Previous PageTable Of ContentsNext Page

บทที่ 7: จัดตั้งอาณาจักร
(1 ซามูเอล 11:14-12:25)

คำนำ

อาทิตย์ที่ผ่านมามีประสพการณ์ใหม่เกิดขึ้นกับผมและเจนเน็ทภรรยา – เราได้เป็นคุณ ตาคุณยายเป็นครั้งแรก หลังจากที่ลูกสาวของเราต้องทนเจ็บท้องอยู่ถึง 25 ชั่วโมง ใน ที่สุด เทย์เลอร์ นิโคล ก็ได้ลืมตามาดูโลก เวลามีเด็กเกิดใหม่มักนำมาซึ่งความชื่นชม ยินดี พอๆกับบรรยากาศในวันแต่งงาน แต่เราทั้งหลายรู้ดีว่าความชื่นชมยินดีนี้จะเปลี่ยน ไปตามกาลเวลา จากเด็กทารกน่ารักจะกลายเป็นหนูน้อยอายุสองขวบ แล้วกลายเป็น วัยรุ่น ! มีเวลาอันยากลำบากคอยอยู่ในอนาคตสำหรับพ่อแม่ของทารกน้อยนี้ เราทุกคน ที่เคยผ่านประสพการณ์นี้คงเข้าใจกันดี พอๆกับเวลายากลำบากที่คอยอยู่ในอนาคต ของบ่าวสาวในวันแต่งงาน

เมื่อผมคำนึงถึงเนื้อหาในพระธรรม 1 ซามูเอล ทำให้ผมนึกย้อนไปถึงรูปถ่ายสมัยผม ยังเป็นเด็กนักเรียน ครอบครัวเราออกไปตั้งแค็มป์กัน … นับเป็นการไปตั้งแค็มป์ครั้ง แรกและครั้งเดียวของเรา เราถ่ายรูปกันบนภูเขาในอุทยานแห่งชาติ มอนทาน่ากลาเซียร์ ท้องฟ้าแจ่มใส มีเมฆบางแต่งแต้มเล็กน้อย พ่อแม่ พี่สาวสองคน ผมและน้องชายยืน ถ่ายรูปกันที่หน้าเต็นท์ ทุกคนเปิดยิ้มกว้าง นับเป็นการไปตั้งแค็มป์ที่น่าประทับใจ ! เราพลาดเรื่องดีๆเช่นนี้ไปได้อย่างไร ? สองสามชั่วโมงต่อมา เหตุการณ์เปลี่ยนไปจาก ที่เห็นในรูป — ครั้งนี้เป็นรูปที่ติดตาใจผมอย่างไม่รู้ลืม มีเรื่องโกลาหลเกิดขึ้นในตอน กลางดึก มีพายุฝนฟ้าคะนองเกิดขึ้นในหุบเขาที่เราตั้งแค็มป์กัน เราตั้งเต็นท์ไว้ใน บริเวณค่อนข้างต่ำ น้ำขึ้นมาท่วมเต็นท์สูงถึงสองนิ้ว (ทำไมไม่มีใครบอกเราว่า เราควร ตั้งเต็นท์ใว้ในที่สูงกว่านี้ และหันประตูเต็นท์ไปให้พ้นจากทางลม ?)

หลายๆเหตุการณ์มักจะจบลงต่างไปจากตอนเริ่มต้น อย่างที่เราเห็นได้จากซาอูล กษัตริย์องค์ใหม่ของอิสราเอล ใน 1 ซามูเอล 8 ประชาชนต้องการให้มีกษัตริย์มาวินิจ ฉัยพวกเขา เช่นเดียวกับนานาประเทศ ซึ่งหมายความว่าซามูเอลกำลังจะถูกปลดออก จากตำแหน่งและมีผู้อื่นมาแทนที่ ซามูเอลรู้สึกไม่ชอบใจ และนับว่าท่านทำถูกต้อง ท่านตักเตือนประ ชาชนถึงราคาแพงในการมีกษัตริย์ แต่คนอิสราเอลก็ยังยืนยันที่จะมี กษัตริย์ให้ได้ในราคานั้น ซามูเอลจึงส่งประชาชนกลับบ้านไปพร้อมกับสัญญาว่าชาว อิสราเอลจะได้มีกษัตริย์ ในบทที่ 9 และ 10 พูดถึงเหตุการณ์ที่นำไปสู่การแต่งตั้ง ซาอูลขึ้นเป็นกษัตริย์องค์แรก ต่อหน้าประชาชน บทที่ 11 พูดถึงเรื่องนาหาชคนอัมโมน ยกทัพมาล้อมเมืองยาเบชกิเลอาด และร้องท้าให้ยอมจำนน โดยจะทะลวงลูกตาขวา ของคนอิสราเอลทุกคน ชาวเมืองนี้ขอเวลาเพื่อจะไปหาพี่น้องอิสราเอลจากที่อื่นมาช่วย ซึ่งนาหาชก็ยอม มีการส่งผู้สื่อสารไปยังเมืองต่างๆขอความช่วยเหลือ และข่าวร้อนนี้ก็ มาถึงเมืองกิเบอาห์ ที่ซาอูลอาศัยอยู่ พอซาอูลกลับจากไร่และรู้เรื่องพระวิญญาณ ดลใจให้ท่านโกรธมาก ท่านฟันวัวหนึ่งคู่ออกเป็นท่อนๆ และส่งชิ้นส่วนไปทั่วอิสราเอล พร้อมกับเตือนว่า ใครก็ตามที่ไม่ออกมาร่วมรบ โคของผู้นั้นจะถูกทำในวิธีเดียวกัน ชาวอิสราเอลรวมตัวกันได้ ถึง — 330,000 คน พระเจ้าทำให้อิสราเอลมีชัยชนะเหนือ คนอัมโมน และช่วยกู้ชาว เมืองยาเบชกิเลอาดให้พ้นจากการถูกกดขี่

สำหรับประชาชนแล้ว สิ่งนี้พิสูจน์ให้เห็นว่าซาอูลนั้นสมควรอย่างยิ่งต่อการเป็นกษัตริย์ ในแบบที่พวกเขาต้องการ คนนี้ใช่เลย ! ความปิติยินดีในชัยชนะที่ตามมานั้นพอๆกับทีม ที่ชนะในฟุตบอลโลก หรือเหมือนกับโฆษณาเบียร์ในโทรทัศน์ ที่คนอิสราเอลหันไปพูด กับคนข้างๆว่า "น้องเอ๋ย คงไม่มีอะไรดีไปกว่านี้แล้ว !" หรือเหมือนกับบรรยากาศของ ที่ทำการพรรคเมื่อผู้สมัครได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดี และถ้าอิสราเอลมีวงดนตรี ทุก วงคงจะเล่นเพลง "วันชื่นคืนสุขหวนกลับมาแล้ว… ."

และในตอนนี้เองที่ซามูเอลเรียกประชุมที่กิลกาล ที่ซึ่งจะมีการ "รื้อฟื้นอาณาจักร ขึ้นมาใหม่ " (11:14) ซาอูลได้รับการแต่งตั้งเป็นกษัตริย์ มีการถวายสัตวบูชาต่อ หน้าพระเจ้า และประชาชนอิสราเอล "ทั้งปวงก็ชื่นชมยินดี" (11:15) แต่เรื่องการ "รื้อฟื้นราชอาณาจักร" นั้นหมายความว่าอย่างไร ? ถ้าซาอูลเป็นกษัตริย์องค์แรกของ อิสราเอล ท่านก็ต้องเป็นกษัตริย์ "องค์ใหม่" จะเรียกว่าเป็นการ "รื้อฟื้นราชอาณาจักร" ได้อย่างไร ?

ผมขอสรุปว่า ซามูเอลไม่ได้หมายความถึงการ "จัดตั้ง" อาณาจักรใหม่ขึ้นมาใหม่ ซึ่งดู สอดคล้องกับการแต่งตั้งซาอูลเป็นกษัตริย์องค์ใหม่ แต่น่าจะหมายถึงการ "รื้อฟื้น" อาณาจักรของพระเจ้า มีพระเจ้าเป็นกษัตริย์ เช่นที่ได้มีการสถาปนาในสมัยอพยพ มีเหตุผล สำคัญสองประการในเรื่องนี้ แรก ข้อมูลทั้งหมดมีปรากฏอยู่ในบทที่ 12 ซึ่งเราจะเรียนกันต่อไป สอง การรื้อฟื้นนี้กระทำกันที่กิลกาล ไม่ใช่ที่มิสปาห์ (ดู 7:5ก) กิลกาลเป็นเมืองที่ตั้งอยู่ทางฝั่งตะวันตกของแม่น้ำจอร์แดน เป็นที่ที่ชาวอิสราเอลข้าม ฝั่งแม่น้ำจอร์แดน เพื่อเข้าสู่ดินแดนแห่งพันธสัญญาเป็นครั้งแรก เป็นที่ที่มีการนำก้อน หิน 12 ก้อนมาก่อไว้เป็นอนุสรณ์ เป็นที่ที่ชาวอิสราเอลทำพิธีเข้าสุหนัต (คนรุ่นใหม่ ที่เกิดในช่วงอพยพ) และเป็นที่ที่ชาวอิสราเอลรื้อฟื้นพันธสัญญาที่มีกับพระเจ้า (ดูโย ชูวา 4 และ 5) กิลกาลยังเป็นสถานที่ที่ "ทูตของพระเจ้า" มาเตือนชาวอิสราเอลถึง การช่วยกู้เมื่อคราวอพยพ และพันธสัญญาที่เคยทำไว้กับพระเจ้า และสาเหตุที่ชาว อิสราเอลต้องต่อ สู้กับศัตรูรอบด้าน (ผู้วินิจฉัย 2:1-5) ยังเป็นเมืองหนึ่งในจำนวน เมืองที่ซามูเอลออกเดินสายวินิจฉัย (1 ซามูเอล 7:16) และเป็นเมืองที่ซามูเอลสั่ง ให้ซาอูลไปคอยท่าอยู่ (1 ซามูเอล 10:8) กิลกาลจึงเป็นเมืองที่เกี่ยวข้องโดยตรง กับเรื่องพันธสัญญาที่พระเจ้ามีต่อประชากรของพระองค์อย่างแยกไม่ออก

คำปราศรัยของซามูเอล และ ความผิดของอิสราเอล
(12:1-5)

1 ซามูเอลจึงกล่าวแก่คนอิสราเอลทั้งปวงว่า "ดูเถิด ข้าพเจ้าได้ฟังเสียงของท่านทุกเรื่อง ซึ่งท่านได้บอก ข้าพเจ้าและได้แต่งตั้งพระราชาเหนือท่านทั้งหลายแล้ว 2 และดูเถิด พระราชาก็ดำเนินอยู่ต่อหน้าท่าน ส่วนข้าพ เจ้าก็ชราผมหงอกแล้ว และดูเถิด บุตรของข้าพเจ้าก็อยู่ กับท่านทั้งหลายและข้าพเจ้าดำเนินอยู่ต่อหน้าท่านตั้ง แต่หนุ่มๆมาจนทุกวันนี้ 3 ข้าพเจ้าอยู่ที่นี่ ขอท่านเป็น พยานปรักปรำข้าพเจ้าต่อพระเจ้า และต่อท่านที่พระ องค์ทรงเจิมไว้ ข้าพเจ้าได้ริบโคของผู้ใดบ้างหรือ หรือข้าพเจ้าเอาลาของผู้ใดไปบ้าง หรือข้าพเจ้าได้ฉ้อ ผู้ใด ข้าพเจ้าได้บีบบังคับใครบ้าง ข้าพเจ้าได้รับสินบน จากมือของผู้ใดซึ่งจะกระทำให้ตาของข้าพเจ้าบอดไป ขอกล่าวมาและข้าพเจ้าจะคืนให้แก่ท่าน" 4 เขาทั้ง หลายกล่าวว่า "ท่านมิได้ฉ้อเราหรือบีบบังคับเราหรือรับ สิ่งใดไปจากมือของผู้ใด" 5 ท่านก็กล่าวแก่เขาทั้งหลาย ว่า "พระเจ้าทรงเป็นพยานต่อท่าน และท่านที่พระองค์ ทรงเจิมไว้ก็เป็นพยานในวันนี้ ว่าท่านไม่พบสิ่งใดในมือ ของข้าพเจ้า" และเขาทั้งหลายกล่าวว่า "พระองค์ทรง เป็นพยานแล้ว"

พระธรรมตอนนี้ ซามูเอลพิสูจน์ตนเองต่อหน้าพระพักตร์พระเจ้า และต่อหน้าประชาชน ทั้งมวล ผมคิดว่า น่าจะเป็นเพราะสิ่งที่ชาวอิสราเอลกล่าวหาท่านในบทที่ 8 และพวก เขาคิดว่าน่าจะเป็นเหตุผลเพียงพอที่จะแทนที่ท่านด้วยกษัตริย์ แทนที่จะอ้อมค้อมไป มา ซามูเอลนำเรื่องนี้มาพูดอย่างเปิดเผยตรงไปตรงมา และท้าให้หาข้อผิดพลาดในงาน รับใช้ของท่าน

มีข้อกล่าวหาหลายประการในบทที่ 8 ซึ่งทุกข้อซามูเอลนำมาพูดในบทนี้ สิ่งแรก ที่ ท่านกล่าวกับประชาชนคือ ท่านรับฟังและทำตามที่พวกเขาขอร้อง ซึ่งอย่าหวังว่าพวก เขาจะได้สิ่งนี้จากกษัตริย์ ซามูเอลไม่ได้เมินเฉยต่อความต้องการของพวกเขา ท่านมิ ได้นิ่งดูดาย เรื่องที่สอง ท่านพูดถึงเรื่องอายุ โดยบอกกับพวกเขาว่าท่านนั้น "ชราและ ผมหงอกแล้ว" ในบทที่ 8 พวกเขาพูดว่าท่านแก่เกินกว่าจะทำที่หน้าวินิจฉัยได้ ชาว อิสราเอลได้แสดงออกถึงความโง่เขลา การที่มีอายุมากขึ้นหมายความว่าไม่มีสติปัญญา พอในการวินิจฉัยหรือ ? ลองดูศาลสูงของบ้านเราในทุกวันนี้สิ คุณว่าการที่ในศาลเต็ม ไปด้วยเด็กที่พึ่งจบใหม่ หรือคนทำงานที่เต็มไปด้วยวัยวุฒิฺ คุณวุฒิ และประสพการณ์ดี ? ซามูเอลไม่ได้ชราเกินกว่าจะทำหน้าที่ผู้วินิจฉัย ท่านสามารถรับใช้ประเทศชาติได้อีก หลายปี ท่านยังไม่ใช่เป็น "เต่าล้านปี"

ซามูเอลทำงานรับใช้ต่อหน้าประชาชน และบุตรของท่านก็อยู่กับพวกประชาชนด้วย ความสัตย์ซื่อเที่ยงตรง ความปราณี หรือแม้กระทั่งความล้มเหลวถ้ามี นั้นน่าจะปรากฎ เห็นกันอย่างชัดเจน ในบทที่ 8 ชาวอิสราเอลพยายามพาดพิงไปถึงความประพฤติ ของบุตรท่าน พวกเขากล่าวหาว่า บุตรทั้งสอง "ไม่ได้ดำเนินในทางของท่าน" (ดู 8:5) และข้อกล่าวหาที่เกี่ยวกับบุตรนั้นเป็นเรื่องจริง (ดู 8:1-3) ปัญหาก็คือไม่ว่าท่านจะจัด การกับบุตรอย่างที่ท่านควรหรือไม่ก็ตาม ทุกสิ่งดูเหมือนบ่งชี้ไปว่าท่านไม่มีความผิดใน เรื่ื่องนี้ ซึ่งต่างกับเอลี ผู้ทำหน้าที่ก่อนท่าน

ถ้าซามูเอลไม่มีความผิดในเรื่องปัญหาครอบครัว แล้วท่านจะถูกกล่าวหาว่าทำผิดใน หน้าที่ได้อย่างไร ? ซามูเอลเคยทำสิ่งใดผิดในหน้าที่หรือ จึงทำให้ชาวอิสราเอลอยาก ปลดท่านลงและแทนที่ด้วยกษัตริย์ ? คำตอบนั้นชัดเจน "ไม่มี !" ความสัตย์ซื่อเที่ยง ตรง ความบริสุทธิ์ในงานรับใช้ของท่านอาจกล่าวได้เป็นสามข้อดังนี้ ข้อแรก ซามูเอล ไม่ได้คดโกงผู้ใด ท่านไม่เคยโกงในการพิพากษา ประชาชนไม่สามารถกล่าวหาว่า ท่านบิดเบือนหรือโกงกระบวนการยุติธรรมได้ ข้อสอง ต่างกับบุตร ซามูเอลไม่เคยรับสิน บนจากใครเพื่อ บิดเบือนคำพิพากษา (ดู 8:3) ข้อสาม ซามูเอลกล่าวว่าท่านไม่เคย บีบบังคับผู้ใด ท่านไม่เคยใช้อำนาจในหน้าที่มาข่มขู่ใครในการพิพากษา ท่านเป็น "ผู้รับใช้" ไม่ใช่เป็น "เจ้านาย" ท้ายสุดนี้ ซามูเอล "ไม่เคยริบเอาลาหรือโค" ของผู้ ใดมาเป็นของตน ผมไม่ คิดว่าซามูเอลกำลังหมายถึงการขโมย ผมว่าท่านหมายถึง มายึดเอาโคหรือลาไปอย่างเช่นที่กษัตริย์จะทำ :

16 "พระองค์จะเอาคนใช้ผู้ชาย และคนใช้ผู้หญิง และคนหนุ่มๆที่ดีที่สุดของท่าน และลาของท่านให้ ไปทำงานของพระองค์ "
(1 ซามูเอล 8:16).

เช่นเดียวกับ อ.เปาโล ซามูเอลไม่เคยคิดค่าจ้างในงานรับใช้ ท่านรับประทานจากส่วน เนื้อที่นำมาถวายบูชา ท่านไม่เคยคิดราคาแพงจากงานในหน้าที่ และงานของท่านแน่ นอนจะไม่มีวันแพงเท่ากับงานที่กษัตริย์จะทำ

ถ้าซามูเอล "ไม่มีความผิด" ในทุกข้อที่ชาวอิสราเอลกล่าวหา ดังนั้น จึงลงความเห็นได้ ว่า ชาวอิสราเอลนั้นมีความผิดในการแจ้งข้อหาเท็จ พระคำห้าข้อแรกในบทที่ 12 แสดงให้เห็นว่า ซามูเอลนั้นมีคุณสมบัติครบถ้วนที่จะวินิจฉัยอิสราเอล ดังนั้นจึงมีสิทธิ เต็มที่ในการฟ้องกลับชาวอิสราเอลแทนพระเจ้า ในข้อกล่าวหาดังต่อไปนี้ ซามูเอลเป็น ผู้บริสุทธิ์ แต่ชาวอิสราเอลต้องการปลดท่านออกจากตำแหน่งโดยไม่ยุติธรรม ซามูเอล เป็นผู้บริสุทธิ์ และสามารถจัดการกับชนชาตินี้ได้ในความบาปที่พวกเขาปฏิเสธพระเจ้า และปฏิเสธท่าน

บทเรียนในประวัติศาสตร์ของอิสราเอล
(12:6-11)

65 ท่านก็กล่าวแก่เขาทั้งหลายว่า "พระเจ้าทรงเป็นพยานต่อท่าน และท่านที่พระองค์ทรงเจิมไว้ก็เป็นพยานในวันนี้ ว่าท่านไม่พบสิ่ง ใดในมือของข้าพเจ้า" และเขาทั้งหลายกล่าวว่า "พระองค์ทรงเป็น พยานแล้ว" 6 และซามูเอลก็กล่าวแก่ประชาชนว่า "พระเจ้าทรงเป็น ผู้แต่งตั้งโมเสสกับอาโรน และทรงนำบรรพบุรุษของท่านขึ้นมาจาก แผ่นดินอียิปต์ 7 ฉะนั้นขอท่านทั้งหลายจงยืนนิ่งอยู่ข้าพเจ้าจะขอ เสนอคดีของท่านต่อพระพักตร์พระเจ้า เกี่ยวด้วยพระราชกิจของ พระเจ้าที่ทรงช่วย ซึ่งพระองค์ทรงกระทำแก่ท่านทั้งหลายและ แก่บรรพบุรุษของท่านทั้งหลาย 8 เมื่อยาโคบเข้าไปในอียิปต์ และบรรพบุรุษของท่านร้องต่อพระเจ้า พระองค์ก็ทรงใช้โมเสสกับ อาโรน ผู้ได้นำบรรพบุรุษของท่านออกจากอียิปต์และทำให้เขามา อาศัยอยู่ในที่นี้ 9 แต่เขาทั้งหลายลืมพระเยโฮวาห์พระเจ้าของเขา เสีย พระองค์จึงทรงขายเขาไว้ในมือของสิเสรา แม่ทัพของยาบิน กษัตริย์แห่งเมืองฮาโซร์และมอบไว้ในมือของคนฟีลิสเตีย และไว้ใน มือของกษัตริย์แห่งเมืองโมอับ และเขาเหล่านั้นก็ต่อสู้บรรพบุรุษของ ท่าน 10 และเขาทั้งหลายร้องทูลต่อพระเจ้าว่า 'ข้าพระองค์ทั้งหลาย ได้กระทำบาปแล้ว เพราะว่าข้าพระองค์ทั้งหลายได้ละทิ้งพระเจ้าไป ปรนนิบัติบรรดาพระบาอัลและพระอัชทาโรททั้งหลาย แต่บัดนี้ขอ พระองค์ทรงช่วยกู้ข้าพระองค์ทั้งหลายให้พ้นมือศัตรูของข้าพระองค์ และข้าพระองค์ทั้งหลายจะปรนนิบัติพระองค์' 11 และพระเจ้าทรงใช้ เยรุบบาอัล และเบดาน และเยฟธาห์ และซามูเอล และช่วยกู้ท่าน ทั้งหลายออกจากมือศัตรูทุกด้านและท่าน ทั้งหลายอาศัยอยู่อย่าง ปลอดภัย

ตอนนี้เราก็ได้เห็น "ความคิดย้อนยุค" ในพระคัมภีร์อีกครั้ง ซามูเอลนำให้คนอิสราเอล กลับไปนึกถึงเมื่อแรกเริ่ม "อาณาจักร" ซึ่งพระเจ้าเป็นผู้ก่อตั้งขึ้นในช่วงอพยพ และนำ ให้เขาเทียบดูมาจนถึงปัจจุบัน จุดประสงค์คือท่านต้องการพิสูจน์ให้พวกเขาเห็นว่า การ เรียกร้องขอกษัตริย์ให้เหมือนกับนานาชาตินั้น ก็คือการกบฎต่อพระเจ้าอีกครั้ง เช่นเดียว กับที่บรรพบุรุษของพวกเขาได้เคยทำมาแล้วในอดีต

ประวัติศาสตร์การก่อตั้งอาณาจักรของอิสราเอลเริ่มในสมัยอพยพ สิ่งแรกที่ซามูเอลย้ำ กับชาวอิสราเอลในสมัยของท่านคือ ที่สุดแล้ว ไม่ใช่โมเสสและอาโรนที่ช่วยกู้ชาวอิส ราเอลออกจากการเป็นทาสในอียิปต์ — แต่เป็นพระเจ้า (ข้อ 7) เป็นพระเจ้าผู้ทรง "ใช้โมเสส" และเป็นพระเจ้าผู้ทรง "นำบรรพบุรุษของเขาออกจากอียิปต์ " ตั้งแต่ แรกเริ่ม ไม่เคยมีมนุษย์คนใด – แม้แต้ผู้ยิ่งใหญ่อย่างโมเสส – เป็นผู้มากอบกู้อิสรา เอล มีแต่เพียงพระเจ้า พระเจ้าผู้ทรงแต่งตั้งผู้นำ และพระเจ้าผู้ทรงกู้ประชากรของ พระองค์ เป็นความจริง ที่พระเจ้าทรงใช้มนุษย์ แต่ไม่ใช่มนุษย์ที่เป็นผู้กอบกู้ประชากร ของพระเจ้า

จากความจริงประการนี้ – พระเจ้าเป็นผู้กู้ ชาวอิสราเอล ไม่ใช่มนุษย์ – ซามูเอล เรียกให้ประชาชนมายืนต่อหน้าพระพักตร์พระเจ้า (ข้อ 8) ชาวอิสราเอลกำลังถูกไต่สวน และซามูเอลทำหน้าที่เป็นฝ่ายโจทย์ ประวัติศาสตร์เป็นพยานปากแรกที่ต่อสู้คดีกับอิส ราเอล ประวัติศาสตร์ของอิสราเอลไม่ใช่เป็นเรื่องของความชอบธรรมของประชากร แต่ กลับเป็นเรื่องของพระพร ; ประวัติศาสตร์อิสราเอลเป็นเรื่องการกระทำอันชอบธรรมของ พระเจ้าที่ทำแทนชาวอิสราเอล ท่ามกลางความบาปทุกครั้งของอิสราเอล นับเป็นความ ชอบธรรมของพระเจ้าที่ช่วยกู้บรรพบุรุษของชาวอิสราเอลทั้งหลายที่กำลังยืนอยู่ต่อหน้าซามูเอลที่กิลกาล

พูดสั้นๆคือ ซามูเอลกำลังพิจารณาประวัติศาสตร์ของอิสราเอล จากวันที่ประเทศก่อกำ เนิดขึ้นมาในสมัยอพยพ จนถึงในปัจจุบัน ที่อิสราเอลเรียกร้องจะมีกษัตริย์ ท่านทบทวน เหตุการณ์ต่างๆที่สำคัญ (การอพยพและการรอนแรมอยู่ในถิ่นทุรกันดาร การเข้าครอบ ครองดินแดนภายใต้การนำของโยชูวา และในเหตุการณ์ยุคของผู้วินิจฉัย จบลงด้วยเรื่อง ของซามูเอล) ซามูเอลต้องการแสดงให้เห็นถึงนิสัยอันดื้อดึงของชาวอิสราเอล และการ ที่พระเจ้าทรงอดทนกับประชากรของพระองค์36 http://www.bible.org/docs/ot/books/1sa/deffin/ถึงแม้โดยพระคุณ พระเจ้าทรงช่วยกู้ ชาวอิสราเอลออกมาจากบรรดาศัตรู ชาวอิสราเอลก็ยังลืมพระองค์ และหันไปกราบไหว้ พระอื่นแทน พระเจ้าจึงทรงให้ตกอยู่ในเงื้อมมือของประเทศรอบด้านที่เป็นศัตรู ถูกกดขี่ ข่มเหง และเมื่อชาวอิสราเอลสำนึกในบาป หันกลับมาวิงวอนให้พระเจ้าช่วย โดยพระ กรุณา พระองค์ทรงช่วย พวกเขาจึงละทิ้งจากบรรดารูปเคารพ และสาบานตนว่าจะปรน นิบัติพระองค์ เมื่อพระองค์ทรงช่วยกู้เขาอีกครั้ง37

บทเรียนประวัติศาสตร์ และการที่อิสราเอลเรียกร้องขอกษัตริย์
(12:12-18ก)

12 และเมื่อท่านทั้งหลายเห็นนาหาชกษัตริย์คนอัมโมนมา ต่อสู้ท่านทั้งหลาย ท่านทั้งหลายกล่าวแก่ข้าพเจ้าว่า 'ไม่ได้ แต่ต้องมีกษัตริย์ปกครองเหนือเรา' ถึงแม้ว่าพระเยโฮวาห์ พระเจ้าของท่านเป็นพระมหากษัตริย์ของท่าน 13 บัดนี้จงดู พระราชาที่ท่านทั้งหลายได้เลือก ผู้ซึ่งท่านทั้งหลายได้ร้อง ขอ ดูเถิด พระเจ้าทรงตั้งพระราชาไว้เหนือท่านแล้ว 14 ถ้า ท่านทั้งหลายจะยำเกรงพระเจ้าและปรนนิบัติพระองค์ และ ฟังพระสุรเสียงของพระองค์ และไม่กบฏต่อพระบัญชาของ พระเจ้า และถ้าท่านทั้งหลายและพระราชาผู้ปกครองเหนือ ท่าน จะเป็นผู้ติดตามพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านทั้งหลาย ก็ดีแล้ว 15 แต่ถ้าท่านทั้งหลายไม่ฟังพระสุรเสียงของพระเจ้า แต่กบฏต่อพระบัญชาของพระเจ้า แล้วพระหัตถ์ของพระเจ้า จะต่อสู้ท่านทั้งหลาย และบรรพบุรุษของท่าน 16 เพราะฉะนั้น บัดนี้ ท่านทั้งหลายจงยืนนิ่งอยู่ คอยดูเหตุการณ์ยิ่งใหญ่ต่อไป นี้ ซึ่งพระเจ้าจะทรงกระทำต่อหน้าต่อตาของท่านทั้งหลาย 17 วันนี้เป็นฤดูเกี่ยวข้าวสาลีไม่ใช่หรือ ข้าพเจ้าจะร้องทูล ต่อพระเจ้าขอพระองค์จัดส่งฟ้าร้องและฝน และท่านทั้งหลาย จะทราบและเห็นเองว่า ความอธรรมของท่านนั้นใหญ่โตเพียง ใด ซึ่งท่านได้กระทำในสายพระเนตรพระเจ้า ในการที่ได้ขอ ให้มีพระราชาสำหรับตน" 18 ซามูเอลจึงร้องทูลต่อพระเจ้า และพระเจ้าทรงส่งฟ้าร้องและฝนมาในวันนั้น ………"

ในข้อ 12 ซามูเอลเชื่อมโยงเรื่องราวในประวัติศาสตร์ที่ท่านพูดอยู่ให้เข้ากับสถานการณ์ ในปัจจุบัน เช่นเดียวกับชาวอิสราเอลในสมัยก่อน ประชากรของพระเจ้ากำลังถูกชาติ เพื่อนบ้านมารุกรานอีกครั้ง ครั้งนี้คือนาหาชคนอัมโมน การตอบสนองของชาวอิสราเอล ในสมัยของซามูเอลที่มีต่อชาวอัมโมนนั้น เป็นแบบเดียวกับที่ซามูเอลพูดมาก่อนหน้านี้ คือเมื่อใดที่ถูกรุกราน ประชากรในสมัยโน้นจะคำนึงถึงบัญญัติของโมเสส โดยเฉพาะใน เฉลยธรรมบัญญัติ 28-32 พวกเขาเข้าใจดีว่าสาเหตุของการถูกรุกรานนั้นเป็นเพราะ ความบาปที่ได้กระทำ ชาวอิสราเอลในยุคโบราณจึงสำนึกในบาป และทูลขอให้พระ เจ้าช่วย แต่สิ่งนี้ไม่ได้เกิดกับชาวอิสราเอลทั้งหลายที่กำลังยืนอยู่ต่อหน้าซามูเอลที่ กิลกาล คนเหล่านี้ไม่รับรู้ว่าความบาปของตนนั้นคือสาเหตุของความเดือดร้อน แต่กลับ ไปโยนปัญหาให้กับ "ผู้นำที่ไม่ดีพอ" โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับซามูเอลและบุตร "เป็นผู้ นำที่ไม่ดีพอ" แทนที่จะแก้ด้วยการสำนึกในบาป และทูลขอให้พระเจ้าช่วย ; กลับแก้ ด้วยการกำจัดซามูเอลออกไปซะ และหากษัตริย์มาแทนที่เพื่อให้เหมือนกับนานาชาติ

เมื่อซามูเอลพูดถึงนาหาชคนอัมโมนในข้อ 12 ท่านชี้ให้เห็นถึงสาเหตุแท้จริงที่ชาวอิส ราเอลต้องการกษัตริย์ พวกเขาไม่ยอมสำนึกบาปและวางในในการช่วยกู้ของพระเจ้า38 ที่จริงแล้วไม่ใชเป็นเพราะซามูเอลแก่เกินไป หรือแก่เกินกว่าจะมาทำหน้าที่วินิจฉัยได้ ไม่ใช่เป็นเพราะบุตรของท่านทุจริต แต่เป็นเพราะคนอิสราเอลกลัวศัตรูที่จะมารุกราน จน มองไม่เห็นปมปัญหาที่แท้จริง คือความบาป พวกเขาโยนไปให้การเป็นผู้นำที่ไม่ดี เพื่อ ที่จะรู้สึกว่าพวกเขาสมควรจะได้รับกษัตริย์ตามที่เรียกร้อง39

หลายปีมาแล้ว ผมได้เข้าไปสอนหนังสือในคุก เพื่อพวกนักโทษจะมีโอกาสได้ประกาศ นียบัตรจบชั้นมัธยม วันหนึ่งมีการถกกันเรื่อง ทฤษฎีวิวัฒนาการ ผมกล่าวว่าผมเชื่อใน ทฤษฎีการทรงสร้างมากกว่าทฤษฎีวิวัฒนาการ ผมจำได้ไม่่ลืมว่ามีนักเรียนคนหนึ่งแสดง การไม่เห็นด้วยโดยกล่าวว่า : "ผมจะบอกให้ว่าทำไมผมถึงเชื่อในทฤษฎีวิวัฒนาการ " เขาประกาศกร้าว "เพราะผมไม่เชื่อเรื่องพระเจ้า " ผมเกรงว่าชาวอิสราเอลในสมัยของ ซามูเอลจะเป็นเช่นเดียวกัน คำว่า "ไม่ได้" ที่ชาวอิสราเอลตอบซามูเอลตามที่อ้างอยู่ ในข้อ 12 คือพวกเขาไม่ต้องการการช่วยเหลือในแบบของพระเจ้า ; พวกเขาต้องการใน แบบของตนเอง พวกเขาต้องการการช่วยกู้ แต่ด้วยวิธีทีที่ไม่มีพระเจ้า จึงไม่น่าประ หลาดใจที่พระเจ้าบอกกับซามูเอลว่า ประชาชนไม่ได้ปฏิเสธท่าน แต่ปฏิเสธพระเจ้าของ เขาต่างหาก

ถึงแม้คนอิสราเอลจะทำบาปต่อพระเจ้าในการร้องขอกษัตริย์ พระเจ้ายังทรงพระกรุณา ต่อประชากรของพระองค์ โดยประทาน "ทางออกให้" ในข้อ 13-15 (ดู 1โครินธ์ 10:13) สิ่งแรกที่ซามูเอลบอกกับประชาชนเกี่ยวกับกษัตริย์คือ กษัตริย์องค์นี้เป็น กษัตริย์ ของพวกเขา และไม่ใช่กษัตริย์ ของพระเจ้า กษัตริย์องค์นี้พวกเขาเลือกเอง (ข้อ 13) พระเจ้าทรงแต่งตั้งบุคคลนี้ให้เป็นกษัตริย์ แต่เป็นกษัตริย์ ของพวกเขา ข้อ 14 และ 15 น่าจะทำให้คนอิสราเอลหยุดคิดได้บ้าง ว่าเขาเห็นกษัตริย์เป็นผู้จะมาช่วยกู้ หรือ ? เขายึดความหวังทั้งหมดไว้กับมนุษย์คนนี้ (คนใหนก็ตาม) หรือ? เพราะถ้าใช่สิ่งที่ ซามูเอลพูดคงเป็นเรื่องที่น่าตกใจสำหรับพวกเขา

ดูเหมือนมุมมองของคนอิสราเอลในสมัยซามูเอล คงเหมือนความนิยมที่คนในสมัยนี้มี ต่อผู้นำ :

"ผู้นำไปทางไหน พวกเราทั้งหลายยินดีตามไป"

มีความจริงอยู่บ้างในประโยคนี้ ผู้นำที่ทุจริตก็นำประเทศชาติไปสู่ความบาป ผู้นำที่ ชอบธรรมก็จะนำประเทศชาติไปสู่ความชอบธรรม แต่ซามูเอลกำลังพูดถึงบางสิ่งที่แตก ต่าง ชาวอิสราเอลกำลังจะมองเห็นกษัตริย์ของพวกเขาว่าเป็น "เทพเจ้า" เป็นผู้ที่จะมา กอบกู้พวกเขา ? หรือพวกเขาคิดว่า การมีคนที่เหมาะสมจะสร้างความมั่นใจว่าชนะศัตรู แน่ จะมีสันติภาพและความมั่งคั่งจริง ? แต่ซามูเอลกลับพูดว่า การที่คนทั้งประเทศเชื่อ ฟังองค์พระผู้เป็นเจ้า และทำตามพระบัญชาก็คือกุญแจไปสู่สันติสุขและความมั่งคั่ง — ไม่ใช่เป็นเพราะความกล้าหาญของผู้นำ แต่เพราะถ้า "ถ้าท่านทั้งหลายจะยำเกรง พระเจ้าและปรนนิบัติพระองค์ และฟังพระสุรเสียงของพระองค์ และไม่กบฏต่อ พระบัญชาของพระเจ้า และถ้าท่านทั้งหลาย (หมายถึงคุณๆทั้งหลาย) และพระ ราชาผู้ปกครองเหนือท่าน จะเป็นผู้ติดตามพระเยโฮวาห์พระเจ้า "ของท่าน" (ข้อ 14)

กษัตริย์ไม่ใช่เป็นกุญแจไปสู่ความสำเร็จของอิสราเอล แต่การวางใจและเชื่อฟังพระเจ้า ต่างหากเป็น ประเทศชาติที่ขาดความชอบธรรม ก็จะมีผู้ปกครองที่ขาดความชอบธรรม ประเทศชาติที่มีความชอบธรรมก็จะมีผู้นำที่มีคุณธรรม ไม่มีสิ่งใดเปลี่ยนแปลง ถึงแม้จะมี การแต่งตั้งกษัตริย์ขึ้นมาก็ตาม หลักการปกครองยังเป็นไปตามพันธ สัญญาที่มีต่อโม เสส ตามที่บัญญัติไว้ในเฉลยธรรมบัญญัติ 28-32 อิสราเอลจะได้รับ พระพรถ้าเธอวาง ใจในพระเจ้าและทำตามพระบัญชา ในทางกลับกัน เธอจะถูกแช่ง สาปถ้าหันไปเสียจาก ทางของพระเจ้าและบัญญัติของพระองค์ ดังนั้นถ้าชนชาติอิสราเอลวางใจและทำตาม พระบัญชา อิสราเอลก็จะมีกษัตริย์ผู้ชอบธรรมมาปกครอง และได้รับพระพร แต่ถ้าประ ชากรหันไปจากทางของพระเจ้า กษัตริย์ก็ไม่สามารถช่วยได้ เมื่อถูกพระเจ้าพิพากษา ลงโทษ เงื่อนใขพระพรของพระเจ้ายังคงเหมือนเดิม เหมือนกับที่เคยเป็นมา การมี กษัตริย์ก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงสิ่งนี้ พระเจ้ายังไม่ได้ลงจากพระบัลลังก์ในฐานะ กษัตริย์ของอิสราเอล พันธสัญญาของพระองค์ยังเป็นกฎบัญญัิติของแผ่นดินนี้

ในขณะที่อิสราเอลประสพผลสำเร็จในการมีกษัตริย์องค์ใหม่ พระเจ้าทรงชี้แจงอย่าง ตรงไปตรงมาว่า พันธสัญญาเดิมของโมเสส ยังคงมีผลใช้ในการปกครองประชากรของ พระองค์ ซามูเอลได้แจ้งถึงความบาปอันใหญ่หลวงที่พวกเขาทำในการร้องขอกษัตริย์ ถึงกระนั้นก็ยังไม่มีปฏิกริยาใดตอบสนองจากชาวอิสราเอล ท่านจึงเน้นให้ทราบถึงความ รุนแรงของบาปนี้ในสายพระเนตรของพระเจ้า ซึ่งจะถูกลงพระอาชญา ด้วยวิธีที่คล้ายกับ เอลียาห์ทำ ซามูเอลประกาศว่าพระเจ้าจะสำแดงพระอาชญาของพระองค์ เพื่อให้ชาว อิสราเอลเห็นว่าความบาปในการร้องขอกษัตริย์ของพวกเขานั้นใหญ่โตเพียงใด ท่าน ประกาศชัดเจนว่าการพิพากษาจะเกิดขึ้นในฤดูเก็บเกี่ยว ซึ่งกำลังจะมาถึง ซึ่งยังไม่ใช่ ฤดูฝนที่จะมีพายุฝนฟ้าคะนอง พระเจ้าทรงตอบคำอธิษฐานของซามูเอลโดยให้มีพายุ ฝนฟ้ารุนแรงเกิดขึ้น เรื่องการจัดตั้งกษัตริย์นั้นพระเจ้าถือว่าเป็นเรื่องใหญ่และจริงจัง และบัดนี้ ประชากรของพระองค์ก็เห็นแล้วว่าจริงจังเพียงใด

พายุฝนรุนแรงนี้เตือนใจให้ประชากรทราบว่าซามูเอลนั้นยังคงเป็นผู้เผยพระวจนะ และ การไม่ยอมรับท่านนั้นนับเป็นความคิดที่ผิด เหตุการณ์นี้ย้ำให้เห็นถึงความสำคัญในคำ เตือนของซามูเอล เรื่องความบาปที่ร้องขอกษัตริย์ บางทีที่สำคัญที่สุด เป็นสิ่งเตือน ชาวอิสราเอลถึงความจริงที่สำคัญที่สุดคือ : ทั้ง คำแช่งสาป และ พระพร มาจากพระ เจ้าทั้งสิ้น :

5 "เราเป็นพระเจ้า และไม่มีอื่นใดอีก นอกจากเรา ไม่มีพระเจ้า เราคาดเอวเจ้าแม้เจ้าไม่รู้จักเรา 6 เพื่อ คนจะได้รู้ตั้งแต่ที่ตะวันขึ้น และจากที่ตะวันตก ว่าไม่ มีใครนอกจากเรา เราเป็นพระเจ้า และไม่มีอื่นใดอีก 7 เราปั้นความสว่างและสร้างความมืด เราทำโชคและ สร้างวิบัติ เราคือพระเจ้า ผู้กระทำสิ่งเหล่านี้ทั้งสิ้น"
(อิสยาห์ 45:5-7)

ชาวอิสราเอลมองว่ากษัตริย์นั้นคือผู้ที่มาช่วยกู้ ในความคิดของพวกเขา กษัตริย์คือกุญ แจไปสู่ความสำเร็จ พวกเขาเชื่อว่ากษัตริย์จะช่วยพวกเขาให้พ้นจากการถูกกดขี่ข่มเหง และจะเป็นผู้นำความเจริญมั่งคั่งมาสู่เประเทศ พระเจ้าทรงเตือนอิสราเอลว่า ที่สุดแล้ว พระองค์เองทรงเป็นทั้งผู้ที่บันดาลความทุข์ยาก และเป็นผู้ที่ทรงอำนวยพระพรให้ได้ ภัยพิบัติที่เกิดขึ้นกับประเทศชาตินั้นเป็นมาจากความบาปทั้งสิ้น จะไม่มีพระพรอันใด มาสู่ประเทศที่ขาดความชอบธรรม แต่เป็นเพราะพระคุณและพระกรุณาของพระเจ้า ดังนั้น ความั่งคั่งไม่ได้เกิดขึ้นเพราะอิสราเอลทำความดี แต่เกิดขึ้นเพราะเมื่อชาวอิสรา เอลต้องทนทุกข์ พวกเขาจะร้องทูลขอให้พระเจ้ามาช่วย การที่อิสราเอลหันมาทุ่มเท ปรนนิบัติพระเจ้า นั้นคือผลแห่งพระคุณ ไม่ใช่เป็นแหล่งของพระพร ข้อเท็จจริงทั้งสิ้น นั้นก็ปรากฎอยู่ในพระวจนะคำ

ถ้อยคำแห่งชีวิตที่มหัศจรรย์
(12:18ข-25)

… ประชาชนก็เกรงกลัวพระเจ้าและซามูเอลยิ่งนัก 19 และประชาชน ทั้งหลายเรียนซามูเอลว่า "ขอท่านอธิษฐานต่อพระเยโฮวาห์พระเจ้า ของท่านเผื่อผู้รับใช้ทั้งหลายของท่าน เพื่อเราทั้งหลายจะไม่ถึงตาย เพราะเราได้เพิ่มความชั่วนี้เข้ากับบาปทั้งสิ้นของเรา คือขอให้มีพระราชา สำหรับเราทั้งหลาย" 20 และซามูเอลกล่าวแก่ประชาชนว่า "อย่ากลัวเลย ท่านทั้งหลายได้กระทำความชั่วนี้ทั้งสิ้นจริงๆแล้ว แต่ท่านทั้งหลายอย่า หันไปเสียจากการติดตามพระเจ้า แต่จงปรนนิบัติพระเจ้าด้วยสิ้นสุดใจ ของท่าน 21 และอย่าหันเหไปติดตามสิ่งอนิจจังซึ่งไม่เป็นประโยชน์ หรือไม่ช่วยให้พ้นเพราะเป็นสิ่งอนิจจัง 22 เพราะพระเจ้าจะไม่ละทิ้ง ประชากรของพระองค์ ด้วยเห็นแก่พระนามใหญ่ยิ่งของพระองค์ เพราะ พระเจ้าทรงพอพระทัยแล้วที่จะกระทำให้ท่านเป็นประชากรของพระองค์ 23 ยิ่งกว่านั้นส่วนข้าพเจ้าขออย่าให้มีวี่แววที่ ข้าพเจ้าจะกระทำบาปต่อ พระเจ้าด้วยการหยุดอธิษฐานเพื่อท่านทั้งหลาย แต่ข้าพเจ้าจะแนะนำทาง ที่ดีและที่ถูกให้ท่าน 24 จงยำเกรงพระเจ้าเท่านั้นปรนนิบัติพระองค์ด้วย ใจซื่อสัตย์สุจริต และด้วยสิ้นสุดใจของท่าน จงพิเคราะห์ถึงมหกิจซึ่งพระ องค์ได้ทรงกระทำแก่ท่านแล้วนั้น 25 แต่ถ้าท่านทั้งหลายขืนกระทำความ ชั่วอยู่ท่านจะต้องพินาศทั้งตัวท่านทั้งหลายเองและพระราชาของท่านด้วย"

ชาวอิสราเอลทุ่มลงไปมากสำหรับกษัตริย์องค์ใหม่นี้ คำพูดและการกระทำของซามูเอล ทำให้เห็นภาพชัดเจนยิ่งขึ้น ผลจากคำเตือนของซามูเอลก่อให้เกิด – พายุฝนฟ้าร้อง – และประชาชน "ประชาชนก็เกรงกลัวพระเจ้าและซามูเอลยิ่งนัก" (ข้อ 18ข) จาก เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ ถึงแม้ไม่ได้มีการบันทึกไว้ ผมคิดว่าทัศนคติของประชาชนในเรื่อง กษัตริย์คงลดลง แต่ไปเพิ่มขึ้นต่อพระเจ้าและซามูเอล บัดนี้ประชาชนเริ่มมองเห็นว่า ความบาปของตนนั้นใหญ่หลวง โดยเฉพาะเรื่องการร้องขอกษัตริย์ พวกเขากลัวว่าจะ ถูกลงโทษมากไปกว่านี้ จึงขอร้องให้ซามูเอลอธิษฐานต่อพระเจ้า คำที่ซามูเอลตอบ ประชาชนนั้น เป็น "ถ้อยคำแห่งชีวิตที่มหัศจรรย์" ให้เรามาดูพระวจนะคำตอนนี้ที่ละประ โยค

แรก สังเกตุดูว่าประชาชนไม่มองกษัตริย์เป็นผู้ช่วยกู้อีกต่อไป กลับหันไปขอความช่วย เหลือจากซามูเอลแทน ชาวอิสราเอลสำนึกแล้วว่า ปัญหาแรกที่สำคัญของพวกเขานั้น ไม่ใช่เรื่อง "ผู้นำ" ทางการเมือง แต่เป็นความบาป พวกเขาเข้าใจดีว่าตนเองนั้นสมควร ถูกพระเจ้าลงโทษ และเริ่มมองออกว่า การช่วยกู้ให้พ้นจากศัตรูยังไม่จำเป็นเท่าการช่วย กู้ให้พ้นจากพระอาชญาของพระเจ้าที่พวกเขาปฏิเสธ พวกเขารู้ดีว่าไม่สมควรได้รับการ ช่วยกู้ และรู้ด้วยว่าต้องมีคนกลางไปช่วยเจรจาแทน ดังนั้นจึงขอความกรุณาจาก ซามูเอลให้ช่วยวิงวอนอธิษฐานขอต่อพระเจ้าแทนพวกเขา (ข้อ 19)

สอง สังเกตุดูว่า ซามูเอลพยายามผลักดันให้ประชาชนมีความวางใจในพระเจ้ามาก กว่าในมนุษย์ คำพูดของซามูเอลเต็มไปด้วยความเมตตากรุณาและความหวัง คำตอบ ของท่านไม่ได้เจือปนด้วยความโมโหที่ถูกคนพวกนี้ปฏิเสธ ท่านกลับบอกประชาชนว่า ไม่ต้องกลัว ความกลัวที่ท่านพูดไม่ได้หมายความถึงขาดความยำเกรงในพระเจ้า แต่ เป็นความกลัวที่กำลังสูญเสียความหวัง เป็นความกลัวที่ทำให้เกิดการท้อถอย ชาวอิสรา เอลดูเหมือนตกอยู่ในอันตรายของความคิดที่ว่า พวกเขานั้นทำผิดใหญ่หลวงมาก จนไม่ มีทางแก้ใข ถึงแม้ไม่มีการพูดว่าบาปของพวกเขานั้นจะลดลง ซามูเอลให้เหตุผลดีที่จะ ทำให้พวกเขามีความเชื่อ ความหวัง และความอดทน พวกเขาต้องไม่ "หันไปจาก การติดตามพระเจ้า" (ข้อ 20) แต่พวกเขาจำเป็นต้องหันเสียจากการติดตาม "สิ่ง อนิจจังทีไม่เกิดประโยชน์ หรือไม่ช่วยให้พ้น" (ข้อ 21) การที่ชาวอิสราเอลจะได้ หลุดพ้นจากบาป และมีความหวังใจในอนาคตนั้นประชาชนต้องละทิ้งจากการกราบไหว้ ปรนนิบัติรูปเคารพ กลับมานมัสการและปรนนิบัติพระเจ้าแต่เพียงผู้เดียว โดยเฉพาะจาก "สิ่งอนิจจังที่ไม่เกิดประโยชน์ หรือไม่ช่วยให้พ้น" คือกษัตริย์ที่พวกเขาวางใจแทน ที่จะเป็นพระเจ้า อาจพูดได้ว่า ไม่ผิดที่คิดจะมีกษัตริย์ แต่ผิดที่ไปวางใจให้มนุษย์มาเป็น ผู้ช่วยกู้ให้พ้นจากความผิดบาป มีเพียงพระเจ้าองค์เท่านั้นที่ช่วยกู้ให้หลุดพ้นได้อย่าง ปลอดภัย

สาม ความรอดของอิสราเอลไม่ได้มาจากความสัตย์ซื่อและการกระทำดี แต่บนพระคุณ ของพระเจ้า ซามูเอลไม่เคยผลักดันให้ชาวอิสราเอล "พยายาม" ทำดีมากขึ้น เพื่อจะได้ รับพระพร แต่ซามูเอลผลักดันให้ประชาชน วางใจในพระจ้า ผู้ซึ่งความสัตย์ซื่อของพระ องค์เป็นรากฐานของความหวังและความรอด การเชื่อฟังและปรนนิบัติพระเจ้าของอิส ราเอลนั้น เป็นผลของพระคุณ ไม่ใช่เป็นผลของการกระทำ

24 "จงยำเกรงพระเจ้าเท่านั้น ปรนนิบัติพระองค์ด้วย ใจซื่อสัตย์สุจริต และด้วยสิ้นสุดใจของท่านจงพิ เคราะห์ถึง มหกิจซึ่งพระองค์ได้ทรงกระทำแก่ท่าน แล้วนั้น" (1 ซามูเอล 12:24).

เมื่อซามูเอลทบทวนประวัติศาสตร์ตั้งแต่ครั้งอพยพจนถึงสมัยของท่านให้ชาวอิสราเอล ฟัง ท่านย้ำแล้วย้ำอีกถึงความบาปของชนชาตินี้ และพระคุณความเมตตาของพระเจ้า ไม่มีสักครั้งที่ซามูเอลพูดว่าการช่วยกู้ของพระเจ้านั้นเป็นผลตอบสนองต่อการกระทำดี ของประชากรของพระองค์ พระเจ้าทรงช่วยเหลือประชากรที่ทำบาปของพระองค์นี้ เพราะ พวกเขา "ร้องหา" ให้พระองค์ช่วย (12:8, 10) ไม่ใช่เป็นเพราะเขาสมควรได้รับ ความช่วยเหลือ แต่เป็นเพราะพระคุณของพระองค์

ประเด็นนี้สำคัญยิ่งที่ควรนำมาพิจารณาดู ตามที่บัญญัติไว้ในพันธสัญญากับโมเสส ซามูเอลพูดชัดเจนในบทนี้ว่า ถึงจะมีกษัตริย์ก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงพันธสัญญาที่ พระเจ้ามีให้กับประชากรของพระองค์ พันธสัญญาของโมเสสพูดถึงเงื่อนใขของพระ พรและคำสาปแช่ง (ดู เลวีนิติ 26; เฉลยธรรมบัญญัติ 28-32) ในพันธสัญญานี้ มีการย้ำ ถึงกฏเกณฑ์ของพระพรในการเชื่อฟังพระเจ้า น้อยกว่าคำสัญญาว่าจะมีคำสาปแช่งเมื่อ ไม่เชื่อฟัง มีเหตุผลสำหรับเรื่องนี้ที่ อ.เปาโลนำมาพูดถึงในพระธรรมโรม 3 :

19 เรารู้แล้วว่า ธรรมบัญญัติทุกข้อที่ได้กล่าวนั้น ก็ได้กล่าวแก่คน เหล่านั้นที่อยู่ใต้ธรรมบัญญัติ เพื่อปิดปากทุกคน และเพื่อให้มนุษย์ ทุกคนในโลกอยู่ใต้การพิพากษาของพระเจ้า 20 เพราะว่าในสายพระ เนตรของพระเจ้าไม่มีผู้หนึ่งผู้ใดเป็นคนชอบธรรมโดยการประพฤติ ตามธรรมบัญญัติได้ เพราะว่าธรรมบัญญัตินั้นทำให้เรารู้จักบาปได้ 21 แต่บัดนี้ได้ปรากฏแล้วว่า ความชอบธรรมซึ่งมาจากพระเจ้านั้น ปรากฏนอกเหนือกฎบัญญัติธรรมบัญญัติกับพวกผู้เผยพระวจนะเป็น พยานอยู่ 22 คือความชอบธรรมของพระเจ้า ซึ่งทรงประทานโดย ความเชื่อในพระเยซูคริสต์ แก่ทุกคนที่เชื่อ เพราะว่าคนทั้งหลายไม่ ต่างกัน 23 เพราะว่าทุกคนทำบาป และเสื่อมจากพระสิริของพระเจ้า 24 แต่พระเจ้าทรงพระกรุณาให้เขาเป็นผู้ชอบธรรม โดยไม่คิดมูลค่า โดยที่พระเยซูคริสต์ทรงไถ่เขาให้พ้นบาปแล้ว 25 พระเจ้าได้ทรงตั้ง พระเยซูไว้ให้เป็นที่ลบล้างพระอาชญาโดยพระโลหิตของพระองค์ โดยความเชื่อจึงได้ผล ทั้งนี้เพื่อสำแดงให้เห็นความชอบธรรมของ พระเจ้า ในการที่พระองค์ได้ทรงอดกลั้นพระทัย และทรงยกบาปที่ ได้ทำไปแล้วนั้น 26 และเพื่อจะสำแดงในปัจจุบันนี้ว่าพระองค์ทรง เป็นผู้ชอบธรรม และทรงโปรดให้ผู้ที่เชื่อในพระเยซูเป็นผู้ชอบธรรม ด้วย
(โรม 3:19-26)

บัญญัติของโมเสส (หรือพันธสัญญาของโมเสส) ไม่ได้มีไว้เพื่อความรอดของมนุษย์ บัญญัติของโมเสสเป็นวิธีการที่พระเจ้าสำแดงให้เห็นถึงความบาปของมนุษย์ บัญญัติ นี้กล่าวว่ามนุษย์ทุกคนคือคนบาป และสมควรถูกลงพระอาชญาชั่วนิรันดร์ การทำตาม บัญญัติไม่สามารถช่วยมนุษย์คนใดได้ เพราะไม่มีผู้ใดสามารถรักษาบัญญัติไว้ได้โดย ครบถ้วน เมื่อซามูเอลชี้ให้คนอิสราเอลดูบัญญัติของโมเสส ท่านทำเพื่อแสดงให้เห็นว่า การพิพากษาของพระเจ้า (ด้วยวิธีปล่อยให้ตกไปเป็นเมืองขึ้นของบรรดาประเทศรอบ ข้าง) นั้นเป็นเพราะพวกเขาไม่สามารถถือรักษาบัญญัติได้ แต่เมื่อท่านพูดถึงความหวัง ของคนอิสราเอล ซามูเอลไม่ได้พยายามผลักดันให้ประชากรของพระเจ้าคาดหวังพระ พรโดยการถือรักษาตามธรรมบัญญัติ แต่ท่านกลับผลักดันให้พวกเขามีความไว้วางใจ ในพระคุณความเมตตาของพระเจ้าแทน พระเจ้าทรงเป็นผู้เลือกสรรชนชาตินี้ และพระ องค์จะนำความรอดมาให้พวกเขาเพื่อพระนามของพระองค์เอง

นีคือพื้นฐานของความหวัง และความมั่นใจ ในการปรนนิบัติพระเจ้า เพราะพระเจ้านั้น ทรงสัตย์ซื่อ :

22 เพราะพระเจ้าจะไม่ละทิ้งประชากรของพระองค์ ด้วยเห็นแก่พระนามใหญ่ยิ่งของพระองค์ เพราะพระ เจ้าทรงพอพระทัยแล้วที่จะกระทำให้ท่านเป็นประชา กรของพระองค์
(12:22).

ก่อนที่พระเจ้าจะส่งมอบพระบัญญัติของพระองค์ให้แก่คนอิสราเอล เขาก็ละทิ้งพระองค์ และโมเสสไปเสียแล้วตามที่บันทึกไว้ในอพยพ 32 เช่นเดียวกับซามูเอล โมเสสเป็นผู้ ทำหน้าที่เป็นตัวแทนให้กับชาวอิสราเอล ท่านไม่ได้ร้องทูลขอพระเจ้าว่าประชากรจะ พยายามปฏิบัติตัวใหม่ในการรักษาพระบัญญัติ ท่านร้องทูลขอพระเจ้าตามพระลักษณะ อันดีเลิศของพระองค์ พระเจ้าเป็นผู้เลือกสรรชนชาตินี้ และพระองค์ทรงเสนอและ สัญญาจะนำเขาเข้าสู่ดินแดนแห่งพันธสัญญา โดยมีพระนามและพระสิริของพระองค์ เป็นเดิมพันต่ออนาคตของอิสราเอล เราวางใจได้ว่าพระเจ้าจะทรงทำตามที่พระองค์เริ่ม ให้สำเร็จลุล่วงไป — ไม่ใช่เป็นเพราะเรา — แต่เป็นเพราะพระองค์เป็นพระองค์เอง ธรรมบัญญัติเป็น เพียงสิ่งที่แสดงให้เห็นถึงความบาปของมนุษย์ที่สมควรถูกลงพระ อาชญา แต่เป็นพระคุณที่ช่วยให้รอดและชำระให้บริสุทธิ์ แต่เป็นพระคุณที่มอบพลัง และดลใจให้มีความเชื่อและการเชื่อฟัง และพระคุณ พระคุณของพระเจ้านี้เอง ที่ ซามูเอลกำลังประกาศต่อหน้าชนชาติที่บาปหนาว่า พวกเขาสามารถแน่ใจในความรอด ของพระเจ้าได้ เพราะเรารู้ว่าพระองค์เป็นผู้ใด

ความรอดนี้โดยพระคุณ — และผู้ที่พึ่งในพระคุณ "ยำเกรงพระเจ้า ปรนนิบัติพระ องค์ด้วยใจซื่อสัตย์สุจริต และด้วยสิ้นสุดใจ" โดยยืนอยู่บนพื้นฐาน "มหกิจซึ่งพระ องค์ได้กระทำแก่ท่าน" (ข้อ 24) สำหรับผู้ที่ปฏิเสธพระคุณ การพิพากษาจะมาถึง อย่างแน่นอน เช่นเดียวกับความรอดที่จะมาถึงยังคนที่เชื่อฟัง :

24 "จงยำเกรงพระเจ้าเท่านั้น ปรนนิบัติ พระองค์ด้วยใจซื่อสัตย์สุจริต และด้วยสิ้น สุดใจของท่าน จงพิเคราะห์ถึงมหกิจซึ่ง พระองค์ได้ทรงกระทำแก่ท่านแล้วนั้น"
(ข้อ 24)

ถ้าชาวอิสราเอลปฏิเสธพระคุณพระเจ้า และไปตามทางที่เขาพอใจ พวกเขาจะถูกกวาด ต้อนไปเป็นเชลยตามที่มีบ่งไว้ในพันธสัญญาของโมเสส (ดูเลวีนิติ 26:33-39; เฉลย ธรรมบัญญัติ 28:63-68)

ถ้าพระจ้าทรงพระกรุณาและทรงสัตย์ซื่อต่อพันธสัญญาที่พระองค์ให้ไว้กับคนอิสราเอล ซามูเอลก็เช่นกัน บัดนี้ประชาชนได้ร้องขอให้ซามูเอลเป็นตัวแทนร้องทูลกับพระเจ้า ถึงแม้พวกเขาปฏิเสธการเป็นผู้นำของพระองค์ เช่นเดียวกับพระเจ้า ซามูเอลปฏิบัติ ด้วยใจกรุณาและความเมตตาของท่าน ท่านให้ความมั่นใจกับประชาชนว่าท่านจะไม่ ทำบาปต่อพระเจ้า โดยไม่ยอมอธิษฐานเพื่อพวกเขา และท่านจะสั่งสอนแนะนำพวกเขา ใน "ทางที่ดีและถูก" (ข้อ 23) เช่นเดียวกับที่กล่าวในพระคัมภีร์ใหม่ "ฝ่ายพวกเรา จะขะมักเขม้นอธิษฐาน และรับใช้พระเจ้าในพันธกิจแห่งพระวจนะเสมอไป" (ดู กิจการ 6:4) ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญประการแรกของบรรดาผู้นำด้านจิตวิญญาณ ซามูเอล ไม่เคยมีความคิดที่จะทำบาปโดยการหยุดจากงานรับใช้ของท่าน40 http://www.bible.org/docs/ot/books/1sa/deffin/

บทสรุป

บทเรียนตอนนี้เกี่ยวข้องกับมนุษย์ในทุกวันนี้ค่อนข้างมาก ถึงแม้จะมีการตักเตือนสั่ง สอนมาทุกยุคทุกสมัย แต่สิ่งหนึ่งที่สอนให้เราระวังเป็นพิเศษคือ ระวังอย่าไปปรับ เปลี่ยนภาพพจน์ของบาป ชาวอิสราเอลในสมัยซามูเอลไม่สามารถแยกแยะได้ว่า ปัญหาของพวกเขา (การถูกกดขี่ข่มเหงจากประเทศรอบข้าง) เป็นมาจากพระเจ้า และ เป็นผลของพระอาชญา (เพื่อการแก้ใข) ในความบาปของพวกเขา ชาวอิสราเอลใน สมัยของซามูเอลเห็นว่าการตกเป็นเมืองขึ้นของคนต่างชาตินั้น เป็นเพราะผู้นำไม่มี ประสิทธิภาพพอ แต่พระเจ้าสำแดงให้เห็นว่าสาเหตุที่แท้จริงคือความบาป ผมเกรงว่า พวกเราจะหลงไปในทางเดียวกัน เรามองปัญหาความบาปแบบที่ชาวโลกทั่วไปมอง และพยายามแก้ปัญหาด้วยวิธีการทางโลก

คริสตจักรของพระเยซูคริสต์กำลังจะกลายเป็นสถานที่ที่มองความบาปไปในทางโลก และหาทางแก้ใขปัญหาด้วยวิธีการของมนุษย์ เมื่อคริสตจักรต้องจัดการเรื่องเงินทอง ก็จะใช้วิธีการเดียวกับที่ชาวโลกระดมหาทุนทำธุรกิจ เมื่อคริสตจักรต้องจัดการกับเรื่อง องกรและโครงสร้าง ก็ใช้วิธีเดียวกับที่บริษัทใหญ่ๆบริหารงาน เมื่อคริสตจักรทำงานประ กาศ ก็ใช้วิธีการตลาดในแบบเดียวกับที่สินค้าชั้นนำทั่วไปทำ และเมื่อคริสตจักรต้อง เข้าไปแก้ใขปัญหาส่วนตัว หรือระหว่างสมาชิก ก็นำวิธีและทฤษฎีในทางจิตวิทยามาใช้ เมื่อเรากำหนด "ความบาป" ในแบบของชาวโลก และหาวิธีจัดการกับบาปด้วยวิธีทาง โลก เรากำลังมีปัญหา41 http://www.bible.org/docs/ot/books/1sa/deffin/

คำบรรยายในบทเรียนนี้ทำให้เราเห็นพระลักษณะของพระเจ้าและผู้รับใช้ของพระองค์ ซามูเอล ไม่ต้องสงสัยเลยว่า การปฏิเสธไม่ยอมรับซามูเอล ก็คือการปฏิเสธไม่ยอมรับ พระเจ้า และไม่่ต้องสงสัยเลยว่าความสัตย์ซื่อของพระเจ้าที่มีให้กับประชากรชาว อิสราเอลนั้น สอดคล้องกับความสัตย์ซื่อของซามูเอลในการทำงานรับใช้ดูแลประชากร ของพระองค์ ซามูเอลมีคุณลักษณะเช่นเดียวกับพระเจ้า เพราะพระเจ้าเป็นแหล่งที่มา ของท่าน เรามีพระเจ้าผู้ทรงพระคุณมากมาย ผู้ทรงตักเตือนสั่งสอนเมื่อเราทำบาป เพื่อ ที่เราจะไม่หลงหายไป แต่กลับมาหาพระองค์อีกครั้งด้วยความเชื่อ การเชื่อฟัง ความรัก และด้วยใจกตัญญู

การบรรยายในบทเรียนนี้เป็นเรื่องของการเป็นผู้นำ และการนับถือผู้นำในแบบรูปเคารพ การเป็นผู้นำเป็นเรื่องสำคัญมาก ไม่ว่าในระดับประเทศ ในครอบครัว หรือในคริสตจักร ผู้นำในแบบของพระเจ้านั้นเป็นผู้นำในระดับมาตรฐาน (ดู 1ทิโมที 3; ติตัส 1; เอเฟซัส 5:22-33) แต่การเป็นผู้นำก็ยังล่อแหลมต่อภัยอันตราย พระเจ้าทรงเป็นผู้นำที่ดีที่สุด และที่สุดแล้ว จะเป็นผู้นำเพียงพระองค์เดียว ; พระองค์ทรงครบบริบูรณ์ในทุกสิ่ง ซาตานเองไม่เคยพอใจในตำแหน่งผู้นำของมัน มันต้องการมากกว่านั้น มันต้องการที่ จะเป็น "เหมือนพระเจ้า" มีพระเจ้าเพียงผู้เดียวเท่านั้นที่เหมาะสมกับตำแหน่งนี้ที่สุด คริสเตียนบางคนมองผู้นำเกินภาพความเป็นจริง เราอาจกล่าวได้ว่า เขามองผู้นำในแบบ "รูปเคารพ" และมอบความวางใจให้มากกว่าพระเจ้า และนี้คือสิ่งเดียวกับที่ชาวอิสรา เอลปฏิบัติกับซาอูล และเป็นเหตุให้ความบาปของอิสราเอลถูกจัดการในทันที มีภัยอัน ตรายอยู่รอบตัวเรา เราอย่ายอมมอบสิ่งที่สมควรสำหรับพระเจ้าเท่านั้นไปให้กับมนุษย์ อย่าคิดเหมาเอาเองว่า "มนุษย์" จะช่วยให้รอดได้ และอย่างวางใจว่าอนาคตของเรา หรือของคริสตจักร หรือของประเทศชาติ ขึ้นอยู่กับเพียงมนุษย์บางคน โดยเฉพาะอย่าง ยิ่งเมื่อมีการเลือกตั้งผู้นำประเทศ อย่าให้มนุษย์กลายเป็นรูปเคารพ พระเจ้าเป็นแหล่ง กำลังในยามถูกทดลอง เป็นผู้ตีสอน และเป็นแหล่งเดียวของความรอดและพระพรของ เรา มนุษย์นั้นจะดีที่สุด เมื่อยอมเป็นเครื่องมือให้พระเจ้าใช้

บทเรียนนี้ยังเป็นคำเตือนให้กับผู้ที่ดูเหมือนประสพความสำเร็จ เราเห็น "ความสำเร็จ" ของซาอูลชัดเจน ประชาชนปลาบปลื้มปิติที่อิสราเอลรบชนะอัมโมน และพวกเขามอง ว่า "ชัยชนะ" ครั้งนี้ว่าเป็นฝีมือการปกครองของซาอูล อันที่จริง การช่วยกู้ในครั้งนี้ และ ครั้งอื่นๆก่อนหน้า เป็นมาจากพระคุณพระเจ้า ไม่ใช่เพราะความเก่งกล้าสามารถของผู้นำ ตามที่มนุษย์เห็น บรรดาผู้ที่ดูจะประสพความสำเร็จดี ต้องระมัดระวังเป็นพิเศษกับความ หมายของคำว่า "ความสำเร็จ" ในความคิดของพวกเขา ขอให้คำนึงตลอดเวลาว่า ความสำเร็จของมนุษย์นั้น เป็นผลมาจากพระคุณทั้งสิ้น ไม่ใช่เป็นเพราะความชำนาญ หรือสติปัญญาของมนุษย์เลย

บทเรียนตอนนี้พูดถึงความหวังและกำลังใจสำหรับผู้ที่จมลึกอยู่ในความบาป ไม่สามารถ ดำเนินชีวิตตามมาตรฐานของพระเจ้าได้ หลายคนที่ชอบนึกว่าตนเองล้มเหลวถลำลึก ไปจนหวนคืนไม่ได้ ไม่มีความหวังใดเหลืออีก จนอยากละทิ้งชีวิตคริสเตียน "ทุกคน ทำบาป และเสื่อมจากพระสิริของพระเจ้า" (โรม 3:23) ตามมาตรฐานของพระเจ้า ไม่มีใครประสพความสำเร็จได้ ทุกคนล้มเหลวทั้งนั้น และสมควรกับพระอาชญานิรันดร์ ความหวังในความรอด ไม่ใช่อยู่บนพื้นฐานของการกระทำของเรา แต่บนพระคุณของ พระเจ้า ไม่ใช่เป็นเพราะเราเลือกพระองค์ แต่เป็นพระองค์ผู้เลือกสรรเรา ไม่ใช่เพราะ ความสัตย์ซื่อของเรา แต่เป็นของพระองค์ พระเจ้าทรงสัตย์ซื่อ พระเจ้าทรงพระกรุณา ทรงมีพระคุณ ทรงเป็นความรอดของเรา พระเยซูคริสต์ไม่ได้เสด็จมาเพื่อคนชอบธรรม แต่เพื่อมาช่วยคนบาป ให้เราทั้งหลายที่คิดว่าตนเองล้มเหลวลองคำนึงถึงเรื่องนี้ดูให้ดีๆ

พระธรรมตอนนี้บรรยายเน้นไปในเรื่องของความรอด คนอิสราเอลในสมัยนั้น มองซาอูล (กษัตริย์ของพวกเขา) ว่ามาช่วยกู้ให้รอดได้ พวกเขามองภาพความรอดในทางทหาร และทางเศรษฐกิจ ไม่ใช่ทางจิตวิญญาณ ในเนื้อหาพูดชัดเจนว่าไม่มี "กษัตริย์" ที่เป็น เพียงมนุษย์คนใด จะสามารถช่วยมนุษย์ให้รอดพ้นจากความบาปได้ สิ่งใดที่ "กษัตริย์" อิสราเอลทำไม่ได้ พระเจ้า "จอมกษัตริย์" ของเราได้ทำสำเร็จลงแล้ว – คือความรอด ของคนบาปที่ร้องทูลขอพึ่งในพระคุณ "กษัตริย์" ทุกองค์ของอิสราเอล ประสพความ ล้มเหลว ถึงแม้จะเป็นกษัตริย์ที่ดีที่สุดเช่นดาวิด โซโลมอน และอีกบางองค์ ชาวอิสรา เอลถูกทดลองให้พึ่งพิงในมนุษย์ เลือกและแต่งตั้งเขาให้มาเป็นกษัตริย์ และ มอบความ วางใจให้เหมือนเป็นพระเจ้าของพวกเขา แต่กษัตริย์เหล่านี้ไม่สามารถช่วยให้รอดได้ แต่พระเจ้าส่งพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ พระเยซูคริสต์ ให้มาเป็น "กษัตริย์ของ ชาวยิว" สำหรับทุกคนที่เชื่อในพระองค์ พระเจ้า (ภาคที่สองของ พระตรีเอกานุภาพ) มาบังเกิดเป็นมนุษย์ มามีชีวิตที่ครบบริบูรณ์ ตายเพื่อความบาปผิด ของมนุษย์ ถูกชุบ ให้เป็นขึ้นมาจากความตาย เสด็จขึ้นสวรรค์ พระเยซูคริสต์องค์นี้ แหละ คือกษัตริย์ของ องค์พระผู้เป็นเจ้าแท้จริง พระองค์เสด็จมาเพื่อช่วยมนุษย์ให้รอด พ้นจากความบาป และพระองค์จะเสด็จกลับมาอีกในไม่ช้า เพื่อจัดตั้งพระราชอาณาจักร ของพระองค์ พระองค์ทรงเป็นความหวัง ! เป็นความรอดของพวกเรา ! สิ่งที่กษัตริย์ทางโลกไม่มี ทางทำได้ กษัตริย์ขององค์พระผู้เป็นเจ้าได้กระทำสำเร็จลงแล้ว

คุณไม่จำเป็นต้องพยายามทำดีมากๆเพื่อพระเจ้าจะประทานความรอดให้ แต่คุณนั้นแย่ เพียงพอสมควรที่จะรับพระคุณ ถ้าคุณไม่ยอมรับว่าความบาปเป็นปัญหาที่ร้ายแรงที่สุด ของคุณ และสมควรกับพระอาชญาชั่วนิรันดร์ ผมขอแนะนำให้คุณทำเสียแต่บัดนี้ และ เมื่อคุณยอมรับในความบาปของคุณ วางใจในองค์พระเยซูคริสต์ ผู้ทรงแบกรับความผิด บาปแทนคุณ พระองค์ผู้ทรงเป็นทั้งพระเจ้าและมนุษย์ ได้ถูกชุบให้เป็นขึ้นมาจากความ ตาย ประทับเบื้องขวาพระบิดาในสวรรค์ และพระองค์จะเสด็จกลับมาอีกในไม่ช้า เพื่อ อำนวยพระพรต่อบรรดาผู้ชอบธรรม และทำลายศัตรู คุณควรมองไปที่จอมกษัตริย์องค์ นี้เพียงพระองค์เดียวเพื่อความรอดจกาบาป และเพื่อความแน่ใจว่าจะได้สถิตอยู่กับพระ องค์ในสวรรค์สถานชั่วนิจนิรันดร์


36 36 พระธรรมผู้วินิจฉัยแสดงให้เห็นรูปแบบที่ชัดเจนของการกระทำเช่นนี้ เป็นรูปแบบที่ผู้เขียน พยายามสื่อให้เห็นภาพเมื่ออ้างอิงถึง

37 ขั้นตอนของการช่วยกู้และปรนนิบัติพระเจ้าใน 12:10 นั้นสำคัญมาก อิสราเอลไม่เคยเริ่มต้น ด้วยการกลับใจ หันมาเชื่อฟังและปรนนิบัติพระเจ้า แล้วพระเจ้าถึงทรงช่วยกู้พวกเขา แต่เป็นพระ เจ้าผู้เริ่มต้นกอบกู้ประชากรของพระองค์ก่อน แล้งพวกเขาจึงได้กลับมาปรนนิบัติพระองค์อีกครั้ง

38 หรือ พวกเขาไม่ยอมจ่ายราคาของการสำนึกในความบาป เพื่อจะรับการช่วยเหลือที่มาจาก พระเจ้า

39 กษัตริย์แบบที่ชาวอิสราเอลอยากได้คือแบบเดียวกับรูปเคารพ พระเจ้าจึงพูดเตือนค่อนข้าง แรงในการเรียกร้องขอมีกษัตริย์ สิ่งนี้ไม่ได้หมายความว่ากษัตริย์ทุกองค์เป็นรูปเคารพ หรือต้อง เป็น นีคือเหตุผลที่พระเจ้าอนุญาติให้พวกเขามีกษัตริย์ได้ กษัตริย์จะเป็นเหมือนรูปเคารพถ้า ประชาชนไปวางใจในท่านแทนที่จะวางใจในพระเจ้า กษัตริย์จะเป็นดังรูปเคารพเมื่อมีการกราบ ไหว้บูชา (ด้วยสิ่งของที่ท่านจะมายึดไปตามที่พูดถึงในบทที่ 8) และให้เกียรติท่านมากกว่าให้ เกียรติพระเจ้า

40 เรื่องที่ควรจำคือ บางครั้งพระเจ้าทรงกระทำตามที่พระองค์กล่าวไว้ในข้อ 25 และมีบางครั้ง ที่เยเรมีห์ถูกสั่งห้ามไม่ให้อธิษฐานเผื่อประชาชน เพราะพระเจ้าทรงมีพระประสงค์จะลงพระ อาชญา (ดูเยเรมีห์ 7:16-20; 11:14).

41 ผมเข้าใจถึงอันตรายในการที่จะพยายามแก้ใขปัญหาด้วยวิธีการแบบจิตวิญญาณ ทั้งๆที่ ปัญหาแท้จริงไม่ใช่เป็นเรื่องของจิตวิญญาณ เช่นพยายามขับผีออก แทนที่จะส่งคนๆนั้นไป รับการรักษาที่โรงพยาบาล ในยุคของเรานี้ฝ่ายตรงข้ามกำลังนำหน้าเราไปไกล นั่นคือการ พยายามทำให้เรามองปัญหาด้านจิตวิญญาณให้เป็นไปในทางโลก

Previous PageTable Of ContentsNext Page