MENU

Where the world comes to study the Bible

บทที่ 9: ซาอูล โยนาธาน และชาวฟิลิสเตีย (1 ซามูเอล 13:15 —14:15)

คำนำ

ผมและเพื่อนเคยถ่ายรูปเอาไว้ตอนไปเที่ยวตกปลากันเมื่อปีที่แล้ว ดูทีไรทำให้นึกถึง การเดินทางและความทรงจำที่สวยงาม รูปที่ถ่ายนั้นเป็นการถ่ายลงมาจากที่สูง มีเพื่อน ที่ชื่อบาร์ท จอห์นสัน ยืนอยู่บนยอดเขา สิ่งแรกที่เห็นคือปลายหัวรองเท้าบูทของบาร์ท — และมองดิ่งลงไปตามความสูงของหน้าผา — ไปยังทะเลสาบเบื้องล่าง ผมไม่ได้ปีน ลงไปกับบาร์ทและแรนดัลน้องชายของเขา แต่ปีนขึ้นไปบนยอดเขาด้วย — ตอนถ่ายรูป ผมยืนอยู่ใต้ต้นไม้ห่างจากหน้าผาไปพอสมควร — จากยอดเขาลงไปที่ทะเลสาบคงระยะ ประมาณ 20-25 ฟิต ผมลองหย่อนสายเบ็ดลงไป และมองเห็นปลาเทร้าท์ว่ายมาดูๆ บางตัวก็ตอดเบ็ดบ้าง — ผมลองพยายามเหวี่ยงเหยื่อไปล่อใกล้ๆปลา — โดยยืนจากจุด ใต้ต้นไม้นั้นแหละ

บาร์ทและแรนดัลเพื่อนผมเป็นพวกชอบทำในสิ่งที่ยากและเสี่ยง พวกเขาไปสอบถามเจ้า หน้าที่ประจำอุทยานถึงสถานที่ตกปลาพิเศษแห่งหนึ่ง เจ้าหน้าที่ตอบว่า "โอ ผมคงไม่ พยายามไปตกปลาที่ทะเลสาปนั้นแน่ๆ มันอยู่ไกลเกินไป แถมยังต้องปีนขึ้นเขาไปประ มาณ 2.000ฟิต แล้วยังต้องปีนลงไปอีกด้านอีก 2.000ฟิต เพื่อจะลงไปให้ถึงที่ทะเล สาบ" คำพูดแค่นี้ก็เพียงพอให้ทั้งบาร์ทและแรนดัลเก็บข้าวของแล้วรีบไปในทันที พวก เขาเล่าว่าที่นั่นปลาชุมมาก แทบจะตกได้ทุกครั้งที่หย่อนเบ็ดลงไป ผมว่าน่าจะเป็นจริง แต่ผมเห็นรูปที่พวกเขาถ่ายจากบนยอดเขา และหน้าผาที่ไต่ลงไปแล้ว แถมยังต้องไต่ กลับขึ้นมาอีก ผมไม่รู้สึกเสียดายหรอกครับที่ต้องนั่งตกอยู่ในที่เดิมๆที่ผมเคยมานั่งตก ทุกที มันอยู่เหนือระดับน้ำเพียงนิดเดียวเอง

พอได้อ่านเรื่องราวของโยนาธานและคำพูดหาเสียงชักชวนให้ไปสู้รบกับฟิลิสเตียแล้ว ทำให้ผมนึกถึงรูปของบาร์ทและแรนดัลที่อยู่เหนือหน้าผาขึ้นมาทันที เหมือนกับผมที่ ตัดสินใจนั่งตกปลาอยู่ในที่ปลอดภัยใต้ต้นไม้ ซาอูลเองก็ทำเช่นเดียวกัน คือเลือกที่จะ นั่งสงบๆอยู่ใต้ต้นไม้ดีกว่า ในขณะที่โยนาธานและคนถือเครื่องอาวุธพยายามไต่ลงไป ยังหน้าผาที่ลาดชัน เพื่อไปรบกับกองกำลังของฟิลิสเตีย ไม่ว่าการไต่จะยากลำบาก หรือการที่ฟิลิสเตียยังมีใจเอื้อเฟื้ออยู่บ้าง ไม่สามารถยับยั้งโยนาธานให้หยุดการโจมตี เหล่าศัตรูของอิสราเอลได้ ยังมีเรื่องอีกมากมายนอกหเนือจากการเสี่ยงภัยไต่หน้าผา เราจะมาพิจารณาดูเนื้อหาในตอนนี้อย่างละเอียด เราจะเรียนรู้จักทั้งซาอูลและโยนาธาน มากขึ้นไปอีก — และเรียนรู้ที่จะไว้วางใจในพระเจ้า

ทบทวน

อิสราเอลต้องการกษัตริย์และพระเจ้าก็อนุญาติให้ตามที่ขอ (1 ซามูเอล 8) เหตุการณ์ก็ ดำเนินต่อเนื่องมา จนพระเจ้าแต่งตั้งซาอูลให้ขึ้นมาเป็นกษัตริย์เหนืออิสราเอล (บทที่ 9 และ 10) เมื่อนาหาชคนอัมโมนมาข่มขู่ชาวเมืองยาเบชกิเลอาด ซาอูลที่มีพระวิญญาณ สถิตอยู่ ได้ฆ่าวัวและฟันออกเป็นท่อนๆส่งไปทั่วดินแดน บังคับแกมขู่ว่า ถ้าผู้ใดไม่ออก มาช่วยพี่น้อง วัวของเขาก็จะถูกกระทำในแบบเดียวกัน ผลจากการนี้มีคนอาสามาต่อสู้ กับคนอัมโมนถึง 330,000 คน ทำให้อิสราเอลมีชัยชนะเป็นอย่างมาก (บทที่ 11) ฝ่ายซามูเอลได้ตักเตือนชาวอิสราเอลอย่าให้มองกษัตริย์องค์ใหม่นี้ในแง่ดีจนเกินไป ท่านเตือนพวกเขาว่าพระเจ้าเท่านั้น ไม่ใช่มนุษย์ ที่เป็นผู้ช่วยกู้คนอิสราเอลตลอดเวลา ในประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา ถ้าอิสราเอลกบฎต่อพระเจ้า ไม่ยอมวางใจและเชื่อฟังพระองค์ พวกเขาทั้งหมดรวมทั้งกษัตริย์ด้วยจะถูกมอบไว้ในมือของศัตรูต่างชาติ แต่ถ้าอิสราเอล มีความยำเกรงในพระเจ้า พระองค์ก็จะทรงไว้ชีวิตทั้งกษัตริย์และประชากร (บทที่ 12)

ต่อมาในบทที่ 13 สถาณการณ์ของซาอูลและอิสราเอลดูจะตกต่ำลงอย่างรวดเร็ว การที่ โยนาธานบุกไปโจมตีกองกำลังของฟิลิสเตียนั้น สร้างความโกรธแค้นอย่างใหญ่หลวง ให้กับชาวฟิลิสเตีย พวกเขายกกองทัพมหึมา มาเพื่อหวังจะบดขยี้อิสราเอลให้ราบคาบ เหตุการณ์ดำเนินไปอย่างตกต่ำลงทุกที ซาอูลต้องเรียกให้ประชาชนกลับมาร่วมรบอีก ครั้ง ทั้งๆที่พวกเขาพึ่งกลับไปได้ไม่นาน มีคนอาสามาน้อยมาก เมื่อเทียบกับครั้งที่แล้ว และเมื่อพวกเขามาเห็นความมหึมาของกองทัพฟิลิสเตีย พวกเขาก็แตกหนีกระจัดกระ จายไป เมื่อซามูเอลมาถึง ก็เกือบหมดเวลานัดหมาย ซาอูลไม่มีความอดทนรอคอย ท่านเข้าไปจัดการเผาเครื่องถวายบูชาและถวายศานติบูชาแทนซามูเอลเอง ซามูเอล มาถึงเมื่อพิธีเสร็จสิ้นลงแล้ว ท่านไม่ยอมรับคำแก้ตัวที่ไร้น้ำหนักของซาอูล ท่านดุว่า ซาอูลว่าได้ทำการอันโง่เขลา และประกาศว่าเพราะการขัดคำสั่งของซาอูล ราชวงศ์ของ ท่านจะจบสิ้นลง พระเจ้าได้ทรงกำหนดเลือกผู้ที่จะมาแทนท่านแล้ว เป็นผู้ที่ยอมทำ ตามน้ำพระทัยของพระองค์เป็นที่สุด (13:1-14).

ปฏิบัติการเหนือชั้น
(13:15-23)

15 และซามูเอลก็ลุกขึ้นไปจากกิลกาลถึงกิเบอาห์แห่งเผ่า เบนยามิน และซาอูลทรงนับพลซึ่งอยู่กับพระองค์ได้ประ มาณหกร้อยคน 16 ซาอูลกับโยนาธานราชโอรสของพระองค์ และพลที่อยู่กับพระองค์ก็อยู่ในเกบาแห่งเผ่าเบนยามิน แต่ คนฟีลิสเตียตั้งค่ายอยู่ที่มิคมาช 17 มีกองปล้นออกมาจาก ค่ายคนฟีลิสเตียสามกอง กองหนึ่งหันตรงไปยังโอฟราห์ยัง แผ่นดินชูอัล 18 อีกกองหนึ่งหันตรงไปยังเบธโฮโรนและอีก กองหนึ่งหันตรงไปยังพรมแดนซึ่งอยู่เหนือหุบเขาเศโบอิม ตรงถิ่นทุรกันดาร 19 คราวนั้นจะหาช่างเหล็กทั่วแผ่นดิน อิสราเอลก็ไม่มี เพราะคนฟีลิสเตียกล่าวว่า "เกรงว่าพวก ฮีบรูจะทำดาบหรือหอกใช้เอง" 20 แต่คนอิสราเอลทุกคน ไปยังฟีลิสเตียเพื่อลับผาล ขวานและจอบของเขา 21 ค่าลับ นั้นพิมหนึ่งสำหรับลับจอบ ผาล สามง่าม ขวานและติดประตัก 22 เพราะฉะนั้นเมื่อถึงวันทำศึกจะหาดาบหรือหอกในมือของ พลที่อยู่กับซาอูลและโยนาธานก็ไม่ได้ แต่ซาอูลกับโยนาธาน ราชโอรสของพระองค์มี 23 และกองทหารรักษาการของคน ฟีลิสเตียยกไปถึงทางที่ข้ามไปเมืองมิคมาช

เรามาเริ่มจากตรงที่ซามูเอลละซาอูลไว้ที่กิลกาลและกลับไปยังกิเบอาห์ โดยไม่มีการ "สั่งว่าท่านควรจะกระทำอะไร" (10:8) ซามูเอลไม่ได้แนะสิ่งใดให้ซาอูลเลยว่าควรจัด การอย่างไรกับกองทัพมหึมาของฟิลิสเตียที่ยกมาเพราะความแค้นที่กองกำลังของพวก เขาถูกโยนาธานบุกไปโจมตีที่เกบา (13:3; ดู 10:5 ด้วย) ในการเตรียมรบ ซาอูลนับ กำลังพลได้เพียง 600 เท่านั้นที่ติดตามท่านอยู่ ด้วยกองกำลังนับหมื่นนับพันของ ฟิลิสเตีย ดูเหมือนอิสราเอลและกษัตริย์องค์ใหม่ตกเป็นรองอย่างชนิดไม่ต้องพนันเลย

เราอาจนึกถึงภาพกองทัพฟิลิสเตียยืนอยู่ฟากหนึ่งที่มิคมาช และกองกำลังของอิสราเอล ภายใต้การนำของซาอูลและโยนาธานอยู่อีกฟากหนึ่งที่เกบา (13:16) แต่รู้สึกจะไม่เป็น เช่นนั้น ในขณะที่กองกำลังส่วนใหญ่ของฟิลิสเตียยืนหยัดอยู่ที่มิคมาช มีการส่ง "กอง ปล้น" สามกองออกจากฟิลิสเตีย (13:17; 14:15) กองหนึ่งบ่ายหน้าไปทางเหนือไปยัง โอฟราห์ กองหนึ่งไปทางตะวันตกที่เบธโฮโรน และกองที่สามไปทางตะวันออกสู่ถิ่น ทุรกันดาร (พวกอิสราเอลอยู่ทางตอนใต้ ) กองปล้น หรือพวกเข้าทำลายนี้นับเป็น "กองกำลังพิเศษ" ที่มีหน้าที่ต้อง ฆ่า เผาทำลาย ซึ่งหมายถึงทำลายชีวิต สัตว์เลี้ยง บ้านเรือนไร่นา ถ้าปล่อยให้พวกนี้ยิ่งปล้นฆ่านานเท่าใด ยิ่งนำมาซึ่งสถานการณ์ที่เลว ร้ายยิ่งของอิสราเอล ถ้าอิสราเอลไม่สามารถเอาชนะฟิลิสเตียและขับไล่พวกเขาไปให้ พ้นได้ อิสราเอลกำลังมุ่งหน้าสู่ความพินาศ

ด้วยกองกำลังที่มากมายกว่าเช่นนี้ ชาวอิสราเอลหวาดกลัวหลบหนีกันอย่างลนลาน ซาอูลกระทำการโง่เขลาโดยการเผาเครื่องถวายบูชาด้วยตนเองและถูกซามูเอลดุว่า กองปล้นฟิลิสเตียกำลังเข้ามาฆ่าล้างทำลายในแผ่นดิน ทิ้งไว้แต่ความพินาศเมื่อจากไป เมื่อเปรียบเทียบกับฟิลิสเตียแล้ว กองกำลังของอิสราเอลดูจะกระจ้อยร่อยและขาด แคลนอาวุธทีจะใช้ในการรบ เพราะยุคเหล็กได้เข้ามาถึงฟิลิสเตีแแล้ว ด้วยเทคโนโลยี ต่างๆ ทำให้พวกฟิลิสเตีย มีดาบเหล็ก หอกเหล็ก และล้อรถม้าทำด้วยเหล็กใช้ พวกชาว นามีเครื่องมืออย่างดีใช้ทำนา แต่ชาวอิสราเอลไม่ได้รับการถ่ายทอดเทคโนโลยีเหล่านี้ จากฟิลิสเตีย ชาวฟิลิสเตียขายเครื่องมือทำไร่ให้กับชาวอิสราเอล แต่ไม่ขายอาวุธให้ ซ้ำยังไม่อนุญาติให้ทำ หรือมีอาวุธในครอบครอง46 http://www.bible.org/docs/ot/books/1sa/deffin/ อีกด้วย สิ่งนี้ทำให้อิสราเอลเหมือน หมาจนตรอก (ขอโทษที่ต้องใช้สำนวนนี้) ผู้เขียนบอกเราว่ามีเพียงซาอูลและโยนาธาน เท่านั้นที่มีอาวุธ (13:22) อิสราเอลกำลังตกที่นั่งลำบาก

ถ้าพูดกันในแง่เกษตรกรรม ชาวอิสราเอลต้องพึ่งพิงชาวฟิลิสเตียทุกประการ อิสราเอล ต้องซื้อเครื่องมือทำไร่จากฟิลิสเตีย แถมยังต้องไปจ่ายค่าลับเครื่องมือเหล่านั้นให้กับ ฟิลิสเตียอีก ดังนั้น ในการดำเนินชีวิตแต่ละวันของอิสราเอลยิ่งตอกย้ำถึงการเป็นเมือง ขึ้นตลอดเวลา ถ้าพูดกันในแง่การทหาร อิสราเอลแทบไม่มีหวังเลย ฟิลิสเตียมีกองทัพ ที่ใหญ่และเพียบพร้อมไปด้วยอาวุธ ยังมีกองปล้นที่ออกปฏิบัติการทำลายล้างไปทั่วดิน แดน อิสราเอลมีเพียงกองทหารเล็กๆที่ตื่นตระหนก มีหลายคนหนีกระจัดกระจายไป แถมมีบางคนไปเข้าพวกกับฟิลิสเตียด้วย (ดู 14:21) กษัตริย์อิสราเอลพยายามดิ้นรน จนถึงที่สุด ถึงจะมีเทคโลโนยีที่ต่ำกว่าชนิดเทียบกันไม่ติด อิสราเอลกำลังตกอยู่ใน ฐานะเดินหน้าก็ตาย ถอยไปก็ตาย

ผมกำลังนึกถึง "สงครามหกวัน" ระหว่างอิสราเอลและประเทศเพื่อนบ้านในเดือนมิถุนา ยน คศ. 1967 ที่ผมจำได้เพราะเป็นตอนที่ผมและภรรยากำลังจะเดินทางไปเมืองดัลลัส เท็กซัส เพื่อไปร่วมงานที่วิืทยาลัยพระคริสตธรรม เรากำลังนึกสงสัยว่าพระเจ้ากำลังจะ เสด็จกลับมาหรือเปล่า เราได้ฟังจากข่าวว่าอิสราเอลนั้นขาดกำลัง ขาดอาวุธ และค่อน ข้างจะอ่อนแอ เราไปคาดผิดว่าอิสราเอลไม่มีทางจะชนะได้ แต่พวกเขาก็ชนะได้ใน เวลาอันแสสนสั้น ผมเชื่อว่าเป็นการจัดเตรียมของพระเจ้าที่มีให้กับประชากรของพระ องค์

ความเขลาของซาอูล และความเชื่อของโยนาธาน
(14:1-15)

1 วันหนึ่งโยนาธานบุตรของซาอูลกล่าวกับคนหนุ่มที่ถือเครื่องอาวุธของ ท่านว่า "มาเถิดให้เราข้ามไปยังค่ายฟีลิสเตียข้างโน้น" แต่หาได้ทูลพระ บิดาของตนให้ทราบไม่ 2 ซาอูลทรงพักอยู่ที่ชานเมืองกิเบอาห์ใต้ต้นทับ ทิม ซึ่งอยู่ที่ตำบลมิโกรน พลซึ่งอยู่ด้วยมีประมาณหกร้อยคน 3 กับอาหิ ยาห์ บุตรอาหิทูบพี่ชายของอีคาโบด บุตรของฟีเนหัสผู้เป็นบุตรของเอลี ปุโรหิตแห่งพระเจ้าที่เมืองชิโลห์ เขาถือเอโฟดไป และพวกพลไม่ทราบ ว่าโยนาธานไปแล้ว 4 ตามทางข้ามเขาที่โยนาธานหาช่อง ที่จะข้ามไป ยังค่ายของฟีลิสเตียนั้น มียอดหินแหลมอยู่ฟากทางข้างนี้ และฟากทาง ข้างโน้นยอดหนึ่งมีชื่อว่าโบเซส อีกยอดหนึ่งชื่อเสเนห์ 5 หินแหลมยอด หนึ่งโผล่ขึ้นข้างเหนือหน้ามิคมา และอีกยอดหนึ่งโผล่ขึ้นข้างใต้หน้าเก บา 6 โยนาธานกล่าวกับคนหนุ่มที่ถือเครื่องอาวุธของท่านว่า "มาเถิด ให้เราข้ามไปยังกองทหารรักษาการของคนเหล่านั้นที่มิได้เข้าสุหนัต บางทีพระเจ้าจะทรงประกอบกิจเพื่อเรา เพราะว่าไม่มีสิ่งใดที่ขัดขวาง พระเจ้า ได้ในการที่พระองค์จะทรงช่วยกู้ ไม่ว่าโดยคนมากหรือน้อย" 7 ผู้ถือเครื่องอาวุธของท่านจึงตอบท่านว่า "จงกระทำทุกสิ่งที่จิตใจ ของท่านอยากกระทำ หันไปเถิด นี่แน่ะข้าพเจ้าอยู่กับท่าน ตามแต่ จิตใจของท่านจะว่าอย่างไร" 8 แล้วโยนาธานกล่าวว่า "ดูเถิดเราจะ ข้ามไปหาคนเหล่านั้น และจะสำแดงตัวของเราให้เขาเห็น 9 ถ้าเขา จะกล่าวแก่เราว่า 'จงคอยอยู่จนกว่าเราจะมาหาเจ้า' แล้วเราจะยืนนิ่ง อยู่ในที่ของเรา และเราจะไม่ไปหาเขา 10 แต่ถ้าเขาว่า 'จงขึ้นมาหา เราเถิด' แล้วเราจึงจะขึ้นไปเพราะพระเจ้าทรงมอบเขาไว้ในมือเรา แล้วจะให้เรื่องนี้เป็นสัญญาณแก่เรา" 11 ทั้งสองจึงสำแดงตัวให้กอง ทหารรักษาการคนฟีลิสเตียเห็น และคนฟีลิสเตียกล่าวว่า "ดูซิ พวก ฮีบรูออกมาจากรูที่ซ่อนตัวอยู่แล้ว" 12 และคนที่กองทหารรักษาการ จึงร้องบอกโยนาธานและผู้ถือเครื่องอาวุธของท่านว่า "จงขึ้นมาหา เราจะแจ้งให้เจ้าทราบสักเรื่องหนึ่ง" และโยนาธานบอกผู้ถือเครื่อง อาวุธของท่านว่า "จงตามข้ามา เพราะพระเจ้าได้ทรงมอบเขาไว้ในมือ อิสราเอลแล้ว" 13 แล้วโยนาธานก็คลานขึ้นไปและผู้ถือเครื่องอาวุธ ของท่านก็ตามไปด้วย คนเหล่านั้นก็ล้มตายหน้าโยนาธาน และผู้ถือ อาวุธก็ฆ่าเขาทั้งหลายตามท่านไป 14 การฆ่าฟันครั้งแรก ที่โยนาธาน และผู้ถืออาวุธของท่านได้กระทำนั้นมีประมาณยี่สิบคน อย่างในระยะ ทางครึ่งรอยไถในนาสักสองไร่ 15 และบังเกิดการสั่นสะท้านในค่าย ในทุ่งนา และในหมู่ประชาชน กองทหารนั้นและถึงกองปล้นก็ตกใจตัว สั่นแผ่นดินได้ไหว กระทำให้เกิดการสั่นสะท้านมากยิ่งนัก

ตอนที่ผมเรียนอยู่ในชั้นของ ดร.บรูซ วอลท์กี้ที่วิทยาลัยพระคริสตธรรม ท่านนำยาโคบ และอิสอัคมาเปรียบเทียบกัน ท่านอธิบายถึงยาโคบว่า "ถ้าอิสอัคเป็นรอยรั่วเล็กๆ ยา โคบก็เป็นรอยระเิบิด !" ผมต้องยอมรับว่ายิ่งอ่านเรื่องของซาอูลมากเท่าใด ผมยิ่งชอบ ท่านน้อยลงเท่านั้น ให้เรามาทบทวนสิ่งที่มีการบันทึไว้เกี่ยวกับท่าน ในบทที่ 8 ประ ชาชนเรียกร้องขอกษัตริย์ ในบทที่ 9 และ 10 ซาอูลได้รับการเจิมตั้งให้เป็นกษัตริย์ ของอิสราเอล ต่อมาซาอูลสามารถทำหน้าที่ได้เพราะพระวิญญาณสถิตกับท่าน ผมสน ใจเรื่องการสถิตอยู่ของพระวิญญาณเป็นพิเศษ พระเจ้าตรัสผ่านซามูเอลถึงเรื่องนี้ว่า :

5 "ต่อจากนั้นท่านจะมาถึงกิเบอัทเอโลฮิม ที่นั่นมีกอง ทหารรักษาการของคนฟีลิสเตีย เมื่อท่านมาถึงเมืองนั้น ท่านจะพบผู้เผยพระวจนะหมู่หนึ่งกำลังลงมาจาก ปูชนีย สถานสูงถือพิณใหญ่ รำมะนา ปี่ พิณเขาคู่ นำหน้ามา กำลังเผยพระวจนะเรื่อยมา 6 แล้วพระวิญญาณของพระเจ้า จะมาสถิตกับท่านอย่างมาก และท่านจะเผยพระวจนะกับ คนเหล่านั้น เปลี่ยนเป็นคนละคน 7 เมื่อหมายสำคัญเหล่านี้ เกิดแก่ท่านแล้วจงกระทำอะไรตามแต่มีโอกาสเถิด เพราะ พระเจ้าทรงสถิตกับท่าน 8 และท่านจงลงไปที่กิลกาลก่อน ฉัน และดูเถิด ฉันจะลงมาหาท่านเพื่อจะถวายเครื่องเผาบูชา และถวายสัตว์เป็นเครื่องศานติบูชา ท่านจงคอยอยู่ที่นั่นเจ็ด วันจน ฉันมาหาท่านและสำแดงแก่ท่านว่า ท่านควรจะกระทำ อะไร" 9 เมื่อซาอูลหันหลังไปจะจากซามูเอล พระเจ้าทรง ประทานจิตใจอีกอย่างหนึ่งแก่ท่าน และหมายสำคัญเหล่านี้ ทั้งหมดเกิดขึ้นในวันนั้น 10 เมื่อเขาทั้งสองมาถึงกิเบอาห์ ดู เถิดผู้เผยพระวจนะหมู่หนึ่งพบกับท่าน และพระวิญญาณของ พระเจ้าสิงสถิตกับท่านอย่างมาก และท่านก็เผยพระวจนะอยู่ ในหมู่พวกเขา
(1 ซามูเอล 10:5-10)

หมายสำคัญสองประการแรกเฉพาะสำหรับซาอูลเท่านั้น เพื่อให้มั่นใจว่าคำพูดของซามู เอลนั้นมาจากพระเจ้า การที่พระวิญญาณมาสถิตเหนือซาอูล เป็นหมายสำคัญให้กับ ซาอูลเองและกับประชาชนที่เห็นเหตุการณ์ด้วย (10:11-12) คำพูดของซามูเอล ตามที่บันทึกอยู่ในข้อ 7 เป็นการเจาะจงมาก เมื่อหมายสำคัญต่างๆได้เกิดขึ้นแล้ว ซามู เอลสั่งซาอูลให้ท่าน "จงกระทำอะไรตามแต่มีโอกาสเถิด" เพื่อให้มั่นใจว่าพระเจ้าจะ สถิตอยู่ด้วยในทุกสิ่งที่ท่านกระทำ ในข้อที่ 8 ซามูเอลสั่งอย่างเจาะจงให้ซาอูลไปที่ กิลกาลและคอยท่านอยู่ที่นั่นเจ็ดวัน หลังจากที่ท่านไปทำการเผาเครื่องบูชา และถวาย ศานติบูชาแล้ว ท่านจะ "สำแดงว่าควรทำอะไร" เหตุใดเวลาเพียงแค่สองปี พระ วิญญาณจึงพรากไปจากซาอูล และไปจากท่านที่กิลกาล ? เหตุใดจึงไม่มีข้อมูลใดๆ เกี่ยวกับการกระทำตามแต่จะเห็นชอบในระหว่างช่วงสองปีก่อนที่จะไปกิลกาลนั้นเลย ?

เรารู้ว่าซาอูลเรียกชุมนุมคนอิสราเอลให้มาทำสงครามกับพวกอัมโมน เพื่อป้องกันเมือง ยาเบชกิเลอาดให้กับพี่น้องร่วมชาติ (บทที่ 11) ขณะที่อ่านตอนนี้ ผมคิดว่าซาอูลไม่ได้ ตัดสินใจทำการเอง แต่เป็นการทำงานของพระวิญญาณ— ซาอูลไม่ได้กระทำมากเท่า กับที่พระวิญญาณทรงทำ และที่สุดแล้ว ซาอูลแทบจะไม่ได้เป็นผู้ริเริ่มในการออกไปต่อ สู้กับคนอัมโมน ; แต่เป็นพระวิญญาณของพระเจ้าต่างหากที่ทรงทำ

ในครั้งอดีต พระเจ้าทรงแต่งตั้งผู้วินิจฉัยให้มาช่วยกู้อิสราเอลออกจากเงื้อมมือของศัตรู :

10 " และเขาทั้งหลายร้องทูลต่อพระเจ้าว่า 'ข้าพระองค์ ทั้งหลายได้กระทำบาปแล้ว เพราะว่าข้าพระองค์ทั้งหลาย ได้ละทิ้งพระเจ้าไปปรนนิบัติ บรรดาพระบาอัลและพระอัช ทาโรททั้งหลาย แต่บัดนี้ขอพระองค์ทรงช่วยกู้ข้าพระองค์ ทั้งหลายให้พ้นมือศัตรูของข้าพระองค์ และข้าพระองค์ทั้ง หลายจะปรนนิบัติพระองค์' 11 และพระเจ้าทรงใช้เยรุบบาอัล และเบดาน และเยฟธาห์ และซามูเอล และช่วยกู้ท่านทั้งหลาย ออกจากมือศัตรูทุกด้านและท่านทั้งหลายอาศัยอยู่อย่างปลอด ภัย"
(1 ซามูเอล 12:10-11)

เราเห็นชัดว่าชาวอิสราเอลต้องการ (หรือสั่ง) ให้มีกษัตริย์เพื่อมานำในสงคราม (ดู 8: 19-20) ฉบับเซพทัวเจ็นท์ (Septuagint - การแปลพระคัมภีร์เดิมจากภาษาฮีบรูไปเป็น ภาษากรีก) ในบทที่ 10 ข้อ 1 พระคัมภีร์ฉบับ New King James มีการบอกไว้ในส่วนที่ เพิ่มเติมในข้อ 1 เป็นหมายเหตุว่า :

LXX, Vg. เพิ่ม - และท่านจะช่วยกู้ประชากรของ พระองค์จากเงื้อมมือของบรรดาศัตรูรอบด้าน และ นี่เป็นหมายสำคัญต่อท่านว่าพระเจ้าทรงเจิมตั้งท่าน ให้เป็นผู้ครอบครอง

ต่อมาในบทที่ 14 การปกครองของซาอูลสามารถสรุปได้ดังต่อไปนี้ :

47 เมื่อซาอูลได้รับตำแหน่งพระราชาเหนืออิสราเอลนั้น พระองค์ได้ทรงต่อสู้ศัตรูทุกด้าน ต่อสู้กับโมอับ กับชน อัมโมน กับเอโดม กับบรรดาพระราชาแห่งโศบาห์ และกับคนฟีลิสเตีย ไม่ว่าพระองค์จะหันไปทางไหน พระองค์ก็ทรงกระทำให้เขาพ่ายแพ้ไป 48 พระองค์ทรง สู้รบอย่างเข้มแข็ง และทรงโจมตีพวกอามาเลขและทรง ช่วยกู้คนอิสราเอลให้พ้นจากมือของบรรดาผู้ที่เข้าปล้นเขา
(1 ซามูเอล 14:47-48).

ถ้าผมเข้าใจถูกต้อง คนอิสราเอลอยากมีกษัตริย์เพื่อที่จะมาช่วยพวกเขาให้พ้นจากเงื้อม มือของบรรดาศัตรูรอบด้าน เช่นเดียวกับที่พวกผู้วินิจฉัยได้ทำมาในอดีต พระเจ้าทรง มอบซาอูลให้เป็นกษัตริย์ของพวกเขา เป็นผู้ที่มาช่วยกู้ให้พ้นจากบรรดาศัตรู ถ้าทั้ง ซาอูลและคนในชาติวางใจและเชื่อฟังพระบัญญัติของพระองค์ พระวิญญาณทรงสถิต อยู่ด้วย เช่นเดียวกับที่ได้สถิตกับแซมสันและผู้วินิจฉัยท่านอื่นๆ เพื่อให้ท่านเหล่านี้มี ความสามารถในการนำชัยมาสู่อิสราเอลได้ และเมื่อพระวิญญาณมาสถิตอยู่ด้วยแล้ว ซามูเอลสั่งให้ท่านทำตามที่เห็นสมควร โดยวางใจว่าพระเจ้าสถิตอยู่ด้วยในการช่วยกู้ อิสราเอลจากศัตรู

ดูเหมือนซาอูลไม่ได้เป็นคนฝ่ายวิญญาณ ถึงแม้ลุงของท่านจะรู้จักซามูเอล (10:14-16) และคนใช้ก็รู้จักด้วย (10:5-10) แต่ซาอูลไม่รู้จัก แถมอยู่ในช่วงเวลาที่พระวจนะ ของพระเจ้ามีมาแต่น้อย (3:1) การเดินสายของซามูเอล (8:16-17) ที่ๆอยู่ไกลที่สุด สำหรับท่านไม่น่าจะเกิน 30 กิโลเมตรจากบ้านเกิดของซาอูลที่กิเบอาห์ ส่วนบ้านเกิด ของซามูเอลที่รามาห์ อยู่ห่างจากบ้านเกิดของซาอูลที่กิเบอาห์ไปแค่เพียง 6 กิโลเมตร เท่านั้น เหตุใดคนที่ควรมีสำนึกฝ่ายจิตวิญญาณอย่างซาอูลจึงไม่รู้จักซามูเอล ?

สถาณการณ์มีแต่เลวลง เรารู้ว่าเมื่อเมืองยาเบชกิเลอาดตกอยู่ในอันตราย ซาอูลเหมือน ถูก "บังคับ" ให้กระทำการ ท่านเรียกชุมนุมกองทัพได้ถึง 330,000 คน และเมื่ออัมโมน พ่ายแพ้ไป เหตุใดซาอูลจึงไม่ดำเนินต่อด้วยการขับไล่พวกฟิลิสเตียด้วย ? เพราะนี่คือ หน้าที่ที่ท่านได้รับเลือกให้มาทำ แต่ซาอูลกลับส่งกำลังทหารเหล่านั้นกลับไปบ้าน เหลือไว้เพียงจำนวนน้อยนิด แค่ 3,000 คน และยังแบ่งกองกำลังนี้ออกเป็นสองส่วนอีก ดูเหมือนซาอูลไม่ต้องการไปยุ่งเกี่ยวกับฟิลิสเตีย ท่านยอมที่จะอยู่แบบเดิมๆ ซาอูลไม่ ได้คิดจะทำสิ่งใด แต่บุตรของท่าน โยนาธานเป็นผู้ออกไปเผชิญหน้ากับพวกฟิลิสเตีย และสามารถเอาชนะกองกำลังของพวกเขาได้

ไม่ต้องสงสัยเลยว่าซามูเอลพยายามอย่างที่สุดที่จะเตือนคนอิสราเอลให้ตระหนักว่า เป็นพระเจ้าเท่านั้นที่ช่วยกู้พวกเขาออกมาจากเงื้อมมือศัตรู และไม่ต้องสงสัยด้วยว่า ซามูเอลเรียกร้องให้ทั้งชาติกลับใจและอย่าวางใจในกษัตริย์มากเกินกว่าวางใจในพระ เจ้า บทที่ 13 พูดถึงการข่มขู่ของชาวฟิลิสเตียที่มีต่ออิสราเอล ไม่ใช่เพียงแค่เข้ามา ครอบครอง แต่จะมาทำลายให้สิ้นซาก บทที่ 14 พูดถึงซาอูลและโยนาธานบุตรของ ท่าน ซึ่งผู้เขียนชี้ให้เห็นถึงความแตกต่างของทั้งสองคนนี้ ซึ่งส่อเค้าตั้งแต่บทที่ 13

ชาวฟิลิสเตียนั้นเป็นต่อเพราะยึดพื้นที่ได้บนบริเวณบนภูเขาสูงในเขตยูดาห์และเบนยา มิน ตั้งมั่นฐานแรกอยู่ทีมิคมาช (13:16) ซึ่งอยู่บนยอดเขาตรงกลางระหว่างที่ราบใน หุบเขาจอร์แดน และที่ราบชายฝั่งทะเลของฟิลิสเตีย ซาอูลและโยนาธานมีทหารเหลือ อยู่เพียง 600 คน ทหารที่เหลือหนีแตกกระจายไปหลบซ่อนให้ไกลจากฟิลิสเตีย และ บางพวกก็ไปเข้ากับศัตรูเสียเลย (13:6-7; 14:20-22) ซาอูลและ "กองทัพ" น้อยๆคอย อยู่ที่เกบา (13:16) และต่อมาในบทที่ 14 ก็ไปยังกิเบอาห์ ซึ่งอยู่ทางใต้ลงไป ห่าง ออกไปจากพวกฟิลิสเตียซึ่งยังปักหลักอยู่ที่มิคมาชทางเหนือ

ผู้เขียนพยายามให้เราเห็นความแตกต่างเป็นอย่างมากระหว่างซาอูลและโยนาธานผู้เป็นบุตร ประเทศอิสราเอลกำลังตกอยู่ในภาวะสงคราม ขาดทั้งกำลังและอาวุธ แต่เรายัง พบว่าซาอูลนั้นนั่งอยู่ "ใต้ต้นทับทิม ที่ตำบลมิโกรน" (14:2) ขณะที่ซาอูลหลบแดด อยู่ใต้ต้นไม้ห่างไกลจากพวกฟิลิสเตีย โยนาธานบุตรของท่านกำลังวางแผนจะไป พร้อมกับคนถืออาวุธเพื่อจัดการกับพวกฟิลิสเตียต่อ การจู่โจมครั้งนี้เป็นความลับ โยนาธานไม่ได้ขออนุญาติหรือแม้แต่จะแจ้งซาอูล และไม่ยอมให้คนอื่นรู้ด้วย ผมว่า เขาคงรู้ว่าบิดาคิดอย่างไรเกี่ยวกับการทำร้ายฟิลิสเตีย ซาอูลไม่ต้องการสร้างปัญหา กับพวกฟิลิสเตีย แต่โยนาธานไม่ต้องการให้พวกฟิลิสเตียมาสร้างปัญหาให้อิสราเอล อีกต่อไป

(ดูเหมือนว่า) ซาอูลนั่งอยู่ใต้ร่มไม้ ท่านเป็นเพียงหนึ่งในสองคนในอิสราเอลที่มีดาบ ท่านมีอาหิทูบน้องชายของอีคาโบด บุตรของฟีเนหัส และเป็นหลานของเอลีนั่งอยู่ด้วย (14:3) อาหิทูบใส่ (หรือถือ) เอโฟดอยู่ด้วย เอโฟดเป็นวิธีในการแสวงหาน้ำพระทัย ของพระเจ้า (ดู 1 ซามูเอล 23:9-12; 30:6-8) ซาอูลไม่ได้รับคำสั่งใดจากซามูเอลที่ กิลกาล เพราะท่านขัดคำสั่ง (13:1-14) แต่ตอนนี้ท่านมีทั้งเอโฟดและปุโรหิตอยู่ด้วย แต่ท่านกลับยังไม่ยอมแสวงหาในสิ่งที่พระเจ้าต้องการให้ท่านกระทำ

แต่สำหรับโยนาธาน ท่านมีจิตสำนึกในน้ำพระทัยพระเจ้า ซึ่งทำให้ท่านไม่สามารถนิ่งดู ดายต่อไป แรกสุด โยนาธานเรียนรู้น้ำพระทัยพระเจ้าจากประวัติศาสตร์ของอิสราเอล และจากพระลักษณะอันประเสริฐของพระองค์ คำพูดที่โยนาธานพูดกับผู้ถือเครื่องอาวุธ นั้นเต็มด้วยความเชื่อและภาระหน้าที่ เป็นคำพูดที่แสดงให้เห็นถึงความมั่นใจในการกระ ทำ ซึ่งมีผู้ซื่อสัตย์อย่างผู้ถือเครื่องอาวุธอยู่ด้วย :

6 "โยนาธานกล่าวกับคนหนุ่มที่ถือเครื่องอาวุธของท่านว่า "มาเถิด ให้เราข้ามไปยังกองทหารรักษาการของคนเหล่า นั้นที่มิได้เข้าสุหนัต บางทีพระเจ้าจะทรงประกอบกิจเพื่อ เรา เพราะว่าไม่มีสิ่งใดที่ขัดขวางพระเจ้าได้ในการที่พระ องค์จะทรงช่วยกู้ไม่ว่าโดยคนมากหรือน้อย"
(14:6)

คนฟิลิสเตียเป็น "ผู้ไม่ได้เข้าสุหนัต" พวกเขาไม่มีพันธสัญญาหรือมีสัมพันธภาพ กับพระเจ้าเหมือนกับคนอิสราเอล พันธสัญญาที่พระเจ้าให้ไว้กับอิสราเอลก็เพื่อความ มั่นใจว่าพระองค์จะสถิตอยู่ด้วย และป้องกันพวกเขาจากบรรดาศัตรู พระเจ้าเป็นผู้นำ พวกเขาออกมาจากการเป็นทาสในประเทศอียิปต์ และสัญญาจะประทานแผ่นดินคานา อันที่มีอิสรภาพไม่ขึ้นกับบรรดาประเทศเพื่อนบ้านให้ แต่อิสราเอลไม่มีสิ่งนี้ กองกำลัง ฟิลิสเตียครอบครองดินแดนอยู่ คนอิสราเอลเองจะทำไร่ไถนาได้ก็ต้องซื้อเครื่องไม้ เครื่องมือมาจากฟิลิสเตีย โยนาธานเข้าใจดีว่า พระเจ้าไม่ได้มีพระประสงค์จะให้ประ ชากรของพระองค์ตกเป็นทาสของประเทศเพื่อนบ้าน ท่านเข้าใจว่าบัดนี้กษัตริย์มีหน้าที่ ที่จะนำประชากรออกมาร่วมรบกับศัตรูของประเทศ และศัตรูของพระเจ้า ท่านยังเข้าใจ อีกด้วยถึงพระลักษณะอันประเสริฐของพระเจ้าตามที่ปรากฏอยู่ในประวัติศาสตร์ของชาติ ว่าชัยชนะทั้งสิ้นของอิสราเอลนั้นไม่ใช่มาจาก "กองทัพฝ่ายกาย" ไม่ใช่มาจากจำ นวนทหาร หรือชนิดของอาวุธที่ใช้ พระเจ้าประทานชัยชนะเหนือพวกมีเดียนใ้ห้กับ อิสราเอลภายใต้การนำของกิเดโอน ซึ่งนำคนเพียง 300 คนเข้าต่อสู้ (ดูผู้วินิจฉัย 7) ถ้า พระเจ้ามีพระประสงค์จะให้อิสราเอลชนะศัตรู บางทีอาจไม่ต้องใช้ถึง 600 คน — เพียง คนสองคนก็เพียงพอ

ในความคิดของโยนาธาน ท่านไม่ได้คิดว่าพระเจ้าจะมอบคนฟิลิสเตียให้อยู่ในมือของ อิสราเอลหรือไม่ แต่คิดว่านี่เป็นพระประสงค์ของพระองค์หรือเปล่า ซาอูลมีทั้งปุโรหิต และเอโฟด แต่ท่านไม่สนใจที่จะแสวงหาน้ำพระทัย ท่านเลือกที่จะนั่งเล่นอยู่ใต้ต้นไม้ โยนาธานจึงต้องหาวิธีอื่นในการแสวงหาน้ำพระทัย ด้วยการวางแผนจะไปโจมตีกอง กำลังของฟิลิสเตีย

โยนาธานแสวงหาหมายสำคัญจากพระเจ้า เพื่อจะบ่งชี้ว่าท่านและผู้ถืออาวุธของท่าน สมควรเข้าโจมตีพวกฟิลิสเตียหรือไม่ มิคมาชและกิเบอาห์เป็นดินแดนอยู่บนที่สูงทั้งคู่ การจะไปมิคมาชได้ต้องไปทางช่องเขา เป็นทางเดินแคบๆ น่าจะเท่ากับลำธารสายเล็กๆ ฟิลิสเตียมีกองกำลังเล็กๆดูต้นทางอยู่บนยอดเขานี้ พวกเขาจะเห็นและห้ามทุกคนที่พยา ยามเดินขึ้นช่องเขานี้มา โยนาธานวางแผนโดยจะเดินขึ้นไปบนยอดหินแหลม เพื่อให้ พวกฟิลิสเตียบนยอดเขาอีกฝั่งจะเห็นท่านได้ และถ้าพวกฟิลิสเตียแสดงให้เห็น ว่าจะลง มาขับไล่ ท่านและผู้ถือเครื่องอาวุธก็จะไม่ขึ้นปีนไป แต่ถ้าพวกฟิลิสเตียท้าให้ท่านขึ้น ไป ก็จะเป็นหมายสำคัญว่าพระเจ้าต้องการให้ท่านฝ่าอันตรายปีนขึ้นไปหาพวกฟิลิส เตีย และพระองค์จะทำให้อิสราเอลมีชัยเหนือพวกเขา47

ด้วยการสนับสนุนอย่างเต็มที่จากผู้ถือเครื่องอาวุธ หนุุ่มผู้กล้าหาญทั้งสองจึงปีนขึ้นไป ให้พวกฟิลิสเตียเห็น เพื่อจะได้ไต่ลงไปยังช่องเขาเบื้องล่าง พวกฟิลิสเตียพอมองเห็น คนทั้งสอง ก็คิดว่าเป็นพวกที่หลบภัยอยู่ตามรูซอกหินออก จึงเรียกให้ขึ้นมาหาข้างบน โยนาธานและผู้ถือเครื่องอาวุธรับสิ่งนี้ว่าเป็นหมายสำคัญที่มาจากพระเจ้า ว่าพระองค์ กำลังประทานชัยชนะให้

ผมนึกไม่ออกว่าทำไมคนฟิลิสเตียจึงพูดเช่นนั้น ทำไม่พวกเขาไม่กลิ้งหินก้อนใหญ่สัก ก้อนลงมาที่โยนาธานและผู้ช่วย ? ทำไมถึงไม่ส่งทหารลงไปกำจัดให้ตายก่อนจะปีน ขึ้นไป ? แล้วในเมื่อชายสองคนนี้กำลังปีนขึ้นเขา อยู่ในภาวะอ่อนแอ ทำไมพวก ฟิลิสเตียจึงไม่ถือโอกาสฆ่าเสียเลยอย่างง่ายๆ ? ผมว่าคำตอบอยู่ในพระคัมภีร์ พวก ฟิลิสเตียเรียกสองคนนี้ขึ้นไปเพื่อ "จะแจ้งบางเรื่องให้ทราบ" ตอนแรกผมนึกว่าเป็นการ ท้าทาย ซึ่งน่าจะเป็นไปได้ บางทีอยู่บนนั้นอาจจะน่าเบื่อเกินไป ต้องหาอะไรทำบ้าง เลยเรียกทั้งสองขึ้นมาเผื่อจะได้มีอะไรสนุกๆทำ

อันที่จริงผมว่าน่าจะมีคำอธิบายอื่น ผมเชื่อว่าที่คนฟิลิสเตียปล่อยให้โยนาธานและผู้ถือ เครื่องอาวุธขึ้นไป เพราะคิดว่าจะมายอมแพ้และมาเข้าพวกกับฟิลิสเตียด่อสู้กับอิสราเอล พวกฟิลิสเตียย่อมรู้ดีว่าตนนั้นเป็นต่อ เพราะพวกเขามีทั้งอาวุธและจำนวนคนมากมาย มหาศาลกว่าเมื่อเทียบกับทหารจำนวน 600 คนของอิสราเอลที่ติดตามซาอูลอยู่ พวก เขารู้ด้วยว่ามีกองปล้นออกไปทำลายทั่วประเทศได้โดยที่คนอิสราเอลไม่มีทางสู้ และแถมยังมีคนอิสราเอลอีกจำนวนหนึ่งมาเข้าพวกด้วย (14:21) ดังนั้น เพียงแค่ อิสราเอลขี้ขลาดที่ออกมาจากรูซ่อนอีกสองคนจะขึ้นมายอมมอบตัวและเข้าพวกทำ ไมจึงทำไม่ได้ ? สำหรับพวกฟิลิสเตียสิ่งนี้เป็นเพียงการคาดเดาเท่านั้น แต่กลับเป็น หมายสำคัญที่ชัดเจนสำหรับโยนาธาน ท่านจึงปีนขึ้นไปตามรอยแยกของหินไปหา พวกฟิลิสเตียที่รออยู่

พวกฟิลิสเตียไม่ทันได้ตั้งตัว ดาบของโยนาธานฆ่าฟันไปตามทาง ผู้ที่รอดไปก็ถูก ผู้ถือเครื่องอาวุธจัดการเสียสิ้น เพียงแค่ไม่กี่ก้าว และในเลาอันแสนสั้น กองกำลังดู ต้นทางกองนี้ก็ตายเรียบ ทำให้คนอิสราเอลสามารถเดินข้ามช่องเขามิคมาชและไล่ ตามพวกฟิลิสเตียไปได้

แต่เดี๋ยวก่อน — อย่างที่โฆษณาในโทรทัศน์ชอบใช้ — ยังมีอีก ! ถ้าพระเจ้าทรงสถิต อยู่ด้วยกับโยนาห์ในการโจมตีฟิลิสเตียในครั้งนี้ พระองค์ทรงกำลังสำแดงฤทธานุภาพ อันยิ่งใหญ่โดยประทานชัยชนะให้กับอิสราเอลที่มิคมาช ผมชอบวิธีเล่นคำในบทที่ 13 และ 14 มาก :

7 พวกฮีบรูบางคนได้ข้ามแม่น้ำจอร์แดนไปยังดินแดน กาดและกิเลอาด แต่ฝ่ายซาอูล พระองค์ยังประทับอยู่ ที่กิลกาล และประชาชนทั้งหมดติดตามพระองค์ไป ด้วยตัวสั่น
(1 ซามูเอล 13:7).

15 และบังเกิดการสั่นสะท้านในค่าย ในทุ่งนาและใน หมู่ประชาชน กองทหารนั้นและถึงกองปล้นก็ตกใจตัว สั่น แผ่นดินได้ไหว กระทำให้เกิดการสั่นสะท้านมาก ยิ่งนัก
(1 ซามูเอล 14:15).

ผมชอบเพลงร็อคเก่าที่เอลวิส เพรสลี่เคยร้องไว้ "I'm all shook up, uh uh uh…"? (ผมสั่นไปหมดแล้ว) ใช่แล้ว พระเจ้ากำลัง "เขย่า" พวกฟิลิสเตีย ทุกอย่างเริ่มต้นจาก การสั่นของบรรดาผู้ที่ติดตามซาอูล พวกเขามองเห็นว่าตนนั้นอ่อนแอเกินกว่าที่จะออก ไปต้านพวกฟิลิสเตีย พวกเขาคงตระหนักถึงความอ่อนแอในการเป็นผู้นำของซาอูล พวกเขากำลังตกอยู่ในอันตรายอันใหญ่หลวง — เช่นเดียวกับที่ผู้เขียนบันทึกไว้ "ทั้งหมด … ตัวสั่น" (13:7) สิ่งนี้ยับยั้งไมให้พระเจ้าประทานชัยชนะให้อิสราเอลหรือ ? แน่นอน ไม่ใช่ ! พระเจ้าทรงเขย่าพวกฟิลิสเตียให้ "สั่น" ตามไปด้วย

คุณลองคิดดู พวกฟิลิสเตียคงรู้สึกสบายใจว่าตนเองปลอดภัยอยู่ในที่กำบังที่มิคมาช พวกอิสราเอลอ่อนแอ ถ้าจะขึ้นไปถึงได้ ก็ต้องปีนผ่านช่องเขามิคมาชขึ้นไป วางคนไว้ ดูต้นทางไว้แค่ 20 คนก็เกินพอ ความปลอดภัยของพวกฟิลิสเตียขึ้นอยู่กับช่องเขา แคบๆนี้ และการอยู่บนยอดภูเขาสูงมีแนวหินใหญ่ป้องกันล้อมรอบ ซึ่งก็ดูเหมือนดี จน กระทั่งเกิดแผ่นดินไหว ที่กำบังปลอดภัยนี้ก็กลับกลายเป็นที่ที่อันตรายที่สุดในโลกทัน ที ซาอูลและคนของท่านกำลังมองดู ในขณะที่ทหารฟิลิสเตียวิ่งหนีไปมากันจ้าละ หวั่น เดี๋ยวไปทางโน้น เดี๋ยวมาทางนี้ โคลงเคลงไปตามจังหวะแผ่นดินไหว คล้ายๆกับ คลื่นลูกยักษ์ในทะเล ทุกสิ่งที่เคยดูเหมือนมั่นคงปลอดภัยและเป็นต่ออิสราเอล กำลัง เป็นสิ่งที่กลับทำลายพวกเขา ในท่านกลางความสับสนอลหม่านและความกลัวเกินขีด พวกเขาเริ่มยกดาบฆ่าฟันกันเอง ไม่ใช่ฆ่าคนอิสราเอล บรรดาม้าและรถม้าที่ขนกันมาก็ ไม่สามารถใช้การได้ พวกสัตว์เมื่อตื่นตระหนกจะไม่ยอมฟังคำสั่งใดๆทั้งสิ้น พื้นดินแยก จากกัน หินใหญ่เล็กมากมายร่วงลงมาจากหน้าผา ความตกใจกลัวมีอยู่ทั่วไป ไม่ต้องคิด เรื่องจะไปโจมตีใครหรือแม้แต่จะถอยหนี พวกฟิลิสเตียเองกลับกลายเป็นศัตรูที่เลวร้าย ที่สุดของกันและกัน เกิดการฆ่าฟันกันอย่างคลุ้มคลั่งในครั้งนั้น

บทสรุป

นับเป็นเรื่องราวที่มหัศจรรย์ ทำให้เราเห็นข้อเตือนใจและบทเรียนสำคัญหลายอย่าง ซึ่งสามารถนำมาใช้ได้ในชีวิตคริสเตียนทุกวันนี้

ประการแรก ที่ได้จากพระธรรมตอนนี้คือ คำสั่งและข้อปฏิบัติในการเป็นผู้นำ แวดวง คริสเตียนทุกวันนี้ หัวข้อเรื่องการเป็นผู้นำเป็นเรื่องที่ต้องใช้ความคิดค่อนข้างมาก ทั้ง ในการเขียนและการปรึกษาหารือกัน น่าเศร้าที่แวดวงการสร้างผู้นำคริสเตียนนั้นค่อน ข้างจะยึดหลักตามทฤษฎีของผู้นำทางโลก ถึงแม้ยังไม่มีบทสรุปตายตัวในเรื่องนี้ เราควรต้องรื้อฟื้นสติปัญญาเรื่องการเป็นผู้นำมาทบทวนดูใหม่ ซาอูลและโยนาธาน เป็นแบบอย่างของผู้นำฝ่ายจิตวิญญาณในทางบวกและทางลบ คำว่า วางใจ และ เชื่อฟัง อาจจะครอบคลุมได้ไม่ทั้งหมดในการดำเนินชีวิตคริสเตียน แต่นับเป็นสิ่งที่ สำคัญยิ่ง ซาอูลเป็นคนที่มีความเชื่อน้อย คำว่า "กลัว" ดูจะเหมาะสมกับท่านมากกว่า ท่านกลัวที่จะเล่าเรื่องซามูเอลเจิมท่านเป็นกษัตริย์ของอิสราเอลให้ลุงของท่านฟัง ท่าน แอบซ่อนอยู่หลังกองสัมภาระเมื่อมีการประกาศเลือกท่านเป็นกษัตริย์ ท่านกลัวจะเสีย กองกำลังไปหมด จึงข่มใจทำการเผาเครื่องถวายบูชาด้วยตนเอง และดูเหมือนท่าน กลัวที่จะขับไล่พวกฟิลิสเตียไป จึงไม่พยายามทำการใดให้เป็นที่ไม่พอใจของศัตรู

"ซาอูล" ในบทที่ 11 เป็น "ซาอูลคนใหม่" ที่พระเจ้าเติมพระวิญญาณให้ท่านอย่าง เต็มที่ แต่ซาอูลนี้ก็อยู่ได้ไม่นาน ไม่เกินบทที่ 11 ด้วยซ้ำไป ก็กลับเป็น "ซาอูล คนเดิม" ที่เราพบได้ทั่วไป "ซาอูลคนเดิม" นี้ที่่เรากำลังพูดถึงในบทที่ 13 และ 14 เมื่อตอน "ซาอูลคนใหม่" เรียกชุมนุมคนอิสราเอลให้มาร่วมรบ มีคนมาร่วมด้วยมากมาย ถึง 330,000 คน แต่พอ "ซาอูลคนเดิม" เรียกชุมนุมคนที่กิลกาล มีคนมาร่วมด้วยจำ นวนน้อยนิด และคนเหล่านี้ไม่ช้าก็หนีแตกกระจายไปเพราะความกลัว ความกลัวของ ซาอูลเป็นเหมือนโรคระบาด เมื่อท่านไม่วางใจและไม่เชื่อฟังพระเจ้า บรรดาคนที่ติด ตามท่านก็ไม่เชื่อและวางใจในตัวท่านด้วย

แต่โยนาธานนั้นแตกต่าง — ท่านเป็นคนแห่งความเชื่อ ท่านวางใจว่าพระเจ้าจะนำชัยมา เหนือกองกำลังฟิลิสเตียในบทที่ 13 ท่านตั้งใจจะไปจัดการกับพวกฟิลิสเตียที่ช่องเขา มิคมาช ถึงแม้ต้องแบกอาวุธไต่ไปตามรอยแยกของหินบนหน้าผาก็ตาม ท่านมีเพียงผู้ ช่วยคนเดียวติดตามไปด้วย ท่านเป็นคนที่วางใจในพระเจ้าอย่างเต็มเปี่ยม ถึงแม้สถาน การณ์จะเป็นไปไม่ได้ก็ตาม และท่านเป็นคนที่ผู้ช่วยเต็มใจไปร่วมรบด้วย ถึงแม้ดูเป็น การฆ่าตัวตายก็ตาม ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น ? ผมว่าไม่ใช่เป็นเพราะโยนาธานเป็นผู้ที่มี ความเชื่อเท่านั้น แต่เป็นผู้ที่ หว่านความเชื่อไปสู่ผู้อื่นด้วย คนที่ติดตามซาอูลกลัวจน ตัวสั่น เพราะซาอูลนั้นแสดงอาการก่อน คนที่ติดตามโยนาธานวางใจในพระเจ้า เพราะเห็นว่าท่านวางในในพระเจ้า

นี่คือนิยามของคำว่าผู้นำฝ่ายจิตวิญญาณ :

การเป็นผู้นำฝ่ายจิตวิญญาณเริ่มจากความเชื่อในพระเจ้า ซึ่งจะกระทำให้เชื่อฟัง และลง มือกระทำ ถึงแม้ต้องเผชิญกับอุปสรรคปัญหาใดๆก็ตาม และยังหนุนกำลังให้ผู้อื่นเชื่อฟัง และยินดีทำตามด้วย

ที่สุดแล้ว การเป็นผู้นำฝ่ายวิญญาณนั้นไม่ใช่ดูจากรูปลักษณ์ภายนอก มีเสน่ห์ หรือมี ความชำนาญในวิธีการบริหารงานและจูงใจคน ผู้นำฝ่ายวิญญาณคือชายและหญิง ที่วางใจในพระเจ้า และทำตามพระวจนะคำของพระองค์ และเมื่อปฏิบัติเช่นนี้ จะดึงดูด ให้ผู้อื่นมาวางใจและเชื่อฟังพระองค์ด้วยเช่นกัน ซาอูลไม่ใช่เป็นผู้นำฝ่ายจิตวิญญาณ แต่โยนาธานนั้นเป็น

ประการที่สอง เราควรประเมิณความสำเร็จของผู้นำ ซึ่งผมสรุปได้เป็นหลักการ ดังต่อไปนี้ :

เมื่อผู้นำประสพความสำเร็จ ที่สุดแท้จริงแล้วคือ พระคุณของพระเจ้า และหลายครั้งเป็นมาจาก ผลของความเชื่อมั่นศรัทธาของผู้ที่ให้การสนับ สนุนอยู่เบื้องหลังงานพันธกิจที่เรามองไม่เห็น

ให้นำหลักเกณฑ์นี้มาประกอบการพิจารณาดูการเป็นผู้นำของซาอูล:

47 เมื่อซาอูลได้รับตำแหน่งพระราชาเหนืออิสราเอลนั้น พระองค์ได้ทรงต่อสู้ศัตรูทุกด้านต่อสู้กับโมอับ กับชนอัมโมน กับเอโดม กับบรรดาพระราชาแห่งโศบาห์ และกับคนฟีลิสเตีย ไม่ว่าพระองค์จะหันไปทางไหน พระองค์ก็ทรงกระทำให้เขา พ่ายแพ้ไป 48 พระองค์ทรงสู้รบอย่างเข้มแข็ง และทรงโจม ตีพวกอามาเลขและทรงช่วยกู้คนอิสราเอล ให้พ้นจากมือของ บรรดาผู้ที่เข้าปล้นเขา
(1 ซามูเอล 14:47-48)

ผมไม่อยากตัดความดีความชอบไปจากซาอูลเสียจนหมด แต่ผมเชื่อว่าพระคำบ่งชัด เจนว่าความสำเร็จของซาอูลเป็นมาจากพระคุณพระเจ้า ไม่ใช่เป็นเพราะผีมือ ความกล้า หาญ หรือความยิ่งใหญ่ของท่าน ชัยชนะที่อิสราเอลมีเหนือฟิลิสเตียนั้น ไม่ได้เกิดจาก การริเริ่มของซาอูล แต่เป็นการริเริ่มของบุตร มีกี่ครั้งกี่หนกันที่เราโห่ร้องชื่นชมยินดีให้ กับความสำเร็จของผู้นำบางคน ทั้งๆที่ความสำเร็จจริงๆแล้วมาจากผู้ที่อยู่เบื้องหลังทั้ง สิ้น ? หลายคนชอบเด่นอยู่ท่ามกลางแสงไฟ ขอให้เราชื่นชมกับบรรดาผู้อยู่นอกแสง ไฟ ผู้สนับสนุนและสร้างให้ผู้มีอำนาจเหล่านี้โดดเด่นขึ้นมา

ประการที่สาม คือความสัมพันธระหว่างความเชื่อและการกระทำ เราจะเห็นความแตก ต่างในความเชื่อของโยนาธานและซาอูลชัดเจน บางครั้งความเชื่อของเราจะปรากฎ ชัดจากการรอคอย มากกว่าจากการมุ่งปฏิบัติ ความเชื่อจะไม่เกิดขึ้นเมื่อเราขัดคำสั่ง อับราฮัมน่าจะรอคอยบุตรตามพระสัญญา มากกว่าไปมีบุตรกับนางฮาการ์ ซาอูลน่าจะ คอย มากกว่าที่จะไปเผาเครื่องบูชาถวายด้วยตนเอง เมื่อเราหมดสิ้นหนทาง เราขาด ความเชื่อและการเชื่อฟัง เราควรรอคอยให้พระเจ้าจัดเตรียมในสิ่งที่ดีและเหมาะสม ที่สุดสำหรับเรา

มีหลายครั้งเหมือนกันที่เราเลือกที่จะรอ ทั้งๆืั้เห็นชัดเจนว่าเรากระทำได้ตามความเชื่อ ซาอูลอดทนรอคอยซามูเอลไม่ไหว (ถึงแม้ได้รับคำสั่งให้คอยก็ตาม) แต่ท่านกลับรอได้ มาตั้งนาน ตั้งแต่ตกเป็นเมืองขึ้นของฟิลิสเตีย ผู้เข้ามาครอบครองดินแดนอิสราเอล มา ตั้งกองกำลังรักษาการ และยังมาบีบบังคับความเป็นอยู่ของผู้คนด้วยการผูกขาดการใช้ อุปกรณ์ต่างๆที่เป็นเหล็ก ชาวไร่ชาวนาต้องซื้อเครื่องมือที่แสนแพงจากพวกฟิลิสเตีย แถมยังต้องเสียค่าดูแลซ่อมแซม (ลับให้คม) ในราคาแพงอีกด้วย ซาอูลทำตัวเป็นทอง ไม่รู้ร้อนกับสิ่งที่พวกฟิลิสเตียกระทำ ท่านสามารถรอได้ (และท่านรอด้วย) ที่จะทำการ ขับไล่พวกฟิลิสเตียไปจากดินแดน ทั้งๆที่ท่านสามารถกระทำได้ด้วยความเชื่อ แต่ท่าน กลับเลือกที่จะรออย่างไม่มีจุดหมาย การไปโจมตีกองกำลังฟิลิสเตีย ทำให้เกิดการ เผชิญหน้าทางทหาร และผลที่สุด เกิิดความพ่ายแพ้ของชาวฟิลิสเตีย — และพระสิริ กลับคืนสู่พระนามของพระเจ้า มีกี่ครั้งที่เรามัวแต่รอแทนที่จะลงมือปฎิบัติ และเร่งลง มือปฎิบัติ แทนที่ควรจะรอ เราจะทราบได้อย่างไรว่าเมื่อไรควรลงมือ? เมื่อพระวจนะคำ สั่งให้เรากระทำ แล้วเมื่อไรที่เราควรคอย? เมื่อพระเจ้าตรัสสั่งในพระวจนะคำ และเมื่อ การกระทำของ ขัดกับความเชื่อและการเชื่อฟัง

ประการที่สี่ เหตุการณ์หลายครั้งในพระคัมภีร์ ทำให้เรามีมุมมองใหม่ในสถานการณ์ ที่ดูเหมือนหมดทางแก้ ครั้งนี้ก็เช่นกัน พระเจ้าทรงนำประชากรของพระองค์ให้ตกอยู่ ในสถานการณ์ที่เกินแก้ใข และอีกครั้ง เราก็ค้นพบหลักเกณฑ์ที่สำคัญยิ่งดังนี้ :

พระเจ้าทรงมีพระประสงค์จะนำมนุษย์ไปสู่สถานการณ์ที่ "เป็นไปไม่ได้" เพื่อให้เรารู้แน่ชัดว่าเราไม่สามารถ ช่วยตนเองได้ และพระองค์จะทรงกู้เราด้วยวิธีการที่ ทำให้พระสิริของพระองค์เป็นที่เชิดชู

บางตอนในพระคัมภีร์กล่าวว่า :

8 "เราคือเยโฮวาห์ นั่นเป็นนามของเรา พระสิริของ เรา เรามิได้ให้แก่ผู้อื่น หรือให้คำที่สรรเสริญเราแก่รูป แกะสลัก"
(อิสยาห์ 42:8)

หลายๆครั้งในพระคัมภีร์เราจะเห็นว่าพระเจ้าทรงให้มนุษย์ตกอยู่ในสถานการณ์ที่เกินกว่า จะแก้ใข และพระองค์จะทรงช่วยด้วยวิธีการที่นำมาซึ่งพระสิริของพระองค์ พระองค์ สัญญาจะประทานบุตรให้กับอับราฮัมและนางซาราห์ ผู้ซึ่ง ถ้าจะพูดในทางโลก หมด โอกาสแล้วที่จะมีลูก (ดูโรม 4:19) แต่แล้วทั้งสองก็มีบุตร พระเยซูทรงทราบดีว่า ลาซารัสป่วยหนัก แต่พระองค์จงใจคอยจนกระทั่งเขานำศพไปฝัง (ดูยอห์น 11) เพื่อ พระองค์จะสามารถสำแดงให้เห็นฤทธิอำนาจในการทำให้ลาซารัสฟื้นขึ้นมาจากความ ตายได้

พระเจ้าปรารถนาที่จะสำแดงกำลังของพระองค์ในความอ่อนแอของเรา ในบทที่ 13 ของพระธรรม 1 ซามูเอล แสดงให้เห็นถึงความอ่อนแอของทั้งซาอูลและอิสราเอล ทหารของอิสราเอลมีจำนวนกระจ้อยร่อยเมื่อเทียบกับกำลังทหารของฟิลิสเตีย แถม ยังขาดแคลนอาวุธ ถึงแม้สถานการณ์จะดูเกินแก้ใข แต่พระเจ้าก็ทำให้อิสราเอลมีชัย เหนือฟิลิสเตียด้วยวิธีการของพระองค์ สิ่งนี้เกิดขึ้นได้เพราะชายสองคน (คนหนึ่งไม่มี อาวุธด้วยซ้ำไป) วางใจในพระเจ้าว่าพระองค์จะทำให้มีชัย พระเจ้าทรงเปลี่ยนอาการ สั่นของคนอิสราเอลไปเป็นการสั่นเพราะเกิดแผ่นดินไหว ซึ่งรุนแรงมากขนาดทำให้ เกิดการสับสนอลหม่านในกองทัพฟิลิสเตีย และทหารล้มตายลงด้วยคมดาบของพวก เดียวกันเอง

คริสเตียนหลายคนมีความเชื่อก็ต่อเมื่อมองเห็นว่าฝีมือมนุษย์พอทำได้ แต่จะล้มลง เมื่อตกอยู่ในสถานการณ์สุดกำลังเกินแก้ เราควรเรียนรู้จากโยนาธานว่าชัยชนะของ พระเจ้าไม่ได่อยู่ตั้งบนความไม่แน่นอนในกำลังของเรา และจากที่ อ.เปาโลกล่าวไว้ว่า ฤทธิฺเดชของพระเจ้าจะมีเต็มขนาดในความอ่อนแอของเรา (ดู 1 ซามูเอล 14:6; 2 โครินธ์ 12:9-10).

สิ่งที่แวดวงชาวโลกมักเน้น (และบางทีแวดวงผู้เชื่อทั้งหลายด้วย) คือ "พลังของความ คิดเชิงบวก" บางทีก็เป็นความจริง แต่ก็ยังมีข้อผิดพลาดบางประการอยู่ พระเจ้าไม่ได้ ถูกจำกัดอยู่แค่ในความสามารถสูงสุดของเราเท่านั้น การช่วยกู้ซาอูล โยนาธาน และ อิสราเอลแสดงให้เราเห็นได้อย่างชัดเจนในเรื่องนี้ และพระเจ้าก็ไม่ได้ถูกจำกัดอยู่แค่ ในจินตนาการหรือความนึกคิดของเราเท่านั้น

9ดังที่มีเขียนไว้ในพระคัมภีร์ว่า "สิ่งที่ตาไม่เห็นหูไม่ได้ยิน และสิ่งที่มนุษย์คิดไม่ถึง คือสิ่งที่พระเจ้าได้ทรงจัดเตรียม ไว้สำหรับคนที่รักพระองค์"
(1 โครินธ์ 2:9)

20 ขอให้พระเกียรติจงมีแด่พระองค์ผู้ทรงฤทธิ์ กระทำสารพัด มากยิ่งกว่าที่เราจะทูลขอหรือคิดได้ ตามฤทธิ์เดชที่ประกอบกิจ อยู่ภายในตัวเรา 21 ขอให้พระเกียรติจงมีแด่พระองค์ในคริสตจักร และในพระเยซูคริสต์ตลอดทุกชั่วอายุคนเป็นนิตย์ อาเมน
(เอเฟซัส 3:20-21).

พระเจ้าทรงนำคนบาปไปจนถึงจุดที่หมดหนทางและสิ้นหวัง (ในสถานการณ์ที่พวกเขา คิดว่าตนเองนั้น "ชอบธรรม" แต่เป็นคนบาป) เพื่อที่พวกเขาจะเลิกวางใจในตนเอง และหันมาพึ่งพระองค์เพื่อความรอด สิ่งที่มนุษย์ไม่สามารถทำเพื่อช่วยเหลือตนเองได้ พระเยซูคริสต์ทรงกระทำให้แล้วบนไม้กางเขนที่เนินหัวกระโหลก พระองค์ดำเนินชีวิต อย่างชอบธรรม เชื่อฟังพระเจ้า ทรงสิ้นพระชนม์ไม่ใช่เพราะความผิดบาปของพระองค์ แต่เพราะความบาปของมนุษย์ พระเยซูทรงชดใช้ความผิดบาปแทนเรา และพระองค์ ปรารถนาจะมอบของประทานแห่งความชอบธรรมและชีวิตนิรันดร์ ให้กับมนุษย์ผู้ไม่สม ควรจะได้รับ พระเยซูทรงชดใช้ให้หมดสิ้นแล้ว สิ่งที่เราต้องทำเพียงแต่ยอมรับในความ เป็นคนบาป และไม่สมควรจะได้รับการยกเว้น และยอมรับว่าเราอ่อนแอเกินกว่าจะช่วย ตัวเองได้ สิ่งที่เป็นไปไม่ได้สำหรับมนุษย์นั้นเป็นไปได้สำหรับพระเจ้า :

27 แต่พระองค์ตรัสว่า "สิ่งที่มนุษย์ทำไม่ได้ พระเจ้าทรงกระทำได้"
(ลูกา 18:27)

คุณมาถึงความเป็นที่สุดของตัวคุณหรือยัง ? คุณเห็นหรือยังว่าการทำให้เป็นที่ชอบพอ พระทัย และไปถึงสวรรค์ด้วยตนเองนั้น เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ด้วยกำลังของมนุษย์ ? ถ้าคุณคิดได้ คุณกำลังจะได้รับพระพร คุณเพียงแต่เชื่อและวางใจในองค์พระเยซูคริสต์ ผู้ประทานความรอดให้คุณเท่านั้น

ให้เราจบบทเรียนนี้ด้วยการสรรเสริญพระเจ้า ด้วยสติปัญญาที่ทรงประทานให้ อ.เปาโล ในการทำสิ่งที่เราคิดว่าเป็นไปไม่ได้ ให้เป็นได้ด้วยวิธีการที่เกินกำลังความคิดของเรา :

33 โอ พระปัญญาและความรอบรู้ของพระเจ้านั้น ล้ำลึกเท่าใด ข้อตัดสินของพระองค์นั้นเหลือที่จะ หยั่งรู้ได้ และทางของพระองค์ก็เหลือที่จะสืบเสาะ ได้ 34 เพราะว่า ใครเล่ารู้พระทัยของพระเจ้า หรือ ใครเล่าเป็นที่ปรึกษาของพระองค์ 35 หรือใครเล่า ได้ถวายสิ่งหนึ่งสิ่งใดแก่พระองค์ ที่พระองค์จะต้อง ประทานตอบแทนให้แก่เขา 36 เพราะสิ่งสารพัดมา จากพระองค์ โดยพระองค์ และเพื่อพระองค์ ขอพระ สิริจงมีแด่พระองค์สืบๆไปเป็นนิตย์ อาเมน
(โรม 11:33-36)


46 มีหลายคนสันนิษฐานว่า ไม่ว่าดาบหรืออาวุธที่ทำด้วยเหล็ก คงถูกพวกฟิลิสเตียริบไปหมด เมื่อพวกเขาส่งกองกำลังเข้ามารักษาการ

47 ให้สังเกตุดูว่า โยนาธานไม่ได้คิดว่าชัยชนะเหนือฟิลิสเตียครั้งนี้เป็น ของท่าน แต่เป็นชัยชนะ ของอิสราเอล (เปรียบเทียบกับ 14:6, 10, 12).

Related Topics: Introductions, Arguments, Outlines

Report Inappropriate Ad