Previous PageTable Of ContentsNext Page

บทที่ 26: แสวงหาคำตอบจากพระเจ้า วิธีใดไม่เกี่ยง
(1 ซามูเอล 28:1-25)

คำนำ

เมื่อไม่นานมานี้ คนอเมริกันหลายล้านคนมีความโกรธเคืองบริษัทอเมริกาออนไลน์ (AOL) เป็นอย่างมาก ในช่วงคริสต์มาสทาง AOL ได้จัดรายการพิเศษ โดยเสนอให้ใช้ บริิการอินเตอร์เน็ทอย่างไม่อั้นในราคาเพียงเดือนละ 19.95 เหรียญ (ประมาน 800บาท) ปัญหาก็คือทุกคนเห็นว่าเป็นข้อเสนอที่ "เยี่ยมมาก" ลูกค้าเดิมของ AOL ที่มีอยู่เริ่มใช้บริ การกันมากขึ้น – เพราะใช้ถึงเดือนละ 15 ชั่วโมงก็จ่ายเท่ากับที่เคยใช้มา 5 ชั่วโมง รวม ทั้งลูกค้าหน้าใหม่ที่เพิ่มจำนวนขึ้นมาอย่างมากมาย ผลก็คือหายนะสำหรับทุกคน เพราะ ทุกคนรุมกันใช้บริการของ AOL อย่างพร้อมเพรียงกัน

เรามีคอมพิวเตอร์อยู่เครื่องหนึ่งที่บ้านที่ใช้บริการของ AOL และนับเป็นเวลาติดต่อกัน หลายอาทิตย์ที่เราไม่สามารถเข้าไปใช้บริการได้ ไม่สามารถอ่านหรือส่งอีเมล์ได้ ในช่วง เวลาเพียงไม่กี่สัปดาห์์ ลูกค้าของ AOL เริ่มไม่พอใจ บางรายถึงกับโกรธจัดทีเดียว พวก เขาไม่ยอมอยู่นิ่ง มีการฟ้องร้อง มีการขู่ทำร้าย ; สถานการณ์ในตอนนั้นย่ำแย่ไปหลาย อาทิตย์ เพราะลูกค้าไม่สามารถใช้บริการได้รวดเร็วเหมือนที่เคยเป็นมาในอดีต หลายคน นึกไม่ถึงเลยว่าจะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ได้

ถ้าความโกรธเคืองนี้เป็นสาเหตุมาจากความผิดพลาดของบริษัทผู้ให้บริการอินเตอร์เน็ท เรามาลองนึกภาพดูว่าถ้ามันเกิดขึ้นกับการสื่อสารของเรากับพระเจ้าล่ะ จะเป็นยังไง ? สิ่งนี้กำลังเกิดขึ้นกับซาอูล ในพระธรรมตอนนี้มีหลายเหตุการณ์เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องจน ทำให้กษัตริย์ซาอูลกลัวถึงขีดสุด ซาอูลกำลังขุดหา "ที่พึ่งทางธรรม" ท่านกำลังแสวง หา "คำตอบจากพระเจ้า" เพื่อจะได้รู้ว่าควรทำอย่างไรให้หลุดพ้นจากความวิบัตินี้ ท่านพยายามมาแล้วหลายวิธี ทุกอย่างล้มเหลวไม่เป็นท่า พระเจ้าทรงอยู่ แต่พระองค์ ทรงนิ่งเฉย ถ้าเป็นสมัยนี้ สิ่งที่ซาอูลกำลังทำอยู่เราคงเรียกว่าพยายามต่อเข้าไป "ออน ไลน์" กับพระเจ้าอย่างสุดชีวิต แต่ไม่มีบริษัทอินเตอร์เน็ทใดสามารถให้บริการได้ ซาอูล กำลังตกที่นั่งลำบาก ท่านไม่สามารถขอคำแนะนำจากพระเจ้าเพื่อให้ได้มาซึ่งชัยชนะ แล้วจะทำยังไงดี ? คำตอบก็คือ : ท่านทำบางสิ่งที่ไม่เคยทำมาก่อน และคงจะไม่กล้า ทำอีกต่อไป

เท่าที่ผ่านมา เวลานี้นับเป็นเวลาที่มืดมนที่สุดในชีวิตของซาอูล เราจะพบในไม่ช้าว่ามัน มืดมนเพียงใด และท่านตกเข้าไปอยู่ในสภาพนี้ได้อย่างไร ให้เราเรียนรู้ที่จะแยกแยะบท เรียนนี้ีสำหรับอิสราเอลในยุคโบราณและสำหรับตัวเราในยุคนี้ให้ได้ เตรียมตัวให้ดีเพราะ บทเรียนตอนนี้ เป็นบทเรียนที่ซับซ้อนที่สุดในพระธรรม 1 ซามูเอล ไม่ใช่เป็นเรื่องที่จบ แบบ"แฮปปี้เอ็นดิ้ง"นะครับ ; ที่จริงแล้วเป็นตรงกันข้าม ให้เราฟังและเรียนให้เข้าใจ เพื่อ จะไม่ตกอยู่ในสภาพเดียวกับที่ซาอูลเคยตกมาก่อน

พระเจ้าทรงอยู่ แต่พระองค์ทรงนิ่งเฉย
(28:1-7)

1 อยู่มาในครั้งนั้น คนฟีลิสเตียได้รวบรวมกำลังเพื่อทำสงครามสู้รบกับ อิสราเอล และอาคีชตรัสกับดาวิดว่า "จงเข้าใจเถิดว่า ท่านกับคนของ ท่านจะออกทัพไปกับเรา" 2 ดาวิดทูลอาคีชว่า "ดีทีเดียวพ่ะย่ะค่ะ ฝ่า พระบาทจะได้ทราบว่าผู้รับใช้ ของฝ่าพระบาทจะกระทำอะไรได้บ้าง" และอาคีชรับสั่งกับดาวิดว่า "ดีแล้ว เราจะให้ท่านเป็นองครักษ์ของเรา ตลอดชีพ" 3 ฝ่ายซามูเอลได้สิ้นชีพแล้ว และคนอิสราเอลทั้งปวงก็ไว้ ทุกข์ให้ท่านและฝังศพท่านไว้ในเมืองรามาห์ ซึ่งเป็นเมืองของท่านเอง และซาอูลทรงกำจัดคนทรงและพ่อมดแม่มดเสียจากแผ่นดิน 4 คนฟีลิส เตียก็ชุมนุมกันและมาตั้งค่ายอยู่ที่ชูเนม และซาอูลทรงรวบรวมอิสราเอล ทั้งสิ้น และเขาทั้งหลายตั้งค่ายอยู่ที่กิลโบอา 5 เมื่อซาอูลทอดพระเนตร กองทัพของคนฟีลิสเตียก็กลัว และพระทัยของพระองค์ก็หวั่นไหวมาก 6 และเมื่อซาอูลทูลถามพระเจ้า พระเจ้ามิได้ทรงตอบพระองค์ ไม่ว่าด้วย ความฝัน หรือด้วยอูริม หรือด้วยผู้เผยพระวจนะ 7 ซาอูลจึงรับสั่งกับมหาด เล็กของพระองค์ว่า "จงออกไปหาหญิงที่เป็นคนทรง เพื่อเราจะได้ไปหา และถามเขาดู" และมหาดเล็กก็กราบทูลว่า "ดูเถิด มีหญิงคนทรงคนหนึ่ง อยู่ที่บ้านเอนโดร์"

เราทุกคนคงเคยมีประสบการณ์ของวันที่แย่ที่สุด เป็นวันที่เรื่องร้ายๆที่ไม่ควรเกิดก็ดัน เกิดขึ้นพร้อมๆกัน และนี่คือวันนั้นของซาอูล (ซึ่งบังเอิญวันของดาวิดก็ไม่ได้ดีไปกว่า) ปัญหาของซาอูลมีแต่จะดิ่งลงเหว แรกสุด พวกฟิลิสเตียกำลังก่อสงครามกับ อิสราเอล แต่ครั้งนี้ดูจะหนักหนาสาหัสที่สุด พวกฟิลิสเตียข่มขู่คนอิสราเอลตลอด มาในรัชสมัยของซาอูล142 http://www.bible.org/docs/ot/books/1sa/deffin/แต่ครั้งนี้กษัตริย์ฟิลิสเตียตั้งใจจะเอาชนะกองทัพอิสราเอล ให้ได้อย่างเด็ดขาด สิ่งที่พวกเขาทำคือรวบรวมกำลังทั้งหมดไปที่อาเฟก (29:1) และ จากอาเฟกจะเดินทัพขึ้นไปทางเหนือ ไปยังที่ราบเอสดราเอโลนเพื่อต่อไปยังชูเนม (28:3-25) ยุทธวิธีของพวกเขาคือ "ผ่ากลางและปราบให้สิ้น" โดยการแบ่งประเทศ อิสราเอลออกตรงกลางและต่างฝ่ายต่างรบทั้งเหนือและใต้ ฟิลิสเตียมีกำลังเข้มแข็ง กว่ามาก อิสราเอลแทบไม่มีเลย ทหารพรานของซาอูลรายงานถึงกำลังและที่ตั้งของ กองทัพฟิลิสเตีย ตัวเลขฟังแล้วหน้ามืด ที่ร้ายกว่านี้คือ พวกเขาปักหลักอยู่ที่พื้นราบ เพื่อจะได้ใช้รถม้ารบได้อย่างเต็มที่ ผมแทบจะได้ยินเสียงซาอูลพึมพำว่า "เราตายแน่ๆ"

ข้อสอง ซาอูลอาจได้ยินมาว่าดาวิดร่วมอยู่ในกองทัพฟิลิสเตียมาต่อสู้กับอิสรา เอล ถ้าซาอูลกำลังกลัวการเผชิญหน้ากับกองทัพอันมหาศาลของฟิลิสเตีย ท่านคง สั่นแทบตายเมื่อรู้ว่าดาวิดอยู่ฝ่ายนั้นด้วย พระธรรมบทนี้เริ่มด้วยกษัตริย์อาคีชของ ฟิลิสเตียแจ้งดาวิดว่าท่านและคนของท่านต้องออกไปร่วมรบครั้งนี้ด้วย ดาวิดพูดให้ อาคีชมั่นใจว่าตัวท่านจะพิสูจน์ให้เห็นว่าเป็นพันธมิตรที่มีค่าเพียงใด ทำให้อาคีชตัดสิน ใจแต่งตั้งดาวิดให้เป็นองครักษ์ส่วนตัว เราเรียนรู้จากบทที่ 29 ว่าดาวิดและคนของท่าน ไปที่อาเฟกกับกษัตริย์อาคีช และที่เมืองนี้เองที่ดาวิดถูกสั่งให้กลับไปที่ศิกลาก ทหาร พรานของซาอูลอาจเห็นดาวิดอยู่กับพวกฟิลิสเตียที่อาเฟก คุณคงพอนึกออกว่าซาอูล กลัวมากเพียงใดที่จะต้องออกไปสู้รบกับดาวิด โดยเฉพาะเมื่อท่านเคยพูดกับดาวิด ไว้ว่า :

"20 บัดนี้ ดูเถิด ข้าประจักษ์แล้วว่า เจ้าจะเป็นพระ ราชาแน่ และราชอาณาจักรอิสราเอลจะสถาปนา อยู่ในมือของเจ้า" (1 ซามูเอล 24:20)

25 แล้วซาอูลจึงตรัสกับดาวิดว่า "ดาวิดบุตรของเราเอ๋ย ขอพระเจ้าทรงอวยพรเจ้าเจ้าจะกระทำหลายสิ่งหลาย อย่างและจะสำเร็จแน่" ดาวิดจึงไปตามทางของท่าน และซาอูลก็เสด็จกลับสู่ราชสำนักของพระองค์ (1 ซามูเอล 26:25)

ข้อสาม ซาอูลตระหนักถึงอันตรายที่กำลังคอยท่านอยู่ ท่านกลัวจนแทบสิ้นหวัง เราคงพอทราบกันว่าซาอูลดูจะเป็นคนขี้ขลาด (กลัวจนหัวหด) มาตั้งแต่แรก ท่านอยาก เลิกการไปตามหาลาของบิดาอย่างง่ายๆ (9:5) ท่านไม่ยอมบอกลุง (อับเนอร์?) ว่า ซามูเอลพูดอะไรกับท่าน (10:14-16) ท่านไปหลบซ่อนตัวอยู่ที่กองสัมภาระเมื่อถูก เลือกให้เป็นกษัตริย์ (10:22) ตั้งแต่ที่เราอ่านกันมาใน 1 ซามูเอล ไม่มีสักครั้งที่ท่าน เริ่มไปโจมตีฟิลิสเตียก่อน ถึงแม้การปลดแอกอิสราเอลออกจากฟิลิสเตียเป็นหน้าที่หลัก ที่ท่านถูกเลือกให้เป็นกษัตริย์ (9:16) และเมื่อท่านถูกวิญญาณชั่วเข้าสิง ท่านกลัวจน เป็นบ้า (ดู 16:14; 17:11; 18:12) การที่ฟิลิสเตียยกมาโจมตีในครั้งนี้จึงเป็นลางแห่ง ความพ่ายแพ้ทุกประตูสำหรับซาอูล ดังนั้นผู้เขียนจึงบอกเราว่าซาอูลกลัวแทบตาย (ข้อ 5)

ข้อสี่ ถึงแม้ซาอูลพยายามทุกวิถีทางเพื่อแสวงหาคำตอบจาก "ที่มาจากพระเจ้า" แต่ท่านก็ไม่เคยได้รับ จากที่อ่านมา ซาอูลไม่เคยมีประสบการณ์ในการแสวงหาน้ำ พระทัยพระเจ้ามาก่อน ซึ่งต่างจากดาวิด (ดู 1 ซามูเอล 22:10, 15) ซาอูลไม่คุ้นเคย กับการขอการทรงนำจากพระเจ้า143http://www.bible.org/docs/ot/books/1sa/deffin/ ตอนที่ไปตามหาลาของบิดาก็ไม่ใช่ความคิดของ ท่านที่ให้ไปปรึกษา "คนทำนาย" (1 ซามูเอล 9:5-9) เมื่อมีการจับสลากดูว่าพระเจ้า ทรงเลือกผู้ใดให้เป็นกษัตริย์ของอิสราเอล ซาอูลไม่มีส่วนร่วมด้วย ; ท่านหลบไปซ่อน ตัว (10:22) ซาอูลไม่เคยขอการทรงนำจากพระเจ้าทุกครั้งที่ไปสู้รบกับฟิลิสเตีย อาจ ไม่จำเป็น เพราะส่วนมากโยนาธานเป็นตัวตั้งตัวตีเริ่มให้ (เช่นบุกขึ้นไปโจมตีพวกฟิลิส เตียที่กองกำลังในเกบาห์ -- 13:3) ต่อมาในบทที่ 13 ซาอูลไปเผาเครื่องถวายบูชา "ด้วยตนเอง" แทนที่จะรอซามูเอลต่อ เมื่อทำเช่นนี้ ซาอูลฝ่าฝืนคำสั่งของซามูเอล ที่สั่งไว้ในบทที่ 10 เป็นคำสั่งที่มาจากพระเจ้า

"8 และท่านจงลงไปที่กิลกาลก่อนฉัน และดูเถิด ฉันจะลงมาหา ท่านเพื่อจะถวายเครื่องเผาบูชา และถวายสัตว์เป็นเครื่องศานติ บูชา ท่านจงคอยอยู่ที่นั่นเจ็ดวันจนฉันมาหาท่านและสำแดงแก่ ท่านว่า ท่านควรจะกระทำอะไร" (1 ซามูเอล 10:8)

ซาอูลได้รับคำสั่งจากซามูเอลให้คอยการทรงนำจากพระเจ้า แต่ท่านไม่เชื่อฟัง

ในบทที่ 14 เมื่อโยนาธานลอบขึ้นไปโจมตีชาวฟิลิสเตีย แผ่นดินไหวเกิดการสับสนอล หม่านขึ้นในท่ามกลางทหารฟิลิสเตีย ซาอูลเห็นเหตุการณ์นี้จากระยะไกล จึงมีคำสั่งให้ นำหีบแห่งพระเจ้าออกมา (14:18) ตอนนั้นปุโรหิตกำลังอยู่ในระหว่างขอการทรงนำ จากพระเจ้า และเมื่อฟิลิสเตียกำลังแตกตื่น ท่านสั่งให้ปุโรหิตหยุดก่อน เพื่อออกไปไล่ ฆ่าฟิลิสเตียแทน(14:19) คำสั่งอันโง่เขลาของซาอูลขัดขวางการติดตามทำให้ต้องหยุด ชะงัก และเป็นเหตุทำให้พวกทหารต้องทำบาปโดยกินเลือดพร้อมเนื้อสัตว์เพราะความ หิวโหย (14:24-35) เมื่อพวกทหารกินอิ่มแล้ว ซาอูลก็พร้อมจะออกล่าฟิลิสเตียต่อ แต่ ทางปุโรหิตต้องการให้มีการ"เข้าเฝ้าพระเจ้า" ก่อนเพื่อแสวงหาน้ำพระทัย (14:36) เมื่อไม่มีคำตอบ ซาอูลจึงสรุปว่าเป็นเพราะความบาป (ของโยนาธาน) จึงให้มีการจับ สลากระหว่างคนอิสราเอลฝ่ายหนึ่ง โยนาธานและซาอูลอีกฝ่ายหนึ่ง ฝ่ายซาอูลและโย นาธานถูกจับได้ จึงให้มีการจับสลากอีกระหว่างซาอูลและโยนาธาน คราวนี้จับได้โยนา ธาน ; ซาอูลตั้งใจให้มีการจับสลากเพื่อหาเหตุฆ่าบุตรของตนเอง และคงจะทำสำเร็จถ้า พวกผู้ใหญ่ไม่ยับยั้งเสียก่อน ซาอูลจึงเรียกได้ว่า ห่างไกลจากการแสวงหาการทรงนำ ของพระเจ้า

จากสถานการณ์เหล่านี้ดูเหมือนแรงจูงใจของซาอูลที่แสวงหาน้ำพระทัยของพระเจ้าดูจะไม่ค่อยบริสุทธิ์นัก รู้สึกว่าซาอูลไม่ได้จริงใจในการ "เข้าเฝ้าพระเจ้า" เพื่อแสวงหาน้ำ พระทัยและทำตาม ซึ่งเป็นข้อสรุปเดียวกับที่ผู้เขียน 1 พงศาวดารบันทึกไว้ :

13 ซาอูลจึงสิ้นพระชนม์ด้วยความไม่ซื่อสัตย์ของพระองค์ พระองค์มิได้ซื่อสัตย์ต่อพระเจ้าในเรื่องที่พระองค์มิได้รักษา พระบัญชาของพระเจ้า และได้ทรงแสวงการนำโดยทรงปรึกษา คนทรง 14 และมิได้ทรงแสวงการนำจากพระเจ้า พระเจ้าจึง ทรง สังหารพระองค์เสีย และทรงยกราชอาณาจักรให้แก่ดาวิด บุตรเจสซี (1 พงศาวดาร 10:13-14)

เรารู้ว่าซาอูลได้มีการ "ทูลถามพระเจ้า" (28:6) แต่ไม่ใช่ด้วยความจริงใจ แต่เป็นการ วิงวอนขอให้พระเจ้าช่วยให้หลุดจากปัญหาที่ตนเองก่อขึ้น การวิงวอนทูลขอพระเจ้าใน แบบเดียวกันนี้มีอยู่ในพระธรรมเยเรมีย์ด้วย :

1 ต่อไปนี้เป็นถ้อยคำซึ่งมาจากพระเจ้าถึงเยเรมีย์ เมื่อ กษัตริย์เศเดคียาห์ทรงใช้ให้ปาชเฮอร์ บุตรมัลคีอาห์ และเศฟันยาห์ปุโรหิตบุตรมาอาเสอาห์ไปหาเยเรมีย์ว่า 2 "ขอจงทูลถามพระเจ้าเพื่อเรา เพราะเนบูคัดเนสซาร์ กษัตริย์บาบิโลนกำลังทำสงครามกับเรา ชะรอยพระเจ้า จะทรงกระทำกับเราตามบรรดาราชกิจอันอัศจรรย์ของ พระองค์ จะทรงกระทำให้เนบูคัดเนสซาร์ถอยทัพ (เยเรมีย์ 21:1-2)

ความไม่สบายใจของซาอูลเริ่มกลายเป็นความกลัว และกลัวมากขึ้นจนถึงขีดสุด ท่าน ต้องตัดสินใจทำบางอย่างที่รุนแรง ดูเหมือนท่านกำลังกลับไปทำซ้ำในบทที่ 13 อีกครั้ง เพียงแต่ครั้งนี้ความวิบัติที่เผชิญอยู่นั้นยิ่งใหญ่กว่า พวกฟิลิสเตียตั้งค่ายอยู่ที่ชูเนม ส่วน ซาอูลและกองทัพตั้งมั่นอยู่ที่กิลโบอา (ข้อ 4) ฟิลิสเตียกำลังจะโจมตี และซาอูลรู้ว่า ท่านไม่มีทางสู้เลย ท่านต้องทำบางอย่างโดยด่วน ท่านจึงตัดสินใจทำในสิ่งที่เสี่ยงภัย และเป็นอันตรายอย่างยิ่ง เป็นเพราะท่านไม่ได้รับความสนใจจากพระเจ้าไม่ว่าด้วยวิธีใด ท่านตัดสินในไปปรึกษาคนทรง

เสียงจากคนตาย
(28:7-14)

7 ซาอูลจึงรับสั่งกับมหาดเล็กของพระองค์ว่า "จงออกไปหาหญิงที่ เป็นคนทรง เพื่อเราจะได้ไปหาและถามเขาดู" และมหาดเล็กก็กราบ ทูลว่า "ดูเถิด มีหญิงคนทรงคนหนึ่งอยู่ที่บ้านเอนโดร์" 8 ซาอูลจึง ปลอม พระองค์และทรงฉลองพระองค์อย่างอื่นเสด็จออกไปพร้อมกับ ชายสองคน ไปหาหญิงคนทรงในเวลากลางคืน พระองค์ตรัสว่า "ขอ ทำนายให้ฉันโดยวิญญาณของคนตาย ฉันจะออกชื่อผู้ใดก็ให้เรียกผู้ นั้นขึ้นมา" 9 หญิงคนนั้นจึงทูลตอบพระองค์ว่า "ท่านคงทราบแน่แล้ว ว่าซาอูลทรงกระทำอะไร ที่ได้กำจัดคนทรงและพ่อมดแม่มดเสียจาก แผ่นดิน ทำไมท่านจึงมาวางกับดักชีวิตของข้าพเจ้าเล่า" 10 แต่ซาอูล ทรงปฏิญาณกับหญิงนั้นในพระนามของพระเจ้าว่า "พระเจ้าทรงพระ ชนม์อยู่แน่ฉันใด เจ้าจะไม่ถูกโทษเพราะเรื่องนี้แน่ฉันนั้น" 11 หญิงนั้น จึงทูลถามว่า "ท่านจะให้ข้าพเจ้าเรียกใครขึ้นมา" ซาอูลตรัสว่า "เรียก ซามูเอลขึ้นมาให้ฉัน" 12 และเมื่อหญิงคนนั้นเห็นซามูเอล จึงร้องเสียง ดังและหญิงนั้นกราบทูลซาอูลว่า "ไฉนพระองค์จึงทรงล่อลวงหม่อมฉัน พระองค์คือซาอูล" 13 พระราชาตรัสแก่นางว่า "อย่ากลัวเลย เจ้าได้เห็น อะไร" และหญิงนั้นกราบทูลซาอูลว่า "หม่อมฉันเห็นเทพยเจ้าองค์หนึ่ง เสด็จขึ้นมาจากแผ่นดิน" 14 พระองค์ถามนางว่า "รูปร่างของเขาเป็น อย่างไร" และนางตอบว่า "เป็นผู้ชายแก่ขึ้นมามีเสื้อคลุมกายอยู่" ซาอูล ก็ทรงทราบว่าเป็นซามูเอล พระองค์ทรงโน้มพระกายลงถึงดินกราบไหว้

เมื่อซาอูลไม่สามารถติดต่อกับพระเจ้าได้ตามธรรมเนียมที่เคยปฏิบัติ ท่านจึงหาวิธีอื่น ซามูเอลเป็นผู้เผยพระวจนะคนเดียวที่ให้คำแนะนำโดยตรงจากพระเจ้าแก่ซาอูล อาจมี คนอื่นๆอีกแต่ไม่มีการบันทึกไว้ ซามูเอลมรณภาพไปแล้ว (ข้อ 3) แต่ซาอูลมีความคิด บางอย่างขึ้น ท่านอาจติดต่อกับซามูเอลได้ บางทีท่านอาจใช้พวกคนทรงปลุกวิญญาณ ขึ้นมา เพื่อจะพูดกับซามูเอล ซาอูลจึงสั่งมหาดเล็กให้ไปหาหญิงคนทรง และพบว่ามี อยู่คนหนึ่งอาศัยอยู่ที่เอนโดร์

แผนการที่จะใช้หญิงคนทรงนี้ก็มีปัญหาในตัวมันเองอยู่แล้ว ซึ่งเราจะมาดูกันต่อไป

ประการแรก พระเจ้าสั่งห้ามอย่างเด็ดขาดไม่ให้ติดต่อกับพวกคนทรง มีหลายที่ ในพระคัมภีร์เดิมที่สั่งห้ามไม่ให้มีพวกคนทรง หมอผีอยู่ในแผ่นดินอิสราเอล และสั่งห้าม ไม่ให้คนอิสราเอลปรึกษาหรือมีส่วนเกี่ยวข้องกับคนเหล่านี้ ลองมาดูกฎเหล่านี้ที่มีอยู่ใน ธรรมบัญญัติของโมเสส :

31 "อย่าไปหาคนทรงหรือพ่อมดแม่มด อย่า เที่ยวค้นหาให้ตนมลทินไปเพราะเขาเลย เรา คือพระเยโฮวาห์พระเจ้าของเจ้า" (เลวีนิติ 19:31)

"6 "ผู้ใดใฝ่หาคนทรงผีหรือพ่อมดแม่มด เล่นชู้กับ เขา เราจะหมายหน้าผู้นั้น และอเปหิเขาเสียจากชน ชาติของตน" (เลวีนิติ 20:6)

"27 "ชายหรือหญิงคนใดที่เป็นคนทรงหรือพ่อมด แม่มด จงฆ่าเสีย จงเอาหินขว้าง ที่เขาต้องตายนั้น เขาเองรับผิดชอบ"(เลวีนิติ 20:27)

10"อย่าให้มีคนหนึ่งคนใดในหมู่พวกท่านซึ่งให้บุตรชาย หรือบุตรหญิงของเขาลุยไฟ อย่าให้ผู้ใดเป็นคนทำนาย เป็นหมอดู เป็นหมอจับยามดูเหตุการณ์ หรือเป็นนักวิท ยาคม 11 เป็นหมอผี เป็นคนทรง เป็นพ่อมด แม่มด หรือ เป็นหมอพราย 12 ผู้ใดที่กระทำอย่างนี้ย่อมเป็นที่รังเกียจ แด่พระเจ้า เพราะกระทำสิ่งพึงรังเกียจเหล่านี้ พระเยโฮวาห์ พระเจ้าของท่านทั้งหลายจึงทรงขับไล่เขาเสียจากท่าน 13 ท่านทั้งหลายจงเป็นคนปราศจากตำหนิต่อพระพักตร์ พระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่าน 14 เพราะว่าประชาชาติเหล่า นี้ ซึ่งท่านกำลังจะไปขับไล่นั้นเชื่อฟังหมอดูและคนทำนาย แต่ส่วนตัวท่านนั้นพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านไม่ทรง ยินยอมให้ท่านกระทำเช่นนั้น" (เฉลยธรรมบัญญัติ 18:10-14)

ปัญหาประการที่สองคือ ครั้งหนึ่งที่ซาอูลได้ทำในสิ่งที่ถูกต้อง : "และซาอูลทรง

กำจัด คนทรงและพ่อมดแม่มดเสียจากแผ่นดิน" (ข้อ 3ข) นี่เป็นเรื่องมหัศจรรย์ เพราะซาอูลเคย ทำสิ่งที่ถูกต้องอยู่หนึ่งครั้ง แต่บัดนี้เมื่อกำลังจะถูกฟิลิสเตียบดขยี้ ซาอูลกลับมองหาคนทรง เพื่อทำในสิ่งที่พระคัมภีร์เดิมห้ามไว้ ปัญหาใหญ่สำหรับการ

นี้คือ ท่านกลับเป็นคนที่ขัดคำสั่งของตัวเอง พอเข้าใจไหมครับ : ซาอูลรู้สึกเสียใจ ที่ทำผิดในสิ่งที่ตนเองเคยเป็นผู้ทำให้ถูกต้องมาก่อน

ยังมีปัญหาประการที่สามอีก เป็นเรื่องระยะทาง พวกฟิลิสเตียตั้งค่ายอยู่ที่ชูเนม ซาอูลและกองทัพตั้งอยู่ที่กิลโบอา เมืองเอนโดร์อยู่ไปทางเหนือของกิลโบอาประมาณ 15 กม. จะไปที่นั่นได้ซาอูลต้องเดินทางอ้อมพวกฟิลิสเตียไป

ส่วนปัญหาประการที่สี่ : ซาอูลเปิดเผยตัวไม่ได้ ซาอูลไม่สามารถเปิดเผยตนเอง เรื่องนี้ให้ใครต่อใครรู้ได้ การฆ่ากษัตริย์ของฝ่ายศัตรูได้ ถือว่ามีชัยไปเกินกว่าครึ่งแล้ว ดังนั้นกษัตริย์จึงตกเป็นเป้าสำคัญที่สุด กษัตริย์จำเป็นต้องปลอมตัวในบางกรณีเพื่อ ความปลอดภัย (ดู 1 พกษ. 22:29-36) นอกจากนี้ซาอูลไม่ต้องการให้คนทรงจำได้ เพราะถ้านางรู้นางอาจไม่ยอมติดต่อกับวิญญาณให้ เพราะซาอูลเองเป็นผู้สั่งขับไล่ พ่อมดหมอผีคนทรงออกไปจากแผ่นดิน(ดูข้อ 9) ท่านหาทางออกโดยการเดินทาง ไปตอนกลางคืน เปลี่ยนเครื่องแต่งกายใหม่ ไม่สวมใส่ชุดที่กษัตริย์ใส่

เมื่อซาอูลไปถึงบ้านหญิงคนทรง ท่านไม่อ้อมค้อม ท่านต้องการให้คนทรงยอมติดต่อ กับวิญญาณใดก็ตามที่ท่านสั่ง นางไม่ยอมเพราะกลัวว่าเป็นแผนของสายสืบของซาอูล ที่จะมาล่อให้นางติดกับ นางไม่ต้องการถูกจับด้วยข้อหาฝ่าฝืนคำสั่งของกษัตริย์ นาง ไม่รู้จักคนพวกนี้มาก่อน เป็นคนแปลกหน้าสำหรับนาง ที่น่าขันคือ ซาอูลกลับสาบาน ต่อนางในนามของพระเจ้า ว่านางจะไม่ถูกจับเพราะเรื่องนี้ (ข้อ10) แล้วท่านจึงสั่งให้ นางเรียกวิญญาณซามูเอลขึ้นมา นางทำตามโดยไม่สอบถามต่อ เมื่อนางเห็นซามูเอล นางตกใจร้องเสียงดัง นางไม่เพียงแต่จำซามูเอลได้เท่านั้น ตอนนี้นางเริ่มจำได้แล้วว่า ซาอูลคือคนที่สั่งให้นางทำเช่นนี้ ผมคิดว่าผมได้ยินนางกระซิบกับตัวเองว่า "ตายแน่ๆ"

ซาอูลบอกนางว่าไม่ต้องกลัว และให้อธิบายว่านางได้เห็นผู้ใด144 http://www.bible.org/docs/ot/books/1sa/deffin/วิญญาณที่นางเห็น และคำอธิบายของนางคงจะไม่ใช่เป็นการเรียกวิญญาณธรรมดาขึ้นมา นางบอกซาอูล ว่านางเห็น "เทพยเจ้าองค์หนึ่ง" (พระคัมภีร์ฉบับ NASB; KJV ใช้คำว่า "เทพเจ้า") ฉบับภาษาฮีบรูใช้คำว่า "เอโลฮิม" (เทพ, พระ) ฉบับเซพตัวจินท์ใช้ภาษากรีกว่า "เธอุส" (เทพ, พระ) นี่ไม่ใช่ "วิญญาณธรรมดา" แต่เป็น "เทพยเจ้า" ที่นางเห็น ไม่ แปลกที่นางตกใจกลัว นางอธิบายให้ซาอูลฟังว่า "เทพยเจ้า" องค์นี้เป็นชายแก่มีเสื้อ คลุมกายอยู่ คำว่า "เทพยเจ้า" ที่นางอธิบาย ทำให้ซาอูลรู้ทันทีว่าเป็นซามูเอล ซาอูล จึงโน้มกายลงถึงดิน "กราบไหว้" (ข้อ 14)

เสียงจากหลุมศพ
(28:15-19)

15 แล้วซามูเอลพูดกับซาอูลว่า "ท่านรบกวนเราด้วยเรียกเรา ขึ้นมาทำไม" ซาอูลทรงตอบว่า "ข้าพเจ้ามีความทุกข์หนัก เพราะคนฟีลิสเตียกำลังมาทำสงครามกับข้าพเจ้า และพระเจ้า ทรงหันจากข้าพเจ้าเสียแล้ว มิได้ทรงตอบข้าพเจ้าอีกเลย ไม่ว่า โดยผู้เผยพระวจนะหรือโดยความฝัน เพราะฉะนั้นข้าพเจ้าจึงขอ เรียกท่านขึ้นมาเพื่อท่านจะได้แจ้งว่า ข้าพเจ้าจะกระทำประการ ใดดี" 16 และซามูเอลตอบว่า "ในเมื่อพระเจ้าทรงหันจากท่าน เสียแล้ว และเป็นศัตรูของท่าน ท่านจะมาถามข้าพเจ้าทำไมเล่า 17 พระเจ้าได้ทรงกระทำแก่ท่านอย่างที่พระองค์ตรัสบอกทาง ข้าพเจ้าแล้วนั้น เพราะพระเจ้าทรงฉีกราชอาณาจักรนั้นออกเสีย จากมือของท่านและทรงมอบให้แก่คนอื่น คือดาวิด18 เพราะท่าน มิได้เชื่อฟังพระสุรเสียงของพระเจ้า มิได้กระทำตามพระพิโรธของ พระองค์ที่ทรงมีต่ออามาเลข ฉะนั้นพระเจ้าจึงทรงกระทำสิ่งนี้แก่ ท่านในวันนี้ 19 ยิ่งกว่านั้นอีกพระเจ้าจะทรงมอบอิสราเอล พร้อม กับตัวท่านไว้ในมือของคนฟีลิสเตีย พรุ่งนี้ตัวท่านพร้อมกับบุตร ชายทั้งหลายของท่านจะอยู่กับเรา และพระเจ้าจะทรงมอบกอง ทัพอิสราเอลไว้ในมือของคนฟีลิสเตียด้วย" ในช่วงชีวิตของซาอูลที่ซามูเอลยังมีชีวิตอยู่ ซามูเอลแทนพระเจ้าอย่างชัดเจนต่อ ซาอูล ซามูเอลไม่ได้พูดเฉพาะเรื่องที่ซาอูลอยากได้ยินเท่านั้น ที่จริง บางครั้งซามูเอล เองก็หวั่นใจว่าสิ่งที่ท่านพูดไปอาจทำให้ซาอูลโกรธ (ดู 16:2) ในบทที่ 13 และ 15 ซามูเอลตำหนิซาอูลเรื่องความบาป และเตือนท่านอย่างตรงๆว่าท่านจะสูญเสียอาณา จักรไป ถ้ามาคิดดูให้ดี ตอนนี้ซาอูลคิดว่าซามูเอลจะพูดเรื่องอื่นใดได้อีก ? ถ้าซาอูล คาดว่าการให้คนทรงเรียกซามูเอลขึ้นมาเพื่อจะได้ยินเรื่องที่แตกต่างไป ท่านก็กำลังรบ กวนวิญญาณของผู้ตายอย่างไม่สมควรเป็นที่สุด

ผมมีลูกสาวห้าคน และเธอๆทั้งหลายเป็นประเภทที่ไม่อาจเรียกได้ว่าเป็นคน "ตื่นเช้า" (ที่จริงผมเองก็ไม่ใช่เป็นคน "ตื่นเช้า") ซาอูลเรียนรู้ว่าการปลุกซามูเอลขึ้นมานั้นยาก พอๆกับปลุกลูกสาวผมในตอนเช้า เหมือนกับไปปลุกหมีที่จำศีลอยู่ทีเดียว ผมเคยพูด เล่นว่า เวลาเข้าไปปลุกสาวๆเหล่านี้คงต้องใช้ไม่เขี่ยจากระยะไกล อย่างไรก็ตาม ซามูเอลดูจะ "อารมณ์เสีย" เพราะท่านพูดว่า : "ท่านรบกวนเราด้วยเรียกเราขึ้น มาทำไม?" ท่านคงไม่พอใจที่ถูกซาอูลรบกวน (อันที่จริงท่านมีโอกาส "เหน็บ" ซาอูล ได้โดยไม่ต้องหวั่นใจเหมือนเมื่อตอนมีชีวิต ท่านไม่ต้องกลัวว่าจะถูกซาอูลฆ่าอีกแล้ว) หรือว่าท่านต้องการตำหนิซาอูลที่กำลังทำในสิ่งที่ไม่สมควร – ติดต่อกับวิญญาณคน ตาย ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร เราเห็นชัดเจนว่าซามูเอลไม่พอใจ

ซาอูลมีอาการเหมือนเป็นเด็กนักเรียนที่ถูกจับได้คาหนังคาเขาว่าทำผิด ยืนเข่าสั่นอยู่ ท่านพยายามแก้ตัวว่าท่านมีความทุกข์หนัก และเหตุผลก็คือพวกฟิลิสเตียกำลังมาทำ สงคราม และพระเจ้าทรงละทิ้งท่านไปแล้ว ไม่ตอบท่านเลยไม่ว่าในเรื่องใด ดูเหมือน ซาอูลจะพูดในทำนองว่า "ผมเลยต้องเรียกท่าน เพราะผมไม่รู้จะทำยังไง ขอท่านช่วย แนะนำด้วย ผมรู้ว่ามันเป็นการไม่ถูกต้อง แต่นี่เป็นเรื่องคอขาดบาดตายนะครับ"

ซามูเอลไม่สนใจฟัง ท่านไม่ได้ให้คำแนะนำใดกับซาอูล และท่านกล่าวตำหนิซาอูลที่ มาบอกให้ท่านทำในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ คือให้มาพูดแทนพระเจ้า ในเมื่อพระเจ้าไม่ สถิตอยู่ด้วยแล้ว ก็เหมือนกับสั่งให้บาลาอัมไปสาปแช่งประชากรของพระเจ้า ในเมื่อพระ เจ้าต้องการอวยพระพรพวกเขา ซามูเอลไม่สามารถและไม่ต้องการบอกซาอูลด้วยว่า ควรทำอย่างไร เป็นเรื่องของซาอูลเองแล้ว แต่เมื่อซาอูลได้พยายามติดต่อท่าน ท่านก็ จะบอกให้ทราบว่าพระเจ้าจะทำอย่างไรกับซาอูลในวันรุ่งขึ้น ซาอูลพบว่าตนเองกำลัง ตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกับที่เคยเกิดขึ้นเมื่อตอนซามูเอลพูดไว้ในบทที 13 และ 15 ซาอูลกำลังตระหนักว่าคำพยากรณ์ที่ซามูเอลเคยพูดไว้นั้นเริ่มเป็นจริง

คำพูดของซามูเอลบอกซาอูลถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นและสาเหตุอย่างชัดเจน ซามูเอลเคย พูดมาก่อนหน้าแล้วว่า พระเจ้าจะฉีกอาณาจักรไปจากท่าน และนำไปมอบให้กับ "คน อื่น"145http://www.bible.org/docs/ot/books/1sa/deffin/ คือดาวิดแทน นี่เป็นเพราะซาอูลไม่เชื่อฟังคำสั่งของพระเจ้าในเรื่องการจัดการ กับคนอามาเลข คำพยากรณ์ที่ซามูเอลให้ไว้ในบทที่ 15 เริ่มจะเป็นจริง ท่านกล่าวต่อไป ว่าในวันพรุ่งนี้ พระเจ้าจะทรงมอบอิสราเอล ซาอูล และบุตรของท่านให้กับพวกฟิลิสเตีย ซาอูลและบุตรของท่านจะถูกฆ่าตาย ซามูเอลพูดอย่างตรงๆว่า "พรุ่งนี้ตัวท่่านพร้อม กับบุตรชายทั้งหลายของท่านจะอยู่กับเรา" ข่าวนี้น่าสะพรึงกลัวและไม่ใช่เป็นเรื่อง ที่ซาอูลอยากได้ยิน ท่านบังอาจปลุกวิญญาณของผู้เผยพระวจนะขึ้นมาจากหลุม และ ซามูเอลก็ยังเป็นผู้เผยพระวจนะที่พูดในเรื่องเดิม

อาหารค่ำมื้อสุดท้ายของซาอูล
(28:20-25)

20 แล้วซาอูลก็ทรงล้มลงเหยียดยาวบนพื้นดินในทันที กลัวยิ่ง นักเพราะถ้อยคำของซามูเอล และไม่มีกำลังเหลืออยู่ในพระองค์ เพราะไม่ได้เสวยมาตลอดวันหนึ่งกับคืนหนึ่งแล้ว 21 หญิงนั้นก็ เข้ามาหาซาอูล และเมื่อนางเห็นว่าพระองค์ตกพระทัยมาก จึงทูล ว่า "ดูเถิด ผู้รับใช้ของฝ่าพระบาทก็ย่อมฟังรับสั่งของฝ่าพระบาท ยอมเสี่ยงชีวิต และยอมฟังพระดำรัสที่พระองค์ตรัสสั่งทุกประการ 22 เพราะฉะนั้นขอฝ่าพระบาทจงฟังเสียงผู้รับใช้ของ ฝ่าพระบาท บ้าง ขอหม่อมฉันได้ถวายพระกระยาหารแก่พระองค์สักหน่อยหนึ่ง ขอพระองค์เสวย เพื่อพระองค์จะทรงมีพระกำลังเมื่อกลับตามทาง ของพระองค์" 23 พระองค์ก็ทรงปฏิเสธ รับสั่งว่า "ไม่กิน" แต่มหาด เล็กกับหญิงนั้นอ้อนวอนพระองค์ พระองค์ก็ทรงฟังเสียงของเขา พระองค์ทรงลุกขึ้นประทับบนเตียง 24 หญิงนั้นมีลูกโคอ้วนอยู่ใน บ้านตัวหนึ่ง ก็รีบฆ่าเสีย เอาแป้งมานวดปิ้งทำขนมปังไร้เชื้อ 25 นางก็นำมาถวายแก่ซาอูลและทรงเสวย กับให้มหาดเล็กเขารับ ประทาน แล้วก็ทรงลุกขึ้นเสด็จกลับไปในคืนนั้น เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นต่อไปนั้นเป็นภาพที่ไม่น่าดูนัก คืนนั้นซาอูลมาหาคนทรงที่เอนโดร์ ด้วยท่าทางน่าเกรงขาม หลังจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ท่านกลายเป็นคนอ่อนปวกเปียก คำพูดของซามูเอลทำให้ท่านเกิดอาการสั่น ล้มลงถึงดินแน่นิ่งไป เหมือนกับถูกยิงด้วย กระสุนทั้งชุด ส่วนหนึ่งอาจเกิดจากไม่มีอะไรตกถึงท้องมานาน แถมยังเหน็ดเหนื่อย จากการเดินทางไกลอีก แต่ที่หนักที่สุดคือความกลัวจนสุดขีด ผมพอนึกภาพออกว่า หญิงคนทรงคงเริ่มรู้สึกเป็นห่วง และอยากให้ซาอูลเดินทางกลับไปโดยเร็ว

นางขอร้องให้ซาอูลฟังนาง เพราะอย่างน้อยนางก็ได้เสี่ยงชีวิตให้ นางขอให้ได้ทำ อาหารเลี้ยงท่าน เพื่อจะมีกำลังเดินทางกลับไปได้ ท่านปฏิเสธ ท่านไม่อยากกินอะไร ทั้งนางและมหาดเล็กของซาอูลช่วยกันอ้อนวอน ไม่ใช่เพราะความหิวแต่เพื่อจะได้มี กำลังเดินทางกลับไปที่ค่ายทหารได้ เหมือนกับบิดาของบุตรน้อยหลงหาย หญิงคน ทรงแห่งเอนโดร์ฆ่าโคอ้วนของนางและทำอาหารมาให้ซาอูล (ดูลูกา15:22-24, 29) แต่ไม่ใช่เพื่อเป็นการเลี้ยงฉลองเพราะบุตรที่หนีไปกลับใจมาขอคืนดี เป็นการปลุก ให้ตื่นขึ้น นางฆ่าโคของนางและจัดเตรียมทำอาหารพร้อมกับขนมปัง ซาอูลรับประทาน ก่อนเดินทางกลับไปตอนกลางคืน เป็นช่วงชีวิตที่มืดมนที่สุดของซาอูล แต่เวลาที่มืดมน ยิ่งกว่ากำลังจะคืบเข้ามา -- วันรุ่งขึ้น -- เมื่อคำพยากรณ์ของซามูเอลเป็นจริง

บทสรุป

เราเคยได้ยินคำพูดที่ว่า : "ต้นร้ายปลายดี" ถ้าเป็นจริง คงใช้ไม่ได้สำหรับซาอูล เดล ราล์ฟ ดาวิส ตั้งชื่อตอนในหนังสือข้อคิดเห็นของพระธรรมตอนนี้ว่า "ขณะนั้น เป็นเวลากลางคืน"146http://www.bible.org/docs/ot/books/1sa/deffin/ ที่ใช้ชื่อนี้เพราะมีสองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในตอนกลางคืน (28:8, 25) อาจเป็นการเล่นคำให้เหมือนกับในพระกิตติคุณยอห์น 13:30 ที่พูด ถึงเมื่อยูดาสทิ้งพระเยซูและพวกสาวกไว้เพื่อไปขายพระองค์ ในพระคำยอห์นเขียน ไว้ว่า "ขณะนั้นเป็นเวลากลางคืน"

ไม่ต้องคิดซ้ำสองหรอกครับ เวลานี้เป็นเวลาที่มืดมนที่สุดสำหรับซาอูลเท่าที่เคยประสพ มา แล้ววันรุ่งขึ้น (วันสุดท้าย) จะมืดมนสักเพียงใด? นีหรือกษัตริย์ของอิสราเอล กษัตริย์ผู้อ่อนแอ หิวโหยและหวาดกลัว แม้แต่จะทรงกายยืนขึ้นยังไม่ไหวเลย ท่าน แต่งตัวด้วยเสื้อผ้าโทรมๆเพื่อพรางตน แต่ก็ไร้ผล ท่านไปที่บ้านของหญิงคนทรงเพื่อ ให้นางช่วย และเมื่อนางติดต่อกับซามูเอลได้ สิ่งที่ท่านผู้เผยพระวจนะพูดก็คือคำพูด แสนโบราณที่เราชอบพูดกัน "บอกแล้วใช่ไหม?" แถมยังบอกต่อไปอีกว่าท่านและบุตร ทั้งสิ้นจะตายในวันรุ่งขึ้น ไม่มีการให้กำลังใจ ไม่มีความหวัง ไม่มีแม้โอกาสให้กลับใจ มันสายเกินไป เป็นภาพโศกนาฏกรรมของซาอูลที่เราเห็นได้ชัดจริงๆ

สี่สิบปีก่อนหน้านี้ ซาอูลเป็นนักปกครองหนุ่มที่มีอนาคตไกล มีรูปลักษณ์ที่โดดเด่น สูง สง่ากว่าชาวอิสราเอลโดยทั่วไป (9:1-2) ท่านเริ่มต้นงานแรกด้วยการปลดชาวยาเบช- กิเลอาดออกจากการข่มขู่ของชาวอัมโมน (บทที่ 11) จากนั้นมาเหตุใดทุกสิ่งดูเหมือน จะผิดพลาดไปทั้งหมดสำหรับซาอูล พลาดไปถึงขนาดมาจบสิ้นลงบนพื้นบ้านของหญิง คนทรงต้องห้ามเช่นนี้? คำตอบตามที่ซามูเอลพูดนั้นเป็นเรื่องแสนธรรมดา – การไม่ เชื่อฟัง ความผิดข้อใหญ่และข้อแรกของซาอูล (เท่าที่เราอ่านจากในพระคัมภีร์) คือ ที่กิลกาล ท่านขัดคำสั่งของซามูเอล ไม่ยอมรอให้ซามูเอลมาถวายเครื่องเผาบูชา (ดู 10:7-8) เพื่อขอคำแนะนำ (ที่มาจากพระเจ้า) ซาอูลลงมือเผาเครื่องถวายบูชาด้วย ตนเอง147 http://www.bible.org/docs/ot/books/1sa/deffin/

ความผิดข้อใหญ่ประการที่สองดูเผินๆเหมือนมีความตั้งใจดี แต่ที่จริงกลับฉุดให้ท่านตก ต่ำลงไปอีก ซามูเอลให้คำสั่งอย่างชัดเจนจากพระเจ้า ในฐานะเป็นกษัตริย์ของอิสรา เอล เป็นหน้าที่ของซาอูลที่ต้องกำจัดชาวอามาเลขให้หมดสิ้น เพื่อเป็นการตอบแทนที่ พวกเขาปฏิบัติต่อชาวอิสราเอลเมื่อครั้งอพยพอยู่ในถิ่นทุรกันดาร ชาวอามาเลขทุกคน ต้องถูกฆ่า รวมถึงกษัตริย์ด้วย ที่จริงคำสั่งของซามูเอลในเรื่องนี้ชัดเจนมาก (15:1-3) ห้ามเว้นแม้แต่ เด็ก หรือฝูงสัตว์ ถึงแม้ได้รับคำสั่งเช่นนี้ ซาอูลยังไว้ชีวิตกษัตริย์อากัก และฝูงสัตว์ที่ดีที่สุด ซามูเอลบังคับให้ซาอูลรับผิดชอบต่อความบาปครั้งนี้ แต่ซาอูล พยายามทำให้ดูเป็นเรื่องเล็กโดยอ้างว่าที่ทำเช่นนั้นเพราะต้องการเก็บฝูงสัตว์ที่ดีที่สุด ไว้เพื่อนำมาถวายบูชาแด่พระเจ้า ซามูเอลจึงสั่งสอนอย่างชัดเจนถึงหลักในการปฏิบัติ ซึ่งเป็นหลักที่สะท้อนก้องอยู่ในใจของผู้คนจากนั้นตลอดมาจนถึงยุคพระคัมภีร์ใหม่ :

22 และซามูเอลกล่าวว่า "พระเจ้าทรงพอพระทัยใน เครื่องเผาบูชาและเครื่องสัตวบูชามากเท่ากับการจะ เชื่อฟังพระสุรเสียงของพระองค์หรือ ดูเถิดที่จะเชื่อ ฟังก็ดีกว่าเครื่องสัตวบูชา และซึ่งจะสดับฟังก็ดีกว่าใข มันของบรรดาแกะผู้ 23 เพราะการกบฎก็เป็นเหมือน บาปแห่งการถือฤกษ์ถือยาม และความดื้อดึงก็เป็น เหมือนบาปชั่วและการไหว้รูปเคารพ เพราะเหตุที่ท่าน ทอดทิ้งพระวจนะของพระเจ้า พระองค์จึงทรงถอด ท่านออกจากตำแหน่งกษัตริย์ " (1 ซามูเอล 15:22-23)

ดูเหมือนซาอูลจะคิดว่าของถวายของมนุษย์เป็นสิ่งมีค่าที่สุดสำหรับพระเจ้า ถึงแม้ต้อง ขัดคำสั่งเพื่อจะให้ได้มา ซามูเอลเห็นตรงข้ามโดยสิ้นเชิง พระเจ้าทรงพอพระทัยใน เครื่องเผาบูชาและเครื่องสัตวบูชามากเท่ากับการจะเชื่อฟังพระสุรเสียงของพระองค์หรือ การเชื่อฟังพระเจ้าสำคัญที่สุด การไม่เชื่อฟังจึงเป็นความบาปชั่วที่ร้ายแรง ซาอูลคิด หรือว่าพระเจ้าจะพอพระทัยที่ท่านขัดคำสั่งเพียงเพื่อจะได้ทำการถวายบูชา? แน่นอน พระองค์ไม่ทรงพอพระทัย ที่จริงเพราะองค์มองเรื่องการฝ่าฝืนนี้ว่าเป็นการกบฎ เป็น เหมือนการถือฤกษ์ถือยามและเป็นการกราบไหว้รูปเคารพ ซาอูลคิดว่าพระเจ้าจะพอ พระทัยในสิ่งที่ท่านและชาวอิสราเอลทำในเรื่องชาวอามาเลข แต่ซามูเอลกลับบอกว่า สิ่งที่ซาอูลทำนั้นเป็นสิ่งชั่วร้ายที่สุด

เมื่อก่อนผมไม่เคยคิดด้วยมุมมองแบบนี้ แต่ตอนนี้ผมเริ่มเข้าใจพระธรรม 1 ซามูเอล 15:22-23 ดีขึ้นจากข้อพระคำใน 1 ซามูเอล 28:3 ตรงนี้ผู้เขียนบอกเราว่าซาอูลได้ กำจัดบรรดาพ่อมด หมอผี คนทรงออกไปจากแผ่นดินอิสราเอล และเมื่อมองย้อนไปใน บทที่ 15 ผมเริ่มเข้าใจว่า เมื่อซาอูลได้กำจัดพวกหมอผีคนทรงออกไปจากแผ่นดินแล้ว ท่านคงรู้สึกดี เพราะได้ทำตามธรรมบัญญัติของโมเสส148 แต่หลังจากนั้นเมื่อท่านถูก สั่งให้กำจัดชาวอามาเลขให้หมดสิ้น ท่านทำเพียงแค่บางส่วน และอย่างที่บอกไปแล้ว การเชื่อฟังเพียงบางส่วนก็คือการไม่เชื่อฟังนั่นเอง เมื่อพระเจ้ากล่าวตำหนิซาอูลผ่าน ทางซามูเอล พระองค์ตรัสว่าการไม่เชื่อฟังก็เท่ากับการถือฤกษ์ ถือยาม หรือการกราบ ไหว้รูปเคารพ ซาอูลรู้สึกดีเพราะได้กำจัดพ่อมดหมอผีออกไปจากแผ่นดินหรือ? ท่าน เห็นด้วยหรือเปล่าว่าการกระทำของพวกนี้เป็นความชั่วร้ายแรง ? การไม่เชื่อฟังของท่าน มองได้เท่ากับเป็นการถือฤกษ์ถือยามและการกราบไหว้รูปเคารพ ดังนั้นความบาปของ ท่านเรื่องชาวอามาเลขที่ท่านเลือกเชื่อฟังพระเจ้าเฉพาะบางส่วน จึงเป็นบาปพอๆกับ การถือฤกษ์ยามและกราบไหว้รูปเคารพ

ผมคิดว่าคำตำหนิของซามูเอลในบทที่ 15 มีมากกว่านั้น ท่านกล่าวว่าถ้าซาอูลไม่ยอม สำนึกในบาปแห่งการไม่เชื่อฟังและการกบฎ จะนำไปสู่บาปของการถือฤกษ์ ถือยาม และการกราบไหว้รูปเคารพ พูดให้ชัดๆก็คือ ถ้าซาอูลไม่ยอมสำนึกผิดในเรื่องชาว อามาเลข ซามูเอลกำลังพยากรณ์ว่าซาอูลจะเป็นคนทำ"บาป" นี้เอง บาปที่ท่านได้เคย สั่งให้กำจัดพ่อมด หมอผีไปเสียจากแผ่นดิน

เหตุการณ์ในบทที่ 28 ผ่านไปอย่างน่าขนลุก เป็นเพราะซาอูลไม่ยอมรับในความบาป ของตนเองจึงถูกซามูเอลกล่าวตำหนิอย่างรุนแรง ผมมองเห็นความเหมือนค่อนข้างชัด เจนระหว่างบทที่ 13 และ 15 ทั้งสองบทซาอูลทำบาปด้วยการตั้งใจขัดคำสั่งพระเจ้า และในทั้งสองกรณี เมื่อถูกซามูเอลตำหนิ ท่านพยายามป้ายความผิดไปที่ผู้อื่น (อย่าง น้อยก็บางส่วน) ในบทที่ 13 ซาอูลแก้ตัวว่าเป็นเพราะซามูเอลมาสาย (เป็นความผิดของ ซามูเอล) และประชาชนกำลังละทิ้งไป (เป็นความผิดของประชาชน) ในบทที่ 15 อีกที่ ซาอูลพยายามปัดความรับผิดชอบ ท่านอ้างว่าท่านเชื่อฟังพระเจ้า ; แต่ซามูเอลไม่รับ ฟัง ท่านจึงโยนไปที่ประชาชนว่าเป็นพวกที่แอบเก็บฝูงสัตว์ดีๆไว้ แต่ในที่สุดซาอูลก็ยอม รับว่าท่านกลัวประชาชน แต่ท่านก็ยังไม่ยอมรับผิดชอบในฐานะกษัตริย์ ในทั้งบทที่ 13 และ 15 ซาอูลคิดว่าเป็นเพราะสถานการณ์เข้าที่คับขัน ท่านอ้างว่า "ท่านอยู่ในสภาวะ เดือดร้อนอย่างหนัก" ทำให้ท่านต้องใช้ "กฎอัยการศึก" แทนกฎเกณฑ์ของพระเจ้า และ เมื่อข้ออ้างอ่อนๆของท่านใช้ไม่ได้ผล การ"สำนึกผิด"ของท่านยังไม่สมควรจะเรียกได้ ว่าท่าน"รู้สึกเสียใจ"แม้สักนิดเดียว

เราจึงเห็นว่าทำไมเหตุการณ์นี้ถึงเกิดขึ้นอีกในบทที่ 28 ซาอูลดูเหมือนจะเริ่มต้นด้วยดี แต่แล้วในระยะเวลาอันสั้นท่านเริ่มไม่ระมัดระวังที่จะเชื่อฟังพระเจ้า ถึงแม้จะถูกกล่าว ตำหนิก็ตาม ท่านก็ยังไม่สำนึกอย่างจริงใจ การตกลงไปในบาปเดิมจึงเป็นเรื่องหนีไม่พ้น ตามที่ซามูเอลเคยพยากรณ์ไว้ล่วงหน้าในบทที่ 15 เราถึงไม่ประหลาดใจนักที่ซาอูลไป ขอความช่วยเหลือจากคนทรง ถ้าผู้ใดคิดว่าบัญญัติของพระเจ้านั้นน่ารังเกียจ ก็เป็นการ ง่ายที่พวกเขาจะไม่แยแส คงไม่ต้องสงสัยว่าคนเช่นนี้จะไม่หันไปพึ่งหมอดู หรือพวก ทรงเจ้าเข้าผี (หรือใช้หนทางลัดใดก็ได้) และพวกเขาจะ"ถูกนำ"ไปสู่หนทางที่เคย อยากทำมาตั้งแต่แรก (เปรียบเทียบกับ 2ทิโมธี 4:3-4) เราเห็นว่าซาอูลจบชีวิตลงอย่าง โศกนาฏกรรม เป็นสิ่งที่ไม่น่าประหลาด เป็นผลของทางที่ท่านเองเลือกเดิน

เมื่อเราอ่านเรื่องน่าขายหน้าของซาอูลที่เกิดในบ้านของหญิงคนทรงในเอนโดร์ เรา อาจปลอบใจตนเองว่าเรื่องแปลกๆอย่างนี้น่าจะเป็นเรื่องฟลุค ผมขอบอกว่าไม่ใช่เป็น เรื่องฟลุคแน่ๆ ที่จริงผมเห็นว่าเป็นเรื่องธรรมดา เรื่องของซาอูลเป็นเรื่องเกิดขึ้นตาม"กฎ เกณฑ์" ไม่ใช่กรณี "ยกเว้น" ซาอูลเป็นภาพพจน์ของชนชาติอิสราเอล149http://www.bible.org/docs/ot/books/1sa/deffin/ ที่เราเห็นจาก ชีวิต (และความตาย) ของท่าน เป็นภาพจำลองของประวัติศาสตร์อิสราเอล อิสราเอล ก็เหมือนกับซาอูล ไม่ได้ถูกเลือกเพราะโดดเด่นกว่าผู้อื่น ที่จริงแล้วมาจากตระกูลที่เล็ก น้อยด้วยซ้ำไป (เทียบดูกับเฉลยธรรมบัญญัติ 7:7-8; 1 ซามูเอล 9:21; 10:22; 15: 17) เช่นเดียวกับประเทศอิสราเอล พระเจ้าตั้งซามูเอลให้มา "ทำลาย" ชาวคานาอันให้ หมดสิ้น (เปรียบเทียบเฉลยธรรมบัญญัติ 7:1-2; 1 ซามูเอล 15:1-3) ซามูเอลก็เช่น เดียวกับประเทศอิสราเอล คือต้องวางใจในพระเจ้าและรักษาพระบัญญัติของพระองค์ ไม่ทำตามอย่างคนต่างชาติ (เปรียบเทียบเฉลยธรรมบัญญัติ 7:2-5, 9-16; 1 ซามูเอล 15:20-23) และเช่นกันกับอิสราเอล พระเจ้าจะทำลายซาอูลสำหรับการกบฎที่ไม่รู้เลิก ของท่าน (ดูเฉลยธรรมบัญญัติ 7:4; 1 พงศาวดาร 10:13-14) ลองสังเกตุดูว่าทั้งสอง กรณีนี้เกี่ยวพันกันอย่างไรในบทที่ 12:

14 ถ้าท่านทั้งหลายจะยำเกรงพระเจ้าและปรนนิบัติพระองค์ และฟังพระสุรเสียงของพระองค์ และไม่กบฏต่อพระบัญชา ของพระเจ้า และถ้าท่านทั้งหลายและพระราชาผู้ปกครองเหนือ ท่านจะเป็นผู้ติดตามพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่าน ทั้งหลาย ก็ดีแล้ว 15 แต่ถ้าท่านทั้งหลายไม่ฟังพระสุรเสียงของพระเจ้า แต่กบฏต่อพระบัญชาของพระเจ้า แล้วพระหัตถ์ของพระเจ้าจะ ต่อสู้ท่านทั้งหลาย และบรรพบุรุษของท่าน 16 เพราะฉะนั้นบัดนี้ ท่านทั้งหลายจงยืนนิ่งอยู่ คอยดูเหตุการณ์ยิ่งใหญ่ต่อไปนี้ ซึ่ง พระเจ้าจะทรงกระทำต่อหน้าต่อตาของท่านทั้งหลาย 17 วันนี้ เป็นฤดูเกี่ยวข้าวสาลีไม่ใช่หรือ ข้าพเจ้าจะร้องทูลต่อพระเจ้า ขอพระองค์จัดส่งฟ้าร้องและฝน และท่านทั้งหลายจะทราบ และเห็นเองว่า ความอธรรมของท่านนั้นใหญ่โตเพียงใด ซึ่งท่าน ได้กระทำในสายพระเนตรพระเจ้า ในการที่ได้ขอให้มีพระราชา สำหรับตน" 18 ซามูเอลจึงร้องทูลต่อพระเจ้า และพระเจ้าทรง ส่งฟ้าร้องและฝนมาในวันนั้น ประชาชนก็เกรงกลัวพระเจ้าและ ซามูเอลยิ่งนัก 19 และประชาชนทั้งหลายเรียนซามูเอลว่า "ขอ ท่านอธิษฐานต่อพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านเผื่อผู้รับใช้ทั้ง หลายของท่าน เพื่อเราทั้งหลายจะไม่ถึงตาย เพราะเราได้ เพิ่มความชั่วนี้เข้ากับบาปทั้งสิ้นของเรา คือขอให้มีพระราชา สำหรับเราทั้งหลาย" 20 และซามูเอลกล่าวแก่ประชาชนว่า "อย่ากลัวเลย ท่านทั้งหลายได้กระทำความชั่วนี้ทั้งสิ้นจริงๆแล้ว แต่ท่านทั้งหลายอย่าหันไปเสียจากการติดตามพระเจ้า แต่จง ปรนนิบัติพระเจ้าด้วยสิ้นสุดใจของท่าน 21 และอย่าหันเหไปติด ตามสิ่งอนิจจังซึ่งไม่เป็นประโยชน์ หรือไม่ช่วยให้พ้นเพราะเป็น สิ่งอนิจจัง 22 เพราะพระเจ้าจะไม่ละทิ้งประชากรของพระองค์ ด้วยเห็นแก่พระนามใหญ่ยิ่งของพระองค์ เพราะพระเจ้าทรงพอ พระทัยแล้วที่จะกระทำให้ท่านเป็นประชากรของพระองค์ 23 ยิ่งกว่านั้นส่วนข้าพเจ้าขออย่าให้มีวี่แววที่ข้าพเจ้าจะกระทำบาป ต่อพระเจ้าด้วยการหยุดอธิษฐานเพื่อท่านทั้งหลาย แต่ข้าพเจ้า จะแนะนำทางที่ดีและที่ถูกให้ท่าน 24 จงยำเกรงพระเจ้าเท่านั้น ปรนนิบัติพระองค์ด้วยใจซื่อสัตย์สุจริต และด้วยสิ้นสุดใจของท่าน จงพิเคราะห์ถึงมหกิจซึ่งพระองค์ได้ทรงกระทำแก่ท่านแล้วนั้น 25 แต่ถ้าท่านทั้งหลายขืนกระทำความชั่วอยู่ ท่านจะต้องพินาศ ทั้งตัวท่านทั้งหลายเองและ พระราชาของ ท่านด้วย" (1 ซามูเอล 12:14-25)

ท้ายสุดนี้ ชนชาติอิสราเอลได้รับเลือกจากพระเจ้าให้เป็น "อาณาจักรปุโรหิต" (อพยพ 19:6) แต่การดำเนินในฐานะ"บุตรของพระเจ้า"เป็นไปได้ไม่นาน เพราะขาดการเชื่อ ฟัง (ดูอพยพ 4:23) ต่อมากษัตริย์ของอิสราเอลต้องดำเนินในฐานะ "บุตรของพระ เจ้า" ปกครองประเทศชาติ (ดู 2 ซามูเอล 7:14; สดุดี 2:4-9) แต่ที่สุดแล้ว มีเพียง "กษัตริย์" ที่สมบูรณ์แบบเพียงองค์เดียว "บุตรของพระเจ้า" ที่ทำให้เราหลุดพ้นจาก ความบาปและสามารถครอบครองร่วมกับพระองค์ (ยอห์น 1:12; โรม 8:14-25).

ซาอูลไม่เป็นเพียงภาพพจน์ของอิสราเอลเท่านั้น ท่านเป็นตัวอย่างของความวิบัติที่อาจ เกิดขึ้นกับเราๆทั้งหลายได้ คนที่ปรารถนาจะเรียนรู้น้ำพระทัยและตั้งใจทำตามจะมีความ เข้าใจเรื่องนี้ เพราะพระองค์จะเผยให้ทราบ (ดูยอห์น 7:17) แต่ถ้าเราดื้อดึงกบฎต่อ พระองค์ พระองค์จะไม่ทรงฟังคำอธิษฐานของเรา จะไม่ทรงเปิดเผยพระองค์ และน้ำ พระทัยให้ปรากฎ (พระองค์จะไม่ "โยนใขุ่มุกให้พวกหมู" ดูสดุดี 68:18; ยอห์น 2:23-25; มาระโก 4:20-25ด้วย) และบรรดาผู้ที่ต่อต้าน ไม่ยอมทำตามน้ำพระทัยและ พระคำของพระองค์ (ซึ่งยากที่จะแยกแยะออก) จะมองหาหลักคำสอนอื่นที่ดูคล้ายกับ หลักของ "คริสเตียน" แต่ไม่ใช่ มาทดแทน (ดู 2 ทิโมธี 3:1-13; 4:1-4).

ผมเชื่อว่า คนบางคนเป็นพวก "กู่ไม่กลับ" และบางครั้งพระเจ้าก็มาถึงจุดที่หยุดลงโทษ คนบาป แต่กลับทำให้ใจกลับแข็งกระด้างขึ้น เพราะเขาปฏิเสธไม่ยอมรับพระกิตติคุณ บางครั้งมนุษย์ก็มาถึงจุดที่เราเรียกว่า สายเกินแก้ บรรดาคนที่หลงงมงายอยู่ในความ บาปและปฏิเสธพระคุณ โดยคิดว่ายังไงๆพระเจ้าก็ทรงมี"พระเมตตา"อยู่เสมอนั้น ผมขอ บอกว่าคิดผิดครับ

1 ในเมื่อเราทำงานร่วมกับพระคริสต์แล้ว เราจึงขอ วิงวอนท่านว่า อย่าสักแต่รับพระคุณของพระเจ้าเท่า นั้น 2 เพราะพระองค์ตรัสว่า ในเวลาอันชอบเราได้ ฟังเจ้าในวันแห่งความรอดเราได้ช่วยเจ้า นี่แน่ะ บัดนี้เป็นเวลาอันชอบ นี่แน่ะ บัดนี้เป็นวันแห่งความ รอด (2 โครินธ์ 6:1-2)

ผมคิดว่าคริสเตียนบางคนที่อยู่ในความกบฎดื้อดึงวันหนึ่งจะมาถึงเมื่อ "สายเกินแก้" ไม่ได้หมายความว่าคนเช่นนี้จะสูญเสียความรอด แต่พวกเขาจะสูญเสีย "ความยินดี" ในความรอด พวกเขาอาจสูญเสียความมั่นใจในความรอด แน่นอนพวกเขาสูญเสียความ สัมพันธ์ที่ติดสนิทและการสามัคคีธรรมที่ควรมีกับพระคริสต์และคริสตจักรของพระองค์ อาจถึงสูญเสียชีวิตเช่นเดียวกับซาอูล (ดู 1 โครินธ์ 5:1-5; 1 ทิโมธี 1:18-20; 1 ยอห์น 5:13-17)

แม้ฟังดูไม่ค่อยดี ผมว่าเราทั้งหลายอาจเป็นเหมือนซาอูลอย่างที่เรานึกไม่ถึง เราทุก คนมี "ซาอูล" อยู่ในตัวเรา และนี่คือเหตุที่เราต้องติดสนิทกับพระคริสต์และพระวจนะ อยู่เสมอ นี่คือเหตุที่เราต้องอธิษฐานขอการเสริมกำลังเพื่อจะไม่ต้องตกอยู่ในการทด ลอง และนี่คือเหตุที่ทำให้เราต้อง "ไม่ละทิ้งการประชุม " และคำหนุนใจจากพี่น้อง คริสเตียน และต้องระมัดระวังไม่ให้ตกอยู่ในความบาปที่เรายังอยากฝ่าฝืนทำอยู่เรื่อยๆ (ฮีบรู 10:19-31).

เราเห็นแล้วว่าบทเรียนตอนนี้ไม่ใช่เป็นเรื่องนิทาน ซาอูลไม่ได้จบชีวิตลงอย่าง "แฮปปี้ เอ็นดิ้ง" เหมือนพระเอกในนิทาน เช่นเดียวกับคนที่ไม่เชื่อฟังพระเจ้า ให้เราตื่นขึ้นเถิด และถ่อมลงด้วยบทเรียนจากซาอูล ให้เรายอมรับในความอ่อนแอ และวางใจทั้งหมด ของเราไว้ในพระองค์


142 เมื่อย้อนรอยประวัติศาสตร์ในรัชสมัยของซาอูล เราจะเห็นว่ามีการเผชิญหน้ากับพวก ฟิลิสเตียตลอดพระธรรม 1 ซามูเอล ดังนั้นถ้าดูจากประสบการณ์เดิมจึงไม่น่าแปลกที่ครั้งนี้ ซาอูลจะรู้สึกแย่เอามากๆ ถึงแม้ซาอูลจะถูกตั้งให้เป็นกษัตริย์เพื่อช่วยกู้ชาวอิสราเอลจากพวก ฟิลิสเตีย (9:16) ชัยชนะของท่านไม่มีอะไรเด่นชัดหรือเด็ดขาดสักที ในบทที่ 13 โยนาธาน เป็นผู้เร่งเร้าให้เกิดสงครามใหญ่ระหว่างฟิลิสเตียและอิสราเอล โดยบุกไปโจมตีกองทหารที่ เกบาห์ (13:3) ซาอูลกลับไม่กล้า ดังนั้นคนที่ท่านรวบรวมมาต่อสู้จึงหลบหนีหายไปจนเกือบ หมด โยนาธานไปโจมตีฟิลิสเตียอีกครั้งและได้รับชัยชนะ เพราะพระเจ้าทรงบันดาลให้เกิดแผ่น ดินไหว (14:15) ในระหว่างการไล่ตามพวกฟิลิสเตียไป ผลจากการออกคำสั่งโง่ๆของซาอูล ทำ ให้้อิสราเอลไม่ชนะอย่างเด็ดขาดและโยนาธานเกือบต้องตาย ในขณะที่โยนาธานออกเดินหน้า ไปรบกับฟิลิสเตียนั้น ดาวิดก็เช่นกัน การที่ท่านเอาชนะโกลิอัทและพวกฟิลิสเตียได้นั้นทำให้ท่าน มีชื่อเสียงเกินหน้าซาอูล รวมแล้วก็คือซาอูลไม่เคยจัดการกับพวกฟิลิสเตียได้อย่างเด็ดขาด จึง ทำให้เข้าใจได้ว่าทำไมท่านจึงกลัวนักในครั้งนี้

143 ลองเปรียบเทียบกับดาวิดดู (ดู 1 ซามูเอล 22:10, 15).

144 ทำให้เราทราบว่าหญิงคนทรงนี้ "เห็น" ซามูเอล แต่ซาอูลไม่เห็น ไม่ยังงั้นนางคงไม่ต้อง อธิบายกับซาอูลถึงลักษณะของซามูเอล ถึงแม้ซาอูลจะได้พูดจากับซามูเอล แต่ไม่มีการบ่งชัด ว่าท่าน "เห็น" ตัวซามูเอล

145 น่าคิดนะครับว่าซาอูลไม่ต้องถามว่า "คนอื่น" นั้นคือใคร? ดาวิดหรือ?

146 จากหนังสือของ Dale Ralph Davis, Looking on the Heart: Expositions of the Book of 1 Samuel (Grand Rapids: Baker Books, 1994), vol. 2, pp. 147-157.

147 ผมใช้คำว่าเครื่องเผาบูชาเป็นคำเอกพจน์ในภาษาอังกฤษ เพราะซามูเอลมาถึงในขณะที่ ซาอูลกำลังเผาเครื่องถวายบูชา ไม่เช่นนั้นซาอูลคงเผาเครื่องถวายบูชาศานติต่อไปด้วย (ดู 13:9-10).

148 เป็นไปได้ที่ซามูเอลสั่งให้ซาอูลกำจัดพ่อมด หมอผี คนทรง ออกไปจากแผ่นดิน เหมือนกับ ที่สั่งให้กำจัดคนอามาเลขให้หมดสิ้น

149 เปรียบเทียบกับ อิสยาห์ 6; 29:10; เยเรมีย์ 21; เอเสเคียล 14, 20

Previous PageTable Of ContentsNext Page