หลายปีมาแล้วตอนที่ผมยังเรียนอยู่วิทยาลัยพระคริสตธรรม สังเกตุเห็นเพื่อนนักเรียนบางคนพยายามเอาตัวเข้าไปใกล้ชิดสนิทสนมกับโป รเฟสเซอร์หรืออาจารย์ที่เขาชื่นชมเป็นพิเศษ พวกเขาจะมีความสุขและดีใจมากถ้าอาจารย์ท่านนั้นเชิญไปบ้าน ไปทานข้าวหรือแค่ไปนั่งดื่มกาแฟ หรือถ้าอาจารย์เอามือโอบบ่าแล้วถามว่า “เป็นอย่างไรบ้าง?” ซึ่งบางคนก็ได้รับประสบการณ์เช่นนี้ ในขณะที่อีกหลายคนไม่ได้ บางคนอาจผิดหวังเพราะหวังจะได้รับความใกล้ชิดในฐานะพี่เลี้ยงน้องเลี้ยง ไม่ใช่ว่าจะไม่เคยมี แต่อาจเกิดขึ้นไม่บ่อยนัก ไม่เป็นอย่างที่บางคนคาดหวัง
ตอนเตรียมบทเรียนนี้ ผมคิดถึงยอห์นผู้ให้บัพติศมาและความสัมพันธ์ของเขากับพระเยซู ยอห์นน่าจะเป็นคนที่ค่อนข้างสันโดษ อาศัยอยู่ในพื้นที่ห่างไกล มีสาวกวงในไม่กี่คนที่มีสามัคคีธรรมด้วย มันจะดีแค่ไหนถ้ายอห์นได้มีโอกาสนั่งลงข้างเตาผิงสนทนาอย่างเป็นกันเองกับ พระเยซู มีพระเยซูโอบบ่าแล้วถาม “งานรับใช้เป็นอย่างไรบ้างยอห์น?”
มันยากที่จะรับว่าจริงๆแล้วยอห์นแทบไม่ได้มีปฏิสัมพันธ์กับพระเยซู เท่าที่เรารู้ทั้งคู่เคย “พบ” กันตอนที่ยังอยู่ในครรภ์มารดา (ลูกา 1:39-55) แต่ไม่รู้เอามานับได้หรือเปล่า (เพราะยอห์นที่อยู่ในครรภ์เอลีซาเบธดิ้นเมื่อนางมารีย์มาเยี่ยม) แล้วก็มาพบกันตอนพระเยซูมาขอรับบัพติศมาจากยอห์น (มัทธิว 3:13-17) แต่ทั้งหมดนี้ทั้งคู่แทบไม่ได้พูดคุยกันเลย อย่าลืมว่ายอห์นถูกจับเข้าคุกตั้งแต่ตอนต้นพระราชกิจของพระเยซู จึงหมดโอกาสที่จะได้พบปะพูดคุยกันหลังจากนั้น
บิดามารดาของยอห์นคงแจ้งให้ท่านทราบถึงภารกิจในชีวิตของท่าน ตามที่ทูตองค์หนึ่งของพระเจ้ามาแจ้งแก่เศคาริยาห์ผู้เป็นบิดา:
11มีทูตสวรรค์องค์หนึ่งของ องค์พระผู้เป็นเจ้ามาปรากฏแก่เศคาริยาห์ยืนอยู่ที่ข้างขวา แท่นเผาเครื่องหอมนั้น 12เมื่อเศคาริยาห์เห็นก็ตกใจกลัว 13แต่ทูตสวรรค์องค์นั้นกล่าวแก่ท่านว่า“เศคาริยาห์เอ๋ยอย่า กลัวเลย เพราะพระองค์ทรงฟังคำอธิษฐานของท่านแล้วนางเอลีซาเบธภรรยา ของท่านจะให้กำเนิดบุตรชายท่านจงตั้งชื่อบุตรนั้นว่ายอห์น 14ท่านจะมีความยินดีและเปรมปรีดิ์และคนจำนวนมากจะชื่นชม ยินดีที่บุตรนั้นเกิดมา 15เพราะว่าเขาจะเป็นใหญ่เฉพาะพระพักตร์องค์พระผู้เป็นเจ้าเขา จะไม่ดื่มน้ำองุ่นหมักและเหล้าเลยและเขาจะเต็มเปี่ยมด้วย พระวิญญาณบริสุทธิ์ตั้งแต่อยู่ในครรภ์มารดา 16เขาจะนำพงศ์พันธุ์อิสราเอลหลายคนให้หันกลับมาหา องค์พระผู้เป็นเจ้าผู้เป็นพระเจ้าของพวกเขา 17เขาจะนำหน้าพระองค์ด้วยจิตวิญญาณและฤทธิ์เดชของเอลียา ห์ให้พ่อกลับคืนดีกับลูกและให้คนดื้อด้านกลับได้ปัญญาของคน ชอบธรรมเพื่อจัดเตรียมชนชาติหนึ่งไว้ให้พร้อมสำหรับ องค์พระผู้เป็นเจ้า” (ลูกา 1:11-17)2
ยอห์นจึงเข้าใจดี ท่านต้องทำหน้าที่ให้คำพยากรณ์ของมาลาคีเกี่ยวกับผู้จัดเตรียมหนทางให้กับพระเมสซิยาห์สำเร็จ (มาลาคี 3:1-3, 4:5-6) ยอห์นไปประกาศถึงการเสด็จมาของพระเมสซิยาห์โดยยังไม่ทราบแน่ชัดว่าคือผู้ใดจนกระทั่งได้ให้บัพติศมาพระเยซู:
30พระองค์นี้แหละที่ข้าพเจ้ากล่าว ว่า ‘ภายหลังข้าพเจ้าจะมีผู้หนึ่งที่ยิ่งใหญ่กว่าข้าพเจ้าเสด็จ มา เพราะว่าพระองค์ทรงดำรงอยู่ก่อนข้าพเจ้า’ 31ข้าพเจ้าเองไม่รู้จักพระองค์แต่เพื่อให้พระองค์เป็นที่ ประจักษ์แก่อิสราเอลข้าพเจ้าจึงให้บัพติศมาด้วยน้ำ” 32และยอห์นกล่าวเป็นพยานว่า “ข้าพเจ้าเห็นพระวิญญาณเสด็จลงมาจากสวรรค์เหมือนดังนกพิราบ และสถิตกับพระองค์ 33ข้าพเจ้าเองไม่รู้จักพระองค์แต่พระองค์ผู้ทรงใช้ข้าพเจ้า มาให้บัพติศมาด้วยน้ำได้ตรัสกับข้าพเจ้าว่า ‘เมื่อเห็นพระวิญญาณเสด็จลงมาสถิตอยู่กับคนใดคนนั้นแหละจะ เป็นคนให้บัพติศมาด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์’ 34และข้าพเจ้าก็เห็นแล้วและเป็นพยานว่าพระองค์นี้แหละเป็น พระบุตรของพระเจ้า”(ยอห์น 1:30-34)
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อพระเยซูรับบัพติศมาทำให้ยอห์นเข้าใจ พระเยซูคือพระเมสซิยาห์ ไม่ต้องสงสัย และยอห์นประกาศอย่างชัดเจนต่อผู้ที่มาฟัง รวมถึงสาวกของท่านเองด้วย:
35รุ่งขึ้นยอห์นยืนอยู่ที่นั่นอีก กับศิษย์ของท่านสองคน 36และท่านมองดูพระเยซูขณะที่พระองค์เสด็จผ่านไปและท่านกล่าว ว่า“จงดูพระเมษโปดกของพระเจ้า” 37ศิษย์สองคนนั้นได้ยินท่านพูดอย่างนี้ก็ติดตามพระเยซูไป (ยอห์น 1:35-37)
เวลาผ่านไปหลังจากเหตุการณ์สำคัญที่เกิดขึ้นเมื่อพระเยซูรับบัพติศมา ยอห์นพบว่าตนเองถูกจับขังคุกท่านยืนหยัดต่อต้านความบาป ซึ่งกระตุกต่อมสนใจของเฮโรด ตอนนี้ยอห์นรับรู้แค่ที่สาวกเล่าให้ฟัง พระเยซูทรงออกเทศนาและสั่งสอน ว่าไปแล้วเรื่องแบบนี้คงไม่ได้อยู่ใน “สคริปต์” ที่ยอห์นคิดไว้
พระเยซูและยอห์นนั้นต่างกันมาก และความต่างนี้ทำให้ยอห์นรู้สึกไม่สบายใจ ชุดที่ยอห์นสวมใส่ แน่นอนทำให้ท่านแตกต่างจากผู้คนรอบข้าง แต่พระเยซูทรงดูเหมือนกลมกลืนไปกับผู้คนได้ในเรื่องเสื้อผ้า ยอห์นและสาวกของท่านอดอาหารเป็นประจำ (“ไม่ได้กินหรือดื่ม”) ในขณะที่พระเยซูและพวกสาวกทั้งกินและดื่ม (อย่างน้อย) กับพวกคนบาป (มัทธิว 11:18-19) ยอห์นไม่ได้ทำหมายสำคัญใดๆในระหว่างที่ท่านเริ่มงานพันธกิจ (ยอห์น 10:41) แต่พระเยซูทรงทำ (และเดี๋ยวนี้สาวกของพระองค์ทำ) การอัศจรรย์ทุกอย่าง (มัทธิว 9:35, 10:1) แต่ตอนนี้ท่านนั่งอยู่ในคุก ถ้าพระเยซูทรงเป็นพระเมสซิยาห์จริงอย่างที่ยอห์นประกาศ ทำไมพระองค์ไม่ทำอะไรบ้าง? ทำไมพระเยซูลืมเรื่องการเสด็จมาจัดตั้งแผ่นดินของพระเจ้าแล้วหรือ?
เมื่ออดทนต่อไปไม่ไหว ยอห์นจึงส่งสาวกของท่านไปถามพระเยซูตามตรง: “ท่านเป็นพระเมสซิยาห์ตามพระสัญญาหรือเปล่า? ชาวยิวควรต้องรับพระองค์ในฐานะพระเมสซิยาห์ หรือว่าพวกเขาต้องคอยผู้อื่น?” พระเยซูเป็นความหวังเดียวของพวกเราหรือ? พี่น้องครับ นี่เป็นคำถามสำคัญที่สุดที่เคยถามหรือเคยตอบ และยังเป็นคำถามสำคัญสำหรับพวกเราที่นี่พอๆกับในสมัยของยอห์นและสาวกของท่าน เมื่อสองพันกว่าปีที่แล้ว ให้เราตั้งใจเรียนพระวจนะจากพระเยซูตอนนี้ให้ดี ดูว่าพระองค์ทรงตอบอย่างไร
1เมื่อพระเยซูตรัสสั่งสาวกสิบสอง คนของพระองค์เสร็จแล้วพระองค์เสด็จจากที่นั่นไปทรงสั่งสอน และทรงประกาศในเมืองของเขา3ทั้งหลาย (มัทธิว 11:1)
ข้อ 1 เป็นตัวเชื่อม เป็นเหมือนบานพับเชื่อมเหตุการณ์ของบทที่ 10 ไปบทที่ 11 หลังจากพระเยซูตรัสสั่งสาวกของพระองค์ให้พวกเขาออกไปทำพันธกิจตามที่ได้รับ มอบหมาย:
1พระองค์ทรงเรียกสาวกสิบสองคนของ พระองค์มาแล้วประทานสิทธิอำนาจให้พวกเขาขับผีโสโครกออกได้ และทรงให้รักษาโรคและความเจ็บป่วยทุกอย่างให้หายได้…5สิบสอง คนนี้ พระเยซูทรงใช้ให้ออกไปและมีรับสั่งพวกเขาว่า “อย่าไปยังที่อยู่ของพวกต่างชาติและอย่าเข้าไปในเมืองของชาว สะมาเรีย 6แต่ว่าจงไปหาแกะหลงของวงศ์วานอิสราเอลนั้นดีกว่า 7จงไปพลางประกาศพลางว่า‘แผ่นดินสวรรค์มาใกล้แล้ว’ (มัทธิว 10:1, 5-7)
เหตุการณ์นี้ในบทที่ 11 เป็นตอนต่อจากที่ส่งสาวกทั้งสิบสองไป ที่น่าสนใจคือแม้ว่าภารกิจที่สาวกต้องไปทำอาจใช้เวลาหลายสัปดาห์หรืออาจถึง เดือน แต่ไม่มีพระกิตติคุณเล่มใดบันทึกว่าเกิดอะไรขึ้นในระหว่างที่สาวกออกไปทำ ภารกิจนั้น นี่เป็นสิ่งที่มนุษย์ให้ความสนใจมาก แต่กลับเป็นเรื่องที่ผู้เขียนพระกิตติคุณทั้งสี่เลือกที่จะไม่บันทึกไว้ ที่จริงคำตรัสของพระเยซูในบทนี้รวบเอาท่าทีการตอบสนองของชาวยิวที่มีต่อพระ ราชกิจของพระองค์และพวกสาวก มัทธิวต้องการให้เรา “ลากเส้นเชื่อมจุดประ” จากบทที่ 10 ไปบทที่ 11 จากส่งสาวกทั้งสิบสองออกไป จนถึงยอห์นผู้ให้บัพติศมา สิ่งที่ยอห์นสงสัย และการตอบสนองต่อข่าวประเสริฐของชาวยิวในกาลิลี4
2ยอห์นซึ่งอยู่ในคุก ได้ยินเกี่ยวกับงานต่างๆ5ของ พระคริสต์ก็ใช้พวกศิษย์ไป 3ทูลถามพระองค์ว่า“ท่านเป็นคนที่จะมานั้น หรือว่าเราจะต้องรอคอยคนอื่น?” 4พระเยซูตรัสตอบพวกเขาว่า“ไปบอกยอห์นในสิ่งที่พวกท่านได้ยิน และได้เห็น 5คือว่าบรรดาคนตาบอดเห็นได้พวกคนง่อยเดินได้บรรดาคนที่เป็น โรคเรื้อนหายสะอาดบรรดาคนหูหนวกได้ยินบรรดาคนตายเป็นขึ้นและ คนยากจนทั้งหลายได้รับข่าวดี 6ใครไม่มีเหตุสะดุดในตัวเราคนนั้นก็เป็นสุข” (มัทธิว 11:2-6)
ขอเริ่มโดยกล่าวว่าปัญหาของยอห์นเรื่องพระเยซูไม่ได้มาจากความไม่เชื่อ แต่อาจมาจากความกังวลว่าพระเยซูยังไม่ได้ทำตามที่พยากรณ์ไว้ในพระคัมภีร์ ผมมั่นใจว่าสิ่งที่ท่านสงสัยนั้นมาจากใจของผู้มีความเชื่อเต็มเปี่ยม เชื่อในพระเจ้าและพระวจนะ ที่ท่านสงสัยไม่ได้เป็นการปฏิเสธพระเจ้าหรือพระวจนะของพระองค์ ที่จริงแล้วความสงสัยของท่านมาจากความเชื่อมั่นคงในพระวจนะ อย่างที่เราทราบ ยอห์นตระหนักดีถึงบทบาทของท่านในฐานะผู้มาเตรียมทางให้พระเมสซิยาห์ เพื่อให้คำพยากรณ์ในอิสยาห์สำเร็จลง (อิสยาห์ 40:3; มัทธิว 3:3) และมาลาคี (3:1-3; 4:4-6; มัทธิว 11:10; ลูกา 1:11-17)
ยอห์นยังคุ้นเคยกับพระวจนะตอนอื่นๆที่กล่าวถึงการเสด็จมาด้วยพระราชอำนาจ ของพระเมสซิยาห์ เพื่อจัดการกับศัตรู และจัดตั้งอาณาจักรของพระองค์:
1เหตุใดบรรดาประชาชาติจึงคิดกบฏ?
ทำไมชาวประเทศทั้งหลายคิดลมๆ แล้งๆ?
2บรรดากษัตริย์แห่งแผ่นดินโลกตั้งตนเองขึ้น
และนักปกครองปรึกษากัน
ต่อสู้พระยาห์เวห์กับผู้รับการเจิมของพระองค์กล่าวว่า
3“ให้เราหักโซ่ตรวน
และสลัดเครื่องจำจองของเขาให้พ้นจากเราเถิด”
4พระองค์ผู้ประทับในสวรรค์ทรงพระสรวล
องค์เจ้านายทรงเย้ยหยันเขาเหล่านั้น
5แล้วตรัสกับเขาทั้งหลายด้วยความกริ้ว
และด้วยความเดือดดาลก็ทรงทำให้เขาหวาดกลัว ตรัสว่า
6“เราเองได้ตั้งกษัตริย์ของเราไว้แล้ว
บนศิโยน ภูเขาบริสุทธิ์ของเรา”
7ข้าพเจ้าจะบอกถึงกฎเกณฑ์ของพระยาห์เวห์
พระองค์ตรัสกับข้าพเจ้าว่า “เจ้าเป็นบุตรของเรา วันนี้เราให้กำเนิดเจ้าแล้ว
8จงขอจากเราเถิด และเราจะมอบบรรดาประชาชาติให้เป็นมรดกของเจ้า
ตลอดจนแผ่นดินโลกให้เป็นกรรมสิทธิ์ของเจ้า
9เจ้าจะตีพวกเขาให้แตกด้วยคทาเหล็ก
และฟาดให้แหลกเป็นชิ้นๆ ดุจภาชนะของช่างปั้นหม้อ”
10เพราะฉะนั้น กษัตริย์ทั้งหลายเอ๋ย จงฉลาดเถิด
บรรดาผู้ปกครองแห่งแผ่นดินโลกเอ๋ย จงรับคำเตือนเถิด
11จงปรนนิบัติพระยาห์เวห์ด้วยความยำเกรง
และจงเปรมปรีดิ์จนเนื้อเต้น
12จงจุมพิตพระบุตร
หาไม่ พระองค์จะกริ้ว และเจ้าต้องพินาศจากทางนั้น
เพราะความกริ้วของพระองค์จุดให้ลุกได้รวดเร็ว
ทุกคนที่เข้ามาลี้ภัยในพระองค์ก็เป็นสุข(สดุดี 2:1-12)
เมื่อยอห์นพูดถึงการเสด็จมาของพระเมสซิยาห์ ท่านพูดว่าพระองค์จะเสด็จมาพร้อมด้วยฤทธิอำนาจ และด้วยการพิพากษา เช่นเดียวกับคำพยากรณ์ในพระคัมภีร์เดิมที่พูดถึงการเสด็จมาของพระองค์:
11ข้าพเจ้าให้ท่านรับบัพติศมา ด้วยน้ำ แสดงว่ากลับใจใหม่ก็จริงแต่พระองค์ผู้จะมาภายหลังข้าพเจ้า ทรงยิ่งใหญ่กว่าข้าพเจ้าซึ่งข้าพเจ้าไม่คู่ควรแม้แต่จะถือ ฉลองพระบาทของพระองค์ พระองค์จะทรงให้พวกท่านรับบัพติศมาด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์และด้วยไฟ 12พระองค์ทรงถือพลั่วอยู่ในพระหัตถ์แล้วและจะ ทรงชำระลานข้าวของพระองค์ให้ทั่วพระองค์จะทรงรวบรวม เมล็ดข้าวของพระองค์ไว้ในยุ้งฉางแต่พระองค์จะทรงเผาแกลบด้วย ไฟที่ไม่มีวันดับ” (มัทธิว 3:11-12)
ยอห์นเป็นผู้เผยพระวจนะ จึงเป็นผู้ที่ได้รับการดลใจ ท่านพูดด้วยสิทธิอำนาจของพระเจ้า แต่ในฐานะผู้เผยพระวจนะ ท่านต้องทนทุกข์จากปัญหาเดียวกับที่ผู้เผยพระวจนะคนอื่นๆในพระคัมภีร์เดิม เผชิญ – ท่านไม่ได้รู้ทุกสิ่ง!
10พวกผู้เผยพระวจนะผู้ได้พยากรณ์ ถึงพระคุณซึ่งจะเกิดแก่พวกท่านก็ได้เสาะหาและสืบค้นอย่าง ถี่ถ้วนเกี่ยวกับเรื่องความรอดนี้ 11พวกเขาได้สืบหาบุคคลและเวลาซึ่งพระวิญญาณของพระคริสต์ผู้ สถิตอยู่ในพวกเขาได้ทรงแจ้งไว้ โดยทรงบอกล่วงหน้าถึงความทุกข์ทรมานของพระคริสต์และพระสิริ ที่จะมาภายหลังความทุกข์เหล่านั้น 12พระองค์ทรงเผยให้ผู้เผยพระวจนะเหล่านั้นทราบว่าพวกเขา ไม่ได้ปรนนิบัติตัวเองในเรื่องเหล่านี้ แต่ปรนนิบัติพวกท่าน บัดนี้เรื่องเหล่านี้ถูกประกาศแก่พวกท่านทางผู้ประกาศข่าว ประเสริฐ โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่ประทานจากสวรรค์ เรื่องเหล่านี้เป็นสิ่งซึ่งพวกทูตสวรรค์ปรารถนาจะได้ดู (1เปโตร 1:10-12)
ผู้เผยพระวจนะในพระคัมภีร์เดิม (เช่นเดียวกับผู้เผยพระวจนะแท้ทั้งในพระคัมภีร์เดิมและพระคัมภีร์ใหม่) ได้รับการดลใจจากพระเจ้าให้ทราบบางส่วนของแผนการหรือเหตุการณ์ใหญ่ เป็นส่วนหนึ่งของจิ๊กซอว์ พวกเขาไม่เห็นหรือรู้ถึงภาพรวมทั้งหมดของคำพยากรณ์ – อย่างน้อยที่เข้าใจได้ทั้งหมด และอย่างที่เปโตรกล่าว พวกเขาสืบเสาะหาบุคคลและเวลา เพื่อจะได้เข้าใจความหมาย แต่ที่สุดแล้ว พวกเขาต้องยอมหยุด และเข้าใจว่าคำพยากรณ์เหล่านี้จะเป็นจริงในอนาคต ดังนั้นพวกเขาจึงกำลังปรนนิบัติผู้อื่น เช่นพวกเราและคนในยุคที่คำพยากรณ์นั้นจะเกิดขึ้นเป็นจริง
ยอห์นจึงเป็นทุกข์เพราะอาการที่ผมขอเรียกว่า “ปัญหาแห่งความสับสน” ตอนนั้นยอห์นไม่อาจแยกแยะได้ระหว่างคำพยากรณ์ที่พูดถึงการเสด็จมาครั้งแรก และครั้งที่สองของพระเมสซิยาห์ การเสด็จมาครั้งแรกตามคำพยากรณ์พูดถึงการถูกปฏิเสธโดยมนุษย์และการสละพระ ชนม์ชีพเพื่อชดใช้โทษบาปของเรา – เช่นคำพยากรณ์ในสดุดี 22 และอิสยาห์ 52:13 – 53:12 การเสด็จมาครั้งที่สองอยู่ในคำพยากรณ์อย่าง สดุดี 2 และมาลาคี 3:1-3 ยอห์นต้องต่อสู้เพราะพระเยซูไม่ได้เติมเต็มตามคำพยากรณ์ที่พูดถึงการเสด็จมา ครั้งที่สองของพระเมสซิยาห์ ตอนนี้เราถึงเข้าใจว่าทำไม เป็นปัญหาที่เวลาเท่านั้นแก้ไขได้
ในอีกมุม“ปัญหาความสับสน” ในพระเจ้าก็เกิดขึ้นในท่ามกลางสาวกของยอห์น:
14แล้วบรรดาสาวกของยอห์นมาหา พระเยซูทูลว่า“ทำไมเราและพวกฟาริสีถืออดอาหาร แต่พวกสาวกของท่านไม่ถือ?”15พระเยซูจึงตรัสกับเขาว่า “บรรดาแขกรับเชิญจะโศกเศร้าเมื่อเจ้าบ่าวยังอยู่กับพวกเขา หรือ?แต่วันหนึ่งเจ้าบ่าวจะถูกพรากไปจากเขาและเมื่อนั้น พวกเขาจะถืออดอาหาร 16ไม่มีใครเอาชิ้นผ้าทอใหม่มาปะเสื้อเก่าเพราะว่าผ้าที่ปะ เข้านั้นเมื่อหดจะทำให้เสื้อเก่าขาดกว้างออกไปอีก 17และเขาทั้งหลายไม่เอาเหล้าองุ่นหมักใหม่ มาใส่ในถุงหนังเก่าถ้าทำอย่างนั้นถุงหนังจะขาด น้ำองุ่นจะรั่วทั้งถุงหนังก็จะเสียไปด้วยแต่เขาย่อมเอา น้ำองุ่นหมักใหม่ใส่ในถุงหนังใหม่แล้วทั้งคู่ก็จะอยู่ใน สภาพดี” (มัทธิว 9:14-17)
ในบทที่ 9 พระเยซูอธิบายถึง ““ปัญหาความสับสน” ในพระเจ้าอย่างอ้อมๆ เปรียบเทียบน้ำองุ่นหมักใหม่ (พระกิตติคุณ หรือพันธสัญญาใหม่) ใส่ในถุงหนังเก่า (พันธสัญญาเดิม) พวกเขาอาจนึกภาพตาม แต่ไม่เข้าใจว่าเป็นสัญลักษณ์ของอะไร เพราะพวกเขายังอยู่ห่างไกลจากกางเขน ยังอยู่กับธรรมบัญญัติเดิม
คำตอบที่พระเยซูตอบยอห์นนั้นเรียบง่ายและตรงไปตรงมา:
4พระเยซูตรัสตอบพวกเขาว่า“ไปบอก ยอห์นในสิ่งที่พวกท่านได้ยินและได้เห็น 5คือว่าบรรดาคนตาบอดเห็นได้ พวกคนง่อยเดินได้บรรดาคนที่เป็นโรคเรื้อนหายสะอาด บรรดาคนหูหนวกได้ยิน บรรดาคนตายเป็นขึ้น และคนยากจนทั้งหลายได้รับข่าวดี 6ใครไม่มีเหตุสะดุดในตัวเราคนนั้นก็เป็นสุข” (มัทธิว 11:4-6)
พระเยซูบอกสาวกของยอห์นให้ไปบอกท่านในสิ่งที่ได้ยิน และได้เห็น พวกเขาได้ยินอะไร? พวกเขาคงได้ยินซ้ำแล้วซ้ำอีกว่า “จงกลับใจใหม่ เพราะว่าแผ่นดินสวรรค์มาใกล้แล้ว” (มัทธิว 4:17; 10:7ดูมาระโก 6:12 ด้วย) เป็นถ้อยคำเดียวกับที่พวกเขาและยอห์นประกาศออกไป อาจเคยได้ยินบางตอนจากคำเทศนาบนภูเขา จากพระดำรัสของพระเยซู อาจได้ยินข่าวประเสริฐที่ประกาศไปแก่คนยากจน นอกจากได้ยินยังคงได้เห็นการอัศจรรย์ทุกอย่าง – คนตาบอดเห็นได้ คนง่อยเดินได้ คนโรคเรื้อนหายสะอาด คนหูหนวกได้ยิน และคนตายเป็นขึ้นมา ทุกอย่างเป็นหมายสำคัญว่าพระเยซูทรงเป็นพระเมสซิยาห์ หมายสำคัญที่พยากรณ์ไว้ล่วงหน้าแล้ว:
18และในวันนั้นบรรดาคนหูหนวกจะได้ยินถ้อยคำของหนังสือม้วน
และตาของคนตาบอดจะมองเห็นจากความเลือนรางและความมืด
19คนใจถ่อมจะเพิ่มพูนความชื่นบานในพระยาห์เวห์
และคนยากจนท่ามกลางมนุษย์จะยินดีในองค์บริสุทธิ์ของอิสราเอล (อิสยาห์ 29:18-19)
4จงกล่าวกับคนที่มีใจหวาดกลัวว่า
“จงเข้มแข็งเถอะและอย่ากลัวเลยดูสิพระเจ้าของท่านทั้งหลาย
พระองค์จะเสด็จมาด้วยการแก้แค้นด้วยการตอบแทนของพระเจ้า
พระองค์จะเสด็จมาและจะช่วยท่านให้รอด”
5แล้วตาของคนตาบอดจะได้เห็น
และหูของคนหูหนวกจะได้ยิน
6คนง่อยจะกระโดดอย่างกวาง
และลิ้นของคนใบ้จะโห่ร้องยินดี
เพราะน้ำจะพลุ่งขึ้นมาในถิ่นทุรกันดาร
และลำธารเกิดขึ้นในที่ราบแห้งแล้ง (อิสยาห์ 35:4-6)
1พระวิญญาณของพระยาห์เวห์องค์เจ้านายทรงอยู่เหนือข้าพเจ้า
เพราะว่าพระยาห์เวห์ทรงเจิมข้าพเจ้าไว้
เพื่อนำข่าวดีมายังคนที่ทุกข์ใจ
พระองค์ทรงส่งข้าพเจ้าไปเพื่อปลอบโยนคนชอกช้ำใจ
และเพื่อประกาศอิสรภาพแก่บรรดาเชลย
ทั้งประกาศการเปิดเรือนจำแก่ผู้ที่ถูกจำจอง
2เพื่อประกาศปีแห่งความโปรดปรานของพระยาห์เวห์
และประกาศวันแห่งการแก้แค้นของพระเจ้าของพวกเรา
เพื่อชูใจทุกคนที่ไว้ทุกข์
3เพื่อจัดเตรียมให้กับพวกที่ไว้ทุกข์ในศิโยน
คือให้มงกุฎแทนขี้เถ้าแก่พวกเขา
และให้น้ำมันแห่งความยินดีแทนการไว้ทุกข์
เสื้อคลุมแห่งการสรรเสริญแทนจิตวิญญาณที่ท้อแท้
แล้วคนจะเรียกพวกเขาว่าต้นโอ๊กแห่งความชอบธรรม
ที่พระยาห์เวห์ทรงปลูกไว้เพื่อสำแดงพระสิริของพระองค์ (อิสยาห์ 61:1-3)
ยอห์นไม่สบายใจเพราะกังวลเกี่ยวกับคำพยากรณ์ของพระเมสซิยาห์ (ในส่วนการเสด็จมากครั้งที่สอง) ดูเหมือนพระราชกิจของพระเยซูไม่ได้เป็นไปตามนั้น พระเยซูไม่ได้พยายามอธิบายทั้งหมดให้ยอห์นฟัง เพียงให้ยอห์นหันกลับมาดูสิ่งที่พระองค์ทำและคำสอนของพระองค์ เพื่อเตือนยอห์นว่าทั้งหมดนี้เติมเต็มคำพยากรณ์ที่เกี่ยวกับการเสด็จมาของ พระเมสิยาห์แล้ว– ครั้งแรก
ความสงสัยของยอห์น และคำตอบของพระเยซูทำให้ผมนึกถึงโยบ ประสบการณ์ความทุกข์ของโยบดูจะไม่สมเหตุผลกับคำอธิบายของเพื่อนๆ หรือแม้แต่ความเข้าใจของโยบเองว่าพระเจ้าทำงานอย่างไรในชีวิตคน โยบเหมือน “ท้าวสะเอว” อยู่พักใหญ่ คาดหวังคำอธิบายจากพระเจ้า พระเจ้าไม่ได้อธิบายในรายละเอียด (เรื่องบนสวรรค์ เรื่องบทเรียนที่ได้รับ เรื่องซาตานมาฟ้อง ฯลฯ) พระองค์เพียงชี้ให้เห็นว่าพระองค์คือพระเจ้า พระเจ้าผู้ทรงอำนาจอธิปไตย เมื่อโยบครุ่นคิดเรื่องนี้ ท่านจึงเงียบเสียง ไม่ประท้วงต่อ มีแต่สารภาพ พระเจ้าทรงเป็นพระเจ้า ทรงมีสิทธิทำตามพระประสงค์ โยบคิดว่าตนเองเป็นใครที่กล้าไปถามเรื่องวิธีทำงานของพระเจ้าบนโลก โลกที่พระองค์เป็นผู้เนรมิตสร้าง? เมื่อรู้ว่าพระเจ้าทรงเป็นพระเจ้า แค่นั้นก็พอสำหรับโยบ เท่าที่เรารู้ ท่านไม่เคยรู้พระประสงค์ของพระเจ้าที่ท่านต้องทนทุกข์เลย
สิ่งที่พระเยซูบอกสาวกของยอห์นให้ไปแจ้งแก่ยอห์นเพื่อพิสูจน์ว่าพระองค์ ทรงเป็นพระเมสซิยาห์ตามที่ยอห์นสัญญา ได้ให้บัพติศมา และประกาศพระองค์อย่างเปิดเผย ยอห์นทำในสิ่งที่ว่าไปแล้วเราทุกคนต้องเคยทำ มีความคาดหวังบางอย่างในพระเจ้า พระองค์น่าจะทำอย่างไรในชีวิตผู้คน (คือรู้สึกว่าพระเจ้าน่าจะทำบางอย่างในชีวิตบางคน) ท่านจึงเหมือนท้าทายพระเจ้าในแง่มุมความคาดหวัง ท่านมองเรื่องนี้กลับหัวกลับหาง น่าจะตระหนักได้ว่าพระเยซูทรงเป็นพระเมสซิยาห์ พระเจ้าในสภาพมนุษย์ ถ้าพระเยซูทรงเป็นพระเจ้า ยอห์นก็ควรปรับและเปลี่ยนความคาดหวังในพระองค์ และมั่นใจว่าพระเยซูคือพระเจ้า
เราทุกคนต่างก็เหมือนยอห์น – เมื่อพระเจ้าไม่ได้ทำตามที่เราคาดหวังให้พระองค์ทำ เราก็เริ่มมีคำถาม ถ้าพระเจ้าทรงเป็นพระเจ้าจริง เราก็ควรคาดหวังให้พระองค์ทำงานของพระองค์ในวิธีที่แตกต่างจากความคาดหวัง ของเรา:
7ให้คนอธรรมละทิ้งทางของเขา
และคนชั่วละทิ้งความคิดของเขา
ให้เขากลับมายังพระยาห์เวห์และพระองค์จะทรงเมตตาเขา
และมายังพระเจ้าของพวกเราเพราะพระองค์ทรงมีการอภัยอย่างเหลือล้น
8“เพราะความคิดของเราไม่ใช่ความคิดของเจ้า
และทางของพวกเจ้าก็ไม่ใช่ทางของเรา”
พระยาห์เวห์ตรัสดังนี้แหละ
9“เพราะฟ้าสวรรค์สูงกว่าแผ่นดินโลกอย่างไร
ทางของเราก็สูงกว่าทางของพวกเจ้า
และความคิดของเราก็สูงกว่าความคิดของเจ้าอย่างนั้น
10“เพราะเหมือนฝนและหิมะลงมาจากฟ้าสวรรค์
และไม่กลับที่นั่นเว้นแต่ได้รดแผ่นดินโลก
แล้วทำให้บังเกิดผลและแตกหน่อ
ทั้งให้เมล็ดพืชแก่ผู้หว่านและอาหารแก่คนกิน
11ทำนองเดียวกันคำของเราที่ออกจากปากของเรา
จะไม่กลับมาสู่เราเปล่าๆ
แต่จะทำให้สิ่งที่เราพอใจนั้นสำเร็จ
และให้สิ่งที่เราใช้ไปทำนั้นเสร็จสิ้น (อิสยาห์ 55:7-11)
พระเยซูตรัสถ้อยคำสุดท้ายในข้อ 6 ทรงบอกยอห์นว่าอย่าขัดเคือง (หรือสะดุด) ในเรื่องของพระเยซู ผมเชื่อว่าคำที่ตรัสแนะนำนี้มาจากถ้อยคำของผู้เผยพระวจนะอิสยาห์:
13แต่พระยาห์เวห์จอมทัพนั้นแหละที่พวกท่านต้องถือว่าศักดิ์สิทธิ์
พระองค์ทรงเป็นผู้ที่ท่านต้องกลัว
และทรงเป็นผู้ที่ท่านต้องหวาดหวั่น
14แล้วพระองค์จะเป็นสถานศักดิ์สิทธิ์
แต่ก็จะเป็นหินสะดุด
และเป็นศิลาที่ทำให้เชื้อสายทั้งสองของอิสราเอลหกล้ม
ทั้งเป็นกับดักและเป็นบ่วงแร้วสำหรับชาวเยรูซาเล็ม
15และคนจำนวนมากจะหกล้มเพราะหินนั้น
จะล้มคะมำและแตกหักพวกเขาจะติดบ่วงและถูกจับไป (อิสยาห์ 8:13-15)
ขออย่าให้ยอห์นอยู่ในท่ามกลางผู้ที่สะดุดเพราะพระเมสซิยาห์เลย
7ขณะที่เขาทั้งหลายกลับไปพระเยซู ทรงเริ่มตรัสกับฝูงชนเกี่ยวกับยอห์นว่า“ท่านทั้งหลายออกไปยัง ถิ่นทุรกันดารเพื่อดูอะไร?คงไม่ใช่ดูต้นอ้อไหวเมื่อถูก ลมพัดหรอกนะ 8แล้วท่านออกไปดูอะไร? ดูคนที่นุ่งห่มผ้าเนื้อดีหรือ? นี่แน่ะคนที่นุ่งห่มผ้าเนื้อดีก็อยู่ในราชวัง 9แล้วพวกท่านออกไปดูอะไร? ดูผู้เผยพระวจนะหรือ? แน่ทีเดียวและเราบอกท่านทั้งหลายว่าเขาเป็นยิ่งกว่า ผู้เผยพระวจนะอีก 10คือเป็นผู้นี้ที่พระคัมภีร์เขียนไว้ว่า‘เราจะใช้ทูตของเรา นำหน้าท่านผู้นั้นจะเตรียมมรรคาของท่านไว้ข้างหน้าท่าน’11เรา บอกความจริงกับพวกท่านว่าในบรรดาคนซึ่งเกิดจากผู้หญิงนั้น ไม่มีใครยิ่งใหญ่กว่ายอห์นผู้ให้บัพติศมาแต่ว่าผู้ที่ เล็กน้อยที่สุดในแผ่นดินสวรรค์ก็ยังใหญ่กว่ายอห์นอีก 12และตั้งแต่สมัยยอห์นผู้ให้บัพติศมาถึงทุกวันนี้แผ่นดิน สวรรค์ก็ถูกโจมตีอย่างรุนแรงและพวกที่รุนแรงพยายามชิงเอา ให้ได้ 13เพราะว่าพวกผู้เผยพระวจนะและธรรมบัญญัติได้พยากรณ์มาจนถึง ยอห์นนี้ 14ถ้าท่านทั้งหลายจะยอมรับยอห์นผู้นี้แหละคือเอลียาห์ที่จะ มานั้น 15ใครมีหูจงฟังเถิด (มัทธิว 11:7-15)
ถ้ายอห์นมีความสงสัยในพระเยซู พระเยซูไม่มีความสงสัยในยอห์นเลย! ฝูงชนคงได้ยินคำถามที่สาวกของยอห์นถามพระเยซู และคำตอบที่พระองค์ตอบ ขณะที่สาวกของยอห์นเดินทางกลับไปแจ้งแก่ยอห์น พระเยซูทรงใช้โอกาสนี้ตรัสกับฝูงชนถึงยอห์นผู้ให้บัพติศมา พระเยซูทรงทำให้ฝูงชนยอมรับว่าพระองค์ทราบว่าพวกเขาคิดอะไร – คิดว่ายอห์นเป็นผู้เผยพระวจนะ (ดูมัทธิว 21:26) นี่คือสิ่งที่พระเยซูตรัสเกี่ยวกับยอห์น6
“ท่านทั้งหลายออกไปยังถิ่นทุรกันดารเพื่อดูอะไร?ดูพวกโลเล ที่เปลี่ยนไปมาตามกระแสการเมืองหรือ? เราไม่คิดเช่นนั้น บางทีพวกคุณออกไปถึงถิ่นทุรกันดารเพื่อจะดูแฟชั่นล่าสุดสำหรับผู้ชายหรือ? เราต่างก็รู้ว่ามันไม่ใช่ พวกคุณทุกคนรู้ดีว่าสิ่งที่ดึงดูดพวกคุณไปที่ถิ่นทุรกันดารก็เพื่อไปฟัง ยอห์น ซึ่งเป็นการย้ำว่ายอห์นคือผู้เผยพระวจนะแท้ – ผู้ที่พูดแทนพระเจ้า ผู้ที่ถ้อยคำของเขาคือถ้อยคำของพระเจ้า ยอห์นเป็นผู้เผยพระวจนะ แต่ไม่ได้เป็นเพียงผู้เผยพระวจนะ ในความเป็นจริง ท่านเป็นผู้เผยพระวจนะ – เป็นผู้เผยพระวจนะที่ทุกคนรอคอย ผู้เผยพระวจนะที่การปรากฎตัวและพันธกิจของท่านมีการพยากรณ์ไว้ล่วงหน้าโดย ผู้เผยพระวจนะท่านอื่นๆ มาลาคีพูดถึงยอห์นเมื่อเขียนว่า “นี่แน่ะเราส่งทูตของเราไป เพื่อตระเตรียมหนทางไว้ข้างหน้าเรา” ยอห์นเป็นผู้มาเตรียมหนทางล่วงหน้าให้พระเมสซิยาห์ ได้รับสิทธิพิเศษเป็นผู้ประกาศการเสด็จมา และประกาศว่าพระเยซูคือผู้ใด
เพราะบทบาทที่โดดเด่นของยอห์นในฐานะผู้เผยพระวจนะคนสุดท้ายในพระคัมภีร์ เดิม ผู้เผยพระวจนะที่ทำหน้าที่ประกาศพระเมสซิยาห์ให้คนรู้จัก ในบรรดาคนซึ่งเกิดจากผู้หญิงนั้น (จนถึงช่วงเวลานั้น)ไม่มีใครยิ่งใหญ่กว่ายอห์น แต่ว่าถึงมีความโดดเด่นอย่างไรก็ตาม เมื่อมองจากภาพของพระคัมภีร์เดิม – ผู้ที่เล็กน้อยที่สุดในแผ่นดินสวรรค์ก็ยังใหญ่กว่ายอห์นอีก (มัทธิว 11:11)
สำหรับผม ข้อ 12 และ 13 เป็นข้อที่น่าฉงนที่สุดในมัทธิว ในข้อ 12พระเยซูตรัสถึง “ความรุนแรง” ซึ่งน่าจะเป็นภาพที่เกิดขึ้นในสมัยของยอห์นผู้ให้บัพติศมา ความรุนแรงนี้คืออะไร? ผมเชื่อว่ามีบอกไว้ในหนังสือกิจการ และในพระกิตติคุณเล่มอื่นๆ:
33เมื่อพวกเขาฟังแล้วก็โกรธมากคิด กันว่าจะฆ่าพวกอัครทูตเสีย 34แต่มีคนหนึ่งชื่อกามาลิเอล เป็นพวกฟาริสีและเป็นอาจารย์สอนธรรมบัญญัติ เป็นที่นับถือของประชาชนเขายืนขึ้นในสภาแล้วสั่งให้พาพวก อัครทูตออกไปข้างนอกครู่หนึ่ง 35ท่านกล่าวกับพวกเขาว่า “ท่านชนชาติอิสราเอลสิ่งที่ท่านทั้งหลายคิดจะทำกับคน เหล่านี้นั้นจงระวังให้ดี 36เพราะก่อนหน้านี้มีคนหนึ่งชื่อธุดาสซึ่งอ้างตัวว่าเป็นผู้ยิ่งใหญ่มีผู้คนติดตามประมาณสี่ร้อยคน แต่ธุดาสถูกฆ่าและคนที่เป็นพรรคพวกก็กระจัดกระจายสาบสูญไป 37ต่อจากคนนี้มีอีกคนหนึ่งชื่อยูดาส เป็นชาวกาลิลีปรากฏตัวขึ้นในช่วงที่มีการจดทะเบียนสำมะโนครัว เขาเกลี้ยกล่อมผู้คนให้ติดตามเขาไป และ คนนั้นก็พินาศด้วย คนที่เป็นพรรคพวกก็กระจัดกระจาย 38เพราะฉะนั้นในกรณีนี้ ข้าพเจ้าจึงขอบอกพวกท่านว่าจงปล่อยคนเหล่านี้ไปตามเรื่อง อย่าทำอะไรพวกเขาเลยเพราะว่าถ้าความคิดหรือกิจการนี้มาจาก มนุษย์มันจะล่มสลายไปเอง 39แต่ถ้ามาจากพระเจ้าพวกท่านจะไม่สามารถทำลายพวกเขาได้ เกรงว่าพวกท่านกลับจะเป็นฝ่ายสู้รบกับพระเจ้า” (กิจการ 5:33-39)
50พระเยซูตรัสกับเขาว่า“เพื่อนเอ๋ย จงทำตามที่ท่านตั้งใจเถิด” แล้วพวกเขาก็เข้ามาและลงมือจับกุมพระเยซู 51คนหนึ่งที่อยู่กับพระเยซูก็ยื่นมือออกชักดาบฟันหูบ่าวของมหาปุโรหิตขาด 52พระเยซูจึงตรัสกับเขาว่า“เอาดาบของท่านใส่ฝักเสีย เพราะว่าพวกที่ใช้ดาบจะต้องพินาศเพราะดาบ 53ท่านคิดว่าเราจะทูลขอพระบิดาของเราไม่ได้หรือ? และพระองค์ก็จะประทานทูตสวรรค์ให้เรามากกว่าสิบสองกองพลใน ทันที 54แต่ถ้าเป็นอย่างนั้นข้อพระคัมภีร์ที่ว่าจำเป็นจะต้องเป็น อย่างนี้จะสำเร็จได้อย่างไร?” (มัทธิว 26:50-54)
35พระองค์จึงตรัสถามพวกสาวกว่า “เมื่อเราใช้พวกท่านออกไปโดยไม่มีถุงเงินหรือย่ามหรือ รองเท้านั้นท่านขาดอะไรบ้างไหม?” พวกเขาทูลตอบว่า “ไม่ขาดเลย” 36พระองค์จึงตรัสกับเขาว่า “แต่ตอนนี้ใครมีถุงเงินให้เอาไปด้วยมีย่ามก็ให้เอาไป เหมือนกันและคนที่ไม่มีดาบก็ให้ขายเสื้อคลุมของตนไปซื้อดาบ 37เราบอกท่านทั้งหลายว่า สิ่งที่เขียนไว้แล้วจะต้องสำเร็จในเรา คือที่ว่า ‘ท่านถูกนับเข้ากับคนอธรรม’ เพราะว่าสิ่งที่เล็งถึงเรานั้นกำลังจะสำเร็จแล้ว” 38พวกเขาทูลตอบว่า“องค์พระผู้เป็นเจ้า นี่แน่ะ มีดาบสองเล่ม” พระองค์ตรัสกับเขาว่า “พอแล้ว”(ลูกา 22:35-38)
14เมื่อคนทั้งหลายเห็นหมายสำคัญที่ พระองค์ทรงทำพวกเขาจึงพูดกันว่า “แท้จริงท่านผู้นี้เป็นผู้เผยพระวจนะคนนั้นที่จะมาใน โลก”15เมื่อพระเยซูทรงทราบว่าพวกเขาจะมาจับพระองค์ไปตั้งให้เป็นกษัตริย์ พระองค์ก็เสด็จขึ้นไปบนภูเขาอีกตามลำพัง (ยอห์น 6:14-15)
ยุคของยอห์นดูเหมือนการรอคอยพระเมสซิยาห์มาถึงจุดเดือด เหตุการณ์การถือกำเนิดมาของทั้งยอห์นและพระเยซูดูจะเติมเชื้อความกระหาย เรื่องยุคสุดท้ายและการพิพากษา ขณะเดียวกันสถานภาพทางการเมืองในอิสราเอลช่วงนั้นอาจเป็นตัวเร่งสถานการณ์ อีกด้วย ผมมีแนวโน้มเชื่อว่าคำพยากรณ์ของยอห์นอาจไม่ได้เจตนา แต่กลับเติมไฟให้กับเรื่องการเสด็จมาของพระเมสซิยาห์ ทำให้เกิดความรุนแรง บ่อยครั้งต้องใช้กองกำลังมารักษาความสงบ ผู้คนไม่อาจเข้าใจถึงคำสอนและพระราชกิจของพระเยซู ซึ่งยอห์นอาจตกอยู่ในข่ายนี้ แม้แต่พวกสาวกเองก็พร้อมรับมือด้วยอาวุธที่มี (ลูกา 22:35-38)
คำตรัสของพระเยซูในข้อ 12 เกี่ยวกับความรุนแรงใกล้เคียงกับข้อ 13 (ซึ่งขึ้นด้วยคำว่า “เพราะว่า”): “เพราะว่าพวกผู้เผยพระวจนะและธรรมบัญญัติได้พยากรณ์มาจนถึงยอห์นนี้” (มัทธิว 11:13) ทำให้เห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตามลำดับ:
“..พวกผู้เผยพระวจนะและธรรมบัญญัติได้พยากรณ์มาจนถึงยอห์นนี้” (ข้อ 13)
“ตั้งแต่สมัยยอห์นผู้ให้บัพติศมาถึงทุกวันนี้..” (ข้อ 12)
นี่คือความเข้าใจของผมต่อเหตุการณ์ในพระวจนะตอนนี้ ยอห์นผู้ให้บัพติศมามีความสงสัยบางประการเกี่ยวกับความเป็นพระเมสซิยาห์ของ พระเยซู อาจเป็นเพราะพระเยซูไม่ได้เป็นพระเมสซิยาห์ที่ “เข้มข้น” อย่างที่ยอห์นทำนาย คือผู้ที่มาด้วยฤทธิอำนาจการพิพากษาคนบาป พระเยซูตรัสเป็นนัยว่าคนอิสราเอลบางพวกที่ชอบความรุนแรงจะถูกดึงดูดเข้าหา ยอห์น พันธกิจของท่านและข่าวที่ท่านประกาศ ทำไมเป็นเช่นนั้น? หนึ่ง – ดูเหมือนยอห์นเป็นผู้เผยพระวจนะคนเดียวในยุคนั้น ก่อนหน้ามีผู้เผยพระวจนะหลายคนในพระคัมภีร์เดิมที่กล่าวคำพยากรณ์ ส่วนในธรรมบัญญัติก็มีแง่มุมคำพยากรณ์แทรกอยู่ พันธกิจของยอห์นเป็นจุดสำคัญสูงสุดของคำพยากรณ์ทั้งหมดในพระคัมภีร์เดิม ถ้าเรายอมรับแนวคิดเรื่องการทรงเปิดเผยแบบเจาะลึกลงไป (ซึ่งผมยอมรับ) เราก็ต้องเห็นว่าคำพยากรณ์ของยอห์นนั้นมาจนถึงจุดที่เติมเต็มและสมบูรณ์ที่ สุดในบรรดาผู้เผยพระวจนะของพระคัมภีร์เดิม และในบรรดาผู้เผยพระวจนะในพระคัมภีร์เดิมคงไม่มีใครมีโอกาสดีไปกว่ายอห์น
ผมไม่เชื่อว่าพระเยซูต้องการวิพากษ์วิจารณ์ยอห์นหรือพันธกิจของท่าน พระองค์พยายามชี้ให้เห็นว่าความสงสัยของยอห์น มีส่วนสะท้อนถึงจิตวิญญาณของยุคนั้น – ยุคที่ผู้คนร่ำร้องอยากให้พระเมสซิยาห์เสด็จมาด้วยฤทธิอำนาจ มาขับไล่อำนาจการปกครองของโรมัน มาลงโทษคนชั่ว และจัดตั้งอาณาจักรของพระเจ้า ทำให้ยอห์นอดสงสัยไม่ได้ พระเยซูเหมือนไม่ได้เล่นตามบทในสคริปต์ของท่านและคนอื่นๆที่มีภาพพระเม สซิยาห์อยู่ในความคิด
ทำให้นึกถึงโฆษณาเก่าๆในโทรทัศน์ หญิงชราสองคนเข้าไปในร้านอาหารฟาสท์ฟูด คนหนึ่งยกขนมปังขึ้นดูแล้วถามว่า “ไหนล่ะเนื้อ?” ผมคิดว่ายอห์นคงมองพระราชกิจของพระเยซูแล้วถามว่า “ไหนล่ะไฟ?”
ยอห์นอาจมีความสงสัย แต่พระเยซูไม่ทรงสงสัย ก่อนที่ยอห์นจะทันคิดอีกรอบ พระเยซูทรงกล่าวรับรองยอห์นอย่างเต็มตัว
“ถ้าท่านทั้งหลายจะยอมรับยอห์นผู้นี้แหละคือเอลียาห์ที่จะมานั้น 15ใครมีหูจงฟังเถิด” (มัทธิว 11:14-15)
ในพระกิตติคุณยอห์น เราเห็นว่ายอห์นเองก็ปฏิเสธว่าท่านไม่ใช่เอลียาห์:
พวกเขาจึงถามว่า“ถ้าอย่างนั้นท่าน เป็นใคร? ท่านเป็นเอลียาห์หรือ?” ยอห์นตอบว่า “ข้าพเจ้าไม่ใช่เอลียาห์” “ท่านเป็นผู้เผยพระวจนะคนนั้นหรือ?” และยอห์นตอบว่า “ไม่ใช่”(ยอห์น 1:21)
แล้วพระเยซูตรัสว่ายอห์นคือเอลียาห์ได้อย่างไร? ประการแรก– สังเกตุดูพระเยซูทรงกล่าวถ้อยคำนี้โดยมีคำว่า “ถ้าท่านทั้งหลายจะยอมรับยอห์นผู้นี้แหละคือเอลียาห์…” แน่นอนบางคนไม่ได้เห็นแบบนั้น และพระเยซูทรงยอมรับความจริงว่ามีบางคนเท่านั้นที่เห็นด้วย คำตรัสในข้อ 15 จึงเป็นการเน้นถึงพระดำรัสในข้อ 14:
“ใครมีหูจงฟังเถิด” (มัทธิว 11:15)7
ถ้อยคำนี้ถูกนำมาใช้อีกครั้งในมัทธิว 13 (ข้อ 9, 43) เมื่อพระเยซูทรงสั่งสอนด้วยคำอุปมา เพื่อกระตุ้นให้ผู้ฟังคิดลึกลงไปกว่าแค่ผิวเผิน ไม่ใช่เป็นคำพูดท้าทาย แต่ทำให้คนฟังต้องคิดลึกลงไปกว่าตามที่ได้ยิน– และนี่คือจุดหมายของคำอุปมา ไม่ได้มีให้ทุกคนเข้าใจได้ ดังนั้นถ้อยคำของพระเยซูจึงไม่ขัดแย้งกับคำปฏิเสธของยอห์น แต่ในมุมมองว่ายอห์นคือเอลียาห์ในแง่สัญลักษณ์มากกว่า
ผมใช้เวลาคิดถึงเรื่องนี้ และอยากจะแบ่งปันว่า ในบางแง่มุมที่ยอห์นผู้ให้บัพติศมาคือเอลียาห์ ถ้าเราจะยอมรับ ยอห์นเป็นเหมือนเอลียาห์ในภาพลักษณ์ ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ ภาพลักษณ์ของยอห์นนั้นเหมือนเอลียาห์ ทั้งคู่ใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ในที่ห่างไกล ทานอาหารต่างจากคนในยุคของตน ทั้งยอห์นและเอลียาห์ดู “เล็กน้อย” กว่าผู้ที่ท่านพยากรณ์ถึง ยอห์นประกาศชัดเจนว่าพระเยซูทรงยิ่งใหญ่กว่าท่านมาก (มัทธิว 3:11) ส่วนเอลีชา เอลีชาได้รับอำนาจจากเอลียาห์เป็นสองเท่า (2พงศ์กษัตริย์ 2:7-14) เอลียาห์เป็นคน “แรง” เอลีชาน่าจะรักความสงบกว่า เอลียาห์มีความสงสัย เมื่อเหตุการณ์การเผชิญหน้าสำคัญบนภูเขาคารเมลดูไม่เป็นไปตามคาดหวัง พระเจ้าทรงรับเอลียาห์ขึ้นไปบนภูเขาเดียวกับที่โมเสสรับพระบัญญัติของ พระองค์8 และโดยทางเหตุการณ์พิเศษที่ส่งมาให้เอลียาห์ พระเจ้าไม่จำเป็นต้องทำงานในวิธีที่โดดเด่นเสมอไป บางครั้งเพียงแค่ “เสียงเบาๆ” (1พงศ์กษัตริย์ 19:11-18) เอลียาห์มีภาพพจน์ที่ผิดว่า “เขาแต่ผู้เดียวที่เหลืออยู่” (1พงศ์กษัตริย์ 19, 10, 14) เป็นสิ่งเดียวกับที่ยอห์นรู้สึกหรือ? เอลียาห์หวังว่าจะนำประเทศสู่การฟื้นฟู แต่ไม่เป็นไปตามนั้น แต่จะเกิดขึ้นโดยผู้อื่นที่ท่านต้องไปเจิมตั้ง และพระเจ้าจะทรงนำการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ให้กับชนชาติของพระองค์ (1พงศ์กษัตริย์ 19:11-18) ประเด็นของผมคือมีความคล้ายคลึงหลายประการระหว่างยอห์นและเอลียาห์ ผมเชื่อว่า ทั้งคู่นี้คล้ายกัน
6“เราจะเปรียบคนในยุคนี้กับอะไร ดี เปรียบเหมือนเด็กๆ ที่นั่งอยู่กลางตลาด ร้องกับเพื่อนว่า17‘พวกฉันเป่าปี่ให้พวกเธอแต่พวกเธอไม่เต้น พวกฉันคร่ำครวญและพวกเธอไม่ได้ทุกข์โศก’18เพราะว่ายอห์นมาและ ไม่ได้กินหรือดื่มและพวกเขาว่า‘มีผีเข้าสิงอยู่’ 19ส่วนบุตรมนุษย์มาทั้งกินและดื่มเขาก็ว่า‘นี่ไงคนตะกละคนขี้ เมาเพื่อนของบรรดาคนเก็บภาษีและคนบาป’ แต่พระปัญญาได้รับการพิสูจน์ว่าถูกต้องแล้วโดยผลของพระปัญญา นั้น”20แล้วพระองค์ก็ทรงเริ่มติเตียนเมืองต่างๆที่พระองค์ได้ ทรงทำการอัศจรรย์เป็นส่วนมากเพราะพวกเขาไม่ได้กลับใจใหม่ 21“วิบัติแก่เจ้า เมืองโคราซินวิบัติแก่เจ้าเมืองเบธไซดาถ้าการอัศจรรย์ต่างๆซึ่ง ทำท่ามกลางเจ้าทั้งหลายทำในเมืองไทระและเมืองไซดอนคนใน เมืองทั้งสองคงได้นุ่งห่มผ้ากระสอบนั่งบนขี้เถ้ากลับใจใหม่ นานแล้ว 22แต่เราบอกพวกเจ้าว่าในวันพิพากษานั้นโทษเมืองไทระและเมือง ไซดอนจะเบากว่าโทษของพวกเจ้า 23ส่วนเจ้า เมืองคาเปอรนาอุม เจ้าจะถูกยกขึ้นเทียมฟ้าหรือ?เปล่าเลยเจ้าจะต้องลงไปถึงแดน คนตายต่างหากเพราะการอัศจรรย์ต่างๆซึ่งทำในท่ามกลางเจ้านั้น ถ้าทำในเมืองโสโดมเมืองนั้นคงได้ตั้งอยู่จนทุกวันนี้ 24แต่เราบอกเจ้าว่าในวันพิพากษาโทษเมืองโสโดมจะเบากว่าโทษ ของเจ้า (มัทธิว 11:16-24)
มัทธิวเป็นผู้เขียนที่มีความสามารถมาก ท่านมีวิธีจุดประกายขึ้นมาให้เราประหลาดใจในที่ๆเรานึกไม่ถึง มีศิลปะในการนำเสนอพระกิตติคุณ แบบค่อยๆเร่งไฟความตื่นเต้นและกระหายใคร่รู้ก่อนที่พระเมสซิยาห์จะมาปรากฎ มัทธิวได้บันทึกเรื่องสิทธิอำนาจอันไม่จำกัดของพระเยซู และชื่อเสียงของพระองค์ที่โด่งดังขึ้นเรื่อยๆ (มัทธิว 9:33) รวมถึงการต่อต้านของพวกฟาริสีที่เพิ่มขึ้นตาม (แต่ในตอนนั้นยังไม่มีพิษสงมากนัก)
พวกสาวกถูกส่งออกไปทีละสองคน และคงเดินทางกลับมา อย่างที่บอกไปแล้วไม่มีพระกิตติคุณเล่มใดบันทึกว่าเกิดอะไรขึ้นระหว่างที่ ทั้งสิบสองคนออกไป ไม่ว่าเรื่องการอัศจรรย์และประกาศแผ่นดินสวรรค์ ที่ใกล้เคียงที่สุดน่าจะเป็นรายงานสรุปสั้นๆจากเจ็ดสิบสองคนเมื่อกลับมาจาก ภารกิจเดียวกัน:
17สาวกเจ็ดสิบสองคนนั้นกลับมาด้วยความยินดีทูลว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าแม้แต่พวกผีก็อยู่ใต้บังคับของพวกข้าพระองค์โดยพระนามของพระองค์” 18พระองค์ตรัสกับพวกเขาว่า “เราเห็นซาตานตกจากฟ้าเหมือนฟ้าแลบ 19นี่แน่ะ เราให้พวกท่านมีสิทธิอำนาจเหยียบงูร้ายและแมงป่องและให้มี อำนาจยิ่งใหญ่กว่าฤทธานุภาพของศัตรูนั้น ไม่มีอะไรจะมาทำอันตรายพวกท่านได้เลย 20แต่ว่าอย่าชื่นชมยินดีในสิ่งนี้คือที่พวกผีอยู่ใต้บังคับ ของท่านแต่จงชื่นชมยินดีที่ชื่อของท่านจดไว้ในสวรรค์”21ใน เวลานั้นเอง พระเยซูทรงเปรมปรีดิ์ในพระวิญญาณบริสุทธิ์ตรัสว่า “ข้าแต่พระบิดาผู้เป็นเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์และโลกข้าพระองค์ สรรเสริญพระองค์ที่พระองค์ทรงปิดบังสิ่งเหล่านี้ไว้จากคนมี ปัญญาและคนฉลาดแต่ทรงสำแดงแก่พวกทารกถูกแล้วข้าแต่พระบิดา พระองค์พอพระทัยเช่นนั้น22“พระบิดาของเราทรงมอบสิ่งสารพัด ให้แก่เราไม่มีใครรู้ว่าพระบุตรเป็นใครนอกจากพระบิดาและ ไม่มีใครรู้ว่าพระบิดาเป็นใครนอกจากพระบุตรและผู้ที่ พระบุตรประสงค์จะสำแดงให้รู้”23พระองค์ทรงหันมาหาพวกสาวกตรัส กับพวกเขาเป็นการส่วนตัวว่า“ผู้ที่ได้เห็นสิ่งที่พวกท่าน เห็นก็เป็นสุข 24เพราะเราบอกพวกท่านว่าผู้เผยพระวจนะหลายคนและกษัตริย์หลาย องค์ปรารถนาจะเห็นสิ่งที่ท่านเห็นอยู่นี้ แต่เขาทั้งหลายไม่เคยเห็นและอยากจะได้ยินสิ่งที่พวกท่าน ได้ยินแต่เขาก็ไม่เคยได้ยิน” (ลูกา 10:17-24)
สังเกตุดูจะเห็นว่าทั้งเจ็ดสิบสองไม่ได้พูดถึงความสำเร็จในภารกิจของพวก เขา ไม่พูดถึงจำนวนคนที่กลับใจเมื่อพวกเขาไปประกาศ เมื่อกลับมาเฝ้าพระเยซู สิ่งที่พวกสาวกเล่าคืออำนาจที่พวกเขามี – แม้แต่พวกผียังอยู่ใต้บังคับของพวกเขา – พระเยซูทรงมองว่านี่บ่งถึงความพ่ายแพ้ครั้งสุดท้ายของซาตาน แต่พระองค์ทรงหนุนใจพวกสาวกให้ชื่นชมยินดีในความรอดมากกว่าในอำนาจที่มีและ ใช้ไป ถ้อยคำต่อจากนั้นค่อนข้างเหมือนในมัทธิว 11 ที่อยู่ในบทเรียนนี้
ถึงจุดนี้ มัทธิวบอกแล้วว่าผู้คนตอบสนองต่อพระเยซูอย่างไร (มัทธิว 4:24-25; 7:28-29; 8:34; 9:1-17, 33-34) แต่ในตอนนี้ เป็นครั้งแรกที่ท่านรายงานถึงสิ่งที่พระเยซูประเมินการตอบสนองของผู้คนต่อ ข่าวประเสริฐที่ทั้งยอห์น พระองค์เอง และพวกสาวกประกาศ ไม่ใช่รายงานที่ดีนัก ที่จริงผลประเมินออกจะน่าตกใจ มนุษย์ตอบสนองต่อข่าวประเสริฐอย่างไร
แม้พระเยซูทรงเป็นที่นิยมของฝูงชน แต่เราเห็นน้อยคนกลับใจ พระเยซูทรงส่งสาวกของพระองค์ไปประกาศแผ่นดินสวรรค์ที่มาใกล้ ข่าวประเสริฐของพระเยซูและที่สาวกประกาศเป็นสิ่งเดียวกับที่ยอห์นผู้ให้บัพ ติศมาและสาวกของท่านประกาศ: “จงกลับใจใหม่ เพราะว่าแผ่นดินสวรรค์มาใกล้แล้ว” (มัทธิว 3:2; 4:17; 10:79) ตอนนี้ พระเยซูทรงกล่าวโทษเมืองต่างๆในอิสราเอลที่ได้เห็นเป็นพยานถึงการสถิตอยู่ ด้วย การเทศนาสั่งสอน และฤทธิอำนาจการอัศจรรย์ของพระเยซูและของพวกสาวก
พระเยซูทรงโยงคนยุคนี้เข้ากับอาการของเด็กที่นั่งร้องบ่นกับเพื่อนที่ไม่ ยอมเต้นไปตามทำนองเพลงของเขา พวกเขาต้องการได้พระเมสซิยาห์ “ในแบบของฉัน” และเมื่อพระเยซูไม่ปรับไปตามความปรารถนาและความคาดหวังของพวกเขา พวกเขาก็ไม่สนใจพระองค์อีก พวกนี้เป็นพวกโลเลไม่เอาจริง
สังเกตุดูพระเยซูทรงใช้ประเด็นความเกี่ยวข้องระหว่างพระองค์และยอห์นผู้ ให้บัพติศมา บุคคลทั้งนั้นสองต่างกันมาก แต่คนในยุคนั้นไม่ยอมรับทั้งคู่ ยอห์นมาด้วยการอดอาหาร (ไม่กินและไม่ดื่ม– เทียบกับมัทธิว 9:14) แต่พวกเขาก็ยังว่าท่านถูกผีสิง เมื่อพระเยซูและพวกสาวกมา ทั้งกินและดื่ม พวกเขาก็กล่าวโทษว่าเป็นพวกเห็นแก่กิน และขี้เมา และ (ร้ายที่สุด) มั่วสุมกับคนบาป สิ่งเชื่อมโยงระหว่างยอห์นและพระเยซูแสดงให้เห็นความจริงว่าคนในยุคนั้น ปฏิเสธไม่ยอมรับทั้งคู่
อย่างเจาะจง พระเยซูทรงกล่าวติเตียนเมืองต่างๆของอิสราเอลที่ได้ทรงทำการอัศจรรย์เป็นส่วนมาก “เพราะพวกเขาไม่ได้กลับใจใหม่” (มัท ธิว 11:20) จุดประสงค์การประกาศของยอห์นและพระเยซูคือนำชนชาติอิสราเอลสู่การกลับใจ ไม่ใช่เพื่อดึงดูดฝูงชน หรือให้คนจำนวนมากมาติดตาม แต่มาเรียกคนบาปให้สำนึกผิดกลับใจ ซึ่งไม่ได้เกิดขึ้น ดังนั้นพระองค์จึงกล่าวติเตียนบรรดาเมืองต่างๆที่ได้พบพระองค์ ได้เห็นการอัศจรรย์มากมายที่พระองค์ทำ
พระเยซูทรงเจาะจงชื่อเมือง เราแทบไม่รู้จักเมืองโคราซิน มีพูดถึงครั้งเดียวในลูกา 10:13 จากที่พระเยซูตรัส เห็นได้ชัดว่าเมืองนี้ได้พบพระองค์บ่อยมาก แต่ก็ไม่กลับใจ เมืองเบธไซดานั้นต่างไป พระเยซูคงเพิ่งเข้าไปหรืออยู่ใกล้เมืองนี้เมื่อทรงกล่าวติเตียน (ดูลูกา 9:10) เรารู้จากยอห์น 1:44 ว่าเบธไซดาเป็นบ้านเกิดของฟีลิป อันดรูว์ และเปโตร
พระเยซูทรงกล่าวถึงโทษที่พวกเขาจะได้รับในข้อ 20-24 โทษทัณฑ์ที่รุนแรงกว่า เพราะพวกเขาได้รับรู้รับฟังในสิ่งที่ทรงเปิดเผยแต่ก็ยังปฏิเสธ โทษทัณฑ์ที่เบากว่าจะตกไปถึงคนที่ไม่เคยได้ยินหรือฟังสิ่งที่พระองค์เปิดเผย หลักการเดียวกันนี้มีในลูกาบทที่ 12:
45“แต่ถ้าบ่าวคนนั้นคิดในใจว่า ‘นายของข้าคงจะมาช้า’ แล้วเริ่มต้นโบยตีบรรดาบ่าวชายหญิงและกินดื่มเมามาย 46นายของบ่าวคนนั้นจะมาในวันที่เขาไม่คาดคิดในเวลาที่เขา ไม่รู้ และจะลงโทษเขาอย่างหนักและจะขับไล่ให้ไปอยู่ในที่ของพวก ที่ไม่เชื่อ 47บ่าวคนที่รู้ใจนายและไม่ได้เตรียมตัวไว้ไม่ได้ทำตามใจนาย จะต้องถูกเฆี่ยนอย่างหนัก 48แต่คนที่ไม่รู้ แล้วทำสิ่งที่สมควรจะถูกเฆี่ยนก็จะถูกเฆี่ยนเพียงเล็กน้อยคน ที่ได้รับมากจะต้องเรียกเอาจากคนนั้นมากและคนที่ได้รับฝาก ไว้มากก็จะต้องทวงเอาจากคนนั้นมาก” (ลูกา 12:45-48)
ดังนั้นเมืองโคราซินและเบธไซดา (สองเมืองเด่นของยิวที่พระเยซูใช้เวลาทำพันธกิจค่อนข้างมาก) จะถูกพิพากษามากกว่าเมืองไทระ10และ ไซดอนเมื่อพระเมสซิยาห์เสด็จกลับมา (ข้อ 21-22) ไทระและไซดอน เป็นเมืองที่ผู้เผยพระวจนะในพระคัมภีร์เดิมเอ่ยถึงหลายครั้ง (อิสยาห์ 23; เยเรมีย์ 25:15-29 โดยเฉพาะข้อ 22; เอเสเคียล 26-28; อาโมส 1:9-10; เศคาริยาห์ 9:1-4) เป็นเมืองที่หญิงชาวคานาอันทูลขอพระเยซูให้ขับผีออกจากลูกสาวของนาง (มัทธิว 15:21-28) เป็นเมืองใหญ่ของคนต่างชาติที่พระเยซูไม่ได้เข้าไปสัมผัสหรือประกาศข่าว ประเสริฐของพระเมสซิยาห์มากนัก11ดังนั้นพวกเขาจะได้รับการพิพากษาโทษที่เบากว่าเมื่อพระองค์เสด็จกลับมาพิพากษาโลกนี้ (มัทธิว 11:22)
และพระเยซูทรงนำไปยังข้อแตกต่างระหว่างเมืองคาเปอรนาอุมและโสโดมในข้อ 23 และ 24:
23 “ส่วนเจ้าเมืองคาเปอรนาอุมเจ้าจะถูกยกขึ้นเทียมฟ้า หรือ?เปล่าเลยเจ้าจะต้องลงไปถึงแดนคนตายต่างหาก เพราะการอัศจรรย์ต่างๆซึ่งทำในท่ามกลางเจ้านั้น ถ้าทำในเมืองโสโดมเมืองนั้นคงได้ตั้งอยู่จนทุกวันนี้ 24แต่เราบอกเจ้าว่าในวันพิพากษาโทษเมืองโสโดมจะเบากว่าโทษ ของเจ้า”(มัทธิว 11:23-24)
คาเปอรนาอุม12 เป็นเมืองในกาลิลีที่พระเยซูทรงใช้เป็นศูนย์กลางพระราชกิจอยู่ระยะหนึ่ง ทรงทำอัศจรรย์หลายครั้งและเทศนาสั่งสอนค่อนข้างมากในเมืองนี้ ไม่มีเมืองอื่นที่พระองค์สั่งสอนและทำอัศจรรย์มากเท่าในคาเปอรนาอุม แต่คนเมืองนี้ไม่กลับใจ เมื่อเป็นเช่นนี้ พระเยซูจึงกล่าวว่าเมืองโสโดมจะยังได้รับโทษเบากว่าคาเปอรนาอุมเมื่อวัน พิพากษามาถึง
ทำไมพระเยซูจึงถามว่าเมืองคาเปอรนาอุมคิดว่าตนเองจะได้ยกขึ้นเทียมสวรรค์ หรือ? มีอะไรเกี่ยวกับคาเปอรนาอุมที่ผยองขนาดนี้? สองความคิดผุดขึ้นมาครับ อย่างแรก คาเปอรนาอุมภูมิใจมากที่ได้เป็นศูนย์กลางพระราชกิจของพระเยซู ธุรกิจท่องเที่ยวคงจะบูม มีคนมากมายเดินทางเข้าออกเพื่อมาดูพระเยซู – ที่ดียิ่งกว่า มีการอัศจรรย์รักษาโรคด้วย เรารู้กันว่าเมืองหรือจังหวัดที่เป็นที่อยู่ของประธานาธิบดีหรือคนดังๆมักจะ มีป้ายบอกเมื่อเข้าเขตเมือง เพื่อให้ตระหนักว่าเมืองนี้มีเกียรติ เพราะมีคนสำคัญอาศัยอยู่ ดังนั้นเมืองคาเปอรนาอุมจึงเหมือนอวดว่าพระเยซูเลือกอยู่ในเมืองพวกเขา
อย่างที่สอง ความหยิ่งผยองของคาเปอรนาอุมเตือนให้นึกถึงความผยองของไทระ ตามที่อิสยาห์ และเอเสเคียลพูดไว้:
8ใครวางแผนการนี้ไว้ต่อสู้เมืองไทระซึ่งเป็นผู้แจกมงกุฎ
ซึ่งพวกพ่อค้าของมันเป็นเจ้านายและนักธุรกิจเป็นคนมีเกียรติของโลก?
9พระยาห์เวห์จอมทัพทรงวางแผนไว้เพื่อขจัดความเย่อหยิ่งในศักดิ์ศรีทั้งหมด
และเพื่อลบหลู่ผู้มีเกียรติทุกคนในแผ่นดินโลก (อิสยาห์ 23:8-9 ดูเอเสเคียล 28:1-10 ด้วย)
ในเอเสเคียล 28 ความผยองของ“กษัตริย์เมืองไทระ”ถูก เปรียบเหมือนซาตาน (เอเสเคียล 28:11-19) สำหรับผมดูเหมือนพระเยซูกล่าวคำติเตียนคาเปอรนาอุมเพิ่มขึ้นโดยตรัสถึงเมือง ที่คล้ายคลึงกันในพระคัมภีร์เดิม เมืองไทระและกษัตริย์ของเมืองนั้น
พระดำรัสของพระเยซูตอนนี้ในมัทธิว 11 โยงเข้ากับมัทธิว 12:38-42 และลูกา 12:45-48 ที่ชี้ว่าจะมีการลงโทษคนชั่วร้าย และในทุกกรณี พระเจ้าจะทรงพิพากษามนุษย์ว่าพวกเขาทำอย่างไรต่อสิ่งที่ได้รับรู้ ในโรม 1 คนต่างชาติถูกกล่าวโทษเพราะปฏิเสธการทรงเปิดเผยของพระเจ้าในธรรมชาติ ในโรม 2 ชาวยิวผิดมากกว่า เพราะได้รับการทรงเปิดเผยจากพระเจ้าในธรรมบัญญัติ แต่พวกเขาปฏิเสธ
25ในขณะนั้นพระเยซูทูลว่า “ข้าแต่พระบิดาผู้ทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์และ โลกข้าพระองค์สรรเสริญพระองค์ที่พระองค์ทรงปิดบัง สิ่งเหล่านี้ไว้จากคนมีปัญญาและคนฉลาดแต่ทรงสำแดงแก่พวกทารก 26ถูกแล้ว ข้าแต่พระบิดา พระองค์พอพระทัยเช่นนั้น27“พระบิดาของเราทรงมอบสิ่งสารพัด ให้แก่เราและไม่มีใครรู้จักพระบุตรนอกจากพระบิดาและไม่มี ใครรู้จักพระบิดานอกจากพระบุตร” (มัทธิว 11:25-27)
ซึ่งคล้ายคลึงมากกับในลูกา 10:21-24:
21ในเวลานั้นเอง พระเยซูทรงเปรมปรีดิ์ในพระวิญญาณบริสุทธิ์ตรัสว่า “ข้าแต่พระบิดาผู้เป็นเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์และโลกข้าพระองค์ สรรเสริญพระองค์ที่พระองค์ทรงปิดบังสิ่งเหล่านี้ไว้จากคนมี ปัญญาและคนฉลาด แต่ทรงสำแดงแก่พวกทารก ถูกแล้วข้าแต่พระบิดา พระองค์พอพระทัยเช่นนั้น22“พระบิดาของเราทรงมอบสิ่งสารพัด ให้แก่เราไม่มีใครรู้ว่าพระบุตรเป็นใครนอกจากพระบิดาและ ไม่มีใครรู้ว่าพระบิดาเป็นใครนอกจากพระบุตรและผู้ที่ พระบุตรประสงค์จะสำแดงให้รู้”23พระองค์ทรงหันมาหาพวกสาวกตรัส กับพวกเขาเป็นการส่วนตัวว่า“ผู้ที่ได้เห็นสิ่งที่พวกท่าน เห็นก็เป็นสุข 24เพราะเราบอกพวกท่านว่าผู้เผยพระวจนะหลายคนและกษัตริย์หลาย องค์ปรารถนาจะเห็นสิ่งที่ท่านเห็นอยู่นี้ แต่เขาทั้งหลายไม่เคยเห็นและอยากจะได้ยินสิ่งที่พวกท่าน ได้ยินแต่เขาก็ไม่เคยได้ยิน”(ลูกา 10:21-24)
ในลูกา 10 พระเยซูทรงส่งสาวกเจ็ดสิบ (หรือเจ็ดสิบสองคน) ออกไป และพวกเขากลับมาด้วยความชื่นชมยินดีในอำนาจที่มี พระเยซูตรัสถึงเรื่องนี้ บอกพวกเขาว่าให้ชื่นชมยินดีที่มีชื่อจดอยู่ในสวรรค์มากกว่า (ลูกา 10:17-20) และพระองค์ทรงต่อไปยังเรื่องที่เรารู้ การเลือกสรรของพระเจ้า พระเยซูทรงทำสิ่งที่คล้ายคลึงกันในมัทธิว 11:25-27 เมื่อลองคิดดู เราจะเข้าใจว่าทำไมพระเยซูทรงย้ำเรื่องสิทธิอำนาจในการเลือกสรรของพระเจ้า
คงจำได้ถึงข้อโต้แย้งที่ อ เปาโลพูดไว้ในโรมบทที่ 9 คำถามคือ “เราจะอธิบายอย่างไรว่าขณะที่พระเยซูทรงเป็นยิว และมาประกาศแผ่นดินของพระเจ้าแก่ชาวยิว มียิวไม่กี่คนมาเชื่อ แต่กลับมีคนต่างชาติมาเชื่อจำนวนมาก?” อ เปาโลย้ำและยืนหยัดว่านี่ไม่ใช่ความล้มเหลวในพระวจนะของพระเจ้า:
6แต่ไม่ใช่ว่าพระวจนะของพระเจ้า ได้ล้มเหลวไปเพราะว่าไม่ใช่ทุกคนที่เกิดมาจากอิสราเอลนั้น เป็นคนอิสราเอลแท้ 7และไม่ใช่ทุกคนที่เป็นลูกของอับราฮัมเป็นเชื้อสายแท้ของ ท่าน แต่ว่าเขาจะเรียกเชื้อสายของท่านทางสายอิสอัค (โรม 9:6-7)
โรม9 เกี่ยวข้องกับสิทธิอำนาจในการเลือกสรรของพระเจ้า สำหรับคำตอบของคำถามว่า “ทำไมยิวหลายคนจึงปฏิเสธข่าวประเสริฐ?” คำตอบคือ “เพราะพระเจ้าไม่ได้เลือกพวกเขา”13 ความ จริงที่บางคนปฏิเสธข่าวประเสริฐไม่ได้สะท้อนว่าความล้มเหลวเป็นฝ่ายของพระ เจ้า เมื่อเราเข้าใจสิทธิอำนาจในการทรงเลือกสรร พระเจ้าเลือกบางคน และไม่เลือกบางคน ตามอำนาจอธิปไตยของพระองค์
ผมเชื่อว่ามัทธิวใช้ข้อโต้แย้งเดียวกันในบทที่ 11 ภาพที่เห็นภายนอกดูเหมือนจะนำไปสู่ข้อสรุปว่าพระราชกิจของพระเยซูประสบความ สำเร็จมาก มีคนชื่นชมพระองค์ หลายคนตามหา และฝูงชนจำนวนมากอัศจรรย์ใจจนติดตามพระองค์ไป สาวกของพระเยซูถูกส่งไปประกาศข่าวประเสริฐ และมีอำนาจทำอัศจรรย์หลายอย่าง จะมีอะไรที่สำเร็จมากไปกว่านี้? ปัญหาคือเป็นที่นิยมเป็นคนละเรื่องกับการกลับใจ เมืองเหล่านี้ไม่กลับใจ แม้พระเยซูและพวกสาวกอยู่ท่ามกลางพวกเขา แม้คำเทศนาของยอห์น ของพระเยซูและของพวกสาวก เพราะเมืองของยิวเหล่านี้ไม่กลับใจ เราอาจสรุปผิดๆว่าพันธกิจของพระองค์จึงล้มเหลว – พระเยซูไม่สามารถทำได้อย่างที่ต้องการจะทำ ถ้าเราสรุปแบบนี้ เราก็ไม่ไกลไปจากคำถามที่ยอห์นผู้ให้บัพติศมาถาม
พระดำรัสของพระเยซูในข้อ 25–27 เราอาจประหลาดใจ ประการแรก– ถ้อยคำของพระเยซูเป็นถ้อยคำแห่งการสรรเสริญ สรรเสริญพระบิดา พระเยซูทรงสรรเสริญพระบิดาได้อย่างไรในเมื่อไม่ประสบความสำเร็จ? ไม่ใช่ครับ นี่ไม่ใช่ความล้มเหลวแต่เป็นความสำเร็จที่พระเจ้าสมควรได้รับพระเกียรติ ประการที่สอง– เราเห็นว่ามีคนมาเชื่อ พระบิดาทรงเลือกที่จะปิดบังสิ่งที่เป็นของสวรรค์จากคนที่เราคิดว่าน่าจะฉวย ไว้ได้ – คนฉลาดและมีสติปัญญา แต่พระบิดาทรงเลือกที่จะเปิดเผยสิ่งเหล่านี้ให้แก่เด็กเล็กๆ คนที่คิดว่าตนเองไม่สมควร (หรือไม่ฉลาดพอ) ที่จะเข้าใจ ความเชื่อและไม่เชื่อ ยอมรับและปฏิเสธ อย่างที่เห็นเป็นผลมาจากการทรงเลือกของพระบิดา พระเจ้าทรงอำนาจอธิปไตยในเรื่องความรอด พระเยซูสามารถสรรเสริญพระเจ้าได้ เพราะบรรดาคนที่พระองค์ตั้งใจให้เข้าใจและเชื่อก็เข้าใจและเชื่อ แผนการของพระเจ้าสำเร็จ ตามพระประสงค์ของพระองค์
ข้อ 27 นำเราก้าวไปอีกขั้น ในข้อ 25 และ 26 พระเยซูทรงมองความรอดว่าเป็นการเลือกสรรของพระบิดา พระเยซูทรงสรรเสริญพระบิดาที่ทรงเปิดเผยความจริงแห่งข่าวประเสริฐให้แก่พวก “ทารก” (เด็กเล็กๆ) ในขณะที่ปิดบังไว้จากคนฉลาดและมีปัญญา สิ่งนี้พระเยซูตรัสว่า พระบิดาทรงพอพระทัย ( 26) แต่ในข้อ 27 พระเยซูทรงไปไกลกว่านั้น ทรงประกาศถึงอำนาจการครอบครองโดยชอบธรรมของพระบิดาในการเลือกว่าผู้ใดจะมา เชื่อในพระองค์ พระบิดาทรงมอบสิ่งสารพัดให้กับพระบุตร ไม่มีใครรู้จักพระบุตร (อย่างครบถ้วนสมบูรณ์) เว้นแต่พระบิดา และไม่มีใครรู้จักพระบิดาเว้นแต่พระบุตร และบรรดาคนที่พระบุตรทรงสำแดงให้รู้ แปลว่าพระเยซูเป็นผู้กำหนดความรอดนิรันดร์ให้กับมนุษย์14
สิ่งนี้ ผมเชื่อว่าเป็นแก่นสูงสุดในสิทธิอำนาจของของพระเยซู ก่อนหน้า สิทธิอำนาจของพระเยซูในการตีความธรรมบัญญัติในพระคัมภีร์เดิมสำแดงและเป็น ที่รับรู้กัน (มัทธิ 5-7) ต่อมาเป็นสิทธิอำนาจในการรักษาโรค ขับผี ควบคุมธรรมชาติ และชุบคนตายให้ฟื้น (มัทธิว 8-9) หลังจากนั้น สิทธิอำนาจที่ทรงเรียกและประทานอำนาจให้แก่พวกสาวก ซึ่งชัดเจนในบบที่ 10 ในบทที่ 9 พระเยซูทรงแสดงสิทธิอำนาจในการยกบาป (มัทธิว 9:1-8) แต่ตอนนี้ทรงขยายขอบเขตสิทธิอำนาจ ไม่เพียงแต่ทรงมีสิทธิอำนาจในการยกบาป พระองค์มีสิทธิอำนาจในการกำหนดว่าจะให้ใครได้รับการยกโทษบาปนั้น15
28บรรดาผู้เหน็ดเหนื่อยและแบกภาระหนักจงมาหาเรา และเราจะให้ท่านทั้งหลายได้หยุดพัก 29จงเอาแอกของเราแบกไว้ แล้วเรียนจากเรา เพราะว่าเราสุภาพอ่อนโยนและใจอ่อนน้อม และจิตใจของพวกท่านจะได้หยุดพัก 30ด้วยว่าแอกของเราก็พอเหมาะ และภาระของเราก็เบา”(มัทธิว 11:28-30)
บางคนสรุปผิดๆว่าถ้าพระเจ้าเป็นผู้กำหนดว่าใครได้รับความรอดและใครไม่ได้ รับ ถ้าเป็นเช่นนั้นมนุษย์ก็ไม่มีสิทธิเลือกเลย ผมขอนำคุณมายังความจริงนี้ ทันทีที่ประกาศถึงสิทธิอำนาจในการเลือกสรรว่าใครควรได้รับความรอด พระเยซูทรงเชิญชวนให้มารับความรอดในข้อ 28-3016 นี่เป็นการประกาศข่าวประเสริฐที่ชัดเจนที่สุดในมัทธิวถึงตอนนี้ ก่อนหน้าเป็นเพียงถ้อยคำธรรมดาว่า “จงกลับใจใหม่เพราะว่าแผ่นดินสวรรค์มาใกล้แล้ว”(มัทธิว 3:2; 4:17 ดู 10:7 ด้วย)
ในระดับหนึ่ง ผมเข้าใจการเชิญชวนของพระเยซูในตอนท้ายของบทที่ 11 จากมุมมองตอนท้ายของบทที่ 9:
36และเมื่อพระองค์ทอดพระเนตร ฝูงชนก็ทรงสงสารเขาทั้งหลาย เพราะพวกเขาถูกรังควานและไร้ที่พึ่งเหมือนฝูงแกะไม่มี ผู้เลี้ยง 37แล้วพระองค์ตรัสกับสาวกทั้งหลายของพระองค์ว่า“ข้าวที่ต้อง เกี่ยวนั้นมีมากนักหนาแต่คนงานยังน้อยอยู่ 38เพราะฉะนั้นท่านจงอ้อนวอนพระองค์ผู้ทรงเป็นเจ้าของนาให้ทรง ส่งคนงานมาเก็บเกี่ยวพืชผลของพระองค์” (มัทธิว 9:36-38)
ชนชาติอิสราเอลมี “ผู้เลี้ยง” อยู่แล้ว ถ้าจะใช้คำนี้ว่าอย่างผิวเผิน ผู้นำพวกเขาไม่ได้มีคุณลักษณะของความเมตตาและสงสาร ในบทที่ 23 มัทธิวบันทึกคำกล่าวโทษรุนแรงที่พระเจ้ากล่าวแก่พวกธรรมาจารย์และฟาริสี หนึ่งในนั้นคือ:
1เวลานั้นพระเยซูตรัสกับฝูงชนและ บรรดาสาวกของพระองค์ว่า 2“พวกธรรมาจารย์กับพวกฟาริสีนั่งบนที่นั่งของโมเสส 3เพราะฉะนั้นทุกสิ่งที่เขาทั้งหลายสั่งสอนพวกท่านนั้น จงถือและประพฤติตาม ยกเว้นการประพฤติของพวกเขาอย่าทำตามเลย เพราะพวกเขาไม่ได้ทำในสิ่งที่พวกเขาสอน 4เพราะพวกเขาเอาห่อของหนักวางบนบ่าของมนุษย์ แต่ส่วนพวกเขาเองไม่ยอมแม้แต่จะใช้สักนิ้วเดียวไปยก (มัทธิว 23:1-4)
ในความเป็นจริง คนอิสราเอลไม่เคยมีผู้เลี้ยงอย่างที่พวกเขาจำเป็นต้องมีที่สุด พระเยซูทรงเป็นผู้เลี้ยง ทรงเป็น “ผู้เลี้ยงที่ดี” (ดูยอห์น 10) พระองค์ไม่ได้เคี่ยวเข็ญมนุษย์ให้พยายามมากขึ้นในการรักษาธรรมบัญญัติ เพื่อให้ได้ความชอบธรรม พระองค์ทรงเรียกบรรดาผู้เหน็ดเหนื่อยและแบกภาระหนัก ที่ต้องแบกภาระจากผู้เลี้ยงชั่วร้าย พระเยซูทรงทำมากกว่า “ใช้แค่นิ้วเดียว” ช่วยยกภาระทางศาสนา ทรงเสนอแบกภาระทั้งหมดของพวกเขา ทรงเสนอให้แก่ผู้ที่อ่อนล้าและต้องการหยุดพัก
28บรรดาผู้เหน็ดเหนื่อยและแบกภาระ หนักจงมาหาเรา และเราจะให้ท่านทั้งหลายได้หยุดพัก 29จงเอาแอกของเราแบกไว้ แล้วเรียนจากเรา เพราะว่าเราสุภาพอ่อนโยน และใจอ่อนน้อมและจิตใจของพวกท่านจะได้หยุดพัก 30ด้วยว่าแอกของเราก็พอเหมาะ และภาระของเราก็เบา” (มัทธิว 11:28-30)
นี่เป็นคำเชิญชวน:
ไม่ใช่สำหรับคนที่มีอำนาจ แต่สำหรับคนที่อ่อนล้า
ไม่ใช่สำหรับคนหยิ่งผยอง แต่คนที่ใจถ่อม
ไม่ใช่คนที่รักษาธรรมบัญญัติ แต่คนที่มาดูว่าธรรมบัญญัติสอนอะไร – ความบาปของพวกเขา
พระเยซูทรงกล่าวติเตียนคนที่แย่งชิงเพื่อจะเข้าไปในอาณาจักรของพระองค์ เป็นพวกที่ไว้ใจในอำนาจที่มี สิ่งที่ตนเองพากเพียรปฏิบัติ และสติปัญญาของตนเอง พวกเขาเป็นพวกที่ไม่ยอมสำนึกผิดกลับใจ
ขณะที่พวกฟาริสีเพิ่มภาระหนักลงบนหลังผู้คน และไม่เสนอตัวช่วยสักนิด (มัทธิว 23:4) พระเยซูทรงรับภาระทั้งหมดของธรรมบัญญัติ (ทรงทำให้สมบูรณ์ครบถ้วน – มัทธิว 5:17) และบัดนี้ทรงเสนอแบกภาระให้กับทุกคนที่มาหาพระองค์ – ในความเชื่อ
ใครคือคนที่ได้รับข้อเสนอความรอด? ไม่ใช่คนที่พากเพียรมากขึ้น ไม่ใช่คนที่มองธรรมบัญญัติเป็นหนทางเพื่อจะรักษากฎเกณฑ์และให้ได้มาซึ่งความ โปรดปรานของพระเจ้า นี่คือผู้ที่มาดูธรรมบัญญัติอย่างที่ควรเป็น ธรรมบัญญัติเป็นภาระที่หนักจนไม่มีมนุษย์คนใดแบกไหว จำเปโตรในกิจการ 15:10 ได้หรือไม่ “ทำไมจึงเสนอธรรมบัญญัตินี้ให้แก่คนต่างชาติ?” ตามที่พระวจนะกล่าว “ทำไมท่านทั้งหลายจึงทดลองพระเจ้าโดยวางแอกบนคอของพวกสาวกซึ่งเป็นสิ่งที่บรรพบุรุษหรือเราเองแบกไม่ไหว” คนที่แบกไว้จนไปต่อไม่ไหวคือคนที่เห็นแล้วว่าธรรมบัญญัติไม่อาจช่วยให้รอด ได้ เป็นคนที่รู้ตัวเองว่าหมดหวังหมดกำลัง และเป็นคนที่พระเยซูทรงกล่าวเชิญ “จงมาหาเรา…และจิตใจของพวกท่านจะได้หยุดพัก” มาหาเราเป็นถ้อยคำที่สวยงามที่สุดในพระกิตติคุณตอนนี้ เป็นคำเชิญให้มาเชื่อ
ผมขอพูดเรื่องหนึ่งก่อนจบ เกิดขึ้นกับผมเมื่อเช้าตอนกำลังผูกเชือกรองเท้า และเป็นสิ่งดีที่สุดที่ผมจะบอกได้ จำก่อนหน้านี้ที่ผมสอนบทเรียน 1ซามูเอลได้หรือไม่ ที่สรุปว่าการเชื่อฟังแค่บางส่วนก็คือการไม่เชื่อฟัง? จำได้นะครับ ตอนนี้มีเพิ่มมาให้ ผมรอมานานสำหรับเรื่องนี้: การติดตามพระเยซูด้วยเหตุผลที่ผิดก็คือ – การไม่เชื่อฟัง ผู้คนยังติดตามพระเยซูไป และเป็นเรื่องที่น่าตระหนก เราเห็นพวกสาวกออกไปประกาศ เราเห็นฝูงชนมากมาย แล้วเราก็พูดว่า “โอ้ ว้าว สุดยอด” พวกสาวกเองก็พูดว่า “มันยอดมาก แผ่นดินสวรรค์มาใกล้แล้ว” และพระเยซูกล่าวว่า “มันไม่ใช่” พวกเขาปฏิเสธไปแล้ว ทำไม? เพราะพวกเขาติดตามพระเยซูด้วยสาเหตุผิดๆ พวกเขาติดตามพระเยซู (ยอห์น 6 “โปรดให้อาหารนั้นแก่ข้าพเจ้าเสมอไป”) เพราะพระเยซูคือคูปองอาหาร พระเยซูคือผู้ที่จะมาทำให้เรามั่งคั่ง พระเยซูเป็นผู้ที่จะให้เพื่อนดีๆ และภาพลักษณ์ดีๆแก่เรา – ติดตามพระเยซูเถอะ และพระองค์จะมอบทุกสิ่งนี้ให้ เป็นอันตรายมาก พี่น้องครับ แสวงหาศาสนาที่เป็นมิตร ทำให้ผู้คนมาติดตามพระเยซูด้วยสาเหตุที่ผิด คำเทศนาของยอห์นไม่ใช่เพื่อมาหามิตร คำเทศนาของพระเยซูไม่ได้เพื่อมาหามิตร
“จงมาหาเราคนบาปทั้งหลายที่แบกภาระหนักของบาปเอาไว้ ภาระที่เพียรปฏิบัติเพื่อให้ได้ความโปรดปรานจากเรา จงวางใจในเรา” นี่คือหนทางสำหรับความรอด ติดตามพระเยซูไปด้วยสาเหตุที่ผิดเป็นบันไดขั้นแรกสู่เส้นทางกบฎและปฏิเสธ และสุดท้าย – นรก –
อย่าล้อเล่นนะครับพี่น้อง: เราอาจคิดว่าทำแบบนั้นแล้วจะได้ผู้คนมาเดินบนเส้นทางความเชื่อ และหลังจากนั้น ค่อยชี้ให้พวกเขาดูเงื่อนไขและรายละเอียดต่างๆ ถ้าคุณชักจูงผู้คนให้มา “ติดตามพระเยซู” ด้วยสาเหตุที่ผิด คุณก็พาเขาไปสู่เส้นทางแห่งความพินาศ คุณต้องประกาศข่าวประเสริฐตามที่พระเยซูสั่ง และข่าวประเสริฐนั้นเราต้องประกาศออกไปแม้ในท่ามกลางการข่มเหง ต่อต้าน และแม้แต่เผชิญความตาย – อย่าไปปรับเปลี่ยนข่าวประเสริฐ ให้ประกาศพระเยซู – ที่โดยพระคุณ โดยการสิ้นพระชนม์ที่บนกางเขน ได้ช่วยคนบาปที่หลงหาย ประกาศพระเยซู ไม่ใช่ในฐานะเป็นผู้มาแจกอาหาร ไม่ใช่มาเพื่อมอบสุขภาพที่ดีและชีวิตที่มีสุข แต่เป็นผู้ที่จะมามอบบ้านที่เป็นนิรันดร์ให้โดยการยกโทษบาปให้กับพวกเขา
1 1 ลิขสิทธิ 2007 โดย Community Bible Chapel, 418 E. Main Street, Richardson, TX 75081. ดัดแปลงจากต้นฉบับของบทเรียนที่ 43ในบทเรียนต่อเนื่องของพระกิตติคุณมัทธิว จัดเตรียมโดย ศบ โรเบิร์ต แอลเดฟฟินบาว กรกฎาคม 4, 2004ทุกท่านสามารถนำบทเรียนนี้ไปใช้เพื่อการศึกษาได้เท่านั้น ทางคริสตจักร Community Bible Chapel เชื่อว่าเนื้อหาในบทเรียนนี้ถูกต้องตรงตามหลักการสอนพระคัมภีร์ใช้เพื่อช่วย ในการศึกษาพระวจนะของพระเจ้า บทเรียนนี้เป็นพันธกิจ และเป็นลิขสิทธิของ Community Bible Chapel
2 2นอก จากที่กล่าวไปแล้ว พระวจนะที่นำมาอ้างอิงทั้งหมดมาจาก NET Bible (The NEW ENGLISH TRANSLATION) เป็น ฉบับแปลใหม่ทั้งหมดไม่ใช่นำฉบับเก่าในภาษาอังกฤษมาเรียบเรียงใหม่ใช้ผู้ เชี่ยวชาญและนักวิชาการพระคัมภีร์มากกว่า ยี่สิบคน รวบรวมข้อมูลทั้งจากภาษาฮีบรูโดยตรง ภาษาอาราเมข และภาษากรีกโครงการแปลนี้เริ่มมาจากที่เราต้องการนำ พระคัมภีร์เผยแพร่ผ่านสื่ออีเลคโทรนิค เพื่อรองรับการใช้งานทางอินเตอร์เน็ท และซีดี (compact disk) ที่ใดก็ตามในโลก ที่ต่อเข้าอินเตอร์เน็ทได้ ก็สามารถเรียกดูและพริ้นทข้อมูลไว้เพื่อใช้ศึกษาเป็นการส่วนตัวได้โดยไม่คิด มูลค่านอกจากนี้ ผู้ใดก็ตามที่ต้องการนำข้อมูลเกี่ยวกับพระคัมภีร์ไปเผยแพร่ต่อโดยไม่คิดเงิน สามารถทำได้จากเว็บไซท์ :www.netbible.org.
3 3 “เมืองของเขาทั้งหลาย” แปลว่าอะไร? แปลว่าเมืองต่างๆในกาลิลีที่เป็นบ้านของพวกสาวก? น่าจะเป็นได้ แต่ในลูกา 10:1 เราอาจสรุปได้ว่ามัทธิวอยากให้เราเข้าใจว่าพระเยซูไปเทศนาสั่งสอนในเมืองที่ พระองค์ทรงส่งพวกสาวกไปล่วงหน้า
4 4 สังเกตุดูในมาระโกและลูกา มีเรื่องของยอห์นผู้ให้บัพติศมาต่อจากเรื่องส่งสาวกสิบสองคนออกไป ในมาระโก 6:7-13 พระเยซูทรงส่งสาวกสิบสองคนออกไป และใน 6:14-29 เป็นเรื่องของเฮโรดและยอห์นผู้ให้บัพติศมา เป็นเรื่องเดียวที่บันทึกการตัดศีรษะของยอห์น และเฮโรดกลัวว่าพระเยซูคือยอห์นที่เป็นขึ้นมาจากความตาย ในลูกา 9:1-6 พระเยซูทรงส่งสาวกสิบสองคนออกไป และเหมือนในมาระโก ลูกา (9:7-9) บันทึกเกี่ยวกับความกลัวของเฮโรดว่าพระเยซูคือยอห์นที่ฟื้นกลับมา ในบทเรียนของเรา มีเรื่องส่งสาวกสิบสองคนออกไป (มัทธิว 10:1-15 และ 16-42) บันทึกเรื่องราวของยอห์นด้วย แต่ไม่ใช่เรื่องความกลัวของเฮโรด แต่เป็นความสงสัยของยอห์น เนื่องจากมีการส่งสาวกสิบสองคนออกไป เฮโรดและยอห์นมีบางสิ่งที่คล้ายกัน – คำถาม “เราพลาดอะไรไปหรือ?”
5 5เบื้องต้น ผมขออนุมานว่า“งานต่างๆ” ของพระเยซู เป็นการอัศจรรย์ที่พระองค์บอกยอห์นเมื่อตอบคำถามที่สาวกของท่านมาถามใน 9:14-17 และคำตรัสของพระเยซูใน 11:9 ทำให้ผมสงสัยว่า “งานต่างๆ” ที่ยอห์นได้ยินมานั้นอาจเป็นเรื่องกินและดื่มกับพวกคนบาป เป็นได้หรือไม่คำตอบของพระเยซูในสิ่งที่ยอห์นถาม ดึงท่านให้เห็นว่างานต่างๆเหล่านี้หรือที่ทำให้ท่านเกิดคำถาม ผมจึงค่อนข้างเชื่อว่า “งานต่างๆ” ที่รบกวนใจยอห์นน่าจะเป็นเรื่องกินและดื่มกับคนบาป ในขณะที่พระเยซูทรงชี้ให้ยอห์นเห็นว่าเป็นเรื่องการทำอัศจรรย์และเทศนาสั่ง สอน
7 7ภาษาอังกฤษใช้จากการแปลฉบับ NET Bible
9 9ขณะไม่มีคำว่ากลับใจในตอนนี้ มาระโก 6:12 พูดชัดเจนว่ามีการประกาศให้กลับใจ
10 10จาก ดิกชันนารี่พระคัมภีร์ของ Fausset’s Bible Dictionary (อ้างจาก BibleWorks): สดุดี 87:4 ทำนายว่าไทระจะเป็นหนึ่งในเมืองที่กล่าวว่าจะมีผู้นี้ในยุคของพระเมสซิยาห์ มาเกิดที่เยรูซาเล็ม การช่วยซาโลมอนสร้างพระวิหารเป็นเหมือนสัญลักษณ์นำร่อง และความเชื่อของหญิงชาวฟินิเซีย (มาระโก 7:26) เป็นผลแรกที่เป็นจริง อิสยาห์ (อิสยาห์ 23:18) ทำนายว่า “สินค้าของมันและสินจ้างของมันจะเป็นของถวายแด่พระเจ้า … แต่สินค้าของมันจะอำนวยอาหารอุดมและเสื้อผ้างามแก่บรรดาผู้ที่อยู่ต่อพระ พักตร์พระเจ้า” เป็นจริงที่คริสตจักรในเมืองไทระ ความมั่งคั่งที่ถวายให้พระเจ้าและสนับสนุนพันธกิจของคริสตจักร อ เปาโลได้พบกับพวกสาวกที่นั่น (กิจการ 21:306) การได้อยู่ร่วมสามัคคีธรรมกับบรรดาธรรมิกชนที่เกิดขึ้นในทันที แม้เมื่อก่อนต่างก็เป็นคนแปลกหน้ากัน นับเป็นภาพความรักกันฉันพี่น้องของคริสเตียนทุกคนรวมทั้งภรรยาและบุตรของพวก สาวกต่างก็มาต้อนรับและมาส่งท่านเมื่อจากไป ทุกคนได้คุกเข่าลงอธิษฐานด้วยกันที่ชายหาด ภายใต้พระพรของสวรรค์และการอธิษฐาน สดุดี 45:12 “ชาวเมืองไทระจะเอาของกำนัลมาถวายพระนางเศรษฐีในหมู่ ประชาชนจะขอความโปรดปรานจากพระนาง” ขอมีส่วนจากอิสราเอลเข้าในแผ่นดินของพระเจ้า (อิสยาห์ 44:5; 60:6-14; สดุดี 72:10) เมื่ออิสราเอล “ตั้งใจฟัง” พระเมสซิยาห์และ “ลืมคนของตนเอง (พิธีกรรมของยิว) และวงศ์วานของบรรพบุรุษ (โอ้อวดว่าเป็นเชื้อสายของอับรามฮัม) กษัตริย์ปรารถนาจะได้ความงดงามของเธอ” และพระเมสซิยาห์จะเป็นที่ปรารถนาของทุกชนชาติ เช่นไทระ (ฮักกัย 2:7)
11 11ตามคำสั่งของพระเยซูในมัทธิว 10:5
12 12คำ กล่าวโทษต่อเมืองใหญ่นี้ได้เกิดขึ้นเป็นจริงอย่างครบถ้วน (มัทธิว 11:23 ลูกา 10:15) เมืองนี้พินาศลงอย่างสิ้นเชิงและเป็นพื้นที่ๆยังมีความขัดแย้งจนทุกวันนี้ ในพระคัมภีร์ นอกเหนือจากหนังสือพระกิตติคุณ ไม่มีการกล่าวถึงคารเปอรนาอุมในที่อื่นๆ เมื่อพระเยซูเสด็จออกจากนาซาเร็ธ ทรงไปอาศัยอยู่ในคาเปอรนาอุม (มัทธิว 4:13) และทรงให้ที่นั่นให้เป็นศูนย์กลางแห่งพระราชกิจระหว่างประกาศแก่ฝูงชน และที่ใกล้ๆกัน ทรงเรียกชาวประมงให้ติดตามพระองค์ไป (มาระโก 1:16) เรียกคนเก็บภาษีให้ละอาชีพตามพระองค์ไป (มัทธิว 9:9) เป็นพื้นที่ๆทรง “ทำการอัศจรรย์” มากมาย (มัทธิว 11:23 มาระโก 11:34) ที่นี่พระเยซูทรงรักษาบ่าวของนายร้อย (มัทธิว 8:5) และบุตรของผู้มีชื่อเสียง (ยอห์น 4:46) แม่ยายของเปโตร (มาระโก 1:31) และชายง่อย (มัทธิว 9:1) ทรงขับผี (มาระโก 1:23) และอาจเป็นที่นี่ ที่ทรงช่วยชีวิตลูกสาวของไยรัส (มาระโก 5:22) ในคาเปอรนาอุมเด็กเล็กถูกนำมาใช้ในการสั่งสอนพวกสาวกเรื่องความถ่อมใจ และในธรรมศาลาพระเยซูทรงเทศนาเรื่องอาหารแห่งชีวิต (ยอห์น 6)
13 13 ขณะที่ยังไม่เหมาะจะนำเรื่องจากโรม 9 มาสอนในตอนนี้ แต่ผมมีอยู่ในบทเรียนพระธรรมโรม ในตอนนี้ขอเพิ่มเฉพาะ โรม 9:30-10:15 ชาวยิวจำนวนมากไม่เชื่อในพระเยซู เพราะพวกเขาปฏิเสธสิ่งที่พระองค์เตรียมให้สำหรับความชอบธรรมโดยความเชื่อ แต่พวกเขายืนกรานจะได้ความชอบธรรมโดยการเพียรปฏิบัติของตนเอง
14 14 ประเด็นตรงนี้เป็นครั้งแรกในมัทธิว พระเยซูทรงอำนาจอธิปไตยในเรื่องความรอดของมนุษย์ ข้อเท็จจริงนี้ไม่ควรเข้าใจผิดว่าเป็นการปฏิเสธความจริงว่ามนุษย์มีทางที่ ต้องเลือก และต้องรับผิดชอบในสิ่งที่ตนเองเลือก คำตรัสของพระเยซูเน้นให้เห็นสมการจากด้านหนึ่งจากโรม 9 และในที่อื่นๆ พระเยซูเน้นให้เห็นส่วนของมนุษย์ซึ่งก็คืออีกด้านของสมการในโรม 10
15 15 อาจช่วยให้เห็นความจริงว่าพระเยซูทรงพูดถึงพระองค์เองในมัทธิว 10:28
16 16 เป็นสิ่งที่ใกล้เคียงกับที่ อ เปาโลพูดเรื่องการทรงเลือก (โรม 9:6-29) และความรับผิดชอบของมนุษย์ (โรม 9:30-10:15)