Previous PageTable Of ContentsNext Page

บทที่ 23:
เรียนคุุณศิราณี
(1 ซามูเอล 25:1-44)

คำนำ

ถึงแม้จะเกิดขึ้นไม่บ่อยนัก เวลาที่ผมว่าผมกำลังทำในสิ่งที่ถูกต้อง แต่แล้วที่แย่ที่สุดคือ หลังจากนั้นไม่นานผมกลับทำสิ่งที่โง่เขลาและเป็นบาปแทน สิ่งเดียวที่ให้กำลังใจผมคือ (ไม่ใช่ข้อแก้ตัวนะครับ) ผมพบว่ามีหลายๆคนที่เคยอยู่ในสภาพจิตวิญญาณแบบเดียว กันมาก่อน ผมคิดถึง อ.เปโตรเป็นคนแรก (ใครจะไม่คิดเล่าครับ?) ท่านเป็นสาวกคนแรก ที่โพล่งตอบพระเยซูก่อนเพื่อนเมื่อพระองค์ถามว่า "แล้วพวกท่านเล่า ว่าเราเป็นใคร? " (มัทธิว 16:13-20) หลังจากที่พระองค์ชมเชยเปโตรได้ไม่นาน สองสามนาทีหลังจากนั้น พระองค์ทรงดุเปโตรว่า "อ้ายซาตานจงไปให้พ้น!" (ข้อ 23) เพราะ เขาพยายามพูด ขัดขวางไม่ให้พระองค์ไปสิ้นพระชนม์ที่บนกางเขน ต่อมาเปโตรรับรองกับพระเยซูอีกว่า ถึงแม้คนอื่นๆจะปฏิเสธ เขาจะยังจะซื่อสัตย์และติดตามพระองค์ไป (ลูกา 22:31-34) ห่าง กันเพียงแค่สองสามข้อและสองสามชั่วโมงต่อมา เปโตรก็ปฏิเสธพระองค์ ไม่ใช่แค่ครั้ง เดียว แต่ถึงสามครั้งทีเดียว (ลูกา 22:54-62).

ในพระคัมภีร์เดิม เราจะเห็นความเชื่อและการเชื่อฟังที่โลเลเอาแน่ไม่ได้ แม้กระทั่งจาก คนที่ได้รับการยกย่องเป็นอันมาก (หรือแม้ในสมัยนี้) อย่างดาวิด ใน1 ซามูเอลบทที่ 24 เราเห็นจุดสูงสุดในความเชื่อของดาวิด กษัตริย์ซาอูลแวะมาใช้ถ้ำเป็นห้องสำราญส่วน ตัว โดยหารู้ไม่ว่าชีวิตของท่านตกอยู่ในเงื้อมมือของดาวิดและลูกน้องที่หลบซ่อนอยู่ลึก เข้าไปในถ้ำ ดาวิดปฏิเสธที่จะยกมือของท่านขึ้นต่อสู้กับซาอูล และห้ามปรามคนของ ท่านไม่ให้กระทำด้วย ท่านเองยังเสียใจที่แอบไปตัดชายเสื้อคลุมของซาอูลไว้ ในที่สุด ท่านยอมเสี่ยงชีวิตโดยการแสดงตัวต่อซาอูลเพื่อจะบอกว่าท่านเป็นผู้รับใช้ของกษัตริย์ ที่สัตย์ซื่อเพียงใด ท่านไม่เคยคิดชั่วร้ายถึงแม้โอกาสจะอำนวยให้ก็ตาม

แต่พอบทต่อมา ดาวิดกลับบันดาลโทสะเพราะถูกคนโง่บางคนพูดจาดูหมิ่น ดาวิดไม่ เพียงแต่คิดจะฆ่าคนโง่คนนี้เท่านั้น แต่คิดจะฆ่าผู้ชายในบ้านหลังนั้นให้หมดทุกคน เป็นเพราะมีสตรีนางหนึ่งที่มีสติปัญญา เธอกล้าเสี่ยงชีวิตโดยการทำบางสิ่งที่ช่วยชีวิต สามีไว้ และช่วยไม่ให้ดาวิดกระทำการโง่เขลาเป็นการตอบโต้ ผมเชื่อว่าผู้เขียนพระ ธรรม 1 ซามูเอลไม่เพียงแต่มองว่านางอาบิกายิล ภรรยาของนาบาล เป็นเพียงสตรีที่ มีรูบโฉมและฉลาดเท่านั้น แต่เป็นแบบอย่างแห่งการยอมจำนนในวิถีของพระเจ้า การ ยอมจำนนของนางไม่ใช่เป็นแบบธรรมดา เราจึงต้องใส่ใจในเนื้อหาของบทเรียนนี้เป็น พิเศษ

ดาวิดสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่
(25:1)

1 ฝ่ายซามูเอลก็สิ้นชีวิตและคนอิสราเอลทั้งปวงก็ ประชุมกันไว้ทุกข์ให้ท่าน และเขาทั้งหลายก็ฝังศพ ท่าน ไว้ในบ้านของท่านที่รามาห์ และดาวิดก็ลุก ขึ้นไปยังถิ่นทุรกันดารปาราน 119

ซามูเอลเป็นบุคคลที่สำคัญค่อนข้างมากในพระธรรม 1 ซามูเอล จึงมีการใช้ชื่อของท่าน มาเป็นหนังสือพระธรรมเล่มนี้ ท่านเป็นผู้ทำการเลือกและเจิมตั้งซาอูลให้ขึ้นเป็นกษัตริย์ องค์แรกของอิสราเอล (บทที่ 9 และ 10) ท่านเองเป็นผู้เผยพระวจนะแก่ซาอูลว่าจะถูก ปลดออกจากการเป็นกษัตริย์ (บทที่ 13 และ 15) และท่านเองเป็นผู้เผยพระวจนะที่เจิม ตั้งดาวิดขึ้นมาแทนที่ซาอูล (บทที่ 16) ซามูเอลเป็นบุคคลที่ดาวิดหนีไปพึ่งเมื่อครั้งที่ ถูกซาอูลตามไล่ล่า (19:18-24) และเมื่อซามูเอลสิ้นชีวิตลง ดาวิดรู้สึกถึงความสูญเสีย ครั้งยิ่งใหญ่ ซามูเอลสิ้นชีวิตไปแล้ว เพื่อนรักโยนาธานก็กล่าวลาไป และคงไม่มีโอกาส ได้เจอกันอีก (บทที่ 23) มีคาลภรรยาของท่านผู้เป็นลูกสาวของซาอูล ก็ถูกยกให้เป็น ภรรยาผู้อื่น (25:44) นอกไปจากนี้ บิดามารดาของท่านก็ตกอยู่ในความดูและของ กษัตริย์โมอับ (22:3) ถึงแม้ดาวิดจะมีคนติดตามท่านอยู่ถึง 600 คนก็ตาม แต่ไม่มีสัก คนที่เข้าใจท่านเมื่อท่านต้องยอมกับกษัตริย์ซาอูล ท่านคงรู้สึกโดดเดี่ยวยิ่งนัก

ดาวิดและคนอิสราเอลอีกมากมายได้ไปที่รามาห์บ้านเกิดของซามูเอล เพื่อไปไว้อาลัย ให้กับผู้รับใช้ที่ยิ่งใหญ่ของพระเจ้า เมื่อการไว้อาลัยสิ้นสุดลง ดาวิดก็กลับเข้าสู่ที่กำบัง เข้มแข็งในถิ่นทุรกันดารปารานอีกครั้ง ถิ่นทุรกันดารปารานนั้นเคยเป็นที่ที่นางฮาการ์ และลูกชายอิชมาเอลไปอาศัยอยู่หลังจากถูกอับราฮัมและนางซาราห์ขับไล่ (ปฐมกาล 21:21) ที่นี่ยังเป็นสถานที่ที่ชาวอิสราเอลมาตั้งค่ายอยู่หลังจากอพยพออกจากภูเขา ซีนาย และยังเป็นที่ซึ่งมีการส่งสายสืบ 12 คนเข้าไปเพื่อสอดแนมดูแผ่นดินคานาอัน (กันดารวิถี 10:12; 13:3) และตอนนี้เป็นสถานที่ซึ่งดาวิดใช้หลบซ่อนตัว

เวลาตัดขนแกะและเวลาแห่งการแบ่งปัน
(25:2-8)

2 มีชายคนหนึ่งในมาโอนมีการงานอยู่ในคารเมล ชายผู้นั้นมั่งมีมาก มีแกะสามพันและแพะหนึ่งพัน เขาตัดขนแกะของเขาอยู่ที่คารเมล 3 ชายคนนั้นชื่อนาบาล และภรรยาของท่านชื่ออาบีกายิล สตรีคน นั้นมีความรอบคอบและหน้าตาสวยงามด้วย แต่ชายคนนั้นเป็นคน สามานย์และประพฤติตัวเลวทราม เป็นวงศ์วานของคาเลบ 4 ดาวิด อยู่ในถิ่นทุรกันดาร ทราบว่านาบาลกำลังตัดขนแกะของเขาอยู่ 5 ดาวิดจึงใช้ชายหนุ่มสิบคน และดาวิดสั่งชายหนุ่มเหล่านั้นว่า "จงขึ้น ไปที่คารเมลไปหานาบาล และคำนับเขาในนามของเรา 6 ท่านทั้ง หลายจงกล่าวคำคำนับเขาเช่นนี้ว่า 'สวัสดิภาพจงมีแก่ท่าน สวัสดิภาพ จงมีแก่ครอบครัวของท่าน และสวัสดิภาพจงมีแก่บรรดาสิ่งที่ท่านมี 7 ข้าพเจ้าได้ยินว่าท่านมีคนตัดขนแกะ ฝ่ายผู้เลี้ยงแกะของท่านนั้นอยู่กับเรา เรามิได้กระทำอันตรายเขาเลย และเขาก็มิได้ขาดอะไรไปตลอดเวลาที่ เขาอยู่ในคารเมล 8 ขอถามคนหนุ่มของท่านดูเถิด เขาทั้งหลายคงจะ บอกแก่ท่าน เพราะฉะนั้นขอให้คนหนุ่มของ ข้าพเจ้าได้รับความกรุณา ในสายตาของท่าน เพราะเรามาในวันมีการเลี้ยง ขอท่านได้ให้สิ่งที่มี ติดมือของท่านแก่พวกผู้รับใช้ของท่านและแก่ดาวิดบุตรของท่าน'"

มีการแนะนำคนสำคัญให้เรารู้จักเพิ่มในตอนนี้ถึงสองคนด้วยกัน คือผู้ชายชื่อนาบาล และภรรยาชื่ออาบิกายิล นาบาลมีฐานะมั่งคั่ง (ตามมาตรฐานในสมัยโน้น) เขาตั้งบ้าน เรือนอยู่ที่เมืองมาโอน และมีฝูงปศุสัตว์อยู่ที่เมืองคารเมลซึ่งอยู่ห่างออกไปสี่ห้ากิโล เมตร และที่ใกล้กับคารเมลนี้เองที่ดาวิดและคนของท่านหลบซ่อนตัวอยู่ คำว่านาบาล แปลว่าโง่ และเขาก็โง่จริงๆด้วย มีการบันทึกไว้ว่าเขาเป็นคนสามานย์และประพฤติชั่วช้า เลวทราม (ข้อ 3) แต่ภรรยานั้นตรงข้ามโดยสิ้นเชิง นางอาบิกายิลนั้นมีทั้งความสวย และความฉลาดที่สอดคล้องกันอย่างลงตัว

ดาวิดรู้มาว่านาบาลกำลังตัดขนแกะ และเมื่อการตัดขนสิ้นสุดลงจะมีงานเลี้ยงฉลอง ให้กับคนงานและผู้คนที่อยู่ในละแวกนั้น จำได้ไหมว่าในช่วงงานฉลองนี้เองที่ยูดาห์ ขึ้นไปที่ทิมนาท และทำให้ลูกสะใภ้ของตน ทามาร์ตั้งครรภ์ (ปฐมกาล 38:12-26) และ ในช่วงงานฉลองนี้เองที่อับซาโลมชักจูงดาวิดให้ส่งบรรดาโอรสไปร่วมฉลองที่บ้านของ เขา และหาโอกาสฆ่าอัมโนนเสียเพื่อแก้แค้น (2 ซามูเอล 13:23-29) เรารู้ดีว่าตาม ธรรมบัญญัติของโมเสสมีการสั่งให้คนอิสราเอลอย่าละเลยที่จะเลี้ยงดูคนที่ด้อยโอกาส ขัดสน (ดูเฉลยธรรมบัญญัติ 14:28-29; 26:10-13; เนหะมีย์ 8:10-12) ดังนั้นการที่ ดาวิดส่งคนไปขออาหารจากนาบาลจึงเป็นเรื่องที่ปกติธรรมดา และเนื่องด้วยดาวิดและ คนของท่านมีส่วนช่วยให้นาบาลมั่งคั่งและกินดีอยู่ดีนั้น การมาขอความกรุณาจึงดูสม เหตุสมผล

ดาิวิดส่งคนหนุ่มสิบคนให้ไปหานาบาล ทักทายและอำนวยพรทั้งเขาและครอบครัว ในนามของดาวิด พวกเขาขอร้องให้นาบาลนึกถึงเวลาของการตัดขนแกะ และพวกเขา ไม่เคยสร้างความเดือดร้อนอันใดให้ แต่กลับคอยดูแลอย่างดี คนของดาวิดไม่เคยทำ อันตรายใดๆกับคนงานของนาบาล และที่จริงกลับคอยช่วยเป็นหูเป็นตาระวังภัยให้กับ ฝูงสัตว์ของนาบาลด้วย ยังไงก็ลองสอบถามกับพวกคนงานดู ดังนั้นพวกเขาจึงมาขอ ความกรุณาจากนาบาลในเรื่องอาหารและข้าวของ และคอยคำตอบด้วยความคาดหวัง

นาบาลตอบแทนการดีด้วยการร้าย
(25:9-13)

9 เมื่อพวกคนหนุ่มของดาวิด มาถึงก็กล่าวคำเหล่านั้นแก่นาบาล ในนามของดาวิด และเขาทั้งหลายก็คอยอยู่ 10 และนาบาลตอบ คนรับใช้ของดาวิดว่า "ดาวิดคือผู้ใด บุตรของเจสซีคือผู้ใด สมัยนี้ มีคนใช้เป็นอันมากที่หนีไปจากนายของตน 11 ควรหรือที่ข้าจะนำ ขนมปังของข้า และน้ำของข้า และเนื้อของข้า ซึ่งข้าได้ฆ่าเสีย สำหรับคนตัดขน แกะของข้ามอบให้แก่คนซึ่งมาจากที่ไหนข้าก็ไม่รู้" 12 พวกคนหนุ่มของดาวิดก็หันกลับ และมาบอกเรื่องราวทั้งสิ้นนี้แก่ ดาวิด 13 และดาวิดสั่งคนของท่านว่า "ทุกคนจงเอาดาบคาดเอวไว้" และทุกคนก็เอาดาบคาดเอวของตน และดาวิดก็เอาดาบคาดเอวด้วย และมีคนติดตามดาวิดไปประมาณสี่ร้อยคน ส่วนอีกสองร้อยคนอยู่เฝ้า กองสัมภาระ

ในขณะที่คนของดาวิดรอคอยคำตอบหรือที่จริงรอของรางวัลจากนาบาลนั้น นาบาลมี ตัวเลือกหลายทาง (1) เขาอาจส่งคนเหล่านี้กลับไปพร้อมด้วยคำขอบคุณและของตอบ แทนมากมาย (2) เขาอาจส่งคนของดาวิดกลับไปพร้อมกับของฝากเล็กๆน้อยๆเพื่อ รักษาน้ำใจ (3) เขาอาจส่งคนของดาวิดกลับไปพร้อมด้วยคำขอโทษ (หรือคำขอบคุณ) แต่ไม่มีสิ่งใดตอบแทนให้ (4) เขาอาจส่งคนของดาวิดกลับไปโดยไม่ให้อะไร แถมพูด จาเยาะเย้ยถากถางตามไปด้วย และคนอย่างนาบาลก็เลือกตัวเลือกสุดท้าย

ถ้าฟังอย่างเผินๆจากคำพูดของนาบาลดูเหมือนเขาไม่รู้จักดาวิด ถ้าเป็นจริง นาบาลก็คง ไม่อยากให้ของกับคนแปลกหน้า แต่นาบาลรู้ว่าดาวิดเป็นใคร เพราะเขาพูดออกมาเอง ว่า "บุตรของเจสซี" ดังนั้นเขาจึงรู้ว่าดาวิดเป็นลูกหลานอยู่ของยูดาห์เช่นเดียวกับตน เอง นาบาลเป็นวงศ์วานของ "คาเลบ" (ข้อ 3) และเรารู้ว่าคาเลบเป็นผู้ที่มาจากเผ่า ยูดาห์ เป็นหนึ่งในสายสืบที่ถูกส่งไปสอดแนมในคานาอัน (กันดารวิถี 13:6) ที่จริงก็คือ ดาวิดเป็นญาติห่างๆของนาบาลนั่นเอง แต่นาบาลกลับเอาหูทวนลมเมื่อดาวิดส่งคนมา ขอของตอบแทนในช่วงงานฉลอง

นาบาลรู้ดีกว่านั้น เพราะว่าเขาไม่ได้รู้แต่เพียงว่าดาวิดเป็น "บุตรเจสซี" แต่กลับรู้ดีถึง ข้อพิพาทระหว่างซาอูลและดาวิด นาบาลพูดในทำนองว่าดาวิดนั้นเป็น "คนใช้ของ ซาอูล" ผู้ซึ่ง "หนีมาจากเจ้านายของตนเอง" นางอาบิกายิล ภรรยาของนาบาล รู้ดีว่าดาวิดได้รับการเลือกให้ขึ้นมาครองแทนซาอูล (ข้อ 30-31) แต่นาบาลกลับพูด แต่เพียงว่าดาวิดเป็นคนใช้ที่หนีมาจากเจ้านายของตนเอง คล้ายกับพวกทาสที่แอบ หลบหนี ผมไม่คิดว่านาบาลปฏิเสธคำขอของดาวิดเพราะกลัวอิทธิพลของซาอูลจาก เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับอาหิเมเลขและพวกปุโรหิต เมื่อพวกเขาให้ขนมปังและดาบของ โกลิอัทให้ไปกับดาวิด เพราะคำพูดของเขาไม่ได้บอกว่ากลัวอิทธิพลเลย แต่เป็นเพราะ ความเห็นแก่ตัวและใจดำมากกว่า เขาจะไม่มีวันแบ่งข้าวของที่เป็นของเขาให้กับดาวิด และพรรคพวกเป็นอันขาด (สังเกตุดูมีการใช้คำว่า "ของข้า" ในข้อ 11)

คำพูดประโยคสุดท้ายที่นาบาลพูดนั้นน่าสนใจ เขาบอกกับคนของดาวิดว่า "ควรหรือที่ข้าจะ นำขนมปังของข้า และน้ำของข้า และเนื้อของข้า ซึ่งข้าได้ฆ่าเสียสำหรับคนตัดขนแกะของข้า มอบให้แก่คนซึ่งมาจากที่ไหนข้าก็ไม่รู้ " (ข้อ 11) ถ้าผมเข้าใจคำพูดของนาบาลอย่างถูกต้อง เขากำลังแสดงอาการโอ้อวดและหยิ่งยโส นาบาลเป็น "ชาวคาเลบ" มาจากครอบครัวที่มีชื่อ เสียง ส่วนดาวิดและคนของท่านมาจากที่ใดไม่รู้หัวนอนปลายเท้า แล้วทำไมคนมีระดับอย่าง นาบาลถึงต้องไปใส่ใจกับพวกกระจอกด้วย ? ที่น่าขันคือ ทั้งดาวิดและนาบาลมาจากรากเดียว กัน คือยูดาห์ และถ้านาบาลคิดว่าเขาสามารถอวดได้ว่าเขาสืบสายโลหิตเดียวกันกับคาเลบ เขาก็ควรออกมาจากกะลาได้แล้ว เพราะเขาไม่มีอะไรดีเท่ากับบรรพบุรุษคาเลบของเขาเลย แต่ดาวิดต่างหาก ที่เป็นเหมือนกับวีรบุรุษในแบบคาเลบ

คนของดาวิดกลับไปมือเปล่า และนำคำพูดของนาบาลไปถ่ายทอดให้ดาวิดฟัง ดาวิด โกรธจน "ควบคุมตนเองไม่อยู่" "ทุกคนจงเอาดาบคาดเอวไว้ !" ดาวิดตะโกนสั่งลูก น้องพร้อมทั้งเอาดาบคาดเอวตนเองและมุ่งไปเพื่อหวังจะให้นาบาลจ่ายให้สาสม - คือ จ่ายด้วยชีวิต ทั้งชีวิตของนาบาลและผู้ชายครัวเรือนทั้งสิ้น 120 http://www.bible.org/docs/ot/books/1sa/deffin/ถ้าเป็นศัพท์สมัยใหม่ คงต้องพูดว่า ดาวิดทะลุ "จุดเดือด" ในข้อ 21 และ 22 ดาวิดยังพลุ่งพล่านอยู่โดยดูได้ จากคำพูดของท่าน :

21 ดาวิดกล่าวไว้แล้วว่า "ข้าได้เฝ้าทุกสิ่งที่คนนี้มีอยู่ใน ถิ่นทุรกันดารเสียเปล่า ไม่มีสิ่งใดของเขาขาดไปเลย และ เขายังกระทำความชั่วต่อข้าตอบแทนความดี 22 ถ้าถึง พรุ่งนี้เช้าข้ายังปล่อยให้ชายสักคนหนึ่งในบรรดาที่เขามี อยู่นั้นเหลืออยู่ ก็ขอพระเจ้าทรงลงโทษดาวิด และยิ่ง หนักกว่า"

ดาวิดโกรธเพราะการกระทำของท่านไม่ได้ตามที่คาดไว้ ท่านไม่ได้มองดูเรื่องนี้อย่าง "เจาะลึก" ลงไป จากมุมมองของท่าน ท่านคิดว่าท่านทำดีที่สุดแล้วกับนาบาล และถึง เวลาที่นาบาลควรตอบแทนด้วยความดีเช่นกัน แต่แทนที่จะอำนวยพรตอบแทนต่อ ดาวิดและคนของท่าน นาบาลกลับพูดจาเยาะเย้ยดูถูกและส่งกลับไปมือเปล่า ดาวิดจึง สรุปว่าการดีที่ท่านทำให้นั้นไร้ความหมาย และถ้านาบาลตอบแทนการดีด้วยความชั่ว จึงสมควรแล้วที่ท่านจะจัดการแบบตาต่อตาฟันต่อฟัน

เราควรจะหยุดชั่วครู่เพื่อนำทัศนคติและการกระทำของดาวิดมาทบทวนกันดู ผมขอรวบ รวมเหตุผลของดาวิดดังนี้

หลายคนคิดและให้เหตุผลแบบเดียวกันกับดาวิด แต่ผมขอบอกว่าดาวิดทำผิด ผิดมาก เสียด้วย ท่านผิดที่คิดว่าถ้าทำสิ่งดีแล้วสมควรจะได้รับการตอบแทนด้วยความเมตตา กรุณา ดาวิดทำการดีต่อซาอูล ; ท่านปรนนิบัติซาอูลด้วยความสัตย์ซื่อ ไม่เคยคิดทำร้าย ถึงแม้โอกาสจะอำนวย แต่ซาอูลกลับตอบแทนด้วยการชั่ว ไม่ใช่ด้วยการดีตามที่ท่าน สารภาพต่อดาวิด :

18 "เจ้าชอบธรรมยิ่งกว่าข้า เพราะเจ้าตอบแทนข้าด้วยความดี ในเมื่อข้าได้ตอบแทนเจ้าด้วยความร้าย 18 เจ้าได้ประกาศใน วันนี้แล้วว่า เจ้าได้กระทำความดีต่อข้าอย่างไร ในการที่เจ้า มิได้ประหารข้าเสีย ในเมื่อพระเจ้าทรงมอบข้าไว้ในมือของเจ้า แล้ว"
(1 ซามูเอล 24:17ข-18)

ดาวิดยอมรับต่อการกระทำที่ร้ายกาจของซาอูล แต่รับไม่ได้กับคำพูดถากถางของ นาบาล ทำไม ? ผมว่าผมพอมีคำตอบ แรกเลย ซาอูลนั้นอยู่ในฐานะที่สูงกว่าในเรื่อง ของอำนาจ ดาวิดเป็นเพียงผู้รับใช้ของซาอูล ท่านยอมรับการกระทำอันไร้ยุติธรรมของ ผู้ที่มีอำนาจเหนือกว่าได้ สอง ดาวิดรู้ดีว่าจะได้ขึ้นครองแทนที่ซาอูล ดาวิดทนต่อการ กระทำของซาอูลได้เพราะท่านรู้ดีว่าอีกไม่นานท่านจะได้ไปนั่งครองแทนที่

นาบาลไม่ได้มีอำนาจเหนือกว่าดาวิด และท่านไม่ชอบการกระทำของนาบาลด้วย นอกจากนั้นแล้ว ดาวิดไม่ได้กำลังดำเนินในความเชื่อเมื่อท่านคิดจะไปฆ่านาบาลและ ครัวเรือนของเขา ดาวิดต้องการ "โต้กลับ" ทันทีในสิ่งที่ท่านได้ "ลงแรงไป" ในการ ช่วยดูแลฝูงสัตว์ของนาบาล ท่านคาดหวังจะได้รับสิ่งตอบแทนจากนาบาล ตอนนี้ท่าน ลืมเรื่องบำเหน็จในสวรรค์เสียสนิท

พวกเรากี่คนกันที่ทำงานรับใช้ผู้อื่นโดยมีไม้บันทัดอยู่ในมือ ? เราพร้อมที่จะรักและรับใช้ ผู้อื่นด้วยความเสียสละ และด้วยความคาดหวังบางประการ เราคาดว่าความรัก การเสีย สละที่เราปรนนิบัติต่อผู้อื่นนั้นเราต้องได้รับอย่างเดียวกันกลับคืนมา แต่เมื่อเราทำการดี แล้วแต่กลับได้รับการชั่วตอบแทน เหมือนดาวิด เราเริ่มควันออกหูและมองหาหนทาง ที่จะเอาคืน เราลืมไปว่า เช่นเดียวกับพระเยซูคริสต์ คำพูดและการกระทำของเราอาจนำ มาซึ่งการถูกข่มเหงและทนทุกข์ มากกว่าจะได้รับการยอมรับและเห็นคุณค่า บำเหน็จใน สวรรค์ของเรานั้นยิ่งใหญ่ แต่อาจไม่มีผลดีใดๆตอบแทนบนโลกนี้ ให้เราระมัดระวังใน การทำหน้าของเราเหมือนทำถวายองค์พระผู้เป็นเจ้า มองดูที่พระองค์เป็นรางวัลตอบ แทน และไม่ใชไปคาดหวังเอากับคนที่เราทำดีด้วย ดาวิดคงเรียนรู้ว่าปัญหาของการทำ ตนเป็นผู้รับใช้คือทุกคนจะปฏิบัติต่อคุณเหมือนผู้รับใช้ การรับใช้เพื่อหวังจะได้เลื่อนตำ แหน่งนั้นเป็นเรื่องหนึ่ง ; แต่การรับใช้เพื่อจะถูกลดฐานะลงมานั้นแตกต่างโดยสิ้นเชิง

(ร้อง) เรียนคุณอาบิกายิล
(25:14-17)

14 แต่มีคนหนุ่มคนหนึ่งไปบอกนางอาบีกายิล ภรรยาของนาบาลว่า "ดูเถิด ดาวิดส่งผู้สื่อสารมาจากถิ่นทุรกันดาร เพื่อจะคำนับนายของ เราและนายกลับดุว่าคนเหล่านั้น 15 แต่คนเหล่านั้นเคยดีต่อเรามาก และเราไม่ต้องถูกทำร้ายอย่างใดเลย และไม่ขาดสิ่งไรตราบใดที่เรา ไปกับเขาเมื่อเราอยู่ในทุ่งนา 16 เขาเป็นเหมือนกำแพงของเราทั้ง กลางคืนและกลางวัน ตลอดเวลาที่เราเลี้ยงแกะอยู่กับเขา 17 บัดนี้ ขอท่านทราบเรื่องนี้และพิจารณา ว่าท่านควรจะกระทำประการใด เพราะเขาคงมุ่งร้ายต่อนายของเรา และต่อครัวเรือนทั้งสิ้นของนาย นายนั้นเป็นคนสามหาว ใครจะพูดด้วยก็ไม่ได้"

คนงานหนุ่มคนหนึ่งของนาบาลสังเกตุดูเหตุการณ์ระหว่างนาบาลและคนของดาวิด เขารู้ดีว่าดาวิดและพรรคพวกได้สร้างประโยชน์ให้กับนาบาลมากมาย และนาบาล ปรนนิบัติตอบอย่างไร เขารู้ด้วยว่าดาวิดกำลังมาแก้แค้น ถ้าไม่รีบแก้ใขโดยด่วน จะมีปัญหาใหญ่เกิดขึ้นแน่นอน หนุ่มคนนี้รู้ว่านาบาลเป็นคนโง่ที่ไม่ยอมฟังเหตุผล จึง ไม่มีประโยชน์ที่จะไปพูดกับนาบาล เขาจึงมาร้องเรียนกับนางอาบิกายิลแทนเพื่อให้ช่วย เหลือ ดูเหมือนว่าผู้รับใช้คนนี้จะเห็นศักยภาพและความเที่ยงตรงในตัวของนางอาบิ กายิลที่พอจะพึ่งพิงได้ เขาไม่ได้ให้คำแนะนำใดต่อนาง เพียงแต่เล่าความจริงให้ฟัง เพื่อให้นางรีบแก้ใขสถานการณ์ด้วยสติปัญญาของนาง

การตอบสนองของอาบิกายิลและปฏิกิริยาของดาวิด
(25:18-22)

18 แล้วนางอาบีกายิลก็รีบจัดขนมปังสองร้อยก้อน และเหล้าองุ่นสองถุง หนัง และแกะที่ทำเสร็จแล้วห้าตัว และข้าวคั่วห้าถัง และองุ่นแห้งร้อยช่อ และขนมมะเดื่อสองร้อยแผ่นบรรทุกหลังลา 19 นางก็สั่งชายหนุ่มของนาง ว่า "จงรีบไปก่อนเรา ดูเถิด เราจะตามเจ้าไป" แต่นางมิได้บอกนาบาลสามี ของนาง 20 เมื่อนางขี่ลาลงมา มีสันเขาบังฝ่ายนางอยู่ ดูเถิด ดาวิดกับคน ของท่านก็ลงมาทางนาง และนางก็พบเขาทั้งหลายเข้า 21 ดาวิดกล่าวไว้ แล้วว่า "ข้าได้เฝ้าทุกสิ่งที่คนนี้มีอยู่ในถิ่นทุรกันดารเสียเปล่า ไม่มีสิ่งใด ของเขาขาดไปเลย และเขายังกระทำความชั่วต่อข้าตอบแทนความดี 22 ถ้าถึงพรุ่งนี้เช้าข้ายังปล่อยให้ชายสักคน หนึ่งในบรรดาที่เขามีอยู่นั้นเหลือ อยู่ ก็ขอพระเจ้าทรงลงโทษดาวิด และยิ่งหนักกว่า"

เราต้องมาดูว่าอาบิกายิลทำการนี้โดยไม่ได้แจ้งหรือขออนุญาตจากสามี ที่นางไม่ถาม เพราะนางคงพอรู้คำตอบ นางไม่ได้บอกสามีว่านางจะทำอะไร เพราะถ้าบอกสามีก็คง สั่งห้ามคนใช้ เรามาดูกันว่าสิ่งที่นางอาบิกายิลทำนั้นเป็นแบบอย่างที่ดีของการยอม จำนนอย่างแท้จริง ถึงแม้ดูเผินๆอาจไม่ใช่ก็ตาม

สิ่งที่นางทำในทันทีคือจัดอาหารอย่างมากมายให้คนใช้รีบขนไปล่วงหน้า ตอนนี้ความ เร็วเป็นเรื่องสำคัญ ดาวิดกำลังเดินทางมาด้วยความตั้งใจที่จะฆ่าชายทุกคนที่พบในครัว เรือนของนาบาล รวมทั้งตัวนาบาลด้วย ดูเหมือนเสบียงอาหารจะถึงมือดาวิดก่อนนาง อาบิกายิล แม้ไม่มีการบันทึกไว้ก็ตาม เพียงแต่บอกว่าให้รีบส่งเสบียงไปล่วงหน้าเพื่อ ดาวิดจะได้รับทันเวลา

ผมอดไม่ได้ที่จะสงสัยว่านางอาบิกายิลจัดเสบียงอาหารตั้งมากมายขนาดนี้ได้รวดเร็ว อย่างไร ผมว่า ถ้าผมคิดไม่ผิด สถานการณ์นี้คงสนุกพอดู เรารู้ว่านางส่งขนมปังไป 200 ก้อน เหล้าองุ่นสองถุงหนัง แกะ 5 ตัวที่เตรียมแล้ว ยังแถมด้วยข้าวคั่ว องุ่นแห้ง และผล มะเดื่อ ในขณะที่นางอาบิกายิลออกจากบ้านไป นาบาลคงกำลังมีงานเลี้ยงฉลองอยู่ใน บ้าน น่าจะเป็นงานใหญ่พอๆกับในวังทีเดียว (ข้อ 36) ผมเชื่อว่าเสบียงอาหารที่อาบิ กายิลส่งให้ดาวิดนั้นมาจากที่นาบาลเตรียมไว้ใช้ในงานฉลอง คุณพอนึกภาพออกไหม ว่าพอนาบาลเข้าไปในครัวแล้วพบว่าอาหารที่เตรียมไว้หายไปเป็นจำนวนมาก เขาจะทำ อย่างไร ? หรือว่าเขามีมากพอจนแทบไม่รู้สึกว่าขาดอะไร

หลังจากส่งอาหารไปล่วงหน้าแล้ว อาบิกายิลก็ขี่ลาลงมาจากภูเขา สันเขาบัง ทำให้ ดาวิดและคนของท่านมองไม่เห็น ดาวิดก็เช่นกันกำลังลงมาจากที่สูง ท่านคงกำลัง โมโหเรื่องนาบาล และคงกำลังวางแผนว่าจะจัดการคนบ้าอำนาจนี้ด้วยวิธีใด โดยที่ ทั้งสองฝ่ายไม่ทันได้คาดคิด ทั้งดาวิดและอาบิกายิลมาเผชิญหน้ากันระหว่างทางพอดี

คำพูดฉลาดสามารถดับความโกรธ
(25:23-31)

23 เมื่อนางอาบีกายิลเห็นดาวิดนางก็รีบลงจากหลังลา ซบหน้าลง ต่อดาวิดกราบลงถึงดิน 24 นางกราบลงที่เท้าของดาวิดกล่าวว่า "เจ้านายของดิฉันเจ้าข้า ความผิดนั้นอยู่ที่ดิฉันแต่ผู้เดียว ขอให้ผู้รับ ใช้ของท่านได้พูดให้ท่านฟัง ขอท่านได้โปรดฟังเสียงผู้รับใช้ของท่าน 25 ขอเจ้านายของดิฉันอย่าได้เอาความกับนาบาลชายสามหาวคนนี้ เลย คือนาบาล เพราะเขาเป็นอย่างที่ชื่อของเขาบอก นาบาลเป็นชื่อ ของเขา และความโง่เขลาก็อยู่กับเขา แต่ดิฉันผู้รับใช้ของท่านหาได้ เห็นพวกคนหนุ่มของเจ้านายซึ่งท่านได้ใช้ไปนั้นไม่ 26 เหตุฉะนั้น เจ้านายของดิฉัน พระเจ้าทรงพระชนม์อยู่แน่ฉันใด และท่านมีชีวิตอยู่ แน่ฉันใด ด้วยว่าพระเจ้าทรงกระทำให้ท่านระงับเสียจากความผิดที่ทำ ให้โลหิตตก และจากการแก้แค้นด้วยมือของท่านเอง เพราะฉะนั้นขอ ให้ศัตรูของท่าน และบรรดาผู้ที่กระทำร้ายต่อเจ้านายของดิฉันจงเป็น อย่างนาบาล 27 สิ่งเหล่านี้ซึ่งผู้รับใช้ของท่านได้นำมาให้เจ้านายของ ดิฉัน ขอมอบแก่บรรดาคนหนุ่มซึ่งติดตามเจ้านายของดิฉัน 28 ได้โปรด อภัยความผิดของผู้รับใช้ของท่านเถิด เพราะพระเจ้าคงทรงกระทำให้ เจ้านายของดิฉันเป็นพงศ์พันธุ์ที่มั่นคง ด้วยว่าเจ้านายของดิฉันทำสงคราม อยู่ฝ่ายพระเจ้า ตราบใดที่ท่านมีชีวิตอยู่จะหาความชั่วที่ตัวท่านไม่ได้เลย 29 แม้มีคนลุกขึ้นไล่ตามท่านและแสวงชีวิตของท่าน ชีวิตของเจ้านาย ของดิฉันจะผูกมัดอยู่กับกลุ่มชีวิตซึ่งอยู่ในความพิทักษ์ของพระเยโฮวาห์ พระเจ้าของท่าน แต่ชีวิตศัตรูของท่านจะถูกเหวี่ยงออกไปดั่งออกไปจาก รังสลิง 30 และเมื่อพระเจ้าจะทรงกระทำแก่เจ้านายของดิฉันแล้วตาม บรรดาความดีซึ่งพระองค์ทรงลั่นวาจาเกี่ยวกับท่าน และทรงตั้งท่านไว้ เป็นเจ้านายเหนืออิสราเอล 31 เจ้านายของดิฉันจะไม่มีเหตุที่ต้องเศร้าใจ หรือระกำใจ เพราะได้กระทำให้โลหิตเขาตกด้วยไม่มีสาเหตุหรือ เพราะ เจ้านายของดิฉันทำการแก้แค้นเสียเอง และเมื่อพระเจ้าทรงกระทำความ ดีแก่เจ้านาย ของดิฉันแล้วก็ขอระลึกถึงผู้รับใช้ของท่านบ้าง"

ทันใดนั้นเส้นทางของอาบิกายิลและดาวิดก็มาบรรจบกัน อาบิกายิลรีบลงจากหลังลา และซบหน้าลงถึงดินกราบดาวิด (เหมือนกับที่ดาวิดกระทำต่อซาอูลในบทที่แล้ว) ทุก สิ่งที่อาบิกายิลพูดและทำแสดงให้เห็นถึงการยอมจำนนของนาง นางพูดว่านางเป็นผู้ รับใช้ของดาวิดถึงหกครั้งด้วยกัน และนางเรียกดาวิดว่า "เจ้านายของดิฉัน" ถึงสิบสี่ ครั้ง นางเริ่มด้วยการอ้อนวอนให้ดาวิดเห็นว่าความผิดทั้งหมดนั้นตกอยู่ที่นางผู้เดียว ผู้เดียวเท่านั้น ถ้าดาวิดต้องการแก้แค้นด้วยการฆ่านาบาลและผู้ชายในบ้านทั้งหมด นางขอให้เขามาลงโทษที่นางแทน งานนี้นอกจากนางจะช่วยชีวิตสามีไว้แล้ว แต่ยัง ช่วยชีวิตอื่นๆในครัวเรือนไว้ด้วย

ในการยอมตกเป็นแพะรับบาป อาบิกายิลอ้อนวอนให้ดาวิดฟังคำของนาง แน่นอนดาวิด นั้นต่างจากนาบาลคนผู้ไม่ยอมฟังใคร (ข้อ 17) เพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง ท่านจึง ยอมรับฟัง นางอาบิกายิลเริ่มด้วยการขอร้องไม่ให้ดาวิดเอาความกับนาบาล นางบอก กับดาวิดว่านางไม่ทราบเรื่องที่นาบาลทำกับดาวิด ขบวนลาขนเสบียงที่อยู่ใกล้ๆคงเป็น พยานอย่างดีในสิ่งที่นางพูด นางบอกกับดาวิดว่าสามีของนางนั้นโง่สมชื่อ เพราะชื่อ นาบาลนั้นแปลว่า "โง่"

สตรีผู้นี้เรียกสามีว่า "โง่" ได้อย่างไร ซ้ำยังได้รับการยอมรับและยกย่องอย่างชัดเจน ตามที่เราห็น ? คำตอบนั้นไม่ยาก สามีนางเป็นคนโง่จริงอย่างไม่มีข้อโต้แย้ง แม้กระทั่ง คนใช้ยังรู้ (ข้อ 17) แล้วยังคนอื่นๆอีกที่รู้จักเขาอีก มีเหตุผลดีบางประการที่อาบิกายิล เรียกสามีว่าเป็นคนโง่ เพราะอาจเป็นสิ่งที่ช่วยชีวิตเขาเอาไว้ คุณยังจำตอนที่ดาวิด หลบหนีซาอูลไปที่เมืองกัทได้ไหม ? เมืองที่เป็นบ้านเกิดของโกลิอัท แล้วท่านเริ่มรู้ตัว ว่าชีวิตกำลังตกอยู่ในอันตราย ดาวิดต้องแกล้งทำเป็นคนบ้า เพราะกษัตริย์อาจออก คำสั่งให้ฆ่าดาวิดอย่างง่ายๆถ้ารู้ว่าสติไม่ดี แต่พอกษัตริย์แน่ใจว่าดาวิดบ้าจริง แทนที่ จะฆ่า กลับไล่ให้ออกจากเมืองไป เพราะฆ่าคนบ้าไม่ก่อให้เกิดประโยชน์อันใด การ แกล้งทำบ้าช่วยรักษาชีวิตดาวิดไว้ การเรียกนาบาลว่าโง่ อาจช่วยชีวิตเขาไว้ก็ได้

ถ้าอาบิกายิลสามารถโน้มน้าวดาวิดว่าการฆ่านาบาลไม่เกิดประโยชน์อันใดสำเร็จ นางก็กำลังแสดงให้ดาวิดเห็นด้วยเช่นกันว่า การแก้แค้นรังแต่จะทำให้ดาวิดเสียหาย นางเริ่มชี้ให้ดาวิดเห็นว่าพระเจ้ายับยั้งดาวิดไม่ให้กระทำให้ผู้อื่นโลหิตตก และให้ท่าน เลิกจากการแก้แค้นด้วยมือของท่านเอง (ข้อ 26) นางพูดถึงเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้น หรือนางพูดถึงวิธีการที่พระเจ้ายับยั้งไม่ให้ดาวิดแก้แค้นซาอูลด้วยตัวของท่านเองในบท ที่แล้วหรือเปล่า ? ผมไม่แน่ใจในเรื่องนี้ แต่คำพูดของนางชี้ให้เห็นว่าเป็นพระหัตถ์ของ พระเจ้าที่อยู่ในเหตุการณ์ครั้งนี้ พระเจ้าเป็นผู้ยับยั้งดาวิดไม่ให้ทำให้ผู้อื่นโลหิตตก และ ยับยั้งการแก้แค้นด้วยน้ำมือของตนเอง นางแสดงความมั่นใจว่าถ้าดาวิดละการแก้แค้น ไว้ที่พระเจ้า พระองค์จะจัดการกับนาบาลเอง และกับทุกคนที่กระทำการชั่วต่อดาวิด

อาบิกายิลขอร้องให้ดาวิดรับเสบียงที่นางเตรียมมาและแบ่งปันให้คนของท่านด้วย นาง ยังขอให้ดาวิดยกโทษให้แก่นาง ซึ่งดูเหมือนว่านางเป็นผู้ทำความผิดแต่เพียงผู้เดียว และมาถึงตอนสำคัญ นางแค่คิดว่านาบาลสามีของนาง เมินเฉยปฏิเสธดาวิดว่าเป็นพวก ปัญหาหรือ ? เปล่าเลย อาบิกายิลรู้ดีกว่านั้น นางแสดงความมั่นใจว่าดาวิดจะได้ขึ้น ครองเป็นกษัตริย์อิสราเอลแน่ และพงศ์พันธ์ของท่านก็จะไม่มีวันสลาย 121 http://www.bible.org/docs/ot/books/1sa/deffin/ดาวิดทำ สงครามอยู่ฝ่ายพระเจ้า นางกล่าวว่า ด้วยเหตุนี้ ความชั่วจะไม่มีวันทำอันตรายท่านได้ ถ้าผู้ใดลุกขึ้นมาต่อต้านและแสวงชีวิตท่าน ควรจะรู้ไว้ว่าท่านนั้นมีค่ามากกับพระเจ้า หรืออีกความหมายก็คือ ชีวิตของศัตรูนั้นไร้ค่า พระเจ้าจะเหวี่ยงพวกศัตรูออกไปเหมือน กับเหวี่ยงออกจากรังสลิง 122

สำหรับอาบิกายิลไม่มีข้อสงสัย ดาวิดต้องขึ้นครองเป็นกษัตริย์แน่ คำสัญญาที่พระเจ้า ให้ไว้กับดาวิดจะสำเร็จลง พระเจ้าจะแต่งตั้งท่านให้ปกครองเหนืออิสราเอล (ข้อ 30) จะเป็นเรื่องน่าเศร้าและมืดมิดเพียงเพียงใดถ้าดาวิดขึ้นครองอาณาจักร หลังจากที่ท่าน ทำการแก้แค้นด้วยความหุนหันพลันแล่น และกระทำให้โลหิตไร้ความผิดตกด้วยมือของ ท่าน ธรรมบัญญัติของโมเสสในพระคัมภีร์เดิมพูดถึงหลักในการรักษาความยุติธรรมว่า : ตาแทนตา ฟันแทนฟัน (ดูอพยพ 21:24; เลวีนิติ 24:20; เฉลยธรรมบัญญัติ 19:21; ดูมัทธิว 5:38 ด้วย) นาบาลพูดดูหมิ่่นดาวิด นับเป็นความผิดของเขา แต่ผู้ชายที่เหลือ ในครัวเรือนไม่ได้ทำผิดประการใดต่อดาวิด เท่าที่เรารู้ การฆ่านาบาลและผู้ชายทั้งหมด ในครัวเรือนเพราะคิดว่าเป็นพวกเห็นแก่ตัวและดูถูกดาวิดนั้นก็เท่ากับเป็นการทำให้โล หิตไร้ความผิดตก ดังนั้นการลงโทษดูจะสาหัสกว่าการทำผิด

อาบิกายิลพูดอย่างมั่นใจว่าพระเจ้าจะกระทำการดีแก่ดาวิดตามที่พระองค์ตรัสไว้ และ ถ้าแผนการของพระเจ้านั้นดี แล้วเหตุใดดาวิดจึงต้องการทำชั่ว ? ทัศนคติและการ กระทำของดาวิดไม่ควรค้านกับพระคำและพระประสงค์ของพระเจ้า เพราะดาวิดเป็น ผู้ที่ทำตามน้ำพระทัยพระเจ้าอย่างที่สุด ท่านเองต้องรู้สึกเสียใจต่อสิ่งที่ท่านคิดจะทำ ท่านจะรู้สึกโศกเศร้าและฝังใจไปตลอดถ้าท่านลงมือทำ คราวก่อนท่านถูกจิตสำนึก โจมตีอย่างรุนแรงเมื่ออยู่ในถ้ำในบทที่ 24 ครั้งนี้กำลังจะเกิดขึ้นซ้ำอีก เหตุใดจึงไม่ หยุดเสียในทันที และละลายความโกรธให้หมดสิ้นไป ?

เราคงนึกสงสัยว่าอาบิกายิลเคยได้ยินเรื่องการเผชิญหน้าระหว่างซาอูลและดาวิดในถ้ำ มาก่อนหรือเปล่า ถ้าเคย นางได้ใช้ประโยชน์จากสิ่งที่นางรู้มา แต่ถ้าไม่เคย ก็แสดงว่า พระเจ้าใส่ถ้อยคำให้นางพูด เพื่อดาวิดจะได้หวนนึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ นางอาบิกายิลเพียงแต่ผลักดันให้ดาวิดกระทำตามหลักเกณฑ์และมาตรฐานเดิมของ ท่าน อย่างที่ท่านเคยกล่าวไว้ในบทที่ 24 นางหนุนใจให้ดาิวิดปฏิบัติกับนาบาลเหมือน ดังที่ท่านปฏิบัติต่อซาอูล ละการแก้แค้นไว้ที่พระเจ้า และไม่กระทำให้โลหิตไร้ความ ผิดตก

เมื่อดาวิดหวนนึกไปถึงเหตุการณ์ครั้งก่อน ท่านตระหนักว่านางอาบิกายิลจัดการกับ สถานการณ์นี้อย่างชาญฉลาด ท่านต้องจดจำเรื่องนี้ไว้ ผมเชื่อว่านางอาบิกายิลอาจ ไม่ตระหนักว่าทุกสิ่งที่นางพูด วันหนึ่งข้างหน้าพระเจ้าจะอวยพระพรนางโดยกำจัด นาบาลไปและให้นางได้เป็นภรรยาของดาวิด คำพูดของนางนั้นใกล้เคียงกับที่โยเซฟ พูดกับพนักงานน้ำองุ่นของฟาโรห์ในปฐมกาล 40:14-15

ยกย่องในสติปัญญา
(25:32-35)

32 ดาวิดจึงกล่าวแก่อาบีกายิลว่า "สาธุการแด่พระเยโฮวาห์พระเจ้า แห่งอิสราเอล ผู้ทรงใช้เจ้าให้มาพบเราในวันนี้ 33 ขอให้ความสุขุม ของเจ้ารับพระพร และขอให้ตัวเจ้าได้รับพระพร เพราะเจ้าได้ป้องกัน เราในวันนี้ให้พ้นจากความผิดที่ทำให้โลหิตตก และจากการแก้แค้น ด้วยมือของเราเอง 34 เพราะพระเยโฮวาห์พระเจ้าแห่งอิสราเอล ผู้ทรงระงับเราเสียจากการกระทำร้ายเจ้า ทรงพระชนม์อยู่แน่ฉันใด ถ้าเจ้ามิได้รีบมาพบเราเสีย ถึงพรุ่งนี้เช้าคงไม่มีเหลือแก่นาบาลแม้ แต่เพียงชายสักคนหนึ่งเป็นแน่" 35 แล้วดาวิดก็รับบรรดาสิ่งที่นางนำ มาจากมือของนาง และดาวิดกล่าวแก่นางว่า "จงกลับไปยังบ้านเรือน ของเจ้าด้วยสวัสดิภาพเถิด ดูซิเราได้ฟังเสียงของเจ้าแล้ว และเราก็ได้ อนุโลมตามคำขอร้องของเจ้า"

คำพูดของอาบิกายิลนั้นเป็นความจริง สิ่ีงที่นางยกมาอ้างนั้นเป็นเรื่องเดียวกับที่พระเจ้า เคยสอนดาวิดไว้ทั้งสิ้น ดาวิดรู้ว่านางพูดถูก และท่านยอมรับโดยการยกย่องนางต่อ หน้าคนของท่าน ดาวิดตระหนักว่าพระเจ้าส่งนางมาช่วยท่าน จากคำพูดและการกระทำ ของนาง พระเจ้าได้ยับยั้งท่านจากการแก้แค้นนาบาล และการทำบาปที่ทำให้โลหิต ไร้ความผิดตก ถ้านางไม่ได้รีบลงมือแก้ใข ดาวิดคงจะทำจนสำเร็จตามแผน นางได้ ช่วยท่านให้พ้นจากความเขลาและความผิด ในขณะเดียวกันก็ช่วยรักษาชีวิตสามีและ คนในครัว เรือนของนาง ยอมตาที่นางขอ ดาวิดรับเสบียงที่นางจัดมาให้ และส่งนาง กลับบ้านโดยสวัสดิภาพ

นาบาลในพระหัตถ์พระเจ้า
(25:36-38)

36 และอาบีกายิลก็กลับไปหานาบาล และนี่แน่ะ เขากำลังมีการเลี้ยง ใหญ่ในบ้านของเขาอย่างการเลี้ยงของพระราชา และจิตใจของนาบาล ก็ร่าเริงอยู่ เพราะเขามึนเมามาก นางจึงมิได้บอกอะไรให้เขาทราบจน เวลารุ่งเช้า 37 และในเวลาเช้า เมื่อเหล้าองุ่นสร่างจากนาบาลไปแล้ว ภรรยาของเขาก็เล่าเหตุการณ์เหล่านี้ให้ฟัง และจิตใจของเขาก็ตายเสีย ภายใน และเขากลายเป็นดังก้อนหิน 38 อยู่มาอีกประมาณสิบวันพระเจ้า ทรงประหารนาบาลและท่านก็สิ้นชีวิต

โดยไม่สำเหนียกถึงการกระทำที่โง่เขลาของตัว นาบาลไม่รู้หรอกว่าความตายนั้นอยู่ ไกล้แค่เอื้อม เขายังมีงานเลี้ยงใหญ่ในบ้าน เหมือนงานเลี้ยงของพระราชา เมื่ออาบิกา ยิลกลับเข้ามา นาบาลมีจิตใจเบิกบาน ซึ่งน่าจะเป็นเพราะความเมา นางอาบิกายิล ฉลาดพอที่จะไม่เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้สามีฟังในทันที แต่พอรุ่งเช้า เมื่อนาบาลสร่างเมา ตื่นขึ้น อาบิกายิลจึงเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวานให้ฟัง นาบาลหน้าถอดสี และเริ่มเข้าใจ แล้วว่าความโง่ของเขาก่อให้เกิดสิ่งใดขึ้น เขาตกใจจนกระดิกกระเดี้ยไม่ได้ ในพระ คัมภีร์กล่าวว่า "จิตใจของเขาก็ตายเสียภายใน และเขากลายเป็น ดังก้อนหิน" ซึ่งก็น่าจะแปลได้ว่าเขาคงหัวใจวายจนเป็นอัมพาตไป สิบวันต่อมาเขาก็ถูกพระเจ้า ประหาร เป็นการดีเพียงใดที่ชายคนนี้ตายด้วยพระหัตถ์พระเจ้า และไม่ใช่ด้วยฝีมือของ ดาวิด

รางวัลของดาวิดและอาบิกายิล
(25:39-44)

39 เมื่อดาวิดได้ยินว่านาบาลสิ้นชีวิตแล้ว ท่านจึงว่า "สาธุการแด่พระเจ้า ผู้ทรงแก้แค้นการเหยียดหยามที่ข้าพระองค์ได้รับจากมือของนาบาลและ ทรงป้องกันผู้รับใช้ของพระองค์ไม่ให้ทำความชั่ว พระเจ้าทรงตอบแทน การกระทำชั่วของนาบาลให้ตกบนศีรษะของเขาเอง" แล้วดาวิดก็ส่งคน ไปสู่ขออาบีกายิลให้มาเป็นภรรยาของท่าน 40 และเมื่อผู้รับใช้ของดาวิด มาถึงอาบีกายิลที่คารเมล เขาทั้งหลายก็พูดกับนางว่า "ดาวิดได้ให้เรา ทั้งหลายมานำเธอไปให้เป็นภรรยาของท่าน" 41 และนางก็ลุกขึ้นซบหน้า ลงถึงดินกล่าวว่า "ดูเถิด ผู้รับใช้ของท่านเป็นผู้รับใช้ที่จะล้าง เท้าให้ แก่ผู้รับใช้แห่งเจ้านายของดิฉัน" 42 อาบีกายิลก็รีบลุกขึ้นขี่ลาตัวหนึ่ง พร้อมกับสาวใช้ปรนนิบัติเธออีกห้าคน นางตามผู้สื่อข่าวของดาวิดไป และได้เป็นภรรยาของดาวิด 43 ดาวิดยังได้รับนางอาหิโนอัม ชาวยิสเร เอลมาด้วย และทั้งสองก็เป็นภรรยาของท่าน 44 ซาอูลได้ทรงยกมีคาล ราชธิดาของพระองค์ ผู้เป็นภรรยาของดาวิด ให้แก่ปัลทีบุตรลาอิชชาว กัลลิมแล้ว

ข่าวเรื่องการตายของนาบาลรู้ไปถึงหูของดาวิด ดาวิดทั้งประหลาดใจและขอบพระคุณ ท่านสรรเสริญพระเจ้าที่ทรงรับฟังคำร้องทูลเรื่องนาบาล ท่านยอมรับว่าพระเจ้าเป็นผู้ ป้องกันท่านไม่ให้ทำชั่ว ท่านเข้าใจแล้วว่าเป็นการดีที่จะละความแค้นไว้ที่พระเจ้า พระ องค์ทรงเป็นผู้กำจัดนาบาล ไม่ใช่ดาวิด นี่คือวิธีที่ถูกต้อง ทั้งนี้เป็นเพราะสติปัญญา ที่ฉลาดของสตรีที่ชื่ออาบิกายิล

ผู้รับใช้ของดาวิดมาที่บ้านของนางอาบิกายิล พวกเขามาแจ้งแก่นาง ไม่เชิงว่าเป็นการ ขอแต่งงาน แต่เป็นเหมือนเรียกให้มา : "ดาวิดได้ให้เราทั้งหลายมานำเธอไปให้ เป็นภรรยาของท่าน" สตรีผู้นี้ไม่ต้องรอให้พูดซ้ำสอง นางซบหน้าลงถึงดินรับข้อเสนอ ด้วยความถ่อมใจ นางไม่ได้คาดหวังว่าจะเป็นราชินีของดาวิด เป็นแต่เพียงผู้รับใช้ผู้ยิน ดีจะล้างเท้าให้กับผู้รับใช้ของดาวิด นางลุกขึ้น ติดตามคนของดาวิดไปพร้อมด้วยสาว ใช้อีกห้าคน และได้ไปเป็นภรรยาของดาวิด

ข้อพระคำตอนสุดท้ายในบทนี้กล่าวว่าอาบิกายิลเป็นภรรยาคนที่สองของดาวิด ท่านมี นางอาหิโนอัมคนยิสเรเอลเป็นภรรยาอยู่ก่อน มีคาลเคยเป็นภรรยาท่าน แต่เมื่อท่าน ต้องหลบหนีซาอูล ซาอูลนำนางไปมอบให้กับปัลทีบุตรลาอิชชาวกัลลิมแทน

บทสรุป

บุคคลสำคัญหลายคนในบทนี้มีบางสิ่งบางอย่างสอนเรา ให้เรามาสรุปด้วยการเรียนจาก นางอาบีกายิล จากนาบาล และจากดาวิดเอง

บทที่ 25 ของพระธรรม 1 ซามูเอล ดูจะเริ่มต้นและจบลงด้วยเหตุการณ์ที่ไม่เกี่ยวข้อง กันนัก ข้อ 1 พูดเรื่องการตายของซามูเอล ข้อ 43 และ 44 พูดถึงเรื่องดาวิดมีภรรยา คนที่สอง คนแรกของท่าน (มีคาล) ถูกยกให้คนอื่นไป ผมไม่คิดว่าเป็นเรื่องบังเอิญ ผมเชื่อว่าผู้เขียนมีจุดประสงค์บางอย่าง ดาวิดสูญเสียคนสำคัญในชีวิตของท่านไปถึง สองคน ซามูเอลผู้เผยพระวจนะ ซึ่งเป็นผู้เจิมตั้งท่านและเป็นผู้ที่ท่านไปขอพึ่งพิงเมื่อ ถูกซาอูลไล่ล่า (ดู 19:18-24) เราไม่รู้เรื่องของอาหิโนอัมภรรยาคนแรกมากนัก รู้แต่ เพียงว่าเป็นคนยิสเรเอล และเป็นมารดาของอัมโนน (2 ซามูเอล 3:2) บุตรชายที่ข่มขืน ทามาร์น้องสาวของตนเอง (2 ซามูเอล 13) ส่วนมีคาลเป็นบุตรสาวคนที่สองที่ซาอูล เสนอยกให้เป็นภรรยาของดาวิด (1 ซามูเอล 18) ดูเหมือนว่าทั้งสองจะรักกัน อย่าง น้อยก็ในช่วงแรก (18:20-29) การที่นางถูกยกให้ไปเป็นภรรยาคนอื่น คงเป็นเรื่องที่ ทารุณจิตใจดาวิดเป็นอย่างมาก

ผมขอสรุปว่า ตลอดเหตุการณ์ที่ต่อเนื่องมาในบทที่ 25 พระเจ้าทรงจัดเตรียมผู้ช่วยที่มี สติปัญญาให้กับดาวิด พระองค์ทรงชดเชยที่ท่านต้องสูญเสียซามูเอลและมีคาลไป คำ พูดของนางอาบีกายิลทำให้ดาวิดระลึกถึงคำพยากรณ์ที่ซามูเอลเคยกล่าวไว้ ความ ฉลาดของอาบิกายิลช่วยให้นางสามารถเป็นคู่คิดและที่ปรึกษาที่ ใกล้ชิดที่สุดให้กับ สามีได้ ความงามของนางจะช่วยปลอบประโลมให้ดาวิดลืมมีคาลไปได้ ถ้าเราจะสลับ คำพูดในพระคัมภีร์ "พระเจ้าทรงเอาไปเสีย และพระเจ้าประทาน" (ดูจาก โยบ 1:21) การจัดเตรียมของพระเจ้านั้นประเสริฐยิ่งนัก พระองค์ทรงจัดการกับนาบาลเอง ซึ่งแน่ นอนดีกว่าที่ดาวิดคิดจะทำ และพระองค์ทรงประทานภรรยาม่ายของนาบาลให้ดาวิด ซึ่งเป็นสตรีที่ดาวิดทั้งรักและนับถือ พระเจ้าจะจัดเตรียมอย่างสัตย์ซื่อให้กับความ จำเป็นของเรา พระองค์ทรงทราบถึงความต้องการของเราทั้งสิ้น

อาบิกายิลเป็นการสำแดง (จะเรียกว่าเป็นแบบอย่างก็ได้) ในการจัดเตรียมความรอด ของพระเจ้าให้กับมนุษย์ ด้วยความเขลาของนาบาล บ้านทั้งหลังของอาบิกายิลตก อยู่ในอันตราย ผู้ชายทุกคนเกือบต้องตาย ถ้านางไม่คิดแก้ใขทั้งหมดคงต้องตายลง ด้วยฝีมือของดาวิด ด้วยความฉลาดและความถ่อม อาบิกายิลก้าวออกไปเสนอตัวยอม รับโทษทั้งสิ้นแทน (ดูข้อ 24) นี่เป็นภาพแทนบางเรื่องใช่หรือไม่ ?เป็นภาพสะท้อน ของพระเยซูคริสต์ เพราะบาปของอาดัมและของเรา ทุกคนต้องพินาศ และความพินาศ ก็ใกล้เข้ามา แต่องค์พระเยซูคริสต์ (ผู้ทรงบริสุทธิ์และปราศจากบาป) ก้าวออกมา ยอม รับโทษทัณฑ์แทนเรา พระองค์เสนอแทนที่เราโดยยอมสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน รับ การลงโทษแทนความบาปทั้งสิ้นของเรา และด้วยความเชื่อในพระองค์ เราสามารถเข้า สู่ชีวิตนิรันดร์ และในพระองค์เราจะเป็นดังเจ้าสาวของพระคริสต์

นอกจากนี้ อาบิกายิลยังเป็นตัวแทนของการยอมจำนนที่แท้จริง แน่นอนคุณคงต้องรู้สึก ประหลาดใจ ผู้หญิงที่กระทำการโดยไม่ปรึกษาสามี ทำสิ่งที่ค้านกับความต้องการและ คำสั่งของสามี แถมยังกล่าวว่าสามีเป็นคนโง่อีก จะเรียกว่าเป็นแบบอย่างของภรรยาที่ เชื่อฟังสามีได้อย่างไร ? ผมอยากจะแนะนำว่าสิ่งที่อาบิกายิลทำเป็นการแสดงแต่ภาย นอกเท่านั้น แน่นอนนางทำในสิ่งที่ค้านกับสามี สิ่งที่สามีปฏิเสธไม่ทำเป็นสิ่งที่นางกลับ กระทำ แต่ภายในจิตใจ นางเป็นผู้ที่ยอมเชื่อฟังอย่างแท้จริง การยอมทำตามโดยไม่ลืม หูลืมตา หรือยอมทำตามคำสั่งของผู้ที่มีอำนาจเหนือกว่าไม่เรียกว่าเป็นการเชื่อฟังที่ถูก ต้อง การเชื่อฟังที่ถูกต้องคือการกระทำที่ก่อให้เกิดประโยชน์กับผู้อื่น โดยยอมสละ ความชอบใจของเรา การเชื่อฟังที่แท้จริงมีอธิบายอยู่ในพระธรรมฟิลิปปีบทที่ 2 :

1 เหตุฉะนั้นถ้าชีวิตในพระคริสต์อำนวยการเร้าใจประการใด ถ้ามีการ หนุนใจประการใดในความรัก ถ้ามีส่วนประการใดกับพระวิญญาณ ถ้ามี การรักใคร่เอ็นดูและเห็นอกเห็นใจประการใด 2 ก็ขอให้ท่านทำให้ความ ยินดีของข้าพเจ้าเต็มเปี่ยมด้วยการมีความคิดอย่างเดียวกัน มีความรัก อย่างเดียวกัน มีใจรู้สึกและคิดพร้อมเพรียงกัน 3 อย่าทำสิ่งใดในทางชิง ดีกันหรือถือดี แต่จงมีใจถ่อมถือว่าคนอื่นดีกว่าตัว 4 อย่าให้ต่างคนต่าง เห็นแก่ประโยชน์ของตนฝ่ายเดียว แต่จงเห็นแก่ประโยชน์ของคนอื่นๆด้วย 5 ท่านจงมีน้ำใจต่อกันเหมือนอย่างที่มีในพระเยซูคริสต์ 6 ผู้ทรงสภาพ ของพระเจ้า แต่มิได้ทรงถือว่าการเท่าเทียมกับพระเจ้านั้นเป็นสิ่งที่จะต้อง ยึดถือ 7 แต่ได้กลับทรงสละ และทรงรับสภาพทาส ทรงถือกำเนิดเป็นมนุษย์ 8 และเมื่อทรงปรากฏพระองค์ในสภาพมนุษย์แล้ว พระองค์ก็ทรงถ่อมพระองค์ ลงยอมเชื่อฟังจนถึงความมรณา กระทั่งความมรณาที่กางเขน
(ฟิลิปปี 2:1-8)

อาบิกายิลไม่ได้กระทำเพราะเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัว นางคงจะเป็นภรรยาที่สมบูรณ์ แบบ ถ้าทำทุกสิ่งตามที่นาบาลต้องการ นางเพียงแต่อยู่บ้านคอยผสมเครื่องดื่มให้สามี ดาวิดคงจะเป็นผู้ "ปลดปล่อย" นางให้เป็นอิสระ เมื่อสามีที่โง่เขลาของนางถูกฆ่าตาย นางก็จะหลุดพ้นจากการถูกกดขี่ แต่อาบิกายิลเป็นผู้ที่ยอมกับสามีจริงๆโดยการช่วย ชีวิตเขาไว้ (และชีวิตของผู้ชายทุกคนในบ้าน) เพื่อจะช่วยชีวิตพวกเขานางยอมเอาชีวิต ของนางเข้าแลก นางออกไปตามลำพัง ไปพบผู้ที่กำลังจะมาฆ่าสามีและชายทุกคนใน บ้าน เมื่อนางเผชิญหน้ากับดาวิด นางขอให้ท่านเอาความโกรธและโทษทั้งสิ้นให้ตกอยู่ ที่นางผู้เดียว ผู้เดียวเท่านั้น การยอมของนางคือการทำในสิ่งที่เกิดผลดีแก่สามี โดย นางจะเป็นผู้จ่ายราคาด้วยตนเอง การไม่ทำสิ่งใดเลย (แต่ดูเหมือนเป็นผู้ยอมเชื่อฟัง) จะเกิดผลดีกับนางแทนโดยมีสามีเป็นผู้จ่ายราคา

ผมต้องระมัดระวังในสิ่งที่ผมกำลังจะพูด และในสิ่งที่คุณกำลังคิด ส่วนมากการยอมเชื่อ ฟังแสดงให้เห็นได้โดยการทำตามทุกสิ่งที่ผู้มีอำนาจเหนือกว่าสั่ง ส่วนมากการยอมเชื่อ ฟังแสดงให้เห็นโดยเราพยายามทำในสิ่งที่ทำให้ผู้บังคับบัญชาของเราได้รับเกียรติ แต่ บางครั้งการยอมเชื่อฟังของเราแสดงออกในแบบที่ต่างออกไป บางครั้งเราต้องทำใน สิ่งที่ขัดกับความต้องการของผู้ที่เหนือกว่า แต่จะเกิดเฉพาะในกรณีที่ขัดและค้านกับ น้ำพระทัยของพระเจ้าอย่างชัดเจน และเป็นการกระทำที่เราต้องเปลืองตัวเพื่อผลดีจะ ตกอยู่กับผู้อื่น

ผมอยากจะบอกว่าการยอมเชื่อฟังในแบบนี้ – แบบของอาบิกายิล – เป็นกรณียกเว้น ไม่ใช่กฎตายตัว ถึงกระนั้นก็ดี มีบางครั้งที่เราพยายามปลอบใจตนเองโดย "ประนีประ นอม" ทำในสิ่งที่ผิดโดยอ้างว่าเรากำลังยอมเชื่อฟัง การยอมเชื่อฟังในแบบของพระ เจ้าคือการยอมเชื่อฟังพระองค์ก่อน รองลงมาคือยอมเชื่อฟังมนุษย์ในแนวทางของ พระเจ้า การยอมเชื่อฟังในแบบของพระเจ้าคือการกระทำในสิ่งที่เกิดประโยชน์แก่ผู้ อื่นมากกว่าประโยชน์ของตนเอง บางครั้งการยอมเชื่อฟังพระเจ้าทำให้เราต้องทำใน สิ่งที่ค้านกับความต้องการของผู้ที่มีอำนาจเหนือกว่า ผมไม่ได้พูดเพื่อทำให้คุณทิ้งกฎ เกณฑ์เดิมที่เคยยึดถือมา เพียงแต่อยากให้เพิ่มเข้าไป ขอให้เราทุกคนระมัดระวังที่จะ ไม่นำสิ่งนี้มาเป็นข้ออ้างเพื่อจะกระทำบาป

สุดท้ายนี้ ให้เราเรียนรู้้จากอาบิกายิลว่าการยอมเชื่อฟังเป็นการกระทำที่เราสามารถนำ มาใช้ขัดเกลาแก้ใขข้อบกพร่องของผู้เชื่อคนอื่นได้ คุณสังเกตุเห็นหรือไม่ว่าอาบิกายิล ไม่พยายามแก้ใขนาบาลในเหตุการณ์ครั้งนี้ ? ผมเข้าใจว่าน่าจะเป็นเพราะนางคงอาจ เคยใช้เหตุผลโต้แย้งมาก่อน และเรียนรู้ว่าไม่มีประโยชน์อะไรที่จะไปแก้ใขคนโง่อย่าง นาบาล คนรับใช้ในบ้านเองคงทราบดีจากคำพูดของเขา แต่ผมอยากจะชี้ให้เห็นว่า อาบิกายิลไม่เพียงแต่ยอมเชื่อฟังสามีเท่านั้น นางยังยอมกับผู้ที่จะเป็นกษัตริย์ใน อนาคต ถ้านางอาบิกายิลยอมกับพระเจ้า แล้วนางจะไม่ยอมให้กับดาืวิดในฐานะ กษัตริย์องค์ต่อไปหรือ ? เนื้อหาในพระธรรมตอนนี้ทำให้เราเห็นชัดเจนว่าอาบิกายิล ใช้ท่าทีที่ถ่อมและยอมจำนนที่สุดถือโอกาสแก้ใขขัดเกลาดาวิดในขณะที่ท่านคิดจะทำ สิ่งโง่เขลาเพราะความโกรธ ท่าทีและคำพูดที่ยอมจำนนของนางทำให้ดาวิดตั้งสติได้

การเป็นผู้อยู่ใต้บังคับบัญชา (โดยเฉพาะกับผู้เชื่อด้วยกัน) ไม่ไช่ข้อแก้ตัวที่เราจะทำ เป็นมองไม่เห็น เมื่อผู้นั้นกำลังทำในสิ่งที่ขัดกับพระประสงค์และพระวจนะคำ หลายครั้ง ที่ผมได้ยินคำปฏิเสธไม่ยอมไปกล่าวตำหนิผู้ใหญ่ เพราะคิดว่าตนเองเป็นเพียงผู้น้อย ผมขอแนะนำว่า จากพระธรรมตอนนี้ ทัศนคติและท่าทีถ่อมใจของเราในฐานะผู้อยู่ใต้ บังคับบัญชาจะเป็นสิ่งที่ใช้ขัดเกลาแก้ใขข้อบกพร่องของผู้อื่นได้ เมื่อเราพยายามที่ จะแก้ใขจาก "ที่สูงลงมา" ท่าทีความถ่อมใจและยำเกรงพระเจ้าที่เราต้องสำแดงนั้นยาก ยิ่งกว่า แต่ขอให้เรามีสำนึกรับผิดชอบที่จะแก้ใขตักเตือนเพื่อเห็นแก่ประโยชน์ของเขา โดยเฉพาะผู้ที่มีอำนาจเหนือกว่า และขอให้เป็นด้วยท่าทีถ่อมใจและยอมกับผู้นั้นด้วย ใจจริง

1 ดูก่อนพี่น้องทั้งหลาย แม้จับผู้ใดที่ละเมิดประการใดได้ ท่านซึ่ง อยู่ฝ่ายพระวิญญาณ จงช่วยผู้นั้นด้วยใจอ่อนสุภาพให้เขากลับตั้ง ตัวใหม่ โดยคิดถึงตัวเอง เกรงว่าท่านจะถูกชักจูงให้หลงไปด้วย 2 จงช่วยรับภาระของกันและกัน ท่านจึงจะได้ปฏิบัติตามพระบัญญัติ ของพระคริสต์ 3 เพราะว่าถ้าผู้ใดถือตัวว่าเป็นคนสำคัญ ทั้งๆที่เขา ไม่สำคัญอะไรเลย ผู้นั้นก็หลอกตัวเอง 4 ทุกคนจงสำรวจการกระทำ ของตนเอง จึงจะมีอะไรๆที่จะอวดได้ในตัวไม่ใช่เปรียบกับผู้อื่น 5 เพราะว่าทุกคนต้องรับภาระของตัวเอง
(กาลาเทีย 6:1-5)

ผมเคยชี้ให้เห็นไปบ้างแล้วว่าดาวิดทำผิดด้วยการหวังจะได้รับบำเหน็จในทันที แทนที่ จะรอคอยบำเหน็จนิรันดร์ ดาวิดทำดีต่อนาบาลเพราะหวังจะได้รับผลตอบแทน แต่เมื่อ นาบาลแสดงว่าไม่เห็นบุญคุณ ดาวิดก็พร้อมจะแก้แค้นในทันที นี่ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ ดาวิดต้องการแก้แค้นเองแทนที่จะมอบให้กับพระเจ้า เมือเวลานั้นจึงดูเหมือนดาวิดมี ชีวิตแค่ตรงนั้นไมใช่อยู่เพื่อรอคอยชีวิตนิรันดร์ ในพระคัมภีร์ใหม่ อัครสาวกเรียกร้องให้ เรามีชีวิตปัจจุบันที่รอคอยความหวังในชีวิตนิรันดร์ :

11 ดูก่อนท่านที่รัก ข้าพเจ้าขอวิงวอนท่านทั้งหลายผู้อาศัยในโลก อย่างโลกไม่เป็นบ้านเกิดเมืองนอน ให้เว้นจากตัณหาของเนื้อหนัง ซึ่งเป็นข้าศึกต่อวิญญาณจิตของท่าน 12 จงรักษาความประพฤติอัน ดีของท่านไว้ในหมู่คนต่างชาติ เพื่อว่าเมื่อมีคนติเตียนท่านว่าประพฤติ ชั่ว เขาจะได้เห็นการดีของท่าน และเขาจะได้สรรเสริญพระเจ้าในวัน ที่พระองค์เสด็จมา
(1 เปโตร 2:11-12)

12 ดูก่อนท่านที่รัก อย่าประหลาดใจที่ท่านต้องได้รับความทุกข์ยาก อย่างแสนสาหัสเป็นการลองใจ เหมือนหนึ่งว่าเหตุการณ์อันประหลาด ได้เกิดขึ้นกับท่าน 13 แต่ว่าท่านทั้งหลายจงชื่นชมยินดีในการที่ท่าน ได้มีส่วนร่วมในความทุกข์ยากของพระคริสต์ เพื่อว่าเมื่อพระสิริของ พระเจ้าปรากฏขึ้น ท่านทั้งหลายก็จะได้ชื่นชมยินดีเป็นอันมากด้วย 14 ถ้าท่านถูกด่าว่า เพราะพระนามของพระคริสต์ ท่านก็เป็นสุข ด้วย ว่าพระวิญญาณแห่งพระสิริและของพระเจ้าทรงสถิตอยู่กับท่าน
(1 เปโตร 4:12-14)

ความเชื่อในพระธรรมฮีบรูบทที่ 11 เต็มไปด้วยเรื่องราวของหญิงชายมากมายที่ดำเนิน ชีวิตอยู่บนโลกนี้ด้วยแสงสว่างแห่งพระสัญญาของพระเจ้า และด้วยความแน่ใจใน บำเหน็จนิรันดร์ที่จะได้รับ

ชีวิตของอับราฮัมเป็นตัวอย่างของความโลเลในชีวิตคริสเตียน มีความเชื่อและการเชื่อ ฟังที่เอาแน่ไม่ได้ เราคิดว่าท่านเจ็บปวดเมื่อท่านต้องมอบภรรยาให้ผู้อื่นไปในอียิปต์ เพราะท่านพูดว่านางซารายเป็นน้องสาวไม่ใช่ภรรยา ท่านคงจะไม่ทำผิดอีก แต่เมื่ออ่าน มาถึงปฐมกาลบทที่ 20 ท่านก็ทำซ้ำอีกด้วยการบอกกับใครต่อใครว่านางซารายเป็น น้องสาว (20:13) ชัยชนะในอดีตไม่ได้เป็นหลักประกันว่าในอนาคตเราจะชนะได้แบบ เดิม เราจึงต้องระมัดระวังเพราะเรามีโอกาสล้มเหลว เราต้องพึ่งพิงพระเจ้าตลอดเวลา ด้วยการฟังพระวจนะคำ และพึ่งในพระวิญญาณของพระองค์

ดาวิดก็ไม่ต่างไปจากเรานัก ผิดพลาดล้มเหลวในเรื่อง "การเชื่อมโยง" ท่านมองเห็นได้ ถึง "ความเชื่อมโยง" ระหว่างความเชื่อของท่าน พระสัญญาของพระเจ้า และการกระ ทำที่ท่านทำต่อซาอูลในถ้ำ (บทที่ 24) แต่ในทำนองเดียวกัน หลังเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ในบทที่ 24 ดาวิดกลับมองข้ามหลักการเดียวกันนี้อย่างสิ้นเชิงในบทที่ 25 แต่ด้วยคำ พูดที่ชาญฉลาดของนางอาบีกายิล ที่เตือนดาวิดให้เห็นหลักความจริงของ "การเชื่อม โยง" ในความโง่และคำพูดสามหาวของนาบาล ผมคิดถึงพวกอัครสาวกและผู้นำ คริสตจักรในกรุงเยรูซาเล็มในพระธรรมกิจการบทที่ 10 และ 11 พวกเขาเชิญเปโตร ไปที่บ้านของคนต่างชาติ เพื่อไปประกาศพระกิตติคุณให้ทุกคนที่นั่นฟัง พวกเขาสรุป กันว่าพระเจ้าประทานความรอดให้แก่คนต่างชาติด้วยเช่นเดียวกับที่ให้คนยิว (กิจการ 11:18) แต่เมื่อพวกเขาเองออกไปประกาศ ก็ประกาศให้เฉพาะคนยิวเท่านั้น (กิิจการ 11:19) พวกเขามองไม่เห็น "การเชื่อมโยง" กันระหว่างคำสอนของพระเจ้า และการ นำไปใช้ในชีวิตจริง และเราเองทุกคนก็เป็นเหมือนกันด้วย

ดาวิดเป็นเหมือนสิ่งเตือนให้เรานึกถึงพระคุณที่เทลงมาอย่างล้นเหลือเพื่อเรา โดย เฉพาะ (ในบทนี้) พระองค์เข้ามาแทรกแซงไม่ให้เรากระทำในสิ่งที่โง่เขลา เรารู้ดีว่า เราได้รับความรอดโดยพระคุณล้วนๆ ไม่มีส่วนใดมาจากตัวเราเองเลย เรารู้ดีอีกว่า ทุก สิ่งดีในชีวิตเป็นผลมาจากพระคุณทั้งสิ้น มีหญิงชราบางคนเคยพูดไว้ว่า "ทุกอย่างล้วน เป็นพระคุณ" ซึ่งก็ใช่ และในท่ามกลางทุกสิ่งคือการเข้ามาคั่นกลางเพื่อป้องกันเราจาก ความบาปและการกระทำอันโง่เขลา ผมไม่ได้บอกว่าพระเจ้าจะกันเราออกจากความบาป เสมอไป ; ผมกำลังจะบอกว่าถ้าพระเจ้าไม่เข้ามามีส่วนในชีวิตประจำวันของเรา เราคง ต้องทำบาปมากมายเกินกว่าที่เรานึกถึง ถ้าปล่อยทิ้งไว้ดาวิดคงจะทำชีวิตของตนเอง ป่นปี้ด้วยการไปฆ่านาบาลและคนในครัวเรือน ผมสงสัยจังว่าเราคงจะทำบาปโง่เขลา ลงไปมากมายถ้าพระเจ้าไม่เข้ามาขัดขวางเอาไว้ อาจไม่ใช่วิธีเดียวกับที่ทูตสวรรค์ขัด ขวางบาลาอัม แต่เราขอบพระคุณพระองค์ที่ได้ช่วยขัดขวางเราไว้ !

สุดท้ายนี้ เราได้รับบทเรียนจากการที่ดาวิดถ่อมใจรับฟังผู้ที่ด้อยกว่า ดาวิดเป็นผู้ที่ได้ รับเลือกให้เป็นกษัตริย์องค์ต่อไปของอิสราเอล ท่านมีผู้ติดตาม 600 คน รวมทั้งอาบี อาธาร์ปุโรหิต และยังมี "เอโฟด" เพื่อแสวงหาน้ำพระทัยพระเจ้าด้วย ถึงแม้ดาวิดจะ มีการทรงนำหลายวิธีจากพระเจ้า ดาวิดยังยินยอมที่จะฟังคำของสตรีผู้นี้ นางอาบีกายิล ดาวิดอาจคิดทำสิ่งที่โง่เขลา แต่อย่างน้อยท่านก็ยังเห็นคุณค่าในถ้อยคำของนาง ท่าน รับฟังและเรียนรู้ ท่านเข้าใจดีว่าความรู้ไม่จำเป็นต้องมาจากผู้ที่่เหนือกว่าเสมอไป บาง คนจะยอมฟังเฉพาะจากผู้ที่มีอำนาจเหนือกว่าเท่านั้น เพราะคิดว่าไม่มีทางเรียนรู้ได้จาก ผู้ที่ต่ำกว่า สามีหลายคนไม่ยอมฟังสติปัญญาที่พระเจ้ามอบให้ผ่านทางภรรยา หรือแม้ กระทั่งผ่านทางลูกๆ ขอให้เราทั้งหลายตระหนักว่าสติปัญญาและของประทานไม่จำเป็น ต้องผูกอยู่กับตำแหน่งหน้าที่ของใครคนใดคนหนึ่่งหรือผู้ที่มีอำนาจสูงกว่า ขอให้เรา เรียนรู้จากสติปัญญาเหล่านี้ไม่ว่ามาจากแหล่งใดก็ตามที่พระเจ้าทรงใช้

นาบาลเป็นตัวแทนของความเลวร้ายในมนุษย์ เป็นคนหยิ่งยโสและเห็นแก่ตัว เขาไม่ ตระหนักเลยว่าความมั่งคั่งที่ได้รับนั้นมาจากพระเจ้า เขาตัดสินผู้อื่นด้วยรูปกายภายนอก เช่นวงศ์ตระกูลชื่อเสียง เขาไม่ชื่นชมในสติปัญญา และไม่ยอมฟังเสียงของผู้ที่ช่วย แบ่งเบาปัญหาได้ แม้กระทั่งช่วยชีวิตไว้ด้วย เขามองไม่เห็นถึงสติปัญญาของภรรยาที่ พระเจ้าประทานให้ เขาคิดว่าความมั่งคั่งเป็นตัววัดคุณค่าของคน จึงรู้สึกว่าไม่ต้องการ คำแนะนำจากผู้ใด เขานึกไม่ถึงว่าอันตรายกำลังใกล้เข้ามา นาบาลเป็นคนเลวร้ายได้ ถึงที่สุด เป็นคนที่ต้องการพระคุณอย่างยิ่ง แต่กลับเชื่อมั่นว่าสามารถสร้างได้ด้วยตนเอง นาบาลมองไม่เห็นและไม่สนใจในกษัตริย์ของพระเจ้าถึงแม้จะได้ยินกับหูก็ตาม เขาเป็น คนที่ทำให้ตัวเองต้องประสบกับหายนะ

นาบาลนับว่าเป็นคนที่แย่ที่สุด และดาวิดก็เกือบทำในสิ่งที่ไม่ต่างกัน ถ้านางอาบิกายิล ไม่ห้ามไว้ ขอให้เรายกย่องในสติปัญญาของสตรีผู้นี้ และให้เกียรติแก่นาง :

30 เสน่ห์เป็นของหลอกลวง และความงามก็เปล่า ประโยชน์ แต่สตรียำเกรงพระเจ้าสมควรได้รับคำ สรรเสริญ 31 จงให้เธอรับผลแห่งน้ำมือของเธอ และให้การงานของเธอสรรเสริญเธอที่ประตูเมือง
(สุภาษิต 31:30-31).


119 มีการบันทึกถึงการสิ้นชีวิตของซามูเอลซ้ำอีกใน 28:3 ผมคิดว่าผู้เขียนคงไม่ได้ต้องการ บันทึกตามข้อมูลทางประวัติศาสตร์เท่านั้น แต่การเสียชีวิตของซามูเอลคงมีผลกระทบที่สำคัญ ต่อเหตุการณ์ที่ติดตามมา

120 คำว่า "ผู้ชาย" ในครัวเรือน (ในฉบับแปลภาษาอังกฤษใช้คำนี้) แปลมาจากคำในภาษา ฮีบรูที่มีความหมายว่า "ผู้ที่ถ่ายปัสสาวะรดกำแพง" ผมไม่แน่ใจว่าทำไมดาิวิดจึงใช้เฉพาะคำว่า "ผู้ชาย" กับครัวเรือนของนาบาล แต่ก็มีที่อื่นที่ใช้ในทำนองเดียวกัน เช่น 1 ซามูเอล 25:34; 1 พกษ. 14:10; 16:11; 21:21; 2 พกษ. 9:8.

121 สิ่งที่น่ามหํศจรรย์ใจในคำพูดของอาบิกายิล คือพระเจ้ายังไม่ได้เปิดเผยเรื่องนี้กับดาวิดจน ถึง 2 ซามูเอลบทที่ 7 คำพูดของนางไปไกลกว่าที่พระเจ้าได้เผยไว้กับดาวิดในตอนนั้น คำพูด ของนางจึงน่าจะเป็นดังคำพยากรณ์

122 การเลือกใช้คำพูดของนางอาบิกายิลนั้นสำคัญมาก นางเลือกใช้ภาพของรังสลิง ซึ่งเป็น อาวุธชนิดเดียวกับที่ดาวิดใช้ฆ่าโกลิอัท มาเป็นตัวเปรียบเทียบ

Previous PageTable Of ContentsNext Page