฟังอีกต่อไป เพราะเขาเสียสละตนเองเพื่อเป็นเหมือนเครื่อง บูชาเพื่อผู้อื่นจะไม่ตาย (ข้อ 12).
และเขาไม่ต้องวิ่งหนีพระเจ้าอีกต่อไป! เขายอมจำนนทั้งกาย, วิญญาณ และความต้องการให้กับพระเจ้า . เขาได้แสดงความเชื่ออันกล้าหาญ เขายังเป็นบุตรที่พึ่งพิงของพระเจ้า, ถึงแม้ได้ทำบาปที่ใหญ่หลวงมา 11 ก็ตาม
สำหรับผมไม่เห็นเลยว่ามีการกลับใจในตอนนี้.12 และไม่เห็นว่ามีการกลับใจที่ใหนใน หนังสือทั้งเล่ม, และที่แน่ๆไม่มีในบทที่่ 2. ทั้งหมดนี้เราก็รู้อยู่แล้วว่าโยนาห์อยากตาย ทำไมอยู่ดีๆเราถึงต้องมาเห็นว่าเป็นการกลับใจ. ถ้าเขาทำให้พระจ้าเคืองพระทัย โดยการหลบหนีคำสั่ง แน่นอนเขาก็สามารถทำได้เช่นกันด้วยการตาย. นอกเหนือจาก นั้นพวกชาวเรือแสดงความกลัวที่จะ "ทำให้โลหิตที่ไร้ความผิดตก" (ข้อ 14) . ถ้าโยนาห์ได้สารภาพบาปด้วยความจริงใจ ทำไมพวกชาวเรือถึงคิดว่าเขาเป็น "ผู้บริสุทธิ์" . การกลับใจหมายถึงยอมรับความผิด แต่พวกชาวเรือกลับกลัวว่าจะ ฆ่าผู้บริสุทธิ์. ไม่ ผมก็ยังไม่เห็นการกลับใจอยู่ดี. ดูเหมือนเขาก็ยังรอดตัวไปได้
เราคงคิดว่าในขนะที่สถานการณ์กำลังคับขันสุดๆเช่นนี้ ขนะที่พายุพัดแรงขึ้นและทำให้ อันตรายร้ายแรงกำลังจู่โจมเข้ามา, พวกชาวเรือคงต้องรีบทำตามที่โยนาห์บอก แต่ พวกเขากลับใช้ความพยายามครั้งสุดท้ายที่จะช่วยชีวิตโยนาห์ไว้โดยการพยายามพาย กลับเข้าฝั่งเพื่อส่งท่านลง (ข้อ13). นี่เป็นความพยายามที่เสี่ยงตายเอาการ เพราะชาย ฝั่งมักมีโขดหินและบรรดาปะการังขวางอยู่ และน่าจะเป็นที่ที่อันตรายที่สุดท่ามกลาง พายุร้าย . สถานที่ที่ปลอดภัยกว่าน่าจะเป็นที่อยู่ไกลออกไปจากชายฝั่ง 13
หลังจากที่พยายามช่วยชีวิตโยนาห์จนถึงที่สุดแล้ว. พวกชาวเรือก็เห็นพ้องต้องกันว่า สิ่งที่โยนาห์บอกน่าจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด. แต่ก่อนที่จะโยนโยนาห์ลงไปในทะเล พวกชาวเรือก็อธิษฐานอีกครั้ง: "ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์ทั้งหลายขอวิงวอนต่อ พระองค์ ขออย่าให้ พวกข้าพระองค์พินาศ เพราะชีวิตของชายผู้นี้เลย ขออย่าให้ โทษของ การทำให้โลหิตที่ไร้ความผิดตกมาเหนือข้าพระองค์์ ข้าแต่พระเจ้า เพราะว่าพระองค์ได้ทรงกระทำสิ่งที่พระองค์พอพระทัย ." (โยนาห์ 1:14).
ชาวต่างชาติเหล่านี้ได้ทำมากมายเพียงใด เขายอมละจาก "เทพเจ้า" ของพวกเขา เพื่อพระเจ้าที่ยิ่งใหญ่แท้จริงพระองค์เดียว. พวกเขาอ้อนวอนต่อพระเจ้าก่อนที่จะทำ สิ่งใดกับโยนาห์. และพวกเขาก็ยอมรับในความยิ่งใหญ่ของพระองค์ . หลังจากที่ได้ อธิษฐานแล้ว พวกเขาก็จับท่านโยนลงทะเลไป
15 เขาจึงจับโยนาห์ทิ้งลงไปในทะเล ความปั่นป่วนในทะเลก็สงบลง. 16 คนเหล่านั้นก็ยำเกรงพระเจ้ายิ่งนัก, เขาทั้งหลายก็ถวายสัตวบูชาแด่ พระเจ้าและสาบานตัวไว้.
ในขนะที่ชาวเรือเฝ้าดูโยนาห์จมหายไปในคลื่น เขาเริ่มรู้สึกว่าลมนิ่งลง และทะเลก็สงบลง พวกเขานึกออกทันทีว่า ที่คิดเอาไว้นั้นเป็นความจริง พระเจ้าของโยนาห์น่าจะเป็น พระเจ้าที่เที่ยงแท้เพียงพระองค์เดียว พระองค์ ได้กระทำให้เกิดพายุใหญ่ สาเหตุเพราะ การหนีไปของโยนาห์ผู้เดียว และอย่าง ที่โยนาห์บอกไว้ให้โยนเขาลงไปในทะเล แล้วทะเลก็จะสงบเอง. ดังนั้นพระธรรมตอน นี้จึงจบลงที่เรื่องการนมัสการของพวกชาวเรือ "คนเหล่านั้นก็ยำเกรงพระเจ้ายิ่งนัก, เขาทั้งหลายก็ถวายสัตวบูชาแด่พระเจ้าและสาบานตัวไว้" (โยนาห์ 1:16). ในขนะ ที่คนต่างชาติกลับกลายเป็นคนชอบธรรม ผู้เผยพระวจนะก็ยังหลงหายอยู่ ในความ พยายามที่จะหลีกเลี่ยงการไปประกาศกับชาวนีนะเวห์ โยนาห์กลับประกาศแบบ ไม่ตั้งใจกับชาวเรือแทน และคนพวกนี้ก็ได้มารู้จัก และมีความเชื่อในพระเจ้าองค์เดียว กับท่าน .
มีบทเรียนที่สำคัญมากมายจากบทแรกของหนังสือโยนาห์นี้ ให้ผมลองนำข้อ ที่เด่นๆออกมาและดูว่าจะนำมาใช้กับชีวิตของเราได้อย่างไร
ภาพพจน์ของเราที่เคยมีต่อผู้เผยพระวจนะและพวกคนต่างชาติไปกันไม่ได้กับ พระธรรมเล่มนี้เลย มีผู้วิจารณ์บางท่านกล่าวว่า:
"ภาพพจน์บางอย่างตามอุดมคติของศาสนาฮีบรูถูกเหวี่ยงทิ้งลงเรือไป พร้อมๆกับโยนาห์. เหมือนสร้างความรู้สึกเชิงติดลบต่อผู้เผยพระวนะ ให้กับพวกผู้อ่าน และทำให้มองเห็นภาพของสุนัขต่างชาตินั้นน่านับถือ มากขึ้น ทัศนคติเช่นนี้เป็นเหมือนดังเมล็ดพืชที่ผู้เล่าเรื่องหว่านไว้เพื่อ การเก็บเกี่ยวที่จะตามมาในภายหลัง" .15
ยอมรับเถอะครับว่า เนื้อหาเรื่องนี้นั้นช่างกลับตาลปัตรไปทั้งฝ่ายพระเอกและผู้ร้าย ตอนเริ่มอ่านแรกๆ เราคงเดาว่าโยนาห์นั้นเป็นพระเอกแน่ๆ ขนะที่พวกชาวเรือนอก ศาสนานั้นต้องเป็นพวกผู้ร้าย. และนี่คือภาพที่สะท้อนชัดเจนของโยนาห์ และคน อิสราเอลที่โยนาห์เป็นเหมือนตัวแทน ในเนื่อเรื่องชาวเรืออธิษฐานภาวนา ในขนะ ที่โยนาห์ ไม่ได้คิดจะทำอะไร ชาวเรือค้นหาความบาปที่อาจมีอยู่ในเรือ แต่โยนาห์ เปล่า ชาวเรือจบลงที่ได้นมัสการพระเจ้า แต่โยนาห์ก็เปล่าอีก พวกชาวเรือมีความ สงสารในตัวโยนาห์ ในขนะที่ท่านไม่ได้แยแสเลยว่าตัวเองเป็น สาเหตุที่ทำให้คน พวกนี้เดือดร้อนแสนสาหัส เห็นได้ชัดเจนว่าพระธรรมเรื่องนี้ พลิกความคาดหมาย ของเราจากหน้ามือเป็นหลังมือเลยทีเดียว.
ความรู้สึกส่วนตัวที่ผมมีต่อพระธรรมบทนี้นั้นใกล้เคียงกับที่มีต่อพระธรรมปฐมกาล ในตอนที่กล่าวถึงยาโคบและพี่ชายของเขา เอซาว. เอซาวอาจจะเป็นคนไม่มีพระเจ้า แต่ผมก็ยังชอบเขามากกว่ายาโคบคนขี้ฉ้ออารมณ์ศิลปินอยู่ดี. ถ้าผมจะต้องเลือกเพื่อน บ้านสักคนระหว่างยาโคบและเอซาว ผมก็จะเลือกเอซาวทุกครั้งไป เช่นกัน ระหว่าง โยนาห์กับชาวเรือ ผมก็อยากได้ชาวเรือพวกนี้มาอยู่ข้างบ้านมากกว่าให้โยนาห์มาอยู่ เพียงแต่ในกรณีนี้ชาวเรือในที่สุดเชื่อในพระเจ้า แต่เอซาวมิใช่.
ให้มาดูข้อแตกต่างระหว่างโยนาห์และชาวเรือในบทแรกของพระธรรมโยนาห์ :
ชาวเรือ |
โยนาห์ |
อธิษฐาน |
ไม่ได้อธิษฐาน |
ช่วยกันรักษาเรือและชีวิตอย่างแข็งขัน |
นอนหลับสนิท |
สงสารโยนาห์ |
ไม่แยแสต่อความเดือดร้อนของชาวเรือ |
พยายามช่วยชีวิตโยนาห์ |
ไม่สนใจที่จะช่วยชาวเรือ |
อยากมีชีวิตอยู่ |
อยากตาย |
พยายามหาความบาป |
อยากอยู่ในบาปต่อไป |
เชื่อฟังในสิ่งที่ได้รู้มา |
ไม่เชื่อฟังทั้งๆที่รู้มากกว่า |
นมัสการพระเจ้า |
ไม่นมัสการ |
ตระหนกต่อความบาปของโยนาห์ |
ไม่รู้สึกรู้สมกับบาปของตนเอง |
ยำเกรงพระเจ้า |
ไม่มีหลักฐานว่ากลัวพระเจ้า |
มีอยู่สิ่งหนึ่งที่ทั้งโยนาห์และชาวเรือเห็นพ้องต้องกัน และเป็นสิ่งที่คิดผิดทั้งคู่ เพราะ ทั้งคู่ยึดตามแบบธรรมเนียมเดิมที่เคยทำมา และป็นไปตามขั้นตามตอน ทั้งคู่คิดตาม สิ่งที่ตนเองยึดถือ. คำถามที่ชาวเรือถามแสดงให้เห็นถึงขั้นตอนความคิดของพวกเขา คำถามแบบในข้อ 8 ซึ่งเกี่ยวกับโยนาห์เช่น: (1) อาชีพ (เจ้าหากินทางใหน?) และ (2) เชื้อสาย เผ่าพันธ์ใด ? (และเจ้ามาจากใหน,ประเทศของเจ้าชื่ออะไร,เจ้าเป็นคน ชาติใหน?)
เป็นจริงมิใช่หรือ ว่าคนอิสราเอลนั้นภาคภูมิใจในบรรพบุรุษของตนเป็นอย่างยิ่ง (เราเป็นลูกหลานของอับราฮัม) และภูมิใจในชาติที่ได้ชื่อว่าเป็นชนของพระเจ้า พวกเขารู้สึกแตกต่างและโดดเด่นกว่าชาติอื่นใด และโยนาห์มิใช่ชนชาตินี้หรือ ? และยิ่งไปกว่านั้นอาชีพของเขายิ่งต้องเป็นที่น่าภาคภูมิใจสักเท่าใด ?
พระธรรมบทนี้บอกเราว่าเรื่องนี้ยังไม่ถึงที่สุด. ยังมีเรื่องที่สำคัญสำหรับพระเจ้าอีกสอง เรื่อง. เรื่องแรกคือ "รักพระเจ้า" เรื่องที่สองคือ "รักเพื่อนมนุษย์" โยาห์น่าจะสำแดง ความรักที่มีต่อพระเจ้าด้วยการเชื่อฟังพระองค์. โยนาห์ไม่ได้เชื่อฟัง แถมแสดงออก ด้วยการไม่ทำตามบัญญัติที่พระองค์สั่ง. เรื่องที่สองคือโยนาห์ไม่ได้รักเพื่อนมนุษย์ เราเห็นภาพสะท้อนชัดเจนจากการที่เขาแทบไม่่มีความสงสารต่อชาวเรือเลย
ในพระคัมภีร์ใหม่ องค์พระผู้เป็นเจ้ายังย้ำถึงเรื่องที่่สำคัญสองเรื่องนี้ซ้ำอีก - รักพระเจ้า และรักเพื่อนมนุษย์—เพราะเป็นหัวใจหลักจากพระบัญญัติในพระคัมภีร์เดิม และเป็นหลัก ของพันธสัญญาใหม่เช่นกัน(cf. มัทธิว 22:34-40). พระเยซูตรัสกับพวกสาวกว่าถ้าพวก เขารักพระองค์ พวกเขาควรจะเชื่อฟังและทำตามพระบัญญัติที่สอนให้รักผู้อื่น (ยอห์น 13:34; 14:15; 15:9-13).
ไม่ใช่เป็นเรื่องน่าประหลาดใจที่พวกผู้นำทางศาสนาของอิสราเอลในยุคพระกิตติคุณ เป็นเหมือนเช่นโยนาห์ผู้เผยพระวจนะ คือเป็น "ผู้ร้าย" มากกว่าเป็น "คนดี" โยนาห์ เป็นดังภาพพยากรณ์ความชั่วร้ายของบรรดาผู้นำอิสราเอลในสมัยของพระเยซู ในขนะที่ เราคิดว่าพวกเขาน่าจะต้อนรับพระองค์ พวกเขากลับปฎิเสธ และยุยงส่งเสริมให้พระองค์ ไปสู่ความตาย คนเหล่านี้คือผู้ที่ "ยึดเอาเรือนของหญิงหม้าย" และสมควรแล้วที่ถูก พระเยซูกล่าวโทษอย่างรุนแรง (มัทธิว 23).
โยนาห์บทที่ 1 เตือนเราว่าพระเจ้าไม่ได้สนใจเรื่องเชื้อชาติ เผ่าพันธ์ ต้นตระกูล หรือ หน้่าที่การงานของเรา แต่พระองค์สนใจว่าเราทำสิ่งใดต่อคำสั่งของพระองค์ . เช่นเดียว กับที่ อ.เปาโลกล่าว พระเจ้าไม่ได้สนใจว่าเราเป็นผู้ครอบครองธรรมบัญญัติหรือไม่ (เหมือนที่พวกยิวเป็น) มากไปกว่าว่าเราปฎิบัติตามหรือไม่.
11 เพราะว่าพระเจ้าไม่ทรงเห็นแก่หน้าผู้ใดเลย. 12 คนทั้งหลายที่ไม่มี ธรรมบัญญัติและทำบาป จะต้องพินาศโดยไม่อ้างธรรมบัญญัติ และคน ทั้งหลายที่มีธรรมบัญญัติ และทำบาปก็จะต้องมีโทษตามธรรมบัญญัติ 13 เพราะว่าคนที่เพียงแต่ฟังธรรมบัญญัติเท่านั้น หาใช่ผู้ชอบธรรมใน สายพระเนตรของพระเจ้าไม่ คนทีประพฤติตามธรรมบัญญัติต่างหาก ที่พระเจ้าทรงถือว่าเป็นผู้ชอบธรรม 14 เมื่อคนต่างชาติซึ่งไม่มีธรรม บัญญัติได้ประพฤติตามธรรมบัญญัติโดยปกติวิสัย คนเหล่านั้นแม้ไม่มี ธรรมบัญญัติก็เป็นธรรมบัญญัติให้ตัวเอง แม้ว่าเขาจะไม่มีธรรมบัญญัติ ก็ตาม 15 เขาแสดงให้เห็นว่าหลักความประพฤติที่เป็นตามธรรมบัญญัติ นั้น มีจารึกอยู่ในจิตใจของเขา และใจสำนึกผิดชอบก็เป็นพยานของเขา ด้วย ความคิดขัดแย้งต่างๆของเขานั้นแหละจะกล่าวโทษตัวเขา หรือ อาจจะแก้ตัวให้เขา 16 ในวันที่พระเจ้าทรงพิพากษาความลับของ มนุษย์โดยพระเยซูคริสต์ ทั้งนี้ตามข่าวประเสริฐที่ข้าพได้เจ้าประกาศนี้
17 แต่ถ้าท่านเรียกตัวเองว่ายิว และพึ่งธรรมบัญญัติ และยกพระเจ้าขึ้น อวด 18 และว่าท่านรู้จักพระทัยของพระองค์ และเห็นชอบในสิ่งที่ ประเสริฐ เพราะว่าท่านได้เรียนรู้ในธรรมบัญญัติ 19 และถ้าท่านมั่นใจ ว่าท่านเป็นผู้จูงคนตาบอด เป็นความสว่างให้แก่คนทั้งหลายที่อยู่ใน ความมืด 20 เป็นผู้สอนคนโง่ เป็นครูสอนเด็ก เพราะท่านมีแบบอย่าง ของความรู้และความจริงในธรรมบัญัตินั้น 21ฉะนั้นท่านซึ่งเป็นผู้สอน คนอื่นจะไม่สอนตัวเองหรือ ? หรือเมื่อท่านเทศนาว่าไม่ควรลักทรัพย์ ตัวท่านเองลักหรือเปล่า ? (โรม 2:11-21)
ประเด็นที่ อ.เปาโลชี้ให้เห็นง่ายๆคือ การที่เป็นผู้ครอบครองและสั่งสอนธรรมบัญญัติ อย่างเช่นพวกยิวเท่านั้นไม่พอ มนุษย์ต้องเชื่อฟังธรรมบัญญัติด้วย โยนาห์ก็เป็นเหมือน พวกชาวยิวในสมัยนั้น ภูมิอกภูมิใจนัก ในการเป็นผู้ครอบครองธรรมบัญญัติ แต่ไม่เคย ประพฤติตาม ดังนั้นพวกชาวเรือผู้ตื่นตระหนกกลับกลายเป็นพระเอกของเรื่องไป เพราะ พวกเขาปฎิบัติทุกอย่างเท่าที่รู้ตามพระประสงค์ของพระเจ้า ในขณะที่โยนาห์กลับขัด คำสั่งที่พระเจ้าสั่งเขาโดยตรง ทั้งๆที่รู้
พวกชาวเรือได้รับความรอด (ผมเชื่อว่า ทั้งกายและวิญญาณ) เพราะเขาเชื่อฟังสิ่งที่เขา รู้ว่าเป็นน้ำพระทัยพระเจ้า ซึ่งนับเป็น "ข่าวประเสริฐ" ของพวกเขา พวกเขาได้เรียนรู้ แล้วว่าบรรดา "เทพเจ้า" พวกนั้นไม่ใช่พระเจ้า เพราะไม่สามารถตอบคำอธิษฐาน หรือควบคุมท้องทะเลได้ พวกเขารู้ว่าความบาปนำมาซึ่งการพิพากษา และเรียนรู้ว่า พระเจ้าของชาวอิสราเอลเป็นผู้สร้างฟ้าสวรรค์ และแผ่นดินโลก และรู้อีกด้วยว่าจะรอด ได้ด้วยการ "ตาย" ของโยนาห์ชาวยิวผู้นี้
พระกิตติคุณของพวกเราทั้งหลายในทุกวันนี้ก็ยึดหลักเดียวกัน แต่ชัดเจนมากกว่า พระเยซูเป็นพระเจ้าเที่ยงแท้ เป็นผู้สร้างและกระทำให้ทุกสิ่งที่ทรงสร้างให้ดำรงอยู่ (โคโลสี. 1:16-17). โดยความเชื่อในพระคริสต์ ในการสิ้นพระชนม์ การฝังพระศพ และในการคืนพระชนม์ ทำให้เราได้รับความรอด เราทุกคนก็เหมือนชาวเรือที่อยู่บนเรือ ลำนั้น ตกอยู่ในอันตรายของการถูกพิพากษา เราเหมือนพวกเขาเพราะได้รับความรอด จากการสิ้นชีวิตของผู้อื่น ผู้เป็นชาวยิว พระเยซูคริสต์ ผู้แบกรับพระพิโรธของพระเจ้า เพื่อช่วยเราให้รอด โยนาห์ก็เป็นเหมือนพระเยซู ตายเพื่อความรอดของผู้อื่น แต่ที่ต่าง กันคือพระเยซูทรงปราศจากบาป และยอมสละพระองค์เองบนกางเขนที่เนินหัว กระโหลกเพื่อช่วยทุกคนที่เชื่อในพระองค์
ขอให้ความเชื่อของพวกชาวเรือนี้เป็นบทเรียนให้เราทั้งหลายว่า การพบคนหลอกลวง ไม่สามารถใช้เป็นข้ออ้างที่จะปฎิเสธความเชื่อ โยนาห์เป็นคนที่หลอกลวง และผมเชื่อ ว่าพวกชาวเรือรู้ข้อนี้ดี ถึงกระนั้นการหลอกลวงของโยนาห์ก็ไม่สามารถขัดขวางความ เชื่อและไว้ใจที่พวกเขามีต่อพระเจ้าได้ ฉะนั้นอย่าพยายามหาข้ออ้างโดยชี้ให้เห็นถึง คนของพระเจ้าที่หลงผิดไป เพื่อหาทางหลีกเลี่ยงการทำตามคำสั่งบ้าง เราทุกคนมี หน้าที่รับผิดชอบในการทำตามพระประสงค์ของพระเจ้า
ความบาปเป็นอันตรายต่อผู้อื่นจึงควรกำจัดให้หมดสิ้นไป. ตัวโยนาห์เองเป็นมหันตภัย อย่างยิ่งต่อชาวเรือ ความบาปของเขาเร่งพระพิโรธของพระเจ้าและทำให้ทุกคนบนเรือ ลำนั้นตกอยู่ในอันตราย พวกชาวเรือจะรอดได้ทางเดียวคือต้องโยนโยนาห์ลงทะเลไป
เรื่องนี้นับเป็นอุทาหรณ์ที่ดีเยี่ยมสำหรับวินัยของคริสตจักร เช่นเดียวกับที่บาปของ โยนาห์เป็นอันตรายต่อเรือทั้งลำ บาปของธรรมิกชนสักคนก็อาจทำให้ทั้งคริสตจักร ล่มลงมาได้ อย่างที่ อ.เปาโลกล่าวไว้ "เชื่อขนมปังเพียงนิดเดียว ย่อมทำให้ แป้งดิบฟูทั้งก้อน" (1 โครินธ์ 5:6). ดังนั้นถ้าทางคริสตจักรล้มเหลวที่จะจัดการกับ ความบาปของสมาชิกคนใดคนหนึ่ง ก็จะเป็นอันตรายกับทั้งคริสตจักรด้วย และเช่นที่ โยนาห์ต้องถูกโยนลงทะเล สมาชิกที่ยังยืนยันจะทำบาปต่อไปต้องสมควรที่จะถูก "กำจัดออกไปเสีย" ด้วย (1 โครินธ์. 5:5, 9-13).
ไม่ใช่ตำแหน่งหรืออาชีพที่เราทำ แต่การกระทำของเราต่างหากที่เป็นเครื่องพิสูจน์ว่า เราเป็นบุตรของพระเจ้าหรือไม่ ผู้ที่อยู่ในตำแหน่งงานสูงๆมักเป็นผู้ที่เมินเฉยต่อการ ทรงเรียกเป็นที่สุด ผู้ใดได้รับมากก็จะถูกเรียกเอาคืนมาก ขออย่าให้เราเป็นเหมือน โยนาห์ ผู้ที่รู้แล้วฝ่าฝืน แต่ให้เป็นเหมือนชาวเรือที่เชื่อฟังและทำตามพระประสงค์ของ พระเจ้าในทุกสิ่งที่รู้มา
"มีสันติสุข" ไม่ได้หมายความว่าอยู่ในน้ำพระทัยเสมอไป โยนาห์นอนหลับสนิทอยู่ใน เรือนั้นเห็นภาพชัดเจนว่าไม่มีใครกล้าฝ่าฝืนคำสั่งได้เท่าเขา บางทีก็เป็นจริงว่าการ "มีสันติสุข" อาจพิสูจน์ถึงการอยู่ในน้ำพระทัย แต่ก็ไม่เสมอไป สันติสุขของโยนาห์ เป็นผลมาจากจิตใจที่แข็งกระด้างและสำนึกที่เย็นชา ผู้ที่อยู่ในสภาพฝ่ายวิญญาณ เช่นนี้กำลังตกอยู่ในภัยอันตรายอันใหญ่หลวง
ความบาปที่เรากำลังพูดถึงอยู่นี้ทำให้เกิดอาการต่างๆ ซึ่งบรรดาธรรมิกชนทั้งหลาย ควรรู้ไว้ ข้อต่างๆด้านล่างเป็นอาการที่เกิดเพราะความบาปของโยนาห์ที่เราควรจำ:
1. ขาดการอธิษฐาน
2. ขาดการสรรเสริญ และความชื่นชมยินดี
3. ไม่มีความพอใจในชีวิต / ความตายอาจดีกว่า
4. ขาดการสำนึกในบาปของตนเอง
5. ขาดการสำนึกในผลของความบาปที่อาจมีต่อผู้อื่น
6. ไม่มีความสงสารให้ใคร
7. จงใจฝ่าฝืนคำสั่งของพระเจ้า
ขออย่าให้มีอาการเช่นนี้ในชีวิตของเราเลย ถ้ามีขอให้เราจัดการกับมันอย่างเร่งด่วน และจริงจัง
(จบบทที่ 1 - ยังมีต่อครับ)
ขยายความตอนแรก
1 "โดยทั่วไปเรื่องคำพยากรณ์ในพระคัมภีร์เดิมมักยกย่องคนของพระเจ้าในแง่ที่เขา เป็นคนกลางผู้่เปิดเผยพระราชอำนาจและพระสิริของพระองค์ แต่โยนาห์ไม่ใช่วีรบุรุษ เรื่องของเขาดูเหมือนอยู่ในแสงสลัว คำพยากรณ์หลายเรื่องในพระคัมภีร์เดิมที่เรา สามารถย้อนกลับไปค้นคว้าดูว่าพระเจ้ากระทำให้สำเร็จลงได้อย่างไร หนังสือเล่มนี้ กลับมีรูปแบบตรงกันข้าม คือคำพยากรณ์ในเรื่องการทำลายนครนีนะเวห์ กลับไม่ เป็นไปตามนั้น " อ้างอิงจาก Leslie C. Allen, The Books of Joel, Obadiah, Jonah and Micah (Grand Rapids: William B. Eerdmans Publishing Company, 1976), p. 175.
2 2 ชื่อ "โยนาห์" แปลว่า "นกพิราบ," ถึงแม้เราชอบไพล่นึกไปว่าผู้เผยพระวจนะคนนี้ น่าจะเป็น "เหยี่ยว." มากกว่า "อามิททัย" แปลว่า "ผู้แท้จริง[ของฉัน] "
3 "ความชั่วร้ายของนีนะเวห์ ประกอบด้วย, นอกจากการกราบไหว้รูปเคารพแล้ว ยังมี ความยโสจนเกินควร (10:5-19; 36:18-20), และการกดขี่ข่มเหงเมืองขึ้นอย่าง ทารุณ (2 พกษ 15:29; 17:6; Is. 36:16, 17), "สงครามที่ไร้มนุษยธรรม" จาก Theodore Laetsch, The Minor Prophets (St. Louis: Concordia Publishing House, 1956), p. 221.
4 "ความตั้งใจหนีไปทารชิช", เมืองเก่าแก่ที่เคยอยู่ภายใต้การปกครองของฟินิเซีย ตั้ง อยู่ทางชายฝั่งตะวันตกเฉียงใต้ของสเปน เป็นเมืองที่อยู่ใกลที่สุดทางทิศตะวันตกที่ รู้จักกันในสมัยนั้นว่า, "อยู่เกือบนอกโลก" อ้างอิงจาก Ibid., p. 221.
5 "เขาหนีไปจากพระพักตร์พระเจ้า" การที่จะไปยืนต่อหน้าผู้ใด ถูกใช้ในแง่ของการ ไปรายงานตัวต่อผู้บังคับบัญชา. (ปฐก. 41:46;ฉธบ. 1:38; 10:8; 1 ซมอ. 16:21; 1 พกษ. 17:1; 18:15; 2 พกษ. 3:14, etc.) การหนีไปจากพระพักตร์ = ปฎิเสธที่จะไป รับใช้ผู้บังคับบัญชา" อ้างอิงจาก Ibid., p. 222.
6 "‘หลับสนิท,’ ใช้ใน Niphal, เป็นเหมือนการนอนหลับลึกอย่างไม่รู้ตัว(โยนาห์ 1:5, 6; Ps. 76:7, A.V., 6), ‘หลับเหมือนตาย’ (ผู้วินิจฉัย. 4:21; ดาเนียล. 8:18; 10:9); มีใน ปฐก. 2:21; 15:12; สภษ. 19:15, etc." Ibid., p. 223.
7 "จงลุกขึ้นไปยัง … —โยนาห์คงคิดว่าฝันร้ายไป: แต่เป็นคำพูดที่พระเจ้าทำลายความ สุขส่วนตัวของเขาก่อนหน้านี้" อ้างอิงจาก Allen, pp. 207-208.
8 "‘ข้าพเจ้าเป็นคนฮีบรู,’ เป็นชื่อที่คนต่างชาติรู้จักว่าเป็นชาวอิสราเอล (ปฐก. 14:13; 39:14, 17; 1 ซมอ. 29:3; กิจการ 6:1)." Laetsch, p. 225.
9 "พระลักษณะของพระเจ้า"แห่งฟ้าสวรรค์" ที่โยนาห์ต่อท้ายพระนามพระเจ้า พระเยโฮวาห์พระเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์ (ปฐก. 24:3, 7), ถูกนำมาใช้อย่างแพร่หลายใน เปอร์เซีย หลังจากช่วงที่ถูกเนรเทศ เป็นการพูดถึงยาเวห์ ในฐานะพระเจ้าที่มีพระ ราชอำนาจและฤทธานุภาพสูงสุด ชาวยิวใช้นามนี้เมื่อติดต่อกับชาวต่างชาติเพราะเป็น ที่เข้าใจว่าพระองค์ปกครองทั่วสากลโลก มากกว่าที่ชาวยิวคิดว่าเป็นพระเจ้าของ บรรพบุรุษ ’ โดยใช้พระนามนี้ ผู้คนทั่วไปจะสามารถพึ่งพิงได้้มากกว่าเป็นเพียงพระ เจ้าของกลุ่มบุคคลใด ดังนั้นจึงมีการต่อท้ายด้วยคำว่า "ผู้สร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดิน แห้ง." อ้างอิงจาก Allen, pp. 209-210.
10 จาก Ibid., pp. 210-211. Allen ดูเหมือนจะมีหมายเหตุในเรื่องนี้ทำนองไม่อยาก ให้โยนาห์เป็นวีรบุรุษ แต่เป็นผู้ร้าย แต่ผมเห็นว่าโยนาห์เพียงอยากจะหนีจากหน้าที่ด้วย การยอมตาย คำร้องขอในบทที่ 4 จะช่วยเสริมให้เห็นความเป็นไปได้ชัดเจนยิ่งขึ้น
11 อ้างอิงจาก Laetsch, p. 227.
12 ตัวอย่างของการกลับใจที่แท้จริง, 2 ซมอ. 24:17; 1 พศด. 21:17.
13 ทำไมพระเจ้าไม่ช่วยโยนาห์โดยความพยายามของชาวเรือ ? Allen (p. 211) ผมคิดว่าเป็นเพราะบางทีพระองค์อยากให้โยนาห์รู้ว่าเขาได้รับการช่วยกู้โดยการ อัศจรรย์ที่เป็นพระคุณล้วนๆ โยนาห์ต้องการ "การช่วยกู้" ไปพร้อมๆกับที่ชาวนีนะเวห์ ได้รับ และโยนาห์จะชื่นชมยินดีในการได้รับความรอด แต่คนละแบบกับวิธีของชาว นีนะเวห์
14 ผมชอบชื่อเรื่องที่ Allen (p. 205) ให้ไว้เป็นหัวข้อของ vv. 4-16, ว่า "การลงโทษโยนาห์: ความภักดีของคนนอกศาสนา"
15 อ้างอิงจาก Allen, p. 212.
หลายปีมาแล้ว เพื่อนผมคนหนึ่งมีคำอธิบายที่เหมาะสมสำหรับสถานการณ์ที่เราพูด คุยกันอยู่ "นี่บ็อบ เวลาผมมองดูสิ่งนี้ เหมือนกับมองดูหิมะสูงสามนิ้วที่ปกคลุมอยู่ บนกองขยะ มันก็ดูสวยดีจนกระทั่งคุณเริ่มไปคุ้ยมัน" และนี่เป็นความรู้สึกเดียวกับที่ ผมกำลังรู้สึกต่อ "คำอธิษฐาน" ของโยนาห์ในโยนาห์บทที่ 2 ดูทีแรก เห็นแต่ภาพ ของคนที่เคร่งครัดศรัทธา แต่พอเจาะลงไปสักหน่อย ภาพที่สะท้อนออกมา ดูเหมือน ภาพลวงตาทางศาสนามากกว่าอย่างอื่น คงมีนักเรียนพระคริสตธรรมหลายคนไม่เห็น ด้วย ที่จริงผมไม่แน่ใจว่ามีสักคนหรือเปล่าที่ผมรู้จัก ตัวอย่างเช่น ธีโอดอร์ แล็ทช์ ตั้งชื่อบทนี้ว่า "พระเจ้าช่วยกู้ผู้เผยพระวจนะที่กลับใจ."16 ผมคิดว่ายังไม่เห็นหลักฐาน ที่มาสนับสนุนข้อสรุปว่าโยนาห์กลับใจในรูปแบบใหนเลย .
บริบทของหนังสือไม่ได้ให้หลักฐานที่ชี้ไปในทิศทางนี้เลย เราเห็นมาจากบทที่ 1 ว่า ผู้เผยพระวจนะผู้ไม่เอาใหนคนนี้ตั้งใจที่จะขัดคำสั่งของพระเจ้าที่ให้ไปป่าวร้องที่นคร นีนะเวห์ แทนที่จะเดินทางมากกว่า 500 ไมลส์ขึ้นไปตะวันออกเฉียงเหนือสู่นีนะเวห์ โยนาห์กลับนั่งเรือจากยัฟฟาไปทางตะวันตกเฉียงเหนือไปยังทารชิช การไม่เชื่อฟัง ของโยนาห์ทำให้เกิดพายุใหญ่ขึ้น ที่เป็นอันตรายยิ่งต่อทั้งเรือและลูกเรือ ถ้าไม่เป็น เพราะคำถามที่ชาวเรือซักไซร้ก็อาจไม่รู้ถึงสาเหตุของพายุ และพวกเขาก็ได้้พยายาม อย่างยิ่งที่จะช่วยชีวิตโยนาห์ก่อนที่จะตัดสินใจโยนเขาลงทะเลไป ชาวเรือที่ต่างจาก โยนาห์ ตอบรับการทรงเปิดเผยของพระเจ้าอย่างเชื่อฟัง และยังได้อยู่ต่อบนเรือและ มีโอกาสได้สรรเสริญพระเจ้า
บทที่ 2 เริ่มต้นในทะเลด้วยการพูดถึงคำอธิษฐาน คำสัญญาของโยนาห์ที่พรรณาออก มาเป็นบทกลอน ในบทที่ 3, โยนาห์ได้รับคำสั่งอีกเป็นครั้งที่สอง ให้ไปป่าวประกาศ ที่นครนีนะเวห์ ซึ่งในที่สุดเขาก็ยอมทำ และทำให้เกิดการกลับใจครั้งใหญ่ของทั้งเมือง และ "เปลี่ยนพระทัยพระเจ้า." บทที่ 4 แสดงให้เห็นว่าทัศนคติของโยนาห์ก็ยังไม่ เปลี่ยน เพราะมีการอธิบายถึงสาเหตุที่ขัดคำสั่งด้วยคำพูดที่ไม่น่าประทับใจว่า ทำไม จึงไม่อยากไปประกาศแก่ชาวอัสซีเรีย
ถึงแม้จะมีหลักฐานท่วมท้นที่แย้งกับบริบทในพระธรรมโยนาห์ มีบางคนยังอุตส่าห์ หาเรื่องการกลับใจให้เจอให้ได้ในบทที่ 2. ยังไงมันก็ไม่เจอ เราอาจจะไขว้เขวไปด้วย ศัพท์แสงต่างๆที่โยนาห์ใช้ ซึ่งคัดลอกมาจากพระธรรมสดุดีเกือบทั้งหมด แต่เมื่อเรา เปรียบเทียบ "สดุดี" ของโยนาห์กับ "พระธรรมสดุดี" ทางศาสนศาสตร์ เราจะเห็นชัด เจนทันทีว่าสดุดีของโยนาห์นั้นทั้งตื้นและไร้คุณภาพ
ผมเคยเทศนาเรื่องพระธรรมโยนาห์เมื่อสิบกว่าปีมาแล้ว และพบว่าวิธีการและข้อสำคัญ ต่างๆทีเคยใช้นั้นเปลี่ยนไปเป็นอันมาก เมื่อก่อนผมจะใช้เวลามากในการค้นคว้าหา เอกสารข้อมูลเรื่องปลาที่กลืนคนลงไป แล้วคนนั้นยังรอดชีวิตกลับมาเล่าให้ฟังได้ แต่เมื่อมองดูเนื้อหาเราจะเห็นทันทีว่าแทบไม่มีการพูดเรื่องปลามาก พูดแต่เพียงว่า ปลามหึมาเท่านั้น อาจเป็นเพราะปลาเชื่อฟังคำสั่ง แต่โยนาห์ไม่ และในเมื่อพระธรรม เล่มนี้เลือกที่จะพุ่งความสนใจไปที่การไม่เชื่อฟังของโยนาห์ และชาวอิสราเอล ปลาก็ เลยถูกเบียดเนื้อที่ให้เหลือเล็กนิดเดียว เราอาจมัวสนใจแต่เรื่องปลาเพื่อพยายามพิสูจน์ เรื่องการอัศจรรย์ เลยทำให้เราพลาดวัตถุประสงค์ที่แท้จริงไป ถึงยังไงก็ตามถ้ามีเอกสาร ที่ยืนยันได้เรื่องปลากลืนคนแล้วไม่ตาย เรื่องนี้ก็คงไม่เป็นเรื่องอัศจรรย์อีกต่อไป แต่จะ กลายเป็นเรื่องแปลกประหลาดธรรมดาที่เกิดขึ้นบางครั้งบางคราว และไม่ควรนับเป็น เรื่องเหนือธรรมชาติใดๆทั้งสิ้น
รวมทั้งเรื่องที่สงสัยกันว่าโยนาห์ตายหรือไม่ตาย จริงว่าการที่โยนาห์อธิษฐานบนกับ พระเจ้านั้น เล็็งไปถึงภาพของการสิ้นพระชนม์ การฝังพระศพไว้ในอุโมงค์ และการ ฟื้นคืนพระชนม์ของพระคริสต์ แต่ว่าเขาตายจริงหรือเปล่าหาใช่เรื่องสำคัญไม่ โดยส่วนตัวแล้ว ผมเชื่อว่าเขาน่าจะเป็นเหมือน "ตายทั้งเป็น" จนกระทั่งปลามา ช่วยเอาไว้ จุดสำคัญคือ โยนาห์พูดว่า "พระองค์ยังทรงนำชีวิตของข้าพระองค์ ขึ้นมาจากปากแดนคนตาย"
ผมกำลังจะแจกแจงเรื่องคำอธิษฐานของโยนาห์ในบทนี้เพื่อแสดงให้เห็นว่าห่างไกล จากพระธรรมสดุดีในพระคัมภีร์เดิมขนาดใหน และบอกเหตุผลบางประการที่ทำไมเรา ถูกโน้มน้าวในทางจิตวิญญาณจาก "คำอธิษฐานนี้" มากจนเกินควร ก่อนอื่นเราต้อง กลับไปดูพระธรรมสดุดีในพระคัมภีร์เดิมก่อนเพื่อหาข้อแตกต่าง หลังจากนั้นเราจะนำ สิ่งที่เราได้รับจากคำอธิษฐานของโยนาห์ไปใช้กับผู้เผยพระวจนะที่หลงลืมพระคุณผู้นี้ กับชาวอิสราเอล และที่สุดกับตัวเรา
โครงร่างจากเนื้อหาที่เราคัดออกมามีดังนี้ :
1:17, 2:1 |
บทนำ: ความรอดของโยนาห์ และลักษณะคำอธิษฐานของเขา |
2:2-9 |
คำอธิษฐานของโยนาห์ |
2:10 |
บทสรุป: การอพยพของโยนาห์ |
17 และพระเจ้าทรงกำหนดให้ปลามหึมาตัวหนึ่งกลืนโยนาห์เข้าไป โยนาห์ก็อยู่ในท้องปลานั้นสามวันสามคืน
1 แล้วโยนาห์ก็อธิษฐานต่อพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านจากภายใน ท้องปลา...
"คำอธิษฐาน" ของโยนาห์เป็นบทกลอนอรรถาธิบายการช่วยกู้จากการจมน้ำ ปลามหึมา ไม่เพียงเป็นการเลือกสรรของพระเจ้าในการช่วยเหลือเท่านั้น (1:17), แต่ยังเป็นสถาน ที่ที่คำอธิษฐานนี้เกิดขึ้น (2:1). เราคงพอจินตนาการออกว่าความคิดที่แล่นเข้าไปใน สมองของโยนาห์ในขณะที่กำลังเผชิญวิกฤตการคับขันขนาดนั้นเป็นเช่นใด ขณะที่ กำลังจมสู่ผิวน้ำ โยนาห์รู้ว่าต้องตายแน่ๆ (2:2-7) ในวินาทีแห่งสัมปชัญญะสุดท้าย เขา ร้องหาความช่วยเหลือจากพระเจ้า ทันใดนั้นทุกสิ่งก็มืดมิด อาจจะมืดเพราะมีปลา มหึมามาบังแต่โยนาห์ไม่ทันสังเกตุเห็น แล้วก็มีบางสิ่งเกิดขึ้น มีความรู้สึกเหมือนเคลื่อน ที่ไป น่าจะเป็นความรู้สึกที่ใกล้เคียงกับตอนทารกแรกเกิดตอนผ่านจากปากปลาลงไป สู่ท้องปลา ทางแคบๆที่ผ่านไปอาจเป็นทางที่ปลาใช้กำจัดน้ำออกจากปอดซึ่งน่าจะ คล้ายๆกับเครื่องที่ช่วยหายใจ
เมื่อสติค่อยๆกลับคืนมา ลองจินตนาการความรู้สึกหวาดผวาแรกที่โยนาห์มี : สัมผัสของ ผนังท้องปลาที่หุ้มห่อตัวเขาอยู่ ความระคายจากน้ำย่อยที่ซึมอยู่ที่ผิวหนัง กลิ่นที่ไม่ สามารถบรรยายได้ถูก เศษอาหารต่างๆที่ปลากินเข้าไป ความมืดที่อยู่รอบตัว คงจะสัก พักใหญ่ กว่าโยนาห์จะรู้ว่าท้องปลานี้ยังไม่ใช่จุดจบของเขา แต่น่าจะเป็นการช่วยกู้ พระ เจ้าได้ยินคำอธิษฐานที่เขาร้องขอ เขาต้องมีชิวิตอยู่ คำอธิษฐานในข้อ 2-9 นั้นแต่งขึ้น ในท้องปลา และถูกถ่ายทอดออกมาทีหลังตามที่เราได้อ่านกัน ให้เรามาดูต่อในเนื้อหา ของ "คำอธิษฐานของผู้เผยพระวจนะที่เหลือเชื่อผู้นี้" เพื่อจะค้นหาว่ามีสิ่งใดที่สอนใจ เกี่ยวกับโยนาห์ ชนชาติอิสราเอล และเราทั้งหลาย
วิธีที่จะเข้าใจ "คำอธิษฐาน" ของโยนาห์ให้ดีที่สุดคือต้องมาค้นหาลักษณะพิเศษเฉพาะ ตัว และนำลักษณะเด่นเหล่านี้ไปเปรียบเทียบกับลักษณะเฉพาะของพระธรรมสดุดีใน พระคัมภีร์เดิม พอลองทำดูแล้วจะเห็นความด้อยใน "คำอธิษฐาน" ของโยนาห์ชัดเจน ให้ลองมาพิจารณาดูลักษณะต่างๆต่อไปนี้จาก "คำอธิษฐาน" ของโยนาห์
(1) "คำอธิษฐาน" ของโยนาห์ใช้บทกลอน และถ้อยคำต่างๆในรูปแบบเดียวกับ บทสดุดีในพระคัมภีร์
ในโยนาห์ 2:9 อ่านว่า "การที่ช่วยกู้นั้นเป็นของพระเจ้า"
เช่นกัน ในสดุดี 3:8 อ่านว่า "การช่วยกู้เป็นของพระเจ้า"
สังเกตุดูความเหมือนของถ้อยคำระหว่าง สดุดี 18 และโยนาห์ 2:
สายมัจจุราชล้อมข้าพระองค์ไว้ กระแสแห่งความหายนะท่วมข้า พระองค์ สายใยของแดนผู้ตายพันตัวข้าพระองค์ บ่วงมัจจุราชประทะ ข้าพระองค์ ในยามทุกข์ระทมใจข้าพเจ้าร้องทูลต่อพระเจ้า ข้าพเจ้า ร้องทูลขอความช่วยเหลือจากพระเจ้าของข้าพเจ้า จากพระวิหารของ พระองค์ และเสียงร้องของข้าพเจ้าได้ยินไปถึงพระกรรณพระองค์ (สดุดี 18:4-6).
"2ในคราวที่ข้าพระองค์ตกทุกข์ได้ยาก ข้าพระองค์ ร้องทุกข์ต่อพระเจ้า และพระองค์ทรงตอบข้าพระองค์ ข้าพระองค์ร้อง ทูลจากท้องของ แดนคนตาย และพระองค์ทรงฟังเสียงข้าพระองค์ 7 เมื่อจิตใจอ่อน เพลียไปในตัวของข้าพระองค์ ข้าพระองค์ระลึกถึงพระเจ้า และคำอธิษฐานของข้าพระองค์มาถึงพระองค์ เข้าสู่พระวิหาร บริสุทธิ์ของพระองค์ (โยนาห์ 2:2, 7).
ในสดุดี 42, ผู้แต่งใช้คำว่า "น้ำ" เพื่อสร้างจินตนาการ ซึ่งมีความเหมือน กับคำที่โยนาห์ใช้ใน "คำอธิษฐาน" ของเขา
จิตใจของข้าพเจ้าเอ๋ย, ไฉนเจ้าจึงฝ่ออยู่? ไฉนเจ้าจึงกระสับกระส่าย ภายในข้าพเจ้า? จงหวังใจในพระเจ้า, เพราะข้าพเจ้าจะถวายสดุดีแด่ พระองค์อีก ผู้ทรงเป็นความอุปถัมภ์ และพระเจ้าของข้าพเจ้า; จิตใจ ของข้าพระองค์ฝ่ออยู่ภายในข้าพระองค์ เพราะฉะนั้นข้าพระองค์จึงระ ลึกถึงพระองค์ ตั้งแต่แผ่นดินแห้งแม่น้ำจอร์แดนและแห่งภูเขาเฮอร์โมน ตั้งแต่เนินมิซาร์ เมื่อเสียงน้ำแก่งตก; ที่ลึกก็กู่เรียกที่ลึก บรรดาคลื่น และระลอกของพระองค์ ท่วมข้าพระองค์แล้ว. กลางวันพระเจ้าทรง บัญชาความรักมั่นคงของพระองค์ ; และกลางคืนเพลงของพระองค์อยู่ กับข้าพเจ้า เป็นคำอธิษฐานต่อพระเจ้าแห่งชีวิตของข้าพเจ้า (สดุดี 42:5-8, ที่ผมอยากจะย้ำ).17
(2) "คำสดุดี" ของโยนาห์เพ่งไปที่การช่วยทางกายจากการจมน้ำตาย. คำร้อย กรองของโยนาห์ที่เขาอธิษฐานออกมานั้นมุ่งไปที่ความรู้สึกของคนใกล้ตายในทะเล. เมื่อถูกห่อหุ้มไปด้วยระลอกคลื่น (ข้อ. 3, 5), ถูกสาหร่ายพันอยู่รอบกาย (ข้อ. 5). ท่านใกล้หมดสติลงเมื่อร้องขอให้พระเจ้าช่วยกู้ (ข้อ. 2, 4, 7). เสียงร้องขอน่าจะ ทำนองเดียวกันกับเปโตรที่กำลังเดินบนทะเลเพื่อไปหาพระเยซู, และอยู่ดีๆก็เริ่มจมลง (มัทธิว. 14:22-33). ไม่มีเวลาคิดทำสิ่งอื่นนอกจากร้องเรียกให้ช่วยโดยด่วน. "ปลา มหึมา" ถูกพระเจ้าเลือกให้กลืนโยนาห์ลงไป, ขณะที่โยนาห์ไม่ได้พูดถึงปลา แต่เราก็รู้ ว่าปลาให้ที่พักพิงท่านใต้ท้องน้ำถึงสามวันสามคืน (1:17). ขณะที่อยู่ในพุงปลานี้เอง ที่ผู้เผยพระวจนะแต่งคำอธิษฐานนี้ขึ้น (2:1). เช่นเดียวกับเซาโลซึ่งต่อมากลาย เป็นอัครทูตเปาโล ท่านตามืดมัวไปถึงสามวันเพื่อมีเวลาพิจารณาถึงพระกิตติคุณ (กิจการ 9:9), โยนาห์มีเวลาคิดคำนึงการช่วยกู้ของพระเจ้าถึงสามวัน. แต่เรื่องยัง ไม่จบลงเพียงแค่นี้ ยังมีปัญหาเล็กๆบางประการก่อนที่ท่านจะได้รับการปลดปล่อย ให้ออกมาจากคุกใต้น้ำ
(3) คำอธิษฐานของโยนาห์มีแต่เรื่องของตนเอง. โยนาห์พร่ำพรรณนาแต่ความเดือด ร้อนของตัวเอง อันตรายตนเองที่กำลังเผชิญอยู่ การช่วยกู้ และความชื่นชมยินดี. ในพระธรรมสดุดีี ผู้แต่งก็พรรณนาถึงการช่วยกู้ เหมือนกัน ถึงแม้อาจจะละเลยรายละเอียดออกไปบ้าง พูดถึงแต่เพียงเล็กน้อยบ้าง อาจกล่าวถึงเล็กน้อยในตอนขึ้นต้นของพระธรรมสดุดี (เช่นสดุดี 3, 18). แต่แล้ว บรรดาผู้เขียนพระธรรมสดุดีในพระคัมภีร์เดิมก็จะรีบเปลี่ยนจากเรื่องราวของตนเอง ไปเป็นการพูดถึงพระลักษณะขององค์พระผู้เป็นเจ้าที่ทรงสำแดงอยู่ในการช่วยกู้แทน ถ้าจะสรุปอย่างสั้นๆก็คือ พระธรรมสดุดีเพ่งไปที่พระเจ้า ในขณะที่คำอธิษฐานของ โยนาห์เพ่งไปที่ตัวเอง
สังเกตุดูใ้ห้ดีว่าคำอธิษฐานของโยนาห์เคลือบแฝงไปด้วยความทุกข์ระทมของตนเอง และทำเป็นเปลี่ยนไปเพ่งที่พระเจ้าแทนอย่างรวดเร็ว
บ่วงของความตายดักอยู่ล้อมข้าพเจ้า ความเจ็บปวดแห่งแดนผู้ตายจับ ข้าพเจ้าไว้ ข้าพเจ้าประสพความทุกข์ใจและความระทม แล้วข้าพเจ้า ร้องทูลออกพระนามพระเจ้าว่า : "ข้าแต่พระเจ้า ขอทรงช่วยชีวิต ข้าพระองค์ให้รอด!" พระเจ้าทรงพระกรุณาและชอบธรรม พระเจ้าของ เราทั้งหลายกอปรด้วยเมตตา (สดุดี 116:3-5, รวมทั้งผมด้วย).
คำอธิษฐานเช่นนี้ไม่ใช่แบบของโยนาห์. ในบทที่ 2 นั้นเต็มไปด้วยเรื่องความทุกข์ระทม ของโยนาห์ ในขณะที่แทบจะไม่มีการกล่าวถึงพระคุณของพระเจ้าเลย จนกระทั่งบทที่ 4 ที่โยนาห์เริ่มกลับมาพูดถึงพระลักษณะของพระเจ้าอีกครั้ง ในเรื่องของพระคุณ พระกรุณา ทรงอดทน และเต็มไปด้วยความรักมั่นคง :
ท่านจึงอธิษฐานต่อพระเจ้าว่า "ข้าแต่พระเจ้า เมื่อข้าพระองค์ยังอยู่ใน ประเทศของข้าพระองค์ ข้าพระองค์พูดแล้วว่าจะเป็นไปเช่นนี้มิใช่หรือ? นี่แหละเป็นเหตุให้ข้าพระองค์ได้รีบหนีไปยังเมืองทารชิช เพราะข้าพระ องค์ทราบว่า พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าผู้ทรงกอปรพระคุณ และทรง พระกรุณา ทรงกริ้วช้า และบริบูรณ์ด้วยความรักมั่นคง และทรง กลับพระทัยไม่ลงโทษ ข้าแต่พระเจ้า เพราะฉะนั้น บัดนี้ขอพระองค์ ทรงเอาชีวิตของข้าพระองค์ไปเสีย เพราะว่าข้าพระองค์ตายเสียก็ดีกว่า อยู่ " (โยนาห์ 4:2-3,).
ในขณะที่บรรดาผู้เขียนพระธรรมสดุดีใช้พระลักษณะของพระเจ้าเพื่อการสรรญเสริญ นมัสการต่อพระองค์ด้วยใจเชื่อฟัง โยนาห์กลับใช้พระลักษณะของพระเจ้าเป็นข้ออ้าง ในการที่จะไม่เชื่อฟัง และต่อต้านพระองค์
มีข้ออ้างใหญ่พียงข้อเดียวในคำอธิษฐานของโยนาห์ที่นำมาใช้อ้างกับพระเจ้า มีการ พาดพิงถึงคำสอนของพระเจ้าผู้ทรงครอบครองอยู่ คำพาดพิงนี้ถูกบิดเบือนและ นำมาใช้อย่างไม่ถูกต้อง เพราะแทนที่ท่านจะโทษว่าสาเหตุความเดือดร้อนนั้นเป็น เพราะความดื้อดึงของท่านเอง ท่านกลับไปพร่ำพรรณาว่าพระเจ้าเป็นสาเหตุที่ทำให้ ท่านต้องเผชิญภัยอันตรายอันใหญ่หลวง
"เพราะพระองค์ทรงเหวี่ยงข้าพระองค์ลงไปในที่ลึก ในท้องทะเล และน้ำก็ท่วมล้อมรอบข้าพระองค์ไว้ บรรดาคลื่นและระลอกของ พระองค์ ท่วมข้าพระองค์แล้ว " (โยนาห์ 2:3).
ประโยคนี้ฟังดูคล้ายๆกับตอนอาดัมแก้ตัวกับพระเจ้าเมื่อถูกจับได้ว่าทำผิด:
"หญิงที่พระองค์ประทานให้อยู่กินกับข้าพระองค์นั้น ส่งผลไม้นั้น ให้ข้าพระองค์ ข้าพระองค์จึงรับประทาน" (ปฐก. 3:12).
(4) คำอธิษฐานของโยนาห์แสดงให้เห็นว่าท่านดูถูกคนต่างชาติ และหยิ่งยโส ในความเป็นอิสราเอลของตนเอง ในบทที่ 1 เราเรียนรู้เรื่องความเชื่อของกลาสี ต่างชาติ การเชื่อฟังและทำตามทุกสิ่งที่เขารู้ แต่ใน "คำสดุดี" ของโยนาห์ ไม่มีการ กล่าวถึงการที่พระเจ้าช่วยกู้พวกกลาสีจากความตาย และการที่พวกเขาได้ค้นพบความ เชื่อเที่ยงแท้ของพระเจ้าแห่งอิสราเอลเลย เราคงจะกล้าสรุปได้ว่าโยนาห์ไม่ได้มี ความยินดียินร้าย หรือเห็นเป็นการสมควรที่จะสรรญเสริญพระเจ้าสำหรับเหตุการณ์นี้ ถ้าเราเจาะเรื่องนี้ให้ลึกลงไปอีก เราก็คงสรุปได้ว่าโยนาห์นั้นเกลียดคนต่างชาติ และถ้า เลือกได้ คงอยากให้พวกเขาพินาศมากกว่าได้รับการช่วยกู้ และได้รับความรอด
ตอนนี้อาจดูเหมือนเดาเอาเอง แต่ถ้าอ่านไปจนถึงบทที่ 4 เราอาจจะเห็นภาพที่ชัดเจน น้ำเสียงของโยนาห์์ในข้อ 8 และ 9 ที่กล่าวว่า : "บรรดาผู้ที่แสดงความนับถือต่อพระ เทียมเท็จ ยอมสละทิ้งพระองค์ผู้ทรง สำแดงความรักมั่นคงเสีย แต่ข้าพระองค์จะถวาย สัตวบูชาแด่พระองค์ พร้อมด้วยเสียง โมทนาพระคุณ" (โยนาห์ 2:8-9ก). โยนาห์ ออกจะดูถูกคนต่างชาติมาก กล่าวว่าเป็น พวกกราบไหว้รูปเคารพ แต่ในขณะเดียวกัน ท่านคิดว่าตนเองเป็นผู้สูงส่ง เป็นผู้ที่ นมัสการพระเจ้าเที่ยงแท้ด้วยเครื่องสัตวบูชา และเป็นผู้ที่พระเจ้าเลือกไว้ โยนาห์ใน ฐานะที่เป็นคนอิสราเอล ย่อมเหนือกว่าพวก ต่างชาติป่าเถื่อนที่กราบไหว้รูปเคารพ
คำพูดของโยนาห์ตอนนี้ไม่ได้ตรงไปตรงมาเหมือนเมื่อตอนบทที่ 1 อย่าลืมว่าพวกนอก ศาสนาอธิษฐาน โยนาห์เปล่า พวกนอกศาสนาพยามยาค้นหาความบาป แต่โยนาห์ เปล่า พวกนอกศาสนากราบไหว้พระของตนเพื่อให้หายโกรธ โยนาห์เปล่า พวกนอก ศาสนามีใจสงสารโยนาห์ แต่โยนาห์กลับไม่สนใจในความทุกข์ร้อนของพวกเขา ยึด หลักมาตรฐานโดยทั่วไป ชาวเรือต่างชาตินั้นแสดงให้เห็นว่าเขาเหนือกว่าโยนาห์ใน ทุกทาง แต่โยนาห์กลับไปบอกพระเจ้าอย่างไม่อายเลยว่าท่านนั้นสูงส่งกว่าพวกนอก ศาสนา
บรรดาผู้เขียนพระธรรมสดุดีในพระคัมภีร์เดิมมีความเข้าใจที่ดีกว่า ในคำสดุดีของพวก เขา มีการกล่าวเรื่องการกลับใจและการนมัสการของชาวต่างชาติ :
ข้าพระองค์จะบอกเล่าพระนามของพระองค์แก่พี่น้องของข้าพระองค์ ; ข้าพระองค์จะสรรญเสริญพระองค์ ท่ามกลางชุมนุมชน ท่านผู้เกรงกลัว พระเจ้า จงสรรญเสริญพระองค์ ; ท่านพงษ์พันธ์ของยาโคบเอ๋ย จง ถวายพระสิริแด่พระองค์ ท่านพงษ์พันธ์ทั้งสิ้นของอิสราเอลเอ๋ย จง เกรงกลัวพระองค์ เพราะพระองค์มิได้ทรงดูถูกหรือสะอิดสะเอียนต่อ ความทุกข์ยากของผู้ที่ทุกข์ใจ และพระองค์มิได้ทรงซ่อนพระพักตร์จาก เขา เมื่อเขาร้องทูล พระองค์ทรงฟัง
คำสรรญเสริญของข้าพระองค์ในที่ชุมนุมชนใหญ่มาจากพระองค์ ข้า พระองค์จะแก้บนต่อหน้าผู้ที่เกรงกลัวพระองค์ คนเสงี่ยมเจียมตัวจะได้ กินอิ่ม บรรดาผู้แสวงหาพระองค์จะสรรญเสริญพระเจ้า ขอจิตใจของ ท่านทั้งหลายมีชีวิตอยู่เป็นนิตย์ ! ที่สุดปลายทั้งสิ้นของแผ่นดินโลก จะจดจำและหันกลับมายังพระเจ้า และตระกูลทั้งสิ้นของบรรดา ประชาชาติ จะนมัสการต่อพระพักตร์พระองค์ เพราะอำนาจการ ปกครองเป็นของพระเจ้า และพระองค์ทรงครอบครองเหนือบรร ดาประชาชาติ (สดด. 22:22-28).
ในสดุดี 67 ผู้เขียนพูดยิ่งกว่านี้ โดยยึดตามพระสัญญาที่พระเจ้าให้ใว้แก่อับราฮัม ว่าพระ พรสำหรับลูกหลานของท่านนี้ วันหนึ่งจะตกไปถึงบรรดาประชาชาติด้วย
ขอพระเจ้าทรงพระเมตตาต่อข้าพระองค์ทั้งหลาย และอำนวยพระพรแก่ข้าพระองค์ ขอพระองค์ทรงให้พระพักตร์ฉายสว่างแก่ข้าพระองค์ เพื่อพระมรรคาของพระองค์ จะเป็นที่รู้จักในแผ่นดินโลก ความรอดของพระองค์จะเป็นที่ทราบท่ามกลางบรรดา ประชาชาติทั้งสิ้น ข้าแต่พระเจ้า ขอชนชาติทั้งหลายสรรญเสริญพระองค์ ให้ชนชาติ ทั้งหลายสรรญเสริญพระองค์ และให้ชาวประเทศทั้งหลายยินดีและร้องเพลง ด้วย ความชื่นบาน เพราะพระองค์ทรงพิพากษาชนชาติทั้งหลาย ด้วยความเที่ยงธรรม และ ทรงนำชาวประเทศทั้งหลายในโลก ข้าแต่พระเจ้า ขอชนชาติทั้งหลายสรรญเสริญพระ องค์ ให้ชนชาติทั้งหลายสรรญเสริญพระองค์ แผ่นดินโลกได้เกิดผล พระเจ้า คือพระ เจ้าของเราทรงอำนวยพระพรแก่เรา พระจ้าทรงอวยพระพรแก่เราแล้ว ให้ที่สุดปลายแผ่นดินโลกเกรงกลัวพระองค์ (สดุดี 67).
โยนาห์ไม่ต้องการให้พระพรที่สงวนไว้เฉพาะชาวยิวตกไปถึงคนต่างชาติ และท่านไม่ ต้องการให้พระองค์อวยพระพรคนต่างชาติโดยผ่านทางคนยิวด้วย ดังนั้นเมื่อพระเจ้า ตรัสสั่งโยนาห์ซึ่งเป็นคนยิว ให้ไปประกาศที่นีนะเวห์ เมืองของคนต่างชาติ โยนาห์จึง รีบเผ่นหนี จึงไม่เป็นที่น่าประหลาดใจเลยว่า เมื่อคนต่างชาติกลับใจ จึงไม่มีคำสรรญ เสริญออกมาจากปากโยนาห์ แต่เป็นคำพูดอธิบายย้ำให้พระเจ้าฟังว่าชาวยิวนั้นสูงส่ง กว่าชาวต่างชาติ
(5) คำสัญญาเดียวที่โยนาห์มีให้กับพระเจ้า คือสัญญาว่าจะไปถวายสัตวบูชา ที่พระวิหาร ในอดีต ผมอ่านพระธรรมโยนาห์์ โดยเฉพาะข้อ 9 บ่อยเป็นพิเศษ : "แต่ข้าพระองค์จะถวายสัตวบูชาแด่พระองค์ พร้อมด้วยเสียงโมทนาพระคุณ ข้าพระองค์ บนไว้อย่างไร ข้าพระองค์จะแก้บนอย่างนั้น การช่วยกู้เป็นของพระเจ้า" ตอนนั้นผมรู้สึก ว่าคำพูดของท่านในข้อนี้เป็นนัยว่าพระเจ้าทรงเป็นผู้ครอบครอง ดังนั้นพระองค์จึงมี อิสระที่จะเลือกประทานความรอดให้ผู้ใดก็ได้ และโยนาห์นั้นสัญญาว่าจะทำตามคำสั่ง ของพระองค์ที่จะไปยังนีนะเวห์
แต่เดี๋ยวนี้ความเข้าใจของผมเปลี่ยนไป เพราะถ้าโยนาห์สาบานว่าจะไปนีนะเวห์ ทำไม พระเจ้าจึงต้องสั่งเป็นคำรบสองในข้อแรกของบทที่ 3 ? เมื่อโยนาห์กล่าวว่า "การช่วย กู้ เป็นของพระเจ้า" ผมเชื่อว่าเขาคงขอบคุณที่พระเจ้าช่วยกู้เขาให้รอดทางกายต่าง หาก ที่จริงเขากำลังกล่าวว่า "ความรอดนี้ คือความรอดที่ข้าพระองค์กล่าวถึงในคำ อธิษฐาน" เนื้อหาคำบนบานที่โยนาห์พูดถึงนี้ปรากฎอยู่เต็มๆในข้อ 9 โยนาห์ตั้งใจจะ ไปที่กรุงเยรูซาเล็มเพื่อไปถวายสัตวบูชาโมทนาพระคุณ โดยทั่วไปเวลาบนบานมักมี การสัญญาว่าจะถวายบูชา (สดด 66:13-15) และผมเชื่อว่าโยนาห์หมายความตามที่ ท่านอธิษฐานในตอนแรกของข้อ 9 ท่านคงจะดีใจพิลึกที่ได้กล่าวคำอำลาภูมิลำเนาเดิม ในท้องปลากลับคืนสู่แผ่นดินแห้ง และอยากเร่งรีบกลับไปยังดินแดนแห่งพันธสัญญา เพื่อทำการถวายสัตวบูชาและโมทนาขอบพระคุณ
(6) คำอธิษฐานของโยนาห์ไม่มีเรื่องการกลับใจ หรือการสารภาพบาป ถึงแม้เราจะเห็นอย่างชัดเจนจากบทที่ 1ว่า เป็นเรื่องจำเป็น โยนาห์มีเรื่อง มากมายที่ต้องสารภาพ แต่ไม่เห็นท่านสารภาพเรื่องใดในคำอธิษฐาน ถึงแม้จะ พรรณาถึงสาเหตุที่ท่านต้องเผชิญภัยในข้อ 3 ท่านไม่ได้กล่าวว่าเป็นเพราะบาปใด ท่านจึงถูกเหวี่ยงลงที่กลางทะเล แต่เมื่อนำคำอธิษฐานของโยนาห์ไปเปรียบเทียบกับ พระธรรมสดุดี ที่ผู้เขียนวิงวอนและสารภาพบาปกับพระเจ้า เช่นตัวอย่างดังต่อไปนี้
ข้าพระองค์สารภาพบาปของข้าพระองค์ต่อพระองค์ และข้าพระองค์มิได้ซ่อนบาปผิด ของข้าพระองค์ไว้ ข้าพระองค์ทูลว่า "ข้าพระองค์จะสารภาพการละเมิดของข้าพระองค์ ต่อพระเจ้า" (สดุดี 32:5).
ข้าแต่พระเจ้า ขอทรงแสดงพระกรุณาต่อข้าพระองค์ตามความรักมั่นคง ของพระองค์ ขอทรงลบการทรยศของข้าพระองค์ออกไปตามแต่พระ กรุณาอันอุดมของพระองค์ ขอทรงล้างข้าพระองค์จากความบาปผิดให้ หมดสิ้น และทรงชำระข้าพระองค์จากบาปของข้าพระองค์ เพราะข้า พระองค์ทราบถึงการละเมิดของข้าพระองค์แล้ว และบาปของข้า พระองค์อยู่ต่อหน้าข้าพระองค์เสมอ ข้าพระองค์ได้ทำบาปต่อพระองค์ ต่อพระองค์เท่านั้น และได้กระทำสิ่งที่ชั่วร้ายในสายพระเนตรพระองค์ ทั้งนี้เพื่อพระองค์จะทรงยุติธรรมในคำพิพากษา และไร้ตำหนิในการ พิพากษานั้น (สดุดี 51:1-4).
ข้าแต่พระเจ้า ขอทรงช่วยข้าพระองค์ให้รอด เพราะน้ำขึ้นมาถึงคอข้า พระองค์แล้ว ข้าพระองค์จมอยู่ในเลนลึกไม่มีที่ยืน ข้าพระองค์อยู่ในน้ำ ลึกและน้ำท่วมข้าพระองค์ . … ข้าแต่พระเจ้า พระองค์ทรงทราบถึง ความโง่ของข้าพระองค์ ความผิดที่ข้าพระองค์กระทำแล้วจะซ่อนไว้ จากพระองค์ไม่ได้ ข้าแต่พระเจ้าจอมโยธา ขออย่าให้บรรดาผู้ที่หวังใจ ในพระองค์ได้รับความอายเพราะข้าพระองค์ ข้าแต่พระเจ้าของ อิสราเอล …แต่ส่วนข้าพระองค์ ข้าพระองค์อธิษฐานต่อพระองค์ ข้าแต่ พระเจ้า ในเวลาอันเหมาะสม โดยความรักมั่นคงอันอุดมของพระองค์ ขอทรงโปรดตอบข้าพระองค์ด้วยความอุปถัมภ์อย่างวางใจได้ ขอทรง ช่วยข้าพระองค์ให้พ้นจากจมลงในเลน ขอทรงช่วยกู้ข้าพระองค์จากคน ที่เกลียดชังข้าพระองค์ และจากน้ำลึก ขออย่าให้น้ำท่วมข้าพระองค์์ หรือน้ำที่ลึกกลืนข้าพระองค์เสีย หรือปากแดนผู้ตายงับข้าพระองค์ไว้ (สดุดี 69:1-2, 5-6, 13-15).
ในขณะที่โยนาห์รีบกล่าวโทษคนต่างชาติว่ากราบไหว้รูปเคารพ (โยนาห์ 2:8), ท่าน เองคงลืมไปว่า การไม่เชื่อฟังก็เป็นบาปเช่นเดียวกับการกราบไหว้รูปเคารพ โยนาห์ คงทำได้ดีกว่านี้ถ้าท่านไวในการฟังคำเตือนของสดุดีตอนต่อไปนี้ :
"เรากินเนื้อวัวผู้หรือ หรือดื่มเลือดแพะหรือ จงนำเครื่องการโมทนา พระคุณมาเป็นเครื่องสักการะบูชาแด่พระเจ้า และแก้บนของเจ้าต่อ องค์ผู้สูงสุด และจงร้องทูลเราในวันทุกข์ยากลำบาก เราจะช่วยกู้เจ้า และเจ้าจะถวายพระสิริแก่เรา" แต่พระเจ้าตรัสกับคนอธรรมว่า "เจ้ามี สิทธิ์อะไรที่จะท่องกฎเกณฑ์ของเรา หรือรับปากตามพันธสัญญาของ เรา เพราะเจ้าเกลียดวินัย และเจ้าเหวี่ยงคำของเราไว้ข้างหลังเจ้า" (สดุดี 50:13-17).
ตรงนี้ ที่พระเจ้าตรัสอย่างเจาะจงว่า ข้อปฏิบัติและพิธีกรรมทางศาสนา (อย่างที่โยนาห์ บนในคำอธิษฐาน)นั้น ไม่มีค่าไปกว่าการเชื่อฟังและทำตามคำสั่งของพระองค์ ในคำอธิษฐานของโยนาห์นี้ ท่านได้ "เหวี่ยงคำสอนของพระเจ้าทิ้งไป" โยนาห์จงใจ ขัดคำสั่งของพระเจ้าที่ให้ไปยังนีนะเวห์ เหตุใดคำอธิษฐานบนบานของท่านจะมีค่า ในสายพระเนตรพระเจ้าเล่า ?
โยนาห์น่าจะจำได้ถึงคำพูดที่ซามูเอลกล่าวตำหนิกษัตริย์ซาอูลที่ไม่เชื่อฟังคำสั่งของ พระเจ้าว่า :
"พระเจ้าทรงพอพระทัยในเครื่องเผาบูชา และเครื่องสัตวบูชามากเท่า กับการที่จะเชื่อฟังพระสุรเสียงของพระองค์หรือ ? ดูเถิด ที่จะเชื่อฟังก็ ดีกว่าเครื่องสัตวบูชา และซึ่งจะสดับฟังก็ดีกว่าใขมันของบรรดาแกะผู้ เพราะการกบฎก็เป็นเหมือนบาปแห่งการถือฤกษ์ถือยาม และ ความดื้อดึงก็เป็นเหมือนบาปชั่ว และการไหว้รูปเคารพ . เพราะ เหตุที่ท่านทอดทิ้งพระวจนะของพระเจ้า พระองค์จึงทรงถอดท่านออก จากตำแหน่งกษัตริย์ " (1 ซามูเอล 15:22-23).
แล้วเราก็มาถึงบันทัดสุดท้าย "คำอธิษฐาน" ของโยนาห์นั้นไม่ได้มีข้อพิสูจน์เลยว่าท่าน เปลี่ยนใจ หรือได้กลับใจแล้ว แต่กลายเป็นการเปิดเผยความบาปและความหยิ่งยโส ของท่าน ถ้าจะพูดให้ดูดีที่สุดคือ ท่านโมทนาพระคุณเพราะการช่วยกู้ "ทางกาย" เท่านั้น เหตุใดพระเจ้าจึงช่วยกู้โยนาห์จากความตายใน "ท้องปลามหึมา" ถ้าทัศนคติ ของท่าน ที่มีต่อพระเจ้ายังไมยอมเปลี่ยนแปลง ? ผมเชื่อว่ามีเหตุผลหลายประการ :
(1) พระเจ้ากำลังสำแดงพระคุณต่อโยนาห์ เช่นเดียวกับที่พระองค์ทรงสำแดง แก่ชาวเรือ และจะสำแดงแก่ชาวนีนะเวห์ด้วย
(2) พระเจ้าพยายามที่จะสอนโยนาห์ และเปลี่ยนทัศนคติคู่พิพาทของพระองค์ โดยสำแดงทางพระคุณ การมีประสพการณ์รับพระคุณของพระเจ้า อาจช่วยทำให้ โยนาห์รู้สึกซาบซึ้ง ในสิ่งที่พระเจ้าต้องการประทานให้กับผู้อื่น เช่นชาวอัสซีเรียด้วย
(3) พระเจ้าต้องการให้โยนาห์มีชีวิตอยู่ต่อ เพื่อสามารถไปยังนีนะเวห์ และต้อง ไป เพื่อประกาศเรื่องความบาปของชาวเมืองนั้นให้ได้ พระเจ้ากำลังรับรองว่า โยนาห์ต้องทำตามคำสั่งของพระองค์ทุกประการ
"ทำไมเราจึงด่วนคิดเอาเองว่าโยนาห์ได้กลับใจแล้ว จากคำอธิษฐานนี้ ? "
(1) ผมคิดว่าที่เราด่วนสรุปแบบนี้ เพราะเรามองเห็นแต่เพียงภายนอกเท่านั้น โยนาห์เป็นคนอิสราเอล เป็นผู้เผยพระวจนะ และที่จำเป็นที่สุดคือ ต้องมีใจฝ่าย วิญญาณ คำอธิษฐานนี้ใกล้เคียงกับคำสดุดีในพระคัมภีร์เดิม ดังนั้นควรเป็นเรืื่องที่ ลึกซึ้งทางจิตวิญญาณ เราจึงต้องรู้ลึกกว่าตัดสินจากที่เห็นเพียงภายนอกเท่านั้น
(2) เรากระหายอยากจะเห็นโยนาห์กลับใจ เพราะเราไม่อาจยอมรับได้ที่ ผู้เผยพระ วจนะเป็นคนหัวดื้อหัวแข็ง เป็นคนบาปที่กบฎต่อพระเจ้า เป็นคนที่ให้ตนเองเป็นใหญ่ และไม่ยอมกลับใจ เรายอมรับไม่ได้ที่จะคิดว่าผู้เผยพระวจนะเป็นคนบาปหนา เราอยาก ให้เรื่องนี้จบลงแบบ "แฮปปี้เอนดิ้ง" หรือทุกคนมีความสุขอิ่มเอิบใจ รวมทั้งเราที่เอาใจ ช่วยอยู่ด้วย พระธรรมเล่มนี้ไม่ได้เขียนมาเพื่อความสุขสมใจ แต่กลับเป็นเพื่อการตำหนิ ติเตียน ไม่ได้เพื่อให้เรารู้สึกดี แต่กลับทำให้รู้สึกอึดอัดคับข้องใจ พระธรรมเล่มนี้เขียน ขึ้นเพื่อสอนเราให้รับรู้ข้อเท็จจริงบางประการที่ไม่น่าอภิรมย์เกี่ยวกับชนชาติอิสราเอล และเกี่ยวกับตัวเราเอง ที่เราจะเห็นต่อไป
ถึงแม้ข้อเท็จจริงอันคับข้องใจเรื่องการกบฎของโยนาห์ยังมีอยู่ในบทนี้ - ที่จริงแล้ว เป็นเพราะ
มีบทเรียนที่สำคัญหลายเรื่องสำหรับตัวเราเอง ก่อนจบบท ให้ผมไ้มีโอกาสชี้ให้เห็น ถึงบทเรียนสำหรับอิสราเอล และสำหรับคริสตจักรด้วย
จากที่เราเห็น โยนาห์ไม่ใช่ผู้เผยพระวจนะที่มีคุณความดีเพราะการออกไปประกาศหรือ เพราะการกระทำอื่นๆ แถมยังไม่เชื่อฟังอีกด้วย โยนาห์คือภาพพจน์ของชนชาติ อิสราเอลจอมกบฎของพระเจ้าตัวจริง โยนาห์ไม่ทำตามคำสั่งของพระเจ้า อิสราเอล ก็ไม่ปฏิบัติตามธรรมบัญญัติของโมเสส โยนาห์ปฏิเสธภารกิจไปประกาศกับคนต่างชาติ คนอิสราเอลก็เหมือนกัน เมื่ออิสราเอลร้องทูลขอการช่วยกู้ เช่นเดียวกัน โยนาห์ก็ร้อง ทุกข์กับพระเจ้า แต่ไม่ยอมกลับใจอย่างแท้จริง อิสราเอลก็ด้วย โยนาห์ประดับฉาก ความชอบธรรมภายนอกอย่างสวยหรู ถูกต้องตรงตามแบบแผนพิธีการ แต่ขาดความ ชอบธรรมที่แท้จริง อิสราเอลก็ด้วยเช่นกัน
พวกธรรมาจารย์และฟาริสีในสมัยของพระเยซู ก็แสดงภาพพจน์ของผู้จงใจกบฏให้เห็น แต่เมื่อองค์พระผู้เป็นเจ้าของเราสถิตย์อยู่ที่นั่น พระองค์ทรงกวาด ¾ ของหิมะที่ปกคลุม อยู่เหนือกองขยะที่พอกพูนอยู่บนศาสนายูดาห์ออกไป พระเยซูทรงเปิดโปงความหน้า ซื่อใจคด และหลอกลวงของบรรดาผู้นำอิสราเอล แบบเดียวกับที่พระธรรมโยนาห์เปิด โปงผู้เผยพระวจนะท่านนี้
พวกอาลักษณ์และฟาริสีเข้มงวดกวดขันกับรายละเอียดในเรื่องเล็กเรื่องน้อยของพิธี กรรมทางศาสนา (ลูกน้ำที่พวกเขากรองออก), แต่กลับมองข้ามสิ่งจำเป็นที่สุดในการ ปรนนิบัติพระเจ้า —การเชื่อฟัง ("อูฐ" ที่พวกเขากลืนเข้าไป) เช่นเดียวกับที่โยนาห์ คิดว่าชาวอัสซีเรียไม่สมควรกลับใจและได้รับการอภัย พวกหน้าซื่อใจคดอย่างอาลักษณ์ และฟาริสีก็ทำเป็นโกรธเคืองเหมือนพี่คนโตเมื่อน้องผู้เป็น "บุตรน้อยหลงหาย" กลับคืน (ลูกา 15:11-32). พวกเขาประท้วงไม่พอใจเมื่อพระเยซูใช้เวลากับ "พวกคนบาป" แทนที่จะเป็นพวกเขา (มาระโก 2:16) โยนาห์มองว่าตนเองเป็นผู้ชอบธรรม และ คนต่างชาติล้วนแต่เป็นคนบาป (โยนาห์ 2:8-9), พวกธรรมาจารย์และฟาริสีก็มองคนอื่น ด้วยสายตาทำนองเดียวกัน :
"คนฟาริสีนั้นยืนนึกในใจของตน อธิษฐานว่า ‘ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์ โมทนาขอบพระคุณของพระองค์ ที่ข้าพระองค์ไม่เหมือนคนอื่น ซึ่งเป็น คนโลภ คนอธรรม และคนล่วงประเวณี และไม่เหมือนคนเก็บภาษีคนนี้ ในสัปดาห์หนึ่งข้าพระองค์ถืออดอาหารสองหน และของสารพัดซึ่งข้า พระองค์หาได้ ข้าพระองค์ได้เอาสิบชักหนึ่งมาถวาย’ ฝ่ายคนเก็บภาษี นั้นยืนอยู่แต่ไกล ไม่แหงนดูฟ้า แต่ตีอกของตนว่า ‘ข้าแต่พระเจ้า ขอ ทรงโปรดพระเมตตาแก่ข้าพระองค์ผู้เป็นคนบาปเถิด!’ เราบอกท่านทั้ง หลายว่า คนนี้แหละเมื่อกลับลงไปยังบ้านของตนก็นับว่าชอบธรรม มิใช่ อีกคนหนึ่งนั้น เพราะว่าทุกคนที่ยกตัวขึ้นจะต้องถูกเหยียดลง แต่ทุกคน ที่ได้ถ่อมตัวลง จะต้องถูกยกขึ้น" (ลูกา 18:11-14).
การที่คนยิวปฏิเสธพระคริสต์และข่าวประเสริฐของพระองค์ คนต่างชาติจึงมีโอกาสได้ รับความรอด และการไม่เชื่อฟังของโยนาห์ก็เป็นหนทางให้ชาวเรือและ ชาวอัสซีเรีย ได้รับความรอดเช่นกัน :
ข้าพเจ้าจึงถามว่า พวกอิสราเอลสะดุดจนหกล้มที่เดียวหรือ ? หามิได้ แต่การที่เขาละเมิดนั้น เป็นเหตุให้ความรอดแผ่มาถึงพวกชาวต่างชาติ เพื่อจะให้พวกอิสราเอลมีใจมานะขึ้น แต่ถ้าการที่พวกอิสราเอลละเมิด นั้นเป็นเหตุให้ทั้งโลกบริบูรณ์ และถ้าการพ่ายแพ้ของเขาเป็นเหตุให้คน ต่างชาติบริบูรณ์ หากได้เขามาเพิ่มเข้าด้วย จะดียิ่งกว่านั้นอีกมากหนอ (โรม 11:11-12).
เหตุเพราะการไม่เชื่อฟัง พระเจ้าทรงกระทำให้พันธสัญญาที่มีต่ออับราฮัมในการนำพระ พรของพระองค์ไปสู่คนต่างชาติโดยผ่านชาวอิสราเอลนั้นเกิดเป็นจริง
ก่อนที่จะแสดงให้เห็นถึงความบาปของโยนาห์และความบาปของธรรมมิกชนอย่าง พวกเราในทุกวันนี้ ผมอยากจะชี้ให้เห็นถึงความแตกต่างด้านความคิดของโยนาห์ กับความคิดของพวกเรา ความคิดของโยนาห์ตั้งมั่นอยู่ตามธรรมบัญญัติในพระคัมภีร์ เดิมของชาวยิว ยึดมั่นในความคิดที่ตนเองเป็นชาวอิสราเอล ผู้ที่ถูกเลือกสรร หลงลืม และผิดพลาดไปในพระคุณของพระเจ้า กลับไปหลงยึดติดให้ความสำคัญกับการเป็น ชนชาติที่ได้รับการ "คัดเลือก" โดยเฉพาะอย่างยิ่งให้เป็นถึงผู้เผยพระวจนะ ทุกวันนี้ พวกเราเองก็ถือทึกทักเอาแต่พระคุณพระเจ้า เราแอบอ้างใช้พระคุณเป็นข้อแก้ตัวเพื่อ หลีกเลี่ยงการเชื่อฟัง โยนาห์มองไม่เห็นว่าตัวเองเป็นคนบาปพอๆ หรือมากกว่าคน ต่างชาติด้วยซ้ำไป ในทางกลับกัน เราเห็นว่าเราเองนั้นเป็นคนผิดบาป และคิดว่า นี่คือความอ่อนแอของมนุษย์ เราเลยเหมาเอาว่ายังไงๆ พระเจ้าก็ต้องมีหน้าที่ให้อภัย ดังนั้นความคิดทั้งสมัยโน้น และสมัยนี้ก็ไม่ต่างกัน คือเรามองภาพพระเจ้าว่าต้องให้ อภัย และอำนวยพระพร "ประชากรของพระองค์" ไม่ว่าพวกเขาจะกบฎสักแค่ไหนก็ตาม แต่กลับไปมองภาพความบาปของ"คนนอกศาสนา" ว่าเลวร้ายกว่า "บาปบริสุทธิ์" เช่นการไม่เชื่อฟังของเราแทน
"คำอธิษฐาน" ของโยนาห์เตือนเราถึงอันตรายใกล้ตัวของบรรดาจิตวิญญานที่ฉาบหน้า สาเหตุที่นักวิชาการด้านพระคัมภีร์และฆราวาสทั้งหลายใส่ใจในคำอธิษฐานของโยนาห์ มากเป็นพิเศษนั้น เตือนเราให้ระมัดระวังถึงจิตวิญญาณที่ฉาบหน้าอยู่อย่างผิวเผิน เช่น ในวิวรณ์บทที่สามที่พระเจ้าทรงตักเตือนคริสตจักรในเมืองซาร์ดิสว่า "เรารู้จักแนว การกระทำของเจ้า เจ้าได้ชื่อว่ามีชีวิตอยู่ แต่ว่าเจ้าได้ตายเสียแล้ว" (วิวรณ์ 3:1ข).
จิตวิญญาณที่มีแต่เพียงฉาบหน้านั้นคือการรู้และทำตามพิธิีกรรมทางศาสนาอย่าง เคร่งครัด ครบถ้วน ถูกต้องตรงตามเวลา ทำให้ดูเป็นผู้ยึดมั่นในความดี เป็นที่น่านับถือ แต่ถ้าจะเจาะลงไปให้ลึกสักหน่อยก็จะเห็นตัวตนที่แท้จริง ผมอาจกล่าวได้ว่าถ้ามีการ ข่มเหงและความทุกข์ยากเกิดขึ้นสักหน่อย ตัวตนที่แท้จริงคงเผยโฉมออกมาให้ได้เห็น
ผมหวั่นใจมากว่าจิตวิญญาณของคนอเมริกันกำลังเป็นเช่นนี้ และโดยไม่มีข้อยกเว้น ผมเองกลัวว่าทั้งตัวผมและที่คริสตจักรกำลังเป็นด้วยเช่นกัน ขอองค์พระผู้เป็นเจ้าเปิด ตาใจให้เรามองเห็น และจัดการกับเรื่องนี้ได้อย่างถูกต้อง
จิตวิญญาณที่มีแต่ฉาบหน้านั้นมีอาการให้เห็นได้หลายอย่าง เช่นยึดถือในสิ่งผิดๆ ภูมิหลัง เทือกเถาเหล่ากอวงศ์ตระกูล ความมั่งคั่ง ตำแหน่งหน้าที่รับผิดชอบ (เช่นผู้อาวุโส ในคริสตจักร ฯลฯ) หรือความรู้ความสามารถ สิ่งเหล่านี้ไม่ได้เป็น องก์ประกอบที่ดีฝ่ายจิตวิญญาณ และหลายครั้งก็หลอกลวงให้เราหลงผิดไปได้
จิตวิญญาณแต่เพียงฉาบหน้ามักถือเรื่องพิธีการเป็นเรื่องใหญ่ ซึ่งส่วนมากสืบทอดมา จากคนอื่น ดูเหมือนเคร่ง แต่ไม่เกิดผลดีใดๆ จะอธิษฐานก็ต่อเมื่อเข้าตาจน แรง จูงใจมักมาจากสถาณการณ์ที่เกินกำลัง และอธิษฐานเพียงแค่เอาตัวให้รอดก็พอ เป็นการอธิษฐานมุ่งไปที่เรื่องของตัวเอง มากกว่าเข้าหาพระเจ้าหรือทำเพื่อคนอื่น ลืมเรื่องความบาปของตนเองเสียสนิท แต่กลับไพล่ไปเ็ห็นความบาปของคนอื่น ขาด การมีสามัคคีธรรมที่ดีกับพระเจ้า และความกระหายที่จะทำตามพระประสงค์ของพระองค์ ไม่ใส่ใจเรื่องอื่นรอบตัว กลับให้เรื่องของตัวเองเป็นใหญ่ (เช่น "ข้าแต่พระเจ้า โปรด อวยพระพรงานพันธกิจของข้าฯ") บางครั้งบิดเบือนหลักคำสอนไป เพื่อจะกลบเกลื่อน หรือหาข้อแก้ตัวให้กับความบาปของตน (เช่นเดียวกับที่โยนาห์อ้างในอธิปไตย ของ พระเจ้าเพื่อมาบดบังบาปของตนเอง).
การทรงช่วยกู้ของโยนาห์ เตือนให้เราเห็นว่า พระเจ้าเลือกเราด้วยวิธีการของพระองค์ ไม่ใช่วิธีที่แบบที่เราเลือก พระเจ้าไม่ได้ให้ความรอดแก่เราแบบที่เราเลือกเองได้ แต่ เป็นการจัดเตรียมของพระองค์ โยนาห์คงไม่ได้เลือกที่จะเข้าไปอยู่ในท้องปลามหึมา ถึงแม้จะไม่เป็นที่่น่าอภิรมย์ แต่ก็ช่วยให้รอดตาย โยนาห์อาจอยากให้การค้นหาตัว ท่านเป็นเรื่องตื่นเต้นประทับใจ เช่นยามชายฝั่งส่งเรือออกไปค้นหา เฮลิคอปเตอร์บินวน ดูจากด้านบน นักประดาน้ำดำลงไปดู หรือนักกู้ภัยอุ้มและดึงท่านด้วยสลิงขึ้นไปบน อากาศ ตามด้วยการปั๊มหัวใจ หรือเป่าปากช่วยชีวิตโดยนักกู้ภัยสาว พระเจ้าไม่ได้ สนองความต้องการในแบบของโยนาห์ เพราะปัญหาใหญ่ของท่านคือ ความหยิ่งยโส
เช่นเดียวกัน วิธีการช่วยกู้ของพระเจ้านั้นไม่ได้ยึดติดหรือเป็นไปตามที่มนุษย์ชอบใจ การตกเป็นทาสในอียิปต์ถึง 400 ปีคงไม่เป็นที่น่าปราถนาของชาวอิสราเอล การเดินข้าม ทะเลแดง ข้ามแม่น้ำจอร์แดน การฆ่าสัตว์ที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่เพื่อที่จะเอาเลือดมาพรมลง บนพระแท่่นก็เช่นกัน แต่นี่เป็นการจัดเตรียมของพระเจ้า การมองไปที่งูทองคำเพื่อ รักษาคนถูกงูกัดก็ดูไม่น่าศรัทธา แต่ก็เป็นเป็นวิธีการของพระเจ้า การเชื่อและวางใจ ในการสิ้นพระชนม์ การฝังพระศพ และการคืนพระชนม์ของจอมกษัตริย์อย่างพระเยซู คริสต์ที่โลกไม่ยอมรับนั้น เป็นวิธีการของการให้อภัย และการได้รับชีวิตนิรันดร์ในแบบ ของพระเจ้า ไม่ใช่แบบที่มนุษย์แสวงหา และเป็นวิธีการเดียวด้วย ถ้าคุณไม่มีประสพ การณ์ในความรอดกับพระองค์ คุณอาจถูกดึงให้ตกต่ำลง และถ่อมลงมากพอๆกับ โยนาห์ จนไม่ว่าการช่วยกู้จะมาในรูปแบบใดคุณก็ยินดีน้อมรับทั้งสิ้น
ขอพระเจ้าช่วยอย่าให้เราเป็นคนที่มีจิตวิญญาณที่ฉาบหน้าเหมือนกับ "คำอธิษฐาน" ของโยนาห์ แต่ช่วยให้เรามีจิตวิญญาณที่แจ่มแจ้งแท้จริงหมือนกับผู้เขียนพระธรรม สดุดี
16 อ้างอิงจาก Theodore Laetsch, จาก The Minor Prophets (St. Louis: Concordia Publishing House, 1956), p. 228.
17 เปรียบเทียบกับสดุดี 88:6-7, 17, ที่ผู้เขียนใช้คำว่า "น้ำท่วม" สำหรับตรงนี้ ความเดือดร้อนของผู้เขียนจอมกบฎเป็นมาจากพระเจ้า ไม่ใช่จากมนุษย์
พอกันที "ความเป็นผู้ดี"
เราเคยมีแมวไทยจอมซ่าอยู่ตัวหนึ่ง เป็นประเภทชอบเสี่ยงภัย เจ้าของบ้านที่เราพัก อยู่เลี้ยงลาไว้ตัวหนึ่งชื่อ "ฮี้ฮอ" ตรงทุ่งข้างบ้าน ตอนนั้นฮี้ฮอท้องแก่มาก อารมณ์ ไม่ค่อยสู้จะดี มีอยู่วันหนึ่งเราเดินไปดูว่าฮี้ฮอเป็นอย่างไรบ้าง แมวก็ตามไปด้วย ที่แย่ไปกว่านั้น เจ้าแมวดันไปเดินย่องๆตามหลังลา พอลาหันมาเห็น มันก็มองอย่าง จะเอาเรื่อง ผมกับภรรยาก็ไม่กล้าเดินไปลากแมวออกมา ได้แต่คิดว่าแมวน่าจะฉลาด พอ แล้วสิ่งที่คาดเอาไว้ก็เกิดขึ้น แมวล้ำเส้นลามากไป ก็เลยถูกเตะเปรี้ยงเดียว กระเด็นลอยไปไกลพอดู พอแมวยืนติดลุกขึ้นมาสบัดหัวไล่ความงง มันคงพอรู้แล้วว่า ลาคงจะไม่ชอบขี้หน้ามัน
พอผมอ่านพระธรรมโยนาห์มาถึงบททีีสามและสี่ ผมมีความรู้สึกเดียวกับตอนที่เห็น แมวของเราเดินย่องตามหลังฮี้ฮอ โยนาห์ก็เหมือนกับแมวตัวนั้น บุกโจมตีพระเจ้า อย่างดื้อดึงในบทที่ 4 ในขณะที่เราอ่านบทนี้ เรารู้ว่าท่านกำลังเดินล้ำเ้ส้น จึงสมควร "ถูกสักป้าป" จากพระเจ้า และถ้ามันเกิดขึ้นเราคงไม่มีความเห็นใจใดๆเหลือให้กับ โยนาห์
นับว่าแปลกที่โยนาห์ไม่โดน "สักป้าป" จากพระเจ้าทั้งๆที่สมควรเป็นอย่างยิ่ง หนังสือ จบลงกลางอากาศตรงที่โยนาห์ถูกพระเจ้าดุว่าสั่งสอน ทำให้ผู้อ่านรู้สึกแปลกๆห้วนๆ เพราะไม่มีตอนจบแบบ "แฮปปี้เอ็นดิ้ง" ที่ลุ้นกันอยู่ อย่าลืมว่าเรื่องนี้ไม่ได้ขึ้นต้นว่า "กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว …" หรือจบลงด้วย "มีสุขชั่วกาลนาน" นะครับ
การที่หนังสือจบลงแบบนี้เพราะมีจุดประสงค์บางอย่าง พระเจ้าไม่ต้องการให้เรารู้สึก ลำพองใจจนเกินไป เพราะถ้าเรารู้สึกสุขสบายคงยากที่จะกลับใจและยอมรับการเปลี่ยน แปลง คำถามก็คือ "แล้วเราไม่ควรรู้สึกลำพองใจในเรืองใดดี ?" บทที่สามและสี่แสดง ให้เห็นถึงความบาปอันร้ายแรงของโยนาห์ ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดาพอๆกับในปัจจุบัน ผม อยากให้เราตั้งใจฟังให้ดีในเรื่องที่โยนาห์ประท้วงพระเจ้า และที่พระเจ้าทรงตอบใน บทสรุปของพระธรรมโยนาห์
โครงร่างของเนื้อหาสรุปได้ดังนี้ :
3:1-10 |
โยนาห์ไปประกาศ และชาวนีนะเวห์กลับใจ |
3:10-4:11 |
"พระกรุณา" ของพระเจ้า และความโกรธของโยนาห์ |
3:10-4:4 |
คำอธิษฐานประท้วงของโยนาห์ และคำตอบของพระเจ้า |
4:5-9 |
จากความปลื้มปิติไปเป็นความเจ็บปวด: ต้นไม้ ตัวหนอน และผู้เผยพระวจนะ |
4:10-11 |
คำตรัสสุดท้าย |
ขั้นตอนเหตุการณ์ในสองบทสุดท้ายของพระธรรมโยนาห์ ถูกจัดเตรียมไว้หมดแล้วใน สองบทแรก ในบทที่ 1 พระเจ้าสั่งให้โยนาห์ไปนีนะเวห์ เพื่อไปป่าวร้องถึงความบาป ของคนในเมืองใหญ่นี้ แทนที่จะเดินทางไปทิศตะวันออกเฉียงเหนือ โยนาห์ไปที่ท่าเรือ เมืองยัฟฟา ขึ้นเรือมุ่งลงไปยังทารชิชซึ่งอยู่บนชายฝั่งของประเทศสเปน โยนาห์มุ่งไป ในทิศทางตรงข้าม !
การขัดคำสั่งของโยนาห์มีผลทำให้เกิดพายุใหญ่ ทำให้เรือแทบอัปปางลง และทำ ให้ชาวเรือตกใจจนร้องเรียกหาพระของเขาให้มาช่วย ในขณะที่พวกเขาเร่งโยนสินค้า ทิ้งลงทะเล ก็ไปพบว่าโยนาห์นอนหลับสนิทอยู่ใต้ท้องเรือ กัปตันจึงสั่งให้โยนาห์ช่วย อธิษฐานด้วย (ซึ่งเราเห็นว่าท่านคงไม่คิดจะทำ) ชาวเรือพยายามแก้ใขทุกวิถีทาง มีการจับฉลากดูว่าใครเป็นต้นเหตุุที่ทำให้เรืออัปปาง หลังจากการสอบสวนอย่างหนัก โยนาห์ยอมรับว่าเป็นความผิดของตน และแนะวิธีการแก้ใขสถาณการณ์ -- คือโยน ท่านลงทะเลไป ความพยายามของพวกเขาที่จะส่งโยนาห์ขึ้นฝั่งอย่างปลอดภัยก็ถูก พระเจ้าขัดขวาง จนในที่สุดพวกเขาก็ยอมทำตามที่โยนาห์บอก ก่อนทำ พวกเขาได้ อธิษฐานเพราะต้องทำให้ชายผู้บริสุทธิ์นี้ตายลง แต่พอโยนโยนาห์ลงทะเลไปแล้ว พายุก็สงบ ชาวเรือจึงหันมานมัสการพระเจ้าของอิสราเอล ด้วยเครื่องถวายบูชา และสาบานตนแทน ในบทแรกนำเสนอเรื่อง ความแตกต่างที่ชัดเจนระหว่างโยนาห์ กับชาวเรือนอกรีต ท่านไม่เชื่อฟังคำสั่งพระเจ้า แตชาวเรือกลับเชื่อฟังสิ่งที่พระเจ้า ตรัสผ่านทางท่าน พวกเขาอธิษฐานอย่างไม่หยุดยั้งด้วยใจร้อนรน แต่ โยนาห์ไม่เป็น เช่นนั้น พวกเขาสงสารเห็นใจโยนาห์ แต่ท่านกลับไม่แยแสพวกเขาเลย
บทที่ 2 เป็นเรื่อง "คำอธิษฐาน" ของโยนาห์ วิธีการใช้คำและร้อยกรองในคำอธิษฐาน ของ โยนาห์นั้นคล้ายคลึงกับคำอธิษฐานของพระธรรมสดุดีในพระคัมภีร์เดิม ทั้งในทาง ทฤษฎี และในเนื้อหา แต่คำอธิษฐานของโยนาห์ไม่ได้ดีีตามมาตรฐานอันเลิศของ พระคัมภีร์เลย "คำอธิษฐาน" ของโยนาห์มีแต่เรื่องของตนเอง หมกมุ่นอยู่กับความทุกข์ ภัยอันตรายที่ตนเองเผชิญอยู่ เรียกร้องการช่วยกู้ มากกว่ามุ่งไปที่พระเจ้าผู้ทรงช่วยท่าน ได้ ที่น่าวิตกคือ ไม่มีคำสารภาพบาปเลยแม้แต่น้อย ในคำอธิษฐานนี้มีแต่เรื่องดูถูกคน ต่างชาติ และพยามยามบอกให้พระเจ้ารู้ถึงความชอบธรรมของตนเอง แต่เมื่อโยนาห์ สรรญเสริญพระเจ้าที่ช่วยให้ท่านรอดตาย พระเจ้าจึงสั่งให้ปลามหึมานั้นสำรอกท่าน ลงบนฝั่ง
พอถึงบทที่ 3 และ 4 ท่าทีความกตัญญูก็หายวับไปจากผู้เผยพระวจนะหัวแข็งท่านนี้ เลยทำให้ผมต้องตั้งชื่อตอนนี้ว่า "พอกันที ความเป็นผู้ดี" ในบทที่ 1 & 2 นั้น เราพอ มองเห็นความบาปของโยนาห์ แต่ว่ายังดูคลุมเคลือ ไม่เด่นชัดมาก แต่พอเข้าบทที่ 3 และ 4 ที่ท่านออกไปป่าวร้องและชาวนีนะเวห์เกิดกลับใจ ที่นี้แหละ ท่านออกอาการ "ยัวะสุดขีด" และความบาปที่น่าชังของท่านจึงเผยโฉมออกมาอย่างแจ่มแจ้ง ในบทที่ หนึ่งท่านเพียงแต่หนีจากการรับใช้ แต่บทที่ 4 ท่านโจมตีพระเจ้า และบอกกับพระองค์ ด้วยว่าท่านมีสิทธิอย่างยิ่งที่จะโกรธ ในบทที่ 2 ท่านอธิษฐานขอให้พระเจ้าช่วยชีวิต แต่ในบทที่ 4 ท่านกลับอธิษฐานขอให้พระเจ้าเอาชีวิตไปเสีย ดูเหมือนในตอนนี้ ทุก อย่างกำลังดิ่งลงเหวอย่างรวดเร็ว
เรื่องของเราจึงเริ่มขึ้นในวิกฤตกาลตอนนี้ สิ่งแรกที่พระเจ้าตรัสกับโยนาห์คือคำสั่งเดิม ที่ให้ไว้ก่อนเกิดพายุและถูกขังอยู่ในท้องปลา เรารู้เรื่องการป่าวร้องของโยนาห์ และ เรื่องมหัศจรรย์ที่คนทั้งเมืองกลับใจ รวมทั้งที่พระเจ้ายับยั้งการลงโทษตามที่พระองค์ ได้ตรัสผ่านทางผู้เผยพระวจนะท่านนี้
ในบทที่ 4 โยนาห์โพล่งออกมาถึงสาเหตุที่ท่านฝ่าฝืนคำสั่งในการให้ไปประกาศที่นคร นีนะเวห์ เหตุการณ์ที่อยู่ในบทนี้แสดงให้เห็นถึงความบาปทั้งสิ้นของโยนาห์ ในขณะที่ ผู้อ่านเห็นความบาปของโยนาห์อย่างชัดเจน แต่ดูเหมือนไม่มีผลกระทบใดๆเกิดขึ้นกับ ท่าน เรื่องจบลงเฉยๆอย่างขาดห้วน โดยมีคำตักเตือนของพระเจ้าค้างอยู่กลางอากาศ และโยนาห์ก็ยังโกรธพระองค์อยู่
1 แล้วพระวจนะของพระเจ้ามาถึงโยนาห์เป็นคำรบสองว่า 2 "จงลุกขึ้น ไปยังนีนะเวห์นครใหญ่ และประกาศข่าวแก่เมืองนั้นตามที่เราบอกเจ้า" 3 ดังนั้น โยนาห์จึงลุกขึ้นไปยังนีนะเวห์ ตามพระวจนะของพระเจ้า ฝ่าย นีนะเวห์เป็นนครใหญ่โตมากทีเดียว ถ้าจะเดินข้ามเมืองก็กินเวลาสาม วัน 4 โยนาห์ตั้งต้นเดินเข้าไปในเมืองได้ระยะทางเดินวันหนึ่ง และท่าน ก็ร้องประกาศว่า "อีกสี่สิบวัน นีนะเวห์จะถูกคว่ำ"
5 ฝ่ายประชาชนนครนีนะเวห์ได้เชื่อฟังพระเจ้า เขาประกาศให้อด อาหารและสวมผ้ากระสอบ ตั้งแต่ผู้ใหญ่ที่สุดถึงผู้น้อยที่สุด 6 กิตติ ศัพท์นี้ลือไปถึงกษัตริย์นครนีนะเวห์ พระองค์ทรงลุกขึ้นจากพระที่นั่ง ทรงเปลื้องฉลองพระองค์ออกเสีย ทรงสวมผ้ากระสอบแทน และประ ทับบนกองขี้เถ้า 7 พระองค์ทรงออกพระราชกฤษฎีกา ประกาศไปทั่ว นครนีนะเวห์ว่า "โดยอำนาจกษัตริย์และบรรดาขุนนางทั้งหลาย คนหรือ สัตว์ ไม่ว่าฝูงสัตว์ใหญ่หรือฝูงสัตว์เล็ก ห้ามลิ้มรสสิ่งใดๆ อย่าให้กิน อาหาร อย่าให้ดื่มน้ำ 8 ให้ทั้งคนและสัตว์นุ่งห่มผ้ากระสอบ ให้ตั้งจิต ตั้งใจร้องทูลต่อพระเจ้า เออ ให้ทุกคนหันกลับเสียจากการประพฤติชั่ว และเลิกการทารุณซึ่งมือเขากระทก 9 ใครจะรู้ได้ พระเจ้าอาจจะทรง กลับและเปลี่ยนพระทัย คลายจากพระพิโรธอันรุนแรงเพื่อว่าเราจะมิได้ พินาศ ?"
เป็นคำรบสองที่ "พระวจนะของพระเจ้า" มาถึงโยนาห์ "จงลุกขึ้นไปยังนีนะเวห์ นครใหญ่ และประกาศข่าวแก่เมืองนั้นตามที่เราบอกเจ้า" (ข้อ 2) อันนี้ไม่ใช่เป็นคำสั่ง ใหม่ของโยนาห์ แต่เป็นคำสั่งที่สั่งซ้ำเหมือนในบทที่ 1 ครั้งนี้โยนาห์ทำตาม แต่ด้วย ความชื่นชมยินดีหรือทัศนคติแบบใด เราจะมาดูกัน แต่อย่างน้อยที่สุด โยนาห์ก็ไปจน ถึงนีนะเวห์
ประชากรของนครนีนะเวห์ ถ้าจะรวมถึงปริมณฑลด้วยนั้น คงมากที่เดียว ( 1:2; 3:2; 4:11) เรารู้ขนาดของเมืองด้วยว่า ถ้าเดินข้ามเมืองก็กินเวลา "สามวัน" (3:3) มีข้อมูล มากมายที่นักประวัติศาสตร์รวบรวมไว้เกี่ยวกับเมืองหลวงของอัสซีเรียเมืองนีนะเวห์นี้
คำพูดของโยนาห์นั้นธรรมดา ตรงประเด็น และน่าตกใจ ""อีกสี่สิบวัน นีนะเวห์จะถูกคว่ำ" (3:4).18
เช่นเดียวกับชาวเรือในบทที่ 1 ชาวนีนะเวห์รับฟังเรื่องการพิพากษาที่กำลังจะเกิดขึ้น อย่างเอาจริงเอาจัง หนังสือบอกว่า "พวกเขาได้เชื่อฟังพระเจ้า" (3:5) ซึ่งเล็งไปถึง การที่ชาวต่างชาติมีความเชื่อในพระเจ้าของอิสราเอล ไม่ใช่เพียงเพราะกลัวการ พิพากษา เลยทำให้ผมเห็นการฟื้นฟูแท้จริงที่เกิดขึ้นเพราะการประกาศของโยนาห์ ดูเหมือนการฟื้นฟูจะ "เริ่มจากเบื้องล่าง" ก่อน แทนที่จะเป็นคำสั่ง "จากเบื้องบน" ลงมา หนังสือบันทึกว่า ชาวนีนะเวห์ได้เชื่อฟังพระเจ้า มีการประกาศให้อดอาหารและห่มผ้า กระสอบ (3:5) ผลตอบรับนั้นเป็นไปอย่างพร้อมเพรียงกัน จากสามัญชนธรรมดา ขึ้นไป จนถึงเจ้าขุนมูลนาย
แทบทั้งเมืองกลับใจไปแล้วก่อนที่เรื่องนี้จะรู้ไปถึงกษัตริย์ และเป็นเพราะกษัตริย์เชื่อคำ เตือนของโยนาห์ พระองค์จึงออกคำสั่งเป็นทางการให้ทั้งเมืองกลับใจโดยเริ่มต้นที่ตัว พระองค์ก่อน (3:6) มีการออกพระราชกฤษฎีกาให้ชาวนีนะเวห์ทั้งปวงอดอาหารและ งดดื่มน้ำ (3:7) ทั้งคนและสัตว์ต้องนุ่งห่มผ้ากระสอบ ให้ประชากรร้องทูลต่อพระเจ้า และหันกลับเสียจากการประพฤติชั่ว (3:8).
ข้อสังเกตุที่น่าสนใจในเรื่องนี้คือไม่มีการกล่าวว่าประชาชนทำบาปใดบ้าง แน่นอน โยนาห์อาจจะเพิ่มรายละเอียดลงไปบ้างก็ได้ แต่ดูเหมือนไม่มีความความจำเป็นต้อง ทำเช่นนั้น ดังนั้น ไม่ใช่ว่าพวกเขาไม่รู้ว่าสิ่งใดคือความบาป แต่เพราะไม่อยากเลิก ทำบาปต่างหาก ปัญหาไม่ใช่ว่าไม่มี ข้อมูล แต่ไม่มี แรงจูงใจ ผมมีความรู้สึกมั่นใจ ว่าถ้าคนในประเทศของเราได้รับพระวจนะคำ ว่าการพิพากษากำลังจะมาถึง ผู้คนคง ไม่มีปัญหาที่จะแยกแยะว่าสิ่งใดบ้างที่ทำให้พระเจ้าไม่พอพระทัย หรือพูดใ้ห้ชัดๆคือ "บาป"
ถ้าชาวนีนะเวห์มีเวลาเหลืออีก 40 วัน ทำไมถึงต้องเลิกทำบาป ? น่าจะทำต่อไปโดยยึด อุดมคติที่ว่า "กิน ดื่ม และแสวงหาความสุขเสีย เพราะอีกไม่กี่วัน (40วัน) เราก็จะตาย แล้ว" แรงจูงใจที่ทำให้ชาวนีนะเวห์หันเสียจากความประพฤติชั่วอยู่ในข้อ 9 "ใครจะรู้ ได้ พระเจ้าอาจจะทรงกลับและเปลี่ยนพระทัย คลายจากพระพิโรธอันรุนแรงเพื่อว่าเรา จะมิได้พินาศ ?" (3:9)
บางคนมีปัญหาเมื่อพระเจ้า "ผ่อนปรน" หรือเปลี่ยนพระทัยไม่ทำลายนครนีนะเวห์ ผม อยากชี้ให้เห็นว่าโยนาห์เองก็เป็นด้วย (4:2) แต่ชาวนีนะเวห์กลับมีความหวังว่าพระ เจ้าอาจเปลี่ยนพระทัย (3:9) ถ้าพระเจ้ามีความตั้งใจที่จะทำลายนีนะเวห์ เหตุใดพระ องค์ต้องใช้ให้คนไปบอกให้รู้ตัวด้วย ? การประกาศที่พระเจ้าใช้ให้โยนาห์ไปทำนั้น ไม่ใช่เป็นคำสัญญาถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้น แต่เป็นคำเตือน ชาวนีนะเวห์เข้าใจถึงคำประกาศ ของโยนาห์เป็นอย่างดี เพราะมีการกลับใจ นี่เป็นสิ่งเดียวกับที่พระเจ้าตรัสไว้ในพระ ธรรมเยเรมีห์ :
แล้วพระวจนะของพระเจ้ามายังข้าพเจ้าว่า "ประชาอิสราเอลเอ๋ย เรา จะกระทำแก่เจ้าอย่างที่ช่างหม้อนี้กระทำไม่ได้หรือ ?" พระเจ้าตรัส ดังนี้แหละ "ดูเถิด ประชาอิสราเอลเอ๋ย เจ้าอยู่ในมือของเรา อย่างดิน เหนียวอยู่ในมือของช่างหม้อ ถ้าเวลาใดก็ตามเราประกาศเกี่ยวกับประ ชาชาติหนึ่งหรือราชอาณาจักรหนึ่งว่า เราจะถอนและพังและทำลายมัน เสีย และถ้าประชาชาตินั้น ซึ่งเราได้ลั่นวาจาไว้เกี่ยวข้องด้วยหัน เสียจากความชั่วของตน เราก็จักกลับใจจากโทษซึ่งเราได้ตั้งใจ จะ กระทำแก่ชาตินั้นเสีย และถ้าเวลาใดก็ตาม เราได้ประกาศเกี่ยว กับประชาชาติหนึ่ง หรือราชอาณาจักรหนึ่งว่า เราจะสร้่างขึ้นและปลูก ฝังไว้ และชาตินั้นได้กระทำชั่วในสายตาของเรา ไม่ฟังเสียงของเรา เรา ก็จะกลับใจจากความดีซึ่งเราตั้งใจจะกระทำกับชาตินั้นเสีย เพราะฉะนั้น คราวนี้จึงกล่าวกับคนยูดาห์และชาวเมืองเยรูซาเล็มว่า พระเจ้าตรัสดังนี้ ว่า ดูเถิดเรากำลังก่อสิ่งร้ายไว้สู้เจ้าและคิดแผนงานอย่างหนึ่งไว้สู้เจ้า ทุกๆคนจงกลับเสียจากทางชั่วของตน และจงซ่อมทางและการกระทำ ของเจ้าทั้งหลายเสีย" (เยเรมีห์ 18:5-11).
พระพรตามพระสัญญาของพระเจ้านั้นอาจเปลี่ยนแปลงได้โดยขึ้นอยู่กับการเชื่อฟังของ มนุษย์ และอาจทรงละจากการพิพากษาได้ถ้ามีการกลับใจ ชาวนีนะเวห์มีความหวังใจ ว่าพระเจ้าจะ "ยับยั้ง" โดยยึดตามหลักการที่กล่าวไว้ด้านบน
10 เมื่อพระเจ้าทอดพระเนตรการกระทำของเขาแล้วว่า เขากลับไม่ ประพฤติชั่วต่อไป พระเจ้าทรงกลับพระทัย ไม่ลงโทษ ตามที่พระองค์ ตรัสไว้ และพระองค์ก็มิได้ทรงลงโทษเขา
1เหตุการณ์นี้ไม่เป็นที่พอใจโยนาห์อย่างยิ่ง และท่านโกรธ 2ท่านจึง อธิษฐานต่อพระเจ้าว่า "ข้าแต่พระเจ้า เมื่อข้าพระองค์ยังอยู่ในประเทศ ของข้าพระองค์ ข้าพระองค์พูดแล้วว่าจะเป็นไปเช่นนี้มิใช่หรือ? นีแหละ เป็นเหตุให้ข้าพระองค์ได้รีบหนีไปยังเมืองทารชิช เพราะข้าพระองค์ ทราบว่า พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าผู้ทรงกอปรด้วยพระคุณ และทรงพระ กรุณา ทรงกริ้วช้า และบริบูรณ์ด้วยความรักมั่นคง และทรงกลับพระทัย ไม่ลงโทษ 3ข้าแต่พระเจ้า เพราะฉะนั้น บัดนี้ขอพระองค์ทรงเอาชีวิต ของข้าพระองค์ไปเสีย เพราะว่าข้าพระองค์ตายเสียก็ดีกว่าอยู่ " 4 และ พระเจ้าตรัสว่า "การที่เจ้าโกรธเช่นนี้ดีอยู่หรือ ?"
5 แล้วโยนาห์ก็ออกไปนอกนคร นั่งอยู่ทางทิศตะวันของเมืองนั้น และ ท่านทำเพิงไว้เป็นที่ท่านอาศัย ท่านนั่งอยู่ใต้ร่มเพิงคอยดูเหตุการณ์อัน จะเกิดขึ้นกับนครนั้น 6และพระเจ้าทรงกำหนดให้ต้นละหุ่งต้นหนึ่งงอก ขึ้นมาเหนือโยนาห์ ให้เป็นที่กำบังศีรษะของท่าน เพื่อให้บรรเทาความ ร้อนรุ่มกลุ้มใจในเรื่องนี้ เพราะเหตุต้นละหุ่งต้นนี้โยนาห์จึงมีความยินดี ยิ่งนัก 7แต่ในเวลาเช้าวันรุ่งขึ้น พระเจ้าทรงกำหนดให้หนอนตัวหนึ่งมา กัดกินต้นละหุ่งต้นนั้น จนมันเหี่ยวไป 8เมื่อดวงอาทิตย์ขึ้นแล้ว พระเจ้า ทรงกำหนดให้ลมตะวันออกที่ร้อนผากพัดมา และแสงแดดก็แผดลงบน ศีรษะของโยนาห์จนท่านอ่อนเพลียไป และท่านก็ทูลขอว่าให้ท่านตาย เสียเถิด ท่านว่า "ข้าตายเสียดีกว่าอยู่"
9 แต่พระเจ้าตรัสกับโยนาห์ว่า "ที่เจ้าโกรธเพราะต้นละหุ่งนั้นดีอยู่แล้ว หรือ ?" ท่านทูลว่า "ที่ข้าพระองค์โกรธถึงอยากตายนี้ดีแล้วพระเจ้าข้า" 10และพระเจ้าตรัสว่า "เจ้าหวงต้นไม่ซึ่งเจ้ามิได้ลงแรงปลูกหรือมิได้ กระทำให้มันเจริญ มันงอกเจริญขึ้นในคืนเดียว แล้วก็ตายไปในคืนเดียว ดุจกัน 11ไม่สมควรหรือที่เราจะหวงเมืองนีนะเวห์นครใหญ่นั้น ซึ่งมีพล เมืองมากกว่าหนึ่งแสนสองหมื่นคน ผู้ไม่ทราบว่าข้างไหนมือขวาข้าง ไหนมือซ้าย และมีสัตว์เลี้ยงเป็นอันมากด้วย ?"
พระเจ้าเห็นถึงการกลับใจของนีนะเวห์ ซึ่งไม่ได้เป็นแค่คำพูดอย่างเดียว ในข้อ 10 ไม่ได้บอกว่าพระเจ้าใส่ใจในคำพูดของชาวนีนะเวห์ หรือแม้แต่การนุ่งห่มผ้ากระสอบ หรือโรยขี้เถ้า แต่พระองค์ทรงเห็นถึงการกระทำของพวกเขาที่เปลี่ยนแปลงไป พวกเขา "หันกลับเสียจากการประพฤติชั่ว" นี่คือการกลับใจที่แท้จริง ไม่ใช่เป็นเพียงแค่คำพูด ซ้ำซากเช่น "ผมเสียใจ" แต่การกระทำเป็นตัวที่บ่งชี้ถึงการเปลี่ยนแปลงในจิตใจที่แท้ จริง อย่างที่โยนาห์คาดไว้ ชาวนครนีนะเวห์ได้กลับใจจริงจากความบาปที่เคยกระทำ ดังนั้นพระเจ้าจึงยับยั้งไม่ลงโทษตามที่พระองค์ได้เคยตรัสไว้
เป็นเรื่องน่าสนใจที่ไม่มีคำอธิบายใดๆเรื่องการกลับใจของชาวนีนะเวห์ที่เกิดขึ้น อย่างฉับพลัน พร้อมเพรียงกันและอย่างจริงใจ อาจจะเหมือนพวกชาวเรือที่ต้อง ปฏิบัติตามคำของโยนาห์ก่อนที่การอัศจรรย์จะเกิดขึ้น หรืออาจเป็นเพราะวิธีการปรากฎ ตัวของโยนาห์เอง ซึ่งเป็นหมายสำคัญยิ่งต่อชาวนีนะเวห์ อาจมีเหตุกาณ์อื่นๆอีกที่เตรียม ชาวนีนะเวห์มหานครของอัสซีเรียไว้ให้พร้อมที่จะกลับใจ แต่ไม่ได้มีการบันทึกไว้ 19
เมื่อพระเจ้าพูดถึงการกลับใจของชาวนีนะเวห์นั้น ชัดเจนและย้ำถึงสิ่งเดียว กับที่เรากำลังติดตามอยู่ :
คราวนั้นมีบางคนในพวกธรรมาจารย์ และพวกฟาริสีมาทูลพระองค์ว่า "อาจารย์เจ้าข้า พวกข้าพเจ้าอยากจะเห็นหมายสำคัญจากท่าน" พระ องค์จึงตรัสตอบเขาว่า "คนชาติชั่วและคิดทรยศต่อพระเจ้าแสวงหา หมายสำคัญ และจะไม่ทรงโปรดให้หมายสำคัญแก่เขา เว้นไว้แต่หมาย สำคัญของโยนาห์ผู้เผยพระวจนะ ด้วยว่า โยนาห์ได้อยู่ในท้องปลา มหึมาสามวัน สามคืน ฉันใด บุตรมนุษย์จะอยู่ในท้องแผ่นดินสาม วันสามคืนฉันนั้น ชนชาวนีนะเวห์จะลุกขึ้นในวันพิพากษาพร้อมกับคน ยุคนี้ และจะเป็นตัวอย่างให้คนยุคนี้ได้รับโทษ ด้วยว่าชาวนีนะเวห์ได้ กลับใจเสียใหม่ เพราะคำประกาศของโยนาห์ และซึ่งใหญ่กว่าโยนาห์มี อยู่ที่นี่" (มัทธิว 12:38-41).
การที่พวกฟาริสีและธรรมาจารย์ถามหาหมายสำคัญจากพระเจ้า ทำให้พระเยซูต้องเอ่ย ถึงพระธรรมโยนาห์ที่มีบทเรียนซ่อนอยู่สองเรื่องด้วยกัน เรื่องแรก พระเยซูพูดถึงหมาย สำคัญที่จะเกิดขึ้นกับพระองค์เช่นเดียวกันกับโยนาห์ เมื่อโยนาห์อยู่ในท้องปลาสามวัน สามคืน พระเยซูจะทรงอยู่ในท้องแผ่นดินในเวลาที่เท่าเทียมกัน การคืนพระชนม์ของ พระเยซูจะเป็น "หมายสำคัญ" ให้แก่อิสราเอล เช่นเดียวกับที่โยนาห์ "ออกมาจากท้อง ปลา" เป็นหมายสำคัญ (น่่าจะสำหรับชาวอิสราเอล) และเป็นหมายสำคัญอันสุดท้าย คือ "หมายสำคัญที่มาจากผู้เผยพระวจนะโยนาห์" การสิ้นพระชนม์ของพระเยซู การฝังพระศพ และการฟื้นคืนพระชนม์ เป็นข้อพิสูจน์ที่เราไม่สามารถโต้แย้งได้ถึง การที่พระองค์คือ พระเมสซิยาห์ของชาวอิสราเอล
ยังมีบทเรียนอื่นอีกที่พระธรรมโยนาห์มีไว้สอนคนอิสราเอลในสมัยของพระเยซู ชาว นีนะเวห์กลับใจทันทีที่ได้ยินการประกาศของโยนาห์ ถึงแม้จะมีข้อพิสูจน์เพียงน้อย นิดเมื่อเทียบกับในสมัยของพระเยซูที่ชาวอิสราเอลได้เห็น และถ้านำมาเทียบกับองค์ พระเยซูเอง โยนาห์แทบไม่มีความสำคัญใดๆเลย ผมคิดว่าโดยเฉพาะเรื่องฤทธิ์เดชและ สิทธิอำนาจในคำเทศนาสั่งสอนของพระองค์ ถ้าชาวนีนะเวห์กลับใจได้เพราะข้อพิสูจน์ แต่เพียงเล็กน้อยเท่านั้น เช่นนั้น ปัญหาน่าจะอยู่ที่บรรดาผู้นำชาวยิว พวกธรรมาจารย์ และพวกฟาริสี ปัญหาคงไม่ได้อยู่ที่เรื่องขาดหลักฐานและข้อพิสูจน์อะไรทั้งสิ้น ที่จริง ไม่ได้อยู่ที่เรื่องนี้ด้วยซ้ำไป เพราะปัญหาเช่นนี้แก้ได้ด้วยการทำหมายสำคัญต่างๆ ปัญหาของพวกธรรมาจารย์และฟาริสีนั้นเป็น ปัญหาแบบเดียวกับโยนาห์ ต่อให้มีหมาย สำคัญยิ่งใหญ่แค่ไหนก็ตาม ไม่สามารถเปลี่ยนความคิดจิตใจที่จงใจเป็นกบฎของคน พวกนี้ได้
ทำให้ผมเองคิดว่า พื้นฐานในคำเทศนาของโยนาห์และขององค์พระเยซูนั้น ผมเห็น "หมายสำคัญของผู้เผยพระวจนะโยนาห์" นั้นทวีคูณ คือ "หมายสำคัญ" ที่โยนาห์ ถูกฝังอยู่ในท้องปลามหึมาและถูกช่วยให้รอดออกมา และยังเป็น "หมายสำคัญ" ใน ความดื้อรั้นในจิตใจของโยนาห์ จนทำให้ท่านมองไม่เห็นสิ่งที่พระเจ้ากำลังพยายาม จะสอน ไม่ว่าคำสอนนั้นจะชัดเจนและมีพลังเพียงใด ในขณะที่คำสอนเดียวกันนี้กับ ได้รับการตอบสนองอย่างรวดเร็วและท่วมท้นจากพวกนอกศาสนาที่ไม่เคยได้ยินได้ฟัง เรื่องแบบนี้มาก่อน
พระเยซูนำเรื่องการกลับใจของชาวนีนะเวห์์ในมัทธิวบทที่ 12 มาสอนเพื่อยืนยันและ ทำให้เราเข้าใจได้ง่ายๆเมื่อได้ยิน พระองค์ตอกย้ำความจริงถึงการที่ชาวนีนะเวห์กลับใจ มาหาพระเจ้า ถึงแม้จะมีข้อพิสูจน์เพียงนิดเดียว แต่ถ้าจิตใจนั้นเปิดออกเพื่อฟังพระวจนะ และเรียนรู้ถึงน้ำพระทัยพระองค์แล้ว จิตใจนั้นจะเกิดความเชื่อและตอบสนองในทันที แต่ถ้าจิตใจที่แข็งกระด้าง — เช่นเดียวกับจิตใจแบบโยนาห์ — ก็จะไม่มีวันเปิดรับพระ วจนะคำ ต่อให้ชัดเจนเพียงใดก็ตาม
ถ้าโยนาห์เป็นผู้เผยพระวจนะเหมือนคนอื่นๆในประวัติศาสตร์อิสราเอล ท่านคงปลาบ ปลื้มยินดีที่การประกาศเกิดผล คนทั้งหมดในเมืองใหญ่อย่างนีนะเวห์กลับใจ ผู้เผย พระวจนะทั้งประวัติศาสตร์ของอิสราเอลล้มเหลวในการนำคนกลับมาหาพระเจ้า ถูก ปฏิเสธและถูกฆ่าตาย เช่นที่สเทเฟนกล่าวไว้ว่า "มีใครบ้างในพวกผู้เผยพระวจนะ ซึ่งบรรพบุรุษของท่านมิได้ถูกข่มเหง?" (กิจการ 7:52ก).
แทนที่จะชื่นชมยินดีที่มีคนมหาศาลกลับใจและได้รับความรอด เช่นเดียวกับเพื่อนร่วม อาชีพคนอื่นๆ โยนาห์กลับโกรธเคืองพระเจ้า : "เหตุการณ์นี้ไม่เป็นที่พอใจโยนาห์อย่าง ยิ่ง และท่านโกรธ" (4:1) ทำไมโยนาห์ต้องโกรธพระเจ้าด้วย ? โยนาห์ไม่รั้งรอที่จะบอก เหตุผล เมื่อท่านอธิษฐานประท้วงพระเจ้าว่า :
"ข้าแต่พระเจ้า เมื่อข้าพระองค์ยังอยู่ในประเทศ ของข้าพระองค์ ข้าพระองค์พูดแล้วว่าจะเป็นไปเช่นนี้มิใช่หรือ? นีแหละ เป็นเหตุให้ ข้าพระองค์ได้รีบหนีไปยังเมืองทารชิช เพราะข้าพระองค์ ทราบว่า พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าผู้ทรงกอปรด้วยพระคุณ และทรงพระ กรุณา ทรงกริ้วช้า และบริบูรณ์ด้วยความรักมั่นคง และทรงกลับพระทัย ไม่ลงโทษ 3ข้าแต่พระเจ้า เพราะฉะนั้น บัดนี้ขอพระองค์ทรงเอาชีวิต ของข้าพระองค์ไปเสีย เพราะว่าข้าพระองค์ตายเสียก็ดีกว่าอยู่" (โยนาห์ 4:2-3).
ความโกรธของโยนาห์นั้นเหลือเชื่อจริงๆ ให้เรามาดูว่าท่านโกรธเรื่องใดบ้าง
(1) โยนาห์โกรธพระเจ้า ในบทวิเคราะห์ท้ายสุดนี้ โยนาห์ไม่ได้โกรธตัวเอง หรือ โกรธมนุษย์คนใด แต่โกรธพระเจ้าผู้ทรงสรรพานุภาพ ความโกรธของโยนาห์รุนแรง ชนิดขอตายดีกว่าอยู่ ในบทที่สองโยนาห์อธิษฐานขอการช่วยชีวิต แต่ตอนนี้โยนาห์ อธิษฐานขอให้ตาย (4:3).
(2) โยนาห์โกรธพระเจ้าเพราะพระองค์ทรงกอปรด้วยพระลักษณะทีทรงพระคุณ และพระองค์จะทรงกระทำในสิ่งที่โยนาห์รู้ว่ายังไงๆ พระองค์ต้องทำแน่
(3) โยนาห์กลับโกรธพระเจ้าในพระลักษณะอันดีเลิศของพระองค์ที่ผู้เขียน พระธรรมสดุดีกล่าวสรรญเสริญไว้ ผู้เขียนพระธรรมสดุดีสรรญเสริญพระองค์ในความรักอันมั่นคง พระคุณ และพระ เมตตาของพระองค์ (สดุดี. 86:5, 15) แต่สำหรับโยนาห์นี่เป็นเหตุทำให้ท่าน ประท้วงด้วยความโกรธ ไม่ใช่การสรรญเสริญ
(4) โยนาห์โกรธพระเจ้าเพราะพระองค์สำแดงพระคุณต่อชาวนีนะเวห์ คำถาม ที่พระเจ้าถามโยนาห์ น่าจะเตือนสติและสอนใจผู้เผยพระวจนะหัวแข็งผู้นี้ได้ตั้งแต่แรก น่าจะทำให้ท่านตระหนักถึงความบาปที่ท่านโกรธเคืองพระองค์ ใครล่ะ จะสามารถ โกรธกริ้วต่อพระเจ้าผู้เปี่ยมไปด้วยพระทัยกรุณาได้ ? อีกอย่างการตักเตือนโยนาห์อย่าง นุ่มนวลนั้นน่าจะทำให้ท่านเห็นไม่แต่เพียงพระคุณที่มีต่อชาวนีนะเวห์เท่านั้น แต่มีต่อ โยนาห์เองด้วย ยิ่งไปกว่านั้น ในขณะที่ชาวนีนะเวห์กลับใจ โยนาห์ไม่ยอม และยังดื้อ ดึงกบฎต่อไป
ในขณะที่โยนาห์ยังดื้อดึงโกรธเคืองพระเจ้าอยู่ พระเจ้าเพิ่มเติมประสพการณ์บาง อย่างที่ทำให้เห็นถึงปัญหาที่ฝังรากลึกอยู่ในท่านผู้เผยพระวจนะท่านนี้ ด้วยการ มอบต้นไม้ให้แก่โยนาห์ แล้วก็เอากลับคืนไป ซึ่งทำให้โยนาห์ตอนแรกเกิดความดีใจ
ดูเหมือนสี่สิบวันผ่านไปโดยไม่มีการพิพากษาลงมาที่นครนีนะเวห์ เป็นเรื่องไม่น่า ประหลาดใจสำหรับพวกเรานัก แต่นับเป็นความผิดหวังอันใหญ่หลวงของโยนาห์ ท่านออกไปนอกเมือง ไปทำเพิงปักหลักเพื่อรอดูความพินาศของนีนะเวห์ ซึ่งน่า จะมีลูกไฟ และถ่านแดงๆตกลงมาจากท้องฟ้า เหมือนกับที่ทำลายล้างเมืองโสดม โกโมราห์มาแล้ว และโยนาห์กำลังรอดูอยู่ด้วยใจจดใจจ่อ เหมือนกับที่พวกโรมันรอดู พวกคริสเตียนที่ถูกโยนให้สิงห์โตกินอยู่ในโคลีเซียม
และพระเจ้าทรงกำหนดให้ต้นละหุ่งต้นหนึ่ง งอกขึ้นมาเหนือโยนาห์ ให้เป็นที่กำบังศีรษะ ของท่าน เพื่อให้บรรเทาความร้อนรุ่มกลุ้มใจในเรื่องนี้ เพราะเหตุต้นละหุ่งต้นนี้ โยนาห์ จึงมีความยินดียิ่งนัก (4:6) เป็นครั้งแรกที่มีการพูดว่า โยนาห์มีความยินดี ยินดียิ่งนัก เสียด้วยสำหรับต้นละหุ่งต้นนี้ แต่ดีใจอยู่ได้ไม่นาน วันรุ่งขึ้นพระเจ้ากำหนดให้มี หนอนมากัดกิน ไม่ให้เหลือซาก ถ้าลองหยุดคิดดูให้ดี โยนาห์นี่มีอะไรเหมือนๆ กับหนอนนะ แทนที่จะเหมือนกับต้นไม้ หนอนดีใจที่ได้ทำลายสิ่งที่พระเจ้าสร้าง ลง มากกว่าส่วนดีที่ต้นไม้ซึ่งนำความร่มเย็นมาให้
พร้อมๆกับหนอนที่ทำลายต้นไม้ พระเจ้าทรงให้มีลมร้อนผากพัดมา ทำให้โยนาห์ร้อน รุ่มยิ่งนัก ขณะที่โยนาห์ต้องการให้นครนีนะเวห์ถูก "เผา" ท่านกับถูกลมร้อน "แผดเผา" เสียเอง (4:8). โยนาห์ไม่จำเป็นต้องอยู่ที่นั่น และไม่ต้องทนทุกข์กับความ ร้อน แต่ท่านกลับปักหลักคอยอยู่ และท่านก็ร้องขอความตายอีกครั้ง
อีกครั้งที่โยนาห์โกรธพระเจ้า เมื่อนึกถึงเรื่องต้นไม้และตัวหนอน เป็นครั้งที่สองแล้ว ที่พระเจ้าท้าทายโยนาห์ให้คิดดูให้ดีๆ : "ที่เจ้าโกรธเพราะต้นละหุ่งนั้นดีอยู่แล้วหรือ ?" (4:9) อย่างไม่รั้งรอ โยนาห์กลับย้ำว่าท่านมีสิทธิที่จะโกรธพระองค์ "ที่ข้าพระองค์โกรธ ถึงอยากตายนี้ดีแล้ว พระเจ้าข้า" (4:9).
สิ่งที่พระเจ้าตรัสเป็นสิ่งสุดท้ายในพระธรรมโยนาห์ ย้ำถึงหัวใจของเรื่องทั้งหมดนี้ :
"เจ้าหวงต้นไม่ซึ่งเจ้ามิได้ลงแรงปลูกหรือมิได้กระทำให้มันเจริญ มัน งอกเจริญขึ้นในคืนเดียว แล้วก็ตายไปในคืนเดียวดุจกัน ไม่สมควรหรือ ที่เราจะหวงเมืองนีนะเวห์นครใหญ่นั้น ซึ่งมีพลเมืองมากกว่าหนึ่งแสน สองหมื่นคน ผู่ไม่ทราบว่าข้างไหนมือขวา ข้างไหนมือซ้าย และมีสัตว์เลี้ยงเป็นอันมากด้วย?" (4:10-11).
การส่งต้นไม้ไปให้เป็นเหตุการณ์สุดท้ายระหว่างโยนาห์กับพระเจ้า โยนาห์รู้สึกสงสาร ต้นละหุ่งต้นนี้ พระเจ้าก็มีพระทัยเมตตาสงสารประชาชนเช่นกัน "ความสงสาร" ของ โยนาห์ ก็แย่พอๆกับ "คำอธิษฐาน" ของเขา พระเจ้ากำลังย้ำให้โยนาห์เห็นถึงประเด็น ว่าท่านเป็นคนที่ให้ความสำคัญกับตนเองอย่างเดียว โดยเฉพาะเมื่อเปรียบกับพระทัย เมตตาสงสารที่พระองค์มีต่อประชาชนชาวนีนะเวห์ ให้เรามาพิจารณาดูข้อแตกต่าง ระหว่าง "ความสงสาร" ของโยนาห์ที่มีต่อต้นละหุ่ง กับความสงสารที่พระเจ้ามี ให้กับบรรดาประชาชน
(1) โยนาห์สงสารต้นไม้ ; พระเจ้าสงสารผู้คน โยนาห์ยอมที่จะให้นครใหญ่ทั้ง เมืองพินาศไป ถึงแม้อาจมีเหยื่อผู้บริสุทธิ์ ทั้งผู้คนอีก 120,000 และสัตว์อีกมากมาย ต้องประสพเคราะห์กรรม แน่นอนต้องมีคนโศกเศร้า แต่เราไม่แน่ใจว่าต้นไม้รู้สึกอย่างไร โยนาห์สงสารต้นไม้ แต่กับไม่เวทนาสงสารผู้คนและสัตว์ต่างๆเลย
(2) โยนาห์ยินดีกับต้นไม้ที่ตัวเองไม่ได้ลงแรงปลูกเอง พระเจ้ามีพระทัยสงสาร ในประชาชน ผู้เป็นฝีพระหัตถ์ของพระองค์ และเป็นผู้ที่พระองค์จัดเตรียมพระ สัญญาสำหรับพระพรมากมายให้ โยนาห์ไม่ไ้ด้มีสัมพันธภาพแบบใดทั้งสิ้นกับ ต้นไม้ ท่านไม่ได้ปลูกเอง ไม่ได้ช่วยทำให้มันเจริญเติบโต พระเจ้าสร้างมนุษย์ และ สรรพสิ่งทุกอย่างในโลก พระองค์ทรงห่วงใยในสิ่งที่พระองค์สร้าง ห่วงมากจนสัญญา จะอวยพระพรต่อบรรดาเชื้อสายของอับราฮัม มากถึงขนาดส่งพระบุตรองค์เดียวมาตาย เพื่อมนุษย์ โยนาห์กลับไปห่วงสงสารในสิ่งที่ไม่มีค่าอะไรเลยสำหรับท่าน
(3) โยนาห์สงสารต้นไม้ที่ต้องตายลง ; พระเจ้าทรงสงสารประชากรที่กำลังเดิน ไปสู่ความพินาศชั่วนิรันดร์ โยนาห์สงสารต้นไม้ที่มีชีวิตอยู่แค่เพียงวันเดียว ถ้าพระ เจ้าอณุญาติ อาจอยู่ได้ถึงปีหรือนานกว่านั้น แต่การพิพากษาที่มนุษย์จะได้รับนั้น เป็น นิรันดร์ การ "จากไป" ของต้นละหุ่งนั้นไม่มีความหมายในเรื่องใดทั้งสิ้น ; แต่ภัยพิบัติ ที่จะเกิดกับชาวนีนะเวห์นั้นเป็นการพิพากษาที่มาจากพระเจ้า ความพินาศชั่วนิรันดร์ที่ กำลังเกิดขึ้นกับผู้คนนั้นสำคัญเกินกว่าจะวัดค่าได้
(4) พระเจ้าสงสารบรรดาคนบริสุทธิ์ ; โยนาห์ไม่สนใจ ท่านกลับรู้สึกสะใจใน การเฝ้าดูภัยพิบัติที่จะเกิดขึ้นกับทั้งคนบริสุทธิ์และคนที่ชั่วร้าย (จำได้หรือไม่ว่า ลูก หลานของชาวนีนะเวห์เหล่านี้ จะเป็นผู้ที่วันหนึ่งมานำิอิสราเอลไปเป็นเชลย) การที่ อยากเห็นคนชั่วถูกลงโทษนั้น เป็นคนละเรื่องกับการที่เห็นคนบริสุทธิ์ต้องมาเดือดร้อน ไปพร้อมๆกันด้วย
(5) โยนาห์สงสารตัวเอง ; พระเจ้าทรงสารผู้อื่น "ความสงสาร" ของโยนาห์นั้น อันที่จริงไม่ใช่สงสารต้นไม้เท่ากับการที่ต้นไม้นำความร่มเย็นมาให้ท่าน ต้นไม้ทำให้ ท่านรู้สึกยินดี ถ้าต้นไม้ไม่ได้ทำให้ท่านรู้สึกยินดีแล้วท่านก็คงไม่ได้สงสารมันแน่ๆ ความ สงสารของโยนาห์นั้นเป็นเรื่องที่เห็นแก่ตัวเองเท่านั้น ท่านเป็นห่วงตนเอง แต่ไม่ได้เป็น ห่วงคนอื่น ในทางกลับกัน พระเจ้ายังทรงห่วงใยประชาชนที่ถึงแม้จะทำบาปใหญ่หลวง และทำให้พระองค์เสื่อมพระสิริไป
ผมหลงคิดอยู่ตั้งนานว่า รากปัญหาทั้งสิ้นของโยนาห์นั้นคือความเห็นแก่ตัว ท่านอยาก เก็บพระคุณพระเจ้าไว้กับตนเองและพี่น้องชาวอิสราเอล โดยไม่เหลือเผื่อใคร โดย เฉพาะอย่างยิ่งชาวนีนะเวห์ นับว่าเป็นการตัดสินที่ผิดพลาด ความเห็นแก่ตัวของ โยนาห์เป็นเพียงการออกอาการเท่านั้น ปมปัญหาใหญ่ที่โยนาห์มีต่อพระเจ้านั้นก็คือ พระคุณของพระองค์ ธรรมชาติของพระคุณทำให้โยนาห์ไม่พอใจ ให้เราลองหยุด เพื่อคำนึงถึงคุณลักษณะของพระคุณ ที่เป็นเหตุให้โยนาห์หัวแข็งผู้นี้กบฎต่อพระองค์
(1) ธรรมชาติและการเริ่มต้นของพระคุณ ธรรมชาติหรือหัวใจของพระคุณนั้นไม่ใช่ ได้มาเพราะการทำดี —เป็นพระพรที่ไม่สมควรได้รับ ที่เริ่มต้นหรือแหล่งของพระคุณที่ โยนาห์ไม่พอใจนี้คือพระเจ้า โยนาห์ไม่ชอบใจในพระคุณเพราะเป็นสิ่งที่ไม่สามารถซื้อ หรือหามาได้ด้วยกำลังของผู้ใด ไม่ใช่เป็นสิ่งที่ใครก็ตามคิดว่าตนเองสมควรได้รับ หรือ สามารถเก็บไว้เป็นสมบัติส่วนตัวได้ แต่เป็นสิ่งที่มอบให้เพราะอยากจะมอบ พูดง่ายๆ ก็คือ โยนาห์ไม่ชอบเรื่องพระคุณเพราะเป็นเหมือนของบริจาค
(2) ผู้ที่รับพระคุณ ผู้ที่รับพระคุณ หรือผู้ที่ได้รับการเทพระพรลงมาให้นั้นไม่มีผู้ใด เหมาะ และสมควรจะได้รับทั้งสิ้น แต่โยนาห์ไม่อยากเห็นว่าตนเองเป็นหนึ่งในบรรดา ผู้ไม่สมควร ที่สำคัญคือ โยนาห์ถูกยาสั่งอย่างแรงเรื่องความหยิ่งยโสในชาติพันธ์ของ ตนเอง ท่านรู้สึกว่าในฐานะเป็นคนอิสราเอล พระเจ้า "ต้อง" อวยพระพรแก่ท่านและแก่ ประชากรที่พระองค์ได้เลือกสรรไว้ ส่วนพวกชาวนีนะเวห์นั้น โยนาห์ยอมรับอย่างไม่ต้อง สงสัยว่า "ไร้ค่าและไม่มีความหมาย" จึงทำให้ท่านประท้วงขึ้นมาเมื่อพระเจ้าสำแดง พระคุณแก่พวกเขา
(3) การเทพระคุณลงมา พระคุณนั้นไม่ใช่ได้มาเพราะความดี และผู้ได้รับต่างก็เป็น ผู้ไม่สมควรทั้งสิ้น ดังนั้นไม่มีผู้ใดสามารถแอบอ้างได้ว่าตนเองสมควร หรือไม่มีกฎ กติกาใดๆที่ใครจะนำมาอ้างว่าตนเองทำมากกว่า และควรจะได้รับพิจารณาผลรางวัล ดังนั้น การให้พระคุณไม่ใช่เป็นเพราะการกระทำคุณงามความดีใดๆ แต่เป็นการให้ จากอำนาจอธิปไตยล้วนๆขององค์พระผู้เป็นเจ้า "ตามที่พระองค์พอพระทัย" อย่างที่ พระองค์ตรัสว่า "เราประสงค์จะโปรดปรานผู้ใดก็จะโปรดปรานผู้นั้น และเราประสงค์จะ เมตตาแก่ผู้ใด เราก็จะเมตตาผู้นั้น" (อพยพ 33:19).
(4) เป้าหมายของพระคุณ เป้าหมายของพระคุณ หรือวัตถุประสงค์ในการให้คือ ต้องการให้เราเป็นคนบริสุทธิ์ ไม่ใช่เป็นคนสุขสบาย ต้นไม้ที่พระเจ้าให้โยนาห์นั้น ทำ ให้ท่าน "ยินดียิ่งนัก" ตามที่เล่าไว้ (4:6) แต่ไม่ได้ช่วยให้ท่านเป็นคนบริสุทธิ์ ดังนั้นพระ เจ้าจึงนำมันคืนไปเสีย พระคุณที่มอบให้ไม่ใช่สำหรับทำให้เรามีสุข ทำให้เรารู้สึกดี หรือ ทำให้เราสนุกสนานเพลิดเพลิน แต่ทำให้เราสามารถมีสัมพันธภาพที่ใกล้ชิดกับพระองค์ ผู้ประทานให้ได้
(5) ความหมายของพระคุณ ถ้าเป้าหมายของพระคุณคือ เพื่อทำให้เราเป็นคน บริสุทธิ์ ดังนั้นความหมายของพระคุณจึงรวมหมดถึงสิ่งที่นำมาซึ่งความสุข ความสะดวก สบาย และประสพการณ์ในการเผชิญความทุกข์ยากด้วย เพื่อทำให้เราสามารถละทิ้ง หนทางบาปและเข้ามาวางใจในพระองค์ ถ้าเราสัตย์ซื่อกับตัวเองและกับพระเจ้า ถ้าเรา ใคร่ครวญพระวจนะคำย่างดี เราจะสังเกตุเห็นว่าที่เราเติบโตฝ่ายจิตวิญญาณได้นั้นมา จากการเผชิญความทุกข์ยาก มากกว่าการมีชีวิตที่แสนสะดวกสบาย
ให้มาคิดถึงโยนาห์ ในตัวอย่างเช่น พระเจ้าตอบคำอธิษฐานของโยนาห์โดยช่วยให้ท่าน รอดตาย ไม่ได้ใช้่วิธีที่เลิศหรูประทับใจใด พระองค์ช่วยโดยใช้ปลามหึมาแทน และ โยนาห์ก็ต้องเปียกแฉะถึงสามวันสามคืนในท้องปลา การถูกปลาสำรอกไว้บนฝั่งก็ไม่ใช่ สิ่งที่โยนาห์พึงประสงค์เช่นกัน แต่ก็เป็นสิ่งดีที่สุดสำหรับสถาณะการณ์ตอนนั้น เมื่อร่ม เงาของต้นไม้ไม่สามารถทำให้โยนาห์เดินกับพระเจ้าได้ ดังนั้นจึงสมควรที่จะทำลายต้น ไม้และให้แดดแผดเผาท่านแทน พระเจ้าไม่ได้ผูกมัดเราไว้ด้วยความสุขสบาย แต่ด้วย ความสำนึกในพระคุณ พระองค์ทรงใช้วิธีการที่เจ็บปวดเพื่อหลอมเราให้เป็นผู้บริสุทธิ์ ประสพการณ์ทั้งในการเผชิญความทุกข์และความสุข ล้วนเป็นของประทานแห่งพระคุณ ทั้งสิ้น พระคุณจะสำแดงชัดแจ้งที่สุดเมื่อเราอยู่ท่ามกลางความทุกข์ยากแสนสาหัส
มีคำอธิบายมากมายในทุกสิ่งที่พระเจ้าทำ แต่ทำไมโยนาห์ถึงไม่ชอบ พระเจ้าสามารถ เทพระคุณแห่งความรอดให้กับบรรดาผู้ไม่สมควรได้เช่นชาวนีนะเวห์ ไม่ใช่เป็นเพราะ การกระทำของพวกเขา เช่นกัน การเทพระคุณเป็นเรื่องความพอพระทัยของพระเจ้า ผู้ครอบครอง พระเจ้าสามารถให้ต้นไม้งอกขึ้นให้แก่โยนาห์ แล้วพระองค์ก็นำกลับคืน ไปได้
เป็นเพราะพระคุณมีคุณลักษณะเฉพาะตัวเช่นนี้ โยนาห์จึงไม่อยากมีส่วนร่วม หรืออยาก ให้มามีส่วนในชีวิตของท่าน "สำหรับโยนาห์ พระคุณเป็นสิ่งที่น่าขัดเคือง และไม่น่า ปรารถนา" ง่ายที่จะมองออกว่าทำไมโยนาห์เคืองพระเจ้าเมื่อพระองค์สำแดงพระคุณ ให้แก่ชาวนีนะเวห์ แต่เราจะพูดได้อย่างไรว่าโยนาห์ดูถูกพระคุณพระเจ้า ถึงแม้จะ สำแดงโดยตรงให้แก่ท่านก็ตาม ? "เพราะผู้ที่ไม่สมควรทั้งหลายกระหายในพระคุณ พระเจ้า แต่โยนาห์ไม่ยอมรับว่าท่านเองก็เป็นหนึ่งในบรรดาผู้ที่ไม่สมควรกับพระคุณ"
ผู้เผยพระวจนะประท้วงเรื่องพระคุณในการอภัยโทษให้กับชาวนีนะเวห์ได้อย่างไร ? ด้วย ความเชื่อที่ว่าพระคุณจะได้มาก็ต่อเมื่อมีการกระทำดี ผู้เผยพระวจนะประท้วงเมื่อพระ เจ้านำของประทานเช่นต้นไม้กลับคืนไปได้อย่างไร ? โดยเชื่อว่าท่านสมควรได้รับต้น ไม้นั้น และโดยคิดว่าพระเจ้าเป็นหนี้ท่านในเรื่องความสะดวกสบาย
ตรงนี้นับเป็นกุญแจสำคัญของพระธรรมโยนาห์ทั้งเล่ม และสำหรับความบาปของชนชาติ อิสราเอล ผู้ซึ่งเหมาเอาเองว่าพระเจ้าเป็นหนี้พระคุณต่อพวกเขา และสำหรับบรรดาศัตรู ทั้งหลาย ต้องถูกพิพากษา โยนาห์ปฏิเสธหลักเกณฑ์ของพระคุณโดยสิ้นเชิง ท่านนำ ไปแลกกับหลักความเชื่อของการทำดีได้ดี "ปมปัญหาของผู้เผยพระวจนะหัวแข็งผู้นี้คือ ท่านคิดว่าตนเองเป็นผู้ชอบธรรม" บุคคลที่ดูถูกพระคุณ คือคนที่คิดว่าตนเองดีกว่าคนอื่น สำหรับผู้ที่คิดว่าตนเองชอบธรรมและดีกว่าผู้อื่นนั้น พระคุณคือของบริจาค ซึ่งทำให้ผู้รับ เสียศักดิ์ศรี
สิ่งที่โยนาห์ลืมไปคือ การที่พระเจ้าเลือกอวยพระพรชนชาติอิสราเอลนั้นเป็นพระคุณ ของพระองค์ล้วนๆ ไม่ใช่เป็นเพราะอิสราเอลเป็นชนชาติที่ชอบธรรม
6 "เพราะว่าพวกท่านเป็นชนชาติบริสุทธิ์สำหรับพระเยโฮวาห์พระเจ้า ของท่าน พระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านทรงเลือกท่านออกจากชนชาติ ทั้งหลายที่อยู่บนพื้นโลก ให้มาเป็นชนชาติในกรรมสิทธิ์ของพระองค์ 7 ที่พระเจ้าทรงรักและทรงเลือกท่านทั้งหลายนั้น มิใช่เพราะท่านทั้ง หลายมีจำนวนมากกว่าประชาชนชาติอื่น ด้วยว่าในบรรดาชนชาติทั้ง หลาย ท่านเป็นจำนวนน้อยที่สุด 8 แต่เพราะพระเจ้าทรงรักท่านทั้ง หลาย และพระองค์ทรงรักษาคำปฏิญานซึ่งพระองค์ทรงปฏิญานไว้กับ บรรพบุรุษของท่านทั้งหลาย พระเจ้าจึงทรงพาท่านทั้งหลายออกมา ด้วยพระหัตถ์ฟาโรห์กษัตริย์อียิปต์ 9 เหตุฉะนี้พึงทราบเถิดว่า พระ เยโฮวาห์พระเจ้าของพวกท่านเป็นพระเจ้า เป็นพระเจ้าสัตย์ซื่อผู้ทรง รักษาพันธสัญญา และความรักมั่นคงต่อบรรดาผู้ที่รักพระองค์และ รักษาพระบัญญัติของพระองค์ถึงพันชั่วอายุคน 10 และทรงตอบแทน ผู้ที่เกลียดชังพระองค์ต่อตัวเขาเอง ด้วยทรงทำลายเขาเสีย พระองค์ จะไม่ทรงลดหย่อนโทษผู้ที่เกลียดชังพระองค์ พระองค์จะทรงตอบ แทนต่อตัวเขาเอง" (เฉลยธรรมบัญญัติ 7:6-10).
ให้ดูคำว่า "ความรักมั่นคง" ในข้อ 9 ให้ดี เพราะนี่เป็นพื้นฐานของพระทัยเมตตาที่มีต่อ คนอิสราเอล เช่นเดียวกับที่มีต่อชาวนีนะเวห์ (โยนาห์ 4:2).
พระเจ้าทรงเตือนคนอิสราเอลว่า เมื่อพวกเขาได้เข้าไปอยู่ในดินแดนคานาอัน และเริ่ม รับพระพรแห่งความมั่งคั่งโดยพระคุณของพระองค์แล้ว พวกเขาจะหลงผิดไปคิดว่า ความมั่งคั่งทั้งสิ้นเป็นผลจากน้ำมือตนเองทั้งสิ้น :
11 "ท่านทั้งหลายจงระวังตัวอย่าลืมพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่าน ด้วยไมารักษาพระบัญญัติและกฎหมายและกฎเกณฑ์ของพระองค์ ซึ่งข้าพเจ้าได้บัญชาท่านในวันนี้ 12 เกรงว่า เมื่อท่านได้รับประทาน อิ่มหนำ ได้สร้างบ้านเรือนดีๆ และได้อาศัยอยู่ในนั้น 13 และเมื่อฝูง วัวและฝูงแพะแกะของท่านทวีขึ้น มีเงินทองมากขึ้น และบรรดาซึ่ง ท่านมีอยู่ก็ทวีขึ้น 14 จิตใจของท่านทั้งหลายจะผยองขึ้นและท่านทั้ง หลายก็ลืมพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านทั้งหลายผู้ทรงนำท่านทั้ง หลายออกจากแผ่นดินอียิปต์ ออกจากแดนทาส . … 17 จงระวังให้ดี เกรงว่าท่านจะนึกในใจว่า ‘กำลังและเรี่ยวแรงของข้านำทรัพย์มีค่า นี้มาให้ ’ 18 ท่านทั้งหลายจงจำพระเยโอวาห์พระเจ้าของท่าน ทั้งหลาย เพราะว่าพระองค์ทรงเป็นผู้ที่ให้กำลังแก่ท่านที่จะได้ ทรัพย์สมบัตินี้ เพื่อว่าพระองค์จะทรงดำรงพันธสัญญาซึ่งพระ องค์ทรงกระทำโดยปฏิญาณต่อบรรพบุรุษของท่าน ดังวันนี้ " (เฉลยธรรมบัญญัติ 8:11-14, 17-18,).
ถ้าคำเตือนนี้ยังไม่มากพอ พระเจ้าทรงเตือนอิสราเอลอีกถึงของประทานโดยพระคุณ ของความมั่งคั่งรุงเรืองนั้น พวกเขาอาจคิดว่าสร้างขึ้นมาด้วยกำลังของตนเอง
"เมื่อพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านได้ขับไล่เขาออกไปต่อหน้าท่านทั้งหลายแล้ว ท่านทั้งหลายอย่านึกในใจว่า เพราะความชอบธรรมของข้า พระเจ้าจึงทรงนำข้ามาให้ยึดครองแผ่นดินนี้ แต่เพราะความชั่วของประ ชาติเหล่านี้ พระเจ้าจึงทรงขับไล่เขาออกไปต่อหน้าท่านทั้ง 5 ซึ่งท่าน ทั้งหลายกำลังเข้าไปยึดครองแผ่นดินนี้นั้น มิใช่เพราะความชอบ ธรรมของท่านหรือความสัตย์ธรรมในใจของท่าน ‘แต่เป็นเพราะ ความชั่วช้าของประชาชาตินี้ ซึ่งพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านต้่อง ขับไล่เขาออกเสียต่อหน้าท่านทั้งหลาย และเพื่อว่าพระองค์จะทรงให้ เป็นจริงตามพระวจนะซึ่งพระเจ้าทรงปฏิญาณต่อบรรพบุรุษของท่าน คือต่อ อับราฮัม ต่ออิสอัค และต่อยาโคบ 6 เพราะฉะนั้นท่านทั้งหลาย พึงทราบเถิดว่า ซึ่งพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านทรงประทานแผ่นดิน นี้ให้ท่านยึดครองนั้นมิใช่เพราะความชอบธรรมของท่าน เพราะว่าท่าน ทั้งหลาย เป็นชนชาติที่ดื้อดึง" (เฉลยธรรมบัญญัติ 9:4-6).
โยนาห์และชนชาติอิสราเอลของท่าน หลงลืมไปว่าพระพรที่ได้รับนั้นเป็นเพราะพระคุณ ไม่ใช่เป็นเพราะความชอบธรรมของพวกเขา หรือความคิดที่ว่าเป็นชนที่เหนือกว่าชาติ อื่นๆ พวกเขายังลืมไปด้วยว่าพระเจ้าทรงสัญญาจะอวยพระพรไปสู่ประชาชาติโดยผ่านทาง อิสราเอล : "บรรดาเผ่าพันธ์ทั่วโลกจะได้พรเพราะเจ้า" (ปฐมกาล 12:3ข).
คำทำนายของโยนาห์เกี่ยวกับชนชาติอิสราเอล ตามที่บันทึกใน 2 พงษ์กษัตริย์นั้นเป็น พระสัญญาว่าจะอำนวยพระพรให้มั่งคั่งถึงแม้ประชาชนยังตกอยู่ในความบาป พระเจ้า ทรงสัญญาจะอวยพระพรชนชาตินี้ ไม่ใช่เป็นเพราะทำตามพระบัญญัติอย่างเคร่งครัด แต่เป็นเพราะความบาป ให้เรามาดูคำทำนายนี้ด้วยกัน
ในปีที่สิบห้าแห่งรัชกาลอามาซิยาห์ โอรสของโยอาชพระราชาแห่งยู ดาห์ เยโรโบอัมโอรสของเยโฮอาชแห่งอิสราเอลได้เริ่มครอบครองใน สะมาเรีย และทรงครอบครองอยู่สี่สิบเอ็ดปี และพระองค์ทรงกระทำ สิ่งที่ชั่วร้ายในสายพระเนตรพระเจ้า พระองค์มิได้ทรงพรากจากบาป ทั้งสิ้นของเยโรโบอัมบุตรเนบัท ซึ่งพระองค์ทรงกระทำให้อิสราเอล กระทำด้วย พระองค์ทรงตีเอาดินแดนอิสราเอลคืนมาตั้งแต่ทาง เข้าเมืองฮามัท ไกลไปจนถึงทะเลแห่งอาราบาห์ตามพระวจนะ ของพระเยโฮวาห์พระเจ้าแห่งอิสราเอล ซึ่งพระองค์ตรัสโดยผู้ รับใช้ของพระองค์ คือโยนาห์ ผู้เป็นบุตรอามิททัยผู้เผยพระวจนะ ผู้มาจากกัธเฮเฟอร์ เพราะพระเจ้าทอดพระเนตรเห็นว่า ความทุกข์ ใีจของอิสราเอลนั้นขมขื่นนัก เพราะไม่มีผู้ใดเหลือไม่ว่าทาสหรือไท และไม่มีผู้ใดช่วยอิสราเอล พระเจ้ามิได้ตรัสว่า จะทรงลบนามอิสราเอล จากใต้ฟ้าสวรรค์ แต่พระองค์ทรงช่วยเขาโดยพระหัตถ์ของเยโรโบอัม โอรสของเยโฮอาช (2 พกษ. 14:23-27).
กษัตริย์อิสราเอลนั้นชั่วร้ายเช่นเดียวกันกับพลเมือง ความมั่งคั่งที่โยนาห์ทำนายไว้ว่าจะ ได้รับไม่ใช่เป็นเพราะผลจากจิตวิญญาณ แต่ได้รับทั้งๆที่มีบาป ดังนั้นพระพรที่โยนาห์ พูดถึง จึงนับเป็นพระคุณล้วนๆขององค์พระเจ้า
โยนาห์ก็เป็นผู้หนึ่งที่รับพระพรนี้ด้วย แต่แทนที่จะโมทนาขอบพระคุณ โยนาห์กับ ประท้วงพระองค์ แรงจนถึงจุดที่ยอมตายเสียดีกว่า การช่วยกู้โยนาห์โดยทางปลามหึมา และการหลุดรอดออกมาจากท้องปลานั้นเป็นการจัดเตรียมโดยพระคุณจริงๆ การให้ต้น ละหุ่งงอกขึ้นมา เพื่อให้ร่มเงาและบรรเทาความร้อนรุ่มก็เช่นกัน อย่างไรก็ดี พระคุณที่ มาถึงโยนาห์ที่เห็นชัดเจนที่สุด น่าจะเป็นวิธีที่พระองค์ทรงตอบคำประท้วงและการกบฎ ของท่าน จะเป็นอย่างไร ถ้าตอนจบของเรื่องโยนาห์ถูกเผาให้เป็นจุลย์ไปในพริบตา ด้วยสายฟ้าฟาดเปรี้ยงเดียว !
โยนาห์เป็นดังตัวแทนของชนชาติอิสราเอล คือมองไม่เห็นว่าพระพรของพระเจ้าเป็น การสำแดงพระคุณของพระองค์ให้กับผู้ที่ไม่สมควรได้รับ แต่กลับมองเห็นว่าพระเจ้า มีหน้าที่ต้องอำนวยพระพรให้กับผู้ชอบธรรม ไม่น่าสงสัยเลยว่าเหตุใดโยนาห์ดูถูกพระ คุณพระเจ้า เพราะเขาคิดว่าพระคุณนั้นมีไว้สำหรับคนที่ไม่สมควรจะได้รับ และเขาเป็น พวกที่ไม่มีความจำเป็นต้องรับสิ่งที่ถูกหยิบยื่นให้ ความหยิ่งยโสเห็นว่าตนเองดีกว่า ผู้อื่นของโยนาห์และชาวอิสราเอลนั้นเด่นชัดขึ้นมาทีเดียว และเป็นเหตุผลที่ทำไมชาว อัสซีเรียถึงต้องขับไล่ชาวอิสราเอลออกไป
พระธรรมโยนาห์ไม่ได้จบลงอย่างถูกต้องสวยงามแบบ "และแล้วทุกคนก็มีความสุข" แต่กลับตรงข้าม ประโยคสุดท้ายจบลงที่พระเจ้ากล่าวตักเตือนโยนาห์ ไม่มีการพูดถึง ว่าโยนาห์กลับใจ ผมเชื่อว่าคำตอบสำหรับเรื่องนี้ธรรมดามาก คือยังไม่มีบทสรุปสุด ท้ายต่อความบาปของความหยิ่งยโสที่ชนชาติอิสราเอลมีต่อพันธสัญญาใหม่ และการ เมินเฉยต่อการเสด็จมาของพระเมสซิยาห์ พระเยซูคริสต์ อันที่จริงตอนจบของพระธรรม โยนาห์นั้นตรงกับความเป็นจริงที่สุด เพราะแสดงให้เห็นถึงการรุกที่จนมุมระหว่างชาว อิสราเอลกับพระเจ้า ซึ่งดึงดันกันมาจนถึงสมัยพระเยซู และถึงในปัจจุบันด้วย หนัง สือเล่มสุดท้ายในพระคัมภีร์เดิม พระธรรมมาลาคี บันทึกเรื่องราวของชนชาติแห่งความ บาป อิสราเอล ผู้เปรียบเหมือนคู่ปรปักษ์ของพระเจ้า :
พระวจนะของพระเจ้าที่มีต่ออิสราเอลโดยมาลาคี พระเจ้าตรัสว่า "เรา ได้รักเจ้าทั้งหลาย" แต่ท่านทั้งหลายพูดว่า "พระองค์ได้ทรงรักข้า พระองค์สถานใด ?" พระเจ้าตรัสว่า "เอซาวเป็นพี่ชายของยาโคบ มิใช่หรือ ? เราก็ยังรักยาโคบ" (มาลาคี 1:1-2)
เมื่อมาถึงตอนจบของการวิเคราะห์ ความแข็งกระด้างในจิตใจของคนอิสราเอลคงจะมี ต่อไปจนกระทั่งภัยพิบัติเกิดขึ้น เมื่อพระเมสซิยาห์เสด็จกลับมาอีกครั้ง เพื่อทะลุทะลวง ความดื้อด้านหยิ่งยโสของบรรดาประชากรที่พระองค์เลือกสรรประทานความรอดให้ ไม่ใช่เป็นเพราะความชอบธรรมของพวกเขา แต่เป็นพระคุณเพียงทั้งสิ้น
โยนาห์ไม่เป็นแต่เพียงภาพสะท้อนของจิตวิญญาณชาวอิสราเอลในสมัยนั้น ท่านยังเป็น ต้นตระกูลความหยิ่งยโสของชาวอิสราเอลโดยรวมด้วย โดยเฉพาะบรรดาผู้นำศาสนา เมื่อครั้งองค์พระเยซูคริสต์เสด็จมาบังเกิด พระองค์ไม่ได้บังเกิดให้เป็นที่ประจักษ์ต่อบรร ดาผู้นำระดับสูงของศาสนา แต่ต่อบรรดาผู้ใจถ่อมและอ่อนแอ (ลูกา 2) ดังที่นางมารีย์ สรรเสริญไว้ในบทเพลงของนาง (ลูกา 1:46-55) การเสด็จมาของพระคริสต์นั้นก็เพื่อ คนต่างชาติ (ลูกา 2:31-32) และพวกยิวด้วย ดังนั้นพวกโหราจารย์เมื่อทราบเรื่องการ เสด็จมา จึงพากันมาเฝ้านมัสการพระองค์ (มัทธิว 2:1) เมื่อพระองค์ทรงเริ่มต้นพระ ราชกิจของพระองค์ ตามที่บันทึกอยู่ในพระกิตติคุณลูกาบทที่ 4 (โดยเฉพาะข้อ 16-21) แสดงให้เห็นอีกด้วยว่าพระองค์เสด็จมาเพื่อคนขัดสนและคนที่ถูกเบียดเบียน คำเทศนา บนภูเขาของพระองค์ยังเป็นสิ่งยืนยันในเรื่องเดียวกันต่อบรรดาผู้ได้รับพระคุณทั้งหลาย
เมื่อองค์พระเยซูคริสต์เริ่มปฏิบัติพระราชกิจของพระองค์ เวลาและความเหนื่อยยากแทบ ทั้งสิ้นพระองค์ทรงสละให้ก็เพื่อ "บรรดาคนบาป" ซึ่งก่อให้เกิดความโกรธเคืองและ ปฏิกิริยาตอบโต้อย่างรุนแรงจากบรรดาผู้นำศาสนาระดับสูง บรรดาฟาริสีและธรรมาจารย์ ทั้งหลายในทันที :
ฝ่ายธรรมาจารย์ที่เป็นพวกฟาริสี เมื่อเห็นพระองค์ทรงเสวยพระกายา หาร กับพวกคนบาปและคนเก็บภาษี จึงถามศิษย์ของพระองค์ว่า "เหตุ ไฉนอาจารย์ของท่านจึงรับประทานด้วยกันกับคนเก็บภาษีและคนนอก รีตเล่า ?" (มาระโก 2:16).
เหตุใดพวกธรรมาจารย์และฟาริสีจึงเดือดร้อนใจเมื่อพระเยซููใช้เวลากับ "พวกคนบาป" มากกว่ากับพวกเขา ? มันก็เป็นเหตุผลเดียวกันกับที่โยนาห์โกรธเคืองพระเจ้า พวกผู้ นำศาสนาเหล่านี้คิดว่าพวกเขาสมควรจะได้รับความสนใจและเป็นคนสำคัญที่พระเยซู ควรใช้เวลาด้วยให้มาก และ "พวกคนบาป" ไม่สมควรได้รับสิ่งใดเลย นอกจากการถูก พระเจ้าลงโทษ (ยอห์น 8:2-11) พวกเขาเกลียดชังคนต่างชาติ แม้กระทั่งชาว อิสราเอลในบรรดาพวกเขากันเอง (ยอห์น 7:49).
เหตุใดพวกธรรมาจารย์และฟาริสีจึงมีปฏิกิริยาที่รุนแรงยิ่งต่อคำเทศนาสั่งสอนของพระ เยซู ? เพราะพระองค์แสดงให้พวกเขาเห็นถึงความบาปของตนเอง ที่พวกเขาไม่มีวัน ยอมรับได้ พวกเขาหยิ่งยโสเกินกว่าจะยอมรับพระเมสซิยาห์ของพระเจ้า และพวกเขา เข่นฆ่าพระองค์จนถึงตายบนไม้กางเขนของคนโรมัน
แม้แต่พวกสาวกของพระเยซูเองบางคนยังเป็นเหมือนโยนาห์ คือกระหายจะให้พวก "นอกรีต" ถูกพระเจ้าจัดการ :
52 … เขาก็เข้าไปในหมู่บ้านแห่งหนึ่งของชาวสะมาเรีย เพื่อจะเตรียม ไว้ให้พระองค์ 53 ชาวบ้านนั้นไม่รับรองพระองค์เพราะพระองค์กำลัง เสด็จไปยังกรุงเยรูซาเล็ม 54เมื่อสาวกของพระองค์ คือยากอบและ ยอห์นได้เห็นดังนั้น เขาทูลพระองค์ว่า "พระองค์เจ้าข้า พระองค์พอ พระทัยจะให้ข้าพระองค์ขอไฟลงมาจากสวรรค์เผาผลาญเขาเสียหรือ?" (ลูกา 9:52ข-54).
หลังจากที่พระเยซูคริสต์สิ้นพระชนม์ ถูกฝัง กลับเป็นขึ้นมาและเสด็จสู่สวรรค์ ชาวยิว นี่แหละเป็นผู้ต่อต้านการประกาศข่าวประเสริฐอย่างรุนแรง (กิจการ 22:19-23). แม้กระทั่งชาวยิวคริสเตียนเองยังต้องหันไปประกาศกับชาวต่างชาติแทน (กิจการ 10-11, และ 11:19). เป็นเพราะยิวคริสเตียนบางคนรู้สึกว่าตนเองนั้นเหนือกว่าผู้เชื่อชาว ต่างชาติ พวกเขาแยกชนชั้นและพยายามที่จะให้คนต่างชาติเปลี่ยนแปลงมาทำตาม ธรรมเนียมของชาวยิว (เช่น กิจการ 15:1; กาลาเทีย 2:11) แท้จริงโยนาห์ก็คือภาพ ความหยิ่งยโสของชาวอิสราเอลซึ่งยังมีมาตลอดหลายศตวรรษตราบจนถึงทุกวันนี้
พระธรรมโยนาห์มีเรื่องมากมายเหมาะสำหรับคริสเตียนในศตวรรษนี้ และสำหรับชาวยิว ทุกยุคทุกสมัย ผมอยากสรุปเรื่องนี้โดยชี้ให้เห็นจุดต่างๆที่เราสามารถนำมาใช้ให้เป็น ประโยชน์ต่อชีวิตของเราในทุกวัันนี้
(1) สิ่งที่พระเจ้ากระทำกับมนุษย์นั้นอยู่บนรากฐานแห่งพระคุณ ไม่ใช่เป็นเพราะ การกระทำของมนุษย์ทั้งสิ้น พวกที่ไม่สมควรทั้งหลาย (ซึ่งรวมตัวผมด้วย) ต้องระมัด ระวังเป็นอย่างยิ่งที่คิดแต่เพียงว่า ที่พระเจ้าปฏิบัติต่อคนในยุคของเรานั้นโดยทาง พระคุณ แต่ปฏิบัติกับคนในยุคพระคัมภีร์เดิมโดยทางอื่น ข้อแตกต่างระหว่าง "ยุคนี้" หรือ "ยุคแห่งพระคุณ" ทำให้เรารู้สึกว่าพระเจ้าคงจะปฏิบัติต่อผู้คนในยุคพระคัมภีร์เดิม ตามหลักการดำเนินชีวิตในสมัยนั้น โยนาห์ทำผิดเพราะท่านหลงลืมหลักแห่งพระคุณ พระเจ้านั้นปฏิบัติต่อมนุษย์ทุกยุคทุกสมัยโดยใช้หลักการแห่งพระคุณทั้งสิ้น เพียงแต่ พระคัมภีร์ใหม่ และโดยพันธสัญญาใหม่ทำให้พระองค์สามารถเทพระคุณให้เราได้อย่าง ล้นเหลือ อย่าให้เราเป็นคนที่คิดว่าพระเจ้าปฏิบัติต่อมนุษย์โดยขาดพระคุณในทุกกรณี การปฏิเสธและไม่ยอมรับพระคุณของพระเจ้านั้นเป็นบาปหนักพอๆกับในสมัย ของโยนาห์ ทุกวันนี้มีคริสเตียนหลายคนโกรธพระเจ้าด้วยสาเหตุที่ผิดๆเหมือนกับ โยนาห์ เพียงแต่เราไม่ยอมรับอย่างเปิดเผยตรงไปตรงมาแบบโยนาห์เท่านั้น
คริสเตียนโกรธพระเจ้าตอนไหน ?
· เมื่อเราคิดว่าเราสมควรได้รับบางสิ่งจากพระองค์ และเรารู้สึกว่าพระองค์ผิดที่ ไม่ให้ตามที่เราต้องการ.
· เมื่อเราคิดว่าบางคนไม่สมควรได้รับ เราก็โกรธที่พระเจ้าประทานพระพรแก่เขา ทั้งๆที่คนๆนั้นไม่สมควรจะได้
· เมื่อพระเจ้านำพระพรบางอย่างคืนไปจากเรา ซึ่งเราคิดว่าพระองค์ไม่มีสิทธิที่จะ ทำเช่นนั้น
· เมื่อเราเริ่มคิดว่าเรามีดีกว่าคนอื่น
ผมเชื่อว่าความรู้สึกยโสนี้ได้เข้ามาฝังรากลึกลงในชุมชนคริสเตียนในอเมริกา คน อเมริกันชอบคิดว่าตนเองมีส่วนและสมควรกับความเจริญรุ่งเรืองของประเทศ เราคิดว่า เราได้รับ "พระพร" เพราะความฉลาดของเรา เราช่างคิดช่างค้น เราทำงานหนัก และเรา ทุ่มเทมากมายให้กับพระเจ้า ในทางตรงข้าม เรามีข้ออ้างที่จะปฏิเสธในการแบ่งปัน ความมั่งมีอย่างล้นเหลือให้กับผู้อื่น เพราะเราคอยย้ำเตือนในใจตลอดเวลาว่า ชาติอื่นๆ ที่ยากไร้นั้นเป็นเพราะพวกเขาไม่มีดีเท่าเรา ดังนั้นในขณะที่ประเทศอินเดียกำลังส่ำสม ไปด้วยความยากจนและอดอยาก เรากลับไพล่ไปคิดว่าสาเหตุที่พวกเขาอดอยากนั้น น่าจะมาจาก มัวแต่ไปนับถือกราบไหว้ "วัว" กันอยู่ !! ฟังดูคุ้นๆไหมครับ ? แต่บทสรุป การวิเคราะห์ของเราก็ลงเอยที่ "ความหยิ่งยโส"
คริสเตียนบางคนในทุกวันนี้มองเรื่องการรักษาโรคว่าเป็นสิทธิพิเศษ มากกว่าเป็นของ ประทานโดยพระคุณ ผมไม่อยากจะถกเถียงเรื่องของประทานในการรักษาโรคในทุก วันนี้กับใคร แต่ผมมองว่าพระเจ้าต่างหากที่เป็นผู้รักษา และที่ผมอยากจะปฏิเสธอย่าง ชนิดหัวชนฝาเลยคือเรื่อง พระเจ้า "ต้อง" รักษา ถ้าเราอ้างความเชื่อ การรักษาเป็นของ ประทานโดยพระคุณพระเจ้าหรือเปล่า ? ถ้าใช่ ก็ไม่สมควรที่จะได้รับ หรือหามาได้โดย การ "ใช้ความเชื่อ" การรักษาเป็นของประทานด้วยพระคุณหรือไม่ ? ถ้าเช่นนั้นพระเจ้า ทรงมีสิทธิทุกประการที่จะให้กับผู้ใดก็ได้ที่พระองค์เลือก ไม่ว่าจะเป็นผู้เชื่อแล้วหรือไม่ ก็ตาม และพระองค์ก็มีสิทธิที่จะไม่ให้ตามที่ขอที่อ้างความเชื่อ เราไม่สมควรเรียก ร้องเอาแต่พระคุณ และยิ่งไม่สมควรโวยเมื่อไม่ได้ในสิ่งที่คิดว่า ได้แล้วจะมีความสุข (จำเรื่องต้นละหุ่งของโยนาห์ได้หรือไม่ ?).
อยากให้เราจำไว้ว่า พระคุณของพระเจ้าที่มอบให้นั้นไม่ได้มาแบบที่เราต้องการ หรือ แบบเลือกเองได้ พระเจ้าทรงมีพระกรุณาอย่างล้นเหลือต่อโยนาห์ ช่วยท่านโดยใช้ปลา มหึมา ถ้าโยนาห์เลือกที่จะรับพระคุณในแบบที่ท่านต้องการ ท่านคงไม่เลือกที่จะเข้า ไปอยู่ในท้องปลาแน่ๆ พระคุณที่พระเจ้ามีต่อบรรดาบุตรของพระองค์นั้นอาจมาจากการ ตีสอน การให้เผชิญกับความเจ็บปวดทุกข์ยากลำบากต่างๆ เช่นเดียวกับที่ชาวยิวเผชิญ มาตลอดประวัติศาสตร์ของชนชาติอิสราเอล การเผชิญความทุกข์ยากเป็นพระคุณพอๆ กับความมั่งคั่ง จำคำเทศนาบนภูเขาเรื่อง "ผู้เป็นสุข" ในพระกิตติคุณได้หรือไม่ !
โยบเข้าใจดีว่าพระเจ้าเปี่ยมไปด้วยพระกรุณาและพระคุณ ไม่ว่าพระองค์จะประทาน ความมั่งคั่งให้ หรือเอาคืนกลับไป ไม่ว่าจะเป็นความสุชหรือความทุกข์ยาก ดังนั้น เมื่อท่านรับรู้เรื่องความสูญเสียในครอบครัว ท่านสามารถกล่าวได้ว่า "พระเจ้าประทาน และพระเจ้าทรงเอาไปเสีย สาธุการแด่พระนามพระเจ้า" (โยบ 1:21).
ความล้มเหลว การทนทุกข์ โดยมากเนื่องมาจากพระคุณ เมื่อเกิดขึ้นในชีวิตของ คริสเตียน ก็เพื่อพระประสงค์ที่จะสำแดงพระคุณของพระองค์ให้เราเอง ให้ผู้อื่น รวมทั้งในฟ้าสวรรค์ได้เห็น
หลักเกณฑ์ของพระคุณ ที่เราทั้งหลายได้รับความรอด เป็นหลักเกณฑ์เดียวกับที่ พระเจ้าใช้ในการดูแลชีวิตของพวกเรา ไม่ว่าพระองค์จะเทพระพรแห่งความมั่งคั่ง และสุขภาพ หรือสำแดงพระคุณท่ามกลางการทดลองนานา ทุกสิ่งนั้นเพื่อประคับ ประคองและนำเราให้เข้าใกล้ชิดพระองค์ยิ่งๆขึ้น
หลักเกณฑ์ของพระคุณช่วยเราในการมีสัมพันธภาพกับผู้อื่น เช่นเดียวกับที่พระองค์ทรง ดีต่อเรา เราต้องดีต่อผู้อื่นด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่ไม่สมควรได้รับ ผู้ที่ชั่วร้าย หรือ บรรดาศัตรูที่ทำการข่มเหงหรือเกลียดชังเรา เมื่อแสดงความดีต่อผู้อื่น เราก็กำลัง สะท้อนให้เห็นถึงพระคุณที่เราได้รับจากพระเจ้าออกมา
(3) หนังสือพระธรรมโยนาห์สอนเรามากมายเรื่องการประกาศ และการฟื้นฟู ซึ่งเป็นสิ่งที่เราชาวอเมริกันกำลังต้องการเป็นที่สุด ผมเชื่อว่าพระธรรมโยนาห์ บอกเราถึงบางเรื่องที่จำเป็นสำหรับการฟื้นฟู และเป็นเรื่องที่สำคัญยิ่งทีเดียว :
การฟื้นฟูต้องการคนที่จะไปเพื่อตักเตือนคนบาปที่หลงหายและกำลังจะถูกพิพากษา ผลร้ายของความบาป และแรงจูงใจที่อยากจะได้ความรอดนั้น เกิดจากการประกาศ ความจริงที่ว่า มนุษย์ทุกคนเป็นคนบาป และปลายทางคือความพินาศ
การฟื้นฟูต้องมีการกลับใจอย่างแท้จริง มีการฟื้นฟูเกิดขึ้นในนีนะเวห์เพราะประชาชน หันหนีจากการประพฤติชั่ว พวกเขาไม่เพียงแต่สารภาพบาปเท่านั้น แต่ละทิ้งหนทาง บาปอย่างสิ้นเชิง จะมีการฟื้นฟูได้ก็ต้องมีการกลับใจ และการกลับใจต้องนามาซึ่ง การเปลี่ยนแปลง
นอกจากนั้นพระธรรมโยนาห์ยังแสดงให้เห็นซึ่งๆหน้าว่า ที่จริงศัตรูตัวฉกาจในการประ กาศและการฟื้นฟูคือ — ความยโสของเราที่รังเกียจพระคุณพระเจ้า มัวแต่มุ่งหวังจะ รับแต่พระพรให้ตนเอง ไม่ต้องการเหลือเผื่อใคร เป็นเพราะความเห็นแก่ตัว หยิ่งยโส จองหองของชาวอิสราเอลที่ทำให้ไม่ยอมเอื้อเฟื้อแบ่งปันพระพรไปให้คนต่างชาติ เช่นกัน ผมก็เชื่อว่าเป็นเพราะความเห็นแก่ตัว หยิ่งยโสจองหองที่กีดกั้นเรา ในการนำ ข่าวประเสริฐเรื่องความรอดที่พระเจ้ามอบให้ไปสู่ผู้อื่น เพื่อเขาจะได้กลับใจและยอมรับ เอาพระบุตรเป็นพระผู้ช่วยให้รอด
ลองคิดดูเล่นๆว่า สมมุติพระเจ้าเรียกให้คุณทุ่มเทชีวิตของคุณเพื่อการคิดค้นตัวยา สำหรับมารักษาโรคเอดส์ หรือให้คุณไปทำงานพันธกิจกับผู้ที่ติดเชื้อเอดส์ คุณอาจ ประท้วงว่า "อันที่จริง คนพวกนี้สมควรตาย " ความจริงก็คือ มีหลายคนที่ติดเชื้อเอดส์ ไม่ได้เป็นเพราะความส่ำส่อน — แต่อาจติดมาจากสามี จากการถ่ายเลือด หรือทารก ที่ติดมาจากบิดามารดาที่มีเชื้อ
เราหลายคนก็เป็นเหมือนโยนาห์ เราสมน้ำหน้าพวกติดเชื้อเอดส์ ถึงแม้พวกเขา เป็นเหยื่อบริสุทธิ์ผู้เคราะห์ร้ายก็ตาม โยนาห์เอง ก็อยากเห็นเมืองนีนะเวห์พินาศไปทั้ง เมือง ถึงแม้ว่าในท่ามกลางจำนวน 120,000 จะมีเด็กที่บริสุทธิ์หรือพวกสัตว์ต่างๆก็ตาม โยนาห์ไม่ได้มองดูเฉพาะการพิพากษาผู้ทำชั่ว แต่ต้องการให้ผู้บริสุทธิ์ทั้งหลายที่นั่นได้ ถูกลงโทษไปพร้อมๆกัน (สำหรับโยนาห์ การเป็นคนต่างชาติก็เป็นบาปที่สาสมแล้ว และ โดยมาตรฐานของท่าน ชาวนีนะเวห์ทั้งหมด ควรจะพินาศไปในความบาป) แต่ ความจริงก็คือ คนชั่วทั้งหลายกลับใจจากความบาปเมื่อผู้เผยพระวจนะท่านนี้ไปประกาศ พระเจ้าไม่เพียงปรารถนาจะช่วยผู้บริสุทธิ์เท่านั้น บรรดาผู้ประพฤติชั่วด้วย แต่โยนาห์ไม่ คิดเช่นนั้น
คนบาปทุกคนสมควรตาย (ค่าจ้างของความบาปคือความตาย) ซึ่งรวมถึงเราทุกคนด้วย มันน่าทึ่งไหมครับที่ความบาปทางเพศ (มักถูก) บรรดาคริสเตียนตัดสินพิพากษาก่อน เพื่อน แต่บาปความหยิ่งผยองมักถูกมองข้าม และบางครั้งยังได้รับการยกย่องว่า ดูเป็น ผู้ดีไปเสียอีก อย่าลืมว่าพระเจ้ามาตามหาเพือช่วยผู้หลงหาย — คือผู้ที่บรรดาผู้นำ ทางศาสนา หรือผู้ชอบธรรมทั้งหลายรังเกียจไม่อยากจะแตะต้อง ถ้าไม่โดยพระคุณแล้ว เราทั้งหลายก็คือคนบาปที่สมควรได้รับการลงโทษ และเหวี่ยงไปให้ไกลจากพระพักตร์ ของพระเจ้าผู้บริสุทธิ์ทั้งสิ้น ที่แน่ๆคือเราทั้งหลายที่ได้รับพระคุณนั้น สมควรจะเป็นพวก แรกที่ออกไปแสวงหาผู้หลงหายและแบ่งปันพระพรแห่งความรอดให้แก่ผู้อื่น
(4) พระคุณพระเจ้ามาสู่มนุษย์โดยทางพระเยซูคริสต์ พระคุณพระเจ้าสำแดง ต่อมนุษย์โดยผ่านทางองค์พระเยซูคริสต์ ผู้ทรงสัญญาว่าทุกคนที่เชื่อและวางใจจะมี ชีวิตนิรันดร์ สิ่งที่คุณต้องทำคือ "ยอมรับ" ว่าคุณต้องการ ว่าุคุณเป็นคนบาปที่ไม่สมควร ได้รับพระพร และรับพระคุณโดยทางพระเยซูคริสต์ โดยความเชื่อในพระเยซูคริสต์ บาปของเราก็จะได้รับการอภัย และได้รับการยอมรับว่าเป็นผู้ชอบธรรมในสายพระเนตร พระเจ้า โดยความเชื่อในพระคริสต์เราจะได้รับพระคุณของชีวิตนิรันดร์
ไม่มีคำใดที่เหมาะสมกับความเมตตาที่พระเจ้ามีต่อมนุษย์นอกจากคำว่า "พระคุณ" พระเยซูเป็นพระคุณของพระเจ้าในรูปแบบของพระบุคคลที่ส่งลงมาเพื่อมนุษย์ (ยอห์น 1:14, 17; 2 ทิโทธี 1:9; 2:1; ติตัส 2:11). ความรอดคือของประทานจากพระคุณ ที่พระเจ้าให้แ่ก่มนุษย์ที่ทำบาป การให้อภัยต่อบาปและจัดเตรียมชีวิตนิรันดร์ให้ (กิจการ 14:13; 20:24, 32; โรม 1:5; 3:24; เอเฟซัส 2:8; โคโลสี 1:6; ติตัส 3:7; 1 เปโตร 5:12). เราเติบโตอยู่ในพระคุณ (2 เปโตร 3:18; ฮีบรู 13:9). เราทั้งหลายรอดปลอด ภัยอยู่ในพระคุณพระเจ้า (โรม 5:12) เมื่อเราอธิษฐาน เรากำลังเข้าเฝ้าอยู่หน้า "พระบัลลังแห่งพระคุณ" (ฮีบรู 4:16). เมื่อเรารับใช้เรารับใช้ด้วยพระคุณ (เอเฟซัส 4:7; 1 เปโตร 4:10), และเราดำเนินชีวิตทั้งสิ้นอยู่บนมาตรฐานแห่งพระคุณ (เอเฟซัส 4:29; โคโลสี 4:6).
ขอให้พระคุณพระเจ้านั้นมีค่ายิ่งสำหรับคุณ เป็นพื้นฐานของการนมัสการพระเจ้า ไม่ใช่ ไปประท้วงทวงบุญคุณเหมือนดั่งโยนาห์
18 คำว่า "ถูกคว่ำ" รุนแรงมากสำหรับโยนาห์ คำนี้ใช้เกี่ยวข้องกับเมื่อมีการทำลาย ล้างเมืองโสดม โกโมราห์ (ปฐก. 19:21, 25, 29). และยังถูกใช้ ในบทเพลงของ โมเสสเมื่อพระเจ้าทรงคว่ำปฏิปักษ์คืออียิปต์ลงในอพยพ (อพยพ 15:7). และใช้ใน เฉลยธรรมบัญญัติ 29:23 เกี่ยวคำเตือนของพระเจ้าเรื่องการพิพากษาชาวอิสราเอล ประชากรของพระองค์ที่เพิกเฉยต่อพระบัญญัติ ซึ่งปรากฎอยู่ทั้งใน 2 ซามูเอล 10:3; 1พงศาวดาร 19:3.
19 "ก่อนที่โยนาห์จะมายังเมืองที่ดูเหมือนป้อมปราการอันแข็งแกร่งนี้ เคยมีเหตุภัย พิบัติจู่โจมมาแล้วถึงสองครั้ง (ในปี 765 และ 759 กคศ.) และมีสุริยุปราคาเต็มดวง เกิดขึ้นในวันที่ 15 มิถุนายน ปี 763 ซึ่งเป็นหมายเตือนถึงพระพิโรธของพระเจ้า และ อาจเป็นคำอธิบายได้ว่าทำไมชาวนีนะเวห์ถึงกลับใจในทันทีที่ได้ยินจากโยนาห์ตอน ประมาณปี 759." John Hannah, The Bible Knowledge Commentary (Wheaton: Victor Books, 1985), Vol. 1พระคัมภีร์เดิมหน้า 1462.