MENU

Where the world comes to study the Bible

บทที่ 11: กลับใจอย่างแท้จริง (2 ซามูเอล 12:1-13 )

คำนำ

ตอนที่ผมเรียนใกล้จบปีแรกที่วิทยาลัยพระคริสตธรรม ผมทำงานช่วงปิดภาคฤดูร้อน ถูกจ้างให้ไปสอนวิชา ประวัติศาสตร์และจิตวิทยาระดับมัธยมที่เรือนจำในเมืองที่ผมอาศัยอยู่ ลุงผมทำงานเป็นพัศดีอยู่ที่นั่น และ เจ้าหน้าที่หลายคนที่นั่นเคยเป็นครูของผมสมัยเรียนอยู่มัธยม (คุณครูใหญ่ที่โรงเรียนของผมยังดำรงตำแหน่ง เป็นครูใหญ่ที่โรงเรียนของเรือนจำด้วย) เพื่อนครูด้วยกันเคยเล่าเรื่องสนุกๆจากประสบการณ์สอนในเรือนจำ ให้ผมฟัง

ที่คุกมีโครงการปรับประพฤติกรรมของนักโทษ ด้วยการให้การศึกษาจนจบชั้นมัธยม และได้รับประกาศนียบัตร รับรองด้วย โรงเรียนนี้ตั้งอยู่ในเรือนจำ มีอุปกรณ์อำนวยความสะดวกครบครันอย่างที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อน45 ห้องเรียนมีนักเรียนไม่เกิน 20 คน มีผู้คุมยืนคุมอยู่ตรงทางเดินหน้าห้องแบบ "เผื่อเอาไว้… " ที่โรงเรียน มีกฎอยู่ข้อหนึ่งคือ ห้ามหลับในเวลาเรียน มีวันหนึ่งเพื่อนครูของผมฉายหนังให้ดูในห้อง บังเอิญนักเรียนคน หนึ่งง่วงนอนจัด เขาไม่พยายามที่จะถ่างตาเลยครับ เอาหัวพาดโต๊ะหลับไปเลย พอเพื่อนผมเดินไปรอบห้อง เห็นคนที่หลับอยู่ เดินเข้าไปแตะที่ไหล่เบาๆ แล้วเดินเลยไป ไม่นานหลังจากนั้น เขาเดินผ่านไปที่เดิมอีก หมอนี่ก็ยังหลับอย่างสบายใจ เพื่อนผมผมแตะที่บ่าเบาๆอีกครั้ง พอครั้งที่สาม เพื่อนผมจับไหล่ไว้เลยครับ แล้วเขย่า (เพื่อนผมเป็นคนสุภาพเรียบร้อย) พอนักโทษคนนี้ตื่น เขาพลุ่งตัวขึ้นมา หันหน้ามาประจันกับครู พร้อมขู่ว่า "ถ้าทำอีกครั้ง โดนแน่!" เพื่อนผมถอยหลังกรูดเดินไปที่ประตูเลยครับ ไปตามยามที่ประจำการ (เขาเคยอยู่ในกองทัพเรือมาก่อน และรู้ว่าควรจัดการอย่างไรดี) ยามจึงนำนักโทษคนนี้ ไปขังไว้ใน "รู" (แปล ว่าขังเดี่ยวครับ)

อีกเดือนต่อมา นักโทษคนนี้ถูกปล่อยตัวให้กลับมาเรียนต่อ วันแรกที่กลับเข้าเรียน เขาเดินมาหาคุณครู พร้อม กล่าวคำ "ขอโทษ" "ผมขอโทษที่พูดจาไม่ดีกับคุณ" เขาอธิบาย "แต่ผมคิดว่าคุณเข้าใจผมผิด ที่ผมพูด วันนั้น ผมพูดว่า 'ถ้าคุณทำอีกครั้งละก็ อาจเจอดี.'" อย่านี้ไม่เรียกว่าสำนึกผิดหรอกครับ

การ "สำนึกผิด"ของนักโทษคนนี้เป็นเรื่องธรรมดาที่เกิดขึ้นเป็นประจำ การสำนึกผิดและกลับใจอย่างแท้จริง นัั้นหายากครับ แม้กระทั่งในพระคัมภีร์เอง พระธรรมตอนนี้ ดาวิดกล่าวกับนาธันว่า "เรากระทำบาป… แล้ว" คำเดียวกันนี้ (หรือในทำนองนี้) มีอยู่ที่อื่นๆอีกในพระคัมภีร์ แต่ความจริงใจไม่เหมือนกัน ตัวอย่างเช่น ฟาโรห์ บอกกับโมเสสถึงสองครั้งว่า "เราทำบาปแล้ว … " (ดูอพยพ 9:27; 10:16-17) แต่ทุกคนก็รู้ดีว่าไม่ใช่เป็น การสำนึกที่แท้จริง ทูตสวรรค์ของพระเจ้ามาสกัดบาลาอัมระหว่างทางไปพบบาลาค และเมื่อเขาตระหนักว่า ไม่มีทางหลุดรอดความตายจากทูตสวรรค์ไปได้ เขาจึงกล่าวว่า "ข้าพเจ้าได้กระทำบาป … " (กันดารวิถี 22:34) เรารู้ต่อมาในพระคัมภีร์ว่าเขาไม่ได้สำนึกผิดจริง ยูดาสทรยศพระเยซู สารภาพว่าได้ทำผิด แต่ก็ ไม่ยอมสำนึกและกลับใจ (มัทธิว 27:4) ดังนั้นพอจะสรุปได้ว่า แค่คำพูด "ได้ทำบาปแล้ว" ยังไม่เป็นการ พิสูจน์ถึงการสำนึกผิดที่แท้จริง

นี่เป็นกรณีเดียวกับบรรดาผู้ที่กลับใจและมาหายอห์นผู้ให้บัพติสมา เพื่อรับบัพติสมา :
5 ขณะนั้นชาวกรุงเยรูซาเล็ม และคนทั่วแคว้นยูเดีย และคนทั่วลุ่มแม่น้ำ
จอร์แดนก็ออกไปหายอห์น สารภาพความผิดบาปของตน 6 และได้รับ บัพติศมาจากยอห์นในแม่น้ำจอร์แดน 7 ครั้นยอห์นเห็นพวกฟาริสี และ
พวกสะดูสีพากันมาเป็นอันมาก เพื่อจะรับบัพติศมา ท่านจึงกล่าวแก่เขา
ว่า "เจ้าชาติงูร้าย ใครได้เตือนเจ้าให้หนีจากพระอาชญาซึ่งจะมาถึงนั้น
8 เหตุฉะนั้นจงพิสูจน์การกลับใจของเจ้าด้วยผลที่เกิดขึ้น 9 อย่านึกเหมา เอาในใจว่าตัวมีอับราฮัมเป็นบิดา เพราะเราบอกเจ้าทั้งหลายว่า พระเจ้า ทรงฤทธิ์อาจจะให้บุตรเกิดขึ้นแก่อับราฮัมจากก้อนหินเหล่านี้ได้ (มัทธิว 3:5-9)

ยอห์นยกเรื่องการกลับใจที่แท้จริงขึ้นมาพูด เพราะท่านเห็นว่ามีหลายคนที่ "การกลับใจ" ไม่เกิดผล ทุกวันนี้ คนให้ความสนใจเรื่องการกลับใจที่แท้จริงค่อนข้างมาก หลายคนไปไกลถึงขนาดตั้งกฎเกณฑ์ขึ้นมาเองว่า "ผลที่ทำให้การกลับใจดำเนินต่อไปได้" ส่วนอีกพวกคือพวกที่สอนเรื่องการกลับใจว่าเป็นเพียงเรื่องของ "การเห็นด้วยกับพระเจ้า" แต่นิยามของการกลับใจแบบนี้เป็นแค่เพียงลมปาก ทำเพื่อให้ความรู้สึกผิดลดน้อย ลง และความบาปดูไม่น่ากลัวอย่างที่คิด พร้อมที่จะกลับไปทำอีกได้ทุกเมื่อ ที่แย่สุดๆคือ เห็นพวกเผยแพร่ หรือผู้นำศาสนาร้องห่มร้องให้แสดงให้เห็นว่ากลับใจจริงออกทางโทรทัศน์ ทำให้เราสงสัยว่าเขารู้สึกอย่างนั้น จริงหรือ ผมเชื่อว่าการกลับใจของดาวิดนั้นจริงใจ และเป็นแบบอย่างที่ดีของการกลับใจที่แท้จริงให้กับเรา

ผมรู้ว่าผมกำลังให้ความสนใจมากกับส่วนน้อยนิดในพระคัมภีร์ตอนนี้ -- ซึ่งมีเพียงข้อเดียว มันไม่เล็กน้อย อย่างที่คิดหรอกครับ แต่ผมอยากจะนำพระธรรม 2 ซามูเอล 12:13 มาพิจารณาดูถึงชีวิตของดาวิดหลังจากที่ ท่านสารภาพบาป รวมถึงการกลับใจที่ท่านเขียนขึ้นในบทสดุดีทั้งสองบท ซึ่งเป็นเรื่องเกี่ยวกับความบาปที่ ท่านทำไว้กับอุรียาห์และบัทเชบา -- สดุดี 32 และ 51 ให้เราตั้งใจฟังให้ดี เพื่อจะเข้าใจว่าการกลับใจที่แท้จริง เป็นอย่างไร

ลักษณะทั่วไปของการกลับใจแบบจอมปลอม

ผมยกตัวอย่างเรื่องการกลับใจหลอกๆในพระคัมภีร์ไปบ้างแล้ว ขอต่ออีกนิดนะครับ เพื่อเราจะได้เห็นข้อ เปรียบเทียบในการกลับใจของดาวิดและการกลับใจแบบจอมปลอม ผมอยากนำคุณมาดูเรื่องของซาอูล โดยเฉพาะที่ท่านกล่าวถึงสามครั้งว่า "ข้าพเจ้าได้กระทำบาปแล้ว … " (1 ซามูเอล 15:24, 30; 26:21) ทำไมเราจึงคิดว่า "การกลับใจ" ของซาอูลไม่จริงใจ? ให้เราย้อนกลับมาดู "การกลับใจ" ของซาอูลกัน

(1) การตอบสนองของซาอูลต่อคำตำหนิครั้งแรกคือความเงียบ ผมต้องขอชี้ให้เห็นว่า ที่ซาอูลดู เหมือนกลับใจใน 1 ซามูเอล 15 และอีกครังในบทที่ 26นั้น เป็นการ "กลับใจ" ที่ทั้งน้อยและสายเกินไป การกลับใจครั้งแรกน่าจะอยู่ตั้งแต่บทที่ 13 ตอนที่พวกฟิลิสเตียใช้กำลังมาจู่โจมอิสราเอล ซาอูลมีกำลังคน อยู่เต็มมือ แต่แล้วก็กระจัดกระจายหนีหายไปอย่างรวดเร็ว ถึงแม้ซามูเอลจะสั่งให้ซาอูลรอท่านให้มาเผา เครื่องถวายบูชาก่อน (1 ซามูเอล 10:8) แต่ซาอูลคิดว่าหมดเวลาคอยแล้ว ท่านจึงไม่คอย ทำการเผาเครื่อง บูชาด้วยตนเอง พอเผาเสร็จซามูเอลมาถึงพอดี เมื่อซามูเอลกล่าวตำหนิการกระทำที่ฝ่าฝืนต่อพระเจ้าเช่นนี้ ซาอูลกลับแก้ตัวว่าท่านได้ทำสิ่งที่เหมาะสมแล้ว ในสถานการณ์ที่คับขันจวนตัว ซามูเอลไม่รับข้อแก้ตัวนี้ และ กล่าวตำหนิท่านในการกระทำอันโง่เขลา ขาดการเชื่อฟัง และแจ้งแก่ท่านว่า เพราะเหตุนี้ ท่านจสูยเสีย อาณาจักรไป ซาอูลกลับตอบสนองด้วยความเงียบ ท่านพึ่งได้รับแจ้งว่า หน้าที่ในตำแหน่งกษัตริย์อิสราเอล ของท่านกำลังจะจบสิ้น แทนที่จะสำนึกและสารภาพ ท่านกลับแยกจากซามูเอลมาอย่างเงียบๆ

(2) การตอบสนองของซาอูลต่อคำตำหนิครั้งที่สองคือ ต่อต้าน และยอมสารภาพอย่างไม่เต็มใจ ใน 1 ซามูเอล 15 พระเจ้าสั่งพิพากษาผ่านมาทางซามูเอลให้ซาอูลกำจัดชาวอามาเลขและสัตว์เลี้ยงให้สิ้นซาก (15:1-3) ซาอูลเชื่อฟังเพียงบางส่วน เก็บสัตว์เลี้ยงดีๆบางตัว และไว้ชีวิตอากักพระราชาของอามาเลข เมื่อ ซามูเอลมาถึง ซาอูลเข้ามาพบอย่างไม่เกรงกลัว ประกาศว่าพระเจ้าทรงอวยพระพร และอ้างว่าได้ทำตามพระ บัญชาแล้ว (15:13) เสียงแกะที่ยังมีชีวิตอยู่ทำให้ซามูเอลไม่พอใจ ซาอูลเมื่อรู้ว่าซามูเอลไม่พอใจ รีบหาข้อ อ้างในทันที ท่านโทษความบาปของท่านไปที่ประชาชนที่ยืนยันจะเก็บสัตว์เลี้ยงบางตัวไว้ เพื่อใช้เป็นเครื่อง ถวายบูชา46 ถึงแม้จะถูกซามูเอลตำหนิ (ซึ่งฟังดูคล้ายกับที่พระเจ้าตำหนิดาวิดใน 2 ซามูเอล 7:8-9 และ 12:7-8) ซาอูลยังปฏิเสธไม่ยอมรับ ยังยืนยันว่าได้ "ทำตามที่พระเจ้าทรงใช้" (1 ซามูเอล 15:20) จนกระ ทั่งเมื่อซามูเอลยืนยันไม่ยอมรับ ซาอูลจึงยอมสารภาพผิดในข้อ 24 และ 30 ผมขอเรียก "การกลับใจ" แบบนี้ ว่าเป็นการกลับใจอย่างไม่เต็มใจ

(3) "การกลับใจ" ของซาอูลเป็นการไม่ยอมรับความผิดของตน แต่กลับป้ายความผิดไปที่คนอื่น เช่นเดียวกับอาดัมและเอวา ซาอูลพยายามปัดความรับผิดชอบบาปไปที่ผู้อื่น (ดูปฐมกาล 3:11-13) จน กระทั่งไปถึงข้อ 24 ซาอูลก็ยังดันทุรังต่อ พยายามโน้มน้าวใ้ห้ซามูเอลเห็นว่าถึงจะทำผิด ก็ผิดเพราะถูก ประชาชนกดกัน (15:15, 21, 24)

(4) "การกลับใจ" ของซาอูลเป็นการพยายามทำให้ผลของบาปนั้นดูน้อยลง ดูเหมือนซาอูลจะไม่สน ใจต้นตอของความบาป หรือการแก้ใข ท่านกลับไปสน่ใจที่จะลดขนาดของบาปลง ท่านรีบขอให้ซามูเอล อภัยให้ เพื่อที่จะเดินหน้าต่อ (ในการนมัสการ!) ราวกับว่าไม่มีอระไรเกิดขึ้น ท่านต้องการให้ซามูเอลไปกับ ท่านด้วย เพื่อให้เกียรติแก่ท่าน ท่านจะได้ไม่ขายหน้าต่อประชาชน (15:30) "การกลับใจ" ของซาอูลน่าจะ เรียกว่าเป็นการ "ซุกซ่อนความเสียหาย" ดีกว่า

(5) "การกลับใจ" ของซาอูลนั้นกินเวลาสั้นมาก สำหรับซาอูลแล้ว "ผลที่ได้คุ้มกับการกลับใจ" ไม่มี การปรับเปลี่ยนทัศนคติหรือการกระทำถาวร "การกลับใจ" ของซาอูลนั้นสั้นยิ่งกว่าลูกอมดับกลิ่นปาก ทันที ที่แรงกดดันจบลง อันตรายเลือนหายไป ซาอูลก็กลับไปทำบาปอีก ถึงแม้จะไม่ใช่แบบเดิมก็ตาม ใน 1 ซามู เอล 26:21 ซาอูลสารภาพกับดาวิดว่าท่านผิดจริงที่แสวงชีวิตดาวิด ถ้าท่านไม่ตายไปในสงครามเสียก่อน เราคงสงสัยกันว่าท่านจะทำอะไรดาวิดอีกถ้าโอกาสอำนวย (คุณคงจำได้ว่าดาวิดไม่ได้ "กลับไป" กับซาอูล ตามที่ท่านขอร้อง ท่านรู้ดีกว่า!) การกลับใจของซาอูลจึงเป็นไปเพียงชั่วคราว

ให้เรามารวบรวมเหตุการณ์ต่อเนื่องที่เกิดจากการกลับใจจอมปลอมของซาอูลใน 1 ซามูเอลกัน :

  • ซาอูลพยายามทำให้การไม่เชื่อฟังของท่านดูเหมาะสม เพราะถูกสถานการณ์บังคับ (เป็นเหมือนทำ ตาม "กฎอัยการศึก" -- 13:11-12)
  • ซาอูลปิดปากเงียบเมื่อรู้ชัดว่าพระเจ้าไม่รับข้ออ้างของท่าน (13:15).
  • ซาอูลพยายามปรับเปลี่ยนภาพบาปของการไม่เชื่อฟังเสียใหม่ ให้เป็นการขัดคำสั่งที่สุจริต (15:13)
  • ซาอูลพยายามป้ายความผิดของท่านไปที่ประชาชน และพยายามอ้างว่า "ทำบาป" เพราะอยากจะ นมัสการ (15:15).
  • ซาอูลอ้างว่าท่านต้องการเชื่อฟังพระเจ้า แต่ไม่สามารถควบคุมประชาชนที่ทำผิดด้วยการเก็บสัตว์ เลี้ยงบางตัวไว้ (ในขณะที่ไม่ยอมปริปากพูดเรื่องการไม่ยอมฆ่ากษัตริย์อากักของตนเอง -- 15:20-21)
  • ซาอูลไม่เต็มใจยอมรับความผิดของตน แต่ต้องการให้คนอื่นมีส่วนร่วมด้วย (15:24)
  • ซาอูลรีบ "สารภาพ" ผิดเพื่อจะได้รับการอภัย เพื่อจะได้ทำการ "ถวายบูชา" ต่อได้ (15:25).
  • ซาอูลแสวงหาทุกทางที่จะลดดีกรีความผิดลง เพื่อจะได้ไม่ต้องทนทุกข์มาก เพราะผลของบาปนั้น (15:25-31).

ซาอูลและดาวิด

ก่อนที่เราจะไปดูการกลับใจที่แท้จริงของดาวิดกัน ผมขอเวลาสักครู่เพื่อจะเปรียบเทียบระหว่างซาอูลและ ดาวิด ผมวาดภาพของซาอูลให้คุณๆดูไม่ค่อยจะสวยนัก ซึ่งอาจจะเข้าใจบิดเบือนไปได้ ไม่ว่าจะล้มเหลวและ ทำบาปสักเท่าใด ผู้เขียนพระธรรม 1 และ 2 ซามูเอล ได้สรุปภาพรวมการทำงานของซาอูลไว้อย่างดี ดังนี้ :

47 เมื่อซาอูลได้รับตำแหน่งพระราชาเหนืออิสราเอลนั้น พระองค์ได้ทรงต่อสู้
ศัตรูทุกด้าน ต่อสู้กับโมอับ กับชนอัมโมน กับเอโดม กับบรรดา พระราชา
แห่งโศบาห์ และกับคนฟีลิสเตีย ไม่ว่าพระองค์จะหันไปทางไหน พระองค์ก็
ทรง กระทำให้เขาพ่ายแพ้ไป 48 พระองค์ทรงสู้รบอย่างเข้มแข็ง และทรง โจมตีพวกอามาเลขและทรงช่วยกู้คนอิสราเอล ให้พ้นจากมือของบรรดาผู้ที่
เข้าปล้นเขา (1 ซามูเอล 14:47-48)

ในการเปรียบเทียบระหว่างซาอูลและดาวิดในสมัยแรก (เช่นเรื่องการต่อสู้กับโกลิอัท) ทำให้ซาอูลดูไม่ดีนัก แต่ดาวิดดูดีมาก แต่พอมาถึงเรื่องความบาปของดาวิดใน 2 ซามูเอล บทที่ 11 และ 12 ซาอูลดูไม่เลวเกินไป เราไม่เห็นว่าซาอูลไปแย่งภรรยาใครมา และฆ่าสามีทิ้ง ในขณะที่ซาอูลจ้องจะฆ่าดาวิดนั้น ท่านะทำในที่แจ้ง ไม่ได้เป็นความลับแต่อย่างใด (ไม่เหมือนที่ดาวิดสั่งโยอาบให้ฆ่าอุรียาห์) บาปของดาวิดทำให้ซาอูลดูดีขึ้น แต่อย่างไรก็ตาม ยังมีข้อแตกต่างที่ค่อนข้างมากระหว่างสองคนนี้อยู่ : ดาวิดสำนึกในความบาปอย่างแท้จริง; ซาอูลไม่ ดาวิดเป็นบุรุษที่ทำตามพระทัยพระเจ้าอย่างสุดใจ แต่ก็ยังไม่ทำให้ท่านรอดพ้นจากความล้มเหลว ของมนุษย์ หรือทำให้ท่านหลุดพ้นจากการทดลองได้ แต่มันทำให้ท่านรู้สึกสำนึกผิดในบาปอย่างแท้จริง เมื่อเรามาเริ่มต้นเรียนเรื่องการกลับใจที่แท้้จริงของดาวิด ให้เราพยายามมองหาว่า การกลับใจ ที่แท้จริง เป็นอย่าง ไร

การกลับใจที่แท้จริง

เพียงสองประโยคสั้นๆในบทที่ 12 ก็กินความหมายมากมาย ประโยคแรกพูดโดยนาธัน : "ฝ่าพระบาทนั่น แหละคือชายคนนั้น!" (ข้อ 7) ประโยคที่สองดาวิดเป็นผู้พูด: "เรากระทำบาปต่อพระเจ้าแล้ว" (ข้อ 13) ประโยคที่สองและสิ่งที่เกิดขึ้นที่ผมอยากจะเจาะลึกลงไป เราลองมาพิจารณาลักษณะการกลับใจของดาวิด ในตอนนี้ และที่หนักแน่นกว่าในสดุดี 32 และ 51 และที่ปรากฎชัดเจนในชีวิตของดาวิด

(1) การกลับใจของดาวิดเกิดจากความเจ็บปวดที่กัดกินอยู่ภายในใจ และถึงจุดสูงสุดเมื่อต้องเผชิญ หน้ากับนาธัน ในบทนี้ ดาวิดสารภาพทันที ที่เรื่องราวความบาปของท่านถูกเปิดเผย แต่เนื้อหาบ่งว่าความ บาปของดาวิดถูกปกปิดอยู่เป็นเวลานาน น่าจะประมาณเก้าเดือนเป็นอย่างน้อย ในขณะที่ไม่มีการเล่าถึง เหตุการณ์ในช่วงเวลานั้น แต่ในสดุดี 32 ทำให้เราเห็นการทำงานของพระเจ้าในใจของดาวิด เรื่องความผิด บาปครั้งนี้ :

3 เมื่อข้าพระองค์ไม่แจ้งบาปของข้าพระองค์ ร่างกายของข้าพระองค์ก็ร่วงโรยไป โดยการคร่ำครวญวันยังค่ำของข้าพระองค์ 4 พระหัตถ์ของพระองค์หนักอยู่บนข้าพระ
องค์ทั้งวันทั้งคืน กำลังของข้าพระองค์ก็เหี่ยวแห้งไปอย่างความร้อนในหน้าแล้ง 5 ข้าพระองค์สารภาพบาปของข้าพระองค์ต่อพระองค์ และข้าพระองค์มิได้ซ่อนบาปผิด ของข้าพระองค์ไว้ ข้าพระองค์ทูลว่า "ข้าพระองค์จะสารภาพการละเมิดของข้าพระ
องค์ต่อพระเจ้า" แล้วพระองค์ทรงยกโทษบาปของข้าพระองค์ (สดุดี 32:3-5)

ในสดุดีบทนี้ ดาวิดพูดว่าท่านนิ่งเงียบเกี่ยวกับบาปของท่าน ดาวิดรู้ดีว่าท่านทำผิด แต่ท่านเลือกจะยื้อเวลา ออกไปอีกหน่อย ท่านไม่ยอมสารภาพบาป และผลของมันก็คือ "นรกชัดๆ" มันน่ามหัศจรรย์นะครับ ที่ความ บาปก่อให้เกิดความสุขเพียงชั่วครู่ (ดูฮีบรู 11:25) มันไม่น่าอภิรมย์สำหรับธรรมิกชนเหมือนกับคนต่างชาติ เหตุผลก็คือพระิวิญญาณทรงสถิตอยู่ภายในธรรมิกชน ขณะที่ความบาปทำให้พระวิญญาณเสียพระทัย จิตใจ ของเราก็ไม่อาจเพลิดเพลินไปกับการทำบาปได้ ผมไม่ได้บอกว่ามันไม่เพลิดเพลินนะครับ ; เพียงแต่ความ เพลิดเพลินจะถูกบั่นทอนลง ด้วยความสุขเมื่อเราเชื่อฟังและมีสามัคคีธรรมกับพระเจ้า อาการทุกข์ทรมาณ ที่ดาวิดพูดถึง ที่สุดก็คือสิ่งที่ทำลายความนิ่งเฉยของท่าน และนำท่านไปสู่การสารภาพ การกลับใจของท่าน จึงเกิดขึ้นได้ หลังจากต้องผ่านขั้นตอนความทุกข์ทรมาณทีท่านทำแทบทั้งสิ้นในที่ลับ

นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นประจำ ผมกำลังคิดถึงพี่ชายของโยเซฟที่ "กลับใจ" และโยเซฟทำให้เห็นด้วยเหตุการณ์ ต่างๆ ตามที่บันทึกอยู่ในปฐมกาล 42-45 พวกเขาทำบาปด้วยการขายโยเซฟให้ไปเป็นทาสในประเทศอียิปต์ (พวกเขาอาจตกเป็นทาสของจิตใต้สำนึก แต่อย่างน้อยก็ไม่ได้ฆ่าน้องตามที่คบคิดกันไว้) เมื่อโยเซฟได้ขึ้น เป็นใหญ่อันดับสองของประเทศอียิปต์ ท่านมีอำนาจเต็ม ที่จะจัดการกับพี่ชายอย่างไรก็ได้ เมื่อพวกพี่ชายมา ที่อียิปต์เพื่อขอซื้อข้าว ท่านน่าจะแก้แค้น แต่ท่านกลับเลือกที่จะให้พวกเขาสำนึกผิดและกลับใจ47 ท่านทำ โดยไม่เปิดเผยตนเอง (ถ้าท่านต้องการแก้แค้น ท่านคงบอกพวกเขาไปแล้วว่าท่านคือใคร) โยเซฟจัดฉาก เหตุการณ์ที่ทำให้พวกพี่ชายต้องตัดสินใจ ทำในสิ่งที่คล้ายกับที่เคยทำมาในอดีต ท่านทำให้พี่ชายตกอยู่ใน สถานการณ์ที่พวกเขาต้องมอบเบนยามินให้ไป ทิ้งให้เป็นทาสในประเทศอียิปต์ หรือว่าพวกเขาจะยืนหยัดปก ป้องน้องชายร่วมกัน ยูดาห์ผู้ที่เคยแนะนำให้ขายโยเซฟไปเป็นทาส บัดนี้ต้องเสนอตนเองเป็นทาสแทน เพื่อ เบนยามินจะกลับบ้านไปหายาโคบ บิดาผู้ชราภาพได้ นี่คือการกลับใจอย่างแท้จริง การกลับใจอย่างแท้จริง ไม่เพียงเสียใจที่ได้ทำสิ่งผิด (พี่ชายของโยเซฟเองก็เสียใจในความชั่วร้ายที่ทำลงไป ตั้งแต่ตอนต้นๆเรื่อง -- 42:21-22) และจะไม่กลับไปทำอีกถึงแม้มีโอกาสก็ตาม โยเซฟให้โอกาสพี่ชาย และครั้งนี้พวกเขาก็เลือก ทำในสิ่งที่ถูกต้อง หลายครั้งการกลับใจแท้จริงเกิดขึ้นได้หลังจากผ่านความเจ็บปวดมาหลายขั้นตอน

(2) ดาวิดแสดงออกถึงการกลับใจและสารภาพความผิดของท่านต่อพระพักตร์พระเจ้าอย่างไม่ บิดพริ้ว ท่านสารภาพด้วยคำพูดสั้นๆตรงไปตรงมาอย่างน่าประทับใจ การสารภาพของซาอูลกลับไม่จริง ใจและคลุมเครือ ถ้าเป็นเดี๋ยวนี้ ท่านคงให้ทนายความส่วนตัว (หรือสำนักพระราชวัง) ร่างคำแถลงการแทน ดาวิดรับผิดชอบต่อบาปของท่านทั้งหมด ; ซาอูลหาทางป้ายไปที่คนอื่น หรือพยายามหาคนมาร่วมรับผิดชอบ ดาวิดสารภาพบาปว่าเป็นบาปชัดเจน ไม่มีข้อแก้ตัวใดๆ ไม่มีการชี้ไปที่ผู้อื่น ท่านเห็นว่าบาปนี้เป็นการที่ท่าน ทำผิดต่อพระเจ้าจริงๆ

(3) ดาวิดถือว่าความบาปครั้งนี้ร้ายแรง ซาอูลชอบหาทางทำให้ความผิดดูเป็นเรื่องเล็กน้อย ไม่น่าจะผิด อะไรนักหนา ดาวิดทำตรงข้าม ในสดุดี 32 และ 51 ชี้ให้เห็นว่าดาวิดใคร่ครวญถึงบาปของท่านเป็นอย่างมาก ยิ่งท่านคิดมากเท่าใด ท่านยิ่งเห็นถึงความชั่วร้ายของท่านเอง เนื่องจากบทสดุดีนี้เขียนขึ้นเพื่อนมัสการ พระเจ้า และเพื่อให้เป็นอุมาหรณ์สำหรับคนรุ่นหลัง ความบาปและการสารภาพของท่านจึงเป็นเรื่องเปิดเผย แต่ท้ายที่สุดแล้ว ท่านทำบาปต่อพระเจ้า พระเจ้าเท่านั้น นี่ไม่ใช่เป็นการทำให้ความชั่วที่ท่านทำต่ออุรียาห์ และบัทเชบาลดน้อยลงไป บาปคือการละเมิดต่อพระบัญญัติของพระเจ้า ด้วยเหตุนี้ บาปทุกชนิดคือการทำผิด ต่อพระเจ้า เพราะเป็นการละเมิดพระบัญญัติของพระองค์ อาชญากรรมเป็นที่รังเกียจของสังคม แต่บาป (ในกรณีเช่นนี้) คือการ ทำผิดต่อพระเจ้าเท่านั้น เพราะฝ่าฝืนพระบัญญัติของพระองค์ ดาวิดละเมิด พระบัญญัติอย่างน้อยถึงสามข้อ ด้วยกัน ท่านโลภภรรยาของเพื่อนบ้าน ท่านล่วงประเวณีผัวเมียเขา และท่านฆ่าคน (อพยพ 20:13, 14, 17)

(4) ดาวิดไม่ได้คาดหวังว่าความดีของท่านจะสามารถชดเชยหรือทำให้ความผิดของท่านลดลงได้ ในที่สุดเราก็มาถึงเรื่องผิดพลาดประการใหญ่ที่เกิดขึ้นตลอดมาทุกยุคทุกสมัย -- คือความคิดผิดๆที่ว่าพระเจ้า ทรงใช้วิธีตัดเกรดวัดเรา เราชอบคิดไป (หรือ เหมาเอาเอง ) ว่าเราสามารถสะสมความดีเพื่อแซงหน้าความ บาปได้ ถ้าเราทำ "ดี" มากกว่าทำ "ชั่ว" เราก็เชื่อกันว่า รวมๆแล้วเราทำดีมากกว่า ดังนั้นพระเจ้าจึงสมควร จะรับได้ เราขาดความเข้าใจว่า ความชอบธรรมที่พระเจ้าปรารถนาจากมนุษย์นั้น ต้องเชื่อฟังพระคำอย่าง ครบถ้วนสมบูรณ์ ความผิดเพียงประการเดียวก็ทำให้เราขาดความชอบธรรมแล้ว และสมควรไปสู่ความตาย:

10 เพราะว่าผู้ใดรักษาธรรมบัญญัติได้ทั้งหมด แต่ผิดอยู่ข้อเดียว ผู้นั้นก็เป็น ผู้ผิดธรรมบัญญัติทั้งหมด (ยากอบ 2:10; ดูมัทธิว 5:19; กาลาเทีย 5:3ด้วย)

ดาวิดเป็นบุรุษที่ทำตามพระทัยพระเจ้าอย่างสุดใจ ท่านรักพระบัญญัติ พระหัตถ์ของพระเจ้าอยู่กับท่านใน ทุกสิ่งที่ท่านทำ โดยรวมแล้วชีวิตของท่านเป็นแบบอย่างที่ดีสำหรับเรา เป็นมาตรฐานที่เราควรพยายามไป ให้ถึง ความบาปของท่านเรื่องอุรียาห์และบัทเชบา เป็นข้อยกเว้น อย่าเอามาใช้เป็นข้ออ้าง:

5 เพราะว่าดาวิดทรงกระทำ สิ่งที่ถูกต้องในสายพระเนตรของพระเจ้า และมิได้
ทรงหันไปจากสิ่งใด ซึ่งพระเจ้าทรงบัญชาตลอดพระชนม์ชีพของพระองค์ นอก จากเรื่องอุรีอาห์คนฮิตไทต์ (1พกษ 15:5)

ถ้าใครสามารถเอาความดีมาชดเชยความบาปได้ ดาวิดก็น่าจะเป็นผู้นั้น แต่เรากลับพบว่าท่านสารภาพความ ผิด โดยไม่มีการแอบอ้างใช้ในคุณความดีใดๆที่ท่านเคยทำมาชดเชย ท่านรู้ดีว่าท่านนั้นสมควรแก่พระอาชญา

3 เพราะข้าพระองค์ทราบถึงการละเมิดของข้าพระองค์แล้ว และบาปของ ข้าพระองค์อยู่ต่อหน้าข้าพระองค์เสมอ 4 ข้าพระองค์ได้ทำบาปต่อพระองค์
ต่อพระองค์เท่านั้น และได้กระทำสิ่งที่ชั่วร้ายในสายพระเนตรพระองค์ ทั้งนี้เพื่อพระองค์จะทรงยุติธรรมในคำพิพากษา และไร้ตำหนิในการ
พิพากษานั้น
(สดุดี 51:3-4 ผมขอย้ำด้วย)

(5) ดาวิดไม่ได้แอบอ้างในพระคุณ หวังว่าจะได้รับการอภัยและได้รับชีวิตเดิมคืนมา คนที่วางแผน จะทำบาป ด้วยคิดว่าถึงอย่างไรพระเจ้าก็ต้องให้อภัย พวกเขาคิดว่าถ้าดำเนินตามขั้นตอนและพิธีแล้ว ไม่ว่ากี่ ครั้งก็ตาม จะได้รับการอภัยโดยอัตโนมัติ และสามารถดำเนินชีวิตปกติต่อไปได้ คนที่สักแต่จะรับพระคุณแห่ง การให้อภัย สารภาพความผิดด้านหนึ่ง แต่อีกด้านหนึ่งวางแผนคิดจะทำอีก ดาวิดสารภาพความผิดของท่าน ต่อพระเจ้า ไม่ทูลขอสิ่งใดทั้งสิ้น ท่านรู้ว่าท่านสมควรได้รับสิ่งใด และไม่ทูลขอให้หลบเลี่ยงได้

ด้วยเหตุนี้ ดาวิดจึงเป็นเหมือนบุตรน้อยหลงหายในพระคัมภีร์ใหม่ :

17 เมื่อเขารู้สำนึกตัวแล้ว จึงพูดว่า 'ลูกจ้างของบิดาเรามีมาก ยังมีอาหาร
กินอิ่มและเหลืออีก ส่วนเราจะมาตายเสียที่นี่เพราะอดอาหาร 18 จำเราจะ
ลุกขึ้นไปหาบิดาเรา และพูดกับท่านว่า "บิดาเจ้าข้า ข้าพเจ้าได้ผิดต่อสวรรค์
และผิดต่อท่านด้วย 19 ข้าพเจ้าไม่สมควรจะได้ชื่อว่าเป็นลูกของท่านต่อไป ขอท่านให้ข้าพเจ้าเป็นเหมือนลูกจ้างของท่านคนหนึ่งเถิด'"20 แล้วเขาก็ลุก
ขึ้นไปหาบิดาของตน แต่เมื่อเขายังอยู่แต่ไกล บิดาแลเห็นเขาก็มีความเมตตา จึงวิ่งออกไปกอดคอจุบเขา 21 ฝ่ายบุตรนั้นจึงกล่าวแก่บิดาว่า 'บิดาเจ้าข้า ข้าพเจ้าได้ผิดต่อสวรรค์และต่อท่าน ข้าพเจ้าไม่สมควรจะได้ชื่อว่าเป็นลูกของ
ท่านต่อไป' 22 แต่บิดาสั่งบ่าวของตนว่า 'จงรีบไปเอาเสื้ออย่างดีที่สุดมาสวม
ให้เขา และเอาแหวนมาสวมนิ้วมือ กับเอารองเท้ามาสวมให้เขา 23 จงเอา
ลูกวัวอ้วนพีมาฆ่าเลี้ยงกัน เพื่อความรื่นเริงยินดีเถิด 24 เพราะว่าลูกของเราคนนี้
ตายแล้ว แต่กลับเป็นอีก หายไปแล้วแต่ได้พบกันอีก' เขาทั้งหลายต่างก็มีความ
รื่นเริงยินดี(ลูกา 15:17-24)

ลูกชายคนนี้ "ก่อเรื่อง" เอาไว้หลายคดี แล้วรู้ตัวเสียด้วย เขาตัดขาดจากครอบครัว เอาเงินมรดกไปผลาญ จนหมดสิ้น ไม่มีสิทธิมาอ้างความเป็นลูกอีกต่อไป แต่ลูกคนนี้ก็รู้จักบิดาของตนเองดี รู้ว่าเป็นทาสในบ้าน ของบิดายังดีกว่าเป็นทาสของคนต่างด้าวต่างแดน จึงตัดสินใจกลับบ้าน สารภาพความผิด และไม่ได้ขอ สิ่งใดเลยนอกจากขอเป็นแค่ลูกจ้างในบ้าน บิดาให้การต้อนรับอย่างปราณี ท่านให้ในสิ่งที่บุตรคนนี้ไม่สมควร ได้ ดาวิดก็เหมือนบุตรล้างผลาญคนนี้ รู้ดีว่าไม่สมควรได้รับการอภัย ไม่สมควรได้พระพร ท่านไม่แม้แต่จะทูล ขอ ท่านเพียงแต่สารภาพผิดเท่านั้น

(6) เมื่อดาวิดกลับใจ ที่ท่านได้รับคือความปิติยินดีในการสถิตอยู่ และการดูแลจากพระเจ้ากลับคืน มา และท่านมีความตั้งใจที่จะสอนผู้อื่นให้หันหนีเสียจากความบาปด้วย ในสดุดีบทที่ 51 เรารู้ว่าดาวิด อธิษฐานขอให้พระเจ้าฟื้นท่านขึ้นมาใหม่ในความปิติยินดี (51:8, 12) เรามีเหตุผลพอที่จะรู้ว่าท่านได้รับตาม คำทูลขอ นอกจากนั้นท่านยังมีความปรารถนาที่จะสอนผู้อื่นด้วย :

แล้วข้าพระองค์จะสอนผู้ละเมิดทั้งหลาย ถึงบรรดาพระมรรคาของพระองค์ และคนบาปทั้งหลายจะกลับสู่พระองค์ (สดุดี 51:13).

บัดนี้ดาวิดจะสอนสั่งบรรดาคนบาปในฐานะผู้ที่ได้กลับใจจากบาปแล้ว ท่านจะสั่งสอนให้พวกเขาหันเสียจาก ความบาป นับเป็นสิ่งที่ต่างไปจากความชั่ว ที่ล่อลวงให้ผู้อื่นเห็นดีเห็นงามทำตามไปด้วย :

แม้เขาจะรู้พระบัญญัติของพระเจ้า ที่ว่าคนทั้งปวงที่ประพฤติเช่นนั้นสมควรจะตาย เขาก็ไม่เพียงประพฤติเท่านั้น แต่ยังเห็นดีกับคนอื่นที่ประพฤติเช่นนั้นด้วย (โรม 1:32)

ผมนึกถึงซีโมนเปโตร ที่พระเยซูทรงทำนายไว้ว่าจะปฏิเสธพระองค์ ด้วยคำพูดที่มีความหวัง :

31 "ซีโมน ซีโมนเอ๋ย ดูเถิด ซาตานได้ขอพวกท่านไว้ เพื่อจะฝัดร่อนเหมือน
ฝัดข้าวสาลี 32 แต่เราได้อธิษฐานเผื่อตัวท่าน เพื่อความเชื่อของท่านจะไม่ได้ขาด และ เมื่อท่านได้หันกลับแล้ว จงชูกำลังพี่น้องทั้งหลายของท่าน" (ลูกา 22:31-32)

เปโตรเคยเป็นคนอวดดี ขาดความอดทน และหุนหันก่อนที่ท่านจะปฏิเสธพระเยซู หลังจากพลาดพลั้งไปอย่าง น่าเศร้า โดยพระคุณ ท่านได้กลับสู่สภาพดี และเป็นจุดเริ่มต้นแท้จริงในงานพันธกิจของท่าน พระเจ้าทรงมี เหตุผลในการที่ใช้ความบาปของเราเพื่อสั่งสอนผู้อื่น และเช่นกันคนอื่นมองเห็นได้ถึงความเจ็บปวด เพราะผล บาปของเรา (สุภาษิต 19:25) หรือเห็นการคืนสู่สภาพดีด้วยสำนึกอันลึกซึ้งในพระคุณพระเจ้าที่เกิดขึ้นในผู้ที่ เป็นคนบาปและได้กลับใจ

(7) การกลับใจที่พระเจ้าให้เกิดแก่ดาวิด ทำให้เกิดผลดีสมกับที่ท่านได้กลับใจ พระเจ้าตอบสนอง การกลับใจของดาวิดด้วยพระคุณ ทำให้ดาวิดเองปฏิบัติต่อผู้ที่ทำผิดต่อท่านและได้กลับใจ อย่างมีเมตตา เมื่ออับซาโลมกบฎต่อบิดา มุ่งมายึดบัลลังก์ ดาวิดหนีออกจากเยรูซาเล็มพร้อมผู้ติดตาม ในขณะหลบหนี ชายชื่อชิเมอีออกมาสาปแช่งและขว้างหินใส่ท่าน (2 ซามูเอล 16:5-8) อาบีชัยต้องการตัดหัวชายคนนี้เสีย แต่ดาวิดไม่อนุญาติ เมื่อดาวิดกลับคืนสู่เยรูซาเล็ม หนึ่งในบรรดาผู้มาต้อนรับท่านคือชิเมอี ผู้มาสารภาพ ต่อท่านว่าได้ทำผิด ที่ทำลงไปครั้งนั้น (2 ซามูเอล 19:16-20)

อาบีชัยก็ยังอยากฆ่าชิเมอีอยู่ดี แต่ครั้งนี้เขามีหลักทางศาสนศาสตร์มาอ้าง เขาอ้างว่าชิเมอีได้เคยแช่งด่าดาวิด กษัตริย์ของอิสราเอล ธรรมบัญญัติของโมเสสห้ามไม่ให้ประชากรสาปแช่งผู้นำของตน (อพยพ 22:28) ตาม ตัวบทกฎหมายแล้ว -- ชิเมอีสมควรถูกประหาร แต่ดาวิดให้อภัย และไว้ชีวิตเขา เมื่อทำเช่นนั้น ดาวิดได้จัด การกับชิเมอีด้วยความกรุณา เช่นเดียวกับที่พระเจ้าทรงทำกับท่าน เหตุการณ์นี้ทำให้นึกถึงเรื่องที่พระเยซูเล่า ถึงเรื่องทาสที่ไม่ยอมให้อภัย (ดูมัทธิว 18:23-35) ทั้งๆที่กษัตริย์ยอมยกหนี้จำนวนมหาศาลให้ แต่เขาไม่ยอม ยกหนี้ให้กับเพื่อนทาสด้วยกันแค่จำนวนเพียงน้อยนิด คนที่เคยมีประสบการณ์ในพระคุณพระเจ้า จะสำแดง ให้เห็นด้วยความปราณีต่อผู้อื่น พระคุณที่ดาวิดได้รับเมื่อท่านกลับใจ ท่านสำแดงต่อให้แก่ผู้ที่ "กลับใจ" เช่น ชิเมอี.48

(8) การกลับใจของดาวิดมีผลยั่งยืน : ดาวิดละทิ้งความบาป และไม่หวนกลับไปทำอีกเลย มีอีกหลาย คนเช่นฟาโรห์ และเช่นซาอูล ดูเหมือนกลับใจ แต่จบสิ้นลงในเวลาอันรวดเร็ว ซาอูลใช้เวลาไม่นานก่อนที่จะ กลับไปพยายามฆ่าดาวิดอีก หรือฟาโรห์เองยับยั้งไม่ให้คนอิสราเอลเดินทางออกจากอียิปต์ นี่เป็นเพราะ การกลับใจไม่แท้จริง ที่จริงการกลับใจของพวกเขาเป็นเพียงหยุดต่อต้านชั่วคราว หยุดความเจ็บปวดชั่วครู่ สจวร์ต บริสโค แยกแยะเรื่องการกลับใจจอมปลอมและการกลับใจแท้จริงไว้ดังนี้ :

"ผมจำได้ว่ามีเพื่อนคนหนึ่งอยู่ที่อังกฤษ กล่าวกับผมไว้นานแล้วว่า 'การกลับใจ แบบเด็กๆคือเสียใจที่ได้ทำลงไป การกลับใจของผู้ใหญ่คือ เศร้าเสียใจ ต่อสิ่งที่ เกิดขึ้น ถ้าเรารู้สึกแค่เสียใจที่ได้ทำลงไป … เราจะออกไปทำได้อีก"49

    ดาวิดสำแดงการ "กลับใจแบบผู้ใหญ่" ท่านเห็นความบาปอย่างที่มันเป็น และเสียใจอย่างแท้จริง ผลก็คือท่าน จะไม่มีวันหวนกลับไปทำอีก

ได้รับการอภัย
(12:13ข)

และนาธันกราบทูลดาวิดว่า "พระเจ้าทรงให้อภัยบาปของฝ่าพระบาทแล้ว ฝ่าพระบาทจะไม่ถึงแก่มรณา"

สิ่งที่ดาวิดไม่กล้าทูลขอ ท่านกลับได้รับ ท่านคงโล่งใจอย่างบอกไม่ถูกเมื่อได้ยินนาธันพูดว่า "พระเจ้าทรง ให้อภัยบาปของฝ่าพระบาทแล้ว ฝ่าพระบาทจะไม่ถึงแก่มรณา" ดาวิดได้ตัดสินตนเอง ขณะที่ท่านตอบ สนองต่อเรื่องแกะถูกพราก เพื่อนำไปฆ่า ตามที่นาธันเล่า (2 ซามูเอล 12:1-4):

ดาวิดกริ้วชายคนนั้นมาก และรับสั่งแก่นาธันว่า "พระเจ้าทรงพระชนม์ อยู่แน่ฉันใด ผู้ชายที่กระทำเช่นนั้นจะต้องตาย" (2 ซามูเอล 12:5)

แน่นอนตามกฎธรรมบัญญัติของโมเสส เรื่องที่นาธันเล่า ผู้กระทำผิดต้องชดใช้ความเสียหายให้ถึงสี่เท่า (อพยพ 22:1) แต่ดาวิดสมควรตาย เพราะท่านทำทั้งบาปล่วงประเวณี และบาปฆาตรกรรมอุรียาห์

ตามธรรมบัญญัติของโมเสส ดาวิดไม่มีหวัง ท่านเป็นคนที่ต้องถูกลงโทษทัณฑ์ เหมือนตายไปแล้ว! แล้วนาธัน บอกกับดาวิดได้อย่างไร ว่าท่านจะไม่ถึงตาย? คุณลองสังเกตุดู คำพูดที่พูดก่อนคำสัญญาว่า ท่านจะไม่ถึง ตาย ที่พูดว่า: "พระเจ้าทรงให้อภัยบาปของฝ่าบาทแล้ว" ดาวิดได้รับ "การช่วยกู้" จากการลงทัณฑ์ของ พระเจ้า เช่นเดียวกับพวกเรา ไม่ใช่ได้รับการอภัยเพราะรักษาธรรมบัญญัติ แต่โดยพระคุณ และเหตุผลที่ดาวิด ได้รับการอภัย เพราะพระเจ้าทรงนำความผิดบาปของท่านไปเสีย

การ"นำบาปไปเสีย" ไม่ใช่เป็นการเล่นมายากล ที่พระเจ้าทรงทำให้บาปของดาวิดหายไปเฉยๆนะครับ คำพูด ของนาธันที่ว่าพระเจ้าทรง "ให้อภัยบาปแล้ว" ผมเชื่อว่านาธันแน่ใจในการช่วยกู้ที่จะมาจากองค์พระเยซูคริสต์ ที่บนไม้กางเขนบนเนินหัวกระโหลกที่จะเกิดขึ้นหลายร้อยปีหลังจากนั้น ในพระราชกิจที่พระคริสต์ทรงทำบน ไม้กางเขน ดาวิดได้รับการอภัย พระเจ้าทรงนำความผิดบาปไปจากท่าน และพระองค์ทรงยุติธรรมด้วย

คำว่า "ได้ทรงนำไปเสีย" ในข้อ 13 ของฉบับ NASB มีความหมายว่า "ทำให้ความบาปนั้นผ่านพ้นไป" ใน หมายเหตุ เป็นคำกิริยา ที่มักนำมาใช้สำหรับการผ่านออกไป หรือข้ามผ่านไป เช่นเมื่อคนอิสราเอลเดินข้าม ทะเลแดง เป็นคำพูดที่มีมูลเหตุ เพื่อสื่อคำว่า "ทำให้ต้องผ่านเข้าไป หรือข้ามไปเสีย" เป็นเที่เข้าใจ ในทั้ง NKJV และ KJV ฉบับดั้งเดิมใช้คำว่า "นำออกไป" ผมเชื่อว่าคำในภาษาฮีบรูที่เราใช้ในบทเรียนตอนนี้ ถูกนำมาใช้ในที่อื่นอีกสองครั้งในพระคัมภีร์ เพื่อสื่อความหมายให้ใกล้เคียงกับคำที่เรากำลังเรียนอยู่

8 ฝ่ายอับเนอร์ก็โกรธอิชโบเชทเพราะถ้อยคำนี้มาก จึงทูลว่า "ข้าพระบาทเป็นหัวสุนัขของยูดาห์หรือ ทุกวันนี้ข้าพระบาท ได้สำแดงความจงรักภักดีต่อพงศ์พันธุ์ ของซาอูลเสด็จพ่อ
ของพระองค์ และต่อพี่น้องและต่อมิตรสหายของเสด็จพ่อท่าน มิได้มอบฝ่าพระบาทไว้ในมือของดาวิด วันนี้พระองค์ยังหาความ ต่อข้าพระบาทด้วยเรื่องผู้หญิงคนนี้ 9 ถ้าข้าพระบาทจะมิได้
กระทำเพื่อดาวิด ให้สำเร็จดังที่พระเจ้าทรงปฏิญาณไว้ต่อท่าน
แล้ว ก็ขอพระเจ้าทรงลงโทษอับเนอร์และยิ่งหนักกว่า 10 คือ ข้าพระบาทจะ ย้ายราชอาณาจักรจากพงศ์พันธุ์ของซาอูล และ สถาปนาบัลลังก์ของดาวิดเหนืออิสราเอล และเหนือยูดาห์
ตั้งแต่ดานถึงเบเออร์เชบา" (2 ซามูเอล 3:8-10 และผมด้วย)

พระราชาจึงถอดพระธำมรงค์ตรา ซึ่งพระองค์ ทรงเอามาจาก
ฮามาน พระราชทาน ให้โมรเดคัย พระนางเอสเธอร์ก็ทรงตั้ง
โมรเดคัย เป็นใหญ่ เหนือบ้านเรือนของฮามาน (เอสเธอร์ 8:2)

ในทั้งสองกรณีด้านบน คำฮีบรูคำเดียวกันนี้ที่นำมาใช้อธิบายถึงการ "ย้าย" สิ่งของหรือบุคคลจากที่หนึ่ง ไปยังอีกที่หนึ่ง 50 อาณาจักรอิสราเอลถูกย้ายจากซาอูลมาให้ดาวิด (2 ซามูเอล 3:8-10) พระธำมรงค์ของ กษัตริย์ ซึ่งเป็นการมอบสิทธิอำนาจให้ผู้ใต้บังคับบัญชาทำการแทน ถูกนำมาจากฮามานไปมอบให้โมรเดคัย พระธำมรงค์ถูกย้ายจากคนหนึ่งไปให้อีกคนหนึ่ง บาปของดาวิดได้รับการอภัย และมีการรับรองว่า ท่านจะไม่ ต้องตาย เพราะพระเจ้าได้นำความบาปไปเสียจากท่าน การนำไปหรือย้ายไปเกิดขึ้นหลายร้อยปีหลังจากนั้น เมื่อ "บุตรดาิวิด" องค์พระเยซูคริสต์ สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน พระองค์ทรงแบกรับบาปของดาวิด และจ่าย แทน ชดใช้ในสิ่งที่ดาวิดทำ ดาวิดไม่ต้องตายเพราะบาปของท่าน เพราะพระคริสต์ถูกกำหนดไว้ล่วงหน้าแล้ว ให้รับโทษทัณฑ์แทนท่าน

นาธันพูดถึงการนำออกไปเหมือนกับเป็นเหตุการณ์ในอดีต ผู้เผยพระวจนะในพระคัมภีร์เดิม บ่อยครั้งพยากรณ์ เหตุการณ์ในอนาคตโดยใช้เวลาเป็นอดีต ที่เป็นเช่นนี้ เพราะต้องการตอกย้ำว่าเรื่องที่ พยากรณ์จะเกิดขึ้นแน่ เมื่อพระเจ้ารับสั่งว่าจะทำบางอย่าง ก็เหมือนกับที่เราชอบพูดกันว่า "เหมือนเกิดไปแล้ว" เมื่อผู้เผยพระวจนะ พูดถึงพระสัญญาที่จะเกิดขึ้นในอนาคต พวกเขามักจะพูดโดยใช้ประโยคที่เป็นเหตุการณ์ในอดีต ซึ่งนับเป็น ร้อยๆปี กว่าที่พระเยซูลงมาบังเกิด มนุษย์ได้รับการอภัยแล้ว เหตุการณ์ครั้งนี้ ดาวิดได้รับการอภัยเพราะพระ เยซูทรงมาไถ่ที่บนไม้กางเขน นี่เป็นพื้นฐานของการให้อภัย ดาวิดสารภาพอย่างถูกต้อง ว่าท่านได้ทำผิดต่อ พระเจ้า และนาธันให้ความมั่นใจแก่ท่านว่า บาปที่ท่านทำต่อพระเจ้า พระเจ้าได้ให้อภัยแล้ว โดยการพลีพระ ชนม์เป็น เครื่องบูชาไถ่บาปของพระบุตร คือองค์พระเยซูคริสต์ นี่เป็นพื้นฐานของการอภัยบาปตลอดมา

บทสรุป

ให้เราสรุปบทเรียนตอนนี้ด้วยหลักการหลายข้อ ที่ต้องนำมาใช้

(1) การกลับใจเป็นการกระทำที่พระเจ้าทรงทำผ่านทางพระวิญญาณ พระวจนะ และคนของพระองค์ เพื่อให้เกิดการตอบสนองต่อความบาป เราเปลี่ยนใจคนไม่ได้ ; พระเจ้าเท่านั้นที่ทำได้ ความหมายคือ การกลับใจเป็นการกระทำของพระเจ้า แต่พระเจ้า เป็นผู้เลือกวิธีที่จะทำให้สำเร็จลง คือการกลับใจ พระเจ้า ทรงใช้คนของพระองค์ เช่นคนอย่างนาธัน ให้มาเผชิญหน้ากับผู้ที่ทำบาป ท่านใช้พระคำ และพระวิญญาณมา ตัดสินคนบาปในบาปที่เขาได้ทำ ในปัจจุบันและในอดีต มันง่ายที่จะพูดกันเรื่องความบาปของคนอื่น มากกว่า จะพูดกับผู้ที่กระทำบาปเอง ในพระคัมภีร์พูดชัดเจน ถึงความรับผิดชอบที่เรามีต่อพี่น้องที่กำลังตกอยู่ในบาป (ดูมัทธิว 7:1-5; 18:15-20; 1 โครินธ์ 5:1-13; กาลาเทีย 6:1-5; 1 เธสะโลนิกา 5:14; 2 เธสะโลนิกา 3:14-15; 2 ทิโมธี 2:23-26; ติตัส 3:9-11; ยากอบ 5:19-20) ไม่มีใครอยากเป็น "นาธัน" สำหรับ "ดาวิด" แต่นี่เป็น กรรมวิธีที่พระเจ้าทรงเลือกใช้จัดการกับบาป หรือหนุนใจให้คนบาปกลับใจ นาธันเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของดาวิด เมื่อท่านเลือกที่จะชี้ความบาปให้ดาวิดเห็น และเตรียมการสำหรับให้ท่านกลับใจ

(2) การกลับใจเป็นการเตรียมการของพระเจ้า เพื่อจะได้รับการอภัยจากบาป และกลับมามีสามัคคี ธรรมกับพระองค์อีกครั้ง ในบทสดุดีของดาวิด เราเห็นชัดเจนว่าท่านได้ทำบาปและพยายามปกปิดไว้ จึงเกิด ช่องโหว่ขึ้นระหว่างท่านและพระเจ้า ดาวิดขาดการชื่นชมในความรอด และความมั่นคงในการสถิตอยู่ของพระเจ้า ท่านได้สิ่งเหล่านี้กลับคืนมาเมื่อท่านกลับใจ การกลับใจเป็นการแสดงถึงความเชื่อ และเป็นวิธีการที่พระเจ้า เตรียมไว้ให้กับคนบาปผู้หลงหาย ให้ได้รับการอภัยจากบาป มั่นใจได้ในชีวิตนิรันดร์ และมีสามัคคีธรรมกับ พระองค์ได้

1 คราวนั้นยอห์นผู้ให้รับบัพติสมา มาประกาศในถิ่นทุรกันดารแคว้นยูเดียว่า 2 "จง กลับใจเสียใหม่ เพราะว่าแผ่นดินสวรรค์มาใกล้แล้ว" (มัทธิว 3:1)

ตั้งแต่นั้นมา พระเยซูได้ทรงตั้งต้นประกาศว่า "จงกลับใจเสียใหม่เพราะว่าแผ่นดิน สวรรค์มาใกล้แล้ว" (มัทธิว 4:17)

พระองค์ก็ประหลาดพระทัย เพราะเขาไม่มีความเชื่อ แล้วพระองค์จึงเสด็จไปสั่ง สอนตามหมู่บ้านโดยรอบ 7 พระองค์ทรงเรียกสาวกสิบสองคนมา แล้วทรงใช้เขา ให้ออกไปเป็นคู่ๆ … . 12 ฝ่ายเหล่าสาวกก็ออกไปเทศนาประกาศให้กลับใจเสีย ใหม่ (มาระโก 6:6ก, 12)

45 ครั้งนั้นพระองค์ทรงบันดาลให้ใจเขาทั้งหลายเกิดความสว่างขึ้น เพื่อจะได้เข้า ใจพระคัมภีร์ 46 พระองค์ตรัสกับเขาว่า "มีคำเขียนไว้อย่างนั้นว่า พระคริสต์จะต้อง ทรงทนทุกข์ทรมาณและทรงเป็นขึ้นมาจากความตายในวันที่สาม 47 และจะต้อง ประกาศทั่วทุกประชาชาติในพระนามของพระองค์ ให้เขากลับใจใหม่ รับการยก บาป ตั้งต้นที่กรุงเยรูซาเล็ม (ลูกา 24:45-47)

38 ฝ่ายเปโตรจึงกล่าวแก่เขาว่า "จงกลับใจใหม่และรับบัพติสมา ในพระนามแห่ง พระเยซูคริสต์สิ้นทุกคน เพื่อพระเจ้าจะทรงยกความผิดบาปของท่านเสีย; แลัว ท่านจะได้รับพระราชทานพระวิญญาณบริสุทธิ์ (กิจการ 2:38)

18 ครั้นคนทั้งหลายได้ยินคำเหล่านั้นก็นิ่งอยู่ แล้วได้สรรเสริญพระเจ้าว่า "พระ เจ้าได้ทรงโปรดแก่คนต่างชาติให้กลับใจใหม่ จนได้ชีวิตรอดด้วย" (กิจการ 11:18)

18 ครั้นมาแล้วเปาโลจึงกล่าวว่า "ท่านทั้งหลายย่อมทราบอยู่เองว่า ข้าพเจ้าได้ ประพฤติต่อท่านอย่างไรทุกเวลา ตั้งแต่วันแรกเข้ามาในแคว้นเอเชีย 19 ข้าพเจ้า
ได้ ปรนนิบัติพระเจ้าด้วยความถ่อมใจ ด้วยน้ำตาไหล และด้วยถูกการทดลอง ซึ่งมาถึงข้าพเจ้าเพราะพวกยิวคิดร้ายต่อข้าพเจ้า 20 และสิ่งหนึ่งสิ่งใดซึ่งเป็นคุณ ประโยชน์แก่ท่านทั้งหลาย ข้าพเจ้ามิได้ปิดซ่อนไว้ แต่ได้ชี้แจงให้ท่านเห็น กับ ได้สั่งสอนท่านในที่ประชุม และตามบ้านเรือน 21 ทั้งเป็นพยานแก่พวกยิว และ
พวกกรีก ถึงเรื่องการกลับใจใหม่เฉพาะพระเจ้า และความเชื่อในพระเยซูคริสต
เจ้าของเรา (กิจการ 20:18-21)

ในการกลับใจ ผู้ที่เป็นคนบาปต้องละทิ้งความบาป และกลับมามีสามัคคีธรรมกับพระเจ้า ซึ่งเคยถูกความบาป ตัดขาดไป ดังนั้น อ.เปาโลปรารถนาจะให้ธรรมิกชนชาวโครินธ์กลับใจ :

9 แต่บัดนี้ข้าพเจ้ามีความชื่นชมยินดี มิใช่เพราะท่านเสียใจ แต่เพราะความเสียใจนั้น ทำให้ท่านกลับใจใหม่ เพราะว่าท่านได้รับความเสียใจอย่างที่ชอบพระทัยพระเจ้า ท่านจึงไม่ได้ผลร้ายจากเราเลย 10 เพราะว่าความเสียใจอย่างที่ชอบพระทัยพระเจ้า ย่อมกระทำให้กลับใจใหม่ ซึ่งนำไปถึงความรอดและไม่เป็นที่น่าเสียใจ แต่ความ เสียใจอย่างโลกนั้นย่อมนำไปถึงความตาย (2 โครินธ์ 7:9-10)

ในพระธรรมวิวรณ์ จดหมายที่มีไปถึงคริสตจักรทั้งเจ็ดในเอเซีย มีเรื่องราวเรียกร้องให้กลับใจ :

'5 เหตุฉะนั้นจงระลึกถึงสภาพเดิมที่เจ้าได้หล่นจากมาแล้วนั้น จงกลับใจเสียใหม่ และประพฤติตามอย่างเดิม มิฉะนั้นเราจะมาหาเจ้า และจะยกคันประทีปของเจ้า ออกจากที่ เว้นไว้แต่เจ้าจะกลับใจใหม่ (วิวรณ์ 2:5)

"เหตุฉะนั้นจงกลับใจเสียใหม่ มิฉะนั้นเราจะรีบมาหาเจ้าและจะสู้กับเขาเหล่านั้น ด้วยดาบแห่งปากของเรา" (วิวรณ์ 2:16)

"เหตุฉะนั้นเจ้าจงระลึกว่าเจ้าได้รับและได้ยินอะไร จงกระทำตามและกลับใจเสียใหม่ ถ้าเจ้าไม่เฝ้าระวัง เราจะมาหาเจ้าเหมือนอย่างขโมย และเจ้าจะไม่รู้ว่าเราจะมาหาเจ้า
เมื่อไร" (วิวรณ์ 3:3)

"เรารักผู้ใดเราก็ตักเตือนและตีสอนผู้นั้น เหตุฉะนั้นจงมีความกระตือรือร้น และ กลับใจ เสียใหม่" (วิวรณ์ 3:19)

การกลับใจหรือสำนึกบาป เป็นคำที่ไม่ค่อย "ซึม" เข้าไป และไม่ค่อยมีใครอยากปฏิบัตินัก ผมเชื่อว่ามันต้อง เริ่มจากการเข้าให้ถึงความบริสุทธิ์ของพระเจ้าให้ได้ก่อน และตระหนักถึงความร้ายแรงใหญ่หลวงในบาปของ เรา เป็นการนำไปสู่การมองชีวิตในรูปแบบใหม่ ในแบบสายพระเนตรของพระเจ้า ตามที่มีอยู่ในพระวจนะคำ เป็นความรู้สึกรังเกียจต่อบาปอย่างฉับพลัน ทำให้ตั้งใจจะไม่กลับไปทำอีก และสัมผัสได้ถึงการทรงสถิตอยู่ ของพระเจ้า ปิติยินดีในการช่วยกู้ และปรารถนาอยากช่วยผู้อื่นให้หลุดพ้นจากบาป

ความเห็นของผม สิ่งที่ก่อให้เกิดการฟื้นฟูอย่างแท้จริง คือการกลับใจแท้จริง ความสัมพันธ์ที่ดูเหมือนแตก ร้าว จะสมานกันขึ้นมาใหม่ ชีวิตแต่งงานที่ซังกะตายหรือรอคอยเวลา จะพลิกฟื้นขึ้นใหม่ รักที่หายไปจะกลับ คืนมาอีกครั้ง พันธนาการของความบาปที่นำไปสู่ประพฤติกรรมที่หันเหและหลงวนเวียนอยู่ในความบาป จะถูก ตัดลง มันน่าเศร้าที่ในยุคแห่งการบำบัดโรคนี้ เราใช้คำพูดเชิงจิตวิทยามาอธิบายถึงปัญหาด้านจิตวิญญาณ ทั้งๆที่พระคัมภีร์มีคำอธิบายและวิธีการแก้ใขพร้อมสรรพ เรากลับเชื่อกันว่า หลายๆปัญหาด้านจิตวิญญาณ ไม่มีทางแก้ใข ไม่มีทางเปลี่ยนได้ ต้องใช้เวลาเป็นปีในการบำบัด และถ้าทำได้ การเปลี่ยนแปลงจะเป็นเพียง เล็กน้อยเท่านั้น นี่เป็นการตอบสนองคนละอย่างกับที่พระคัมภีร์พูดถึงเรื่องการกลับใจจากความบาป การกลับ ใจที่แท้จริงจะเป็นเหตุให้เกิดการเปลี่ยนแปลงได้ ก่อนอื่นเราต้องกลับไปที่พระวจนะคำ เราต้องเรียกความ บาปตามชื่อจริงของมันในพระคัมภีร์ และเราต้องให้ผู้คนตอบสนองตามแบบในพระคัมภีร์ -- การกลับใจ และ ความเชื่อ

เมื่อมีการกลับใจแท้จริงเกิดขึ้น ผมเชื่อว่าเราจะเห็นชัดเจน บทเรียนของเราไม่เพียงอธิบายถึงการกลับใจ ในเรื่องของบาปเท่านั้น แต่อธิบายถึงการกลับใจอย่างแท้จริง ซึ่งคนอื่นๆจะสัมผัสได้ และเมื่อมีการกลับใจ เกิดขึ้น เรามีหน้าที่ต้องให้อภัย และรับผู้นั้นกลับเข้ามามีสามัคคีธรรมอีกครั้ง มีคริสตจักรหลายแห่งที่ไม่ค่อย นำวินัยของคริสตจักรมาใช้นัก ไม่มีการเรียกให้กลับใจ แต่สำหรับคริสตจักรที่ทำ ต้องมีความพร้อม และเต็มใจ ที่จะยอมรับการกลับใจอย่างแท้จริง และต้อนรับคนบาปที่หลงหาย ให้กลับมาสู่การสามัคคีธรรมอีกครั้ง

ผมไม่อยากจะเป็นเหมือนเพื่อนๆของโยบ เรียกร้องให้มีการกลับใจอย่างไม่เหมาะสม ไม่ใช่ทุกการทดลอง หรือความทุกข์ยากเป็นผลมาจากความบาปของเรา แต่มีบางครั้งที่พระเจ้าอนุญาติให้เราถูกทดลอง เพื่อเรา จะเห็นถึงความบาปของเรา และเรียกให้เรากลับใจ ในเวลาเช่นนั้น ขอให้เรามีความใวต่อความบาปของเรา ให้เราสารภาพบาป ละทิ้งมันไปเสีย ให้เรามองเห็นได้ชัดเจนอีกครั้ง และสรรเสริญในพระคุณแห่งความรอด และการได้กลับมามีสามัคคีธรรมกับพระองค์อีก


45 อาหารดีเยี่ยมจนผมไม่กล้าเล่าให้ภรรยาฟังว่าผมกินอาหารกลางวันอะไรบ้าง ถึงกระนั้น ยังมีพวกนักโทษ บ่นว่าสเต็กรสชาติยังไม่่ถูกใจ

46 น่าสนใจนะครับที่ซาอูลไม่ได้เอ่ยถึงกษัตริย์อากักเลย ท่านอาจจะรู้สึกว่าประชาชนอยากให้เก็บสัตว์บาง ตัวไว้เป็นของริบ แต่ใครเล่าในท่ามกลางประชาชนจะกล้าไปขอให้ซาอูลไว้ชีวิตกษัตริย์อากัก? ความคิดผุด ขึ้นมาครับ ว่าอากักเป็นเหมือนถ้วยรางวัลส่วนตัวของซาอูล ท่านวางแผนจะเก็บเอาไว้สนองความต้องการของ ตัวเอง ดังนั้นในคำแก้ตัวของท่านที่มีต่อซามูเอล ท่านจึงไม่เอ่ยชื่ออากักแม้สักนิดเดียว เพราะหาข้ออ้างไม่ได้ ที่จะไว้ชีวิตอากักคนนี้

47 โยเซฟได้สำนึกแล้วว่าพระเจ้าทรงยกท่านให้อยู่ในตำแหน่งที่มีอำนาจ เพื่อท่านจะเข้าใจได้ ว่าความ ชั่วร้ายที่พี่ชายได้ทำกับท่านนั้น พระเจ้าทรงใช้ให้เกิดการดีทั้งสิ้น (ดูปฐมกาล 41:51-52; 50:20) เมื่อ ท่านห็นพวกพี่ชาย ท่านก็จำความฝันได้ และเข้าใจได้ว่า ที่ท่านได้ในตำแหน่งที่มีอำนาจเช่นนี้ มาก็เพื่อจะช่วยบรรดาพี่ ชาย and now understood that his position of power was given him so that he could minister to his brothers through this authority (Genesis 42:9).

48 มีคนสงสัยว่าชีเมอีกลับใจแน่หรือ แต่สำหรับดาวิดท่านรับการสารภาพจากชีเมอีตามที่ท่านมองเห็น

49 โดย D. Stuart Briscoe จากหนังสือ A Heart for God (Nashville: Thomas Nelson Publishers, 1984)หน้า 141.

50 ในพระธรรมเอสเธอร์ 8:10 มีการใช้คำกิริยาแบบเดียวกับใน 2 ซามูเอล 3:10 ที่ผมต้องการชี้ให้เห็นคือ คำกิริยาที่สื่อความหมายเดียวกันในทั้งสองตอนนี้ เกี่ยวข้องกับการ "ย้ายออกไป"

Related Topics: Bibliology (The Written Word)

Report Inappropriate Ad