Previous PageTable Of ContentsNext Page

บทที่ 28: จากโศกนาฏกรรมมาเป็นชัยชนะ
(1 ซามูเอล 30:1-31)

คำนำ

ผมกำลังนึกถึงเรื่องราวในหนังสือที่น่าสนใจมากเล่มหนึ่งชื่อ เขตกักกันชานตุง เขียน โดยแลงก์ดอน กิลคีย์ เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับผลกระทบที่เกิดขึ้นกับคนที่ถูกขังอยู่ในเขต กักกันชานตุง โบสถ์เก่าๆที่ใช้สำหรับการนี้นับเป็นสถานที่ๆไม่เหมาะสมที่สุด ในสมัย ที่ญี่ปุ่นเข้ามายึดประเทศจีนในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ชาวตะวันตกทั้งหลายที่ อาศัยอยู่ในเมืองจีนถูกนำมากักขังไว้ที่นี่ มีทั้งนักธุรกิจ นักการเมือง ครูบาอาจารย์ หมอ สอนศาสนา ฯลฯ ทุกคนถูกนำมากักตัวไว้ในสถานที่ๆต่ำกว่ามาตรฐานการอยู่อาศัย ไม่ ถึงกับเป็นคุกขี้ไก่ของทหารหรอกครับ แต่น่าจะประมาณพอๆกับคุกชั้นเลวทั่วไป สภาพ ของค่ายกักกันชานตุงทำให้เห็นส่วนที่เลวที่สุด และดีที่สุดของผู้คนได้ ผู้เขียนเป็นหนึ่ง ในจำนวนผู้ถูกกักขังในค่ายนี้

เมื่อเวลาคริสต์มาสมาถึง จะมีรถของหน่วยกาชาดมาแจกถุงยังชีพให้กับผู้ที่ถูกขังอยู่ ในสถานกักกันชานตุง เราอาจคิดว่าการไปแจกถุงยังชีพนี้เป็นเรื่องง่ายๆ แค่เพียงหาร จำนวนของถุงด้วยจำนวนคนที่อยู่ในค่าย ถ้ามีคนอยู่ 600 คน และมีถุงยังชีพอยู่ 1200 ถุง ผู้ถูกกักกันก็จะได้รับไปคนละ 2 ถุงเท่าๆกัน งานง่ายๆที่ "ไม่ต้องใช้สมอง"นี้กลับเป็น ปัญหา คุณรู้มั้ย คนอเมริกันบางคนชี้ให้เห็นว่า ในเมื่่อถุงยังชีพนี้มาจาก หน่วยอาสา กาชาดของอเมริกา ก็แปลว่าทำมาให้คนอเมริกันเท่านั้น พวกเขาถกเถียงกันเองว่าถุง ยังชีพนี้ควรหารแบ่งให้กับคนอเมริกันพวกเดียวเท่านั้น และถ้าใครใจดีอยากปันส่วน ของตนให้กับผู้อื่น ก็ให้แบ่งไปจากส่วนที่ตนได้รับ

เหตุการณ์บางอย่างที่คล้ายกันนี้เกิดขึ้นใน 1 ซามูเอลบทที่ 30 เนื้อหาของบทที่ 30 นี้ ศิกลาก กวาดต้อนเอาภรรยาและลูกๆรวมทั้งทรัพย์สิ่งของไปสิ้น มีคนชี้ทางให้ไปที่ค่าย ของกองโจรนี้ และพวกเขาก็ปราบมันลงอย่างราบคาบ และนำทุกสิ่งที่สูญไปกลับคืนมา และยังได้สิ่งของที่คนพวกนี้ริบมาจากอิสราเอลและหัวเมืองฟิลิสเตียแถมอีก บางคนใน กองทหารของดาวิดไม่ยอมแบ่งส่วนของตนเองให้กับอีก 200 คนทีคอยเฝ้ากองสัม ภาระอยู่เบื้องหลัง

มีบทเรียนมากมายจากพระธรรมตอนนี้ เรื่องที่ดูเผินๆในตอนแรกเหมือนเป็นเรื่องที่ "อยู่ ห่างไกลไม่น่าเกี่ยวข้องอะไรกับเรา" แต่ที่จริงแล้วเกี่ยวข้องกับการใช้ชีวิตประจำวันของ เราโดยตรง ผมเทศนาพระธรรมตอนนี้ในวันอาทิตย์อีสเตอร์ ผมแน่ใจว่าพวกคุณคงนึกว่า ทำไมไม่เทศน์เกี่ยวกับเรื่องราววันอีสเตอร์ล่ะ ขอตอบว่าเนื้อหาตอนนี้เป็นเรื่องราวของ วันอีสเตอร์ครับ ที่จริงผมกล้าพูดได้ว่ายังมีเรื่องราวอื่นๆอีกที่มากกว่าวันอีสเตอร์ คงมี บางคนสงสัยอยู่ ผมขอให้เปิดใจกว้างให้พระวิญญาณนำให้คุณเรียนรู้ว่าพระเจ้าต้อง การสอนในสิ่งใด

ฉากเหตุการณ์
(30:1-6ก)

1 อยู่มาในวันที่สามเมื่อดาวิดกับคนของท่านมาถึงเมืองศิกลาก ปรากฏว่าคนอามาเลขได้มาปล้นเนเกบกับปล้นศิกลากแล้ว เขา ชนะศิกลากและเผาเสียด้วยไฟ 2 และจับผู้หญิงกับทุกคนที่อยู่ใน นั้นไปเป็นเชลยทั้งเด็กและผู้ใหญ่ ไม่ได้ฆ่าผู้ใดเลยแต่กวาดต้อน ไปตามทางของเขา 3 เมื่อดาวิดกับคนของท่านมาที่ตัวเมืองก็เห็น ว่าเมืองนั้นถูกเผาด้วยไฟ และภรรยากับบุตรชายบุตรหญิงของเขา ก็ถูกกวาดไปเป็นเชลย 4 แล้วดาวิดกับประชาชนที่อยู่กับท่านก็ ร้องไห้เสียงดังจนเขาไม่มีกำลังจะร้องไห้อีก 5 อาหิโนอัมชาว ยิสเรเอล และอาบีกายิลแม่ม่ายของนาบาลชาวคารเมล ภรรยา ทั้งสองของดาวิดก็ถูกกวาดไปเป็นเชลยด้วย 6 และดาวิดก็เป็น ทุกข์หนักเพราะประชาชนพูดกันว่า จะขว้างท่านเสียด้วยก้อน หินด้วยจิตใจของประชาชนต่างก็ขมขื่นมาก เพราะบุตรชายและ บุตรหญิงของเขา

ข่าวเรื่องฟิลิสเตียจะยกทัพขึ้นเหนือไปบุกขยี้อิสราเอลแพร่สะพัดไปอย่างรวดเร็ว พวกอามาเลข ที่ทำมาหากิน (คนละแบบกับดาวิด) ด้วยการปล้นสะดมภ์ตามหัวเมืองฟิลิสเตียและเมืองทางใต้ ของอิสราเอล ถือว่าเป็นข่าวดี เพราะคนวัยฉกรรจ์ทั้งหลายต้องไปสงคราม มีเหลืออยู่เพื่อคอย ปกป้องอิสราเอลไม่กี่คน160 รวมทั้งหัวเมืองต่างๆของฟิลิสเตียและศิกลากด้วย ในขณะที่ดาวิด และคนของท่านเดินให้ตรวจกำลังพลอยู่ในกองทหารฟิลิสเตียนั้น (29:2) พวกอามาเลขก็มา ปล้นศิกลาก โจรพวกนี้ปล้นเอาฝูงสัตว์ ทรัพย์สิน และลักพาบรรดาภรรยาและบุตรไป แล้วเผา เมืองจนหมดสิ้น

เมื่อดาวิดและคนของท่านเดินทางไปเกือบถึงศิกลาก พวกเขาตระหนกสุดขีดที่เห็นเมือง ถูกทำลายหมดสิ้น คนในครอบครัวถูกจับไปเป็นเชลย ไม่มีใครถูกฆ่า แต่สิ่งมีชีวิตทั้ง หมดหายไป อย่างน้อยพวกเขายังอุ่นใจที่รู้ว่าครอบครัวยังมีชีวิตอยู่ ทุกคนคิดไปต่างๆ นาๆว่าเกิดสิ่งใดขึ้น (หรือจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป) กับภรรยาและบุตรของพวกเขา อย่างดี ที่สุดพวกเขาอาจต้องไปเป็นทาส ถูกใช้งานหนักและถูกข่มขู่บีบบังคับ แต่ที่ร้ายที่สุด … . .และไม่มีใครอยากพูดถึง ภรรยาดาวิดทั้งสองคนถูกจับตัวไปด้วย

นักรบทั้ง 600 คนนี้เป็นทุกข์หนักกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับบ้านเมืองและครอบครัว พวกเขา ร้องไห้คร่ำครวญจนสิ้นเรี่ยวแรง แล้วพวกเขาก็เริ่มย้อนคิดว่าทำไมจึงมีเหตุการณ์เช่นนี้ เกิดขึ้น การอพยพมาอยู่ที่ฟิลิสเตียนี้เป็นแผนการของดาวิด (27:1-4); ดาวิดเป็นผู้จัด การให้พวกเขามาอยู่ทีหัวเมืองไกลอย่างศิกลาก (27:5-6) และดาวิดเป็นผู้นำพวกเขา ให้ไปร่วมรบกับพวกฟิลิสเตีย ทิ้งบ้านช่องครอบครัวให้อยู่ตามลำพัง ช่วยเหลือตนเอง ไม่ได้ จนถูกเข้าปล้น บางคนโกรธจัดจนถึงวางแผนจะเอาหินทุ่มดาวิดให้ตาย

ล่าอย่างร้อนรุ่ม; ร่องรอยเริ่มจางลง
(30:6ข-10)

แต่ดาวิดก็มีกำลังขึ้นในพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่าน161 7 ดาวิดจึง พูดกับอาบียาธาร์ ปุโรหิตบุตรของอาหิเมเลคว่า "ขอนำเอโฟดมาให้ ข้าพเจ้า" อาบียาธาร์ก็นำเอโฟดมาให้ดาวิด 8 และดาวิดทูลถามพระ เจ้าว่า "สมควรที่ข้าพระองค์จะติดตามกองปล้นนี้หรือ ข้าพระองค์จะ ขับทันเขาหรือ" พระองค์ตอบท่านว่า "จงติดตามเถิด เจ้าจะไปทัน เขาแน่ และจะช่วยได้แน่" 9 ดาวิดก็ยกออกติดตามพร้อมกับคนที่อยู่ กับท่านหกร้อยนั้น และเขามาถึงลำธารเบโสร์ คนที่ล้าหลังก็พักอยู่ ที่นั่น 10 แต่ดาวิดติดตามต่อไป ทั้งตัวท่านและคนสี่ร้อย สองร้อยที่ อ่อนเพลียเกินที่จะข้ามลำธารเบโสร์ก็หยุดพักอยู่

อย่างที่คุณดาวิสชี้ให้เห็น ตั้งแต่บทที่ 23 เป็นต้นมา ดาวิดไม่เคยแสวงหาน้ำพระทัย ของพระเจ้าด้วยเอโฟด และจากบทที่ 26 ท่านไม่เคยเอ่ยถึงพระผู้เป็นเจ้า162 และ ในกรณีนี้ ความวิบัติที่เกิดขึ้นทำให้ดาวิดกลับใจมาหาพระเจ้า พระธรรมตอนนี้จึงเป็น ช่วงเวลาที่ดีที่สุดของดาวิด ดาวิดเข้มแข็งขึ้นในพระเจ้าก่อน จึงค่อยแสวงหาการทรงนำ เกี่ยวกับครอบครัวที่ถูกลักพาตัวไป ดาวิดทูลขอให้พระเจ้าเปิดเผยว่าท่านสมควรออก ไปติดตามคนที่มาปล้นเอาครอบครัวท่านไปหรือไม่ และถ้าตามเจอ จะชนะได้หรือไม่? คำตอบคือ "ได้ !" พระเจ้าให้ความมั่นใจกับดาวิดว่า ท่านไม่เพียงแต่จะเอาชนะได้เท่า นั้น แต่จะได้ของที่เสียไปทุกอย่างกลับคืนมา

เราต้องไม่ลืมนึกถึงสภาพร่างกายและจิตใจของคนเหล่านี้ว่าเป็นเช่นไร พวกเขาพึ่งเดิน ทางไกลเป็น 100 กม.กลับมาจากอาเฟก อย่างไม่ต้องสงสัย คงรีบจ้ำกลับมา เพราะ หวังจะพักผ่อนให้เต็มที่เมื่อมาถึงศิกลาก แต่กลับมาพบว่าคนที่พวกเขารักถูกจับไป ฝูงสัตว์ถูกขโมยไป และเมืองทั้งเมืองวอดวายไปในกองไฟ พวกเขาร้องไห้จนหมดแรง (ข้อ 4) แล้วตอนนี้ต้องรีบออกไปติดตามพวกปล้นอีก พวกปล้นคงไปไกลแล้ว ร่องรอย ก็เริ่มตามยากขึ้น พวกเขาอาจหนีเข้าไปในถิ่นทุรกันดาร ถ้าจะ่รีบไปช่วย ดาวิดและคน ของท่านต้องรีบโดยด่วน

ผมจินตนาการว่าดาวิดและคนของท่านรีบเร่งเป็นสองเท่า เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วแถม อากาศก็ร้อน ทุกคนเริ่มอ่อนเพลีย และเมื่อมาถึงลำธารเบโสร์ หนึ่งในสามไปต่อไม่ไหว ถึงแม้มีแรงดึงดูดมากมาย – ครอบครัวตกอยู่ในอันตราย ต้องรีบไปช่วยอย่างเร่งด่วน – แต่พวกเขาไม่มีกำลังเหลืออยู่ สองร้อยคนหมดแรงลงที่ลำธาร ไม่สามารถฝืนไปต่อได้ ถึงแม้ไปต่อก็จะดึงให้ทั้งขบวนต้องล่าช้า ดาวิดและคนที่เหลืออีก 400 ตัดสินใจไปต่อ ทิ้งสัมภาระไว้กับ 200 คน เพื่อจะได้ไปได้เร็วขึ้น และไม่สูญเสียกำลัง

ชายที่ถูกทิ้งให้ตาย
ต่อชีวิตในการตามล่าให้กับดาวิด
(30:11-15)

11 เขาทั้งหลายพบชาวอียิปต์คนหนึ่งอยู่ที่กลางแจ้ง จึงนำเขา มาหาดาวิด ให้ขนมปังและเขาก็รับประทานและให้น้ำเขาดื่ม 12 และให้ขนมมะเดื่อแผ่นหนึ่งกับช่อองุ่นแห้งสองช่อ เมื่อเขา รับประทานแล้ว จิตใจของเขาก็ฟื้นขึ้น เพราะเขาไม่ได้รับประทาน ขนมปังหรือดื่มน้ำมาสามวันสามคืนแล้ว 13 และดาวิดถามเขาว่า "เจ้าเป็นคนพวกไหน และเจ้ามาจากไหน" เขาตอบว่า "ข้าพเจ้า เป็นคนหนุ่มชาวอียิปต์ เป็นคนใช้ของคนอามาเลข คนหนึ่ง เมื่อสามวันมาแล้วข้าพเจ้าป่วยนายข้าพเจ้าจึงทิ้งข้าพเจ้าไว้ 14 เรามาปล้นที่ถิ่นใต้ของคนเคเรธี และปล้นที่ส่วนของยูดาห์ และที่ถิ่นใต้ของคาเลบ และเราเผาเมืองศิกลากเสียด้วยไฟ" 15 ดาวิดถามเขาว่า "เจ้าจะพาเราลงไปถึงกองปล้นนี้หรือไม่" เขาตอบว่า "ขอปฏิญาณแก่ข้าพเจ้าในพระนามของพระเจ้าว่า จะไม่ฆ่าข้าพเจ้า และท่านจะไม่มอบข้าพเจ้าไว้ในมือนายของ ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจึงจะพาท่านไปที่กองปล้นนั้น"

การสะกดรอยนั้นเริ่มไม่ชัด ดูเหมือนดาวิดและคนของท่านไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพวกปล้นเป็น พวกใด (พวกเรารู้ตั้งแต่ข้อ 1 แต่ดาวิดและคนของท่านได้ข้อมูลในข้อ 13-14) ดาวิด และคนของท่านคงไม่แน่ใจในทิศทางสะกดรอย ในขณะเข้าที่คับขัน พวกเขา "บัง เอิญ" พบชายคนหนึ่งนอนรอความตายอยู่ในที่แจ้ง ชายคนนั้นหมดแรงไม่สามารถพูด ได้ บางคนคิดว่า "เสียเวลาเปล่า" ที่จะหยุดช่วย อาจเป็นเพราะความสงสาร (ดาวิด เป็นเหมือนชาวสะมาเรียใจดี) สิ่งที่ท่านทำกลับได้ผลตอบแทนมหาศาล เพียงใช้แค่ ขนมปังและน้ำ ผลมะเดื่อและช่อองุ่นแห้ง ก็ทำให้ชายผู้นี้ฟื้นกลับขึ้นมาหลังจากอด อาหารอดน้ำมาสามวันสามคืน

เมื่อชายคนนี้มีแรงพอที่จะพูด ดาวิดเริ่มสอบถาม คำตอบที่ได้จากชายคนนี้ชุบชูจิตใจ ของทั้งดาวิดและคนของท่าน ชายคนนี้บอกว่าเขาเป็นคนอียิปต์ เป็นทาสของพวกอามา เลข เขาถูกเจ้านายทิ้งไว้เมื่อสามวันที่แล้วเพราะป่วย ทำให้การเดินทางล่าช้า เจ้านาย คิดว่าทิ้งให้ตายเอง โดยไม่มีน้ำและอาหาร เขาบอกดาวิดว่าเขาอยู่กับพวกอามาเลข พวกที่เข้าปล้นเมืองศิกลาก

ดาวิดถามหนุ่มคนนี้ว่าจะพาท่านไปที่ค่ายของพวกอามาเลขได้หรือไม่ ตามปกติ ผมคิด ว่าไม่มีทาง แต่เมื่อเจ้านายและคนอื่นๆจงใจทิ้งเขาไว้ให้ตาย เขาจึงอยากช่วยเพื่อเป็น การตอบแทน แต่ดาวิดต้องให้ความมั่นใจว่า เขาจะไม่ถูกฆ่า หรือถูกส่งกลับคืนให้กับผู้ เป็นนาย ทาสใกล้ตายคนนี้ให้ความหวังในการติดตามครอบครัวกลับคืนมาจากพวก อามาเลข

ช่วยได้สำเร็จ
(30:16-20)

16 เมื่อเขาพาท่านลงไปแล้ว ดูเถิด ก็พบเขาทั้งหลายแผ่กันอยู่เต็มดิน ไปหมด ต่างกินและดื่มและเต้นรำเพราะเขาริบได้ข้าว ของมากมาย มาจากแผ่นดินฟีลิสเตียและจากแผ่นดินยูดาห์ 17 และดาวิดก็ฆ่าฟัน เขาตั้งแต่โพล้เพล้จนถึงเวลาเย็นของวัน รุ่งขึ้น ไม่มีชายคนใดหนีรอด ไปได้สักคนเดียว เว้นแต่ชายสี่ร้อย คนซึ่งขี่อูฐหนีไป 18 ดาวิดได้สิ่ง ของต่างๆที่คนอามาเลขริบคืน มาทั้งหมด และดาวิดช่วยภรรยาทั้ง สองของท่านมาได้ 19 ไม่มีอะไรขาดจากท่านไปเลยไม่ว่าเล็กหรือใหญ่ บุตรชายหรือบุตร หญิง ในสิ่งที่ริบไปหรือสิ่งที่เขาเหล่านั้นเอาไป ดาวิด ได้คืนมาหมด 20 ดาวิดยังจับได้บรรดาฝูงแพะ แกะ ฝูงโค และเขา ไล่ต้อนฝูงสัตว์ไปข้างหน้า ท่านกล่าวว่า "นี่เป็นส่วนหนึ่งของดาวิดริบมา"

ไม่จำเป็นที่ต้องแกะรอยตามพวกนี้อีกต่อไป ต้องขอบคุณทาสอียิปต์ที่พวกเขาช่วยชีวิต เอาไว้ เพราะนำพวกเขามาจนถึงค่ายของพวกอามาเลข ดาวิดและคนของท่านมาถึง ค่าย ในขณะที่คนพวกนี้ไม่ทันระวังตัว เพราะคิดว่าพวกฟิลิสเตีย (รวมทั้งดาวิดและพวก) รวมถึงอิสราเอลด้วย อยู่ในสนามรบห่างไกลออกไปทางเหนือ ใครจะมาติดตามได้ ? พวกเขากำลังฉลองในชัยชนะ กำลังกินดื่มอย่างสนุกสนานด้วยผลที่ได้จากการปล้น พวกอามาเลขกำลัง "แผ่กันอยู่เต็มดินไปหมด" (ข้อ 16) ซึ่งก็แปลว่า อยู่กระจัดกระ จายไม่เป็นระเบียบ อยู่ในสภาพป้องกันตนเองไม่ได้ (ในหนังโคบาลตะวันตก เวลาพัก แรม เขาจะเอาเกวียนมาล้อมเป็นวง ถ้าถูกโจมตีพวกผู้หญิงและเด็กจะถูกกันให้อยู่วง ใน) ถ้าศัพท์ในเชิงรบพูดว่า "ตีให้แตกกระจาย แล้วเข้าชิงชัย" นั้นเป็นจริง คนพวกนี้ก็ กระจายอยู่แล้วโดยไม่ต้องตี แถมยังกินดื่มและเต้นรำกันอย่างเมามาย พูดง่ายๆก็คือ เมากันจนหัวทิ่ม แล้วจะไปรบได้อย่างไร

ถ้าที่นี่เป็นค่ายใหญ่ของพวกอามาเลข คงต้องมีคนมากมายกว่าพวกที่ออกไปปล้น163 ดาวิดและคนของท่านดูจะกระจ้อยร่อย แต่ว่าถ้าพวกอามาเลขเมาขนาดนี้ คงตกเป็น เหยื่อโดยง่าย ดาวิดและพรรคพวกจึงเข้าโจมตี มีการฆ่าฟันกันนานหลายชั่วโมง164 ไม่มีใครหนีรอดไปได้ ยกเว้นคน 400 คนที่ขี่อูฐหนีไป165 ทุกสิ่งและทุกชีวิตที่ถูก พวกอามาเลขยึดมาจากศิกลากถูกนำกลับมาได้หมด ดาวิดและคนของท่านไม่สูญอะไร ไปแม้แต่อย่างเดียว (ยกเว้นบ้านเรือนที่ถูกไฟเผาไปในศิกลาก) ภรรยาทั้งสองของดาวิด รอดมาได้อย่างปลอดภัย ผู้เขียนบันทึกไว้อย่างชัดเจนว่า ไม่มีสิ่งใดสูญเสียเลย ดาวิด นำกลับมาได้ทั้งหมด อย่างที่พระเจ้าตรัสไว้ พวกเขาจะชนะศัตรูและจะได้กลับคืนมา ทั้งหมด ไม่มีภาระกิจใดจะประสบความสำเร็จมากไปกว่านี้

แบ่งของที่ริบมาได้
หรือ
ชัยชนะที่เกิดปัญหา
(30:21-31)

21แล้วดาวิดกลับมายังคนสองร้อยผู้ที่อ่อนเพลียเกินที่จะตามดาวิดไป ซึ่งให้พักอยู่ที่ลำธารเบโสร์ และเขาก็ออกไปต้อนรับดาวิด และต้อนรับ ประชาชนที่อยู่กับท่าน เมื่อดาวิดเข้ามาใกล้ประชาชน ท่านก็คำนับเขา ทั้งหลาย 22 คนอธรรมและคนถ่อยทั้งสิ้น ในพวกพลที่ติดตามดาวิดไป จึงกล่าวว่า "เพราะเขาไม่ไปกับเรา เราจะไม่ให้สิ่งที่เรากู้มาได้แก่เขาเลย นอกจากให้ต่างคนมาพาภรรยาและบุตรของเขาไปก็แล้วกัน" 23 แต่ดาวิด กล่าวว่า "พี่น้องทั้งหลายของข้าพเจ้าเอ๋ย ท่านอย่าทำอย่างนั้นกับสิ่งซึ่ง พระเจ้าทรงมอบแก่เรา ผู้ได้ทรงพิทักษ์รักษาเราไว้และทรงมอบกองปล้น ซึ่งมาต่อสู้กับเราไว้ในมือของเรา 24 ในเรื่องนี้ใครจะฟังเสียงของท่าน เพราะคนที่ลงไปรบได้ส่วนแบ่งของเขาอย่างไร คนที่เฝ้ากองสัมภาระ อยู่ก็ควรได้ส่วนแบ่งอย่างนั้น ให้เขาทั้งหลายรับส่วนแบ่งเหมือนกัน" 25 ตั้งแต่นั้นเป็นต้นไป ดาวิดก็ตั้งข้อนี้ให้เป็นกฎเกณฑ์และกฎหมายแก่ อิสราเอลจนทุกวันนี้ 26 เมื่อดาวิดมาถึงเมืองศิกลากแล้ว ก็ส่งของที่ริบ ได้นั้นส่วนหนึ่งไปให้เพื่อน ซึ่งเป็นพวกผู้ใหญ่ในยูดาห์กล่าวว่า "นี่เป็นของ ขวัญฝากมาให้ท่านซึ่งเป็นส่วนของของริบจากศัตรูของพระเจ้า" 27 คือแก่ คนที่อยู่ในเบธเอลในราโมทที่เนเกบ ในยัททีร 28 ในอาโรเออร์ ในสิฟโมท ในเอชเทโมอา 29 ในราคาล ในหัวเมืองของคนเยราเมเอล ในหัวเมืองของ คนเคไนต์ 30 ในโฮเรมาห์ ในโบราชาน ในอาธาค 31 ในเฮโบรน คือให้ แก่ทุกตำบลที่ดาวิดกับคนของท่านได้เคยไปๆมาๆ

พวกเขาประสบชัยชนะแล้ว ทุกสิ่งที่สูญไปได้คืนมาทั้งหมด ที่จริงดาวิดและคนของท่าน ไม่เพียงแต่ได้ของของตนเองคืน ยังได้มากมายกว่านั้น พวกเขายังได้ของที่พวกอามา เลขปล้นมาจากหัวเมืองฟิลิสเตียและอิสราเอล ของที่ริบได้พวกนี้กลับสร้างปัญหาใหญ่ ให้กับดาวิด บางคนใน 400 ที่รบชนะอามาเลขไม่ยอมแบ่งของริบมาได้ให้กับ 200 คน ที่รออยู่กับกองสัมภาระ

ใน 400 คนที่ไปรบกับอามาเลขนี้มีเพียงบางพวกที่เป็นพวก"คนอธรรมและคนถ่อย" 166 ไม่ใช่ทั้ง 400 คนเป็น มีเพียงบางคน แต่คนอธรรมคนถ่อยเหล่านี้ดูเหมือนจะมีอำนาจต่อ รอง เหตุผลของพวกเขาคือ : คนที่ไปต่อสู้มีเพียง 400 คนเท่านั้น ; ที่เหลือ 200 คนไม่ ได้ไปช่วย หรือมีส่วนร่วมในชัยชนะครั้งนี้ ดังนั้น 200 คนที่ไม่ได้ไปควรได้คืนแค่ของที่ ตนเองเสียไปเท่านั้น ไม่ควรได้ของที่พวกอามาเลขริบมาจากฟิลิสเตียและอิสราเอล ของริบพวกนี้สมควรแบ่งกันภายใน 400 คนเท่านั้น167 สิ่งที่คนพวกนี้สรุปเอาเองเกี่ยว กับของแถมที่ริบมาได้ ตั้งอยู่ตามหลักเกณฑ์ที่พวกเขาตั้งขึ้นเองอย่างผิดๆว่า :

(1) พวกเขาคิดว่าของที่ริบมาได้เป็นของพวกเขา จะจัดการอย่างไรก็ได้ พวกเขาแสดง ให้เห็นชัดเจนว่าไม่ต้องการจะแบ่งของ "ของพวกเขา" ให้กับ 200 คนที่เหลือ

(2) พวกเขาคิดว่า 200 คนนี้ไม่มีส่วนในการต่อสู้ หรือมีส่วนร่วมในชัยชนะ เพียงเพราะ ไม่ได้ไปรบกับพวกอามาเลขพร้อมกับ 400 คนที่เหลือ168

(3) พวกเขาคิดไปว่าชัยชนะครั้งนี้เป็นชัยชนะของพวกเขา พวกเขาสมควรกับชัยชนะ และสมควรได้รับรางวัลตอบแทน

(4) คนพวกนี้ไม่ได้ขอมีส่วนแบ่งใหญ่จากของที่ริบมาได้ พวกเขาบังคับว่าต้องได้ พวก เขาไม่ได้เห็นแก่ความเป็นผู้นำของดาวิด พวกเขากำลังแย่งชิงกัน หรืออย่างน้อยก็กำลัง พยายามทำ

ดาวิดไม่ยอมให้คนถ่อยเหล่านี้ได้ตามต้องการ ท่านเป็นผู้เข้ามาจัดการกับการขู่บังคับ ของพวกเขาอย่างใจเย็น169 ท่านไม่ปล่อยให้คนพวกนี้ได้ตามอำเภอใจ แต่ในขณะ เดียวกัน แสดงให้พวกเขาเห็นว่าการทำเช่นนี้เป็นสิ่งไม่ถูกต้อง ให้เรามาดูเหตุผลที่ ดาวิดยกขึ้นมาอธิบาย

(1) พวกเขาไม่ได้หาของริบเหล่านี้มาได้เองตามที่คิดกัน ชัยชนะและของริบเป็นของ ประทานโดยพระคุณ (ที่ไม่สมควรได้รับ) จากพระเจ้า พระเจ้าเป็นผู้ประทานให้ทั้งชัย ชนะและของริบเหล่านี้ แล้วคนพวกนี้มาอ้างว่าเป็นของที่พวกเขาหามาเองได้อย่างไร ?

(2) ชัยชนะนี้เป็นความร่วมมือกันทั้งทีม และทั้งทีมมีมากกว่า 400 คน เมื่อดาวิดใช้คำ ว่าเรา ท่านหมายความชัดเจนว่า 600 คน ท่านกล่าวว่า "พระเจ้าทรงมอบแก่เรา" "แก่ 600 คน ไม่ใช่แก่ 400"

(3) คนของดาวิดทั้ง 600 คนเป็นพี่น้องกัน (ข้อ 23) ไม่ใช่เป็นคนใดคนหนึ่ง ; แต่เป็น พี่น้องกัน ทั้ง 600 คนนี้เป็นครอบครัวเดียวกัน เมื่อพวกปล้นชาวอามาเลขกลับไปที่ค่าย ทุกคนในค่ายเลี้ยงฉลองความสำเร็จ ทุกคนมีส่วนในของริบ แล้วคนของดาวิดจะทำ แตกต่างไปได้อย่างไร ?

(4) การสู้รบเป็นเรื่องของคนทั้งทีม ทุกคนมีส่วนในหน้าที่แตกต่างกันไป คน 200 ที่อยู่เบื้องหลัง ไม่ได้หมายความว่าไม่มีส่วนร่วม พวกเขาอยู่เฝ้ากองสัมภาระ (ผมเข้า ใจว่าเป็นสัมภาระของ 600 คน) เท่ากับพวกเขามีส่วนร่วมรบเหมือนกัน ชัยชนะเป็นของ ทุกคน ดังนั้นทุกคนจึงสมควรได้รับส่วนแบ่งในของริบเท่าๆกัน

ดาวิดไม่ยอมให้ "คนอธรรม คนถ่อย" เหล่านี้มาทำให้ชัยชนะที่พระเจ้าประทานให้ มัวหมอง ท่านจัดการให้ทุกคนได้รับส่วนแบ่งในของริบเท่าๆกันทั้ง 600 คน แต่ทั้ง 600 คนไม่ได้ของริบไปทั้งหมด ในข้อ 26-31 เราเห็นว่าดาวิดนำของริบที่ได้มาไปใช้ให้เกิด ประโยชน์ด้วยการแบ่งให้กับบรรดาหัวเมืองอิสราเอลที่ท่านและคนของท่านเคยไปๆมาๆ

หัวเมืองเหล่านี้คงเคยถูกพวกอามาเลขโจมตีและสูญเสียทรัพย์สินไป ในกรณีนี้ ของริบ บางอย่างอาจจะเคยเป็นของพวกเขามาก่อนก็เป็นได้

(1) หัวเมืองเหล่านี้ดาวิดและคนของท่านเคยไปๆมาๆ

(2) หัวเมืองเหล่านี้เป็นเมืองที่ดาวิดทำให้อาคีชเชื่อว่าท่านเคยไปปล้นด้วยตนเอง

(3) ผู้คนเหล่านี้บางคนเป็นพวกผู้ใหญ่ ; เป็นคนที่มีอิทธิพลอยู่พอสมควร

(4) บางคนเป็นเพื่อนของดาวิด

(5) หัวเมืองเหล่านี้เป็นของอิสราเอล ; ที่จริงเป็นเมืองในเขตยูดาห์ เป็นคนในเผ่า เดียวกันกับดาวิด

(6) ในไม่ช้านี้ ผู้คนที่เคยได้รับของขวัญจากดาวิดจะเป็นคนพวกแรกที่ต้อนรับดาวิด ในฐานะกษัตริย์องค์ใหม่

การตัดสินใจของดาวิดเกิดผลไปไกล ไกลเกินกว่าที่ท่านจะนึกถึงในตอนนี้ การตัดสิน ใจหลายครั้งของท่านเกิดผลมากเกินกว่าที่ท่านจะนึกออก ตัวอย่างเช่น ผลของการที่ ท่านหนีไปหลบภัยที่ในฟิลิสเตีย หรือสิ่งที่ท่านคาดไม่ถึงจากการที่ท่านออกไปสู้กับ โกลิอัทและได้ชัยชนะ ในช่วงเวลาที่ดุเดือดเช่นนี้ ดาวิดต้องตัดสินใจ ท่านจะปล่อย ให้พวกคนอธรรมคนถ่อยแบ่งของที่ริบมาได้ภายใน 400 คนหรือ? หรือท่านควรเข้ามา ทำให้ถูกต้อง ? ท่านเลือกที่จะจัดการให้ถูกต้อง และในสิ่งที่ท่านทำ ท่านได้ตั้งให้เป็น กฎเกณฑ์ เป็นกฎหมายที่ใช้ไปนานเกินกว่าชีวิตของท่าน ความดี ความชั่ว ที่เราเลือก ทำ จะเป็นตัวกำหนดอนาคตของเรา

บทสรุป

บทที่หนึ่ง : การจัดเตรียมของพระเจ้า การจัดเตรียมของพระเจ้าเป็นเรื่องน่าทึ่งครับ! เราเห็นได้บ่อยครั้งในพระธรรม 1 ซามูเอล โดยเฉพาะในตอนนี้ พระเจ้าทรงยื่นพระหัตถ์ "ที่เรามองไม่เห็น" เข้ามาในเหตุการณ์ต่างๆในชีวิตของเรา ทำให้เรามั่นใจว่าพระองค์จะ ทำพระประสงค์และพระสัญญาของพระองค์ให้สำเร็จ ดาวิดได้รับเลือกและได้รับการ เจิมตั้งให้เป็นกษัตริย์องค์ต่อไปของอิสราเอล พระเจ้าทรงปกป้องดาวิด ทรงจัดเตรียม ให้ท่านและคนของท่านด้วยหลายๆวิธีที่มหัศจรรย์ วิธีที่ไม่มีใครนึกออกในขณะที่เหตุ การณ์เกิดขึ้น เราอ่านพบว่าดาวิดเตรียมพร้อมและเต็มใจไปรบกับอาคีชและพวกผู้นำ ฟิลิสเตียอื่นๆ ท่านรู้สึกผิดหวังมากเมื่อถูกปฏิเสธโดยผู้นำทั้งสี่ และถูกส่งกลับบ้านไป ศิกลาก จากเหตุการณ์นี้ทำให้เราเห็นว่าดาวิดและคนของท่านสามารถไปโจมตีพวก อามาเลข และนำของที่ถูกปล้นทั้งหมดกลับคืนมาได้

พระเจ้าจัดเตรียมการทรงนำให้ดาวิดและคนของท่านโดยทางปุโรหิตและเอโฟด นำทาง พวกเขาไปยังที่พักของพวกปล้น ทำให้พวกเขามีชัยชนะและนำของที่ถูกปล้นไปกลับ คืนมาได้ทั้งหมด นอกเหนือจากการทรงนำนี้ พระเจ้าได้ให้มีทาสอียิปต์คนหนึ่งของชาว อามาเลขป่วย และถูกทิ้งไว้กลางทางให้ตาย เพื่อว่าดาวิดจะไปพบชายคนนี้ ช่วยชีวิต เอาไว้ แล้วชายคนนี้จะตอบแทนบุญคุณด้วยการนำไปยังค่ายของพวกอามาเลข

แต่เดี๋ยวก่อน; ยังมีอีก! ในการจัดเตรียมของพระเจ้า พวกอามาเลขดูจะมาปล้นที่ศิกลาก เป็นเมืองสุดท้าย พวกเขาไม่ได้ปล้นเฉพาะที่ศิกลากเท่านั้น แต่หัวเมืองต่างๆหลายแห่ง ทั้งของฟิลิสเตียและอิสราเอล ดาวิดและคนของท่านไม่เพียงแต่ได้ของที่ถูกริบไปคืน มาเท่านั้น แต่ของปล้นจากที่อื่นๆด้วย ดาวิดนำของเหล่านี้ไปแบ่งให้บรรดาหัวเมืองของ อิสราเอล ทำให้พี่น้องในเผ่าเดียวกันนิยมและนับถือในตัวท่าน ศิกลากถูกเผาวอดวาย ในกองเพลิง ทำให้เกิดการ "สูญเสีย" แต่การ "สูญเสีย" นี้เป็นเหตุให้ดาวิดต้องกลับ คืนสู่แผ่นดินยูดาห์เร็วขึ้น และทำให้ท่านได้เป็นกษัตริย์ของยูดาห์ พระเจ้าทรงช่วยคน ที่รักพระองค์ให้เกิดผลอันดีในทุกสิ่ง คือคนทั้งปวงที่พระองค์ได้ทรงเรียกตามพระประ สงค์ของพระองค์ (โรม 8:28)

บทที่สอง : หลักเกณฑ์ของพระคุณ เป็นหลักเกณฑ์ที่สำคัญที่สุด เป็นสิ่งที่ทำให้เรา ต้องนำมาย้อนคิดดู และปรับเปลี่ยนงานรับใช้ของเราในฐานะพระกายของพระคริสต์ ชัย ชนะของดาวิดและคนของท่าน แท้จริงเป็นชัยชนะของพระเจ้า มนุษย์มีส่วนร่วมเท่านั้น แต่แน่นอน ท้ายที่สุดเป็นชัยชนะของพระเจ้า มนุษย์ไม่สมควรแอบอ้าง (หรือได้รับราง วัล) ในสิ่งที่พระเจ้ากระทำ ประเด็นนี้ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ คุณยังจำที่เฮโรดให้ผู้คนสรรเสริญ เขาว่าเป็นเหมือนพระเจ้าได้หรือไม่? เขาถูกพระเจ้าทำลายและเสียชีวิต เพราะไม่ถวาย เกียรติแด่พระเจ้า (ดูกิจการ 12:20-23) พระเยซูสอนว่า "…ของซีซาร์ จงถวายแก่ ซีซาร์ และของของพระเจ้าจงถวายแด่พระเจ้า" (มัทธิว 22:21) เราไม่ควรอวดใน สิ่งที่เป็นของพระเจ้า แต่จงถวายสรรญเสริญแด่พระองค์ อ.เปาโลสอนหลักเกณฑ์ เดียวกันนี้ในเรื่องของประทานฝ่ายวิญญาณ และงานรับใช้ที่พระเจ้ามอบให้ทุกคนที่อยู่ ในพระกายของพระคริสต์:

ผู้ใดเล่ากระทำให้ท่านวิเศษกว่าคนอื่น ท่านมีอะไรที่ ท่านมิได้รับมา ก็เมื่อท่านได้รับมา เหตุไฉนท่านจึง โอ้อวดเหมือนกับว่าท่านมิได้รับเลย (1 โครินธ์ 4:7)

พระคุณหมายได้รับการอภัย ได้รับความรอด หรือได้รับพระพรที่เราไม่ได้หามาด้วยตัว เอง ที่เราต้องทำคือยอมรับการจัดเตรียมของพระเจ้าโดยพึ่งในพระคุณ แต่พระคุณยัง หมายความอีกว่าเมื่อเราได้รับในสิ่งที่เราไม่สมควรได้แล้ว เราต้องไม่โอ้อวดเป็นเหมือน ว่าเราสมควรได้รับ หลักเกณฑ์ของพระคุณคือมนุษย์ไม่สมควรแอบอ้างในสิ่งที่พระเจ้า เป็นผู้กระทำ

บทที่สาม : หลักเกณฑ์ในการทำงานเป็นกลุ่ม (ทำเป็นทีม - teamwork) ใน ขณะที่พระเจ้าเป็นผู้ประทานชัยชนะ ดาวิดและคนของท่านมีส่วนร่วมในการรบ พวกเขา ทุกคนมีส่วนในการต่อสู้ คน 200 คนที่อยู่ข้างหลังคอยเฝ้ากองสัมภาระ ถ้าพวกเขาติด ตามไป พวกเขาจะทำให้อีก 400 คนต้องล่าช้า เพราะความเหนื่อยอ่อนของพวกเขา ถ้า 200 คนนี้ไม่อยู่เฝ้ากองสัมภาระ ทั้ง 400 คนก็ต้องหอบหิ้วไปด้วยให้เป็นภาระ 200 คน ที่รออยู่ข้างหลังจึงทำหน้าที่อย่างดีให้กับทั้ง 600 และทุกๆคนใน 600 นี้มีส่วนร่วมให้ สำเร็จลง จึงเป็นผลงานของทั้งกลุ่ม

ที่คริสตจักรในเมืองโครินธ์ มีการแบ่งออกเป็นหลายกลุ่ม บางกลุ่มคิดว่าตนเองมีของ ประทานที่แตกต่าง และของประทานเหล่านี้พิเศษกว่าของคนอื่น พวกคนที่คิดว่าตน เองมีของประทานก็จะรู้สึกภาคภูมิใจและมีความสำคัญ จึงดูถูกคนที่มีของประทานที่ ด้อยกว่า และคนที่คิดว่าตนเองมีของประทานที่ด้อยกว่า เริ่มคิดว่าตนเองไม่มีคุณค่าอะ ไร บางทีไม่ได้เป็นส่วนในพระกายด้วยซ้ำไป (1 โครินธ์ 12) อ.เปาโลชี้ให้เห็นว่าของ ประทานทั้งสิ้นมาจากพระคุณ ไม่มีใครโอ้อวดได้ว่าตนเองได้รับสิ่งใดมา ท่านยังย้ำอีก ด้วยว่า ของประทานทุกอย่างมีส่วนสำคัญและจำเป็น คริสตจักรเป็นพระกายของพระ คริสต์ และสมาชิกทุกคนได้รับของประทานมากน้อยต่างกันเพื่อให้พระกายทำงานได้ อย่างสมบูรณ์ ทุกคนในพระกายต่างต้องพึ่งพาอาศัยกัน ไม่มีใครด้อยคุณค่า ทุกคนเป็น ส่วนหนึ่งของทีม การงานขององค์พระผู้เป็นเจ้า – การงานในพระกายของพระคริสต์ คือ คริสตจักร – จะสามารถดำเนินได้ก็ด้วยการทำงานของแต่ละส่วนในพระกาย ในทั้ง ทีม คนที่คิดว่าตนเองเป็นคนโดดเด่นคนเดียว คนนั้นคิดผิดครับ

บทที่สี่ : บทเรียนเกี่ยวกับเทศกาลอีสเตอร์ ในตอนแรกผมได้กล่าวไปแล้วว่าคำ เทศนาในวันนี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับวันอีสเตอร์ ให้เรามาดูว่าเนื้อหาของพระธรรมตอนนี้ เกี่ยวกันยังไง ? เป็นเพราะพระคัมภีร์ ไม่ว่าพระคัมภีร์เก่าหรือใหม่ เป็นเรื่องเกี่ยวกับ ความเชื่อ และความเชื่อตามพระคัมภีร์คือความเชื่อเรื่องการคืนพระชนม์

ธรรมิกชนในยุคพระคัมภีร์ใหม่ รากฐานสำคัญของความเชื่อคือเชื่อว่าองค์พระเยซู คริสต์ทรงคืนพระชนม์ เป็นเรื่องที่ขาดไปจากข่าวประเสริฐไม่ได้ เป็นเรื่องที่ต้องเชื่อ :

8แต่ความชอบธรรมนั้นว่าอย่างไร? ก็ว่า "ถ้อยคำนั้น อยู่ใกล้ท่าน อยู่ในปากของท่านและอยู่ในใจของ ท่าน" -- คือคำซึ่งก่อให้เกิดความเชื่อที่เราทั้งหลาย ประกาศอยู่นั้น 9 คือว่าถ้าท่านจะรับด้วยปากของท่าน ว่า พระเยซูทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า และเชื่อในจิต ใจว่า พระเจ้าได้ทรงชุบพระองค์ให้เป็นขึ้นมาจาก ความตาย ท่านจะรอด 10 ด้วยว่าความเชื่อด้วยใจก็นำ ไปสู่ความชอบธรรม และการยอมรับสัจจะของพระเจ้า ด้วยปากก็นำไปสู่ความรอด
(โรม 10:8-10; ดู 1 โครินธ์ 15:1)

เป็นความเชื่อว่า เราทั้งหลายจะเป็นเหมือนพระเยซู คือได้รับการชุบขึ้นมาจากความตาย

20 แต่ความจริงพระคริสต์ทรงถูกชุบให้เป็นขึ้นมาจาก ความตายแล้ว และทรงเป็นผลแรกในพวกคนทั้งหลาย ที่ได้ล่วงหลับไปแล้วนั้น 21 เพราะว่าความตายได้อุบัติ ขึ้นเพราะมนุษย์ผู้หนึ่งเป็นเหตุฉันใด การเป็นขึ้นมา จากความตายก็ได้อุบัติขึ้นเพราะมนุษย์ผู้หนึ่งเป็นเหตุ ฉันนั้น 22 เพราะว่าคนทั้งปวงต้องตายเกี่ยวเนื่องกับ อาดัมฉันใด คนทั้งปวงก็จะกลับได้ชีวิตเกี่ยวเนื่องกับ พระคริสต์ฉันนั้น 23 แต่ว่าจะเป็นไปตามลำดับ คือพระ คริสต์ทรงเป็นผลแรก แล้วภายหลังก็คือคนทั้งหลายที่ เป็นของพระคริสต์ ในเมื่อพระองค์เสด็จมา
(1 โครินธ์ 15:20-23)

เรารู้เรื่องต่างๆเหล่านี้ และเราเฉลิมฉลองกันทุกวันอีสเตอร์ ความเชื่อของคริสเตียนคือ เชื่อว่าจะฟื้นขึ้นมาจากความตาย เรารู้ว่าเรื่องนี้เป็นความจริงจากธรรมิกชนในยุคพระ คัมภีร์ใหม่ แต่ผมขอเตือนว่าความเชื่อของธรรมิกชนในยุคพระคัมภีร์เก่า ก็เป็นความเชื่อ เรื่องการคืนชีวิตเช่นกัน เรารู้สิ่งนี้เป็นจริงสำหรับอับราฮัม:

16 ด้วยเหตุนี้เอง การที่ได้รับมรดกนั้นจึงขึ้นอยู่กับความเชื่อ เพื่อจะ ได้เป็นตามพระคุณ เพื่อพระสัญญานั้นจะเป็นที่ไว้วางใจแก่ผู้สืบเชื้อ สายของท่านทุกคน มิใช่แก่ผู้สืบเชื้อสายที่ถือธรรมบัญญัติพวกเดียว แต่แก่บรรดาคนที่มีความเชื่อเช่นเดียวกับอับราฮัมผู้เป็นบิดาของพวก เรา 17 ตามที่มีคำเขียนไว้ในพระคัมภีร์ว่า เราได้ให้เจ้าเป็นบิดาของ มวลประชาชาติ ต่อพระพักตร์พระองค์ที่ท่านเชื่อ คือพระเจ้าผู้ทรง ให้คนที่ตายแล้วฟื้นชีวิตขึ้นมา และทรงเรียกสิ่งของที่ยังมิได้มีให้มีขึ้น 18 ฝ่ายอับราฮัมนั้น เมื่อไม่มีหวังซึ่งเป็นที่น่าไว้ใจก็ยังได้เชื่อไว้ใจ มี ความหวังว่าจะได้เป็นบิดาของหลายประชาชาติ ตามคำที่ได้ตรัสไว้ แล้วว่า "พงศ์พันธุ์ของเจ้าจะมากมายอย่างนั้น" 19 ความเชื่อของท่าน มิได้ลดน้อยลงเลย เมื่อท่านพิจารณาดูสังขารของท่านซึ่งเปรียบเหมือน ตายไปแล้ว เพราะท่านมีอายุประมาณร้อยปีแล้ว และเมื่อคำนึงถึงครรภ์ ของนางซาราห์ว่าเป็นหมัน 20 ท่านมิได้หวั่นไหวแคลงใจในพระสัญญา ของพระเจ้า แต่ท่านมีความเชื่อมั่นคงยิ่งขึ้น จึงถวายเกียรติแด่พระเจ้า 21 ท่านเชื่อมั่นว่า พระเจ้าทรงฤทธิ์ อาจกระทำให้สำเร็จได้ตามที่พระ องค์ตรัสสัญญาไว้ 22 ด้วยเหตุนี้เอง พระเจ้าทรงถือว่าความเชื่อของ ท่านเป็นความชอบธรรมของท่าน 23 แต่คำว่า "ทรงถือว่าเป็นความชอบ ธรรมของท่าน" นั้น มิได้เขียนไว้สำหรับท่านแต่ผู้เดียว 24 แต่สำหรับ พวกเราด้วย จะทรงถือว่าเราเป็นคนชอบธรรม คือเราที่เชื่อในพระองค์ ผู้ทรงให้พระเยซูเจ้าของเราให้ฟื้นขึ้นจากความตาย 25 คือพระเยซูผู้ ทรงถูกอายัดไว้ให้ถึงสิ้นพระชนม์แล้ว เพราะการล่วงละเมิดของเรา และได้ทรงฟื้นจากความตาย เพื่อให้เราเป็นคนชอบธรรม(โรม 4:16-25)

ผู้เขียนพระธรรมฮีบรูชี้ให้เราเห็นว่า เป็นความจริงสำหรับธรรมิกชนในยุคพระคัมภีร์เดิม ด้วย ธรรมิกชนในพระคัมภีร์เดิมได้รับความรอดโดยทางความเชื่อ ไม่ใช่โดยการกระทำ ดี --ความเชื่อเช่นนี้เป็นความเชื่อเรื่องการคืนชีพ :

13 คนเหล่านั้นได้ตายไปขณะที่มีความเชื่อเต็มที่ และไม่ได้รับ สิ่งที่ได้ทรงสัญญาไว้ แต่เขาก็ได้เห็นและได้เตรียมรับไว้ตั้งแต่ไกล และรู้ดีว่าเขาเป็นคนแปลกถิ่นที่ท่องเที่ยวไปในโลก 14 เพราะคนที่ พูดอย่างนี้ก็แสดงให้เห็นชัดแล้วว่า เขากำลังแสวงหาเมืองที่จะได้ เป็นของเขา 15 ถ้าเขาคิดถึงบ้านเมืองที่เขาจากมานั้น เขาก็คงจะมี โอกาสกลับไปได้ 16 แต่ความจริงเขาปรารถนาที่จะอยู่ในเมืองที่ประ

ของท่าน 18 คือบุตรที่มีพระดำรัสไว้ว่า เขาจะสืบเชื้อสายของเจ้า ทางอิสอัค 19 ท่านเชื่อว่าพระเจ้าทรงฤทธิ์สามารถชุบคนตายให้ ฟื้นได้ ฉะนั้นกล่าวโดยอุปมาได้ว่าท่านได้รับบุตรกลับคืนมา 20 เพราะอิสอัคมีความเชื่อ จึงได้ขอพรให้แก่ยาโคบและเอซาว สำหรับ เหตุการณ์ซึ่งจะเกิดขึ้นในภายหน้า 21 เพราะยาโคบมีความเชื่อ ฉะนั้น เมื่อจะตาย จึงได้อวยพรแก่บุตรทั้งสองของโยเซฟ และได้นมัสการพระ เจ้าเหนือหัวไม้เท้าของท่าน 22 เพราะโยเซฟมีความเชื่อเมื่อกำลังจะตาย จึงได้กล่าวถึงการอพยพของชาวอิสราเอล และสั่งเรื่องกระดูกของท่าน
(ฮีบรู 11:13-22)

จากยุคเริ่มต้นในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ พระเจ้าได้ทรงสำแดงพระองค์ว่าทรง เป็นพระเจ้าที่ประทานชีวิต เป็นพระเจ้าที่ชุบชีวิตมนุษย์ขึ้นมาจากความตาย :

(1) ในสองบทแรกของพระธรรมปฐมกาล เราพบเรื่องราวที่พระเจ้าทรงเนรมิตสร้างชีวิต

(2) เราเห็นว่าเรื่องการมีบุตรของอับราฮัมและนางซารายเป็นเรื่องที่ "เหมือนตาย" ไป แล้ว แต่พระเจ้าก็ประทานบุตรให้ (โรม 4:16-25) เมื่อพระเจ้าสั่งให้อับราฮัมนำบุตรมา เป็นเครื่องบูชาถวาย อับราฮัมยินยอมเชื่อฟัง ด้วยวางใจว่าพระเจ้าจะทรงชุบชีวิตเขา ขึ้นมาใหม่ (ฮีบรู 11:17-19).

(3) พี่ชายของโยเซฟเกลียดท่าน โยนท่านลงไปในบ่อ ตั้งใจจะฆ่าให้ตาย ท่านถูกตีค่า เท่ากับ "ศูนย์" แต่ด้วยการจัดเตรียม พระเจ้าได้ให้มีกลุ่มพ่อค้าชาวมีเดียนมาซื้อท่านไป เป็นทาส ดูเหมือนไม่มีความหวังเหลืออยู่เมื่อตกไปเป็นทาส ต่อมาท่านถูกจำคุก พระ เจ้าทรงชุบชีวิตที่เป็นศูนย์ของท่านขึ้นมา พระองค์ทรงชุบให้ท่านขึ้นมาเป็นถึงอันดับ สองรองจากอันดับสูงสุดของอียิปต์ (ดูปฐมกาล 37)

(4) ชาวอิสราเอลตกไปเป็นทาสของชาวอียิปต์ ชีวิตถูกบีบบังคับมากมาย ฟาโรห์ออก คำสั่งให้ฆ่าบุตรชายหัวปีของชาวฮีบรูทุกคน โดยโยนลงไปในแม่น้ำไนล์ให้จมน้ำตาย โมเสสก็เหมือนกับตายไปแล้ว แต่แล้วพระเจ้าได้ให้ธิดาของฟาโรห์นำท่านขึ้นมาจาก น้ำ ฝ่าฝืนคำสั่งของฟาโรห์ที่ให้ฆ่าบุตรหัวปีฮีบรูทุกคน จากทารกที่ได้รับการช่วยกู้นี้เอง พระเจ้าทรงช่วยกู้ชาวอิสราเอลทั้งชาติออกมาจากประเทศอียิปต์ และด้วยอำนาจที่ใช้ หมายจะฆ่าคนอิสราเอล กลับต้องจบชีวิตตนเองลงในทะเลแดง (อพยพ 1-15).

(5) ครั้งแล้วครั้งแล่า ศัตรูรอบด้านเข้ามายึดครองอิสราเอล และขู่จะทำให้ชนชาตินี้สูญ สิ้นไป ; แต่พระเจ้าทรงตั้งผู้วินิจฉัยขึ้นมาช่วยกู้ (ดูพระธรรมผู้วินิจฉัย)

(6) นางฮันนาห์เป็นหมันไม่มีบุตร ถึงแม้นางอยากมีบุตรมากมายเพียงใด : "นางเหมือน ไม่มีทาง" มีบุตรได้ แต่แล้วพระเจ้าประทานซามูเอลให้แก่นาง และประทานบุตร ธิดาคน อื่นๆอีก (1 ซามูเอล 1& 2)

(7) อิสราเอลทำสงครามกับพวกฟิลิสเตีย พวกเขานำหีบพันธสัญญาไปด้วย อิสราเอล พ่ายแพ้ บุตรทั้งสองของเอลีถูกฆ่าตาย เอลีเองก็ตาย รวมทั้งลูกสะใภ้ด้วย ผมดูจะได้ ยินคนอิสราเอลพึมพำว่า "เราตายแน่" แต่พระเจ้าก็ทรงชุบชนชาตินี้ขึ้นมาใหม่ พระองค์ ทรงทรมาณพวกฟิลิสเตีย ทำให้พวกเขาไม่เพียงแต่รีบส่งหีบแห่งพันธสัญญาคืนเท่านั้น แต่ส่งคืนมาพร้อมกับ "ดอกเบี้ยด้วย" (เช่นทองคำ; ดู 1 ซามูเอล 4-6)

(8) พวกอิสราเอลมาชุมนุมกันที่มิสปาห์เพื่อรื้อฟื้นความสัมพันธ์กับพระเจ้าขึ้นมาใหม่ ; พวกฟิลิสเตียพอรู้เรื่องการรวมตัวครั้งนี้ตกใจ คิดว่าจะเกิดสงคราม พวกเขารีบนำกอง ทัพใหญ่มาล้อมอิสราเอล ทหารฟิลิสเตียมีรถรบ และหอก แน่นอนคนอิสราเอลต้องคิด ว่า "เราตายแน่!" แต่พระเจ้าส่งพายุฝนฟ้ารองมา และพวกฟิลิสเตียก็พ่ายแพ้ (1 ซามู เอล 7)

(9) พวกฟิลิสเตียเข้ามายึดครองอิสราเอล โยนาธานยุแหย่ให้เกิดการต่อสู้ขึ้นโดยแอบ ไปโจมตีกองกำลังของฟิลิสเตีย ฟิลิสเตียส่งกองกำลังใหญ่เข้ามาหมายจะสั่งสอน อิสราเอลให้เข็ดหลาบ ซาอูลมีทหารเหลืออยู่เพียง 600 คน เพราะหนีกระจัดกระจาย ไปหมด ที่เหลือก็กำลังคิดหลบหนี ซาอูลคงพูดกับตนเองว่า "เราตายแน่" พระเจ้าทรง ใช้ความกล้าและความเชื่อของโยนาธานไปโจมตีฟิลิสเตีย แล้วพระองค์ทรงทำให้แผ่น ดินไหว ทำให้อิสราเอลมีชัยเหนือฟิลิสเตีย (1 ซามูเอล 13 และ14)

(10) พวกฟิลิสเตียยกทัพมาโจมตีอิสราเอลอีก โกลิอัทพูดจาดูหมิ่นคนอิสราเอลและ พระเจ้าของพวกเขา ซาอูลและคนของท่านกลัวแทบตาย ไม่มีใครกล้าไปสู้กับโกลิอัท อีกครั้งที่คนอิสราเอลคิดว่า "เราเสร็จแน่!" พระเจ้าส่งเด็กเลี้ยงแกะผู้มีความวางใจใน พระองค์ และไม่กลัวที่จะสู้กับโกลิอัท โดยทางดาวิดนี้เองที่พระเจ้าชุบชีวิตคนอิสรา เอลขึ้นมาใหม่ (1 ซามูเอล 17)

(11) ดาวิดและคนของท่านกำลังติดกับซาอูลที่บนภูเขาในถิ่นทุรกันดารมาโอน ซาอูล กับคนของท่านกำลังจะตะครุบดาวิดไว้ได้ เมื่อเราอ่านมาถึงตอนนี้ ช่วยไม่ได้ที่เราจะคิด ว่า "เสร็จแน่ๆ" ในทันใดนั้นมีผู้มาส่งข่าวซาอูลว่า ฟิลิสเตียกำลังยกมาโจมตี ท่านต้อง รีบกลับไปโดยด่วน ดาวิดและคนของท่านได้รับชีวิตคืนมาอีกครั้ง (1 ซามูเอล23).

(12) พระธรรมตอนนี้ ดาวิดและคนของท่านหลบหนีซาอูลไปขอพึ่งกษัตริย์อาคีชแห่ง ฟิลิสเตีย ดาวิดตกอยู่ในภาวะที่ต้องไปต่อสู้กับอิสราเอลเพื่อฟิลิสเตีย ถ้าไม่เช่นนั้น ท่าน จะต้องเป็นฝ่ายหักหลังอาคีช ดูเหมือนไม่มีทางออก แต่อยู่ดีๆดาวิดและคนของท่านก็ ถูกส่งกลับไปศิกลาก เราถอนหายใจอย่างโล่งอก แต่แล้วก็มาเจอเรื่องศิกลากถูกพวก อามาเลขปล้น ทั้งครอบครัวและทรัพย์สินหายไป พวกเขาคง "ตายแล้ว" เราคิดในใจ "พวกเขาสิ้นชื่อไปแล้ว" แต่พระเจ้าประทานความเชื่อให้กับดาวิด ประทานความกล้า และการทรงนำ พระองค์ให้มีทาสคนหนึ่งนอนรอความตายอยู่ที่ระหว่างทาง ในตอนจบ ของพระธรรมที่ดูเหมือนหมดหวังนี้ พระเจ้าได้คืนชีวิตที่เหมือนตายแล้วให้ใหม่

(13) ในขณะที่เอลียาห์ซ่อนตัวจากอาหับกษัตริย์อิสราเอล มีหญิงม่ายผู้อาศัยอยู่กับ บุตรคอยเลี้ยงดู บุตรชายป่วยหนักและตาย แต่โดยทางเอลียาห์พระเจ้าทรงชุบชีวิต เด็กคนนี้ขึ้นมาใหม่ (1 พกษ. 17:17-24) การคืนชีวิตเช่นนี้คล้ายกับที่เกิดขึ้นกับมือของ เอลีชาในพระธรรม 2 พกษ. 4

(14) ผู้เผยพระวจนะโยนาห์ไม่ต้องการเชื่อฟังพระเจ้าที่ให้ไปประกาศแก่ชาวนีนะเวห์ ท่านหนีขึ้นเรือจากอิสราเอลไปยังทิศทางตรงกันข้ามกับนีนะเวห์ มีพายุใหญ่เกิดขึ้น ระหว่างทางทำให้เรือแทบล่ม จะสูญเสียทั้งชีวิตและสินค้าบนเรือ โยนาห์บอกพวกเขา ถึงสาเหตุของพายุ และขอให้ชาวเรือโยนท่านลงทะเลไป เมื่อโยนาห์จมลงไปในคลื่น ทั้งเราและท่านคงพูดว่า "ไม่รอดแน่" แต่แล้วก็มีปลามหึมามากลืนโยนาห์เข้าไป แล้ว ไปสำรอกท่านไว้บนฝั่ง พระเจ้าเองเป็นผู้ทรงตรัสว่า นี่เป็นภาพการคืนพระชนม์ของพระ องค์ (ดูโยนาห์; มัทธิว 12:38-40).

(15) ดาเนียลและเพื่อนของท่านเป็นเชลยชาวฮีบรูในบาบิโลน พวกเขามีความตั้งใจจะ ปรนนิบัติพระเจ้า ถึงแม้ต้องขัดกับคำสั่งของกษัตริย์ที่ทรงอำนาจที่สุดในเวลานั้นก็ตาม กษัตริย์สั่งให้โยนดาเนียลและเพื่อนๆลงไปในเตาเผา และจับขังไว้ในถ้ำสิงห์ เราพูดกัน ว่า "พวกเขาต้องตายแน่ๆ" แต่พระเจ้าให้มีทูตสวรรค์มาปกป้องท่านให้พ้นจากไฟ มาปิด ปากสิงห์ที่ปกติแล้วต้องขย้ำกินดาเนียลแน่ พระเจ้าพอพระทัยที่จะคืนชีวิตให้แก่คนที่ เหมือนตายไปแล้ว จากในพระคัมภีร์เดิม เราจะเห็นว่าพระองค์ทรงทำเช่นนี้ตั้งแต่ต้น ประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติเลยทีเดียว

ในยุคพระคัมภีร์ใหม่ก็เช่นกัน พระเจ้าทรงคืนชีวิตให้กับคนที่เหมือนกับตายแล้ว :

(1) นางเอลีซาเบธและสามีแก่เกินกว่าที่จะมีบุตร พระเจ้าทรงประทานบุตรให้ บุตรชาย ที่เศคาริยาห์ตั้งชื่อว่ายอห์น - พระเจ้าทรงมอบชีวิตใหม่ให้กับคนที่หมดหวัง

(2) นางมารีย์เป็นสาวพรหมจารีที่หมั้นหมายกับชายชื่อโยเซฟ ยังไม่ได้แต่งงานกัน นาง ไม่เคยมีสัมพันธ์ใดๆกับผู้ชายมาก่อน ด้วยฤทธิ์อำนาจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ พระองค์ ทำให้นางตั้งครรภ์มีบุตรคือพระเมสซิยาห์ที่พระองค์ทรงสัญญาไว้ พระเจ้าทรงมอบชีวิต ใหม่ให้กับความตายนิรันดร์

(3) แม่ม่ายที่เมืองนาอินมีบุตรชายคนเดียว เขาตายและกำลังถูกหามไปฝัง ทุกคนที่นั่น เห็นว่าเขาตายแล้วแน่นอน ไม่มีหวังอีกแล้วสำหรับหนุ่มคนนี้ แต่แล้วพระเยซูทรงให้คน หามศพหยุด และสั่งให้ชายคนนั้นลุกขึ้น และเขาก็ทำตามนั้น พระเยซูเป็นผู้มอบชีวิต ให้แก่คนที่ตายแล้ว (ลูกา 7:11-15)

(4) ลาซารัสเป็นพี่น้องกับมารีย์และมาร์ธา ซึ่งเป็นเพื่อนของพระเยซู ลาซารัสป่วยมาก และพระเยซุไม่ได้รีบไปช่วย แต่เมื่อพระองค์และสาวกเดินทางไปถึงนั้น ลาซารัสไม่ เพียงแต่ตายไปแล้วเท่านั้น ท่านถูกฝังไปแล้วถึงสามวัน ท่านตายไปแล้วจริงๆ แต่พระ เยซูทรงเรียกท่านให้ออกมาจากอุโมงค์ฝังศพ และท่านกลับมามีชีวิต (ยอห์น 11)

เรื่องราวการ "กลับฟื้นคืนชีวิต" หลายเรื่องที่บันทึกอยู่ในทั้งพระคัมภีร์เก่าและใหม่เหล่า นี้ เป็นเพียงหมายสำคัญที่บ่งถึงเรื่องราวที่ "ยิ่งใหญ่" กว่า คือการคืนพระชนม์ขององค์ พระเยซูคริสต์แห่งนาซาเร็ธ ผู้เสด็จมาในฐานะบุตรของพระเจ้า พระองค์ดำเนินชีวิต อย่างสมบูรณ์แบบ และถ่ายทอดพระวจนะตามพระคัมภีร์เดิมอย่างที่พระเจ้าต้องการให้ มนุษย์เข้าใจและปฏิบัติ พวกผู้นำศาสนายิว และเจ้าหน้าที่บ้านเมืองโรมันคบคิดกันต่อ ต้านพระองค์ ตรึงพระองค์ไว้ที่บนกางเขนบนเนินหัวกระโหลก มีการประกาศว่าพระองค์ สิ้นพระชนม์แล้ว และพระศพถูกฝังอยู่ในอุโมงค์ พวกสาวกยอมรับอย่างโศกเศร้าว่า "พระเยซูสิ้นพระชนม์แล้ว" ทุกอย่างจบลงแล้ว แต่แล้วในวันที่สาม พวกเขาพบอุโมงค์ ว่างเปล่า และเห็นว่าพระองค์ทรงฟื้นขึ้นมาจากความตาย พวกเขาจะไม่มีวันเหมือน เดิมอีกต่อไป พระเจ้าทรงชุบพระเยซูขึ้นมาจากความตาย

เมื่อพูดเรื่องการฟื้นคืนชีวิต (ที่พระเจ้าชุบชีวิตคนตาย) ในพระคัมภีร์นั้นยากพอๆกับที่ อ.เปาโลพูดถึงพระคริสต์ในจดหมายฝาก การฟื้นคืนชีพเป็นส่วนสำคัญที่สุดของความ เชื่อและพระวจนะคำ คำถามสำคัญก็คือ: "คุณมีประสบการ์เรื่องการคืนพระชนม์ส่วนตัว กับองค์พระเยซูคริสต์หรือยัง?" คุณถูกนำออกจากความตายมามีชีวิตใหม่โดยการวางใจ ในพระเยซู รับการอภัยบาป และรับของประทานแห่งชีวิตนิรันดร์หรือยัง? พระคัมภีร์ กล่าวว่า แม้ว่าเราตายไปแล้วโดย "การละเมิดและการบาป" (เอเฟซัส 2:1) นอกจาก ความเชื่อในองค์พระเยซูคริสต์แล้ว เราไม่สามารถทำให้พระเจ้าพอพระทัยได้โดยทำ ตามพระบัญญัติ เราต้องยอมรับในความบาปของเรา และความจริงที่ว่าเราสมควรแก่พระ อาชญานิรันดร์ เป็นการลงโทษสำหรับความบาปทั้งสิ้น เราเพียงแต่ยอมรับของประทาน แห่งความรอดนี้โดยทางพระชนม์ การสิ้นพระชนม์ และการฟื้นคืนพระชนม์ขององค์พระ เจ้าของเรา เราก็จะเกิดใหม่ มีประสบการณ์ในการคืนพระชนม์โดยส่วนตัวกับพระเยซู คริสต์ จากนี้ไปเราจะมีชีวิต มีชีวิตที่เป็นนิรันดร์ คุณยอมรับเอาของประทานนี้หรือยัง ? นี้คือเรื่องราวของวันอีสเตอร์ พระเจ้าได้ทรงชุบชีวิตคนตายขึ้นมาหลายพันปีมาแล้ว และ พระองค์ทรงสามารถทำสิ่งเดียวกันนี้ให้กับคุณๆด้วย :

1 ท่านตายแล้วโดยการละเมิดและการบาป 2 ครั้งเมื่อก่อนท่านเคย ประพฤติในการบาปนั้นตามวิถีของโลก ตามเจ้าแห่งย่านอากาศ คือ วิญญาณที่ครอบครองอยู่ในคนทั้งหลายที่ไม่เชื่อฟัง 3 เมื่อก่อนเรา ทั้งปวงเคยประพฤติเป็นพรรคพวกกับคนเหล่านั้นที่ประพฤติตามตัณ หาของเนื้อหนัง คือกระทำตามความปรารถนาของเนื้อหนังและความ คิดในใจ ตามสันดานเราจึงเป็นคนควรแก่พระอาชญาเหมือนอย่างคน อื่น 4 แต่พระเจ้าผู้ทรงเปี่ยมด้วยพระกรุณา เพราะเหตุความรักอันใหญ่ หลวง ซึ่งพระองค์ทรงรักเรานั้น 5 ถึงแม้ว่าเมื่อเราตายไปแล้วในการ บาป พระองค์ยังทรงกระทำให้เรามีชีวิตอยู่กับพระคริสต์ (ซึ่งท่าน ทั้งหลาย รอดนั้นก็รอดโดยพระคุณ) 6 และพระองค์ทรงให้เราเป็นขึ้น มากับพระองค์ และทรงโปรดให้เรานั่งในสวรรคสถานกับพระเยซูคริสต์ 7 เพื่อว่า ในยุคต่อๆไป พระองค์จะได้ทรงสำแดงพระคุณของพระองค์ อันอุดมเหลือล้น ในการซึ่งพระองค์ได้ทรงเมตตาเราในพระเยซูคริสต์ 8 ด้วยว่าซึ่งท่าน ทั้งหลายรอดนั้นก็รอดโดยพระคุณเพราะความเชื่อ และมิใช่โดยตัวท่าน ทั้งหลายกระทำเอง แต่พระเจ้าทรงประทานให้ 9 ความรอดนั้นจะเนื่อง ด้วยการกระทำก็หามิได้ เพื่อมิให้คนหนึ่งคน ใดอวดได้ 10 เพราะว่าเรา เป็นฝีพระหัตถ์ของพระองค์ ที่ทรงสร้างขึ้น ในพระเยซูคริสต์เพื่อให้ประกอบการดีซึ่งพระเจ้าได้ทรงดำริไว้ล่วงหน้า เพื่อให้เรากระทำ
(เอเฟซัส 2:1-10)

เป็นเรืี่องจำเป็นสำคัญที่สุดของทั้งคุณและผม ว่าครั้งหนึ่งในชีวิต เรามามีความเชื่อใน พระเยซูคริสต์ ตายต่อความบาป และได้รับชีวิตใหม่ในพระคริสต์ แต่นี่ยังไม่จบนะครับ การคืนพระชนม์ไม่ใช่เป็นเพียงประสบการณ์ที่เกิดขึ้นครั้งเดียวในชีวิตของคุณ ไม่เพียง พอที่คุณจะมาระลึกถึงการคืนพระชนม์ของพระเจ้าแค่ปีละครั้ง ควารจะเฉลิมฉลองที่ คริสตจักรในทุกอาทิตย์ (ดู 1 โครินธ์ 11:26; ลูกา 22:19; กิจการ 20:7) และที่มาก กว่านี้ การคืนพระชนม์เป็นวิถีชีวิตของเรา เราต้องมีชีวิตในการคืนพระชนม์ มีประสบ การณ์ในเรื่องนี้ทุกๆวันในฐานะคริสเตียน:

1 ถ้าเช่นนั้นแล้วเราจะว่าอย่างไร ควรเราจะอยู่ในบาปต่อไปเพื่อให้ พระคุณมีมากยิ่งขึ้นหรือ 2 อย่าให้เป็นอย่างนั้นเลย พวกเราที่ตาย ต่อบาปแล้วจะมีชีวิตในบาปต่อไปอย่างไรได้ 3 ท่านไม่รู้หรือว่าเรา ทั้งหลายที่ได้รับบัพติศมาเข้าในพระเยซูคริสต์ ก็ได้รับบัพติศมานั้น เข้าในความตายของพระองค์ 4 เหตุฉะนั้น เราจึงถูกฝังไว้กับพระ องค์แล้ว โดยการรับบัพติศมาเข้าส่วนในการตายนั้น เพื่อว่าเมื่อพระ คริสต์ได้ทรงถูกชุบให้เป็นขึ้นมาจากความตายโดยเดชพระสิริของ พระบิดาแล้ว เราก็จะได้ดำเนินตามชีวิตใหม่ด้วยเหมือนกัน 5 เพราะ ว่าถ้าเราเข้าสนิทกับพระองค์แล้วในการตายอย่างพระองค์ เราก็จะเข้า สนิทกับพระองค์ ในการเป็นขึ้นมาอย่างพระองค์ได้ทรงเป็นขึ้นมาจาก ความตายด้วย 6 เราทั้งหลายรู้แล้วว่า ตัวเก่าของเรานั้นได้ถูกตรึงไว้ กับพระองค์แล้ว เพื่อตัวที่บาปนั้นจะถูกทำลายให้สิ้นไป และเราจะไม่ เป็นทาสของบาปอีกต่อไป 7 เพราะว่าผู้ที่ตายแล้วก็พ้นจากบาป 8 แต่ ถ้าเราตายแล้วกับพระคริสต์ เราเชื่อว่าเราจะมีชีวิตอยู่กับพระองค์ด้วย 9 เราทั้งหลายรู้อยู่ว่า พระคริสต์ที่ทรงถูกชุบให้เป็นขึ้นมาจากตายนั้น แล้วจะหาตายอีกไม่ ความตายหาครอบงำพระองค์ต่อไปไม่ 10 ด้วยว่า ซึ่งพระองค์ได้ทรงตายนั้นพระองค์ได้ทรงตายต่อบาปหนเดียวเป็นพอ แต่ซึ่งพระองค์ทรงชีวิตอยู่นั้น พระองค์ทรงชีวิตสนิทกับพระเจ้า 11 เหมือนกันเช่นนั้นแหละ ท่านทั้งหลายจงถือว่าท่านได้ตายต่อบาป และมีชีวิตสนิทกับพระเจ้าในพระเยซูคริสต์
(โรม 6:1-11)

9 ถ้าพระวิญญาณของพระเจ้าทรงสถิตอยู่ในท่านทั้งหลายจริงๆแล้ว ท่านก็มิได้อยู่ใต้เนื้อหนัง แต่อยู่ใต้พระวิญญาณ ผู้ใดไม่มีพระวิญญาณ ของพระคริสต์ ผู้นั้นก็ไม่เป็นของพระองค์ 10 และถ้าพระคริสต์อยู่ใน ท่านทั้งหลายแล้ว ถึงแม้ว่า ร่างกายของท่านจะตายไปเพราะบาป แต่วิญญาณจิตของท่านก็จะดำรงอยู่เพราะความชอบธรรม 11 ถ้าพระ วิญญาณของพระองค์ ผู้ทรงชุบให้พระเยซูเป็นขึ้นมาจากความตาย ทรงสถิตอยู่ในท่านทั้งหลาย พระองค์ผู้ทรงชุบให้พระเยซูคริสต์เป็น ขึ้นมาจากความตายแล้วนั้น จะทรงกระทำให้กายซึ่งต้องตายของท่าน เป็นขึ้นมาใหม่ โดยเดชแห่งพระวิญญาณของพระองค์ซึ่งทรงสถิตอยู่ ในท่านทั้งหลาย
(โรม 8:9-11)

ยังมีเรื่องราวเกี่ยวกับวันอีสเตอร์ในพระธรรมตอนนี้อีกที่เราไม่ควรมองข้าม เราจะเห็น เรื่องนี้ชัดเจนจากคำพูดของ อ.เปาโลในเอเฟซัสบทที่ 4:

7 แต่ว่าพระคุณนั้นทรงโปรดประทานแก่เราทุกๆคนตามขนาด ที่พระคริสต์ประทานให้ 8 เหตุฉะนั้นจึงมีพระวจนะว่า ครั้นพระ องค์เสด็จขึ้นไปสู่ที่สูง พระองค์ก็ทรงนำพวกเชลยไป และประ ทานของประทานแก่มนุษย์ 9 (ที่กล่าวว่าพระองค์เสด็จขึ้นไปนั้น จะหมายความอย่างอื่นไปไม่ได้ นอกจากว่าพระองค์ได้เสด็จลง ไปสู่เบื้องต่ำของแผ่นดินโลกแล้วด้วย 10 องค์ผู้เสด็จลงไปนั้น ก็คือพระองค์ผู้ที่เสด็จขึ้นไปสู่ที่สูงเหนือฟ้าสวรรค์ทั้งปวงนั่นเอง เพื่อจะได้สถิตอยู่ทั่วในสิ่งสารพัด) 11 ของประทานของพระองค์ ก็คือให้บางคนเป็นอัครทูต บางคนเป็นผู้เผยพระวจนะ บางคนเป็น ผู้เผยแพร่ข่าวประเสริฐ บางคนเป็นศิษยาภิบาลและอาจารย์ 12 เพื่อเตรียมธรรมิกชนให้เป็นคนที่จะรับใช้ เพื่อเสริมสร้างพระกาย ของพระคริสต์ให้จำเริญขึ้น 13 จนกว่าเราทุกคนจะบรรลุถึงความ เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันในความเชื่อ และในความรู้ถึงพระบุตรของ พระเจ้า จนกว่าเราจะโตเป็นผู้ใหญ่เต็มที่ คือเต็มถึงขนาดความ ไพบูลย์ของพระคริสต์ 14 เพื่อเราจะไม่เป็นเด็กอีกต่อไป ถูกซัด ไปซัดมาและหันไปเหมาด้วยลมปากแห่งคำสั่งสอนทุกอย่าง และ ด้วยเล่ห์กลของมนุษย์ตามอุบายฉลาดอันเป็นการล่อลวง 15 แต่ให้ เรายึดความจริงด้วยใจรัก เพื่อจะจำเริญขึ้นทุกอย่างสู่พระองค์ผู้เป็น ศีรษะ คือพระคริสต์ 16 คือเนื่องจากพระองค์นั้น ร่างกายทั้งสิ้นที่ติด ต่อสนิทและประสานกันโดยทุกๆข้อต่อที่ทรงประทาน ได้จำเริญเติบ โตขึ้นด้วยความรัก เมื่ออวัยวะทุกอย่างทำงานตามความเหมาะสม แล้ว
(เอเฟซัส 4:7-16)

อ.เปาโลกำลังพูดถึงของประทานฝ่ายวิญญาณ ที่พระเจ้าประทานให้กับผู้เชื่อในพระเยซู คริสต์ทุกคน ท่านกล่าวว่าของประทานนี้ – พระเจ้าทรงทำให้เราสามารถรับใช้เพื่อพระ กายของพระคริสต์ คริสตจักรของพระองค์ – อันเป็นผลมาจากชัยชนะของพระคริสต์ที่มี เหนือมารและความบาป โดยการสิ้นพระชนม์ เฉพาะอย่างยิ่งการคืนพระชนม์ เมื่อพระ เยซูทรงมีชัยเหนือมารและความบาป พระองค์ทรงประทานให้แก่คนของพระองค์เพื่อ เป็นการสำแดงในชัยชนะนี้

อ.เปาโลชี้ให้เราเห็นภาพการปกครองของทหารเมื่อได้รับชัยชนะเหนือศัตรู ท่านเปรียบ เทียบการให้ของประทานฝ่ายวิญญาณของพระเจ้าต่อคริสตจักร เป็นเหมือนผู้บัญชาการ ทหารให้รางวัลต่อลูกน้องเมื่อได้รับชัยชนะ ผมขอถามว่าที่ใดในพระคัมภีร์ที่จะกล่าวได้ ชัดเจนไปกว่าพระธรรมในตอนนี้ ? ในขณะที่ดาวิดแจกจ่ายของริบที่ได้จากการมีชัยใน การรบกับพวกอามาเลข ท่านกำลังแสดงภาพที่เล็งถึงเมื่อจอมกษัตริย์ประทาน "ของ ประทานฝ่ายวิญญาณ" ให้กับคริสตจักรของพระองค์ เพื่อแสดงให้เห็นถึงความมีชัย

พระเจ้าของเราเป็นพระเจ้าแห่งการช่วยกู้ พระองค์เป็นพระผู้ประทานชีวิต และพระองค์ ประทานชีวิตใหม่ให้กับคนที่ตายไปแล้ว ไม่ต้องสงสัย พระองค์ทรงกู้เราไว้เมื่อเราตก อยู่ใน "การละเมิดและการบาป" ไม่ต้องสงสัยเราทั้งหลายก็เหมือนกับตายไปแล้ว เพื่อ ชีวิตใหม่ของพระองค์จะสำแดงภายในและโดยทางเรา ขอพระเกียรติทั้งสิ้นเป็นของพระ องค์ พระองค์ผู้เดียวเท่านั้นที่คืนชีวิตให้กับคนตาย

"เพราะพระบิดาทรงทำให้คนที่ตายแล้วฟื้นขึ้นมามี ชีวิตฉันใด ถ้าพระบุตรปรารถนาจะกระทำให้ผู้ใดมี ชีวิตก็จะกระทำเหมือนกันฉันนั้น" (ยอห์น 5:21)

8 พี่น้องทั้งหลาย เราอยากให้ท่านทราบถึงความทุกข์ ยากที่เกิดแก่เราในแคว้นเอเซีย ซึ่งทำให้เราหนักใจ เหลือกำลัง จนเราเกือบหมดหวังที่จะเอาชีวิตรอดมา ได้ 9 ที่จริงเราคาดว่าถึงที่ตายแล้ว แต่ที่เป็นเช่นนี้ก็ เพื่อมิให้เราไว้ใจในตนเอง แต่ให้ไว้ใจในพระเจ้าผู้ ทรงโปรดให้คนทั้งปวงฟื้นจากความตาย (2 โครินธ์ 1:8-9)


160 ผมคิดว่าคนอิสราเอลที่อาศัยทางตอนใต้คงถูกเกณฑ์ให้มาช่วยซาอูลต่อสู้กับฟิลิสเตีย จำ ต้องทิ้งหัวเมืองต่างๆ (โดยเฉพาะทางใต้) ให้อ่อนแอช่วยตัวเองไม่ได้เมื่อถูกพวกอามาเลขเข้า มาปล้น

161 เราพูดถึงข้อ 1-6 ไปแล้วในบทก่อนหน้า ตอนนี้เป็นเพียงการทบทวน

162 จากข้อเขียนของ Dale Ralph Davis, Looking on the Heart: Expositions of the Book of 1 Samuel (Grand Rapids: Baker Books, 1994), vol. 2, p. 173.

163 ผมเดาว่าค่ายทหารของอามาเลขคงจะเหมือนกับศิกลาก พวกทหารไม่เพียงแต่อาศัยอยู่ที่ นี่เท่านั้นลูกเมียและฝูงสัตว์ก็อยู่ด้วยกัน (มีพวกทาส เช่นคนที่พาดาวิดและคนของท่านมาจนถึง ที่นี่ด้วย)

164 บรรดานักวิชาการหลายคนถกเถียงกันว่าใช้เวลานานขนาดไหน แต่รวมแล้วตามที่ผู้เขียน บันทึกไว้ การฆ่ากินเวลาหลายชั่วโมง และศัตรูถูกฆ่าตายมากมาย

165 และนี่แน่นอน เป็นจำนวนเดียวกับคนของดาวิดที่มาโจมตีพวกอามาเลข มีคนลงความเห็น ว่าดาวิดและคนของท่านมีจำนวนน้อยมากเมื่อเทียบกับพวกอามาเลข

166 ผมคิดว่าถ้าเราอยู่ที่นั่นด้วย เราคงเห็นคนอธรรม คนถ่อยพวกนี้เคยลุกขึ้นมาทำอะไรบาง อย่าง พวกนี้หรือเปล่าที่อยากฆ่าซาอูล? พวกนี้หรือเปล่าที่ก่อนหน้านี้จะเอาหินทุ่มดาวิดให้ตาย ? ผมคงไม่ประหลาดใจหรอกครับ

167 ผมน่าจะชี้ให้เห็นว่าคนถ่อยคนอธรรมพวกนี้ที่ท้าทายดาวิด ผู้นำของพวกเขา ดูเหมือนของที่ ริบมาได้และเป็นปัญหาอยู่นี้ (ว่าจะแบ่งระหว่าง 400 หรือ 600 คนดี) เป็นของที่ในข้อ 20 เรียก ว่า "นี่เป็นส่วนหนึ่งของดาวิดริบมา"

168 ผมคิดว่าเป็นเรื่องน่าสนใจที่จะเปรียบเทียบพระธรรมตอนนี้กับตอนที่ดาวิดจะไปจัดการกับ นาบาลและชายในครัวเรือน ตอนนั้นดาวิดมีคนติดตามอยู่ 600 คน ท่านนำไปแค่ 400 คนเท่านั้น ทิ้งอีก 200 ให้เฝ้ากองสัมภาระอยู่ สิ่งนี้ชี้ให้เราเห็นชัดเจนว่า เรื่องที่เกิดขึ้นในตอนนี้ไม่ใช่เรื่อง ธรรมดา คนที่เหลือ 200 คนในบทที่ 25 จะได้รับส่วนแบ่งจากของที่นางอาบีกายิลมอบให้ด้วย หรือเปล่า ? แน่นอน น่าจะได้ !

169 ผมชอบข้อสังเกตุที่ดาวิสเขียนไว้ในตอนนี้ : "ดาวิดใช้วิธีที่นุ่มนวลและเฉลียวฉลาดปิดปากคน

พวกนี้ ("พี่น้องทั้งหลายของข้าพเจ้าเอ๋ย ท่านอย่าทำอย่างนั้น" ข้อ 23ก) ข้อโต้แย้ง (‘… กับสิ่ง ซึ่งพระเจ้าทรงมอบแก่เรา ผู้ได้ทรงพิทักษ์รักษาเราไว้และทรงมอบกองปล้นซึ่งมาต่อสู้กับเราไว้ในมือ ของเรา" ข้อ 23ข) สร้างความสงสัย (ในเรื่องนี้ใครจะฟังเสียงของท่าน 24ข) ใช้สิทธิอำนาจ (เพราะคน ที่ลง ไปรบได้ส่วนแบ่งของเขาอย่างไร - คนที่เฝ้ากองสัมภาระอยู่ก็ควรได้ส่วนแบ่งอย่างนั้น ให้เขาทั้ง หลายรับส่วนแบ่งเหมือนกัน" ข้อ 24ข)" จากข้อเขียนของ Davis, vol. 2, pp. 175-176.

Previous PageTable Of ContentsNext Page